ลำนำสตรียอดเซียน 127.1-130.1

ตอนที่ 127-1 สงครามกำลังมา

 

“เจ้าบอกว่าระดับการฝึกตนของเขาเสื่อมลงอย่างนั้นหรือ!”  


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของหันชิงอวี้ โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ ข้าเห็นว่าความเสียหายที่เส้นลมปราณของเขานั้นรุนแรงเกินไป ดังนั้นระดับการฝึกตนของเขาจะต้องเสื่อมลงอย่างแน่นอน”  


 


 


หันชิงอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจอย่างหนัก “ครั้งนี้พวกเราลำบากแล้ว”  


 


 


โม่เทียนเกอมองนางด้วยความสับสน นางพูด “ศิษย์พี่หัน พวกเราไม่ได้คิดว่าผู้ฝึกตนตระกูลอวี๋จะอยู่ในลำดับของพวกเราตั้งแต่ต้นมิใช่หรือ ทำไมพวกเราจะต้องลำบากเพราะเขาด้วย”  


 


 


หันชิงอวี้พูด “ลองนึกดู เพราะผู้สืบทอดการสร้างฐานแห่งพลังอีกคนตาย หัวหน้าตระกูลอวี๋จึงตัดสินใจเข้าร่วมในสงครามนี้ ตอนนี้ในเมื่อระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนหนุ่มคนนี้เสื่อมลงไปที่ดินแดนหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาจะไม่สิ้นหวังและตัดสินใจที่จะสู้กับเหล่าสัตว์ปีศาจจนตายเชียวหรือ”  


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงจนพูดไม่ออก นั่น… เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอน 


 


 


เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอเข้าใจในสิ่งที่นางพูด หันชิงอวี้พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “หากเป็นข้า บางทีข้าก็อาจจะทำเช่นเดียวกัน คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลผู้ฝึกตนอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ตระกูลที่ไร้อนาคตจะสามารถยื้อความอ่อนแอที่เหลืออยู่ได้ไม่นานนัก ข้าเกรงว่า… ความคิดเช่นนี้น่าจะฝังลึกอยู่ในใจหัวหน้าตระกูลอวี๋เช่นกัน”  


 


 


โม่เทียนเกอคิดถึงเรื่องนี้แล้วพูดด้วยความสงบนิ่งว่า “ศิษย์พี่หัน ดังนั้นนี่หมายความว่าพวกเราก็…”  


 


 


“ใช่ ถ้าเรื่องเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายทีเดียว สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกให้พวกเราทำไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย…” หันชิงอวี้ครุ่นคิดก่อนที่จะพูดต่อ “เอาละ ช่างมันก่อน ข้าจะลองดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับเด็กตระกูลอวี๋เอง เพื่อที่จะไม่ให้ตระกูลอวี๋ยอมแพ้และทำตัวสิ้นหวัง ข้าจะช่วยให้ถึงที่สุดที่ข้าจะทำได้ ถ้านั่นยังไม่พอ พวกเราจะออกไปจากตระกูลอวี๋ถ้าจำเป็น พวกเราต้องไม่เสี่ยงชีวิตของพวกเราเพื่อพวกเขา”  


 


 


“…” โม่เทียนเกอทำได้เพียงแค่พยักหน้า “พวกเราจะทำตามที่ศิษย์พี่หันบอก”  


 


 


โม่เทียนเกอคุยกับหันชิงอวี้เสร็จ ก็เข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ 


 


 


ทุกครั้งที่นางเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางจะวางม่านพลังกระจายวิญญาณภายนอกห้องของนาง วัตถุประสงค์เพื่อให้คนอื่นสัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ภายใน ดังนั้นหันชิงอวี้และคนอื่นจะได้ไม่สงสัยและค้นพบความลับของนาง จากภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกภายนอก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น นางก็จะสามารถออกมาได้ทันที น่าเสียดายที่การเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นต้องใช้ความพยายามพอสมควร ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตนาง 


 


 


ตอนนี้นางรู้สึกทั้งยินดีและกังวล นางยินดีเพราะหันชิงอวี้เตรียมตัวมานานพอสมควรแล้ว ศิษย์พี่หันผู้นี้คล้ายกับหลัวเฟิงเสวี่ย ทั้งสองคนต่างเก่งในการจัดการเกี่ยวกับวิกฤตต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของนางนั้นก็มีมากกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยนัก ด้วยการวางแผนและการจัดการต่างๆ ของศิษย์พี่หัน โม่เทียนเกอไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดของนางให้มากเกินไปนัก เกี่ยวกับสิ่งที่นางกังวล นางกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของตระกูลอวี๋ สถานการณ์ของพวกเขาทำให้โม่เทียนเกอต้องระมัดระวังต่อปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกะทันหันได้ 


 


 


ในเมื่อนางยังคงหาออกที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้หลังจากที่คิดมาระยะหนึ่ง โม่เทียนเกอส่ายหัวและมุ่งมั่นในการฝึกตนของนางต่อไป 


 


 


นางพยายามใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณตอนที่นางช่วยชีวิตชายหนุ่มผู้ฝึกตนของตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนแซ่โจว ดังนั้นนางจึงมีความคาดหวังต่อวิชานี้ นางอยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และมันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วที่นางก้าวสู่ขั้นนี้ กรนั้นก็ตาม ด้วยความประหลาดใจ นางสามารถทำให้สัตว์ปีศาจระดับห้าบาดเจ็บได้อย่างง่ายดายด้วยวิชานี้ มันชัดเจนสำหรับนางว่าการโจมตีโดยใช้จิตสัมผัสไม่ได้ต้องการระดับการฝึกตนที่สูงนัก ในกรณีนั้น ถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางก็จะสามารถป้องกันตัวเองเพื่อที่จะต่อสู้กลับได้ 


 


 


เมื่อนางจดจ่อกับการฝึกตนของนางต่อ วันเวลาก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ในวันที่สอง โม่เทียนเกอได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกล ปลุกให้นางตื่นจากการฝึกตน นางรีบออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและแสร้งว่านางกำลังฝึกตนอยู่ในห้องของนาง 


 


 


“เทียนเกอ!” มันคือเสียงของหลัวเฟิงเสวี่ย 


 


 


โม่เทียนเกอเคลื่อนม่านพลังนอกห้องของนางออกไปแล้วเปิดประตู “ศิษย์พี่หลัว?”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยดูกังวลเป็นอย่างมาก หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ นางพูดอย่างประหม่า “เร็ว! รีบไปเร็ว! การต่อสู้เริ่มแล้ว!”  


 


 


“หืม?” โม่เทียนเกอตกใจจนพูดไม่ออก 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเข้ามาด้านใน จับมือของโม่เทียนเกอและลากนางออกไป “ไม่มีเวลาอธิบายให้เจ้าฟังแล้ว ข้ายังไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ข้าสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นด้านนอกนั้น ดังนั้นข้าจึงรีบมาหาเจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอยังคงงุนงงขณะที่ตามหลัวเฟิงเสวี่ยไปข้างนอก อย่างไรก็ตามเมื่อนางออกมาด้านนอกและเงยหน้าขึ้น ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่า ‘บางสิ่งบางอย่างผิดปกติ’ นั้นคืออะไร 


 


 


ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเกราะป้องกันของม่านพลังสัตว์จตุรเทพล้วนท่วมท้นไปด้วยเพลิง 


 


 


ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวัน แต่เปลวไฟสาดส่องไปทั่วเขตแดนของตระกูลอวี๋ ถ้าเป็นช่วงเวลากลางคืน เปลวไฟคงทำให้สว่างดังเช่นช่วงกลางวันเป็นแน่ 


 


 


ในขณะที่นางพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ด้านนอก โม่เทียนเกอพบว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบสองคน และผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายร้อยคนกับสัตว์ปีศาจอยู่ในพื้นที่!  


 


 


ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน หน้าซีดจนน่ากลัว การปรากฏตัวของผู้ฝึกตนหลายคนและสัตว์ปีศาจหมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าพื้นที่รอบตระกูลอวี๋ได้กลายเป็นสนามรบหลักไปเสียแล้ว! ถึงแม้ว่าพวกนางคาดคิดไว้นานแล้วว่าจะต้องมีวันที่สงครามมาถึงพวกนาง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงเร็วเช่นนี้ 


 


 


พวกนางบินอย่างไม่มั่นคงไปยังหอทางเข้าหลักของตระกูลอวี๋ แน่นอนอยู่แล้ว หันชิงอวี้และผู้คนของตระกูลอวี๋อยู่ที่นั่นกันแล้ว ระหว่างช่วงเวลาอันสั้นนี้พวกนางช่วยเหลือเหล่าผู้ฝึกตนกันอย่างต่อเนื่อง 


 


 


หันชิงอวี้รีบดึงพวกนางหลังจากที่รู้ว่าพวกนางเดินทางมาถึง นางพูดอย่างสง่าผ่าเผย “ข้าไม่รู้ว่าทำไม แต่การรบแผ่ออกมาในพื้นที่นี้วันนี้ ข้าไม่มีเวลาที่จะบอกพวกเจ้ามากไปกว่านี้แล้ว พวกเจ้าจงเตรียมตัวสู้ซะ ตระกูลอวี๋…” นางมองไปทางผู้คนของตระกูลอวี๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกนางเท่าไรและหันกลับมามองที่โม่เทียนเกอ “ตระกูลอวี๋จะขอให้เจ้าเปิดม่านพลังในไม่ช้า เจ้าจงทำเมื่อเห็นสมควร”  


 


 


โม่เทียนเกอมองไปที่คนของตระกูลอวี๋ หลังจากนั้นนางกระซิบ “ศิษย์พี่หันหมายถึง…”  


 


 


หันชิงอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนแรกข้าวางแผนไว้ว่าจะช่วยเหลือ แต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเร็วเกินไปดังนั้นทำในสิ่งที่เจ้าต้องทำ อย่าได้ลังเล ข้าจะรับผิดชอบต่อหน้าท่านอาจารย์เองทีหลัง ถ้าพวกเรายังคงมีโอกาสที่ได้เจอท่านอีกครั้ง”  


 


 


ในเมื่อหันชิงอวี้พูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอเข้าใจถึงเจตนาของนางในทันที นางพยักหน้าและพูด “ตกลง ข้าเข้าใจ”  


 


 


ทันทีที่พวกนางคุยกันเสร็จ หัวหน้าตระกูลอวี๋เดินเข้ามาหา “สหายนักพรต”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ยังไม่ทันได้ให้โอกาสพวกนางทักทายตอบ เขาหันไปมองทางโม่เทียนเกอโดยตรง “ข้าละอายแก่ใจที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากสหายนักพรตในวันนี้”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า นางถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ตั้งใจว่าจะโจมตีเมื่อไหร่หรือ”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋มองที่ม่านพลังป้องกันบนฟ้าเหนือพวกเขาและเงาที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในระยะไกล ด้วยท่าทางที่เด็ดขาด “ตอนนี้!”  


 


 


“แล้วมนุษย์กับผู้ฝึกตนระดับล่างล่ะ”  


 


 


ครั้นได้ยินคำถามของนาง หัวหน้าตระกูลอวี๋ก็แสดงสีหน้าแห่งความขมขื่นออกมาพร้อมพูด “ข้าอพยพพวกเขาไปที่ภูเขาด้านหลังแล้ว จะดีที่สุดหากพวกเขามีชีวิตรอดได้ แต่หากไม่… พวกเขาคงได้แต่โทษความโชคร้ายของตัวเอง”  


 


 


“…” ในเมื่อตอนนี้มาถึงจุดนี้แล้ว พวกนางจะสามารถพูดอะไรได้อีก?  


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปด้านหน้าเล็กน้อยและวางม่านพลังป้องกันแบบง่ายที่พื้นตรงจุดที่นางยืนอยู่ หลังจากนั้นนางประกบมือทำท่ามุทรา หลับตาและเริ่มท่องคาถา 


 


 


ในขณะที่นางท่องคาถา ม่านพลังสัตว์จตุรเทพเปล่งแสงสว่างออกมาในทันที ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศเหนือ แสงที่ส่องออกมาจากสี่ทิศเป็นรูปร่างของมังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดช่องว่างระหว่างสัตว์ทั้งสี่ขึ้น 


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ตะโกนไปทางผู้คนที่อยู่ด้านนอก “สหายนักพรตทั้งหลาย! ถ้าพวกท่านต้านทานไม่ไหว รีบเข้ามาที่ม่านพลังเร็วเข้า!”  


 


 


เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในสนามรบต่างยินดีที่ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ การที่ได้รู้ว่ามีสถานที่ปลอดภัย บางคนยังคงกัดฟันและสู้กับสัตว์ปีศาจต่อขณะที่บางคนดูยินดีและรีบมุ่งตรงเข้าหาช่องว่างที่เกิดขึ้น 


 


 


เมื่อใดก็ตามที่สัตว์ปีศาจพุ่งตรงเข้ามาที่ม่านพลังเพื่อไล่ตามผู้ฝึกตน แสงแห่งสัตว์ทั้งสี่จะกระโจนใส่พวกมันและฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ … 


 


 


ผู้ฝึกตนของตระกูลอวี๋บางคนกระโจนออกไปตามช่องว่างเพื่อต่อสู้กับสัตว์ปีศาจเช่นกัน 


 


 


ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะเคยเห็นคนต่อสู้กับปีศาจตั้งแต่วันที่นางออกมาจากภูเขาไท่คัง สิ่งที่นางเห็นในตอนนั้นไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้ได้เลย 


 


 


ในโลกมนุษย์ นักล่าล่าสัตว์ นานๆ ครั้งจะมีกรณีที่นักล่าตกเป็นเหยื่อและถูกกลืนลงท้องของสัตว์ไป ในโลกแห่งการฝึกตน คนล่าปีศาจ ช่วงเวลาที่ประมาทอาจส่งผลให้พวกเขาถูกกลืนลงท้องไปได้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม มนุษย์มักเป็นผู้ที่เหนือกว่า ทว่าในวันนี้มันแตกต่างกัน ด้วยความสัตย์จริงหากมีสัตว์ปีศาจมากกว่านี้ สงครามนี้จะต้องเศร้าสลดมากกว่านี้แน่นอน 


 


 


ปีศาจใช้ทั้งเขี้ยวและกรงเล็บของมัน มนุษย์ใช้ทั้งเครื่องรางและอาวุธเวท ทั้งสองฝ่ายถูกบีบเข้าสู่สงครามร่วมกัน บางครั้งมนุษย์ฆ่าปีศาจ บางครั้งปีศาจกินมนุษย์ 


 


 


ยังโชคดีที่ไม่มีสัตว์ปีศาจระดับห้าและสูงกว่า โม่เทียนเกอไม่ได้คิดว่าการควบคุมม่านพลังสัตว์จตุรเทพจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ถึงแม้ว่านางอาจจะต้องทานยาครอบจักรวาลเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณของนางอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เพื่อลดภาระของโม่เทียนเกอ หันชิงอวี้และเว่ยจยาซือคอยยืนคุ้มกันอยู่ตรงช่องว่างของม่านพลัง ในทางกลับกันหลัวเฟิงเสวี่ยก็คอยปกป้องนาง ป้อนยาวิเศษและคอยส่งสารให้กับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ นาง 


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสงครามผ่านไปนานแค่ไหน รู้สึกประหนึ่งว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนเป็นแม่น้ำโลหิตไปแล้ว มีหลายครั้งที่นางอยากยอมแพ้และเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ไม่ต้องสนใจชีวิตของคนอื่น อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงในม่านพลังของนางคอยเตือนนางถึงภาระอันใหญ่หลวงที่แบกเอาไว้บนบ่า อีกอย่างถึงแม้ว่านางจะหนีไป นางจะต้องวางม่านพลังให้เรียบร้อยก่อน หากไม่เช่นนั้น นางอาจถูกโจมตีกลับด้วยพลังของม่านก่อนที่นางจะหนีไปได้ 


 


 


“สัตว์ปีศาจระดับห้า! นั่นสัตว์ปีศาจระดับห้า!” ใครบางคนตะโกนออกมา 


 


 


โม่เทียนเกอรีบเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นสัตว์ปีศาจสองตัวโผล่ขึ้นมาที่เส้นขอบฟ้า กำลังบินมาทางพวกเขา 


 


 


นางและหลัวเฟิงเสวี่ยหน้าซีดในทันที 


 


 


สัตว์ปีศาจระดับห้า… นั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น… ทุกคน ณ ที่นี้เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง อีกอย่างยังมีสัตว์ปีศาจระดับล่างอีกมากมายนับไม่ถ้วน… 


 


 


“เทียนเกอ!” หันชิงอวี้ตะโกนเรียก “ช่างมัน! ช่างมัน! ม่านพลัง! วิ่งเร็ว!”  


 


 


นางกัดฟันแน่น โม่เทียนเกอท่องคาถาและประกบมืออีกครั้งเมื่อนางท่องเสร็จ นางดึงหลัวเฟิงเสวี่ยหานาง เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและหนีไปยังช่องว่างของม่านพลัง 


 


 


นางใช้วิชาลับในการควบคุมม่านพลังชั่วคราว โดยที่ไม่มีใครคอยควบคุมม่านพลัง มันน่าจะคงอยู่ได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ภายในหนึ่งชั่วโมงนั้นพวกนางจะต้องตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือวิ่งหนี 


 


 


“ศิษย์พี่!” เมื่อทั้งสี่คนมาอยู่รวมกัน โม่เทียนเกอถาม “พวกเราจะทำอย่างไรดี”  


 


 


หันชิงอวี้หันมองไปรอบๆ รอบพวกนางผู้ฝึกตนเริ่มหนีด้วยความตื่นตระหนก นางยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเรา… พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้และหนี พวกเราไม่สามารถอยู่นานไปกว่านี้ได้แล้ว”  


 


 


“…” ทั้งสี่คนนิ่งเงียบ 


 


 


ทันใดนั้น หันชิงอวี้ดึงหลัวเฟิงเสวี่ยไปทางนางและพูดอย่างหนักแน่น “เฟิงเสวี่ยไปกับข้า เจ้าทั้งสองคนคอยดูแลตัวเอง ถ้าพวกเราหนีได้… ถ้าพวกเราหนีได้ให้ไปเจอกันที่ลานของหมู่บ้านใกล้เคียง!”  


 


 


“เข้าใจแล้ว!”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยถูกจับให้ไปกับหันชิงอวี้เพราะระดับการฝึกตนของหันชิงอวี้นั้นสูงที่สุดในกลุ่มพวกเขา สำหรับโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือ ทั้งคู่ต่างอยู่ในระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและมีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ทั้งสองคนต่างมีความสามารถในการดูแลตัวเอง 


 


 


โม่เทียนเกอก้าวขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวขณะที่ถือกระสวยอัปสรา ตะเกียงเสน่ห์และเข็มบินได้ของนางเตรียมพร้อมรออยู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นนางได้หยิบไม้หลบลี้หนีหล้าออกมาแอบเตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉิน ถ้านางโชคไม่ดีต้องเผชิญเข้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้า นางวางแผนว่าจะใช้มันทันทีในการหนีไปกว่าพันลี้ก่อนที่จะเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน  

 

 


ตอนที่ 127-2 สงครามกำลังมา

 

หลังจากที่ปล่อยกระสวยอัปสรา โม่เทียนเกอก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปทางซ้ายและขวาโดยที่ไม่ออมมือแม้แต่น้อย ในจังหวะที่กระสวยอัปสราหมุนกลับมา สัตว์ปีศาจหลายตัวร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าทีละตัว นางไม่หยุดหลังจากที่ฆ่าไปตัวหนึ่ง นางฆ่าอย่างต่อเนื่องกับทุกตัวที่ขวางทางนาง


 


 


บางครั้งนางก็เผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจระดับสองและสาม เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจะโยนเครื่องรางและเอาชนะคู่ต่อสู้ของนางให้ดีและไวที่สุด


 


 


เนื้อและเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ปกคลุมพื้นดินจนกลายเป็นสีแดงสด ทุกคนดูเหมือนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“เทียนเกอ! ข้างหลังเจ้า!”


 


 


หลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอรีบเคลื่อนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพื่อหลบหลีก ส่งผลให้ลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นางหมุนตัวกลับ ในที่สุดนางก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังนาง


 


 


อินทรีสองหัวระดับห้า!


 


 


โชคร้ายอะไรเช่นนี้! จากสัตว์ปีศาจระดับห้าสองตัวที่โผล่มา หนึ่งในนั้นหมายตามาที่นาง! โม่เทียนเกอหน้าซีด ไม้หลบลี้หนีหล้าอยู่ในมือของนาง อย่างไรก็ตามนางยังไม่มีเวลาที่จะใช้มัน


 


 


อินทรีสองหัวตัวนั้นกระพือปีกมาทางนาง ส่งผลให้พลังวิญญาณที่นางรวบรวมไว้ที่มือกระจายหายไปก่อนที่นางจะทันได้ใช้มัน โม่เทียนเกอล้มกลิ้งอยู่บนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวจากลมที่พัดมาจากอินทรีสองหัว วินาทีถัดมานางรีบส่งกระสวยอัปสราออกไป


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่นางต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าของจริง สัตว์ปีศาจระดับห้าเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น นานมาแล้ว แม้จะมีประสบการณ์มากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แม้จะมีการร่วมมือกับผู้ฝึกตนถึงห้าคน ท่านอารองยังจบด้วยการบาดเจ็บหนักจากการที่พยายามปราบสัตว์ปีศาจระดับสูงมาแล้ว ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งและพละกำลังในการต่อสู้ของสัตว์ปีศาจระดับสูงนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนของตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนแซ่โจวก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด หากมิใช่เพราะเครื่องมือเวทบินได้ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาไม่มีทางที่จะอยู่ได้นานขนาดนั้น ดังนั้นนางจะรับมือกับอินทรีสองหัวระดับห้าคนเดียวได้อย่างไร


 


 


อย่างไรก็ตาม นางทำได้เพียงหลบหลีกและหาโอกาสที่จะหนีเท่านั้น


 


 


ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวสามารถใช้เพื่อป้องกันและบิน สำหรับการป้องกัน มันสามารถขัดขวางการโจมตีจากเหล่าสัตว์ปีศาจได้หลายครั้ง แต่นี่ไม่ใช่ทางแก้ไข นางทำได้เพียงหลบหลีกการโจมตีที่มาทางนางต่อไปขณะที่ใช้กระสวยอัปสราเพื่อก่อกวนอินทรีสองหัวด้วยความพยายามที่จะถ่วงเวลาในการใช้ไม้หลบลี้หนีหล้า


 


 


นางคำนวณผิดพลาดอีกอย่างหนึ่ง


 


 


ในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับสูงครั้งนี้ นางไม่สามารถแบ่งเวลาเพียงน้อยนิดในการใช้ไม้หลบลี้หนีหล้าได้เลย


 


 


“เทียนเกอ!” หลัวเฟิงเสวี่ยเรียกนางอย่างเป็นกังวล อย่างไรก็ตาม ครู่ต่อมานางเห็นโม่เทียนเกอบินขึ้นลงสลับไปมา สักพักนางหลบไปทางซ้ายและก็หลบมาทางขวา การเคลื่อนไหวของนางนั้นช่างดูเหมือนก้อนเมฆและว่องไวอย่างสายลม นางเกือบจะมองไม่เห็นร่างของโม่เทียนเกอเลย เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางหลบการโจมตีของสัตว์ปีศาจ แต่ก็ดูเหมือนว่านางพยายามหลอกล่อสัตว์ปีศาจเสียเอง


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตะลึงงัน นางรู้อยู่แล้วว่าศิษย์น้องคนนี้นั้นแตกต่างจากศิษย์ระดับหัวกะทิคนอื่นของกลุ่มผู้ฝึกตนที่โตขึ้นมาอย่างปลอดภัยแบบพวกนาง นางผ่านการเดินทางของชีวิตที่ยากลำบาก ย้ายถิ่นฐานไปมา เผชิญหน้ากับเรื่องราวหนักหนาสาหัส และมีประสบการณ์ต่อสู้และความทุกข์ทรมานมานับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคาดคิดว่าศิษย์น้องคนที่เพิ่งสร้างฐานแห่งพลังไม่นาน จะครอบครองพลังการต่อสู้แบบนี้และสามารถต่อกรกับสัตว์ปีศาจระดับห้าได้ การมองโม่เทียนเกอทำให้นางระลึกได้ว่านางจะต้องพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนาตัวเอง


 


 


“เฟิงเสวี่ย! เจ้ากำลังฝันกลางวันอะไรอยู่!” เสียงตะโกนแทรกเข้ามาที่หูของหลัวเฟิงเสวี่ย มันคือเสียงของเว่ยจยาซือคนที่ขัดขวางการโจมตีที่มาทางหลัวเฟิงเสวี่ย เว่ยจยาซือถลึงตาใส่และพูด “ดูแลตัวเองก่อน!”


 


 


“แต่…” ก่อนที่หลัวเฟิงเสวี่ยจะพูดจบ นางก็เห็นเว่ยจยาซือควบคุมกระบี่บินได้ของนางไปทางอินทรีสองหัวระดับห้า


 


 


อินทรีสองหัวระดับห้ากำลังหงุดหงิดจากการที่โม่เทียนเกอหลบหลีกสำเร็จ มันพยายามตบอย่างแรงด้วยกรงเล็บของมันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดเป็นสายฟ้าปะทะเข้าหานาง


 


 


ความจริงแล้วโม่เทียนเกอรู้สึกเป็นกังวลมาก คนอื่นอาจมองไม่เห็นแต่ทั่วทั้งร่างของนางตึงเครียดอย่างหนัก ทำไมการโจมตีของสัตว์ปีศาจระดับห้าถึงหลบหลีกได้ง่ายดายนัก? ถ้านางไม่มีอาวุธเวทอย่างผ้าเช็ดหน้าไหมขาว นางก็คงลงไปกองอยู่กับพื้นจากการโจมตีนานแล้ว!


 


 


ทันใดนั้น เว่ยจยาซือเข้ามาถึง นางโจมตีอินทรีสองหัว แกว่งกระบี่ของนางเพื่อตัดปีกของมัน ถึงแม้ว่าการโจมตีของนางจะไม่สามารถสร้างความเสียหายกับปีกที่แข็งของมันได้ แต่มันก็ยังพอช่วยให้โม่เทียนเกอได้มีเวลาหายใจบ้าง อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอตะโกนออกไปในทันที “ศิษย์พี่เว่ย อย่าสนใจข้า! ข้ามีวิธีที่จะหนีอยู่!”


 


 


เว่ยจยาซืองุนงง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพราะโม่เทียนเกอจ้องนางอย่างมีความหมายบางอย่าง นางจึงถอนกระบี่ของนางและบินหนีไป


 


 


อินทรีสองหัวพยายามที่จะจับโม่เทียนเกอด้วยกรงเล็บของมันอีกครั้งหนึ่ง โม่เทียนเกอกระโดดและเริ่มที่จะหลบหนีอีกครั้ง ครั้งนี้ในขณะที่นางหลบ นางก็ค่อยๆ นำมันให้ห่างออกมาจากสนามรบ


 


 


เมื่อนางหนีได้ อินทรีสองหัวตัวนี้จะต้องหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมและเริ่มโจมตีผู้คนเป็นแน่ ถึงแม้ว่านางไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับผู้คนมากนัก หลัวเฟิงเสวี่ยและคนอื่นก็ยังอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง นางไม่อยากจะผลักปีศาจตัวนี้ให้กับพวกนาง


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่นางเริ่มคุ้นชินกับจังหวะของสัตว์ปีศาจตัวนี้ การหลบหนีมันก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สุดท้ายแล้วสัตว์ปีศาจก็ยังคงเป็นแค่สัตว์ปีศาจ มันไม่สามารถใช้เครื่องรางหรืออาวุธเวทได้ มันสามารถใช้ได้เพียงแค่ร่างกายและเวทมนตร์ในการโจมตีเท่านั้น มันจะสามารถฉลาดกว่ามนุษย์ผู้ฝึกตนได้อย่างไร


 


 


ในขณะที่เวลาผ่านไป โม่เทียนเกอผ่อนคลายลงมากพอที่จะใช้กระสวยอัปสราในการล่อลวงให้มันโจมตีนางเพื่อที่นางจะได้เปลี่ยนทิศทางของมันได้


 


 


อย่างฉุนเฉียว อินทรีสองหัวกระพือปีกของมันและบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า มันมองโม่เทียนเกอจากด้านบนหลังจากนั้นจึงเปิดจะงอยปากและพ่นสายฟ้าขนาดใหญ่ลงมา


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ ในตอนแรกอินทรีตัวนี้ดูโง่และหลอกลวงได้ง่าย นางไม่คาดคิดว่ามันจะปล่อยพลังของมันในทันทีเช่นนี้! ไม่มีเวลาให้คิดอีกแล้ว นางกลิ้งลงบนพื้นและหยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขาว วินาทีถัดมา นางก็โบกมือและโยนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวขึ้นไปส่งผลให้มันเปลี่ยนเป็นกำแพงก้อนอิฐหนาซึ่งช่วยป้องกันสายฟ้าที่ตรงมาที่หัวของนาง


 


 


กระนั้นนางก็ยังคงอยู่เพียงแค่ระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าผ้าเช็ดหน้าไหมขาวผืนนี้จะเป็นอาวุธเวท นางก็ไม่สามารถดึงพลังสูงสุดของมันออกมาได้ ดังนั้นถึงแม้นางจะถูกปกคลุมด้วยกำแพงอิฐ แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความกดดันของพลังวิญญาณขนาดมหึมาที่กดนางจากทางด้านบน


 


 


ร่างกายนางกำลังจะทรุดลง นางไม่สามารถทนต่อไปได้อีก พลังสายฟ้าของสัตว์ปีศาจระดับห้าแทรกผ่านกำแพงอิฐและกดนางลง นางรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวของเส้นลมปราณภายในร่างกาย ซึ่งสร้างความเจ็บปวดทั้งภายในและภายนอกร่างกายนางอย่างมาก ตานเถียนของนางถูกกดลงส่งผลให้พลังวิญญาณของนางถูกบีบอัดจนแทบจะไม่เหลือ


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะอำนาจจิตของนาง หรือบางทีอาจะเป็นเพราะความสามารถภายในของนางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแต่โม่เทียนเกอยังไม่ล้มลงถึงแม้ว่าจะมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก สิ่งเดียวที่อยู่ในจิตใจของนางตอนนี้คือนางไม่อยากตายที่นี่


 


 


สายฟ้าค่อยๆ อ่อนกำลังลงจนในที่สุดก็หายไป


 


 


ตอนนี้นางไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอีกแล้ว นางรู้สึกได้ทันทีว่าขาของนางอ่อนแรงและล้มลงที่พื้น กำแพงอิฐเปลี่ยนกลับมาเป็นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินกลับไปที่มือนางอีกครั้ง หลังจากที่ทรุดลงที่พื้นนางรู้สึกว่านางมองภาพได้ไม่ชัด เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางอ่อนล้าจากการใช้พลังของนางไปทั้งหมด


 


 


การเผชิญกับความโกรธจัดของสัตว์ปีศาจระดับห้า… เราคิดว่าคงไม่มีผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังนอกเหนือไปจากเราจะกล้าทำเช่นนี้ จริงไหม ในขณะที่โม่เทียนเกอนอนลงที่พื้น นางก็รับรู้ได้ทันทีว่านางยังคงมีพลังเหลือพอที่จะคิดเรื่องนี้ได้


 


 


อินทรีสองหัวดูเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้นเมื่อนางขัดขวางการโจมตีของมันได้สำเร็จ มันร่อนลงมาอยู่ด้านหน้านางแต่แทนที่จะรีบฆ่านาง กลับส่งเสียงอย่างภาคภูมิใจ


 


 


สัตว์ปีศาจระดับห้านั้นเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น มันมีความสามารถที่จะเริ่มคิดได้ หลังจากที่โดนเราหลอกแบบนั้น มันก็คงเจ็บแค้น…


 


 


ด้วยความคิดเช่นนั้น โม่เทียนเกอหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้และกำหมัดของนางแน่น


 


 


สัตว์ปีศาจเอียงหัวอย่างไม่คาดคิดเมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอหัวเราะ มันจ้องมองอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเห็นเช่นนั้น นางพึมพำ “อยากรู้เกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์หรือ ยังเร็วเกินไปสำหรับแก!”


 


 


หลังจากที่นางพูดจบ อินทรีสองหัวดูเหมือนจะเข้าใจในเสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์จากสายตาของนาง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะกระโจนไปด้านหน้า มันเห็นว่าเจ้าแมลงตัวเล็กที่อยู่ตรงข้างหน้ามันอยู่ดีๆ ก็หายไป


 


 


“แค่ก!” ที่ไหนสักที่หนึ่งห่างไกลมากว่าพันลี้ โม่เทียนเกอไอออกมาเป็นเลือด นางรีบหลับตาและท่องคาถาบางอย่าง


 


 


ถือว่านางโชคดีนัก เพราะอินทรีตัวนั้นไม่ได้รีบฆ่านาง ในที่สุดนางจึงหาเวลาที่จะใช้ไม้หลบลี้หนีหล้าได้ อย่างไรก็ตามสำหรับสัตว์ปีศาจระดับห้า การเดินทางข้ามระยะพันลี้อาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที มันจะยังคงเป็นอันตรายกับนางถ้าสัตว์ปีศาจตัวนั้นตามกลิ่นของนางมาที่นี่ ดังนั้นนางควรที่จะต้องรีบเข้าไปที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


 


เมื่อนางท่องคาถา แสงขนาดเท่าถั่วเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของนาง แสงนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ ไปพร้อมกับคาถาของนาง และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไข่มุกขนาดใหญ่ซึ่งกลืนนางเข้าไปด้านในทันที


 


 


ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโม่เทียนเกองอตัวและกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น บางสิ่งเล็กๆ วิ่งตัวสั่นเข้ามาหานาง มันเคลื่อนไปอยู่ด้านข้างและเริ่มส่งเสียงร้องคราง


 


 


โม่เทียนเกอบังคับตัวเองให้ลืมตา สิ่งเล็กๆ ที่อยู่ข้างนางความจริงแล้วเป็นสัตว์วิเศษไฟนรกที่นางจับได้มาก่อนหน้านี้


 


 


นางพยายามฝืนยิ้ม “ข้าไม่มีเวลาที่จะให้อาหารเจ้าวันนี้…” ยังไม่ทันสิ้นคำ นางก็รู้สึกว่ามือนางนั้นหนักอึ้ง ครั้นแล้วนางก็ล้มฟุบลงกับพื้น 

 

 


ตอนที่ 128-1 สันเขาเฉียนเหมิน

 

สายลมพัดอย่างอ่อนโยนทำให้ได้ยินเสียงใบไผ่เสียดสีกันแผ่วเบา เสียงระลอกคลื่นนุ่มนวลแว่วให้ได้ยินมาจากลำธารคดเคี้ยวที่อยู่ใกล้ๆ  


 


 


หากมิใช่เพราะมันเงียบจนถึงจุดที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนมนุษย์คนใด ที่นี่คงจะเป็นโลกในอุดมคติที่สวยงามที่สุด 


 


 


ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอสอดมือเข้าไว้ในแขนเสื้อพลางเดินเอื่อยๆ ไปตามลำธาร ด้านหลังนางคือสัตว์ตัวน้อยที่เหมือนกระรอก กำลังวิ่งไล่ผีเสื้อโบยบินขณะที่มันตามนางมา 


 


 


นางเลี้ยงสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาเป็นเวลาสักพักแล้ว ไม่แน่ชัดว่ามันกินพืชวิญญาณชนิดใด แต่ระดับการฝึกตนของมันพัฒนาแบบก้าวกระโดด ทุกวันนี้มันกลายเป็นสัตว์ระดับสองแล้ว 


 


 


บางทีอาจจะเพราะตัวนางและโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเชื่อมโยงกัน หรือบางทีอาจจะเพราะสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้รู้สึกซาบซึ้งต่อนาง แต่มันใกล้ชิดนางมากทั้งๆ ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่มีพันธะอะไรต่อกัน เกือบจะเหมือนกับว่ามันเป็นสัตว์วิเศษที่ผูกพันตามสัญญาของนาง 


 


 


นางสามารถหนีจากอินทรีสองหัวระดับห้ามาได้ หลังจากใช้ความพยายามอย่างมากในตอนนั้น ครั้นเข้ามาในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางก็อยู่ในสภาวะใกล้ตายแล้วและอยู่ในอาการไม่รู้สึกตัวอยู่หลายเดือนติดต่อกัน ในระหว่างช่วงเวลานั้น เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้มักจะป้อนพืชวิญญาณให้กับนาง ในท้ายที่สุด หลังจากหลายเดือนผ่านไป นางก็ค่อยๆ ฟื้นกำลังกลับมาและสามารถทำสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนางได้ ตานเถียนและเส้นลมปราณของนางครั้งหนึ่งเคยถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยผลไม้ห้าวิญญาณและสร้างร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณในปัจจุบันของนางมาแล้ว นางจึงแข็งแรงและฟื้นสภาพได้เร็ว ดังนั้นนางจึงผ่านอาการบาดเจ็บมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ 


 


 


ยาโคมเขียวจากตระกูลอวี๋ที่จริงแล้วเป็นของดีที่ควรมี มันมีประโยชน์สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอก หลังจากนางทานยา อาการบาดเจ็บทั้งหมดของนางก็รักษาหายในเวลาแค่ไม่กี่เดือน 


 


 


ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของนางจะรักษาหาย กระนั้นโม่เทียนเกอก็ยังไม่อยากจะออกไป นางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน และในตอนนี้การต่อสู้ก็ดุเดือดมาก เพราะอย่างนั้นนางจึงคิดว่านางควรจะอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อเลี่ยงมัน 


 


 


เมื่อพูดถึงหลัวเฟิงเสวี่ยและคนอื่นๆ นางทำดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเขาเอง 


 


 


ดังนั้นนางจึงใช้วันเวลาของนางอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนฝึกตน ปรุงยาวิเศษ ดูแลสวนสมุนไพร และอ่านหนังสือโบราณ 


 


 


เจ้าของคนก่อนของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้มาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น คู่มือวิชาการฝึกตนทุกเล่มที่เขาเป็นเจ้าของนั้นเกี่ยวกับต้นกำเนิด ซึ่งเหมาะสำหรับโม่เทียนเกอมาก 


 


 


ส่วนสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อย ไม่ว่าเพราะเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นหรือเพราะไฟหยางแท้อันร้อนแรงในร่างกายของมันสามารถพัฒนาได้ ไฟหยางแท้อันร้อนแรงของมันได้วิวัฒนาการไปเป็นไฟสุริยันหลังจากการก้าวหน้าครั้งใหญ่ของมัน คุณภาพไฟของมันเหนือกว่าไฟทางโลกของโรงเรียนต้านติงด้วยซ้ำไป 


 


 


เพราะเหตุนี้ โม่เทียนเกอจึงเริ่มฝึกการปรุงยาอีกครั้ง เวลานั้นเหมาะเจาะพอดีเพราะนางเพิ่งได้รับสูตรยาโบราณมาจากโรงเรียนต้านติงเมื่อเร็วๆ นี้ 


 


 


ถึงเวลาที่นางจะได้คัดแยกสวนสมุนไพรภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอีกด้วย 


 


 


มีพืชวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เป็นของยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่ที่นั่น ทับถมอยู่เป็นร้อยเป็นพันปี มันมีจำนวนมากและเติบโตใกล้ๆ กัน ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของสวนสมุนไพร ในบางบริเวณมีพืชมากเกินไปทำให้เกิดการขาดสารอาหารและทำให้พืชเกือบจะเ**่ยวเฉา 


 


 


อ้างอิงจากความทรงจำของนางเกี่ยวกับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเริ่มเก็บพืชที่ควรจะเก็บเกี่ยว ถอนพืชที่ควรถอน และคัดแยกพืชตามการแบ่งประเภท 


 


 


บางทีอาจเพราะระดับการฝึกตนของเจ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนคนก่อนสูงเกินไป ทว่าโม่เทียนเกอยังไม่สามารถเอาพืชวิญญาณหลายอย่างที่นั่นมาใช้ได้ ผลก็คือนางทำได้เพียงใช้กล่องหยกเก็บมันไว้หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้ว เพราะอย่างนั้นนางจึงสร้างบ้านไม้ไผ่หลังเล็กอีกหลังหนึ่งท่ามกลางป่าไผ่ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนห้องเก็บของ 


 


 


พืชวิญญาณบางอย่างยังเป็นวัตถุดิบสำหรับยาวิเศษทั่วไปได้ ดังนั้นนางจึงเก็บมันมาเพื่อปรุงยาทันที 


 


 


เมื่อถึงเวลาที่นางคัดแยกสวนสมุนไพรเสร็จ บ้านไม้ไผ่หลังเล็กก็เต็มไปด้วยพืชวิญญาณ วัชพืชมากมายกองอยู่บนพื้นหน้าบ้าน 


 


 


เกรงว่าพืชวิญญาณบางส่วนจะเสียประสิทธิภาพทางยาของมันไปหลังจากถูกเก็บเกี่ยวมา โม่เทียนเกอจึงต้องใช้ทั้งหมดเพื่อปรุงยาวิเศษ พืชบางอย่างอายุหลายพันปีด้วยซ้ำ นี่ทำให้วิชาการปรุงยาของนางพัฒนาขึ้นเร็วแบบก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ 


 


 


คิดย้อนไปถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็ยิ้มอย่างขมขื่น หากคนอื่นรู้ว่าพืชวิญญาณพวกนี้ซึ่งมีค่าและหายากมากในโลกภายนอกถูกนางใช้ไปเพื่อฝึกการปรุงยา พวกเขาคงตบตีนางถึงตายแน่นอน 


 


 


ที่จริงแล้วนางก็อยากจะนำมันออกไปข้างนอกและแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณ แต่นางก็ไม่กล้าออกไปเพราะสภาพปัจจุบันในโลกภายนอกนั้นวุ่นวายเกินไป 


 


 


เวลาหลายเดือนผ่านไป แต่การสู้รบภายนอกยังคงดำเนินต่อไปอย่างเต็มกำลัง 


 


 


โม่เทียนเกอใช้พืชวิญญาณที่เก็บมาทั้งหมดเพื่อปรุงยาวิเศษชุดแรก นางมีวัตถุดิบส่วนใหญ่ในการปรุงยาคงพลังวิญญาณ ยาคงรูป และยาอายุวัฒนะ นางยังปรุงยาฟ้ากระจ่างบางส่วนอีกด้วย ที่จริงแล้วยารวมวิญญาณซึ่งอาจมีประโยชน์กับนางในตอนนี้เป็นยาที่นางมีปัญหาด้วย อาจเพราะช่องว่างระหว่างดินแดนของนางกับของเจ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนคนก่อนนั้นห่างกันเกินไป ทำให้พืชวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ปรุงยารวมวิญญาณที่นั่นค่อนข้างจะขาดแคลน ดังนั้นนางจึงปรุงได้เพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น 


 


 


หลังจากปรุงยาวิเศษ นางมองขวดที่อยู่บนพื้นและยิ้มเยาะตัวเอง ยาวิเศษพวกนี้สามารถทำให้นางร่ำรวยมหาศาลได้ภายนอกนั่น แต่ในเมื่อนางติดอยู่ข้างในนี้ มันจึงไม่ได้มีประโยชน์เท่าไรนัก 


 


 


ยาคงพลังวิญญาณใช้ในการรักษาพลังวิญญาณ ซึ่งนางยังไม่ได้ต้องการมันในตอนนี้ ยาฟ้ากระจ่างเป็นยาที่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจำเป็นต้องใช้เพื่อฝึกตน ซึ่งนางก็ยังไม่จำเป็นต้องใช้มันในตอนนี้ ส่วนยาคงรูปและยาอายุวัฒนะ นางใช้ไปแค่อย่างละหนึ่งเม็ด 


 


 


พูดถึงยาคงรูป อาจเป็นเพราะวิชาการฝึกตนที่นางฝึกช่วยสงวนความอ่อนเยาว์ของนางอยู่แล้ว ยาจึงดูเหมือนไม่ได้มีผลอะไร 


 


 


ยาอายุวัฒนะ ในทางกลับกัน ทำให้นางรู้สึกถึงสัมผัสร้อนรุ่มไปทั้งร่างหลังจากนางทานเข้าไป ชั่วขณะหนึ่งสั้นๆ นางไม่สามารถควบคุมพลังวิญญาณในร่างกายนางได้และจำต้องปรับลมปราณ จนเมื่อพลังวิญญาณในร่างกายนางสงบลง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความรู้สึกมหัศจรรย์ที่ยากจะอธิบาย ราวกับว่า… ราวกับว่าอายุขัยของนางนั้นไม่มีขีดจำกัด 


 


 


อายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ที่ประมาณสามร้อยถึงสี่ร้อยปี ขณะนี้นางอายุเพียงแค่ยี่สิบห้าปี ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดนางก็จะมีชีวิตอยู๋ได้อีกสามร้อยปี ถ้ายาอายุวัฒนะเพิ่มอายุขัยของนางอีกห้าร้อยปี นั่นก็จะหมายความว่านางยังมีอีกแปดร้อยปีเหลืออยู่ในอายุขัยของนาง!  


 


 


นางมีความสุขมากกับเรื่องนี้ ในแปดร้อยปี ไม่ว่านางจะแย่แค่ไหน นางก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แน่นอน ใช่ไหม หากนางโชคดี แม้แต่การเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าเป็นปัญหา 


 


 


เมื่อนางปรุงยาวิเศษทั้งหมดนั้นเสร็จ วิชาการปรุงยาในปัจจุบันของโม่เทียนเกอก็ได้พัฒนาเหนือวิชาการปรุงยาของนางก่อนหน้านี้ไปไกลแล้ว อัตราความสำเร็จของนางในการปรุงยาวิเศษอย่างยาอายุวัฒนะคือหนึ่งในสองส่วน ต่อให้นางเปรียบเทียบกับอาจารย์ปรุงยา นางก็ไม่ได้แย่กว่ามากนัก 


 


 


โชคไม่ดีที่ไม่ได้มีสูตรยามากมายในหมู่หนังสือโบราณที่นั่น พวกที่มีอยู่ก็ไม่สามารถอ่านเข้าใจได้เนื่องจากดินแดนปัจจุบันของนาง ดังนั้นความก้าวหน้าในการปรุงยาของนางจึงต้องหยุดอยู่แค่นี้ก่อนสำหรับช่วงนี้ 


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ยังพอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง ในที่สุดนางก็ได้ผลขั้นต้นจากการฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ไม่เพียงแต่มันจะสามารถขัดเกลาสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้แล้ว แต่มันยังสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นรูปธรรมนั้นให้เป็นมีดบินที่ทำร้ายคนอื่นได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้อีกด้วย 


 


 


นางใช้วันเวลาผ่านไปเช่นนี้อยู่อีกหลายเดือน 


 


 


ครั้นสถานการณ์ภายนอกสงบลงเล็กน้อยและมีคนจำนวนน้อยต่อสู้กันอยู่ในบริเวณ ก็เป็นเวลาสองปีแล้วตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอเข้ามาซ่อนตัวในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในช่วงเวลาสองปีนั้น วิชาการปรุงยาของนางก้าวหน้าไปด้วยความเร็วที่ยากจะหยั่งถึงและศาสตร์หลอมจิตวิญญาณของนางก็เริ่มแสดงผลลัพธ์ขั้นต้นบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากสองปี ในที่สุดนางก็ตัดสินใจจะออกไปดูสถานการณ์ภายนอก 


 


 


บนยอดเขาแห้งแล้งกันดาร หินกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่ พืชผักเ**่ยวแห้งและเฉาตาย พื้นดินบัดนี้เป็นสีแดงเข้ม 


 


 


ภาพทิวทัศน์นี้คือสิ่งที่นางเห็นเป็นอย่างแรกยามที่นางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน 


 


 


นางจำได้ว่าเมื่อนางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน บริเวณนี้ยังคงปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่มและดอกไม้ป่ากลิ่นหอม นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าในเวลาแค่สองปี มันจะกลายเป็นที่แห้งแล้งถึงเพียงนี้ 


 


 


หินแตกหักแสดงให้เห็นร่องรอยของเวทมนตร์ที่ถูกใช้ในบริเวณนี้ พื้นดินเป็นสีแดงเข้มเพราะแปดเปื้อนไปด้วยเลือด 


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจแผ่วเบา สงสัยว่าสหายเก่าของนางรอดชีวิตไปจากสงครามที่แสนขมขื่นนี้หรือไม่ 


 


 


นางยกแขนเสื้อและขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ขณะขี่ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว นางเปลี่ยนเป็นลำแสงที่วาบผ่านอย่างเร็วเหมือนดังหงส์เหินไปทางทิศตะวันตก 


 


 


ทุกสิ่งด้านล่างอยู่ในสภาพเดียวกับยอดเขาเมื่อครู่นี้ไกลเท่าที่สายตานางจะมองเห็นได้ ดอกไม้ ใบหญ้า และต้นไม้เกือบจะทั้งหมดถูกทำลาย หินบนภูเขาแตกสลาย บางส่วนถูกทำลายราบไปจนถึงพื้น ร่องรอยคราบเลือดเลอะทั่วพื้นที่ โชคดีที่นางไม่ได้เห็นศพใดๆ  


 


 


ไม่มีผู้ใดอยู่แถวนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าสงครามจบลงไปสักพักแล้ว 


 


 


ด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด โม่เทียนเกอยังคงเหาะไปทางตะวันตกต่อไป แม้ว่าจลาจลของสัตว์ปีศาจจบลงแล้ว แต่ก็ไม่มีทางที่นางจะไม่เจอคนที่ยังมีชีวิตอยู่เลยสักคนเดียว นางต้องหาใครสักคนและถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้ 


 


 


หลังจากเหาะมาประมาณสี่ชั่วโมง ในที่สุดจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของผู้ฝึกตน ด้วยความดีใจนางเหาะไปทางบริเวณที่นางสัมผัสได้ถึงตัวตนพวกเขา แน่นอนว่าหลังจากเหาะมาพักหนึ่ง นางจึงเห็นร่องรอยของผู้ฝึกตน 


 


 


เบื้องหน้านางคือซากปรักหักพัง กำแพงเมืองที่พังทลายลงมาครึ่งหนึ่ง ตำหนักที่สง่างามแต่ทรุดโทรม บ้านพังครึ่งหลังอีกมากมาย ขณะที่นางกวาดตามองรอบๆ บริเวณ โม่เทียนเกอสันนิษฐานว่าที่นี่น่าจะเป็นที่พักของตระกูลผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ 


 


 


อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างแปลกเกี่ยวกับที่นี่ คือไม่มีแม้แต่ม่านพลังป้องกันอยู่เหนือพื้นที่เลยแม้แต่อันเดียว บางครั้งมีคนเข้าและออกจากตัวตึกที่ยังไม่เสียหาย แต่ดูจากเสื้อผ้า พวกเขาดูไม่เหมือนเป็นคนจากกลุ่มการฝึกตนเดียวกัน 


 


 


นางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วจึงตัดสินใจเหาะลงไป 


 


 


ยามร่อนลง นางก็มองขึ้นไปและสำรวจสภาพรอบตัว ตามที่นางคาดไว้ สถานที่นี้ไม่มีแม้แต่ผู้เฝ้าประตูด้วยซ้ำ 


 


 


ผู้ฝึกตนที่ดูงุ่มง่ามในชุดคลุมเปื้อนเลือดออกมาจากภายในซากปรักหักพัง 


 


 


“ขอประทานโทษนะสหายนักพรต!” โม่เทียนเกอเรียก 


 


 


สีหน้าของผู้ฝึกตนคนนั้นแข็งทื่อทันที หลังจากที่เขาเหลือบมองนางและรู้ว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง รอยยิ้มน้อยๆ ถึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “ศิษย์พี่ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”  


 


 


โม่เทียนเกอแสดงสีหน้าอย่างเป็นมิตรและถาม “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าสถานที่นี้คือที่ไหน”  


 


 


ผู้ฝึกตนคนนั้นตกใจ เขาถามอย่างค่อนข้างกังขา “ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าที่นี่คือที่ไหน” เขามองนางเป็นครั้งที่สองและพบว่านางใส่ชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิง เสื้อผ้าของนางสะอาดและนางก็ดูเกลี้ยงเกลา “หรือนี่จะเป็นครั้งแรกที่ศิษย์พี่ออกจากโรงเรียน”  


 


 


นางค่อนข้างตกใจกับคำถามของเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็ยิ้มโดยไม่ได้ตอบอะไร 


 


 


คาดว่าเขาเดาถูก ผู้ฝึกตนคนนั้นจึงพูดว่า “ที่นี่คือสันเขาเฉียนเหมินแห่งเขาเทียนหั่ว ศิษย์พี่อาจจะไม่รู้ แต่หลังจากเกือบสามปีแห่งสงคราม บัดนี้ทั่วทุกที่เป็นแบบนี้ เพราะจำนวนมนุษย์ผู้ฝึกตนที่ตายนั้นมีสูงมาก เราจึงตั้งพันธมิตรที่นำโดยกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดกลุ่มและตั้งศูนย์ไว้ในทั่วทุกพื้นที่ที่นำไปสู่ผู้รอดชีวิต…”  


 


 


“อย่างนี้นี่เอง…” ไม่น่าแปลกใจที่พวกผู้ฝึกตนที่นั่นถึงใส่เสื้อผ้าหลากหลายแบบ 


 


 


โม่เทียนเกอประสานมืออีกครั้งและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอพบผู้จัดการของที่นี่ได้หรือไม่”  


 


 


ผู้ฝึกตนคนนั้นโค้งให้นางซ้ำๆ “ศิษย์พี่ไม่ต้องสุภาพนัก ข้าไม่คู่ควร ผู้จัดการของสันเขาเฉียนเหมินบังเอิญเป็นศิษย์พี่จากโรงเรียนเสวียนชิงพอดี ศิษย์พี่เองก็เป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นท่านสามารถไปเจอเขาได้แน่นอน ท่านแค่ต้องไปที่โถงหลัก”  


 


 


“จริงหรือ” โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ นางคิดว่าในเมื่อที่นี่เป็นเขาเทียนหั่วของโรงเรียนต้านติง ผู้จัดการจะเป็นศิษย์จากโรงเรียนต้านติงเสียอีก 


 


 


“ข้าไม่กล้าโกหกศิษย์พี่หรอกขอรับ”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและยิ้มให้ผู้ฝึกตนคนนั้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากสำหรับความช่วยเหลือ”  


 


 


คนผู้นั้นพูดซ้ำๆ “ข้าไม่คู่ควรกับความขอบคุณของศิษย์พี่”   

 

 


ตอนที่ 128-2 สันเขาเฉียนเหมิน

 

ภายนอกโถงหลัก ในที่สุดก็มีผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าคนสองคนนี้มาจากกลุ่มการฝึกตนไหน เมื่อพวกเขาเห็นนาง คนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าและพูดอย่างสุภาพ “ศิษย์พี่จากโรงเรียนเสวียนชิง ข้าขอดูแผ่นจารึกประจำตัวของท่านได้หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอถามด้วยความตกใจว่า “แผ่นจารึกประจำตัวอะไร”


 


 


ศิษย์ทั้งสองคนที่เฝ้าประตูจ้องมองนางด้วยสายตาประหลาด แต่คนที่พูดกับนางรีบพูดทันทีว่า “แผ่นจารึกประจำตัวสำหรับพันธมิตรคุนอู๋ของเรา ศิษย์พี่เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นเมื่อศิษย์พี่ออกจากภูเขาไป อาจารย์ของท่านควรจะมอบให้ท่าน”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ เมื่อนางได้ยินคำอธิบายของเขา “เข้าใจล่ะ… แต่ข้าไม่มีแผ่นจารึกประจำตัว”


 


 


คำตอบของนางทำให้ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองคนตึงเครียดขึ้นมาทันที


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มและอธิบายต่อไป “ข้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงที่ออกจากเขาไปเมื่อสองปีก่อน เพราะข้าบาดเจ็บในการต่อสู้ ข้าจึงพักฟื้นอยู่ในสถานที่ลับมาโดยตลอด หลังจากที่อาการบาดเจ็บของข้าหายข้าถึงออกมา เพราะฉะนั้นข้าไม่มีแผ่นจารึกประจำตัวพันธมิตรที่ว่านั่นหรอก แต่ข้ามีแผ่นจารึกประจำตัวจากโรงเรียนเสวียนชิง เจ้าเอาไปให้ผู้จัดการของเจ้าและให้เขาตรวจสอบดูก็ได้” เมื่อนางพูดจบ นางหยิบแผ่นจารึกประจำตัวโรงเรียนเสวียนชิงของนางออกมาและมอบให้พวกเขา


 


 


พอเห็นทัศนคติที่สงบนิ่งและสำรวมของนาง ศิษย์คนนั้นจึงทำใจกล้าและรับแผ่นจารึกประจำตัวไป “ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่อย่าถือสานะขอรับ กรุณารอตรงนี้สักครู่”


 


 


เพราะโม่เทียนเกอพยักหน้าอ่อนโยน ศิษย์คนนั้นจึงประหม่าน้อยลงและเข้าไปข้างใน


 


 


ในไม่ช้าโม่เทียนเกอก็เห็นศิษย์คนนั้นวิ่งออกมาอย่างเร่งรีบและรีบประสานมือทำความเคารพมาทางนาง “ศิษย์พี่ ท่านผู้จัดการเชิญท่านเข้าไปข้างในขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและเข้าไปในโถงหลัก


 


 


แม้ว่าด้านนอกของโถงหลักนี้จะถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง ทว่าด้านในยังคงมีสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม สภาพภายในนั้นเกินกว่าความคาดหมายของโม่เทียนเกอไปมาก นางคิดว่าในเมื่อที่นี่คือที่อยู่ของผู้จัดการ ก็คงจะเป็นสถานที่สงบเงียบ ไม่เคยคิดว่าภายในจะวุ่นวาย มีคนมากมายเคลื่อนไหวไปมา ยิ่งไปกว่านั้น คนที่บาดเจ็บก็มีอยู่ทั่วทุกที่ เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่สำหรับรักษาคนบาดเจ็บเช่นกัน


 


 


“เสี่ยวไป๋!” จู่ๆ โม่เทียนเกอก็ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นหู เมื่อเหลือบมองนางก็เห็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบโรงเรียนเสวียนชิง ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนเฉยเมย แต่ทุกท่วงท่าของเขาเผยให้เห็นความสง่างาม ขณะนั้นเขากำลังหมอบอยู่ที่พื้น ตรวจดูผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บคนหนึ่ง


 


 


“มาแล้ว!” เด็กหนุ่มในระดับการสร้างฐานแห่งพลังในขั้นต้นขานตอบ


 


 


ชายหนุ่มบุ้ยหน้าชี้ด้วยคาง “ข้าจะส่งต่อคนนี้ให้กับเจ้า”


 


 


“ตกลง”


 


 


หลังจากส่งต่อคนเจ็บให้กับคนอื่น ชายหนุ่มคนนั้นยืนขึ้น หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเริ่มเช็ดมือ การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร่งรีบหรือช้าเกินไป จากนั้นเขาหยิบแผ่นจารึกประจำตัวบนโต๊ะและสายตาเขาหันเหมาทางโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอจำเขาได้แล้ว ที่จริงเขาคือศิษย์พี่ค่วงจู๋ผู้ที่นางเคยเจอครั้งหนึ่งบนผาลั่วเยี่ยน


 


 


ค่วงจู๋ยกแผ่นจารึกประจำตัวของนางขึ้นขณะที่เขากวาดสายตาตั้งคำถามมองทั่วตัวนาง แม้ว่าเขาจะพินิจพิเคราะห์ดูนาง แต่การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้นางไม่พอใจเพราะสายตาของเขายังคงเฉยเมยและไม่มีการดูถูกใดๆ


 


 


“โม่เทียนเกอ”


 


 


โม่เทียนเกอประสานมือ “ใช่แล้ว ขอคารวะศิษย์พี่ค่วงจู๋”


 


 


ค่วงจู๋คืนแผ่นจารึกประจำตัวให้นาง “เจ้ามาที่โรงเรียนต้านติงเมื่อสองปีก่อนไม่ใช่หรือ?”


 


 


โม่เทียนเกอเตรียมตัวตอบคำถามนี้มานานแล้ว นางอธิบาย “ข้าบาดเจ็บหนักจากสัตว์ปีศาจระดับห้าในการต่อสู้ในบริเวณพื้นที่ของตระกูลอวี๋ ข้าใช้วิชาลับเพื่อหลบหนีแต่หมดสติไปทันทีหลังจากนั้น อันที่จริงข้าหมดสติไปอยู่หลายเดือน หลังจากเวลาหลายเดือนผ่านไป สุดท้ายข้าก็ฟื้นได้สติ อย่างไรก็ตาม เพราะอาการบาดเจ็บของข้ารุนแรงมาก ข้ากลัวที่จะออกมาจึงมองหาสถานที่ลับเพื่อหลบซ่อนตัวและพักฟื้นแทน”


 


 


“อ้อ…” ไม่แน่ชัดนักว่าค่วงจู๋เชื่อคำอธิบายของนางหรือไม่ เขาแค่หันกลับไป เดินผ่านโต๊ะหลายตัว มุ่งหน้าไปที่โต๊ะตัวสูงที่สุดและเริ่มมองหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะตัวนั้น


 


 


ท้ายที่สุดเขาก็เจอแผ่นจารึกประจำตัวที่ว่างเปล่า เขาสลักคำหลายคำลงไปบนพื้นผิวของมันก่อนจะมอบให้นาง “นี่คือแผ่นจารึกประจำตัวพันธมิตรของเจ้า ในอนาคตเจ้าแค่ต้องแสดงแผ่นนี้”


 


 


“ขอบคุณศิษย์พี่ค่วงจู๋” นางรับแผ่นจารึกประจำตัวและเก็บไว้ในกระเป๋า ชั่วขณะต่อมา เขาเดินผ่านนางไปเพื่อไปรักษาคนเจ็บอีกคน ทำให้นางต้องรีบร้องเรียก “ศิษย์พี่!”


 


 


ถึงแม้ค่วงจู๋จะได้ยินเสียงเรียกของนาง แต่เขาก็ไม่หยุดและยังคงตรวจคนเจ็บต่อไป เขาแค่พูดอย่างเฉยเมย “มีอะไรอีกรึ”


 


 


“…” พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่ายากที่จะพูดสิ่งที่ต้องการพูด ต้องใช้เวลานานกว่าที่นางจะเปล่งเสียงออกมาได้อีกครั้งในที่สุด “มีอะไรที่ข้าต้องทำตอนนี้หรือไม่”


 


 


“ไม่มี” ครั้งนี้ค่วงจู๋ไม่แม้แต่จะเหลือบมองนางด้วยซ้ำ “เจ้าแค่สนใจเรื่องของตัวเองก็พอ”


 


 


นางแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางกล่าว “ศิษย์พี่เป็นผู้จัดการของที่นี่ไม่ใช่หรือ? ท่านไม่ต้องมอบหมายงานให้ข้าหรือ”


 


 


ค่วงจู๋ส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ จากนั้นจึงพูดว่า “งานหรือ แค่ออกไปฆ่าปีศาจไป! หากมีปัญหาอะไรข้าจะบอกเจ้าเอง!”


 


 


“… โอ้…” โม่เทียนเกองุนงง อย่างไรก็ตาม แม้นางจะสับสนนางก็เข้าใจได้ว่าศิษย์พี่ค่วงจู๋ดูเหมือนจะไม่ชอบถูกคนอื่นรบกวน ดังนั้นนางจึงเตรียมใจและถามเขาคำถามสุดท้ายอีกคำ “ศิษย์พี่ ข้าควรต้องมองหาใครหรือหากมีคำถาม”


 


 


ค่วงจู๋เพิ่งจะเสกคาถารักษาเสร็จ เขาเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองนางก่อนจะหันหน้าไปและตะโกนออกมาเสียงดัง “เสี่ยวกู่จื่อ!”


 


 


“อยู่นี่ขอรับ!” เด็กหนุ่มระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณตอบ


 


 


ค่วงจู๋พูดกับเด็กหนุ่มขณะที่ชี้มาที่นาง “อาจารย์ลุงคนนี้มีอะไรจะถาม ในเมื่อเจ้าอยู่ว่างๆ คุยกับนางหน่อย”


 


 


เด็กหนุ่มคนนั้นเหลือบมองนางขณะที่สายตาของเขามองไปทั่ว สุดท้ายเขาจึงยิ้มและพูดว่า “อาจารย์ลุง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะคุยกัน มากับข้าสิ”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างทำตัวไม่ถูกขณะที่นางมองค่วงจู๋ง่วนอยู่กับการตรวจคนเจ็บอีกครั้ง แต่อย่างน้อยตอนนี้นางก็มีใครสักคนที่ยินดีจะตอบคำถามนาง นางยิ้มให้เด็กหนุ่มและพูดว่า “ขอบคุณ”


 


 


เด็กหนุ่มนำทางนางมาที่มุมหนึ่งในห้องโถง โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเขาเอามาจากไหน แต่เขาเอาเก้าอี้สองตัวที่ขาหักออกมา เขาเสกคาถาง่ายๆ และเชิญให้นางนั่งพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่สมควรได้รับคำขอบคุณของอาจารย์ลุงสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ถ้าอาจารย์ลุงมีคำถามก็ถามข้ามาได้โดยตรง ข้าไม่มีเจตนาจะโอ้อวด แต่ไม่มีใครรู้สถานการณ์แถวนี้ดีกว่าข้าอีกแล้ว”


 


 


“อย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ทัศนคติของเขาไม่เชิงว่าถ่อมตัวหรืออวดดี ทำให้โม่เทียนเกอมีความประทับใจที่ดีต่อเขา นางพูดพร้อมรอยยิ้ม “เอาละ ถ้าเจ้าบอกข้าเรื่องที่ข้าต้องการรู้มาได้ ข้าจะให้รางวัลดีๆ กับเจ้าเป็นการตอบแทน เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”


 


 


ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกาย “รางวัลดีๆ แบบไหนหรือขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอแบมือและพูดว่า “นี่เป็นของที่ข้าเก็บมาได้โดยบังเอิญ ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าสามารถเอาไปใช้เองได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการ แลกมันเป็นศิลาวิญญาณหลายร้อยอันก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่เหมือนกัน”


 


 


เด็กหนุ่มหยิบยาวิเศษสีขาวราวหิมะที่อยู่บนฝ่ามือของนางด้วยสีหน้าใคร่รู้ “นี่… ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มอย่างลึกลับและพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไรเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่านี่น่าจะเป็นยาวิเศษที่รักษาการเบี่ยงเบนของพลังวิญญาณ เจ้าไปถามผู้อาวุโสของเจ้าก่อนก็ได้ ถ้าเจ้าโชคดี มันอาจจะมีค่าเป็นเงินจำนวนมาก แต่เจ้าโทษข้าไม่ได้นะถ้าเจ้าโชคไม่ดี” นี่คือหนึ่งในยาคงพลังวิญญาณที่นางกลั่นออกมาได้ ในพวกยาวิเศษหลายประเภทที่นางมี ยานี้ถือว่ามีค่าน้อยกว่าอย่างอื่น


 


 


เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอย่างสุขใจขณะที่เขาคว้ายาวิเศษไป “เอาละ อาจารย์ลุงไม่ต้องลังเล ท่านถามข้ามาได้ทุกอย่าง”


 


 


“มั่นใจใช่ไหมเจ้าน่ะ” เขายังไม่ได้ตอบคำถามนางแต่เขารับยาวิเศษไปเรียบร้อยแล้ว


 


 


เด็กหนุ่มถือยาวิเศษไว้โดยไม่ได้ตอบ


 


 


“ข้าอยากจะถามเจ้าถึงคนสองสามคน คนแรกคือท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินแห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง พวกที่สองคือพวกศิษย์ผู้หญิงของเขา และคนสุดท้ายคือศิษย์ของอาจารย์ลุงชิงหยวน”


 


 


ดวงตาของเด็กหนุ่มส่ายไปมาขณะที่เขาครุ่นคิด จากนั้นเขาพูด “ท่านปรมาจารย์เสวียนอินถูกสั่งให้กลับไปครึ่งเดือนที่แล้ว ตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนเขาไท่คังแล้ว ส่วนศิษย์ผู้หญิงของท่านปรมาจารย์ที่ท่านพูดถึงน่าจะเป็นอาจารย์ลุงหัน อาจารย์ลุงเว่ย และอาจารย์ลุงหลัว ใช่ไหมขอรับ”


 


 


“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เด็กคนนี้ค่อนข้างรู้มากทีเดียว


 


 


“ถ้าอาจารย์ลุงถามว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไร คำตอบของข้าคือไม่ค่อยดี ถ้าอาจารย์ลุงถามว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ คำตอบคือมีชีวิตอยู่ขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอพูดไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้เป็นผีจอมกวนเสียจริง! แต่เขาหมายความว่าอย่างไรที่ว่า “ไม่ค่อยดี”


 


 


เมื่อสังเกตเห็นคำถามที่ไม่ได้ถามออกมาของนางอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มอธิบายอย่างจริงจัง “ข้าได้ยินสิ่งที่อาจารย์ลุงพูดกับอาจารย์ลุงค่วงจู๋ ข้าเชื่อว่าเมื่อสองปีก่อน อาจารย์ลุงคงจะอยู่ด้วยกันกับอาจารย์ลุงทั้งสามคน ข้าพูดถูกต้องไหมขอรับ” หลังจากเขาเห็นโม่เทียนเกอพยักหน้าเขาก็อธิบายต่อ “ในการต่อสู้ปีนั้น ท่านปรมาจารย์เสวียนอินมาถึงทันเวลา ดังนั้นอาจารย์ลุงทั้งสามคนจึงรอดชีวิตไปได้ อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของอาจารย์ลุงเว่ยและอาจารย์ลุงหลัวค่อนข้างรุนแรง พวกนางจึงถูกส่งกลับไปที่เขาไท่คังทันที อันที่จริงพวกเราเป็นคนที่รักษาพวกนางในตอนนั้นเอง ส่วนอาจารย์ลุงหัน แม้ว่าตอนนั้นนางจะไม่เป็นอะไร แต่ข้าได้ยินว่านางก็บาดเจ็บเหมือนกันเมื่อหลายเดือนที่แล้ว”


 


 


“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ…” โม่เทียนเกอถอนใจโล่งอก ดีแล้วที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่


 


 


“ศิษย์ของท่านปรมาจารย์ชิงหยวนที่อาจารย์ลุงพูดถึง เขาชื่ออะไรหรือขอรับ”


 


 


“ชื่อของเขาคือเยี่ยจิ่งเหวิน”


 


 


“อาจารย์ลุงเยี่ย!” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง! ช่วงหลังมานี้อาจารย์ลุงเยี่ยอยู่ที่นี่กับพวกเรา อาจารย์ลุงจะสามารถพบเขาได้เร็วๆ นี้” ​​​​​​​ 

 

 


ตอนที่ 129-1 หนึ่งครอบครัวกับศิษย์พี่...

 

“ท่านอาจารย์ลุงนับว่าโชคดีแล้ว” เด็กหนุ่มเสี่ยวกู่จื่อพูดพล่ามไม่หยุด “การต่อสู้เมื่อสองปีที่แล้วเกือบจะล้มล้างโรงเรียนตานติ่ง ศิษย์เพียงแค่บางกลุ่มที่สามารถหนีออกมาได้ ตอนนี้พวกเขาต่างไร้ที่พักอาศัยและอยู่ในสถานะที่ทุกข์ยาก ดังนั้นในตอนนี้ภูเขาเทียนหัวมีเพียงศิษย์ของกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นๆ อย่างเช่นพวกเราเท่านั้น…”  


 


 


โม่เทียนเกอขัดเขา “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วสถานการณ์ของโรงเรียนตานติ่งเป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


เสี่ยวกู่จื่อผู้ที่ถูกขัดระหว่างเล่าเรื่องหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดตอบ “โอ้ โรงเรียนตานติ่ง… ช่วงเวลาที่มีการรบในปีนั้น สถานการณ์ของพวกเขาน่ากลัวมาก สัตว์ปีศาจระดับแปดหลายตัวโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทำลายโรงเรียนตานติ่งจนพ่ายส่งผลให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาต้องตายลง ท้ายที่สุดปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนของโรงเรียนตานติ่งพาศิษย์ระดับหัวกะทิหนีออกไปจากเขาเทียนหัว ในช่วงเวลานั้นพวกเขาจำเป็นต้องเปิดเผยวิชาลับของโรงเรียนเพื่อเอาตัวรอด ตอนนี้ผู้ฝึกตนของโรงเรียนตานติ่งพักอยู่ชั่วคราวในบริเวณใกล้เคียงภูเขาซีหลิง”  


 


 


“ข้าได้ยินว่าผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของโรงเรียนตานติ่งหงุดหงิดเพราะเรื่องทั้งหมดนี้มาก พวกเขาอ้างว่ากลุ่มการฝึกตนอื่นไม่ช่วยเหลือ ทว่าตอนนี้โรงเรียนตานติ่งได้ตกลงมาสู่จุดนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาหกกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะหงุดหงิดแค่ไหน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะตัดขาดและทะเลาะกับคนอื่นๆ”  


 


 


โม่เทียนเกอเพลิดเพลินไปกับท่าทางภูมิใจของเสี่ยวกู่จื่อ เขาดูเหมือนกับเป็นคนประสบความสำเร็จในการทำให้โรงเรียนตานติ่งตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าหกกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ต่างก็น่าจะมีทัศนคติเช่นเดียวกันกับเขา จากสถานการณ์ของโรงเรียนตานติ่งในปัจจุบัน พวกเขายับยั้งความแข็งแกร่งของโรงเรียนตานติ่งได้ไม่มากก็น้อย และในขณะเดียวกันก็ช่วยโรงเรียนตานติ่งจากการถูกล้างบาง ยิ่งไปกว่านั้นโรงเรียนตานติ่งจะต้องพึ่งพาพวกเขาในการที่จะฟื้นคืนตำแหน่งปัจจุบันที่เป็นอยู่ในอนาคต พวกเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง ความจริงแล้วมันคงเป็นการดีที่สุดถ้าพวกเขาสามารถเปลี่ยนโรงเรียนตานติ่งให้เป็นกลุ่มผู้ปรุงยาส่วนตัวให้พวกเขาได้ 


 


 


แน่นอนอยู่แล้วว่าโรงเรียนตานติ่งนั้นยากที่จะต่อกรด้วย ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ยังคงมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สองคนและรากฐานของพวกเขาอยู่ พวกเขายังคงมีโอกาสที่จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง 


 


 


เสี่ยวกู่จื่อตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นในขณะที่พูด ไม่ว่าโม่เทียนเกอจะถามหรือไม่เขาก็ยังคงพล่ามต่อไปไม่หยุด “…อาจารย์ลุง ท่านนี่เยี่ยมยอดจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าท่านต่อสู้กับอินทรีสองหัวระดับห้าในการต่อสู้เมื่อปีนั้น แล้วตอนนี้ท่านก็อยู่ที่นี่ปลอดภัยอย่างเหลือเชื่อ!”  


 


 


โม่เทียนเกอแปลกใจเช่นกัน นางถาม “เจ้าไปได้ยินมาจากที่ไหน”  


 


 


ดวงตาของเสี่ยวกู่จื่อเบิกกว้าง “ท่านอาจารย์ลุงไม่รู้หรือ ที่โรงเรียนเสวียนชิงหลายคนรู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น!”  


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น 


 


 


“ในการต่อสู้ของโรงเรียนตานติ่งปีนั้น อยู่ๆ สัตว์ปีศาจระดับห้าสองตัวก็โผล่มา ตัวหนึ่งถูกล่อให้ห่างออกไปโดยท่านอาจารย์ลุง เมื่อการต่อสู้จบลง หลายคนต่างพูดถึงว่าพละกำลังของศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงนั้นมีมากมายขนาดไหน ผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังสามารถต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าคนเดียวได้…” สีหน้าเสี่ยวกู่จื่อนั้นดูเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่เขาก็พูดต่ออย่างผิดหวัง “แต่น่าเสียดาย ในตอนนั้นพอถึงเวลาที่ท่านปรมาจารย์เสวียนอินไปถึงและฆ่าสัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้น ท่านก็หายตัวไปไม่มีใครพบเจอเสียแล้ว หลายคนคิดว่าท่านได้ถูกกำจัดไปแล้วจากการต่อสู้ครั้งนั้น เพราะเหตุการณ์นั้น หลังจากนั้นมาหัวหน้าโรงเรียนได้ยกย่องสรรเสริญยอดเขาวสันต์กระจ่างอย่างมากมายทีเดียว!”  


 


 


“เป็นอย่างนั้นหรือ” นั่นไม่ได้หมายความว่าเราโด่งดังจากการต่อสู้ในปีนั้นเช่นนั้นหรือ 


 


 


เสี่ยวกู่จื่อหัวเราะและพยักหน้า “ใช่! ตอนที่ท่านเพิ่งมาถึงและศิษย์พี่ค่วงจู๋พูดชื่อของท่าน ข้าก็จำท่านได้ในทันที! ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าท่านจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่นี่เป็นเรื่องดี! ท่านอาจารย์ลุง ท่านจะต้องได้ตกรางวัลอย่างงามเมื่อกลับไปแน่นอน!”  


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มเพียงเล็กน้อย นางไม่ได้สนใจว่าโรงเรียนจะตกรางวัลให้นางหรือไม่ ตราบใดที่โรงเรียนยังคงพึงพอใจในตัวนาง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว 


 


 


“อีกอย่าง” เสี่ยวกู่จื่อพูด “ท่านอาจารย์ลุงในเมื่อท่านอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์สันเขาเฉียนเหมิน ถ้าท่านมีกิจธุระที่จะต้องทำ ท่านเพียงแค่มาหาข้าโดยตรงหรือเสี่ยวจุ้ย” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปทางเด็กผู้หญิงที่กำลังยุ่งอยู่ด้านหลังเสี่ยวไป๋ผู้ซึ่งดูคล้ายกันกับเขา 


 


 


“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอขอบใจเจ้าไว้ล่วงหน้า” โม่เทียนเกอมีเรื่องที่นางไม่รู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไรอยู่ “จริงสิ ข้าจะต้องทำอะไรที่นี่บ้าง ข้าต้องอยู่ที่ไหน”  


 


 


เสี่ยวกู่จื่อพูด “ผู้ฝึกตนในศูนย์ของเราเพียงแค่ต้องออกไปฆ่าสัตว์ปีศาจอย่างน้อยเดือนละครั้ง เวลาที่เหลือส่วนมากจะใช้อยู่ภายในศูนย์เท่านั้น” หลังจากที่เขาพูดจบ เขาตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดัง “เสี่ยวจุ้ย!”  


 


 


เมื่อได้ยินเขาเรียก หญิงวัยรุ่นที่กำลังตามหลังเสี่ยวไป๋จึงรีบวิ่งมา “ท่านพี่ มีอะไรหรือ”  


 


 


เสี่ยวกู่จื่อชี้ไปทางโม่เทียนเกอและพูด “นี่เป็นท่านอาจารย์ลุงคนใหม่ที่เพิ่งมาถึง เจ้าช่วยหาที่พักให้ท่านด้วย”  


 


 


“โอ้” เสี่ยวจุ้ยคำนับโม่เทียนเกอ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูด “ท่านอาจารย์ลุงที่นี่ไม่ค่อยมีผู้ฝึกตนหญิงมากนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้มีที่พักหญิงมากเช่นกัน ถ้าท่านไม่ติดอะไร ท่านพักอยู่กับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”  


 


 


โม่เทียนเกอเพียงแค่ต้องการหาที่พักพิงหลังการปรากฏตัวเท่านั้น นางจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในภายหลัง โดยปกติแล้วนางไม่ได้อยากอยู่ร่วมห้องกับคนอื่น ดังนั้นนางจึงพูด ถ้าการจัดหาห้องให้ข้านั้นไม่สะดวก ข้าหาที่พักที่อื่นในพื้นที่รอบๆ ได้หรือไม่”  


 


 


“นี่…” เสี่ยวจุ้ยลังเล นางหันมองพี่ชายของนางครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าท่านอาจารย์ลุงไม่ถือ พวกเราก็ไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ข้าหวังว่าท่านอาจารย์ลุงจะหาที่ได้ในศูนย์ของเรา หากไม่อย่างนั้น ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้น พวกเราอาจจะไม่สามารถไปถึงได้ทันเวลา…”  


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ “ตกลง”  


 


 


ก่อนที่เสี่ยวจุ้ยจะพูดอย่างอื่นต่อ หนุ่มเสี่ยวไป๋ก็ทำท่าทางส่งสัญญาณมาทางพวกนาง 


 


 


เสี่ยวกู่จื่อพูด “เสี่ยวจุ้ย ไปจัดการเรื่องของเจ้าเถอะ ข้าจะพาท่านอาจารย์ลุงไปดูรอบๆ เอง”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธคำชวนของเขา ดังนั้นเสี่ยวจุ้ยจึงรีบคำนับและขอตัวลา 


 


 


เมื่อเสี่ยวจุ้ยจากไป เสี่ยวกู่จื่อนำทางโม่เทียนเกอไปด้านหลังภูเขา หลังจากที่พวกเขาสองคนถึงบริเวณที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เขาก็พูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นศูนย์ของเรา แต่ท้ายที่สุดแล้วพันธมิตรคุนอู๋คือการรวมกันของกลุ่มผู้ฝึกตนหลายกลุ่ม ในเมื่อสงครามต่อต้านสัตว์ปีศาจมาถึงจุดนี้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ของแต่ละกลุ่มจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ท่านอาจารย์ลุงมาจากโรงเรียนเสวียนชิง มีพื้นที่หลากหลายที่ที่ท่านควรเลี่ยงเช่นกัน”  


 


 


เมื่อได้ยินที่เขาพูด โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้ม สุดท้ายแล้วนางไม่ได้มีแผนที่จะต้องเข้าใจความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่ของพันธมิตรแต่อย่างใด นางถามอย่างเรียบง่าย “ว่าแต่ ศิษย์พี่ค่วงจู๋ไม่ได้จัดการงานที่นี่หรือ”  


 


 


เสี่ยวกู่จื่อแสยะยิ้ม “ท่านอาจารย์ลุงคงไม่ทราบ ศิษย์พี่ค่วงจู๋เชี่ยวชาญทางด้านการปรุงยา และวิชารักษา เขาไม่ชอบที่จะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นการจัดการต่างๆ จึงตกอยู่ที่ข้าและน้องสาวข้าเสี่ยวจุ้ย เขาและศิษย์พี่ไป๋มุ่งเน้นเรื่องการรักษาผู้บาดเจ็บเท่านั้น”  


 


 


“เช่นนั้นหรือ” นี่ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่แปลก… “ศิษย์พี่ไป๋” ที่เสี่ยวกู่จื่อพูดถึงดูเหมือนจะเป็นหนุ่มผู้ฝึกตนขั้นต้นของการสร้างฐานแห่งพลัง คนที่ศิษย์พี่ค่วงจู๋เรียกว่า “เสี่ยวไป๋” ทำไมผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังสองคนถึงมุ่งมั่นในการรักษาและปล่อยให้ศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณบริหารจัดการเรื่องต่างๆ แทนพวกเขากัน 


 


 


หลังจากที่ปลีกตัวออกไปจากโลกภายนอกอยู่สองปี ความสงสัยของโม่เทียนเกอถูกกระตุ้นโดยศิษย์หนุ่มผู้ที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องทุกอย่างผู้นี้ นางถาม “เจ้าเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่’ ท่านอาจารย์ลุงคนไหนที่เป็นอาจารย์ของเจ้า”  


 


 


เสี่ยวกู่จื่อดูประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามของนาง เขาเกาหัวพร้อมพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุงประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าและเสี่ยวจุ้ยเป็นแค่ศิษย์ทั่วๆ ไป พวกข้าไม่ได้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์ระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังท่านใด เพราะศิษย์พี่ไป๋เป็นพี่ชายอุปถัมภ์ของพวกข้า พวกข้าเพียงแค่เรียกศิษย์พี่ค่วงจู๋ว่า ‘ศิษย์พี่’ ตามศิษย์พี่ไป๋เท่านั้น”  


 


 


“พี่ชายอุปถัมภ์…” แน่นอนอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างแปลกประหลาด! นางบ่นพึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “มีพี่ชายอุปถัมภ์ในโลกแห่งการฝึกตนด้วยหรือ”  


 


 


ขณะได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอบ่น ท่าทางเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ยิ้มอยู่ของเสี่ยวกู่จื่อ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ความดีที่ศิษย์พี่ไป๋มีให้กับข้าและน้องของข้านั้นยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขา ในหัวใจของข้า เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่พี่ชายอุปถัมภ์ เขายังเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า”  


 


 


ชั่วขณะที่เขาเห็นโม่เทียนเกอจ้องมองด้วยความประหลาดใจ เสี่ยวกู่จื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองและแกล้งหัวเราะ “ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของพวกข้าก็ไม่ได้เป็นความลับในยอดเขาจิตสันโดษเท่าไรนัก ถ้าท่านอาจารย์ลุงคิดว่าจะไม่เป็นการน่าเบื่อเกินไป ข้าก็ไม่ถือถ้าจะเล่าให้ท่านฟัง”  


 


 


ดังนั้น เสี่ยวกู่จื่อจึงร่วมเดินเล่นไปกับโม่เทียนเกอรอบๆ ศูนย์ เขาอธิบายถึงพื้นที่สำคัญภายในศูนย์ให้นางในขณะที่พูดเกี่ยวกับการที่เขาลงเอยมาเป็นน้องชายอุปถัมภ์ของศิษย์พี่ไป๋ได้อย่างไร 


 


 


เสี่ยวกู่จื่อผู้นี้มีชื่อจริงว่าจั่นเสี่ยวกู่ เสี่ยวจุ้ยเป็นน้องฝาแฝดของเขา จั่นเสี่ยวจุ้ย 


 


 


ศิษย์พี่ค่วงจู๋และจั่นไป๋ทั้งสองมาจากตระกูลของมนุษย์ ตระกูลของทั้งสองสนิทชิดเชื้อกัน และศิษย์พี่ค่วงจู๋จะคอยดูแลจั่นไป๋เสมอ ดังนั้นศิษย์พี่ค่วงจู๋ผู้ที่มักจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไม่แยแสค่อนข้างคุ้นเคยกับการเรียกจั่นไป๋ว่า “เสี่ยวไป๋”  


 


 


ไม่นานหลังจากที่ศิษย์พี่ค่วงจู๋และจั่นไป๋เข้ามาที่โรงเรียน พวกเขากลับไปหาครอบครัวที่โลกมนุษย์ นั่นจึงทำให้พวกเขาพบเข้ากับเสี่ยวกู่จื่อและน้องสาวของเขา  

 

 


ตอนที่ 129-2 หนึ่งครอบครัวกับศิษย์พี่...

 

ณ เวลานั้นเสี่ยวกู่จื่อและเสี่ยวจุ้ยกำลังป่วยหนัก กำลังจะตายอยู่ในซากวัด เมื่อศิษย์พี่ไป๋พิจารณาถึงอาการป่วยของทั้งสอง เขาก็พบว่าทั้งสองคนครอบครองรากวิญญาณดังนั้นเขาจึงพาทั้งสองคนกลับมาที่โรงเรียน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะความมหัศจรรย์ในฝีมือของศิษยพี่ค่วงจู๋ พวกเขาก็คงจะตายไปนานแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สองพี่น้องเติบโตมาได้จนถึงจุดนี้เพราะศิษย์พี่ไป๋ได้เสียสละเวลาในการฝึกตนของเขาชุบเลี้ยงทั้งสองคนทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่ลังเล 


 


 


ในขณะที่ได้ยินว่าเสี่ยวกู่จื่อและน้องสาวของเขากำพร้า โม่เทียนเกอก็พูดแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเขา 


 


 


อย่างไรก็ตาม เสี่ยวกู่จื่อก็ยืดตัวตรงและโต้ตอบในทันที “ใครบอกว่าข้ากำพร้า ศิษย์พี่ค่วงจู๋ ศิษย์พี่ไป๋ น้องสาวและข้าเป็นครอบครัวที่มีความสุขต่างหาก”  


 


 


โม่เทียนเกอระเบิดหัวเราะออกมา นางแกล้งแหย่อย่างอดไม่ได้ “ตอนที่ข้าคิดว่าเจ้ากำพร้า ข้าตั้งใจว่าจะให้ของดีแก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็น”  


 


 


แน่นอนอยู่แล้ว เสี่ยวกู่จื่อดูเจ็บปวดใจจากคำพูดของตัวเองทันที อย่างไรก็ตามหลังจากที่อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูด “เทียบกับสิ่งดีๆ บางอย่าง ครอบครัวของข้าก็ยังสำคัญกว่า เสี่ยวกู่จื่อไม่ได้กำพร้าอยู่ดี”  


 


 


ใบหน้าเปื้อนยิ้มของท่านอารองและเทียนเฉี่ยวแวบเข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอทีละคนหลังจากที่นางได้ยินเสี่ยวกู่จื่อพูด 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางที่มึนงงของนาง เสี่ยวกู่จื่อผู้ที่คุ้นเคยในการอ่านความคิดผ่านการแสดงออกและภาษากายของคนอื่นรู้ได้ในทันทีว่านางกำลังระลึกถึงใครบางคนจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย “พวกเราเดินเล่นกันมานานแล้ว มีสถานที่ไหนที่ถูกใจท่านอาจารย์ลุงบ้างหรือไม่ขอรับ”  


 


 


เมื่อเขาถามเช่นนี้ พวกเขาก็บังเอิญหยุดยืนอยู่หน้าห้องหินที่ค่อนข้างเงียบ ถึงแม้ว่าจะแตกหักเล็กน้อย แต่ก็ยังมีสิ่งของที่จำเป็นอยู่ เพราะนางไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเดินเล่นไปทั่ว โม่เทียนเกอจึงพูดตอบโดยไม่ได้คิดอะไร “ที่นี่ก็พอใช้ได้”  


 


 


จากกระเป๋าเอกภพของเขา เสี่ยวกู่จื่อหยิบหยกบันทึกสีขาวที่สลักตราโรงเรียนเสวียนชิงออกมาและแขวนไว้ที่ประตูห้องหิน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาละอายใจเล็กน้อยเพราะเขาทำให้ท่านอาจารย์ลุงเศร้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเขาจึงลังเลที่จะเดินกลับไป 


 


 


เมื่อเห็นเสี่ยวกู่จื่อพูดและทำในสิ่งที่เขาต้องการเสร็จแล้วแต่ยังไม่ยอมกลับ โม่เทียนเกอจ้องมองที่เขา เสี่ยวกู่จื่อผู้มีวาจาคมคายรีบพูดอย่างตะกุกตะกัก “ถ้าท่านอาจารย์ลุงรู้สึกเบื่อที่ไม่มีเพื่อน ท่านสามารถไปที่บ้านของพวกเราเพื่อเล่นได้นะขอรับ”  


 


 


โดยที่ไม่รอคำตอบของโม่เทียนเกอ เขารีบหนีและหายไปจากสายตาของโม่เทียนเกออย่างรวดเร็ว 


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม ทว่าเมื่อนางเห็นฝุ่นที่ปกคลุมไปทั่วห้องที่ผุพัง ท่าทางของนางก็ดูมัวหมอง หลังจากที่นางทำความสะอาดห้องที่ชำรุดทรุดโทรมและวางม่านพลังป้องกันนางจึงเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน 


 


 


ทันทีที่นางเข้าไปในกระท่อมของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวจ้อยก็วิ่งเข้ามาหานาง มันหมอบอยู่ข้างๆ นางและเริ่มที่จะส่งเสียง “วู้ๆๆ”  


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอลูบที่หน้าผากของสัตว์วิเศษไฟนรก นางก็พบว่ามันพยายามที่จะเบียดตัวเองให้เข้าไปในกระเป๋าสัตว์วิญญาณของนาง มันพยายามทำตัวโค้งงอไปที่เอวของนาง 


 


 


โม่เทียนเกอถามอย่างตกตะลึง “เจ้าอยากออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ”  


 


 


เจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยเงยหน้าและส่งเสียงร้อง “วู้ๆ” อีกครั้ง สายตาของมันช่างน่าสงสารอย่างมาก 


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางจึงลูบหัวมันและถอนใจ “กลายเป็นว่าเจ้าก็รู้สึกเหงาเป็นเหมือนกันสินะ”  


 


 


ผ่านมาก็สองปีแล้วตั้งแต่ที่นางย้ายเจ้าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยนี้เข้ามาที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงแม้ว่าจะมีแมลงบ้างเล็กน้อยเช่น ผีเสื้อ และแมลงบินได้อื่นๆ มันก็ไม่มีสัตว์วิเศษอื่นอีก คงเป็นเรื่องปกติที่มันจะรู้สึกโดดเดี่ยว ตัวนางเองก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ 


 


 


นางเข้าร่วมการจลาจลของสัตว์ปีศาจเพราะนางรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนั้นหรือ? ความโดดเดี่ยวเช่นนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับจิตใจแห่งลัทธิเต๋า ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนต้องการการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันเพื่อสัมผัสถึงความสุขของการมีชีวิตอยู่ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ท่าทางของสัตว์วิเศษไฟนรกช่วยให้นางมีความคิดหนึ่งขึ้นมา 


 


 


“ข้างนอกมันอันตรายมาก ข้ายังพาเจ้าออกไปตอนนี้ไม่ได้ แต่ข้าสามารถพาเพื่อนมาอยู่กับเจ้าได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร”  


 


 


สัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยเงยหน้าขึ้นจ้องมองที่โม่เทียนเกอด้วยดวงตาดำกลมโตน้ำตาคลอก่อนที่จะส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข 


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะ ลูบหัวมันและหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนอีกครั้ง 


 


 


อย่างไม่คาดคิด คำพูดของเสี่ยวกู่จื่อสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจของนางจนทำให้ไม่มีสมาธิ แต่สำหรับคนที่เข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้แล้วนั้น โม่เทียนเกอสามารถทำให้จิตใจของนางสงบนิ่งได้ภายในเสี้ยววินาที 


 


 


เมื่ออรุณรุ่ง โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงเครื่องรางเรียกขานที่ลอยมายังที่พักของนาง นางจึงหยุดฝึกตนและออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน 


 


 


มันคือเครื่องรางเรียกขานที่ส่งมาจากเสี่ยวกู่จื่อเพื่อบอกว่าเขาใส่ชื่อของนางเข้าไปในรายนามผู้ฝึกตนสันเขาเฉียนเหมินผู้ซึ่งจะร่วมต่อสู้กับเหล่าสัตว์ปีศาจและเขาได้แจ้งโรงเรียนแล้ว แล้วยังได้มีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามในปัจจุบันมาบอกด้วยเช่นกัน 


 


 


เมื่อรับทราบเนื้อหา โม่เทียนเกอเพียงแค่ตอบกลับสั้นๆ และจัดระเบียบสิ่งของต่างๆ ต่อก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง 


 


 


เสี่ยวกู่จื่อบอกว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดอยู่ที่ขอบเขตของสำนักเทียนเต้า ตั้งแต่ที่โรงเรียนตานติ่งแตกพ่ายและย้านถิ่นฐานไป ภูเขาเทียนหัวก็กลายเป็นสถานที่ที่ถูกลืม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสัตว์ปีศาจต่างก็มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น 


 


 


ความคิดแวบเข้ามาในหัวของโม่เทียนเกอ ในเมื่อสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ การจับสัตว์ปีศาจตัวเล็กๆ ก็ปลอดภัยที่สุดจริงไหม 


 


 


นางตัดสินใจโดยไม่รอช้า เมื่อนางแจ้งเสี่ยวกู่จื่อ นางจึงควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินตรงไปที่ป่าทันที 


 


 


เพราะการต่อสู้ด้วยพลังเวทที่เกิดขึ้น สัตว์ปีศาจที่ปกติมักจะอยู่แถวนั้นต่างถูกจับไม่ก็ย้ายถิ่นฐานไป นางใช้จิตสัมผัสของนางในการหาอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถเจอร่องรอยของสัตว์ปีศาจได้ 


 


 


โม่เทียนเกอหยุดอยู่กลางอากาศ ใช้จิตสัมผัสของนางอย่างตั้งใจตรวจสอบพื้นที่รอบๆ จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังกินพื้นที่ได้ตั้งแต่หลายลี้ถึงหลายสิบลี้ อย่างไรก็ตามเพราะนางฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอจึงแข็งแกร่งมากกว่าผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป จิตสัมผัสของนางสามารถส่งไปได้ถึงเกือบร้อยลี้!  


 


 


ตอนนี้นางตั้งใจในการตรวจสอบพื้นที่โดยค่อยๆ ขยายจิตสัมผัสของนางออกไป ในที่สุด นางก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณอ่อนๆ จากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 


 


 


อย่างไรก็ตาม สถานที่ที่นางสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณนั้นอยู่นอกขอบเขตของจิตสัมผัสของนาง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามาจากสัตว์ปีศาจหรือผู้ฝึกตน 


 


 


สำหรับโม่เทียนเกอผู้ซึ่งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วนั้น ระยะทางร้อยลี้ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะโม่เทียนเกอไม่ได้สัมผัสถึงความผันผวนของพลังวิญญาณอื่นนอกจากที่นี่ นางจึงตัดสินใจที่จะลองไปตรวจสอบดู จึงควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 


 


 


เมื่อนางเดินทางไม่กี่ลี้จะถึงแหล่งความผันผวนของพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอจึงเริ่มระมัดระวังตัว อีครั้งหนึ่งที่นางปล่อยจิตสัมผัสเพื่อตรวจสอบพื้นที่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่นางทำเช่นนั้น นางก็ต้องตกใจ ความผันผวนของพลังวิญญาณนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัตว์ปีศาจ มันเกิดขึ้นเพราะมีคนกำลังต่อสู้กันด้วยพลังเวท!  


 


 


ด้วยพลังวิญญาณของคนหลายคน ความตั้งใจที่จะฆ่าปรากฏได้อย่างชัดเจน ในทางกลับกัน พลังวิญญาณที่เป็นของคนที่กำลังถูกโอบล้อมนั้นให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยสำหรับนาง 


 


 


ด้วยความตกใจ โม่เทียนเกอรีบควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้เร็วขึ้นและรีบไปยังแหล่งของพลังวิญญาณที่ผันผวนนั้น นางกำลังคาดเดาว่าผู้นั้นคือใคร ในความคิดของนาง นางค่อยๆ ตัดศิษย์พี่ของนางที่คุ้นเคยออกทีละคนแต่… 


 


 


ทันใดนั้น โม่เทียนเกอนึกขึ้นถึงหนึ่งคน เยี่ยจิ่งเหวิน!  


 


 


เมื่อวานนี้เสี่ยวกู่จื่อพูด “ก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์ลุงเยี่ยอยู่กับพวกข้า ท่านอาจารย์ลุงจะได้พบเขาในไม่ช้า”  


 


 


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เสี่ยวกู่จื่อพูดไว้ “ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้ฝึกตนภายในพันธมิตรคุนอู๋นั้นไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก” เป็นการพูดน้อยกว่าความจริงอย่างมาก 


 


 


เวลานานมากแล้วที่นางและศิษย์พี่เยี่ยเจอกันครั้งสุดท้าย แล้วนี่พวกเขาจะต้องเจอกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น่ะหรือ  

 

 


ตอนที่ 130-1 การต่อสู้ระหว่างสองก๊ก

 

“วั่นหงอัน! เราทั้งคู่ต่างเป็นศิษย์จากเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ ทำไมเจ้าถึงดักโจมตีข้าเล่า! เยี่ยจิ่งเหวินจ้องเขม็งไปที่ผู้ฝึกตนสามคนด้านหน้าเขา 


 


 


หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาเป็นชายอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปี หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ทว่าหนวดสั้นทรงเขี้ยวทำให้เขาดูหยาบโลน 


 


 


สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เยี่ยจิ่งเหวินพร้อมกับยิ้มเยาะ “เจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่หรือ ฮึ่ม! อย่าพูดอะไรที่ฟังดูสูงส่งเช่นนั้นเมื่อพวกเจ้าคนจากโรงเรียนเสวียนชิงได้ผลประโยชน์มากมายจากหายนะครั้งนี้เหมือนกัน ตอนนี้เมื่อจลาจลของสัตว์ปีศาจใกล้จะถึงจุดจบ คนที่สติดีๆ คนไหนจะไม่พยายามหาประโยชน์อะไรจากมันบ้างล่ะ”  


 


 


“เจ้า!!!” ใบหน้าเยี่ยจิ่งเหวินซีดเผือดแต่ไม่นานก็กลายเป็นแดงก่ำ เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ไม่ลงรอยกัน ถึงแม้ตัวเขาเองจะไม่เคยทำอะไร แต่เขาก็รู้ดีถึงสิ่งที่ศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงคนอื่นๆ ได้ทำไว้ เจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เดินตามทางฝ่ายธรรมะ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีศิษย์บางคนที่มีนิสัยน่ากังขาซึ่งฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้กระทำการอะไรบางอย่าง เพื่อเห็นแก่สถานการณ์ทั้งหมด พวกอาจารย์ทำได้เพียงหลับหูหลับตากับการกระทำของศิษย์พวกเขา ในท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการฝึกตนไหนก็ไม่ใช่ว่าศิษย์ทุกคนจะเป็นคนที่เที่ยงธรรม 


 


 


คนผู้นั้นมองเยี่ยจิ่งเหวิน ขึ้นๆ ลงๆ พลางลูบหนวดสั้นของเขาและหัวเราะใส่สหาย “วันนี้เราหยุดกันหลังจากเสร็จสิ้นจากเจ้านี่เถอะ ท้ายที่สุดแล้วไอ้เด็กคนนี้ก็มีของดีเพียบ!”  


 


 


“ได้สิ” ชายอีกคนที่กำลังจ้องเยี่ยจิ่งเหวินเผยสีหน้ามุ่งร้ายออกมา “ไอ้เด็กคนนี้ฆ่าสัตว์ปีศาจไปมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คาดว่าเขาน่าจะได้มาหลายอย่างเสียจนไม่มีที่เก็บเลยล่ะ มันไม่ดีสำหรับพวกเรารึที่จะช่วยสงเคราะห์เขาและเก็บของไว้ให้แทนน่ะ”  


 


 


“เจ้าพูดถูกเผง! พวกเรานี่ช่างใจดีจริง ฮ่าฮ่า…”  


 


 


ชายสามคนคว้ากระบี่ของแต่ละคนออกมาและเดินเข้าไปหาเยี่ยจิ่งเหวิน 


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินเห็นการกระทำของพวกเขา ก็ทำท่ามุทราให้กระบี่ที่อยู่ด้านหลังเขาบินออกจากฝักของมัน 


 


 


ผู้ฝึกตนคนที่ชื่อวั่นหงอันหันหน้าไปหัวเราะกับสหายของเขา “ดูเขาสิ! สำนักกู่เจี้ยนของเราเชี่ยวชาญในการฝึกตนสายกระบี่ แต่เขายังอยากจะเอากระบี่ของเขาออกมาต่อหน้าพวกเราอีก!”  


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างดังของทั้งสามคน 


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินยังคงใจเย็น มือกำเครื่องรางไว้มากมาย วิชาการฝึกจิตที่ฝึกในโรงเรียนเสวียนชิงคือวิชาของโรงเรียนลัทธิเต๋า อย่างไรก็ตาม ทักษะของศิษย์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเภทเดียว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องราง ยา กระบี่ ทุกสิ่งล้วนถูกฝึกฝน เยี่ยจิ่งเหวินคือหนึ่งในศิษย์ที่ฝึกวิชาการฝึกตนสายกระบี่ 


 


 


แม้กระนั้น สำนักกู่เจี้ยนซึ่งผู้ฝึกตนสายกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในคุนอู๋มารวมตัวกันก็คือกลุ่มใหญ่ที่สุดที่เชี่ยวชาญในวิชาการฝึกตนสายกระบี่โดยแท้ ค่อนข้างจะยากสำหรับผู้ฝึกตนสายกระบี่ตัวจริงที่จะก้าวหน้าไปสู่ดินแดนถัดไปมากกว่าผู้ฝึกตนธรรมดา ทว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนอื่นๆ ในดินแดนเดียวกับพวกเขานัก ยิ่งไปกว่านั้น สำนักกู่เจี้ยนฝึกศาสตร์แห่งกระบี่มาหลายชั่วอายุคน พวกเขาต้องมีวิชาลับมากมายแน่นอน เพราะเหตุผลเหล่านี้ เยี่ยจิ่งเหวินจึงไม่กล้าจะดูถูกคู่ต่อสู้ของเขา 


 


 


ในหมู่ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยนทั้งสามคนต่อหน้าเขา มีเพียงคนเดียวที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ในขณะที่อีกสองคนอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เขาแอบประเมินสถานการณ์อย่างลับๆ คนที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแก่กว่าเขา ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเขาต้องมีประสบการณ์อัดแน่นมากกว่าอย่างแน่นอน ในกรณีที่คนผู้นั้นยังฝึกวิชาลับบางอย่างด้วย โอกาสชนะของเยี่ยจิ่งเหวินจึงน้อยนิด อย่างไรก็ตาม สองคนที่อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเป็นกรณีที่ต่างไป เขายังสามารถสู้กับพวกนั้นได้อยู่ 


 


 


ในเวลาเสี้ยววินาที เยี่ยจิ่งเหวินตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้อวดดีขนาดที่จะคิดว่าเขาสามารถเอาชนะพวกนั้นทั้งหมดได้ แต่ถ้าเขาอยากหนีออกจากเงื้อมมือพวกนั้น เขาก็ยังพอมีความมั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ ตราบใดที่เขาสามารถวิ่งกลับไปยังศูนย์สันเขาเฉียนเหมินได้ คนพวกนี้ก็ไม่กล้าจะทำอะไรแน่ ผู้จัดการที่นั่นคือศิษย์พี่ค่วงจู๋ ถึงแม้ว่าเขาแทบจะไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นท้าย นอกจากนี้ ศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังงานคนอื่นๆ จากโรงเรียนเสวียนชิงก็อยู่ที่นั่น นี่อาจเพียงพอแล้วที่จะขัดขวางคนพวกนี้ 


 


 


บัดนี้เมื่อทำการตัดสินใจเช่นนี้แล้วในจิตใจ เขาไม่รอจนกระทั่งทั้งสามคนเข้ามาใกล้และเคลื่อนกระบี่ของเขาออกไปทันที ควบคุมให้มันมุ่งไปทางวั่นหงอัน ในขณะเดียวกัน เขายังแกว่งมืออีกข้างโยนเครื่องรางจำนวนหนึ่งไปทางศัตรูทั้งสามคนโดยไม่สนใจราคาของเครื่องรางพวกนั้นเลย 


 


 


ผู้ฝึกตนสามคนนั้นตอนแรกกำลังหัวเราะกันอยู่ แต่ชั่วขณะที่เห็นการกระทำของเขา สีหน้าของพวกเขากลายเป็นขึงขังขึ้นมาทันที วั่นหงอันยกกระบี่ขึ้นและเริ่มสู้กับเยี่ยจิ่งเหวิน อีกสองคนรวมตัวและยืนอยู่ด้วยกันทันที ทั้งคู่ยกกระบี่ขึ้นเพื่อใช้ศาสตร์กระบี่ เกราะแสงปรากฏขึ้นจากปลายกระบี่ของพวกเขาและล้อมรอบตัวพวกเขาทันใด เมื่อเครื่องรางตกไปที่พวกเขา มันก็กระเด้งกลับออกจากเกราะแสงนั้นเอง 


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ เยี่ยจิ่งเหวินก็แอบรู้สึกเสียดาย วิชาวาดเครื่องรางค่อนข้างเป็นปัญหา เครื่องรางส่วนใหญ่ที่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขามีในครอบครองก็มักจะได้รับมาจากท่านอาจารย์ ทว่าบางอันก็ทำขึ้นมาด้วยตัวพวกเขาเอง มีเครื่องรางอย่างน้อยสามถึงห้าอันในกองที่เขาเพิ่งเขวี้ยงไป แต่กระนั้นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งสองคนก็สามารถหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย สมแล้วที่สำนักกู่เจี้ยนมีกิตติศัพท์ในเรื่องความแข็งแกร่ง 


 


 


ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ง่ายๆ เขาเข้าโรงเรียนเสวียนชิงเมื่อครั้งเขายังเป็นแค่เด็ก เขาเปลี่ยนจากศิษย์ธรรมดาตัวเล็กๆ ไปเป็นศิษย์ภายในและจากนั้นก็เป็นศิษย์ภายในชั้นสูง เขาก้าวจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน จากนั้นเขายังฝึกตนต่อจนสามารถเข้าถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ในเวลาไม่นาน เขาเชื่อว่าเขาทำเต็มที่ในทุกย่างก้าว ตอนนี้ต่อให้พวกนั้นต้องการพิชิตเขา ก็คงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!  


 


 


หลังจากผลัดกันโจมตีหลายครั้ง วั่นหงอันตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างลำบาก การอยู่ในศูนย์เดียวกับเยี่ยจิ่งเหวิน เขาเคยเห็นเยี่ยจิ่งเหวินสู้มาก่อนอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดคิดว่าเด็กคนนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้และไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาผู้ฝึกตนสายกระบี่ระดับหัวกะทิของสำนักกู่เจี้ยนเลยแม้แต่น้อย!  


 


 


วั่นหงอันชักกระบี่บินของเขากลับคืน แสร้งทำท่าดุดันและพูดว่า “ไอ้หนู! เอาของๆ เจ้าออกมาเร็วๆ แล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า!”  


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินผู้ที่แขนเสื้อเพิ่งถูกฟันขาดเพียงแค่ยิ้มบูดเบี้ยวหลังจากได้ยินสิ่งที่วั่นหงอันพูด “อะไรนะ เจ้ากลัวความตายงั้นรึ” หากเขาไม่สามารถหนีได้จริงๆ และต้องเดิมพันด้วยชีวิต ไอ้วั่นหงอันผู้นี้ก็จะไม่ได้ออกไปอย่างมีชีวิตเป็นแน่!  


 


 


ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ลำบาก เขาก็ยังไม่ยอมก้มหัวให้ วั่นหงอันตกตะลึงแต่ไม่ช้าจิตใจเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ เขาเหลือบมองสหายทั้งสองคนของเขา 


 


 


หลังจากเห็นวั่นหงอันเหลือบมอง ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนทั้งสองคนเปลี่ยนทิศทางทันที พวกเขาแยกตัวกันและแต่ละคนต่างขยับไปคนละทาง 


 


 


สีหน้าของเยี่ยจิ่งเหวินยิ่งสง่าผ่าเผยมากขึ้น จากนั้นเขาได้ยินเสียงเยาะเย้ยของวั่นหงอัน “เจ้าต้องถูกบังคับถึงจะยอมจำนนสินะ! ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองม่านพลังดาวพันร่างของสำนักกู่เจี้ยนของเรา!”  


 


 


ทั้งสามคนยืนอยู่ที่สามตำแหน่งแตกต่างกันรอบตัวเยี่ยจิ่งเหวิน ทั้งหมดยกกระบี่ขึ้น หลับตาและพึมพำร่ายคาถา 


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินไม่อยู่นิ่ง เขาเรียกกระบี่บินของเขากลับมาทันทีและมองสภาพรอบตัวอย่างระมัดระวัง ม่านพลังดาวพันร่างเป็นม่านพลังกระบี่ที่มีเอกลักษณ์ของสำนักกู่เจี้ยน ต้องใช้คนวางตั้งแต่สามคนถึงสิบล้านคน เมื่อมันถูกวางแล้ว ภายในม่านพลังจะเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า ถึงอย่างนั้นม่านพลังกระบี่นี้ก็ไม่ใช่ม่านพลังที่วางได้ง่ายๆ มันจำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณจำนวนมหาศาล ดังนั้นทั้งสามคนนี้ไม่ได้ทำได้อย่างง่ายดายแน่นอน 


 


 


โดยไม่รอให้ทั้งสามคนวางม่านพลังกระบี่เสร็จ เยี่ยจิ่งเหวินเหวี่ยงแขน แทงกระบี่ไปด้านหน้า กระบี่ดูเหมือนจะพุ่งไปทางด้านวั่นหงอันแต่ทันทีที่พวกเขาขยับเพื่อปัดป้องกระบี่นั้น เยี่ยจิ่งเหวินตบเครื่องรางที่เขาถืออยู่ในมือและหายตัวไปในพื้นดินในชั่วพริบตา 


 


 


“หนีลงดิน! มันคือเครื่องรางหนีลงดิน!” วั่นหงอันตะโกน จากนั้นเขาเหวี่ยงกระบี่ของตัวเอง ปล่อยพลังกระบี่ที่เหมือนลำแสงยิงลงสู่พื้นดิน หลังจากนั้นพวกเขาเห็นแสงพลังงานทางจิตวิญญาณวูบวาบซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจนกำลังหนีไปในระยะไกลอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ไล่ตามไป!”  


 


 


โม่เทียนเกอยืนอยู่บนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวถือกระสวยอัปสราในมือนาง นางไม่ซ่อนตัวตนอีกต่อไป แรงของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานจึงแพร่กระจายออกไปทันที ขณะเดียวกันนั้นเอง กระสวยอัปสราถูกปล่อยออกไปและเคลื่อนที่ไปตัดหัวของหัวหน้ากลุ่มโดยทันที 


 


 


“ใคร!” คนผู้นั้นตะโกนและขยับร่างกายเพื่อเลี่ยงกระสวยอัปสรา เมื่อเขาเห็นเส้นผมที่ถูกฟันขาดมากมายลอยลงมา เขาหวาดกลัวและทั้งร่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ทันที 


 


 


ด้วยเสียงเย็นเยือก โม่เทียนเกอพูดว่า “เจ้าเป็นใคร บังอาจรุมศิษย์พี่โรงเรียนเสวียนชิงของข้า!”  


 


 


นาทีที่ทั้งสามคนได้มองเห็นหน้าตาของนางชัดๆ พวกเขาต่างเหลือบมองกัน ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน… 


 


 


ตอนนี้เยี่ยจิ่งเหวินออกมาจากพื้นดินแล้ว เขาร้องเรียกด้วยความประหลาดใจและดีใจ “เทียนเกอ!”  


 


 


ครั้นเห็นว่าทั้งสามคนดูเหมือนมีเจตนาจะจากไป โม่เทียนเกอก็ส่งเสียง “ฮึ่ม” ก่อนจะปล่อยกระสวยอัปสราออกไปอีกครั้ง เข็มบินได้จำนวนมากถูกซ่อนไว้ในแสงสีทองเป็นการซุ่มโจมตี นางยังขยายแก่นจิตสัมผัสของนางออกไปอย่างลับๆ ด้วย 


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินก็ตอบสนองอย่างเร็วเช่นกัน ด้วยการโบกมือ กระบี่บินของเขาเคลื่อนออกไปโจมตีอีกครั้ง ประสานเข้ากับกระสวยอัปสราของนางเพื่อขัดขวางการโจมตีกลับของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสองคน 


 


 


เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแค่ในเวลาชั่วพริบตา พวกเขาไม่มีโอกาสวางม่านพลังดาวพันร่างให้สำเร็จ วั่นหงอันทำได้แค่คอยขยับตัวหลบการโจมตีที่เข้าหา แต่ไม่นานหลังจากเขาทำเช่นนั้น เขาก็ได้ยินเสียง “อ๊ากกก!” ขณะที่สหายของเขาคนหนึ่งล้มลง เขาหันกลับไปดูสหายของเขาอีกคนที่ตัวซีดเผือดสุดขีดกำลังพยายามสกัดกั้นกระบี่บินของเยี่ยจิ่งเหวิน 


 


 


วั่นหงอันคลำรอบเอวของเขา คว้าเครื่องรางมาและติดเข้าที่ตัว ทันใดนั้นเองเขาก็หายตัวไป หนีไปโดยไม่คำนึงถึงชีวิตสหายของเขาแม้แต่น้อย 


 


 


แทนที่จะไล่ตามเขา โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินยังคงโจมตีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นคนนั้นต่อ เมื่อต้องเผชิญกับการจู่โจมคู่จากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางสองคน เขาเสียสติทันที เมื่อไม่มีโอกาสจะสู้กลับ เขาถูกฆ่าตายอย่างง่ายดายตรงนั้นเอง 


 


 


เมื่อการต่อสู้จบลง เยี่ยจิ่งเหวินเพียงแค่เหลือบมองไปทางที่วั่นหงอันหนีไป ก่อนจะชักกระบี่กลับมา จากนั้นเขามองมาที่โม่เทียนเกอและพูดว่า “เทียนเกอ เจ้ามาลงเอยที่นี่ได้อย่างไร? ข้าได้ยินว่าเจ้าหายตัวไประหว่างการต่อสู้ในโรงเรียนต้านติงเมื่อสองปีก่อน เจ้าสบายดีไหม”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าให้เขาและหัวเราะ “พี่ใหญ่เยี่ยดูข้าสิ ข้าดูเหมือนคนที่ไม่สบายงั้นหรือ”  


 


 


เยี่ยจิ่งเหวินพูดไม่ออก หลังจากเขามองโม่เทียนเกอขึ้นลง เขาถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเข้าสู่ขั้นกลางแล้วรึ”  


 


 


คำถามของเขาทำให้นางค่อนข้างงุนงง “ข้าเข้าสู่ขั้นกลางเมื่อสองปีก่อน พี่ใหญ่เยี่ยไม่รู้หรือ”  


 


 


“หา” เยี่ยจิ่งเหวินสับสนอย่างจริงจัง เกิดอะไรขึ้น?  


 


 


โม่เทียนเกอกวาดตามองศพที่อยู่บนพื้นและบอกว่า “พี่ใหญ่เยี่ย ค่อยคุยกันหลังจากเรากลับไป”  


 


 


“… ตกลง”​​​​​​​ 


 


 


หลังจากจัดการกับศพของศิษย์สำนักกู่เจี้ยนทั้งสอง ทั้งคู่ก็เหาะกลับไปอย่างช้าๆ  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม