โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 129-132

 โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.129 – ฉินเฟิงอันดับหนึ่ง … จากล่าง?


 


ข้างๆหลี่เหยาเหยา คือเพื่อนร่วมชั้นของเธอ หลายคนกำลังจับกลุ่มคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


“ดูนั่น พวกน้องใหม่คลาสอบิลิตี้มาแล้ว!”


 


“เธอคิดว่ารุ่นน้องฉินเฟิงจะมาด้วยรึเปล่า!”


 


“ต้องมาอยู่แล้ว! และฉันยังได้ยินมาอีกว่าวรยุทธโบราณของรุ่นน้องฉินร้ายกาจมาก ชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าอบิลิตี้ของเขาจะสุดยอดขนาดไหน!!”


 


“พลังสมาธิของเขาแข็งแกร่งมาก มันถึงขั้นควบคุมวัตถุต่างๆในอากาศได้!”


 


“นั่นเรื่องจริงหรอ? งั้นอบิลิตี้เขาก็ต้องแข็งแกร่งมากเหมือนกันแน่ๆ ใครก็ตามที่ได้ร่วมทีมกับเขาคงเหมือนพยัคฆ์ติดปีก คราวนี้ล่ะ สถาบันระดับสูงเขตเฉิงเป่ยของพวกเราจะต้องคว้าที่หนึ่งมาได้แน่นอน!”


 


สีหน้าของหลี่เหยาเหยาแลดูซับซ้อน


 


น่าเสียดายที่เขาและเธอไม่ได้อยู่ชั้นปีเดียวกัน ไม่อย่างนั้น เธอคงมีโอกาสได้ไปงานสวนล่าใบไม้ผลิด้วยกันกับฉินเฟิง แล้วแก้ไขความเข้าใจผิดต่อกันและกัน


 


ขณะนี้บนจตุรัส เติ้งเหนียนอาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันระดับสูงเขตเฉิงเป่ยได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฝูงชน เขาเริ่มกล่าวคำปราศัย


 


“การทดสอบในครั้งนี้ เกี่ยวข้องโดยตรงว่าพวกเธอกำลังจะได้พบกับเพื่อนร่วมทีมแบบไหน ถ้าแข็งแกร่ง ก็สามารถร่วมทีมกับคนที่แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ดังนั้นฉันหวังว่าทุกคนจะทุ่มเทไปกับการทดสอบอย่างเต็มที่ ใช้ทุกสิ่งที่เธอเรียนรู้มาตลอดทั้งเดือน —สำแดงพลังของตัวเองออกมา!!”


 


“และตอนนี้ ฉันขอเปิดการทดสอบประจำปีครั้งที่ 69 —นักเรียนห้องแรกลงสนามได้!”


 


ห้องแรก แน่นอนว่าคือคลาสของผู้ใช้อบิลิตี้


 


ฉินเฟิงและคนอื่นๆลุกจากที่นั่งผู้ชม ลงมายืนกลางจตุรัส


 


โดยมีเฉิงเฉาคอยยืนเคียงข้างพวกนักเรียน


 


“ทุกคนเริ่มปลดปล่อยรูนได้!”


 


เฉิงเฉาตะโกนคำหนึ่ง ออกคำสั่งให้ปลดปล่อยรูน


 


ทุกอย่างดูเหมือนจะได้รับการเตรียมตัวและฝึกซ้อมมาล่วงหน้า สีหน้าของนักเรียนทุกคนรอบตัวเขากลายเป็นจริงจัง จากนั้นทุกคนก็ระเบิดพลังสมาธิอันแข็งแกร่ง กระตุ้นรูนให้ปรากฏมา


 


รูนที่ถูกปลดปล่อยออกมาสู่ภายนอกมีแสงและสีสันที่แตกต่างกันออกไปคอยห่อหุ้มพวกมันเอาไว้


 


ตลอดทั้งคลาสเรียน ผู้ที่มีค่าความเข้ากันได้กับรูนมากที่สุดก็คือหัวหน้าห้องจ้าวหยู


 


ความเข้ากันได้กับรูนของจ้าวหยู คือระดับ A สามารถดูดซับได้ 15 รูน ในเวลาประมาณ 10 นาที หรือ 90 รูนในเวลา 1 ชั่วโมง แม้จะอยากฝึกฝนให้นานกว่านี้ แต่ด้วยพลังสมาธิที่ไม่มากพอ ทำให้เวลาการดูดซับรูนของเธอนั้นถูกจำกัดไว้ที่วันละแค่สองชั่วโมงเท่านั้น


 


รูนที่มีติดตัวก็เปรียบดั่งเงินตราที่เป็นตัวแทนแสดงถึงความมั่งคั่ง ทว่าหากมีพลังสมาธิอยู่แค่ในระดับทั่วไป จำนวนรูนที่ดูดซับได้ในแต่ละวันก็จะลดหลั่นลง


 


ถึงอย่างนั้น ภายในหนึ่งเดือน จ้าวหยูก็ยังสามารถสะสมรูนจนได้มากถึง 1,000 รูน! ทั้งยังครอบครองพลังพิเศษธาตุไฟในเลเวล G อีกกว่า 3 ท่า!


 


ฉะนั้น หากเทียบกับคนทั้งคลาสอบิลิตี้แล้ว จ้าวหยูนี่แหละคือคนที่อยู่ใกล้เคียงกับผู้ใช้พลังในเลเวล G มากที่สุด!


 


เป็นลูกรักของพระเจ้า!


 


หากไม่มีฉินเฟิงอยู่ที่นี่ น่ากลัวว่าคงจะเป็นเธอ ที่กลายเป็นความหวังของบรรดาอาจารย์และผู้อำนวยการอย่างเติ้งเหนียน!


 


วิ้งงงงง!


 


รูนเริ่มร่ายระบำ แสงสีแดงรอบตัวของจ้าวหยูพวยพุ่งสูงขึ้นกว่าหนึ่งเมตร


 


แม้คนอื่นๆจะมีแสงพวยพุ่งขึ้นเช่นกัน แต่มันก็น้อยกว่ามาก ท่ามกลางสีสันต่างๆ จ้าวหยูโดดเด่นเป็นพิเศษ


 


เธอคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่มีข้อกังขา


 


แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นเป้าสายตาของผู้คน


 


ชายคนนั้น แน่นอนว่าคือฉินเฟิง


 


 


ฉินเฟิงไม่ได้เข้าร่วมการเรียนการสอน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ทราบถึงเนื้อหาของการทดสอบนี้ เลยลงมือช้ากว่าคนอื่นๆไปจังหวะหนึ่ง


 


ดังนั้นในขณะที่คนอื่นๆหน้าดำคร่ำเคร่ง และกำลังพยายามกระตุ้นรูนทั้งหมด


 


เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าต้องทำอะไร


 


‘ที่แท้มันก็คือการแสดงให้ทุกคนเห็นรูนประจำตัว แต่ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะแสดงมันออกมาด้วยดีรึเปล่า … ‘


 


หากเป็นในเวลาอื่น เป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะไม่หวาดกลัวจะแสดงมันออกมา แต่ตอนนี้ เปลวไฟผู้ใช้อบิลิตี้ไฟทุกคนคือสีแดงอมส้ม หากแต่เปลวไฟของเขาคือสีดำแดง แบบนี้มันจะตัดกันจนชัดเกินไป


 


เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉินเฟิงเลยทำได้แค่กระตุ้นรูนไฟเล็กๆน้อยๆเท่านั้น มันดูธรรมดา ไม่สะดุดตาใดๆ


 


ถ้าเป็นคนอื่นๆมันคงไม่แปลกอะไร แต่ภายใต้ความสนใจของผู้คนมากมาย มันเลยเห็นได้ชัด


 


“อาาา ทำไมรูนของฉินเฟิงถึงน้อยขนาดนี้?”


 


“ได้ยินมาว่าความเข้ากันได้กับรูนของฉินเฟิงอยู่ในระดับต่ำมาก และเขาเองก็แทบจะไม่ได้เข้าเรียน ฉะนั้นอบิลิตี้ต้องย่ำแย่มากแน่ๆ”


 


“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแบบนี้ เขาแข็งแกร่งมากไม่ใช่หรอ?”


 


เกิดข้อถกเถียงขึ้นในฝูงชน เฉิงเฉาพอได้ยิน เจ้าตัวก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ


 


เพราะค่าความเข้ากันได้กับรูนของฉินเฟิงต่ำจริงๆ มันอยู่แค่ระดับ G เท่านั้น


 


เอาจริงๆเฉิงเฉารู้สึกว่า หากฉินเฟิงเลือกเดินไปในเส้นทางผู้ใช้วรยุทธโบราณหรือมือปืน ผลลัพธ์มันคงดีกว่านี้


 


“เอาล่ะเก็บรูนได้”


 


แม้นี่คือสิ่งที่เฉิงเฉาคิดในใจ แต่อย่าลืมว่าตอนนี้มันเป็นแค่การแสดงพลังเท่านั้น เขาเริ่มสั่งคำแนะนำต่อไป


 


นักเรียนในคลาสเริ่มรวบรวมรูนของตัวเองกลับคืน กระบวนการเป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะท้ายที่สุดแล้ว การกระตุ้นรูนมันจำเป็นต้องใช้พลังสมาธิเช่นกัน และยิ่งเมื่ออยากจะแสดงมันออกมาให้ดี ก็เป็นธรรมดาที่ยิ่งต้องใช้พลังสมาธิมากขึ้น แค่การคงรูปมันไว้เป็นเวลากว่าครึ่งนาที ก็เหนื่อยแทบตาย


 


ฉินเฟิงเก็บรูนคืนอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ดูคล้ายว่าจะไม่หงุดหงิดใดๆเลย


 


“อบิลิตี้ของฉินเฟิงอ่อนแอมาก!”


 


“ใช่ แต่งานสวนล่าใบไม้ผลิไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ฉินเฟิงยังมีความสามารถในด้านวรยุทธโบราณ และความสามารถในด้านการใช้อาวุธปืนของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน”


 


“อย่าลืมสิว่าถึงอบิลิตี้ของฉินเฟิงจะอ่อนแอ แต่โดยรวมแล้วเขาก็ยังแข็งแกร่งมาก เขาคือราชันย์ที่สามารถต่อสู้กับเลเวล F ได้!”


 


แต่สิ่งที่เหล่าฝูงชนให้ความสนใจเป็นอย่างมากเลยก็คือ หลังจากนี้ ฉินเฟิงจะเลือกเข้าร่วมทีมกับใคร?


 


ทุกคนต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบ เฉิงเฉายังคงสั่งการต่อไป นักเรียนในคลาสอบิลิตี้ทั้ง 30 คน มี 5 คนก้าวออกมาจากตำแหน่ง ตรงไปข้างหน้าเพื่อแสดงพลังพิเศษของตนให้ทุกคนได้เห็น


 


เวลานี้สิของจริง ที่คุณจะสามารถเห็นได้ชัดว่าใครที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ!


 


บางคนสามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงระดับหนึ่งออกมาได้ , บางคนก็สามารถปลดปล่อยหมอกบดบังวิสัยทัศน์ , บ้างปลดปล่อยสายลมกรรโชก , บ้างเรียกหินจากฟากฟ้า ทั้งหมดมีประโยชน์มาก และคนที่โดดเด่นน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด คือจ้าวหยูอย่างไม่ต้องสงสัย!


 


อันดับแรกเธอเรียกก้อนเปลวไฟกลุ่มหนึ่งออกมา จากนั้นก็แยกเปลวไฟก้อนใหญ่ออกเป็นสามลูก สามทิศทางในลมหายใจเดียว และสุดท้ายคือระเบิดรัศมีเปลวไฟ โจมตีเข้าใส่สัตว์ร้ายยางที่ทางโรงเรียนตั้งใจนำออกมาเป็นเป้าให้นักเรียนแสดงฝีมือเป็นพิเศษ แผดเผาทั้งตัวของมันจนไหม้เกรียมเป็นสีดำ


 


มีผู้ใช้วรยุทธโบราณและมือปืนหลายคนจดจำจ้าวหยูเอาไว้ และคาดหวังว่าจะได้อยู่ร่วมทีมกับเธอ


 


แล้วก็ถึงตาฉินเฟิงก้าวออกมาในที่สุด แต่เฝ้ารอจนเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆปลดปล่อยอบิลิตี้ของตนจนครบ ฉินเฟิงก็ยังนิ่งไม่ขยับไหว เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาแทบจะไม่ได้ฝึกซ้อมเลย


 


การระเบิดพลังโดยอาศัยรูนสองสามตัวไม่ใช่เรื่องที่สามารถแสดงออกมาได้ หากทำแบบนั้น มันจะดูกากเกินไป และอำนาจโจมตีของมันโคตรจะอ่อนแอ!


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่ฉินเฟิงเองก็ไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกเหมือนกัน!


 


เมื่อนึกได้แบบนี้ ฉินเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้าแทน เดินไปจนถึงสัตว์ร้ายยางที่มีขนาดตัวเทียบเท่ากันและ—


 


–เปรี้ยงงงง!


 


ซัดกำปั้นของตนออกไปโดยตรง!


 


กำปั้นนี้ห่อหุ้มไปด้วยกำลังภายใน ทั้งแรงผลักและแรงดูดจากทักษะลับกลืนดาราระเบิดขึ้นพร้อมกัน คล้ายกับวังวนขนาดยักษ์


 


ฉินเฟิงเจาะหมัดเข้าไปในร่างของสัตว์ร้ายยาง


 


ตูม!


 


ระเบิดเสียงกึกก้องจนฝูงชนสะดุ้งตกใจ กระพริบตาไปแวบหนึ่ง


 


เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมองไปยังสัตว์ร้ายยาง แท้จริงแล้วกลับพบว่ารูปร่างของมันกลายเป็นไม่สมประกอบ … ถูกแรงปะทะจนแหลกเป็นชิ้นๆ!


 


อำนาจของหมัดนี้ แทบจะเทียบเท่าได้กับลูกระเบิด!


 


บนอัฒจันทร์ เติ้งเหนียนที่ยืนอยู่มุมปากกระตุกวูบ


 


ฉินเฟิงดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อนที่พบกัน อย่างไรก็ตาม … ฉินเฟิงคือนักเรียนคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ของสถาบันระดับสูงไม่ใช่หรือ!? แล้วทำไมเขาถึงสามารถใช้กระบวนท่าวรยุทธได้?


 


แล้วแบบนี้ จะให้จัดอันดับยังไง?


 


สัตว์ร้ายยางเป็นอุปกรณ์สำหรับทดสอบ มันสามารถรองรับพลังต่อสู้ของนักเรียนได้ การที่ฉินเฟิงต่อยจนสัตว์ร้ายยางระเบิด นั่นหมายว่าพลังต่อสู้ของเขาต้องสูงมากกว่า 5,000 แต้ม!


 


“เหนือกว่าขีดจำกัด!”


 


“เป็นไปได้ไหมว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินเฟิงอยู่ในเลเวล G9 ?”


 


“ทรงพลังมากจริงๆ!”


 


“เท่านี้ก็มั่นใจได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอในด้านอบิลิตี้ แต่ฉินเฟิงก็ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี!”


 


ทว่าในการจัดอันดับ ฉินเฟิงอยู่ในอันดับแรก … จากล่างสุดอย่างไม่ต้องสงสัย


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว การทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบพลังของผู้ใช้อบิลิตี้ ไม่ใช่วรยุทธโบราณ!


 


หากฉินเฟิงได้อันดับหนึ่งจริงๆ เกรงว่านักเรียนทั้งคลาสคงประท้วง!


 


“ฉันโจมตีได้แค่ 890 แต้มเท่านั้นเอง ยังห่างชั้นกับฉินเฟิงอยู่หลายขุม” จ้าวหยูถอนหายใจ


 


เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างๆพากันเข้าไปปลอบหัวหน้าชั้นทันที


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.130 – เฉินหมิงสภาพสมบูรณ์


 


“หัวหน้าห้อง อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ความแข็งแกร่งของเธอตอนนี้พูดได้ว่าผ่านข้อกำหนดของผู้ใช้พลังเลเวล G แล้ว และถ้าผลลัพธ์ในครั้งนี้ออกมาดี เธอก็จะได้รับตราผู้ใช้พลังโดยไม่ต้องออกล่าพวกสัตว์ร้าย!”


 


“ใช่ๆ”


 


“อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับ ‘สัตว์ประหลาด’ สิ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ใช้อบิลิตี้ด้วยซ้ำ!”


 


เมื่อถูกปลอบประโลม จ้าวหยูก็กลับมาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย


 


ต่อมาก็เป็นการทดสอบของผู้ใช้วรยุทธโบราณ เนื่องจากชั้นปีที่ 1 มีผู้ใช้วรยุทธโบราณอยู่ถึง 3 ห้อง ดังนั้นการทดสอบจึงไม่ใช่ในรูปแบบทีละ 5 คน แต่เป็น 10 คน แต่ยังไงปริมาณก็เยอะอยู่ดี ฉะนั้นผลการทดสอบเลยดำเนินไปอย่างเชื่องช้าอย่างไม่ต้องสงสัย


 


และแน่นอน ว่าผลงานของโจวฮ่าวน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง


 


เนื่องจากในระหว่างปราบปรามกองทัพซากศพ โจวฮ่าวกับลู่เหมิงเองก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร นอกจากจะสามารถทำเงินได้มากมายแล้ว ทั้งสองยังนำมันไปแลกเปลี่ยนกระสุน ยาเสริมแกร่ง และยาเพิ่มกำลังภายใน ทำให้ในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งของโจวฮ่าวก้าวขึ้นมาถึงเลเวล G6 แล้ว


 


สัตว์ร้ายยางถูกโจวฮ่าวโจมตีจนตัวเกือบจะบิดเบี้ยว


 


และแล้วผลการจัดอันดับบนจอแสดงผลก็ปรากฏ


 


ผู้ใช้วรยุทธโบราณอันดับ 1 : โจวฮ่าว พลังต่อสู้ : 3190 !


 


หลายคนจากคลาสอบิลิตี้ เริ่มตัดสินใจกันแล้วว่าจะขอเข้าร่วมทีมกับโจวฮ่าว


 


หลังจากนั้น ก็เป็นการทดสอบของมือปืน


 


และต้องบอกว่าการทดสอบของพวกเขาน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าทางฝั่งผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้อบิลิตี้อย่างเทียบไม่ติด! เพราะยังไงซะ พวกเขาก็คือเศรษฐีท้องถิ่นผู้ร่ำรวย


 


พวกคนรวยใช้งานปืนกลหนักในมือ กระหน่ำซัดกระสุนพลังงานออกไป เสียงระเบิดสะท้านสะเทือนน่าตื่นเต้น


 


สำหรับคนที่ไม่มีเงิน ทำได้แค่ใช้ปืนพกยิงเพื่อแสดงความแม่นยำเท่านั้น ทว่าไม่มีใครเหลียวมองพวกเขาเลยในเวลานี้


 


ตอนแรกฉินเฟิงกวาดสายตาส่งๆ แต่แล้วจู่ๆเขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!


 


“เฉินหมิง!”


 


เป็นมันไปได้อย่างไร!


 


ฉินเฟิงหันขวับไปมองจอแสดงผลบนจตุรัส และพบว่าอีกฝ่ายใช้ปืนคู่สองกระบอก ตัวปืนเป็นสีเทาเงางาม และทั้งสองเป็นปืนพลังงาน


 


ฉินเฟิงแน่นอนย่อมไม่ใส่ใจมองความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย แต่เบนสายตาลงไปที่ขาของเฉินหมิง


 


เขาพบว่าเฉินหมิงสวมกางเกงขายาวคลุมขาเอาไว้ แต่มันดูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติเลย


 


“โจวฮ่าว นายรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินหมิง? นี่มันก็เลยช่วงเวลารับสมัครมาแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมเฉินหมิงถึงสามารถเข้าร่วมกับสถาบันระดับสูงได้อีก?”


 


ภายในสายสื่อสาร โจวฮ่าวตอบกลับฉินเฟิงอย่างเป็นธรรมชาติ


 


“นายก็รู้นี่ ว่าตั้งแต่ที่ได้รับการฉีดยากระตุ้น ความสัมพันธ์ของพวกเรามันก็ไม่ค่อยจะดีนัก ฉันไม่ได้ติดต่อกับมันเลย แต่เขาพูดกันว่าเป็นเพราะมันประจบหลินไค ลูกชายของรองผู้ว่าการหลินเซิง แล้วขอให้รองผู้ว่าการฝากฝังให้เข้าเรียนร่วมกับคลาสมือปืน โดยบอกว่าเป็นเพื่อนของหลินไค!”


 


ถึงจะบอกว่าเพื่อน แต่ชัดเจนว่าน่าจะคอยมาเป็นบอดี้การ์ดไม่ก็หมารับใช้ซะมากกว่า


 


ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลย ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้


 


“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”


 


“ฉินเฟิง นายอย่าไปสนใจเจ้าเฉินหมิงเลย จำได้ไหมว่าตอนงานเลี้ยงรุ่นพวกเราถูกเรียกไปรวมตัวกันจากการนัดแนะของมัน ใครจะรู้ มันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกคนร้ายก็ได้ ไม่ว่าเมื่อก่อนพวกเราจะสนิทกันแค่ไหน แต่ตอนนี้อย่าไปยุ่งกับมันเลย ได้ยินชัดนะ?”


 


โจวฮ่าวรู้ว่าในสถาบันระดับกลาง ฉินเฟิงมักจะอ่อนโยนกับเฉินหมิงตลอดมา แม้ว่าหลังจากปลุกพลังแล้วจะไม่ได้สนใจกันและกันก็ตาม แต่ในเมื่อฉินเฟิงเอ่ยถาม โจวฮ่าวก็เร่งเตือน


 


“เออน่า ฉันรู้แล้ว!”


 


ฉินเฟิงวางสายสื่อสาร สายตาจับจ้องเฉินหมิงอวดฝีมือ


 


แต่ความสนใจของฉินเฟิงเหมือนจะตกลงที่เท้าของเฉินหมิงตลอดเวลา หน้าผากของเขาเริ่มยับย่น


 


ต้องรู้นะว่า หลังจากที่ฉินเฟิงตัดขาของเฉินหมิงแล้ว เขาก็เผามันทิ้งไม่เหลือซาก ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อใหม่ แต่ฉินเฟิงสังเกตมาได้สักพักแล้ว และพบว่าเท้าของเฉินหมิงที่โผล่พ้นกางเกงออกมาไม่ใช่ของเทียมแต่อย่างใด


 


แม้ปัจจุบันวิทยาศาสตร์จะพัฒนาไปมาก แต่ขาเทียมเป็นไปได้หรือที่จะแนบเนียนจนเหมือนกับเนื้อมนุษย์เช่นนี้


 


ช่วงที่เฉินหมิงขยับตัวยกส้นเท้าขึ้นมา มันดูเป็นธรรมชาติมาก


 


นอกจากนี้ ที่แปลกยิ่งกว่า คือฉินเฟิงพบว่าขาของเฉินหมิงมันยืดหยุ่น ว่องไวและทรงพลังมากขึ้น กลิ่นอายจากในร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นนิดหน่อย


 


ในฐานะผู้ใช้พลังสมาธิที่ทรงพลังคนหนึ่ง และเฉินหมิงมีระดับที่ต่ำกว่าตนเองอยู่หลายขั้น แต่ฉินเฟิงกลับไม่อาจรับรู้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่ายได้เลย


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ … มันเกิดอะไรขึ้นกับเฉินหมิงกันแน่?


 


อาจเป็นเพราะสายตาจดจ้องของฉินเฟิงมันมุ่งมั่นเกินไป หรือบางทีเฉินหมิงอาจจะสังเกตเห็นฉินเฟิงก่อนแล้ว ในเวลาที่ออกจากสนาม เขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนอัฒจันทร์ และประสานสายตากับฉินเฟิงในทันที


 


ความเกลียดชังอันรุนแรงน่าหวาดกลัวฉายชัดในดวงตา ฉินเฟิงก็ไม่น้อยหน้า จ้องสวนกลับไปเช่นกัน


 


บางทีในเวลานี้ อีกฝ่ายคงคิดออกแล้ว ว่าใครที่เป็นคนทำลายขาของเขา


 


ยังไงก็ตาม รู้แล้วมันจะทำไม? เพราะระหว่างทั้งสอง อย่างไรก็เป็นปรปักษ์กันอยู่แล้ว!


 


เนื่องจากคลาสมือปืนมีอยู่ถึง 6 ห้อง กว่าการแสดงของพวกเขาจะจบลง เวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว!


 


เมื่อถึงช่วงเวลานี้ นักเรียนในคลาสอบิลิตี้เบื่อกับการอดทนจนรอต่อไปไม่ไหว!


 


ในการจัดอันดับมือปืน เป็นธรรมดาว่าอาวุธของใครดีที่สุด คนนั้นก็ย่อมได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า แน่นอนว่าความสามารถเองก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน


 


ส่วนอันดับของเฉินหมิงอยู่ในที่ 10 นับว่าเป็นผลงานน่าทึ่งมาก!


 


“ฉินเฟิง ก่อนจะมีการหาทีม นายพอจะดึงอันดับหนึ่งอย่างจ้าวหยูในคลาสอบิลิตี้มาอยู่กับพวกเราได้ไหม?” โจวฮ่าวถาม


 


“ฉันจะลองถามเธอดู”


 


จ้าวหยูนั่งอยู่เยื้องลงไปเบื้องหน้าฉินเฟิง


 


“หัวหน้าห้อง ตอนนี้เธอมีทีมรึยัง?”


 


เป็นธรรมดาที่จ้าวหยูจะกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนในชั้นเรียน เพราะในหนึ่งทีม จะสามารถมีผู้ใช้อบิลิตี้ได้มากที่สุด 2 คน ส่วนผู้ใช้วรยุทธโบราณและมือปืนไม่ได้จำกัดจำนวน


 


ขณะที่บางคนไม่สนิทกับฉินเฟิง ดังนั้นตัวเลือกอันดับต้นๆเลยเบนไปทางจ้าวหยูซะมากกว่า


 


จ้าวหยูเองก็ยังไม่ได้ให้สัญญากับคนอื่นๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในจิตใจของจ้าวหยูเกิดความคิดอยู่ลึกๆว่าตนอาจมีหวังเช่นกัน … มีหวังที่จะได้อยู่ร่วมกลุ่มกับฉินเฟิง ก็อย่างที่เฉิงเฉาบอกกับทุกคน ว่ามันจะเป็นการดีที่สุดหากเข้าร่วมทีมกับคนที่แข็งแกร่ง


 


ดังนั้น จ้าวหยูตัดสินใจไว้ก่อนแล้วว่า เมื่อไหร่ที่เปิดให้เข้าร่วมทีม จ้าวหยูจะไปคุยกับฉินเฟิง


 


แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าก่อนที่เธอจะเอ่ยปาก ก็ถูกฉินเฟิงชิงตัดหน้าเสียก่อน


 


“ยังไม่มีหรอก!” จ้าวหยูเร่งส่ายหัว


 


“งั้นก็มาเข้าร่วมกับทีมของเราสิ!”


 


“ได้เลยไม่มีปัญหา! ขอบคุณมากนะฉินเฟิง ฉันดีใจจริงๆที่นายเชิญฉัน!” จ้าวหยูรีบกล่าว


 


ฉินเฟิงยิ้ม แล้วบอกสมาชิกนักเรียนคนอื่นๆในทีมให้แก่เธอ “ทีมเรายังมีคลาสผู้ใช้วรยุทธโบราณอีกหนึ่งคน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ตัดสินใจ”


 


“ใช่โจวฮ่าวรึเปล่า?”


 


“อืม!”


 


“ฟู่ว .. ฉันชักจะรู้สึกกดดันซะแล้วสิ เพราะพวกนายทั้งคู่แข็งแกร่งมาก”


 


ในขณะที่ฉินเฟิงไม่อยู่ จ้าวหยูคือบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่สุดในชั้นเรียน เธอได้อันดับหนึ่งเสมอมา แม้การจัดอันดับนี้จะเป็นจริง แต่จ้าวหยูก็ยังคงตระหนักดี ว่าตัวตนทรงพลังที่แท้จริงน่ะคือฉินเฟิงกับโจวฮ่าวต่างหาก!


 


 


ถึงฉินเฟิงจะได้อันดับบ๊วยในครั้งนี้ แต่มันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าฉินเฟิงคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี!


 


“วางใจเถอะ เรื่องงานสวนล่าใบไม้ผลิน่ะ เชื่อมือฉันได้เลย!”


 


จากนั้น ฉินเฟิงก็ติดต่อกับโจวฮ่าวอีกครั้ง


 


“เรียบร้อยแล้ว!”


 


“งั้นพวกเราต้องหาสมาชิกอีก 2 คน พอดีว่าคลาสผู้ใช้วรยุทธโบราณของฉันมีคนที่ที่มีความสามารถพิเศษอยู่ และฉันคิดว่าพวกเราน่าจะรับเขาเข้ามาอยู่ในทีม”


 


“พิเศษยังไง?” ฉินเฟิงถาม


 


“พิเศษตรงที่ว่าเขาสามารถใช้กำลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ ว่ากันว่าเขาเป็นลูกหลานของผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เชี่ยวชาญในด้านยาและการรักษา


 


“อ่า .. ประมาณว่าเขาเรียนแพทย์เป็นทางเลือกเสริมน่ะ!”


 


“ตกลง ฉันต้องการเขา พาเข้ามาร่วมทีมได้เลย!” ฉินเฟิงตอบกลับ


 


ท่ามกลางสถาบันระดับสูง นอกเหนือไปจากสามคลาสแล้ว ก็ยังมีวิชาเรียนนอกสาขา คล้ายๆกับพวกคลาสฝึกอบรม ที่ไม่จำเป็นต้องเข้าเป็นนักเรียน ก็สามารถลงเรียนได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหลักสูตรแบบสั้นๆ


 


เช่นเดียวกับแพทย์รักษา , ปรุงอาหาร , ปลูกพืช ฯลฯ เป็นการเรียนหลักสูตรเร่งด่วนเพื่อให้ผู้คนนำไปใช้เอาชีวิตรอด


 


อย่างเช่นคลาสทำอาหาร มากที่สุดสามเดือนก็จบหลักสูตร , คลาสเพาะปลูกน่าจะสักหนึ่งปี


 


สำหรับหลักสูตรการแพทย์ แม้ค่อนข้างใช้เวลาเรียนนาน แต่การรักษาแบบฉุกเฉินจะใช้เวลาเรียนที่สั้นกว่า อย่างเช่นทักษะการเย็บแผล ฯลฯ ที่จำเป็นต่อการออกสู่ทุ่งล่า


 


หากมีเพื่อนร่วมชั้นที่มีความสามารถดังที่กล่าวมาอยู่ในทีม เวลาจ้าวหยูกับโจวฮ่าวได้รับบาดเจ็บ คนๆนี้ก็จะสามารถช่วยรักษาได้


 


——คำในนิยายที่อาจทำให้เกิดความสับสน—-


 


1.ผู้ใช้พลัง = คือคำเรียกของทุกสายอาชีพรวมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ , วรยุทธโบราณ , มือปืน , คนฝึกสัตว์ จะเรียกรวมๆแบบนี้


 


2.แก่นพลังงาน/แก่นอบิลิตี้ = ในสัตว์ร้าย ถ้าเป็นตัวปกติจะเรียกว่าแก่นพลังงาน แต่ถ้าสัตว์ร้ายตัวไหนสามารถใช้พลังพิเศษ(อบิลิตี้)ได้ ตัวนั้นจะมีแก่นอบิลิตี้


 


3.พลังพิเศษดูดกลืน = อบิลิตี้ ‘ติดตัว’ ของพระเอก ในชาติก่อนลดทอนพลังลง แต่ปัจจุบันสามารถแสดงพลังได้ถึงขั้นไหนยังไม่ทราบ


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.131 – การคุกคามของหลินไค


 


คมดาบนั้นไร้ซึ่งดวงตา หากเกิดอุบัติเหตุหรือปะทะกับนักเรียนจากสถาบันอื่นเล่าจะทำอย่างไร?


 


ฉะนั้น การมีคนที่สามารถรักษาได้ในทีม จะเป็นอะไรที่ดีที่สุด!


 


ระหว่างขบคิด การแสดงของหกห้องจากคลาสอาวุธปืนจบลงพอดี อันดับคะแนนของคลาสมือปืนได้ปรากฏขึ้น


 


“ลงไปด้านล่าง ทุกคนมารวมตัวกันที่ในสนาม!”


 


ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ ทุกคนลุกออกจากที่นั่งอัฒจันทร์ แม้ขาจะก้าวเดิน แต่สายตากลับสอดส่องไปมา ดูเหมือนว่าเกือบทุกคนกำลังมองหาเพื่อนร่วมทีมที่พวกตนเล็งไว้


 


“เอาล่ะ ถึงเวลาหาเพื่อนร่วมทีมของพวกเธอแล้ว ครบทั้ง 5 คนเมื่อไหร่ มาลงทะเบียนได้เลย!”


 


สิ้นเสียงของเติ้งเหนียน ฝูงชนพลันแตกฮือทันที มีหลายคนพุ่งเข้ามาหาฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงเร่งตะโกนเสียงดัง “ทีมของฉันมีสมาชิกอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังขาดแค่คลาสมือปืน 1 คนที่มีความสามารถในการสอดแนม!”


 


พอได้ยิน คนจากคลาสผู้ใช้วรยุทธเผยถึงความผิดหวัง ส่วนคนจากคลาสอบิลิตี้ เมื่อเห็นจ้าวหยูกับฉินเฟิงยืนอยู่ด้วยกันก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความอิจฉาน้อยๆในจิตใจ


 


แต่พวกเขาก็เข้าใจเช่นกัน ว่าจ้าวหยูน่ะแข็งแกร่งมาก ดังนั้นคนแข็งแกร่งก็เหมาะสมแล้วที่จะอยู่ด้วยกัน ไหนจะเรื่องทีมยิ่งเก่ง ยิ่งมีโอกาสคว้าคะแนนสูงๆได้อีก


 


ไม่นานนัก โจวฮ่าวก็พาตัวคนจากคลาสเรียนของตนมาสมทบ


 


เขาคือวัยรุ่นชายที่มีท่าทีสุภาพ สวมกรอบแว่นตาสีทอง ใส่เสื้อสีขาว กางเกงผ้าลินิน และรองเท้าผ้าใบสีขาว


 


ชุดนี้เมื่อถูกสวมใส่โดยวัยรุ่นอายุ 16 ปี มันให้ความรู้สึกว่าช่างดูสะอาดสะอ้านเหลือเกิน!


 


สะอาดมากซะจนแม้แต่เชื้อโรคก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้


 


“ยินดีที่ได้รู้จักนะทุกคน ฉันชื่อว่าจางเทียน เป็นผู้ฝึกฝนกำลังภายใน ฉันสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บภายใน , ฟื้นฟูกำลังภายใน และยังได้รับการฝึกฝนด้านการปฐมพยาบาลและทำการรักษาด้วยตนเองมาแล้วในระดับหนึ่ง!” จางเทียนแนะนำตัวเสร็จสรรพ


 


“อ่า ส่วนฉันเรียกว่าฉินเฟิง , นี่จ้าวหยู จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ” ฉินเฟิงกล่าว


 


จางเทียนพยักหน้า “เคยได้ยินเกี่ยวกับนายมานานแล้ว ชื่อเสียงนี่โด่งดังชนิดสะท้านสะเทือนรูหูฉันเลยล่ะ!”


 


แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ฉินเฟิงก็รับรู้ได้ในจิตใจถึงความสงบจากตัวอีกฝ่าย ถึงจะไม่ทราบว่าเขามีภูมิหลังแบบใด แต่ทัศนคติระหว่างการสนทนา มันระบุว่าน่าจะมาจากตระกูลผู้ดี


 


เลยมีบุคลิกเป็นผู้ใหญ่และสงบเช่นนี้


 


ซึ่งอันที่จริง ฉินเฟิงย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่ถึง 10 ปี ดังนั้นเขาเลยค่อนข้างแปลกแยกกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ


 


เพราะยังไงซะ หัวใจของฉินเฟิงก็แก่กว่าพวกเขามากถึง 10 ปี ฉะนั้นต่อให้พวกเด็กๆแข็งแกร่งกันมากซักแค่ไหน แต่ในความคิดของเขาทั้งหมดก็ยังเด็กเกินไปอยู่ดี


 


ทว่าจางเทียนกลับแตกต่างออกไป เขาสามารถรักษาบุคลิก และสนทนากับฉินเฟิงได้อย่างเป็นธรรมชาติ


 


จ้าวหยูที่อยู่ถัดออกไปเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “พวกนายทั้งสองคนไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากนักก็ได้ เพราะนับจากนี้ไป พวกเราจะกลายเป็นเพื่อนร่วมทีมกัน!”


 


“ใช่แล้ว ดีนะที่ฉันหาเขาเจอซะก่อน เกือบจะถูกฉกไปอยู่ทีมอื่นอยู่แล้วเชียว” โจวฮ่าวเอ่ยปากบ้าง


 


ทว่าในเวลานั้นเอง เสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่งก็ดังขึ้นจากด้านข้าง ฝูงชนแยกออกจากกัน เปิดเส้นทางโดยอัตโนมัติ


 


พร้อมกับวัยรุ่นที่ทำทรงผมแบนเรียบ สวมใส่ชุดแบรนด์เนม และพ่วงหลังด้วยคนเดินตามอีกหลายคนเดินเข้ามา


 


 


และชายที่ถูกรายล้อมอยู่กลางกลุ่มนี้ ช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสและเอาแต่ใจ!


 


“นายคือฉินเฟิงใช่ไหม?”


 


ชายคนนั้นกวาดมองฉินเฟิงขึ้นๆลงด้วยแววตาเหยีดหยาม แต่หากสังเกตดีๆจะค้นพบถึงร่องรอยของความริษยา


 


“ส่วนนายก็คงจะเป็นโจวฮ่าว อันดับหนึ่งของคลาสผู้ใช้วรยุทธ? ยอดเยี่ยม! ฉันจะยอมเข้าทีมนี้ แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า!”


 


พริบตานั้นบริเวณโดยรอบพลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้น


 


 


หากเป็นคนอื่นพูดจาแบบนี้ออกมา มั่นใจได้เลยว่าต้องมีบางคนถุยน้ำลายสวนกลับไป


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากทางสถาบันระดับสูงเปิดเรียนมาเป็นเวลากว่า 1 เดือน ในชั้นปีที่ 1 ก็ไม่มีใครไม่รู้จักเขา


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือลูกชายของรองผู้ว่าการเขตเฉิงเป่ย!


 


—เป็นหลินไค!


 


ในบรรดานักเรียนใหม่ เขาคือการดำรงอยู่ที่ครอบครองสถานะสูงสุด


 


มีพ่อเป็นผู้ใช้พลังเลเวล E หนึ่งในตัวตนที่ยืนอยู่บนยอดปิรามิดของสถานชุมชนเฉิงเป่ย ไม่มีใครกล้าขัดใจหรือล่วงเกินเขา


 


ขณะเดียวกัน ในตอนนี้ที่ยืนอยู่ข้างกายหลินไค และเดินติดตามมาด้วย หนึ่งในนั้นย่อมเป็นเฉินหมิง


 


เฉินหมิงยกมุมปากขึ้น พลางมองมาทางฉินเฟิง ในหัวใจเริ่มฟุ้งไปด้วยความสุข


 


นั่นเพราะหลินไคกำลังหาเรื่องฉินเฟิง นี่ไม่ใช่เท่ากับว่าเป็นการได้เห็นฉินเฟิงถูกตบหน้าหรอกหรือ?


 


เรื่องอะไรแบบนี้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เขาก็รักที่จะได้ยิน ชอบที่จะได้เห็นมันซะจริงๆ!


 


ฉินเฟิงมองอีกฝ่าย ปรากฏประกายแสงอันลึกล้ำขึ้นในดวงตาของเขา


 


‘เจ้าสองคนนี่ ถึงจะได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าจะอยู่ด้วยกันจริงๆ!’


 


ถ้าอย่างนั้นพอจะเป็นไปได้ไหม ว่าเงื่อนงำที่ตนทำหายไปในห้องทดลอง จะสามารถรีดเร้นมันจากเจ้าพวกนี้?


 


ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มจางๆ


 


ช่างน่าเสียดาย เพราะแม้เขาจะกำลังหาเงื่อนงำอยู่ก็ตาม แต่ตนก็ไม่ใช่คนที่ยอมประนีประนอมเพื่อผลประโยชน์ทั่วๆไปเช่นกัน


 


ตรงกันข้าม ในงานสวนล่าใบไม้ผลิ เขาจะทำให้เจ้าสองตัวนี่รู้ว่า หากมากวนตีนตน จะต้องพบเจอกับชะตากรรมเช่นไร


 


“ทีมของฉันมีอยู่ 4 คนแล้ว น่ากลัวว่าจะรับพวกนายเข้าร่วมด้วยไม่ได้!” ฉินเฟิงกล่าว


 


ดวงตาของหลินไคหรี่แคบลง


 


เขากวาดสายตาเป็นแนวขวาง มองไปทางจางเทียนและจ้าวหยู


 


เป็นธรรมดาที่เขาจะประทับใจกับสาวสวยอย่างจ้าวหยู ในแววตาสว่างวาบถึงความหยาบโลน จากนั้นสายตาก็ตกลงบนร่างของจางเทียน


 


“แกไสหัวออกไป” หลินไคชี้มาทางจางเทียนและกล่าวตรงๆ


 


อย่างไรก็ตาม จางเทียนมิได้ขยับเขยื้อนตัวเลย แววตาของเขายังคงสงบ ราวกับว่าหลินไคเป็นเพียงไรฝุ่นที่ไม่มีความสำคัญใดๆ แม้นิ้วของอีกฝ่ายจะกำลังชี้มาทางตนก็ตามที


 


ฉินเฟิงเปล่งเสียงหัวเราะหยัน “นี่นายน้อยหลินหูหนวกหรือว่าโง่กันแน่? พูดถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้เรื่องอีกหรือ? งั้นฉันจะขอบอกให้ชัดๆไปเลยนะ ว่าต่อให้ทีมเรามีที่ว่าง 2 ตำแหน่ง ยังไงก็ไม่มีทางรับคนขี้แพ้อย่างแก! แล้วยังกล้ามาชี้หน้าเพื่อนของฉันแบบนี้อีก! ไม่อยากมีนิ้วไว้ใช้อีกต่อไปแล้วใช่ไหม!!”


 


หลินไคผงะตกใจ เบิกตาโพลงอย่างคาดไม่ถึง


 


ฝูงชนโดยรอบเกิดความโกลาหลขึ้นทันใด


 


เพราะทั้งหมดต่างทราบดีถึงสถานะของหลินไค นับแต่เด็กจนโต หลินไคไม่เคยได้ยินถึงคำดูถูกเช่นนี้มาก่อน ในเวลานี้ ทั้งหน้าทั้งหูเริ่มแดงเรื่อ โพล่งออกมา “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ ไหนลองพูดอีกทีซิ!”


 


“ชัดเจนแล้วว่าแกคงหูหนวกจริงๆ” ฉินเฟิงแสยะริมฝีปากด้วยความหยามเหยียด


 


“ฉินเฟิง!” หลินไคหน้าแดง ตะคอกคำราม “อย่าคิดนะว่าคนทั้งชุมชนจะยกย่องแกจริงๆ! คิดว่านายน้อยอย่างฉันไม่รู้หรือว่าวิดีโอพวกนั้นมันคืออะไร? มันก็เป็นแค่การโปรโมต! แกน่ะมันเป็นฮีโร่จอมปลอมที่ถูกแต่งตั้งขึ้น ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ เชื่อไหมว่าแกจะถูกถอดออกจากโฆษณา!”


 


หลินไคไม่เชื่อโฆษณาที่กำลังโปรโมตในสถานชุมชนเลย เพราะในความคิดของเขา นั่นมันเป็นแค่กระบวนการทางการเมืองอย่างหนึ่งเท่านั้น!


 


ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ หลินไคได้พบ ได้เจอ ได้เห็นมามาก ตัวอย่างเช่นพ่อที่ต้องการพยายามสนับสนุน และป่าวประกาศ โอ้อวดความสำเร็จทางกองทัพของลูกตัวเองแบบเกินจริง เพราะตราบใดที่ใส่สีตีไข่เล็กๆน้อยๆ ตัวลูกก็จะสามารถได้รับหน้าที่การงานที่ดี การทั่งหลินไคเอง ก็ยังได้รับการปูเส้นทางนี้เอาไว้ให้เช่นกัน เขาคือคนที่มีอนาคตอันยิ่งใหญ่เฝ้ารออยู่


 


อีกอย่าง ฉินเฟิงเป็นรุ่นเดียวกันที่เพิ่งปลุกพลังในปีเดียวกันกับตน แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมีความสามารถมากถึงขนาดนั้น


 


มันจะต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน!


 


ขณะเดียวกัน เมื่อได้ยินคำของหลินไค ฝูงชนโดยรอบก็ประหลาดใจเช่นกัน


 


“อะไรนะ วิดีโอนั่นเป็นแค่เรื่องแต่งอย่างงั้นหรอ?”


 


“แต่พอมาลองนึกดูดีๆแล้ว ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ฉินเฟิงจะสามารถครอบครองพลังมากมายถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน!”


 


“ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงได้รับตำแหน่งผู้ว่าการสถานชุมชนเฟิงหลีหรอกหรอ? แต่เขายังเรียนอยู่นี่ งั้นนั่นก็ต้องเป็นเรื่องโกหกด้วยสิ!”


 


ในพริบตา ฝูงชนส่วนใหญ่พากันมองมาทางฉินเฟิงด้วยความเคลือบแคลงสงสัย


 


หลินไคคลายกังวล ซึมซับถึงชัยชนะตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ


 


กระทั่งเฉินหมิงก็ยังมองฉินเฟิงด้วยความดูถูก เขากำลังคิดว่าอีกฝ่ายคงจะต้องหน้าซีดเผือด และคุกเข่าลง อ้อนวอนขอความเมตตา


 


ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาต้องผิดหวัง


 


“งั้นก็ไปฟ้องพ่อแกเลยสิ” ฉินเฟิงเอ่ยอย่างปลอดโปร่ง “ไปบอกรองผู้ว่าการหลิน ให้ลบภาพโฆษณาพวกนั้นซะ โอ้ … ถ้าเรียกหน่วยลาดตระเวนมาจับตัวฉันด้วยยิ่งดี! ถึงเวลานั้น เราจะได้รู้กันซักที ว่าใครกันแน่ที่จะจบไม่สวย!”


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.132 – ทีม 4 คน


 


“ฉินเฟิง ท่าทีหยิ่งผยองนั่นมันอะไรกัน เชื่อไหมว่าแค่ฉันเอ่ยปากก็สามารถฆ่าแกได้!” หลินไคโกรธจนแทบคลั่ง


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่สนใจ กลิ่นอายสังหารกระพริบผ่านในแววตาของเขา


 


ใครจะฆ่าใครกันแน่!


 


อาจเป็นเพราะบทสนทนาระหว่างพวกเขาส่งเสียงดังมากเกินไป ในที่สุดก็มีอาจารย์แทรกผ่านเข้ามาในฝูงชน


 


“เกิดอะไรขึ้น? พวกเธอไม่ได้กำลังหาทีมอยู่หรอกหรอ? ทะเลาะอะไรกัน!” เฉิงเฉาขมวดคิ้ว มองทั้งสองกลุ่ม และหลังจากรู้ทราบว่าทั้งสองคือใคร เขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงปัญหา


 


แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีอีกเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากฝูงชน


 


“อาจารย์ใหญ่!”


 


“อาจารย์ใหญ่!”*


 


(ขอเปลี่ยนคำเรียกเติ้งเหนียนว่าอาจารย์ใหญ่ จะได้ไม่ซ้ำกับผู้อำนวยการหลินเต๋อหรงครับ)


 


เป็นเติ้งเหนียน!


 


แม้หลินไคจะทำตัวราวกับกระทิงคลั่ง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะต่อกรกับคนที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพ่อของตน และไม่อยากถูกสั่งสอนที่นี่ ดังนั้นจึงถลึงตามองฉินเฟิง


 


“ฝากไว้ก่อนเถอะ แต่ฉันจะไม่จากไปเปล่าๆแน่นอน ในวันนี้! ใครก็ตามในคลาสมือปืนที่กล้าเข้าร่วมทีมกับฉินเฟิง ฉันจะไปเช็คบิลมันย้อนหลัง!”


 


หลินไคทิ้งระเบิดตูมใหญ่ หันหลังและเดินจากไป


 


เบ๊คนอื่นๆก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน และรู้สึกเพียงแค่ว่าฉินเฟิงทำให้เจ้านายของพวกเขาต้องเสียหน้า


 


เฉิงหมิงเองก็โกรธเกรี้ยว


 


เขาไม่คาดคิดเลย ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่อาจข่มฉินเฟิงได้ แถมยังทำให้มันหยิ่งผยองมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก!


 


“ฉินเฟิง ในฐานะที่พวกเราเป็นพี่น้องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันอยากจะเตือนนาย ว่านายน้อยหลินไม่ใช่คนที่สามารถล่วงเกินได้!”


 


“พี่น้อง? แกเคยเป็นพี่น้องกับฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น


 


โจวฮ่าวเองก็ขมวดคิ้ว “ฉินเฟิง นายจะไปสนใจมันทำไม บางทีคราวนี้อาจจะเป็นมันที่จงใจยุยงให้เจ้านายเข้ามาก่อกวนพวกเราก็ได้ แต่มันคงคิดไม่ถึงว่าจะหน้าแตก แล้วต้องวิ่งหนีหางจุกตูดกลับไปแบบนี้”


 


ใบหน้าของเฉินหมิงแดงก่ำขึ้นมาทันที คำพูดของโจวฮ่าวชัดเจนว่าแทงใจดำเขา


 


“โจวฮ่าว พูดได้ก็พูดไปก่อนเถอะ เดี๋ยวต่อไปพวกเราจะได้เห็นดีกัน!” เฉินหมิงแสดงออกถึงความเกลียดชัง จ้องมองโจวฮ่าวด้วยความโกรธ


 


“ก็เอาซี่ ฉันจะรอดู!”


 


ได้ยินถึงเสียงทะเลาะกันอีกรอบ ในที่สุดเติ้งเหนียนก็ก้าวออกมาต่อหน้าฉินเฟิงและคนอื่นๆ


 


“พวกเธอมามุงดูอะไรกันที่นี่ หาเพื่อนร่วมทีมกันได้แล้วรึยัง?”


 


เมื่อได้ยินคำกล่าวของเติ้งเหนียน ฝูงชนรอบข้างก็แยกย้ายกันไปทันที


 


เติ้งเหนียนหันไปมองฉินเฟิงในฝูงชน พยักหน้าให้ด้วยความเมตตา มิได้เอ่ยคำใดสักคำ แล้วหันหลังเดินจากไป


 


บางประโยค ไม่เหมาะสมที่จะเอ่ยวาจาที่นี่


 


ในเวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงก็สั่นไหว ฉินเฟิงกวาดตามอง และพบว่าเป็นเติ้งเหนียนที่ส่งมาว่าหลังจากรายงานตัวทีมแล้ว ให้ไปคุยกับเขาที่สำนักงาน


 


ฉินเฟิงมิได้รู้สึกประหลาดใจใดๆ


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากอ่านข้อความในอุปกรณ์สื่อสาร ฉินเฟิงก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และค้นพบว่าสีหน้าของโจวฮ่าวกับจ้าวหยูค่อนข้างน่าเกลียด ทั้งสองขมวดคิ้วมุ่น ในแววตาแฝงไปด้วยความโกรธ มีเพียงจางเทียนที่ยังคงสงบ มีท่าทีไม่แยแสใดๆ


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”


 


โจวฮ่าวสบถด้วยความโกรธ “ก็ไอ้หลินไคน่ะสิ! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ตั้งแต่ที่มันพ่นคำขู่เมื่อกี้ออกมา ก็ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นในคลาสมือปืนคนไหนมาเข้าทีมกับพวกเราเลย!”


 


“เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน!” จ้าวหยูเองก็โกรธอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอไม่ทางเลือกอื่น ได้แต่ปิดปากเงียบ


 


ขณะที่โจวฮ่าวเป็นเหมือนดั่งลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ เขากำลังขบคิดในจิตใจว่าสมควรจะให้บทเรียนหลินไคอย่างไรดี


 


“ฉันจะลองติดต่อกับพวกเขาดู” ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร เนื่องจากมีการประกาศอันดับออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นอุปกรณ์สื่อสารจึงสามารถใช้ติดต่อกับผู้คนที่ติดอันดับได้โดยอัตโนมัติ มันมีกระทั่งฟังก์ชั่นคัดกรองและบล็อค อย่างเช่นตั้งค่าให้คนที่อยู่อันดับล่างๆไม่สามารถติดต่อกับตนเองได้


 


และฉินเฟิงตั้งค่าเอาไว้ว่าไม่ให้ใครติดต่อเขา แต่ตอนนี้เขาได้เปิดมันแล้ว และหลายคนรับรู้ได้ว่าฉินเฟิงกำลังจัดทีม แต่ตำแหน่งเดียวที่ว่างอยู่คือมือปืน


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับไม่มีนักเรียนจากคลาสมือปืนคนไหนติดต่อมาหาเลย


 


ฉินเฟิงไม่ใส่ใจ เลือกส่งคำถามไปยังสิบอันดับแรกของสาขาปืนโดยตรง


 


พิมพ์ถามไปแค่ว่าอีกฝ่ายมีทีมรึยัง


 


ในบรรดาคนเหล่านั้น บางคนก็เลือกจะไม่สนใจฉินเฟิง บางคนก็ใช้เวลาสักพัก ก่อนจะตอบว่าตนเองมีทีมแล้ว


 


‘มีทีมแล้วอย่างงั้นหรอ … ?’


 


‘นั่นเป็นไปไม่ได้! เพราะถ้าหากมีทีมจริงๆ ชื่อก็จะหายไปจากรายการจัดอันดับ!’


 


ผ่านไปกว่าสิบนาที ฉินเฟิงก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆอีก


 


นอกจากนี้ นักเรียนใหม่เกือบทั้งหมดก็ลงทะเบียนกันเสร็จสิ้นแล้ว


 


“ไปเถอะ ไม่ต้องเสียเวลารอกันอีกแล้ว” ฉินเฟิงเอ่ยปาก


 


จ้าวหยูแสดงออกถึงความกังวล “แต่ถ้าไม่มีมือปืน พวกเราจะเสียเปรียบนะ บางทีอาจถูกสไนเปอร์ของฝ่ายตรงข้ามลอบโจมตีเอาก็ได้”


 


มือปืนน่ะเป็นราชาแห่งการโจมตีระยะไกล เมื่อคุณไม่สามารถประชิดตัวอีกฝ่ายได้ นั่นหมายถึงการไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่อีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิง


 


“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง อย่าลืมสิ ว่าฉันเองก็สามารถใช้อาวุธปืนได้!” ฉินเฟิงกล่าว


 


จ้าวหยูพอได้ยิน ดวงตาก็เปล่งประกายสดใสขึ้นทันที


 


นั่นสินะ เพราะในครั้งแรกที่เข้าเรียนวิชายิงปืน ฉินเฟิงเคยโค่นอาจารย์ลง จนอีกฝ่ายถึงขั้นบิดตูดหนีมาแล้ว


 


“จริงๆด้วย ฝีมือยิงปืนของฉินเฟิงเองก็แข็งแกร่งเหมือนกันนี่นา งั้นฉันไม่ต้องการคนเพิ่มแล้ว มีสี่ก็ดีเหมือนกันจะได้แบ่งคะแนนกันได้เยอะๆไง ไปกันเถอะ!” โจวฮ่าวไม่อยากจะอยู่ในจตุรัสอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนกำลังมองมาทางพวกเขาด้วยความสงสารและเห็นใจ


 


และยังมีข้อสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ว่าฉินเฟิงอาจไม่ได้เก่งจริงๆ แต่เขาถูกยกขึ้นเป็นตัวโปรโมตสถานที่ชุมชนก็เท่านั้นเอง


 


‘ถ้าพวกนายเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงต้องบอกว่าสายตาของพวกนายมันมืดบอด!’


 


นี่คือสิ่งที่โจวฮ่าวคิด แต่เขาไม่ได้อธิบายออกไป เอาไว้เห็นด้วยตาตัวเองเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็หน้าสั่นเอง


 


ทั้งสี่เดินไปลงทะเบียนทีม แม้เฉิงเฉาจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินเฟิง


 


“มาแล้วนักเรียนดีเด่นฉินเฟิงของพวกเรา เกียรติยศในครั้งนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ!” เฉิงเฉาตบไหล่ฉินเฟิง


 


“ผมจะพยายามเท่าที่ทำได้ครับ!” ฉินเฟิงตอบไม่เต็มปากเต็มคำ แล้วการลงทะเบียนก็สิ้นสุดลง หลายคนแยกย้ายกันไป บางคนไปฝึกต่อ บางคนก็ไปพักผ่อน เพราะท้ายที่สุดแล้ว การฝึกพิเศษตลอดทั้งหนึ่งเดือนเพื่อวันนี้ เป็นเรื่องที่หนักหนาเกินไปสำหรับบางคน


 


มันรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ และในวันพรุ่งนี้เวลา 8 โมงเช้า ทั้งหมดจะต้องมารวมตัวกัน เพื่อเดินทางไปยังสวนล่าใบไม้ผลิโดยพาหนะที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้


 


“พวกเราจะมาฝึกพิเศษเตรียมตัวกันหน่อยไหม?” โจวฮ่าวเอ่ยถาม


 


แต่ฉินเฟิงส่ายหัว “ไม่หรอก ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ฉันเองก็มีธุระต้องทำด้วย”


 


“ตกลง งั้นเจอกันพรุ่งนี้”


 


“เออ เจอกัน”


 


ทั้งหมดร่ำลา และแยกย้ายกันไป ฉินเฟิงมุ่งไปยังสำนักงานของเติ้งเหนียน


 


….


 


ในสำนักงาน


 


ฉินเฟิงนั่งลงบนโซฟา ยกชาที่เติ้งเหนียนเตรียมไว้ให้ขึ้นจิบ


 


“ฉันได้ยินมาว่า เมื่อเร็วๆนี้เธอเพิ่งนำกลุ่มผู้ลี้ภัยจากเมืองหานกลับมาอย่างงั้นหรอ แถมยังล่าแม่พันธุ์แมงมุมเลือดขาเหล็กได้อีก?” เติ้งเหนียนเอ่ยถาม


 


ข่าวนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิด แม้เมืองหานจะอยู่ค่อนข้างไกล แต่ยังคงใช้เครือข่ายร่วมกัน


 


ตอนนี้เมืองหานตกอยู่ในกำมือศัตรู และกำลังส่งคำร้องขอผู้ใช้พลังจำนวนมากไปช่วยเหลือ ดังนั้นผลการต่อสู้ของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ เลยถูกส่งต่อออกไปเป็นธรรมดา


 


“ใช่แล้วครับ” ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างไม่คิดปิดบัง


 


เติ้งเหนียนถอนหายใจ “นี่สินะคำกล่าวที่ว่าลูกศิษย์อย่างไรสักวันหนึ่งย่อมเหนือกว่าอาจารย์!”


 


“อาจารย์ใหญ่ยกย่องผมเกินไปแล้ว”


 


“ไม่เลย เธออย่าถ่อมตัวสิ มันเป็นเรื่องจริง สำหรับงานสวนล่าใบไม้ผลิปีนี้ ฉันดีใจมากจริงๆที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา ฉันอยากให้เธอได้คะแนนดีๆ ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่ง เพราะหลายปีที่ผ่านมา พวกเรามักจะตกเป็นรองในการแข่งขันอยู่เสมอ”


 


ประโยคนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะท้ายที่สุดแล้วสถาบันระดับสูงที่เก่งที่สุดย่อมไม่พ้นสถาบันของทางเฉิงหยาง ที่นั่นมีนักเรียนเก่งๆมากมาย กระทั่งจำนวนโรงเรียนก็ยังมากกว่าสถาบันแห่งอื่นถึงสามเท่า


 


และด้วยปริมาณที่มหาศาล นักเรียนอัจฉริยะก็ย่อมมีมหาศาลเช่นกัน


 


แต่ใครจะไปคาดคิด ว่าในสถานชุมชนเฉิงเป่ยในปีนี้ จะมีสัตว์ประหลาดที่สามารถเหยียบย่ำอัจฉริยะเหล่านั้นจนจมดินได้ปรากฏตัวขึ้น!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม