วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 12.10-13.3

ตอนที่ 12-10

 

เมื่อคำพูดของรยูฮาเริ่มมาถึงจุดที่อันตราย มินอาจึงลุกพรวดขึ้นและรีบโบกมือไปมาอย่างว่องไว ท่าทางลุกลี้ลุกลนที่ไม่ได้เห็นง่ายๆ ทำให้รยูฮาซึ่งกำลังใส่ทองคำลงไปที่เดิมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง 


 


 


“ทำไมล่ะ ตอนนี้เรารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วมิใช่หรือไง ข้าพูดแล้ว ถึงคราวเจ้าพูดบ้าง เจ้าชอบคนนั้นตรงไหน” 


 


 


ดวงตาที่เต็มไปด้วยความซุกซนจับจ้องไปที่มินอา แม้จะหันหน้าไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงสายตานั้น แต่ใบหน้าของมินอาก็ร้อนผ่าวจนเป็นสีแดงประหนึ่งลูกพลับที่สุกงอมไปเรียบร้อยแล้ว รยูฮาเห็นว่ามันทั้งน่าสนใจ น่ารัก และตลก จึงหันหน้าไปหามินอาอย่างมุ่งมั่น 


 


 


“ชอบอะไรกัน…ใครชอบเพคะ” 


 


 


“ถ้าไม่ชอบ แล้วทำไมถึงยิงลูกธนูพลาดเป้าล่ะ” 


 


 


รยูฮากำลังพูดถึงเรื่องยิงธนูของทั้งคู่ที่เขตชายแดนอย่างแน่นอน นางคือนักแม่นธนู ดังนั้นขอแค่อยู่ในระยะที่ธนูสามารถไปถึงได้ ลูกธนูที่มินอายิงออกไปก็จะไม่พลาดเป้าเป็นอันขาด แม้ว่าเป้าหมายจะเคลื่อนที่อยู่ก็ตาม 


 


 


“หม่อมฉันเองก็เป็นคนนะเพคะ” 


 


 


“เจ้านั่นแหละคือปัญหา การใช้ชีวิตพร้อมกับสวมเกราะแบบนั้นนั่นแหละคือปัญหาที่สุด หากไม่มีข้า เจ้าเหลืออะไรในชีวิตบ้าง” 


 


 


ชีวิตของมินอาที่ไม่มีรยูฮาอย่างนั้นหรือ นางไม่มีทางคิดถึงชีวิตแบบนั้นได้หรอก ดังนั้นมินอาจึงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


“ไม่ทราบเพคะ” 


 


 


“ไม่รู้ได้อย่างไรกัน มันคือชีวิตของเจ้านะ เพราะฉะนั้นแล้วหากไม่มีข้าก็จะเหลือตัวเจ้าเองไง” 


 


 


รยูฮายื่นมือออกไปลูบมือของมินอาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มืออันหยาบกร้านซึ่งมีทั้งหนังด้านและรอยแผลทั่วทั้งฝ่ามือและนิ้ว พวกนางในที่ดูแลมินอามักจะนินทากันลับหลังเสมอเมื่อเห็นร่างกายและมือนี้ของมินอาซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ถึงกระนั้นมินอาก็ไม่ได้ใส่ใจคนพวกนั้น 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นลองบอกข้ามาสิ ในความเห็นของเจ้า คิดว่าเขารูปงามหรือไม่” 


 


 


“ทรงหมายถึงฝ่าบาทหรือเพคะ” 


 


 


“ไม่ใช่ๆ ฝ่าบาทใครเห็นก็ว่ารูปงามอยู่แล้ว สามีของเจ้าสิ” 


 


 


“…เพคะ” 


 


 


“เห็นหุ่นก็ดีนี่นา” 


 


 


คำพูดที่รยูฮาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ายวนทำให้แววตาของมินอาแข็งทื่อ ภาพที่ไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการทำให้นางเวียนหัวผิดจากความตั้งใจของนาง รยูฮาเฝ้าดูสีหน้านั้นประหนึ่งสนุกสนาน ก่อนจะหยิกแก้มมินอาอย่างแรง 


 


 


“จินตนาการอะไรอยู่ ในตอนที่ลงไปยังเขตชายแดน ข้าบังเอิญไปเห็นตอนที่เปิดประตูเพื่อตามหาฝ่าบาทน่ะ อ๋อ ไม่ได้เห็นของสำคัญหรอกนะ” 


 


 


“ของสำคัญ…หรือเพคะ” 


 


 


“ถึงไม่ได้เห็น แต่ก็น่าจะแข็งแรงอยู่นะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็คงจะไม่มีทางอุทิศชีวิตแบบนั้น” 


 


 


“อ๊ะ จริงๆ เลย!” 


 


 


สุดท้ายมินอาก็มุดหน้าลงกับแขนและนอนฟุบไปบนโต๊ะ ใช่ มันก็แข็งแรง ถ้ามันไม่แข็งแรงแล้วจะบอกว่าอะไรแข็งแรงกันล่ะ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดคุยกันต่อหน้าเสียหน่อย 


 


 


“ตัวก็สูง หุ่นก็ดี ของก็ดี หน้าตาก็…อาจจะสู้ฝ่าบาทไม่ได้ แต่ก็พอดูได้อยู่ เพราะงั้นเจ้าก็เลยตกหลุมรักใช่หรือไม่เล่า” 


 


 


“…เพคะ” 


 


 


“หือ? ไม่ค่อยได้ยินเลย” 


 


 


ไม่ค่อยได้ยินเสียงของมินอาที่พูดพึมพำทั้งที่ยังซบหน้าอยู่ที่แขนจริงๆ รยูฮาจึงเอนตัวเอาหูแนบไปที่ตัวมินอา 


 


 


“รูปงามกว่าเพคะ องค์ชายสองน่ะ เสียงก็ไพเราะกว่าด้วยเพคะ” 


 


 


“ตาเจ้า…มีปัญหาหรือเปล่า” 


 


 


เป็นคำถามที่ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ รู้อยู่แล้วว่าบรรทัดฐานความงามของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่เมื่อรยูฮาปฏิเสธอย่างหนักแน่น มินอาจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วนิ่วหน้า 


 


 


“พูดกันตามตรง ฝ่าบาทไม่ได้รูปงามเฉกเช่นชายหนุ่ม…แต่ทรงงดงามเหมือนสตรีเพคะ แม้ตอนเด็กๆจะดูน่ารัก แต่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายหน้าสวยเลยเพคะ ซึ่งผู้ชายก็ต้องมีความเป็นชายสิเพคะ ถึงจะดีที่สุด” 


 


 


“ถ้าพูดถึงหน้าตาที่มีความเป็นผู้ชายเหมือนกับพวกโจรป่าก็หัวหน้าโจรคนนั้นในสมัยก่อนไง…ใครกันนะ อ๋อ จักดู เขาน่าจะมีความเป็นผู้ชายมากที่สุดเลยนะ เพราะบนหน้าก็เขียนไว้เลยว่าเป็นโจรป่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงจะรูปงามกว่างั้นสิ” 


 


 


“อย่าทรงไร้เหตุผลสิเพคะ จริงสิ ไหนๆ ก็พูดเรื่องที่เขตชายแดนขึ้นมาแล้ว ยังไม่ทราบใช่หรือไม่เพคะว่ามีสตรีนางหนึ่งแอบเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ชายสอง แต่ห้องบรรทมของฝ่าบาทกลับปลอดภัยมิใช่หรือเพคะ” 


 


 


“เรื่องนั้นเป็นเพราะข้าจับตามองอยู่ต่างหาก ในขณะที่พระชายาจับตาดูอยู่ข้างๆ หญิงเสียสติคนใด… เดี๋ยวนะ” 


 


 


ดวงตาของรยูฮาค่อยๆ หรี่ลง ในตอนนั้นเองมินอาจึงรู้ตัวว่าพูดเล่นผิดเรื่อง แต่มันก็สายไปแล้ว 


 


 


“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร” 


 


 


“มะ หม่อมฉัน…บังเอิญผ่านไปเห็นพอดีเพคะ!” 


 


 


“ผ่านไป? ที่พักของเจ้าอยู่ห่างจากที่นั่นตั้งไกล แล้วเจ้าไปทำอะไรที่นั่น” 


 


 


โดนจับได้แล้ว ในเมื่อจะได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังของมินอาซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน รยูฮาจึงไม่ปล่อยเหยื่อที่เข้าปากมาแล้วให้หลุดไปและเริ่มเค้นถามอย่างจริงจัง 


 


 


“หลง…ทางเพคะ” 


 


 


“หลงทาง? เจ้าเนี่ยนะ? ว้าว ช่างสมเหตุสมผลเสียจริง พอมาคิดดูแล้ว แสดงว่าตอนนั้นเจ้าไม่ได้ประจำอยู่ที่ตำแหน่ง และเป็นเวลานานมากๆ ด้วย เจ้าไม่มาเฝ้าข้าแต่ไปเฝ้าห้องบรรทมขององค์ชายอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ใครไปเฝ้าห้องบรรทมกันเพคะ! หม่อมฉันแค่มองดูจากที่ไกลๆ เท่านั้นเองเพคะ!” 


 


 


อ้า ให้ตายเถอะ มินอาปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างและถอนหายใจ เพราะว่าไม่เคยโกหกต่อหน้ารยูฮามาก่อน จึงทำได้เพียงเท่านี้ 


 


 


“นั่นมันก่อนหน้าแข่งยิงธนูไปอีกนี่ ตอนที่เพิ่งจะออกจากวังเลยไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ ตั้งแต่ตอนนั้น…” 


 


 


รยูฮาห้วนนึกถึงความทรงจำขึ้นมาทีละอย่างพลางคิดว่ามินอาเริ่มสนใจชานตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่แล้วความทรงจำหนึ่งอย่างที่ถูกฝังไว้ลึกก็ถูกขุดขึ้นมา นางจึงมองมินอาด้วยสายตาที่ปนไปด้วยความตกใจและความรู้สึกถูกหักหลัง 


 


 


“ตอนกลางคืน ที่วังซออัน” 


 


 


“ทรงตรัสเรื่องอะไร…?” 


 


 


เสียงสูงต่ำที่ไม่เป็นธรรมชาติและดวงตาที่สั่นไหวไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนคือคำตอบ ฮ่าๆ รยูฮาหัวเราะแห้งและนั่งไขว่ห้างพิงกับพนักพิง 


 


 


“ถูกสินะ ถูกใช่ไหม” 


 


 


ค่ำคืนนั้นที่นางลากมินอาออกไปยังวังซออันด้วยความอึดอัดใจคือค่ำคืนที่ได้เจอกับชานเป็นครั้งแรก รยูฮากำลังตั้งหน้าตั้งตากวัดแกว่งดาบไปมาในอากาศ แต่มินอาซึ่งคอยเฝ้าระวังรอบๆ รับรู้ถึงการมาของเขาและจับเขาไว้ได้ก่อน ภาพของมินอาที่รัดคอของชานไว้หลังจากหักแขนของเขาเพื่อปลดอาวุธปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นมาตั้งนานแล้วนะ 


 


 


“ไม่ทราบเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” 


 


 


“ว้าว ที่เขาว่ากันแมวเรียบร้อยมักตะครุบหนูก่อนนี่คือเรื่องจริงสินะ…!” 


 


 


ทรยศ นี่มันการทรยศชัดๆ หากเป็นสิ่งที่อยู่ภายในใจ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่หรือเรื่องหยุมหยิม นางก็เปิดเผยกับมินอาหมด แต่มินอากลับปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ รยูฮาอารมณ์เสียขึ้นมาจนอยากเขกหัวมินอาให้เจ็บสักสามทีพลางขึ้นเสียง 


 


 


“เจ้าปิดบังเรื่องแบบนั้นกับข้าได้อย่างไร” 


 


 


“ก็หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ ในเมื่อไม่ทราบแล้วจะทูลให้ทรงทราบได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


“ข้าผิดหวังจริงๆ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่น้องของข้าแล้ว ไปไกลๆ ซะ” 


 


 


“ทรงมีพระทัยคับแคบจริงๆ เพคะ แม้จะทรงไร้เหตุผล แต่ทำไมถึง…” 


 


 


ท้ายประโยคของมินอาถูกขัด น้ำตาหยดหนึ่งไหลผ่านแก้มของนาง ก่อนจะหยดติ๋งลงไป 


 


 


“ตอนนี้จงอยู่เพื่อตัวเอง กับคนรักของเจ้าซึ่งตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวตัวน้อยๆ ที่บ้านหลังเล็ก และใช้ชีวิตตามที่เจ้าต้องการซะนะ” 


 


 


ไหล่มินอาสั่นไหวเบาๆ ในอ้อมกอดของรยูฮา ชีวิตที่ไม่มีรยูฮา การจากลาซึ่งไม่เคยคิดถึงแม้เพียงสักครั้งกำลังกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้านางแล้ว  

 

 


ตอนที่ 12-11

 

 


 


 


เวลาสองวันผ่านไปในพริบตา ในช่วงนั้นชานเพียงแค่นั่งจ้องกำแพงคุกอันมืดมิด แต่มินอากลับยุ่งวุ่นวายยิ่งกว่าปกติเสียอีก จึงไม่สามารถไปหาในคุกได้แม้เพียงสักครั้งจนกระทั่งคืนนี้ 


 


 


“อือ หนาว แค่ผ่านวันนี้ไปก็จบแล้วใช่ไหม” 


 


 


“นั่นสิ แต่ยังดีที่กินอิ่มแล้วก่อนออกมา” 


 


 


เหล่าทหารยามที่สวมเสื้อผ้าหลายชั้นรีบเดินฝ่าลมยามค่ำคืนไปยังคุก ส่วนทหารยามอีกกลุ่ม เมื่อเห็นดวงไฟใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ ก็โบกไม้โบกมือทักทายพลางบ่นพึมพำ 


 


 


“รีบๆ มาเร็วเข้า ไม่ตรงเวลาเอาเสียเลย” 


 


 


“มัวแต่ถ่ายหนักอยู่ก็เลยมาสายน่ะ ทำไม ทำอย่างกับเจ้าไม่เคยมาสาย” 


 


 


“รีบไปเถอะ อาหารมื้อดึกถูกยกลงมาจากวังจานยองแล้วนะ เนื้อวัวกับหมูไม่ใช่เล่นๆ เลย” 


 


 


“ไอ้พวกนี้ มัวแต่สวาปามก็เลยมาสายใช่ไหมล่ะ” 


 


 


พวกทหารยามตบหลังกันและกันอย่างแรงแล้วจึงสลับที่กันพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเบาๆ ทหารยามที่เฝ้าด้านนอกคุกในคืนนี้มีสี่คนและมีพวกที่เฝ้าข้างในอีกสองคน มินอาซ่อนตัวในความมืด หลับตาพักหนึ่งและนึกถึงลำดับในการเคลื่อนไหวภายในหัว 


 


 


หากพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ระฆังก็จะดังและทหารนับสิบก็จะกรูกันเข้ามา นางขนลุกไปทั้งตัวด้วยความกังวลไม่ใช่ความหนาว แต่ก็พยายามทำจิตใจให้สงบด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ตะเกียงของทหารที่หมดหน้าที่แกว่งไกวไปมาราวกับแสงไฟของอสูรกาย ก่อนจะเลี้ยวตรงหัวมุมลับหายไป 


 


 


“อ้า ท้องข้า” 


 


 


ทหารร่างใหญ่ที่ก่อนหน้านี้หัวเราะคิกคักพร้อมกับบอกว่ามาสายเพราะมัวแต่ไปถ่ายหนักมานิ่วหน้าอย่างแรงพร้อมกับลูบท้อง 


 


 


“อีกแล้วหรือ เจ้าแกล้งป่วยหรือเปล่า” 


 


 


“หรือเพราะว่าไม่ได้กินเนื้อมานานก็เลยเป็นแบบนี้ ข้าขอตัวเดี๋ยว” 


 


 


เสียงหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวไล่หลังทหารยามที่จับก้นรีบร้อนวิ่งออกไป แต่มันก็แค่สักพักหนึ่งเท่านั้น ในไม่ช้าทหารยามคนอื่นก็กุมท้องและตะโกนว่าเดี๋ยวมาแล้ววิ่งออกไปเช่นกัน สองคนนั้นล้มคะมำไปบนพื้นและถูกลากเข้าไปในพงหญ้ารกทึบด้วยฝีมือของผู้บุกรุกซึ่งปรากฏตัวออกมาจากความมืด 


 


 


“ไอ้พวกหมู ข้าว่าแล้วเชียว ตอนที่สวาปามกันแบบไม่มีสติ…เฮือก!” 


 


 


“ทำไม เจ้าเองก็ปวด…?” 


 


 


จู่ๆ ทหารยามที่หัวเราะคิกคักก็ส่งเสียงแปลกๆ ออกมาพร้อมกับสลบไป ส่วนเพื่อนทหารที่หัวเราะเยาะก็หมดสติไปเช่นกันโดยมีลูกดอกอาบยาพิษอ่อนๆ ที่ทำให้หลับสักพักปักอยู่ตรงหลังคออย่างแม่นยำ ผ่านไปสักพักมินอาจึงเอาแขนเสื้อที่ถกขึ้นลงและลากสองคนนั้นเอาไปซ่อนไว้ข้างๆ ก่อนจะไปเคาะประตูคุก 


 


 


“มีอะไร เอ๊ะ…?” 


 


 


ทหารยามที่เปิดประตูอย่างแรงมึนงง หลังจากเห็นว่าไม่มีคนอยู่ข้างนอกก็เดินออกไปข้างนอกสองสามก้าว ทหารยามในคุกจึงเหลืออีกเพียงคนเดียว มินอาจัดการทหารที่เดินออกไปข้างนอกจนสลบและลากไปกองรวมกับเพื่อนทหารก่อนหน้านี้ แล้วจึงเข้าไปด้านในและปิดประตู ก่อนจะจัดการคนสุดท้ายอย่างง่ายดาย เคร้ง พวงกุญแจที่มินอาคลำหาจากหน้าอกของทหารยามกระทบกันพร้อมกับส่งเสียงใสออกมา แม้กระทั่งในขณะที่มือของนางพยายามหาลูกกุญแจที่ตรงกับแม่กุญแจทีละดอกอย่างใจเย็นด้วยความว่องไว ชานก็ยังคงทำเพียงแค่นั่งมองมินอาอย่างนิ่งๆ เท่านั้น 


 


 


“ออกมาเพคะ” 


 


 


ในที่สุดประตูคุกที่ถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาก็ถูกเปิดออก มินอารีบเอามีดสั้นออกมาจากต้นขาและเริ่มตัดเชือกที่รัดตัวของชานไว้ออก 


 


 


“พระมเหสีทรงส่งเจ้ามาหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันมาเองเพคะ ป้ายสลักและม้ารออยู่ด้านนอกเพคะ” 


 


 


ตุบ ท้ายที่สุดมือของชานก็เป็นอิสระ แต่ชานกลับดึงมินอาที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นตรงหน้าเข้ามากอดแน่นแทนที่จะลุกขึ้น และกระซิบอย่างแผ่วเบา 


 


 


“พนันกันแล้วนี่ ข้าชนะ” 


 


 


หัวใจของมินอาเย็นวาบเป็นน้ำแข็ง ไม่อยากได้ยิน คำที่เขากำลังจะพูดในตอนนี้ นางคิดว่าจะต้องบีบบังคับเขา แต่มือที่ถูกเขาบีบบังคับก่อนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย 


 


 


“จำไม่ได้เพคะ หม่อมฉันไม่เคยทำเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


“ข้าจะไม่ทำเรื่องให้พระชายาต้องตกอยู่ในความลำบากเพราะข้า ข้าสัญญาไว้เช่นนั้น” 


 


 


“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้เพคะ ฝ่าบาท ได้โปรด…” 


 


 


มินอาส่ายหัวและพึมพำอย่างไร้สติ เหลือชานกับนางเพียงแค่สองคนเท่านั้นในโลกที่เปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลน 


 


 


“ข้าจะรักษาสัญญา ส่วนเจ้า คำสั่งหนึ่งของข้าก็คือ…ฟังคำขอของข้า” 


 


 


ชานดึงมินอามากอดเอาไว้แน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง และใช้มือข้างที่เหลือคลำหาตรงต้นขาของนาง 


 


 


“เจ้า จงมีชีวิตอยู่ต่อไปซะ” 


 


 


มีดสั้นที่ถูกเสียบอยู่ตรงนั้นเสมอปักเข้าที่คอของชานในพริบตาเดียว แขนที่กอดมินอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้อ่อนแรงลงในเวลาเดียวกัน ชานขยับมืออย่างยากลำบากเพื่อดึงผ้าคลุมหน้าที่ปิดบังใบหน้าของมินอาไว้อยู่ลง โล่งใจที่ได้เห็นแสงจันทร์ซึ่งลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเล็กสาดส่องใบหน้าของนาง พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาออกให้ ใบหน้าเล็กที่แสดงความรู้สึกต่อเขาโดยไม่ปิดบังเป็นครั้งแรกช่างงดงามยิ่งนัก 


 


 


“ฝะ ฝ่าบาท…” 


 


 


“ข้า ขอโทษ ในชาติหน้า…ข้าขอให้เจ้า…กับผู้ชายธรรมดา…เป็นภรรยาของเขา…” 


 


 


หยาดน้ำตาไหลรินลงมาบนใบหน้าของคนรักที่ซีดเซียว มินอาใช้มืออันสั่นเทาดึงมีดสั้นออกและพยายามห้ามเลือดที่ทะลักออกมาจากแผลโดยเปล่าประโยชน์ แต่เลือดก็ยังคงไหลลงมาตามนิ้วไม่หยุด 


 


 


“ไม่ ไม่เพคะ ฝ่าบาท ไม่” 


 


 


ไม่ อย่าสัญญาเรื่องชาติหน้าสิ นี่มันไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย แต่สุดท้ายแล้วมันคือครั้งสุดท้าย มืออุ่นลูบใบหน้ามินอาอย่างอ่อนแรง ก่อนจะร่วงหล่นลงไปที่พื้นไม่ไหวติง 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันรักฝ่าบาทเพคะ ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ หม่อมฉันรัก…ฝ่าบาทสุดหัวใจ ได้โปรดฟื้นขึ้นมาสิเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


คำสารภาพที่ไม่เคยพูดออกไปสักครั้งจากปากของมินอาซึ่งล้มตัวลงบนหน้าอกของชาน ทั้งที่กดแผลที่เลือดยังคงไหลอยู่ คำพูดนั้นลอยละล่องไปตามควันสีขาว 


 


 


ชีพจรที่รู้สึกได้จากคอของชานในค่ำคืนที่ได้พบกันครั้งแรกนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว เสียงทุ้มต่ำที่เคยบอกว่าหากถอดชุดเครื่องแบบออกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยก็ไม่มีอีกแล้วเช่นกัน มินอาลูบใบหน้าที่ไม่อาจแตะต้องได้เป็นครั้งสุดท้าย ริมฝีปากประทับบนริมฝีปากเย็นเฉียบของชาน ก่อนจะผละออกมาอย่างเศร้าสร้อย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


นั่นคือการตายขององค์ชายผู้ซึ่งลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทและแย่งชิงบัลลังก์ พิธีศพของเขาจะไม่จัดตามธรรมเนียมของราชวงศ์ แต่ท่านมหาเสนาบดีจะเป็นผู้รับผิดชอบพิธีศพที่ยิ่งใหญ่ให้สมกับเขาด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่มีแขกมาเคารพพระศพขององค์ชายเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นมินอาจึงสามารถร้องไห้คร่ำครวญได้อย่างเต็มที่เท่าที่ต้องการ นางไม่กินและไม่ดื่มอะไรเลยตลอดทั้งห้าวัน จนทรุดลงไปอย่างหมดแรงในวันที่ฝังศพของเขาท่ามกลางสายฝนในฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเหน็บ 


 


 


“ไปตามหมอมา” 


 


 


ซอดูรับมินอาไว้ได้ก่อนที่นางจะล้มลงไปบนพื้นและพึมพำด้วยเสียงขรึม แต่โฮจินรีบวิ่งไปอย่างว่องไวก่อนที่เขาจะพูดจบเสียอีก 


 


 


มินอาเอนตัวลงนอนที่เรือนเล็กซึ่งรยูฮาเคยใช้ก่อนที่จะแต่งงาน แต่นางไม่ได้อยู่คนเดียว นายหญิงตระกูลจองใช้มือที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเช็ดหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อให้ ส่วนซอดูก็เฝ้าอยู่ข้างนอกเงียบๆ ผ่านไปไม่นาน โฮจินก็กลับเข้ามาที่ห้องด้วยเสียงดังวุ่นวายและวางหมอที่พาดไว้ที่ไหล่ลง 


 


 


“รีบๆ จับชีพจรดูสิ” 


 


 


“เงียบหน่อย เดี๋ยวมินอาก็ตกใจหรอก” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองปรามโฮจินที่ตะคอกใส่หมอ สถานที่ที่เขาถูกชายหนุ่มลากมาให้ทำการรักษาไม่ใช่ที่อื่นใดแต่เป็นบ้านของท่านมหาเสนาบดี หมอพยายามทำให้หัวใจที่ตื่นตระหนกสงบลง แล้วจึงเอานิ้วมือสองนิ้วไปแตะบนข้อมือและหลับตาลง 


 


 


“…เฮ้อ ตายจริง” 


 


 


หลังจากเวลาที่ยาวนานที่สุดสำหรับครอบครัวผ่านไป หมอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ และค่อยๆ วางข้อมือของมินอาไว้บนเตียงเหมือนเดิม 


 


 


“สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่แบบนี้ไปทำอะไรมา ชีพจรถึงได้แย่เช่นนี้” 


 


 


ปัง ซอดูที่เงี่ยหูฟังอยู่เปิดประตูพรวดเข้ามาในทันทีทันใด เขามักจะสุขุมเยือกเย็นอยู่เสมอ แต่ตอนนี้แม้แต่หนวดเคราสีขาวก็ยังสั่นเครือ 


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” 


 


 


“ไม่รู้หรือขอรับ” 


 


 


หมอมองดูพวกเขาที่ยืนห้อมล้อมกันในห้องสลับกับหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงเหมือนกับตายไปแล้วด้วยความสับสน วงศ์ตระกูลของท่านมหาเสนาบดีที่เรืองอำนาจ มีทั้งพระมเหสี ท่านมหาเสนาบดีและเจ้ากรมกลาโหมรวมตัวกันในตระกูลเดียว แต่กลับไม่มีใครทราบเลยว่าสตรีของตระกูลกำลังตั้งท้อง 


 


 


“น่าจะประมาณสองเดือนได้แล้วขอรับ แม้ชีพจรอยู่ในระดับนี้ แต่ก็โชคดีมากนะขอรับที่แม่ของเด็กไม่เป็นลมล้มพับลงมา”  

 

 


ตอนที่ 12-12

 

เสียงถอนหายใจดังไปทั่วห้องแทนที่จะเป็นเสียงแสดงความยินดีเรื่องชีวิตใหม่ที่จะถือกำเนิดขึ้น โฮจินปิดใบหน้าที่บูดเบี้ยวและสบถคำหยาบออกมา ส่วนท่านมหาเสนาบดีก็เบือนหน้าไปอย่างเงียบๆ และพึมพำกับตัวเอง มีเพียงแค่นายหญิงตระกูลจองเท่านั้นที่กุมมือของมินอาไว้แน่น และลูบใบหน้าอันซูบผอมของนางด้วยมือข้างหนึ่ง 


 


 


“กรุณาเก็บผลตรวจชีพจรในวันนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะขอรับ ท่านหมอ” 


 


 


ท่านมหาเสนาบดีลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ 


 


 


“ขอรับ ได้อยู่แล้วขอรับ” 


 


 


หมอรีบเก็บของด้วยความรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติ เขากำลังจะลุกขึ้นอย่างว่องไวแต่มือหยาบกระด้างกลับจับไหล่ของเขากดลงไปเสียก่อน 


 


 


“จะไปไหนหรือ” 


 


 


“ขอรับ?” 


 


 


“ยา ต้องเขียนใบสั่งยาให้ก่อนแล้วค่อยไปสิ” 


 


 


“อ่อ ขอรับ ยา…อะไรหรือ” 


 


 


ดูจากบรรยากาศแล้วคงจะเป็นยาที่ทำให้แท้งแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย หมอจึงรีบนำกระดาษและพู่กันออกมาจากห่อของ และเหลือบมองชายหนุ่มที่จับไหล่ของเขาไว้เมื่อสักครู่ แต่โฮจินที่ทำหน้าบึ้งไม่พอใจตบไหล่หมอเบาๆ และพูดสิ่งที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง 


 


 


“ก็ต้องเป็นยาที่ดีต่อคนท้องสิ” 


 


 


“ขอรับ?” 


 


 


หมอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านี่มันเป็นสถานการณ์แบบไหนกันแน่ แต่พอหันไปมองด้านข้างก็เห็นท่านมหาเสนาบดีพยักหน้าให้อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน จึงชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคือยาที่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์จริงๆ 


 


 


“อ๋อ ช่วยทำให้ความอยากอาหารกลับมาด้วยนะ นางไม่ค่อยกินข้าวเลย” 


 


 


“โธ่ ได้เลยขอรับ คนท้องจะต้องกินอาหารเยอะๆ ใช่ไหมล่ะขอรับ” 


 


 


หมอพยายามตั้งสติและรวบรวมความรู้ที่มีไล่เขียนชื่อสมุนไพรที่ดีต่อคนท้องลงไป โฮจินฉวยกระดาษนั้นไปเก็บไว้ในหน้าอกก่อนที่หมึกจะแห้งและวิ่งออกไป แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมาใหม่อีกรอบ 


 


 


“ถ้าเอาไปพูดที่ไหนล่ะก็ ได้ตายจริงๆ แน่” 


 


 


“ขะ ขอรับ ไม่ต้องห่วงขอรับ” 


 


 


โฮจินวิ่งฝ่าลมหนาวออกไปหลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัด เขาคงจะไปเอายาสมุนไพรที่ดีที่สุดในพระราชวังเป็นแน่ เพราะว่าสามารถเข้าๆ ออกๆ พระราชวังได้อย่างเปิดเผยไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนจึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีที่ได้รับตำแหน่งขุนนางเฮงซวยนี้ ท่านมหาเสนาบดีมองดูเบื้องหลังของโฮจินและลูบเครา กลับมาสุขุมดังเดิม ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“ข้าก็คงจะต้องกลับเข้าวังด้วยเช่นกัน ฝากดูแลมินอาหน่อยนะ” 


 


 


“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะใต้เท้า” 


 


 


ท่านมหาเสนาบดีให้หมอนำหน้าไปก่อนแล้วจึงข้ามธรณีประตูออกไป จากนั้นภายในห้องจึงเหลือแค่นายหญิงตระกูลจองกับมินอาเพียงสองคน ในตอนนั้นเองนายหญิงตระกูลจองจึงหลับตาลงอย่างกลัดกลุ้มและดึงมืออันเย็นเฉียบของมินอามาแตะไว้ที่หน้าผาก 


 


 


“เด็กที่น่าสงสาร ลูกแม่ที่น่าสงสาร เด็กที่จิตใจดีแบบนี้มีบาปมีกรรมอะไรกัน” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองนวดมือและเท้ามินอาสักพัก แล้วจึงถือกะละมังที่เย็นลงลุกขึ้นไปเอาน้ำมาใหม่ เสียงประตูดังขึ้นต่อจากเสียงฝีเท้าที่เงียบลง จากนั้นความเงียบสงบก็กลับมาอีกครั้ง มินอาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเงียบสงบและวางมือซีดเผือดบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…อุ้มลูกของฝ่าบาทเพคะ” 


 


 


เสียงอู้อี้ในลำคอเอ่ยถึงคนรักอย่างเงียบๆ นายหญิงตระกูลจองที่กลับเข้ามาหลังจากนั้นไม่นานไม่ได้พูดอะไรกับมินอาที่ฟื้นขึ้นมา นางเพียงแค่ถือโจ๊กหนึ่งถ้วยเข้ามาและป้อนใส่ปากหลังจากเช็ดหน้าผากให้แล้วเท่านั้น เนื่องจากเป็นครั้งแรกในห้าวันที่อาหารตกถึงท้อง มินอาจึงกินโจ๊กหนึ่งถ้วยจนหมดเกลี้ยงและเอนตัวลงนอนตามเดิม 


 


 


“ท่านแม่” 


 


 


เสียงเรียกเบาๆ ของมินอาทำให้ดวงตาของนายหญิงตระกูลจองตาโตขึ้นเล็กน้อย 


 


 


“ว่าอย่างไร…” 


 


 


“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่” 


 


 


มันคือคำที่ไม่เคยได้ยินจากปากของมินอาสักครั้ง แม้จะเลี้ยงนางมาตั้งแต่เริ่มหัดพูดก็ตาม ท่านแม่ 


 


 


“ขอบใจนะ มินอา แม่ขอบใจเจ้ามากกว่าเสียอีก” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองอมยิ้มอย่างมีความสุข และปัดผมที่ปรกลงมาให้หลังจากที่จัดมุมผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อยแล้ว 


 


 


“ลูกสาวของแม่ นอนพักอีกสักหน่อยนะ” 


 


 


“เจ้าค่ะ ท่านแม่” 


 


 


มินอานอนหลับจนถึงเย็นและตื่นขึ้นมากินโจ๊กที่นายหญิงตระกูลจองป้อนให้จนหมดชามอีกครั้ง ทั้งยังดื่มยาสมุนไพรต้มที่ฮาแบคต้มมาให้ด้วยตัวเองจนหมดพลางส่งยิ้มให้เล็กน้อย และในค่ำคืนนั้น นางได้หายตัวไปก่อนที่แสงสลัวในยามรุ่งอรุณจะกลับมา นางจากไปพร้อมกับชุดคลุม ดาบ ถุงเงินและแผนที่ของพระราชวังที่ไร้ประโยชน์แล้วในตอนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รยูฮามอบให้กับนาง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ตอนที่เด็กคนนั้นออกไป! เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีคนเห็นเลยสักคน!” 


 


 


การที่เสียงของรยูฮาทะลุไปถึงด้านนอกกำแพงวังจานยองไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก ความวิตกกังวลถูกส่งออกมาถึงโฮจินที่ยืนกุมขมับอยู่หน้าประตูห้อง มินอาซ่อนตัวอย่างมิดชิดจนแม้แต่เขาก็ยังหาไม่เจอ 


 


 


“กระหม่อมไม่มีอะไรจะทูลพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“…เฮ้อ” 


 


 


รยูฮาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่มินอานั่งลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฟุบหน้าลง 


 


 


“สะเพร่า ข้าสะเพร่าจนเกินไป มินอาก็เลย…” 


 


 


ตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ นางไม่เคยนึกถึงเลย ถ้ารู้ก่อนก็คงจะทำอะไรบางอย่างกับพวกเสนาบดีเพื่อขัดขวางการลงโทษของชานแล้ว เสียสละ เสียสละ ตั้งแต่ต้นจนจบมินอาก็ทำเพียงแค่เสียสละเพื่อรยูฮาเท่านั้น การตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตชานจากในมุมมืดโดยที่ไม่ไปแตะต้องพระบรมราชโองการของฮอนคือความผิดมหันต์ 


 


 


“ให้หัวหน้าหน่วยและพลทหารของเจ้ากระจายกำลังออกไปให้หมด” 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีออกคำสั่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๋อ ฝ่าบาททรงทูลว่าจะเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทันทีที่โฮจินพูดจบ เสียงฝีเท้าที่รีบเร่งก็พุ่งมายังโถงทางเดิน จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงดังลั่น 


 


 


“พระมเหสี!” 


 


 


“เสด็จมาแล้วหรือเพคะ” 


 


 


สายตาของเขาเหมือนกับตอนที่ไล่ตามผู้ต้องสงสัยในการลอบสังหารโฮจินกับแชยอน ดวงตารยูฮาที่สูญเสียความใจเย็นไปมองดูฮอนพร้อมกับทักทายซึ่งผิดหลักธรรมเนียม แต่โฮจินก็ทำเพียงแค่เขยิบไปด้านข้างหนึ่งก้าวเท่านั้น พร้อมกับพึมพำว่าน่าจะฆ่าไอ้หมอนั่นทิ้งไปซะ 


 


 


“มีที่ที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่” 


 


 


“ไม่เลยเพคะ เด็กคนนั้นตัวติดกับข้ามาตลอดชีวิต จึงไม่มีทั้งที่ไปและคนที่จะดูแลได้เลยเพคะ นางถนัดเรื่องการปลอมตัวและซ่อนตัว ดังนั้นหากนางตัดสินใจที่จะซ่อนก็ไม่มีทางหาเจอเพคะ” 


 


 


ฮอนกอดรยูฮาที่นอนฟุบอย่างหมดหวังไว้แน่น ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถลบได้และความเป็นกังวลเรื่องรยูฮาผสมปนเปกันเป็นหนึ่งเดียวจนทำให้เกิดริ้วรอยลึกบนหน้าผากของฮอน หลังจากนั้นสักพักเสียงของรยูฮาก็เล็ดลอดออกมาจากอ้อมกอดของเขาอย่างสงบนิ่ง 


 


 


“คนที่ช่วยชีวิตฝ่าบาทคือมินอาเพคะ” 


 


 


“ว่าไงนะ…” 


 


 


“มินอาไปเอายาถอนพิษมาจากอดีตองค์ชายผู้ล่วงลับไปแล้วเพคะ อดีตองค์ชายทรงทูลให้ฟังว่านางขู่ว่าจะฆ่าตัวตายบนเตียงที่วังจงซูหากทรงไม่ส่งสิ่งนั้นมาให้เพคะ และนางน่าจะทำเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นนางจึงช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ด้วยการเอาชีวิตของตัวเองไปเป็นเดิมพันเพคะ” 


 


 


รยูฮาที่นอนฟุบเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและมองฮอนด้วยความขุ่นเคือง 


 


 


“แต่ฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไรเพคะ ในเมื่อทรงประกาศพระบรมราชโองการแล้ว…มินอา……” 


 


 


มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแสดงความไม่พอใจฮอน เพราะเขาก็แค่ตัดสินในสิ่งที่กษัตริย์ควรจะทำเท่านั้น หากตนเป็นกษัตริย์ก็คงจะออกคำสั่งแบบนั้นเช่นนั้น รยูฮาเข้าใจความจริงข้อนี้ดี แต่ถึงอย่างนั้นความขุ่นเคืองที่ไม่มีที่ลงก็ตรงเข้าหาฮอนอยู่ดี 


 


 


“นางตั้งท้อง มินอาตั้งท้องลูกของอดีตองค์ชายเพคะ” 


 


 


ฮอนเริ่มหน้าซีด จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลาน หลานแท้ๆ คนแรกและคนสุดท้ายของเขา 


 


 


“หม่อมฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือเพคะว่าให้ไว้ชีวิต ให้ไว้ชีวิตคนรักของน้องสาวของหม่อมฉัน หม่อมฉัน…พ่อของเด็ก…” 


 


 


น้ำตาที่เอ่อขึ้นมารินไหลอาบแก้มของนาง รู้สึกสงสารและเห็นใจมินอา รวมถึงรู้สึกผิดต่อเด็กที่ยังไม่เกิดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคิดถึงเช่นกัน 


 


 


“เพื่อที่จะไม่ทำให้ตระกูลและราชวงศ์เสื่อมเสีย นางจึงหลบหนีออกไปเพคะ นางเป็นเด็กเช่นนั้น เพราะว่าไม่สามารถเลี้ยงลูกของกบฏที่ไหนก็ได้ นางจึงตัดสินใจที่จะออกไปจัดการเพียงลำพังเพคะ” 


 


 


“พระมเหสี” 


 


 


“อย่าทรงเรียกเช่นนั้นเพคะ เป็นพระมเหสีแล้วทำอะไรได้บ้าง อำนาจของตระกูลล้นฟ้าแล้วทำอะไรได้ ขนาดน้องที่มีเพียงคนเดียวยังดูแลให้ดีไม่ได้เลย…” 


 


 


“ออกจากวังไปเถิด” 


 


 


เสียงอันแข็งทื่อของฮอนทำให้รยูฮาหยุดพูด 


 


 


“ฝ่าบาท?” 


 


 


“นางคือน้องคนเดียวของเจ้าไม่ใช่หรือ ไปตามหานางเถอะ”  

 

 


ตอนที่ 12-13

 

นางเพิ่งจะได้ขึ้นมาเป็นพระมเหสีได้ไม่นาน ดังนั้นหากหายตัวไปก็คงจะโดนติฉินนินทา รวมถึงเป็นการสร้างรอยด่างพร้อยให้แก่อำนาจของราชวงศ์ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร มันก็ยังดีกว่าการที่รยูฮาเอาแต่ร้องไห้และจมอยู่กับความเศร้าโศกภายในพระราชวังแบบนี้ 


 


 


“ทำเช่นนั้นไม่ได้เพคะ ฝ่าบาทก็ทรงทราบไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


ฮอนเอามือออกจากไหล่ของรยูฮาที่โอบกอดไว้ ก่อนจะเปิดตู้เอกสารและควานหาด้านในนั้นเพื่อเปิดพื้นที่ลับแทนคำตอบ ดาบสีนิลกับชุดคลุมและ**บใส่เงิน ของทั้งหมดที่นางต้องการในตอนนี้อยู่ในนั้น 


 


 


“ตอนนี้ไปลาพระพันปีเสียเถอะ ส่วนเรื่องขาดพระมเหสี เดี๋ยวข้าจะจัดการเอง จะนานแค่ไหนก็ไม่เป็นไร” 


 


 


รยูฮาทอดสายตามองสิ่งเหล่านั้นสักพักก็ลุกขึ้น นางยื่นแขนออกไปโอบรอบคอของเขา ทำให้กลิ่นกายของเขาที่ผสมไปด้วยกลิ่นอันซับซ้อนหลากหลาย เช่น หมึกกับดอกกล้วยไม้โชยเข้ามาในจมูก ไออุ่นของร่างกายในขณะที่ซบใบหน้าลงในอ้อมอกกว้างทำให้จิตใจค่อยๆ รู้สึกสงบขึ้น 


 


 


“หม่อมฉันจะรีบกลับมาเพคะ” 


 


 


นี่แหละคือรยูฮาที่ฮอนรัก เสียงของนางกลับมาเฉียบขาดไร้เสียงสะอื้น ส่วนแขนก็ดึงเขาเข้ามากอดอย่างแรง จนถึงตอนนี้รยูฮาช่วยฮอนมาเยอะแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่ฮอนจะช่วยรยูฮาบ้าง 


 


 


“ขี่ม้าของข้าไปนะพระมเหสี มันคือม้าที่เร็วที่สุดในบรรดาม้าทั้งหมด และข้าจะมอบราชโองการที่ประทับตรากษัตริย์ให้ด้วย เจ้าสามารถใช้ของที่ต้องการจากหน่วยงานราชการทั้งหมดในประเทศได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง กำลังทหารหรือข้อมูลข่าวสาร” 


 


 


“ทรงอยู่คนเดียวได้ใช่ไหมเพคะ” 


 


 


“หัวใจของข้าอยู่เคียงข้างพระมเหสีเสมอ เพราะฉะนั้นข้าไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


 ริมฝีปากของรยูฮาเลื่อนขึ้นมาประกบริมฝีปากของฮอน ฮอนหอบหายใจและผละออกไปอย่างช้าๆ เหลือไว้เพียงความเสียดายในลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดหยอกเย้ากันอย่างอบอุ่น 


 


 


“ที่เหลือ ไว้กลับมาแล้วค่อยทำกันนะ ฮอน” 


 


 


“ยังมีคนอยู่ข้างๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินที่มองดูภาพนั้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงพูดออกมาเบาๆ ในตอนนั้นเองสายตาของทั้งคู่ที่เพิ่งรับรู้การมีอยู่ของเขาจึงจ้องมองไปที่โฮจิน 


 


 


“เจ้ากรมกลาโหม” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าจะมอบวันหยุดให้เจ้า ไปด้วยกันกับพระมเหสีและปกป้องนางซะ อ่อ แต่ไม่มีค่าตอบแทนนะ เราต้องแยกเรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวออกจากกันใช่ไหมเล่า” 


 


 


“โอ๊ย อีกแล้ว” 


 


 


อย่าว่าแต่โค้งคำนับเลย แม้แต่จะบอกลาสักคำยังไม่มี โฮจินปิดประตูดังปังและหายตัวไป แต่ทั้งฮอนและรยูฮาต่างไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“ขออีกสักรอบได้หรือไม่” 


 


 


มีบางสิ่งบางอย่างรุ่มร้อนในแววตาของฮอนที่ปนไปด้วยรอยยิ้ม ถ้าจากไปตอนนี้ก็คงจะไม่ได้เจอกันสักพักใหญ่ๆ รยูฮายกมือขึ้นมาลูบขนคิ้วและริมฝีปากระเรื่อทีหนึ่ง ฮอนก้มหน้าลงมาดูดเม้มริมฝีปากของรยูฮาเบาๆ เขาเพลิดเพลินกับสัมผัสอุ่นนุ่มสักพักหนึ่ง และในตอนที่ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ นั้นเอง 


 


 


“เฮือก!” 


 


 


เขาสะดุ้งตกใจจนริมฝีปากผละออกจากกันโดยไม่รู้ตัว ขนตายาวของรยูฮาที่กะพริบและดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกำลังสำรวจมองสีหน้าของเขาที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับการจูบ 


 


 


“เจ้าต้องหลับตาสิ… เฮ้อ จริงๆ เลย” 


 


 


บรรยากาศเสียหมด ฮอนเสียสมาธิและเอามือกุมหัวตัวเอง เขาลังเลไม่กล้าพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา 


 


 


“หม่อมฉันเสียดาย” 


 


 


มือของรยูฮาลูบไล้ใบหน้าเขาอีกครั้งหนึ่งด้วยความเสียดาย 


 


 


“พอตั้งใจจะผลิตลูกหลานของราชวงศ์ก็ต้องจากพระพักตร์อันหล่อเหลานี้ไปอีกแล้ว ก็เลยรู้สึกเสียดายเพคะ” 


 


 


“ไม่ต้องไปก็ได้นะ แล้วส่งเจ้ากรมกลาโหมไปแค่คนเดียว” 


 


 


ฮอนบอกความปรารถนาเล็กๆ ด้วยปากที่เต็มไปความเสียดายเช่นกัน 


 


 


“หม่อมฉันคงต้องขอตัวไปที่วังจางชุนก่อนเพคะ ทรงดูแลตัวเองด้วยนะเพคะฝ่าบาท” 


 


 


ชายชุดสีขาวหันหลังกลับไปพร้อมกับคำพูดที่เย็นชาและออกไปจากวังจานยองโดยไม่ลังเล ฮอนซึ่งถูกทิ้งอยู่ด้านหลังยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจัดชุดคลุมซึ่งวางอยู่บนโต๊ะและเดินออกไป รยูฮาวิ่งตรงไปยังวังจางชุนในทันทีโดยที่ไม่รอให้เขาออกมา 


 


 


“ไม่ได้เจอกัน…พักใหญ่ๆ แล้วนะ พระมเหสี” 


 


 


ดวงตาของพระพันปีซึ่งจมอยู่กับความสิ้นหวังวาดรอยยิ้มเป็นครั้งแรกหลังจากสูญเสียบุตรและหลานติดต่อกัน หัวใจของรยูฮาเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง บางทีรอยยิ้มของพระพันปีอาจจะกลับคืนมาเพราะหลานที่ยังไม่ลืมตาดูโลกก็เป็นได้ 


 


 


“เสด็จย่าโปรดทรงช่วยเหลือหม่อมฉันด้วยเพคะ เราต้องคืนตำแหน่งให้แก่อดีตองค์ชายเพคะ” 


 


 


จะออกตามหามินอาเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะหากไม่สามารถคืนตำแหน่งทางสายเลือดให้กับชาน มินอาก็จะไม่มีวันได้กลับมายังเมืองหลวงอีกเลย ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งเสียงที่เป็นเอกฉันท์ของเหล่าเสนาบดี 


 


 


“หญิงชราคนนี้จะไปมีอำนาจอะไรเล่า แต่ในระหว่างที่พระมเหสีออกไปตามหาเด็กคนนั้น ย่าจะลองเคลื่อนไหวพวกเสนาบดีให้นิดหน่อยแล้วกันนะ” 


 


 


“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่า” 


 


 


รยูฮากุมมือที่อ่อนแรงของหญิงชราแน่น พระพันปีที่เคยต้อนรับนางอย่างไร้เรี่ยวแรงทุกครั้งที่มาเข้าเฝ้าในทุกเช้าลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง ด้วยความคาดหวังที่จะได้พบเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวที่หลานอันเป็นที่รักยิ่งทิ้งไว้ให้ ความรักและพลังของผู้อาวุโสซึ่งเหลือเพียงคนเดียวในราชวงศ์น่าจะสามารถปกป้องมินอาและลูกของนางจากเหล่าเสนาบดีที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์และกฎระเบียบได้ ความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะตามหามินอาและพากลับมาได้อย่างปลอดภัยลุกโชนขึ้นภายในใจของรยูฮา แทนที่จะเป็นความสิ้นหวังอันมืดมนหรือความเศร้าเสียใจ 


 


 


“เดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพนะ ย่าฝากด้วย” 


 


 


“ไม่ต้องกังวลพระทัยเพคะเสด็จย่า หม่อมฉันจะกลับมาโดยปลอดภัยเพคะ” 


 


 


เย็นวันนั้น รยูฮาออกจากพระราชวังไปทันทีหลังจากไปรับม้าและตรารับรองของกษัตริย์จากฮอนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงตามหาร่องรอยที่มินอาทิ้งไว้และเดินไปตามเส้นทางที่นางน่าจะเข้าไปหลบซ่อนพร้อมกับร้องไห้ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 


 


 


เป็นไปตามคาด ทันทีที่ยกเรื่องการคืนตำแหน่งขึ้นมา เสียงตะโกนเซ็งแซ่ของเหล่าเสนาบดีก็ระเบิดออกมาโดยพร้อมเพรียงกันประหนึ่งพลุในงานเทศกาล แม้จะไม่ตกใจเพราะเป็นการตอบสนองที่คาดการณ์ไว้แล้ว แต่คงจะเป็นเรื่องโกหกถ้าบอกว่าไม่ปวดหัว เขาได้คัดกรองพวกปลิงที่เกาะอยู่รอบตัวเพราะอำนาจออกไปหมดแล้ว แต่คราวนี้สาเหตุมาจากพวกขุนนางชราที่หัวแข็งมากเกินไปซึ่งยังเหลืออยู่เท่านั้น 


 


 


“ถึงแม้ว่าจะฆ่าตัวตายก่อนได้รับการลงโทษ แต่ก็ถือว่าเป็นกบฏอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ การที่จะทรงคืนตำแหน่งให้หลังจากความผิดทุกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน โดยไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์เป็นเรื่องที่ไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ โปรดทรงยกเลิกความคิดเช่นนั้นด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“โปรดทรงยกเลิกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“พอเป็นเรื่องไร้สาระ ก็สามัคคีกันดีจริงเชียว” 


 


 


ดูจากที่ประสานเสียงสูงต่ำโดยพร้อมเพรียงกันจนน่าตกใจ จนนึกว่าไปแอบซุ่มซ้อมที่ไหนสักแห่งมา พอนึกถึงภาพของเหล่าเสนาบดีที่ไปรวมตัวกันตรงมุมหนึ่งเพื่อซ้อมประโยคนั้นขึ้นมา ฮอนก็หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัวและรีบหยุดทันที สำหรับเขาแล้วการรักษาความมีเกียรติยากเสียยิ่งกว่าการดูแลงานบ้านงานเมืองอีก 


 


 


“ฝ่าบาท เหตุผลที่ทรงรับสั่งให้มีการคืนตำแหน่งในตอนนี้คือสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คำถามของเสนาบดีคนหนึ่งทำให้สายตาที่เป็นประกายจับจ้องมาที่เขา เขาเหงื่อตกด้วยความกดดัน หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็คงจะไม่ปลดพวกปลิงออกไปรวดเดียวและเอาออกไปทีละคนแทน 


 


 


“เพราะเขาคือราชโอรสแท้ๆ ของพระราชาองค์ก่อนซึ่งไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้” 


 


 


“นั่นคือเหตุผลที่ทรงรับสั่งให้ฝังศพของนักโทษไว้ในบริเวณพระราชสุสานมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พังแล้ว เขาถูกกดดันโดยเหล่าเสนาบดีซึ่งมีความชำนาญในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ย่ำแย่ในท้องพระโรงมาตั้งแต่ที่ฮอนเพิ่งหัดเดินเตาะแตะ แม้จะส่งสายตาของความช่วยเหลือให้ท่านมหาเสนาบดี แต่ท่านพ่อตากลับมองแต่พวกเสนาบดีที่อยู่ข้างหน้าฮอนโดยไม่ได้พูดอะไร และในสถานการณ์เช่นนั้นฮอนได้ตระหนักอย่างถ่องแท้ถึงความสำคัญที่ต้องทำให้พระบรมราชโองการศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ซึ่งท่านมหาเสนาบดีที่เต็มใจลาออกด้วยตัวเองนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 


 


 


“เฮ้อ” 


 


 


ฮอนถอนหายใจพลางเอามือก่ายหน้าผาก เขานวดหลังคอพร้อมกับลุกขึ้นยืนจากราชบัลลังก์ 


 


 


“ข้าจะเก็บญัตตินี้ไปก่อน เอาของว่างมาให้ข้าที่ห้องทำงานด้วย” 


 


 


ลมเย็นซึ่งเกิดจากเสื้อคลุมมังกรทองพัดผ่านหน้าของบรรดาเสนาบดีไป แม้จะสั่งให้นำของว่างมาถวาย แต่จริงๆ แล้วฮอนไม่ได้หิวแม้แต่น้อย เขากลับมายังห้องทำงานและนั่งลงบนเก้าอี้ที่พ่อของเขาเคยนั่งอยู่เป็นประจำทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่และในขณะที่สิ้นลมหายใจสุดท้าย ก่อนจะลูบพนักวางแขนอย่างเงียบๆ 


 


 


“หากเป็นเสด็จพ่อ จะทรงทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แม้แต่พระราชาองค์ก่อน ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องไปทุกเรื่อง เกิดการนองเลือดมากมายจนกระทั่งเสด็จพ่อได้นั่งบนราชบัลลังก์ หลังจากได้นั่งในตำแหน่งนั้นแล้วก็ยังกระทำความผิดโดยการปกปิดและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของพระสนมยอนอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นฮอนก็ยังคงคิดถึงบิดาของเขา 


 


 


ในสมัยที่เป็นองค์รัชทายาทไม่น่าไปเที่ยวเล่นสำมะเลเทเมาแบบนั้นและน่าจะคอยอยู่เคียงข้างพระราชาองค์ก่อนเพื่อเฝ้าสังเกตดูว่าควบคุมเหล่าเสนาบดีพวกนั้นและจัดการกับกิจการแผ่นดินอย่างไร ความเสียดายและความสำนึกผิดติดอยู่ที่ปลายนิ้วซึ่งมีคราบหมึกหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจน ทำไมตอนนั้นถึงไม่ถามคำถามให้มากกว่านี้กันนะ แต่คำถามของฮอนที่ถามในยามที่สายเกินไป ก็ไม่มีคำตอบของอดีตพระราชาย้อนกลับมา  

 

 


ตอนที่ 13-1 [เล่ม 4]

 

“นี่ ซอรยูฮา” 


 


 


“อะไร” 


 


 


ทั้งเสียงและเท้าของรยูฮาที่เดินนำหน้าลอยเข้าหาโฮจินในเวลาเดียวกัน แต่โฮจินก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาหลบมันอย่างฉิวเฉียดและขึ้นไปบนหลังม้าที่จูงอยู่เหมือนสักครู่อย่างนิ่มนวล ทำตัวอวดดีต่อไป 


 


 


“ออกมาข้างนอกแล้วก็ต้องถอดตำแหน่งออกด้วยสิ ในเมื่อตอนนี้ข้าอยู่ในตระกูลซอแล้ว ดังนั้นก็เท่ากับว่าเป็นพี่ชายของเจ้าอย่างเป็นทางการ…” 


 


 


“ถ้าไม่อยากโดนก็หุบปากซะ” 


 


 


แม้แต่สัตว์ดุร้ายก็ย่อมเชื่อฟังผู้ที่ทุบตีตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งโฮจินก็เป็นประเภทนั้นเช่นกัน 


 


 


“…จะให้ข้าเรียกว่าอะไรดีขอรับ” 


 


 


“ท่านรยูฮา” 


 


 


“ขอรับ ท่านรยูฮา ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะถามน่ะขอรับ” 


 


 


“ถ้าขืนยังพูดเรื่องไร้สาระอีกครั้งนึงล่ะก็” 


 


 


“โว้ว ช่างฉุนเฉียวง่ายเสียเหลือเกิน” 


 


 


“จะถามอะไรล่ะ พูดแค่ธุระ แล้วหุบปากซะ” 


 


 


“เหตุผลที่ปล่อยม้าดีๆ ทิ้งไว้แล้วเดินไปคืออะไรขอรับ” 


 


 


ไม่ใช่แค่ม้าที่แม้แต่คนตาบอดถึงกับปรบมือและตาลุกวาวเพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่ปล่อยไปถึงสองตัวด้วยกัน เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องดูแลม้าที่เห็นได้ชัดว่าเป็นม้าพันธุ์ดีประหนึ่งเป็นเจ้านายด้วย แค่ขี่ไปเร็วๆ ก็สิ้นเรื่อง 


 


 


“เพราะมินอาน่าจะเดินไปอย่างไรเล่า” 


 


 


“ทำไม นางก็เอาเงินไปด้วยนี่ คงจะซื้อม้าสักตัวแล้วแหละ” 


 


 


พวกผู้ชายมักจะซื่อบื้อแบบนี้อยู่แล้ว หรือมีแค่โฮจินที่ซื่อบื้อกันนะ รยูฮาลังเลสักพัก แต่ในไม่ช้าก็ตระหนักได้ว่ามันไม่สมควรที่จะต้องลังเลเลย 


 


 


“เดี๋ยวจะแท้งไง” 


 


 


นางน่าจะยังอยู่ในเมืองหลวงเพื่อที่จะสามารถไปหาหมอได้ทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น และคงจะเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ แน่นอน แต่ปัญหาก็คือการที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าตอนนี้มินอาปลอมตัวเป็นชายหรือหญิงกันแน่ จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมถึงหาร่องรอยของนางไม่เจอแม้แต่น้อย ทั้งที่ท่านมหาเสนาบดีระดมทั้งกลุ่มพ่อค้าซึ่งเป็นแหล่งข่าว ทหารและผู้อารักขาของครอบครัวออกไปตามหาแล้วก็ตาม 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็จะขี่ม้าไม่ได้เลยจนกว่าจะคลอดลูกหรือขอรับ” 


 


 


“น่าจะประมาณหกเดือน…ไม่สิ ก็คงจะขี่ไม่ได้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เฮ้อ หุบปากหน่อยเถอะ!” 


 


 


ไม่เข้าใจเลยว่าฮอนคิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งให้โฮจินมาด้วย รยูฮาตะเบ็งเสียงออกมาเพื่อที่จะปิดปากของโฮจินที่คอยรบกวนสมาธิอันยุ่งเหยิง ก่อนจะจดจ่ออยู่กับความคิด ถ้าเราเป็นมินอาจะใส่ชุดแบบไหนและไปทางไหนกันนะ 


 


 


หลังจากคิดแวบหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนว่านางน่าจะปลอมตัวเป็นผู้ชายในชุดคลุมที่เคลื่อนไหวสะดวกอย่างแน่นอน แต่แล้วก็คิดได้ว่าบางทีมินอาอาจจะคิดว่านั่นมันโจ้งแจ้งเกินไปจึงใส่ชุดผู้หญิงแทนก็ได้ 


 


 


ในระหว่างที่รยูฮากำลังพยายามค้นหาตามเมืองหลวงโดยไม่มีแผนอยู่นั้น มินอาก็อยู่ในที่ที่ไม่ว่าจะใช้คนจำนวนมากหาเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาพบ 


 


 


“ข้าจะเข้าพักเป็นเวลาห้าวัน เหล้าไม่ต้องและขอคนรับใช้แค่คนเดียวก็พอ ให้คอยอยู่ใกล้ๆ แต่ห้ามเข้ามาในห้องก่อนที่ข้าจะเรียก” 


 


 


พวงเหรียญเงินที่ชายรูปหล่อคนหนึ่งยื่นให้ ทำให้ริมฝีปากของแฮงซูฉีกกว้างไปถึงใบหู ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ราคาแพงตั้งแต่หัวจรดเท้าและการสะพายย่ามแล้วนั้น คงจะเป็นบุตรของตระกูลขุนนางที่ออกมาท่องเที่ยวเป็นแน่ จึงมองข้ามโรงเตี๊ยมที่มีมากมายประหนึ่งเม็ดทรายริมแม่น้ำและเลือกพักในสถานที่ที่ดีกว่า ทั้งยังจ่ายถึงขนาดนี้แม้จะบอกว่าไม่ดื่มเหล้าก็ตาม เรียกว่าเงินไหลเข้าถุงเงินเลยก็ว่าได้ 


 


 


“แล้วก็ ดูเหมือนว่าท่านพ่อของข้าน่าจะส่งคนมาตามหาข้า แต่ข้ายังไม่อยากกลับไป รู้ใช่ไหมว่าหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ อ๋อ แล้วจะให้เรียกท่านว่าอย่างไรหรือขอรับ เพราะว่าจะต้องจดบันทึกลงในสมุดรายชื่อ บอกนามสมมติมาก็ได้ขอรับ” 


 


 


“…ชาน” 


 


 


ชื่อนั้น มินอาอ้างชื่อที่นึกออกเป็นชื่อแรกในหัวออกไป เมื่อชื่อถูกบันทึกลงในสมุดรายชื่อจึงรู้สึกเหมือนได้ออกเดินทางมากับชาน ความคิดถึงกระจายไปทั่วภายในหัวใจอันว่างเปล่า รอยยิ้มอันเศร้าสร้อยถูกวาดบนริมฝีปากของนาง 


 


 


“ขอรับ นายท่าน พักผ่อนให้สบายนะขอรับ” 


 


 


“เดี๋ยว” 


 


 


ห่ออะไรบางอย่างถูกโยนไปตรงหน้าของแฮงซูซึ่งกำลังจะถอยกลับไปหลังจากโค้งคำนับอย่างสวยงาม 


 


 


“สุขภาพของข้าไม่ค่อยสู้ดีนักจึงต้องทานยาสมุนไพร ต้มมาให้ข้าเช้าเย็น ส่วนอาหารก็หลีกเลี่ยงของเค็มและเผ็ดด้วย ถ้าเป็นเนื้อก็ขอแบบต้มเท่านั้น” 


 


 


“ได้ขอรับ” 


 


 


พอมาดูแล้วใบหน้าที่ซีดเซียวและซูบผอมก็ดูอ่อนแอมากทีเดียว จึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ดื่มเหล้าทั้งที่มาจนถึงที่นี่แล้ว แฮงซูพยักหน้าพร้อมกับออกไปพร้อมห่อยาสมุนไพร จากนั้นมินอาจึงถอนหายใจและค่อยๆ เอนตัวนอนลงบนเตียง ก่อนอื่นพักผ่อนอยู่ที่นี่ให้เต็มที่สักห้าคืน แล้วค่อยคิดหาทางออกอย่างจริงจังหลังจากร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว 


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะฝ่าบาท” 


 


 


แม้จะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่ได้อยู่คนเดียว นางจึงไม่รู้สึกเหงาแต่กลับง่วงเสียอย่างนั้น มินอาเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ และเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัวหลังจากหาวหนึ่งที 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ช่าง…ซ่อนตัวได้เก่งจริงๆ นะขอรับ” 


 


 


“เก่งกว่าข้าเสียอีก” 


 


 


“เรื่องการซ่อนตัว ข้าเป็นคนสอนให้เองขอรับ” 


 


 


รยูฮากับโฮจินนั่งหันหน้าเข้าหากันกระดกแก้วเหล้าและพูดคุยกันเรื่องไร้สาระ หลังจากออกมาจากพระราชวัง วันนี้ก็เป็นวันที่ห้าแล้ว พวกเขาออกตามหาทั่วทุกหนแห่งแล้วไม่ว่าจะเป็นโรงหมอ โรงเตี๊ยมเก่าๆ โรงเตี๊ยมราคาแพง ไปจนถึงร้านอาหารที่ตามองเห็น แต่ก็ไม่มีลูกค้าทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายกับมินอาเลย 


 


 


“ไม่น่าให้เงินนางไปเลย” 


 


 


รยูฮานึกถึงทองที่มอบให้มินอาพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่ามินอาจะซ่อนตัวอยู่ในบรรดาโรงเตี๊ยมที่พวกเขาตามหาแล้ว แต่นางก็คงจะปิดปากเจ้าของโรงเตี๊ยมด้วยเงินนั้นไปแล้ว 


 


 


“ถึงจะไม่ให้เงิน นางก็คงจะซ่อนตัวได้ดีอยู่ดีขอรับ ดังนั้นการที่มีเงินก็ทำให้โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งนะขอรับ” 


 


 


“ก็ถูกของเจ้า” 


 


 


รยูฮารินเหล้าดังจ๊อกและเอาเข้าปากทันทีอีกครั้ง ก่อนจะสั่งเหล้าที่ดีที่สุดในโรงเตี๊ยม กลิ่นอันหอมหวานเตะเข้าที่ปลายจมูก 


 


 


“แต่ก็ดีนะที่ได้ออกมา ได้ดื่มเหล้าทุกวันด้วย ถ้าหามินอาเจอแล้ว เราไม่ต้องรีบกลับหรอก” 


 


 


“ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ไปรับแชยอนที่ฮเยกุกไม่ได้หรือขอรับ” 


 


 


“น้องสาวที่ตั้งท้องหายตัวไปทั้งคน ยังจะคิดถึงภรรยาอีกหรือ” 


 


 


“ชิ” 


 


 


โฮจินจิ๊ปากไม่พอใจ ก่อนจะกระดกเหล้าในแก้วตัวเองใส่ปาก 


 


 


“พอได้อยู่ที่นี่แล้วก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้นกว่าเดิมอีกนะขอรับ ตอนที่สั่งอาหารในโรงเตี๊ยมให้ก็ทำตาโตและหยิบกินใหญ่เลย ช่างน่ารักเสียจริง” 


 


 


“นั่นมันตอนไหนกัน” 


 


 


“ตอนที่จุดไฟเผาบ้านแชยอนแล้วหนีออกมาน่ะ” 


 


 


“เจ้านี่เองสินะ ว่าแล้วเชียว” 


 


 


โฮจินยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่หนึ่งที มาถึงตอนนี้แล้วรยูฮาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดนัก และก็ไม่ได้อยากพูดถึงตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย 


 


 


“พอข้าจุดไฟเผาและจัดการอะไรนิดหน่อยเสร็จ พวกนักลอบสังหารต่างก็กรูกันเข้ามาที่เรือนเล็ก แต่พอจัดการพวกนั้นได้ ไฟก็ลามมาถึงปลายจมูกแล้ว เฮ้อ ถ้าช้ากว่านั้นแค่นิดเดียวคงได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่” 


 


 


“ก็เจ้าเอาแต่ทำเรื่องไร้สาระอย่างไรเล่า เป็นเพราะเจ้า ข้ากับมินอาถึงได้ลำบากขนาดนี้”  

 

 


ตอนที่ 13-2

 

รยูฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่นึกถึงช่วงเวลานั้นและพูดอะไรไม่รู้ไปเรื่อย ในตอนนั้น คนสี่คนเดินทางไปพร้อมกับเพื่อตามหาคนสองคน สถานที่ที่มีความทรงจำของชานกับมินอาหลงเหลืออยู่คือพระราชวัง และ…แสงวาววับก็ส่องเข้ามาในดวงตาของรยูฮา จนขนตากะพริบอย่างรวดเร็วราวๆ สองครั้ง 


 


 


“ที่นั่นไง ข้าว่ามินอาน่าจะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” 


 


 


“ตะวันตกเฉียงเหนือ? นางจะไปที่ราบกว้างใหญ่แบบนั้นทำไมขอรับ” 


 


 


“เพราะมีร่องรอยของอดีตองค์ชายอยู่ที่นั่นไงล่ะ” 


 


 


เส้นทางที่ชานเดินทางผ่าน โรงเตี๊ยมที่ชานแวะ เหล่าราษฎรที่ชานดูแล ใช่แล้ว ถ้าตัวเองมองในมุมของมินอา หากฮอนตายไป ตัวเองก็คงจะตามหาไออุ่นของพ่อด้วยกันกับลูกในท้องเหมือนกัน ในที่สุดก็มีป้ายบอกทางปักอยู่ในการเดินทางอันสิ้นหวัง 


 


 


“ไปรอก่อนเลยดีหรือไม่” 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ ระหว่างที่มินอาเดินทางไกลเพียงลำพัง อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้” 


 


 


รยูฮายิ้มแย้มและหยิบกับแกล้มเข้าปาก แม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแต่ก็เป็นทั้งพี่ชายน้องสาวและอาจารย์กับลูกศิษย์ ถึงจะบ่นแต่โฮจินก็คงจะเป็นห่วงมินอาอยู่ในใจไม่น้อยทีเดียว 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นออกไปตามหามินอาก่อน แล้วไหนๆ ก็จะไปถึงที่นั่นแล้ว เจ้าก็ไปรับแชยอนที่ฮเยกุกด้วยเลยแล้วกัน” 


 


 


“เฉลียวฉลาดมากขอรับ” 


 


 


รอยยิ้มที่ดูมีความสุขอย่างแท้จริงปรากฏขึ้นบนปากของโฮจินที่ถ้าไม่หยอกเล่นอยู่ตลอดเวลาก็ยิ้มเยาะ เขามักจะเย้าแหย่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนใช้ผู้หญิงในบ้าน นางบำเรอในเมืองหลวงไปจนถึงสาวโสดธรรมดาๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่ไม่ว่าจะผ่านผู้หญิงมามากขนาดไหน เขาก็ไม่เคยแสดงออกแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว 


 


 


“ชอบขนาดนั้นเลยหรือ” 


 


 


“ชอบจนจะตายเลยขอรับ” 


 


 


“โอ๊ย ขนลุก” 


 


 


รยูฮาลูบแขนทั้งสองข้างเพราะรู้สึกขนลุกโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมขนถึงได้ลุกขนาดนี้ จะต้องบอกว่าแชยอนโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ นางอยากตีโฮจินที่ในตอนนี้ยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าราวกับตกอยู่ในห้วงความรัก แต่เพียงแค่ลองคิดว่าเขายิ้มให้ตัวเองก็รู้สึกขนลุกแล้ว แต่ความรู้สึกของโฮจินตอนที่มองรยูฮาก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ 


 


 


“ตอนที่ทั้งสองคนบดปากอยู่ตรงหน้า ข้าก็ขนลุกเหมือนกันแหละขอรับ ตอนที่ข้าอยู่ที่ภูเขาก็ได้ถามไอ้เจ้านั่น…อืม ท่านผู้นั้นด้วยว่าคิดถึงคนที่อารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนั้นเลยหรือ” 


 


 


“เจ้าถามงั้นหรือ” 


 


 


รยูฮาส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นและเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย จะมีเรื่องไหนที่น่าสนใจไปกว่าความรู้สึกของฮอนที่จะได้ยินจากปากคนอื่นอีก 


 


 


“ว่าไงแล้วนะ…เอ่อ มันน่าขนลุกจนข้าไม่กล้าพูดเลย” 


 


 


โฮจินใช้มือถูกแขนทั้งสองข้างและทำท่ารังเกียจเหมือนกับรยูฮาก่อนหน้านี้ 


 


 


“เร็วเข้า พูดขึ้นมาแล้วก็ต้องพูดให้จบสิ” 


 


 


“ไหนบอกว่าให้หุบปากไงขอรับ” 


 


 


“ต้องโดนสักหน่อยแล้วไหม” 


 


 


รยูฮายกนิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ปากของโฮจินกลับมีรอยยิ้มซุกซนและการขอร้องที่ไม่คาดคิดออกมาแทนคำตอบ 


 


 


“ข้าจะบอก แต่ท่านต้องสัญญาก่อนขอรับ” 


 


 


“อะไรล่ะ” 


 


 


“ไปรับแชยอนที่ฮเยกุกด้วยกันนะขอรับ และหากในระหว่างที่ไปรับนางมาเกิดการปะทะขึ้น โปรดช่วยจัดการให้ด้วยขอรับ” 


 


 


ไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไร แต่ในเมื่อเป็นเรื่องของโฮจินกับแชยอน ดังนั้นนอกจากจะไม่อยากจะคาดเดาแล้วยังไม่อยากจะใส่ใจด้วย รยูฮาจึงพยักหน้าและตอบแบบส่งๆ ว่าอืม ทั้งที่ไม่รู้เลยว่ามันจะนำพาผลลัพธ์แบบไหนมาให้ในภายหลัง 


 


 


“แล้วสรุป ฮอนตอบว่าอย่างไรกัน” 


 


 


“เฮ้อ ข้าล่ะเกลียดจริงๆ” 


 


 


โฮจินชักสีหน้าและทำท่าเหมือนกับจะอาเจียนเสียเดี๋ยวนั้น 


 


 


“เขาบอกว่าคิดถึงคนอารมณ์ฉุนเฉียวคนนั้นมากเสียจนไม่อาจข้ามลำธารแห่งปรโลกไปได้และต้องกลับมาอีกครั้ง” 


 


 


ในระหว่างที่โฮจินส่งเสียงแหวะออกมาและดิ้นเร่าไปมาเหมือนกับปลาหมึกที่เอาไปย่างบนไฟ รอยยิ้มอันสดใสก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของรยูฮา ฮอนตอนที่ตอบแบบนั้นจะน่ารักและน่าเอ็นดูขนาดไหนกัน 


 


 


“ชอบคนซื่อบื้อนั่นขนาดนั้นเลยหรือขอรับ” 


 


 


แต่รอยยิ้มที่เหมือนดอกไม้ก็ไม่ได้ลบความขยะแขยงในสายตาของโฮจินออกไปได้เลย เพราะสำหรับเขาแล้วรอยยิ้มนั้นเหมือนก้อนหินมากกว่าที่จะเป็นดอกไม้ 


 


 


“ในตอนแรกข้าเองก็นึกว่าเขาเป็นแค่คนซื่อบื้อเหมือนกัน” 


 


 


รยูฮาลดเสียงลงเล็กน้อยและทำตาเป็นประกายเหมือนกับกำลังพูดความลับ ท่าทางของนางทำให้โฮจินเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงเอนตัวไปข้างหน้าพลางท้าวมือไว้กับโต๊ะเพื่อฟังเรื่องราวให้ละเอียดยิ่งขึ้น 


 


 


“แต่พอมองดูดีๆ แล้วก็รู้ว่าเขาคือคนโง่ที่หน้าตาดี แถมยังรูปงามมากอีกด้วย” 


 


 


“อ๋อ อย่างนั้นหรือขอรับ” 


 


 


เสียงโฮจินลดต่ำลงหนึ่งโทน เขาพิงตัวกับพนักพิงและกระดกเหล้าจากขวด นอกจากจะไม่เข้าใจว่าชายหน้าสวยนั่นหล่อตรงไหน แล้วก็ยังไม่อยากเข้าใจด้วย ไม่ว่าดูอย่างไรก็… 


 


 


“ข้าหล่อกว่าอีก” 


 


 


“ว่าไงนะ บ้าไปแล้วหรือไง” 


 


 


รยูฮาหันหน้ามาเล็กน้อยพร้อมกับตะโกนเสียงดังที่แทบจะเป็นการกรี๊ด จนดังลั่นไปทั่วภายในโรงเตี๊ยมอันเงียบสงัด สายตาที่จับจ้องมาทำให้เสียงของรยูฮากลับไปเป็นดังเดิม แต่ก็ยังไม่สามารถเก็บซ่อนความโกรธและความวุ่นวายใจที่อยู่ภายในได้ 


 


 


“เจ้าน่ะ เหมือนจิ้งจอกไม่ก็แมวต่างหาก ไม่ได้หล่อเสียหน่อย” 


 


 


“แต่แชยอนบอกว่าข้าหล่อที่สุดในโลกเชียวนะ” 


 


 


“เด็กคนนั้น…สายตาไม่ดีน่ะสิ” 


 


 


รยูฮาแย่งขวดเหล้าที่โฮจินกำลังดื่มอยู่มากรอกใส่ปากตัวเองด้วยสีหน้าเอือมระอา แต่มีเพียงเหล้าหยดสุดท้ายเท่านั้นที่ร่วงลงไปในปากรยูฮา โดยที่ยังไม่ทันได้ดื่มสักอึก 


 


 


“สั่งเพิ่มอีกขวดสิ” 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ ไหนบอกว่าจะกินแค่ขวดเดียวไม่ใช่หรือขอรับ” 


 


 


“ก็เจ้าเล่นสวาปามซะหมดเลยนี่” 


 


 


“ว้าว ดูพระมเห…ดูเจ้านี่พูดเข้า” 


 


 


โฮจินรีบลุกขึ้นก่อนที่หมัดของรยูฮาจะลอยมาถึงและวิ่งขึ้นไปยังห้องที่จองไว้ ในตอนที่รยูฮากำลังลังเลว่าจะสั่งเพิ่มหนึ่งขวดแล้วนั่งดื่มที่เดิมคนเดียว หรือจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองอยู่นั้น 


 


 


“เอ๋ พระชายา?” 


 


 


เสียงที่ฟังดูคุ้นเคยทำให้นางหันกลับไปมองด้านหลังทันที 


 


 


“ยอนฮวา?” 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


มือของสองสาวที่เต็มไปด้วยความดีใจจับกันแน่น นึกว่าจะออกไปยังที่ไกลๆ เสียอีก แต่ปรากฏว่านางยังอยู่ในเมืองหลวง ยอนฮวาเองก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบรยูฮาข้างนอกวัง จึงรู้สึกดีใจมากจนไม่อาจหาอะไรมาเปรียบได้ 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” 


 


 


“พระชายานั่นแหละเพคะ…” 


 


 


“ชู่ว อย่าเรียกว่าพระชายา” 


 


 


แม้จะออกจากวังแล้ว แต่ดูเหมือนความไม่ดูตาม้าตาเรือจะยังคงอยู่ รยูฮารีบปิดปากยอนฮาและหันไปมองดูรอบๆ แต่โชคดีที่เหมือนจะไม่มีใครได้ยินคำนั้น ส่วนโรงเตี๊ยมก็กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม รยูฮาถอนหายใจเบาๆ และเอามือที่ปิดปากไว้ออก จากนั้นจึงตบเก้าอี้เบาๆ ให้นางมานั่งข้างๆ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นจะให้…” 


 


 


“นายหญิง” 


 


 


“อ้า นายหญิงเสด็จออกมาได้อย่างไรเพคะ” 


 


 


“ออกมาได้อย่างไรเจ้าคะ!” 


 


 


นางติเตียนยอนฮวาในขณะที่หลุดขำกับภาษาที่ใช้พูดในวังหลวงซึ่งออกมาเองโดยธรรมชาติ ยอนฮวาไปนั่งตรงที่ข้างๆ ตามที่รยูฮาสั่งด้วยใบหน้าแดงแจ๋และจ้องหน้านางราวกับยังไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น…หรือเจ้าคะ” 


 


 


“เจ้านั่นแหละ เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้” 


 


 


ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านหลังยอนฮวาซึ่งกำลังหลบเลี่ยงสายตาอย่างลังเลใจ ก่อนจะวางมือบนไหล่เล็ก รยูฮาจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ก็เลิกมองในทันทีเมื่อเห็นว่ายอนฮวาไม่หลบหนีและเฝ้าสังเกตเขาอย่างสนอกสนใจ ยอนฮวาที่เงยหน้าขึ้นด้านบนราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขาดูมีพิรุธอย่างไรก็ไม่รู้ 


 


 


“คือว่า พระชา…เอ๊ย นายหญิง ข้ามีเรื่องอยากจะเรียนให้ทราบเจ้าค่ะ” 


 


 


“เร็วๆ เอาแค่ใจความสำคัญก็พอ” 


 


 


“ข้าจะออกเรือนเจ้าค่ะ!”  

 

 


ตอนที่ 13-3

 

เร็วขนาดนี้เลยหรือ เจ้าชอบฮอนมิใช่หรือ รยูฮารู้สึกสับสนสักพักแต่ก็ไม่แสดงออกมา และเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยพร้อมส่งมองปราดผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังช้าๆ ผิวสีแทนดูดี ตัวสูง ดูค่อนข้างแข็งแรงสมเป็นชาย แต่ต่างจากฮอนโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไม่มีส่วนที่คล้ายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่รสนิยมก็ถูกเปลี่ยนในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยสินะ 


 


 


“ตอนที่ลงมาจากภูเขา ข้าก้าวเท้าพลาดจนเกือบตายเจ้าค่ะ แต่ท่านผู้นี้มาพบข้าเข้าและช่วยชีวิตไว้ได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งเขาคือเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้…” 


 


 


นางบรรยายเรื่องราวจนเห็นภาพชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องราวของผู้มีพระคุณในการช่วยชีวิตที่มักจะปรากฏอยู่ในนิยายพื้นบ้าน แต่ถึงกระนั้นรยูฮาก็รู้สึกถึงความแปลกใหม่ด้วยเช่นกัน หัวใจของยอนฮวาถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น หลังจากที่ค้นพบรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนริมฝีปากของนาง 


 


 


“ก็เลยชอบอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ถามอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ!” 


 


 


เมื่อยอนฮวากระทืบเท้าพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมา ในตอนนั้นเองผู้ชายคนนั้นก็เอามือลงจากไหล่ยอนฮวาเหมือนกับเบาใจและโค้งคำนับให้กับรยูฮา 


 


 


“ได้ยินเรื่องท่านมาเยอะเลยขอรับ” 


 


 


“รู้ใช่ไหมว่าข้าคือใคร” 


 


 


“พระมเห…” 


 


 


“หยุด ไปเอาเหล้ามาให้ข้าอีกสักขวดสิ” 


 


 


ชายหนุ่มโค้งคำนับให้อีกครั้งก่อนจะลับสายตาไป หลังจากนั้นรอยยิ้มของรยูฮาก็ตรงไปหายอนฮวาอีกรอบ นี่คือความรู้สึกในตอนที่มีลูกแล้วลูกออกเรือนหรือเปล่านะ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดชอบกล ทั้งไม่ชอบใจผู้ชายที่เหมือนโจรป่าคนนั้นซึ่งแย่งยอนฮวาไปอย่างไรก็ไม่รู้ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจและภูมิใจไปด้วย 


 


 


“เลือกวันแล้วหรือยัง” 


 


 


“ยังเลยเจ้าค่ะ…” 


 


 


“ถ้าหากเลือกวันได้ก็ส่งข่าวมาด้วย ไม่ว่าข้าจะกลับเข้าวังแล้วหรือไม่ก็ตาม ส่วนเรื่องสิ่งของจำเป็นในการจัดงานก็ไม่ต้องกังวล เพราะเดี๋ยวข้าจะส่งสิ่งของที่มีค่ามากๆ ไปให้ เจ้าเตรียมเรือนสำหรับอยู่อาศัยแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“เพคะ แม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็เป็นเรือนที่เล็กและเหมาะสมกับการอยู่สองคนเพคะ” 


 


 


แม้วิธีการพูดแบบในวังจะหลุดออกมาอีกรอบ แต่รยูฮาก็ตัดสินใจที่จะไม่ตำหนิอะไร เพราะมันก็เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่เคยกดทับอยู่ในมุมหนึ่งของจิตใจร่วงตกลงไป 


 


 


“แต่ว่านายหญิง ทำไมถึง…ไม่อยู่ที่นั่นแล้วออกมาที่นี่กันเล่าเจ้าคะ” 


 


 


“อ๋อ พอดีว่ามีคนต้องตามหาน่ะ” 


 


 


“ผู้ใดหรือเจ้าคะ สามีของข้าค่อนข้างกว้างขวางในเมืองหลวงนะเจ้าคะ” 


 


 


“เรียกสามีเลยหรือ ใจร้อนไปหน่อยหรือเปล่า” 


 


 


ใบหน้ายอนฮวาแดงแจ๋ขึ้นมาอีกรอบเพราะคำพูดของตัวเองที่หลุดออกมาโดยไม่ตั้งใจ จากที่เห็นว่าท่าทางของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าสามีวางเหล้าขวดหนึ่งไว้บนโต๊ะพร้อมกับลูบแก้มนั้นหนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปนั้นดูอบอุ่นอยู่ไม่น้อย แสดงว่าที่ว่ากันว่าจิตใจของผู้หญิงมักจะรวนเรเหมือนต้นอ้อคงจะจริงสินะ รยูฮาหัวเราะคิกคักแล้วจึงเปิดขวดมารินเหล้าใส่แก้วตัวเองพร้อมกับบ่นพึมพำเหมือนกับถอนหายใจไปด้วย 


 


 


“มินอาหายตัวไป” 


 


 


“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ แต่ข้าเห็นนางนะเจ้าคะ” 


 


 


ยังไม่ทันได้วางขวดเหล้าลง คำพูดของยอนฮวาที่ถามกลับอย่างงุนงงก็ทำให้มือหยุดค้างอยู่ที่เดิม เหล้าล้นออกมาจากแก้วและในไม่ช้าก็เริ่มไหลลงไปข้างล่างโต๊ะ 


 


 


“เจ้าเคยเห็นอย่างนั้นหรือ มินอาน่ะนะ” 


 


 


ยอนฮวากลับแปลกใจกับการตอบสนองของรยูฮายิ่งกว่าเดิม มินอาจากพระชายา ไม่ใช่สิ พระมเหสีไปด้วยความตั้งใจของตนเองอย่างนั้นหรือ มันคือเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็จากที่นางรู้ 


 


 


“เมื่อประมาณสี่วัน? ห้าวัน? ก่อนหน้านี้ มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเดินผ่านไป แต่พอมองดูๆ ดีแล้วก็คิดว่านั่นท่านมินอาไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ ว่าจะทำเป็นรู้จักแต่…อืม เผอิญว่าเมื่อก่อนเคยมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อย” 


 


 


ในตอนที่ยอนฮวากำลังจะจูบฮอนซึ่งกำลังหลับใหลโดยไม่รู้ตัวนั้นเอง จู่ๆ มินอาก็ปรากฏตัวขึ้นมาและลากนางออกไปข้างนอกก่อนจะข่มขู่อย่างน่ากลัว แม้ในตอนนั้นจะรู้สึกทั้งอายและคับแค้นใจ แต่ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป นางกลับรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าถ้าฝ่าบาทลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสนั้นจะเป็นอย่างไร 


 


 


“อย่างไรก็ตาม ข้ารู้เจ้าค่ะนายหญิงมอบหมายหน้าที่ซึ่งเป็นความลับให้กับท่านมินอา นอกจากนั้นแล้วนางยังหันไปมองรอบๆ แล้วเข้าไปหอนางโลมด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


“หอนางโลม?” 


 


 


โอ้พระเจ้า ไม่เคยนึกถึงมาก่อนจริงๆ แม้ว่าตนเองจะเคยปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วเข้าๆ ออกหอนางโลมโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเป็นประจำ แต่นิสัยเถรตรงอย่างมินอาเนี่ยนะเข้าหอนางโลม นี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนหลายร้อยคนซึ่มถูกระดมมาเพื่อตามหานางถึงไม่พบเห็นแม้แต่เงาของนางเลย 


 


 


“เจ้าค่ะ อืม ที่นั่นชื่อว่า…อ๋อ หอนางโลมแมวอล หอนางโลมแมวอลเจ้าค่ะ” 


 


 


รยูฮาลุกขึ้นพรวดและรีบวิ่งขึ้นไปยังห้องพักทันทีที่ยอนฮวาพูดจบ 


 


 


“หอนางโลมแมวอล!” 


 


 


“หอนางโลมทำไมอีกล่ะขอรับ เมาให้มันน้อยๆ หน่อยสิ” 


 


 


รยูฮาดึงผ้าห่มออกและตะโกนว่าหอลนางโลมแมวอล โฮจินที่ถูกปลุกจากการนอนหลับจึงทำหน้าบูดบึ้งและพลิกตัวด้วยความหงุดหงิด 


 


 


“มินอาอยู่ที่หอนางโลมแมวอล รีบนำทางไปเร็ว!” 


 


 


“ว่าไงนะ ทำไมเด็กคนนั้นถึงไปอยู่ที่นั่นล่ะขอรับ” 


 


 


แม้จะถามกลับด้วยความสับสน แต่ตัวก็ลุกพรวดขึ้นสวมเสื้อผ้าที่ถอดเอาไว้อย่างลวกๆ สถานที่ที่พวกเขามาถึงหลังจากวิ่งออกไปตามตรอกซอกซอยโดยไม่ได้วางแผนด้วยความใจร้อนคือหอนางโลมชั้นสูงที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวันด้วยโคมไฟสีแดงซึ่งถูกแขวนอยู่เต็มไปหมด แฮงซูที่ออกมาจากในนั้นต้อนรับคนทั้งสองซึ่งมองแค่แวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าไม่ธรรมดาอย่างสุภาพเรียบร้อย แต่คำตอบที่ออกมากลับไม่ใช่อย่างที่ต้องการ 


 


 


“ออกไปแล้วหรือ” 


 


 


ความสับสนปนอยู่ในเสียงของรยูฮาที่ยังไม่สามารถปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอได้ แม้จะรีบวิ่งมาหลังจากปลุกโฮจินอย่างสุดกำลัง แต่คนที่นางกำลังตามหากลับออกไปแล้วในตอนเช้ามืด 


 


 


“ขอรับ ถ้าถามถึงท่านผู้ชายที่มาพักเป็นเวลาห้าคืนเพียงลำพังก็มีแค่เพียงผู้เดียวขอรับ” 


 


 


“เฮ้อ” 


 


 


ช้าไปก้าวเดียว ถึงจะตามไปเดี๋ยวนี้ แต่นางก็คงจะไปไกลแล้ว ตะวันก็ตกดินแล้ว คงจะหาที่พักที่อื่นแล้วอย่างแน่นอน 


 


 


“ร่างกายกับสุขภาพเขาดูเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


โฮจินยัดเหรียญเงินเหรียญหนึ่งให้กับแฮงซูและรีบถามอย่างว่องไว แทนรยูฮาที่กำลังนั่งหอบอยู่ที่พื้นไร้ความสง่างามด้วยความหมดหวัง 


 


 


“ในตอนแรกที่มาถึงใบหน้าของเขาซีดเซียวจนดูค่อนข้างอ่อนแอขอรับ แต่พอไม่ออกไปไหนและกินยาสมุนไพรต้มทุกเช้าเย็น ในตอนที่ออกไปสีหน้าผิวพรรณก็ดูดีขึ้นขอรับ” 


 


 


“ยาสมุนไพรต้มหรือ” 


 


 


“ขอรับ ตอนที่มาครั้งแรกเขาให้สมุนไพรมาและสั่งให้ต้มไปให้ทุกเช้าเย็นขอรับ” 


 


 


แม้ในสภาพอย่างนั้นก็ยังเอายาไปด้วยสินะ โฮจินหัวเราะออกมาแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


“แล้วอาหารล่ะ” 


 


 


“เขาสั่งให้เลี่ยงของเค็มกับเผ็ดและให้เตรียมแต่ของต้ม ข้าจึงทำตามนั้นขอรับ กินจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือทุกมื้อเลยขอรับ” 


 


 


รยูฮาที่ซบหน้าอยู่ตรงหัวเข่าได้ฟังก็หัวเราะออกมา พอเห็นว่าในระหว่างนั้นนางได้ดูแลจัดการทุกอย่างที่ควรจะทำ จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากเลย นางลุกขึ้นจากที่โดยไม่มีอะไรค้างคาในใจ หลังจากคลายความหนักใจไปได้นิดหน่อย 


 


 


“ขอบใจนะ ถ้าหากพบเห็นท่านผู้นั้นสักที่ใดที่หนึ่ง ช่วยส่งคนไปยังบ้านท่านมหาเสนาบดีหน่อยได้หรือไม่” 


 


 


“ตายจริง ท่านผู้นั้นคือบุตรชายของบ้านท่านมหาเสนาบดีหรือขอรับ” 


 


 


“ก็…จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ถึงอย่างไรก็ฝากด้วยนะ” 


 


 


ถ้าให้พูดกันตามจริงนางคือบุตรสาวไม่ใช่บุตรชาย แต่มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายให้เขาฟัง แม้กระทั่งหลังจากที่รยูฮาและโฮจินที่ตอบคำถามสั้นๆ หันหลังหายลับไป แฮงซูก็ยังคงตัวสั่นอยู่ บ้านของท่านมหาเสนาบดีอย่างนั้นหรือ นั่นมันครอบครัวที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาอีกไม่ใช่หรือ ถ้ารู้อย่างนั้นก็คงจะส่งนางบำเรอเข้าไปแล้ว แต่ดูจากความเป็นผู้ดีและอากัปกิริยาแล้ว สองคนนั้นที่เข้ามาตามหาเขาเมื่อสักครู่ก็น่าจะเป็นบุตรชายและบุตรสาวของบ้านมหาเสนาบดีเหมือนกัน ทว่าหากเป็นบุตรสาวของบ้านมหาเสนาบดีล่ะก็… 


 


 


“พระ…พระมเหสี!” 


 


 


แฮงซูจำโฉมหน้าของหญิงสาวผู้งดงามที่ทรุดนั่งลงไปกับพื้นแล้วหัวเราะคิกคักก่อนหน้านี้ได้ช้าไป แม้จะสวมชุดธรรมดาแต่ความสง่างามที่ไม่สามารถปกปิดได้และอากัปกิริยาของนาง ชัดเจน แฮงซูถึงกับสติหลุดและยืนอยู่กับที่ จนกระทั่งคนที่เดินผ่านเข้ามาทักว่าเป็นอะไรไหม 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม