ลำนำสตรียอดเซียน 123-126.2

ตอนที่ 123 ความฝันในความฝัน

 

“เสี่ยวเทียน!”  


 


 


โม่เทียนเกอตื่นจากฝัน เหงื่อแตกพลั่ก ท่านอารองกำลังนั่งอยู่ข้างๆ จ้องมองนางด้วยความเป็นห่วง เขาถาม “เป็นอะไรหรือ”  


 


 


นางปาดเหงื่อบนหน้าผากและส่ายหน้า “ข้าฝันไป”  


 


 


“ฝันร้ายหรือ” ท่านอารองถามพร้อมกับส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง 


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ จำไม่ได้ว่านางฝันเกี่ยวกับอะไร จำได้แค่ว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก 


 


 


“เอาละ ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไร ไปข้างหน้าและเฝ้าร้านสิ หรือเจ้าจะไปเดินดูร้านอื่นๆ ก็ได้ อย่าหมกตัวเองอยู่แต่ข้างใน”  


 


 


“อืม”  


 


 


จากนั้นนางมองท่านอารองเดินออกจากห้องไป เขาดูเหมือนว่าเขายังแข็งแรงดี 


 


 


นางส่ายหัวด้วยความงุนงง สับสนว่าทำไมจู่ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ เมื่อยังคงรู้สึกมึนงง นางลุกขึ้นและไปล้างหน้าให้สดชื่น 


 


 


นี่เป็นตลาดนัดขนาดเล็กในคุนอู๋ฝั่งตะวันออก ที่นี่นางและท่านอารองได้เปิดร้านค้าเล็กๆ แต่ไม่ได้กำไรมากมายนัก แทบจะไม่พอสนับสนุนการฝึกตนของพวกเขา 


 


 


เพราะนางขยันฝึกตนมาโดยตลอด นางจึงอยู่ในระดับหกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้ว นางเชื่อว่าอีกไม่นานนางจะสามารถก้าวเข้าไปสู่ดินแดนถัดไปได้ ในตอนนั้น นางจะเข้ากลุ่มการฝึกตนและฝึกตนต่อไปอย่างพากเพียรและจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  


 


 


ท่านอารองเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงมีรายการสินค้าที่ดีเยี่ยมในร้านค้าเล็กๆ นี้ พวกเขายังจ้างผู้ฝึกตนระดับต่ำสองคนเพื่อมาทำหน้าที่พนักงานร้าน เมื่อนางเข้ามาในร้าน ก็เห็นพนักงานทั้งสองคนกำลังดูแลลูกค้าตามหน้าที่ นางอยู่เพียงแค่ครู่เดียวและออกจากร้านไปเมื่อเห็นว่าการค้าขายดูไปได้ดี 


 


 


ถนนหนทางครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนไม่รู้ที่มาที่ไป นางปวดหัวเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าทำไมแต่รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ถึงอย่างนั้น ไม่ว่านางจะพยายามนึกมากเท่าไรแต่นางก็นึกไม่ออก 


 


 


นางเดินอย่างไร้จุดหมายไปรอบๆ ตลาดนัดเป็นเวลานานจนกระทั่งนางกลับมาที่ร้านของนางโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ก่อนที่นางจะเข้าไปในร้าน นางก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่ภายใน 


 


 


“ทะ-ท่านสหายนักพรต ท่านอาจารย์ของเรายังไม่กลับมาขอรับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราจริงๆ …”  


 


 


“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้างั้นรึ” เสียงชั่วร้ายดังเล็ดลอดมา “พวกเจ้าทำงานให้ร้านนี้! พูดมา! สินค้าผิดกฎหมายชิ้นนี้มาจากร้านเจ้าหรือไม่”  


 


 


“มะ-ไม่ใช่… ท่านสหายนักพรต ของชิ้นนี้ไม่มีตราของร้านเรา มันไม่น่าจะเป็นหนึ่งในสินค้าของเราขอรับ…”  


 


 


“นี่เป็นสินค้าผิดกฎหมาย! ไม่มีทางที่มันจะมีตราของร้านประทับไว้! ไม่จำเป็นต้องพูดตลบตะแลง! ทุกคน ยึดของทุกชิ้นให้หมด!”  


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน นางได้ยินเสียงสิ่งของบนโต๊ะถูกเท 


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอรีบเร่งเข้าไปในร้าน นางเห็นพวกผู้ฝึกตนที่รับผิดชอบเรื่องการจัดการตลาดนัดกำลังเทของคว่ำโดยไม่ไยดี ทำทั้งร้านเละเทะ และคว้าสิ่งของจากในร้านไปด้วยกำลังอย่างแรง นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปว่า “หยุด!”  


 


 


คนที่เป็นหัวหน้ามีระดับการฝึกตนไม่ต่ำเลย เขาหันกลับมาและยิ้มเยาะ “ไอ้หนู อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า ถอยไป!”  


 


 


นางโต้กลับอย่างเดือดดาล “นี่คือร้านของข้า ข้าจะไม่ยุ่งได้อย่างไร! นี่มันหมายความว่าอย่างไร เราจ่ายค่าธรรมเนียมทุกเดือน!”  


 


 


“พวกเจ้าขายสินค้าผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นการขัดคำสั่งของตลาดนัด ตามกฎข้อบังคับแล้วทุกอย่างภายในร้านนี้ต้องถูกยึด!”  


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึง แต่ไม่ช้านางก็ตอบพร้อมกับยิ้มเยาะ “พวกเจ้าโผล่มามั่วๆ กับของชิ้นหนึ่งและบอกว่าเป็นของที่ขายโดยร้านเรา ไหนล่ะหลักฐาน!”  


 


 


หัวหน้าคนนั้นยิ้มเยาะและตอบว่า “ข้าบอกว่าเป็น ก็ย่อมเป็น! เอาทุกอย่างไปให้หมด!”  


 


 


“เจ้ากล้าดียังไง!” ด้วยความโกรธลุกโชน นางยกมือขึ้นและเรียกกระบี่ป่าขจีออกมา อย่างไรก็ตาม พวกนี้เป็นกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนสูงกว่านาง ใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่นางจะร่วงลงพื้น นางทำได้แค่มองต่อไปอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่ร้านถูกยึดจนว่างเปล่า 


 


 


เมื่อพวกเขาออกจากร้านไป นางได้ยินเสียงใครคนหนึ่งอีกครั้ง “เร็ว! เร็วเข้า! ระวังด้วย!”  


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น คนสองคนเข้ามาข้างในโดยแบกท่านอารองมาด้วย ทั้งร่างของท่านอารองเต็มไปด้วยเลือดและเขาดูเหมือนกำลังจะตาย 


 


 


“ท่านอารอง! ท่านอารอง! เกิดอะไรขึ้น!”  


 


 


“เจ้าเป็นหลานชายเขารึ เขาบาดเจ็บจากสัตว์สายฟ้า ข้าเกรงว่าเขาจะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เจ้าต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย”  


 


 


“ท่านอารอง!”  


 


 


โม่เทียนเกอตื่นจากฝันของนางอีกครั้ง 


 


 


อีกครั้งหรือ ทำไมต้อง “อีกครั้ง” โม่เทียนเกอนั่งอยู่บนเตียงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน 


 


 


“ตื่นแล้วหรือ”  


 


 


นางมองไปตามทางของเสียงนั้นและเห็นด้านหลังของใครคนหนึ่ง คนคนนั้นกำลังนั่งแนบกับโต๊ะ ดูเหมือนกำลังวาดเครื่องรางอยู่ เขาชำเลืองมองนางแต่ก็ยังคงจดจ่ออยู่กับการวาด 


 


 


“ศิษย์… พี่ฉิน”  


 


 


นางกุมหัว สัมผัสได้ว่านางลืมอะไรบางอย่าง ขณะที่นางเรียกชื่อเขา ความคิดแวบผ่านในจิตใจ นั่นคือศิษย์พี่ฉินจริงๆ น่ะหรือ 


 


 


แต่จะเป็นใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่เขา 


 


 


ขณะที่นางลงจากเตียง นางถามว่า “ศิษย์พี่ฉิน เรา…”  


 


 


“เราควรไปได้แล้ว”  


 


 


ฉินซียืนขึ้น ในชั่วพริบตาเขาก็ได้อุ้มนางทะยานขึ้นสูงไปบนฟ้าแล้ว เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ท่านอารองได้ฝากฝังเจ้าไว้กับข้า”  


 


 


“ข้า…” โม่เทียนเกอไม่รู้จะพูดอะไรดี นางแค่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปกับสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเท่านั้น 


 


 


หลังจากปล่อยนางลงเมื่อพวกเขามาถึงภูเขาไท่คัง ฉินซีมองดูนางและพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “อย่ากลัวไป ข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะปกป้องเจ้าและทำให้แน่ใจว่าเจ้าปลอดภัยดี จงฝึกตนอย่างขยันขันแข็ง ถ้าเจ้าเข้าถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังสักวันหนึ่ง ข้าจะรายงานให้ท่านปรมาจารย์ทราบและขอให้เขาช่วยอวยพรเรา”  


 


 


“อวยพรเรา?”  


 


 


“ใช่ ท่านอารองของเจ้าตกลงที่จะยอมให้เจ้าฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับข้าแล้ว วันที่เจ้าสร้างขุมพลังของเจ้าได้คือวันที่เราจะให้เกียรติทำตามคำสัญญานั้น”  


 


 


“เป็นไปไม่ได้…” นางตกตะลึง ผิด นี่มันผิดปกติมาก 


 


 


ฉินซีพูดด้วยท่าทางรักใคร่เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ “อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่ต้องการ”  


 


 


โม่เทียนเกอหันหน้าหนีและพูดด้วยเสียงต่ำๆ “นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ท่าน… อาจารย์ลุงฉิน”  


 


 


นางไม่กล้ามองเขา ทันใดนั้นเอง นางรู้สึกถึงแรงผันผวนของพลังวิญญาณ นางเคลื่อนไหวในทันที หลบการโจมตีที่พุ่งตรงมาหานาง ชั่วขณะที่นางหันกลับ นางก็เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของเว่ยจยาซือและสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต 


 


 


“ศิษย์พี่เว่ย!” นางตะโกน “ท่านจะทำอะไรน่ะ!”  


 


 


เว่ยจยาซือดูเหมือนจะไม่ได้ยินนางเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มร้ายกาจและบีบมือ ลูกศรน้ำปรากฏขึ้นจากฝ่ามือนางและมันพุ่งเข้าหาโม่เทียนเกอ 


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอหลบการโจมตีของเว่ยจยาซือต่อไปอย่างน่าเวทนา นางมองกลับไปที่ฉินซีด้วยความหวังว่าเขาจะช่วยนางสกัดการโจมตีบ้าง อย่างไรก็ตาม นางเห็นว่าฉินซีกำลังมองทั้งสองคนสู้กันอยู่พร้อมกับรอยยิ้มราวกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย รอยยิ้มของเขาเย็นชาและน่ากลัวมาก 


 


 


“ศิษย์พี่เว่ย!” โม่เทียนเกอตะโกนและพยายามรีบคว้าเครื่องมือเวทของนางออกมา แต่โชคร้ายที่นางรู้ตัวว่ากระเป๋าเอกภพของนางหายไป! เมื่อนางหันกลับไปไม่กี่วินาทีให้หลัง ก็เห็นว่าเว่ยจยาซือที่ไม่ได้ถือเครื่องมือเวทอะไรเช่นกัน กำลังพุ่งเข้ามาเพื่อโจมตีนางอย่างโหดร้าย 


 


 


“ศิษย์พี่เว่ย! ท่านบ้าไปแล้วหรือ!”  


 


 


เว่ยจยาซือหยุดเคลื่อนไหว แต่สายตานางกลับยิ่งน่าหวาดกลัว นางพูดว่า “ข้ารู้มานานแล้วว่าข้าไว้ชีวิตเจ้าไม่ได้ เจ้าแย่งอาจารย์ลุงไปไม่ได้หรอก ข้าไม่ยอม!”  


 


 


มีความรู้สึกเย็นเยือกที่หน้าอกนางขึ้นมากะทันหัน นางรู้สึกตกใจ ความคิดแจ่มแจ้งปรากฏขึ้นในจิตใจนาง 


 


 


ผิด! นี่มันผิดแล้ว! ฉินซีไม่มีทางพูดอะไรแบบนี้กับข้า เขาจะไม่ยั่วศิษย์ของโรงเรียนด้วยเจนตนาชั่วร้ายแน่ ศิษย์พี่เว่ยก็จะไม่พยายามฆ่าข้าเพื่อประโยชน์ของตัวเองแน่ 


 


 


ปลอม! ทั้งหมดนี้เป็นของปลอม!  


 


 


สมองของนางเจ็บปวด นางไม่สามารถปัดป้องการโจมตีของเว่ยจยาซือได้ทันเวลาและนางรู้สึกเจ็บตรงแขนทันที อย่างไรก็ตาม ภาพเบื้องหน้านางจู่ๆ ก็ดูเหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อมในทันใด คลื่นแล้วคลื่นเล่ายิ่งค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดภาพเบื้องหน้านางก็แตกออกทีละนิด 


 


 


พวกนางยังคงอยู่ในบริเวณใกล้เคียงตระกูลอวี๋จากโรงเรียนตานติ่ง ไม่ใช่เขาไท่คัง 


 


 


ทันทีที่นางตื่นขึ้นจากภาพหลอน โม่เทียนเกอรีบขยับหลบการโจมตีจากเว่ยจยาซือทันที ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางถูกปล่อยออกไป สกัดกั้นการจู่โจมที่เข้าหานางอีกครั้งหนึ่งได้สำเร็จ ชั่วขณะต่อมา นางคว้าเชือกรัดอสูรที่ใช้ในการจับสัตว์วิเศษออกจากกระเป๋าเอกภพของนาง โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก นางมัดตัวเว่ยจยาซือผู้ที่สูญสิ้นสติและเหตุผลทั้งหมดและกำลังเสกคาถาอย่างหน้ามืด 


 


 


โม่เทียนเกอถอนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกพร้อมถอนหายใจโล่งอก จากนั้นนางมองไปรอบๆ พยายามหาหยกชิ้นบางอันนั้น มันวางนอนอยู่บนพื้น แตกเป็นเสี่ยง สิ่งนี้มันคืออะไรกัน สามารถทำให้นางและเว่ยจยาซือที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งคู่เห็นภาพหลอนได้! ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกภาพหลอนที่นางเจอ นางถูกดับฝันตอนช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดพอดี หรือว่าบางทีเว่ยจยาซืออาจจะเจอแบบเดียวกันกับนางเช่นกัน เมื่อพวกนางเห็นภาพหลอนเดียวกัน หรือจิตใจเว่ยจยาซืออ่อนแอเลยทำให้เว่ยจยาซือโจมตีนางในความเป็นจริง 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันใด หากไม่ใช่เพราะนางไม่สามารถถูกปีศาจครอบงำได้อีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะจงมู่หลิงขัดเกลาจี้ซ่อนวิญญาณของนางใหม่อีกครั้ง เช่นนั้นบางทีนางก็อาจจะ… 


 


 


“ปล่อยข้า!” เว่ยจยาซือกล่าว โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเว่ยจยาซือกำลังเห็นอะไรในภาพหลอนของนาง แต่สีหน้าของเว่ยจยาซือดูน่าหวาดกลัวและสายตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เกือบจะเหมือนกับว่านางหวังว่านางจะฆ่าโม่เทียนเกอได้ 


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปหาเว่ยจยาซือ หยิบยาออกมาจากกระเป๋าเอกภพและโยนมันเข้าปากเว่ยจยาซือ 


 


 


“ปล่อยข้า… ไป…” เปลือกตาเว่ยจยาซือปิดลงและหมดสติไป 


 


 


หลังจากคิดอะไรบางอย่าง โม่เทียนเกอเก็บชิ้นหยกที่แตกและเก็บเอาไว้ หลังจากนั้นนางพาตัวเว่ยจยาซือบินไปทางตระกูลอวี๋ 


 


 


ระหว่างทางบนถนน นางเจอกับหลัวเฟิงเสวี่ยและผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังจากตระกูลอวี๋ ทั้งสี่คนจึงมุ่งหน้ากลับไปที่ตระกูลด้วยกัน 


 


 


— 


 


 


หันชิงอวี้เดินออกมาจากห้องหลังจากเอาเว่ยจยาซือนอนบนเตียง พอทั้งสองคนที่อยู่ในสนามเห็นนาง สายตาของพวกนางก็จับจ้องอยู่ที่ตัวนาง 


 


 


หันชิงอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ศิษย์น้องรองแค่เหนื่อยน่ะ ปล่อยให้นางพักเถอะ เดี๋ยวนางก็ดีขึ้นเมื่อนางตื่น”  


 


 


โม่เทียนเกอที่รู้สึกโล่งอกได้ในที่สุดถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่หัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมตัวข้าและศิษย์พี่เว่ยถึงเห็นภาพหลอนหลังจากเรามองเข้าไปในของสิ่งนั้น”  


 


 


หันชิงอวี้ส่ายหน้าและตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้มีวัตถุวิญญาณมากมายที่เหนือจินตนาการของเรา ในเมื่อของสิ่งนี้ถูกเก็บไว้โดยสัตว์ปีศาจ บางทีมันอาจจะมาจากป่าทางใต้ เราไม่มีทางรู้หรอก”  


 


 


ความคิดของหันชิงอวี้ก็สมเหตุสมผล ในป่าทางใต้มีสัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ ของบางอย่างเป็นที่รู้จักกันในหมู่มนุษย์ แต่บางอย่างก็รู้กันเพียงแค่ในหมู่สัตว์ปีศาจที่อาศัยอยู่ที่นั่น 


 


 


“แต่ดูจากพลังเวทของสิ่งนี้ มันไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน น่าเสียดายที่มันแตกเสียแล้ว ลองจินตนาการดูสิว่าถ้ามันยังอยู่ดี บางทีอาจจะกลายเป็นอาวุธวิเศษขึ้นมาก็ได้~!” หลัวเฟิงเสวี่ยพูด 


 


 


หันชิงอวี้เคาะหัวหลัวเฟิงเสวี่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ของสิ่งนี้แตกเมื่อมันทำงาน เห็นได้ชัดว่ามันใช้ได้ครั้งเดียว อย่างกับว่ามันจะเป็นอาวุธวิเศษขึ้นมาได้อย่างนั้นล่ะ เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว!”  


 


 


หลังจากมึนงงชั่วขณะหนึ่ง หลัวเฟิงเสวี่ยพยักหน้าและพูดว่า “มีเหตุผล…”  


 


 


“เอาละ” หันชิงอวี้พูดต่ออย่างเคร่งขรึม “เทียนเกอ เจ้าบอกว่าตอนเจ้าและศิษย์น้องรองออกไปสอดแนม เจ้าทั้งสองเห็นแค่หมาป่าหนึ่งตัวและหมาป่าขาสั้นอีกตัวเท่านั้นใช่ไหม ไม่มีปีศาจตัวอื่นอีกงั้นหรือ”  


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมตอบว่า “ใช่ ปีศาจขาสั้นตัวนั้นสามารถใช้ม่านพลังอำพรางวิญญาณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นเราจึงสัมผัสความผันผวนของพลังวิญญาณใดๆ ไม่ได้เลย หลังจากพวกมันตาย ข้าไม่รู้สึกถึงพลังวิญญาณของปีศาจตัวอื่นอีก นอกจากนั้น บนซากของพวกมันมีรอยแผล จากการเดาของข้า พวกมันคงได้รับบาดเจ็บและถูกทิ้งไว้ที่นั่นโดยพวกสหายของมัน หมาป่าขาสั้นมันฉลาด เพราะอย่างนั้นบางทีมันอาจจะกลัวว่าเราจะตรวจจับได้แค่พลังวิญญาณของพวกมันในบริเวณเท่านั้น ทำให้มันจงใจทำตัวเช่นนี้…”  


 


 


“นั่นก็เป็นไปได้” หันชิงอวี้กล่าว นางเห็นซากของสัตว์ปีศาจทั้งสองตัวที่โม่เทียนเกอนำกลับมา การคาดเดาของนางก็เหมือนกันกับของโม่เทียนเกอ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางพูดว่า “แต่ทำไมสัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ ถึงล่าถอยไป เรากำลังจะอพยพคน ดังนั้นนี่จึงไม่น่าจะเป็นผลของการวางแผนกลยุทธ์ของพวกมัน ต่อให้มันเป็นหมาป่าขาสั้นที่ฉลาดโดยกำเนิด มันก็ไม่น่าจะสามารถคิดแผนเช่นนั้นได้”  


 


 


“ศิษย์พี่หันหมายความว่า…”  


 


 


หันชิงอวี้ยิ้มและสายตาของนางจ้องลงลึก นางพูดว่า “ข้าเกรงว่าจะมีสัตว์ปีศาจระดับสูงกำลังสั่งการอยู่เบื้องหลัง”  


 


 


หลังจากที่นางพูด โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างเหลือบมองกัน ใบหน้าของพวกนางค่อยๆ ซีดเผือดเพราะพวกนางทุกคนก็นึกถึงความเป็นไปได้แบบเดียวกัน!  


 


 


สัตว์ปีศาจระดับต่ำถูกส่งมาคุกคามตระกูลผู้ฝึกตนในบริเวณใกล้เคียง ทำให้โรงเรียนตานติ่งต้องส่งผู้ฝึกตนของพวกเขาออกไป จากนั้นก็ลงมือโจมตีโต้กลับจนสำเร็จ… 


 

 

 


ตอนที่ 124-1 ปล่อยไป

 

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราควรทำอย่างไร” หลัวเฟิงเสวี่ยถามอย่างเป็นกังวล 


 


 


หันชิงอวี้ไม่ได้ตอบ แต่กลับดูสงบนิ่ง ในขณะที่นางมองที่เว่ยจยาซือผู้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง สุดท้ายนางจึงตัดสินใจ นางพูด “ปลุกศิษย์น้องรองดูก่อนแล้วกัน”  


 


 


“อื้อ” หลัวเฟิงเสวี่ยตอบขณะพยักหน้า ตอนนี้เมื่อพวกเขาคาดเดาว่าสัตว์ปีศาจเหล่านั้นต้องการที่จะทำอะไร นางก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น การตัดสินใจของหันชิงอวี้เหมาะกับสภาพอารมณ์ของหลัวเฟิงเสวี่ยตอนนี้เป็นอย่างมาก 


 


 


“เทียนเกอ มาช่วยหน่อย”  


 


 


โม่เทียนเกอส่งเสียงตอบรับก่อนที่จะขยับมาบริเวณข้างเตียง ขณะที่หลัวเฟิงเสวี่ยและหันชิงอวี้จับตัวเว่ยจยาซือให้อยู่ในท่านั่ง 


 


 


หันชิงอวี้เงยหน้าขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เทียนเกอ ระดับการฝึกตนของเจ้าอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วตอนนี้ อีกครู่หนึ่งพวกข้าทั้งสองคนจะสอดแทรกพลังวิญญาณให้กับตานเถียนและห้วงทะเลแห่งความรู้ของศิษย์น้องรองเพื่อกระตุ้นจิตวิญญาณเริ่มต้น”  


 


 


“ตกลง” โม่เทียนเกอพยักหน้า ไม่นานนางจึงนั่งลงข้างหลังเว่ยจยาซือกับหันชิงอวี้ ในขณะที่รอคำชี้แนะจากนาง 


 


 


“ข้าจะนับถึงสามและเจ้าจะต้องสอดแทรกพลังวิญญาณเข้าไปในร่างของนางจากจุดหลิงไถ เมื่อพวกเราเริ่ม พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางจะต่อต้านในทันที แต่เจ้าจะต้องทำต่อไป ข้าจะช่วยเจ้าทีหลังหากข้าสามารถ”  


 


 


“ตกลง”  


 


 


“เริ่มกันเลย หนึ่ง สอง สาม!”  


 


 


เมื่อหันชิงอวี้นับจบ โม่เทียนเกอก็ยกมือของนางขึ้นทันที รวบรวมพลังของนางไว้ที่อุ้งมือ และวางติดไว้ที่จุดหลิงไถบริเวณหลังของเว่ยจยาซือ ในขณะเดียวกับที่หันชิงอวี้กดไปที่จุดไป๋ฮุ่ยของเว่ยจยาซือโดยตรง 


 


 


“เฟิงเสวี่ย คอยดูศิษย์พี่รองของเจ้าไว้ หากนางดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว ก็ให้ป้อนยาบำรุงวิญญาณนาง”  


 


 


“เข้าใจแล้วศิษย์พี่ใหญ่”  


 


 


พลังวิญญาณของโม่เทียนเกอมีลักษณะของหยินบริสุทธิ์ มันเยือกเย็น แต่ก็นุ่มนวลและอ่อนโยน ทันทีที่นางส่งเข้าไปที่จุดหลิงไถ นางก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านต่อพลังวิญญาณของนางจากเส้นลมปราณภายในร่างกายของเว่ยจยาซือ ยิ่งไปกว่านั้นแรงต้านนั้นค่อนข้างรุนแรงเกินกว่าที่นางจะต้านทานได้ 


 


 


ถึงแม้ว่าการจัดแบ่งลำดับที่ใช้ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังจะแตกต่างจากดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็แบ่งลำดับเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสุดท้ายเช่นกัน ดินแดนย่อยเล็กๆ เหล่านี้ก็จะถูกแบ่งออกเป็นเก้าชั้น ชั้นแรก ชั้นสอง และชั้นที่สามเป็นที่รู้จักในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ชั้นสี่ ห้า และหกเป็นที่รู้จักในขั้นกลาง ส่วนชั้น เจ็ด แปด และเก้าเป็นที่รู้จักในขั้นสุดท้าย ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจุดสูงสุดหรือความบริบูรณ์ของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ฝึกตนเข้าถึงชั้นที่สิบซึ่งแยกออกด้วยขอบเขตเส้นบางๆ จากดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังดังนั้นนางจึงอยู่เพียงแค่ชั้นแรก มันเป็นเวลาไม่นานที่หันชิงอวี้เข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ดังนั้นนางจึงยังคงอยู่ที่ชั้นเจ็ด สำหรับโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ในขั้นกลาง เว่ยจยาซือได้อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังมาเกือบหนึ่งร้อยปี ถึงแม้ว่านางจะยังคงอยู่ขั้นกลาง แต่นางก็อยู่ในชั้นหกแล้ว ในทางกลับกันโม่เทียนเกอเพิ่งสามารถผ่านเข้าสู่ขั้นกลาง ดังนั้นนางจึงยังอยู่ในชั้นที่สี่ 


 


 


แม้กระทั่งในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ช่องว่างระหว่างชั้นก็ค่อนข้างแตกต่างอย่างมากในเรื่องของความแข็งแกร่ง นับประสาอะไรกับดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเล่า เมื่อพลังวิญญาณของโม่เทียนเกอไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของเว่ยจยาซือ แรงกดดันจากการต่อต้านทำให้โม่เทียนเกอถึงกับต้องยู่หน้าทันที 


 


 


แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา นางก็ใช้จี้ซ่อนวิญญาณของนาง จี้ซ่อนวิญญาณโดยแท้จริงแล้วจะใช้เพื่อซ่อนร่างกายของบุคคลและรวบรวมพลังวิญญาณ ผลจากการรวบรวมพลังวิญญาณคือมันจะช่วยขัดเกลาเวทของผู้สวมใส่ หลังจากที่จี้ซ่อนวิญญาณได้รับการขัดเกลาใหม่โดยจงมู่หลิง การทำงานของมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น 


 


 


เส้นใยของพลังวิญญาณที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ไหลออกจากจี้ซ่อนวิญญาณ ส่งผลให้โม่เทียนเกอรู้สึกถึงแรงกดดันน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะพลังวิญญาณของโม่เทียนเกอประกอบไปด้วยหยินบริสุทธิ์ซึ่งนุ่มนวลแต่เหนียวแน่น ดังนั้นจึงสามารถจัดการพลังต่อต้านของเว่ยจยาซือและเคลื่อนที่ต่อไปตามเส้นลมปราณเพื่อเข้าสู่ตานเถียนของนางได้ 


 


 


หันชิงอวี้จ้องมองที่โม่เทียนเกอด้วยความประหลาดใจ ในตอนแรกนางตั้งใจที่จะช่วยโม่เทียนเกอหลังจากที่นางจัดการส่วนของนางเสร็จ นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าโม่เทียนเกอจะสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง หลังจากที่คิดอยู่ระยะหนึ่ง นางก็เข้าใจว่าในเมื่อศิษย์น้องของนางได้เผชิญเข้ากับโอกาสต่างๆ มากมาย บางทีอาจจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับพลังวิญญาณของนางก็เป็นได้ ดังนั้นหันชิงอวี้จึงไม่ได้พูดอะไรและตั้งใจที่จะคอยชี้นำพลังวิญญาณของตัวเองสู่เว่ยจยาซือ 


 


 


ในไม่ช้า พลังวิญญาณของโม่เทียนเกอและหันชิงอวี้ได้ผสานรวมเข้าไปในตานเถียนของเว่ยจยาซือ หลังจากนั้นไม่นาน พลังวิญญาณที่ผสานกันได้ไหลไปในเส้นทางระหว่างตานเถียนและทะเลแห่งความรู้ เพื่อเข้าสู่ทะเลแห่งความรู้ต่อไป 


 


 


ในทันที ทั้งสองคนทำหน้าตาบูดบึ้งอย่างเจ็บปวด ทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยผู้ที่กำลังจ้องมองพวกนางรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากขึ้นมาในทันที 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลเมื่อพลังวิญญาณของนางเข้าถึงทะเลแห่งความรู้ของเว่ยจยาซือ นี่เป็นจุดที่จิตวิญญาณเริ่มต้นอยู่ มันตั้งอยู่ไกลจากตานเถียนมาก อย่างไรก็ตามตานเถียนเป็นเพียงจุดเดียวที่เชื่อมต่อเข้าสู่มัน พวกนางจะต้องผ่านตานเถียนที่ซึ่งเก็บพลังวิญญาณไว้อยู่ก่อน 


 


 


โม่เทียนเกอและหันชิงอวี้ร่วมมือกันเมื่อต่างได้รับแรงกดดันจากพลังวิญญาณในตานเถียนของเว่ยจยาซือ ดังนั้นพวกนางจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก เมื่อพวกนางเข้าสู่เส้นทางที่เชื่อมไปยังทะเลแห่งความรู้ อย่างไรก็ตามพวกนางก็ต้องรู้สึกแทบหมดหวัง พวกนางทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวพลังวิญญาณอย่างช้าๆ ทีละนิด ทีละนิดเท่านั้น 


 


 


ในที่สุด พลังวิญญาณของพวกนางก็เข้าถึงทะเลแห่งความรู้ไร้จุดสิ้นสุด ทั้งสองคนถอนใจอย่างโล่งอกและพบจิตวิญญาณเริ่มต้นของเว่ยจยาซือที่หลับใหลอยู่ 


 


 


“พวกเราจะต้องระวังให้มาก จิตวิญญาณเริ่มต้นของผู้ฝึกตนทั่วไปค่อนข้างบอบบาง แม้กระทั่งพลังวิญญาณที่อ่อนแอเช่นนี้ก็อาจจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดให้กับจิตสัมผัสของนางได้ พวกเราควรที่จะคลุมจิตวิญญาณเริ่มต้นของนางก่อนหลังจากนั้นข้าจะค่อยๆ เพิ่มแรงดันเข้าไป”  


 


 


“ตกลงศิษย์พี่หัน”  


 


 


จากคำแนะนำของหันชิงอวี้ โม่เทียนเกอควบคุมพลังวิญญาณของนางให้คงที่ ด้วยความช่วยเหลือของจี้ซ่อนวิญญาณ นางก็ได้กลายเป็นคนที่คล่องแคล่วในการควบคุมพลังวิญญาณทีเดียว นางปลดปล่อยพลังวิญญาณของนางให้ค่อยๆ ครอบคลุมจิตวิญญาณเริ่มต้นของเว่ยจยาซือก่อนที่จะหยุดลง 


 


 


หันชิงอวี้ระมัดระวังอย่างที่สุด หลังจากผ่านกระบวนการที่ยากแล้ว ขนตาของเว่ยจยาซือสั่นไหวเล็กน้อย และสีหน้าของความเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าของนาง 


 


 


“เฟิงเสวี่ย! ยาบำรุงวิญญาณ!”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยปฏิบัติตาม รีบหยิบยาบำรุงวิญญาณออกมาและป้อนให้กับเว่ยจยาซือ 


 


 


จิตวิญญาณเริ่มต้นของเว่ยจยาซือเริ่มคงที่เกือบในทันที หลังจากนั้นไม่นานนางก็ลืมตาขึ้น 


 


 


“ศิษย์น้องรอง อย่าขยับ! รอจนกว่าพวกเราจะนำพลังวิญญาณออกจากเส้นลมปราณของเจ้าก่อนที่จะใช้พลังวิญญาณของเจ้าเอง”  


 


 


เว่ยจยาซือจ้องมองอย่างว่างเปล่าครู่หนึ่งหลังจากที่นางได้ยินสิ่งที่หันชิงอวี้พูด และทำตามที่นางบอกในทันที 


 


 


โม่เทียนเกอและหันชิงอวี้ใช้ความแข็งแกร่งของพวกนางอีกครั้งในขณะที่เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณออกจากเส้นลมปราณของเว่ยจยาซือ 


 


 


การเสียพลังวิญญาณขนาดนี้ไม่ส่งผลกระทบใดต่อพวกนาง อย่างไรก็ตาม ทะเลแห่งความรู้นั้นนับได้ว่าเป็นจุดที่บอบบาง หากพวกนางไม่ระมัดระวังให้มากพอ และทิ้งพลังวิญญาณของพวกนางไว้ด้านใน เว่ยจยาซือจะต้องเจอกับปัญหาอย่างแน่นอน 


 


 


“เฮ้อ…” โม่เทียนเกอถอนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเสียสละพลังวิญญาณขนาดนี้เพื่อทำสิ่งที่แสนละเอียดอ่อน ดังนั้นนางจึงอ่อนล้าเป็นอย่างมาก 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยรีบช่วยพานางลงจากเตียงและป้อนยาวิเศษให้ก่อนที่นางจะถามเว่ยจยาซือ “ศิษย์พี่รอง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


เว่ยจยาซือลืมตา ด้วยความสับสน งุนงง นางถาม “ข้า… เกิดอะไรขึ้นกับข้า”  


 


 


หันชิงอวี้อธิบายอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องรอง เจ้ากับเทียนเกอประสบเข้ากับอุบัติเหตุ ม่านพลังมายาล่อลวงจิตใจของเจ้า แต่เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าได้คิดมากไป จงพักผ่อนเสียก่อน ข้าจะอธิบายมากกว่านี้ในภายหลัง”  


 


 


“…” เว่ยจยาซือไม่ได้พูดอะไร นางก้มหัวลงและรู้สึกมึนงง ดูเหมือนพยายามที่จะระลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น 


 


 


“ศิษย์พี่รอง” หลัวเฟิงเสวี่ยเรียกด้วยความรู้สึกกังวลเล็กน้อย 


 


 


เป็นเวลานาน ในที่สุดเว่ยจยาซือก็เรียบเรียงความคิดของนางกลับคืนมาได้ นางส่ายหัวและพูด “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


หัวเราะอย่างเบาๆ หันชิงอวี้ตอบ “ข้าอยู่ที่นี่ แล้วเจ้าจะกังวลอะไร ศิษย์น้องรองพักผ่อนเสียก่อนเถิด เมื่อเจ้าฟื้นกำลังกลับคืนมาได้แล้ว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดเอง”  


 


 


“อือ” ท่าทางของเว่ยจยาซือยังคงเปลี่ยนไป แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงพยักหน้า 


 


 


นี่ทำให้ทั้งหันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยโล่งอก หันชิงอวี้ยืนขึ้นและพูด “เจ้าพักเสียก่อน พวกข้าไม่รบกวนเจ้ามากไปกว่านี้แล้ว”  


 


 


“รอก่อน” เว่ยจยาซือเงยหน้าขึ้นขณะที่นางพูด นางมองไปยังโม่เทียนเกอ และพูดว่า “เทียนเกอ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”  


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ ตามองไปที่หันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยทันที 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยขมวดคิ้วในขณะที่หันชิงอวี้ดูสับสน หลังจากนั้นไม่นาน หันชิงอวี้จึงมองนางอย่างมีความหมายบางอย่างและพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียนเกอ ในเมื่อตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องอะไร เจ้าอยู่เป็นเพื่อนกับศิษย์พี่เว่ยก่อนแล้วกัน”  


 


 


เมื่อจับใจความที่หันชิงอวี้ต้องการจะสื่อได้ โม่เทียนเกอจึงพยักหน้าและตอบ “ตกลงศิษย์พี่หัน”  


 


 


เมื่อหลัวเฟิงเสวี่ยและหันชิงอวี้ออกจากห้องไป โม่เทียนเกอจึงก้าวมาทางด้านหน้า จัดเตียงให้เรียบร้อย และช่วยเว่ยจยาซือให้นั่งตัวตรงขึ้น นางพูด “ศิษย์พี่เว่ย ท่านมีเรื่องที่อยากจะบอกกับข้าหรือ”  


 


 


เว่ยจยาซือยังคงนิ่งเงียบ แต่ยังคงจ้องมองโม่เทียนเกออย่างไม่วางตา สายตาของนางเป็นการจ้องอย่างพินิจพิเคราะห์ ทั้งพินิจพิเคราะห์และครุ่นคิด 


 


 


โม่เทียนเกอหยุดเคลื่อนไหวและนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตียง การจ้องมองของหันชิงอวี้อย่างลับๆ บอกนางให้อดทนหน่อย และให้คอยช่วยเหลือ เพราะเว่ยจยาซืออารมณ์เสียและยังบาดเจ็บอยู่ด้วย เนื่องจากโม่เทียนเกอไม่จุกจิกในเรื่องพวกนี้ นางจึงเชื่อฟังอย่างดี 


 


 


ถึงแม้ว่าเว่ยจยาซือจะมองนางเช่นนี้ โม่เทียนก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ชีวิตสมัยเด็กของนางนั้นยากลำบากอยู่แล้ว นางค่อนข้างเคยชินกับความแปรปรวนในธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นทำไมนางจึงจะต้องใส่ใจในเรื่องแบบนี้ด้วย 


 


 


หลังจากเวลาที่ผ่านไปนานเสมือนนิรันดร์ ในที่สุดเว่ยจยาซือก็พูด “เทียนเกอ เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องการที่จะพูดอะไรกับเจ้า” อย่างไม่คาดคิด น้ำเสียงของนางช่างสงบนิ่ง  

 

 


ตอนที่ 124-2 ปล่อยไป

 

โม่เทียนเกอครุ่นคิดก่อนที่มุมปากของนางจะค่อยๆ ยกขึ้นเผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ นางพูด “ข้าไม่ทราบเลย”


 


 


เว่ยจยาซือหลับตา ดูเหมือนกำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง เป็นเวลานานพอสมควรก่อนที่นางจะลืมตาขึ้นและพูดต่อด้วยความสงบนิ่ง “ข้า… ข้าจำได้ว่าข้าทำสิ่งที่เลวร้ายกับเจ้าในม่านพลังมายานั่น ดังนั้นข้าคิดว่า… ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟัง”


 


 


“ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก” โม่เทียนเกอไม่อยากที่จะได้ยินสิ่งนั้น ดังนั้นนางจึงพูด “ศิษย์พี่ไม่ได้ติดหนี้ข้าอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่คำขอโทษเลย ท่านเพิ่งได้รับผลกระทบจากภาพหลอน ไม่มีอะไรที่ต้องอธิบายเลย”


 


 


“ไม่!” เว่ยจยาซือจ้องโม่เทียนเกอด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวและดื้อรั้น นางพูด “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี สันโดษและเย่อหยิ่ง แต่ข้าก็ไม่เคยรังแกใคร ถ้าข้าไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ข้าคงรู้สึกแย่มาก”


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ มีความรู้สึกที่ไม่อาจช่วยได้เกิดขึ้นในจิตใจ ความจริงแล้วปัญหาระหว่างนางกับเว่ยจยาซือนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากเว่ยจยาซือเองทั้งนั้น ที่จริงมันไม่ได้เกี่ยวกับนางแต่ตอนนี้…


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจพร้อมพูด “ตกลง ข้าจะฟังสิ่งที่ศิษย์พี่เว่ยต้องการจะพูด”


 


 


เมื่อได้รับการยืนยันจากโม่เทียนเกอ ในที่สุดแววตาของเว่ยจยาซือก็อ่อนโยนลงเผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก ความจริงแล้วเว่ยจยาซือเป็นคนที่สวย มีความสง่างามที่คิ้วของนาง และเครื่องหน้าของนางก็ดูสดใสเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ถ้านางยิ้มมากขึ้นกว่านี้นางจะดูเป็นคนที่เป็นกันเองและน่าหลงใหลขึ้นมาก


 


 


เว่ยจยาซือคิดเป็นเวลานานก่อนที่จะเริ่มพูด “เจ้าต้องรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ชอบเจ้า เหตุผลก็เพราะ… ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้หรือไม่…”


 


 


“ในยอดเขาวสันต์กระจ่าง ท่านปรมาจารย์เป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ นอกไปจากท่านอาจารย์ลุงชิงหยวนที่ตายไปแล้ว ท่านมีศิษย์ในสังกัดอยู่ทั้งหมดหกคน ท่านอาจารย์ของพวกเราเป็นอันดับแรกและอาวุโสที่สุด ท่านอาจารย์ของพวกเรายังคงมีศิษย์ภายใต้ท่านอีกหลายคน เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนท่านอาจารย์ยังหนุ่ม เขามีศิษย์อยู่เพียงแค่หกถึงเจ็ดคน ในกลุ่มนั้นศิษย์ผู้หญิงมีเพียงแค่ข้าและศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น”


 


 


“ถึงแม้พวกเราศิษย์ภายใต้สังกัดของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจะโชคดีที่มีรากวิญญาณคู่เป็นความสามารถตามธรรมชาติของพวกเรา แต่ก็ใช่ว่าความถนัดตามธรรมชาติของพวกเราทุกคนจะเท่าเทียมกัน บางคนเก่งกว่าคนอื่น ในขณะที่บางคนด้อยกว่า ข้าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่มีต้นทุนธรรมชาติเหมาะสมที่สุด ดังนั้นระดับการฝึกตนของข้าจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งศิษย์พี่ผู้ชายก็ไม่สามารถตามข้าได้ทัน ข้าถูกนับว่าเป็นศิษย์รุ่นสามของท่านปรมาจารย์ที่ดีที่สุด ช่วงเวลาผ่านไปเช่นนั้น ความจองหองเริ่มก่อเกิดภายในตัวข้า”


 


 


“ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งมาถึงก่อนที่ข้าจะเข้ามาที่โรงเรียนนี้ แต่เขาก็มีอายุไล่เลี่ยกับศิษย์รุ่นที่สามอย่างพวกเรา เพราะข้ามีต้นทุนธรรมชาติที่เหมาะสม ข้าจึงได้รับการยอมรับจากทางโรงเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย หากข้าจำไม่ผิด ตอนที่ข้าเข้ามาที่โรงเรียนท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งเพิ่งประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของเขา ในช่วงเวลานั้นเอง ข้ารู้เพียงว่าท่านปรมาจารย์มีศิษย์ผู้น้อยที่มีความสามารถมาก นิสัยดี และมีสายเลือดเดียวกันซึ่งกลายมาเป็นศิษย์ในสังกัดของเขา อย่างไรก็ตามในตอนนั้นข้าคิดว่าข้าจะสามารถเหนือกว่าเขาได้อย่างที่ข้าเหนือกว่าศิษย์พี่ผู้ชายคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้สนใจเขามากนัก กระนั้นตรงข้ามกับที่ข้าคาดคิด… ไม่เพียงแต่ข้าไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แต่ข้ากลับยิ่งจมดิ่งลงลึกไปเรื่อยๆ …”


 


 


“ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอายุเพียงแค่ยี่สิบปีในตอนที่เขาสร้างฐานแห่งพลัง ในช่วงเวลานั้นอาจารย์ลุงหลิงซีแห่งยอดเขาหยาดน้ำค้างหวานก็ได้สร้างฐานแห่งพลังของเขาในขณะที่อายุเพียงสิบเจ็ดปี ดังนั้นความสำเร็จของอาจารย์ลุงโส่วจิ้งจึงไม่ได้น่าดึงดูดใจเท่าไรนัก ข้ายังคงคิดว่าสำหรับพวกเราศิษย์ระดับหัวกะทิที่มีทุนธรรมชาติที่เหมาะสม การสร้างฐานแห่งพลังคงง่ายเหมือนกับการข้ามธรณีประตู และการประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังในช่วงอายุยี่สิบกว่าๆ ก็เป็นเพียงแค่เรื่องโชคดี ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันแรกที่ข้าได้เจอกับอาจารย์ลุง…”


 


 


โม่เทียนเกอฟังอย่างนิ่งเงียบในความทรงจำที่หวานปนขมของเว่ยจยาซือ นางเพียงแค่รู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ ความอ้างว้างนั้นลึกจนทำให้นางได้ยินเสียงของเว่ยจยาซือไม่ชัดเจน


 


 


นางต้องการอะไรจากการที่มาเล่าให้เราฟัง เราควรรู้สึกมีความสุข? เราควรรู้สึกเศร้า?


 


 


“…เทียนเกอ ข้าเสียใจจริงๆ ข้าคิดว่าข้าสามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ดี แต่ก็ยังคงถูกเปิดออกภายในม่านพลังมายานั่น และทำให้ข้าทำร้ายเจ้า… สิ่งที่เฟิงเสวี่ยพูดถูกต้องแล้ว ข้าจมลึกลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ข้าไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เพราะอาจารย์ลุงใจดีกับเจ้า ข้ายังคงรู้สึกไม่มีความสุขถึงแม้ว่าข้าจะพยายามบังคับตัวเองให้มองข้ามความรู้สึกนั้น เจ้ารู้ไหม… หลังจากที่ข้าเป็นลมไป ข้ายังคงมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง ข้าคิดมานาน นานมาก…”


 


 


“ข้ารู้ว่าถ้าข้าต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการฝึกตน ข้าจะต้องล้มเลิกความรู้สึกพวกนี้ ข้าพยายามแล้วพยายามอีก ข้าต้องการยอมแพ้แต่ข้าก็รู้สึกว่าข้าจะเสียหัวใจของข้าไป… ดังนั้นข้าจึงคิดเรื่องต่างๆ ซ้ำไปมา ข้าไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อข้าไม่ได้ข้าก็จะไม่มองหามัน ในเมื่อข้ายอมแพ้ไม่ได้ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้ ตอนนี้ข้าอายุร้อยต้นๆ และข้าก็อยู่ห่างขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเพียงแค่ระยะโยนก้อนหินไปเท่านั้น ถ้าข้าไม่สามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ข้าอาจจะมีชีวิตเหลืออยู่แค่สองร้อยปี ภายในสองร้อยปีนี้ ข้ากลัวว่าอาจารย์ลุงจะยังไม่สามารถเข้าสู่การสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้ ด้วยความสงบของอาจารย์ลุง ถ้าเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จในการฝึกตน เขาก็จะไม่มีวันที่ติดอยู่ในห้วงอารมณ์ของตัวเองแน่ สุดท้ายเมื่อเขาต้องวางแผนเรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ข้ากลัวว่าข้าคง… คงตายไปแล้ว”


 


 


เมื่อเว่ยจยาซือพูดจบ นางยิ้มให้โม่เทียนเกอ สายตาของนางมีทั้งความโศกเศร้าและความทะเยอทะยาน หลังจากนั้นนางจึงพูด “แล้วในเรื่องเช่นนี้ ข้ากลัวอะไร ปล่อยให้ข้าได้อยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ข้าจะไม่ขออะไรเช่นเดียวกับการพยายามอย่างหนัก ข้าจะยอมรับในสิ่งที่ข้าสามารถหามาได้และไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่ข้าไม่สามารถ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง หรือดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ข้าปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา…”


 


 


โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่เว่ยจยาซือมีต่อนาง นางก็ไม่สามารถยิ้มได้ เพราะนางสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของเว่ยจยาซือภายในคำพูดของนาง


 


 


ศิษย์พี่เว่ยคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองจากทุกคน ในขณะที่ตอนนี้นางพร้อมที่จะยอมแพ้ในอนาคตที่สดใสของนาง อย่างไรก็ตามจากอีกมุมมองหนึ่งมันก็สามารถมองได้ว่านางได้ยอมรับความเป็นจริงแล้ว จริงไหม?


 


 


นี่เป็นความรักของเราเอง ถึงแม้คนที่เรารักจะไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เราจะปกป้องความรู้สึกด้วยตัวเอง ไม่ว่าเราจะได้รับความรักหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่สนใจ…


 


 


“เทียนเกอ ท่านอาจารย์ลุง…”


 


 


“ศิษย์พี่เว่ย” ในที่สุดโม่เทียนเกอก็พูดแทรกเว่ยจยาซือขึ้นมา “ข้าคิดว่า… ท่านไม่ต้องบอกข้าทั้งหมดก็ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์ลุง… ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”


 


 


เว่ยจยาซือนิ่งเงียบแต่ก็หัวเราะเบาๆ และพูด “เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าสับสนไปเอง ตกลงเทียนเกอ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะอภัยให้กับข้า ต่อไปปัญหาที่เกิดขึ้นของข้าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ไม่ว่าจะรวมหรือไม่รวมเจ้าอยู่ด้วยก็ตาม”


 


 



 


 


หลังจากที่เว่ยจยาซือตื่นขึ้น หันชิงอวี้สอดแทรกพลังเพื่อช่วยฟื้นฟูนางหลังจากนั้นจึงเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันให้นางฟัง


 


 


เว่ยจยาซือเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่นางจะตอบในสิ่งที่ทุกคนคาดคิด “นี่ต้องเป็นแผนแน่”


 


 


เพราะเหล่าสหายศิษย์และอาจารย์ได้อยู่ที่โรงเรียนต้านติง หลัวเฟิงเสวี่ยกังวลใจเป็นอย่างมาก นางพูดด้วยเสียงอันดัง “ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี”


 


 


หันชิงอวี้ครุ่นคิดหลังจากนั้นจึงพูดว่า “กังวลไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา พวกเราอยู่ที่นี่นานมากเกินไป ถ้าสัตว์ปีศาจต้องการที่จะโจมตี พวกมันก็คงทำไปแล้ว ส่วนเครื่องรางเรียกขาน ข้าได้ลองส่งออกไปบ้างแล้วแต่ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะได้รับมันหรือไม่”


 


 


มีระยะห่างพอสมควรจากโรงเรียนต้านติง นอกจากพวกนางจะมีเครื่องรางกระจายเสียงพันลี้หรือหมื่นลี้ เครื่องรางเรียกขานทั่วไปค่อนข้างที่จะไร้ประโยชน์ เว่ยจยาซือได้ใช้เครื่องรางกระจายเสียงพันลี้ในการรายงานถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นั่นแต่มันอาจจะถูกขัดขวางจากม่านพลังคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่


 


 


“มีข่าวอะไรจากตระกูลอวี๋บ้างหรือไม่” เว่ยจยาซือถาม


 


 


“ไม่เลย” หันชิงอวี้ตอบขณะที่ส่ายหัว “ข้าบอกพวกเขาบางอย่างแต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน หัวหน้าตระกูลอวี๋พยายามที่จะส่งสารไปที่โรงเรียนเช่นกัน ข้าก็ไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่…”


 


 


ทั้งสี่คนนั่งลงอยู่ในความเงียบอีกครั้ง


 


 


ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าพวกนางจะกลับไปที่โรงเรียนต้านติง พวกนางก็ไม่สามารถกลับไปได้ทันเวลาแน่นอน แม้กระทั่งสำหรับพวกนางเองความปลอดภัยก็ไม่สามารถยืนยันได้ ในกรณีที่เกิดสงครามขึ้น พวกนางจะถือว่าโชคดีถ้าม่านพลังของตระกูลอวี๋และภูมิประเทศโดยรอบช่วยปกป้องชีวิตไว้ ถ้าพวกนางทิ้งไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตและบังเอิญเข้าไปสู่การอาละวาดของสัตว์ปีศาจ พวกนางก็จะต้อง…


 


 


“ศิษย์พี่ ข้าเกรงว่าพวกเราคงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากรอเท่านั้น” โม่เทียนเกอพิจารณาอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน ในเมื่อพวกเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ ถึงแม้ว่าพวกมันจะโจมตี มันก็คงจะไม่ง่ายที่สัตว์ปีศาจจะชนะได้ ท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินและสหายศิษย์ของพวกเราเป็นแขกที่โรงเรียนต้านติง พวกเขาไม่น่าจะมีอันตรายมากนัก จริงๆ แแล้วชะตาของพวกเราเองที่น่าเป็นห่วง ตระกูลอวี๋มีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่กี่คนซึ่งทั้งหมดต่างมีระดับการฝึกตนที่ต่ำกว่าพวกเราทั้งนั้น พวกเราไม่สามารถจะพึ่งพาพวกเขาได้”


 


 


หันชิงอวี้ครุ่นคิดอยู่นานในคำพูดต่างๆ ของโม่เทียนเกอ สุดท้ายแล้วนางก็พยักหน้าและพูด “เทียนเกอพูดถูก ถ้าการโจมตีที่โรงเรียนต้านติงล้มเหลว จุดหมายของสัตว์ปีศาจจะเปลี่ยน มันก็จะเป็นอันตรายต่อพวกเราอย่างแน่นอนถ้าเป็นเช่นนั้น”


 


 


“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี” หลัวเฟิงเสวี่ยถาม


 


 


เว่ยจยาซือพูด “ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะรอก่อน”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย


 


 


เมื่อเห็นคำตอบของโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือ หันชิงอวี้จึงพูดว่า “ข้าก็คิดว่าพวกเราควรรอเช่นกัน พวกเราไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันได้กระจ่างนัก พวกเราควรที่จะรับมือด้วยการคงอยู่กับสถานการณ์ตอนนี้กันก่อน”


 


 


ในเมื่อทั้งสามคนต่างตกลงกันเช่นนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยก็ไม่ได้มีอะไรที่จะพูดมากนัก นางพูดเพียงว่า “ตกลง ข้าไม่มีความคิดอย่างอื่นเช่นกัน”


 


 


ดังนั้น ทั้งสี่คนจึงตกลงกัน หน้าที่ในการต่อรองกับหัวหน้าตระกูลอวี๋ตกเป็นของหันชิงอวี้ หัวหน้าตระกูลอวี๋เป็นกังวลมากเมื่อได้รู้ถึงความคิดของพวกนาง ทั้งสองฝ่ายต่างมีความคิดเหมือนกันดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องพูดคุยกันมากนัก


 


 


โม่เทียนเกอจัดการหาเวลาในการเข้าไปที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง แต่เมื่อนางอยู่ด้านในนางก็ทำเพียงแค่นั่งในกระท่อมและนิ่งเงียบเป็นเวลานาน


 


 


หากนางไม่ออกไปจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ นางก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยแน่นอน นางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตระกูลอวี๋ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องคำนึงถึงพวกเขามากนัก แต่หลัวเฟิงเสวี่ยและอีกสองคนเล่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้านางซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจริงๆ


 


 


จากมุมมองด้วยหลักเหตุและผลแล้ว โรงเรียนเสวียนชิงให้ที่อยู่อาศัยกับนางและให้สิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการฝึกตน นางได้รับความเมตตาจากโรงเรียนเสวียนชิงและไม่มีความเกลียดชังใดๆ ต่อโรงเรียน ในแง่มุมของอารมณ์ ทั้งสามคนเป็นศิษย์พี่ นอกเหนือไปจากเว่ยจยาซือ ทั้งหันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยคอยดูแลนางอยู่ตลอดเวลา เมื่อนึกถึงสองแง่มุมนั้น นางไม่สามารถละทิ้งความปลอดภัยของพวกนางไปได้


 


 


เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่นางสามารถพาพวกเขาทั้งหมดมาที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ อย่างไรก็ตามนางก็ได้ปฏิเสธความคิดนี้ตั้งแต่ต้น โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ต้องไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของนางก็จะตกอยู่ในอันตราย


 


 


หลังจากที่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอก็ตัดสินใจ นางจะร่วมอยู่กับพวกเขา ตอนนี้นางไม่ใช่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ ผู้ซึ่งไม่มีความสามารถในการปกป้องตัวเองอีกต่อไปแล้ว ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว นางมีความสามารถและครอบครองสิ่งของมีค่าบางอย่าง ควบรวมกับความจริงว่าสัตว์ปีศาจไม่ได้เก่งกาจนักในการใช้สิ่งของจากภายนอก นางมั่นใจว่านางสามารถหลบหนีได้หากจำเป็น


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ นางจึงเปิดกระเป๋าเอกภพและเริ่มที่จะเตรียมตัว


 


 


อาวุธเวทที่นางมีคือเตาหลอมไม้สีม่วง ผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ตะเกียงเสน่ห์ และจี้ซ่อนวิญญาณ นอกเหนือไปจากทั้งหมดนี้ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางก็สามารถนับได้ว่าเป็นอาวุธเช่นกัน ระหว่างอาวุธเวททั้งหมด เตาหลอมไม้สีม่วงและโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นไร้ประโยชน์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ในขณะที่การทำงานของจี้ซ่อนวิญญาณนั้นเพื่อช่วยเหลือนาง มีเพียงแค่ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและตะเกียงเสน่ห์ที่สามารถใช้ในการโจมตีโดยตรงได้


 


 


สำหรับเครื่องมือเวท นางมีกระสวยอัปสรา เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์ ไม้หลบลี้หนีหล้า และเข็มบินได้ที่นางเพิ่งซื้อไม่นานมานี้ นางจะใส่เสื้อเกราะไหมเมฆาโลกาสวรรค์เอาไว้ ไม้หลบลี้หนีหล้าจะใช้สำหรับการหลบหนี กระสวยอัปสราใช้เพื่อโจมตี และเข็มบินได้จะใช้สำหรับลอบโจมตี นอกเหนือไปจากนี้นางยังมีเครื่องรางต่างๆ ซึ่งมอบให้นางจากท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน


 


 


ถ้านางนับสิ่งของที่นางมีอยู่ทั้งหมด นางมีทรัพย์สมบัติมากมายจริงๆ ความเป็นไปได้ที่จะชนะเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกันนั้นสูงกว่ามาก แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ปีศาจเล่า อีกอย่างนางสามารถล่าถอยเข้ามาที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางในระยะเวลาอันสั้นได้ นี่เมื่อใช้ควบคู่กับไม้หลบลี้หนีหล้าจะยิ่งนำพาสู่ผลแห่งการสู้รบที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงแม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางก็เชื่อว่าตราบใดที่นางเคลื่อนไหวได้เร็วมากพอ นางก็มีโอกาสที่จะหนีพ้น


 


 


เมื่อนางคิดมาถึงจุดนี้ รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าโม่เทียนเกอ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและโอกาสจากเทพผู้ฝึกตนไม่ได้มีให้กับทุกคน นางเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง โอกาสที่นางจะชนะนั้นไม่ได้ต่ำเลย หากนางไม่สามารถชนะคู่ต่อสู้ ก็ยังสามารถหนีได้ แล้วยังจะต้องเกรงกลัวอะไรอีก 

 

 


ตอนที่ 125-1 การตัดสินใจของตระกูลอวี๋

 

กลุ่มคนทั้งห้ายืนอยู่บนยอดเขา มองไปทางเปลวไฟบนยอดสูงสุดของภูเขาลูกหนึ่งที่ค่อนข้างไกลออกไป 


 


 


นั่นคือภูเขาเทียนหัว สำนักใหญ่แห่งโรงเรียนตานติ่ง 


 


 


ขณะนี้เปลวไฟบนยอดเขายังร้อนแรงดังเช่นก่อนหน้านี้แต่มีสีเข้มขึ้นมาก พวกเขาทั้งหมดอยู่แค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังจึงไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยจิตสัมผัสของพวกเขา แต่บางครั้งก็จะเห็นได้ว่าสัตว์ปีศาจกำลังข้ามผ่านฟากฟ้าไม่ไกลจากตัวพวกเขานัก 


 


 


ในเวลาสองวันที่ผ่านมายังไม่มีการตอบกลับจากเครื่องรางกระจายเสียงที่หันชิงอวี้และหัวหน้าตระกูลอวี๋ส่งออกไป พวกเขาเตรียมใจสำหรับผลลัพธ์เช่นนี้มานานแล้ว 


 


 


การโจมตีโรงเรียนตานติ่งได้เริ่มขึ้นแล้ว 


 


 


กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือโม่เทียนเกอ หันชิงอวี้ หลัวเฟิงเสวี่ย หัวหน้าตระกูลอวี๋และภรรยาของเขา ทั้งหมดล้วนนิ่งเงียบ ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าขอบเขตความสามารถของพวกเขาไปแล้ว นอกเหนือจากการรอคอยก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้อีก 


 


 


ที่จริงแล้วพวกเขาพอเข้าใจได้ว่าทำไมสัตว์ปีศาจพวกนั้นถึงไม่ลดละกับการโจมตีโรงเรียนตานติ่ง โรงเรียนตานติ่งเป็นกลุ่มการฝึกตนอันดับหนึ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดทางด้านการปรุงยาวิเศษในแถบภูเขาคุนอู๋ทั้งหมด ในขณะเดียวกัน สัตว์ปีศาจก็ขาดยาวิเศษมากที่สุด ทุกครั้งที่พวกมันออกจากป่าทางใต้และบุกโจมตีกลุ่มการฝึกตนในแถบแนวเขาคุนอู๋ เจตนาของมันก็เพื่อขโมยยาวิเศษ เมื่อได้โอกาส เป็นธรรมดาที่พวกมันจะมุ่งโจมตีไปที่โรงเรียนตานติ่ง 


 


 


ถึงอย่างนั้น โรงเรียนตานติ่งก็ไม่ใช่อำนาจที่ควรล้อเล่นด้วย แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่ากลุ่มการฝึกตนขนาดกลางธรรมดาแค่เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขามีปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ถึงสามคน รวมกับม่านพลังป้องกันขุนเขา อาวุธวิเศษและอื่นๆ อีกมากมาย สัตว์ปีศาจพวกนั้นจะต้องทุ่มเทพละกำลังอย่างมากถ้าพวกมันอยากจะยึดโรงเรียนตานติ่งให้สำเร็จ 


 


 


ณ เวลาปัจจุบัน คนที่กำลังรออยู่ที่นั่นไม่รู้จะรู้สึกโล่งใจหรือกังวลใจดี พวกเขารู้สึกโล่งใจเพราะสัตว์ปีศาจไม่ได้สนใจพวกเขาและดูเหมือนจะไม่มีเจตนาโจมตีพวกเขาด้วย ส่วนความกังวลก็เพิ่มมากขึ้นเพราะพวกเขากำลังคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับครอบครัวและสหายของพวกเขาถ้าโรงเรียนตานติ่งถูกโจมตี 


 


 


จิตใจของทั้งห้าเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน 


 


 


เว่ยจยาซือยังไม่หายดี ดังนั้นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสองคนจากตระกูลอวี๋จึงรับหน้าที่ลาดตระเวน ทั้งหมดเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ในสงครามเช่นนี้ การมีตัวตนอยู่ของพวกเขาไม่สำคัญใดๆ เลย 


 


 


เวลาผ่านไปนานก่อนที่หันชิงอวี้จะพูดขึ้นมาในที่สุด “กลับกันเถอะ”  


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างเหลือบมองกันและพยักหน้า 


 


 


จากนั้นหันชิงอวี้หันกลับไปและพูดว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ พวกเราขอตัวกลับก่อน โปรดแจ้งเราด้วยหากมีความคืบหน้าอะไรใหม่”  


 


 


ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดบนใบหน้า หัวหน้าตระกูลอวี๋ประสานมือทำความเคารพหันชิงอวี้อย่างใจลอย 


 


 


หันชิงอวี้เพียงแค่ส่ายหน้าและถอนหายใจ จากนั้นนางนำทางโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยลงจากเขาไป 


 


 


ตระกูลอวี๋ต้องพึ่งพาอาศัยโรงเรียนตานติ่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนบางส่วนของตระกูลอวี๋ก็ยังอยู่ในโรงเรียนตานติ่ง หัวหน้าตระกูลอวี๋คงจะวิตกกังวลมากกว่าทั้งสามคนมากนัก หากโรงเรียนตานติ่งล่มสลายจากการโจมตีของสัตว์ปีศาจ ตระกูลอวี๋ก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด ต่อให้ตระกูลอวี๋ไม่ถูกสัตว์ปีศาจระราน พวกเขาก็จะต้องถูกรังแกและถูกทำให้เสียเกียรติเป็นแน่ถ้าพวกเขาไม่มีใครสนับสนุน ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังของตระกูลอวี๋ในปัจจุบันก็แก่มากแล้วด้วย… 


 


 


ขณะที่นางกำลังคิดกังวลเรื่องนั้น หันชิงอวี้ส่ายหน้าอีกครั้ง ทุกกลุ่มการฝึกตนและทุกตระกูลล้วนมีความยากลำบากของตัวเอง แม้แต่กลุ่มของหันชิงอวี้ก็ไม่เว้น ถ้าพวกเขาสามารถปกป้องชีวิตตัวเองได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว 


 


 


เมื่อกลับมาถึงที่พัก โม่เทียนเกอเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางอีกครั้งเพื่อฝึกตน 


 


 


ขณะนี้สงครามได้เข้ามาใกล้หน้าประตูของพวกเขาเข้าไปทุกที นางจึงไม่มีความสนใจอะไรในการปรุงยาวิเศษตอนนี้ สัตว์วิเศษไฟนรกตัวน้อยที่นางจับมาเพื่อช่วยจุดไฟหยางแท้อันร้อนแรงได้ถูกเลี้ยงอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ ดังนั้นเมื่อมีสัตว์วิเศษไฟนรกอยู่เป็นเพื่อนกับนาง นางจึงเริ่มทำการฝึกฝนศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ 


 


 


เพราะร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณไม่สามารถถูกมารรุกรานเข้ามาได้ นางจึงไม่หวั่นใจกับการฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ดังนั้นนางทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในอีกสองสามวันถัดไป ขณะนั้นนางก็ได้ฝึกจิตสัมผัสของนางไปถึงจุดที่มันสามารถมีรูปร่างเป็นรูปธรรมขึ้นมาได้ 


 


 


นี่คือไพ่ไม้ตายลับของนาง บางทีแม้แต่อาจารย์ลุงเสวียนอินที่มอบวิชาการฝึกตนนี้ให้ก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่านางจะสามารถทำให้จิตสัมผัสของนางเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ พึงระลึกไว้ว่าทุกคนที่ฝึกศาสตร์นี้ทำเช่นนั้นด้วยความหวาดกลัวและความประหม่า คงเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกันกับนาง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้ครอบครองร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ จิตวิญญาณเริ่มต้นของนางก็ไม่เปราะบางเหมือนอย่างก่อนหน้านั้นอีกต่อไป ในการฝึกศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ นางประสบผลสำเร็จได้มากขึ้นถึงสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว ในโลกทุกวันนี้ คนธรรมดาทั่วไปจะต้องฝึกตนหลายสิบปีก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำได้เทียบเท่ากับนาง 


 


 


ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท เครื่องมือเวท อาวุธวิเศษ เครื่องราง และของอื่นๆ ทุกคนต่างมีคู่ต่อสู้ของตัวเอง ดังนั้นทุกคนจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดแม้แต่ในหมู่สหายกันเอง เหตุผลว่าทำไมโม่เทียนเกอถึงถือว่าศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเป็นไพ่ไม้ตายของนางก็เพราะคาดว่าคงไม่มีใครคิดว่านางจะสามารถใช้จิตสัมผัสของนางทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้เมื่อคิดว่านางอยู่เพียงแค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเท่านั้น 


 


 


ในวันถัดๆ มา นอกเหนือจากการฝึกตน โม่เทียนเกอเพียงแค่ออกมาถามเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามกับโรงเรียนตานติ่งบ้างเท่านั้น 


 


 


การตัดสินใจของพวกเขาที่จะอยู่เงียบๆ ที่จริงนั้นถูกต้องแล้ว ในเมื่อโรงเรียนตานติ่งมีผู้ฝึกตนแห่งจิตวิญญาณใหม่ สัตว์ปีศาจจะต้องรอจนกว่าพวกมันจะมีสัตว์ปีศาจระดับแปดและระดับสูงกว่าก่อนที่มันจะกล้าโจมตี แน่นอนว่าจากสิ่งที่พวกเขาได้ยินมา ฝั่งของสัตว์ปีศาจที่จริงแล้วมีสัตว์ปีศาจระดับแปดสามตัวและระดับเก้าหนึ่งตัว ในทางกลับกัน โรงเรียนตานติ่งมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่รวมแล้วสามคน แถมยังเป็นผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ในขั้นต้นด้วย ทั้งสองฝั่งไม่เท่าเทียมกันเพราะฉะนั้นสถานการณ์ปัจจุบันในสงครามนี้จึงร้ายแรงมาก 


 


 


ช่องเขาตรงนี้ที่ตระกูลอวี๋ตั้งอยู่นั้นอยู่ใกล้กับโรงเรียนตานติ่งเกินไป หากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังใช้เวลาประมาณหนึ่งวันจากโรงเรียนตานติ่งเพื่อไปถึงตรงนั้น ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ต้องใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เพราะความที่อยู่ใกล้เคียง มีโอกาสที่การต่อสู้จะขยายออกมาสู่พื้นที่นี้ โชคยังดีที่พลังของม่านพลังสัตว์จตุรเทพที่โม่เทียนเกอปรับแก้ไว้มีมหาศาล ช่วงนี้ผู้ฝึกตนทุกคนจากตระกูลอวี๋จึงยังคงอยู่ภายในม่านพลังสัตว์จตุรเทพ พวกเขาสามารถอยู่ปลอดภัยได้สักพักหนึ่งจากการเปิดใช้ม่านพลังนี้ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยของพวกเขาสุดท้ายแล้วก็อยู่ได้เพียงชั่วคราว ถ้าโรงเรียนตานติ่งล่มสลาย ตระกูลอวี๋จะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แม้แต่โม่เทียนเกอและศิษย์พี่ของนางก็อาจถูกลากลงไปด้วย ขณะนี้พวกเขาทำได้แค่รักษาพละกำลังไว้ให้มากเท่าที่จะทำได้ อีกอย่าง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ศิษย์โรงเรียนตานติ่ง ท่านอาจารย์เสวียนอินเองก็อยู่ที่นั่นและโรงเรียนเสวียนชิงจะไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา 


 


 


สังเกตการณ์ ฝึกตน รอคอยโอกาส… หนึ่งเดือนผ่านไปเช่นนั้นเอง หลังจากหนึ่งเดือน สงครามได้เข้าสู่สภาวะจนมุม สัตว์ปีศาจปรากฏตัวขึ้นในบริเวณใกล้เคียงอาณาเขตของตระกูลอวี๋เพิ่มขึ้นทุกวัน ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถทนอยู่นอกสงครามได้อีกต่อไป 


 


 


“ท่านสหายนักพรต เชิญนั่งสิ”  


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอยังฝึกตนอยู่ในตอนกลางดึก คนงานของตระกูลอวี๋มาเพื่อเรียกทั้งสี่คนออกไป ทุกคนล้วนสงสัยอยู่ในใจว่าจะมีการประกาศเรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ 


 


 


ภายในห้องโถง หินจันทราส่องแสงนุ่มนวลที่ทำให้ดูเหมือนเวลากลางวัน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งสี่คนของตระกูลอวี๋กำลังนั่งอยู่ข้างใน ทันทีหลังจากที่หัวหน้าตระกูลอวี๋เห็นกลุ่มของโม่เทียนเกอ เขายิ้มและขอให้พวกนางนั่งลงอย่างสุภาพ 


 


 


ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารกับตระกูลอวี๋ หันชิงอวี้จะเป็นคนรับหน้าที่เป็นผู้นำ ดังนั้นหลังจากโม่เทียนเกอแลกเปลี่ยนคำทักทายกับคนจากตระกูลอวี๋ นางก็เพียงแค่นั่งอยู่ในที่นั่งของแขกและนิ่งเงียบ 


 


 


หลังจากพูดคุยเล็กน้อย หันชิงอวี้ถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ ข้าขออนุญาตถาม มีอะไรสำคัญที่ทำให้ท่านจำเป็นต้องปลุกพวกเรากลางดึกอย่างนั้นหรือ”  


 


 


ความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหัวหน้าตระกูลอวี๋ เขาเหลือบมองหันชิงอวี้ด้วยท่าทางหนักใจ ราวกับว่าเขามีปัญหาในการพูดออกมา หันชิงอวี้จึงยิ้มและพูดว่า “ถึงแม้เราจะไม่ได้มาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้วเพราะสถานการณ์นี้ มีอะไรที่ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋พูดออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”  


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่หันชิงอวี้พูด ความลังเลบนใบหน้าของหัวหน้าตระกูลอวี๋เปลี่ยนไปเป็นความมุ่งมั่น เขาพยักหน้าและพูดว่า “สหายนักพรตหันพูดถูก เราควรจะอธิบายสถานการณ์ให้ชัดเจนแก่สหายนักพรต” เขาหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “สหายนักพรตหันคงรู้แล้วว่าตระกูลอวี๋ของเราเป็นเพียงตระกูลผู้ฝึกตนเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาโรงเรียนตานติ่ง เราไม่มีทั้งผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือพละกำลัง ปัจจุบันนี้ในโรงเรียนตานติ่ง เรามีเพียงผู้ฝึกตนรุ่นใหม่สองคนที่มีความหวังจะเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เราไม่มีอะไรที่พวกสัตว์ปีศาจต้องการ ข้าคิดว่า… ท่านอาจารย์ของท่านเลือกส่งท่านมาที่ตระกูลอวี๋ของเราก็เพราะเขาต้องการปกป้องพวกท่านทั้งสี่จากอันตราย สืบเนื่องจากเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนจากโรงเรียนเสวียนชิงถือว่าเป็นศิษย์ที่มีอนาคตอันสดใส”  


 


 


ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น นอกจากมองที่หันชิงอวี้แล้ว สายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่โม่เทียนเกอ ระดับการฝึกตนของหัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้นี้อาจจะไม่โดดเด่นแต่เขาก็มีประสบการณ์มาก หันชิงอวี้อยู่ในขั้นท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ในฐานะศิษย์หัวกะทิ นางจะก่อขุมพลังของนางได้ไม่ช้าก็เร็ว ต่อให้นางทำไม่สำเร็จ นางก็ยังเก่งกว่าศิษย์ธรรมดาอย่างพวกเขา สำหรับโม่เทียนเกอ นางยังอายุน้อยมากตามคำกล่าวของหันชิงอวี้ ทั้งที่อายุแค่นี้ แต่ระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว อนาคตของนางจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่ 


 


 


“คาดว่าสถานการณ์ปัจจุบันได้ยืดเยื้อออกไปเกินความคาดหมายของท่านเมื่อก่อนหน้านี้ แม้ว่าตระกูลอวี๋ของเราจะยังปลอดภัยแต่ก็อยู่ในสภาวะล่อแหลม ตอนนี้จำนวนของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายนอกม่านพลังกำลังเพิ่มมากขึ้น บางครั้งผู้ฝึกตนของโรงเรียนตานติ่งก็มาขอความช่วยเหลือจากเรา ตระกูลอวี๋ของเราไม่สามารถทำเป็นปิดหูปิดตาได้… ท่านสหายนักพรต ตระกูลอวี๋ของเราจะต้องเข้าสู่สงครามไม่ช้าก็เร็ว วันนี้ข้ายังได้ทราบบางอย่างมาจากผู้ฝึกตนโรงเรียนตานติ่งที่บาดเจ็บ หนึ่ง… หนึ่งในผู้ฝึกตนรุ่นหลังสองคนของเราที่อยู่ในโรงเรียนตานติ่งได้เสียชีวิตลงแล้ว…”  


 


 


เมื่อหัวหน้าตระกูลอวี๋พูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดความเปลี่ยนแปลงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ก่อนหน้านี้เคยสงบนิ่ง ตระกูลอวี๋มีผู้ฝึกตนแค่สองคนที่มีความหวังเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง บัดนี้พวกเขาสูญเสียคนหนึ่งไปกับสงครามครั้งนี้แล้ว สำหรับตระกูลอวี๋นี่เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นอาจจะเป็นผู้สืบสกุลของตัวหัวหน้าตระกูลอวี๋เองด้วย  

 

 


ตอนที่ 125-2 การตัดสินใจของตระกูลอวี๋

 

ทั้งสี่คนในกลุ่มของโม่เทียนเกอเงยหน้า พวกนางต่างมองกันและกันแต่ไม่มีใครพูดอะไร อันที่จริงไม่มีใครรู้สึกว่าการตัดสินใจของตระกูลอวี๋นั้นแปลก ไม่ช้าก็เร็วตระกูลอวี๋ก็ต้องถูกดึงเข้าสู่สงครามกับสัตว์ปีศาจครั้งนี้ ที่จริงแล้วเป็นความเด็ดเดี่ยวของหัวหน้าตระกูลอวี๋ต่างหากที่ทำให้พวกนางรู้สึกแปลก


 


 


โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ เมื่อฮูหยินอวี๋ได้ยินคำประกาศของหัวหน้าตระกูลอวี๋ นางบีบมือเขาอย่างลับๆ ราวกับว่านางกำลังปลอบใจเขาอยู่ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังตระกูลอวี๋อีกสองคนยังคงมองหัวหน้าตระกูลอวี๋อย่างสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีอะไรนอกจากเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา


 


 


หันชิงอวี้ยังคงเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นในที่สุดและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราชื่นชมทุกท่านที่ทำการตัดสินใจเช่นนี้”


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋หัวเราะเบาๆ ก่อนที่เขาจะพูดอย่างจริงใจ “แต่ด้วยการตัดสินใจนี้ เราทำให้ความพยายามของท่านอาจารย์ของท่านต้องเปล่าประโยชน์ เดิมทีท่านสหายนักพรตมาที่ตระกูลอวี๋เพื่อช่วยเราปกป้องสมาชิกของเรา แต่ตอนนี้เรากลับลากพวกท่านเข้าสู่สงครามแทน ข้าละอายใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงอยากจะบอกท่านเรื่องนี้ด้วยความสัตย์จริง ท่านสหายนักพรต เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของท่าน เราจะไม่ห้ามท่านถ้าท่านต้องการกลับไป”


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้นี้ดูจริงใจและไม่ได้ดูเหมือนเขากำลังพูดตามมารยาทเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ตาม เรื่องนี้สำคัญมาก หันชิงอวี้จึงยังไม่ได้ตัดสินใจเดี๋ยวนั้น นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอให้เราทั้งสี่ได้ปรึกษาหารือกันก่อนได้หรือไม่ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋?”


 


 


“แน่นอน” ด้วยรอยยิ้มหัวหน้าตระกูลอวี๋กล่าวว่า “เราจะเข้าสู่สงครามในวันพรุ่งนี้ ท่านสหายนักพรตเชิญกลับไปไตร่ตรองดูให้ดี ไม่สายเกินไปหากท่านจะแจ้งเราถึงการตัดสินใจของท่านพรุ่งนี้”


 


 


“ถ้าเช่นนั้นเราต้องขอขอบคุณหัวหน้าตระกูลอวี๋มาก” หันชิงอวี้ยืนขึ้นและโค้งคำนับให้หัวหน้าตระกูลอวี๋ซึ่งรีบโค้งคำนับกลับ เขาพูดว่า “ไม่เป็นไร”


 


 


โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าหัวหน้าตระกูลอวี๋หวังว่าพวกนางจะอยู่ต่อเพราะพละกำลังของพวกนางนั้นเหนือกว่าพละกำลังของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังของตระกูลอวี๋ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นั้นยากจะคาดเดา ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่จะเข้าร่วมในสงครามนี้กันทั้งหมด ทว่านี่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าวางใจ ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มของนางประกอบไปด้วยศิษย์จากโรงเรียนเสวียนชิง เขาไม่กล้าเสี่ยงจะทำให้พวกนางขุ่นข้องหมองใจ


 


 


พี่น้องทั้งสี่คนกลับไปยังสนามเล็กๆ และรวมตัวกันอยู่ในห้องของหันชิงอวี้ ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีใครพูดอะไร แม้แต่หลัวเฟิงเสวี่ยที่ช่างพูดก็ยังดูเหมือนมีอะไรมากมายอยู่ในใจ


 


 


หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดหันชิงอวี้ก็เงยหน้าขึ้นและกวาดสายตามองทั้งสามคน นางพูดว่า “เอาละ พวกเจ้าทุกคนพูดสิ่งที่อยู่ในใจมาได้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะไม่ตัดสินใจแทนเจ้าแค่เพราะข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่หรอกนะ ถ้าเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรก็พูดมาได้โดยตรง”


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่…” หลัวเฟิงเสวี่ยต้องการพูดแต่ก็เกิดลังเล


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยเป็นสหายกันมาหลายปี ดังนั้นเมื่อโม่เทียนเกอเห็นสีหน้าขัดแย้งของหลัวเฟิงเสวี่ย นางก็พอจะรู้ได้คร่าวๆ ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยต้องการพูดอะไร


 


 


หันชิงอวี้พูด “มีแค่พวกเราอยู่ที่นี่ มีอะไรที่เจ้าพูดไม่ได้งั้นรึ”


 


 


“คือ…” เหลือบมองที่เว่ยจยาซือและโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เราไม่ใช่ศิษย์โรงเรียนตานติ่ง ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ก็ค่อนข้างอันตรายมากแล้วตอนนี้ พวกเขาไม่ต่อว่าเราแน่ถ้าเรากลับไป”


 


 


หันชิงอวี้พยักหน้าและพูด “เจ้าพูดถูก ไม่เหมือนกับพวกคนกล้าหาญในโลกนี้ เราผู้ฝึกตนไม่ได้มองว่าความซื่อสัตย์และการเสียสละตนเป็นสิ่งสำคัญ ในเมื่อเราไม่มีพลังที่จะทำอะไรสำคัญอยู่แล้ว เราก็ควรกลับ”


 


 


เมื่อได้รับการยืนยันจากหันชิงอวี้ หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกมั่นใจ นางจ้องอย่างคาดหวังไปที่หันชิงอวี้และถาม “ถ้าอย่างนั้นเรา…”


 


 


หันชิงอวี้กลับส่ายหน้าและพูดว่า “ข้ากำลังคิดอะไรต่างออกไป เจ้าลองคิดดูสิ สงครามขยายออกไปทั่วทุกที่แล้วตอนนี้ ถึงแม้เราจะออกจากที่นี่ เจ้าจะวางแผนให้เรากลับไปที่โรงเรียนเสวียนชิงได้อย่างไร”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตกใจ นางไม่เคยเก่งในด้านการต่อสู้ด้วยพลังเวท และนางก็หวังว่าจะสามารถเอาตัวเองหนีออกห่างจากสงครามนี้ได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม หันชิงอวี้ก็พูดถูก


 


 


“เมื่อตอนเราออกจากโรงเรียนเสวียนชิง เราออกมาด้วยอาวุธวิเศษบินได้ของท่านอาจารย์และอาจารย์ลุง ถ้าเราอยากจะกลับไปโรงเรียนเสวียนชิงด้วยตัวเอง ข้าเกรงว่ามันจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน นอกจากนี้ ทุกบริเวณที่เราต้องผ่านระหว่างทางกลับก็มีแนวโน้มว่าจะรายล้อมไปด้วยสงคราม แล้วเราจะปกป้องตัวเองอย่างไร”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยตอบคำถามนี้ไม่ได้ นางเพียงพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่… อยากที่จะอยู่งั้นหรือ”


 


 


หันชิงอวี้ส่ายหน้าช้าๆ และตอบว่า “ข้าไม่ได้อยาก ข้าแค่ยังไม่เห็นหนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ดังนั้นสำหรับตอนนี้ ข้าจึงยังตัดสินใจไม่ได้”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยเงียบ


 


 


หันชิงอวี้เปลี่ยนความสนใจไปทางเว่ยจยาซือและถามว่า “ศิษย์น้องรอง เจ้าคิดว่าอย่างไร”


 


 


ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ระดับการฝึกตนของเว่ยจยาซือกลับไปเป็นปกติ แต่มีแค่สีผิวของนางที่ยังคงซีดเผือด ถึงแม้นางจะได้ยินคำถามของหันชิงอวี้ แต่ดูเหมือนว่านางกำลังมึนงงและยังไม่ได้สตินึกคิดกลับคืน


 


 


หันชิงอวี้เรียกนางอีกครั้ง “ศิษย์น้องรอง?”


 


 


เมื่อสายตาของทั้งสามคนไปจับจ้องที่นาง เว่ยจยาซือจึงรู้สึกตัวในที่สุด แต่พูดเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว “ข้าจะทำตามการตัดสินใจของศิษย์พี่ใหญ่”


 


 


เมื่อเห็นสภาพปัจจุบันของเว่ยจยาซือ หันชิงอวี้ทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ภายใน จากนั้นนางหันความสนใจมาที่โม่เทียนเกอ นางถาม “เทียนเกอ แล้วเจ้าล่ะ?”


 


 


โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตอบ “ศิษย์พี่หัน ข้าคิดว่าเราควรจะอยู่และวิเคราะห์สถานการณ์”


 


 


“อยู่หรือ” หันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยมองหน้ากันก่อนจะหันมาทางโม่เทียนเกอ


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว! ศิษย์พี่ทั้งหลาย ให้ข้าได้อธิบายก่อน ข้ามีความมั่นใจในม่านพลังสัตว์จตุรเทพของตระกูลอวี๋ นอกเสียจากว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือระดับสูงกว่าหลายๆ คนโจมตีมัน มันไม่สามารถทำลายให้แตกได้ อีกอย่าง ศิษย์พี่หันก็อยู่ที่นี่ ทำการวางแผนและตัดสินใจ ศิษย์พี่หลัวมีทักษะในด้านการจัดการกำลังคน และข้าเองก็รับผิดชอบม่านพลัง มีโอกาสมากที่เราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้”


 


 


หลังจากกวาดตามองดูทั้งสามคนอย่างเร็วๆ โม่เทียนเกอพูด “แน่นอน การทำเช่นนั้นไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง ถ้าสถานที่นี้ถูกสัตว์ปีศาจระดับสูงสังเกตเห็นและมันโจมตีเรา ก็มีโอกาสสูงมากที่เราไม่อาจหนีได้”


 


 


ทั้งหันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยนิ่งเงียบขณะที่พวกนางกำลังคิด ความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดในแผนของโม่เทียนเกอไม่ถือว่าสูงมาก อีกอย่าง นอกเหนือจากการอยู่หรือไป พวกนางก็ไม่มีความคิดที่ดีกว่านี้แล้ว อย่างไรก็ตาม การพยายามหนีให้มีชีวิตรอดผ่านสงครามวุ่นวายนี้ไปได้ก็ยากมากเช่นกัน…


 


 


คนแรกที่ตัดสินใจได้คือหันชิงอวี้ ใช้เวลาไตร่ตรองเพียงไม่นานก่อนที่นางจะแสดงสีหน้ามุ่งมั่น นางกล่าว “เทียนเกอ ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจเช่นนี้ งั้นเราอยู่กันไหม?”


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่!” หลัวเฟิงเสวี่ยร้องเสียงดัง


 


 


หันชิงอวี้หันไปหานาง ยิ้มน้อยๆ ให้และพูดว่า “ข้าคิดมาถี่ถ้วนแล้ว ถ้าเราอยากจะปกป้องชีวิตของเรา เราควรทำเช่นนั้นด้วยความช่วยเหลือจากตระกูลอวี๋ ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งนัก เราทั้งสี่คนสามารถทำลายล้างตระกูลของพวกเขาได้ถ้าเราต้องการ แต่ตระกูลของพวกเขาวางรากฐานอยู่ที่นี่มานานแสนนาน ซึ่งอาจมีอะไรบางอย่างที่เราพอจะใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เรายืมคนของเขาหรือเราให้เขายืมคนของเรา ทั้งสองทางเลือกยังปลอดภัยมากกว่าการออกไปอยู่ข้างนอกนั่นด้วยตัวของพวกเราเอง”


 


 


“แต่…” จิตใจของหลัวเฟิงเสวี่ยว้าวุ่น เป็นเวลายังไม่นานเลยตั้งแต่ที่นางสร้างฐานแห่งพลังได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางโตมาภายในกลุ่มการฝึกตนใหญ่และมีชื่อเสียง นางไม่มีความสนใจในการต่อสู้ด้วยพลังเวทแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ที่นางต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามนี้ นางสับสนเป็นที่สุดว่าจะต้องทำอะไรในกลุ่มพวกนาง


 


 


“เฟิงเสวี่ย ไม่ต้องกลัว” หันชิงอวี้ปลอบนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่เคยเข้าร่วมในสงคราม เพราะฉะนั้นเจ้าเลยไม่ชินกับมัน ข้าและศิษย์น้องรองเคยผ่านจลาจลของสัตว์ปีศาจเมื่อหกสิบปีก่อนมาแล้ว ในตอนแรกเริ่มพวกเราก็เหมือนเจ้านี่ล่ะ หลังจากผ่านประสบการณ์มากมาย อย่างไรก็ตาม เราค่อยๆ คุ้นเคยกับมัน มีความมั่นใจในตัวเองหน่อย! เจ้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนอันทรงเกียรติ นอกจากนี้ เจ้ายังมีเครื่องมือเวทและอาวุธวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบให้ เจ้าเข้มแข็งกว่าคนส่วนใหญ่ตั้งเยอะ! แล้วเจ้าจะกลัวอะไร?”


 


 


หลังจากถูกปลอบ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ใจเย็นลง


 


 


เพราะโม่เทียนเกอสังเกตเห็นสภาพของหลัวเฟิงเสวี่ย และที่สำคัญ เพราะหันชิงอวี้ส่งสายตาอย่างมีนัยให้กับนาง นางจึงเข้าไปหาหลัวเฟิงเสวี่ย จับมือนางไว้และพูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หลัว ท่านเป็นศิษย์พี่ ท่านจะแย่กว่าข้าไม่ได้นะ”


 


 


พอได้ยินคำพูดของโม่เทียนเกอ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ย นางพูดว่า “เทียนเกอ ข้าจะบอกความจริงเจ้า ก่อนหน้านี้ข้า… ข้าไม่คิดว่าเจ้ามีความสามารถ แต่หลังจากผ่านสงครามนี้ ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่าข้าใจแคบแค่ไหน ข้าประเมินคนอื่นต่ำเกินไป เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าเป็นคนบอกข้าว่าไม่ต้องกังวล สองสามวันที่ผ่านมานี้เจ้าก็ใจเย็นในการรับมือกับสิ่งต่างๆ มากกว่าข้ามาก ข้า…”


 


 


“ศิษย์พี่หลัว!” พอเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกสำนึกผิดมากขึ้นขณะที่นางพูด โม่เทียนเกอจึงขัดนางขึ้นทันทีและบอกว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นแบบนี้ เราควรจะมีสติเข้าไว้นะ”


 


 


“เทียนเกอพูดถูก” หันชิงอวี้เป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี เมื่อเห็นว่าสีหน้าของโม่เทียนเกอเริ่มอึดอัด นางก็รู้ทันทีว่าโม่เทียนเกอคงจะถูกทำให้นึกถึงบางสิ่งที่ไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเรื่องทันทีและพูดว่า “นอกจากนั้น ข้ายังมีเหตุผลอื่นอีกในการอยู่ที่นี่ต่อ”


 


 


“ทำไมล่ะ”


 


 


หันชิงอวี้หยิบแผ่นหยกบันทึกออกมาและพูดว่า “ก่อนที่เราจะออกมา ท่านอาจารย์บอกข้าว่าถ้ามีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ข้าต้องปกป้องเจ้าทั้งสามคนก่อนจากนั้นจึงไปเจอเขา”


 


 


ครั้งนี้แม้แต่เว่ยจยาซือที่ทำเหมือนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางมาตลอดยังถึงกับตกตะลึง พวกนางทุกคนรู้ว่าหันชิงอวี้มีอารมณ์มั่นคงและพึ่งพาได้ ในฐานะศิษย์พี่ นางมักจะคอยช่วยเหลือท่านอาจารย์เสมอและทำงานหนักโดยไม่ปริปากบ่น นางยังคอยดูแลศิษย์น้องๆ ของนาง เพราะอย่างนั้น ท่านอาจารย์จึงไว้ใจนางเสมอ


 


 


เว่ยจยาซือไม่เคยรู้สึกไม่พอใจเพราะนางมักจะมองความน่าเชื่อถือของศิษย์พี่ใหญ่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกตน สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เขาสอนพวกนางที่เหลือ


 


 


แต่ ณ ตอนนี้ เมื่อหันชิงอวี้เปิดเผยคำสั่งลับของท่านอาจารย์ เว่ยจยาซือก็รู้สึกค่อนข้างเสียใจ ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์ของพวกนางจะเชื่อใจศิษย์พี่ แต่เขายังมอบหน้าที่รับผิดชอบอันหนักหน่วงเช่นนั้นให้กับนางด้วย เว่ยจยาซือในฐานะศิษย์ภายในที่ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานานเช่นเดียวกับศิษย์พี่ของนาง ที่จริงแล้วไม่รู้เกี่ยวกับคำสั่งพวกนี้เลยแม้แต่น้อย…


 


 


หันชิงอวี้ไม่ได้รับรู้หรือสังเกตเห็นความไม่พอใจของเว่ยจยาซือ นางส่งหยกบันทึกไปให้เว่ยจยาซือที่ส่งต่อไปให้คนอื่นๆ หลังจากดูเนื้อหาในนั้น เมื่อทั้งสามคนเห็นเนื้อหาของหยกบันทึกหมดแล้วหันชิงอวี้จึงพูดว่า “ท่านอาจารย์คาดการณ์ไว้นานแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นเขาจึงให้คำสั่งพวกนี้กับข้าและปล่อยให้ข้าทำตามที่เห็นสมควร ขณะนี้ข้าคิดว่าสิ่งที่เทียนเกอพูดนั้นมีเหตุผล เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ควรทำตามที่ท่านอาจารย์บอก”


 


 


โม่เทียนเกอและอีกสองคนไม่ได้พูดอะไร คำสั่งที่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินทิ้งไว้นั้นธรรมดามาก พวกนางจะต้องรอโอกาสที่จะหาสถานที่ภายนอกโรงเรียนตานติ่ง ถ้าเรื่องต่างๆ เริ่มอันตรายขึ้น พวกนางจะต้องไปพบกับศิษย์คนอื่นที่นั่นเพื่อที่พวกนางจะได้เก็บแรงของตัวเองเอาไว้


 


 


จากคำสั่งเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าการเดินทางจะไม่ราบรื่น เขาอาจจะส่งทั้งสี่คนออกมาเพื่อที่พวกนางจะได้ไม่ถูกลากเข้าสู่สงครามด้วยกัน การส่งพวกนางออกมาแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่เขามีต่อศิษย์ผู้หญิง แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่เขามีต่อความสามารถของพวกนางในการรับมือกับเรื่องนี้


 


 


“ศิษย์พี่หัน…” เป็นเวลานานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอพูดช้าๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินกันเถอะ จากที่ข้าเห็น การที่ตระกูลอวี๋ตัดสินใจแบบนั้นที่จริงแล้วก็ดีเหมือนกัน มันจะดีสำหรับเราในการยืมพื้นที่ของพวกเขาในช่วงนี้ เราและตระกูลอวี๋สามารถพึ่งพากันและกันได้ ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่ราบรื่น มันก็จะง่ายสำหรับเราในการหนี ท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง”


 


 


“อืม ข้าก็คิดอย่างที่เทียนเกอพูดอยู่พอดี ศิษย์น้องรอง เฟิงเสวี่ย พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร” ​​​​​​​ 

 

 


ตอนที่ 126-1 ผู้ฝึกตนแห่งตระกูลอวี๋

 

โม่เทียนเกอสอดมือเข้าไว้ในแขนเสื้อขณะที่นางยืนอยู่เหนือประตูหอคอยสูงที่สุดของตระกูลอวี๋ สำรวจเกราะป้องกันของม่านพลังเหนืออาณาเขตตระกูลอวี๋อย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


เหนือเกราะป้องกันนี้ ผู้ฝึกตนสองคนกำลังสู้กับสัตว์ปีศาจ จู่ๆ หนึ่งในผู้ฝึกตนสังเกตเห็นโม่เทียนเกอและรู้สึกดีใจขึ้นมา เขาตะโกน “ท่านสหายนักพรต ได้โปรดมาช่วยเราด้วย!”  


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกค่อนข้างไม่พอใจและทำหน้านิ่ว สัตว์ปีศาจตัวนี้เป็นสัตว์ระดับห้า ระดับของมันเทียบเท่ากับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสัตว์ปีศาจไม่มีเครื่องราง อาวุธวิเศษ และของอื่นๆ พละกำลังในการต่อสู้ของมันจึงค่อนข้างอ่อนกว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้นเล็กน้อย 


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นสัตว์ปีศาจระดับห้า คงเป็นการยากสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางสองคนในการเอาชนะมัน ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ดันนำทางมันเข้ามาสู่เขตแดนของตระกูลอวี๋และขอความช่วยเหลือโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ สิ่งที่พวกเขาทำคือการไม่เห็นแก่ชีวิตของมนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนขั้นต้นของตระกูลอวี๋! พวกเขาอาจจะนำปัญหามาให้ตระกูลอวี๋และหนีไปด้วยซ้ำ 


 


 


ความคิดของโม่เทียนเกออาจจะเหมือนดูถูก แต่นางไม่เคยกลัวการคาดเดาเจตนาแย่ๆ ของคนอื่น นางค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ตั้งใจลากตระกูลอวี๋เข้าไปข้องเกี่ยว แต่พวกเขาก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่โดยไม่รู้ตัว 


 


 


ต่อให้ทั้งสองคนนี้มาจากกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียง พวกเขาก็ยังไม่มีหวังในการสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้าและทำได้เพียงหลบเลี่ยงการโจมตีของมันเท่านั้น ขณะที่พวกเขาเริ่มหลบหลีกยากขึ้นและยากขึ้น ผู้ฝึกตนคนที่สองตะโกนว่า “สหายนักพรต ท่านจะยืนดูอยู่เฉยๆ หรือ!”  


 


 


น้ำเสียงของเขาไม่น่าฟัง โม่เทียนเกอกวาดตามองสภาพรอบตัว มีเพียงผู้ฝึกตนระดับต่ำไม่กี่คนกำลังดูพวกเขาด้วยความนับถือ คนอื่นๆ ถูกตระกูลอวี๋อพยพออกไปที่บริเวณอื่นนานแล้ว จากนั้นนางหัวเราะหึเบาๆ และพูดอย่างเฉื่อยๆ “ข้าเป็นแค่แขกของที่นี่ ไม่ใช่หัวหน้า การมีส่วนร่วมของข้าต้องให้หัวหน้าตระกูลนี้เป็นคนตัดสิน ท่านสหายนักพรตควรจะรอก่อน”  


 


 


“เจ้า–” ใบหน้าชายคนนั้นกลายเป็นสีม่วง เขารู้สึกได้ว่าคำพูดของโม่เทียนเกอเป็นการพูดแบบขอไปที แต่ชีวิตของพวกเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่บางมากๆ!  


 


 


เพราะชั่ววินาทีแห่งความประมาท สหายของเขาโดนปีกของสัตว์ปีศาจฟาดเข้าและร่วงลงสู่พื้นดินด้วยเสียงกรีดร้องน่าสยดสยอง 


 


 


“ศิษย์น้อง!” ชายคนนั้นแผดเสียง เขาถลึงตาใส่โม่เทียนเกออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะล่อสัตว์ปีศาจไปรอบๆ ม่านพลัง เขาไม่สามารถทนได้อีกนานมากนัก 


 


 


โชคดีที่หัวหน้าตระกูลอวี๋และภรรยาของเขารีบลนลานเข้าไปหาพวกเขา เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เขารีบพูดกับโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตโม่ ได้โปรดช่วยพวกเขาด้วย!”  


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจ นางจึงพยักหน้า “ข้าจะเปิดม่านพลัง ท่านไปคว้าตัวคนเจ็บมา จำไว้ว่าท่านต้องทำให้เร็ว! เรามีเวลาพอแค่เท่ากับจุดธูปหนึ่งดอกเท่านั้น ถ้าหมดเวลาและท่านยังไม่เข้ามาในม่านพลัง ข้าจะปิดม่านพลังอีกรอบเพื่อความปลอดภัยของคนอื่นๆ”  


 


 


“เข้าใจล่ะ” ในเวลาสองสามวันที่ผ่านมา พวกเขารับผู้ฝึกตนเข้ามามากอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าตระกูลอวี๋รู้ดีถึงวิธีการทำงานของโม่เทียนเกอ เมื่อนางบอกว่าธูปหนึ่งดอก นางก็หมายความว่าธูปหนึ่งดอกตามนั้น หากพวกเขาทำเกินเวลา ก็ต้องรับผิดชอบกับความตายของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ศัตรูของพวกเขาเป็นสัตว์ปีศาจระดับห้าซึ่งเกินกว่าความสามารถของพวกเขา ถ้าพวกเขาสามารถช่วยชีวิตคนพวกนั้นและพาเขาเข้าข้างในได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว 


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ตะโกน “สหายนักพรตข้างบน! เราจะเปิดม่านพลังแค่เวลาเท่ากับจุดธูปหนึ่งดอก ขอให้เข้ามาข้างในโดยเร็ว! ถ้าท่านทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรที่เราจะช่วยท่านได้แล้ว”  


 


 


ยินดีกับสิ่งที่เขาได้ยิน ชายคนนั้นตะโกนกลับมา “ขอบคุณ! ได้โปรดเปิดม่านพลังเร็วๆ! ข้าทนได้อีกไม่นานแล้ว”  


 


 


โม่เทียนเกอเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป นางกุมมือเข้าด้วยกันทำท่ามุทราและเริ่มพึมพำร่ายคาถา 


 


 


ม่านพลังสัตว์จตุรเทพโบราณนี้แตกต่างจากรูปแบบสมัยใหม่ซึ่งควบคุมด้วยธงม่านพลัง ม่านพลังอันนี้ควบคุมง่ายกว่าด้วยท่ามุทราและการร่ายคาถา 


 


 


ภายหลังจากการร่ายคาถาของนาง แสงเป็นชั้นๆ ปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกัน ในไม่ช้า เสียงหึ่งหนักๆ ดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนี้ โม่เทียนเกอเร่งจังหวะในการอ่านคาถาของนาง ทันใดนั้นเอง รูเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกันพร้อมกับเสียงเสียดแทงที่บาดหู 


 


 


โม่เทียนเกอตะโกนบอก “เร็วเข้า!”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ส่งเสียงคำรามเป็นการตอบ จากนั้นเหาะอย่างรวดเร็วออกไปภายนอกเกราะพร้อมกับฮูหยินอวี๋ไปหาคนที่ร่วงอยู่ที่พื้น 


 


 


ในทางกลับกัน เมื่อผู้ฝึกตนอีกคนที่ถูกสัตว์ปีศาจไล่เห็นโอกาสนี้ เขารู้สึกดีใจและรีบพุ่งไปยังรูที่เปิดอยู่ในม่านพลังโดยทันที 


 


 


โม่เทียนเกอโกรธจัดเมื่อเห็นการกระทำของเขา คนนี้ช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก! เขาพุ่งเข้าไปยังม่านพลังทันทีโดยที่ไม่คำนึงเลยว่าเขาอาจจะนำทางสัตว์ปีศาจเข้ามาสู่ม่านพลังและทำร้ายตระกูลอวี๋!  


 


 


สีหน้าของนางยิ่งเดือดดาลมากขึ้นขณะที่นางมองสัตว์ปีศาจข้างหลังชายคนนั้น นางทำท่ามุทราอีกครั้ง ดวงตาแห่งม่านพลังซึ่งเป็นดวงตาของสัตว์จตุรเทพนี้จู่ๆ ก็ปล่อยแสงสว่างจ้าขึ้นมากะทันหัน ลำแสงนี้ได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นมังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ ซึ่งจากนั้นได้สาดส่องลงไปยังสัตว์ปีศาจ 


 


 


ลำแสงเหล่านี้ดูเหมือนจะรวมเข้าด้วยกัน นาทีที่ลำแสงฉายส่องลงบนตัวสัตว์ปีศาจ มันก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวเชื่องช้าและปล่อยควันออกมา ด้วยเสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ปีศาจกระพือปีกของมันด้วยความโกรธ ทุบตีและตัดลำแสงที่สร้างขึ้นโดยม่านพลัง 


 


 


ทันใดนั้น ศิลาวิญญาณที่อยู่บนดวงตาแต่ละดวงของม่านพลังแตกสลายทีละดวงไปตามๆ กัน แม้แต่พลังวิญญาณในร่างกายของโม่เทียนเกอก็ลดลงด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง นางกัดฟัน แอบปล่อยจิตสัมผัสของนางและสอดมันเข้าไประหว่างสัตว์ปีศาจระดับห้าและม่านพลังสัตว์จตุรเทพ เมื่อนางสบโอกาส นางเล่นงานสัตว์ปีศาจอย่างไม่ปรานี 


 


 


สัตว์ปีศาจระดับห้าคำรามด้วยความเจ็บปวดทันที สัตว์ลำแสงทั้งสี่กระโจนเข้าหามันและกัดมันอย่างไร้เมตตา ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกตนคนนั้นใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้และรีบพุ่งเข้าไปที่ทางเข้าม่านพลัง หัวหน้าตระกูลอวี๋และภรรยาก็เคลื่อนไหวอย่างเร็วเช่นกัน พวกเขาเหาะหนีและรีบเข้าไปข้างในตามหลังผู้ฝึกตนคนนั้น 


 


 


ขณะมองภาพนี้ โม่เทียนเกอก็รีบทำท่ามุทราอีกทีและประสานเข้ากับการร่ายคาถา แสงวาบผ่านเกราะป้องกันอีกครั้งหนึ่ง ทำให้รูที่อยู่ในนั้นหดเล็กลงจนกระทั่งมันหายไปในที่สุด 


 


 


เป็นเวลาพักหนึ่งที่สัตว์ปีศาจยังไม่ยอมแพ้และพยายามจะตามเข้าใกล้พวกเขา อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าความพยายามของมันไม่เป็นผล ในที่สุดมันก็จากไปด้วยหัวใจที่ขุ่นเคือง 


 


 


หลังจากยืนยันแน่แล้วว่าม่านพลังปิดแล้วและสัตว์ปีศาจจากไปแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นั่นถอนใจด้วยความโล่งอก โม่เทียนเกอเอามือลงช้าๆ แต่จู่ๆ นางก็จับตรงหน้าอกและไอออกมา 


 


 


“สหายนักพรตโม่!” ฮูหยินอวี๋ร้องเรียกด้วยความตกใจ 


 


 


โม่เทียนเกอเช็ดเลือดที่ไอออกมาด้วยมือและส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่ออกแรงใช้พลังวิญญาณมากไปหน่อย ท่านควรจะไปเพิ่มศิลาวิญญาณที่ดวงตาแต่ละข้างของม่านพลัง”  


 


 


เมื่อฮูหยินอวี๋ได้ยินดังนั้น นางไม่กล้าที่จะเพิกเฉยและออกไปจัดการกับหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง 


 


 


ขณะนั้น ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงหันไปมองหัวหน้าตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนสองคนที่เพิ่งเข้ามา หัวหน้าตระกูลอวี๋ได้ตรวจดูแผลบนตัวผู้ฝึกตนที่ไม่ได้สติเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ฝึกตนอีกคนก็หลับตาและกำลังทำสมาธิ เมินนางโดยสิ้นเชิง 


 


 


โม่เทียนเกอแค่ส่ายหน้า ทานยาอนุคืนสภาพและไม่สนใจพวกเขาอีก 


 


 


ในผู้ฝึกตนสองคนนี้ คนที่ไม่ได้สติค่อนข้างอายุน้อย เขาดูเหมือนอยู่ในช่วงอายุสามสิบต้นๆ ส่วนคนที่ทำสมาธิเพื่อปรับลมปราณแก่กว่าเล็กน้อย ดูเหมือนอยู่ในช่วงปลายสามสิบ พวกเขาใส่ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนตานติ่งและค่อนข้างหยิ่งยโส อาจจะเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิ พวกเขาถือว่าค่อนข้างอายุน้อยแต่ก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว คาดว่าพวกเขาคงจะมีอนาคตสดใสถึงได้ดูถูกคนอื่นๆ  


 


 


การช่วยทั้งสองคนไม่เหนือกว่าความสามารถของนางและยังถูกขอร้องมาจากหัวหน้าตระกูลอวี๋อีกด้วย ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้หวังว่าพวกเขาจะสำนึกบุญคุณ นางไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ 


 


 


เมื่อฮูหยินอวี๋กลับมา หัวหน้าตระกูลอวี๋ยังคงตรวจดูคนผู้นั้น จากนั้นทั้งสองคนจึงช่วยกันรักษาอาการบาดเจ็บของเขา 


 


 


ไม่นานนักคนผู้นั้นก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสติ “ท่านลุง ท่านป้า!”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ดีใจที่ได้เห็นเขาฟื้นขึ้น เขากล่าว “ดีๆ ดีแล้วที่เจ้าตื่นขึ้นมา! อย่าเพิ่งพูด กลับไปและรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าก่อน”  


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ กลายเป็นว่าคนผู้นี้คือผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังคนเดียวที่ตระกูลอวี๋เหลืออยู่ คนที่กำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนตานติ่ง? ไม่น่าแปลกใจที่เขาขอให้ข้าช่วยชีวิตเขาอย่างง่ายดาย ปรากฏว่าที่นี่คือบ้านของเขา! แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังเป็นศิษย์ของโรงเรียนอื่น เขาหยาบคายเหลือเกิน!  


 


 


หลังจากสั่งงานให้คนพาผู้ฝึกตนวัยหนุ่มกลับไป หัวหน้าตระกูลอวี๋หันมาและประสานมืออย่างจริงใจมาทางโม่เทียนเกอ “ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านอย่างไรดี สหายนักพรตโม่ ข้าจะจดจำคุณงามความดีของท่านไว้ในใจตลอดไป”  


 


 


โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่ต้องเกรงใจหรอก ข้าแค่ทำสิ่งที่ข้าพอจะทำได้”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่สนคำพูดของนางและเอาขวดยาวิเศษขวดหนึ่งให้กับนาง “สหายนักพรตโม่บาดเจ็บ นี่คือยาโคมเขียว เป็นยาลับของตระกูลอวี๋และได้ผลดีมากกว่ายาอนุคืนสภาพ กรุณารับมันไว้ในฐานะของที่แสดงถึงความขอบคุณของข้า”  


 


 


ยาลับสำหรับรักษาบาดแผลเป็นสิ่งที่โม่เทียนเกอขาดไปพอดี ดังนั้นนางจึงรับมาทันที “ขอบคุณมาก”  


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ผู้ฝึกตนที่พักฟื้นอยู่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นและหายใจออก ขณะที่เขาเงยหน้ามอง เขายืนขึ้นและโค้งคำนับให้กับหัวหน้าตระกูลอวี๋ “ท่านลุงอวี๋ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ยิ้มและช่วยพยุงเขาขึ้นมา “ข้าไม่ได้มองให้ชัดเจน ศิษย์น้องโจวนี่เอง! ศิษย์น้องโจวสุภาพเกินไป ทำไมเจ้าถึงเรียกข้าว่าลุงเล่า ระดับการฝึกตนของเราอยู่ในดินแดนเดียวกัน ข้าจะดีใจถ้าเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่”  


 


 


ศิษย์น้องโจวคนนี้ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าเขาไม่ได้คิดชื่นชมหัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้ที่ไม่มีความหวังในการบรรลุผ่านไปสู่ดินแดนถัดไปสักเท่าใดนัก เขาอาจจะแค่พูดแบบนั้นตามมารยาทเพื่อเห็นแก่ศิษย์น้องจากตระกูลอวี๋ที่บาดเจ็บอยู่ 


 


 


ความรู้สึกดูถูกวาบผ่านในดวงตาเขาขณะที่เขาถามหัวหน้าตระกูลอวี๋ “ข้าขอถามได้ไหมว่าศิษย์น้องอวี๋อยู่ที่ไหน เขาเป็นอะไรหรือเปล่า”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋กล่าว “หลานชายของข้าไม่เป็นอะไร เขากลับไปเพื่อพักผ่อน ถ้าศิษย์น้องโจวต้องการพบเขา ข้าจะให้คนพาเจ้าไป” จากนั้นเขาเรียกผู้ฝึกตนระดับต่ำมาหาและสั่งเขาเล็กๆ น้อยๆ   

 

 


ตอนที่ 126-2 ผู้ฝึกตนแห่งตระกูลอวี๋

 

หลังจากเขาออกไป หัวหน้าตระกูลอวี๋ถอนใจและหันมาหาโม่เทียนเกอ “สหายนักพรตโม่ ได้โปรดอย่าถือสาเขาเลย อารมณ์ของศิษย์น้องโจวเป็นแบบนี้เสมอล่ะ ไม่ใช่ว่าเขามีจิตใจชั่วร้ายอะไรหรอก”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะหึ นางเคยเจอคนแบบนี้มามาก แต่ไม่มีใครที่ทำตัวดูถูกผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับศิษย์น้องโจวผู้นี้ ตัวอย่างเช่น เว่ยจยาซือ ที่เพียงแค่ดูหยิ่งยโสแต่นางไม่มีทางจะมองคนอื่นด้วยสายตาเช่นนั้นหรือวางมาดสั่งการคนอื่นๆ ไปทั่ว ศิษย์น้องโจวคนนี้… ช่างน่ารังเกียจเสียจริง


 


 


ดูจากสีหน้าโม่เทียนเกอ หัวหน้าตระกูลอวี๋ก็พอจะเข้าใจความคิดของนางได้คร่าวๆ เขารู้สึกค่อนข้างอึดอัดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ศิษย์น้องโจวไม่ได้มาจากตระกูลอวี๋ ด้วยเห็นแก่หลานชายของเขา การพูดไม่กี่ประโยคเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องต่างๆ ก็มากพอแล้วสำหรับหน้าที่เขา


 


 


ทั้งสองคนยืนอยู่บนประตูหอคอยของตระกูลอวี๋ในความเงียบสงัด บางครั้งพวกเขาก็จะเห็นลำแสงแล่นผ่านไปอย่างเร็วและเห็นแสงสว่างจากการต่อสู้ด้วยพลังเวทในระยะไกลๆ


 


 


ในสองวันที่ผ่านมา พวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันจากผู้ฝึกตนนอกม่านพลังอยู่เสมอ สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นตอนนี้ ศิษย์ทั้งหมดของโรงเรียนตานติ่งถูกส่งออกสู่สงครามแล้ว แม้แต่ศิษย์นอกเวลาก็ไม่ได้รับการยกเว้น ในเมื่อแม้แต่ศิษย์นอกเวลายังต้องลงสนามรบ มันชัดเจนแล้วว่าสถานการณ์ของพวกเขาสิ้นหวังขนาดไหน


 


 


ส่วนหนึ่งของเกราะป้องกันขุนเขาของโรงเรียนตานติ่งได้แตกออก ทุกตระกูลผู้ฝึกตนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนตานติ่งได้รับหมายเรียกให้ไปร่วมสู้ แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกตระกูลจะยอมทำตามนั้น บัดนี้โรงเรียนตานติ่งอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย มีบางตระกูลที่อยากจะแยกตัวเป็นอิสระ แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ปีศาจคงไม่พูดคุยสงบศึกกับมนุษย์เป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาทำได้เพียงหวังว่าดวงของพวกเขาจะดีพอให้ไม่ต้องเผชิญกับสัตว์ปีศาจระดับสูง


 


 


ตระกูลอวี๋มีหลายเหตุผลในการเข้าร่วมสงคราม ข้อแรก ตระกูลอวี๋เป็นกลุ่มเล็ก ดังนั้นแทนที่จะเก็บแรงของพวกเขาไว้และพึ่งกลุ่มอื่นที่แข็งแกร่ง พวกเขาคิดว่าควรจะเสี่ยงโชคฝากชีวิตไว้กับโรงเรียนตานติ่ง และเดิมพันว่าโรงเรียนตานติ่งที่มีอายุกว่าหลายพันปีจะไม่ถูกล้มล้างโดยการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ ข้อที่สอง จากผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังสองคนที่มีศักยภาพ คนหนึ่งได้ตายไปแล้วในจลาจล พวกเขาโมโหแต่ก็ต้องปล่อยวาง สิ่งต่างๆ คงไม่สามารถแย่ไปมากกว่านี้ได้ แต่ให้พวกเขาเลือกจะเก็บแรงเอาไว้ พวกเขาก็อาจจะไม่สามารถทำได้ตามนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจขอเดิมพันด้วยชีวิต


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอชื่นชมหัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้นี้ หัวหน้าตระกูลอวี๋ต้องมีนิสัยที่ใช้ได้เลยทีเดียวถึงได้ทำตัวกล้าหาญเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนี้


 


 


จากที่ได้ยินมา โรงเรียนตานติ่งส่งเครื่องรางเรียกขานจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อขอความช่วยเหลือออกไปอีกครั้ง คาดว่าความช่วยเหลือจะมาถึงในอีกครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือน ผู้คนไม่อยากจะเสียสละชีวิตของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รีบมาเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะไม่มาช้าเกินไปเช่นกันเพราะเกรงว่าโรงเรียนตานติ่งจะถูกล้มล้างและส่งผลให้มาตรฐานการปรุงยาในคุนอู๋ทั้งหมดตกต่ำลง มีแนวโน้มว่าพวกเขาคงจะรออยู่จนกระทั่งช่วงวิกฤติถึงค่อยมา


 


 


คนทั้งสองมองดูอยู่เงียบๆ จนกระทั่งหัวหน้าตระกูลอวี๋พูดขึ้นมากะทันหัน “ในอีกหลายวันข้างหน้านี้ก็จะปีใหม่แล้ว”


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกตกใจ ผู้ฝึกตนไม่ค่อยสนใจเรื่องนับเวลา โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่สนใจกับธรรมเนียมของโลกมนุษย์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นในสำนักอวิ๋นอู้หรือโรงเรียนเสวียนชิงและแม้แต่เมื่อนางยังอยู่กับท่านอารอง นางก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ ปีใหม่แค่เป็นการบอกว่านางได้แก่ขึ้นอีกหนึ่งปี สำหรับหัวหน้าตระกูลอวี๋ที่จู่ๆ ก็พูดถึงขึ้นมาเช่นนี้หมายความว่าคนในตระกูลของเขาให้ความสำคัญกับธรรมเนียมพวกนี้


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋จ้องไปที่ไฟลุกโชนสักที่หนึ่งในระยะไกลๆ และหัวเราะหึอย่างเสียใจ “ในวันปีใหม่เมื่อปีที่แล้ว หลานชายอีกคนของข้าเพิ่งอายุแค่สามสิบปี แต่เขาก็ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ ในตอนนั้นเรายังคิดว่าอนาคตของตระกูลอวี๋คงสดใส เราคิดว่าเราอาจจะได้มีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังด้วยซ้ำ ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าพอถึงปีใหม่ปีนี้ หลายชายคนนั้นของข้าจะต้องมาตายจากไปเสียแล้ว…”


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่ได้พูดอะไรอีก ทว่าโม่เทียนเกอยังคงสัมผัสได้ถึงความเศร้าในคำพูดของเขา สำหรับตระกูลผู้ฝึกตน การไม่มีผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด ตระกูลเยี่ยได้ผ่านประสบการณ์เดียวกันมาเมื่อสมัยก่อน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่มีความสามารถอันน่าทึ่ง แต่พวกเขาก็ต้องหลบหนีไปจากเขาชิงเหมิงอย่างน่าผิดหวังเพราะพวกเขาไม่มีผู้สืบทอด


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ขยี้ตาก่อนที่เขาจะหันมาหานาง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “สหายนักพรตโม่อย่าตำหนิข้าเลย เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่านน่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ไม่เป็นไร…”


 


 


ทั้งสองคนจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสักพัก หัวหน้าตระกูลอวี๋ถามว่า “สหายนักพรตโม่ดูค่อนข้างอ่อนวัย แต่ท่านดูไม่เหมือนใช้วิชาคงรูป ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านอายุเท่าไรรึ”


 


 


โม่เทียนเกอเงียบ การถามอายุของคนอื่นนั้นไม่ค่อยทำกันในหมูุ่ผู้ฝึกตน แต่หัวหน้าตระกูลอวี๋คนนี้ค่อนข้างอายุมากแล้ว คงไม่เป็นปัญหาหากนางจะปฏิบัติกับเขาแบบผู้อาวุโส นางครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบว่า “เมื่อปีนี้สิ้นสุดลง ข้าก็จะอายุยี่สิบห้าปี”


 


 


“ยี่สิบห้า!!!” หัวหน้าตระกูลอวี๋อุทานด้วยความตกใจ “สหายนักพรตโม่ ท่านอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้วแต่ที่จริงท่านเพิ่งอายุยี่สิบห้าน่ะหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า แม้ว่าคนอื่นอาจจะประหลาดใจที่ได้รู้อายุนาง แต่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลางก็ไม่ใช่อะไรพิเศษ ดังนั้นนางจึงคิดว่าไม่เสียหายที่จะบอกความจริงกับเขา


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ถอนใจอย่างจริงใจ “ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์พี่หลิงชมท่านว่ายังอายุน้อยและมีแวว ข้าคิดว่าหลานชายของข้าโดดเด่นมากแล้วในหมู่ศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ … แต่เมื่อเทียบกับสหายนักพรตโม่ เขาไม่คู่ควรกับการพูดถึงด้วยซ้ำ”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มแต่ไม่ได้มีความลำพองในรอยยิ้มของนาง “หัวหน้าตระกูลอวี๋ชมข้าเกินไป ที่จริงแล้วยังผ่านมาไม่นานตั้งแต่ข้าสร้างฐานแห่งพลังสำเร็จ มันเป็นเพราะความเอาใจใส่พิเศษจากผู้อาวุโสของข้า ข้าจึงสามารถได้รับชะตาลิขิตบางอย่างและก้าวเข้าสู่ขั้นกลางได้ นี่ทำให้ข้ารู้สึกค่อนข้างละอายใจที่ถูกชมเช่นนี้”


 


 


“เอ๋~!” หัวหน้าตระกูลอวี๋พูดอย่างจริงจัง “ชะตาลิขิตก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจุดแข็งของท่านได้ สหายนักพรตโม่ไม่ต้องถ่อมตนขนาดนี้หรอก ถ้าเป็นพวกทายาทที่ไร้ค่าของข้า ต่อให้พวกเขาได้รับชะตาลิขิตมากมาย ข้าก็เกรงว่าพวกเขายังไม่สามารถจะเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้อย่างท่านอยู่ดี”


 


 


เมื่อเจอกับคำยกยอของหัวหน้าตระกูลอวี๋ โม่เทียนเกอเพียงแค่ประสานมือพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ หัวหน้าตระกูลอวี๋พูดเช่นนั้นเพราะเขาไม่รู้เลยว่าชะตาลิขิตของนางยิ่งใหญ่เพียงใด หลังจากได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิด รากวิญญาณที่เคยเป็นภัยของนางก็กลายเป็นของขวัญจากสวรรค์ทันที นางยังได้รับการชี้แนะจากเทพผู้ฝึกตน ซึ่งหมายความว่าเส้นทางการฝึกตนของนางสั้นกว่าสหายไปอีกสิบถึงยี่สิบปี นอกจากนี้ ด้วยร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ เวลาที่จำเป็นต้องใช้ฝึกวิชาเทพก็ถูกลดลงครึ่งหนึ่ง และสุดท้ายยังมีโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนอีก ถึงแม้ว่านางยังไม่มีโอกาสได้ใช้แหล่งทรัพยากรที่ใหญ่ที่สุดและมีค่าที่สุดของมัน แต่ม่านพลังที่นางใช้อยู่ตอนนี้ก็เกิดขึ้นได้เพราะโลกนั้นเช่นกัน


 


 


หากไม่ได้รับชะตาลิขิตเหล่านี้ นางคงมีมุมมองเช่นเดียวกับหัวหน้าตระกูลอวี๋แน่ ที่คิดว่าชะตาลิขิตไม่ใช่อะไรนอกไปจากความช่วยเหลือภายนอก อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ครอบครองชะตาลิขิตเหล่านั้น สุดท้ายนางก็ตระหนักว่าพวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะดูถูกได้เลย


 


 


ตามตำนานว่าไว้ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่มีความถนัดตามธรรมชาติย่ำแย่ได้รับชะตาลิขิตที่ยิ่งใหญ่เมื่อหลายปีก่อนในคุนอู๋ เพราะเหตุนั้น เขาสามารถจะฝึกตนจนกระทั่งเขาเข้าถึงดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่และได้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นจริงก็ได้


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋กล่าว “สหายนักพรตโม่ ข้าขอทราบได้ไหมว่าอาจารย์เต๋าที่โรงเรียนเสวียนชิงคนใดที่ท่านและพวกศิษย์พี่ของท่านศึกษาอยู่ด้วย”


 


 


เมื่อพวกนางมาถึง พวกนางเพียงพูดว่าได้รับคำสั่งมาจากท่านอาจารย์ให้ยอมรับการจัดการของโรงเรียนตานติ่งและจึงถูกส่งออกมาที่ตระกูลอวี๋เพื่อช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของท่านอาจารย์ เมื่อพิจารณาถึงสถานะของหัวหน้าตระกูลอวี๋ เขาอาจจะไม่เหมาะที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้


 


 


แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับที่ไม่อาจเปิดเผยได้อะไร ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงพูดว่า “ศิษย์พี่ทั้งหมดของข้าเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ข้าเองก็กำลังศึกษาอยู่ภายใต้การแนะแนวของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน ดังนั้นเราทั้งหมดจึงมีอาจารย์ท่านเดียวกัน”


 


 


“เข้าใจล่ะ…” เรื่องที่ว่าทำไมโม่เทียนเกอถึงเป็นคนเดียวที่พูดถึงอาจารย์เต๋าเสวียนอินว่า “อาจารย์ลุง” หัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่ได้ไต่ถามต่อไปอีก ท้ายที่สุดแล้วเรื่องแบบนี้ก็มักจะเป็นความลับ


 


 


ทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันต่อไป เมื่อเห็นว่าระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอสูงถึงขนาดนี้แล้วแม้อายุของนางยังน้อยและนางก็ตั้งใจจริงในการดูแลคนอื่น หัวหน้าตระกูลอวี๋จึงมีความประทับใจที่ดีต่อนาง โม่เทียนเกอก็ปฏิบัติกับเขาด้วยใจกรุณา ไม่ผิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพราะมันอาจมีประโยชน์ขึ้นมาในอนาคตก็เป็นได้


 


 


ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีคนมารายงานความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอาการของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังหนุ่มจากตระกูลอวี๋ ด้วยรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความกังวล หัวหน้าตระกูลอวี๋จึงรีบเร่งไปดูเขาทันที


 


 


เดิมทีโม่เทียนเกอไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้ แต่หันชิงอวี้บังเอิญรับหน้าที่ตรวจตราอยู่บนประตูหอคอยแทนและแอบสั่งให้โม่เทียนเกอไปสังเกตการณ์มา


 


 


ดังนั้นนางจึงตามหัวหน้าตระกูลอวี๋เข้าไปในสนามด้านในของตระกูล เมื่อนางเข้าไปในห้อง นางก็ถูกจ้องมองอย่างไม่เป็นมิตรจากศิษย์น้องโจวอีกครั้งหนึ่ง


 


 


เมื่อรู้สึกค่อนข้างทำตัวไม่ถูก โม่เทียนเกอจึงแค่ยิ้ม ศิษย์น้องโจวผู้นี้อาจจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่มีรูปลักษณ์ของชายในวัยสี่สิบแต่เขาคงอายุร้อยปีเป็นอย่างต่ำ ทั้งๆ อย่างนั้น เขากลับทำตัวไม่รู้จักโตอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าศิษย์ของโรงเรียนตานติ่งไม่ได้มีค่าอะไรนัก


 


 


“อาซี เจ้าเป็นอย่างไร!” จากวิธีที่หัวหน้าตระกูลอวี๋เรียกเขา ดูเหมือนว่าหัวหน้าตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บจะมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างใกล้ชิดกัน


 


 


ผู้ฝึกตนวัยหนุ่มของตระกูลอวี๋กำลังนอนอยู่บนเตียงและดูสิ้นหวังเป็นที่สุด แต่เขาก็สามารถจะฝืนยิ้มขมขื่นออกมาได้และพูดว่า “ท่านลุง ข้า… ข้าขอโทษ…”


 


 


“อาซี หยุดพูดเช่นนี้!” หัวหน้าตระกูลอวี๋จับมือของผู้ฝึกตนคนนั้นไว้แน่นขณะที่เขาพูดปลอบใจต่อไป “เจ้าแค่ต้องรักษาตัวให้ดี เดี๋ยวเจ้าก็หาย เรายังมียาโคมเขียวเหลืออยู่อีกมาก…”


 


 


“ท่านลุง!” เขาตัดบทหัวหน้าตระกูลอวี๋และความเศร้าปรากฏขึ้นในสายตาเขา “ท่านลุง ข้ารู้สถานการณ์ของข้าดี บางทีบาดแผลอาจจะรักษาได้แต่… แต่ข้าอาจจะต้องทนกับการถดถอยและตกลงไปสู่ดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ…”


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ดูเสียใจที่ได้ยินเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด โม่เทียนเกอเห็นว่ามือของหัวหน้าตระกูลอวี๋ที่จับมืออาซีอยู่กำลังสั่น


 


 


การตกลงไปสู่ดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ… โม่เทียนเกอเข้าใจว่าบาดแผลเขารุนแรงแค่ไหน เมื่อเป็นเรื่องการถอยลงของดินแดน คนคนนั้นอาจต้องใช้เวลาหลายปีฝึกตนใหม่เพื่อให้เข้าถึงดินแดนก่อนหน้าในกรณีที่ดีที่สุด แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด มันอาจจะยากสำหรับคนนั้นที่จะก้าวหน้าไปตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาเลยก็ได้


 


 


“ท่านลุง…” เมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าตระกูลอวี๋ น้ำตาเริ่มไหลรินจากดวงตาของอาซี เขากล่าว “ข้า… ข้าขอโทษ มากกว่าห้าสิบปีที่ท่านทุ่มเทกับการเลี้ยงดูข้า แต่ข้า… ข้า…”


 


 


“ไม่” หัวหน้าตระกูลอวี๋สงบจิตสงบใจ เขาพูดหนักแน่น “อาซี วางใจเถอะ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ลุงจะหาทางช่วยเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องกังวลมากไปหรอกตอนนี้ ตระกูลอวี๋ของเรายังอยู่ดี เราแค่ต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้”


 


 


บางทีอาจเพราะเขาไม่อยากให้หัวหน้าตระกูลอวี๋รู้สึกใจสลายมากไปกว่านี้ อาซีเช็ดน้ำตาแล้วจึงพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ท่านลุงวางใจเถิด ข้า… ข้ายังไม่อยากตาย”


 


 


ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงความผิดหวังในสายตาเขาอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวว่าเขาจะไม่ดีขึ้น


 


 


โม่เทียนเกอแอบส่ายหน้า เห็นชัดเจนว่าอาการของเขาไม่ดี เส้นลมปราณของเขาเสียหายหนักมาก ต่อให้ตานเถียนเขายังดีอยู่ แต่เขาก็จะถอยลงไปที่ขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเป็นอย่างน้อย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม