โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 122-128

 Ch.122 – ความโสมมในยามหายนะ

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.122 – ความโสมมในยามหายนะ


 


เห็นแค่เพียงกระสุนถูกสาดออกมา แต่สำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณแล้ว มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใด


 


นับประสาอะไร กับฉินเฟิงที่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้


 


พลังสมาธิพลันล็อคลงในห่ากระสุน และเมื่อพบว่าพวกมันไม่มีพลังสมาธิของมือปืนคอยชี้นำ ก็เป็นเรื่องง่ายดายเข้าควบคุม


 


เมื่อไร้พลังสมาธิ กระสุนพวกนี้ก็กลายเป็นเพียงแค่ขยะ ไม่อาจยิงเข้าใส่เป้าหมายได้


 


อย่างไรก็ตาม อย่างฉินเฟิง มีหรือที่จะเบี่ยงวิถีกระสุนออกไปเปล่าๆ เมื่อถูกยิงมา เขาย่อมส่งพวกมันกลับคืน!


 


“จงสะท้อน!”


 


พลังสมาธิแทรกซึมเข้าไปในกระสุน ควบคุมมันกลางอากาศ กระสุนเด้งกลับหลังทันทีและ—


 


–ปุด ปุด ปุด ปุด!


 


วกกลับเข้าหาคนที่ยิงมันออกมาในตอนแรก บังเกิดเสียงกรีดร้องเวทนาดังขึ้น


 


แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังได้ยินถึงเสียงคมมีดปะทะเข้าต้านทานกระสุน


 


เคร้ง เคร้ง เคร้ง!


 


กระสุนที่สวนกลับไปไม่ได้รวดเร็วนัก บางคนจึงสามารถตอบสนองได้ทัน


 


เหตุการณ์นี้คล้ายคลึงกับในตอนของเหอหลีที่โจมตีฉินเฟิง และสุนท้ายก็ถูกปัดออกด้วยมีดกษัตริย์ครามโดยตรง


 


และเวลานี้ ประตูเหล็กได้เปิดอ้าออกโดยสมบูรณ์ ในแนวสายตา นอกเหนือไปจากศพกว่า 7 – 8 ศพที่อยู่กับพื้นแล้ว ยังมีผู้ใช้วรยุทธโบราณอีกสามคนในสภาพกุมอาวุธพร้อมรบ


 


ผู้ใช้วรยุทธโบราณเหล่านี้ มีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F


 


“หาที่ตาย!”


 


“พวกเราร่วมมือกัน”


 


“รุมฆ่ามัน!”


 


ในแววตาของทั้งสามสาดประกายดุร้าย ทว่าหากเทียบกับฉินเฟิงแล้ว พวกเขาอ่อนแอเกินไป!


 


“ใบมีดเพลิง!”


 


ฉินเฟิงกวัดแกว่งมีดกษัตริย์ครามภายใต้ใบมีดเรืองแสงสีเพลิง ฟาดใส่ทั้งสามจนปลิวออกไป


 


“อ๊ากกกก!”


 


ฉินเฟิงเดินตามร่างทั้งสาม และเข้าไปถึงส่วนลึกของห้องใต้ดิน


 


ภายใต้แสงสลัวจากไฟฉุกเฉิน ฉินเฟิงสามารถมองเห็นถึงฉากภายใน ทันนั้นนั้นรูม่านตาของเขาพลันหดลีบ เบือนหน้าหนีไปอีกทิศทางหนึ่ง


 


ฉินเฟิงก้าวถอยออกมา และเอ่ยขอ “หลิวซู ช่วยไปปลอบพวกเธอแทนฉันที”


 


หลิวซูงงในตอนแรก แต่เมื่อเข้าไป และเห็นถึงฉากภายใน ดวงตาของเธอก็ต้องเบิกกว้าง


 


“เดรัจฉาน!”


 


ภายในห้องใต้ดินกว้างขวางมา แต่ที่นี่กลับมีคนอยู่แค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น และทั้งร้อยคนกำลังขดตัวอยู่ในมุมเดียวกัน อีกมุมหนึ่งมีหญิงสาวกว่า 20 คน ที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า นอนแข็งอยู่บนพื้นเย็นๆ ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าพวกเธอผ่านพ้นประสบการณ์ใดมา


 


นอกจากนี้ ยังมีศพอีกกองหนึ่งโยนทิ้งไว้อยู่ในมุมห้อง แม้จะผ่านพ้นไปแค่วันเดียว แต่กองศพเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว


 


หลิวซูพุ่งเข้าไปอย่างรีบร้อน ควานหาเสื้อผ้าของวัยรุ่นสาวเหล่านั้น ช่วยพวกเธอแต่งตัว


 


“พวกคุณมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเราใช่ไหม?”


 


ในดวงตาของวัยรุ่นสาวคนหนึ่งฟุ้งไปด้วยความเกลียดชัง เธอเอ่ยถามเสียงสั่น


 


หลิวซูไม่ทราบว่าจะตอบไปอย่างไรดี สุดท้ายยอมเออออไปตามน้ำ


 


“ใช่ ขอโทษนะที่พวกเรามาสาย!” หลิวซูกล่าวอย่างรู้สึกผิด


 


จริงๆแล้วถ้าไม่เข้ามา เธอคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างในมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


 


ฉินเฟิงมองดูพวกวัยรุ่นสวมเสื้อผ้ากัน ก่อนจะกวาดสายตาไปทางอีกร้อยคน ในนั้นมีทั้งคนแก่และผู้หญิงขดอยู่รวมกัน หนึ่งในนั้นบังเกิดความรู้สึกผิด เบนหน้าหนีไม่กล้าสบตาเขา


 


แม้ว่าฉินเฟิงจะเข้ามาแล้ว แต่คนพวกนี้ก็ยังไม่ส่งเสียงใดๆ


 


ทั้งๆที่ผ่านไปแค่วันเดียว แต่พวกเขาทำราวกับว่าโลกได้ล่มสลายลงไปแล้ว


 


“เรื่องราวมันเป็นยังไง เล่าให้ฉันฟังได้นะ” ฉินเฟิงถามเสียงหม่น


 


วัยรุ่นสาวเงยหน้าขึ้นมองฉินเฟิง เธอเห็นว่าฉินเฟิงคือคนแรกที่เข้ามาที่นี่ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้สังหารผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ทั้งสามคน แต่ก็สามารถสร้างอาการบาดเจ็บสาหัส


 


“ทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกมัน! เป็นพวกมัน!” วัยรุ่นสาวกัดฟันแน่นและเริ่มเล่า “เมื่อวานพวกเราซ่อนตัวกันอยู่ในที่หลบภัยใต้ดินด้วยกัน แต่พวกมันกลับเข้ามาลวนลามพวกเรา เพื่อนร่วมชั้นของฉันเลยเข้ามาหยุด แต่ก็ถูกพวกมันฆ่าทิ้ง ไอ้พวกสารเลว! สัตว์นรก!”


 


ขณะเล่า วัยรุ่นสาวก็เริ่มร้องไห้ออกมา ขณะที่คนอื่นๆเริ่มสะอื้นไห้


 


ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก มันไม่เพียงเป็นที่รวมร้านค้าขายของในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเสื้อผ้า และโรงภาพยนต์ในชั้นบนสุด กล่าวได้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าครบวงจร


 


วัยรุ่นหญิงคนนี้ เป็นนักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษาจากสถาบันระดับกลาง และได้รับการฉีดยากระตุ้นในปีนี้


 


เช่นเดียวกับฉินเฟิง บรรดาเพื่อนร่วมชั้นต้องการที่จะมาปาร์ตี้กันหลังจากจบการศึกษา และวันหยุดก็ตรงกับวันที่เกิดเรื่องพอดี ทุกคนมาร้องเพลงกัน และเกิดรอยแยกมิติขึ้น ดังนั้น ทั้งหมดจึงอพยพลงมายังชั้นใต้ดินอย่างเป็นระเบียบเพื่อหลบภัย แต่ไม่มีใครคาดคิด ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของฝันร้าย …


 


—-


 


กลับมาที่อีกฝั่งหนึ่ง ในฐานะผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ผู้มากประสบการณ์ ทั้งสามคนช่วยเหลือผู้คนระหว่างทางมาที่นี่ ดังนั้นเลยกลายเป็นผู้นำไปโดยปริยาย


 


และเมื่อพวกมันเห็นว่ามีนักเรียนคนหนึ่งหน้าตาดี เลยคิดเจ้าชู้เล็กน้อย ขณะเดียวกัน นักเรียนบางคนที่ฉีดยากระตุ้นและสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณขึ้นมาได้ ก็เข้ามาขัดขวาง


 


ทว่าลูกวัวแรกเกิดจะมาสู้กับเสือได้อย่างไร?


 


การต่อสู้นี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเชือดอยู่ฝ่ายเดียว


 


ทั้งสามฆ่าพวกเด็กๆที่กล้าหือ และเริ่มกระทำการไร้ยางอาย


 


“พวกสารเลวนั่นสมควรตายสินะ?” ฉินเฟิงทวนซ้ำคำกล่าวของวัยรุ่นสาว


 


เวลานี้ คนอื่นๆต่างมองมาทางฉินเฟิง ในแววตาทั้งหมดฟุ้งไปด้วยความซับซ้อน


 


ทุกคนก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฉินเฟิงจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร


 


เพราะยังไงซะ ผู้ใช้พลังก็เปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่าที่ไม่ควรสูญเสียไป!


 


ยิ่งในสถานการแบบนี้ ต่อให้พวกมันจะไม่ใช่อัญมณี หากแต่เป็นเพียงเศษเงินไร้ค่า แต่ก็ยังมีประโยชน์ ไม่สมควรที่จะสูญเสียไป


 


เมื่อนึกถึงจุดนี้ วัยรุ่นสาวก็เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง พวกเธอคิดว่าฉินเฟิงคงไม่ตัดใจสังหารพวกมัน แต่คงมอบชีวิตให้ทำหน้าที่รับใช้แทน


 


อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง พวกเธอก็ได้ยินถึงเสียงของฉินเฟิง


 


“งั้นฉันจัดให้ตามที่ขอ!”


 


ก่อนหน้านี้ แม้ฉินเฟิงจะซัดทั้งสามปลิวด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสังหาร เพียงทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น


 


และปัจจุบัน เขาก้าวสามขุมเข้าหาผู้บาดเจ็บทั้งสามอย่างไม่ลังเล


 


“นั่นแกคิดจะทำอะไร?” ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ตะคอกดุดัน หากแต่ภายในกลับใจเสาะ ร่ำร้องตะโกน ‘มิสเตอร์ฉิน ได้โปรด พวกเราผิดไปแล้ว!’


 


ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ดูวิดีโอของฉินเฟิงแล้ว และทราบว่าคนเบื้องหน้าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งหมดก็ยังคิดว่าตนอาจจะโชคดี สังหารฉินเฟิงในทีเผลอได้


 


ทว่าพวกเขากลับถูกโค่นลงภายในการโจมตีเดียว ความมั่นใจมลายหายไปสิ้น


 


‘ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าคนๆหนึ่งจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!’


 


เขามีอาชีพอะไรกัน? มือปืน? , ผู้ใช้วรยุทธโบราณ? หรือผู้ใช้อบิลิตี้?


 


แต่ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว


 


“ท่าทีของพวกแกดูผิดจากคำที่พ่นออกมาลิบลับเลยนะ และบังเอิญว่าฉันเป็นคนมีความอดทนต่ำซะด้วยสิ เวลามีทรายน่ารำคาญเข้าตา ก็ต้องกำจัดไปให้พ้นทาง!”


 


สิ้นเสียง ฉินเฟิงก็สะบัดมีดกษัตริย์ครามในมือออกไป


 


ใบมีดเพลิง!


 


ใบมีดเพลิงวาดเป็นวง ตัดคอของอีกฝ่ายทันที ศีรษะทั้งสามกลิ้งตกลง ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของเลือดออกมาจากบาดแผล —รอยตัดของมันถูกเผาไหม้จนทั้งหมดกลายเป็นสีโค้ก แห้งกรังปิดปากแผลสนิท


 


ทักษะลับกลืนดาราของฉินเฟิงเริ่มทำงาน กำลังภายในของสามผู้ใช้วรยุทธโบราณถูกถ่ายเทเข้ามาทันที


 


พวกวัยรุ่นสาวที่เห็นถึงฉากนี้ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกกลัว ตรงกันข้าม พวกเธอกลับสดชื่น คล้ายถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ!


 


‘ตายแล้ว เจ้าพวกโสมมที่ทำร้ายพวกเรา ในที่สุดก็ตายกันหมดแล้ว!’


 


“พวกเธอต้องการจะฝ่าวงล้อมไปกับฉัน หรือจะอยู่ที่นี่ต่อ?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม


 


เหล่าวัยรุ่นสาวเงียบ มีเพียงคนที่สนทนากับเขาตอนแรก เอ่ยกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าไป … แล้วคุณจะปกป้องพวกเรารึเปล่า?”


 


“ปกป้องพวกเธอ? ไม่หรอก พวกเธอต้องปกป้องตัวเอง!”


 


ฉินเฟิงยกมือขึ้น และโยนปืนพกลงให้แก่วัยรุ่นสาว


 


วัยรุ่นสาวจ้องมองปืนพก ก่อนจะตัดสินใจคว้ามัน และกำจนแน่น


 


“ตกลง ฉันจะไปกับคุณ!”


 


เวลานี้พวกเธอตัดสินใจละทิ้งตัวตนเดิม ที่ไม่สนใจการต่อสู้หรือล่าสังหาร ในแววตาวาวโรจน์ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง คล้ายเพิ่งเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง–


 


–ว่าโลกใบนี้มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น! ต้องครอบครองมัน! ถึงจะสามารถปกป้องตัวเองได้ และคนที่พึ่งพาได้ … ก็มีแค่ตัวของเธอเองเท่านั้น!


Ch.123 – กลิ่นอายของราชันย์สัตว์ร้าย

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.123 – กลิ่นอายของราชันย์สัตว์ร้าย


 


ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้ที่ติดตามฉินเฟิงมาหรือไม่ เพราะจู่ๆก็มีบางคนล้มเลิกความคิดที่จะอยู่ในห้องใต้ดิน และตัดสินใจกลับมาร่วมฝ่าวงล้อมกับเขา


 


และในกลุ่มที่กลับใจ ส่วนใหญ่แล้วเป็นวัยรุ่นสาว


 


สรุปแล้ว ฉินเฟิงนำคนลงมา 200 คน แต่พอกลับขึ้นไป ยังมีคนตามขึ้นมาด้วยอีกราวๆ 50 คน


 


“หลิวซู พาคนที่ตามขึ้นมาจากชั้นใต้ดินขึ้นไปข้างบน หาเสื้อผ้าให้ใส่ซะ”


 


ตอนนี้เสื้อผ้าของพวกเธอถูกฉีกขาด แทบจะไม่สามารถปกคลุมจุดสำคัญของร่างกายได้ ขณะเดียวกัน ภายในห้างยังมีคนอยู่กว่า 200 – 300 คน และฉินเฟิงไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายแบบในห้องใต้ดินอีกต่อไป


 


หลิวซูตอบรับ และพาคนพวกสาวๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


โชคดีที่พื้นที่โซนในห้างถูกเก็บกวาดแล้วโดยฉินเฟิง ดังนั้นจึงไม่มีพวกแมลงออกมาก่อความรังควาน


 


ขณะเดียวกัน ปัจจุบันสภาพอากาศเริ่มมืดลง และดูเหมือนว่ากลิ่นมนุษย์ของที่นี่จะแรงเกินไป พวกแมลงจากภายนอกเริ่มทยอยมารวมตัวกันทีละเล็ก ทีละน้อย ล้อมห้างสรรพสินค้าจากทุกทิศทาง


 


ฉินเฟิงนั่งขวาทับซ้าย หลับตาลง ขณะเดียวกันก็มองเข้าไปในตันเถียน


 


เขาเพิ่งสังหารผู้ใช้วรยุทธโบราณไป เลยได้รับกลุ่มหมอกมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง


 


ฉินเฟิงเริ่มใช้พลังพิเศษดูดกลืน


 


กลุ่มหมอกไหลผ่านซับผ่านเส้นลมปราณ ถูกกลั่นกรอง และเปลี่ยนกลับมาเป็นกำลังภายในของฉินเฟิงอย่างรวดเร็ว


 


“ทักษะลับกลืนดาราเริ่มทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ”


 


ฉินเฟิงสัมผัสได้ ว่าในช่วงที่กำลังภายของเขาเพิ่มขึ้น ทักษะลับกลืนดาราเองก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช่นกัน ตลอดทั้งกายคล้ายปรากฏสนามแม่เหล็กแรงดึงดูดขึ้นจางๆ กลืนกินพลังงานแห่งจิตวิญญาณของฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง


 


เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ฉินเฟิงได้รับเพิ่มมาอีก 5 กลุ่มหมอกกำลังภายในจากการสังหารในครั้งนี้ หากบวกกับจำนวนกลุ่มหมอกที่มีก่อนหน้า จะเท่ากับว่าเขามีกำลังภายในอยู่ทั้งสิ้น 50 กลุ่มหมอก


 


หรือเรียกอีกอย่างว่ามีกำลังภายในมากกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F9 ถึง 5 เท่า!


 


“ฟู่ว … ”


 


ฉินเฟิงผ่อนลมหายใจ ค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น


 


ระหว่างกำลังทำสมาธิ ไป๋หลีนั่งลงเคียงข้าง และเธอคงจะเบื่อเกินไป เพราะเมื่อฉินเฟิงลืมตาขึ้น ก็พบว่าเธอเปิดเกมในอุปกรณ์สื่อสารเล่นซะแล้ว


 


และห่างออกไปราวๆ 5 เมตรจากตำแหน่งที่เขานั่ง ยังมีวัยรุ่นสาวคนหนึ่งยืนรออยู่อย่างเงียบๆ เธอเป็นวัยรุ่นสาวที่ฉินเฟิงมอบอาวุธให้ในห้องใต้ดิน


 


“มิสเตอร์ฉิน เรื่องก่อนหน้านี้ขอบคุณมากนะคะ” ปัจจุบันอารมณ์ของเธอกลับมามั่นคงแล้ว แม้รอบตาจะยังบวมแดง มุมปากแตก แก้มช้ำ ทว่าคู่ดวงตากลับเปล่งประกายสดใส


 


“ก่อนหน้านี้ขออภัยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว ฉันชื่อว่าแชงนา”


 


“อ้อหวัดดี” ฉินเฟิงพยักหน้า “ฉันชื่อฉินเฟิง ส่วนนี่คือแฟนของฉันไป๋หลี”


 


ไป๋หลียกมือขึ้นโบกไปมา แต่สายตายังจดจ่ออยู่กับเกม


 


แชงนายิ้ม “แฟนของคุณน่ารักมากๆเลย”


 


เมื่อได้รับคำชม ฉินเฟิงก็มองแชงนาในแง่ดีมากขึ้น


 


แต่คำชมของแชงนาก็ไม่ได้เกินจริง เพราะไป๋หลีราวกับเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบจริงๆ


 


เมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้าม มันทำให้แชงนารู้สึกละอายใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง


 


“อุปกรณ์สื่อสารของพวกเราถูกคนพวกนั้นทำลายไปตั้งแต่เมื่อวาน ก็เลยไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ แต่ฉันเพิ่งได้ยินมาจากคนในกลุ่มของคุณ ว่าคุณเป็นที่แข็งแกร่งมาก ไป๋หลีเองก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน!”


 


บางทีอาจเป็นเพราะกลัวว่าฉินเฟิงจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่ตัวเองจะสื่อออกไป แชงนาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ฉันเองก็เพิ่งได้รับการฉีดยากระตุ้นในปีนี้ และในวันที่ห้า ฉันก็สามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณให้ตื่นขึ้นเองได้!”


 


 


–แค่วันที่ 5 ก็สามารถตื่นขึ้นเองได้แล้ว นี่ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก! เพราะขนาดโจวฮ่าว กว่าจะตื่นขึ้นยังต้องใช้เวลาอีกเป็น 10 วันหลังจากนั้น นี่ยังไม่นับรวมพวกยาเสริมแกร่งหรือของต่างๆที่ฉินเฟิงมอบให้เขาอีกนะ


 


แน่นอน พรสวรรค์ทางกายภาพเป็นหนึ่งตัวการสำคัญที่บ่งบอกถึงความสามารถในอนาคต


 


บนใบหน้าของแชงนาปรากฏรอยยิ้มขมขื่น “ก่อนหน้านี้ฉันหวาดกลัวอันตราย เลยไม่กล้าที่จะต่อสู้ ฉันไม่อยากฝึกฝนเพราะกลัวจะได้รับบาดเจ็บ เลยเก็บงำพลังของตัวเองไว้ในส่วนลึกของหัวใจ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าทำแบบนั้นมันโง่แค่ไหน!”


 


ทั้งๆที่นี่คือโลกที่คนแข็งแกร่งเป็นใหญ่ แต่สำหรับบางคนอย่างเช่นเธอ กลับไม่รู้ว่าจะดูแลและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งที่ว่านั่นอย่างไร


 


“ฉินเฟิง ฉันได้ยินมาว่าคุณคือผู้ใช้อบิลิตี้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นฉัน … ฉันขอติดตามคอยเรียนรู้วรยุทธโบราณจากคุณจะได้ไหม ได้ยินมาว่าคุณมีสถานชุมชนเป็นของตัวเอง .. ”


 


ฉินเฟิงรับฟังอย่างตั้งใจ เขาทราบดีว่าประสบการณ์ที่วัยรุ่นสาวได้รับน่าสงสารเพียงใด เขาพาลคิดไปไกลถึงขนาดว่า ในชีวิตก่อนหน้า ชีวิตของวัยรุ่นสาวคงไม่พ้นจบลงในเมืองนี้


 


แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของฉินเฟิง เท่ากับเป็นการบิดผันประวัติศาสตร์ของเมืองหาน ส่งผลให้หลายคนที่น่าจะเสียชีวิต สามารถอยู่รอดต่อไปได้ แม้จะมีบางคนที่ตายลงเพราะฝีมือเขาก็ตาม!


 


ฉินเฟิงมองไปยังแชงนาที่กำลังแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในแววตา เปิดปากกล่าว


 


“ถ้าเธอสามารถปกป้องชีวิตตัวเองจนรอดออกไปจากเมืองหานได้ ฉันก็ยินดีต้อนรับสู่สถานชุมชนของฉัน”


 


ประโยคนี้ แม้จะไม่เชิงตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของแชงนา


 


วัยรุ่นสาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง


 


“ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ!”


 


เสร็จธุระ แชงนาก็ไม่คิดรบกวนฉินเฟิงอีกต่อไป เพราะเธอเองก็ต้องการพักผ่อน และกินอาหารเช่นกัน มิฉะนั้นคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดในวันพรุ่งนี้!


 


หลังจากนั้นฉินเฟิงก็พักผ่อนต่ออีกเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอกอีกครั้ง


 


—–


 


ยามค่ำคืนคือช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุด และยังเป็นโลกของฉินเฟิง


 


เขานำไป๋หลีเดินเข้าไปในความมืดมิด แฝงตนกลืนไปกับเมืองที่ล่มสลาย ควบม้าศึกกระโจนขึ้นไปบนอาคารโดยไร้สรรพเสียง


 


ที่ต้องขึ้นที่สูง เพราะเป้าหมายของเขาในคราวนี้ ไม่ใช่การล่า ดังนั้นตลอดเส้นทางเลยไม่คิดเดินทางอย่างเปิดเผย หรือดึงดูดความสนใจใดๆแก่พวกสัตว์ร้าย


 


“เจอแล้ว!”


 


ที่นี่คือป้อมปราการจราจรที่อยู่ห่างไกลจากประตูเมือง หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ มันก็เหมือนกับสถานีขนส่งของสถานชุมชนเฉิงเป่ย เป็นที่จอดรถศึกก่อนออกสู่ภายนอก และปัจจุบันมีรถบัสดัดแปลงเป็นรถศึกจอดอยู่ 3 คันที่นี่


 


เนื่องจากรถศึกเหล่านี้ต้องแล่นผ่านทุ่งล่า ดังนั้นกระจกรถไม่เพียงป้องกันการโจมตีจากสัตว์ร้าย แต่มันยังมีกำแพงเหล็กกั้นอีกชั้นอยู่ด้านนอก และมีป้อมปืนติดตั้งไว้อยู่ด้านบน


 


ฉินเฟิงเดินเข้าไปในรถ แต่พบว่ามันไม่มีกุญแจ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉินเฟิง เขาสลับสายไฟเล็กน้อย รถก็ถูกสตาร์ทจนติด!


 


เมื่อเกิดเสียงดัง สัตว์ร้ายรอบๆที่ได้ยินก็ใกล้เข้ามาเป็นธรรมดา


 


“ไป๋หลี ใช้แรงกดดันของเธอ บังคับให้พวกมันหวาดกลัวและถอยหนีไป”


 


“โอ้ว! ของกล้วยๆ”


 


ไป๋หลีปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาทันที แมลงสัตว์ร้ายที่รับรู้ได้ถึงแรงกดดันระดับราชันย์ พากันตื่นตระหนก และถอยหนีไป


 


รถคันแรกสตาร์ทติด ฉินเฟิงก็นำเชือกไปพ่วงกับรถอีกคัน แล้วขับมุ่งหน้าสู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


ราวๆ 20 นาทีต่อมา รถก็จอดลงด้านนอกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ขณะนี้พวกแมลงสัตว์ร้ายเตลิดด้วยความหวาดกลัวจากแรงกดดันของไป๋หลี พลังสมาธิของฉินเฟิงครอบคลุมทั้งตำแหน่งสถานเลี้ยงเด็ก และค้นพบว่าภายในไม่มีแมลงสัตว์ร้ายก็จริง แต่ก็ไม่พบถึงสัญญาณชีวิตของผู้คนเช่นกัน


 


แน่นอน ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆตายหมดแล้วภายใต้เงื้อมมือศัตรู ตรงกันข้าม มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ทั้งหมดแค่ไปซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดิน


 


แม้ว่าฉินเฟิงจะเพิกเฉยต่อเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือผ่านอุปกรณ์สื่อสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้ยินมัน ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น เขาได้ยินมาว่าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหาน ถึงจะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีกำพร้าติดอยู่มากกว่า 100 คน ดังนั้นรถสองคันนี้น่าจะเพียงพอต่อการบรรทุกพวกเขา


 


“ไป๋หลี เธอช่วยทิ้งกลิ่นอายไว้ที่นี่ได้ไหม พวกสัตว์ร้ายตัวอื่นๆจะได้ไม่เข้ามาใกล้” ฉินเฟิงถาม


 


แต่พอนึกไปถึงวิธีที่สัตว์ร้ายทิ้งกลิ่นอายเอาไว้เบื้องหลังได้ ทันใดนั้นฉินเฟิงก็เกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น!


 


ไป๋หลีพยักหน้า


 


“ได้สิ”


 


ว่าจบ ภายใต้การเฝ้ามองของฉินเฟิง ไป๋หลีพลันกระชากเส้นผมตัวเองออกมา


 


“ฟิ้ว–”


 


ไป๋หลี่เป่ามัน พัดพาเส้นผมเหล่านั้นลอยออกไป และตกลงบนรถบัส


 


“เอาล่ะ ถ้ามีผมอยู่ในนั้น พวกแมลงจะไม่มีทางเข้ามาใกล้แน่นอน!”


 


ทันใดนั้นฉินเฟิงก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้ตนคิดมากเกินไป เขาอุตส่าห์จินตนาการว่าไป๋หลีจะทำแบบพวกสัตว์ตัวอื่นๆ อย่างการฉี่เพื่อทิ้งกลิ่นตัวเองไว้ซะอีก


 


“เอาล่ะๆ ไปกันเถอะ”


 


ฉินเฟิงกระโดดขึ้นควบม้าศึก เดินทางกลับพร้อมไป๋หลี


Ch.124 – พรมโลกันต์

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.124 – พรมโลกันต์


 


ณ กลางดึกที่ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน กองทัพแมลงรอบๆห้างค่อยๆเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


แม้ภายในห้างจะถูกโรยไว้ด้วยผงขับไล่สัตว์ร้าย แต่เนื่องจากกลิ่นอายของมนุษย์มีมากเกินไป บ่งบอกถึงกองภูเขาอาหารขนาดใหญ่ และพวกแมลงก็ต้องการอาหารจำนวนมากไปเติมเต็มกระเพาะ ไม่ก็เพื่อนำเตรียมไว้เป็นวัตถุดิบเพื่อลูกหลานของตัวเอง


 


อันที่จริงจะเพราะเหตุผลอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าไม่ทันถึงรุ่งเช้า พวกแมลงคงพังแนวป้องกันเข้ามา สังหารพวกเขาจนตายกันหมด


 


หลิวซูและคนอื่นๆคอยสังเกตสถานการณ์ภายนอกอย่างระมัดระวัง ทั้งหมดมองออกไปทางหน้าต่างบานเล็ก


 


“เอายังไงดี พวกเราชิงโจมตีก่อนที่มันจะบุกเข้ามาดีไหม?” เหอหลิงค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย


 


แต่ฝูงชนโดยรอบไม่มีใครตอบเขา เพราะทั้งหมดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอย่างไร


 


กระทั่งหลิวซูก็ยังไม่กล้าออกความคิดเห็นในตอนนี้ เพราะหากผิดพลั้งเพียงครั้ง ราคาที่ต้องจ่ายอาจเป็นชีวิต


 


“ทำไมลูกพี่ถึงยังไม่กลับมาซักที … ” วังเฉินก้มลงมองอุปกรณ์สื่อสารในมือของเขา


 


เฝ้ามองเวลาอย่างใจจดใจจ่อ


 


แน่นอน ว่าวังเฉินมีเบอร์ติดต่อกับฉินเฟิง แต่ปัจจุบันมันยังไม่ถึงช่วงเวลาวิกฤตที่สุดจริงๆ ถ้าผลีผลามบอกฉินเฟิงไป แล้วสุดท้ายทุกอย่างพัง นั่นอาจแสดงให้เห็นว่าวังเฉินไม่ได้เรื่อง ไม่เหมาะที่จะทำงานให้แก่เขา


 


ดังนั้นวังเฉินเลยอดทน


 


ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอให้เวลาผ่านไป และอธิษฐานว่าฉินเฟิงจะกลับมาให้เร็วขึ้นสักเล็กน้อย


 


ตอนนี้ไม่ใช่แค่เขา แต่คนอื่นๆดูเหมือนว่าจะมีความคิดเช่นเดียวกัน


 


“เมื่อไหร่มิสเตอร์ฉินจะกลับมานะ?”


 


ภายในเวลาวันเดียว ฉินเฟิงได้กลายเป็นเสาหลักของคนเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว


 


หากไม่มีฉินเฟิง ทั้งหมดคงไม่ได้มาอยู่พร้อมหน้ากันที่นี่ และไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ


 


“นายพลสัตว์ร้าย! มีนายพลสัตว์ร้ายเข้ามาเพิ่มอีกแล้ว!”


 


เสียงหม่นทะมึนของวังเฉินดังขึ้น ในน้ำเสียงบ่งบอกชัดถึงความหวาดกลัว


 


ท่ามกลางความมืดมิด ตั๊กแตนใบมีดระดับนายพลปรากฏตัวขึ้น


 


ซึ่งก่อนหน้านี้ มันเคยโผล่มาแล้วครั้งหนึ่งในโถงโรงแรม –ตั๊กแตนนายพลว่องไวเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวก็ใช้เคียวคมกริบของมันเก็บเกี่ยวสหายของเขาไป 3 ชีวิต


 


สรุปง่ายๆว่านี่คือการดำรงอยู่ที่พวกเขาไม่สามารถรับมือได้


 


นายพลสัตว์ร้ายมีความต้านทานที่พวกแมลงระดับต่ำไม่มี มันไม่หวาดกลัวต่อผงขับไล่สัตว์ร้าย หากมันคิดว่าตนเองพร้อม ก็สามารถบุกเข้ามาอาละวาดในห้าง และทำการล่าสังหารได้ในทันที!


 


ซึ่งรอบๆห้างในปัจจุบัน มีนายพลสัตว์ร้ายกระจายอยู่กว่า 5 ตัวแล้ว มันจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น


 


ทั้งหมดไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าถ้าที่นี่ถูกบุก มันจะมีสภาพเป็นอย่างไร!


 


แต่ในตอนนั้นเอง บนท้องถนนพลันเกิดเปลวไฟพวยพุ่งอย่างกระทันหัน


 


แสงสว่างสีแดงเข้มสาดส่องขึ้นท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด แม้เปลวเพลิงนี้จะไม่ทะยานสูงขึ้นสู่ฟากฟ้าแบบในวันก่อน แต่มันก็โถมทับไปทั่วถนน กลืนกินกองทัพแมลงในพริบตาเดียว


 


เปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นรอบตัวตึก ทว่ากลับไร้ซึ่งร่องรอยของหมอกควัน และมันไม่ได้แผ่อุณหภมูิร้อนระอุแก่พื้นที่โดยรอบ ทุกอย่างเกิดขึ้นแค่ในกองเพลิงเท่านั้น


 


สภาพการณ์ส่วนใหญ่กลับคืนสู่ความสงบ หลงเหลือเพียงเสียงกรีดร้องน่าสังเวชของแมลงสัตว์ร้ายที่ยังคงอยู่


 


ฉินเฟิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลา่งเปลวเพลิง –พวกมันถูกปลดปล่อยออกมาโดยเขา ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่ทำร้ายเจ้าของ


 


อย่างไรก็ตาม พรมโลกันต์ไม่ใช่พลังสุดยอดที่สามารถครอบได้ทั้งจักรวาล อย่างน้อยพวกทหารสัตว์ร้ายและนายพลสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่ง ก็ยังไม่ถึงกับตกตายภายใต้เพลิงโลกันต์นี้!


 


“จี๊ จี๊ –”


 


พรมโลกันต์กระจายออกเป็นวงกว้างจนลดทอนอานุภาพลง เลยมีผลแค่ทำให้แมลงพวกนี้ระคายผิวจนรู้สึกรำคาญเท่านั้น!


 


 


“มากันได้จังหวะจริงๆ ดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องไปหาพวกแกด้วยตัวเอง!”


 


ฉินเฟิงเฝ้ามองตั๊กแตนใบมีดที่กระพือปีกบินเข้ามาหาเขา ปีกของมันบางเบาราวกับปีกจั๊กจั่น ทว่ากลับช่วยขับดันให้มันทะยานมาข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว เคียวบนแขนของมันกวัดแกว่งอย่างชำนิชำนาญ


 


“มอบชีวิตให้ฉัน!”


 


แต่ไม่ว่าจะชำนาญขนาดไหน หากคิดต่อต้านฉินเฟิง ชะตากรรมเดียวก็คือความตาย


 


ใบมีดเพลิงพลันปะทุออก ทั้งฉินเฟิงและตั๊กแตนนายพลโฉบผ่านกันละกัน


 


ฉินเฟิงทะยานไปกว่าสิบเมตรจึงหยุดฝีเท้าลง สะบัดดับใบมีดเพลิงกลับคืน


 


ส่วนเคียวแหลมของตั๊กแตนใบมีดร่วงตกลงกับพื้นเสียงดังโครม ก่อนที่ทั้งตัวทั้งร่างของมันจะลุกไหม้ไปด้วยเพลิงโลกันต์


 


ตั๊กแตนใบมีดระดับนายพลสัตว์ร้าย — ตายลงแล้ว!


 


หากเพียงเฝ้ามองดูอยู่เฉยๆ จะเห็นว่าฉินเฟิงสังหารตั๊กแตนนายพลลงในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น


 


และเขายังไม่หยุดพัก สาวเท้าก้าวไปข้างหน้า โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองศพตั๊กแตน


 


ม้าศึกกลืนหายไปกับความมืดมิดอีกครั้ง ฉินเฟิงเปลี่ยนตำแหน่ง ไปยังถนนรอบตึกอีกฝั่งหนึ่ง


 


เปลวเพลิงปะทุแผดเผาอีกครั้ง รอบทิศทางถูกกวาดล้างจนสิ้น ฉินเฟิงสังหารนายพลสัตว์ร้ายลงอีก 4 ตัวได้อย่างง่ายดาย!


 


และผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวมาได้จากพวกมันก็ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกพึงพอใจยิ่ง


 


ก้าวขึ้นสู่เลเวล F6 !


 


การทุ่มเทต่อสู้มาตลอดทั้งวัน –ไม่เสียเปล่าแล้ว!


 


แน่นอน ว่าเมื่อฉินเฟิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณพลังงานที่ต้องดูดกลืนจากการสังหารสัตว์ร้ายเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน


 


ก่อนจะเกิดใหม่ ฉินเฟิงใช้ข้อได้เปรียบนี้ผสานกับการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเขามีพลังพิเศษดูดกลืน ส่งผลให้ไม่ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัสอีกสักกี่ครั้ง มันก็สามารถรักษาได้โดยการสังหาร ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดเกรงต่อความตาย


 


ด้วยเหตุนี้เอง หลายคนจึงตั้งฉายาให้แก่เขา ว่า ‘ฉินจอมคลั่ง’ และฉายานี้ก็ติดตัวอยู่กับเขามาเป็นเวลานาน


 


ในปัจจุบัน เขาเพียงนำสไตล์การต่อสู้ในชีวิตก่อนหน้าของตนกลับมาใช้ ผสานไปกับการที่ปัจจุบันตัวเองได้ครอบครองอบิลิตี้มืด ฉินเฟิงจึงสามารถเหินเดินไปไหนก็ได้ในความมืดมิดอย่างอิสระ และมีโอกาสน้อยมากๆที่จะได้รับบาดเจ็บ


 


หลังจากเก็บกวาดรอบทิศ พวกกองทัพแมลงก็หวาดกลัวจนพากันล่าถอยไป ฉินเฟิงกลับมาที่ซุปเปอร์มาเก็ตอีกครั้ง


 


หลังจากจบปัญหาทั้งหมด เวลาในตอนนี้ก็ปาเข้าไปตี 2 แล้ว


 


“ลูกพี่ ในที่สุดคุณก็กลับมา!”


 


“มิสเตอร์ฉิน คุณจัดการนายพลสัตว์ร้ายเหมือนพวกมันเป็นแค่เศษกระดาษเลย!”


 


“เศษกระด่งกระดาษอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะลูกพี่ฉินแข็งแกร่งจนพวกมันเทียบไม่ติดต่างหาก!”


 


ทั้งหมดต่างระเบิดเสียงสนทนาดังก้อง เนื่องจากนายพลสัตว์ร้ายได้จากไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาเลยผ่อนคลายลง กล้าพูดเสียงดัง


 


แต่แน่นอน ว่าทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากความตื่นเต้นมากกว่า!


 


ฉินเฟิงคนนี้ จะต้องเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ถือกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอน!


 


ฉะนั้น การที่ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา ในอีกหลายปีต่อจากนี้ ต่อให้เดินทางสู่เมืองหลวง มันก็สามารถนำไปใช้ยกขึ้นมาโอ้อวดตัวเองได้!


 


เวลานี้พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกม เกมที่มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คอยนำทาง และสามารถฝ่าทุกด่านอันโหดร้ายไปได้โดยสวัสดิภาพ เลยเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตื่นเต้น


 


“เอาล่ะๆ ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางแต่เช้า … ”


 


ฉินเฟิงขัดจังหวะความตื่นเต้นของคนเหล่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลังจากที่ต่อสู้มาตลอดทั้งวัน ร่างกายของฉินเฟิงก็มิใช่เหล็กไหล เขายังคงเป็นผู้ใช้พลังคนหนึ่งเหมือนกัน


 


ที่พักของฉินเฟิง แน่นอนว่าถูกจัดให้อยู่ในสถานที่หรูหราที่สุด ภายในห้างมีอยู่หลายร้านที่วางจำหน่ายชุดเครื่องนอน ดังนั้นจึงมีเตียงไว้พร้อมบริการ ฉินเฟิงได้รับที่พักผ่อนเป็นเตียงเป็นแบรนด์ดัง


 


และเขาก็ไม่ปฏิเสธ พาไป๋หลีไปนอนพักที่นั่น


 


“ผ้าผืนนี้นุ่มสบายไม่เลวเลย ถ้ากลับไปฉันจะซื้อมัน! รู้ไหมที่รัก ผ้าปูเก่าที่บ้านน่ะมันน่าเกลียดมาก ไม่น่านอนเอาซะเลย!”


 


ฉินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก อันที่จริงมันไม่ใช่เพราะเขาเลือกใช้ของไม่ดี แต่ในฐานะผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกผ้าปูที่นอนลายลูกไม้สีชมพูแบบนี้!


 


“เข้าใจแล้วๆ ถ้าเธอต้องการจะซื้อมัน ก็จัดไปเลยเต็มที่ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว!”


 


“ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เงินเลย ก็ในเมื่อเมืองนี้ล่มสลายลงแล้ว ฉันก็แค่ฉกเอาจากที่นี่ไปก็จบ ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อไปถึงห้างในชุมชนเฉิงเป่ยเพื่อซื้อมันเลย”


 


ฉินเฟิงรับฟังเสี่ยวไป๋กล่าวบางสิ่งบางอย่างออกมาตามสามัญสำนึก เขาค้นพบว่าไป๋หลีฉลาดขึ้นมาก มันสามารถคิดคาดการณ์ล่วงหน้า ในกรณีนี้คงสามารถช่วยผ่อนภาระให้ฉินเฟิงได้อีกหลายอย่าง


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉินเฟิงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขากลับรู้สึกว่าไม่มีร่างกายอ่อนนุ่มนอนอยู่เคียงข้าง เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และเริ่มฟุ้งซ่าน


 


โดยปกติแล้ว ไป๋หลีมักจะขี้เกียจ หากเป็นไปได้เธอก็จะนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงหายไป?


 


ฉินเฟิงกวาดพลังสมาธิออกไป จนในที่สุดก็พบตำแหน่งของไป๋หลี ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอไปอยู่ชั้นบนฝั่งตรงข้าม


 


‘เธอไปทำอะไรที่ชั้นบนหรอ?’ ฉินเฟิงส่งความคิดสื่อสารกับอีกฝ่าย


 


“ที่รัก คุณตื่นแล้ว!” น้ำเสียงร่าเริงของไป๋หลีดังสวนกลับมา ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเผยโฉมตัวเองผ่านวิดีโอของอุปกรณ์สื่อสารอีกด้วย


 


ภายในวิดีโอของฉินเฟิง ปรากฏให้เห็นถึงคู่สนทนาที่กำลังสวมชุดชั้นในเซ็กซี่อย่างกระทันหัน


 


พรวดดดด!


 


ฉินเฟิงรู้สึกว่าดาเมจนี้รุนแรงเกินไปในยามเช้า เลือดกำเดาของเขาแทบพุ่ง!


Ch.125 – หลบหนีจากเมืองหาน

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.125 – หลบหนีจากเมืองหาน


 


“นั่นเธอกำลังทำอะไร?” ฉินเฟิงถามพลางยกมือขึ้นกุมจมูก เบนหน้าหนีไปอีกทาง


 


“ฉันกำลังหาชุดที่ถูกใจ แต่ที่นี่ไม่ดีตัวไหนสวยเท่ากับของเมืองเราเลย!” ไป๋หลีกล่าวพลางทำหน้ามุ่ย แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้าของเธอ


 


นี่เองสินะ เหตุผลที่เธอดูไม่มีความสุข เกรงว่าไป๋หลีคงเก็บเรื่องนี้มาคิดทั้งคืน … เอาจริงๆชุดพวกนี้มันเยี่ยมจะตาย!


 


ฉินเฟิง “ … เอาเถอะ ไว้คราวหน้าจะพาไปซื้อที่ร้านดีๆก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ช่วยลงมาก่อน!”


 


เฝ้ามองไปยังเนินน้อยๆที่ถูกปกปิดอีกครั้ง ฉินเฟิงก็เริ่มนึกเสียดายในใจ


 


การขนส่งในเมืองหานไม่ค่อยจะดีนัก หรือไม่ก็เพราะมันอยู่ไกลจากเมืองใหญ่ อุตสาหกรรมเลยยังคงล้าหลัง นั่นนำไปสู่ความการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และสไตล์การแต่งตัวที่ล้าสมัย แม้ว่าเสี่ยวไป๋จะรักสวยรักงาม แต่ก็ไม่ใช่คนโลภ เมื่อไม่ถูกใจ เธอก็ไม่คิดนำชุดชั้นในพวกนี้กลับไปด้วย


 


อาหารช่วงเช้าเป็นไปอย่างรีบร้อน อีก 200 – 300 คนที่เหลือเริ่มเดินทางต่อ คราวนี้มีการจัดระเบียบกลุ่มกันใหม่ ผู้คนเลยประพฤติตัวกันอย่างเป็นระเบียบ ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง


 


บางทีอาจเป็นเพราะฉินเฟิงได้รับการยอมรับนับถือ และเขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ช่วยเหลือคนใจเสาะที่ติดอยู่บนตัวอาคาร ดังนั้นระหว่างเส้นทาง ผู้คนที่เห็นเขาเดินขบวนผ่านจึงตัดสินใจแน่วแน่ เรียกความกล้าหาญบุกตะลุยออกมาจากตัวตึก ส่งผลให้ในกลุ่มของฉินเฟิงได้รับคนธรรมดาที่มีสามารถต่อสู้ได้เพิ่มมากขึ้น และผู้ใช้พลังอีกจำนวนหนึ่งตามรายทาง


 


เมื่อเดินทางมาจนใกล้ถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จำนวนของคนที่มาสมทบก็เริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


เพราะที่นี่คือที่ใดกัน? มันคือย่านสลัม! เป็นย่านที่ทุกคนเลือกจะต่อสู้อย่างกล้าหาญ ดีกว่ายอมทนอุดอู้ในสถานที่สกปรก หากทำตัวอ่อนแอเอาแต่มุดหัว พวกเขาคงไม่พ้นกลายเป็นศพในคูน้ำเน่าเหม็นในวันถัดไป


 


ด้วยเหตุนี้เอง ประสิทธิภาพในการรบของกลุ่มฉินเฟิงจึงแข็งแกร่งขึ้น ความหวังที่จะรอดชีวิตก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน


 


“ไปตั้งหลักกันที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเราจะพักผ่อนกันที่นั่น!”


 


ฉินเฟิงออกคำสั่ง ฝูงชนขานรับเสืยงดัง และตรงเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


เกรงว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลย ที่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองหาน มีผู้คนเข้ามาเยี่ยมเยือนมากมายถึงขนาดนี้


 


แต่การกระทำดังกล่าวก็เป็นการดึงดูดพวกแมลงเช่นกัน ผู้คนภายในดื่มกิน นั่งพักฟื้นฟูกำลังได้ไม่นาน ก็ดูท่าว่าจะต้องเตรียมรับศึกกันอีกแล้ว


 


ฉินเฟิงฝากคนอื่นๆจัดการเรื่องเฉพาะหน้า เขาลากตัววังเฉินไปอีกทาง ตรงไปยังหัวมุมหนึ่ง ที่รถบัสทั้งสองคันจอดอยู่


 


“ลูกพี่ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน คุณมาเพื่อเตรียมเจ้าสิ่งนี้!” วังเฉินมองมาทางฉินเฟิงด้วยความตกตะลึง


 


“อย่ามัวแต่อึ้ง นายขับรถอีกคัน แล้วตามฉันมา” ฉินเฟิงกล่าว


 


“รับทราบลูกพี่!” วังเฉินขึ้นไปบนรถ และหักเลี้ยวซ้ายขวาตามฉินเฟิงเข้าสู่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน


 


ลานจอดรถใต้ดินของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีขนาดเล็กมาก และเนื่องจากมันไม่ได้ถูกใช้งานมานานปี จึงไม่มีใครคอยทำความสะอาด ส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบมืดและอับชื้น


 


และนั่นหมายความว่า มันคือสถานโปรดของมังกรดิน


 


รถบัสแล่นไปข้างหน้า เสียงคำรามของเครื่องยนต์กระตุ้นมังกรดินตื่นจากหลับไหล พวกมันเตรียมพร้อมที่จะบุกโจมตี


 


โครม!


 


มังกรดินตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นดิน สกัดหยุดหน้ารถเอาไว้


 


ฉินเฟิงระเบิดพลังสมาธิของเขาโดยไม่ลังเล


 


“ลำแสงเปลวเพลิง!”


 


เส้นแสงเปลวเพลิงทะยานออกไป กระแทกเข้าใส่ร่างของมังกรดินโดยตรง


 


ตูม!


 


มังกรดินตัวแตกเป็นชิ้นด้วยลำแสงเปลวเพลิงของฉินเฟิง กระทั่งเนื้อก็ถูกย่างจนสุก ส่งกลิ่นหอมลอยคละคลุ้ง


 


เนื้อของมังกรดินน่ะเต็มไปด้วยโปรตีน ดังนั้นมันจึงมีคุณค่าทางโภชนาการมาก


 


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันจะเก็บรวบรวมเนื้อมังกรดิน นำกลับไปฝากให้ผู้อำนวยการ!”


 


ฉินเฟิงขบคิดในจิตใจ ร่างของไป๋หลีกระพริบไหวอย่างรวดเร็ว


 


ไป๋หลีย่อมตระหนักถึงสิ่งที่ฉินเฟิงต้องการ เธอเริ่มใช้ออกด้วยพลังมิติ สังหารมังกรดินที่ซุ่มอยู่ตามเส้นทางที่รถกำลังแล่นผ่านด้วยใบมีดมิติ จากนั้นก็เก็บเนื้อของพวกมันเข้าสู่พื้นที่มิติทันที


 


และกระบวนการทั้งหมดนี้ ทำทั้งๆที่พวกมังกรดินยังหลบอยู่ใต้ดิน!


 


ส่วนบนพื้นดิน วังเฉินขับรถตามฉินเฟิงไปตามปกติ โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


หลังจากมังกรดินตัวแรกที่ออกมาขวางแล้ว ตลอดเส้นทางของพวกเขาเป็นไปอย่างราบรื่น จนในที่สุดก็มาถึงประตูเหล็กป้องกันของลานจอดรถ


 


ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงได้ทำการติดต่อครูของสถานเลี้ยงเด็กเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว


 


“มิสเหลียว รบกวนออกมาด้วยครับ”


 


เมื่อส่งข้อความออกไป ไม่นานนัก ประตูเหล็กบานใหญ่ก็ค่อยแง้มออกอย่างช้าๆ


 


ผู้หญิงสาวสวยในแว่นกรอบทองก้าวออกมา โดยมีเด็กเล็กอีกสองสามคนคอยกุมมืออยู่เคียงข้าง ขณะที่เด็กคนอื่นๆห้อมล้อมรอบตัวเธอ


 


เธอคือครูอาสาสมัครประจำสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ –เหลียวหยิง ผู้ใช้วรยุทธโบราณในเลเวล G3


 


“มิสเตอร์ฉิน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือนะคะ” เหลียวหยิงเร่งก้มหัวไม่หยุด เพื่อแสดงความขอบคุณ


 


ฉินเฟิงแสดงออกถึงสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาขอบคุณ มิสเหลียวกรุณารีบพาพวกเด็กๆขึ้นไปบนรถก่อน เมื่อทุกคนพร้อมเราจะออกเดินทางกันทันที!”


 


…..


 


ฉินเฟิงไม่ลังเลเลยที่จะจัดขบวนรถบัสไว้อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่ม แม้นี่จะดูเหมือนอันตราย แต่ภายใต้การคุ้มครองของฉินเฟิง สถานการณ์เลยกลับตรงกันข้าม มันกลายเป็นปลอดภัยที่สุด รถบางคันที่ขวางทางบนถนนถูกทำลาย และเคลื่อนย้ายซากโดยฝีมือฉินเฟิง


 


และบางทีอาจเป็นเพราะภายในรถมีเส้นผมของไป๋หลี ดังนั้นกองทัพแมลงรอบๆจึงไม่กล้าเข้ามา ส่งผลให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น


 


เมื่อผ่านพ้นกำแพงของเมืองหานมาได้ ในที่สุดพื้นที่ทุ่งล่าก็ปรากฏสู่สายตา ฝูงชนเริ่มบังเกิดความตื่นเต้นเป็นครั้งแรก


 


“ออกมา … พวกเราออกมาได้แล้ว!”


 


“รอดชีวิตมาได้!”


 


“พ่อจ๋า แม่จ๋า ผมยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่!”


 


แต่หลังจากเสียงโห่ร้องยินดี สักพักบางคนก็เริ่มร่ำไห้ด้วยความขมขื่น


 


นั่นเพราะพวกเขากำลังสับสนเกี่ยวกับอนาคต พลเมืองส่วนใหญ่ไม่เคยออกจากสถานที่ชุมชนมาก่อน ดังนั้นพวกเขาไม่มีที่ไปนอกจากที่นี่


 


ตรงกันข้าม พวกคนรวยและคนมีอำนาจได้เริ่มทำการติดต่อกับคนที่พวกเขารู้จักแล้ว เพื่อร้องขอให้ช่วยเหลือในการอพยพไปยังชุมชนแห่งอื่น


 


วันนี้เป็นวันที่สามหลังจากรอยแยกมิติถูกเปิดออก ทางกองทัพหลิงหานเมื่อได้ยินข่าวของกลุ่มฉินเฟิง ก็เร่งมุ่งหน้ามาทันที


 


ปัจจุบันคนในกลุ่มมีมากกว่า 2,000 คน เมื่อคนจากกองกำลังมาเห็นกับตาตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยว่าพวกเขาประหลาดใจมากขนาดไหน


 


ผู้บัญชาการกองกำลังหลิงหานก้าวเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว


 


“หลิวซู!”


 


“หัวหน้าเจียงไค!”


 


หลิวซูก้าวไปหาอีกฝ่าย


 


“เธอเป็นคนช่วยพวกพลเมืองอย่างงั้นหรอ? หลิวซู ครั้งนี้เธอทำได้ดีมาก! ช่างสมกับตำแหน่งหัวหน้าสาขาหน่วยลาดตระเวนที่งดงามทั้งกายและใจประจำเมืองหานของเราจริงๆ!” เจียงไคกล่าวชมเชย ขณะเดียวกันยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความปรารถนาในแววตาของเขา


 


เจียงไคตอนนี้อายุ 32 ปี กล่าวได้ว่าอยู่ในช่วงสำคัญของชีวิต และยังไม่ได้แต่งงาน ด้วยฐานะผู้บัญชาการกองกำลังแห่งเมืองหาน และความแข็งแกร่งในเลเวล F7 เขาจึงเป็นการดำรงอยู่ที่เป็นรองเพียงเทศมนตรีเมืองหานเท่านั้น


 


ซึ่งเวลานี้ ชิเทียนไห่เองก็เดินทางมาด้วย ในเวลาเพียงแค่สามวัน ชิเทียนไห่ดูราวกับแก่ลงไปเป็นสิบปี


 


เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงเกินกว่าที่ชิเทียนไห่จะทำใจรับไหว


 


“หลิวซู เธอทำได้ดีมาก ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเธอ ในอีกสองสามวัน กำลังเสริมจากเมืองฟูเฉิงก็จะมาถึง หลังจากนี้เธอสามารถเข้าร่วมกันฉัน ช่วยกันยึดดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาได้!”


 


แม้กองกำลังหลิงหานจะเป็นกองทหารรักษาการณ์ประจำเมือง แต่สำหรับในเมืองเล็กๆอย่างเมืองหาน กองกำลังนี้เลยมีไพร่พลเพียง 500 คนเท่านั้น


 


และจากในบรรดา 500 คน มีแค่ 10 คนที่มีเลเวล F หากพวกเขาได้เผชิญหน้ากับด้วงกระหายเลือดหลายสิบตัว น่ากลัวว่าจะพินาศกันทั้งกองทัพ


 


“ฉันไม่สามารถรับความดีความชอบนี้เอาไว้ได้หรอก คงต้องขอบคุณสัตว์ร้ายเกราะคริสตัลต่างหาก ที่ทำให้มีผู้ใช้พลังมากมายมาที่เมืองหาน ถ้าไม่มีพวกเขา เราคงฝ่าวงล้อมออกมากันไม่ได้” หลิวซูกล่าวด้วยความขมขื่น


 


สีหน้าของชิเทียนไห่กลายเป็นหม่นทะมึน “แล้วไม่ใช่เพราะพวกเขาหรอกหรือ ที่ทำให้อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติของพวกเราเสียหาย เวลานี้เธอยังไปขอบคุณพวกเขาอีก? ฉันจะต้องลากคอพวกมันมารับผิดชอบให้จงได้ เพราะหนึ่งในมัน เมืองของฉันเลยถูกทำลาย!”


 


แน่นอน ว่าต่อให้เขาโกรธไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี


 


หาคนรับผิดชอบ? เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ต่อให้รู้ แล้วอีกฝ่ายจะสามารถชดใช้คืนได้หรือ?


 


ผู้ใช้พลังที่รอดชีวิตจากเมืองมาได้ ไม่มีใครสนใจชิเทียนไห่ เมื่อสามารถหลุดพ้นจากนรกในเมือง พวกเขาก็เริ่มวางแผนที่จะแยกย้ายกันไป


 


ฉินเฟิงหันไปมองหลิวซูท่ามกลางฝูงชน ก่อนจะสลับมามองชิเทียนไห่และเจียงไค


 


เขาก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ปกปิดกลิ่นอายผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F6 ของตัวเอง ทั้งชิเทียนไห่และเจียงไคขมวดคิ้ว เริ่มกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที


Ch.126 – ขอรับเด็กกำพร้า

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.126 – ขอรับเด็กกำพร้า


 


“สวัสดีท่านเทศมนตรีชิ”


 


ฉินเฟิงยื่นมือออกไป การแสดงออกที่ดูสงบและมั่นคงของคนตรงหน้าทำให้ชิเทียนไห่งุนงงไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นมือรับการทักทายจากฉินเฟิง


 


“สวัสดี ขอถามได้ไหมว่าคุณคือ … ”


 


“ท่านเทศมนตรี นี่คือมิสเตอร์ฉิน เขาเป็นคนพาพวกเราออกมา ในครั้งนี้นับว่าได้เขาช่วยไว้จริงๆ และเขายังเป็นคนช่วยชีวิตพวกเด็กๆจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกด้วย!” หลิวซูกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


มุมปากของชิเทียนไห่อดกระตุกวูบไม่ได้ ในแววตาฉายออกถึงความร้อนผ่าว เวลานี้เขายังเอาตัวเองไม่รอด แต่ฉินเฟิงกลับช่วยพวกเด็กๆที่เป็น ‘ภาระ’ มามอบให้แก่เขาอย่างกระทันหัน แล้วแบบนี้จะให้เขาจัดการกับพวกเด็กๆอย่างไร?


 


‘การช่วยเหลือพวกเด็กๆ นี่ไม่ใช่เป็นการสร้างปัญหาให้กับฉันหรอกหรือ?’


 


ทางฉินเฟิง มีหรือเขาจะไม่สังเกตเห็นถึงท่าทีของชิเทียนไห่ ใบหน้าของเขากลายเป็นเย็นชา ไม่เอ่ยวาจาสุภาพอีกต่อไป


 


“เทศมนตรี ผมเห็นว่าทางเมืองหานกำลังมีปัญหา และบังเอิญผมเองก็มีสถานที่ชุมชนอยู่พอดี มันสามารถช่วยรองรับพวกเด็กๆได้ อีกอย่างตอนนี้เมืองหานล่มสลายลงแล้ว กว่าจะกลับไปยึดพื้นที่กลับคืนมาได้ และปรับปรุงมันคงเสียเวลาอีกนาน ดังนั้นทำไมคุณไม่มอบพวกเขาให้ผมล่ะ?”


 


ชิเทียนไห่เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของเขาพลันเปล่งประกาย ท่าทีกลายเป็นกระกรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที


 


“ไม่มีปัญหา! ในเมื่อมิสเตอร์ฉินเอ่ยปากด้วยตัวเองแบบนี้ ฉันก็จะขอฝากพวกเด็กๆไว้กับคุณ มิสเตอร์ฉินนี่ช่างเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งจริงๆ!”


 


“นั่นคือสิ่งที่ผมควรจะทำ”


 


ฉินเฟิงไม่คิดสุภาพกับอีกฝ่ายอีกต่อไป หลังจากบอกว่าจะรับดูแลเด็กกำพร้า เขาก็จากไปโดยไม่ร่ำลา!


 


หากกล่าวว่าชิเทียนไห่กำลังสุขใจ เจียงไคกลับตรงกันข้าม เขาบังเกิดความหวาดระแวงในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นว่าหลิวซูกำลังมองไปทางฉินเฟิงด้วยแววตาเคารพและชื่นชม


 


“หลิวซู ฉินเฟิงคนนี้เป็นใครกัน แล้วเขามีสถานที่ชุมชนเป็นของตัวเองจริงๆน่ะหรอ?” เจียงไคถาม


 


หลิวซูฝืนยิ้มออกมา “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่ทรงพลังถึงขนาดนี้คงไม่มีทางโกหก ก่อนหน้านี้เขาถึงขั้นโค่นแม่พันธุ์แมงมุมเลือดขาเหล็กด้วยตัวคนเดียว … เขาแข็งแกร่งมาก แกร่งยิ่งกว่าท่านเทศมนตรีซะอีก อ๊ะ! จริงสิเจียงไค ฉันเองก็ตั้งใจว่าจะติดตามมิสเตอร์ฉินไปด้วยเหมือนกัน!”


 


“ว่าไงนะ!!!”


 


ชายทั้งสองแทบอุทานขึ้นพร้อมกัน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลิวซูจะพูดออกมาแบบนี้!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิวซูอธิบายให้พวกเขาฟัง เวลานี้ ฉินเฟิงที่กลับมายังฝูงชน สีหน้าของเขากลายเป็นน่าเกลียดยิ่งกว่าทั้งคู่ซะอีก


 


เนื่องจากปัจจุบัน คนกว่า 2,000 สามารถหลบหนีออกจากเมืองได้สำเร็จ และเมื่ออยู่ในที่ปลอดภัย ระเบียบวินัยก็จางหาย เริ่มกลับมาเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง


 


หลายคนไม่ทราบว่าจะเอาอย่างไรดีเกี่ยวกับอนาคต หลังจากหลบหนีมาได้ พวกเขาก็ไม่ทันคิดเช่นกัน ว่าหลังจากนี้คงไร้ซึ่งน้ำและอาหาร


 


“กองกำลังหลิงหานจะช่วยแก้ปัญหานี้ใช่ไหม!”


 


“รอให้พวกเขาแก้ปัญหา? ฝันไปเถอะ! กระทั่งช่วยเหลือผู้คนในเมือง พวกเขายังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


“ย้ายไปที่สถานชุมชนหลินเซียนเถอะ บังเอิญว่าฉันมีญาติอยู่ที่นั่น”


 


“ไม่ว่าจะที่ไหน ก็ใช้จ่ายผ่านอุปกรณ์สื่อสารได้เหมือนกัน!”


 


“พวกคุณจะไปกันจริงๆน่ะหรอ? เมืองหานสิ้นหวังแล้วจริงๆใช่ไหม แล้วต่อไปฉันจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง!”


 


สำหรับคนยากจน นี่นับว่าเป็นหายนะโดยแท้


 


อย่างไรก็ตาม มันไม่เป็นปัญหาเลยสำหรับผู้ใช้พลัง บางทีอาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ!


 


แต่ในเวลานี้ ก็มีผู้ใช้พลังบางคนต้องการจะจากไปเช่นกัน และวิธีการที่จะจากไปของพวกเขาเนี่ยสิ ที่เป็นปัญหา


 


คนกลุ่มหนึ่งกำลังถกเถียงกันหน้ารถบัสที่บรรทุกพวกเด็กๆจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


หลังจากหลบหนีมาได้ รถศึกสองคันนี้ย่อมกลายเป็นสิ่งที่หายาก และจำเป็นอย่างยิ่ง


 


ดังนั้นไม่นาน ความวุ่นวาย และการมีปากเสียงจึงกลับมาอีกครั้ง


 


“ตอนนี้พวกเด็กกำพร้าไม่มีที่ไปนะ ถ้าคุณเอารถไป แล้วพวกเราจะใช้อะไร?” เหลียวหยิงร้องโวยวาย


 


“แล้วจะให้บิดาเดินเท้าไปชุมชนแห่งอื่นรึไง? อย่าเรื่องมากนักเลย เชื่อไหมว่าฉันสามารถฆ่าเธอได้ง่ายๆ!”


 


“ไม่มีทาง รถศึกนี่จะมอบให้พวกคุณไม่ได้!” เหลียวหยิงเห็นได้ชัดว่าเริ่มโกรธแล้วเช่นกัน


 


และเวลานี้ ฉินเฟิงก็กลับมาพอดี


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเฟิงถามเสียงหม่น ระเบิดกลิ่นอายออกมาโดยไม่คิดระงับ เพียงมอง ใครก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังโกรธมาก


 


แล้วจู่ๆหนึ่งในผู้ใช้พลังก็ก้าวเข้ามา ยื่นบุหรี่ให้เขา แล้วจุดมันอย่างประจบสอพลอ


 


“มิสเตอร์ฉิน พวกเราตั้งใจจะไปจากเมืองขยะแห่งนี้ด้วยรถศึก คุณสนใจมากับพวกเราไหม?”


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้มเย็น “แต่รถศึกคันนี้เป็นของพวกเด็กกำพร้า!”


 


“ก็ใช่ แต่พวกเด็กๆเองก็สามารถหนีออกจากเมืองมาได้แล้วไม่ใช่หรอ? จากนี้ไปพวกเด็กๆก็จะถูกส่งให้กับผู้คนของเมืองหาน และเพื่อเป็นการตอบแทนที่พวกเราช่วยเหลือ แค่ต้องการรถศึกนี้มันคงไม่มากเกินไป!”


 


ชายคนนั้นกล่าวออกมาตามตรง


 


ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้มและกล่าว “พวกคุณน่ะหรอช่วยเหลือพวกเด็กๆ? ผมคิดว่าตรงกันข้ามมากกว่า เป็นผมต่างหากที่ช่วยเหลือพวกคุณ ในทำนองเดียวกัน ถ้าผมต้องการชีวิตพวกคุณ มันคงไม่มากเกินไปเหมือนกันใช่ไหม? ”


 


ในที่สุดชายคนนั้นก็เริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติในคำพูดของฉินเฟิง


 


“มิสเตอร์ฉิน นี่คุณกำลังพูดเรื่องอะไร?” ชายคนนั้นมองฉินเฟิงด้วยความกระวนกระวาย


 


ฉินเฟิงหันไปมองรอบๆ และพบว่าเกือบครึ่งของที่นี่ คือผู้ใช้พลังเลเวล F ที่เคยปิดล้อมสัตว์ร้ายเกราะคริสตัลก่อนหน้านี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทั้งหมดในที่นี่คือคนนอก ไม่ใช่ผู้ใช้พลังของเมืองหาน


 


“ตั้งแต่วันนี้ไปเด็กๆพวกนี้คือคนของผม เป็นคนของฉินเฟิง และผมจะพาตัวพวกเขาไป แบบนี้ไม่เท่ากับว่าพวกคุณกำลังจะปล้นรถศึกจากผมหรอกหรือ?”


 


ผู้ใช้พลังรอบๆสะดุ้งตกใจ


 


“ไม่ ไม่”


 


“มิสเตอร์ฉิน พวกเราผิดเอง พวกเราไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้”


 


“ใช่แล้วมิสเตอร์ฉิน ฉันไม่ได้พยายามจะขโมยรถของพวกเด็กกำพร้านะ ก็แค่จะแวะมาดูเท่านั้นเอง”


 


พวกเขาเริ่มอธิบายอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ผู้ใช้พลังกลุ่มนี้หยิ่งผยอง ตะคอกสำแดงฤทธิ์เดช แต่ปัจจุบันพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง ได้แต่เร่งขอโทษ และปลีกตัวกระจัดกระจายออกไปจากฝูงชน


 


เหลียวหยิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


“มิสเตอร์ฉิน คุณต้องการดูแลพวกเด็กๆอย่างงั้นหรอ?”


 


ก่อนหน้านี้ระหว่างที่คนอื่นๆกำลังคิดว่าพวกเขาจะไปที่ไหนกันดี เหลียวหยิงในฐานะครูของสถานเลี้ยงเด็กกลับรู้สึกลำบากใจยิ่งกว่า!


 


เพราะอดีตผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้หลบหนีไปนานแล้ว และเธอเป็นอาสาสมัครคนเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง เธอก็รู้สึกโล่งโปร่งสบายใจขึ้นมาทันที


 


เพราะฉินเฟิงเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก เป็นยอดฝีมือที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ เมื่อขึ้นชื่อว่ายอดฝีมือ ย่อมไม่มีคนไหนยากจน ฉะนั้นหากเขาช่วยออกค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ ก็น่าจะเพียงพอต่อชีวิตแก่พวกเด็กๆแล้ว


 


ฉินเฟิงพยักหน้ายืนยันแก่เหลียวหยิง เขาหันไปมองรอบๆและกล่าว “ผมมีสถานที่ชุมชนกำลังก่อตั้งขึ้นใหม่ และมันยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง หากพวกคุณกำลังเผชิญกับปัญหาชีวิตอันยากลำบากในตอนนี้ ก็สามารถมาเข้าร่วมกับผมได้ มาช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องเมือง กลายมาเป็นพลเมืองในสถานชุมชน! ”


 


“สำหรับคนที่คิดติดตามมาในตอนนี้ จะได้รับที่อยู่อาศัยฟรีตามจำนวนประชากร และในอนาคต พวกคุณยังสามารถทำงานในสถานชุมชนแห่งใหม่ได้เช่นกัน แน่นอน ว่าผมไม่ชอบพวกคนที่หนักไม่เอา แต่เบาสู้ ถ้าเป็นพวกขี้เกียจ หรือไม่สามารถทำงานได้ ก็อย่าคิดตามมากับผม!!”


 


คำกล่าวนี้ของฉินเฟิง ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในฝูงชน


 


ฉินเฟิงมีสถานที่ชุมชนอย่างงั้นหรือ?


 


สถานที่ชุมชนแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้าง หรืออีกความหมายนึงก็คือ … มันกำลังพัฒนา!


 


กรณีนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในฐานะผู้เข้าอาศัยกลุ่มแรก พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า และบางทีการย้ายไปที่นั่น อาจจะถึงขั้นสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาทั้งชีวิตของตนเองเลยก็ได้


 


“มิสเตอร์ฉิน สถานที่ชุมชนของคุณอยู่ที่ไหน?”


 


“แล้วสถานที่ชุมชนของคุณมีชื่อว่าอะไร?”


 


“คุณเป็นเทศมนตรีของสถานชุมชนแห่งนั้นรึเปล่า?”


 


ฉินเฟิงทยอยตอบคำถามเล็กๆน้อยของฝูงชน จากนั้นก็ส่งเรื่องต่อให้หลิวเซินซาน ให้เขานับจำนวนพลเมืองที่สนใจเข้าร่วม


 


ส่วนฉินเฟิง แน่นอนว่าต้องกลับไปในเมืองหานอีกรอบ และขับรถศึกพร้อมกับลากอีกหลายคนพ่วงหลังมา นอกจากนี้ยังเตรียมเต็นท์และถุงนอนจำนวนมากมาอีกด้วย


 


ทำให้คืนนี้ มีผู้คนมากมาย สามารถนอนหลับได้อย่างสงบตลอดทั้งคืน


 


รุ่งเช้าในวันต่อมา ฉินเฟิงออกจากเต็นท์ แล้วก็พบกับหลายคนที่กำลังยืนรออยู่ข้างนอก


 


หากไม่นับหลิวเซินซานกับหลิวซู และวังเฉินซึ่งเป็นคนแรกที่เต็มใจร่วมมือกับเขาในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้ว ก็ยังมีแชงนา วัยรุ่นสาวที่สามารถปลุกพลังขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และเหลียวหยิงครูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


“ลูกพี่ ไม่รู้หรอกนะว่าสถานชุมชนของคุณอยู่ที่ไหน แต่สนใจจะรับสมัครผู้ใช้พลังรึเปล่า? … รับพวกเราไว้พิจารณาด้วยเถอะ!” วังเฉินกล่าวพลางฉีกยิ้มสดใส


 


—-จบภาคหลบหนีออกจากเมืองหาน—–


Ch.127 – กลับสู่เฉิงเป่ย

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.127 – กลับสู่เฉิงเป่ย


 


“ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง!”


 


กล่าวได้ว่าการกลับไปของฉินเฟิงในครั้งนี้ เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล


 


มากกว่า 30 ผู้ใช้พลังติดตามฉินเฟิงกลับมา และในกลุ่มนี้มีถึง 4 คนที่เป็นเลเวล F


 


นอกจากนี้ยังมีคนธรรมดาอีกราวๆ 600 คนที่ตัดสินใจติดตามฉินเฟิงกลับไปยังสถานชุมชนเฟิงหลี


 


คนเหล่านี้ถูกกระตุ้นโดยคำกล่าวของฉินเฟิง อันที่จริงแล้ว เนื่องจากเมืองหานล่มสลาย คนยากจนส่วนใหญ่ที่รอดมาได้เลยกลายเป็นไร้ที่อยู่ และเกิดความคิดว่าจะย้ายไปยังสถานชุมชนแห่งใหม่อยู่เหมือนกัน แต่ทุ่งล่าน่ะอันตราย ดังนั้นเลยมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถพาครอบครัวตัวเองออกไปยังสถานชุมชนอื่นได้


 


ตรงกันข้าม หากไปตามคำขอของฉินเฟิง พวกเขาย่อมถูกคุ้มครองระหว่างการเดินทางอย่างไม่ต้องสงสัง


 


ฉินเฟิงได้มอบแสงสว่างใหม่ให้แก่พวกเขา!!


 


และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งหมดตระหนักดี ว่าฉินเฟิงทรงพลังเพียงใด


 


“มิสเตอร์ฉินเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ ดังนั้นความสำเร็จในอนาคตของเขาย่อมไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน!”


 


“มีผู้นำแบบนี้ ผู้นำที่สามารถปกป้องพวกเราได้ เขาดีกว่าชิเทียนไห่เป็นไหนๆ!”


 


“หลิวเซินซานก็ตามไปด้วย ฉะนั้นคนสวยอย่างหัวหน้าหลิวคงไปด้วยเหมือนกัน!”


 


“สถานชุมชนแห่งใหม่ จะต้องดีกว่าที่เก่าแน่นอน!”


 


ฝูงชนเกิดความคิดเช่นนี้ เลยตัดสินใจติดตามฉินเฟิงไป


 


เนื่องจากผู้ร่วมขบวนมีมากเกินไป ระหว่างทาง บางจุดในทุ่งล่าฉินเฟิงเลยจำเป็นต้องพาพวกเขาอ้อม และบางครั้งก็ให้ไป๋หลีรับหน้าที่ป้องกัน ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา สัตว์ร้ายที่มีจมูกไวต่อกลิ่นอายจึงไม่กล้าโจมตีขบวนรถยนต์ การเดินทางเลยเป็นไปอย่างราบรื่น!


 


หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในที่สุดฉินเฟิงก็กลับมาถึงสถานชุมชนเฟิงหลี


 


เวลานี้สถานชุมชนเฟิงหลีกำลังเร่งก่อสร้าง เนื่องจากการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างมิติ วัสดุก่อสร้างจึงเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นมีการเติมเมือกของแมลงลงในปูนซีเมนต์ เพื่อเสริมความแน่นของปูน และแห้งได้เร็วขึ้น


 


วัสดุก่อสร้างต่างๆได้รับการปรับปรุงใหม่ มีบทบาทที่ใหญ่กว่าเดิม


 


 


อย่างอาคารสูงสิบชั้น มันสามารถสร้างได้เร็วสุดโดยใช้เวลาแค่ 1 เดือน นั่นหมายความว่าสำหรับสถานที่ชุมชน หากมีกำลังคนมากพอ มันอาจเป็นรูปเป็นร่างได้ภายในครึ่งปี!


 


เมื่อฉินเฟิงกลับมาถึง ซูซิงฝูก็ออกมาทักทายเขา


 


ไม่ได้เจอกันเพียงครึ่งเดือน ซูซิงฝูก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ฉินเฟิงกลับกลายเป็นลึกล้ำไม่อาจคาดหยั่ง!


 


“ผู้ว่าการ คุณกลับมาแล้ว หายไปเที่ยวตั้งครึ่งเดือน คุณนี่แอบขี้เกียจเหมือนกันนะ!”


 


ตำแหน่งผู้ว่าการ โดยปกติแล้วจะออกให้ตามที่เมืองเฉิงหยางเห็นว่าเหมาะสม โดยปกติก็จะมี–


 


–สถานที่ชุมชนเหนือ , ใต้ , ออก และตก เป็นสถานชุมชนที่แข็งแกร่งที่สุดนอกเมืองเฉิงหยาง ผู้นำชุมชนเลยได้รับตำแหน่งนี้ ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมีเขตอื่นๆที่อยู่ถัดออกไปเหมือนกัน แต่เนื่องจากมันอยู่ไกลจากเมืองเฉิงหยาง ดังนั้นผู้นำเมืองเลยไม่ได้รับตำแหน่งนี้ สรุปง่ายๆว่าเมืองอื่นๆจะมีสถานะคล้ายคลึงกับเมืองหานนั่นเอง


 


แต่สถานชุมชนของฉินเฟิงไม่ได้อยู่ไกลถึงขนาดนั้น และปัจจุบันก็มีเส้นทางสาธารณะแล้ว ที่นี่เลยกลายเป็นเขตใหม่


 


และผู้ว่าการเขตเฟิงหลี แน่นอนว่าต้องเป็นฉินเฟิง


 


“ขอโทษจริงๆ ผมสร้างปัญหาให้คุณซะแล้ว … แต่น่ากลัวว่าจากนี้ไป คุณคงยุ่งมากกว่าเดิม!” ฉินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากทักทายกันเล็กๆน้อยๆ ทั้งสองก็บอกเล่าถึงสถานการณ์ทางฝั่งตนที่เกิดขึ้น ฉินเฟิงมอบพลเมือง 600 คนให้แก่ซูซิงฝู ปล่อยให้เขาจัดการ ท่ามกลางคนใหม่ ฉินเฟิงฝากให้ดูแลหลิวเซินซานและครอบครัวเป็นพิเศษ


 


จากนั้น ฉินเฟิงก็นำคนใส่รถบัส 3 คัน มุ่งหน้าสู่สถานชุมชนทางตอนเหนือ


 


ข้างในรถ มีเด็กกำพร้าอยู่กว่า 100 คน , กลุ่มวัยรุ่นสาวจำนวนหนึ่ง และสมาชิกกลุ่มแรกๆที่ร่วมฝ่าวงล้อมไปด้วยกันอย่างแม่และลูกที่ยอมเอาเทปกาวปิดปากตามคำสั่งของฉินเฟิง


 


คนเหล่านี้ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากฉินเฟิง


 


ณ ประตูทางเข้าเมือง เมื่อเห็นว่ามีรถศึกสามคันตรงเข้ามา มันก็ถูกทหารรักษาการณ์หยุดเอาไว้ทันที


 


“ลงมา! แล้วรับการตรวจสอบซะ!”


 


นี่คือหน้าที่ของกองทหาร เป็นกระบวนการในการปกป้องสถานชุมชนเฉิงเป่ย เพราะหากจู่ๆก็ปรากฏกลุ่มคนจำนวนมากเดินทางเข้าเมืองอย่างกระทันหัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอนุญาตให้ผ่าน


 


เพราะใครจะรู้ บางทีบนตัวผู้มาเยือนอาจจะมีไวรัสหรือปรสิตปนเปื้อนอยู่ก็ได้ แบบนั้นมีแนวโน้วว่าจะเป็นอันตรายคุกคามต่อคนภายในเมือง


 


ฉินเฟิงผลักประตูลงจากรถ


 


แต่เขายังไม่ทันจะได้พูด ดวงตาของคนที่อยู่ตรงข้ามก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ!


 


“ฉิน … ไม่สิ ทำความเคารพท่านผู้ว่าการฉิน!”


 


เขาจดจำรูปลักษณ์ของฉินเฟิงได้ และโค้งคำนับลงทันที


 


ฉินเฟิงเองก็ผงะตกใจ ก่อนจะย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์บนเทือกเขาพ่อแม่ลูกเมื่อไม่นานมานี้ ที่เจิ้งหยางพูดเรื่องโฆษณาชวนเชื่ออะไรสักอย่างกับเขา ตรงจุดนี้เองที่น่าจะทำให้ทหารจดจำเขาได้


 


ยังไงก็ตาม โฆษณาที่ว่าก็คงจะเหมือนกับดาบสองคม เพราะแม้ในสายตาคนอื่นๆเขาจะกลายเป็นวีรบุรุษ และถูกเรียกว่าผู้ว่าการ แต่ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากรอยแยกมิติปิดลง เวลามันก็ผ่านไปแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ผู้คนเลยยังกังวลว่าอาจมีโรคระบาดหลงเหลืออยู่ และไม่ยินยอมให้คนนอกเข้าเมืองไปง่ายๆ


 


“สวัสดี คนพวกนี้คือเด็กกำพร้าที่ผมพากลับมาจากเมืองหาน ตั้งใจว่าจะไปส่งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเมืองน่ะ!”


 


“นี่ … ”ทหารรักษาการณ์ลังเล แต่สุดท้ายกัดฟันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเชิญผู้ว่าการฉินเข้าไปได้ ส่วนคนพวกนี้ ทางเราจะแจ้งหน่วยแพทย์ให้มาดำเนินการตรวจร่างกายในภายหลัง และฉีดยาปฏิชีวนะให้”


 


“ขอบคุณ”


 


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอกผู้ว่าการฉิน นี่คือสิ่งที่พวกเราควรทำ” ทหารรักษาการณ์ส่งสัญญาณมือให้เปิดประตู


 


ฉินเฟิงกลับขึ้นรถ และขับเข้าไปในสถานชุมชน


 


ภายในสถานชุมชนเฉิงเป่ยแน่นอนว่าเจริญกว่าเมืองหาน และเนื่องจากมันอยู่ใกล้กับเมืองเฉิงหยางมากเกินไป ใกล้จนชนิดเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่รอบนอก ดังนั้นเลยได้รับอานิสงส์จากเมืองเฉิงหยาง พลอยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เหมือนกัน


 


สิ่งปลูกสร้างสูงตระหง่าน , ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาด้วยเครื่องแต่งกายสีสันเฉิดฉาย , ผู้ใช้พลังที่ไม่สามารถพบเจอได้บ่อยๆในเมืองหาน เดินให้ว่อนอยู่ทุกที่ มีแม้กระทั่งเด็กหลายคนที่กำลังไปโรงเรียนด้วยความสุข


 


ทั้งหมดขับผ่านย่านการค้า ปรากฏตึกสูงที่ภายนอกตึกติดตั้งไว้ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่สู่สายตา และมันกำลังฉายวิดีโออยู่


 


ในวิดีโอนี้ กำลังฉายภาพฉินเฟิงที่กุมมีดกษัตริย์ครามในมือของเขา โบกสะบัดห้ำหั่นกับซากศพเลเวล F และสามารถตัดหัวซากศพเพลิงลงได้ในที่สุด เนื่องจากมีโดรนถ่ายภาพจากบนท้องฟ้า ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงสมบูรณ์แบบ มันยอดเยี่ยมอย่างหาที่ใดเปรียบ


 


ระหว่างออกอากาศ ข้อความที่ให้ความรู้สึกน่าทึ่งกินใจก็ปรากฏขึ้น


 


“วีรบุรุษ ไม่เคยใช้วันเวลาไปเปล่าๆบนท้องถนน!”


 


“วีรบุรุษ ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสนามรบตลอดกาล!”


 


“วีรบุรุษ คือคนที่กล้าหาญและทุ่มเทเพื่อผู้คน!”


 


“วีรบุรุษ จะอยู่เคียงข้างกับพวกคุณเสมอไป!”


 


นี่น่าจะเป็นวิดีโอโปรโมตที่เจิ้งหยางกล่าวไว้ในตอนต้น


 


แม้ในวิดีโอนี้ จะไม่ได้เรียกฉินเฟิงว่าเป็นวีรบุรุษออกมาตรงๆ แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทุกคนที่ดูมันย่อมเข้าใจ ว่านี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการปราบปรามกองทัพซากศพบนภูเขาแม่ และฉินเฟิงนั่นแหละคือวีรบุรุษ!


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่ผลลัพธ์ยังกลายเป็นว่าเขาได้ขึ้นเป็นผู้นำสถานชุมชนแห่งใหม่


 


หลังจากนั้น ภาพหน้าจอก็เปลี่ยนไป มันเป็นภาพของฉินเฟิงอีกครั้ง


 


ซึ่งไม่รู้ว่าถูกถ่ายเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในวิดีโอ เป็นฉินเฟิงที่กำลังหันหลัง ยืนหยัดอยู่บนปลายยอดภูเขาสูง ขณะเดียวกันก็กุมมือของไป๋หลี เหม่อมองออกไปยังขอบฟ้าที่ตะวันกำลังลาลับ


 


ต่อมา ตัวหนังสือขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น : สถานชุมชนเฟิงหลี กำลังเฝ้ารอให้คุณไปสัมผัส!


 


หลังจากดูจนจบ … สีหน้าของฉินเฟิงก็กลายเป็นดำคล้ำ!


 


โฆษณาฉากนี้จะต้องเป็นซูซิงฝูที่แอบถ่ายเอาไว้ในตอนนั้นแน่ๆ แถมยังใส่รูปของไป๋หลีลงไปอีก


 


ที่สำคัญอีกฝ่ายไม่ได้ขอเขาก่อน!


 


พอฉินเฟิงจินตนาการว่ามีคนจำนวนมากได้เห็นรูปลักษณ์ของไป๋หลี เขาก็เริ่มกลายเป็นอารมณ์เสีย


 


เพราะจิ้งจอกน้อยเป็นของเขาคนเดียว!


 


ในขณะที่สีหน้าของฉินเฟิงมืดครึ้ม คนอื่นๆที่อยู่ในรถ กลายตกตะลึงโดยสิ้นเชิง


 


แม้พวกเขาจะทราบว่าฉินเฟิงน่ะทรงพลัง แต่การที่สามารถปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ มันให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด


 


“นั่นมิสเตอร์ฉิน!”


 


“ลูกพี่ร้ายกาจจริงๆ ถึงขั้นมีภาพตัวเองฉายบนจอตึก!”


 


“ที่แท้มิสไป๋หลีก็เป็นดาราดังหรอกหรอ อยากถ่ายรูปกับเธอจังเลย!”


 


ช่วงเวลานั้น ฝูงชนเริ่มรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ว่าฉินเฟิงเป็นคนที่ไม่สามารถคาดหยั่งได้จริงๆ!


 


ฉินเฟิงที่ตกอยู่ภายใต้สายตาและสถานการณ์นี้ ถึงกลับไร้คำจะกล่าว


Ch.128 – นั่นฉินเฟิง!

Translator : Muntra / Author


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.128 – นั่นฉินเฟิง!


 


ภายในอาคารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


“ผู้อำนวยการ ผมคงต้องรบกวนคุณอีกแล้วในครั้งนี้”


 


“ อย่าพูดแบบนั้นสิ เธอช่วยได้มากเลยต่างหาก!” หลินเต๋อหรงถอนหายใจด้วยอารมณ์ เขาส่งบางคนออกไปจัดการเรื่องพวกเด็กๆที่ฉินเฟิงนำมา


 


“ฉินเฟิง ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด พัฒนาการของเธอมันก้าวกระโดดซะจนทำให้ฉันรู้สึกทึ่ง ยังไงก็ตาม จดจำเอาไว้ให้ดี ว่าต้นไม้งอกงามเร็วเพียงใด สักวันมันก็จะถูกพายุทำลายได้เร็วเท่านั้น เธอต้องระมัดระวังตัว รู้จักเก็บงำความสามารถเอาไว้บ้างก็ดี!”


 


ฉินเฟิงยิ้ม


 


หากเป็นในชีวิตก่อนหน้า คำกล่าวนี้ก็คงจะถูกต้อง


 


แต่ในชีวิตนี้ มันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


 


ฉินเฟิงต้องการเก็บกำความสามารถก็จริง แต่นั่นมันในส่วนของอบิลิตี้ธาตุมืดเท่านั้น


 


ขณะเดียวกันในบางครั้ง เขาก็จำเป็นต้องเผยความสามารถอันยอดเยี่ยมออกมา


 


“หากต้นไม้อยากจะเติบใหญ่จนสูงตระหง่าน บางครั้งมันก็ต้องแย่งสารอาหารจากต้นไม้ต้นอื่นๆเหมือนกัน แต่นั่นทำไปเพราะต้องการปกป้องบรรดานกน้อยที่ทำรังใต้ร่มของมัน ผู้อำนวยการไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน!”


 


หลินเต๋อหรงอึ้งไป แต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้


 


“นั่นสินะ ทำตามที่เธอเห็นสมควรเถอะ”


 


ฉินเฟิงมอบเงิน 5 ล้านทิ้งไว้ พร้อมกับเนื้อมังกรดิน และจากไป


 


บรรยากาศของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนนี้ดูหดหู่มาก


 


แม้โศกนาฏกรรมที่ฉินเฟิงประสบในชีวิตก่อนหน้าจะไม่เกิดขึ้น แต่ฉินเฟิงไม่ได้กลับมาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ดังนั้นภูมิคุ้มกันของเด็กบางคนเลยทนต่อโรคมืดไม่ไหว เริ่มจับไข้หนาวสั่น ติดเชื้อไวรัส และสุดท้ายจากไปกว่า 20 ชีวิต


 


แม้เทียบกับในชีวิตใหม่ของฉินเฟิง ผลลัพธ์อาจจะดีกว่ามาก แต่เรื่องที่พวกเด็กๆจากไปก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลยดูหม่นหมองลง


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยเด็กใหม่ที่มาเข้าร่วม ฉินเฟิงเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นใหม่ได้


 


แน่นอน ว่าทั้งหมดยังต้องเผชิญกับแรงกดดันอีกมากเพื่อความอยู่รอด แต่เรื่องนี้ฉินเฟิงพอจะช่วยเหลือได้


 


เอาไว้รอจนสถานชุมชนเฟิงหลีสร้างเสร็จเมื่อไหร่ เด็กๆจะได้บ้านหลังใหม่ที่ดีกว่า


 


พอออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉินเฟิงก็หามุมอับที่ไร้ซึ่งผู้คน บอกให้ไป๋หลีนำรถศึกล่องเวหาออกมา


 


รถศึกคันนี้ เดิมจอดอยู่หน้าร้านอุปกรณ์ของหลิวเซินซาน หลังจากเกิดรอยแยกมิติ ฉินเฟิงก็ขอให้ไป๋หลีเก็บมันไว้ จนปัจจุบัน ในที่สุดมันก็ได้ต้องแสงตะวันอีกครั้ง


 


กลับไปที่สวนชิงหู เป็นเวลานานแล้วที่ฉินเฟิงไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เขานอนแช่ตัวสบายๆบนอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ในห้องใต้หลังคา โดยมีไป๋หลีในชุดบิกินี่แช่อยู่เคียงข้าง


 


อ่า … เธอช่างร้อนแรง และชวนให้ผู้คนรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน


 


ในคราวนี้ ฉินเฟิงรู้สึกขอบคุณเสี่ยวเหลียนจริงๆ ที่เคยด่าไป๋หลีว่าหน้าอกแบน จนเธอตัดสินใจเพิ่มขนาดหน้าอกตัวเอง


 


พอได้พักผ่อนหนึ่งคืนเต็ม เช้าวันต่อมา ฉินเฟิงก็ถูกปลุกด้วยสายโทรเข้าจากโจวฮ่าว


 


“ไอ้บ้า ไม่ใช่นายบอกว่ากลับมาแล้วหรอกหรอ? วันนี้คือวันทดสอบและเลือกเพื่อนร่วมทีมแล้วนะ นายจะพลาดมันไม่ได้!”


 


ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวโทรหากันหลายครั้ง และทุกครั้งโจวฮ่าวก็ย้ำเตือนเขา ว่าถ้ายังชักช้าแบบนี้ เขาจะพลาดงานสวนล่าใบไม้ผลิ!


 


โชคยังดีที่ฉินเฟิงรีบกลับมาทัน


 


 


ปัจจุบัน ไป๋หลีเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกน้อยอีกครั้ง นั่งลงข้างคนขับ


 


พอได้อยู่ในร่างมนุษย์นานๆ ไป๋หลีก็ไม่ค่อยอยากจะเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกแล้ว และเพื่อที่จะคงอยู่ในร่างมนุษย์ เธอจำเป็นต้องรักษารูปลักษณ์ทางกายภาพ หรือกล่าวสั้นๆง่ายๆว่ารักษารูปร่างให้ดูดีอยู่เสมอโดยไม่ต้องพึ่งทักษะเปลี่ยนร่างนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น สิบนิ้วของมนุษย์สะดวกต่อการหยิบจับสิ่งของเป็นอย่างมาก —มันง่ายต่อการออกกำลังมากกว่าในร่างจิ้งจอก


 


แม้ว่าการเดินทางไปยังเมืองหาน ไป๋หลีจะได้รับแก่นพลังงานของราชันย์สัตว์ร้ายมา และความแข็งแกร่งของเธอก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน แต่เธอแทบไม่ได้ออกโรงเลย


 


ไป๋หลีกลับมาให้ฉินเฟิงดูแลในฐานะสัตว์เลี้ยงอีกครั้ง เขาวางเธอลงบนไหล่ ไป๋หลีม้วนขดรอบคอของฉินเฟิง อ้าปากหาวแล้วหลับไป


 


ฉินเฟิงลงจากรถ ก้าวเข้าสู่สถาบัน และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ต่างออกไป


 


หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงเป็นเพียงนักเรียนคนหนึ่งท่ามกลางนักเรียนจำนวนมาก ไม่มีอะไรพิเศษหรือผิดปกติ


 


ทว่าเวลานี้ ไม่ว่าใครเห็นเขา ทั้งหมดต่างกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นราวกับเจอซุปตาร์


 


“กรี๊ด! นั่นฉินเฟิง!”


 


“อ๊า! ใช่ฉินเฟิงที่เรียนคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ แต่กลับสามารถใช้พลังวรยุทธโบราณได้รึเปล่า?”


 


“รุ่นน้องสุดคูล!”


 


ท่ามกลางฝูงชนที่กรี๊ดกร๊าด มีกระทั่งวัยรุ่นสาวคนหนึ่งรวบรวมความกล้าก้าวเข้ามา


 


“เพื่อนร่วมสถาบันฉิน วันนี้นายมาเพื่อรับการทดสอบใช่ไหม กำลังมองหาทีมอยู่รึเปล่า?”


 


ฉินเฟิงเองก็ไม่ใช่คนเย็นชาเกินไป เขาหยุดฝีเท้า และตอบคำถามของอีกฝ่าย “ใช่แล้ว”


 


“งั้นหรอ น่าเสียดายจัง ที่ฉันเป็นนักเรียนปี 2 แต่ว่านะ … ถ้าหลังจากที่นายกลับมาจากงานสวนล่าใบไม้ผลิแล้ว และทีมที่อยู่ถูกยุบ หวังว่านายจะเก็บฉันไว้พิจารณานะ”


 


ฉินเฟิง “ … เอาไว้ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยคุยกันอีกที”


 


ช่างเป็นการปฏิเสธแบบสุภาพและมีไหวพริบ!


 


“อา ขอบใจมากนะเพื่อนร่วมสถาบันฉิน!”


 


แล้วนักเรียนสาวก็วิ่งกระโดดจากไปอย่างมีความสุข ระหว่างทางก็อ้าปากตะโกนก้อง “เพื่อนร่วมสถาบันฉินบอกว่าจะให้โอกาสฉันล่ะ!”


 


ฉินเฟิง “ … ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย”


 


อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นจุดสนใจมากเกินไป ฉินเฟิงเดินต่อได้เพียงก้าวเดียว คนอื่นๆก็พุ่งเข้ามา พยายามเอ่ยขอเขาเผื่อจะได้รับโอกาสบ้าง แต่ฉินเฟิงไม่ยอมพลาดท่าซ้ำสอง เขาเอี้ยวตัวหลบคนเหล่านั้น ไม่ยอมเอ่ยปากพูดจาใดๆอีก


 


….


 


ฉินเฟิงมาถึงชั้นเรียนอย่างรวดเร็ว


 


และเวลานี้ เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง


 


“ฉินเฟิง งานสวนล่าใบไม้ผลิกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ นายสนใจจะเข้าร่วมทีมกับพวกเราไหม?”


 


“ฉินเฟิง พาฉันไปด้วยสิ ตอนนี้ฉันเรียนรู้วิธีการใช้อบิลิตี้ลมแล้วนะ มันสามารถช่วยเพิ่มความว่องไวให้กับนายได้อย่างมหาศาลเลยล่ะ!”


 


“หลีกไปเลย! นายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ลมไม่ใช่รึไง อย่าทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายสนับสนุนอย่างธาตุน้ำสิ!”


 


ฉินเฟิงเริ่มขมวดคิ้ว เฝ้ามองดูเพื่อนร่วมชั้นถกเถียง


 


ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้พวกนายเกลียดฉันหรอกหรือ?


 


แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากมาเข้าร่วมงานสวนล่าใบไม้ผลิด้วยกันซะอย่างงั้น?


 


แต่ฉินเฟิงไม่ได้แสดงความรู้สึกนี้ออกไป เขาเพียงตอบปฏิเสธอ้อมๆแบบสุภาพ


 


“ขอโทษที ถ้าเรื่องนี้ฉันคงต้องปรึกษากับเพื่อนร่วมทีมอีกคนของฉันซะก่อน” ฉินเฟิงกล่าว


 


“เพื่อนร่วมทีมของนาย? ใครกัน? ใช่เพื่อนร่วมสถาบันโจวฮ่าวที่อยู่ในคลาสวรยุทธโบราณรึเปล่า?”


 


“โอ้สวรรค์ ถ้าโจวฮ่าวกับฉินเฟิงร่วมมือกันล่ะก็ … พวกเขาจะต้องคว้าที่ 1 ได้แน่ๆ!”


 


ปัจจุบัน สายตาของคนทั้งกลุ่มมองฉินเฟิงด้วยความกระตือรือร้นสุดๆ


 


เพราะยังไงซะ ทีมของฉินเฟิงน่ะแข็งแกร่งเกินไป ใครๆก็รู้ว่าโจวฮ่าวไม่เพียงมีพรสวรรค์ แต่เขายังเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่ได้รับการรับรองเป็นผู้ใช้พลังเลเวล G !


 


หลังจากฉีดยากระตุ้นได้ 2 เดือน และเข้าร่วมสถาบันเพียง 1 เดือน ในสายตาของพวกนักเรียน โจวฮ่าวถือว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากแล้ว แต่ฉินเฟิงกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่า และพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าฉินเฟิงได้ก้าวขึ้นสู่เลเวล F แล้ว


 


แม้จะได้เห็นโฆษณาออกอากาศทุกวันก็ตาม แต่พวกเขาทุกคนแค่คิดกันไปว่า ฉินเฟิงคงมีความแข็งแกร่งที่สามารถท้าทายคนที่เหนือกว่าเท่านั้น


 


แต่ก่อนที่พวกเพื่อนๆในคลาสจะทันได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เฉิงเฉา อาจารย์ประจำคลาสอบิลิตี้ก็เข้ามาเสียก่อน คนที่ห้อมล้อมฉินเฟิงเลยแยกย้ายกันไป


 


“อ้าวฉินเฟิง เธอกลับมาแล้วหรอ? รู้รึเปล่าวว่าฉันกังวลแค่ไหนว่าเธอจะมาไม่ทันเข้าร่วมงานสวนล่าใบไม้ผลิ” เห็นได้ชัดว่าเฉิงเฉามีความสุขมากที่ได้เห็นเขา


 


“เอาล่ะ ทุกคนเตรียมตัวกันให้พร้อม อีกสักพักพวกเราจะเป็นห้องแรกที่ทำการทดสอบภาคสนาม ผลงานในครั้งนี้มีความสำคัญมาก ฉันหวังว่าพวกเธอจะไม่ทำเสียหน้า เพราะถ้าคะแนนของพวกเธอออกมาไม่ดี เธออาจถึงขั้นไม่สามารถหาทีมได้เลย!”


 


“อะไรน้าาาา!!”


 


นักเรียนทั้งชั้นกรีดร้องลั่นพร้อมกัน


 


ไม่ทันจะขาดคำ ก็มีประกาศกระจายไปทั้งโรงเรียนดังขึ้น ว่าให้คลาสผู้ใช้อบิลิตี้ไปยังจตุรัสกลาง


 


ทุกคนทั้งชั้นปีที่1ต่างก็ถูกบังคับให้เข้าร่วม เวลานี้มีนักเรียนใหม่มากกว่า 300 กำลังคนนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ข้างจตุรัส


 


แน่นอน ว่าเนื่องจากจตุรัสกลางก็เหมือนกับชื่อของมัน ที่ตั้งอยู่ใจกลางอาคารเรียนทั้งหมด นั่นหมายความว่าคนจากในอาคารเรียนเอง ก็สามารถมองเห็นฉากบนจตุรัสได้เช่นกัน


 


บนอัฒจันทร์เหนือขึ้นไปจากคลาสเรียนของฉินเฟิง ท่ามกลางคลาสผู้ใช้อบิลิตี้ หลี่เหยาเหยาเองก็เป็นหนึ่งในผู้สังเกตการณ์เช่นกัน …

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม