หวานรักจับหัวใจท่านประธาน 121-144

 ตอนที่ 121


เหวินหย่าไต้กอดเอกสารอยู่ในอก ใช้มือจัดการเสื้อผ้าของตัวเอง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหา ถึงจะสาวเท้าเข้าไปอย่างสง่างาม 


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอวี๋เยว่หานนั่งอ่านเอกสารอยู่หน้าโต๊ะทำงาน 


 


 


หน้าตาหล่อเหลาของเขาก้มลงเล็กน้อย ตอนที่เขาตั้งใจทำงานมีออร่ากระจายออกมารอบตัว แค่มองจากไกลๆ ก็ไม่สามารถละสายตาไปได้แล้ว 


 


 


“คุณชายหาน” เหวินหย่าไต้ปิดบังความรักในสายตา แล้วเดินไปข้างหน้า 


 


 


เธอเพิ่งเตรียมตัวพูดอะไรบางอย่าง แต่พบว่าบนโซฟารับแขกมีคนนั่งอยู่ด้วย 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วกำลังพาดอยู่บนโต๊ะน้ำชา จับดินสอวาดรูปไก่เขี่ย ส่วนเหนียนเสี่ยวมู่อยู่ข้างๆ เธอ กำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ 


 


 


ท่าทางสบายๆ ราวกับนายหญิงคนหนึ่ง 


 


 


นัยน์ตาเธอหดเกร็ง มีความไม่พอใจพาดผ่านไป 


 


 


“นั่งสิ” อวี๋เยว่หานเห็นเธอ จึงวางเอกสารในมือลง สายตามองไปยังเก้าอี้ตรงหน้า พยักพเยิดบอกเธอ 


 


 


เหวินหย่าไต้เป็นมือดีของแผนกประชาสัมพันธ์ ไม่ว่าการทำงาน หรือความรู้สึกส่วนตัวของตัวเอง ล้วนจัดการได้ดีมากทั้งสิ้น 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงของเขา เธอถึงได้สติกลับมาทันที 


 


 


จากนั้นจึงดึงเก้าอี้มานั่งลง 


 


 


“การทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าสำเร็จอย่างเป็นทางการแล้ว ประธานเฉินพอใจกับแผนประชาสัมพันธ์ของพวกเรามาก โดยเฉพาะข้อเสนอ**บห่อรายการใหม่และการโฆษณา ส่วนงานโดยละเอียด วันนี้พวกเขาส่งคนมาดำเนินการ…” 


 


 


ตอนเหวินหย่าไต้พูดเรื่องงาน เธอเป็นมืออาชีพมาก 


 


 


น้ำเสียงไม่ดังไม่เบา มั่นใจในตัวเอง สุขุม มีเสน่ห์ของผู้หญิงทำงานกระจายออกมา 


 


 


บวกกับใบหน้าที่เดิมทีค่อนข้างดีของเธอ และวิธีรายงานที่กระชับ ทำให้คนที่พูดคุยกับเธอรู้สึกสบายใจมาก 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้าเล็กน้อย ไม่รู้ว่าถูกเนื้อหาที่เธอพูดถึงดึงดูด หรือเป็นเหตุผลอื่น เธอวางหนังสือความรู้พยาบาลที่ถืออยู่ในมือลง ฟังเนื้อหาที่พวกเขาคุยกัน 


 


 


ตอนได้ยินเหวินหย่าไต้พูดถึง “แผนประชาสัมพันธ์” “ดำเนินการโฆษณา” “**บห่อ” และคำศัพท์เฉพาะทางอื่นๆ สายตาของเธอค่อยๆ จริงจังขึ้นมา 


 


 


แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกสนใจขนาดนี้ 


 


 


“พอถึงการดำเนินการช่วงสุดท้าย แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกฉันจะเข้าร่วมด้วยอย่างเต็มที่ ส่วนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันยกตัวอย่างออกมาหมดแล้ว แล้วก็มีประเด็นสำคัญของรายการในครั้งนี้…” เหวินหย่าไต้พูดได้ครึ่งหนึ่ง อยู่ๆ ก็หยุดไป 


 


 


จากนั้นก็หันหน้ามามองทางเหนียนเสี่ยวมู่ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก 


 


 


“คุณชายหาน การร่วมมือในครั้งนี้สำคัญมาก พวกเราเซ็นข้อตกลงรักษาความลับกับบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าแล้ว” 


 


 


เธอยังพูดไม่จบ แต่ความหมายชัดเจนมากแล้ว 


 


 


ในห้องทำงานนี้ มีแค่เหนียนเสี่ยวมู่ที่เป็นคนนอก 


 


 


เนื้อหาที่พวกเขาต้องพูดคุยกันต่อ ทั่วไปแล้วเธอฟังไม่ได้ 


 


 


ถึงแม้เธอจะเป็นพยาบาลรับจ้างของเสี่ยวลิ่วลิ่ว มีเสี่ยวลิ่วลิ่วคุ้มครองเธออยู่ แต่เรื่องเกี่ยวกับงาน อวี๋เยว่หานแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจนอยู่แล้ว 


 


 


บางครั้งจะทำให้คนคนหนึ่งรู้ฐานะของตัวเองก็ง่ายมาก 


 


 


ขอเพียงให้เธอรู้ ถึงแม้เธอสวมรองเท้าแก้ว เธอก็ไม่คู่ควร! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตั้งใจฟังมาก รอเธอพูดต่อ แต่อยู่ๆ ก็ได้สบสายตาของพวกเขา จึงดึงสติกลับมาได้ 


 


 


จากนั้นเธอก็เข้าใจความหมายของเหวินหย่าไต้แล้ว 


 


 


“ฉันจะพาเสี่ยวลิ่วลิ่วออกไปเล่นข้างนอกนะ” เธอพูดพลางยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


เตรียมหลอกล่อให้เด็กหญิงออกไปเล่นข้างนอก 


 


 


เมื่อเห็นดังนั้น เหวินหย่าไต้ก็ยกยิ้มสุขุมขึ้นที่มุมปาก ในรอยยิ้มแฝงความดูแคลนเอาไว้ 


 


 


รออวี๋เยว่หานเอ่ยปากไล่เหนียนเสี่ยวมู่ออกจากห้องทำงาน 


 


 


แต่วินาทีต่อมากลับได้ยินเสียงน่าดึงดูดของเขาค่อยๆ ดังขึ้นราวกับเชลโล “ไม่ต้องหรอก อยากฟังก็อยู่ฟังต่อ” 


 


 


เหวินหย่าไต้ “…”  

 

 

 


ตอนที่ 122 เชื้อเชิญเอง

 

เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ มองไปทางอวี๋เยว่หาน “คุณชายหาน แต่ว่า…” 


 


 


“วันนี้แค่พูดคุยถึงแผนงานประจำวันจำนวนหนึ่ง ไม่ได้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องถึงข้อตกลงรักษาความลับ ฟังได้ไม่เป็นไร พูดต่อเถอะ” อวี๋เยว่หานหลุบนัยน์ตาสีดำลง มีความรำคาญอยู่ในน้ำเสียงอยู่บ้าง บ่งบอกให้เธอรายงานต่อ 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เหวินหย่าไต้ก็ได้แต่กำหมัดด้วยความไม่พอใจ 


 


 


เดิมทีต้องการใช้โอกาสนี้ทำให้เหนียนเสี่ยวมู่ลำบากใจสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะไม่สำเร็จ 


 


 


แต่พอคิดว่าอวี๋เยว่หานให้เหนียนเสี่ยวมู่อยู่ฟังต่อเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องถึงเนื้อหาข้อตกลงรักษาความลับ เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง 


 


 


แผนประชาสัมพันธ์ชั้นสูงและล้ำลึกขนาดนี้ ถึงแม้ให้เหนียนเสี่ยวมู่ฟัง เธอก็คงจะฟังไม่รู้เรื่องหรอกมั้ง 


 


 


เหวินหย่าไต้กะพริบตา มุมปากยกยิ้มออกมา แล้วรายงานงานที่ตัวเองทำต่อไป 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งเตรียมจะออกไป แต่ได้ยินเขาพูดดังนั้น จึงชะงักฝีเท้าเล็กน้อย 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง แต่กลับสบสายตากับดวงตาสีล้ำลึกของเขา 


 


 


ใบหน้าเย็นชา มองความรู้สึกไม่ออก 


 


 


เขาเพียงแค่มองปราดมาที่เธอ แล้วเลื่อนสายตาไป จมอยู่กับงาน 


 


 


ท่าทางแบบนั้น เหมือนกับว่าเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันไม่สลักสำคัญจริงๆ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่นั่งลงอีกครั้ง 


 


 


ในเมื่อเขาพูดแล้วว่าฟังได้ อย่างนั้นเธอก็ไม่เกรงใจ หยิบหนังสือเฉพาะทางเกี่ยวกับความรู้พยายาลขึ้นมา ตั้งใจฟังเหวินหย่าไต้รายงาน 


 


 


ฟังจนตอนท้าย อยู่ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่าทำไมอวี๋เยว่หานถึงได้ชื่นชมเหวินหย่าไต้อยู่หลายส่วน 


 


 


เหวินหย่าไต้เป็นมืออาชีพมากจริงๆ 


 


 


จากการออกแบบแผนงาน ไปจนถึงการดำเนินงานในทุกรายละเอียด…ทุกส่วนไม่มีความผิดพลาด เธอคิดคำนวณไว้หมดแล้ว 


 


 


รายละเอียดสำคัญมากมาย เธอทำการเตรียมรับมือไว้หลายวิธีการ รับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกะทันหัน 


 


 


ได้ฟังเธอรายงานครั้งหนึ่ง ทำให้รู้สึกมั่นใจในการร่วมมือของบริษัทตระกูลอวี๋เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว 


 


 


ลูกน้องที่มีความสามารถขนาดนี้ ถ้าเป็นเธอ เธอก็คงมอบหมายให้ทำงานใหญ่ 


 


 


“คุณเหนียนเหมือนจะสนใจงานของแผนกประชาสัมพันธ์มากเลยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณมีความเห็นต่อแผนงานที่ฉันพูดไหมคะ” เหวินหย่าไต้ปิดแฟ้มเอกสาร อยู่ๆ ก็หันมามองเหนียนเสี่ยวมู่ ถามอย่างไม่ใส่ใจนัก 


 


 


น้ำเสียงของเธออบอุ่นมาก เหมือนพูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้น ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าไม่คาดคิด 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น แม้แต่อวี๋เยว่หานก็เลิกคิ้ว มองมาทางเหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


ราวกับกำลังคาดหวัง ว่าเธอจะพูดสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจออกมาได้หรือเปล่า 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังเหม่อลอย อยู่ๆ ก็พบว่าสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ตัวเอง จึงอึ้งไปเล็กน้อย 


 


 


จากนั้นเธอก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ฉันแค่อยากรู้อยากเห็น ก็เลยฟังดูค่ะ” 


 


 


แต่ได้ยินคำพูดของเธอ เหวินหย่าไต้ก็เกือบจะหัวเราะออกมา 


 


 


เธอพูดแล้วไม่ใช่เหรอ พยาบาลรับจ้างคนหนึ่งจะฟังแผนประชาสัมพันธ์เฉพาะทางแบบนี้รู้เรื่องได้อย่างไร 


 


 


ให้เธอนั่งอยู่ตรงนี้ได้ ก็นับว่าให้เกียรติเธอแล้ว 


 


 


เหวินหย่าไต้ดูถูกอยู่ในใจ ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า กลับถามอย่างมีมารยาทมาก “ฉันได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณไปเยี่ยมชมมาหลายแผนก สนใจมาชมที่แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเราด้วยไหมคะ” 


 


 


เมื่อครู่เธอรีบร้อนแสดงอำนาจให้เหนียนเสี่ยวมู่เห็น แต่แสดงออกอย่างไม่มีมาด 


 


 


ในเมื่อเหนียนเสี่ยวมู่สนใจแผนกประชาสัมพันธ์ เธอก็จะพายเรือตามน้ำ พาเธอไปชม ถือโอกาสแก้ไขความอึดอัดเมื่อครู่ด้วย 


 


 


เหวินหย่าไต้พูดจบ ก็หันหน้าไปชำเลืองมองใบหน้าเรียบเฉยของอวี๋เยว่หาน ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องแล้ว 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้ตอบทันที แต่มองไปทางอวี๋เยว่หาน 


 


 


เห็นเขาไม่ปฏิเสธ เธอถึงมองไปทางเหวินหย่าไต้ 


 


 


“ขอบคุณค่ะผู้จัดการเหวิน หวังว่าจะไม่รบกวนการทำงานในแผนกของพวกคุณนะคะ” 


 


 


“แค่ชมเองค่ะ ไม่เป็นไรหรอก” เหวินหย่าไต้ลุกขึ้นยืนจากที่นี่ง ท่าทางสง่างาม จากนั้นบอกลาอวี๋เยว่หาน เห็นเขาไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว ถึงจะหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก 

 

 

 


ตอนที่ 123 มีชีวิตรอดเพราะโชคช่วย

 

มีอวี๋เยว่หานอยู่ เสี่ยวลิ่วลิ่วทุ่มเทจิตใจไปกับการวาดรูป เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้พาเธอไปด้วย แต่ตามเหวินหย่าไต้ออกจากห้องทำงานประธานบริษัทไปคนเดียว 


 


 


“คุณเหนียนสวยมากเลยนะคะ ยิ่งได้มองคุณใกล้ๆ แบบนี้ แม้แต่ฉันเองก็ยังอิจฉาเลย” เหวินหย่าไต้เดินอยู่ในทางเดิน พูดกึ่งล้อเล้น 


 


 


วิธีการพูดที่เปิดเผย ทำให้คนลดความระแวดระวังลงได้ง่ายมาก 


 


 


หลังจากได้ยิน เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปจับหน้าตัวเอง 


 


 


จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ “ผู้จัดการเหวินชมเกินไปแล้วค่ะ คุณก็สวยมากเหมือนกัน แถมฉันได้ยินว่าคุณเป็นผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ที่เก่งที่สุดของบริษัทตระกูลอวี๋ มีผลงานใหญ่มากมาย คุณชายหานยังชื่นชมความรับผิดชอบของคุณเลย” 


 


 


เธอไม่ได้พูดจายกย่อง แต่พูดตามความจริง 


 


 


เธอคิดมาตลอดว่า ในวงการธุรกิจ ผู้หญิงค่อนข้างอยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่าผู้ชาย 


 


 


แต่เหวินหย่าไต้ทำให้เธอประหลาดใจอย่างมาก 


 


 


เธอมีท่าทางสง่างาม มั่นใจในตัวเอง และ สุขุม ความสามารถในการทำงานยิ่งยอดเยี่ยม 


 


 


ถึงแม้ไม่มีปูมหลังครอบครัวตระกูลเหวิน ตัวเหวินหย่าไต้เองก็เพียงพอจะทำให้ผู้ชายหลายคนตามขายขนมจีบ 


 


 


“คุณชายหานคิดว่าฉันเก่งที่ไหนกัน แต่เราโตมาด้วยกัน เขาเลยค่อนข้างเชื่อใจฉัน เลยเอาฉันมาทำงานหนักๆ เท่านั้นเอง” เหวินหย่าไต้ยิ้มอย่างอ่อนโยน ราวกับหวนรำลึกถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็ก 


 


 


จากนั้นเธอก็มองเหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


“จริงสิ ฉันได้ยินว่างานพยาบาลหนักมาก ความจริงคุณสวยขนาดนี้ มีงานตั้งหลายงานให้คุณเลือกได้ ทำไมต้องเป็นพยาบาละคะ” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงไปเล็กน้อย 


 


 


ในหัวของเธอปรากฏภาพใบหน้าเคร่งขรึม “ชีวิตของเธอฉันเก็บมาได้ เธออยากออกไปทำงานก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องมีความสามารถในการดูแลตัวเอง” 


 


 


เพื่อบรรลุความต้องการนั้น เธอใช้เวลาช่วงหนึ่งไปเรียนความรู้พยาบาลเฉพาะทาง 


 


 


ต่อมาก็ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาโดยปริยาย โดยการไปเป็นพยาบาลรับจ้าง 


 


 


“เป็นพยาบาลก็ดีนะคะ ได้เห็นคนไข้ค่อยตัวเองค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จมากเลย” เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา ยิ้มพลางพูด 


 


 


“แล้วถ้าคนไข้อาการแย่ลงละคะ” เหวินหย่าไต้หยุดฝีเท้า 


 


 


ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีอย่างนั้น 


 


 


อยู่ในโรงพยาบาล น่าจะเห็นคนที่จากโลกนี้อย่างไม่คาดคิดมากมาย 


 


 


แค่เธอจินตนาการถึงภาพนั้น เธอก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่สายตาหม่นหมองลง ราวกับนึกอะไรขึ้นได้ รอยยิ้มที่มุมปากก็จางลงไปด้วย “เกิดแก่เจ็บตายเป็นกฎของธรรมชาติ ใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ มองคนอื่น ก็ได้เตือนตัวเองให้หวงแหนทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้” 


 


 


บางครั้งมีชีวิตอยู่ก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง 


 


 


“พูดแล้วก็ถูกค่ะ ได้คุยกับคุณสนุกมากเลย หวังว่าต่อไปจะมีโอกาสแบบนี้อีกนะคะ” หลังจากลงลิฟต์ เหวินหย่าไต้ก็เงยหน้ามองแผนกประชาสัมพันธ์ที่อยู่ข้างหน้า เอ่ยปากขึ้นมาทันที 


 


 


เพียงแค่ประโยคง่ายๆ แต่เหมือนแอบซ่อนความนัยอื่นไว้ด้วย 


 


 


“…” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งคิดจะพูดอะไรบางอย่าง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน “พวกเรามาถึงแล้วค่ะ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองตามสายตาเธอไป มีเพื่อร่วมงานไม่น้อยสังเกตเห็นพวกเธอแล้ว กำลังมองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น 


 


 


เธอไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ก้าวไปข้างหน้าตามเหวินหย่าไต้ 


 


 


“ฉันยังมีงานอื่นอีก ให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นพาชมน่าจะไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ” พอเหวินหย่าไต้เดินถึงหน้าประตูแผนกประชาสัมพันธ์ เธอก็หันหน้ามาถาม 


 


 


คำพูดแสดงความเกรงใจ แฝงด้วยความเป็นมิตร 


 


 


ตั้งแต่เหนียนเสี่ยวมู่เดินมาถึงหน้าประตูแผนก เธอก็ใจลอย จับจ้องอยู่ที่ป้ายตรงประตูของแผนกประชาสัมพันธ์ ในสายตาของเธอฉายแววสับสนออกมา 


 


 


เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด เธอก็พยักหน้า “ได้ค่ะ” 


 


 


เหวินหย่าไต้สั่งเลขาให้พาเธอไป จากนั้นค่อยหมุนตัวเข้าห้องทำงานไป 


 


 


วินาทีต่อมา เซี่ยจิงจิงก็เดินตามเข้าไป แล้วปิดประตู 


 


 


“พี่หย่าไต้ ผู้หญิงคนนั้นมาได้ยังไง” 

 

 

 


ตอนที่ 124 แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ เต็มไปด้วยความท้าทาย

 

เมื่อเห็นเซี่ยจิงจิง ในสายตาเธอไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิดเดียว เพียงแต่โยนเอกสารในมือลงบนโต๊ะทำงาน แล้วนั่งลงนเก้าอี้ทำงานด้วยความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง 


 


 


“เธอไม่ต้องถามหรอก” 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ทำให้เทียนลี่ออกจากห้องทำงานประธานบริษัทแล้ว ตอนนี้มาที่แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเราอีก พี่คิดจะทำอะไรเนี่ย จะวางอำนาจหรือไง” พอเซี่ยจิงจิงเห็นท่าทางของเหวินหย่าไต้ เธอก็ต้องตะโกนเสียงต่ำด้วยความโมโห 


 


 


“เธอใจเย็นๆ หน่อยสิ เธอคิดว่าฉันอยากให้เหนียนเสี่ยวมู่มาเหรอ? สองวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเธอก็รู้อยู่แก่ใจ ยายนั่นบอกมาอยากมาชมแผนกประชาสัมพันธ์ต่อหน้าคุณชายหาน ผู้จัดการอย่างฉันจะปฏิเสธยังไงล่ะ” เหวินหย่าไต้ยื่นมือไปนวดหว่างคิ้ว 


 


 


น้ำเสียงแหบแห้งอยู่บ้าง 


 


 


“เธอไม่ต้องถามแล้ว ไปรับแขกให้ดี อย่าไปนินทาอะไร ให้ฉันได้พักเงียบๆ บ้าง” 


 


 


“…ฉันรู้แล้วน่า!” เซี่ยจิงจิงกัดฟัน แทบจะมีไฟพ่นออกมาจากในลูกตา 


 


 


วินาทีต่อมาเธอก็หมุนตัวออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ไป 


 


 


เงาร่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจากไปแล้ว เหวินหย่าไต้ก็เลื่อนสายตาที่หลุบลงขึ้นมาเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มเยือกเย็น 


 


 


ผู้จัดการสาวพิงพนักเก้าอี้ ยกกาแฟขึ้นมาจับอย่างสบายใจ 


 


 


ไม่มีความเหนื่อยล้าและน้อยใจอยู่บนใบหน้าแม้สักน้อย 


 


 


 


 


 


“คุณเหนียน ฉันจะแนะนำเพื่อนร่วมงานของแผนกประชาสัมพันธ์ให้คุณรู้จักก่อนนะคะ…” เลขาพูดจบ หลายๆ คนก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวทักทายเหนียนเสี่ยวมู่ บรรยากาศเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก 


 


 


ดูออกเลยว่าคนของแผนกประชาสัมพันธ์ค่อนข้างแจ่มใสและเปิดเผย 


 


 


แม้กระทั่งยังมีคนเทน้ำให้เหนียนเสี่ยวมู่เองด้วย 


 


 


“ความจริงแล้วงานของแผนกประชาสัมพันธ์ดูง่ายมาก แต่ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้วมีงานเยอะมาก คุณดูสิคะ ทางนั้นมีจอแสดงผล เป็นผลงานใหญ่ที่แผนกของพวกเราทำสำเร็จในหลายปีมานี้…” เลขาพูดไปพลาง พาเหนียนเสี่ยวมู่เดินไปหาจอแสดงผลไปพลาง 


 


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง 


 


 


“ดูจอแสดงผลแล้วจะรู้เรื่องอะไร เป็นผลงานในอดีตทั้งนั้น แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเราน่ะเก่งที่สุดแล้ว ไม่ได้มีผลงานแค่นี้หรอก” เซี่ยจิงจิงถือแก้วกาแฟเดินมาจากข้างหลัง 


 


 


จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟมาตรงหน้าเหนียนเสี่ยวมู่ “มอคคาบดใหม่ อยากลองไหม” 


 


 


สายตาของเหนียนเสี่ยวมู่มองข้ามกาแฟในมือของเธอ มองไปที่เธอโดยตรง 


 


 


“เซี่ยจิงจิง ซูเปอร์ไวเซอร์ของแผนกประชาสัมพันธ์ค่ะ” เลขาอธิบายเสียงเบาให้เหนียนเสี่ยวมู่ฟังอยู่ข้างๆ 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เหนียนเสี่ยวมู่ก็ตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยปากถาม “เมื่อกี้คุณบอกว่าแผนกประชาสัมพันธ์เก่งที่สุด หมายความว่ายังไงคะ” 


 


 


“จากจุดสิ้นสุดของทุกเคส ก็เป็นแค่ตัวอย่าง ถ้าถามว่าอันไหนน่าชมที่สุด แน่นอนว่าเป็นโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ และเต็มไปด้วยความท้าทาย” เซี่ยจิงจิงวางกาแฟลงบนมือเหนียนเสี่ยวมู่ แล้วพูดต่อ 


 


 


“ที่แผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเรากำลังทำในตอนนี้ คือหนึ่งในโครงการที่สำคัญที่สุดของบริษัทตระกูลอวี๋ในปีนี้ คุณอยากดูสักหน่อยไหมล่ะ” 


 


 


“โครงการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าเหรอคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ถามโดยไม่ต้องคิด 


 


 


เธอจำได้ว่าตอนเหวินหย่าไต้ไปรายงานเมื่อกี้ ก็พูดถึงบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าด้วย 


 


 


เซี่ยจิงจิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะรู้เรื่องนี้ด้วย จึงมีสายตามืดมน แล้วรีบร้อนพูดต่อ “ใช่ โครงการนั้นแหละ ประกาศดำเนินงานล่าสุดเพิ่งออกมา ฉันเป็นคนทำเอง แผนการในอนาคตไม่ได้เป็นความลับอะไร ถ้าคุณสนใจ ฉันให้คุณดูก็ได้” 


 


 


เซี่ยจิงจิงพูดจบ ก็หันหน้าไปมองเลขา “เดี๋ยวฉันดูแลคุณเหนียนเอง เธอไปทำงานเถอะ” 


 


 


พอเลขาเดินไป เธอก็หมุนตัวเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองก่อน แล้วเปิดโน๊ตบุ๊ก 


 


 


จากนั้นเธอก็กดไหล่เหนียนเสี่ยวมู่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเอง เปิดไฟล์ให้ดูทีละไฟล์ “ก็คืออันนี้แหละ คุณค่อยๆ ดูล่ะ” 


 


 


เซี่ยจิงจิงกระตือรือร้นเกินไปมาก ทำให้เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอกวาดสายตามองไฟล์บนโน๊ตบุ๊คครั้งหนึ่ง กำลังคิดจะลุกขึ้นยืน แต่กลับมีมือข้างหนึ่งกดไหล่ของเธอไว้โดยพลัน! 

 

 

 


ตอนที่ 125 เธอคือตัวซวย

 

เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงัน ก่อนจะหันไปมองเซี่ยจิงจิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยความงุนงง สะบัดมือของเธอออกตามสัญชาตญาณ แล้วลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ 


 


 


พริบตาที่เธอยืนขึ้น เซี่ยจิงจิงพลันยื่นมือออกมากดันหน้าจอโน๊ตบุ๊คลง 


 


 


“ปัง” 


 


 


เกิดเสียงดังขึ้น โน๊ตบุ๊คตกลงบนพื้น หน้าจอพร่ามัวไปในทันที กะพริบอยู่สองครั้ง แล้วดับมืดไปโดยปริยาย 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงันในทันที มองคนตรงหน้าอย่างไม่กล้าเชื่อ 


 


 


ตอนที่เธออยากพูดอะไรบางอย่าง เซี่ยจิงจิงก็ร้องเสียงดังขึ้นมาก่อนแล้ว 


 


 


“ไอ้หยา เหนียนเสี่ยวมู่ ทำไมเธอไม่ระวังขนาดนี้ล่ะ ในโน๊ตบุ๊คมีประกาศดำเนินงานใหม่ล่าสุดอยู่ด้วยนะ” 


 


 


เซี่ยจิงจิงเดินเลยเธอไป เก็บโน๊ตบุ๊คที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วกดปุ่มเปิดอีกครั้ง 


 


 


สีหน้ามีแต่ความร้อนใจ… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่มองเธออย่างตกตะลึง ถ้าไม่เห็นเธอยื่นมือไปสะบัดโน๊ตบุ๊คทิ้งด้วยตาตัวเอง แม้แต่ตัวเองก็คงถูกหลอกไปด้วย 


 


 


เพื่อนร่วมงานรอบข้างได้ยินเสียง ต่างก็มองมาทางพวกเธออย่างพร้อมเพรียง 


 


 


แม้แต่เหวินหย่าไต้ที่อยู่ในห้องทำงานก็เดินออกมาเช่นกัน 


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงดังเอะอะ” เหวินหย่าไต้สวมชุดทำงานทั้งตัว เดินอาดๆ มาข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว เธอกวาดสายตามองเหตุการณ์ตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


“พี่หย่าไต้…” เซี่ยจิงจิงกอดโน๊ตบุ๊คที่เปิดไม่ออกของตัวเอง เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว 


 


 


“ฉันไม่รู้ ฉันแค่เห็นว่าเหนียนเสี่ยวมู่สนใจงานแผนกประชาสัมพันธ์ของพวกเรามาก ก็เจตนาดีจะให้เธอดูประกาศดำเนินงานที่พวกเราเพิ่งเขียนเสร็จ แต่ใครจะรู้ว่าเธอจะทำโน๊ตบุ๊คของฉันโดยที่ไม่ระวัง” 


 


 


“ประกาศดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าน่ะเหรอ?” เหวินหย่าไต้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย 


 


 


เมื่อเหลือบเห็นเซี่ยจิงจิงพยักหน้า สีหน้าของเธอก็มืดมัวลงทันใด 


 


 


“ไฟล์สำเนาล่ะ? ประกาศสำคัญไม่ได้สำเนาไว้หรือไง?” 


 


 


หลังจากเซี่ยจิงจิงได้ยินคำพูดของเหวินหย่าไต้ เธอก็ร้องไห้อย่างน่าสงสาร “ฉันเพิ่งเขียนเสร็จ ยังไม่ได้ทำไฟล์สำเนาเลย ฉันไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…” 


 


 


เหวินหย่าไต้ “…” 


 


 


พออวี๋เยว่หานรู้เรื่อง เขาก็มายังแผนกประชาสัมพันธ์ 


 


 


เหวินหย่าไต้ดึงภาพจากกล้องวงจรปิดออกมาแล้ว 


 


 


ตำแหน่งที่เซี่ยจิงจิงนั่งนั้นหันหลังให้กล้องวงจรปิดพอดี ดูจากภาพในตอนนี้ เห็นเพียงว่าเธอยืนอยู่ข้างหลังเหนียนเสี่ยวมู่ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน จากนั้นเหนียนเสี่ยวมู่ก็ลุกขึ้น โน๊ตบุ๊คตกลงบนพื้น… 


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กะทันหันมากเช่นกัน 


 


 


ตอนนี้ดูไม่ออกว่ามีใครลงมือหรือเปล่า แต่ดูจากกล้องวงจรปิดแล้ว หลังจากเหนียนเสี่ยวมู่เข้าไปในแผนกประชาสัมพันธ์ ทุกคนก็กระตือรือร้นกับเธอมาก 


 


 


เซี่ยจิงจิงก็เช่นกัน บนโต๊ะมีกาแฟมอคคาที่เธอชงให้เหนียนเสี่ยวมู่ด้วย 


 


 


หลังจากเกิดเรื่อง เซี่ยจิงจิงก็ไม่ได้บอกว่าเหนียนเสี่ยวมู่จงใจ แค่บอกว่าเธอทำพังโดยไม่ทันระวังเท่านั้น… 


 


 


“ฉันนัดเจอประธานเฉินของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าเพื่อพูดคุยแผนการดำเนินงานตอนกลางวันนี้ พวกเขากำลังเดินทางมา อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จะมาถึงบริษัทตระกูลอวี๋แล้ว” เหวินหย่าไต้เห็นอวี๋เยว่หาน เธอผุดลุกขึ้นทันที แล้วพูด 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของอวี๋เยว่หานก็มืดมัวลงเล็กน้อย 


 


 


ลูกค้าอยู่ระหว่างทาง แต่พวกเขากลับเกิดความผิดพลาดขึ้นตอนนี้ เมื่อลูกค้ามาถึงจะอธิบายอย่างไรได้ 


 


 


อุบัติเหตุแค่ครั้งเดียวอาจจะส่งผลกระทบถึงชื่อเสียงของทั้งบริษัท 


 


 


“คุณชายหาน เรื่องประกาศนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้จัดการเหวิน เป็นความรับผิดชอบของฉันเอง ฉันก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้…” เซี่ยจิงจิงพูด ก่อนจะหันหน้าไปมองเหนียนเสี่ยวมู่ครั้งหนึ่ง อยากพูดต่อแต่ก็หยุดไป 


 


 


ท่าทางของเธอทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอื่น 


 


 


และต้องรู้ไว้ว่า ในสองวันนี้ไม่ว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะไปที่ไหน ตรงนั้นก็เกิดเรื่อง 

 

 

 


ตอนที่ 126 บ้าไปกันใหญ่แล้ว

 

“ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอทำโน๊ตบุ๊คพังแล้วก็ควรจะพูดขอโทษสักคำ…” 


 


 


“จิงจิงซวยจังเลย เจตนาดีอธิบายแทนคนอื่น พูดขอบคุณสักคำก็ไม่มี…” 


 


 


“ประกาศนี้เป็นงานที่ทุกคนร่วมกันทำออกมาอย่างยากลำบาก คนของบริษัทเซิ่งต้าก็จะมาแล้ว อีกเดี๋ยวจะทำยังไงดี” 


 


 


“…” 


 


 


รอบข้างเกิดเสียงถกเถียงเบาๆ ขึ้นมา 


 


 


เมื่อเห็นสายตาของทุกคนมองมาที่เหนียนเสี่ยวมู่ นัยน์ตาของเซี่ยจิงจิงก็เป็นประกายโดยพลัน 


 


 


ที่เธอต้องการคือผลลัพธ์แบบนี้แหละ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งมาที่บริษัทได้สองวัน แผนกวางแผนและแผนกเลขาก็มีคนเจอกับหายนะอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ถึงตาแผนกประชาสัมพันธ์แล้ว… 


 


 


จะให้ทุกคนคิดอย่างไรได้ล่ะ 


 


 


เซี่ยจิงจิงไม่ได้บอกว่าเหนียนเสี่ยวมู่ตั้งใจ แต่คิดว่าทุกคนน่าจะสงสัยในตัวเธอแล้ว 


 


 


ถึงแม้สุดท้ายแล้วจะยืนยันได้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แต่ประกาศดำเนินงานเสียหายในมือเธอก็เป็นเรื่องจริง 


 


 


เธอไม่ได้มีแผนในใจ แต่ทุกคนก็มองเธอเป็นตัวซวยไปหมดแล้ว 


 


 


คุณชายหานไม่ไล่เธอออก แต่จะต้องตีตัวออกห่างเธอแน่ๆ ไม่ให้เธอเข้ามาที่บริษัทอีก ถึงตอนนั้นดูสิว่าเหนียนเสี่ยวมู่ยังจะหยิ่งผยองได้อีกไหม 


 


 


แค่คิดถึงตรงนี้ มุมปากของเซี่ยจิงจิงก็ยกยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาแล้ว 


 


 


เทียบกับเซี่ยจิงจิงที่กอดโน๊ตบุ๊คทำท่าน่าสงสารอยู่ตลอด เหนียนเสี่ยวมู่ที่ทุกคนเห็นว่าเป็นตัวการทำเรื่องเสียหายมีท่าทางเยือกเย็นอย่างยิ่ง 


 


 


เธอไม่พูดแก้ตัวเลยตั้งแต่ต้น 


 


 


เพียงแค่ยืนอยู่หน้าเก้าอี้ของเซี่ยจิงจิง ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


อวี๋เยว่หานมองตามสายตาเธอไป พบว่าบนโต๊ะมีข้อมูลอยู่หลายฉบับ ดูจากหัวข้อแล้ว น่าจะเป็นข้อมูลแผนการดำเนินงานที่กลุ่มเล็กๆ รวบรวมมาได้ 


 


 


ประกาศของเซี่ยจิงจิงน่าจะเขียนขึ้นมาจากข้อมูลดั้งเดิมเหล่านี้ 


 


 


เธอไม่อธิบายแทนตัวเอง แต่มองสิ่งนี้ทำไม 


 


 


เหวินหย่าไต้ตาเป็นประกาย แล้วเดินไปข้างๆ อวี๋เยว่หาน “คุณชายหาน สถานการณ์ในตอนนี้ กลัวแต่ว่าทำได้แค่อธิบายกับคนของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าไปก่อน เลื่อนไปอีกวัน…” 


 


 


“ขอฉันยืมโน๊ตบุ๊คเครื่องหนึ่งได้ไหมคะ” เหนียนเสี่ยวมู่เอ่ยปากขึ้นมาทันใด 


 


 


เธอหมุนตัวมองไปทางอวี๋เยว่หาน 


 


 


ในดวงตาสดใสคู่นั้นฉายแววที่ทำให้คนอื่นมองไม่ออก 


 


 


เธอเพียงแค่จ้องเขม็งไปยังเขา ในสายตาเจือความจริงจัง 


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ คุณคิดจะทำอะไร” เหวินหย่าไต้ตะลึงงัน ในใจรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี 


 


 


แต่พอคิดดูให้ดีก็รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เป็นแค่พยาบาลรับจ้างคนหนึ่ง แม้แต่เนื้อหาของโครงการเธอก็ยังดูไม่รู้เรื่อง แล้วจะเปลี่ยนข้อมูลเป็นประกาศดำเนินการในตอนนี้ได้อย่างไร 


 


 


เหวินหย่าไต้สงบสติอารมณ์ มองข้ามคำพูดของเหนียนเสี่ยวมู่ไป แล้วมองอวี๋เยว่หานอีกครั้ง “ฉันพอจะสนิทกับประธานเฉินอยู่ เขาเชื่อในฝีมือของฉัน ฉันจะไปอธิบายกับเขาเอง เขาน่าจะเข้าใจนะ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ส่งผลกระทบต่องานของแผนกประชาสัมพันธ์ สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องช่วยแก้ไขปัญหา 


 


 


เป็นที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ว่าเหนียนเสี่ยวมู่เทียบเธอไม่ติดไม่แต่นิ้วเดียว 


 


 


เหวินหย่าไต้ยืนอยู่ตรงหน้าอวี๋เยว่หานด้วยความมั่นใจและสุขุม รอเขาเอ่ยปาก 


 


 


“เอาโน๊ตบุ๊คให้เธอเครื่องหนึ่ง” อวี๋เยว่หานพูดเสียงเบา เขาไม่ได้มองไปที่เหวินหย่าไต้ แต่มองไปที่เหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


เมื่อพูดจบ ทุกคนโดยรอบล้วนงุนงง 


 


 


โดยเฉพาะเหวินหย่าไต้ 


 


 


แม้ว่าจะใจเย็นกว่านี้ แต่เวลานี้ก็อดรนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว 


 


 


“คุณชายหาน…” 


 


 


“คำอธิบายก็คือเป็นทางเลือกสุดท้ายแล้ว ในเมื่อคนของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ายังมาไม่ถึง ก็ยังมีเวลาแก้ไขสถานการณ์” อวี๋เยว่หานพูด บอกให้คนข้างกายไปหยิบโน๊ตบุ๊คมาให้เหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


เธอไม่ได้บอกว่าคิดจะทำอะไร แต่น่าแปลกที่เขาอ่านสายตาของเธอออกได้ 


 


 


“คุณจะบอกว่า คุณเชื่อใจเหนียนเสี่ยวมู่งั้นเหรอ” เหวินหย่าไต้ตอบโต้ความคิดของเขา อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก 


 

 

 


ตอนที่ 127 สามสิบเก้านาที

 

“ฉันเพิ่งโทรติดต่อประธานเฉินจากบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า เขากำลังพาทีมจากที่บริษัทมาที่นี่ อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต้องมาถึงแน่ เวลาแค่นี้…”


 


 


เหวินหย่าไต้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อไปแล้ว


 


 


ถึงมอบหมายงานนี้ให้เธอ เธอก็ไม่แน่ใจว่าจะเขียนประกาศดำเนินงานชุดหนึ่งออกมาได้ภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้


 


 


ดังนั้นปฏิกิริยาแรกคืออธิบายกับอีกฝ่าย เลื่อนเวลาการประชุมออกไป


 


 


แต่ว่าตอนนี้…


 


 


ไม่ใช่เพียงเหวินหย่าไต้ไม่เชื่อเหนียนเสี่ยวมู่ คนของแผนกประชาสัมพันธ์ในที่นี้ได้ยินคำพูดของเธอแล้วก็มีสีหน้าเหมือนเห็นผีทั้งสิ้น


 


 


แต่ละคนตกตะลึงอยู่นาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย


 


 


หลังจากดึงสติกลับมาได้ ทุกคนก็มองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่กันหมด


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่รับโน๊ตบุ๊คมา ก่อนจะดึงเก้าอี้นั่งลงโดยที่ไม่ได้อธิบายกับคนรอบข้างว่ากำลังคิดอะไร จากนั้นค่อยยื่นมือไปหยิบข้อมูลบนโต๊ะมาไว้ตรงหน้าตัวเอง


 


 


เธอพลิกอ่านข้อมูลไปด้วย พิมพ์บนโน๊ตบุ๊คอย่างรวดเร็วไปด้วย


 


 


ในสมองปรากฏเนื้อหาที่ปรากฏในรายงานการทำงานที่เหวินหย่าไต้ส่งให้อวี๋เยว่หานในห้องทำงานประธานบริษัท


 


 


เธอไม่รู้จักบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า และเขียนประกาศดำเนินงานออกมาโดยไม่รู้อะไรเลย


 


 


แต่ความบังเอิญมีอยู่จริง อวี๋เยว่หานเพิ่งให้เธอฟังรายงานที่คนอื่นไม่ได้ฟัง


 


 


เหวินหย่าไต้เป็นผู้จัดการของแผนกประชาสัมพันธ์ ความสามารถของเธอเป็นที่ประจักษ์ไปทั่ว เธอรู้จักโครงการครั้งนี้ดีกว่าใครๆ ในแผนกประชาสัมพันธ์


 


 


เธอเพิ่งรายงานงานของตัวเองในห้องทำงานประธานบริษัท อธิบายเนื้อห้าส่วนใหญ่ของโครงการไปแล้วรอบหนึ่ง


 


 


บวกกับข้อมูลบนโต๊ะของเซี่ยจิงจิงเหล่านี้


 


 


และยังมีประกาศดำเนินงานที่เธอเพิ่งเห็นผ่านตา…


 


 


ในหัวของเหนียนเสี่ยวมู่เหมือนเปิดตารางหนึ่ง จัดเรียงความต้องการของลูกค้าและตัวเลขทั้งหมดเป็นแถวๆ จากนั้นขยับนิ้วมืออยู่บนคีย์บอร์ด บันทึกลงในไฟล์บนโน๊ตบุ๊คทีละเล็ก ทีละน้อย


 


 


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า


 


 


เนื้อหาประกาศปรากฏอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างต่อเนื่อง แผนประชาสัมพันธ์ที่เอะอะโวยวายเมื่อครู่ ก็เริ่มใจเย็นลง


 


 


อวี๋เยว่หานนั่งอยู่ข้างหลังเธอ เงาร่างสูงส่งพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาสีดำดูล้ำลึก


 


 


เธอนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คแล้วเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง


 


 


จริงจัง ตั้งใจ มีออร่ากระจายออกมา…


 


 


เธอจ้องมองข้อมูลตรงหน้า พร้อมกับพิมพ์ไปด้วย ตั้งอกตั้งใจดูคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว


 


 


ถ้าเขาจำไม่ผิด วิธีการดูคร่าวๆ แบบนี้เป็นความเคยชินของคนที่อ่านเอกสารมาเป็นเวลานาน เธอเป็นพยาบาลนะ ทำไมจะทำไม่ได้


 


 


สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจไม่ได้หมดเพียงเท่านี้


 


 


ตั้งแต่เธอรับโน๊คบุ๊คไป จนกระทั่งเขียนประกาศดำเนินงานเสร็จสิ้น เธอใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่สามสิบเก้านาทีเท่านั้น


 


 


ไม่ถึงสี่สิบนาทีด้วยซ้ำไป


 


 


ตอนที่เหนียนเสี่ยวมู่หยุดมือ ทุกคนแทบจะหยุดหายใจไปด้วย


 


 


เธอเชื่อมต่อโน๊ตบุ๊คกับเครื่องพิมพ์ เพื่อพิมพ์ประกาศทั้งฉบับออกมา แล้วส่งให้อวี๋เยว่หาน


 


 


แม้แต่เหวินหย่าไต้ก็อดชะโงกหน้าไม่ได้ เพราะอยากดูประกาศที่เธอเขียน


 


 


เมื่อรู้สึกได้ถึงการกระทำของตัวเอง เขาก็ชะงักไป แล้วรีบถอยกลับไป


 


 


เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา


 


 


คงไม่หรอกมั้ง เรื่องอื่นเหวินหย่าไต้อาจจะเชื่อได้ แต่เรื่องที่แม้แต่เธอเองยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ เหนียนเสี่ยวมู่เป็นแค่พยาบาล จะไปทำได้อย่างไร


 


 


ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ


 


 


พอคุณชายหานอ่านประกาศของเธอจบ เธอต้องเผยธาตุแท้ออกมาแน่


 


 


แต่เธอรอไปหนึ่งนาทีแล้ว แต่อวี๋เยว่หานยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร


 


 


รอไปแล้วสองนาที ในที่สุดแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป ตอนที่เธอแอบร้องดีใจว่าเหนียนเสี่ยวมู่ต้องซวยแน่ เธอกลับพบว่ามีความชื่นชมและประหลาดใจปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา…


 


 


เธอยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อวี๋เยว่หานก็ส่งรายงานในมือมาให้เธอ


 


 


“คุณเป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้ คุณดูสิ”

 

 

 


ตอนที่ 128 ในสายตาของเขามีแต่เธอ

 

“…” เหวินหย่าไต้มองประกาศที่เขายื่นมาตรงหน้าตนเอง ก่อนจะลังเลอยู่หลายวินาที แล้วถึงยื่นมือไปรับมา


 


 


ไม่เพียงแค่เธอ เซี่ยจิงจิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอก็ก้าวเข้ามาข้างหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว


 


 


เซี่ยจิงจิงก็เหมือนกับเหวินหย่าไต้ เธอไม่เชื่อว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะเขียนประกาศดำเนินงานฉบับหนึ่งออกมาได้ภายในเวลาสั้นๆ


 


 


แต่พอเธอเห็นเนื้อหาในประกาศตรงหน้าชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที


 


 


เหวินหย่าไต้ยังไม่ทันอ่านจบ เซี่ยจิงจิงก็ฉวยประกาศในมือเธอไปด้วยความร้อนรน หลังจากอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว เซี่ยจิงจิงก็นิ่งอึ้งไปโดยปริยาย


 


 


ประกาศฉบับนี้คล้ายกับประกาศของเธออย่างมาก


 


 


มีเพียงรายละเอียดเล็กน้อยในนั้นที่ถูกปรับเปลี่ยนไป แต่แม้แต่เซี่ยจิงจิงก็จับผิดเนื้อหาที่เปลี่ยนไปไม่ได้


 


 


คนอื่นๆ ไม่เคยอ่านประกาศของเธอ แต่ก็เธอก็รู้สึกมั่นใจ


 


 


ประกาศของเหนียนเสี่ยวมู่ฉบับนี้ดีกว่าฉบับที่เธอเขียนเสียอีก


 


 


“เป็นไปไม่ได้…” เซี่ยจิงจิงราวกับตกใจจนเป็นบ้าไปแล้ว เธอถือประกาศนั่นพลางพึมพำกับตัวเอง


 


 


เหวินหย่าไต้ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น จากนั้นหยิบประกาศในมือเซี่ยจิงจิงมาอ่านต่อ


 


 


สายตาของเธอเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน


 


 


“ผู้จัดการเหวิน เป็นยังไงบ้าง”


 


 


“เขียนออกมาภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ น่าจะใช้ไม่ได้มั้ง”


 


 


“ฉันจำได้ว่าเหนียนเสี่ยวมู่เป็นพยาบาลรับจ้าง ทำไมเธอถึงรู้เรื่องประชาสัมพันธ์…”


 


 


“…”


 


 


เพื่อนร่วมงานรอบข้างต่างก็มองเหวินหย่าไต้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น รอคอยให้เธอเอ่ยปาก


 


 


เหวินหย่าไต้ถือเอกสารในมือจนแน่น อยากบอกว่าประกาศฉบับนี้ใช้ไม่ได้ แต่อวี๋เยว่หานนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย คำพูดของเธอหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกอวี๋เยว่หานไม่ได้


 


 


เธอทำได้แค่พูดตามความจริง


 


 


“แม้จะมีจุดที่สมบูรณ์แบบไม่พอ แต่ถ้าพูดจากตัวโครงการนี้แล้ว ก็ถือว่าดีมาก” เหวินหย่าไต้สงบสติอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นเงยหน้ามองอวี๋เยว่หาน พูดอย่างเป็นมืออาชีพ


 


 


“…” อวี๋เยว่หานนัยน์ตาเป็นประกาย ดวงตาของเขาล้ำลึกเสียจนมองความคิดไม่ออก


 


 


เพียงแค่สายตาของเขาหยุดอยู่ที่เหนียนเสี่ยวมู่โดยตลอด


 


 


เขามองเธอจนเหวินหย่าไต้แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว


 


 


“คุณชายหาน ประธานเฉินกับคณะของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ามาถึงบริษัทของเราแล้วค่ะ” เลขารีบร้อนเดินมาจากข้างนอก ก่อนจะรายงาน


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่หานหมุนเก้าอี้ จากนั้นเลิกคิ้วเหลือบมองเหวินหย่าไต้ กล่าวอย่างเย็นชา “เหนียนเสี่ยวมู่จะไปพบคนของบริษัทเซิ่งต้าด้วยกัน ให้เธออธิบายประกาศการดำเนินงานฉบับนี้”


 


 


เหวินหย่าไต้ “…”


 


 


เมื่อสบสายตาเยือกเย็นของเขา เธอก็ไม่กล้าพูดคำว่า “ไม่” ออกมาอย่างเด็ดขาด


 


 


อวี๋เยว่หานชื่นชมท่าทางการทำงานที่แยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานอย่างชัดเจนของเธอเป็นที่สุด รวมไปถึงฝีมือการทำงานอันโดดเด่นด้วย


 


 


เธอทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของเขาเพียงเพราะเหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้


 


 


เหวินหย่าไต้กัดฟัน มองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่ “ตามฉันมาค่ะ”


 


 


“…” ตั้งแต่เหนียนเสี่ยวมู่เขียนประกาศเสร็จ สมองของเธอก็ว่างเปล่ามาโดยตลอด หลังได้ยินเหวินหย่าไต้พูด เธอก็มองไปทางอวี๋เยว่หานตามสัญชาตญาณ


 


 


เธออยากบอกว่าตนเองไม่มีประสบการณ์ แต่ก็เห็นริมฝีปากของเขาขยับอย่างไร้เสียง ‘โบนัสสามเดือน’


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พูดอะไรไม่ออกทันที รู้สึกปากชา ได้แต่กลืนคำพูดกลับไป


 


 


จากนั้นก็ตามเหวินหย่าไต้เดินไปทางห้องรับรองแขกของแผนกประชาสัมพันธ์


 


 


อวี๋เยว่หานลุกขึ้นยืนอย่างสบายๆ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของเหวินหย่าไต้ กล้องวงจรปิดในนั้นมองเห็นทั้งแผนกประชาสัมพันธ์ รวมถึงห้องรับรองแขกด้วย


 


 


อวี๋เยว่หานนั่งลง เลขารีบร้อนยกกาแฟเข้ามาแก้วหนึ่ง แล้ววางลงข้างมือเขา


 


 


“คุณชายหาน มีอะไรจะสั่งอีกไหมคะ”


 


 


“…”


 


 


อวี๋เยว่หานเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่โบกมือให้เลขาออกไป ตั้งหน้าตั้งตารอเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังจะปรากฏในภาพวงจรปิด…

 

 

 


ตอนที่ 129 ตัวซวยกลายเป็นผู้ช่วยชีวิต

 

เหวินหย่าไต้หาชุดทำงานให้เธอชุดหนึ่งเป็นการชั่วคราว แม้กระทั่งรวบผมหางม้าให้เธอจนดูเรียบร้อย ดูแล้วสง่างาม


 


 


ใบหน้าเล็กจ้อยเผยสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อยตอนที่เพิ่งเข้าไปในห้องรับรองแขก แต่ไม่นานก็เข้าที่เข้าทาง


 


 


ร่างผอมเพรียวยืนอยู่ข้างหน้าโปรเจคเตอร์ อธิบายจุดเด่นของแผนการดำเนินงานทั้งหมดอย่างสุขุมไม่เร่งร้อน


 


 


ปกติดวงตาเป็นประกายคู่นั้นโค้งเล็กน้อยเหมือนจิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์ แต่เวลานั้นรอบตัวเธอปรากฏออร่ามหาศาล กลับทำให้สายตาของเธอดูมีพลัง


 


 


สายตาของความมั่นอกมั่นใจ…


 


 


อวี๋เยว่หานนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ มองออร่าที่ส่งออกมาจากตัวของเหนียนเสี่ยวมู่โดยมีหน้าจอกั้นเอาไว้ ดวงตามีเล่ห์เหลี่ยมหดตัวเล็กน้อย มีความรู้สึกสับสนพาดผ่านนัยน์ตาไป


 


 


นิ้วเรียวยาวเห็นกระดูกชัดเจนเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ กำลังจมอยู่ในความคิด


 


 


ไม่นานการประชุมก็จบลง


 


 


เหวินหย่าไต้พาเหนียนเสี่ยวมู่ส่งให้คนของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าด้วยตัวเอง แล้วจึงกลับที่แผนกประชาสัมพันธ์อีกครั้ง


 


 


ทุกคนในแผนกประชาสัมพันธ์รวมตัวอยู่ด้วยความ ต่างก็กำลังยื่นคอรอคอย


 


 


เมื่อเห็นเธอปรากฏตัว พวกเขาก็ล้อมเข้ามาทันที “ผู้จัดการเหวิน สถานการณ์เป็นยังไงบ้างคะ ประธานเฉินพอใจแผนงานที่พวกเราเสนอไหม”


 


 


เซี่ยจิงจิงก็อยู่ในบรรดาคนเหล่านั้น จิตใจกระวนกระวายไม่แพ้กัน


 


 


เธอยืนยันหนักแน่นว่าเหนียนเสี่ยวมู่ไม่รู้เรื่องงานประชาสัมพันธ์ ถึงได้ใช้แผนการนี้ บอกว่าประกาศดำเนินงานมีปัญหา เหนียนเสี่ยวมู่แก้ไขไม่ได้ด้วยซ้ำไป


 


 


เธอต้องการให้ทุกคนรู้สึกว่าเหนียนเสี่ยวมู่เป็นตัวซวย ให้ทุกคนเกลียดเธอ


 


 


แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะเขียนประกาศฉบับหนึ่งออกมาได้ต่อหน้าทุกคนในแผนกประชาสัมพันธ์…


 


 


ถ้าประกาศดำเนินงานฉบับนี้ทำให้ประธานเฉินพอใจจริงๆ อย่างนั้นทุกอย่างที่เธอทำในวันนี้ก็ไม่เพียงหักหน้าเหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้ หนำซ้ำเป็นการกรุยทางให้อีกฝ่าย


 


 


นอกจากทุกคนจะไม่คิดว่าเธอเป็นตัวซวย แต่จำคิดว่าเธอเป็นผู้ช่วยชีวิตของแผนกประชาสัมพันธ์เสียมากกว่า


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ เธอจะใจเย็นลงได้อย่างไร


 


 


เมื่อเงยหน้าเห็นสีหน้าลำบากใจของเหวินหย่าไต้ เธอก็มีความหวังขึ้นมาบ้าง


 


 


หรือว่ารายงานของเหนียนเสี่ยวมู่จะผิดพลาด ทำให้ประธานเฉินไม่พอใจมาก


 


 


คงไม่ได้ต่อว่าเหนียนเสี่ยวมู่อย่างสาดเสียเทเสียหรอกใช่ไหม


 


 


เซี่ยจิงจิงคิดในใจ เธอรู้สึกร้อนรนอย่างมาก จึงเบียดมาอยู่ข้างหน้าสุด แล้วยื่นมือไปคว้ามือของเหวินหย่าไต้เอาไว้


 


 


“ผู้จัดการ ตกลงเป็นยังไงกันแน่ พี่พูดมาตามตรง ไม่ต้องไว้หน้าใครทั้งนั้น”


 


 


“…” เหวินหย่าไต้ได้ยินเซี่ยจิงจิงพูดอย่างนั้น สีหน้ายิ่งดูลำบากใจเข้าไปใหญ่


 


 


เธอดันมือของเซี่ยจิงจิงออก แล้วเดินไปตรงหน้าอวี๋เยว่หาน


 


 


“ประธานเฉินพอใจกับประกาศดำเนินงานของพวกเรามาก เพิ่งจะยืนยันให้ดำเนินการตามแผนการนี้”


 


 


หลังจากได้ยินดังนั้น เสียงโห่ร้องดีใจก็ดังขึ้นในแผนกประชาสัมพันธ์ทันที


 


 


มีเพียงเซี่ยจิงจิงที่ยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม เหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน


 


 


เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานรอบข้างกำลังหัวเราะร่วน เธอก็อยากหัวเราะบ้าง แต่รอยยิ้มกลับน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยืนอยู่ตรงประตู กำลังยิ้มกริ่มคำนวณถึงโบนัสสามเดือน


 


 


เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอเหลือบมองเซี่ยจิงจิง ถึงได้นึกออกว่าเธอเรื่องสำคัญมากไปเรื่องหนึ่ง


 


 


เธอหรี่ตาเดินไปข้างๆ อวี๋เยว่หาน “ฉันไม่ได้ทำโน๊ตบุ๊คพัง”


 


 


ในแผนกประชาสัมพันธ์เสียงดังมาก


 


 


ทุกคนกำลังดีใจ กลายๆ คนไม่ได้สนใจว่าเธอกำลังพูดอะไร


 


 


เธอพูดไปรอบหนึ่งแล้ว แต่เห็นอวี๋เยว่หานไม่ตอบโต้ เธอจึงคิดว่าเขาไม่ได้ยิน และเพิ่มเสียงพูดซ้ำอีกรอบหนึ่ง


 


 


“เซี่ยจิงจิงดันโน๊ตบุ๊คตกลงไปจากโต๊ะต่อหน้าฉัน”


 


 


หลังจากเธอพูดจบ แผนกประชาสัมพันธ์ที่กำลังคึกคักก็เงียบลงทันใด


 


 


สายตาของทุกคนจ้องมองมาที่เธออย่างพร้อมเพรียง

 

 

 


ตอนที่ 130 หลักฐาน หักหน้า

 

เดิมทีเหนียนเสี่ยวมู่เพียงอยากบอกอวี๋เยว่หาน ว่าเธอไม่ได้สร้างความลำบากให้แผนกประชาสัมพันธ์ คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะได้ยินกันหมด จึงตกตะลึงไป


 


 


พอเธอดึงสติกลับมา เธอก็ยืนตัวตรง


 


 


ในเมื่อพูดแล้ว ก็พูดให้ชัดเจนไปเลยแล้วกัน


 


 


“ตอนนั้นฉันแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ อยากจะลุกขึ้น แต่อยู่ๆ เซี่ยจิงจิงก็ยื่นมือมาดันโน๊ตบุ๊คตกลงไปบนพื้น…” เหนียนเสี่ยวมู่เสียงใสมาก เธออธิบายเหตุการณ์ในตอนนั้นอย่างใจเย็น


 


 


ถ้าเธอพูดแบบนี้ในตอนที่เกิดเรื่อง ทุกคนก็จะคิดแค่ว่าเธอต้องการแก้ตัวให้ตัวเอง และผลักความรับผิดชอบเซี่ยจิงจิง


 


 


แต่ตอนนี้เธอช่วยแผนกประชาสัมพันธ์แก้ปัญหาแล้ว


 


 


ถึงแม้เธอจะทำโน๊ตบุ๊คพังจริงๆ แต่ก็ได้ชดใช้ไปแล้ว


 


 


ไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายป้ายสีใครอีกแล้ว


 


 


ด้วยเหตุนี้ หลังจากเธอพูดจบ สายตาของทุกคนก็มองไปทางเซี่ยจิงจิงโดยไม่ได้นัดหมาย


 


 


เซี่ยจิงจิงมีสีหน้าลุกลี้ลุกลน “เหนียนเสี่ยวมู่ คุณพูดไร้สาระอะไร คุณชนโน๊ตบุ๊คชัดๆ ฉันก็เจตนาดีอธิบายแทนคุณ แต่ตอนนี้คุณกลับใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ คุณมีจิตสำนึกบ้างหรือเปล่า”


 


 


สองมือของเซี่ยจิงจิงกำหมัดแน่น ความโกรธเคืองในสายตาของเธอเจือความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม


 


 


เหวินหย่าไต้ปรับภาพวงจรปิดแล้ว ดูไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าใครเป็นคนดัน ขอแค่เธอกัดฟันไม่ยอมรับ ว่าคำพูดของเหนียนเสี่ยวมู่ไม่มีหลักฐานเลย


 


 


เซี่ยจิงจิงรู้ดีว่าผู้อ่อนแอจะได้รับเหตุผลของความเห็นใจ จึงหันไปมองอวี๋เยว่หาน


 


 


“คุณชายหาน ฉันทำงานอยู่ที่นี่มาหลายปี และทำงานด้วยความรอบคอบเสมอ เพื่อนร่วมงานในแผนกประชาสัมพันธ์เป็นพยานให้ฉันได้ ฉันเป็นคนรับผิดชอบประกาศดำเนินงานในครั้งนี้ ฉันจะเห็นงานของตัวเองเป็นเรื่องล้อเล่นได้ยังไงคะ”


 


 


เซี่ยจิงจิงพูดจบ จากนั้นก็หันไปมองเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


“คุณบอกว่าฉันจงใจทำโน๊ตบุ๊คพัง งั้นฉันขอถามคุณหน่อย พวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ฉันทำแบบนั้นกับคุณไปแล้วมีประโยชน์อะไร”


 


 


“…”


 


 


สายตาของทุกคนเปลี่ยนไปหลังจากเซี่ยจิงจิงพูดจบ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้วมุ่น


 


 


เธอไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย


 


 


ก่อนหน้านี้พวกเธอไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย ทำไมเซี่ยจิงจิงต้องทำแบบนี้ด้วย


 


 


คนอื่นไม่เห็น แต่เธอเห็นเซี่ยจิงจิงยื่นมือไปดันโน๊ตบุ๊คด้วยตาตัวเอง และนั่นเป็นเรื่องจริง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เม้มปาก ก่อนจะหันไปมองอวี๋เยว่หาน


 


 


เธอมองไม่ออกว่าใบหน้าเย็นชาของเขารู้สึกอย่างไร


 


 


นัยน์ตาสีดำล้ำลึกกวาดสายตามองคนตรงนี้ จากนั้นเขาก็ดึงเก้าอี้มานั่งลง แล้วเอ่ยปากเสียงเบา “ดึงภาพวงจรปิดตรงประตูออกมา”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง


 


 


ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร


 


 


ดึงภาพวงจรปิดออกมาแล้วดูอะไรไม่รู้เรื่องไม่ใช่เหรอ


 


 


ดึงออกมาอีกครั้งจะมีความหมายอะไร


 


 


แต่ไม่นานก็มีคนพบว่า กล้องวงจรปิดที่เขาพูดถึงเป็นคนละตัวกับภาพวงจรปิดที่เหวินหย่าไต้ดึงมา


 


 


กล้องวงจรปิดของพื้นที่ทำงานเห็นแค่หลังของทั้งสองคนเท่านั้น


 


 


เหวินหย่าไต้สังเกตเห็นข้อนี้แล้วถึงกับต้องกำหมัด


 


 


เธออยากพูดอะไรบางอย่าง แต่อวี๋เยว่หานพูดจบแล้ว ผ่านไปไม่นานเลขาก็ดึงภาพวงจรปิดออกมา


 


 


เป็นไปตามคาด กล้องวงจรปิดตรงประตูมองเห็นตอนที่เหนียนเสี่ยวมู่ลุกขึ้น และเซี่ยจิงจิงสะบัดแขนไปทางโน๊ตบุ๊คอย่างกะทันหันได้ชัดเจน…


 


 


แต่น่าเสียดายที่วินาทีสำคัญถูกทั้งสองคนบังไว้


 


 


มือของเธอตั้งใจหรือไม่ตั้งใจชนโน๊ตบุ๊คกันแน่ ไม่สามารถสรุปได้โดยง่ายเลย


 


 


แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าเหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้พูดโกหก


 


 


ตัวการทำให้โน๊ตบุ๊คตกลงบนพื้นคือเซี่ยจิงจิง


 


 


“ไม่ ฉันไม่ได้ทำ…มุมกล้องวงจรปิดต้องมีปัญหาแน่ คุณชายหาน ฉันตั้งอกตั้งใจทำงานมาโดยตลอด ไม่มีทางเอางานของตัวเองมาล้อเล่น…”

 

 

 


ตอนที่ 131 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไร้ความสามารถ ไม่มีความรับผิดชอบ

 

เซี่ยจิงจิงลนลานอย่างถึงที่สุด 


 


 


เธอถลันไปข้างหน้าอวี๋เยว่หาน อธิบายอย่างสุดชีวิต “คุณชายหาน ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะคะ ตอนนั้นอยู่ๆ เหนียนเสี่ยวมู่ก็ลุกขึ้นมา โน๊ตบุ๊คก็ตกลงไปพอดี ฉันก็เลยคิดว่าเธอชนมันตก” 


 


 


เซี่ยจิงจิงเห็นอวี๋เยว่หานหน้าบึ้ง จึงไม่ได้พูดต่อ แต่รีบมองไปทางเหวินหย่าไต้ 


 


 


“ผู้จัดการเหวิน พี่เป็นผู้จัดการของแผนกประชาสัมพันธ์ พี่รู้พฤติกรรมของฉันดีที่สุด ฉันให้ความสำคัญกับโครงการของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ามาก” 


 


 


“…” มีแสงฉายชัดอยู่ในดวงตาของเหวินหย่าไต้ 


 


 


เดิมทีเธอคิดว่าจะอาศัยเรื่องราวในครั้งนี้ ทำให้อวี๋เยว่หานห้ามเหนียนเสี่ยวมู่เข้ามาที่บริษัทอีก แต่ใครจะรู้ว่าจนสุดท้ายแล้ว เรื่องราวจะกลับตาลปัตรจนกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ 


 


 


เธอไม่ใส่ใจเซี่ยจิงจิงแค่คนเดียวหรอก 


 


 


แต่คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเธอสร้างเรื่อง เธอก็ต้องรับผิดชอบ 


 


 


จะให้เซี่ยจิงจิงยอมรับว่าจงใจใส่ร้ายทำลายชื่อเสียงไม่ได้เด็ดขาด 


 


 


“คุณชายหาน ถึงเซี่ยจิงจิงจะมีความผิด แต่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจ โน๊ตบุ๊คเสียหายถือเป็นเรื่องด่วนที่สุด เธออาจจะเข้าใจเหนียนเสี่ยวมู่ผิดเพราะเหตุนี้ ตอนนี้เคลียร์ความเข้าใจผิดกันแล้ว ฉันให้เธอขอโทษเหนียนเสี่ยวมู่เป็นยังไงคะ”  


 


 


เหวินหย่าไต้มองเซี่ยจิงจิง ขยิบตาให้เธอครั้งหนึ่ง 


 


 


เมื่อเห็นดังนั้น เซี่ยจิงจิงก็ฝืนความรู้สึก โค้งตัวให้เหนียนเสี่ยวมู่ “ขอโทษค่ะ” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่กัดริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


กล้องวงจรปิดไม่ได้ถ่ายข้างหน้า คนอื่นจึงเชื่อว่าเซี่ยจิงจิงไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนั้นเธอแน่ใจมาก 


 


 


ตอนเซี่ยจิงจิงยื่นมือมาดันโน๊ตบุ๊ค ในสายตาเปล่งประกายความชั่วร้ายออกมาด้วย 


 


 


สายตาแบบนั้น เป็นความตั้งใจอย่างแน่นอน… 


 


 


แต่เซี่ยจิงจิงกล่าวขอโทษเธอต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เหวินหย่าไต้ก็กำลังขอความเห็นใจจากเธอด้วย ถ้าเธอยังปฏิเสธอย่างเด็ดขาด คนอื่นก็จะคิดว่าเธอไม่รู้จักดีชั่วเสียเปล่าๆ 


 


 


“พักงานไปสำนึกผิด” 


 


 


ตอนที่เหนียนเสี่ยวมู่กำลังคิดว่าทำได้แค่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป เสียงเยียบเย็นก็ค่อยๆ ดังขึ้นที่ข้างหู 


 


 


เธอตัวแข็งทื่อ เงยหน้ามองอวี๋เยว่หานทันควัน 


 


 


ราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง 


 


 


อวี๋เยว่หานไม่ได้มองมาที่เธอ แต่จ้องเซี่ยจิงจิงอย่างเยือกเย็น ครั้นพูดจบก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เตรียมจะออกไป 


 


 


“คุณชายหาน จิงจิงไม่ได้เพิ่งมาอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์วันหรือสองวัน เธอมีผลงานดีมากเสมอ แค่อุบัติเหตุครั้งเดียว ให้เธอไปพักงานสำนึกผิดมันหนักเกินไปเหรอคะ”  


 


 


ทีแรกเธออยากพูดว่า ถ้าไม่มีหลักฐานแบบนี้ ชดเชยด้วยคำว่าขอโทษก็มากเกินไปแล้ว 


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่า อวี๋เยว่หานจะออกปากให้เซี่ยจิงจิงไปพักงานสำนึกผิด 


 


 


เพียงเพราะเหนียนเสี่ยวมู่… 


 


 


เธอทนมองเขาแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้เพราะผู้หญิงคนเดียวหรอกนะ 


 


 


“หนักเกินไปงั้นเหรอ” อวี๋เยว่หานหยุดฝีเท้า แล้วหมุนตัวมาพร้อมสายตาเยียบเย็น 


 


 


“เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ของแผนกประชาสัมพันธ์ แต่ไม่ได้ทำสำเนาประกาศสำคัญไว้ตั้งแต่ทีแรก ถือว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง” 


 


 


“ประกาศที่ไม่ได้ทำสำเนาไว้ กลับไม่เก็บรักษาให้ดี เกิดอุบัติเหตุขึ้นก็คิดวิธีกู้คืนสถานการณ์ไม่ได้ ถือว่าไร้ความสามารถ” 


 


 


“งานเกิดปัญหา แต่ไม่ยอมพิจารณาตัวเองตั้งแต่ทีแรก แต่ผลักความรับผิดชอบให้คนอื่น ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ” 


 


 


ดวงตาเย็นชาของอวี๋เยว่หานกวาดมองทุกคน สุดท้ายถึงจ้องมองใบหน้าของเหวินหย่าไต้ 


 


 


“แผนกประชาสัมพันธ์มีซูเปอร์ไวเซอร์แบบนี้ ผมเป็นห่วงว่าโครงการร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าจะเกิดปัญหาอีกหรือเปล่า”  


 


 


“…” เหวินหย่าไต้หน้าซีดเผือดทันใด 


 


 


คำพูดนี้หมายความว่าแม้แต่เธอก็ถูกสงสัยไปด้วย 


 


 


อย่างไรเสียเธอก็ดันให้เซี่ยจิงจิงได้ตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์นี้ 


 


 


เหวินหย่าไต้สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ 

 

 

 


ตอนที่ 132 เธอมันเห็นแก่เงิน

 

“เรื่องในวันนี้จิงจิงสร้างปัญหาใหญ่มากจริงๆ ผู้จัดการอย่างฉันไม่ดูแลลูกน้องให้ดีก็มีส่วนผิด ฉันจะควบคุมเธอให้ดี ไม่ให้เธอทำผิดพลาดแบบนี้อีก แต่โครงการของบริษัทเซิ่งต้าเริ่มไปแล้ว จิงจิงเป็นคนดูแลงานของกลุ่มเล็กมาโดยตลอด อยู่ๆ เปลี่ยนตัวเธอ ฉันเป็นห่วงว่าจะหาที่เหมาะสมกว่าเธอไม่ได้” 


 


 


เหวินหย่าไต้พูดถึงตรงนี้แล้วเหมือนหาที่พึ่งพาเจอ จึงถอนหายใจออกมายาวๆ 


 


 


ข้อห้ามสำคัญของโครงการใหญ่คือการเปลี่ยนคน 


 


 


เนื้อหาส่วนใหญ่ต้องอาศัยการติดต่อและความคุ้นเคย หากมีเวลาไม่เพียงพอก็เป็นปัญหาหนึ่ง 


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยจิงจิงไม่ใช่พนักงานธรรมดา ถ้าเปลี่ยนตัวเธอตอนนี้ และหาคนที่เหมาะสมมาแทนที่ไม่ได้ งานโครงการของบริษัทเซิ่งต้าจะต้องได้รับผลกระทบแน่ 


 


 


ขอเพียงอวี๋เยว่หานยอมผ่อนผัน ถอนการลงโทษเธอ 


 


 


รอให้โครงการของบริษัทเซิ่งต้าเสร็จสิ้น เธอก็จะถือโอกาสให้เซี่ยจิงจิงแสดงฝีมือ นำความสำเร็จมาให้เธอ… 


 


 


ครั้นเหวินหย่าไต้คิดถึงตรงนี้ เธอก็สงบใจลงได้ 


 


 


จากนั้นถึงเงยหน้ามองอวี๋เยว่หานพร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยม 


 


 


“ใครบอกว่าไม่มีคนที่เหมาะสม?” อวี๋เยว่หานชำเลืองมองเธอ นัยน์ตาสีดำล้ำลึกขึ้น ครั้นมองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่ เขาก็เอ่ยเสียงเบาอีก “ช่วงเวลาที่เซี่ยจิงจิงพักงานไปสำนึกผิด ก็ให้เหนียนเสี่ยวมู่มารับช่วงต่องานของเธอสิ” 


 


 


เหวินหย่าไต้ “…” !! 


 


 


 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กลับห้องทำงานประธานบริษัทพร้อมกับอวี๋เยว่หานเงียบๆ  


 


 


รู้สึกเพียงว่าเหมือนสองเท้าย่ำอยู่บนผ้าฝ้าย ตัวเบาหวิวคล้ายกับล่องลอยอยู่… 


 


 


อวี๋เยว่หานหยุดฝีเท้า ทำเอาเธอเกือบจะชนเขาเลยทีเดียว 


 


 


พอเธอได้สติกลับมา ถึงพบว่านัยน์ตาสีดำลึกล้ำของเขากำลังจ้องมองเธออย่างเยือกเย็น 


 


 


เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เขาก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ทำไมต้องเป็นพยาบาล” 


 


 


“…” แน่นอนว่าเพราะเรียนสายนี้หาเงินได้ 


 


 


“คุณคิดจะเป็นพยาบาลตลอดไปเหรอ” อวี๋เยว่หานหลุบตา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะทำงาน 


 


 


“…ก็ไม่ใช่” เหนียนเสี่ยวมู่พึมพำ 


 


 


เรียนความรู้พยาบาลก็เพื่อพิสูจน์กับถานเปิงเปิง ว่าเธอจะดูแลตัวเองได้อย่างไร 


 


 


พยาบาลเป็นงานที่เหมาะสมพอดี 


 


 


ส่วนต่อจากนั้นจะทำอะไร… 


 


 


เธอยังไม่ได้คิด ขอแค่หาเงินได้ก็พอ! 


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์แผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทตระกูลอวี๋ เงินเดือนมากเป็นสองเท่าของคุณในตอนนี้เลยนะ” สายตาเย็นๆ ของเขากวาดมองเธอครั้งหนึ่ง ราวกับอ่านแผนการในใจเธอออก 


 


 


ทุกคำพูดทิ่มแทงบนหัวใจของเธออย่างแม่นยำ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้าทันที พอได้ยินเรื่องเงินก็ตาเป็นประกายขึ้นมา! 


 


 


ท่าทางหลงใหลในเงินตรานั้นทำให้รู้สึกพะว้าพะวงจริงๆ 


 


 


ที่ปรากฏอยู่ในหัวคือเธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขียนประกาศดำเนินงานฉบับหนึ่งออกมาด้วยความเร็วที่ทุกคนคาดไม่ถึง 


 


 


รวมถึงเปล่งออร่าออกมาระหว่างรายงานในห้องประชุมด้วย… 


 


 


แตกต่างกับท่าทางไร้เดียงสาไม่มีพิษภัยตรงหน้าโดยสิ้นเชิง 


 


 


นัยน์ตาของเขาหดตัว ก่อนจะเอ่ยปากทันที “คุณไม่มีอะไรจะพูดกับผมหรือไง” 


 


 


อย่างเช่นเธอเป็นใครกันแน่ 


 


 


เขียนประกาศดำเนินงานฉบับนั้นออกมาได้อย่างไร 


 


 


เธอยังมีความลับอะไรซ่อนเอาไว้อีก… 


 


 


“มีอยู่แล้ว!” พอเหนียนเสี่ยวมู่นึกถึงเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นได้เป็นเท่าตัวในภายภาคหน้า เธอก็เชิดหน้ายืดอกทันที รับประกันด้วยความซื่อสัตย์อย่างยิ่ง “ต่อไปทำงานที่แผนกประชาสัมพันธ์แล้ว ฉันจะตั้งใจทำงานหนัก ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน!” 


 


 


อวี๋เยว่หาน “…” 


 


 


เมื่อเงาร่างของเธอหายไปจากประตูห้องพักผ่อน เขาถึงจะมองไปทางผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ นัยน์ตาสีดำร้อนแรงดุจคบเพลิง “ให้คนไปตรวจสอบอีก ผมอยากรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ” 


 

 

 


ตอนที่ 133 หุ้นตกเหรอ

 

เขาพูดจบแล้วก็เห็นเหนียนเสี่ยวมู่วิ่งออกจากห้องพักผ่อนไป 


 


 


เขาหรี่ตา พลางเลิกคิ้วมองเธอ กำลังคิดว่าเธอได้ยินที่เขาพูดเมื่อครู่หรือไม่ เหนียนเสี่ยวมู่ก็วิ่งกลับมาตรงหน้า สองมือเธอยันอยู่บนโต๊ะ จ้องมองเขาด้วยสายตาเคร่งขรึม 


 


 


“คุณชายหาน คุณลืมเรื่องสำคัญมากๆ เรื่องหนึ่งหรือเปล่า” 


 


 


“…” อวี๋เยว่หานชะงักไปเล็กน้อย 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขา แต่เห็นเขาไม่ตอบ ก็ยังคงพูดต่อไป “ฉันไปแผนกประชาสัมพันธ์แล้ว ใครจะดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่วล่ะ” 


 


 


เธอเพิ่งพูดจบ ก็เห็นร่างเล็กนุ่มของเสี่ยวลิ่วลิ่วเดินออกมาจากในห้องพักผ่อน 


 


 


เด็กหญิงกอดตุ๊กตาตัวโปรดเอาไว้ในอก กำลังขยี้ตา ท่าทางเพิ่งตื่นนอน ดูสะลึมสะลืออยู่บ้าง 


 


 


มวยผมเอียงไปหมดแล้ว 


 


 


เด็กหญิงลังเลอยู่ชั่วขณะเมื่อหันหน้าไปเห็นสองคนในห้องทำงาน สุดท้ายก็วิ่งไปหาเหนียนเสี่ยวมู่ พูดจาออดอ้อน “พี่สาวคนสวยอุ้ม” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ก้มหน้ามองใบหน้าเล็กจ้อยสะสวยเหมือนหยก จากนั้นก็หันไปมองอวี๋เยว่หาน 


 


 


เธอใช้สายตาสอบถามเขา ‘จะอธิบายกับเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างไร’ 


 


 


อวี๋เยว่หานเห็นเธอพูดเรื่องนี้ สีหน้าจึงอ่อนลง จากนั้นก็กวักมือเรียกเจ้าหญิงน้อยของตัวเอง “มานี่สิ” 


 


 


เขาอุ้มร่างเล็กนุ่มนวลขึ้นมา ก่อนจะหยิกแก้มเล็กๆ ของเด็กหญิง 


 


 


เจ้ากบฏใจร้ายตัวน้อย 


 


 


“อีกนานไหมกว่าแผลของเสี่ยวลิ่วลิ่วจะหายเป็นปกติ” เขาเอ่ยปากเรียบๆ 


 


 


“แผลพอจะสมานกันแล้ว เปลี่ยนยาอีกสองสามวัน จากนั้นก็อย่าให้แขนที่บาดเจ็บยกของหนักช่วงพักฟื้น เด็กน่ะฟื้นตัวเร็วมาก อีกเดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่อธิบายอย่างเป็นมืออาชีพ 


 


 


เธออยากหาเงิน แต่ก็ปล่อยวางเสี่ยวลิ่วลิ่วไม่ได้เช่นกัน 


 


 


พอคิดว่าต้องจากเธอไป ในใจของก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้อยู่บ้าง 


 


 


อวี๋เยว่หานตาเป็นประกาย “เสี่ยวลิ่วลิ่วจะมาที่บริษัทกับผมทุกวัน คุณทำงานที่บริษัท ขอแค่เจียดเวลามาเปลี่ยนยาให้เธอตรงเวลา จนกระทั่งแผลเธอหายดี มีปัญหาไหม” 


 


 


“ไม่มีปัญหา!” 


 


 


เมื่อได้ยินว่าเธอดูแลเสี่ยวลิ่วลิ่วต่อไปได้ เหนียนเสี่ยวมู่ก็ตอบรับโดยไม่คิด 


 


 


จากนั้นก็หันไปจัดการขั้นตอนเข้าทำงานกับผู้ช่วยอย่างเบิกบาน 


 


 


“…” อวี๋เยว่หานเห็นรอยยิ้มบนหน้าของเธอแล้ว หัวใจเหมือนหยุดเต้นอย่างน่าประหลาด 


 


 


ทั่วไปแล้วคนจะดีใจที่ได้อยู่ข้างกายเขา แต่เธอกลับดีใจที่จะได้อยู่กับลูกสาวของเขาต่อไป! 


 


 


 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จัดการขั้นตอนเข้าทำงานเสร็จสิ้นในบ่ายวันนั้น 


 


 


วันต่อมาเธอมารายงานตัวที่แผนกประสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ 


 


 


แต่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูแผนกประชาสัมพันธ์ เธอก็เหม่อลอยไปเล็กน้อย 


 


 


เธอมองบัตรประจำตัวที่แขวนอยู่ตรงหน้าอกตนเอง แล้วจึงเงยหน้ามองประตูแผนกตรงหน้าที่เพิ่งเคยเห็นเพียงครั้งเดียว แต่ในใจกลับรู้สึกคุ้นเคยมาก 


 


 


เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร 


 


 


ดังนั้นจึงมองในบริษัทตระกูลอวี๋อีกหลายครั้ง แต่อย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในบริษัทตระกูลอวี๋อย่างเป็นทางการ 


 


 


“คุณเหนียน อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เลขาคนที่รับรองเธอเมื่อวานกล่าวทักทายอย่างมีมารยาททันทีที่เห็นเธอ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หลุบตา พร้อมกับเดินไปข้างหน้า ในมือถือประกาศเข้าทำงานเอาไว้ “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันมาหาผู้จัดการเหวิน เธอมาหรือยังคะ” 


 


 


“ผู้จัดการเหวินเป็นคนที่มาเช้าที่สุดในแผนกของเราตลอดเลยค่ะ เธอรอคุณอยู่ในห้องทำงานแล้ว คุณเข้าไปหาเธอได้เลยค่ะ” เลขากล่าว พลางชี้ไปทางห้องทำงานผู้จัดการ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่พยักหน้าให้เธอเป็นการขอบคุณ ก่อนจะเดินไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


เธอมาถึงค่อนข้างเช้า ตอนนี้แทบจะไม่มีเพื่อนร่วมงานในแผนกประชาสัมพันธ์เลย 


 


 


เธอมุ่งหน้าไปยังประตูห้องทำงานของผู้จัดการ แล้วยกมือเคาะประตู “ผู้จัดการเหวิน ฉันเหนียนเสี่ยวมู่ค่ะ” 

 

 

 


ตอนที่ 134 เด็กถ่ายเอกสาร

 

“เชิญเข้ามาค่ะ” เสียงของเหวินหย่าไต้ลอดออกมาจากในห้องทำงาน 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยื่นมือไปเปิดประตูเดินเข้าไปเมื่อได้ยินดังนั้น 


 


 


ห้องทำงานของเหวินหย่าไต้อยู่ในตำแหน่งที่ทัศนวิสัยดีที่สุดของแผนกประชาสัมพันธ์ สามารถมองเห็นสถานการณ์ในพื้นที่ทำงานด้านนอกผ่านผนังกระจก แต่ข้างน้องจะมองไม่เห็นข้างใน 


 


 


เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน กำลังอ่านเอกสารตรงหน้า 


 


 


เมื่อเห็นเหนียนเสี่ยวมู่เข้ามา เธอเงยหน้าเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยปาก “เข้ามาสิคะ เชิญนั่ง” 


 


 


รอยยิ้มกระตือรือร้นทำให้คนนอกรู้สึกเหมือนถูกชโลมด้วยลมฤดูใบไม้ผลิ คล้ายกับเรื่องไม่น่ารื่นรมย์เมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น 


 


 


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ผู้จัดการเหวิน” เหนียนเสี่ยวมู่วางประกาศฌข้าทำงานในมือตัวเองลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย 


 


 


เหวินหย่าไต้ไม่ได้มองประกาศตรงหน้า แต้ยิ้มสดใสยิ่งขึ้น 


 


 


“ตั้งแต่ฉันเจอคุณครั้งแรก ก็รู้สึกว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานกันเร็วขนาดนี้ ความจริงแล้วมีประกาศเข้าทำงานหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ ทั้งฉัน ทั้งคนอื่นๆ ในแผนกของพวกเราเห็นความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์ของคุณกันหมดแล้ว ทุกคนคาดหวังกับการเข้ามาทำงานของคุณมากเลยนะคะ” 


 


 


เหวินหย่าไต้พูดพลางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วยื่นมือออกไป 


 


 


“ฉันขอเป็นตัวแทนแผนกประชาสัมพันธ์ ยินดีต้อนรับค่ะ!” 


 


 


“…ขอบคุณค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงัน แต่จากนั้นก็จับมือกับเธอ 


 


 


ไม่นานเหวินหย่าไต้ก็ปล่อยมือ 


 


 


“คุณเพิ่งมาถึงแผนกประชาสัมพันธ์ มีหลายอย่างที่ยังไม่คุ้นเคย ฉันเตรียมเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งไว้ให้คุณโดยเฉพาะแล้ว จะได้ช่วยให้คุณคุ้นเคยกับงานในแผนกของเราโดยเร็วที่สุด” 


 


 


เหวินหย่าไต้พูด และมีเสียงดังขึ้นจากประตูในเวลานั้น 


 


 


ไม่นานก็ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา “ผู้จัดการเหวิน เรียกหาฉันมีอะไรเหรอคะ” 


 


 


“อืม” เหวินหย่าไต้เดินไปหยุดระหว่างทั้งสงคน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเป็นกันเอง “ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จักกันนะ นี่คือเหนียนเสี่ยวมู่ ซูเปอร์ไวเซอร์ใหม่ของแผนกเรา” 


 


 


เหวินหย่าไต้มองไปทางเหนียนเสี่ยวมู่ แล้วชี้ไปทางหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามา 


 


 


“เธอชื่อเย่หมิงหมิ่น ซูเปอร์ไวเซอร์อีกคนหนึ่งของแผนกประชาสัมพันธ์ คุณเพิ่งมากถึง ฉันเลยจะให้เธอช่วยคุณทำความคุ้นเคยกับแผนก ถ้ามีตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามเธอได้เลยค่ะ”  


 


 


แม้เมื่อวานเหนียนเสี่ยวมู่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงกับประกาศฉบับนั้นมาก 


 


 


แต่เธอไม่คุ้นเคยกับแผนกประชาสัมพันธ์ อยากจะเข้ากับคนในแผนกให้ได้เร็วที่สุด ก็จำเป็นต้องมีคนช่วย 


 


 


ซูเปอร์ไวเซอร์ที่โผล่มากะทันหันอย่างเธอ พนักงานทั่วไปคงจะช่วยไม่ได้แน่ๆ ทำได้แค่ให้ซูเปอร์ไวเซฮร์อีกคนมาช่วย 


 


 


การจัดการของเหวินหย่าไต้ถือว่าสมเหตุสมผล 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เนียนเสี่ยวมู่ก็ออกมาจากห้องทำงานพร้อมเย่หมิงหมิ่น จากนั้นก็เดินไปยังที่นั่งของเซี่ยจิงจิง เย่หมิงหมิ่นถึงจะหยุดฝีเท้า “เซี่ยจิงจิงถูกพักงานไปสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้ตรงนี้จะเป็นโต๊ะทำงานของคุณค่ะ” 


 


 


คนอื่นๆ ในแผนกประชาสัมพันธ์ทยอยกันมาถึงแล้ว 


 


 


เมื่อเห็นเหนียนเสี่ยวมู่ พวกเขาก็มองเธอโดยไม่ได้นัดหมาย 


 


 


หลังจากเห็นตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ ว่าเป็นที่นั่งเดิมของเซี่ยจิงจิง ทุกคนก็เบนสายตาออกไปด้วยความอึดอัด 


 


 


มีเพียงนักศึกษาฝึกงานสองสามคน ที่กล้าทักทายเหนียนเสี่ยวมู่อย่างใจกว้าง 


 


 


ในใจของเหนียนเสี่ยวมู่มีแต่เงินเดือนสองเท่า จึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เมือเห็นว่าเวลาทำงานมาถึงแล้ว เธอก็หันหน้าไปหาเย่หมิงหมิ่น 


 


 


“หน้าที่ของฉันคืออะไรเหรอคะ” 


 


 


“ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม แล้วก็ขั้นตอนการทำงานของแผนกประชาสัมพันธ์ ถึงคุณจะเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ แต่เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้อง ฉันจำเป็นต้องให้คุณทำงานพื้นฐานแบบนักศึกษาฝึกงานสักสองสามวัน” 


 


 


เย่หมิงหมิ่นชี้ไปที่เครื่องถ่ายเอกสารอย่างไม่ใส่ใจนัก “เช้าวันนี้ก็เรียนรู้ว่าต้องช่วยคนอื่นถ่ายเอกสารยังไงไปก่อนนะคะ จากนั้นก็ค่อยทำงานกรอกข้อมูลแล้วกันค่ะ” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้วมุ่น 


 


 


เธออยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เย่หมิงหมิ่นกลับเดินผ่านเธอไปแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 135 เทวดาของคุณกรุณาเซ็นรับ

 

ในห้องทำงานผู้จัดการ 


 


 


เหวินหย่าไต้ถือกาแฟแก้วหนึ่ง ยืนอยู่หน้าผนังกระจก พลางมองเหนียนเสี่ยวมู่ที่อยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร เธอจิบกาแฟเบาๆ คำหนึ่ง มุมปากยกยิ้มเยือกเย็น 


 


 


ความจริงแล้วทีแรกเธอไม่ได้คิดจะให้เหนียนเสี่ยวมู่เข้ามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ 


 


 


อย่างไรเสียก็เป็นแผนกของตัวเอง แน่นอนว่าต้องใช้คนของตัวเองให้ชินมือสักหน่อย 


 


 


เซี่ยจิงจิงโง่เง่า แต่ฝีมือการทำงานไม่เลว แถมยังเชื่อฟังด้วย 


 


 


ควบคุมคนแบบนี้ไว้ได้ก็เป็นประโยชน์ทีเดียว 


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่า อวี๋เยว่หานจะให้เหนียนเสี่ยวมู่ลงมาที่แผนกประชาสัมพันธ์ หักหน้าเธอต่อหน้าทุกคน… 


 


 


เหวินหย่าไต้หรี่ตา ในนั้นมีความเยียบเย็นพาดผ่านไป 


 


 


มีเพียงอำนาจในที่ทำงานคงจะไม่ได้ ต้องได้รับการต้อนรับจากทุกคนด้วย 


 


 


ในเมื่อเหนียนเสี่ยวมู่ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ เธอก็จะสอนกฎเกณฑ์ให้อย่างดี ให้อีกฝ่ายรู้ว่า อยู่ที่นี่แล้วไม่มีใครช่วยได้!  


 


 


เธอเหลือบมองท่าทางน่าสงสารของเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังยุ่งอยู่หลังเครื่องถ่ายเอกสาร เทียบนักศึกษาฝึกงานไม่ได้เลยจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วยิ่งทำให้เธอรู้สึกมีความสุข! 


 


 


คาดว่าผ่านไปอีกสองวัน อีกฝ่ายคงจะทนไม่ได้ ต้องมาฟ้องเธอแน่ 


 


 


ถ้าเธอเข้ากับใครในแผนกประชาสัมพันธ์ไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาที่ต้องไป เธอก็จะไม่มีมิตรภาพกับใครเลย 


 


 


เหวินหย่าไต้ยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างใจ ถือเป็นการเปลี่ยนท่าทางชื่นชมสภาพจนตรอกของเหนียนเสี่ยวมู่ต่อ… 


 


 


 


 


 


ข้างเครื่องถ่ายเอกสาร 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพิ่งถ่ายสำเนาและเข้าเล่มเอกสารชุดหนึ่งเสร็จ จากนั้นก็ส่งให้เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ 


 


 


เธอเพิ่งยื่นมือไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก็ได้ยินคนเรียกอีก “เหนียนเสี่ยวมู่ ถ่ายเอกสารข้อมูลที่ฉันต้องการออกมาหรือยัง” 


 


 


“จะทำเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” 


 


 


เธอยังไม่ทันได้หายใจ ก็ต้องทำงานต่อแล้ว 


 


 


เย่หมิงหมิ่นพูดไม่ผิดเลยสักนิด 


 


 


เธอไม่เข้าใจขั้นตอนการทำงานของแผนกประชาสัมพันธ์เลยจริงๆ อาจจะยังเทียบไม่ได้กับนักศึกษาฝึกงานเลยด้วยซ้ำ 


 


 


ซูเปอร์ไวเซอร์แบบนี้ ไม่ว่าอยู่แผนไหน ก็ไม่มีทางร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานได้ดี 


 


 


คนที่เข้ามาใหม่ล้วนต้องการช่วงเวลาปรับตัวกันทั้งนั้น 


 


 


ถ่ายเอกสารก็ถ่ายเอกสาร เธอตั้งใจศึกษาให้ดีเวลาที่เธอพอจะพักได้ ว่าเพื่อนร่วมงานในแผนกทำงานกันอย่างไร 


 


 


ไม่ควรน้อยใจ 


 


 


เมื่อคิดได้อย่างนี้ เธอก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ 


 


 


เธอช่วยเพื่อนร่วมงานถ่ายเอกสารและส่งแฟกซ์มือเป็นระวิง และหาโอกาสอ่านเอกสารที่ไม่เร่งด่วน เพื่อศึกษาโครงการทำกำลังดำเนินงานของกลุ่มย่อยๆ… 


 


 


เมื่อทำงานยุ่ง เวลาก็ผ่านไปเร็วมาก 


 


 


ตอนกลางวันเธอถึงจะได้พักหายใจ 


 


 


เมื่อได้สติกลับมา เพื่อนร่วมงานในแผนกต่างจับกลุ่มพากันไปกินกันหมดแล้ว เหลือแค่เธอคนเดียว 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จำเป็นต้องถ่ายเอกสารชุดสุดท้ายให้เสร็จสิ้น แล้วถึงออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ 


 


 


ตอนที่เดินมาถึงร้านอาหาร มีคนของแผนกประชาสัมพันธ์อยู่ไม่น้อย มีเพื่อนร่วมงานอยากเรียกเธอมานั่งด้วยกัน แต่ยังไม่ทันจะเรียกชื่อ ก็ถูกคนข้างๆ ดึงเอาไว้ก่อน 


 


 


“เซี่ยจิงจิงแค่พักงานไปสำนึกผิด ยังไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ เธอรีบร้อนตีสนิทเหนียนเสี่ยวมู่แบบนี้ ไม่กลัวเป็นการสุมไฟใส่ตัวหรือไง” 


 


 


เพื่อนร่วมงานที่คิดจะเรียกเหนียนเสี่ยวมู่หยุดทันทีที่ได้ยินดังนั้น 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่สั่งข้าวเสร็จแล้ว กำลังกวาดสายตามองในร้านอาหาร แล้วเดินไปยังโต๊ะที่ยังว่างอยู่ในมุม 


 


 


เธอเตรียมใจกินข้าวคนเดียวเอาไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้นั่งลง ก็เห็นเงาร่างเล็กๆ วิ่งห้อมาหาเธอแล้ว 


 


 


“พี่สาวคนสวย” 


 


 


เสี่ยวลิ่วลิ่วสวมกระโปรงเจ้าหญิงนุ่มๆ ผมสลวยรวบเป็นมวย ใบหน้ารูปไข่สะสวยเหมือนหยกเจือสีเดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ 


 


 


ขาสั้นๆ คู่นั้นวิ่งเร็วมาก ไม่นานก็โผเข้ามาในอกของเหนียนเสี่ยวมู่ได้แล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 136 กรรมตามสนองเร็วเกินไปแล้ว!

 

“เสี่ยวลิ่วลิ่ว…” เหนียนเสี่ยวมู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบร้อนอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา “หนูมาได้ยังไงเนี่ย” 


 


 


สาวน้อยเอียงคอ ตากลมโตกะพริบปริบๆ “มากินข้าวกับพี่สาวคนสวย!” 


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา 


 


 


วินาทีต่อมา เธอเห็นมือเล็กๆ ของเสี่ยวลิ่วลิ่วชี้ไปที่ทางเข้าร้านอาหาร พร้อมทั้งยิ้มแป้นแล้น “ปาปาก็มาด้วยนะ!” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้น มองตามสายตาของเสี่ยวลิ่วลิ่วไป เห็นเงาร่างสูงส่งกำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน 


 


 


ออร่าความยิ่งใหญ่ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น 


 


 


“คุณชายหาน” 


 


 


พนักงานในร้านอาหารลุกขึ้นกล่าวทักทายโดยสัญชาตญาณ 


 


 


“ไม่ต้องสนใจผม พวกคุณตามสบายเถอะ” อวี๋เยว่หานใช้ดวงตาสีดำกวาดมองรอบๆ ไม่นานเขาก็หลุบตาลง แล้วเดินมาทางเหนียนเสี่ยวมู่ 


 


 


“คุณชาย!” เหนียนเสี่ยวมู่อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ว พลางยืนตัวตรงทันที 


 


 


เธอแอบร้องโหยหวนอยู่ในใจ 


 


 


เธอคิดถึงเสี่ยวลิ่วลิ่วมาก แต่ไม่คิดถึงเจ้าก้อนน้ำแข็งสักนิด 


 


 


แค่กินข้าวกับอวี๋เยว่หานแล้วถูกเขาถลึงตาใส่ เธอก็ท้องอืดแล้ว 


 


 


“คุณชายหาน คุณก็มากินข้าวด้วยเหรอ” เหนียนเสี่ยวมู่ถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


“…” 


 


 


อวี๋เยว่หานชำเลืองมองเธอด้วยสายตาเยียบเย็น ราวกับกำลังสงสัยไอคิวของเธอ 


 


 


จากนั้นเขาก็เอ่ยปากเรียบๆ 


 


 


“มากับเสี่ยวลิ่วลิ่ว”  


 


 


“…” 


 


 


“ถือโอกาสกินข้าวด้วย” 


 


 


“…” คำพูดเรียบง่าย ราวกับว่าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเธอ 


 


 


เธอเข้าใจดี 


 


 


ถ้าเสี่ยวลิ่วลิ่วไม่มาหาเธอ เขาก็คงไม่อยากมาที่ร้านอาหารพนักงานโดยสิ้นเชิง 


 


 


แต่เฉยชากับเขาเพราะความคิดแบบนี้ จะดูไม่รู้จักบุญคุณเกินไปหน่อยหรือเปล่า 


 


 


“งั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงคุณเป็นยังไงคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ถามตามมารยาท 


 


 


ปากพูดด้วยความยินดี แต่ในใจเริ่มรอคอยเขาปฏิเสธแล้ว 


 


 


อย่างไรเสียเขาก็เป็นประธานบริษัท ไม่ได้เงินทองขาดมืออยู่แล้ว เขาจะอยากให้เธอเลี้ยงข้าวจริงๆ ได้อย่างไร 


 


 


เขาต้องปฏิเสธแน่ๆ ใช่ไหม 


 


 


“ตกลง” คำง่ายๆ คำเดียวออกจากริมฝีปากบางน่ามองของเขาอย่างเชื่องช้า 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึง 


 


 


เธอมองเขาอย่างงุนงงราวกับฟังไม่รู้เรื่อง ดวงตาสดใสถมึงทึงขึ้นมาทันควัน “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ” 


 


 


“ตกลง คุณเลี้ยงผม” อวี๋เยว่หานชำเลืองมองสีหน้าเสียหน้าของเธอ แต่เธอยังไม่ทันดึงสติกลับมา เขาก็หันไปสั่งผู้ช่วยว่า “เอาอาหารชุดที่ดีที่สุดสามชุด ส่วนเงินก็หักจากโบนัสปลายเดือนของซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !! 


 


 


หลังจากผู้ช่วยยกอาหารชุดสามชุดมา ตัวเลขเด่นหราอยู่ต่อหน้า ในใจกระอักเลือดหมดแล้ว 


 


 


นี่ยังไม่น่าเวทนาที่สุดหรอกนะ 


 


 


พวกเขาสามคนกินอาหารชุดหรูหรา ส่วนคนที่ออกเงินอย่างเธอกินอาหารชุดธรรมดาอยู่คนเดียว 


 


 


มีความยุติธรรมบ้างหรือเปล่าเนี่ย 


 


 


เธอรู้สึกถึงเจตนาร้ายที่มาจากจุดที่ลึกที่สุดของโลกใบนี้… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่จิ้มผักในชาม สายตาจับจ้องไปยังหมูผัดไฟแดงในจานของอวี๋เยว่หาน 


 


 


ครั้งก่อนเขาแย่งหมูผัดไฟแดงของเธอ ครั้งนี้เขาให้คืนกลับมาบ้างไม่ได้เลยเหรอ 


 


 


“คุณอยากกินเหรอ” อวี๋เยว่หานดึงถาดอาหารมาไว้ตรงหน้าตัวเอง ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบหมูผัดไฟแดงขึ้นมาชิ้นหนึ่ง จ้องมองเธอไปด้วย 


 


 


เนื้อหมูที่มีไขมันสมส่วน สีสันมันวาวเหลืองทอง ทำให้เธอน้ำลายสอ 


 


 


ดูแล้วน่ากินกว่าจานที่เขาแย่งไปครั้งก่อนอีก! 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังลังเล ว่าต้องพยักหน้าให้เขาแบ่งให้สักหน่อยหรือเปล่า แต่ก็เห็นเขาขยับตะเกียบบรรจงวางหมูใส่ปากอย่างสบายอารมณ์ 


 


 


จากนั้นถึงใช้ตะเกียบคีบมะระขึ้นมาอีกสองชิ้น แล้ววางลงในชามของเธอ 


 


 


“กินเนื้อสัตว์มากๆ จะอารมณ์เสียง่าย มะระเหมาะกับคุณมากกว่า” 

 

 

 


ตอนที่ 137 สาวสวยข้างหน้า ระวังด้วย

 

เหนียนเสี่ยวมู่ “…”  


 


 


เธอมองมะระสองชิ้นในชามตัวเอง ใบหน้าขมขื่นเหมือนมะระแล้ว 


 


 


ก่อนจะลอบต่อว่าว่าเขาขี้งกอยู่ในใจ 


 


 


ถ้าสายตาฆ่าคนได้ ตอนนี้ตัวอวี๋เยว่หานคงถูกเธอแทงเป็นรูพรุนร้อยรูแล้ว 


 


 


ในหัวเธอจมอยู่กับความโกรธเคืองเรื่องการควัก ‘เงินก้อนใหญ่’ เลี้ยงข้าวอวี๋เยว่หาน จึงไม่ได้รู้ตัวเลยการกระทำของพวกเขาสองคนอยู่ในสายตาของคนโดยรอบ แถมพวกเขายังตกใจจนแทบจะทำตะเกียบหลุดมืออยู่แล้ว… 


 


 


โดยเฉพาะคนของแผนกประชาสัมพันธ์ เมื่อครู่มัวแต่คิดว่าจะไม่ทำความรู้จักกับเหนียนเสี่ยวมู่ คราวนี้เห็นคนที่นั่งตรงหน้าเธอแล้วถึงรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา 


 


 


ในหนึ่งปีคุณชายหานเข้ามาที่ร้านอาหารพนักงานน้อยครั้ง ใช้นิ้วนับครั้งได้ 


 


 


ถ้าเมื่อครูพวกเธอนั่งกับเหนียนเสี่ยวมู่ ตอนนี้ก็คงได้นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับคุณชายหานแล้วสินะ 


 


 


เพื่อนร่วมงานสวมที่ถูกดึงไว้เมื่อครู่รู้สึกเสียใจภายหลังจนแทบจะกินข้าวไม่ลงแล้ว 


 


 


หญิงสาวได้แต่ถือโทรศัพท์มือถือจึงจ้องไปที่เทพบุตรที่เขาแอบถ่ายไว้ เหมือนกับทุกคนในที่นี้ 


 


 


“ปรับตัวกับแผนกใหม่เป็นยังไงบ้าง” อวี๋เยว่หานกินข้าวอย่างไม่รีบร้อน พลางเอ่ยปาก 


 


 


น้ำเสียงเยียบเย็น ฟังไม่ออกเลยว่าเป็นห่วง คล้ายกับถามไปเรื่อยเปื่อยมากกว่า 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตะลึงงันเป็นอันดับแรกเมื่อได้ยินดังนั้น 


 


 


เธอควบคุมความคิดที่อยากจะหั่นเขาเป็นชิ้นๆ ไว้ แล้วเงยหน้าขึ้นมา ตอบอย่างจริงจัง “ก็พอได้” 


 


 


ก็แค่ถ่ายเอกสาร เรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้เธอจะทำไม่ได้ได้อย่างไร 


 


 


ส่วนเรื่องอื่น… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ตาเป็นประกายทันใด แต่ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพปกติ แล้วยิ้มแสร้งว่าไม่เป็นอะไร 


 


 


พนักงานใหม่ทุกคนล้วนเคยเจอปัญหาประเภทนี้ 


 


 


เธอได้ลงมาทำงานที่แผนกประชาสัมพันธ์ ไม่น่าจะได้รับการยอมรับจากทุกคนเร็วขนาดนั้น ถ้าน้อยใจเรื่องเล็กน้อยก็ต้องฟ้อง อย่างนั้นยิ่งทำให้เพื่อนร่วมงานในแผนกไม่ชอบหน้าเธอเข้าไปใหญ่ 


 


 


เหตุผลข้อนี้เธอเข้าใจดี 


 


 


อวี๋เยว่หานเงยหน้าเหลือบมองเธอครั้งหนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาลง 


 


 


เห็นเธอไม่อยากพูด เขาก็ไม่ได้ถามให้มากความ 


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ เขาถึงจะลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง แล้วยื่นมือไปหาเสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


เด็กหญิงเพิ่งกินอิ่ม เธอตีพุงกลมๆ ที่นูนขึ้นมา พลางตะเกียกตะกายเข้าไปในอกเขา 


 


 


“ยังไม่ได้เช็ดปากเลย” เหนียนเสี่ยวมู่เหลือบไปเห็นเม็ดข้าวที่มุมปากของเธอ จึงกระดาษทิชชูออกมา แล้วเดินไปจัดการให้เธออยู่ข้างๆ 


 


 


เพิ่งเงยหน้าขึ้น เธอก็สบตาสีดำขลับของอวี๋เยว่หานแล้ว 


 


 


เขาอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกงสบายๆ 


 


 


เงาร่างสูงชะลูดมีออร่าความสูงส่งกระจายออกมา 


 


 


เขายืนให้เธอเช็ดปาดให้เสี่ยวลิ่วลิ่วอยู่อย่างนั้น 


 


 


ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่าภาพความกลมเกลียวแบบนี้ดูเหมือนพ่อแม่ลูก 


 


 


ส่วนคนโดยรอบโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกันหมดแล้ว 


 


 


อินทราเน็ตของบริษัทตระกูลอวี๋ ถูกรูปภาพในร้านอาหารทำให้ฮือฮาอีกครั้ง 


 


 


 


 


 


ในห้องทำงานประธานบริษัท 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่อุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วนั่งอยู่บนโซฟา เปลี่ยนยกใส่แผลให้เด็กหญิงอย่างละเอียดรอบคอบ 


 


 


แต่หางตาเธอลองมองชายหนุ่มที่อ่านเอกสารอยู่หน้าโต๊ะทำงานอยู่ตลอด 


 


 


หลายครั้งที่เธออยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่ออ้าปาก ก็พลันต้องกลืนคำพูดนั้นกลับไป 


 


 


“พี่สาวคนสวย พี่รู้แล้วช่ายม้ายว่าปาปาของหนูหล่อมาก” เสี่ยวลิ่วลิ่วสังเกตว่าเธอมองอวี๋เยว่หานอยู่ตลอด จึงถามขึ้นพร้อมสีหน้าตื่นเต้น 


 


 


เสียงอ้อแอ้ดังกังวานเป็นพิเศษ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หวาดหวั่นขึ้นมา ก่อนจะรีบปิดปากเล็กๆ ของเธอเอาไว้ 


 


 


“ไม่ใช่สักหน่อย ก็แค่ก้อนน้ำแข็ง มีอะไรน่าดู” 


 


 


เธอรู้สึกหนาวสันหลังวาบทันทีที่พูดจบ ครั้นเงยหน้าขึ้น อวี๋เยว่หานที่กำลังอ่านเอกสารเมื่อครู่ใช้นัยน์ตาสีดำจ้องมองเธอแล้ว… 

 

 

 


ตอนที่ 138 เขาไม่อยากรักษาเกียรติเหรอ

 

อย่าว่าแต่กลายเป็นที่นินทาว่าร้ายของคนอื่นเลย ตอนนี้ควรกังวลว่าจะช่วยตัวเองอย่างไร 


 


 


เธอกำลัง ร้อนเงิน… 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเหนียนเสี่ยวมู่แข็งทื่อแล้ว 


 


 


เธออ้าปาก แต่คิดไม่ออกว่าตัวเองควรพูดอะไร จนเธอต้องตั้งสติ แล้วพูดสิ่งที่เมื่อครู่ตัวเองอยากพูดออกมา “คุณชาย คุณโอนโบนัสให้ฉันได้ไหม” 


 


 


ครั้นพูดจบ เธอกลับอยากเป็นลมไปเสียให้ได้ 


 


 


เพิ่งทำผิดต่อเขาไป แล้วยังขอให้โอนโบนัสให้อีก นี่ไม่เท่ากับรนหาที่ตายอย่างชัดเจนเหรอ 


 


 


แต่คำพูดที่พูดออกมาแล้วก็เหมือนสาดน้ำออกไป หวนคืนกลับมาไม่ได้แล้ว ทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับ 


 


 


เธอเปลี่ยนยาให้เสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างราบรื่น จากนั้นยืนขึ้นตรงหน้าโซฟา แล้วถือสมุดเล่มเล็กๆ ที่พกติดตัวไว้ในกระเป๋า เดินข้างหน้า 


 


 


จากนั้นกางลงตรงหน้าอวี๋เยว่หาน 


 


 


“ตอนที่ไปงานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อน คุณให้ฉันเต้นรำเปิดฟลอร์กับคุณ หลังจากนั้นก็มีอีกหลายครั้ง ทุกครั้งฉันจดไว้หมด…” เหนียนเสี่ยวมู่ชี้จำนวนเงินที่บันทึกไว้บนนั้น ดวงตาสดใสของเธอเป็นประกาย 


 


 


ราวกับดวงดาวบนฟากฟ้าที่กะพริบพร่างพราว 


 


 


เงินเล็กน้อยก็ทำให้เธอยิ้มเบิกบานใจได้ขนาดนี้แล้วเหรอ 


 


 


อวี๋เยว่หานจ้องมองดวงหน้าเล็กงดงามของเธอ ก่อนที่สายตาจะตกลงบนสมุดเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าตน คิ้วขมวดแน่นเป็นปม 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะพกสมุดบัญชีติดตัวด้วย… 


 


 


“กลัวผมเบี้ยวเหรอ” เสียงของอวี๋เยว่หานทุ้มต่ำลง 


 


 


“ไม่ใช่อยู่แล้ว คุณชายรูปหล่อ สง่างาม แข็งแกร่งเหมือนต้นยูคาลิปตัส มีออร่าสูงส่งไม่มีใครเกิน จะเบี้ยวได้ยังไงกัน ฉันแค่…แค่…” เธอแค่อยากบอกว่าช่วงเวลาจ่ายเงินมาถึงแล้ว เธอร้อนใจอยากคำนวณเงินจ่ายหนี้ 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กำลังสับสนว่าจะตอบอย่างไร เขาก็เอ่ยปากอย่างเยียบเย็น 


 


 


“อีกเดี๋ยวให้ผู้ช่วยพาคุณไปฝ่ายการเงิน” 


 


 


“…” 


 


 


“ตอนนี้พวกเราคุยเรื่องก้อนน้ำแข็งก่อน มันคืออะไรกันแน่” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”  


 


 


แสร้งทำเป็นความจำเสื่อมตอนนี้ยังทันไหมนะ 


 


 


หรือว่าแกล้งตายดีกว่า 


 


 


ตอนที่เหนียนเสี่ยวมู่กำลังร้อนใจ เสี่ยวลิ่วลิ่ววิ่งเข้าไปในห้องพักผ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เด็กหญิงถือรูปวาดรูปนึ่ง กำลังวิ่งมาหาเธอด้วยความดีใจ 


 


 


“พี่สาวคนสวย หนูวาดพี่กับปาปาด้วยล่ะ” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว 


 


 


เธอยื่นมือไปรับภาพวาดในมือของเสี่ยวลิ่วลิ่ว แล้ววางลงตรงหน้าอวี๋เยว่หานอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง “คุณชาย ดูเร็วสิ เสี่ยวลิ่วลิ่ววาดคุณออกมาได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต…” 


 


 


แต่เพิ่งพูดได้แค่ครึ่งเดียวก็ต้องหยุดไป 


 


 


บนภาพไก่เขี่ยสีสันสดใสนั้น พอจะมองคนใส่กระโปรงออกอยู่สองคน คือเธอกับเสี่ยวลิ่วลิ่ว 


 


 


ส่วนอวี๋เยว่หาน… 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หาอยู่ในภาพวาดอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นานมาก สุดท้ายก็ชี้สิ่งที่เหมือนเสาไฟฟ้า ก่อนจะถามเสี่ยวลิ่วลิ่วอย่างสิ้นหวัง “นี่คือรูปพ่อที่หนูวาดเหรอ” 


 


 


เธอชำเลืองมองเด็กหญิงพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม อยากจะคิดว่าตัวเองไม่เคยเรียนสุภาษิตที่ว่า ‘เหมือนจริงราวกับมีชีวิต’ เสียเหลือเกิน 


 


 


หลังจากเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอวี๋เยว่หานจ้องมองเสาไฟฟ้าบนรูปวาด สีหน้าดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก… 


 


 


เสียงทุ้มต่ำคล้ายกับดังมาจากนรกค่อยๆ พูดทีละคำ “ที่แท้ภาพลักษณ์ของผมในสายตาของคุณก็เป็นเอกลักษณ์แบบนี้นี่เอง” 


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”  


 


 


ถึงทางตันแล้ว จะทำอย่างไรดี 


 


 


ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือล้มเลิก 


 


 


“คุณชาย อยู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าแผนกประชาสัมพันธ์มีงานมากมายรอฉันอยู่…” 


 


 


เธอปล่อยภาพวาดในมือ แล้วหันหน้าวิ่งหายวับไปจากประตู 


 


 


วินาทีต่อมา ผู้ช่วยถือเอกสารมาฉบับหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก มุ่งหน้ามาตรงหน้าอวี๋เยว่หานโดยตรง “คุณชายหาน เรื่องที่คุณให้ผมตรวจสอบ ได้เรื่องแล้วนะครับ”  


 


 


“…” 


 


 


“ถึงจะยังหาปูมหลังของเหนียนเสี่ยวมู่ไม่เจอ แต่พวกเราหาคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเธอเจอคนหนึ่ง ชื่อว่าถานเปิงเปิงครับ” 


 

 

 


ตอนที่ 139

 

 เพื่อนเพียงคนเดียว

“ถานเปิงเปิง?” สายตาของอวี๋เยว่หานดูตกตะลึง ราวกับสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไป


 


 


เป็นชื่อที่แปลกอะไรอย่างนี้


 


 


จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วยังอยู่ในห้องทำงาน จึงบอกให้ผู้ช่วยอย่าเพิ่งพูด


 


 


เขากดโทรศัพท์ภายใน ให้เลขาพาเธอออกไปเล่นก่อน


 


 


หลังจากเสี่ยวลิ่วลิ่วออกไปแล้ว เขาถึงจะเอ่ยปากอีกครั้ง “เรื่องเป็นยังไงมายังไง”


 


 


ผู้ช่วยรีบร้อนวางข้อมูลในมือลงตรงหน้าเขา


 


 


นอกจากข้อมูลปูมหลังของถานเปิงเปิงแล้ว ในข้อมูลยังแนบรูปภาพที่เธอใส่เสื้อกาวน์อยู่ในโรงพยาบาลด้วย


 


 


ใบหน้าสดสวย สีหน้าสงบเสงี่ยม สวมแว่นตากรอบทองดูเป็นมืออาชีพมาก…


 


 


ดูแล้วเธอก็มีภาพลักษณ์ของหมอมืออาชีพเต็มเปี่ยม


 


 


“ยังคงหาข้อมูลปูมหลังก่อนอายุยี่สิบของเหนียนเสี่ยวมู่ไม่เจอ แต่พวกเราพบว่าหลังจากเธออายุยี่สิบแล้ว คนที่พอจะนับได้ว่าเป็นเพื่อนก็มีเพียงคนเดียว นั่นก็ถือถานเปิงเปิง” ผู้ช่วยพูดจบพร้อมสีหน้าเจือความสับสน


 


 


พวกเขาสืบมานานขนาดนี้ แต่แทบจะไม่ได้อะไรเลย


 


 


แม้แต่เขาก็เริ่มสงสัย ว่าเครือข่ายข้อมูลของตระกูลเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า


 


 


ยังดีที่คราวนี้ได้อะไรกลับมาบ้าง


 


 


“ถานเปิงเปิงเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลครับ เพิ่งย้ายไปอยู่แผนกจิตเวช เหมือนจะรู้จักกับเหนียนเสี่ยวมู่เพราะความสัมพันธ์ของหมอกับคนไข้ นอกจากเวลาทำงานแล้ว เหนียนเสี่ยวมู่แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ถานเปิงเปิงคนนี้ข้อยกเว้น และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะไม่เลวเลย”


 


 


ชีวิตของเหนียนเสี่ยวมู่ราบเรียบมากจริงๆ


 


 


นอกจากทำงาน ก็แทบจะไม่มีความบันเทิงอะไร


 


 


ก่อนหน้านี้เธอเรียนวิชาพยาบาล ต่อมาก็มาเป็นพยาบาล


 


 


แต่พวกเขาสืบไม่พบอะไรนอกเหนือจากนี้แล้ว


 


 


เธอไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน…


 


 


ผู้ช่วยยังจำได้ ตอนพวกเขาเจอเหนียนเสี่ยวมู่ที่โรงพยาบาลเป็นครั้งแรก เขาไปสอบถามมาว่าวันนั้นเหนียนเสี่ยวมู่ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่เจอถานเปิงเปิง


 


 


แต่สืบต่อไปแล้วก็ไม่เจอเรื่องอื่น


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เพียงแค่นำเค้กไปที่โรงพยาบาลในวันเกิดของเพื่อน ไม่มีตรงไหนผิดปกติ


 


 


“สืบเรื่องของเหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้ งั้นก็สืบแค่ถานเปิงเปิง” เสียงทุ้มต่ำของอวี๋เยว่หานดังขึ้นอย่างเชื่องช้า


 


 


นิ้วเรียวยาวจีบรูปภาพที่แนบมากับเอกสาร เขาชำเลืองมองมันครั้งหนึ่ง นัยน์ตาสวยหยาดเยิ้มซ่อนความระแวดระวังเอาไว้


 


 


อยากจะปกปิดฐานะของตัวเองเป็นเรื่องง่ายมาก แต่อยากปกปิดฐานะของคนข้างกายนั้นยากกว่ามาก


 


 


หาถานเปิงเปิงพบ ก็เท่ากับพบรอยรั่วจุดหนึ่ง


 


 


ขอเพียงสืบสาวตามรอยรั่วนี้ไป ไม่ช้าก็เร็วต้องพบว่าเป็นเหนียนเสี่ยวมู่เป็นใครกันแน่


 


 


อวี๋เยว่หานหลุบตา วางรูปภาพในมือลง ก่อนจะขยับริมฝีปากบาง “ไปสืบเดี๋ยวนี้ว่าถานเปิงเปิงเป็นคนยังไง พวกเธอรู้จักกันได้ยังไง แล้วก็เหนียนเสี่ยวมู่ดูจะต้องการเงินมาก ฉันต้องรู้ว่าทำไม”


 


 


ในหัวของเขามีภาพดวงตาเป็นประกายตอนที่เธอพูดถึงเงินทุกครั้ง


 


 


ปฏิกิริยาแบบนั้นไม่ได้เสแสร้งเลยจริงๆ…


 


 


“ครับ” ผู้ช่วยโค้งตัวด้วยความนอบน้อม แล้วจึงหมุนตัวออกจากห้องทำงานไป


 


 


ห้องทำงานประธานบริษัทโอ่โถงว่างเปล่าลงไปถนัดตา


 


 


อวี๋เยว่หานหลุบตา กำลังจะหยิบเอกสารขึ้น แค่สายตากลับเหลือบเห็นรูปวาดของเสี่ยวลิ่วลิ่วเสียก่อน


 


 


รูปวาดไก่เขี่ยของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา


 


 


เพียงแต่ฝีมือการวาดนั้น…


 


 


เขากวาดสายตามองเสาไฟฟ้าบนรูปวาด นึกถึงคำพูดของใครบางคนได้ในทันที วาดได้เหมือนจริงราวกับมีชีวิต


 


 


เขามีสีหน้าดำคล้ำแล้ว


 


 


เขากดโทรศัพท์ภายใน “ประกาศให้แผนกประชาสัมพันธ์ทราบ เอกสารสำคัญทุกอย่างที่ต้องส่งมาที่ห้องทำงานผม ให้เหนียนเสี่ยวมู่เป็นคนเอามาส่งทั้งหมด”

 

 

 


ตอนที่ 140

 

คือว่า…เป็นบ้ายกกลุ่มเหรอ

เหนียนเสี่ยวมู่วิ่งห้อออกมาจากห้องทำงานประธานบริษัท ลูบหน้าอกของตัวเองด้วยความดีใจที่รอดตายมาได้ พร้อมทั้งแอบชมไหวพริบของตัวเองด้วย


 


 


ดีที่เมื่อครู่วิ่งออกมาเร็ว ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธออาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้แล้ว


 


 


เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูครั้งหนึ่ง ครั้นเห็นว่าใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว จึงเร่งฝีเท้าเดินไปยังแผนกของตนเอง


 


 


แต่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูแผนกประชาสัมพันธ์ เธอก็พบว่าหลายคนกำลังมามองทางเธอด้วยสายตาแปลกๆ อยู่บ้าง


 


 


เธอหยุดฝีเท้า ก่อนจะยื่นมือไปจับหน้าตัวเองตามสัญชาตญาณ มีอะไรผิดปกติเหรอ


 


 


“เสี่ยวมู่ เธอยังยืนทำอะไรอยู่ รีบเข้ามาเร็วสิ” มีเพื่อนร่วมงานเรียกเธอพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม


 


 


“…โอเค” เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสติกลับมา คิดว่ามีใครต้องการให้เธอช่วยถ่ายเอกสาร จึงรีบร้อนเดินไปที่เครื่องถ่ายเอกสาร


 


 


เธอเพิ่งเตรียมหยิบเอกสารที่ทำสำเนาออกมาเมื่อเช้า แต่ยังไม่ทันได้จัดการให้เรียบร้อยไปจัดการสักหน่อย มือของเธอก็ถูกคนหยุดเอาไว้แล้ว


 


 


เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินเข้ามารับเอกสารที่ต้องแฟกซ์ไปจากมือเธอ แล้วกล่าวอย่างมีมารยาท “เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ ฉันทำเองก็ได้ ไม่ต้องลำบากเธอหรอก”


 


 


“ใช่ๆ ฉันก็เหมือนกัน ฉันทำเองนะ” เพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา ก่อนจะควานหาเอกสารของตัวเองจากในเครื่องถ่ายเอกสาร เจอแล้วก็หยิบออกไป


 


 


“…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยืนอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร พลางจ้องมองเพื่อนร่วมงานที่เรียกใช้เธอตลอดทั้งเช้า ทันใดนั้นพวกเธอก็พากันเข้ามาหยิบเอกสารของตัวเอง ส่วนเธอยืนเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน


 


 


คือว่า…เป็นบ้ากันยกกลุ่มเหรอ


 


 


“ถ่ายเอกสารมาทั้งเช้า เธอต้องหิวน้ำแน่ๆ เลยใช่ไหม เมื่อกี้ฉันไปรินน้ำมา ก็เลยเอามาให้เธอด้วยแก้วหนึ่ง” เพื่อนร่วมงานคนที่เรียกเธอตรงประตูเมื่อครู่นี้ยิ้มกริ่ม เธอยกน้ำมาให้เธอแก้วหนึ่ง ก่อนจะวางลงตรงหน้า


 


 


“…ขอบคุณ”  เหนียนเสี่ยวมู่มองแก้วน้ำตรงหน้าตัวเอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นมาอยู่ตลอด


 


 


เธอหันหน้าไปมองตรงประตูครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการยืนว่ายันว่าตัวเองอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์


 


 


จากนั้นเธอก็หยิกแก้มตัวเองครั้งหนึ่ง แต่ก็เจ็บจนต้องร้องเสียงลอดไรฟันออกมา


 


 


ก็ไม่ได้ฝันนี่นา…


 


 


แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ยืนอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร มองงานที่ทำอย่างไรก็ไม่จบสิ้นในตอนเช้าหายวับไร้ร่องรอยไปทันควัน


 


 


ดูเหมือนว่าเวลานี้ที่นี่จะไม่ต้องการเธอแล้ว


 


 


เธอเงยหน้ามองไปทางเย่หมิงหมิ่นด้วยความงงงันอยู่บ้าง อยากจะถามอีกฝ่ายว่าต่อไปเธอต้องทำอะไร


 


 


แต่เธอก็ได้พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายก็แปลกไปเช่นกัน


 


 


“ซูเปอร์ไวเซอร์เย่ ไม่สบายหรือเปล่าคะ” เหนียนเสี่ยวมู่ยื่นน้ำที่เพื่อนร่วมงานรินให้เมื่อครู่ให้อีกฝ่าย


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ…” เย่หมิงหมิ่นดันมือของเธอออก แต่เหมือนนึกขึ้นได้ น้ำเสียงที่เดิมทีดูร้ายกาจเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที “ในเมื่อตรงเครื่องเถ่ายเอกสารไม่ต้องการคุณแล้ว คุณกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเองก่อนเถอะค่ะ อ่านพวกข้อมูลของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าก็ได้”


 


 


“ตกลงค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินว่าตัวเองไม่ต้องเป็นเด็กถ่ายเอกสารแล้ว จึงหันไปยกน้ำกลับที่นั่งของตัวเอง


 


 


จากนั้นเธอก็เปิดคอมพิวเตอร์ ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสาร


 


 


เย่หมิงหมิ่นยืนอยู่ข้างหลังเธอ มองเงาหลังของเธอพลางกำโทรศัพท์มือถือจนแน่น


 


 


บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็คือหน้าอินทราเน็ตที่ยังไม่ทันปิด


 


 


ในกระทู้ด้านบนสุดมีแต่รูปภาพท่านประธานลดตัวลงมาที่ร้านอาหารพนักงาน พาลูกสาวมากินข้าวกลางวันกับเหนียนเสี่ยวมู่เมื่อตอนกลางวันนี้เต็มไปหมด


 


 


ตอนนี้ในแผนกประชาสัมพันธ์มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเหนียนเสี่ยวมู่บ้าง


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ มีหน้าที่ใหม่แล้ว” เลขาเดินเข้ามาจากข้างนอกโดยพลัน เธอเดินมุ่งหน้ามาหาเหนียนเสี่ยวมู่ ก่อนจะวางเอกสารฉบับหนึ่งลงตรงหน้า “นี่คือเอกสารที่ต้องส่งไปที่ห้องทำงานท่านประธาน รบกวนคุณเอาไปให้ที”

 

 

 


ตอนที่ 141

 

วิธีการ “ส่ง” อีกแบบหนึ่ง

“ให้ฉันไปส่ง?” เหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินเลขาแล้วรีบยื่นมือไปจับอีกฝ่ายไว้ ส่วนอีกมือชี้หน้าตัวเองพลางถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


 


ปกติแล้วเลขารับหน้าที่ส่งเอกสารจำเป็นของแผนกประชาสัมพันธ์ไปที่ห้องทำงานประธานบริษัทเสมอมา


 


 


ทำไมอยู่ๆ ถึงกลายเป็นเธอได้


 


 


เลขาถูกรั้งไว้ ทำให้ไปไหนไม่ได้ ครั้นหันหน้ากลับมามองรอบๆ ก็พบว่าหลายคนกำลังมองพวกเธออยู่ เลขาจึงขยับเข้ามาใกล้เหนียนเสี่ยวมู่ ตักเตือนเธอเสียงเบา


 


 


“เรื่องราวจริงๆ เป็นยังไงฉันก็ไม่แน่ใจ ตอนรับโทรศัพท์จากฝ่ายเลขา ทางนั้นบอกว่าเธอต้องไปส่งเอกสารทั้งหมดของแผนกพวกเราไปที่ห้องประธานบริษัทเอง”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


เธอเพิ่งรอดจากความตายมาได้ ตอนนี้ต้องเข้าถ้ำเสืออีกแล้วเหรอ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ดึงสองมือของเลขาไม่ยอมปล่อย อยากจะพึ่งพาอีกฝ่ายใจจะขาด


 


 


“คุณเลขา ฉันไม่เคยทำงานนี้มาก่อนเลย กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี คุณไปส่งดีกว่าไหมคะ”


 


 


“ไม่มีใครขัดคำสั่งของท่านประธานได้ อย่าว่าแต่ฉันเลย ผู้จัดการก็ช่วยคุณไม่ได้” เลขาพูดจบก็ยัดเอกสารใส่ในอกของเหนียนเสี่ยวมู่ ก่อนจะมองให้กำลังใจเธอครั้งหนึ่ง แล้วถึงจากไป


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่มองเอกสารในอก ราวกับกำลังมองมันหวานลวกมือ


 


 


ผ่านไปนานทีเดียว เธอถึงฝืนใจถือเอกสารเดินออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ไป


 


 


สมองเธอแล่นด้วยความเร็ว กำลังคิดว่าอีกเดี๋ยวเจออวี๋เยว่หานแล้วต้องอธิบายเรื่องที่เธอหนีไปเมื่อครู่อย่างไรดี


 


 


มีงานต้องทำ


 


 


หรืออยู่ๆ ก็ปวดหัวดีกว่ากัน


 


 


พอคิดถึงใบหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งของอวี๋เยว่หาน ความคิดในหัวเธอพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


หรือควรอธิบายกับเขาตามตรง ว่าเธอมีตาหามีแววไม่ จริงๆ แล้วเขาไม่เหมือนเสาไฟฟ้าสักนิด


 


 


“ติ๊ง!” ลิฟต์มาถึงแล้ว


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ถือเอกสารออกมาจากลิฟต์ เธอกำลังครุ่นคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องเข้าไปในห้องทำงานประธานบริษัท หางตาพลันเหลือบไปเห็นโต๊ะเลขาตรงพื้นที่ทำงานประธานบริษัท


 


 


เธอตาเป็นประกายทันที!


 


 


จากนั้นก็ถือเอกสารเดินไปข้างหน้า ก่อนจะวางลงบนโต๊ะเลขา พร้อมฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เลขที่เข้าเวรช่วงนี้อยู่


 


 


“นี่เป็นเอกสารที่ต้องส่งมาที่ห้องทำงานท่านประธานค่ะ แผนกประชาสัมพันธ์ยังมีงานด่วนอยู่ รบกวนคุณช่วยเอาเข้าไปให้เขาได้ไหมคะ”


 


 


“…”


 


 


“ขอบคุณค่ะ!”


 


 


เลขายังไม่ทันได้ตอบโต้ เธอก็กลับเข้าไปในลิฟต์แล้ว


 


 


แถมยังโบกมือลาด้วย


 


 


เมื่อคิดว่าไม่ต้องเห็นหน้าแข็งๆ ของอวี๋เยว่หานแล้ว จิตใจของเหนียนเสี่ยวมู่ก็กลับมาเบิกบานอีกครั้ง และกลับไปที่แผนกประชาสัมพันธ์อย่างอารมณ์ดี


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ ทำไมคุณกลับมาเร็วอย่างนี้ล่ะ ส่งเอกสารแล้วเหรอ” เลขาเห็นเธอ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กะพริบตากลมโตแสนเจ้าเล่ห์หลังจากได้ยินอีกฝ่ายถาม ก่อนจะตีอกรับประกัน “เรียบร้อยแล้วค่ะ ฉันไปส่งถึงห้องทำงานท่านประธานด้วยตัวเองเลย!”


 


 


เพียงแต่ส่งให้เลขาที่อยู่หน้าห้อง ไม่ได้เข้าไปส่งด้วยตัวเอง


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กลืนคำพูดครึ่งหลังกลับลงไปในท้องเงียบๆ


 


 


แล้วรีบกลับไปที่นั่งของตัวเองหลังเห็นเลขาไม่พูดอะไรต่อ


 


 


 


 


ห้องทำงานผู้จัดการ


 


 


เหวินหย่าไต้อยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยสง่างาม ขับให้เรือนร่างของเธอยิ่งโดดเด่น


 


 


ความสามารถเกินตัวทำให้เธอมีเสน่ห์แบบที่คนข้างกายไม่มี เวลานี้เธอกำลังยกแก้วกาแฟ ยืนอยู่หน้าผนังกระจก มองเหนียนเสี่ยวมู่เดินออกไปนอกแผนก


 


 


แววตาของเธอปรากฏภาพทั้งฝ่ายประจบประแจงผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่นี้…


 


 


ซูเปอร์ไวเซอร์ที่ได้ตำแหน่งมาง่ายๆ คนหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่แผนกไหนก็ไม่มีทางได้รับการต้อนรับในทันที


 


 


เธอยังรอคอยให้เหนียนเสี่ยวมู่รับสายตาเย็นชาจากทุกคน และมาฟ้องเธอด้วยความน้อยใจ


 


 


ทว่าเพิ่งผ่านไปแค่ครึ่งวัน ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรไปหมด!


 

 

 

 


ตอนที่ 142

 

พรีเซ็นเตอร์ของบริษัทเซิ่งต้า

เมื่อคิดถึงรูปภาพในอินทราเน็ตที่ถูกคนแอบถ่ายไว้เหล่านั้น เหวินหย่าไต้จับแก้วแน่นขึ้นอย่างต่อเรื่อง ปลายนิ้วออกแรงจนซีดขาว ควบคุมไฟโกรธที่สุมอยู่ในอกไม่ได้


 


 


หลายคนในบริษัทกำลังคุยว่าอวี๋เยว่หานไม่ได้ไปร้านอาหารพนักงานเพราะเสี่ยวลิ่วลิ่ว แต่อาศัยชื่อของเสี่ยวลิ่วลิ่วเพื่อไปกินข้าวกับเหนียนเสี่ยวมู่


 


 


หากเรื่องราวเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วเหนียนเสี่ยวมู่ต้องกลายเป็นนายหญิงแน่…


 


 


“เพล้ง”


 


 


เหวินหย่าไต้เหวี่ยงแก้วจนกระแทกพื้น


 


 


แก้วกระเบื้องแตกเป็นชิ้นๆ กาแฟที่ยังดื่มไม่หมดกระเด็นอยู่บนพื้น…


 


 


ใบหน้าที่แต่งแต้มมาอย่างดีดูโหดเ**้ยมขึ้นมาเพราะความโกรธ


 


 


พยาบาลรับจ้างคนหนึ่งมีสิทธิ์อะไรฉวยตำแหน่งนายหญิงไป


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ไม่คู่ควรให้เธอพูดถึงด้วยซ้ำ!


 


 


“ก๊อกๆ!” เสียงเคาะดังขึ้นที่ประตูห้องทำงานโดยพลัน


 


 


ความลุกลี้ลุกลนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าของเหวินหย่าไต้ เธอจัดการเสื้อผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นแย้มยิ้มจางๆ “เข้ามา”


 


 


“ผู้จัด บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า…”


 


 


เย่หมิงหมิ่นเพิ่งเดินเข้ามา แต่ก็ต้องชะงักงัน


 


 


ครั้นเห็นสภาพเละเทะบนพื้น เธอก็เงยหน้าด้วยความฉงนเล็กน้อย


 


 


“ฉันซุ่มซ่ามเอง เมื่อกี้แก้วกาแฟลื่นหลุดมือไป เธอนั่งก่อน เดี๋ยวฉันจะให้คนเข้ามาเก็บกวาดสักหน่อย” เหวินหย่าไต้พูด พลางกดต่อสายภายใน เรียกให้คุณป้าแม่บ้านเข้ามาเก็บกวาด


 


 


ไม่นานห้องทำงานก็เรียบร้อยดังเดิม


 


 


“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ” เหวินหย่าไต้กลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานของตัวเอง ก่อนจะถามเสียงเบส


 


 


ใบหน้าเรียบเฉยทำให้อีกฝ่ายจินตนาการไม่ออกเลย ว่าวินาทีก่อนหน้านี้ถูกเขวี้ยงแก้วกาแฟอย่างดุดัน


 


 


เย่หมิงหมิ่นไม่คิดมากโดยสิ้นเชิง เธอก้าวไปข้างหน้า “แผนการประชาสัมพันธ์ที่ทางบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าส่งมา ให้ความสำคัญกับโครงการร่วมมือของพวกเรา พวกเขาหวังว่าประกาศช่วงแรกจะเชิญพรีเซ็นเตอร์ที่เหมาะสมมาได้สักคน”


 


 


“บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ามีคนที่มั่นใจแล้วเหรอ” พอพูดถึงเรื่องงาน สีหน้าของเหวินหย่าไต้ก็จริงจังขึ้นมา


 


 


สองมือของเธอทับซ้อนอยู่หน้าลำตัว ตั้งใจมองลูกน้องของตัวเอง


 


 


“มีแล้วค่ะ” เย่หมิงหมิ่นมารายงานเธอเป็นพิเศษเพราะเรื่องนี้


 


 


เธอส่งแฟกซ์ที่ตนเองเพิ่งได้รับให้เหวินหย่าไต้


 


 


อีกฝ่ายกวาดสายตามองครั้งหนึ่ง ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด


 


 


ไม่นานความตึงเครียดในสายตาก็หายไป ราวกับนึกอะไรขึ้นได้


 


 


เธอหลุบตา มุมปากยกยิ้มอ่อนๆ


 


 


“เงื่อนไขด้านการร่วมมือพวกเราทำให้ได้อยู่แล้ว แต่ฉันจำได้ว่าเซี่ยจิงจิงเป็นคนรับผิดชอบประกาศช่วงแรกของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้า แต่ว่าตอนนี้…”


 


 


“ฉันทราบแล้วค่ะ จะบอกเรื่องนี้ให้เหนียนเสี่ยวมู่ได้รู้ทันที!” ครั้นเย่หมิงหมิ่นได้ยินว่าตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว เธอก็หยิบเอกสารในมือหมุนตัวออกจากห้องทำงานผู้จัดการด้วยความเบิกบานใจทันที


 


 


ในเมื่ออวี๋เยว่หานให้เหนียนเสี่ยวมู่มารับตำแหน่งในแผนกประชาสัมพันธ์แทนเซี่ยจิงจิง


 


 


เธอก็ต้องทำงานที่เซี่ยจิงจิงรับผิดชอบก่อนหน้านี้ให้เสร็จสมบูรณ์


 


 


รวมถึงพรีเซ็นเตอร์ที่บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าขอมาด้วย…


 


 


เย่หมิงหมิ่นเดินออกจากห้องทำงานผู้จัดการ จากนั้นเงยหน้ามองเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังมองคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ศึกษาแผนการประชาสัมพันธ์


 


 


เธอตาเป็นประกาย พร้อมทั้งถือเอกสารเดินไปหาเหนียนเสี่ยวมู่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


 


“ประกาศช่วงแรกของโครงการบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้ากำลังจะเริ่มแล้ว นี่เป็นเงื่อนไขที่พวกเขาเพิ่งส่งมา เป็นหน้าที่ของคุณแล้วล่ะ”


 


 


“โอเคค่ะ” ครั้นเหนียนเสี่ยวมู่ได้ยินว่าเป็นโครงการที่ตนรับผิดชอบ เธอก็ยื่นมือไปรับเอกสารมาดู “อยากได้ซ่างซินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เหรอคะ”


 


 


พอเหนียนเสี่ยวมู่อ่านชื่อออกมา คนรอบข้างก็มองมาทางเธอทันที!

 

 

 


ตอนที่ 143

 

เหนียนเสี่ยวมู่บ้าไปแล้วเหรอ

ซ่างซินเป็นนางแบบสาวที่เป็นที่นิยมสามอันดับแรกของผู้คนในเวลานี้


 


 


หน้าตาสะสวย รูปร่างดี พอได้เปิดตัวก็มีแฟนคลับนับไม่ถ้วน แม้เหนียนเสี่ยวมู่จะไม่ค่อยได้สนใจข่าวบันเทิงนัก แต่ก็เคยได้ยินชื่อของเธอมาบ้าง


 


 


“พรีเซนเตอร์ที่เพียบพร้อมที่สุดของบริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าคือเซิ่งซิน ข้อมูลผู้จัดการของเธออยู่ในนี้แล้ว คุณต้องไปติดต่อ นัดกับพรีเซนเตอร์ให้ได้ภายในเวลาอันสั้น มีปัญหาไหมคะ” เย่หมิงหมิ่นพูดจบก็ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ไม่ได้คิดอะไรมาก รู้แค่งานของตัวเองก็พอ แล้วจึงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ฉันจะจัดการให้เร็วที่สุด”


 


 


“รบกวนคุณแล้วค่ะ” เย่หมิงหมิ่นพยักหน้าให้อีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่นั่งตัวเอง


 


 


ในพื้นที่ทำงาน นอกจากตอนที่เหนียนเสี่ยวมู่พูดชื่อนั้นออกมา ทุกคนก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็จมสู่ความเงียบงันอันน่าประหลาด


 


 


ทุกคนต่างก็ก้มหน้า ยุ่งอยู่กับงานในมือ


 


 


ราวกับภาพเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ก็นั่งลงบ้าง ก่อนจะพลิกอ่านข้อมูลที่เย่หมิงหมิ่นให้เธอมา


 


 


เธอพบว่าในนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับซ่างซินน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นแค่ข้อมูลของผู้จัดการ


 


 


จากนั้นเธอจึงเปิดคอมพิวเตอร์ ค้นหาบนอินเทอร์เน็ตสักหน่อย


 


 


ทว่าเพิ่งเริ่มเสาะหาข้อมูล เธอก็พบว่าแก้วน้ำของตัวเองว่างเปล่าแล้ว จึงถือแก้วน้ำเดินไปที่ห้องน้ำชา


 


 


“พวกเธอว่าเหนียนเสี่ยวมู่เป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า งานนี้ยังกล้ารับอีก!” เหนียนเสี่ยวมู่ยังเดินไปไม่ถึงประตู ก็ได้ยินเสียงพูดคุยบางเบาดังออกมาจากในห้องน้ำชาแล้ว


 


 


“เมื่อกี้ฉันได้ยินตอนซูเปอร์ไวเซอร์เย่ส่งเอกสารให้เธอ มุมปากของคุณเย่ซ่อนรอยยิ้มอยู่ตลอด คาดว่าโยนมันหวานลวกมือนี้ไปแล้ว วันนี้คุณเย่คงไปกินข้าวฉลองสักมื้อ”


 


 


“ทำไมเธอพูดจาแย่แบบนี้ล่ะ ฉันว่าเหนียนเสี่ยวมู่มั่นใจมาก เธออาจจะมีวิธีก็ได้…”


 


 


“เธอสงบปากหน่อยเถอะ! นั่นเป็นใคร ซ่างซินเลยนะ! นางแบบหน้าใหม่ที่มีเอกลักษณ์ที่สุด อยากจะให้เธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ เธอเตรียมโลงให้ตัวเองก่อนเถอะ!”


 


 


“ก็ใช่…”


 


 


“…” เหนียนเสี่ยวมู่อึ้งงันอยู่หน้าประตู พลันนึกขึ้นได้ว่าทำไมตอนเธอพูดชื่อนั้นออกมาถึงทำให้ทุกคนมีปฏิกิริยาอย่างนั้น


 


 


มือที่ถือแก้วน้ำอยู่เริ่มกำแน่นเข้าหากัน


 


 


เธอไม่ได้เข้าไปในห้องน้ำชา แต่มุ่งตรงกลับไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของตัวเองอีกครั้ง


 


 


ก่อนจะอ่านข้อมูลเกี่ยวกับซ่างซินบนหน้าเว็บเพจรอบหนึ่ง


 


 


ไม่นานเธอก็พบว่าเธอประมาทความนิยมของซ่างซินไป


 


 


คำพูดที่ว่าเป็นสามอันดับแรก นับว่าเกรงใจเกินไป


 


 


แค่จำนวนแฟนคลับที่ไปต้อนรับที่สนามบิน ตอนที่เธอมาถึงโถงสนามบิน แฟนคลับก็เบียดเสียดกันจะตายแล้ว…


 


 


ความนิยมสูงขนาดนี้ ต้องเป็นอันดับหนึ่งแล้วล่ะ!


 


 


ทีแรกเหนียนเสี่ยวมู่ยังไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่


 


 


นางแบบหน้าใหม่ คนเห็นแล้วรู้สึกไม่คุ้นตา อยากจะดูหลายๆ ครั้งก็เป็นเรื่องปกติ


 


 


แต่เมื่อเธอพบว่านอกจากแฟชั่นโชว์ที่มีกฎระเบียบจำนวนมากแล้ว ซ่างซินแทบจะไม่ออกงานอีเว้นท์ และตอนที่เธอพบว่าซ่างซินไม่เคยพูดคุยเกี่ยวข้องกับดาราชายคนไหน เธอก็ตกใจอยู่บ้าง


 


 


นางแบบที่แสดงตัวน้อย แต่กลับมีความนิยมสูงขนาดนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่


 


 


และถึงแม้ซ่างซินจะมีชื่อเสียงมาก ที่พรีเซนเตอร์สนใจอยู่เสมอก็มีเพียงเรื่องราคา แค่พูดถึงชื่อของซ่างซิน ทุกคนก็หวาดหวั่นกันไปหมดแล้ว…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่เท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง มีคำถามมากมายที่ยังคิดไม่ตก ตอนที่กำลังจะค้นหาข้อมูลนั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา


 


 


“ที่รัก ในที่สุดเธอก็โทรกลับมาหาฉันแล้ว ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเธอแหละ นัดเจอกันนะ!”

 

 

 


ตอนที่ 144

 

โรคบ้างานที่น่ากลัว

“ฉันเพิ่งย้ายมาที่แผนกอื่น หลายวันก่อนมีผ่าตัดสำคัญตลอด วันนี้เย็นมีเวลาว่าง ไปกินข้าวกันได้สักมื้อ” เสียงเรียบเย็นของถานเปิงเปิงดังลอดมาจากในโทรศัพท์มือถือ


 


 


“งั้นฉันเลิกงานแล้วจะไปหาเธอนะ”


 


 


หลังจากนัดสถานที่นัดพบกับถานเปิงเปิงเรียบร้อย เหนียนเสี่ยวมู่ถึงวางโทรศัพท์ไป


 


 


เธออ่านข้อมูลบนคอมพิวเตอร์อีกครั้ง รอยยิ้มบนหน้าหายไปอีกแล้ว


 


 


ข้อมูลที่เย่หมิงหมิ่นให้เธอระบุเบอร์โทรศัพท์ผู้จัดการของซ่างซินเอาไว้ ทว่าอีกฝ่ายบอกว่าไม่สนใจทันที่ทีได้ยินเธออธิบายที่มา แล้ววางสายไป


 


 


ครั้นเธอลองโทรศัพท์ไปอีกครั้ง ก็เจอกับการโอนสายไปยังระบบฝากข้อความอัตโนมัติ


 


 


เธอถือข้อมูลไปถามเย่หมิงหมิ่น แต่ซูเปอร์ไวเซอร์สาวกลับบอกว่าเธอว่าไม่มีใครมีเบอร์โทรศัพท์ของซ่างซิน ต้องติดต่อผ่านผู้จัดการเท่านั้น ทำเอาเธอคิดไม่ตกเลยทีเดียว


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่นั่งนิ่งหาทางออกมาไม่อยู่ตรงเก้าอี้ตัวเองจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน


 


 


“เหนียนเสี่ยวมู่ เธอยังไม่ไปอีกเหรอ” มีเพื่อนร่วมงานผ่านตัวเธอไป จึงเอ่ยปากถาม


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น เหนียนเสี่ยวมู่ถึงจะดึงสติกลับมา และพบว่าใกล้ถึงเวลาที่นัดกับถานเปิงเปิงแล้ว


 


 


เธอหยิบกระเป๋า พลางโบกมือบ๊ายบายเพื่อนร่วมงานในแผนก แล้วออกจากบริษัทตระกูลอวี๋อย่างรวดเร็ว


 


 


จากนั้นเธอก็เรียกแท็กซี่ และบอกที่อยู่ของร้านอาหารกับคนขับรถ


 


 


“ที่รัก” เหนียนเสี่ยวมู่วิ่งห้อไปหาคนที่รอเธออยู่หน้าร้านอาหารทันทีที่ลงจากรถ


 


 


เธอกอดถานเปิงเปิง แล้วจุมพิตบนแก้มอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง “ฉันคิดถึงเธอจังเลย โทรหาเธอตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอไม่รับโทรศัพท์ฉันสักครั้งเลย ใจร้ายเกินไปแล้วนะ”


 


 


ปฏิกิริยาของถานเปิงเปิงเฉยชามากเมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นของเธอ


 


 


หลังจากถูกจุ๊บไปครั้งหนึ่ง ถานเปิงเปิงหยิบกระดาษทิชชูออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก จากนั้นก็เช็ดหน้า


 


 


“ในน้ำลายคนมีจุลินทรีย์และแบคทีเรียมากกว่าหกร้อยชนิด เป็นแหล่งที่มาของโรคมากมาย อาจจะทำให้คนอื่นเกิดการติดเชื้อ…”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”  


 


 


ไม่ฟังๆ บลา


 


 


โรคบ้างานของถานเปิงเปิงบ้าบอจนทำให้คนเดือดดาลแล้ว


 


 


มีแต่คนที่มีแรงต้านทานสูงแบบเธอ ถึงจะอยู่กับเธอได้นานขนาดนี้


 


 


“พวกเราเข้าไปกินข้าวกันก่อนไหม” เหนียนเสี่ยวมู่ขัดจังหวะเธอ จากนั้นค่อยลากคุณหมอสาวเดินเข้าไปในโรงอาหาร ซึ่งเป็นร้านที่ถานเปิงเปิงเลือกไว้


 


 


ร้านอาหารไม่ใหญ่มาก แต่เงียบสงบและสวยงาม ตกแต่งได้อย่างมีสีสัน


 


 


เหมือนสไตล์ของเธอ


 


 


ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล เธอทำให้คนอื่นรู้สึกกลัวอย่างเป็นมืออาชีพ


 


 


ตอนออกจากโรงพยาบาล เธอก็เงียบเชียบจนทำให้คนรู้สึกกลัว


 


 


บางครั้งพวกเธอสองนั่งอยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่ถานเปิงเปิงทำได้แม้กระทั่งไม่พูดสักคำ


 


 


ปล่อยให้เหนียนเสี่ยวมู่พูดพร่ำอยู่คนเดียว…


 


 


คนอื่นอาจจะคิดว่าเธอเงียบไปหน่อย มีแต่เหนียนเสี่ยวมู่ที่รู้ว่าเธอเป็นหมอที่มีเมตตามากที่สุดในใต้หล้า


 


 


“ชุดเอสองชุด กาแฟแก้วหนึ่ง นมแก้วหนึ่ง” ถานเปิงเปิงสั่งอาหารให้พวกเธอทั้งคู่ ขณะที่กำลังจะยื่นเมนูคืนให้บริกร เหนียนเสี่ยวมู่ก็กดมือของเธอเอาไว้


 


 


จากนั้นก็ทำหน้าตาขมขื่น “เปิงเปิง ตอนนี้มีแค่เด็กเท่านั้นแหละที่กินนมตอนกินข้าว ฉันโตแล้วนะ”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่กล่าว พร้อมทั้งยืดอก พิสูจน์ว่าไซส์ของตัวเองเป็นของผู้ใหญ่แน่นอน


 


 


ถานเปิงเปิงถลึงตามองหน้าอกของเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วถาม “ได้เหรอ?”


 


 


“ฉันก็อยากกินกาแฟเหมือนกัน” เหนียนเสี่ยวมู่ตอบพร้อมรอยยิ้มกริ่มทันที


 


 


วินาทีต่อมากลับได้ยินถานเปิงเปิงพูดกับบริกรว่า “เอาน้ำมะนาวให้เธอแก้วหนึ่ง”


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่ “…”


 


 


“วิเคราะห์จากมุมของหมอมืออาชีพคนหนึ่ง ร่างกายของเธอเพิ่งหายดี สภาพในตอนนี้ไม่เหมาะดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทประเภทกาแฟเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลถึง…”


 


 


มาอีกแล้ว…


 


 


เหนียนเสี่ยวมู่หนาวสั่นไปหมด


 


 


เธอรีบร้อนหันหน้าไปมองบริกร “เอาน้ำมะนาวให้ฉันแก้วหนึ่งด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม