วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 12.3-12.9

ตอนที่ 12-3

 

 


ขอโลภสักนิดหน่อยจะได้หรือไม่นะ ที่ผ่านมานางใช้ชีวิตโดยไม่มีความโลภใดๆ แต่จะขอโลภในเวลานี้ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นคืนสุดท้ายหรือเปล่าได้ไหม มินอาลุกขึ้นช้าๆ และเดินตรงไปยังเตียงนอน รู้สึกถึงลมหายใจหอมหวานของชานที่สัมผัสริมฝีปากพร้อมกับยื่นแขนออกไปคล้องคอเขา 


 


 


ชานรับนางที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาอย่างสบายๆ เช่นกัน ทั้งสองคนไม่ได้พยายามปรับหัวใจที่สวนทางกันอย่างแปลกประหลาดให้เข้ากัน พวกเขาเพียงแค่ใช้ช่วงเวลานี้ปลอบประโลมหัวใจที่มีบาดแผลของกันและกันเท่านั้น น้ำลายที่ไหลเยิ้มออกมาระหว่างริมฝีปากกับริมฝีปากเปล่งประกายแวววับราวกับด้ายสีเงิน มือของมินอาถอดชุดนอนของชานออก ส่วนมือของชานก็คลายปมผูกเสื้อของมินอาออกเช่นกัน ชานรู้ว่าแผ่นหลังของมินอาที่เคยลูบไล้หายสนิทแล้ว กดและลูบไล้กล้ามเนื้อที่ยืดหยุ่นทีละส่วนไปตามแผลถูกฟันที่รู้สึกตรงปลายนิ้ว รู้สึกถึงความวาบหวิวตรงระหว่างคอและไหล่ที่มินอากัดเพื่อที่จะควบคุมลมหายใจที่รุนแรงขึ้น 


 


 


“ดีหรือไม่” 


 


 


ชานกระซิบพลางใช้มือข้างหนึ่งบีบคลึงหน้าอกที่น่ามองอย่างอ่อนโยน 


 


 


“แรงกว่านี้อีก จะฉีกทิ้งแล้วฆ่าเลยก็ได้นะ” 


 


 


มินอาออกแรงที่คางเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและกัดเขาเหมือนกับจะฉีกทิ้งแล้วฆ่าจริงๆ เขี้ยวเจาะเข้าไปในผิวหนังจนเส้นเลือดขาด ความเจ็บปวดที่ผิวหนังถูกฉีกขาดนั้นทำให้ชานได้รู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่และต้องการที่จะตาย ในตอนนี้มินอาอยากที่จะเสียบมีดลงไปที่หัวใจของเขา แต่ในทางตรงกันข้ามเขาเองก็อยากจะฆ่าเช่นกัน เขาต้องการให้นางสนมของเขาซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้ครอบครองเป็นสิ่งแรกในชีวิต แต่นางกลับไม่ใช่ของตนเองโดยสมบูรณ์นั้นตายไป มินอาดื่มเลือดที่ไหล่ออกมาจากไหล่ของชานจนหมดแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ริมฝีปากที่เปื้อนเลือดขยับขึ้นไปหาเขา 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


ไม่มีอะไรต่อจากนั้น ทั้งเลือดที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของมินอา ทั้งน้ำลายที่เต็มอยู่ในปากต่างก็ถูกชานดูดเข้าไปจนหมดเกลี้ยง ชานเกี่ยวกระหวัดไปมาในปากอย่างรุนแรงสักพักหนึ่งก็ผละริมฝีปากออกก่อนที่จะลมหายใจจะหมดไป แล้วจึงโยนมินอาลงบนเตียง มินอาที่กำลังจะยื่นแขนทั้งสองข้างไปหาเขา แต่แล้วก็วางลงอย่างเงียบๆ เหมือนเดิมแล้วหลับตาลง 


 


 


เลือดซึมออกมาจากแผลบนหัวไหล่อีกครั้ง จากนั้นเขาจึงล้มตัวลงคร่อมร่างของมินอาในทันที มินอาลืมตาขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สามารถอ่านสายตานั้นได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ชานใช้มือข้างหนึ่งจับคอระหงและในตอนที่ออกแรงที่มือนั้นก็ยังเหมือนเดิม ชีพจรที่เต้นตามจังหวะจั๊กจี้ฝ่ามือพานให้อารมณ์ดี 


 


 


หวังให้ชีพจรหยุดเต้นลงไปแบบนี้ ดวงตาที่เงยขึ้นมามองเขาตรงๆ เริ่มเลือนรางไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะหลบซ่อนด้านหลังเปลือกตา อีกนิดเดียว เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหลังมือ และต่อมาเขาก็ผ่อนแรงราวกับโกหก 


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก” 


 


 


มินอาพ่นลมหายใจที่ถูกปิดกั้นไว้ออกมา ชานฉีกเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกและยัดเยียดความต้องการเข้าไปในทางเข้าที่ยังไม่พร้อม ความเจ็บปวดที่เนื้อฉีกขาดทำให้มินอากัดริมฝีปากแน่น แต่ในระหว่างนั้นก็ไม่หลุดครางออกมาสักนิดเดียว 


 


 


“ลืมตา” 


 


 


ชานส่งเสียงคำรามอย่างโหดร้าย 


 


 


“ลืมตาขึ้นมามองข้า” 


 


 


สายตากับสายตาเกี่ยวพันกันอย่างยุ่งเหยิงราวกับกลุ่มด้ายแห่งความสัมพันธ์ที่ไม่มีวันคลายออกได้ มินอาจึงรู้ว่าชานกำลังมองตัวเองอยู่ไม่ได้มองเงาของรยูฮาที่อยู่ในตัวนางเหมือนเคย มีคำพูดที่นางอยากจะพูดออกมาเมื่อเวลานี้มาถึง แต่สุดท้ายคำนั้นก็ถูกกลืนลงไปเหมือนเดิม เนื่องจากหากพูดออกไปแล้ว คำนั้นอาจจะทำให้ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ร่างกายที่เริ่มคุ้นชินและชายหนุ่มตรงหน้าทำให้นางรู้สึกดีท่ามกลางความเจ็บปวด การเคลื่อนไหวของชานค่อยๆ รุนแรงขึ้นทีละนิด เอาความเป็นชายออกมาอย่างหวาดเสียวและกระแทกกระทั้นเข้าไปใหม่ ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับใช้มืออีกข้างบีบคลำหน้าอกที่เต็มไม้เต็มมืออย่างแรง 


 


 


แม้จะเป็นการกระทำที่รุนแรง แต่มินอาก็ยอมรับเขาเข้ามาด้วยความยินดีแทนที่จะหลบหลีกหรือถอยหนี นางรับมาทั้งความโกรธ ความเจ็บปวด ความเสียใจของชานมาทั้งหมด ชานที่มองลงมาที่มินอาจากด้านบนก็รู้เรื่องนั้นเช่นกัน 


 


 


ไปซะ ไม่ต้องมารับความเจ็บปวดของข้า ไม่ต้องเจ็บปวดอยู่เคียงข้างข้าแบบนี้แล้วไปซะ แต่เขาไม่กล้าพูดคำนั้นออกไป เพราะรู้ดีกว่าใครว่าหากไม่มีมินอาก็จะเหลือตัวคนเดียวจริงๆ เขามันช่างขี้ขลาด ใจเสาะและน่าสมเพช 


 


 


“คว่ำหน้าลง” 


 


 


ชานหยุดขยับอย่างกะทันหันและพูดคำแปลกๆ จู่ๆ โลกก็หมุนกลับด้านก่อนที่มินอาจะเข้าใจสิ่งที่เขาบอก ความเป็นชายที่ขยายใหญ่คับแน่นเหมือนกับอาวุธถูกดันเข้ามารวดเดียว 


 


 


“อึ่ก!” 


 


 


เสียงครางเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของมินอาที่ยึดเตียงไว้แน่น มือใหญ่จับร่างที่เคลื่อนไปด้านหน้าโดยสัญชาตญาณไว้และดึงเข้ามากักไว้ในอ้อมอก 


 


 


“อย่าไปเลยนะ” 


 


 


ความในใจที่กดเอาไว้มานานระเบิดออกมาโดยไม่ลังเล 


 


 


“ไม่ต้องเป็นคนของข้าก็ได้ ขอแค่เจ้าไม่จากไปไหนก็พอ” 


 


 


ริมฝีปากที่กระซิบอย่างจริงจังค่อยๆ เลื่อนลงไปตามแผ่นหลังของมินอาซึ่งยันเตียงอยู่อย่างอดทน เหมือนกับที่สัตว์เลียแผล เขาเลียรอบๆ รอยแผลถูกฟันซึ่งเปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อนพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าอกอย่างเบามือ เมื่อชานกัดบนกระดูกไหล่ที่นูนขึ้นมาเบาๆ เอวของมินอาจึงเกร็งขึ้นเล็กน้อย ลมหายใจของมินอาค่อยๆ เริ่มติดขัดทีละนิดเมื่อเขายังคงดูดและกัดบริเวณนั้นต่อไปเรื่อยๆ 


 


 


ชานออกแรงที่มือซึ่งกอบกุมหน้าอกไว้อยู่ แล้วให้มินอาลุกขึ้นพลางหยิกยอดอกที่แข็งขึ้นมาเบาๆ นอกจากลมหายใจที่ยุ่งเหยิงแล้วมินอาก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ อีก แต่ภายในทางเข้าซึ่งเต็มไปด้วยตัวตนของชานนั้นกำลังสั่นระริกอยู่อย่างแน่นอน นางเป็นเช่นนั้นทั้งในตอนที่เขาดึงหน้าอกแรงขึ้น ทั้งในตอนที่เขาเลื่อนมือลงมาเรื่อยๆ นิ้วที่ขยับราวกับลูบไล้เพียงแค่ภายนอกในตอนแรก จู่ๆ ก็สอดเข้าไประหว่างเนื้อที่แยกออกในทันที นิ้วที่ขยับอย่างแรงพร้อมกับปลุกเร้าเนื้อนุ่ม ในไม่ช้าก็เพิ่มเป็นสองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงสอดเข้าไประหว่างไข่มุกซึ่งขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อยและบดขยี้มันอย่างเบามือ 


 


 


“ฮึก” 


 


 


มินอาที่ตกใจเสียงตัวเองรีบเอามือมาปิดปาก ส่วนชานก็ขยับเอวอีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน มือยื่นออกไปจับขอบเตียงซึ่งถูกแกะสลักไว้อย่างงดงามเพื่อประคองร่างที่สั่นคลอน แต่ชานก็ไม่รีบเร่ง เขาใช้มือข้างหนึ่งหมุนวนรอบๆ ไข่มุกต่อไปพร้อมกับสอดตัวตนเข้าไปจนสุด หมุนเพื่อหาจุดที่มินอามีความรู้สึกไวเป็นพิเศษ ก่อนจะกดย้ำลงไป จากนั้นจึงแทรกไข่มุกซึ่งขยายใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อครู่ไปในระหว่างนิ้วและขยับอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม 


 


 


“อื้อ!” 


 


 


ปลายเท้าเกร็งขึ้นมาทันที ร่างกายขยับขึ้นไปตามอารมณ์ ชานจับมือของมินอาซึ่งปิดปากและอดทนจนสุดชีวิตมาคล้องคอตัวเอง 


 


 


“ซื่อตรงกันแค่สักครั้งได้ไหม” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำของเขาที่กระซิบข้างหูคือตัวกระตุ้นชั้นดียิ่งกว่าอะไร ชานค่อยๆ ขยับเอว แล้วยกสูงขึ้นอย่างแรงในทันทีทันใด 


 


 


“อ๊ะ!” 


 


 


เริ่มจากเสียงครางสั้นๆ ก่อนจะเปล่งเสียงออดอ้อนออกมาโดยไม่หยุดหย่อน หัวสมองคิดอะไรไม่ออกเอาแต่เรียกหาความสุขที่มากกว่าเดิม เสียงลมหายใจที่พ่นออกมาอย่างหนัก หัวใจที่เต้นแรงในหน้าอกที่สัมผัสกับแผ่นหลัง ไออุ่นของต้นคอที่สัมผัสได้จากมือที่โอบไปด้านหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งตรงไปยังมินอาทั้งหมด การขยับเข้าออกอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่ต่อเนื่องทำให้มินอาทนไม่ไหวทรุดลงไปบนเตียง ชานจึงจับสะโพกกลมและกระหน่ำเอวเข้าไปอย่างเต็มที่ เอวสอบกระแทกกระทั้นซ้ำไปซ้ำมา กล้ามเนื้อต้นขาที่แข็งแกร่งและดูดีนั้นเป็นมัดๆ ในเวลาไล่เลี่ยกันมินอาก็กำหมอนไว้แน่นและกลั้นหายใจ แผ่นหลังที่ชุ่มเหงื่อโน้มลงอย่างแรงและกระตุก 


 


 


“แฮ่ก แฮ่ก!” 


 


 


มินอาพ่นลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาในคราวเดียว ในตอนนั้นชานจึงค่อยๆ ถอนตัวตนของตัวเองออกมาและนอนลงข้างๆ กัน หัวไหล่ของมินอาที่ขยับขึ้นลงดูเล็กผิดปกติจนอยากกอดเอาไว้ ชานจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปช้าๆ แต่ก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสถึง มินอาที่นอนคว่ำอยู่ก็พลิกตัวไปทางฝั่งตรงข้ามที่เป็นผนังไม่ใช่หันหน้าไปหาชาน มือที่ไม่มีความกล้าจึงถูกเก็บกลับไปที่เดิมอย่างช้าๆ 


 


 


“สมมตินะ” 


 


 


ชานที่มองดูแผ่นหลังของมินมาอยู่อย่างนั้นมาสักพักหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ 


 


 


“ถ้าชาติหน้ามีจริง ตอนนั้นเจ้าจะยังชอบข้าอีกไหม” 


 


 


รู้ดีอยู่แล้วว่ามันคือคำพูดที่เห็นแก่ตัว แต่ก็รู้อีกเช่นกันว่าคนที่รับความเห็นแก่ตัวของเขาได้ก็มีแค่มินอาเท่านั้น ดวงตาที่เริ่มคุ้นชินกับความมืดไล่ตามรอยแผลที่ลากยาวบนแผ่นหลังของมินอา 


 


 


“หากฝ่าบาททรงประสงค์เช่นนั้น หม่อมฉันก็จะทำเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


“ถ้าข้าต้องการอย่างนั้นหรือ” 


 


 


แม้แต่จะบอกให้แสดงที่สิ่งเจ้าต้องการออกมาไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการก็ยังไม่กล้า แต่มินอาที่นอนหันหลังให้อยู่ก็คงจะไม่มีทางพูดว่าต้องการออกมาจริงๆ อย่างแน่นอน ทั้งสองคนควรที่จะนอนเผื่อไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีราชาภิเษกในตอนเช้ามืด แต่พวกเขาก็ยังคงติดอยู่ในวังวนของกันและกัน จนกระทั่งนางในมาเรียกจากด้านนอก  

 

 


ตอนที่ 12-4

 

สายลมที่อิจฉาความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าช่วงกลางฤดูหนาว แม้แต่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและแสงแดดที่ส่องลงมายังหน้าลานของท้องพระโรงก็ยังเย็นยะเยือก เหล่าข้าราชบริพารและขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนที่รวมตัวตั้งแถวต่างก็ตัวสั่นเล็กน้อยทุกครั้งที่ลมหนาวลอดพัดผ่านเข้ามา 


 


 


“องค์รัชทายาท พระชายาเสด็จ! 


 


 


คนสองคนที่กำลังจะได้เป็นพระราชาและพระราชินีในอีกไม่ช้าต่างขึ้นเกี้ยวมาคนละเกี้ยวและลงมายืนตรงสุดทางเดิน ใบหน้าที่เรียบเฉยไม่สามารถอ่านได้ว่าดีใจหรือตื่นเต้น หรือแม้กระทั่งอารมณ์อื่นๆ ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมองอยู่แล้ว เนื่องจากเอวของทุกคนต่างก็โน้มลงไปที่พื้นราวกับมีใครกดลงไป และหนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงมินอาในชุดเครื่องแบบอันหนักอึ้งซึ่งยืนอยู่ใกล้บันไดที่สุด ท่ามกลางดนตรีที่บรรเลงอย่างโอ่อ่าโดยเหล่านักดนตรี เท้าของชานกับรยูฮาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของนาง 


 


 


“คำนับ!” 


 


 


คำนับสี่รอบขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งเป็นบิดาของพระราชา จากนั้นจึงคำนับอีกรอบแด่พระพันปีซึ่งมองลงมาที่พวกเขาจากบนบันได หลังจากคำนับครบเรียบร้อย ทั้งสองคนก็กลับหลังหันขึ้นไปบนเกี้ยวอีกครั้ง ฝูงชนมากมายรวมตัวกันเพื่อรับขบวนเสด็จของพระราชาองค์ใหม่ซึ่งออกจากพระราชวังเพื่อตรงไปยังพระราชสุสานของกษัตริย์องค์ก่อน แต่ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย 


 


 


ใบหน้าของรยูฮาที่นั่งมองตรงไปข้างหน้าเข้าสู่สายตาของชานที่เบือนหน้ามา ท่าทางที่มองตรงไปข้างหน้าด้วยแววตาเย็นชา แทนที่จะยิ้มและเปิดม่านขึ้นเพื่อมองดูเหล่าประชาชนที่มารวมตัวกันช่างดูแปลกตาเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้า ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทซึ่งห้อมล้อมด้วยเหล่าขุนนางและทหารจำนวนมากตรงไปยังพระราชสุสานตามการนำทางของหัวหน้าขันทีซึ่งรับใช้กษัตริย์องค์ก่อนอย่างใกล้ชิดที่สุดและยาวนานที่สุด 


 


 


ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากองค์รัชทายาทและพระชายาเสด็จออกไป พระราชวังก็ยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมพิธีการลำดับถัดไป ในตอนนั้นมินอาได้หายตัวไปอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจ มินอากลับมายังที่พักและถอดชุดเครื่องแบบทิ้งไป หลังจากเปลี่ยนไปเป็นชุดทหารชั้นผู้น้อยที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ เสร็จแล้วก็ข้ามหน้าต่างออกไปอย่างเงียบเชียบ น้ำหนักของดาบที่เหน็บไว้ที่เอวกดตัวนางลงมาอย่างหนึกอึ้งประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่ หลังจากที่ไม่ได้พกมาเป็นเวลานาน 


 


 


  


 


 


“นอกจากพวกทหารที่เฝ้าประตูแล้ว พวกทหารอารักขาพระราชวังทั้งหมดจงมารวมตัวกันตรงนี้” 


 


 


แม้จะเป็นคำสั่งที่มองเผินๆ แล้วดูผิดแผกไปจากปกติ แต่ในเมื่อพระราชวังไร้พระราชาผู้เป็นเจ้าของ ท่านพ่อของพระชายาจึงต้องเข้ามาจัดการเรื่องกำลังทหารแทน ซึ่งท่านผู้นั้นก็คือมหาเสนาบดี ซอดูนั่นเอง คำสั่งของเขาถูกกระจายไปทั่วพระราชวัง และในระหว่างที่กำลังรวบรวมเหล่าทหารอยู่นั้น ประตูชีกูซึ่งเป็นประตูที่เล็กที่สุดก็ถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ 


 


 


เงาที่แทรกซึมเข้ามาผ่านทางนั้นทีละคนขยับเขยื้อนไปตามกำแพงและเปิดประตูมากมาย จำนวนคนค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนเกินกว่าจำนวนของทหารที่เฝ้าพระราชวังอย่างรวดเร็ว 


 


 


“พวกกบฏ! จัดการพวกนั้นซะ!” 


 


 


คอของหัวหน้าทหารอารักขาพระราชวังที่วิ่งมาด้วยใบหน้าซีดเผือดถูกฟันร่วงพื้นก่อนเป็นคนแรกสุด แม้จะมีคนเคยได้ยินชื่อนักดาบมือหนึ่งมากมาย แต่แทบไม่มีคนที่เคยเห็นตัวจริงของเขาเลย จึงคิดว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือเกินจริงเท่านั้น แต่ตอนนี้ดาบของซอดูที่มีเลือดหยดติ๋งๆ ก็ทำให้ทุกคนได้รู้แล้วว่าข่าวลือนั้นไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจับกระบวนท่าที่เขาเคลื่อนไหวเพื่อฟันคอของหัวหน้าทหารอารักขาได้ทัน 


 


 


“ทิ้งดาบแล้วหมอบลงไปกับพื้นซะ คนที่ไม่ต่อต้านจะรอด ส่วนพวกที่ต่อต้านก็จงตายซะ” 


 


 


แม้เสียงของซอดูจะไม่ดัง แต่ก็ทะลุเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน เคร้ง โล่และดาบที่สูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ร่วงหล่นลงพื้นทุกทิศทาง พลทหารที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดธรรมดาจึงพร้อมใจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ภายในพระราชวังเงียบสงบราวกับป่าช้าทั้งที่มีเหล่าชายฉกรรจ์หลายพันคน พระพันปีที่ยังคงนั่งอยู่ด้านบนพระที่นั่งทอดสายตามองดูทุกฉากนั้นโดยไม่ไหวติง 


 


 


“ขบวนเสด็จขององค์รัชทายาทเสด็จออกจากพระราชสุสานแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทหารที่ออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวกลับมารายงานซอดู 


 


 


“อีกสักพักค่อยเปิดประตูและให้พวกนักดนตรีบรรเลงดนตรีต่อได้ รอให้ขบวนเสด็จเข้ามาด้านในจนหมดก่อนค่อยปิดประตู” 


 


 


เหล่าทหารที่เข้ามาในชุดธรรมดาเปลี่ยนไปสวมชุดทหารอารักขาพระราชวังโดยพร้อมเพรียงกัน หากดูเผินๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ เกี้ยวขององค์รัชทายาทเข้ามาในประตูพระราชวังซึ่งถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ในเวลาเดียวกันนั้น การแสดงดนตรีอันโอ่อ่าของนักดนตรีก็เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง 


 


 


ในตอนนั้นชานได้ประสานสายตากับรยูฮาที่หันมามองตนเองเป็นครั้งแรก แต่ก็เพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น นางกะพริบตาหนึ่งทีก่อนจะเบือนหน้าไปอย่างเย็นชาและจ้องมองไปด้านหน้า ประตูทั้งสี่ค่อยๆ ถูกทยอยเปิดออกไปตามการเคลื่อนที่ของเกี้ยว และในตอนที่ประตูบานสุดท้ายถูกเปิดออก เสียงที่เป็นดั่งลางร้ายก็ดังขึ้นมา 


 


 


“กลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่” 


 


 


เหล่าทหารที่ยืนเรียงแถวหันมาเล็งดาบไปทางชานในเวลาเดียวกันพร้อมกันกับเสียงที่แข็งกร้าว ในสถานการณ์นั้นชานกลับรู้สึกเป็นห่วงรยูฮาก่อนอย่างน่าขบขัน รยูฮากระโดลงจากเกี้ยวเบาๆ และแหวกผ่านเหล่าทหารตรงไปหาฮอนซึ่งยืนอยู่ตรงกลางพระราชวังราวกับหัวเราะเยาะ แม้ว่าทวนและดาบจะเยอะแยะมากมายจนลายตาไปหมด แต่ชานมองเห็นเพียงแค่รยูฮาที่จับมือและสบสายตากับฮอนราวกับว่านั่นคือโลกทั้งใบ 


 


 


“ตั้งสติหน่อยสิเพคะ ฝ่าบาท!” 


 


 


เสียงอันแหลมคมเรียกสติของชานและเปลี่ยนทิศทางไปยังตรงกลางสมรภูมิอีกครั้ง เขาเดาได้อย่างไม่ยากเลยว่าทหารรูปร่างเล็กที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าเขานั้นคือมินอา มีเลือดกระเด็นและศัตรูล้มลงทุกครั้งที่นางฟันดาบอย่างนุ่มนวล แต่เหล่าทหารที่คุ้มกันชานกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เกินครึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็สูญเสียกำลังใจและโยนอาวุธลงบนพื้นไปเสียแล้ว ซึ่งหนึ่งในเหตุผลนั้นอาจจะเป็นเพราะทหารคนหนึ่งเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลซึ่งปัดดาบของมินอาออกไปเมื่อครู่ 


 


 


“พอได้แล้ว หลบไป” 


 


 


ทั้งๆ ที่ความกระหายเลือดของโฮจินแผ่ซ่านออกมาราวกับจะแทงตัวให้ทะลุเดี๋ยวนั้น แต่นางกลับตั้งรับแทนที่จะถอยกลับไป นั่นทำให้โฮจินแสยะยิ้มออกมา แต่ก็ดูเป็นรอยยิ้มที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“คิดว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นเหรอ” 


 


 


“ไม่เจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าจะชนะท่าน แต่ก็ยังมีท่านอาจารย์อยู่ตรงโน้นด้วย แต่ว่าข้าจะต้องปกป้องฝ่าบาทให้ได้แม้จะต้องสละชีวิตเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้าคิดว่าข้าทำไม่ได้อย่างนั้นสินะ” 


 


 


ดาบของโฮจินพุ่งไปหามินอาโดยไม่ลังเลและหยุดก่อนที่จะถึงตัวนาง แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความตั้งใจของเขา โฮจินมองฮอนที่ขมวดคิ้วและเข้ามายืนขวางตรงหน้าราวกับจะต่อว่า 


 


 


“ทรงสัญญาแล้วมิใช่หรือ ฝ่าบาท” 


 


 


“ในสัญญานั้น ไม่มีชีวิตของมินอาอยู่ด้วย” 


 


 


“แต่นี่คือวิธีที่เราจะได้รับสิ่งที่ต้องการนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานฟังบทสนทนาของพวกเขาพร้อมกับก้มลงมองดูตัวเอง มังกรที่ถูกปักด้วยด้ายบนชุดเครื่องแบบที่หรูหราและสง่างามเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด มังกรนั้นอ้าปากสีแดงเข้มเลื้อยขึ้นมายังใบหน้าของตัวเอง นั่นไม่ใช่เลือดของเขา แต่เป็นเลือดของชีวิตมากมายที่ปกป้องชานจนถึงที่สุด ชานค่อยๆ ลงมาจากเกี้ยวและเดินผ่านข้างๆ มินอาไปยืนประจันหน้ากับฮอน 


 


 


“กลับมาแล้วหรือ” 


 


 


ชานถอดมงกุฎที่ตนเองสวมอยู่แล้วจึงวางลงบนศีรษะของฮอน ในตอนนั้นเองเขาถึงรู้สึกสบายใจ แม้จะอยากหันกลับไปดูรยูฮาเป็นครั้งสุดท้าย แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะมินอาที่ถูกโฮจินขวางอยู่ตรงหน้านั้นตะโกนและคร่ำครวญว่าอะไรสักอย่าง 


 


 


“ลาก่อน” 


 


 


ฮอนยกดาบขึ้นมาช้าๆ ชานคิดว่าปลายดาบที่เปล่งประกายกับแสงแดดช่างงดงามเสียจริงพร้อมกับหลับตาลง 


 


 


“วางลงเพคะ องค์ชาย!” 


 


 


หากพระพันปีที่มีสีหน้าซีดเซียวราวกับจะทรุดลงเดี๋ยวนั้นไม่ตะโกนขึ้นมา ฮอนก็คงจะแทงทะลุหัวใจของชานไปแล้ว แต่นางคือผู้อาวุโสแห่งราชวงศ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว เสียงของหญิงชราคนนั้นจึงยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา 


 


 


“เขาคือหลานของข้า หากทำร้ายเด็กคนนั้น ข้าก็จะไม่มอบตราพระมหากษัตริย์ให้แก่องค์ชายเป็นอันขาด!” 


 


 


เปลือกตาของชานยกขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ตัดสินใจที่จะรับความตายอย่างสงบนิ่ง แต่พอเห็นว่ามินอายังอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกรังเกียจก็โถมเข้ามาหาตนเองที่เบาใจ 


 


 


“จับกุมตัวอีชานซะ” 


 


 


เสียงของมหาเสนาบดีดังขึ้นจากที่ไกลๆ จากนั้นเชือกมัดนักโทษหนาๆ ที่ไม่เคยแตะต้องมาก่อนในชีวิตก็พันรอบตัวชานราวกับงูตามคำสั่งนั้น พระพันปีส่งมอบตราพระมหากษัตริย์ให้แก่ฮอนที่ด้านหน้าพระที่นั่งที่เขาหันหลังมองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไปภายใต้แสงอาทิตย์สีแดง ช่างโล่งอกจริงๆ ที่ไม่ได้ตายต่อหน้าเสด็จย่าที่เพิ่งสูญเสียลูกชายไปเมื่อไม่นานมานี้  

 

 


ตอนที่ 12-5

 

ยึดราชบัลลังก์และสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่ แม้ไม่ทำเช่นนั้น ตระกูลของมหาเสนาบดีที่ยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของอำนาจก็จะมีอำนาจและอิทธิพลที่เทียบเคียบกับกษัตริย์ได้อยู่ดี เนื่องจากการก่อกบฏของอดีตองค์รัชทายาท ดังนั้นแม้ว่าบุตรสาวของครอบครัวจะเป็นภรรยาของชายสองคนก็ตาม แต่สุดท้ายนางก็ได้ครอบครองวังจานยองอย่างสง่างาม แล้วใครจะมาว่าอะไรได้ 


 


 


“พระมเหสี พระราชาเสด็จเพคะ” 


 


 


รยูฮาในชุดผ้าฝ้ายสีขาวต่างกับสมัยเป็นพระชายาโดยสิ้นเชิงเหลียวหลังมองฮอน แม้จะไม่ใช่ยิ้มกว้าง แต่ริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยก็แสดงถึงความรู้สึกของนางได้เพียงพอแล้ว 


 


 


“รับชาไหมเพคะ” 


 


 


คำถามที่ไม่นุ่มนวลทำให้ฮอนยิ้มออกมาเล็กน้อยและยื่นมือที่อยู่ด้านหลังออกมาข้างหน้า ในตอนนั้นเองรอยยิ้มสดใสก็แต่งแต้มบนริมฝีปากของรยูฮาราวกับดอกไม้ แม้แต่เสียงเปิดฝาขวดสีขาวที่เขานำมาด้วยก็ไพเราะ ไม่นานนักกับแกล้มเบาๆ ก็ถูกนำเข้ามาวางเรียงไว้บนโต๊ะ เหล้าที่เติมลงในแก้วสองใบเอ่อล้นอย่างงดงาม 


 


 


“ข้าให้คำมั่นไว้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะมาพร้อมกับเหล้าที่ดีกว่าสองขวด” 


 


 


“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดจาสุภาพเช่นนั้นล่ะเพคะ ขนลุกนะเพคะ” 


 


 


รยูฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรู้สึกเสียบรรยากาศเล็กน้อย ฮอนจึงยื่นมือออกไปถูบนริ้วรอยนั้น  


 


 


“ตอนนี้เจ้าคือพระมเหสีของประเทศแล้ว จะให้ข้าพูดจากับเจ้าอย่างไรเล่า” 


 


 


“ถ้างั้นหม่อมฉันจะลาออกจากการเป็นพระมเหสีเพคะ ขอให้มีชีวิตที่อยู่ดีกินดีนะเพคะ” 


 


 


รยูฮาตบไหล่ของฮอนเบาๆ ด้วยความจริงใจ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาใส่ปาก คงจะไม่ได้ดื่มเหล้ามานานสินะ รยูฮาย่นจมูกพร้อมกับส่งเสียงถอนหายใจออกมา ส่วนฮอนก็หยิบกับแกล้มชิ้นหนึ่งใส่ปาก 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลาออกจากการเป็นพระราชาด้วย เราจะไปใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขกันที่ไหนดีพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 


 


 


“มีเงินไหมเพคะ” 


 


 


“มีเยอะมาก” 


 


 


“ที่ไม่ใช่เงินของประเทศน่ะ” 


 


 


ดวงตาของฮอนสั่นไหวอย่างรุนแรง เงินที่ไม่ใช่เงินของประเทศน่ะหรือ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง 


 


 


“…ไม่มี” 


 


 


“ไม่มีเงิน แล้วจะกินดีอยู่ดีได้อย่างไรกัน” 


 


 


รยูฮาหัวเราะเยาะเขาอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ เพราะเห็นอย่างชัดเจนว่าภายใน**บเงินของนางที่เคยเห็นเมื่อก่อนนั้นเต็มไปด้วยทองคำและเงินมากมาย ถ้ายกเว้นเงินของประเทศฮอนก็แพ้อย่างราบคาบเลยไม่ใช่หรือ นอกจากนั้นแล้วรยูฮาก็ยังอยู่ในครอบครัวที่มีอำนาจสูงที่สุดในประเทศอีกด้วย 


 


 


“ทรงทำอาหารเป็นไหมเพคะ” 


 


 


“ไม่มีทาง” 


 


 


“เฮอะ จะซื้อใจหม่อมฉันด้วยการบอกว่าไปใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ยังหุงข้าวไม่เป็นเลยเนี่ยนะ ก่อนที่จะออกจากการเป็นพระราชา ไปเรียนทำอาหารก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันจะต้องได้ทานข้าวกับเนื้อ หลังจากที่เสร็จงานกลับมา” 


 


 


ฮึ เสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากปากฮอน เหล้าหนึ่งแก้วที่ดื่มในขณะที่นั่งหันหน้าเข้าหากันช่างหอมหวาน เขาวางแก้วเหล้าลงและเท้าคางบนโต๊ะมองดูรยูฮาเคี้ยวกับยุกจอน[1]ตุ้ยๆ 


 


 


“หากข้าทำอาหารเก่ง พระมเหสีจะเลี้ยงดูข้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“คิดว่าหม่อมฉันเป็นผู้หญิงแล้วจะเลี้ยงผู้ชายคนเดียวไม่ได้หรือเพคะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง” 


 


 


“เอาอย่างนั้นแล้วกันเพคะ” 


 


 


เหล้าอีกแก้วหมดไปอีกครั้ง กับแกล้มที่เข้าปากของรยูฮาในคราวนี้ไม่ใช่ทั้งยุกจอนทั้งผักปรุงรส แต่เป็นรอยยิ้มที่คลี่ออกระหว่างริมฝีปากทั้งสองที่ประกบกันที่บอกให้ทั้งคู่ได้รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความฝัน ฮ้า ต่อมารยูฮาจึงพ่นลมหายใจออกมาและผละริมฝีปากออกก่อน 


 


 


“พอไม่ได้ชิมนานก็รู้สึกว่ารสชาติจะดีขึ้นนะเพคะ” 


 


 


“ระ…รสชาติ?” 


 


 


รยูฮาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของฮอนอีกครั้ง 


 


 


“รสชาติ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกินเพคะ จริงๆ…” 


 


 


“ข้าคิดถึงเจ้า” 


 


 


ฮอนดึงรยูฮาเข้ามากอดจนตัวแทบจะหักพลางกระซิบกระซาบ รู้สึกขอบคุณ สงสารและเอ็นดูไหล่บอบบางนั่น จิตนาการไม่ออกเลยว่าที่ผ่านมานางใช้เวลาอย่างไรในพระราชวังแห่งนี้ 


 


 


“ข้าได้ยินเสียงเจ้าทุกครั้งที่จะสิ้นลม เจ้าจับมือข้าและบอกให้ลืมตา แต่มันกลับลืมไม่ขึ้น” 


 


 


ได้ยินสินะ คำพูดต่างๆ ที่รยูฮากระซิบพร้อมกับจับมือของเขาซึ่งหมดสติอยู่ไม่ได้ลอยหายไปในอากาศสินะ ในขณะที่ฮอนกำลังอดทนอยู่กับช่วงเวลาอันยาวนานโดยปราศจากยาถอนพิษ เสียงของนางได้ดึงเขาเอาไว้ไม่ให้ไปจากโลกนี้ 


 


 


“ทรงน่าชื่นชมจริงๆ ทรงทำได้ดีมากเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


ฮอนก้มหน้าและสบตากับรยูฮา 


 


 


“เอ่ยชมข้าเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย” 


 


 


“อย่างนั้นหรือเพคะ” 


 


 


ริมฝีปากมีเสน่ห์ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่รยูฮากลับเอียงหัวหลบไปด้านข้างอย่างชำนาญ 


 


 


“พระมเหสี!” 


 


 


“เหล้าชืดหมดแล้วเพคะ” 


 


 


รยูฮาหันกลับไปอย่างเย็นชา พอนางนั่งลงที่เดิมและรินเหล้าใส่แก้ว ฮอนจึงเขยิบมานั่งข้างๆ 


 


 


“เหล้าหรือสามีสำคัญกว่า บอกมาสิ” 


 


 


“ดูพูดเข้า…” 


 


 


รยูฮารู้สึกขนลุกไปทั้งตัวพร้อมกับกำหมัดและจ้องฮอนเขม็ง 


 


 


“ทรงเรียนรู้มาจากโฮจินใช่ไหมเพคะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ จะว่าไป เพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็คือหน้าของเขาและสิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงของเขานะ” 


 


 


“เพียงแค่ได้ยินอะไรแบบนั้น มือของหม่อมฉันก็จะพุ่งออกไปเองแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าตรัสแบบนี้อีกเพคะ” 


 


 


ภาพฮาแบคที่ใช้ช้อนตีหน้าผากโฮจินเมื่อเขาแค่พูดอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมา ช่างเหมือนกันจริงๆ ฮอนหัวเราะคิกคักคนเดียว 


 


 


“แล้วยอนฮวาเดินทางไปอย่างปลอดภัยไหมเพคะ” 


 


 


“นางมาขอร้องในวันก่อนที่จะลงจากภูเขา ข้าจึงส่งนางไปหลังจากที่นางมาขอออกจากพระราชวังน่ะ” 


 


 


แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กอดเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะไม่ได้มีความชอบพอส่วนตัว แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าควรจะที่ปกปิดมันเอาไว้ 


 


 


“หม่อมฉันทำสิ่งที่ไม่สมควรทำกับเด็กคนนั้น นางคงจะร้องไห้หนักน่าดูนะเพคะ” 


 


 


“หนึ่งเดือนที่ข้าเห็นนาง นางดูมีความสุขยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในวังเสียอีกนะ นางมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ” 


 


 


“…อย่างนั้นสินะเพคะ” 


 


 


รยูฮายิ้มอย่างนิ่งๆ เด็กขี้แยที่เพียงแค่พูดอะไรนิดหน่อยก็น้ำตาคลอและร้องตะโกนว่าพระชายาๆ อยู่เสมอ เด็กคนนั้นบอกปฏิเสธตำแหน่งนางสนมแล้วไปอยู่ที่ไหนกันนะ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงจะให้ทรัพย์สินติดตัวไปเล็กน้อยด้วย 


 


 


“หลังจากบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว ข้าว่าจะเรียกแชยอนกลับมา แต่ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบล่ะก็…” 


 


 


“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ หลังจากเรียกมาแล้วก็จัดพิธีสมรสอย่างยิ่งใหญ่ให้ทั้งคู่ด้วยเลยสิเพคะ” 


 


 


แก้วเหล้าสองใบกระทบกันพร้อมกับส่งเสียงใสออกมา รยูฮากับฮอนดื่มเหล้าร่วมกันและจูบกันอีกครั้ง ตอนนี้ก็ถึงคราวที่จะพูดคุยกันเรื่องที่เคร่งเครียดกว่าเดิมแล้ว ทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอย่างนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นมาพร้อมกัน 


 


 


“คือว่า…” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“เจ้าพูดก่อนเลย” 


 


 


“ทรงต้องไว้ชีวิตองค์ชายสองนะเพคะ” 


 


 


ไม่ใช่ โปรดไว้ชีวิตเขาหรือไว้ชีวิตเขาเถอะ แต่เป็นต้องไว้ชีวิตเขางั้นหรือ การแสดงออกที่สมกับเป็นรยูฮาทำให้ฮอนไม่สามารถรักษาความเคร่งขรึมไว้ได้และระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง 


 


 


“หัวเราะทำไมหรือเพคะ” 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก จากที่ข้ารู้ ในพจนานุกรมของเจ้านั้นไม่มีคำว่าให้อภัย แล้วทำไมถึงได้?” 


 


 


“แน่นอนว่า ถึงแม้ว่าจะฆ่าเขาให้ตายและทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่เป็นร้อยรอบก็ยังไม่สะใจ แต่เขาคือคนรักของมินอาเพคะ หม่อมฉันจะไว้ชีวิตองค์ชายและให้เขาออกไปจากพระราชวังด้วยกันกับมินอาเพคะ” 


 


 


ฮอนส่ายหัวช้าๆ รอยยิ้มบนริมฝีปากเขาเลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“หลังจากบ้านเมืองเริ่มสงบเรียบร้อย ข้าจะกำหนดวันประหารชีวิต พระศพจะถูกเก็บรักษาไว้โดยสมบูรณ์ แต่ข้าไม่สามารถไว้ชีวิตเขาได้” 


 


 


“นางเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตเพื่อข้ามาทั้งชีวิตเพคะ และเขาคือคนที่เด็กคนนั้นรักและถวิลหาเป็นคนแรกในชีวิตด้วยเพคะ” 


 


 


“เราต้องฆ่าเสด็จพี่อำนาจของกษัตริย์จึงจะศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือ” 


 


 


“อำนาจของกษัติรย์คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงสร้างขึ้นมาเองเพคะ ฝ่าบาทควรดูแลราษฎรที่ยากลำบากและครองใจราษฎรด้วยการยึดมั่นในการปกครองของกษัตริย์ผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถสิเพคะ!” 


 


 


ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันเป็นครั้งแรกทำให้น้ำเสียงของรยูฮาสูงขึ้นเล็กน้อย ฮอนจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้จะคิดว่าเสียงนั้นก็ยังคงอ่อนหวานอยู่เหมือนเดิมก็ตาม 


 


 


“ข้าไม่สามารถให้อภัยและปล่อยทุกคนไปได้ จะให้ข้าให้อภัยผู้ชายที่ฆ่าข้าและหมายจะครอบครองเจ้าได้อย่างไร เพราะเขา เจ้าถึงได้ประสบกับความเจ็บปวดทรมาน แล้วจะให้ข้าลืมได้อย่างไร! ฆ่าให้ตายและทำให้ฟื้นขึ้นมาร้อยรอบอย่างนั้นหรือ จะร้อยรอบหรือพันรอบ ข้าก็จะฆ่าเสด็จพี่ ข้าจะให้เขาชดใช้บาปที่ได้ทำไปด้วยความตาย” 


 


 


“ฮอน” 


 


 


มือบางและอบอุ่นลูบใบหน้าของฮอนและเชยขึ้น ดวงตาที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอยู่เสมออยู่ตรงหน้าพอดิบพอดี 


 


 


“หากฆ่าเขาแล้วสบายใจก็ทำเช่นนั้นเถอะ แต่ถ้าความตายของเขาทำให้ท่านเจ็บปวดก็อย่าทำเช่นนั้นเลย เพื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากเห็นท่านต้องทนทุกข์ทรมาน” 


 


 


  


 


 


* * * 


 


 


  


 


 


[1] ยุกจอน เนื้อวัวขนาดพอดีคำปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย จากนั้นชุบแป้งกับไข่แล้วนำลงไปทอด  

 

 


ตอนที่ 12-6

 

ความเงียบไหล่ผ่านระหว่างฮอนกับโฮจินที่นั่งหันหน้าเข้าหากัน แววตาที่ตึงเครียดซึ่งปะทะกันกลางอากาศดูจะไม่ยอมลดละกันทั้งคู่ เขามาที่นี่เพราะท่านมหาเสนาบดีไล่ให้มา แต่หากไม่ใช่เพราะท่านมหาเสนาบดีล่ะก็โฮจินก็คงจะไม่เข้ามาในวัง แม้จะมีคำสั่งของพระราชาก็ตาม ยิ่งรู้ว่าพระราชาจะตรัสว่าอะไรยิ่งแล้วใหญ่ 


 


 


“ข้าจะพูดตรงๆ นะ” 


 


 


“กระหม่อมก็จะพูดตรงๆ พ่ะย่ะค่ะ ไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าจะย้ายตำแหน่งท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะหนีไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ปรับท่านั่งให้ดูเป็นทางการขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เอียงตัวทำท่าทางหยิ่งผยองเหมือนเดิมโดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างไรฮอนก็ต้องการเขา 


 


 


“เจ้ากรมกลาโหม ท่านมหาเสนาบดีจะนั่งอยู่ในตำแหน่งรองเจ้ากรมกลาโหมทั้งๆ ที่มีอายุมากกว่าเจ้า การได้เข้ามารับตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในกรมกลาโหมในช่วงอายุของเจ้า ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลยทีเดียว” 


 


 


“กระหม่อมบอกแล้วไงพ่ะย่ะค่ะว่าไม่ กระหม่อมมีทั้งเงิน ทั้งภรรยาแสนสวย ยังขาดอะไรอีกจึงต้องไปรับตำแหน่งขุนนางกัน ทรงลองคิดดูด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้นแล้วเรื่องสถานภาพล่ะพ่ะย่ะค่ะ มีใครรู้ไหมว่ากระหม่อมเป็นบุตรของพ่อซึ่งเป็นฆาตกรและแม่ซึ่งเป็นโสเภณี” 


 


 


“เรื่องนั้นก็เข้ามาในฐานะบุตรชายบุญธรรมของตระกูลซอก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมีพ่อเป็นฆาตกรและแม่เป็นโสเภณี แต่เจ้าก็มีคุณงามความดีในการช่วยชีวิตข้าไว้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครพูดเรื่องนี้ได้หรอก” 


 


 


“ใครว่าช่วยพ่ะย่ะค่ะ ใจจริงแล้วกระหม่อมตั้งใจจะฆ่าต่างหากล่ะ หากในตอนนั้นทรงไม่ยกแชยอนให้ล่ะก็คงจะทรงสวรรคตก่อนอายุขัยไปแล้ว” 


 


 


“ข้ายกให้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เจ้าต่างหากที่เข้ามาแย่งไปเหมือนกับโจร” 


 


 


การถกเถียงที่ดูเหมือนจะไม่จบลงง่ายๆ ทำให้ฮอนรู้สึกปวดหัวตุบๆ แม้จะได้ราชบัลลังก์กลับคืนมาอย่างค่อนข้างง่ายดาย แต่ให้พูดกันตามตรง นั่นไม่ใช่พลังอำนาจของฮอน แต่เป็นพลังอำนาจของตระกูลท่านมหาเสนาบดีและรยูฮาต่างหาก ท้องพระโรงของแผ่นดินซึ่งทรุดโทรมลงเนื่องจากอำนาจที่ตกต่ำมาเป็นเวลายาวนานต้องการเลือดของคนรุ่นใหม่ ซึ่งศิลปะการต่อสู้และอุปนิสัยของโฮจินที่ผลักดันความเชื่อมั่นของตนเองและไม่เอนเอียงไปทางอำนาจและทรัพย์สินฝั่งใดฝั่งหนึ่งเหมาะสมที่สุดสำหรับกรมกลาโหม แต่ปัญหาคือดูเหมือนว่าโฮจินจะไม่มีความคิดที่จะเข้ารับตำแหน่งนั้นแม้แต่นิดเดียว 


 


 


“ลองเปลี่ยนมุมมองดูสิพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาททรงอยู่ด้านบนสุดและทรงมีเงินไว้กินไว้ใช้ตลอดชีวิต ทั้งยังอภิเษกสมรสแล้วและเรื่องน่าปวดหัวก็ถูกแก้ไขหมดแล้วด้วย ทรงจะปกครองประเทศหรือจะจับมือพระมเหสีไปเที่ยวเล่นล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แน่นอนว่าต้องไปเที่ยวเล่นสิ ฮอนคิดเช่นนั้นภายในใจ แต่กลับถอนหายใจออกมายาวเหยียดแทนคำตอบ ที่รยูฮาบอกว่าจะเลี้ยงดูเมื่อวานเย็นก็ฟังดูน่าสนใจดี จริงๆ แล้วถ้าหากรยูฮาอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวกลางภูเขาหลังนั้น ฮอนก็คงจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นั่นอย่างที่นางพูดแทนที่จะกลับลงมายังพระราชวัง 


 


 


“หากตรัสเสร็จแล้ว กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็มีงานยุ่งเช่นกัน…” 


 


 


“…ที่ฮเยกุก แชยอนอยู่ที่นั่นคนเดียวใช่หรือไม่” 


 


 


เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้วิธีใจร้ายแบบนี้ เท้าของโฮจินที่กำลังจะลุกออกไปหยุดชะงัก 


 


 


“พระราชาของที่นั่นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับข้านะ หากขอให้เขาช่วยจับตัวสนมที่หลบหนีออกไปยังฮเยกุกเพราะถูกผู้ชายหลอกล่ะก็…” 


 


 


“เฮอะ เวรเอ๊ย” 


 


 


สุดท้ายโฮจินก็ใช้เท้าถีบเก้าอี้อย่างแรงและสบถคำหยาบคายออกมา เมื่อใดที่มีโอกาสก็ต้องโดนปาดคอเสมอ ไอ้ลูกหมาที่ไม่ได้ชอบอยู่แล้วตั้งแต่แรก 


 


 


“ที่จริงแล้วเจ้าติดหนี้ข้ามากมายเลยไม่ใช่หรือ เยอะเป็นพิเศษจนไม่สามารถตอบแทนได้ด้วยแค่คำขอบใจ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นเลยหรือ” 


 


 


“กรมกลาโหมเหรอ ได้สิ แม่งเอ๊ย” 


 


 


ใบหน้าที่มีเสน่ห์ขมวดคิ้วจนดูน่ากลัว และในที่สุดคำตอบที่ฮอนต้องการก็ออกมา ถึงหยาบคายไปสักหน่อยก็ตาม 


 


 


“มาเลย แต่คอยดูแล้วกันนะพ่ะย่ะค่ะว่ากระหม่อมจะทำพังได้ขนาดไหน ภายในสามเดือนนี้กระหม่อมจะทำให้ฝ่าบาททรงนึกเสียดายเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินก่นด่าออกมาไม่หยุดหย่อน และมีลมหนาวพัดผ่านไปทั่วตรงบริเวณที่เขาออกไป ในตอนนั้นเองใบหน้าของฮอนจึงปรากฏรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจขึ้นมาอย่างเต็มปรี่ หลังจากจบปัญหาใหญ่ไปได้หนึ่ง เขาก็พลิกหนังสือเก่าที่เอาออกมาจากหน้าอกไปมา แล้วจึงเริ่มจดจ่ออยู่กับการคัดเลือกคนที่จะต้องกำจัดและคนที่จะต้องเก็บเอาไว้ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ข้ามีเรื่องอยากจะถามพวกท่าน” 


 


 


เสียงของพระราชาหนุ่มซึ่งปกคลุมไปทั่วท้องพระโรงไม่มีความนุ่มนวลเหมือนกับสมัยยังเป็นองค์รัชทายาท เหล่าเสนาบดีสูงวัยโน้มตัวลงในระนาบเดียวกันและเงี่ยหูฟังเพื่อไม่ให้พลาดสิ่งที่เขาพูด 


 


 


“เหตุผลที่พวกท่านมาอยู่ตรงนี้คืออะไร” 


 


 


“เพื่อคอยดูแลรับใช้ฝ่าบาท ณ เบื้องบน และเพื่อคอยดูแลประชาชน ณ เบื้องล่างพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ตอบได้ดีนี่ คำตอบที่ใครบางคนพูดออกมาทำให้ฮอนยิ้มออกมาเล็กน้อย 


 


 


“ถ้าเช่นนั้น เหตุผลที่มีพู่กันอยู่บนโต๊ะคืออะไร” 


 


 


คำตอบที่ดูลังเลดังออกมาจากท่ามกลางเหล่าเสนาบดีที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายเพราะเป็นคำถามที่ฟังดูไร้สาระอีกครั้ง 


 


 


“เพื่อเขียน…หนังสือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ใช่แล้ว เพื่อเขียนหนังสือ แล้วถ้าหากมีหนูแทะพู่กันอันนั้นจนไม่สามารถใช้เขียนได้ต่อ จะต้องทำอย่างไร” 


 


 


ใบหน้าของเสนาบดีจำนวนหนึ่งเริ่มถอดสี เพราะเห็นได้ชัดว่าพระราชาใหม่คนนี้ซึ่งไร้ความเกรงกลัวใดๆ กำลังจะถอนรากที่เน่าเสียออก 


 


 


“ต้องทิ้งและหาพู่กันอันใหม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


มหาเสนาบดีซึ่งปิดปากสนิทและคอยดูอยู่เฉยๆ ไม่ว่าพระราชาจะพูดอะไรก็ตามนั้นเริ่มพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก ต้องปิดปากเงียบเหมือนตามปกติสิ ทำไมถึงต้องเป็นตอนนี้ด้วย แม้จะถูกสายตาขุ่นเคืองเพ่งมอง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจและทำเพียงแค่จ้องมองไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง 


 


 


“สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ หากไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ตรงนั้นแล้วก็ควรที่จะต้องทิ้งไปและหาอันใหม่มาแทน ซึ่งข้าได้รับสิ่งของที่น่าสนใจเป็นอย่างมากมาในสมัยที่ยังเป็นองค์รัชทายาท” 


 


 


หนังสือเก่าเล่มหนึ่งปรากฏออกมาตรงปลายนิ้วของฮอนซึ่งหยิบมันออกมาจากหน้าอก มันเป็นหนังสือที่ไม่มีอะไรถูกเขียนไว้เลยบนหน้าปกซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย ซึ่งก็คือสมุดบัญชีที่เจ้าเมืองซึ่งโกงกินภาษีที่เขตชายแดนและติดสินบนส่งต่อให้พร้อมกับร้องขอให้ไว้ชีวิตลูกชายนั่นเอง ฮอนรู้สึกเพลิดเพลินกับการมองดูพวกคนแก่ที่สายตาว่องไวซึ่งตกอยู่ในความมึนงง พร้อมกับเปิดไปหน้าหนึ่งตามที่มือเปิดไปได้ 


 


 


“เจ้ากรมการคลัง?” 


 


 


หัวใจของจอนจูฮโยร่วงตกลงไปที่ตาตุ่ม เขาพยายามควบคุมสีหน้า ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวและโค้งคำนับ 


 


 


“พระราชาองค์ก่อนทรงเชื่อใจเจ้าให้รับหน้าที่ที่สำคัญยิ่งในการจัดการดูแลภาษีและจัดทำรายชื่อราษฎร” 


 


 


“ทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


“ท่านเป็นคนตระหนี่ และแน่นอนว่านั่นก็ทำให้สภาพเศรษฐกิจของประเทศตระหนี่ไปด้วย” 


 


 


แม้แต่เด็กเล็กๆ ยังรู้ได้ว่าประโยคนั้นไม่ใช่คำชม การถากถางของฮอนทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเอาตัวรอดได้ หากพูดแก้ตัวและถูกจับได้ทีหลังว่าแอบซุกซ่อนทรัพย์สมบัติของพระพันปีก็คงจะต้องจบลงด้วยการถูกปลดออกจากตำแหน่ง หรือไม่ก็ถูกลงโทษโดยการส่งไปยังถิ่นทุรกันดาร 


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมกระทำความที่ผิดสมควรแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ เจ้าทำความผิดอะไรงั้นหรือ” 


 


 


รอยยิ้มเล็กๆ จางหายไปจากใบหน้าของฮอน 


 


 


“ไหนลองบอกความผิดด้วยปากของท่านหน่อยเถิด หากไม่เหมือนกับที่ข้ารู้มา ข้าก็เกรงว่ามันจะไม่จบลงเพียงแค่การลดตำแหน่งหรอกนะ” 


 


 


“กระหม่อมปลอมแปลง…การจัดทำรายชื่อราษฎรเพื่อทำให้ภาษีเพิ่มขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แล้วเงินภาษีที่เก็บซ่อนไว้ ท่านเอาไปใช้ที่ใดกัน” 


 


 


จอนจูฮโยซึ่งปิดปากสนิทไม่กล้าตอบเห็นชายเสื้อคลุมมังกรทองอยู่ตรงหน้ารางๆ ฮอนลงมาจากราชบัลลังก์ด้วยตัวเองและจับมือเขาไปวางไว้บนกระดาษที่กางอยู่ มติที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษตรงกันเป๊ะจนไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ 


 


 


“โอ๊ย!”  

 

 


ตอนที่ 12-7

 

จอนจูฮโยหงายหลังเพราะโดนฮอนถีบอย่างแรง เขาส่งเสียงโอดครวญออกมาแล้วจึงคลานต้วมเตี้ยมมาหมอบอยู่ที่เดิม ตอนนี้เขาไร้ซึ่งเกียรติโดยสิ้นเชิง ชีวิตของเขายืนอยู่ตรงทางแยกระหว่างความเป็นและความตาย 


 


 


“โกงกินภาษีแล้วเอาไปผลาญกับบ่อนพนันจนหมดใช่ไหม ไอ้ชั่ว! คิดว่าพระราชาองค์ก่อนทรงแต่งตั้งตำแหน่งนี้ให้แก่เจ้าเพื่อให้เจ้าเอาเงินภาษีไปเล่นการพนันหรือไง!” 


 


 


“ฝ่า…ฝ่าบาท! กระหม่อมถูกใส่ความ! มีใครบางคนพยายามจะใส่ร้ายกระหม่อม…!” 


 


 


“ยังกล้าพูดว่าถูกใส่ความอีก คนที่ให้เจ้ายืมเงินที่บ่อนพนันและได้ตราประทับนี้มาคือคนของข้าเอง!” 


 


 


ถ้าให้พูดอย่างละเอียดคือโฮจินเป็นคนไปปล่อยกู้ตามคำสั่งของรยูฮา แต่ตอนนี้เขาเป็นคนของฮอนแล้ว เพราะฉะนั้นที่พูดไปก็ถูกเหมือนกัน ในบรรดาตั๋วเงินที่รยูฮาครอบครองนั้น กว่าครึ่งคือตั๋วเงินของท่านพ่อนายหญิงตระกูลมุนซึ่งตายไปแล้ว รองลงมาคือจอนจูฮโย เจ้ากรมการคลังที่อยู่ตรงหน้านี่เอง พวกเขาคงจะไม่นึกว่าผู้หญิงที่ได้เป็นพระชายาจะปล่อยกู้และรับตั๋วเงินที่บ่อนพนัน 


 


 


“ไม่ได้มีแค่กระหม่อมที่ทำเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ! จุงซอรยอง! ท่านจุงซอรยองก็…!” 


 


 


“อะ ไอ้นี่!” 


 


 


พวกมนุษย์จิตใจคับแคบยิ่งเสียกว่าพวกสัตว์ชั้นต่ำ ฮอนมองดูจุงซอรยองที่จู่ๆ ก็ถูกใส่ร้ายกับจอนจูฮโยที่พยายามดิ้นรนเพื่อลดโทษของตัวเองแม้เพียงน้อยนิด แล้วขมวดคิ้ว 


 


 


“พอ พอ! ถ้าอย่างนั้น เจ้ากรมการคลัง ความผิดของเจ้ามีแค่นั้นใช่ไหม?” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมทำความผิดที่สมควรแก่ความตายพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“เจ้าเพลินจนพลาดท่าเลยสินะ” 


 


 


น้ำเสียงเย้ยหยันซึ่งออกมาจากปากของพระราชาทำให้เหล่าเสนาบดีตระหนกตกใจนึกว่าหูฝาด แต่ฮอนก็ไม่สนใจและยังคงกระแนะกระแหนจอนจูฮโยต่อ 


 


 


“ข้าเคยไปเยี่ยมเยียนพระพันปีที่วังจางชุนด้วยกันกับพระชายาในสมัยที่ยังเป็นรัชทายาท แต่ทว่าของประดับตกแต่งอันมีค่าซึ่งเคยอยู่ที่นั่นกลับหายไปหมดจนที่แห่งนั้นว่างเปล่า” 


 


 


ในตอนนั้นจอนจูฮโยก็เริ่มหน้าซีดและตัวสั่นหงึกๆ ติดกับพื้น 


 


 


“พอทูลถามว่าทรงทำอะไรกับของพวกนั้น ก็ทรงตอบว่านำไปให้เจ้ากรมการคลังเพื่อซื้อข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่เมื่อข้าได้ตรวจสอบสมุดบัญชีดู ปรากฏว่านอกจากจะไม่พบร่องรอยทรัพย์สินเหล่านั้นแล้ว แม้แต่ข้าวสารอาหารแห้งก็ลดลงจากปีที่แล้วด้วย” 


 


 


น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวพุ่งตรงไปยังแผ่นหลังซึ่งก้มอยู่บนพื้น 


 


 


“ไอ้คนชั่ว จอนจูฮโย! เจ้านำเงินภาษีไปผลาญกับการพนัน ทั้งยังใช้ทรัพย์สมบัติที่พระพันปีทรงมอบให้ไปเติมเต็มผลประโยชน์ส่วนตัวอีกด้วย! หลังจากที่ทำเช่นนั้น แล้วยังจะหน้าด้านมาอยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ได้อีกอย่างนั้นหรือ! ทหาร เข้ามา!” 


 


 


เมื่อประตูท้องพระโรงถูกเปิดออก เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงกรูกันเข้ามายืนเรียงแถวอย่างน่ากลัว 


 


 


“ลากตัวไอ้นั่นไปซะ และทำให้มันทรมานทั้งเป็น!” 


 


 


“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เขาไม่มีทางตั้งสติในระหว่างนั้นได้แน่ จอนจูฮโยพยายามดิ้นเพื่อสลัดมือที่เข้าจับกุกตัวเขาออกและตะโกนออกมาอย่างไร้ประโยชน์ 


 


 


“โอ๊ย ดะ ได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ฮวังควีบี ไม่สิ มันคือคำสั่งของนายหญิงตระกูลมุนพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงแค่ทำตามคำสั่ง…!” 


 


 


“ไม่ทำตามพระราชบัญชา แต่กลับไปฟังนายหญิงตระกูลมุนอย่างนั้นหรือ เพิ่มโทษไอ้ชั่วนี่ให้หนักขึ้น มัดมันไว้และห้ามให้น้ำแม้แต่หยดเดียวจนกว่าข้าจะสั่ง!” 


 


 


นึกว่าคว้าเชือกทองคำที่หล่นลงมาจากฟ้าได้แล้วเสียอีก แต่ความจริงแล้วมันคือเชือกที่เปื่อยแล้วต่างหาก จอนจูฮโยก่นด่าสาปแช่งมุนยออ๊กที่ตายไปแล้ว ในขณะที่ถูกลากออกไปราวกับสุนัข หลังจากเสียงกรีดร้องของเขาห่างออกไป ท้องพระโรงจึงเต็มไปด้วยความเงียบซึ่งคล้ายกับแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่จะแตกได้ทุกเมื่อ 


 


 


“นับตั้งแต่นี้ ข้าจะรับการสารภาพโดยสมัครใจ” 


 


 


 แม้จะมีรอยยิ้มที่สวยงาม แต่กษัตริย์หนุ่มซึ่งถือตั๋วเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและถือหนังสือเก่าๆ ไว้ในมืออีกข้างก็คือยมทูต อย่างน้อยก็ในสายตาของเหล่าเสนาบดีที่เอาแต่ปฏิเสธมาจนถึงตอนนี้ 


 


 


“ข้าจะมองว่าการสารภาพโดยสมัครใจเป็นการแสดงให้เห็นถึงการสำนึกผิด และตั้งใจที่จะลดโทษให้เบาลงด้วย” 


 


 


จากที่เห็นจุงซอรยองที่ถูกหมายหัวเมื่อสักครู่ เหล่าเสนาบดีจึงประเมินสถานการณ์อย่างว่องไวและคุกเข่าลงบนพื้นเย็นเฉียบทีละคนสองคน ฮอนทอดสายตามองพวกเขาและเริ่มกางหนังสือออกมาเทียบทีละคน ต่อมาจึงปิดหนังสือและชี้ตัวผู้ที่คดโกงจากบรรดาเสนาบดีที่ไม่ได้คุกเข่าลง และสั่งให้จับตัวไปแขวนไว้ข้างๆ จอนจูฮโย 


 


 


“เหลือไม่มากนะเนี่ย ให้ทหารเข้ามา ลดเบี้ยหวัดของพวกที่ยอมรับสารภาพโดยสมัครใจลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลาสามปีและให้ไปทำงานของพวกที่ถูกลากออกไป จนกว่าจะมีคนใหม่เข้ามาแทน หากในระหว่างนั้นมีคนกระทำการทุจริตหรือส่อแววที่จะทำเช่นนั้น ข้าจะไม่ถามถึงเหตุผลและจะริบสินทรัพย์และวงศ์ตระกูลไปขายเพื่อเอาไปสร้างป้อมปราการที่เขตชายแดนให้หมด” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


แม้เหล่าเสนาบดีเกือบหนึ่งในสามจะถูกลากออกไป แต่เสียงที่ดังกังวานก็ยังคงดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง ฮอนสะบัดปลายเสื้อคลุมมังกรทองอย่างสง่างามพร้อมกับลุกขึ้น จากนั้นจึงตรงไปยังวังจานยองเพื่อใช้เวลาที่เหลือกับรยูฮาอย่างเต็มที่และเข้านอนข้างๆ กัน 


 


 


ช่วงรุ่งสางซึ่งแม้แต่แสงจันทร์ก็ตกอยู่ในห้วงนิทรา แต่เป็นรุ่งสางที่ใกล้เคียงกับกลางดึกมากกว่าเสียอีก รยูฮาลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางอยากมองหน้าของฮอนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ภายในห้องมืดเกินไปจนแทบแยกไม่ออกเลยว่าบนเตียงมีคนนอนอยู่ ฮอนนั้นหล่อเหล่าที่สุดตอนนอน แม้จะนึกเสียดายกับความจริงนั้น แต่โอกาสที่จะได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนอนก็มีอีกมากเหมือนกับหมู่ดาว นางสวมเสื้อคลุมทับชุดนอนเพียงตัวเดียว ก่อนจะเปิดหน้าต่างแทนประตูและออกไปจากวังจานยองอย่างเงียบๆ 


 


 


“ใครน่ะ!” 


 


 


“เจ้าเฝ้ายามเป็นอย่างดีโดยไม่ง่วงเลยนะ” 


 


 


ทหารยามที่เฝ้าคุกเล็งดาบตรงไปยังเงาสีขาวที่ปรากฏออกมากะทันหัน แต่หลังจากเห็นใบหน้าของรยูฮาที่ใกล้เข้ามาจึงเก็บดาบเข้าไปที่เดิมทันที 


 


 


“ถะ ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 


 


 


“เปิดสิ” 


 


 


“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ มีรับสั่งมาจากฝ่าบาทไม่ให้ผู้ใดเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้าดูเหมือนใครอื่นอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“มิใช่เช่นนั้น…” 


 


 


“เปิดสิ ข้าจะรับผิดชอบเอง” 


 


 


ทหารยามสองนายมองตากันสักพักเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่ดูเหมือนพวกเขาจะได้ข้อสรุปว่าจะต้องทำตามพระราชบัญชา เห็นได้จากการที่ก้มลงไปหมอบพร้อมกับตะโกนว่าไม่ได้พร้อมกัน รยูฮาลังเลว่าควรจะต้องพึงพอใจหรือจะต้องหงุดหงิดดี นางทอดสายตามองพวกเขาและถอนหายใจออกมาสั้นๆ 


 


 


“ลุกขึ้นแล้วยืนหันหลัง” 


 


 


พักผ่อนสักหน่อยแล้วกัน รยูฮาพึมพำในใจหลังจากที่รับตัวของทั้งคู่ที่ล้มลงและให้นอนลงกับพื้น พอเข้าไปด้านในจึงเห็นถ่านในเตาไฟที่ลุกไหม้กำลังพ่นเขม่าควันสีดำออกมาตรงด้านในสุดของคุก คนที่นางตามหาลืมตาขึ้นอย่างหนักอึ้ง 


 


 


คุกทั้งมืดสลัวทั้งสกปรกเป็นอย่างยิ่งจึงไม่เหมาะกับรยูฮาที่ผิวขาวและสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยแม้แต่น้อย และด้วยเหตุนั้นนางจึงดูเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก หนูตัวเล็กที่รอดชีวิตมาจากฤดูหนาวตัวหนึ่งวิ่งหายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


“เสด็จมาเพื่อหัวเราะเยาะกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หม่อมฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นเสียหน่อยเพคะ” 


 


 


ชานและรยูฮานั่งเผชิญหน้ากันโดยมีลูกกรงที่หนาเท่าแขนของผู้ชายบึกบึนคั่นกลาง ความหนาวเย็นจากพื้นอันสกปรกราวกับจะแช่แข็งได้ทั้งตัวไต่ขึ้นมาตามขารยูฮา รยูฮารับรู้ได้ว่าดวงตาของชานไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ตอนนี้เขามีเป้าหมายอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นอะไรที่นางไม่ค่อยชอบนัก 


 


 


“ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่ได้เกลียดองค์ชายนะเพคะ หม่อมฉันเองก็เชื่อใจองค์ชายเท่ากับพระราชานั่นแหละเพคะ อ่อ แต่ตอนนี้เกลียดเพคะ” 


 


 


ชานยิ้มอย่างว่างเปล่า นั่นสินะ เพราะตอนที่ฮอนถูกโจมตีโดยผู้ลอบสังหาร คนที่รยูฮาตามหาก่อนเป็นคนแรกสุดเลยก็คือเขาเอง ผลตอบแทนของการทรยศความเชื่อใจนั้นคงจะเป็นสิ่งนี้สินะ 


 


 


“หากคิดว่ากระหม่อมจะบอกว่าเสียดาย ทรงเดาผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไรกระหม่อมก็ได้ยืนข้างๆ พระมเหสีในฐานะสามีภรรยาถึงแม้จะเพียงสั้นๆ ก็ตาม เพราะฉะนั้นแม้จะย้อนกลับไปได้กระหม่อมก็จะเลือกเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ ดูสิ พระองค์ยังเสด็จมาหากระหม่อมเองเลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เลิกตรัสอะไรไร้สาระเถอะเพคะ และโปรดมีชีวิตอยู่ต่อด้วย รักษาชีวิตนั้นไว้และมอบให้แก่น้องสาวของหม่อมฉันเถิดเพคะ”  

 

 


ตอนที่ 12-8

 

ชานไม่ตอบ ซึ่งรยูฮาก็ไม่ได้คิดจะฟังคำตอบอยู่แล้ว ทันทีที่พูดคำสุดท้ายออกไป นางก็ลุกขึ้นและออกจากคุกอย่างเงียบๆ เหมือนกับตอนเข้ามา แล้วกลับไปยังวังจานยอง 


 


 


“ไปที่ไหนมา” 


 


 


ดูเหมือนว่าจะตื่นมาสักพักแล้ว ฮอนที่จุดไฟในตะเกียงและนั่งรอหันมามองรยูฮา ดินและฟางข้าวเปื้อนชายกระโปรงสีขาวของนางที่เข้ามาทางหน้าต่างไม่ใช่ประตู ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นอับจางๆ จึงพอเดาได้ว่าคงจะไปที่ไหนสักแห่งมาแน่นอน แต่ที่เขาถามเช่นนี้ก็เพราะอยากได้ยินคำตอบที่ว่าไม่ใช่ ถึงแม้จะว่าใจแคบก็ตาม 


 


 


“ไปหาองค์ชายสองมาเพคะ” 


 


 


ที่เคยบอกว่าต่อให้เอามีดมาจ่อคอก็จะไม่พูดโกหกคือความจริง แม้ในเวลาที่ฮอนหวังให้นางพูดโกหกก็ตาม 


 


 


“ไปที่นั่นทำไม เป็นห่วงเขางั้นหรือ” 


 


 


“หม่อมฉันมีสิ่งที่จะบอกกับเขาเพคะ พรุ่งนี้ทรงต้องตื่นแต่เช้า รีบบรรทมเถอะเพคะ” 


 


 


ความไม่สบายใจที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในซอกหนึ่งของหัวใจของฮอนโผล่ขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่ตื่นแล้ว ความห่วง ความกังวลและความหึงหวง สิ่งเหล่านี้รบกวนจิตใจของฮอนมาตลอด นับตั้งแต่วันนั้นที่รยูฮาส่งยิ้มอันงดงามให้กับชานซึ่งปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง 


 


 


“มีเรื่องอะไรจะต้องบอกถึงได้ข้ามหน้าต่างไปหาถึงที่นั่นกลางดึกกลางดื่นเหมือนโจรงั้นหรือ พระมเหสี” 


 


 


“หม่อมฉันไปขอให้เขาอย่าฆ่าตัวตายมาเพคะ” 


 


 


รยูฮายังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ แม้ฮอนจะมีสีหน้าตึงเครียดก็ตาม จากนั้นจึงหยิบชุดนอนออกมาจากตู้ 


 


 


“ช่วยหันหน้าไปหน่อยเพคะ” 


 


 


“ข้า” 


 


 


แววตาที่ลุกโชนขยับเข้ามาใกล้รยูฮาเหมือนกับจะเจาะทะลุ 


 


 


“ข้าจะช่วยเจ้าเอง” 


 


 


รยูฮาย่นหน้าผากเล็กน้อยและจ้องมองฮอนด้วยสายตาที่มองคนแปลกหน้า ดวงตาที่ในบางครั้งก็เต็มไปด้วยความขี้เล่น บางครั้งก็อบอุ่นและบางครั้งก็จริงจังคล้ายคลึงกับชาน มันคือแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาซึ่งไม่อาจควบคุมได้ เหมือนกับในวันที่เขามาหานางเพื่อขอให้เป็นพระชายา แต่ความรู้สึกของรยูฮาที่มองดวงตาคู่นั้นแตกต่างกับตอนนั้นโดยสิ้นเชิง 


 


 


“…ได้เพคะ” 


 


 


ชุดนอนสีขาวที่อยู่ในมือถูกพาดไว้บนเก้าอี้ ฮอนกัดริมฝีปากและยื่นมือออกไปดึงปมที่ถูกผูกไว้แน่น เนื่องจากเป็นชุดที่มีไม่กี่ชั้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก ชุดผ้าฝ้ายที่เปรอะเปื้อนจึงร่วงลงไปคลุมข้อเท้าของรยูฮาอย่างง่ายดาย 


 


 


“ไม่สบายใจหรือเพคะ” 


 


 


ผิวเรียบลื่นส่องสว่างเมื่อไฟในตะเกียงอันเลือนรางพัดไหวๆ ฮอนหลับตาสักพักและหายใจออกมายาวเหยียดเพื่อปรับลมหายใจที่หอบกระชั้น ไหล่มนถูกดึงเข้ามาในอ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย 


 


 


“ข้าบอกอยู่เสมอและตลอดเวลาไม่ใช่หรือ ว่าอย่ายิ้มให้ชายอื่น” 


 


 


“หม่อมฉันไม่ได้ยิ้มให้นะเพคะ ในระหว่างที่ฝ่าบาทไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ หม่อมฉันไม่เคยยิ้มเลยสักครั้งเดียว” 


 


 


นิ้วมือราบลื่นเคลื่อนไหวอย่างงดงามไปถอดชุดนอนของฮอนออก รู้สึกได้ถึงร่างกายที่แม้จะดูผอมแห้งแต่ก็มีกล้ามเนื้อเป็นมัด รยูฮาใช้ปลายนิ้วลูบไล้ต้นแขนของเขาและสูดกลิ่นกายอุ่นเข้าไปเต็มปอด 


 


 


“หม่อมฉันเชื่อใจฝ่าบาทจึงได้ส่งยอนฮวาไปยังที่ที่ไม่มีหม่อมฉันอยู่แทนเพคะ แม้ว่าในระหว่างนั้นใจของฝ่าบาทจะทนไม่ไหวจนเอนเอียงไปหายอนฮวา หม่อมฉันก็ไม่ตำหนิหรอกเพคะ” 


 


 


“ข้ารู้ และข้ารู้เป็นอย่างดีว่าข้าคือสามีที่ไม่ได้เรื่องและไม่คู่ควรกับเจ้า” 


 


 


ฮอนขบเม้มต้นคอรยูฮาอย่างร้อนแรง รสหวานจากผิวที่ขบเม้มลงไปเบาๆ กระตุ้นปลายลิ้น 


 


 


“ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทไม่ได้เรื่องหรอกนะเพคะ แต่เป็นเพราะว่าหัวใจของฝ่าบาทยิ่งใหญ่กว่าหัวใจของหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


ริมฝีปากของทั้งคู่แย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะประกบกันอย่างอ่อนโยน และในไม่ช้าก็เกี่ยวกระหวัดเข้ามาอย่างรีบร้อน ของเหลวซึ่งไม่รู้ว่าเป็นน้ำลายของใครไหลผ่านลงไปในคออย่างไม่หยุดหย่อน แผ่นหลังของรยูฮาสัมผัสลงบนเตียงที่คล้ายกับก้อนเมฆ ฮ้า เมื่อฮอนถอนริมฝีปากออกพร้อมกับหอบหายใจ รยูฮาจึงใช้สองมือกุมใบหน้าของเขาไว้และค่อยๆ พินิจพิจารณาอย่างช้าๆ 


 


 


“หล่อขนาดนี้จะเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องได้อย่างไรกันเพคะ” 


 


 


ประโยคนั้นทำให้ฮอนยิ้มออกมา ริมฝีปากสีแดงระเรื่อวาดเส้นงดงามยั่วยวนรยูฮา รยูฮาจึงดึงฮอนเข้ามาและเริ่มสำรวจทุกซอกทุกมุมภายในปากของเขา 


 


 


“ฮ้า…อุ๊บ” 


 


 


ลมหายใจติดขัด สติเริ่มเลือนราง ความต้องการที่เหมือนจะระเบิดออกมาเร็วๆ นี้ทำให้ฮอนพยายามผละใบหน้าออก แต่สิ่งที่สัมผัสกับเตียงโดยไม่รู้ตัวคือแผ่นหลังของเขา มือที่กำลังจะดันรยูฮาออกเหมือนกับตะโกนว่าเดี๋ยวก่อนก็ถูกกดลงอยู่ข้างๆ ใบหน้า 


 


 


“เฮ้อ จริงๆ เลย…” 


 


 


ฮอนถอนหายใจออกมาระหว่างที่ผละจากกันพักหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้ง มือของรยูฮาที่ลูบไล้ไปทั่วทั้งตัวเคลื่อนไหวอย่างเร่งรีบราวกับสัตว์ที่มองหาเหยื่อและปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ฮอนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงคว้าเอวของรยูฮาแล้วดึงมาไว้บนตัว แต่มือที่กำลังปลุกเขาให้ตื่นขึ้นกลับรวดเร็วยิ่งกว่า 


 


 


“ไม่เชื่อใจหม่อมฉันหรือเพคะ” 


 


 


“เชื่อสิ ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเชื่อใจเจ้า” 


 


 


ริมฝีปากของฮอนรีบตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประกบกับริมฝีปากของรยูฮาซึ่งร้องหาคำตอบอีกครั้ง ทั้งสองคนค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างช้าๆ เส้นเลือดบนมือใหญ่ที่จับเอวของนางไว้แน่นปูดโปนขึ้นมาทุกครั้งที่เอวของรยูฮาขยับโยกราวกับระลอกคลื่น 


 


 


“เร็วขึ้นอีกนิดนะ ได้ไหม” 


 


 


รยูฮาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับรั้งคอของเขาเข้ามากอด แม้ว่าเขาจะเหมือนชานมากขนาดไหน แต่ทั้งคู่ก็แตกต่างกันมาก และผู้ที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างนางได้ก็มีแค่ฮอนซึ่งกำลังอ้อนวอนด้วยสายตาอันร้อนแรงอยู่ตรงหน้าในตอนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น 


 


 


“ผู้ที่ได้ใจของหม่อมฉันไปมีเพียงแค่ฝ่าบาทเท่านั้นเพคะ และผู้ที่ได้ครอบครองร่างกายของหม่อนฉันก็มีเพียงแค่ฝ่าบาทเช่นกัน เพราะฉะนั้นทรงเลิกกังวลไปล่วงหน้าและจดจ่อกับค่ำคืนนี้เถิดเพคะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ดูเหมือนว่าจะทรงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


มหาเสนาบดีที่นั่งพลิกเอกสารที่กองกันเป็นภูเขาไปมาตรงข้ามกับฮอนในห้องทำงานเอ่ยถามขึ้น ฮอนที่กำลังยิ้มกว้างพร้อมกับหวนนึกถึงเรื่องเมื่อคืนกับรยูฮาจึงสะดุ้งตกใจจนทำกระดาษม้วนที่ถืออยู่ในมือตก แต่เพราะมือของมหาเสนาบดีที่ยื่นมารับไว้อย่างรวดเร็ว มันจึงได้กลับมาอยู่ที่เดิมก่อนที่จะตกถึงพื้น 


 


 


“ฮ่าๆ ก็แค่…นอนหลับสบายน่ะขอรับ ท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


แน่นอนว่านางคือภริยาและพระมเหสีของเขาซึ่งอภิเษกสมรสกันอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่ต่อหน้าท่านมหาเสนาบดีจึงรู้สึกเหมือนทำอะไรผิดมาสักอย่าง ฮอนจึงก้มหน้าไปบนโต๊ะอีกครั้งเพื่อซ่อนลูกตาดำซึ่งสั่นไหวอย่างแรง 


 


 


“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ท่านพูดถึงเรื่องอะไรหรือ” 


 


 


“ตอนนี้กระหม่อมก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ดูท่านอายุยืนกว่าข้าเสียอีก ฮอนคิดเช่นนั้นและพยายามอย่างดีที่สุดกับรอยยิ้มเคอะเขิน 


 


 


“การได้อุ้มหลานสาวที่เหมือนกับพระชายาที่เหมือนกับพระมเหสีของพวกเราคือความปรารถนาสุดท้ายของชายชราคนนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หลานสาวที่เหมือนกับพระมเหสี…งั้นหรือ” 


 


 


ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาจนถึงกกหู ท่านมหาเสนาบดีพูดเรื่องหน้าอายเกี่ยวกับบุตรีของตนออกมาแบบนั้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้สักนิดเดียวได้อย่างไรกัน ถึงฮอนจะไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่นั่นก็คงจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตระกูลซอที่ไม่พูดโกหกและพูดสิ่งที่อยู่ในใจด้วยความจริงใจไม่แต่งเติม 


 


 


“เพราะฉะนั้นกระหม่อมจึงหวังว่าฝ่าบาทจะทรงทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ ด้วยเหตุนั้นแล้วกระหม่อมจึงได้หาสมุนไพรที่ดีมากๆ มาหนึ่งตัวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“สมุนไพร…?” 


 


 


แม้จะขัดเขิน แต่คำพูดของท่านมหาเสนาบดีที่น่าสนใจก็ทำให้ฮอนยื่นตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“โฮะๆ สิ่งนี้ดีต่อผู้เป็นสามีมากพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมคงจะต้องอธิบายให้อย่างละเอียดหน่อย” 


 


 


“ต่อสามี…?”  

 

 


ตอนที่ 12-9

 

เอกสารที่ทั้งสองคนต่างกำลังจัดการอยู่เมื่อครู่ถูกดันออกไปข้างๆ โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของฮอนเต็มไปด้วยความคาดหวัง 


 


 


“หากทรงปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่ง กระหม่อมจึงจะถวายสิ่งนั้นให้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี!” 


 


 


การตอบสนองที่ตะโกนพร้อมกับสะบัดมือไปมานั้นช่างดูคุ้นตา เพราะพระราชาองค์ก่อนก็เคยโบกมือปฏิเสธด้วยสีหน้าแบบนั้นเช่นกัน ในตอนที่ซอดูขอให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง รอยยิ้มที่มีความคิดถึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันเ**่ยวย่นก่อนจะหายไปในทันที 


 


 


“ตอนนี้กระหม่อมก็แก่ชรามากแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้อุทิศตนเองในการช่วยเหลือพระราชาองค์ก่อนและเข้าๆ ออกๆ ห้องทรงงานแห่งนี้รวมถึงท้องพระโรงมาทั้งชีวิตแล้ว ซึ่งในชีวิตที่เหลืออยู่กระหม่อมตั้งใจที่จะออกไปล่าสัตว์หรือไม่ก็ไปชมดอกไม้ด้วยกันกับฮูหยินของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ ข้าจะทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ก็แล้วกัน” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


เป็นเสียงที่สงบนิ่งแต่ก็เข้มงวดและอบอุ่น แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็มีพลังที่จะทำให้ผู้ฟังตั้งใจฟังในสิ่งที่มหาเสนาบดีจะพูด 


 


 


“อำนาจคือสิ่งที่ย่อมไหลผ่านไปดั่งสายน้ำไหลพ่ะย่ะค่ะ แม้ฝ่าบาทอาจจะทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานนัก แต่ในสายตาของกระหม่อม ทรงทำได้ดีมากทีเดียว เพราะฉะนั้นโปรดทรงเลิกใช้อำนาจในการรั้งกระหม่อมไว้ด้วยเถิด สังขารนี้แก่เกินจะรั้งไว้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฝีเท้าที่เต็มไปด้วยความกังวลก้าวออกไปจากห้องทรงงานอย่างหนักอึ้ง แม้ความหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจะหนาวถึงกระดูก แต่แสงแดดกลับอบอุ่น นั่นทำให้พื้นดินแข็งๆ เริ่มเหยียดกายออก ในขณะที่ฤดูใบไม้ผลิกำลังใกล้เข้ามา 


 


 


ถึงแม้ว่ามันจะยาก แต่ฮอนก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ในช่วงที่ดอกไม้ตูมเริ่มเบ่งบานและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิโดยสมบูรณ์ 


 


 


“องค์ชายสอง อีชาน เคยให้ข้าซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทดื่มยาพิษและแย่งชิงบัลลังก์ไป ดังนั้นโทษของเขาจึงสอดคล้องกับการกบฏ ในตอนนี้ข้าจะตัดสินโทษเขาด้วยการริบอภิสิทธิ์ของราชวงศ์ซึ่งอีชานเคยได้รับมาทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลดตำแหน่งให้เป็นสามัญชน” 


 


 


เมื่อน้ำเสียงหนักแน่นกังวานไปทั่วท้องพระโรง เหล่าเสนาบดีจึงน้อมศีรษะลง กลิ่นหมึกที่โชยมาจากม้วนกระดาษทำให้เวียนหัว ฮอนจึงปิดปากและมองมันสักพัก ก่อนจะอ่านต่อด้วยท่าทางสงบนิ่งในทันที การที่เขาอ่านพระบรมราชโองการที่ท่านมหาเสนาบดีควรจะต้องเป็นผู้แทนอ่าน และออกคำสั่งด้วยตัวเองคือความเคารพครั้งสุดท้ายที่เขามีให้พี่ชายคนละแม่ซึ่งเขารักและเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“แต่เนื่องจากเขาคือพระโอรสแท้ๆ ของพระราชาองค์ก่อนซึ่งเสด็จสวรรคตไปแล้ว ทั้งยังสร้างคุณงามความดีไว้มากมายในการช่วยเหลือข้าจนกระทั่งก่อนวางแผนก่อกบฏ หลังจากลงโทษประหารด้วยยาพิษตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์แล้ว จึงจะห่อศพของเขาแล้วจัดพิธีศพตามแบบแผน จากนั้นนำไปฝังไว้ในสถานที่ที่มองเห็นพระราชสุสาน” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


แม้จะมีงานต่างๆ ที่ต้องสะสางมากมายเป็นภูเขา แต่ฮอนกลับไม่เหลือแรงไว้คิดเรื่องเหล่านั้นแล้ว ความทรงจำที่มีกับชานซึ่งอยู่ทั่วพระราชวังถูกเหยียบย่ำในทุกก้าวที่เขาก้าวลงจากราชบัลลังก์และตรงไปยังวังจานยอง ร่างกายอันเหนื่อยล้าประหนึ่งวิ่งมาของฮอนทรุดลงบนกระโปรงสีขาวหลังจากที่เข้ามาด้านในตำหนัก รยูฮาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถอดมงกุฎทองคำที่กดทับอยู่บนศีรษะของฮอนออกแล้ววางไว้บนเตียง 


 


 


“รยูฮา” 


 


 


“เพคะฝ่าบาท” 


 


 


“หลังจากนี้สามวัน” 


 


 


รยูฮาหลุบขนตาที่สั่นไหวลงด้านล่าง 


 


 


“แม้จะทรงรู้สึกเสียดายกับพระบรมราชโองการไม่ได้ แต่ทรงรู้สึกเสียใจได้นะเพคะ” 


 


 


ฮอนใช้มือคว้าเอวของรยูฮาเข้ามา เสียงหัวใจที่ไม่ว้าวุ่นเพียงสักนิด เสียงอันสงบนิ่งที่ไม่ผิดจากตอนปกติทำให้เขาได้พักหากใจ 


 


 


“ข้าขอโทษที่ไม่สามารถรับฟังคำขอของเจ้าได้” 


 


 


“ไม่เป็นไรเพคะ” 


 


 


เพราะมันเป็นการไว้ชีวิตโดยปราศจากเงื่อนไข เพราะมันคือของขวัญชิ้นสุดท้ายที่สามารถมอบให้มินอาผู้ซึ่งเป็นทั้งตา หู มือ เท้าและมากกว่านั้นของนาง รยูฮาจึงเรียบเรียงความคิดในหัวอย่างใจเย็นพร้อมกับตบหลังของคนรักซึ่งนอนคว่ำหน้าบนกระโปรงของตัวเองไปด้วย 


 


 


“ทรงพักผ่อนเสียหน่อยเถอะเพคะ ไม่เป็นไรเพคะ” 


 


 


ตุบ ตุบ มือที่ตบแผ่นหลังเบาๆ อย่างสม่ำเสมอทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น ฮอนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาเป็นเวลาสองคืนเพื่อร่างราชโองการหลายอย่าง เขาจมเข้าสู่ห้วงนิทราในสถานที่แห่งเดียวที่สามารถพักผ่อนได้โดยไม่รู้ตัว 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พระมเหสี นางในตระกูลซอมาแล้วเพคะ” 


 


 


“ให้เข้ามาได้” 


 


 


ในเมื่อองค์ชายสองหรือชานถูกริบสถานภาพไป สนมซอซึ่งเป็นนางสนมของเขาจึงถูกปลดจากตำแหน่งสนมด้วยเช่นกัน หากตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว นางจะต้องออกไปจากพระราชวัง แต่ด้วยคำสั่งของพระมเหสี นางจึงกลับเข้ามายังวังจานยองแทนที่จะออกไปจากพระราชวัง 


 


 


ไม่มีนางในคนใดชื่นชมสิทธิพิเศษที่นางสนมผู้หยิ่งยโสและไม่เคยส่งยิ้มหรือส่งสายตาให้ผู้ใดเลยได้รับ แต่มินอาก็ไม่สนใจสายตารุนแรงซึ่งจับจ้องทุกครั้งที่เดินผ่าน นางเดินตรงไปยังเรือนด้านในด้วยชุดผ้าฝ้ายสีขาวคล้ายรยูฮาแทนชุดผ้าไหม 


 


 


“ทุกคนถอยออกไป และห้ามให้ใครเข้ามาใกล้เป็นอันขาด” 


 


 


รยูฮาปิดประตูหลังจากสั่งให้นางในทุกคนถอยออกไป ตู้เอกสารที่ใช้ตั้งแต่อยู่ที่วังซึงกอนถูกย้ายมายังวังจานยองและถูกวางไว้ตรงตำแหน่งเดิม รยูฮาเปิดมันออกและรื้อค้นภายในนั้น ก่อนจะนำชุดคลุม ดาบ ถุงเงินและกระดาษหนึ่งแผ่นวางไว้บนโต๊ะตามลำดับ 


 


 


“เหลืออีกสองวัน” 


 


 


“หากทรงทำเพื่อหม่อมฉัน ไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้เพคะ” 


 


 


นั่นคือประโยคแรกที่นางพูดออกมาในรอบหลายวันหลังจากบทลงโทษถูกตัดสินเรียบร้อย นางจะให้รยูฮาตกที่นั่งลำบากเพราะตัวเองไม่ได้ มินอาสรุปได้เช่นนั้นในขณะที่ปิดปากสนิทและจ้องมองไปกลางอากาศ หากมินอากับชานหายตัวไปในเวลาเดียวกัน รยูฮาก็จะถูกเพ่งเล็งอย่างแน่นอน และพวกนางในปากไวก็จะสร้างข่าวลือเกี่ยวกับพระมเหสีซึ่งเคยเป็นภริยาของชานแม้จะในระยะเวลาสั้นๆ และข่าวลือนั้นก็จะแพร่สะพัดไปทั้งในและนอกวัง 


 


 


“ข้าทำเพื่อฝ่าบาท และเพื่อเจ้าด้วยเช่นกัน” 


 


 


รยูฮากางกระดาษออกอย่างใจเย็น มันคือแผนที่ของพระราชวังที่ฮอนเคยส่งมาให้รยูฮาในตอนที่วางแผนแย่งชิงราชบัลลังก์ เนื่องจากว่าในแผนที่นั้นมีเส้นทางลับซึ่งมีแค่พวกที่เกิดและเติบโตขึ้นในวังเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ถูกวาดไว้อยู่ด้วย จึงเป็นเครื่องนำทางที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับมินอาในการที่จะไปยังคุกโดยไม่ตกเป็นเป้าสายตาผู้อื่น 


 


 


“แล้วจะทรงปกปิดข่าวลือที่อาจล่วงเกินพระมเหสีอย่างไรหรือเพคะ” 


 


 


“ข่าวลือ?” 


 


 


รยูฮาอมยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงเขียนสัญลักษณ์คุกที่ชานถูกคุมขังอยู่บนแผนที่ 


 


 


“ช่างมันสิ ตัดลิ้นมันออกซะก็สิ้นเรื่อง” 


 


 


นี่แหละคือรยูฮา ผู้ที่เคยซ่อนเหล้าในห้องเก็บของไว้ดื่มและให้เหยี่ยวบินออกไปสำรวจพื้นที่ล่าสัตว์ตลอดทั้งคืน และผู้ที่ผ่านการเป็นพระชายาจนได้แต่งตั้งเป็นพระมเหสีในตอนนี้ก็เช่นกัน มินอาหวนนึกถึงความทรงจำในสมัยก่อนจากคำพูดที่รุนแรงของรยูฮา แล้วจึงหัวเราะตามนาง 


 


 


“และเจ้าห้ามบอกข้าด้วยว่าเจ้าจะไปทางไหน” 


 


 


“หม่อมฉันยังไม่บอกเลยเพคะว่าจะไป” 


 


 


มินอาเลิกทำกิริยาสุภาพเรียบร้อยและนอนฟุบลงบนโต๊ะ 


 


 


“พระมเหสี” 


 


 


“ว่าอย่างไร” 


 


 


“ทรงรักฝ่าบาทไหมเพคะ” 


 


 


“แน่นอนสิ” 


 


 


รยูฮายักไหล่เหมือนกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ก่อนจะแก้มัดถุงเงินออกมาลองนับทองคำที่อยู่ข้างใน นางบ่นพึมพำว่าเหมือนจะยังขาดอีกนิดหน่อย แต่จากที่มินอาเห็น เพียงแค่มีทองคำขนาดนั้นก็สามารถมีกินมีใช้ได้หลายปีโดยไม่ขาดเหลืออะไร 


 


 


“เหตุผลคืออะไรหรือเพคะ” 


 


 


“เพราะรูปงามอย่างไรเล่า” 


 


 


“แค่นั้นหรือเพคะ” 


 


 


“ตัวก็สูง มือก็ใหญ่ แล้วตรงนั้นก็…” 


 


 


“พอเพคะ!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม