ลิขิตกลกาล 126-132

ตอนที่ 126 ส่งคืน

 

“เอากลับไปเถิด!” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้าหนีฝืนตัวเองไม่ให้มองไปที่ด้านบนของเหล่านั้น


 


 


“คุณหนูซู หมายความว่าอย่างไรขอรับ? หลิวจือสงสัยว่าตัวเองจะหูฝาดไป คุณหนูซูให้เขาเอาของทั้งหมดกลับไป?! นี่…นี่ไม่ใช่คนปกติแล้ว ต่อให้เป็นตัวเขาเองหากมีคนมอบของล้ำค่าให้เยอะแยะมากมายเช่นนี้ จิตใจของเขาคงเต้นระรัว


 


 


เขาพยายามบังคับไม่ให้ตนเองคิดเป็นอย่างอื่น แต่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจะให้ตนขนกลับไปหมดนี่เลยหรือ? หรือว่า…ของมากมายขนาดนี้กลับไม่มีอันไหนที่ทำให้คุณหนูซูเปลี่ยนใจบ้างหรือ?


 


 


แน่นอนว่าคนที่นายท่านชอบต้องไม่เหมือนผู้อื่น! มีจิตใจโดดเดี่ยวไม่ถูกธรรมเนียมปฏิบัติใดครอบงำและทำให้ไขว้เขวได้ กล่าวได้ว่ามองทองคำราวกับเป็นมูลสัตว์! ความมีคุณธรรมสูงส่งเช่นนี้ทำให้


 


 


หลิวจือรู้สึกว่าความหยาบโลนของตัวเองเมื่อเทียบกับผู้อื่นแล้วเห็นความแตกต่างชัดเจน


 


 


“ข้าบอกให้เจ้ารีบเอากลับไป!” ซูเหลียนอวิ้นสะบัดแขนเสื้อ หันหลังหนีพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้าเอามาจากทางไหนก็เอากลับไปทางนั้น จากนั้นเจ้าจงรีบไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!” นางกลัวว่าหากจิตใจของนางไม่แน่วแน่มากพอ อีกเดี๋ยวหากนางเปลี่ยนใจหันไปรับไว้นั่นจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาแน่!


 


 


แม้ว่าทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้จะป็นสิ่งที่นางชื่นชอบตลอดมา แต่ผู้มีคุณธรรมแม้ชื่นชอบทรัพย์สิน แต่ก็ต้องหามาได้อย่างชอบธรรม ทรัพย์สินที่ได้มาโดยง่ายอย่างนี้ นางมิกล้ารับมาอย่างส่งๆ


 


 


อีกอย่างต่อให้ต้วนเฉินเซวียนไม่มีความหมายใดแอบแฝง แต่เพียงอยากมอบของให้นางเท่านั้นทำไมจะต้องเลือกของมากมายที่มีมูลค่าราคาแพงเช่นนี้?


 


 


หรือว่า…คงมิได้เป็นเพราะเรื่องราวเมื่อวานกระมังเลยอยากจะชดเชยให้นาง?


 


 


ถุย!


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นก็ทำเสียงถ่มน้ำลายในใจ คิดจริงๆ หรือว่าการให้เงินเพียงเท่านี้จะสามารถชำระหนี้ได้?! ต้วนเฉินเซวียนคิดว่าตัวเองเป็นใคร? แล้วคิดว่านางเป็นคนเช่นไร? ถึงได้มอบเงินให้นางตามใจชอบเช่นนี้?


 


 


 


 


 


 


ดังนั้นเมื่อซูเหลียนอวิ้นเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ตอนนั้นจึงหันตัวกลับมา แววตาของนางราวกับมีน้ำค้างแข็งเคลือบอยู่แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอพูดเป็รครั้งสุดท้าย เก็บของของเจ้าแล้วรีบไสหัวออกไปจากจวนตระกูลซูเดี๋ยวนี้!


 


 


เมื่อหลิวจือต้องเผชิญกับปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนอย่างกระทันหันเช่นนี้ของซูเหลียนอวิ้น ตัวของเขาก็เริ่มสั่น


 


 


เขา ตัวเขาพูดอะไรผิดไปหรือ? เมื่อครู่นี้ยังดีๆ อยู่เลย? เหตุใดตอนนี้ถึงให้คนมาเชิญให้เขากลับไป?


 


 


หากจะกล่าวแบบน่าฟังก็คือคำว่าเชิญ แต่ถ้าจะพูดแบบเสียดหูสักหน่อยก็คือตะโกนเรียกให้คนมาจับเขาโยนออกไป!


 


 


คุณหนูซู…ข้าน้อย…” หลิวจือผายมืออกเพื่อต้องการจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองบริสุทธิ์ เนื่องจากตอนนี้เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรผิดตรงไหน?!


 


 


“หลีมู่” เสียงของซูเหลียนอวิ้นแข็งกระด้าง “เจ้าไปตามองครักษ์เข้ามาแล้วเชิญคนผู้นี้ออกไป”


 


 


“ไม่ๆๆ คุณหนูซู ข้าน้อยไปเดี๋ยวนี้แล้ว” หลิวจือรีบปิดฝาลังทุกใบลงอย่างรวดเร็ว “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้! ไม่อยู่กวนใจคุณหนูซูแล้ว!”


 


 


โธ่เอ๊ยเรา มิน่าเล่าช่วงนี้ในเมืองถึงมีข่าวลือว่าอารมณ์ของคุณหนูซูรุนแรง เดิมทีเข้าใจว่าเป็นเพียงข่าวลือเพื่อใส่ร้ายป้ายสีนาง เพราะคนที่งดงามราวหยกราวดอกไม้ แถมยังเป็นธิดาตระกูลใหญ่ที่ดูเปราะบาง


 


 


โหดร้าย จะโหดร้ายได้สักเท่าใดกัน?


 


 


แต่ตอนนี้หลิวจือเชื่อจริงๆ แล้วว่านางโหดร้ายของจริง! หากไม่ขยับตัวคงเอาคนมาลากเขาออกไป! อีกอย่างแม้ว่าเขาจะไม่ขัดขืนแต่ก็ต้องโดนลากออกไปอยู่ดี ตอนนี้นางไม่เพียงแต่ยิ้มเท่านั้นแต่เป็นการยิ้มอย่างมีความสุขจนรอยตีนกาแทบจะพุ่งออกมา?


 


 


 


 


 


 


 


 


อีกอย่างเขาเป็นเพียงคนที่มาส่งของเท่านั้น…ไม่ได้มาตามทวงหนี้ สุดท้ายกลับโดนจับโยนออกมา!


 


 


เฮ้อ หลิวจือถอนใจแทนเจ้านายตัวเอง คุณหนูซูผู้ดุร้าย นายท่าน วันเวลาของท่านต่อจากนี้คงต้องขอให้พระคุ้มครองแล้วกระมัง…


 


 


“คุณหนู…?” หลีมู่ลองเรียกหยั่งเชิง “คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้พวกเรา…?” วันนี้คุณหนูเป็นอะไรไป? คงมิได้หงุดหงิดเพราะโดนกวนตอนนอนกระมัง? มิเช่นนั้นเหตุใดถึงปฏิบัติกับคนที่เคยเห็นหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งอย่างดุร้ายเช่นนี้!


 


 


เพราะหลีมู่เข้าใจซูเหลียนอวิ้นอย่างมาก โดยปกติแล้วต่อให้ซูเหลียนอวิ้นไม่ชอบหน้าผู้ใดมากแค่ไหน อย่างมากก็คงทำเพียงหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นบนใบหน้าเท่านั้น แต่ความกราดเกรี้ยวตรงหน้าตอนนี้ ในความทรงจำของหลีมู่แล้ว นี่ถือเป็นครั้งแรก


 


 


“หลีมู่ กลับ! ข้า อยาก นอน!” เสียงของซูเหลียนอวิ้นแข็งกระด้าง นางต้องการนอนแล้ว นอนไปให้ฟ้าดินสลายไปเลย! ไม่ว่ามีเรื่องราวใดก็ห้ามปลุกนางเด็ดขาด! ปล่อยให้นางจมดิ่งและมัวเมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน


 


 


จวนจิ้งอันโหว


 


 


“นายท่าน…” หลิวจือลากขาหนักๆ หาใดเปรียบเดินกลับไปช้าๆ ที่ห้องหนังสือของต้วนเฉินเซวียน


 


 


“เอ๊ะ?” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นแล้ววางตำราที่อยู่ในมือลง “จัดการไปถึงไหนแล้ว? นางชอบหรือไม่?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ต้วนเฉินเซวียนก็มีท่าทีปลาบปลื้มขึ้นมา


 


 


ของเหล่านั้นเขาต้องทุ่มเทแรงกายอย่างมากกว่าจะหาทุกอย่างมาได้อย่างครบถ้วนรวดเร็ว เพราะเวลาภายในหนึ่งคืนย่อมทำได้อย่างมีข้อจำกัด ทว่าในด้านคุณภาพกลับเอ่ยได้อย่างเต็มปากว่าไร้ที่ติ ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำให้คนชอบได้หรือไม่นั้น ต้วนเฉินเซวียนเองก็มิอาจยืนยันได้เต็มสิบ แต่อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจสักเจ็ดแปดคะแนนได้


 


 


ตอนนี้ภาพที่เขาจินตนาการอยู่ในหัวคือตอนที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นของพวกนี้แล้วสายตาจะต้องเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี


 


 


 


 


 


 


 


 


“ข้าน้อย…ข้าน้อย…” หลิวจือเห็นท่าทางของเจ้านายตัวเองที่พยายามปิดบังความรู้สึกอย่างเต็มที่ แต่แววตาแอบรอคอยยังคงเห็นได้ชัด คำพูดของเขาที่มาจ่อรออยู่ที่ปากจึงไม่รู้จะหาทางเอ่ยออกมาอย่างไร


 


 


นายท่านมิต้องเก็บอาการแล้ว! บ่าวเข้าใจดีว่าตอนนี้ในใจของท่านกำลังรอคอยมากแค่ไหน!


 


 


แต่ว่า ข้าต้องขออภัยด้วย บ่าวคงต้องดับความหวังและความมั่นใจของท่าน…


 


 


“ว่าอย่างไร?” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางการพูดกระอึกกระอักของหลิวจือ เขาก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง ของพวกนี้ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงมิได้ไม่อยากได้พวกมันอีกแล้วกระมัง?


 


 


เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ความเข้าใจในตัวซูเหลียนอวิ้นที่เขามีก็มีเพียงแค่ความเข้าใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ซูเหลียนอวิ้นในชาตินี้ สามารถกล่าวได้ว่าต้วนเฉินเซวียนไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย


 


 


“บ่าวทำให้นายท่านต้องผิดหวังเสียแล้ว!” หลิวจือตะเบ็งเสียงขึ้นอย่างเศร้าใจ “นายท่านคงเป็นเพราะตัวข้าพูดไม่เก่ง แถมยังไม่เป็นที่ต้องชะตาของคุณหนูซู คุณหนูซู…ไม่รับของทั้งหมดแถมยังให้บ่าวขนกลับมาอีกด้วย”


 


 


 แถมนางยังทำท่าทางรังเกียจและไม่ยอมรับของพวกนี้อย่างมากแล้วก็ให้เขานำกลับมาทั้งอย่างนั้น…


 


 


แน่นอนว่าคำพูดนี้ หลิวจือเพียงพูดอยู่ในใจกับตนเองเท่านั้น เพราะหากให้ต้วนเฉินเซวียนรู้เข้า วันนี้เขาจะไม่เพียงทำธุระไม่สำเร็จเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นทำให้คนขายหน้าไม่เหลือชิ้นดีอีกด้วย…คงเป็นครั้งแรกที่นายท่านจำต้องยกกระบี่ขึ้นแล้วประหารเขาทิ้งเสีย


 


 


ดังนั้นบางเรื่องราวปล่อยให้มันเลือนหายไปเงียบๆ เสียดีกว่า


 


 


“ไม่เอา?!” ต้วนเฉินเซวียนลุกพรวดขึ้น “เจ้ากำลังบอกว่าซูเหลียนอวิ้นไม่รับของอะไรไว้เลยสักชิ้นหรือ? แถมยังให้เจ้าขนกลับมาทั้งหมด?!” 

 

 


ตอนที่ 127 ชดใช้

 

“ขอรับ…” หลิวจือถอยกรูดไปด้านหลัง เพื่อที่ว่าอีกครู่หนึ่งเขาจะได้ปลีกตัวหลบออกไปข้างนอกได้อย่างสะดวก “บ่าวนำของทั้งหมดเข้าไปเก็บในห้องเก็บของแล้ว ตรงนั้น นายท่านลองดู…”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองคิดมากจนเกินไป


 


 


คงจะเป็นเพราะนางไม่ถูกใจของที่เขามอบให้ก็เลย…ถูกหรือไม่? ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงไม่ได้รับของไว้ คงไม่ได้เป็นเพราะว่า…ของพวกนี้เป็นของที่เขามอบให้นางจึงไม่รับ


 


 


“เจ้าออกไปเถิด” ผ่านไปครู่ใหญ่ต้วนเฉินเซวียนจึงเอ่ยปากขึ้น ตอนนี้แค่เขาเห็นหลิวจือก็รู้สึกรำคาญแล้ว! เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้แล้วจะเก็บเขาเอาไว้ทำไม!


 


 


“ขอรับนายท่าน! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” หลิวจือหันหลังขวับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากประโยคนี้เป็นประโยคที่เขารอมานานมาก!


 


 


ดูท่าแล้ววันนี้คงต้องกลับไปจวนตระกูลซูอีกสักรอบ ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ คิดทบทวน เพราะเรื่องของความรู้สึกมันต้องค่อยๆ พัฒนาถึงจะเกิดขึ้นได้ อีกอย่าง…แรกพบอาจเป็นคนแปลกหน้าแต่เจอกันอีกคราอาจสนิทสนม เขาคงต้องไปหลายๆ รอบสักหน่อย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาสามารถทำให้ซูเหลียนอวิ้นชอบได้อย่างแน่นอน


 


 


พลบค่ำหลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำผลัดผ้าเรียบร้อยแล้วและกำลังขะเข้านอนอยู่นั้น ขณะที่กำลังจะถอดเสื้อเพื่อเข้านอนอยู่นั้น เงาของคนผู้หนึ่งก็แอบย่องเข้ามาในห้องนางอย่างเงียบๆ


 


 


“ช้าก่อน” น้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนแฝงรอยยิ้มโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว “แน่นอนว่าหากเจ้าต้องการจะนอนแล้ว ข้าก็ไม่ขอรั้ง”


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “!?”


 


 


องครักษ์ของนางตายกันหมดแล้วหรือ?! ถึงขนาดปล่อยให้คนตัวเป็นๆ เข้ามาในเรือนของนางได้! อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เหตุใดคนผู้นี้ถึงมาอีกแล้ว?! ดึกดื่นป่านนี้ ดูท่าแล้วต้วนเฉินเซวียนในตอนค่ำเมื่อเทียบกับช่วงกลางวันแล้ว ท่าทางจะมีปัญหาอย่างแน่นอน!


 


 


ตอนกลางวันก็ดูปกติดี? เหตุใดพอเข้าช่วงค่ำแล้วถึง…หากผิดปกติก็รีบไปรักษาเถิด!


 


 


 


 


 


 


“ท่านเพี้ยนไปแล้วหรือ!” ซูเหลียนอวิ้นหยิบเสื้อคลุมตัวนอกเขวี้ยงใส่ต้วนเฉินเซวียนด้วยความโกรธและอับอาย “หากผิกปกติก็ไปโรงหมอสิ ไปหาหมอหลวงแทนได้ไหม? ที่นี่คือจวนตระกูลซู! ทั้งยังเป็นห้องของข้าด้วย!” ที่นี่ไม่ใช่หลังบ้านของท่าน! ที่จะไปจะมาเมื่อไหร่ก็ได้?


 


 


ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกไปบังเอาไว้ แล้วยังเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ขบขันอยู่ “ข้ามิได้…มาหาเจ้าเพราะมีเรื่องอยากจะพูดหรือ” ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ดูแล้วสบายตากว่ากันเยอะเลย แม้ว่าตอนนี้กำลังโมโหเขาอย่างมากก็ตาม แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าท่าทางของเขาในตอนนั้นที่จ้องเขาโดยไม่มีความรู้สึกใด


 


 


เวลานี้ชุดตัวในของซูเหลียนอวิ้นที่สวมใส่เป็นสีขาวที่ขาวกว่าหิมะไม่แปดเปื้อนความสกปรกใดบนโลก ทว่าแก้มของนางกลับสีแดงระเรื่อเนื่องเพราะความโกรธ สีแดงระเรื่อนั้นแดงเสียยิ่งกว่าชาดทาแก้มคุณภาพดีเสียอีก ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกของเขาในตอนนี้กลับยิ่งรู้สึกว่านางยิ่งมีเสน่ห์และมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น


 


 


ต้วนเฉินเซวียนแอบมองนางพลางกลืนน้ำลาย จากนั้นจึงกระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเราคุยกัน” เหตุใดเขาจึงรู้สึกคันที่จมูก? อีกอย่างในห้องของซูเหลียนอวิ้น เหตุใดถึงร้อนขนาดนี้?


 


 


“ท่าน!” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าสำรวจดูการแต่งตัวของตน จากนั้นอารมณ์โกรธของนางจึงแล่นพ่าน นางโมโหจนสามารถลงมือทำได้ทุกอย่างในตอนนี้ นางจึงหยิบกระบี่ที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงออกมาแล้วเอ่ยว่า “ถึงอย่งไรท่านก็เห็นหมดแล้วกระมัง? ข้าจะยังมัวรอช้าอะไรอยู่อีก? ข้าจะควักลูกตาท่านออกมา เจ็บเพียง


 


 


ครั้งเดียวแล้วให้ปัญหามันจบๆ ไปซะ?”


 


 


แม้ว่าน้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นจะเต็มไปด้วยความเหลียดชัง แต่สุดท้ายแล้วนางก็เพียงหยิบกระบี่ออกมาเท่านั้น แต่กลับมิได้ถอดฝักกระบี่ออก


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นตั้งใจทำท่าโหดเ**้ยมก็อดรู้สึกว่าน่าขันไม่ได้ “ได้สิ ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้รอให้เจ้ามาควักลูกตาของข้าไป” เมื่อเอ่ยจบแล้วก็หลับตาลงด้วยท่าทางยอมแต่โดยดี


 


 


“ข้า…!” ซูเหลียนอวิ้นกุมกระบี่ไว้แล้วยกขึ้นเพื่อข่มขู่


 


 


 


 


 


 


เอาเถิด หากไม่พูดถึงประเด็นที่ว่าตอนนี้นางไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องต้วนเฉินเซวียนแล้ว และพิจารณาเพียงฐานะของต้วนเฉินเซวียนเพียงอย่างเดียวต่อให้นางใช้ความกล้ามากกว่านี้สิบเท่า นางก็ไม่กล้าลงมืออยู่ดี!


 


 


“ทำไมหรือ? ยังมิได้เตรียมตัวหรือ?” ต้วนเฉินเซวียนลืมตาขึ้นแล้วยิ้ม “เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่า หากจะเปรียบความหนาของหนังหน้ากับคนเช่นนี้ นางรีบเรียกคนมาช่วยนางจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะเมื่อชาติที่แล้วต้วนเฉินเซวียนก็อาศัยความหนาของหนังหน้าเขาทำให้คนอื่นต้องพ่ายแพ้ไปกี่คนต่อกี่คนแล้ว! หากเปรียบเทียบความหน้าหนา นางคงต้องยอมแพ้?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวังเพื่อหาทางหนีทีไล่ พลางคิดว่านางควรจะตะโกนเรียนหลานเย่ว์เข้ามาตอนไหนดี


 


 


เจ้ากำลังรอองครักษ์ผู้นั้นของเจ้าอยู่หรือ?” ต้วนเฉินเซวียนหุบยิ้ม “หากเจ้ากำลังรอเขาอยู่จริง เช่นนั้นข้าขอเตือนเจ้าสักคำ เจ้ามิต้องรอแล้ว เพราะข้ามิเคยทำการใดโดยมิได้เตรียมการไว้ก่อน องครักษ์คนนั้นของเจ้าตอนนี้คงหลับเป็นตายไปเสียแล้วรวมถึงสาวรับใช้ของเจ้านางนั้นของเจ้าด้วย ต่อให้เจ้าเรียกจนคอแตก พวกเขาก็คงได้ยินเสียงของเจ้าอีกทีในวันรุ่งขึ้น”


 


 


“ได้!” ซูเหลียนอวิ้นกัดฟันแล้วนั่งลงบนเก้าอี้พลางเอ่ยว่า “สรุปว่าท่านมีเรื่องอะไร? ท่านรีบพูดมาเถิด!” รีบพูดให้จบๆ จะได้ไปให้พ้นหน้านางเสียที! ผู้อาวุโสอย่างท่านอยู่นานกว่านี้ไปแม้แต่ชั่วขณะเดียว นางเกรงว่าจะยิ่งทำให้เวลาในชีวิตของนางต้องเสียไปมากเท่านั้น


 


 


“วันนี้ข้าให้คนของข้ามามอบของให้เจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่รับไว้?” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


 


“อะไรนะ?” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “อ้อ ท่านกำลังพูดถึงเรื่องที่ท่านให้คนรับใช้ของท่านนำลังพวกนั้นมามอบให้ข้าน่ะหรือ?”


 


 


“อืม เหตุใดเจ้าถึงไม่รับไว้?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้ม “หากมิเสียแรงก็มิอาจรับเงินหลวง คาดว่าคุณชายต้วนก็คงเคยได้ยินประโยคนี้กระมัง? อีกอย่างตระกูลซูของเราก็เป็นตระกูลที่มือสะอาดและภักดี ดังนั้นจึงไม่มีทางรับของอย่างไม่มีเหตุผลและไม่มีที่มาที่ไปได้”


 


 


“ไม่มีเหตุผลอย่างไร? มีเหตุผลสิ” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ย “ของที่มอบเพื่อขอโทษเจ้าพวกนั้น ถือว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ”


 


 


ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่! ความโกรธในใจของซูเหลียนอวิ้นยิ่งทวีความรุนแรง รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางยิ่งเย็นชามากขึ้น “คุณชายต้วนกล่าวเกินไปแล้ว ความโกรธแค้นได้จบสิ้นไปแล้ว เหตุใดต้องมาขอโทษขอโพยกันอีกรอบด้วย? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเราทั้งสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วดีหรือไม่? คุณชายต้วนคงจะฟังภาษาคนออกกระมัง?”


 


 


ไม่ว่าจะเป็นชาตินี้หรือว่าชาติที่แล้ว ต้วนเฉินเซวียน ความสัมพันธ์ใดๆ ก็ตามของเราทั้งสองคนควรจะจบสิ้นกันไปตั้งนานแล้ว!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะเอ่ยปากโต้เถียงและทำหน้าถมึงทึงใส่ แต่เมื่อเห็นสายตาโกรธจัดของซูเหลียนอวิ้นแต่กลับพยายามข่มตัวเองไม่ให้สงบลงนั้น อารมณ์พุ่งพล่านของต้วนเฉินเซวียนก็สลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง


 


 


เป็นเขาเองที่ติดหนี้นางเอาไว้ ดังนั้นไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะพูดอย่างไรหรือว่าทำอะไรในตอนนี้ เขาก็ควรได้รับผลทั้งสิ้น อีกอย่างการพูดจาอย่างเย็นชาเช่นนี้ หากเทียบกับคำพูดที่เขาเคยพูดกับนางเมื่อชาติที่แล้วก็ไม่รู้ว่าหนักกว่านางมากเท่าไหร่และเขาผิดต่อนางไปมากเท่าไหร่


 


 


“ขอโทษ” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้า “แต่หากเจ้าไม่ชอบของพวกนั้น ข้าจะส่งคนไปหาของใหม่มาให้ ขอเพียงเจ้าบอกมา ข้าจะหามาให้ได้”


 


 


“อีกอย่างหนึ่ง ข้าติดสินบนเจ้าเสียที่ไหนกัน? ข้าเพียงคิดว่า…” พยายามจะทำเต็มความสามารถของตน เพื่อที่จะ…ชดใช้ให้เจ้าเพียงน้อยนิด 

 

 


ตอนที่ 128 รอยเลือด

 

 


 


“อืม…ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ อย่างนั้นนางไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ได้…


 


 


เพราะตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนดูแล้ว…น่าสงสารทีเดียว? ทำให้นางมิอาจทำใจแข็งเอ่ยปากขึ้นมาอีกรอบได้…


 


 


อีกอย่างสีหน้าท่าทางน่าสงสารขนาดนี้ ดูเหมือนว่าตัวนางเป็นคนร้ายกาจยากที่จะอภัยให้ได้เป็นอย่างยิ่ง! แต่มิใช่สักหน่อย! เห็นชัดๆ ว่าเขาบุกรุกเข้ามาในห้องของนางยามวิกาล คนผิดควรจะเป็นเขามากกว่า? นางจะรู้สึกผิดทำไมกัน?


 


 


ดังนั้นคนทั้งสองจึงเงียบงันไปพักใหญ่ สุดท้ายต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ดูท่าเจ้าจะชอบกระบี่เล่มนี้?”


 


 


“พอได้…” ซูเหลียนอวิ้นตอบไม่ชัดเจนนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดนางถึงไม่อยากให้ต้วนเฉินเซวียนเข้าใจในตัวนางมากเกินไปนัก


 


 


“เจ้าชอบก็ดีแล้ว” รอยยิ้มของต้วนเฉินเซวียนกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


 


“เอ๊ะ?”


 


 


“เอ่อ กระบี่เล่มนี้ ข้าเป็นคนมอบให้เจ้าเอง”


 


 


“อะไรนะ?!” ซูเหลียนอวิ้นสะดุ้งโหยง ต้วนเฉินเซวียนเป็นผู้มอบกระบี่เล่มนี้?! หากรู้แต่แรกว่าเขาเป็นคนมอบให้ นางคงเขวี้ยงกระบี่เล่มนี้ทิ้งไปให้ไกลๆ นางสักสิบจั้งแล้วจะไม่แตะต้องมันอีกแล้วกระมัง? พอถึงตอนนี้ ความรู้สึกของนางได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว…หากนางต้องคืนมันกลับไป…นางคงตัดใจไม่ได้!


 


 


“เห็นไหมเล่า” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยช้าๆ “เจ้ารับของไปแล้วหนึ่งชิ้นก็ถือว่ารับ รับสิบชิ้นก็ถือว่ารับเหมือนกัน จะอย่างไรก็ถือว่ารับเหมือนกัน ดังนั้นเจ้ารับมากน้อยเพียงใดก็เหมือนกันมิใช่หรือ?”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยปากก็เปิดหน้าต่างออกไปด้วยตัวเองแล้วก็พยายามกระโดดออกไปด้วยท่าทางที่สง่างามอย่างที่สุด


 


 


“อ้อ” เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร? กระบี่เล่มนี้ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเรื่องราวเมื่อชาติที่แล้วก็แล้วกัน ส่วนของอย่างอื่นน่ะหรือ? นางมิต้องการ!


 


 


เพราะเอาของเขามากินปากเราก็จะหวาน รับของเขามาใช้เราก็จะเกรงใจเขา ในเมื่อตัวนางรู้ดีว่าไม่มีทางที่จะชดใช้คืนให้เขาได้ทั้งหมด เช่นนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการไม่รับมันเลยจะดีที่สุด


 


 


“ท่านพูดจบแล้วหรือยัง? หากท่านพูดจบแล้วก็เชิญคุณชายต้วนกลับไปได้แล้ว”


 


 


“อืม พรุ่งนี้ข้าจะนำของมามอบให้เจ้า และข้าจะมามอบด้วยตัวเองด้วย” ต้วนเฉินเซวียนเมินเฉยต่อสายตาไล่แขกของของซูเหลียนอวิ้น เขาพยายามคิดว่านางเขินอายก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเขาก็จะมอบให้นางอยู่ดี!


 


 


การจะจีบหญิงผู้หนึ่งให้ติด หน้าต้องหนาหน่อยกระมัง? แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลยก็ตาม


 


 


ผู้หญิงนางหนึ่งอย่างซูเหลียนอวิ้นสามารถแยกแยะของนอกกายกับจิตใจได้ เขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง…ถึงอย่างไรของพวกนั้นเอาวางพักไว้ก่อนก็ดีแล้ว


 


 


“พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่”


 


 


เสียง “ฟึบ” ดังขึ้น สุดท้ายซูเหลียนอวิ้นก็ทนไม่ไหวอีก นางยืนนิ่งแล้วดึงกระบี่ออกมา แต่ในขณะที่นางชักกระบี่ออกมาก็มีแรงแห่งความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงออกมาพร้อมกันด้วย


 


 


ต้วนเฉินเซวียนมิได้ระวังตัวเอาไว้ก่อน เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ฉับพลันทันด่วนเช่นนี้ก็รับมือไม่ทัน แม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบแต่สุดท้ายก็โดนพลังของกระบี่ฟันเข้าให้ที่หัวไหล่อยู่ดี


 


 


ตอนนั้นเอง บริเวณหัวไหล่ของเขาก็ปรากฏรอยสีแดงขึ้น


 


 


ผ่านไปพักหนึ่งก็เกิดเสียง ‘แครก’ ดังขึ้น ตู้หนังสือที่อยู่ห่างจากด้านหลังของต้วนเฉินเซวียนไปไม่ไกลก็แยกออกจากกันเป็นสองท่อน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพลังของกระบี่เมื่อครู่นี้มีแววอาฆาตแค้นอย่างรุนแรง


 


 


“ท่าน…” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมืออกไปหวังจะพยุงต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ แต่พอคิดดูอีกทีก็ตัดสินใจเก็บมือของตัวเองเอาไว้


 


 


นางได้สาบานไปแล้วว่าชาตินี้ชีวิตนี้พวกเขาทั้งสองคนจะไม่มีทางข้องเกี่ยวกันอีก ดังนั้นตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนได้รับบาดเจ็บ…ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง!


 


 


“ท่านรีบกลับไปรักษาแผลเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงแข็ง เพราะอีกประเดี๋ยวหากเลือดหยดลงพื้นคนที่ต้องคอยตามเช็ดก็ต้องเป็นนางอยู่ดี!


 


 


“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนอ้าปากขึ้นจะพูด แต่แม้เพียงเขาจะขยับแค่ริมฝีปาก แต่กลับส่งผลให้เขาเจ็บปวดไปถึงหัวไหล่ ขยับเพียงเล็กน้อยแต่รู้สึกเจ็บอย่างสาหัส


 


 


“ข้าไปก่อน” เขาไม่ต้องการเสียหน้าต่อหน้าซูเหลียนอวิ้น


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องพยายามฝืนตัวเองไม่ให้มีอาการขมวดคิ้ว ต้วนเฉินเซวียนพยายามอย่างยิ่งที่จะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบเช่นเดิม “บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น เจ้ามิต้องกังวล”


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “…”


 


 


ผู้ใดกังวลกันเล่า! การจะคิดเองเออเองแต่ก็ต้องมีข้อจำกัดถูกหรือไม่? มิได้แทงทีเดียวปลิดชีวิตเสียหน่อย! ปากซีดเสียขนาดนั้น พวกกเราอย่ามัวแต่มารักษาหน้ากันหน่อยเลย รีบกลับไปรักษาแผลไม่ดีกว่าหรือ! แน่นอนว่าอย่าลืมรักษาสมองให้หายด้วย!


 


 


…ช่างปะไร ถึงอย่างไรคนที่เจ็บก็ไม่ใช่นาง ดังนั้นหากต้วนเฉินเซวียนจะยังคงวางท่าอยู่ก็ปล่อยให้วางท่าไป ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็มิได้คลั่งไคล้อะไรแล้ว เขาอยากทำเช่นไรก็ปล่อยเขาไป


 


 


จากนั้นซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าลงแล้ววางปลอกกระบี่ไว้บนโต๊ะด้านข้าง โดยที่ทั้งสองมือยังคงถือกระบี่เล่มนั้นเอาไว้แล้วเหม่อลอย


 


 


จังหวะเมื่อครู่นี้เป็นความบังเอิญจริงๆ หรือ? ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ แต่หากเป็นเรื่องบังเอิญ…มันจะบังเอิญเกินไปหรือไม่? เมื่อครู่นี้นางสังเกตอย่างละเอียดแล้ว หากต้วนเฉินเซวียนไม่เบี่ยงตัวหลบ แรงของกระบี่คงจะตัดคอของต้วนเฉินเซวียนเป็นแน่!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นจึงมองไปที่ตัวอักษรจิ้งหว่านแล้วคิดถึงเรื่องราวที่นางกับหรงซู่ได้คุยกันในวันนั้น


 


 


หรือว่า…กระบี่เล่มนี้ต้องการช่วยนางออกแรง? หรือไม่ก็อยากจะช่วยนางล้างแค้น? เพราะว่า…อืม…หรือว่าต้วนเฉินเซวียนเป็นผู้ชายที่ชอบปั่นหัวสตรีเล่น?


 


 


“เฮ้อ…”เมื่อจ้องมองอยู่สักพัก ซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกว่านางไม่พบอะไรผิดปกติเลย!


 


 


อีกอย่างนางลองแกว่งกระบี่ดูอีกรอบหนึ่งแล้ว รวมทั้งนำมันยัดกลับเข้าปลอกแล้วดึงออกมาใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังคง…ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิด? กล่าวได้ว่าไม่แตกต่างจากกระบี่ธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย


 


 


ช่างเถิดช่างเถิด นอนก่อนดีกว่า ซูเหลียนอวิ้นบ่นในใจ เพราะกลางดึกเช่นนี้ แม้ว่านางจะมีแสงเทียนเป็นเพื่อน แต่สุดท้ายแล้วกลางคืนก็ยังเป็นตอนกลางคืน หากนางห่างจากแสงเทียนออกมาไกลหน่อยก็ตกอยู่ในความมืดมิด!


 


 


อีกอย่างเรื่องราวลึกลับเช่นนี้…รอให้เช้าก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลังดีหว่า ยามวิกาลมิควรหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวแบบนี้!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยืนขึ้นและกำลังจะเก็บกระบี่เข้าฝักอีกครั้ง


 


 


แต่ว่าในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าเมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นถือดาบด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยเหตุนี้มือซ้ายของนางจึงรองคมกระบี่เอาไว้ ดังนั้นเมื่อนางดึงกระบี่ด้วยมือขวา มือซ้ายของนางจึงถูกกระบี่กรีดเป็นแผล


 


 


“โอ๊ย!” ซูเหลียนอวิ้นร้องอย่างโหยหวนขึ้นมา และปล่อยกระบี่ลงจากมือทั้งสองข้าง เพราะเมื่อครู่นี้นางน่าจะโดนบาดเป็นแผลลึกทีเดียว? และตอนนี้เลือดก็ออกมาแล้วด้วย!


 


 


แม้ว่ากระบี่จะร่วงสู่พื้น แต่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงไม่สามารถอาลัยอาวรณ์มันได้อีก เพราะบาดแผลบนมือนางเป็นเรื่องสำคัญกว่า!


 


 


ยาที่นำมาจากท่านอาจารย์ในตอนนั้นน่าจะยังมีอยู่กระมัง? ตอนนี้ถึงเวลาต้องนำออกมาใช้แล้ว!


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงก้มหน้าลงมองกระบี่ที่นอนอยู่บนพื้น


 


 


กระบี่ยังคงนอนอยู่บนพื้น ทว่าบนกระบี่เล่มนั้น รอยเลือดที่เปรอะเปื้อนของซูเหลียนอวิ้นที่อยู่บนกระบี่ไม่รู้ว่าเลือนหายไปตั้งแต่เมื่อใด 

 

 


ตอนที่ 129 ฟันขา

 

“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นจ้องมองกระบี่ที่นอนอยู่บนพื้น นางมองอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อกี้นางคงมิได้มองผิดไปกระมัง? รอยเลือดที่ฝ่ามือของนางตอนนั้นก็น่าจะไหลออกมาเพราะกระบี่เล่มนี้?


 


 


เหตุใดตอนนี้กลับ…


 


 


ซูเหลียนอวิ้นถอนหายใจและกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจยอมแพ้ เก็บมันขึ้นมาเหมือนเดิมดีแล้ว ถึงอย่างไร…ท่านอาจารย์ก็เคยบอกแล้วว่ากระบี่เล่มนี้ไม่มีทางทำร้ายนาง? อีกอย่างตามที่นางเคยอ่านนิยายและตำนานหลายๆ เรื่องก็เคยบอกเอาไว้ว่าอาวุธที่มีพลังและจิตวิญญาณอยู่เช่นนี้ จำเป็นต้องได้ลิ้มรสเลือดก่อนถึงจะจดจำเจ้าของได้!


 


 


ในตอนนี้เมื่อนางหลั่งเลือดแล้วก็เท่ากับว่านางเป็นเจ้าของมันแล้ว!


 


 


“กระบี่เอ๋ยกระบี่” ซูเหลียนอวิ้นพยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเองทุกวิถีทาง พร้อมทั้งเก็บกระบี่เข้าปลอกอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็พูดกับกระบี่ขึ้นอีกว่า “องค์หญิงจิ้งหว่านตายไปแล้ว! ดังนั้นมิว่าเจ้าจะอยากแก้แค้นเพียงใดหรือว่าอยากจะทำอะไรก็ตาม ตอนนี้เจ้าของของเจ้าคือข้าแล้ว! ข้ากับองค์หญิงจิ้งหว่านนั้นไม่เหมือนกัน ข้ามิได้มีความทะเยอทะยานมากขนาดนั้น! ดังนั้นดีที่สุดคือเจ้าควรภักดีกับข้าเข้าใจหรือไม่? “


 


 


ดังนั้นอย่าคิดว่าเจ้าถูกตีขึ้นมาอย่างดีแถมยังกระบี่ชั้นยอดแล้วจะทำอะไรก็ได้ หากนางใช้แล้วรู้สึกว่าไม่คล่องมือ กระบี่อย่างเจ้าคงต้องถูกอันเชิญไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ! หรือไม่ก็คืนให้ต้วนเฉินเซวียนซะ! นางจะไม่เสียดายอย่างแน่นอน


 


 


แต่อย่างไรกระบี่ก็เป็นแค่กระบี่เท่านั้น มิใช่คน


 


 


ด้วยเหตุนี้ต่อให้ซูเหลียนอวิ้นบ่นพึมพำกับกระบี่เล่มนี้นานเพียงใด สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเพียงปฏิกิริยาเงียบสงบไร้การเคลื่อนไหวของมันเท่านั้น


 


 


“ช่างเถิด! ถือเสียว่านี่เป็นความผิดแรกของเจ้า วันนี้จึงขอไม่ตำหนิเจ้าแล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นเริ่มเสียงแหบแห้ง นางจึงหันตัวกลับไปรินชาให้ตัวเองจอกหนึ่ง เมื่อคลายจากกระหายแล้ว นางจึงนำกระบี่เก็บเอาไว้ในลังอีกใบหนึ่งในห้อง


 


 


“คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน รอให้ข้าอารมณ์ดีก่อนแล้วค่อยเอาเจ้าออกมา”


 


 


เนื่องจากนางรู้สึกถึงพลังมารของกระบี่เล่มนี้ ดังนั้นตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงมิกล้าวางมันไว้ข้างกายอย่างเด็ดขาด แถมยังอยู่ใกล้ๆ นางตอนนอนขนาดนั้น กลางดึกเกิดมันคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะทำอย่างไร?


 


 


อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นกำลังสงสัยว่า ฝันร้ายของนางในวันนั้น แปดส่วนจะต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างแน่นอน! ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้ค่อยว่ากันที่หลัง


 


 


ซู่ ซู่ เสียงฝนตกกระทบหน้าต่างดังอย่างยิ่ง


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองฝนตกห่าใหญ่ที่คล้ายกับมีคนเทน้ำลงมาจากฟากฟ้า ตอนนี้นางกลับอารมณ์ดีอย่างประหลาด


 


 


ต้วนเฉินเซวียนมิได้บอกว่าจะมาจวนตระกูลซูอีกวันนี้หรือ? ฝนตกแรงเช่นนี้ นางจะคอยดู หากวันนี้เขาไม่มา ฮ่าๆ …ซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้ม


 


 


ช่างเถิด ถึงอย่างไรหากวันนี้เขากล้ามาอีก นางจะรอเขา! จะได้ตัดขาเขาเข้าให้อีกข้าง!


 


 


แม้ว่าจะยังเช้าตรู่แต่ซูเหลียนอวิ้นก็ถือร่มออกไป นางอาจต้องเสี่ยงกับการโดนฝนสาดจนเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำแต่อย่างไรก็ต้องไปขอร้องให้ซูมั่วเยี่ยช่วยให้ได้


 


 


นางจะไปขอร้องซูมั่วเยี่ยหาองครักษ์มาให้นางมากกว่านี้หน่อย เหตุผลก็คือช่วงนี้นางรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองวุ่นวายเพราะความกลัว!  อีกอย่างเรือนของนางเนื้อที่ไม่น้อยเลยแต่คนกลับน้อยนัก!


 


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกว่า ตอนกลางคืนไม่มีผู้ใดคอยคุ้มกัน นางรู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นทุกข์!


 


 


สำหรับคำร้องขอของซูเหลียนอวิ้นนั้น แต่ไหนแต่ไรมาซูมั่วเยี่ยก็มิเคยขัด ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเพียงครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตบโต๊ะฉาดแล้วตัดสินใจส่งตัวองครักษ์ให้ซูเหลียนอวิ้นเพิ่มอีกห้าคน


 


 


ห้าคน อาจจะฟังดูน้อย ทว่าองครักษ์ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กไม่ให้กลัวตายเช่นนี้ อีกทั้งบางคนยังมีหน่วยก้านเหมาะสมน่าปั้นตั้งแต่เด็ก เพราะถึงแม้ว่าจะเจอตัวแล้วการเลี้ยงดูแบบต้องเอาตัวให้รอดก็ยากที่จะบอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร


 


 


ด้วยเหตุนี้คนหนึ่งคนมีองครักษ์แบบนี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะหากเลือกออกมาสักคนหนึ่งก็คงสามารถต่อกรกับศัตรูได้เป็นร้อยแล้ว แต่นี่มีถึงห้า? ซูเหลียนอวิ้นแสดงออกอย่าชัดเจนว่านางพึงพอใจเป็นอย่างมาก! ดังนั้นตอนนี้นางกำลังตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอ ต้วนเฉินเซวียนจะมาก็รีบมาเถิด


 


 


เพราะก็คงจะดีเหมือนกันที่นางจะได้ลองทดสอบว่าพละกำลังขององครักษ์ทั้งห้านี้เป็นอย่างไรบ้าง มิเช่นนั้นนางคงเพียงได้ยินแต่คนอื่นพูด แต่สุดท้ายแล้วคงมิได้เห็นพลังนั้นกับตาของตัวเอง


 


 


“มานี่เถิด” ซูเหลียนอวิ้นยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ยปากขึ้นอย่างเกียจคร้าน “แม้ว่าท่านพี่จะยกพวกเจ้าให้ข้าแล้ว แต่ข้ากลับยังมิเคยเห็นตัวเป็นๆ ของพวกเจ้าเลยกระมัง? ออกมาเถิด ข้าจะได้คุ้นเคยกับพวกเจ้าหน่อย”


 


 


“ขอรับ คุณหนูใหญ่”


 


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ เพียงชั่วครู่ เงาของคนทั้งห้าก็กระโดดลงมายืนเป็นแถวตรงบนพื้นในห้องของซูเหลียนอวิ้นอย่างเงียบเชียบ


 


 


อืม…ซูเหลียนอวิ้นมองการเคลื่อนไหวเป็นหนึ่งเดียวของคนทั้งห้าคนนี้ แถมยังแต่งตัวได้อย่างเรียบร้อยได้ในเวลาเพียงชั่นครู่ก็มายืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว ภายในใจของนางจึงเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนเกิดขึ้น


 


 


มิน่าเล่าตอนที่ต้วนเฉินเซวียนมาที่นี่ นางถึงไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย! เพราะตอนนี้คนทั้งห้าคนนี้ได้เข้ามาอยู่ในห้องของนางแล้ว แต่นางกลับไมรู้ตัวเลยสักนิด!


 


 


เพราะประโยคเมื่อครู่นี้ของนางฟังดูแล้วค่อนข้างผ่อนคลายไม่จริงจัง นางเพียงพูดไปส่งๆ เท่านั้นเพื่อลองพิสูจน์ดูว่าองครักษ์จะเป็นอย่างที่เขาว่ากันในตำนานมากน้อยแค่ไหน…


 


 


“อื้ม” ซูเหลียนอวิ้นกระแอมลำคอพยายามที่จะจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เพราะไม่ว่าจะอย่างไรนางผู้ที่เป็นเจ้านายก็ไม่ควรทำตัวน่าขายหน้าให้พวกเขาเห็นตั้งแต่วันแรกใช่หรือไม่?


 


 


พวกเจ้ามีนามว่าอะไรกันบ้าง?”


 


 


คนทั้งห้าต่างสบตากันไปมา สุดท้ายชายคนที่ดูสงบนิ่งที่สุดคนนั้นก็เอ่ยตอบขึ้นว่า “ตอบคุณหนู คุณชายใหญ่เคยตั้งชื่อให้พวกบ่าวแต่ละคนไว้แล้ว แต่หากคุณหนูไม่ชอบ ขอได้โปรดตั้งชื่อให้พวกเราใหม่ขอรับ”


 


 


เอ่อ ไม่ต้องหรอก” นางเพียงเอ่ยถามเล่นๆ เท่านั้นเอง อีกอย่างเรื่องการตั้งชื่อนั้น หากว่ากันตามความจริงแล้ว นางไม่ค่อยถนัดด้านนี้เท่าใดนัก!


 


 


“เช่นนั้นพวกเจ้าก็บอกชื่อของพวกเจ้าแต่ละคนมาก็แล้วกัน”


 


 


“ขอรับ” คนทั้งห้าเอ่ยขึ้นพร้อมกัน


 


 


“บ่าวมีนามว่าอั้นอิ่ง”


 


 


“บ่าวมีนามว่าหนานอี้”


 


 


“บ่าวมีนามว่าหยาเอ่อร์”


 


 


“บ่าวมีนามว่าอวี่ซาง”


 


 


“บ่าวมีนามว่าผูหลิว”


 


 


“คารวะคุณหนูใหญ่!” หลังจากที่คนทั้งห้ารายงานเสร็จก็คุกเข่าลงบนพื้น


 


 


“เอาล่ะๆๆ ลุกขึ้นเถิด” ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้กล่าวอะไรต่อไปอีก นางเพียงรีบลุกขึ้นมานั่งหลังตรงก็เท่านั้น


 


 


เพราะหากนั่งตัวตรงจะทำให้ระยะห่างใกล้มากขึ้น ถึงจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นหน่อย คนตั้งห้าคนลำพังแค่นางจำชื่อให้ได้ยังต้องใช้เวลาสักพักเลย!


 


 


องครักษ์ทั้งห้าคนนี้ เป็นชายสามคน เป็นหญิงสองคน แม้ว่าซูมั่วเยี่ยจะวางแผนว่าจะจัดองครักษ์หญิงให้ซูเหลียนอวิ้นทั้งหมด เพราะบางเวลาใช้งานองครักษ์หญิงจะสะดวกกับนางมากกว่า แต่ก็จนปัญญาเพราะองครักษ์หญิงค่อนข้างหาได้ยาก  อย่างไรสตรีก็ต้องมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าบุรุษอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงหาองครักษ์หญิงสองคนมาแก้ขัดเป็นการชั่วคราวไปก่อน


 


 


แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ในความรู้สึกของซูเหลียนอวิ้นนั้น จะหญิงหรือชายก็ไม่ต่างกัน! หากเป็นหญิงก็สะดวกกว่า หากเป็นชายก็ใช้ได้! เพราะเวลาที่องครักษ์ชายต้องต่อสู้พละกำลังก็คงจะแรงกว่าอยู่ดีกระมัง? และที่นางต้องการองครักษ์ในตอนนี้ก็เป็นเพราะว่าต้องการให้พวกเขามาสั่งสอนคนสักหน่อย!


 


 


ทว่าหากได้สตรีคงดีกว่า! เพราะตอนกลางคืนสามารถนอนเป็นเพื่อนนางได้ ดีอย่างยิ่ง! 

 

 


ตอนที่ 130 องครักษ์

 

“เช่นนั้นพวกเจ้าแต่ละคนชำนาญในด้านใดกันบ้าง?” หากรู้ว่าพวกเขาชำนาญในด้านใดกันบ้าง นางจะได้มอบหมายให้พวกเขาแต่ละคนได้อย่างถูกต้อง


 


 


“บ่าวชำนาญด้านการลอบฆ่าขอรับ” ในบรรดาห้าคนนี้ผู้ที่มีรูปร่างสูงที่สุดเอ่ยปากขึ้นก่อน “วิชาตัวเบาของบ่าวก็ถือว่าดีที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งหมด”


 


 


“อ้อๆ ดี” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วจ้องมองไปที่คนผู้นี้คราหนึ่ง นางจำได้ว่าคนนี้มีชื่อว่า…อั้นอิ่ง? ก็ดีถือว่าเหมาะสมกับชื่อของเขามาก ลอบฆ่า อั้นอิ่ง (เงาสังหาร) อืม ท่านพี่ตั้งชื่อได้เหมาะสมอย่างยิ่ง!


 


 


“ข้าน้อยนามว่าหนานอี้ ความสามารถในด้านสะกดรอยของข้าน้อยถือว่าไม่เลวเลย” เขาพูดพร้อมเกาศีรษะ สายตาของเขามีความขวยเขินแฝงอยู่ เขาเป็นผู้ที่มีผิวขาวสะอาด ราวกับบัณฑิตที่รักความสะอาดผู้หนึ่ง แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาเป็นถึงองครักษ์ผู้หนึ่ง?


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นฟังจนจบ ก็พยักหน้าอย่างสง่างามเพื่อส่งสัญญานให้อีกคนหนึ่งพูดต่อ


 


 


“บ่าวมีนามว่าหยาเอ่อร์ หากเปรียบเทียบกับผู้อื่นแล้ว…ต้องขออภัยคุณหนูด้วย นอกจากความสามารถในการเป็นองคลักษณ์ของบ่าวแล้ว…บ่าวก็ไม่มีความสามารถโดดเด่นในด้านใดอีก มีเพียงอย่างเดียวที่พอจะยกขึ้นมาคุยได้บ้างก็คือ…ฝีมือทำอาหารของบ่าวนั้นไม่เลว?”


 


 


น้ำเสียงของสาวน้อยผู้นี้ไพเราะ เมื่อเทียบกับสองคนก่อน คนแรกพูดจาเย็นชาไร้อารมณ์ อีกคนหนึ่งพูดตะกุกตะกักไร้ความั่นใจ ส่วนคนนี้ดูท่าแล้วคงทำให้คนโปรดปราณได้มากกว่า แม้ว่าจะไม่มีอะไรโดเด่น แต่ความสามารถในการทำให้ผู้อื่นถูกชะตาได้เช่นนี้กลับโดดเด่นมาก


 


 


“เช่นนั้นต่อไปงานเข้าครัวขอยกให้เจ้าแล้วกัน!” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าส่งสัญญาณให้นาง “ข้ากลัวว่าจะมีคนใส่พิษไว้ในอาหารของข้า” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาโดยที่ไม่มีอาการหน้าแดงหรือใจสั่น


 


 


วางยาพิษ? ผู้ใดจะมีความแค้นฝังลึกในใจถึงขนาดยอมเสี่ยงขนาดเข้ามาในจวนตระกูลซูเพื่อวางยานางตาย?  


 


 


ข้อที่หนึ่ง ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่มีอำนาจใดๆ ข้อที่สอง นางไม่ได้มีสมบัติร่ำรวย แม้ว่านางจะมีรูปโฉมที่งดงาม? แต่หากจะวางยานางก็คงไม่คุ้มค่ากระมัง…


 


 


 


 


 


 


แต่เพราะเหตุใดนางถึงยืนกรานที่จะให้หย่าเอ๋อร์ประจำอยู่ที่ห้องครัวน่ะหรือ? เหตุผลที่แท้จริงก็คือ อาหารจากห้องครัวใหญ่ที่นางได้กินทุกวันเป็นประจำเหล่านั้น นางกินเสียจนเริ่มเบื่อแล้ว แม้ว่ารสชาติจะอร่อยมากก็ตาม แต่อย่างไรเสียนางก็กินมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว หากรวมระยะเวลาทั้งสองขาติเข้าด้วยกัน


 


 


อีกอย่างที่ตั้งของห้องครัวใหญ่ ตั้งอยู่ห่างจากเรือนของนางค่อนข้างมาก ทุกครั้งที่นางหิวมากๆ ต่อให้หลีมู่รีบร้อนวิ่งไปวิ่งมามากเพียงใด พอรอจนถึงตอนที่หลีมู่กลับมาตอนนั้นนางก็เริ่มโมโหหิวเสียแล้ว


 


 


แต่ว่าตอนนี้ดียิ่ง หลีมู่ทำอาหารไม่เป็น เนี่ยนเอ๋อร์ก็ทำไม่เป็น ส่วนนางก็ยิ่งขี้เกียจทำเข้าไปใหญ่ ตอนนนี้จะมีคนมารับผิดชอบดูแลห้องครัวให้นางแล้ว! ดังนั้นสำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้ว ความสามารถของหยาเอ่อร์ถือว่ามีประโยชน์มากกว่าของอั้นอิ่งและหนานอี้ด้วยซ้ำ!


 


 


เนื่องจากตัวนางนั้น ข้อที่หนึ่งเลยคือไม่มีคดีอะไรที่นางต้องส่งคนไปสะกดรอยตาม ข้อที่สองคือไม่มีตระกูลใดที่นางคิดแค้นดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องส่งคนไปลอบสังหาร ดังนั้นการได้กินอาหารอย่างสบายใจถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมกับนางที่สุด!


 


 


“เจ้าค่ะ บ่าวต้องไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังอย่างแน่นอน!” หยาเอ่อร์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่านางกระหยิ่มยิ้มย่องและภูมิใจที่นางเพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้เพียงชั่วครู่เดียวแต่กลับได้รับความไว้วางใจจากซูเหลียนอวิ้นให้ทำงานด้านนี้


 


 


อีกสี่คนที่เหลือเมื่อเห็นหยาเอ่อร์มีปฏิกิริยาเช่นนี้ต่างก้ผินหน้ามามองนาง แต่เนื่องจากงานการเป็นองครักษ์นี้ ผู้ที่มีบุคลิกร่าเริงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ดังนั้นแม้ว่าอีกสี่คนจะหันมามอง ทว่าสีหน้ากลับไม่อาการใดๆ ปรากฏ ทำให้ยากที่จะคาดเดาได้ว่าความคิดของพวกเขาเป็นอย่างไร


 


 


“บ่าวชำนาญด้านยาพิษ”  ประโยคห้วนๆ ประโยคหนึ่งดังขึ้น


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยังคงครุ่นคิดอย่างเบิกบานใจอยู่ว่าต่อไปไมว่านางจะสั่งอะไรก็จะได้กินแถมยังไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยนั้น เสียงไร้อารมณ์และดูเหมือนไม่พอใจนางก็ดังแทรกขึ้นมาเขาหูของนางอย่างกะทันหัน


 


 


 


 


 


 


“อ้อ อย่างนี้หรือ” สีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเรียบเฉยทั้งยังเย็นชากว่าคนผู้นั้น “เจ้าชื่อว่าอะไรนะ? ข้าลืมเสียแล้ว?”


 


 


คนผู้นั้นไม่คิดว่าจะมีประโยคครึ่งหลังตามขึ้นมา ดังนั้นสีหน้าเย็นชาจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเขาจึงสูดหายใจยาวแล้วเอ่ยว่า “บ่าวชื่อว่าอวี่ซาง!” เสียงนั้นฟังดูแล้วคล้ายกัดฟันพูดออกมา!


 


 


“เอาล่ะ ข้าจำได้แล้ว อวี่ซางใช่หรือ?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย “เจ้าเองก็มีงานที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ดูหน่วยก้านบึกบึนของเจ้าแล้ว งานนั้นคงเหมาะสมกับเจ้ามากทีเดียว”


 


 


“ต่อไปเจ้าก็ไปทำงานแทนหลานเย่ว์ก็แล้วกัน ภายในเรือนนี้มอบให้เจ้ารับผิดชอบ!” ไม่ชอบนางหรือ? อืม ต่อให้ไม่มีเจ้าสักคน นางก็ยังมีอีกสี่คน!


 


 


หากไม่ช่วย นางก็ยังมีท่านพี่! ถึงอย่างไรก็แอบเอาเรื่องไปฟ้องอะไรพวกนี้? ซูเหลียนอวิ้นไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย!


 


 


อวี่ซางมองไปที่สีหน้ายากจะอ่านเข้าใจได้ของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงรู้สึกว่ามีบาอย่างถูกปิดบังเอาไว้ จึงถามโพล่งออกไปว่า “เช่นนั้นข้าขอถามคุณหนูใหญ่ ก่อนหน้านี้รุ่นพี่หลานเย่ว์ทำงานอะไรมาก่อนที่นี่?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้ว รุ่นพี่? ได้เลย ทำเสียงฟึดฟัดกับนาง แถมยังมีท่าทีเช่นนี้กับหลานเย่ว์?


 


 


“หากเจ้าอยากรู้ เจ้าไปถามเขาเองก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างทำไมข้าต้องจำได้ด้วยว่าวันหนึ่งๆ คนของข้าทำงานอะไรบ้าง?”


 


 


อวี่ซางยังคงข้องใจและอยากจะเอ่ยถามต่อ ทว่าคนที่อยู่ด้านข้างเขากับดึงมือของเขาเอาไว้ได้ทันแล้วเขย่าสองสามทีเพื่อที่จะสื่อความหมายให้เขารู้ว่าควรหยุดได้แล้ว


 


 


ซูเหลียนอวิ้นมองเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ ของคนทั้งสองคนนี้แต่กลับมิได้เอ่ยว่าอะไร ดูท่าแล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้คงไม่เลว?


 


 


“บ่าวมีนามว่าผูหลิว บ่าวค่อนข้างชำนาญในด้านการรักษาและความรู้เรื่องยา หากคุณหนูต้องการความช่วยเหลือในด้านนี้ บ่าวจะต้องแสดงฝีมืออย่างสุดกำลัง”


 


 


 


 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นวางมือลงบนโต๊ะน้ำชาแล้วยกมือขึ้นมาเท้าคางพลางมองดรุณีน้อยนั่งคุกเข่าบนพื้นให้นางและกำลังแนะนำตัวอยู่อตอนนี้ แม้ว่าดูจากภายนอกแล้วอายุจะดูไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ดูแล้วเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มามาก…เอาล่ะอย่างน้อยๆ ก็มีท่าทีแน่วแน่ก็แล้วกัน


 


 


“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นยืนขึ้นพลางชี้นิ้วเอ่ยว่า “หยาเอ่อร์กับผูหลิว พวกเจ้าสองคนกลับไปปรึกษากันดูว่าใครจะนอนกับหลีมู่ ใครจะนอนกับเนี่ยนเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ทั้งสองห้องนี้ก็ไม่เคยมีผู้ใดอาศัย ดังนั้นพวกนางทั้งสองคนจึงต่างนอนห้องใครห้องมัน แต่ในเมื่อมีพวกเจ้าทั้งสองคนมาเพิ่ม พวกนางก็คงจะไม่ว่าอะไร ทั้งยังจะยินดีต้อนรับพวกเจ้าทั้งสองด้วยซ้ำ” เพราะแม้ว่าการนอนเพียงผู้เดียวในห้องอันกว้างใหญ่จะสะดวกสบายก็จริง แต่ก็ต้องรู้สึกเคว้งคว้างอยู่บ้าง แม้ว่าพวกนางสองคนจะไม่เคยบ่นอะไรแต่ซูเหลียนอวิ้นก็สังเกตเห็น


 


 


“ส่วนพวกเจ้าที่เหลือสามคน…ที่เรือนของข้ายังมีห้องว่างเหลืออยู่ พวกเจ้ากลับไปเก็บกวาดกันเองเถิด บางทีก่อนที่จะไปเก็บกวาดอาจจะไปหาหลานเย่ว์ก่อนเพื่อให้เขาพาพวกเจ้าไปจัดห้อง เพราะถึงอย่างไรเขาก็มาอยู่ที่นี่พักหนึ่ง คงจะมีอะไรแนะนำพวกเจ้าได้บ้าง”


 


 


“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเจ้าไปได้แล้ว หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกพวกเจ้ามาเอง” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือเป็นสัญญานบอกพวกเขาถอยออกไป


 


 


“ขอรับ/เจ้าค่ะ” คนทั้งห้าต่างตอบรับ จากนั้นก็ทำเช่นเดียวกับตอนที่เข้ามา พวกเขาเข้ามาอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นตอนออกไปก็ไร้ร่องรอยเช่นกันโดยหายไปทันทีต่อหน้าต่อตาซูเหลียนอวิ้น 

 

 


ตอนที่ 131 เสียใจ

 

ห้องของหลานเย่ว์


 


 


ขณะนั้นหลานเย่ว์กำลังเช็ดกระบี่ของของอยู่ในห้องพลางครุ่นคิดเรื่องอื่นๆ อยู่ในใจ ดังนั้นเมื่อมองดูแล้วจึงคล้ายว่าเขากำลังเปิดช่องโหว่รอให้คนมาลอบโจมตี


 


 


“พี่ใหญ่หลานเย่ว์!” เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น หลานเย่ว์จึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วหยิบกระบี่ขึ้นมาฟันสิ่งของที่ลอยเข้ามาหาเขาตกลงด้านล่าง


 


 


เป็นหินก้อนเล็กก้อนหนึ่ง


 


 


“มือของท่านพี่ยังคงรวดเร็วดังเดิม” เมื่อหลานเย่ว์เงยหน้าขึ้นพร้อมเลิกคิ้ว “อั้นอิ่ง อวี่ซาง? พวกเจ้าสองคนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


 


 


“จะเพราะอะไรกันอีกเล่า” อวี่ซางเตะไปที่หินลับมีดที่วางกองอยู่บนพื้นอย่างรังเกียจ “ก็เหมือนกับท่านพี่อย่างไรเล่า โดยนายท่านของพวกเราไล่ออกมา” ไล่มาที่นี่เพื่อมาเป็นผู้คุ้มกันของสตรีนางหนึ่ง!


 


 


“คุณชายใหญ่ก็ส่งพวกเจ้ามาคุ้มกันคุณหนูใหญ่หรอกหรือ?” คิ้วของหลานเย่ว์ขมวดแน่นขึ้น เพราะในใจของเขากำลังพิจารณาคำตอบนั้นอยู่ ดูเหมือนว่าตอนนี้มีอะไรบางอย่างแสดงออกมา


 


 


“อืม” เมื่อเห็นอวี่ซางทำท่าไม่อยากตอบคำถามอีกต่อไป อั้นอิ่งจึงเอ่ยขึ้นเองว่า “ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเราสองคน ยังมีพวกผูหลิวอีก พวกเราทั้งห้าคนถูกนายท่านส่งมาอยู่ที่นี่” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้อั้นอิ่งกัดฟันยิ้ม “แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลก็คือ คุณหนูใหญ่ผู้นี้มีนิสัยอย่างไร?” เนื่องจากโดยปกติแล้วคุณหนูใหญ่ก็มักจะถูกเลี้ยงดูมาให้อ่อนแอ เอาแต่ใจไม่สนใจกฏเกณฑ์และขี้โมโห คำบรรยายเหล่านี้ถือว่าเป็นคำที่ใช้แทนพวกนางได้ถูกต้อง แม้ว่าเบื้องหน้าจะดูเป็นกุลสตรีที่มีศีลธรรม แต่อย่างไรภายในของพวกนางก็คงไม่ต่างไปจากนี้


 


 


หลานเย่ว์เก็บกระบี่คู่กายของเขาแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “คุณหนูใหญ่เป็นคนดีมาก พออยู่กับนางนานเข้าพวกเจ้าก็จะรู้เอง ไม่เหมือนกับข่าวลือพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย แถมนิสัยของนางก็ไม่คล้ายกับคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป”


 


 


“สรุปแล้วดีหรือว่าไม่ดีกันแน่?” อวี่ซางทนฟังต่อไม่ไหวจึงพูดแทรกขึ้น “พอได้ฟังพี่ใหญ่พูดเช่นนี้ คุณหนูใหญ่คนนี้ดูแล้วคงใช้ได้เลยทีเดียว?


 


 


น่าเสียดายที่หน้าตา…ดูโง่ไปหน่อย” รูปโฉมงดงามเช่นนี้ เมื่อเห็นแล้วเหมือนไม่ใช่คนฉลาดอะไร พวกคนเฒ่าคนแก่ก็เคยบอกเอาไว้ว่า สตรีที่มีรูปโฉมงดงามจะไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่นัก?”


 


 


มิเช่นนั้นจะเรียกพวกนางว่าแจกันดอกไม้[1]ทำไม คำๆ นี้คงมิได้ไม่มีที่มาที่ไปอะไร


 


 


“อย่าพูดเหลวไหล!” หลานเย่ว์กำมือแน่น “หากข้าได้ยินอีกครั้งว่าพวกเจ้าพูดถึงคุณหนูอย่างเหลวไหลเช่นนี้อีก หากคุณหนูใหญ่ไม่จัดการเจ้า ข้าก็จะสั่งสอนเจ้าสักยกเอง!” จะอย่างไรเขาก็อยู่ที่นี่มานานพอตัวแล้ว อีกทั้งการปกป้องเจ้านายก็เป็นสิ่งที่ผู้คุ้มกันและองครักษ์ทุกคนถูกปลูกฝังไว้ในใจมาตั้งแต่เด็กและฝังรากลึกยากที่จะแก้ไขได้


 


 


ดังนั้นเมื่อได้ยินอวี่ซางพูดถึงซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้ หลานเย่ว์จึงเป็นคนแรกที่รู้สึกไม่พอใจ


 


 


“เอาล่ะๆๆ ข้าไม่ว่าแล้วก็ได้” อวี่ซางถอยหลังไปสองสามก้าวแสร้งทำเป็นหวาดกลัว “แต่พอเห็นท่านเป็นเช่นนี้ ข้าก็พอวางใจลงได้บ้าง ว่าคุณหนูใหญ่ เจ้านายใหม่ของเราเป็นคนที่นิสัยไม่เลวนัก เช่นนั้นก็คงคุยกันง่ายหน่อย!”


 


 


“พี่ใหญ่ แต่ละวันที่ท่านอยู่ที่นี่ท่านทำงานอะไรบ้าง? คุณหนูใหญ่สั่งเอาไว้แล้วว่าให้ข้ามาทำงานแทนท่านได้เลย” อวี่ซางเชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจ ท่าทางนี้กำลังบ่งบอกว่า ท่านดูสิข้าเพิ่งมาวันแรก ข้าก็ได้ทำงานของท่านแล้ว!


 


 


หลานเย่ว์ก้มหน้าพิจารณาถึงความหมายที่อยู่ในคำพูดของอวี่ซาง เนื่องจากหากดูจากความสัมพันธ์ระหว่างอวี่ซางกับซูเหลียนอวิ้นตามความเข้าใจของหลานเย่ว์แล้ว…


 


 


อนนี้ท่าทางของอวี่ซางที่แสดงออกต่อหน้าเขาแสดงออกว่าเขาไม่พอใจที่ต้องทำงานนี้เป็นอย่างมาก แล้วเวลาอยู่ต่อหน้าคุณหนูใหญ่เล่า? หลานเย่ว์แน่ใจว่า เจ้าเด็กอวี่ซางนี่ต้องทำให้ซูเหลียนอวิ้นไม่พอใจไว้อย่างแน่นอน! ส่วนซูเหลียนอวิ้นก็เป็นคนที่ชอบเอาคืน ดังนั้นคำพูดนี้ของอวี่ซางจะต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งอย่างแน่นอน!


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลานเย่ว์ก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นจึงเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าสดใส “ข้าเข้าใจแล้ว รอให้ฝนหยุดก่อน หลังจากที่ฝนหยุดแล้วก็เป็นเวลาที่เจ้าต้องเริ่มทำงานแล้ว” เจ้าเด็กโง่ รอก่อนเถิด ฝนตกแรงขนาดนี้ หญ้าพวกนั้นจะโตขึ้นมามากขนาดไหน เขาจินตนาการออกมาเป็นภาพได้อย่างชัดเจน!


 


 


อีกอย่างเนื้อที่ของสวนต้นสาลี่ก็กว้างขวางมาก หากคุณหนูใหญ่มีใจอยากจะสั่งสอนเจ้า…อวี่ซาง พี่ใหญ่อย่างข้าขอเป็นกำลังใจให้เจ้าอยู่เงียบๆ ก็แล้วกัน!


 


 


ณ จวนจิ้งอันโหว


 


 


ต้วนเฉินเซวียนกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตนเองอย่างระมัดระวัง สามารถกล่าวได้ว่า คมกระบี่เมื่อวานนั้น แม้ว่าจะเป็นเพียงพลังของกระบี่แต่กลับคมอย่างผิดธรรมดา


 


 


ในตอนที่เขากลับถึงจวนนั้น เลือดจากบาดแผลนั้นก็ได้เกาะตัวรวมกับเสื้อผ้าของเขากลายเป็นก้อนก้อนหนึ่งแล้ว เมื่อดึงผ้าออกทั้งหมดจนเห็นบาดแผลได้อย่างชัดเจน ต้วนเฉินเซวียนจึงหายใจเอาอากาศเย็นๆ เข้าไป เพราะบาดแผลนั้นลึกจนแทบจะเห็นกระดูกเสียแล้ว!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของชายเฒ่าผู้ขายกระบี่เล่มนี้ให้แก่เขา


 


 


“องค์หญิงจิ้งหว่าน…แก้แค้น?” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเบาๆ ริมฝีปากเขาปรากฏรอยยิ้ม “น่าสนุกแล้ว”


 


 


ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเรื่องราวที่ชายเฒ่าผู้นั้นแต่งขึ้นมาเองอย่างไม่มีมูลความจริง แต่ตอนนี้พอพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่งดูเหมือนว่าจะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ?  เนื่องจากตอนนี้กระบี่เล่มนั้นได้ยอมรับซูเหลียนอวิ้นเป็นเจ้าของแล้ว ดังนั้นการที่เขาถูกทำร้ายก็เป็นสิ่งที่สามารถอธิบายแล้ว


 


 


อีกอย่างขนาดซูเหลียนอวิ้นยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้ง ดังนั้นเรื่องที่กระบี่เล่มนี้มีจิตวิญญานแฝงอยู่จนสามารถฆ่าคนตามคำสั่งได้ ก็ไม่ได้ทำให้คนแปลกใจมากขึ้นเท่าไหร่นัก


 


 


แต่ว่า…ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันใส่ยาให้ตัวเองพลางทอดถอนใจ ชาตินี้เขามีอุปสรรคมากมายนัก…


 


 


เพราะนี่ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ซูมั่วเยี่ยและซูปั๋วชวนสองคนนี้หวงแหนซูเหลียนอวิ้นอย่างกับอะไรดีเพราะเมื่อชาติที่แล้วเขาก็เคยมีบทเรียนมาแล้ว แถมชาตินี้ความสัมพันธ์ของซูเหลียนอวิ้นกับพวกเขาทั้งสองคนก็ดีขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วพวกเขาคงไม่ยอมให้นางแต่งงานออกไปง่ายๆ


 


 


ไหนจะยังมีหรงซู่อีกคน…แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้แล้วหรงซู่ไม่ได้มีความคิดอะไรเช่นนั้นกับซูเหลียนอวิ้น แต่หากตนตามจีบซูเหลียนอวิ้นจริงๆ แน่นอนว่าหรงซู่จะต้องอยากเห็นเขาประสบความสำเร็จจนคอยตามสร้างเรื่องและเล่นตุกติกกับตนเพิ่มอย่างแน่นอน


 


 


 


 


 


 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นซูเหลียนอวิ้นในชาตินี้มีความคิดความอ่านที่เรียบง่ายแต่ทำให้นางสง่างามโดยไม่ต้องอาศัยเสื้อผ้าอาภรณ์ช่วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้ว่านางทำให้ชายในเมืองสะดุดตาเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าใด ฐานะ หน้าตา รวมทั้งบุคลิกลักษณะที่โดดเด่นและเด็ดเดี่ยวของนาง เมื่อนำทุกๆ อย่างมารวมกันยิ่งทำให้นางมีความสวยสง่ามากยิ่งขึ้น


 


 


ทั้งตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังเข้าพิธีปักปิ่นเรียบร้อยแล้ว เกรงว่าเร็วๆ นี้ ผู้ที่อยากหมั้นหมายกับนางคงจะเริ่มแวะเวียนมาทักทายที่จวนตระกูลซูอย่างหัวกะไดไม่แห้งทีเดียว?


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ มือของต้วนเฉินเซวียนก็ออกแรงเสียจนเกือบทำเอาแผลที่พันเรียบร้อยของตัวเองยุ่งเหยิงขึ้นอีกครั้ง


 


 


ด้วยเหตุนี้ เขาไม่เพียงต้องคอยป้องกันกระบี่เล่มนั้นที่สามารถโจมตีเพื่อฆ่าเขาได้ทุกเมื่อเท่านั้น แต่เขายังต้องคอยกันท่าคนมากมายที่สนใจในตัวซูเหลียนอวิ้น และยังต้องคอยเทียวไปเอาอกเอาใจซูเหลียนอวิ้นรวมทั้งคนในตระกูลของนางอีก ทั้งหมดนี้ยังมีความเป็นไปได้เหลืออยู่บ้างหรือไม่?


 


 


เพียงคิดถึงตรงนี้ หัวของต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มจะโตขึ้นเสียแล้ว อุปสรรคมากมายยิ่งนัก!


 


 


แต่หากถามเขาว่าสุดท้ายแล้วเขาเสียใจหรือไม่? เขาก็ยังคงยืนกรานในคำตอบนั้นอยู่ ตั้งแต่ที่เขาเห็นเหตุการณ์เมื่อชาติที่แล้วทั้งหมด สิ่งที่เขาได้ทำลงไปทั้งหมด จะไม่มีคำว่าเสียใจสองคำนี้อย่างแน่นอน


 


 


 


 


——


 


 


[1] แจกันดอกไม้หมายถึง ใช้เปรียบเทียบผู้หญิงที่สวยงามน่าชมเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีความคิด 

 

 


ตอนที่ 132 ประหลาดใจ

 

“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูนอนไปแล้วหรือยัง?” ผูหลิวเห็นว่าเสียงเทียนยังคงสว่างไสวอยู่ในห้องของซูเหลียนอวิ้นจึงเคาะที่ประตูห้องสองทีพร้อมเอ่ยถามขึ้น


 


 


“หลีมู่หรือ?” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้ววางตัวหมากล้อมในมือลง “ข้ายังมานอน มีเรื่องอะไรก็เข้ามาเถิด”


 


 


ด้านนอกยังคงมีฝนตกหยิมๆ ลงมาอยู่ แม้ว่าจะดีกว่าตอนเช้าที่ฝนตกถล่มลงมามากแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อประตูถูกเปิดเพียงชั่วครู่ ละอองฝนที่ถูกลมยามวิกาลพัดเข้ามาก็ทำให้ซูเหลียนอวิ้นตัวสั่นและรู้สึกหนาวได้!


 


 


“คุณหนูใหญ่ เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ หลีมู่นอนหลับไปแล้ว” ผูหลิวปิดประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้มีลมลอดเข้ามาได้อีก


 


 


“เจ้าเองหรือ” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มให้ “เจ้าคงเป็นคนที่นอนห้องเดียงกับหลีมู่กระมัง?”


 


 


นั่นเป็นเพราะว่าสองคนนี้มีนิสัยที่คล้ายคลึงกัน อย่างน้อยๆ ดูแล้วก็น่าจะพอพึ่งพาได้? แน่นอนว่ายังมีเหตุผอื่นอีก นั่นก็คือหยาเอ่อร์กับเนี่ยนเอ๋อร์ ทั้งสองคนนี้มีนิสัยร่าเริงอย่างมาก ทั้งคู่จึงสามารถเข้ากันได้ดี ดังนั้นก็เหลือผูหลิวเท่านั้นที่ต้องไปนอนกับหลีมู่


 


 


“เจ้าค่ะ” ผูหลิวพยักหน้า “บ่าวไม่มีเรื่องอื่นใด เพียงแค่เห็นว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วแต่ไฟในห้องของคุณหนูยังคงสว่างอยู่ ก็เลยแวะมาดูเสียหน่อย ในเมื่อคุณหนูใหญ่เล่นหมากล้อมอยู่ บ่าวก็ไม่รบกวนแล้ว” เมื่อพูดจบผูหลิวก็ตั้งท่าจะถอยออกไป


 


 


“เอ๊ะ เดี๋ยวๆ !” ซูเหลียนอวิ้นฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา “เจ้าอย่าเพิ่งไป” แม้ว่าตอนนี้นางจะมีองครักษ์ห้าคน หากรวมกับหลานเย่ว์แล้วก็มีถึงหกคน!


 


 


แต่ว่าน้ำที่อยู่ไกลมิอาจแก้กระหายได้[1] ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคิดว่ามีคนคอยเฝ้านางสักคนหนึ่งตอนนี้ นางถึงจะพอวางใจได้


 


 


“ฝีมือของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยปากอย่างตื่นเต้น เนื่องจากหากถึงเวลานั้นแล้วต้วนเฉินเซวียนมาตามนัดจริงๆ แล้วผูหลิวสู้เขาไม่ได้ เช่นนั้นคงจะ…ขายหน้าเต็มที!”


 


 


คงจะเหมือนโดนตบหน้าดังเพี๊ยะๆ เลยล่ะ!


 


 


“เรื่องนี้…” เมื่อผูหลิวได้ยินซูเหลียนอวิ้นถามเช่นนี้ สีหน้าของนางก็แสดงออกถึงความยากลำบาก จะให้นางเปรียบเทียบอย่างไรดี?


 


 


เนื่องจากในมุมมองของผูหลิวแล้ว ซูเหลียนอวิ้นถือเป็นคุณหนูที่มีความสามารถแต่ไม่แสดงออกผู้หนึ่ง ดังนั้นความหมายแฝงของคำว่าฝีมือดี…บางทีคำว่าฝีมือดีในความหมายของซูเหลียนอวิ้นอาจมีความหมายตรงตัวตามหนังสือ เช่น สามารถเหาะเหินหรือดำดิน ฟันแทงไม่เข้า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หากเช่นนี้คือความหมายของคำว่าฝีมือดี…เช่นนั้นแล้วคงต้องบอกว่านางฝีมือไม่ได้เรื่อง!


 


 


“ในบรรดาพวกเราทั้งห้าคน…ฝีมือของบ่าวถือว่าอยู่ในระดับกลาง” ผูหลิวได้ข้อสรุปในที่สุดหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


“อ้อ เช่นนี้เอง” งั้นก็จัดว่าธรรมดากระมัง?


 


 


เช่นนั้นคงจะแย่หน่อยกระมัง…เนื่องจากระดับวรยุทธ์ของต้วนเฉินเซวียนเป็นอย่างไร แม้ซูเหลียนอวิ้นจะไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง แต่จากคำบอกเล่าและจากการที่นางเคยเห็นวรยุทธ์ของหรงซู่แล้วนั้น วรยุทธ์ของต้วนเฉินเซวียนจะต้องสูงกว่าหรงซู่แน่ ไม่มีทางต่ำไปกว่ากัน!


 


 


“เช่นนั้นคืนนี้เจ้าเอาฟูกมาปูนอนกับข้าตรงนี้ก็แล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นชี้ไปที่ตู้ใบหนึ่ง “ด้านในมีฟูกกับผ้าห่มที่ค่อนข้างหนา ช่วงนี้ข้ารู้สึกว่าจิตใจของข้ากระสับกระส่าย นอนไม่ค่อยหลับ ดังนั้นหากมีคนนอนเป็นเพื่อนข้า ข้าคงจะเบาใจได้บ้าง”


 


 


“แต่ตอนนี้หลีมู่หลับไปแล้วแถมหลีมู่เองก็ไม่มีวรยุทธ์ด้วย ดังนั้นวันนี้ข้าคงต้องขอร้องผูหลิวแล้ว ได้หรือไม่?” ซูเหลียนอวิ้นพูดไปพลางพลางเอามือกุมหน้าผากเอาไว้ ดูจากท่าทางแล้วอ่อนแอเหนื่อยล้าคล้ายใกล้จะเป็นลมลงไปเต็มที


 


 


ผูหลิว “…ได้เจ้าค่ะ คุณหนู” คุณหนูใหญ่สนิทกับคนง่ายยิ่งนัก…นางเพิ่งมาวันนี้เป็นวันแรกเอง แต่กลับเข้าห้องของเจ้านายได้แล้ว?


 


 


 


 


 


 


ฮ้อ พัฒนาเร็วเช่นนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือร้าย เพราะดูท่าทางของซูเหลียนอวิ้นแล้วคล้ายไม่ใช่คนที่จะยอมเชื่อใจใครง่ายๆ แต่กลับขอร้องนางเช่นนี้? คงมิได้มีจุดมุ่งหมายอื่นกระมัง…


 


 


“เอาเช่นนี้ก็แล้วกันคุณหนูใหญ่ บ่าวจะคอยดูคุณหนูอยู่ตรงนี้ มิต้องปูฟูกที่นอนก็ได้ คุณหนูจะได้วางใจ” เมื่อผูหลิวคิดๆ ดูแล้ว นางก็รู้สึกว่าเอาเช่นนี้จะดีกว่า


 


 


เพราะว่าดูจากท่าทางแล้วคล้ายว่าซูเหลียนอวิ้นมีบางเรื่องที่จะต้องจัดการกลางดึก? เช่นนี้แล้วทางที่ดีนางจึงควรพยายามเตรียมการทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นหากเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะไม่กล้าลงมือทำอะไร


 


 


“ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เพราะหากพรุ่งนี้หลีมู่รู้เรื่องนี้เข้า…นางเกรงว่าหลีมู่จะต้องรู้สึกหวงและไม่ชอบใจเอาได้ เพราะก่อนหน้านี้เนี่ยนเอ๋อร์ก็ไม่เคยนอนค้างคืนร่วมกับนางมาก่อน อีกอย่างผ้าห่มชุดนั้นยังเป็นของหลีมู่ด้วย หากถูกคนนำไปใช้ ผู้ใดบ้างจะไม่โมโห?


 


 


เวลากลางดึก ฝนยามราตรีได้หยุดลง บรรยากาศโดยรอบถูกแทนที่ด้วยเสียงนกเสียงการ่ำร้องในคืนสงัดเงียบ


 


 


ซูเหลียนอวิ้นนอนตะแคงอยู่บนเตียง สายตาของนางจ้องไปยังทิศทางของประตูผ่านมุ้งที่คลุมอยู่


 


 


ตอนนี้นางอยากให้ต้วนเฉินเซวียนรีบมาเสียเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นนางคงมิอาจวางใจนอนหลับได้โดยไม่สนใจอะไร! เมื่อมาแล้วจะได้รีบไล่กลับไป จากนั้นปัญหาจะได้ถูกจัดการโดยสิ้นซาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางจะได้นอนหลับอย่างสบายใจ


 


 


หลังจากรออย่างร้อนใจอยู่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป หนังตาของซูเหลียนอวิ้นก็มิอาจฝืนลืมตาเอาไว้ได้อีก แต่ในตอนนั้นเองกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น


 


 


“ผูหลิว!” ซูเหลียนอวิ้นเรียกขึ้นเบาๆ


 


 


“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” มีเสียงดังขึ้นเล็กน้อย จากนั้นผูหลิวก็ปรากฏตัวออกมาจากบนคานห้องทันที สำหรับองครักษ์แล้ว การไม่ได้นอนกลางคืนถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ดังนั้นผูหลิวในตอนนี้ยังคงมีสีหน้าสดใสตามเดิม


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก ส่วนมือด้านซ้ายชี้ไปที่ประตู จากนั้นจึงชี้ไปที่ผ้าม่านของตนเป็นการส่งสัญญานให้ผูหลิวมาหลบอยู่ด้านหลัง


 


 


 


 


 


 


เพราะหากผูหลิวปรากฏตัวออกมาตอนนี้จะไม่ค่อยสวยงามนัก! นางต้องทำให้คนบางคนตื่นเต้นเสียหน่อย


 


 


“แค่ก” ด้านนอกประตูมีเสียงไอเสียงดังดังขึ้น “ซูเหลียนอวิ้น เจ้านอนแล้วหรือยัง?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นฟังเสียงที่ดังขึ้น จากนั้นจึงกลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว อีกเดี๋ยวก็จะรู้เองว่าข้านอนหรือยัง!


 


 


“ข้าจะเคาะประตูอีกที หากเจ้ายังไม่ตอบรับ ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้แล้ว หากเจ้าส่งเสียงออกมาสักหน่อย ข้าก็จะรอเจ้า แต่หากเจ้าไม่ยอมพูดยอมจา ข้าจะถือว่าเจ้ายินยอมแล้วจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ แต่หากข้าเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นอีก เจ้าก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน” ท้ายประโยคเสียงของต้วนเฉินเซวียนแหลมขึ้น ทำให้รู้ได้ว่าคนที่อยู่ด้านนอกผู้นี้อารมณ์ไม่เลวเลยทีเดียว


 


 


มือทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นกำผ้าห่มไว้แน่น และยังไม่ส่งเสียงอะไรออกไป! เพราะนางกำลังกัดฟันทนและโมโหอย่างมาก เมื่อวานโดนฟันลึกเสียขนาดนั้นยังไม่พิการไปอีกหรือ? ผ่านไปเพียงวันเดียวกลับมีน้ำเสียงสดใสเช่นนี้อีก!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนรออยู่ด้านนอก นับถอยหลังตามจำนวนที่ตัวเองต้องการ สุดท้ายจึงตัดสินใจผลักประตูเข้าไป


 


 


เขาแน่ใจและมั่นใจมากว่า ซูเหลียนอวิ้นยังไม่นอนอย่างแน่นอน! เพราะเขาคิดว่าคงไม่มีใครกล้าหลับได้ลงหลังจากที่เขาทิ้งคำพูดประโยคนั้นเอาไว้เมื่อวานกระมัง? อีกอย่างคนผู้นั้นยังเป็นซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนจึงใคร่รู้มากว่าซูเหลียนอวิ้นจะปรากฏตัวอย่างไรต่อหน้าเขา


 


 


เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากันมักจะมีเรื่องให้ประหลาดใจใหม่ๆ ในทุกครั้ง


 


 


 


 


——


 


 


[1] น้ำที่อยู่ไกลมิอาจแก้กระหายได้ หมายถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ชักช้า ไม่อาจแก้ปัญหาเร่งด่วนได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม