เล่ห์รักกลกาล 121-143

 ตอนที่ 121 สตรีหน้าเหม็น เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดเท่าเยี่ยเม่ยหรือ

 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ราชาต้ามั่วกลับเงียบลงมองเขาด้วยสายตาแตกตื่นอยู่บ้าง เอ่ยปากว่า “เจ้ามั่นใจจริงๆ อย่างนั้นหรือ”


 


 


หนังสือสัญญาทางทหารไม่ใช่ร่างขึ้นมาอย่างขอไปที เมื่อร่างแล้วไม่อาจทำตามได้ ต้องตัดหัวทิ้ง นับตั้งแต่โบราณมา คนที่ร่างหนังสือรับรองมีจำนวนนับได้ด้วยนิ้ว แม่ทัพถึงกับมีความกล้าหาญเช่นนี้


 


 


แม่ทัพผู้นั้นรีบรับปาก “ข้ามีความมั่นใจจริง ๆ ต่อให้ท่านข่านไม่วางใจในตัวข้า ก็สมควรวางใจในตัวจิวมั่วเหอบุตรชายของข้า”


 


 


 “เอ๋? ความหมายของเจ้าคือ จิวมั่วเหอจะกลับมาแล้ว” ราชาต้ามั่วเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง


 


 


ตอนนั้นหากมิใช่เพราะจิวมั่วเหอจะไปบำเพ็ญที่วัด เช่นนั้นตำแหน่งโย่วอี้อ๋องสมควรเป็นของเขา ไม่ตกไปถึงหวันเหยียนหง หากจิวมั่วเหอยินดีออกโรง เช่นนั้นราชาต้ามั่วก็มีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง


 


 


แม่ทัพผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย เดินมากลางกระโจมคุกเข่าลง “ท่านข่าน ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ข้าจิวมั่วเหยียก็เป็นบิดาของเขา ต่อให้เขาไม่ยินยอมกลับมา เมื่อเห็นบิดาของตนร่างหนังสือสัญญาแล้ว เพื่อชีวิตของข้า เขาไม่อาจยืนชมดูอยู่ด้านข้าง”


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงขั้นนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว


 


 


จิวมั่วเหอไม่แน่ว่าจะเต็มใจกลับมา แต่ว่าชีวิตของจิวมั่วเหยีย จิวมั่วเหอไม่อาจไม่ใส่ใจได้ เป้าหมายของแม่ทัพจิวก็คือฉกฉวยโอกาสที่เซียวชินผิดพลาด ยึดอำนาจสั่งการทหารในมือของเขามา


 


 


หลังจากราชาต้ามั่วฟังจบ ก็ไม่พูดอะไรอีก สายตาซักไซ้มองไปที่จิวมั่วเหยีย


 


 


ในเวลานี้ ลู่หวานหว่านด้านข้างกลับเอ่ยปากขึ้น “ท่านข่าน มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่าคนต่างเผ่า ย่อมมีใจออกห่าง ไม่ว่าอย่างไรจั่วอี้อ๋องก็เป็นชาวภาคกลาง เขาไม่ยินยอมลงแรงต่อกรกับชาวภาคกลาง ทำให้พวกเราเสียหายมากมายเพียงนี้ ก็ไม่อยู่เหนือเหตุผล ท่านข่านอย่าได้เห็นแก่เพราะคุณงามความดีของเขาในกาลก่อน ไม่ใส่ใจที่เขาทำผิดไปมากมายถึงขั้นนี้นะเจ้าคะ”


 


 


 “อย่างนั้นหรือ” เซียวชินที่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจามาตลอด ยามนี้กลับมองลู่หวานหว่าน “หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเองก็เป็นคนภาคกลาง ความหมายของคนต่างเผ่า ย่อมมีใจออกห่าง นั่นไม่ใช่เท่ากับเจ้าก็มีใจออกห่างหรอกหรือ ข้าสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้คำพูดยุยงส่งเสริมของเจ้า ลบความระแวงของข้ากับท่านข่านไป ก็เป็นเพราะแผนการที่เจ้ากับชาวภาคกลางเอาไว้แล้ว”


 


 


“เจ้า” ลู่หวานหว่านรีบลุกขึ้น ยื่นมือชี้ใส่เซียวชินอย่างเดือดดาล “ท่านหยุดใช้คำพูดเหลวไหล ใส่ความข้าเสียที นี่คือความผิดของท่าน อย่าได้ผลักไสให้ข้า ตัวข้าแต่งงานกับท่านแม่ทัพเยียลี่ว์นานแล้ว ก็เป็นคนของต้ามั่ว แต่งงานแล้วตามสามี จั่วอี้อ๋องอย่าได้ลืมเรื่องนี้เชียว”


 


 


ราชาต้ามั่วรีบตำหนิ “พอแล้ว หุบปาก เจ้าไสหัวออกไป”


 


 


 “ท่านข่าน…” ลู่หวานหว่านเบือนหน้ามองราชาต้ามั่วอย่างคิดไม่ถึง


 


 


กลับเห็นว่าราชาต้ามั่วมองนางจริงๆ สายตาเย็นเยียบราวคมดาบ คล้ายกับว่าให้เขาสังหารลู่หวานหว่านในยามนี้ ราชาต้ามั่วก็ยินดีทำ


 


 


แววตาเช่นนี้ทำให้ลู่หวานหว่านเกิดความหวาดกลัว


 


 


จิวมั่วเหยียถึงจะเป็นศัตรูทางการเมืองกับเซียวชิน แต่เขาก็ไม่เห็นลู่หวานหว่านอยู่ในสายตา แม่ทัพจิวเอ่ยปากว่า”ท่านข่าน ได้ยินว่าการศึกพ่ายแพ้ครั้งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับสตรีปากพล่อยผู้นี้ไม่น้อย ภายหน้าพวกเราปรึกษาเรื่องสำคัญ ไม่ต้องให้นางเข้าร่วมจะดีกว่า ”


 


 


 “ท่าน…” ลู่หวานหว่านสะบัดหน้าด้วยความโกรธ ถลึงตาใส่จิวมั่วเหยีย


 


 


ไม่ง่ายเลยกว่านางจะเกาะราชาต้ามั่ว เดินเข้าสู่ศูนย์กลางทางอำนาจของต้ามั่วได้ ใจนางยังมีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะเป็นเช่นเยี่ยเม่ย สตรีที่ในมือกุมอำนาจทางทหารเอาไว้ แต่ยังไม่เริ่มต้น คนเหล่านี้ก็ผลักไสนางออกไปแล้ว


 


 


จิวมั่วเหยียเป็นชาวต้ามั่ว นิสัยหยาบกระด้าง ไม่เหมือนเซียวชินที่วางท่าอยู่บ้าง ครั้นเห็นลู่หวานหว่านถลึงตาใส่


 


 


เขาเบิกตากลมดั่งลูกกระพรวนจ้องลู่หวานหว่าน กล่าวว่า “ข้าทำไม หากมิใช่เห็นแกว่าเจ้าคือสตรีของเยียลี่ว์ซั่น รู้ว่าเจ้าอยู่ข้างกายองค์ราชาคอยพร่ำวาจาเหลวไหล ข้าตัดหัวเจ้าไปนานแล้ว”


 


 


จิวมั่วเหยียต้องการอำนาจคุมทหารในมือเซียวชินก็เรื่องหนึ่ง แต่เทียบกับเซียวชินแล้ว เขารังเกียจสตรีนางนี้มากกว่า


 


 


 “ข้า…” ลู่หวานหว่านยังคิดเอ่ยอะไรอีก


 


 


ราชาต้ามั่วกลับไม่เหลือความอดทน ปรายตามองลู่หวานหว่าน “ข้าให้เจ้าไสหัวออกไป อย่าให้ข้าต้องพูดอีกเป็นรอบที่สาม”


 


 


พูดจามาถึงขั้นนี้ ลู่หวานหว่านก็เข้าใจ หากตัวเองยังรั้งอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ ทั้งนั้น


 


 


เพราะว่าไม่เพียงแต่ราชาต้ามั่ว แม้แต่แม่ทัพทั้งหลายในที่แห่งนี้ ไม่ว่ากลุ่มไหน สายตาที่มองนางคล้ายกับจะกินคนเข้าไป


 


 


นางไม่ส่งเสียง เดินลิ่วออกไปทันที


 


 


หลังจากนางออกไปแล้ว จิวมั่วเหยียยังก่นด่าอีกระลอก “พวกสตรีหน้าเหม็น ไม่รู้ในห้องให้ดี ยังกล้าออกมาพูดจาเหลวไหล ออกความคิดโง่งม นางหลงคิดว่านางคือเยี่ยเม่ยผู้นั้นหรือไง”


 


 


 “หากนางฉลาดได้ครึ่งของเยี่ยเม่ย ก็คงว่างจนมานั่งยุยงปลุกปั่น ยังจะออกความคิดเห็นบ้าบอ” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ย


 


 


ลู่หวานหว่านเดินมาถึงหน้าประตู ได้ฟังคนด้านในเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมา


 


 


เดิมทีนางอยู่ในอารมณ์โมโหอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งทวีความเดือดดาลเข้าไปใหญ่


 


 


ลู่หวานหว่านกำหมัดแน่น


 


 


ต้องมีสักวันหนึ่ง นางจะพิสูจน์ให้พวกตาบอดเหล่านี้เห็นว่านางแข็งแกร่งกว่าเยี่ยเม่ยเป็นร้อยเท่า


 


 


   ……


 


 


หลังจากลู่หวานหว่านออกไปแล้ว


 


 


ราชาต้ามั่วมองหน้าเซียวชิน เอ่ยปากถาม “จั่วอี้อ๋อง ข้อเสนอของจิวมั่วเหยีย เจ้าว่าอย่างไร”


 


 


 


 


เซียวชินสีหน้าไร้อารมณ์ตอบ “ท่านข่าน กระหม่อมบอกไปแต่แรกแล้วว่า กระหม่อมไม่ยินดีทำศึกกับชาวภาคกลาง วันนี้มีคนยินดีรับตำแหน่งต่อ กระหม่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


เมื่อคำตอบเป็นเช่นนี้ จิวมั่วเหยียกลับมองเซียวชินด้วยแววตาแปลกประหลาด


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่า อำนาจทางการทหาร เซียวชินบอกว่าวางมือก็วางมือได้ง่ายหมดจดเพียงนี้


 


 


 “คำพูดของจั่วอี้อ๋องเป็นจริงหรือไม่” ราชาต้ามั่วพิจารณาสีหน้าเซียวชิน ไม่ว่าพูดอย่างไร ความเสียหายครั้งนี้ก็มหาศาลมาก แต่เขาไม่ยินยอมให้ต้ามั่วของตนสูญเสียแม่ทัพใหญ่ไป ดังนั้นใจของเซียวชิน เขาไม่อาจไม่รั้งไว้


 


 


เซียวชินตอบตามตรง “คำพูดของกระหม่อม เป็นจริงทุกประโยค ท่านข่านมิจำเป็นต้องระแวงสงสัย ตราคุมทัพกระหม่อมยินดีส่งมอบออกไป เพียงแต่จะมอบให้ใคร ขอให้ท่านข่านไตร่ตรองให้ดีก่อน ค่อยตัดสินใจ”


 


 


สิ่งที่ควรเตือนเขาก็เตือนไปแล้ว ส่วนท่านข่านจะฟังหรือไม่ ก็อยู่ที่ราชาต้ามั่วแล้ว


 


 


ในเมื่อเซียวชินเอ่ยจากใจ ราชาต้ามั่วก็วางใจ กลับไม่เอาคำเตือนเมื่อครู่ของเซียวชินมาเก็บไว้ในใจ


 


 


ราชาต้ามั่วปรายตามองจิวมั่วเหยีย กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นตราทัพก็มอบให้เจ้า หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะตั้งใจเต็มที่ไม่เสียดายแม้ชีวิต” จิวมั่วเหยียรีบตกปากรับคำทันที


 


 


เซียวชินเงยหน้า สายตาแปลกใจมองราชาต้ามั่ว ทว่าเห็นราชาต้ามั่วสีหน้าเป็นปกติ คล้ายไม่ตระหนักถึงอะไรทั้งนั้น เซียวชินก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ส่ายหัวอยู่ในใจ


 


 


ช่างเถอะ บางครั้งชะตากำหนดให้เป็นราชาทำลายชาติ เขาเซียวชินช่วยปกป้องได้สี่ปี แต่ปกป้องไปตลอดไม่ได้


 


 


ราชาต้ามั่วมองเซียวชิน กล่าวต่อ “ในเมื่อริบตราทัพคืนจากจั่วอี้อ๋องแล้ว ก็นับเป็นการลงโทษ เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยอีก จั่วอี้อ๋องกลับไปสำนึกตัวให้ดีแล้วกัน”

 

 

 


ตอนที่ 122

 

ตอนที่ 122 คุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ที่ไหน

 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวชินรับคำ


 


 


ราชาต้ามั่วปรึกษาหารือเรื่องราวอยู่นานสองนาน ไม่ง่ายเลยที่สีหน้าจะเป็นปกติ ในยามนี้กลับบิดเบี้ยวไปอีกครั้ง


 


 


ดูท่าคงอยากเข้าห้องน้ำอีกแล้ว


 


 


ราชาต้ามั่วก็ไม่อยากให้ทุกคนลำบากรอตนเองอีก ดังนั้นจึงสังการว่า “เรื่องนี้ก็เท่ากับว่าจบแล้ว ทุกท่านเชิญกลับไปก่อน”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ทุกคนเองก็คลายใจ


 


 


ความจริงพวกเขาเองก็ไม่อยากนั่งรอนายไปเข้าห้องน้ำนานสองนาน ใครต่างก็ไม่ชอบรอผู้อื่น ต่อให้รอเจ้านาย พวกเขาก็ไม่ยินยอม


 


 


ราชาต้ามั่วเอ่ยจบก็วิ่งออกไป มุ่งตรงสู่ห้องสุขาแล้ว


 


 


แม่ทัพทั้งหลายในที่นี้แสดงความยินดีกับจิวมั่วเหยีย จากนั้นค่อยทยอยจากไป


 


 


เซียวชินมอบตราพยัคฆ์ในมือให้กับจิวมั่วเหยีย จากนั้นก็หมุนกายจากไป จิวมั่วเหยียพลันเอ่ยปากว่า “ช้าก่อน จั่วอี้อ๋อง”


 


 


เซียวชินหันกลับไปมองอีกฝ่าย


 


 


จิวมั่วเหยียเอ่ยปาก “เชื่อว่าจั่วอี้อ๋องเข้าใจ ข้าหาได้ต้องการต่อกรกับท่าน ข้าต้องการอำนาจทางทหารเท่านั้น หาได้คิดเป็นปรปักษ์กับจั่วอี้อ๋อง ขอเพียงท่านยินยอม ไม่ว่าใครเป็นราชา ท่านจะเป็นจั่วอี้อ๋องของต้ามั่วตลอดไป นี่คือความคิดของตัวข้า เช่นเดียวกันก็เป็นความคิดของจิวมั่วเหอ”


 


 


คำพูดนี้ของเขา นับว่ามีความนัยล้ำลึกแล้ว


 


 


 


 


 


 


แน่นอนว่าเซียวชินย่อมฟังความนัยของคำพูดเขาออก จั่วอี้อ๋องประสานมือคารวะ “เชื่อว่าแม่ทัพจิวมั่วเหยียคงเข้าใจ ตัวข้าหาได้ใส่ใจในอำนาจ มาต้ามั่วก็เพราะถูกชาวภาคกลางจำนวนมากไล่ฆ่า มาเพื่อขอการปกป้องเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเหมาะสม บางทีข้าก็จะจากไป ไม่ขัดขวางหนทางของตระกูลจิวมั่วแน่”


 


 


จุดยืนของเซียวชินชัดเจนเป็นอย่างมาก


 


 


ราชาต้ามั่วปกป้องเขาเป็นเวลาสี่ปี สี่ปีมานี้เขาจงรักภักดีต่อราชาต้ามั่ว ก็เท่ากับเป็นการตอบแทนที่ยุติธรรม ยามนี้อำนาจทางทหารถูกริบไป ราชาต้ามั่วถึงกับไม่ฟังคำเตือนของเขา ส่งตราพยัคฆ์ให้กับสุนัขจิ้งจอกทะเยอทะยานอย่างตระกูลจิวมั่ว ต่อให้เขาเซียวชินมีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีกำลังพลิกสถานการณ์


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับจิวมั่วเหยีย


 


 


ยามนี้จิวมั่วเหยียพลันเข้าใจจุดยืนของเซียวชิน ประสานมือ “จั่วอี้อ๋องเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว จั่วอี้อ๋อง เชิญ”


 


 


 “เชิญ”


 


 


เมื่อเซียวชินเอ่ยจบ ก็หมุนกายจากไป


 


 


หลังจากเขาออกจากประตู จิวมั่วเหยียหันกลับไปมองผู้ติดตามด้านหลัง เอ่ยสั่ง “ไปหาจิวมั่วเหอที่วัด บอกสถานการณ์ยามนี้ให้เขาฟัง บอกให้เขาคิดแผนการเอาหัวเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาให้ข้า”  


 


 


 “ขอรับ”


 


 


   ……


 


 


ฟ้ามืดมิดลงแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง ผลักเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออก เสียงเย็นเยียบกล่าว “สองชั่วยามแล้ว ข้าควรไปก่อน”


 


 


หากยังไม่ออกไปอีก ก็ไปหาเสี่ยวจิ่วไม่ทันแล้ว


 


 


คงไม่อาจไปหาเสี่ยวจิ่วกลางค่ำกลางคืน เช่นนั้นก็ดูจะไม่จริงใจ


 


 


เมื่อนางเอ่ยจบ อวี้เหว่ยยกกับข้าวอาหารเข้ามาพอดี เดินอาดๆ เข้ามาในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาย่อมได้ยินคำพูดของเยี่ยเม่ย จึงเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านกินข้าวก่อนค่อยกลับไปเถอะ” 


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยจบ ท้องของเยี่ยเม่ยก็ส่งเสียงร้องออกมา


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ดังขึ้นด้วยความอ่อนโยน “จริงด้วย แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่กับเยี่ยนมานานขนาดนี้แล้ว ต้องกินข้าวก่อนค่อยจากไป มิเช่นนั้นไม่เท่ากับเยี่ยนดูแลไม่ทั่วถึงอย่างนั้นหรือ แม่นางเยี่ยเม่ยคงไม่ยอมให้เยี่ยนแบกรับความผิดที่ดูแลแขกไม่ดีใช่หรือไม่” 


 


 


           เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก ส่งสายตามองเขา คนผู้นี้ใส่ใจว่าตัวเองมีชื่อเสียหายด้วยหรือ แต่เมื่อมองอาหารเต็มโต๊ะ กลับไปก็ต้องกินข้าว รั้งกินข้าวที่นี่ก็ไม่แตกต่าง ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปอย่างอาจหาญ


 


 


เมื่อหย่อนก้นนั่งลง ก็เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “กินก่อนค่อยไปก็ดี”


 


 


เยี่ยเม่ยกลับไม่รู้ว่า ชั่วเวลาที่ตนกินข้าวนั้น ด้านนอกแผ่นฟ้าแทบพลิกตลบแล้ว


 


 


จิ่วหุนไปตามหาเยี่ยเม่ยที่ห้องไม่พบ ก็ออกตามหาไปทั่ว


 


 


ทหารคนอื่นๆก็ไม่รู้ร่องรอยของเยี่ยเม่ย ย่อมตอบว่าไม่รู้ ส่วนพวกรู้เรื่องเหลืออยู่ไม่กี่คน คิดถึงฝีมือเ**้ยมโหดของเตี้ยนเซี่ยตนเองก็รู้ว่าไม่กล้าพูดจาเหลวไหล จิ่วหุนก็ไม่ใช่พวกช่างเจรจา จึงได้แต่ไล่ถามทีละคน ๆ


 


 


ดังนั้นเมืองชายแดนทั้งเมืองแทบจะถูกเขาพลิกแผ่นดินตามหาคนไปทั่ว


 


 


ข่าวนี้อวี้เหว่ยกระซิบบอกข้างหูเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว องค์ชายสี่ฟังจบก็แสดงออกว่าเข้าใจ ปรายตามอง อวี้เหว่ยอย่างสบายอารมณ์ เป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายออกไปก่อน 


 


 


ส่วนเรื่องที่ศัตรูหัวใจของเขาในเวลานี้กำลังกระวนกระวายร้อนรน องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจเลยสักน้อย


 


 


เยี่ยเม่ยหยิบตะเกียบ ไม่เกรงใจเริ่มกินอาหารทันที


 


 


หญิงสาวชอบกินอาหารรสเผ็ด ทั้งยังพบว่าอาหารบนโต๊ะนี้ส่วนมากมีรสเผ็ด ดังนั้นนางจึงเตือน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนขึ้นมาว่า “ท่านยังบาดเจ็บอยู่ กินเผ็ดให้น้อยหน่อย กินอาหารรสอ่อนจะดีกว่า”


 


 


แววตาของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉาบรอยยิ้ม มองเยี่ยเม่ย พยักหน้าอย่างว่าง่าย “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ เยี่ยนย่อมเชื่อฟังเจ้า”


 


 


เยี่ยเม่ยชอบคนเชื่อฟัง จึงพยักหน้าด้วยความพอใจ


 


 


   ……


 


 


ห้องของหลินซูเหย่า


 


 


เจ้าเมืองหลินถ่ายทอดคำพูดสี่คำของจิ่วหุนให้กับหลินซูเหย่าฟัง


 


 


ยามนี้หลินซูเหย่ามองเจ้าเมืองหลินอย่างไม่เชื่อ ในสายตานาง ยามนั้นที่จิ่วหุนไม่ใส่ตน ก็เพราะว่านิสัยเขา หรือไม่ก็ไม่รู้ฐานะของตน ดังนั้นถึงไม่ไว้หน้าแบบนั้น


 


 


หากเขารู้ว่าตนเองเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง ซ้ำยังมีรูปโฉมงดงาม เขาต้องมองนางในแงใหม่อย่างแน่นอน


 


 


จะรู้ที่ไหนว่า ยามที่บิดาไปคุยเรื่องแต่งงาน ถึงกับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา


 


 


ความเดือดดาลในใจของเจ้าเมืองหลินยิ่งกว่าหลินซูเหย่านัก เขากัดฟันเอ่ย “ข้าเป็นถึงเจ้าเมือง ไปคุยเรื่องนี้กับเขาเอง เขาถึงกับไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่อย่างข้า เขาก็เป็นแค่สามัญชนเท่านั้น เขาคิดว่าอาศัยฐานะต่ำต้อยของตน จะคู่ควรกับคนเช่นไหนกัน ต้องเป็นองค์หญิงหรือไง”


 


 


หลินซูเหย่าดูออกว่าบิดาบันดาลโทสะแล้ว


 


 


นางรีบเอ่ยปากว่า “ท่านพ่ออย่าโมโหเลย คลายโทสะก่อน  ท่านกลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ลูกจะค่อยๆ คิดดู สมควรมีวิธีจัดการ”


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดยอมแพ้


 


 


เจ้าเมืองหลินมองนางด้วยสายตาแปลกใจ เอ่ยปากอย่างไม่คาดฝันว่า “ทำไมกัน เจ้ายังไม่ล้มเลิกอีก”


 


 


 “ท่านพ่อ ไม่ง่ายเลยที่ลูกจะพบคนที่ชอบสักคนหนึ่ง ไม่มีทางล้มเลิกแน่” หลินซูเหย่าเอ่ยออกไปด้วยความหนักแน่นมาก จากนั้นกล่าวว่า “แต่ท่านพ่อวางใจเถอะ เรื่องที่ลูกทำย่อมมีขอบเขต ไม่มีทางก่อเรื่องให้ท่านอย่างแน่นอน”


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ เจ้าเมืองหลินก็วางใจ


 


 


ก็ถูก หลายปีมานี้บุตรสาวของเขารู้หนังสือขนบธรรมเนียม ทำอะไรมีขอบเขตมาโดยตลอด เขาจึงพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี เจ้าหาวิธีก็แล้วกัน”


 


 


 “น้อมส่งท่านพ่อ” หลินซูเหย่ารีบคารวะ


 


 


เจ้าเมืองหลินพยักหน้า ก้าวเท้าเดินจากไป


 


 


หลังจากเขาออกไปแล้ว สีหน้าของหลินซูเหย่าซีดขาว นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือ กวาดตามองสาวใช้ประจำกายที่อยู่ด้านหลัง “ไปดูสิว่า ยามนี้คุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ที่ใดกัน ข้าจะไปหาเขาด้วยตัวเอง”


 


 


 “คุณหนู?” สาวใช้มองด้วยสายตาไม่เห็นด้วย


 


 


หลินซูเหย่าเสียงดัง “รีบไป”

 

 

 


ตอนที่ 123

 

ตอนที่ 123 ปราชญ์อันดับหนึ่ง เป่ยเฉินอี้

 


 


 


สาวใช้ประจำกายไม่กล้าเอ่ยปากมากความอีก รีบร้อนสาวเท้าออกไป


 


 


ใบหน้าของหลินซูเหย่าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เดินลงไปนั่งที่เก้าอี้ยาว สีหน้ายังคงคล้ำง้ำงอ ไม่นานก็รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนแผ่นตะปู ลุกขึ้นมา เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้องตนด้วยความร้อนรน


 


 


ไม่ช้าสาวใช้ประจำตัวก็กลับมา


 


 


มองหลินซูเหย่ากล่าวว่า “หาพบแล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วออกตามหาร่องรอยของแม่นางเยี่ยเม่ยทั่วทั้งเมือง”


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ย?” หลินซูเหย่าสงสัย


 


 


สาวใช้ตอบว่า “ถูกต้อง คุณหนู ท่านไม่ได้ออกไปข้างนอกหลายวัน ทั้งไม่ได้ยินเรื่องภายนอก ท่านไม่รู้ว่ายามนี้ในชายแดน คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดก็คือแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว ได้ฟังว่านางไม่เพียงแต่มีความสามารถเกินใคร ทั้งยังชำนาญการรบ แม่ทัพจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่านางคือยอดวีรสตรีด้วยซ้ำ”


 


 


สาวใช้เอ่ยคำพูดพวกนี้ ใบหน้าเผยความชื่นชมไม่น้อย


 


 


อย่างไรก็อยู่ในยุคที่สตรีต้องพึ่งพาบุรุษถึงมีชีวิตอยู่ได้ ขอเพียงมีฐานะสูงส่ง สตรีที่มีชาติกำเนิดดีงามถึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในยุคสมัยนี้ เยี่ยเม่ยเป็นสตรีภูมิหลังไม่ชัดเจน กลับมีชีวิตอย่างดียิ่ง ทั้งยังได้รับความเลื่อมใสจากบุรุษจำนวนมาก สาวใช้ย่อมอิจฉานาง


 


 


เมื่อหลินซูเหย่าได้ฟัง มือที่กำผ้าเช็คหน้าไว้ยิ่งกำแน่นขึ้น “เจ้าบอกว่า นางคือสตรีที่ร้ายกาจมากผู้หนึ่ง หน้าตางดงามหรือไม่”


 


 


สาวใช้พยักหน้า “งดงาม ได้ยินว่าแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ปกติไม่ชอบแต่งตัวเท่าไหร่ ทั้งยังใช้แป้งเครื่องประทินโฉมน้อยมาก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ยังนับว่าเป็นนงคราญงดงามผู้หนึ่ง คุณชายเสี่ยวจิ่วติดตามข้างกายนาง เพียงแต่พวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์อันใด ยังไม่มีใครรู้”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ สาวใช้ก็เสริมขึ้นอีกว่า “จริงสิ องค์ชายสี่เองก็คล้ายจะชอบแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ดังนั้นจึงยกอำนาจทางทหารให้นางทั้งหมด ทั้งยังมีคำลือว่าเช้าวันนี้ องค์ชายสี่กับเสี่ยวจิ่วต่อยตีกันเกี่ยวข้องกับแม่นางเยี่ยเม่ย เพราะว่าเกิดจากความหึงหวง”


 


 


เอ่ยถึงยามนี้ สาวใช้มองคุณหนูตนเองด้วยความเห็นใจ


 


 


ความจริงนางรู้เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเพราะบรรดาสาวใช้อย่างพวกนางแอบพูดคุยกันส่วนตัว แม้แต่นายท่านยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สตรีมักมีสัมผัสที่หก ทั้งยังแม่นยำมาก ดังนั้นนางจึงเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ


 


 


ทุกประโยคของสาวใช้ประจำกาย สีหน้าของหลินซูเหย่าก็ขาวซีดลงไปอีกครึ่งส่วน


 


 


รอจนสาวใช้เอ่ยจบ สีหน้าของหลินซูเหย่าราวภูตพราย ซีดเซียวราวหิมะ “เขา…ความหมายของเจ้าคือ เขามีคนในดวงใจแล้วหรือ”


 


 


สาวใช้ส่ายหน้า “ไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำเล่าลือจากด้านนอก ล้วนเป็นสิ่งที่พวกสาวใช้คาดเดา สุดท้ายเรื่องเป็นเช่นไร ถามเขาถึงจะชัดเจน อืม จริงด้วย ”


 


 


สาวใช้พลันคิดอะไรขึ้นมาได้อีก “คุณหนู มีเรื่องหนึ่งจะช่วยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกหักได้”


 


 


 “อ้อ?” หลินซูเหย่าแววตาวาวโรจน์ มองสาวใช้ “เรื่องอะไร เจ้ารีบพูดมา”


 


 


   ……


 


 


เมืองหลวงเป่ยเฉิน จวนเป่ยเฉินอี้


 


 


สวนดอกไม้ หินประดับล้วนทำมาจากหินหยกที่หายากในใต้หล้า ดอกไม้ใบหญ้าแปลกประหลาดรายทางยิ่งเห็นได้ยากยิ่ง


 


 


เซี่ยโหวเฉินภายใต้การชักนำของบ่าว เดินผ่านภูเขาจำลองไป


 


 


ส่วนเขาจำลองลูกนั้น แกะสลักมาจากหินหยกดำ เพียงพอทำให้เห็นความหรูหราของผู้เป็นนายของจวนอ๋อง หินหยกสลักยังดูโอ่อ่ากว่าในวังหลวงหลายส่วน


 


 


เมื่อมาถึงอีกฝั่ง เซี่ยโหวเฉินเห็นคนผู้หนึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป


 


 


ยังไม่ทันเข้าใกล้ กระแสลมกลุ่มหนึ่งก็พัดผ่านมา พุ่งกระทบใบหน้าของเซี่ยโหวเฉิน รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นบ้าง แต่ไม่อาจทำร้ายคน


 


 


เซี่ยโหวเฉินสองมือไพล่หลัง มองเงาหลังที่หันให้ตนด้านข้างโต๊ะ


 


 


คนผู้นั้นนั่งอยู่บนรถเข็น


 


 


อาภรณ์สีดำปักลวดลายสีแดง ยิ่งเพิ่มความลึกล้ำอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของคนผู้นั้น สายลมพัดผมดำของเขาปลิวไสวไปตามชายชุดที่โบกพลิ้ว ยิ่งเผยพลังอำนาจที่ยากบดบัง มองจากที่ไกลๆ กลับมีไออหังการกระแสหนึ่ง


 


 


นั่นคือกลิ่นอายของผู้เป็นราชันย์


 


 


ก็ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะป้องกันคนผู้นี้ถึงขนาดนี้


 


 


งอบครอบผมสีทองอยู่กลางศีรษะเขา ขับให้ในความล้ำลึกของเขาแฝงความสูงศักดิ์ยากปิดบังไว้หลายส่วน เซี่ยโหวเฉินก้าวเท้ากว้าง ๆ เดินไปหาอีกฝ่าย


 


 


คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น มองเซี่ยโหวเฉิน 


 


 


ชั่วขณะที่เงยหน้า ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นใบหน้างดงามจนชวนคนหยุดหายใจ ดวงตาหงส์รียาว เรียวคิ้วสูง  ริมฝีปากบางแต่ได้รูป ยามที่ดวงตาคู่นั้นหรี่มอง ก็สามารถทำให้คนรับรู้สึกถึงความอันตราย แพขนตายาวยิ่งส่งผลให้ดวงตาคู่นั้นของเขายากคาดเดาเหนือล้ำกว่าปราชญ์ทั้งปวง


 


 


เซี่ยโหวเฉินชะงักไปชั่วครู่ ประสานมือเอ่ยปากว่า “ท่านอาจารย์ ไม่พบกันเสียนาน”


 


 


เป่ยเฉินอี้ได้ฟังก็ก้มหน้าลง มองกระดานหมากของเขาอีกครั้ง เขาวางหมากดำตัวหนึ่งลงไป หมากดำล้อมหมากขาวทั้งหมดในกระดาน หมากขาวถูกกินเรียบ


 


 


เซี่ยโหวเฉินก้มหน้า มองรูปในกระดานหมากทีหนึ่ง ยามนี้หัวใจกระตุกเกร็ง


 


 


ทิศทางของหมากกระดานนี้ เป็นเช่นเดียวกับทิศทางสถานการณ์ของแผ่นดินในยามนี้ อีกทั้งจุดที่หมากดำวางลงไป ก็คือคำพูดที่วันนี้เขาบอกกับฮ่องเต้ วางหมากตัวเดียว ก็กำจัดหมากขาวไปทั้งกระดาน เช่นเดียวกับที่เขาคิดกำจัดเป่ยเฉินอี้


 


 


ดังนั้น…


 


 


นี่หมายความว่าอย่างไร


 


 


เป่ยเฉินอี้คาดเดาได้แล้วว่าตัวเขามาเพื่ออะไร อีกฝ่ายก็คาดเดาได้แล้วว่าตัวเขาเอ่ยอะไรกับฮ่องเต้ มีเป้าหมายอะไร


 


 


ในระหว่างที่จิตใจเซี่ยโหวเฉินอยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนก


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังของเป่ยเฉินอี้ค่อยๆ ดังขึ้น “หมากตัวนี้ของข้า อ่านใจเจ้าออกแล้วใช่หรือไม่”  


 


 


สิ้นเสียง มือของเป่ยเฉินอี้ก็รั้งออกมาจากกระดานหมาก   


 


 


เซี่ยโหวเฉินหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทั้งเข้าใจว่าเป่ยเฉินอี้คาดเดาเรื่องเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่เขายังฝืนสงบนิ่ง นั่งลงตรงหน้าเป่ยเฉินอี้ “อาจารย์คาดเดาหมากของศิษย์ได้ เช่นนั้นอาจารย์คงรู้เป้าหมายที่ศิษย์มาแล้ว”


 


 


เป่ยเฉินอี้ยกมุมปากเล็กน้อย นั่นคือรอยยิ้มลุ่มลึกซ้ำยังยิ้มเยาะ “ไม่พบกันหลายปี ความในใจเจ้ายังคาดเดาได้ง่ายเช่นนี้ กาลเวลายังคงหมุนเวียนมีแต่วันคืนและอายุให้เพิ่มขึ้น แต่ไม่อาจลบล้างความโง่เขลาของคนผู้หนึ่ง”


 


 


สีหน้าของ เซี่ยโหวเฉินเปลี่ยนไปในบัดดล


 


 


ในใจกลับมีความไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน มุมปากยิ้มเย็น สีหน้าเองก็คาดเดาได้ยากเช่นเดียวกัน มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่ยินยอมถอย เอ่ยว่า “ดีมาก ในเมื่ออาจารย์รู้แล้ว ฝ่าบาทจะส่งท่านไปชายแดน ท่านอาจารย์ยังรู้ว่านี่คือแผนการของเซี่ยโหวเฉิน ข้าก็รอดูว่าอาจารย์จะทำลายสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร”


 


 


นี่คือหมากตาย


 


 


อย่างน้อยเขา เซี่ยโหวเฉินก็มั่นใจว่า ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งของเป่ยเฉินอี้ ยากที่จะมีชีวิตรอดกลับมา


 


 


เป่ยเฉินอี้หัวเราะเบาๆ มอง เซี่ยโหวเฉิน เอ่ยช้าๆ ว่า “เช่นนั้นศิษย์ข้า เจ้าต้องชมดูให้ดี”


 


 


เซี่ยโหวเฉินตะลึงตะลาน


 


 


เซี่ยโหวเฉินวางหมากขาวลงไปในกระดานอีกครั้งหนึ่ง


 


 


คราวนี้สถานการณ์ในกระดาน เดิมทีหมากขาวที่สมควรตายเรียบ กลับพลิกผันไป หมากขาวยังตกอยู่ในอันตรายดังเดิม ผลจากการวางหมากลงไปตัวหนึ่ง หมากที่มีอันตรายไม่ใช่แค่หมากขาวเท่านั้น สถานการณ์ทั้งหมดในกระดานเปลี่ยนเป็นอันตรายขึ้นมาแล้ว


 


 


ไม่ว่าหมากดำ หรือหมากขาวก็ตาม


 


 


หาใช่แค่คำว่าแพ้ชนะสองคำระหว่างหมากอีกแล้ว สถานการณ์ทั่วทั้งกระดานยังถูกโค่นล้ม มีความเป็นไปนานาประการรวมถึงปัจจัยที่ไม่อาจคาดเดาได้อีก


 


 


หมากตัวเดียวของตน เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมด ทำให้เป่ยเฉินอี้เดินผ่านด่านสำคัญนี้ไปได้ ยามนี้หัวใจ เซี่ยโหวเฉินพลันเย็นเยียบ


 


 


เป่ยเฉินอี้รั้งมือที่วางหมากกลับมา


 


 


จ้องมองเซี่ยโหวเฉิน สีหน้ายังคงเย็นชา “เซี่ยโหวเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าสี่ปีก่อน หลังจากข้ากลับสู่ราชวงศ์เป่ยเฉิน ไฉนถึงรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ ไฉนสอนวิชาวางแผนให้กับเจ้า”


 


 


 “เพราะว่า…” ขณะที่เซี่ยโหวเฉินกำลังจะตอบ


 


 


เป่ยเฉินอี้ตัดบทคำพูดของเขา “พอแล้ว เจ้ามิต้องเอ่ย เก็บการคาดเดาโง่งมของเจ้าซะ เจ้ายังจะเข้าใจว่าอะไรได้อีก นอกจากเจ้าฉลาดมากพอ ดังนั้นข้าถึงเห็นความสำคัญหรือ ข้าให้ความสำคัญกับเจ้าก็จริง เพียงแต่สิ่งที่ข้าเห็นนั้นหาใช่ความฉลาดของเจ้า แต่เป็นความไม่ยอมใครของเจ้า ในใต้หล้านี้ ในสายตาของเจ้าเซี่ยโหวเฉินมีเพียงปราชญ์อันดับหนึ่งเพียงผู้เดียวเท่านั้น ยามที่เจ้าคิดว่าเจ้าเหนือกว่าอาจารย์ เจ้าหลงคิดว่าตนฉลาดมากพอแล้ว สิ่งแรกที่เจ้าจะทำก็คือกำจัดข้า”


 


 


เซี่ยโหวเฉินสีหน้าแข็งทื่อ ทั้งขาวซีดขึ้นไม่น้อย มองเป่ยเฉินอี้ที่มีสีหน้าควบคุมทุกอย่างเอาไว้แต่แรก ในใจเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี 


 


 


แล้วก็เป็นดังคาด เป่ยเฉินอี้มองเซี่ยโหวเฉินยิ้มจาง ๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าคิดแล้ว ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไรมากำจัดข้า คิดไว้มากมาย ในที่สุดเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เรื่องให้ข้าไปเผชิญหน้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ชายแดน เซี่ยโหวเฉิน ข้าสมควรขอบคุณเจ้า เจ้าทำให้ข้าหลุดจากการกักขังที่เมืองหลวงเป็นก้าวแรก”


 


 


เซี่ยโหวเฉินตัวสั่น จวนเจียนจะร่วงล้มจากเก้าอี้


 


 


เขามองเป่ยเฉินอี้ด้วยความเหลือเชื่อ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่าน ท่านบอกว่า ท่านรับข้าเป็นศิษย์ คือหมากที่วางไว้ตั้งแต่สี่ปีก่อน ก็เพื่อวันนี้ เพื่อให้ข้าวางกลอุบายต่อท่าน เช่นนี้ท่านถึงออกจากจวนอี้อ๋อง ไม่ถูกกักขังไว้ที่นี่อีกอย่างนั้นหรือ”


 


 


เป่ยเฉินอี้พยักหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังค่อยๆ กล่าว “ถึงเจ้าจะโง่งม แต่ก็ยังพอเยียวยาได้อยู่ เซี่ยโหวเฉิน เจ้าไม่เคยคิดเลยว่า การออกจากจวนอี้อ๋อง ถึงเป็นหมากก้าวแรกที่ข้าจำเป็นต้องทำในการก้าวออกสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ส่วนเจ้ายังยินดีปรีดา หลงคิดว่าในที่สุดก็กำจัดข้าได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของความโง่งมของเจ้า แต่ข้า…ชอบมาก”


 


 


เซี่ยโหวเฉินแทบไม่เชื่อสิ่งที่เขาได้ยิน ยิ่งไม่เชื่อว่าแผนการที่ตนหลงคิดว่ายอดเยี่ยม กลับอยู่ในแผนการของอีกฝ่ายตั้งแต่สี่ปีก่อน จนมาถึงวันนี้ก็อยู่ในการคำนวณของอีกฝ่ายด้วย


 


 


เซี่ยโหวเฉินลุกขึ้น เอ่ยด้วยโทสะ “ท่านเหลวไหล ต่อให้ท่านรู้ว่าต้องมีสักวันที่ข้าจะลงมือกับท่าน ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะถูกฝ่าบาทส่งไปชายแดน” 


 


 


เอ่ยถึงจุดนี้ เซี่ยโหวเฉินพลันตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง


 


 


จริงด้วย ตามหลักฝ่าบาทสมควรส่งองค์ชายใหญ่ไปแต่ครั้งนี้กลับผิดปกติ ส่งองค์ชายสี่ไป หรือว่าภายในเรื่องนี้…


 


 


เขามองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่ออีกครั้ง “นี่ก็เป็นแผนการที่ท่านวางแผนอยู่เบื้องหลัง”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วยิ้มออกมา เอ่ยช้า ๆ ว่า “นี่ก็ไม่ยาก ในมือขององค์ชายใหญ่มีอำนาจทางทหารมากมายแล้ว หาคนคอยยุแยงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้สักหน่อย ฝ่าบาทย่อมระวังเป่ยเฉินเสียง ไม่กล้าเพิ่มกำลังทหารในมือเขา เพื่อให้บัลลังก์ฮ่องเต้มั่นคง ฝ่าบาททิ้งการใช้งานเป่ยเฉินเสียง มอบทหารสองแสนนายให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน  สำหรับข้าแล้วเพียงแค่กระพริบตาเท่านั้น ก็สามารถทำให้ฝ่าบาทเลือกออกมาได้ อย่างไรเสียในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย คนที่ออกไปรับศึกได้ นอกจากเป่ยเฉินเสียงก็มีแค่ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเท่านั้น”


 


 


เวลานี้ ในที่สุดเซี่ยโหวเฉินก็ยอมเชื่อแล้ว 


 


 


ในใจยิ่งหนาวเหน็บ เขาประเมินคนผู้นี้ต่ำเกินไป ประเมินอาจารย์ของตนต่ำเกินไป ประเมินปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าต่ำเกินไป อีกฝ่ายถึงกับวางแผนการเอาไว้เช่นนี้ ที่น่าขันคือตนยังกลายเป็นหมากในสถานการณ์นี้ กลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักน้อย


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามองลูกศิษย์ ร่างของเขาแผ่ไอราชันย์ไปทั่วสารทิศ ฝุ่นดินฟุ้งตลบ


 


 


น้ำเสียงน่าฟังของเขาดังขึ้นอีกครั้ง “ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์ข้า ช่วยให้ข้าหนีออกจากจวนอี้อ๋อง ก็คือจุดเริ่มต้นแห่งความโง่เขลาของพวกเจ้าทั้งหมด ทั้งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายใต้หล้า”

 

 

 


ตอนที่ 124

 

ตอนที่ 124 คนที่ล่วงเกินเป่ยเฉินอี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ดี ไม่มีอยู่

 


 


 


เซี่ยโหวเฉินยามนี้ยิ่งตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


อารมณ์ที่หวาดกลัวอย่างหนักเป็นทุนเดิม ในเวลานี้ยิ่งทวีความกลัวเข้าไปใหญ่ เซี่ยโหวเฉินมองคนเบื้องหน้าตนอย่างไม่เชื่อสายตา เอ่ยปากถามว่า “เป็นจุดเริ่มต้นของการทำลาย…ใต้หล้า”


 


 


คำพูดของเป่ยเฉินอี้เป็นจริงหรือไม่


 


 


ใต้หล้าล่มสลาย 


 


 


เดิมทีเขาคิดแค่ว่าอีกฝ่ายต้องการแค่ตำแหน่งฮ่องเต้เท่านั้น


 


 


เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเขา น้ำเสียงน่าฟังเผยแววขบขันที่พบเจอได้น้อยครั้ง กล่าวว่า “ทำไม ทำเจ้าตกใจแล้วหรือ”


 


 


 “ข้าหลงคิดว่า…” เซี่ยโหวเฉินจ้องเป่ยเฉินอี้ กำหมัดแน่น คำพูดที่อยากเอ่ยจุกอยู่ที่คอ พูดไม่ออก


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับไม่ต้องให้เขาเอ่ยจบ พลันยิ้มเอ่ยต่อ “อย่าใช้การคาดเดาโง่เขลาของเจ้ามาประเมินข้า”


 


 


เซี่ยโหวเฉินรับรู้ได้แล้วว่าตนโมโหขึ้นมาบ้าง สนทนากับเป่ยเฉินอี้ช่างเป็นการทดสอบสติปัญญาและความอดทนด้านจิตใจโดยแท้ เขารู้สึกว่าหากเขายังถูกวาจาร้ายกาจของอีกฝ่ายจู่โจมอีกหลายประโยค เขาอาจจะโมโหตายไปเลยก็ได้


 


 


เซี่ยโหวเฉินสูดลมหายใจลึก จ้องมองคนที่ที่ถูกตนเรียกว่าอาจารย์ น้ำเสียงเย็นชาถามว่า “เพราะจงเจิ้งซีอย่างนั้นหรือ”


 


 


เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ บรรยากาศโดยรอบพลันสงบเงียบขึ้นมาก


 


 


จนกระทั่งทั่วสารทิศมีไอสังหารแผ่พุ่งออกมา ทำให้เซี่ยโหวเฉินชำเลืองมอง ทั้งตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ใครก็รู้ว่า ต่อหน้าเป่ยเฉินอี้ ชื่อจงเจิ้งซีเป็นเหมือนหัวข้อที่ไม่อาจเอ่ยถึง แต่เขาก็เอ่ยถามไปแล้ว


 


 


สุดท้าย เป่ยเฉินอี้คลี่ยิ้มออก


 


 


เขามองคนเบื้องหน้า น้ำเสียงทุ้มต่ำค่อยๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฝ้ารอเหลือเกินว่าเจ้าจะขุดเรื่องในอดีตของอาจารย์ได้ หากเจ้าทำได้จริง บางทีเจ้าอาจหาจุดอ่อนของข้าได้ แล้วก็อาจเอาชนะข้าได้”


 


 


คำพูดนี้ทำให้สีหน้าเซี่ยโหวเฉินสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


ไม่ผิด เขาเอ่ยถึงจงเจิ้งซีก็เพราะได้ฟังเรื่องเล่าบางอย่างเท่านั้น ความจริงในปีนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ เขาไม่รู้เลยสักน้อย ทุกอย่างเป็นแค่การคาดเดา ส่วนเป่ยเฉินอี้กลับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่า ความจริงเซี่ยโหวเฉินไม่รู้ว่าปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นจึงไม่รู้จุดอ่อนของเป่ยเฉินอี้   


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ องครักษ์ผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในสวนดอกไม้แล้ว


 


 


เขายืนห่างจากร่างเป่ยเฉินอี้ไม่ไกลนัก เอ่ยปากรายงาน “ท่านอ๋อง สัมภาระตระเตรียมเอาไว้ครบถ้วนแล้ว ตอนนี้ออกเดินทางเลยหรือไม่” 


 


 


คราวนี้ เซี่ยโหวเฉินยิ่งไม่อาจไม่เชื่ออีกว่า อีกฝ่ายคาดเดาว่าตัวเขาจะเดินหมากเช่นนี้ตั้งแต่แรก


 


 


ไม่เช่นนั้น แม้แต่สัมภาระ เป่ยเฉินอี้ก็ให้บ่าวเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า


 


 


ในขณะที่เขาหน้าเขียวคล้ำ เป่ยเฉินอี้มองเขา เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าก็ได้ยินแล้ว ศิษย์ข้า อาจารย์ไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว เชื่อว่าอาศัยความฉลาดของเจ้า เจ้าน่าจะเข้าใจว่า ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม แขกที่รั้งอยู่เป็นเวลานานมีจำนวนน้อยที่ได้รับการต้อนรับจากเจ้าบ้านด้วยใจจริง”


 


 


 “ท่าน…” ในฐานะที่เซี่ยโหวเฉินเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งเป่ยเฉิน ในเสี้ยวเวลานี้เกือบอดรนทนไม่ไหว


 


 


เขาสูดลมหายใจลึกสองสามครั้ง หลับตาเพื่อสงบจิตใจของตนเอง ผ่านไปสักครู่ ค่อยเปิดตามองเป่ยเฉินอี้ “วางใจเถอะ ไม่ช้าข้าก็จะจากไปเช่นกัน ข้ามีคำถามสุดท้ายที่อยากถามท่าน เพราะอะไร…ต้องเป็นสี่ปี”


 


 


สี่ปี


 


 


เพราะอะไรต้องเป็นเวลาสี่ปี


 


 


นับจากวันที่เป่ยเฉินอี้รับเซี่ยโหวเฉินเป็นศิษย์ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ เป่ยเฉินอี้หนีออกจากการกักขังในจวนอี้อ๋องสำเร็จก็เป็นเวลาสี่ปีพอดี  เป็นเพราะเป่ยเฉินอี้มีความสามารถจำกัด จึงต้องรอถึงสี่ปีถึงจะทำเรื่องนี้สำเร็จ หรือว่ายังมีสาเหตุอื่น หรือ…  


 


 


ในระหว่างที่เขาใคร่ครวญ


 


 


 


 


เป่ยเฉินอี้ยกถ้วยชาเบื้องหน้าขึ้นมา ดวงเนตรหงส์เรียวยาวหรี่ลง เผยความเยาะเย้ย “เจ้าคงกำลังใคร่ครวญสาเหตุต่าง ๆ  ส่วนเหตุผลที่เจ้าอยากฟังมากที่สุด ก็คืออำนาจในการชักนำเรื่องอยู่ที่เจ้า สิ่งที่เจ้าอยากฟังมากที่สุดคือ ข้าไม่อาจยืนยันได้ว่ายามใดเจ้าจะลงมือทำร้ายข้า ดังนั้นจึงทำได้แค่อดทน เฝ้ารอโอกาสที่เจ้าลงมือ แต่คิดไม่ถึงว่าการรอครั้งเดียวก็รอเวลาถึงสี่ปี ใช่หรือไม่”


 


 


เป่ยเฉินอี้เอ่ยออกไปเช่นนี้ ใบหน้าของเซี่ยโหวเฉินพลันปรากฎความกระอักกระอ่วน


 


 


ความจริงเป็นเช่นนี้จริงๆ


 


 


หากอำนาจชักนำในเรื่องนี้อยู่ที่ตนเอง เช่นนี้นั้นเขายังพอได้หน้ากลับมาบ้าง ทั้งยังพิสูจน์ได้ว่าอาจารย์ของตนถึงจะมีวิชาการคาดการณ์สูงส่งกว่าตน ทว่าตนก็หาได้โง่งมขนาดนั้น ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายทั้งหมด


 


 


แต่ในเวลาถัดมา


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันลุกขึ้น


 


 


คราวนี้ เซี่ยโหวเฉินยิ่งไม่อยากเชื่อกระเด้งตัวลุกขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง ชี้ไปที่อีกฝ่าย “ท่าน…ขาของท่าน หายแล้ว?”


 


 


สี่ปีก่อน ในการแก่งแย่งอำนาจระหว่างราชวงศ์จงเจิ้งและราชวงศ์เป่ยเฉิน เป่ยเฉินอี้สูญสิ้นวรยุทธ์ สองขาไม่อาจลุกยืนขึ้นได้อีก นั่งบนรถเข็นมาตลอด แต่วันนี้…


 


 


ในเสี้ยวเวลาที่เขาสั่นสะท้าน เป่ยเฉินอี้มองเขา สีหน้ายากคาดเดา เอ่ยเสียงอ่อนว่า “นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าสมควรรู้ เวลาสี่ปี ขาของข้ารักษาหาย ยืนได้แล้ว ดังนั้นความมั่นใจของเจ้าที่จะทำร้ายข้าก็มีข้าเป็นผู้ก่อขึ้น ปะทุขึ้นมาในวันนี้เมื่อสี่ปีก่อน ทุกอย่างล้วนสมบูรณ์ เป็นความสบูรณ์ที่ข้าชื่นชอบมากที่สุด”


 


 


 “ตุบ” เซี่ยโหวเฉินขาอ่อน กลับลงไปนั่งอีกครั้ง


 


 


เขาคิดไม่ถึงเลย สถานการณ์ใหญ่ในราชสำนักเป่ยเฉิน อยู่ในกระดานหมากของคนผู้นี้ก็ช่างเถอะ ตัวเองเป็นหมากตัวหนึ่งของเขาก็ช่างเถอะ แต่…อีกฝ่ายกลับคาดเดาความคิดของเขาเซี่ยโหวเฉินออกมาได้โดยไม่ผิดสักน้อยนิด ตัวเขาจะลงมือวันไหนปีไหน เป่ยเฉินอี้ล้วนคำนวนออกมาได้ชัดเจนยิ่ง


 


 


ความน่ากลัวนี้อยู่ในระดับใดกันแน่


 


 


ในขณะที่เขาหวาดกลัว เป่ยเฉินอี้ยื่นมือออกมา หยิบเอาราชโองการที่เขาวางไว้ก่อนหน้าเข้าสู่ฝ่ามือ


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำระลื่นหูดังขึ้นอีกครั้ง “ขอบใจที่เจ้านำราชโองการมา วาจาของกษัตริย์ตรัสไปแล้วไม่คืนคำ นี่คือกษัตริย์เอ่ยคำไหนเป็นคำนั้น เสด็จพี่ของข้าผู้นั้น ก็ไม่มีโอกาสเสียใจอีกแล้ว”


 


 


สิ้นเสียง เขาก็ไม่สนใจเซี่ยโหวเฉินอีก หมุนกายเดินจากไป


 


 


สายลมพัดอาภรณ์ยาวพลิ้วไหว ผมดำขลับปลิวไหว ไอของราชันย์ทำให้คนไม่อาจดูแคลน


 


 


เซี่ยโหวเฉินเหม่อลอยอยู่ที่เดิม มองอีกฝ่ายเดินจากไปไกล พลันเกิดความไม่ยินยอมสยบ ทะลึ่งตัวขึ้นอย่างแรง มองไปที่แผ่นหลังเป่ยเฉินอี้ กัดฟันเอ่ยว่า “เป่ยเฉินอี้ ท่านอย่าด่วนดีใจไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่คนที่อยู่ร่วมได้ง่ายนัก ต่อให้ท่านฉลาดเช่นนี้ คาดเดาแล้วจะทำไม ท่านจะมีชีวิตรอดจากน้ำมือของเขา ก็เป็นคนละเรื่องกัน”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกไป เป่ยเฉินอี้ก็ชะงักฝีเท้า


 


 


เป่ยเฉินอี้หันกลับมอง เซี่ยโหวเฉินทีหนึ่ง สายตาชั่วร้ายยากคาดเดา มีความยโสโอหังยากปิดบัง “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือปีศาจ ไม่ผิด แต่เชื่อว่าเจ้าคงไม่ลืม ใต้หล้านี้คนที่ล่วงเกินเป่ยเฉินอี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ดีนั้น ไม่มีอยู่”


 


 


สิ้นเสียง เขาก็ไม่หันกลับมาอีก เดินจากไป


 


 


เซี่ยโหวเฉินหน้าตาซีดเซียว นั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ผิด ในใต้หล้านี้คนที่ล่วงเกินเป่ยเฉินอี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าจะมีแต่ฮ่องเต้ ส่วนหลายปีมานี้ ฮ่องเต้ก็มีชีวิตอย่างทุกข์ตรมนัก


 


 


เขายอมเชื่อว่า ในบรรดาความทุกข์ตรมของฮ่องเต้ จำนวนไม่น้อยมากจากเป่ยเฉินอี้ ดังนั้นเขาเซี่ยโหวเฉินสมควรดีใจ ที่ตนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเป่ยเฉินอี้ แต่มิได้เป็นศัตรู ดังนั้นหลายปีที่ผ่านถึงมีชีวิตไม่เลวนัก ราบรื่นไปหมดไม่ใช่หรือ  


 


 


           เซี่ยโหวเฉินยิ้มขื่นออกมา แววตาฉายความเย็นชา ลุกขึ้น เสียงต่ำเอ่ย “เป่ยเฉินอี้ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การพ่ายแพ้เพียงชั่วคราว ข้าเซี่ยโหวเฉินรับได้ ส่วนการแพ้ชนะจริงๆ ของพวกเราในภายหน้า คอยดูกันต่อไปก็แล้วกัน”

 

 

 


ตอนที่ 125

 

ตอนที่ 125 เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยจะถลกหนังของท่านออกมา

 


 


 


เมื่อสิ้นเสียง  เซี่ยโหวเฉินทุบหมัดลงที่โต๊ะ เกิดเสียงดังขึ้นตามมาด้วยโต๊ะแตกออก


 


 


เซี่ยโหวเฉินสีหน้าเย็นชา สาวเท้ากว้างๆ ออกไป


 


 


เขาพ่ายแพ้ต่อเป่ยเฉินอี้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีทางแพ้อีกฝ่ายตลอดไป ไม่มีทางเด็ดขาด


 


 


   ……


 


 


ชายแดนราชสำนักเป่ยเฉิน เยี่ยเม่ยกินดื่มจนอิ่มหนำ


 


 


ในตลอดการกินอาหาร นางก็รู้สึกชื่นชมผู้ที่เป็นองค์ชายนัก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีอากัปกิริยาค่อนข้างสง่างาม ยามกินข้าวยังมีท่วงท่าราวกับชนชั้นสูง


 


 


นางรู้สึกมาตลอดว่าความสง่างามของตนเองมีมากพอแล้ว วันนี้เมื่อเทียบกับเขา นางยังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนรำขวานหน้าหลู่ปัง


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้น ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากว่า “ข้ากินหมดแล้ว ขอตัวก่อน”


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ย…” อวี้เหว่ยคิดช่วยเตี้ยนเซี่ยเอ่ยสักประโยคสองประโยค ดูว่าจะรั้งแม่นางเยี่ยเม่ยให้อยู่นานอีกหน่อยได้หรือไม่


 


 


สายตาไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ย ตกอยู่บนกายอวี้เหว่ย


 


 


อวี้เหว่ย ตะลึง “คือ”


 


 


ทำไมกัน นี่มัน…เรื่องอะไร ตัวเขาทำอะไรแล้ว ไฉนถึงใช้สายตาน่ากลัวเช่นนั้นมองเขาเล่า


 


 


ยังไม่ทันที่อวี้เหว่ยเอ่ยปากถาม


 


 


เส้นเสียงเย็นเยียบของเยี่ยเม่ยก็ดังขึ้นอีก “ตอนนี้ไม่คุกเข่าที่หน้าต่าง เปลี่ยนไปอยู่ที่มุมกำแพงแล้วใช่ไหม”


 


 


 “ตุบ” อวี้เหว่ยเท้าลื่น ก้นกระแทกพื้นทันที จวนเจียนจะร้องไห้ออกมา…


 


 


เขาไม่รอให้เยี่ยเม่ยซักไซ้แล้วลงโทษ ก็รีบเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ข้าผิดมาก ข้าไม่กล้าอีกแล้ว


 


 


ไฉนเขาถึงถูกพบอีกแล้วเล่า


 


 


เขารู้สึกว่าตัวเองหลบซ่อนมาได้ดีตลอดเลยนี่นา


 


 


นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามอง อธิบาย “เห็นแก่ที่เจ้ามีใจยอมรับผิด ครั้งนี้ช่างเถอะ คราวหน้าเจ้าระวังหน่อย”


 


 


 “ขอรับ ขอรับ ขอรับ” อวี้เหว่ยพยักหน้ารัวอย่างว่องไว


 


 


เขาตัดสินใจแล้ว ทันทีที่ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ เขาจะไปซื้อจิ้งหรีดสองตัว ยามเตี้ยนเซี่ยอยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ย เวลาที่เขาเบื่อเป็นอย่างมาก จะคุกเข่าหน้าประตูให้พวกมันกัดกัน จะไม่ปีนหน้าต่างหลบมุมกำแพงอีกแล้ว


 


 


นี่มันอันตรายเหลือเกิน


 


 


อย่างไรจากความเข้าใจเตี้ยนเซี่ยของเขา หากแม่นางเยี่ยเม่ยโมโหขึ้นมา เตี้ยนเซี่ยต้องเห็นแก่สตรีลืมบ่าวรับใช้อย่างแน่นอน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจ วันนี้เยี่ยเม่ยอยู่มานานแล้ว


 


 


หากยังฝืนรั้งนางไว้ กลับจะเกิดผลตาลปัตร ทำให้นางไม่ยินดี ดังนั้นเขาถึงได้รู้สถานการณ์ดีเป็นพิเศษ น้ำเสียงน่าฟังค่อย ๆ กล่าว ว่า “เชิญแม่นางเยี่ยเม่ย แต่หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะจดจำคำสัญญากับเยี่ยนเอาไว้ ต้องใคร่ครวญเรื่องนี้” 


 


 


ใคร่ครวญเรื่องนี้ นั่นก็คือเรื่องที่ต้องให้คำตอบเขาแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก ถึงแม้จะรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ถูกเอาเปรียบ แต่เรื่องที่รับปากแล้ว นางไม่เสียใจ


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบเสียงเย็นว่า “ท่านวางใจเถอะ”


 


 


หลังจากสิ้นเสียง หญิงสาวก็หมุนกายจากไป


 


 


รอจนเยี่ยเม่ยจากไปไกลแล้ว อวี้เหว่ยค่อยลุกขึ้นจากพื้น มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย จากนั้นหันกลับมามองหน้าเตี้ยนเซี่ยทีหนึ่ง “เตี้ยนเซี่ย ท่านดูนิสัยของแม่นางเยี่ยเม่ย…ไม่ค่อยจะดีนัก”


 


 


อวี้เหว่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองบ่าวประจำตัว นัยน์ตาทอประกายแสงมารแดงวาบ อวี้เหว่ยรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยโมโหแล้ว 


 


 


ส่วนน้ำเสียงไพเราะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ดังขึ้นอย่างช้าๆ  “เจ้าอยากพูดอะไร” 


 


 


 “เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าน้อยหาได้นินทาแม่นางเยี่ยเม่ย ข้าน้อยแค่อยากบอกว่า…” อวี้เหว่ยกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น “ท่านดูเถิด ข้าน้อยแค่แอบฟังเล็กน้อย แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่ยินดีถึงขั้นนี้ ท่าทางราวกับจะฆ่าคน หากแม่นางเยี่ยเม่ยรู้ว่า ท่านหาได้บาดเจ็บเลยสักน้อย…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ อวี้เหว่ยกลืนน้ำลายเฮือกอีกครั้ง


 


 


มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างเห็นใจด้วยความระมัดระวัง เอ่ยปากว่า “ท่านว่า นางจะถลกหนังท่านหรือไม่ ข้าน้อยรู้สึกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยจะถลกหนังสองชั้นของท่านออกมา”


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแข็งขืนไปชั่วครู่


 


 


สักพัก น้ำเสียงน่าฟัง ก็เอ่ยขึ้นสบายๆ ว่า “เยี่ยนเชื่อว่า ไม่มีใครขวัญกล้าเทียมฟ้าแอบพูด นางไม่มีทางรู้”


 


 


อวี้เหว่ยก็พยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”


 


 


นั่นก็เพราะว่าเขาไม่อยากเห็นเตี้ยนเซี่ยที่ถูกถลกหนัง…


 


 


จนกลายเป็คนผอมแห้ง


 


 


 …


 


 


เยี่ยเม่ยเดินออกจากห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


สถานที่แรกที่นางตั้งใจไปไม่ใช่ห้องของตน ทั้งไม่ใช่เรือนของจิ่วหุน แต่เป็นกำแพงเมือง


 


 


สถานที่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนประลองฝีมือกันแต่เช้าตรู่


 


 


เมื่ออยู่บนกำแพงเมือง เยี่ยเม่ยยืนอยู่ด้านบนสำรวจไปรอบๆ  


 


 


ทหารรักษาการณ์และแม่ทัพทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนก เกรงว่าเยี่ยเม่ยบนกำแพง หลังจากเห็นร่องรอยการต่อสู้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนจะมองพิรุธอะไรออก จากนั้นจะพูดอะไรกับพวกเขา หรือถามอะไรพวกเขา


 


 


หากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายพวกเขาเอ่ยความจริงหรือเอ่ยความเท็จ นี่ยังเป็นปัญหา


 


 


ความจริงพวกเขาคิดมากเกินไป


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้คล้ายเป็นคนที่ไม่เข้าใจกำลังภายในเลยสักน้อย ไม่อาจใช้ร่อยรองการต่อสู้อ่านการต่อสู้ระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุน หรือแม้กระทั่งจับพิรุธออก


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยกวาดมองบนกำแพง


 


 


ร่องรอยดำด้านบนคล้ายถูกไฟแผดเผา แต่ว่ากำแพงไร้ร่องรอยความเสียหาย เสี้ยวนาทีถัดมา สายตาของนางกวาดส่องไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ ไม่ช้าก็มองเห็นบนพื้นดินนอกกำแพงเมืองทุกหนแห่งเป็นหลุมบ่อ


 


 


เห็นได้ชัดว่าเกิดจากกำลังภายในระเบิดออกมา


 


 


หญิงสาวเดินลงจากกำแพง ภายใต้การแสดงความเคารพของเหล่าทหาร นางเดินออกจากกำแพงเมืองไป


 


 


เดินออกไปมองดูหลุมใดหลุมหนึ่ง เยี่ยเม่ยนั่งยองลง ใช้มือลูบแผ่นดินมอดไหม้เหล่านั้น สายตาพิจารณา พลังทำลายล้างแบบนี้…


 


 


บรรลุถึงอานุภาพทำลายล้างเช่นเดียวกับระเบิดในยุคปัจจุบันแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามอง ทั่วสารทิศล้วนถูกเพลิงไหม้ ทั้งยังมีต้นไม้ล้ม ดวงตาเยี่ยเม่ยหรี่ลง ลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว


 


 


นี่คือผลลัพธ์ของการประมือระหว่างผู้มีกำลังภายในสูงส่งอย่างนั้นเหรอ


 


 


นางตั้งใจมาดู ก็เพื่อที่จะรู้พลังสังหารของกำลังภายในยุคโบราณว่าสุดท้ายแล้วจะอยู่ในระดับใด มีพลังทำลายล้างแบบไหน


 


 


เห็นได้ชัดว่าการระเบิดพลังนี้ อยู่นอกเหนือความคาดเดาของนาง ทั้งยังรุนแรงกว่ามากนัก ดูท่าความรวดเร็วในการเรียนกำลังภายในของนาง จำเป็นต้องเร่งมือเข้าแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้น ถอนมือกลับ หมุนกายสาวเท้ายาวๆ เดินกลับเมือง


 


 


ในเวลานี้พลันมีประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฎ


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ย ระวัง” ทหารผู้หนึ่งเห็นด้านหลังของเยี่ยเม่ย ตะโกนเตือน


 


 


ฝ่ายเยี่ยเม่ยไม่ต้องการการเตือนของเขาสักนิด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดปาก ก็รู้สึกถึงไอสังหารด้านหลังตนแล้ว


 


 


สายตานางฉายประกายเย็นเยียบ หันกลับไปอย่างว่องไว มือยื่นข้างหนึ่งออกไป


 


 


สองนิ้วคีบออก กระบี่ยาวก็ถูกนิ้วมือของนางคีบเอาไว้นิ่ง


 


 


แต่เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายมีความสามารถไม่ต่ำทราม หลังจากเยี่ยเม่ยคีบกระบี่ของอีกฝ่ายไว้ กระบี่ในมือของอีกฝ่ายยังมุ่งเล็งใบหน้าของเยี่ยเม่ย ทิ้งระยะห่างเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น 


 


 


แต่ว่าหยุดอยู่ที่ปลายจมูกของเยี่ยเม่ยพอดี กระบี่ไม่อาจเข้าใกล้มากอีกสักน้อย


 


 


อีกฝ่ายพยายามออกแรง กระบี่ก็ไม่อาจพุ่งขึ้นหน้า หยุดอยู่ในตำแหน่งสำคัญนี้ ไม่ใกล้ไม่ไกล ห่างจากปลายจมูกเยี่ยเม่ยหนึ่งมิลลิเมตร ไม่อาจสร้างความบาดเจ็บใด ๆ ให้เยี่ยเม่ยได้


 


 


ถัดมา  เรียวนิ้วที่หนีบกระบี่ของเยี่ยเม่ยพลันออกแรงบิด


 


 


กระบี่ยาวสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนที่เยี่ยเม่ยคีบเอาไว้หักออกส่งเสียงดัง

 

 

 


ตอนที่ 126

 

ตอนที่ 126 เจ้าหนีได้เลย ข้าจะตีจนเจ้าไม่อาจถอยได้สักครึ่งก้าว

 


 


 


ตอนนี้อย่าว่าแต่คนที่ลงมือกับเยี่ยเม่ย ต่อให้เป็นเหล่าทหารหน้าประตู ต่างก็เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ


 


 


กระบี่นี้เป็นการลอบทำร้าย ปฏิกิริยาตอบรับของแม่นางเยี่ยเม่ยถึงจะรวดเร็วมาก หนีบกระบี่ได้ทัน เช่นนี้ก็ช่างเถิด แต่ใช้แรงสองนิ้ว นางก็หักกระบี่ได้ เมื่อก่อนพวกเขาเคยได้ยินแม่ทัพหลี่เอ่ยว่า จากฝีมือติดตัวของแม่นางเยี่ยเม่ย…


 


 


 ดูไม่ออกว่านางมีกำลังภายใน


 


 


หากไม่ใช่กำลังภายใน ไฉนถึงได้ร้ายกาจปานนี้


 


 


ในขณะที่พวกเขากำลังใคร่ครวญปัญหา ทั้งเป็นขณะที่คนลงมือกำลังแปลกใจกับปัญหานี้


 


 


นางมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา จากนั้นก้มหน้าลง มองกระบี่ที่หักอยู่บนพื้น สูดลมหายใจเข้าลึก สายตามองเยี่ยเม่ยฉายความเย็นเยียบ “เจ้าไม่มีกำลังภายในจริงๆ หรือ”


 


 


จากร่างของอีกฝ่าย นางไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของกำลังภายใน


 


 


แม้กระทั่งที่เมื่อครู่ฝ่ายตรงข้ามลงมือหักกระบี่ยาวของตน ก็ไร้ร่องรอยของกำลังภายใน นี่เป็นสิ่งที่นางไม่อาจเข้าใจ ถึงกระบี่ตนจะไม่ใช่กระบี่เลื่องชื่อ แต่ก็เป็นกระบี่ชั้นดีเล่มหนึ่ง ต่อให้คิดใช้กำลังภายในหัก ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้


 


 


เมื่ออีกฝ่ายไม่รู้กำลังภายในเลยสักน้อย แล้วจะทำเรื่องนี้ได้อย่างไร


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องใบหน้าฝ่ายตรงข้าม แม่นางผู้นี้รูปโฉมไม่เลว ใบหน้ากลับเผยไอบีบคั้นคน ร่างแผ่ไอสังหาร เห็นได้ชัดว่าผู้มาเจตนาไม่ดี 


 


 


สายตาของนางเย็นวาบ กวาดตามองเหล่าทหารด้านหลังของตน


 


 


เหล่าทหารทั้งหลายมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที รีบวิ่งเข้ามา ล้อมคนที่ซุ่มโจมตีเยี่ยเม่ยไว้


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองสตรีนางนั้น เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “แทนที่จะถกกันว่าข้ามีกำลังภายในหรือไม่ ไม่สู้ถามว่า เจ้าอยากตายหรือเปล่า”


 


 


 


 


 “ฮ่า” สตรีนางนั้นไม่มองเหล่าทหารที่ห้อมล้อมตนสักน้อย มองมาที่เยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว “เจ้าคงไม่ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่า อาศัยทหารเหล่านี้จะจับข้าได้หรอกกระมัง”


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องนาง มือวางไว้ที่พัดข้างเอว เส้นเสียงเย็นเยียบ “เจ้าเชิญหนีได้เต็มที่ ข้าจะตีจนเจ้าถอยร่นไม่ได้อีกสักครึ่งก้าว หากระหว่างนี้เจ้าหนีออกจากวงล้อมทหารได้ นับว่าเจ้าชนะ”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าของสตรีนางนั้นก็เขียวคล้ำ


 


 


เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเม่ยกำลังหยามนาง   


 


 


คำพูดนี้หมายความว่า ต่อให้ตัวนางดูแคลนกำลังของพวกทหาร แต่เยี่ยเม่ยบอกนางว่า ขอเพียงเยี่ยเม่ยลงมือ การล้อมของเหล่าทหารพวกนี้ ตัวนางไม่อาจหลบหนีออกไปได้


 


 


เมื่อนางยื่นมือออกมา ชักกระบี่อ่อนข้างเอวชี้ไปที่เยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พวกเราลองดู ข้าก็อยากรู้ว่า เจ้ามีความสามารถนี้จริง หรือมีแค่ความสามารถในการโอ้อวดเท่านั้น”


 


 


   ……


 


 


เรือนของเยี่ยเม่ย


 


 


จิ่วหุนตระเวนตามหาเยี่ยเม่ยไม่พบ ตัดสินใจกลับไปดูที่เรือนของนางว่านางกลับมาแล้วหรือยัง


 


 


หลังจากเขาเดินเข้ามา ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน


 


 


ในขณะที่จะเดินออกไป หลินซูเหย่าพลันเดินเข้ามา   


 


 


จิ่วหุนคล้ายกับมองไม่เห็นนาง ขณะที่กำลังเดินผ่านร่างหลินซูเหย่าไป บุตรสาวเจ้าเมืองรีบติดตามขึ้นมาอย่างร้อนรน เอ่ยปาก “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ข้าตั้งใจมาหาท่าน ให้พวกสาวใช้คอยติดตามท่าน ไม่ง่ายเลยกว่าจะตามหาท่านพบ ท่านหยุดฟังข้าพูดก่อนได้หรือไม่”


 


 


นางเอ่ยออกจากใจจริง แต่จากไหวพริบของนักฆ่า


 


 


จิ่วหุนฟังออกเพียงแต่จุดสำคัญเท่านั้น เขาพลันหันหน้ากลับมองหลินซูเหย่า “ความหมายของเจ้าคือ เจ้าให้คนคอยตามข้าหรือ”


 


 


 “ข้า…” หลินซูเหย่าพลันพูดไม่ออก และรู้ว่าประโยคนี้ของตน เกรงว่าจะเอ่ยออกไปไม่ถูกต้องแล้ว


 


 


นางรีบส่ายหัวโดยไว เอ่ยปากอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้ามีเรื่องถึงตามหาท่าน ดังนั้นจึงให้พวกบ่าวไพร่ช่วยตามหา ข้าหาได้มีเจตนาร้าย ขอให้ท่านอย่าได้ระแวงป้องกันข้าเช่นนี้”


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเสียใจ


 


 


นางชอบจิ่วหุนจริงๆ เป็นรักแรกพบ ดังนั้นท่าทีเย็นชาของอีกฝ่ายที่มีต่อนาง ถึงกระทั่งคิดว่าเป็นศัตรู ในใจของนางรู้สึกยากเกินจะรับไหว


 


 


จิ่วหุนอยู่ในอารมณ์ไม่ดีนัก


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็คร้านจะใส่ใจ เพียงกดเสียงต่ำเตือนว่า “อย่าเข้าใกล้ข้า”


 


 


พูดจบแล้ว จิ่วหุนก็หมุนกายจากไป


 


 


หลินซูเหย่าเงยหน้า มองแผ่นหลังของเขา กลับเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว “ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำอะไร ท่านกำลังตามหาเยี่ยเม่ยใช่หรือไม่”


 


 


ชื่อเยี่ยเม่ยคล้ายกับคำสาปแช่งกระทบใจจิ่วหุน 


 


 


เดิมจิ่วหุนที่ตัดสินใจเดินจากไป พลันชะงักฝีเท้า  


 


 


ดูจากการแสดงออกของฝ่ายตรงข้าม หลินซูเหย่ารู้ว่าตนเดาถูก ในเวลานี้นางไม่รู้ว่าสมควรดีใจที่ตนเองคาดเดาถูกดี หรือว่าเสียใจที่เขากำลังหาเยี่ยเม่ยอยู่จริงๆ


 


 


แต่นางเข้าใจดี จิ่วหุนหาได้มีความอดทนกับนางมากนัก ดังนั้นยามนี้หลินซูเหย่าไม่ทันมีเวลาสงสารตัวเอง


 


 


นางสาวเท้าก้าวมาเบื้องหน้าจิ่วหุน จ้องใบหน้าเขา เอ่ยปากว่า “ท่านตามหานางอยู่จริง ๆ ใช่หรือไม่ ท่านอยากรู้ไหมว่ายามนี้นางอยู่ที่ไหน”


 


 


สิ้นเสียงหลินซูเหย่า


 


 


คมมีดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่ทันรู้ตัว มีดก็จ่ออยู่ที่คอนางแล้ว


 


 


ยามนี้หลินซูเหย่าสูดลมหายใจลึก ตัวสั่นมองมีดสั้นจ่อค้ำคออยู่ นางกลอกตาจวนเจียนจะตกใจจนสลบไป สองขาเริ่มสั่นเทิ้ม


 


 


นางเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงมาในห้องหอ ชั่วชีวิตไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกคนเอามีดจ่อคอข่มขู่


 


 


 “ท่าน…ข้า…” หลินซูเหย่าตกใจจนไร้เสียง


 


 


ในช่วงเวลาที่นางตกใจ เสียงต่ำของจิ่วหุน ค่อยๆ ดังขึ้น “บอกมา ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”


 


 


ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าจิ่วหุนกำลังสงสัยว่า การหายตัวไปอย่างชั่วคราวของเยี่ยเม่ย ความจริงแล้วเกี่ยวพันกับสตรีเบื้องหน้า แต่เขากลับรู้สึกว่า อาศัยความสามารถของเยี่ยเม่ยไม่มีทางถูกจับได้ง่ายๆ ดังนั้นยามนี้เขาแค่ขมขู่ มีดในมือไม่ได้ทำร้ายหลินซูเหย่าจริง ๆ


 


 


แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็มากพอให้หลินซูเหย่าหวาดกลัว


 


 


นางถึงขั้นสงสัยว่า ตัวเองไม่เข้าใจบุรุษผู้นี้เลยสักน้อย กลับพุ่งเข้าหาเขาเพราะความสนใจ เรื่องนี้ท้ายที่สุดแล้วถูกต้องหรือไม่ สำหรับตัวเองแล้วจะไม่ปลอดภัยหรือเปล่า


 


 


แต่เมื่อเห็นใบหน้าจิ่วหุนใกล้ ๆ นางพลันเกิดความกล้าหาญอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ยินยอมถอดใจง่าย ๆ


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยเสียงสั่น “ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ นางหายไปไม่เกี่ยวข้องกับข้า ข้าแค่รู้ร่องรอยของนางเท่านั้น”


 


 


เมื่อหลินซูเหย่าเอ่ยออกมา ไอสังหารบนร่างจิ่วหุนยังไม่สูญสลาย มีดยังคงจ่อที่คอนาง ไม่มีแววว่าจะเอาออกไป


 


 


ยามนี้หลินซูเหย่าไม่กล้าเสียเวลาอีก รีบเอ่ยเป้าหมายของตัวเองออกมา “ข้าได้ฟังว่า วันนี้ท่านประมือกับ องค์ชายสี่ แพ้แล้ว”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ นางพบว่าไอสังหารของจิ่วหุนรุนแรงขึ้น


 


 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สำหรับจิ่วหุนแล้ว หาได้เป็นเรื่องที่มีหน้ามีตา เขาย่อมไม่ยินยอมฟังผู้อื่นเอ่ยถึง


 


 


ฝ่ายหลินซูเหย่ารีบเอ่ยปากอีกครั้ง ก่อนที่จิ่วหุนจะบันดาลโทสะ “แต่ท่านรู้หรือไม่ ท่านแพ้แล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้นหาได้มาดูแลท่าน นางไปหาองค์ชายสี่แล้ว คาดว่าคงกลัวว่าองค์ชายสี่ประมือกับท่านแล้วได้รับบาดเจ็บ”


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าจิ่วหุนพลันนิ่งไป


 


 


เรียวคิ้วขมวดแน่น


 


 


หรือที่เขาตามหาเยี่ยเม่ยไม่พบ ที่ไหนก็ไม่เจอนาง หากบอกว่านางไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว คนอื่นไม่กล้าเป็นฝ่ายบอกเขา ก็ยังถือว่ามีเหตุผล


 


 


จิ่วหุนวางมีดสั้นที่คอหลินซูเหย่าลง ไม่พูดอะไรกับนางก็หมุนกายจากไป


 


 


หลินซูเหย่ามองแผ่นหลังของชายหนุ่ม รีบติดตามไป ยื่นปอยผมดำขลับกลุ่มหนึ่งให้จิ่วหุน “นี่คือปอยผมที่ขาดตอนท่านประมือกับองค์ชายสี่  ข้าสั่งให้คนหากลับมา เก็บรักษาไว้อย่างระวัง”


 


 


นางเอ่ย สายตาที่มองจิ่วหุนตื่นเต้น อีกทั้งเผยอารมณ์ขัดเขินออกมา


 


 


จิ่วหุนมองปอยผม ทว่าไม่เอ่ยวาจา จากสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา มองความรู้สึกใดๆ ไม่ออก ที่มั่นใจคือ สายตาของเขาไม่มีแววซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อยนิด


 


 


หลินซูเหย่าเข้าใจดี ความจริงการกระทำของตนหาได้ฉลาดนัก นางเอาปอยผมกลุ่มหนึ่งมา ก็เพื่อเตือนจิ่วหุนว่าเขาสู้แพ้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่า นางจงใจท้าทายศักดิ์ศรีของบุรุษตรงหน้า


 


 


แต่เพื่อบรรลุเป้าหมาย หลินซูเหย่าไม่ใส่ใจมากความ เอ่ยต่อ “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ข้าจริงใจต่อท่าน มิเช่นนั้นข้าคงไม่นำปอยผมกลับมา ทั้งยังเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า ส่วนแม่นางเยี่ยเม่ยในใจท่านผู้นั้น เห็นได้ชัดเจนว่าในใจนางมีแต่องค์ชายสี่ มิเช่นนั้นนางคงมาเยี่ยมท่านที่ต้องการความห่วงใย แทนที่จะไปหาองค์ชายสี่ ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านยังครุ่นคิดคะนึงถึงนางไม่เสื่อมคลายอีกหรือ”


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยไป ใบหน้าแดงเรื่อ อย่างไรคำพูดเหล่านี้ นางเป็นสตรีผู้หนึ่งเอ่ยออกมาก็บุ่มบ่ามไปหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคำพูดนี้เอ่ยกับบุรุษในดวงใจ


 


 


พูดจบนางมองหน้าจิ่วหุน รอคำตอบจากอีกฝ่าย

 

 

 


ตอนที่ 127

 

ตอนที่ 127 ความผิดปกติของเสี่ยวจิ่ว

 


 


 


 “เจ้าพูดจบแล้วหรือยัง”


 


 


หลังจากหลินซูเหย่าอธิบายอย่างรวดเร็ว ในที่สุดจิ่วหุนก็ตอบกลับประโยคหนึ่ง


 


 


หลินซูเหย่าชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้ามองจิ่วหุน สีหน้าอึ้งทึ่งไป ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร 


 


 


เห็นสีหน้าของจิ่วหุนมองนาง เริ่มไร้ความอดทน


 


 


หลินซูเหย่าก็รู้ทัน ไม่ว่าอย่างไร ตัวเองก็ยังต้องการคำตอบ นางตะกุกตะกักตอบ “ข้า ข้าพูดจบแล้ว”


 


 


เห็นอารมณ์จิ่วหุนนิ่งสงบคล้ายไม่ถูกตัวนางยุแยงได้สำเร็จ


 


 


หลินซูเหย่าหัวใจสั่นลนลาน รีบเอ่ยเสริมขึ้นว่า “คำพูดที่ข้าบอกกับท่าน เป็นจริงทุกประการ ข้าหวังว่าท่านจะคิดดูให้ดี”


 


 


จิ่วหุนยื่นมืออกไปหาหลินซูเหย่า 


 


 


บุตรสาวนายอำเภอชะงักไปเล็กน้อย มองฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายยื่นมาเบื้องหน้าตน ฝ่ามือนั้นใหญ่มากเป็นลักษณะพิเศษของฝ่ามือบุรุษเท่านั้น นางละล้าละลังชั่วครู่ เขากำลังจะจับมือนางใช่หรือเปล่า


 


 


ครั้นคิดเช่นนี้ หัวใจของหลินซูเหย่าในยามนี้ก็ดีใจเป็นลิงโลด


 


 


มือขวากุมปอยผมของจิ่วหุนที่ถูกตัดขาดเอาไว้ มือซ้ายยื่นออกไปหามือของนักฆ่าหนุ่ม


 


 


จิ่วหุนมองการกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่าย ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด แววตาของเขาทอประกายรังเกียจอย่างชัดเจน รวมทั้งไม่เข้าใจกระบวนความคิดของหลินซูเหย่า ไฉนถึงไม่เป็นเหมือนกับเขา


 


 


จิ่วหุนรั้งมือกลับมาโดยพลัน ไม่ปล่อยให้มือของหลินซูเหย่าเข้ามาอยู่ในมือเขา


 


 


จากนั้นมือขวาที่อยู่กลางอากาศคว้าจับ กำลังภายในก็พุ่งเข้าจู่โจมมือขวาของหลินซูเหย่า ปอยผมดำในมือนางเข้ามาสู่มือเขา  


 


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยวพริบตา หลินซูเหย่ายังไม่ทันตอบสนอง ปอยผมในมือก็หายไปแล้ว


 


 


ดีที่จิ่วหุนลงมือไม่หนัก ดังนั้นมือของนางแค่ถูกกำลังภายในง้างออก แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ


 


 


ในขณะที่นางอยู่ในภาวะตกตะลึง


 


 


มือซ้ายของนางยังยื่นออกไปหาจิ่วหุน อยู่ในลักษณะที่จะจับมือกับเขา ส่วนจิ่วหุนรั้งมือกลับไปแล้ว เหลือมือข้างหนึ่งของนาง ไม่สิ มือข้างหนึ่งค้างเติ่งอยู่กลางอากาศอย่างเก้กัง


 


 


หลินซูเหย่ารู้สึกว่า ใบหน้าของตนร้อนฉ่า…


 


 


 “ท่าน…” หลินซูเหย่ากระอักกระอ่วน ฝืนทำตัวสงบ รั้งมือที่ค้างอยู่กลางอากาศของตนกลับ เอ่ยอย่างผิดหวังระคนทุกข์ใจ “ที่แท้…ที่แท้ท่านคิดเอาผมกลับไปเท่านั้น”


 


 


จิ่วหุนหน้าตาไร้อารมณ์ “มันไม่เหมาะที่จะอยู่ในมือเจ้า”


 


 


พูดจบ เขาก็หมุนกายจากไป ในขณะเดียวกัน สายตาของเขามองไปทางตะวันตกเฉียงใต้ สายตาฉายแววสังหารและคมกริบ


 


 


แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลงมือ สาวเท้ายาวๆ ออกไป


 


 


หลินซูเหย่ามองแผ่นหลังเขา เอ่ยปากด้วยความระวัง “คุณชายเสี่ยวจิ่ว ท่าน…ท่านคิดอย่างไรกับ…คำพูดของข้าเมื่อครู่ พอจะบอกข้าได้หรือไม่”


 


 


จิ่วหุนไม่หันหน้ามอง “ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ อย่าได้ตั้งใจมาพูดจาเหลวไหลกับข้าอีก”


 


 


สำหรับเรื่องที่เยี่ยเม่ยไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขามีความคิดเห็นก็จริง อีกทั้งอารมณ์ยังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก


 


 


แต่สำหรับคำสารภาพของหลินซูเหย่า จิ่วหุนไม่มีความสนใจจริงๆ อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นวาจาเหลวไหลไร้ราคา


 


 


           ส่วนที่เพราะอะไรหลินซูเหย่าคิดว่าถึงเอ่ยว่าจาเช่นนี้กับเขา แล้วเขาจะชอบนางนั้น ไม่ชอบเยี่ยเม่ย เขาไม่รู้จริงๆ


 


 


จิ่วหุนเป็นพวกเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เข้าใจอารมณ์ทางโลก ทั้งไม่เข้าใจแผนการของหลินซูเหย่า ถึงกระทั่งไม่เข้าใจวิธีการคิดของอีกฝ่าย เขารู้แต่ว่าตัวเองชอบเยี่ยเม่ย ยอมรับเรื่องนี้เท่านั้น ก็ง่ายๆ แค่นี้


 


 


หลินซูเหย่าหน้าแดงก่ำสลับขาวซีด มองส่งเขาจากไปไกล


 


 


นางกำหมัดแน่น หลินซูเหย่าคิดไม่ถึงเลยว่า แผนการที่ตนหลงคิดว่าฉลาดเฉลียว ต่อหน้าจิ่วหุน กลับไม่ได้ผลเลยสักน้อย อีกฝ่ายไม่ใส่ใจการกระทำของเยี่ยเม่ยเลยสักอย่าง หรือว่ารังเกียจตัวนางจริงๆ กันแน่   


 


 


 “คุณหนู” สาวใช้ที่หลบอยู่ เห็นหลินซูเหย่าล้มเหลว เดินออกไปด้วยความอึดอัด


 


 


สิ่งที่ทำให้นางยิ่งอึดอัดก็คือ ก่อนที่คุณชายเสี่ยวจิ่วผู้นั้นจะจากไป สายตาที่มองยังทิศตะวันตกเฉียงใต้นั้นไม่เป็นมิตร คล้ายกับมองมาที่ตน


 


 


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายพบว่าตัวนางหลบอยู่ที่นี่


 


 


เดิมทีหลินซูเหย่าก็กระอักกระอ่วนมากพอแล้ว ยามนี้สาวใช้ออกมา นางยิ่งตระหนักได้ถึงความขายหน้าของตน สีหน้ายิ่งไม่น่ามอง


 


 


หลังจากสาวใช้ออกมา ไม่ช้าก็โยนความรับผิดชอบไปไว้ที่ตัวนางเอง “คุณหนู ขอโทษด้วย เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของบ่าว บ่าวไม่สมควรออกความคิดเห็นนี้ให้คุณหนู”


 


 


 “พอแล้ว” ถึงหลินซูเหย่าจะโมโหมาก แต่ในใจก็เข้าใจดี ความผิดพลาดนี้ไม่ใช่เพราะสาวใช้ แต่เพราะแนวความคิดของจิ่วหุน แตกต่างจากคนทั่วไป


 


 


เมื่อสาวใช้เห็นว่าเจ้านายไม่คิดจัดการตัวเอง พลันวางใจ รีบเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “คุณหนู บ่าวรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง”


 


 


หลินซูเหย่าหันหน้ามองนาง “เจ้าว่าแปลกประหลาดที่ใด”


 


 


 “คุณชายเสี่ยวจิ่ว” สาวใช้ตอบ ทั้งยังพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ท่านไม่รู้สึกหรือว่า คุณชายเสี่ยวจิ่วดูแปลก ๆ ในสถานการณ์ปกติ เขายื่นมือออกมา สมควรแสดงออกว่ารู้สึกดีกับท่าน แต่ยามที่เขายื่นมือออกมา ไม่พูดอะไรสักคำเดียว กลับทำเพราะต้องการเอาปอยผมกลับไป นี่มัน….”


 


 


สาวใช้ย่นคิ้ว เอ่ยต่อ “นี่ไม่เหมือนกับตรรกะความคิดของคนปกติทั่วไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำพูดพวกนั้นที่เขาตอบกลับท่าน ท่านลองคิดดู คนปกติจะพูดเช่นนี้หรือไม่”


 


 


บอกว่าคุณหนูไม่ต้องพูดจาเหลวไหลกับเขา คำพูดนี้ไม่มีปัญหา


 


 


แต่เพราะอะไรเสี่ยวจิ่วถึงบอกว่า…ไม่เข้าใจ?


 


 


สาวใช้เอ่ยเช่นนี้ กลับเป็นการเตือนหลินซูเหย่า บุตรสาวเจ้าเมืองเอ่ยปาก “ความหมายของเจ้าคือ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคน หรือเรียกได้ว่า เขาไม่เข้าใจความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างคน ดังนั้น…บางทีเขาอาจไม่เข้าใจ คำพูดของข้าเมื่อครู่ว่ามีความนัยแอบแฝงอย่างนั้นหรือ”


 


 


ระหว่างนางกับเยี่ยเม่ย ใครใส่ใจเขามากกว่ากัน


 


 


สาวใช้ละล้าละลังไปเสี้ยววินาที จากนั้นก็พยักหน้า “ไม่ผิด คุณหนู บ่าวรู้สึกเช่นนั้น เขาอาจจะไม่ใส่ใจเรื่องราวภายนอก ถึงกระทั่งมีนิสัยแปลกประหลาด หรือไม่ก็มีวิธีการคิดวิเคราะห์ต่างกับคนทั่วไปอย่างพวกเรา แต่คุณหนู เรื่องนี้ล้วนไม่ปกติ”


 


 


 “คิดไม่ถึงว่า เจ้าจะมีไหวพริบเช่นนี้”


 


 


หลินซูเหย่าสีหน้าเคร่งขรึม พยักหน้า


 


 


ก็จริง เสี่ยวจิ่วดูจะเป็นเช่นนั้น


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยปาก “ข้าเคยบอกแล้ว บางคนอาจมีปัญหาด้านนี้ ข้าไปถามท่านหมอ ดูว่าจะจ่ายยาให้เขา ปัญหาด้านนิสัย มียาบางตัวที่ช่วยรักษาได้”


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยจบ ก็ตรงไปที่เรือนหมอ


 


 


           สาวใช้ถูกเจ้านายทำให้อึ้งไป “คุณหนู เขาทำเช่นนี้กับท่าน ท่านยังจะสนใจความเป็นตายของเขาอีก”


 


 


หลินซูเหย่านิ่งไป ในที่สุดก็เอ่ยปากอย่างหนักแน่น “ข้าชอบเขาจากใจจริง ความชอบอย่างตื้นเขินนั้นจะเลิกก็อาจเลิกได้ แต่ชอบจากใจจริงๆ ไม่มีทางหมุนตัวจากไปง่ายๆ ”


 


 


พูดจบแล้ว ฝีเท้าหนักแน่นของนางก็เดินไปทางเรือนของท่านหมอ


 


 


สาวใช้ชะงักงัน ท้ายที่สุดก็ยังเข้าใจ ก็ถูก อย่างไรเสียคุณชายเสี่ยวจิ่วก็เป็นคนโดดเด่นน่ามอง ตอนนางนอนกลางวันยังฝันเห็น เพียงแต่นางรู้ว่าตนเป็นสาวใช้ ไม่คู่ควร ดังนั้นไม่เคยคิดฝัน


 


 


คุณหนูเป็นคุณหนูเจ้าเมือง มีโอกาสแย่งชิงสักครั้ง ไม่ยินยอมปล่อยวางก็เป็นเรื่องปกติ

 

 

 


ตอนที่ 128

 

ตอนที่ 128 ยอมแพ้อาจจะเหมาะกับเจ้ากว่า

 


 


 


หน้าประตูเมืองชายแดน


 


 


เหล่าทหารต่างยืนประจำอยู่ที่ตำแหน่งของตน ล้อมสตรีที่ลอบโจมตีเยี่ยเม่ยเอาไว้


 


 


ในวงล้อม เยี่ยเม่ยกับสตรีนางนั้นกำลังต่อสู้


 


 


พัดในมือเยี่ยเม่ยยังไม่แตกออก อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หรืออาจบอกว่าการประมือกับสตรีเบื้องหน้าในยามนี้ ยังไม่ถึงขั้นที่นางต้องกระจายตัวพัดเพื่อต่อกร


 


 


ทุกกระบวนท่าของสตรีนางนั้น ท้ายที่สุดถูกเยี่ยเม่ยควบคุมไว้ได้ เป็นดั่งที่เยี่ยเม่ยบอกเอาไว้ ขอเพียงมีอีกฝ่ายอยู่ ตัวนางคิดจะฝ่าวงล้อมออกไปได้ยากมาก


 


 


บนกำแพงเมือง


 


 


มีคนสองคนยืนไหล่ชนไหล่ ปีนขึ้นบนกำแพงเมือง มองสถานการณ์การต่อสู้เบื้องล่าง


 


 


คนทั้งสองกลืนน้ำลายโดยพร้อมเพรียง


 


 


คนทั้งสองนี้ก็คือ ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยหันหน้ามอง ซินเยว่เยี่ยน เอ่ยปากว่า “ดีที่ข้าฉลาดพอ มองออกว่าปิงปิงแฝงเจตนาร้าย ไม่อย่างนั้นยามนี้เราสองคน ต่อให้โดดแม่น้ำเหลืองก็ล้างความผิดไม่หมด”


 


 


 “นั่นสิ ดูท่าพวกเราสองคนมอบเงินทั้งหมดให้กับจงรั่วปิง เพื่อแลกเปลี่ยนความสบายใจและความปลอดภัยนั้นคุ้มค่ามาก” ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำตาคลอ


 


 


ความจริงหลังจากมอบเงินทั้งหมดของตนให้กับจงรั่วปิง ในใจนางก็สับสน เจ็บปวด และเสียใจ


 


 


เพราะว่านางเอาเงินที่นำมาด้วยทั้งหมดมอบให้อีกฝ่าย ความหมายก็คือนางเริ่มใช้ชีวิตอย่างไม่มีเงิน ชีวิตที่ไม่มีเงินทองจะรู้สึกอุ่นใจได้อย่างไร


 


 


แต่ยามนี้เห็นจงรั่วปิงออกมาหาเรื่องเยี่ยเม่ยจริงดังคาด ยามนี้นางไม่เสียใจอีกแล้ว อีกทั้งรู้สึกว่าที่ตัวเองทำไปนั้นคุ้มค่ามาก ฉลาดเหลือเกิน ปราดเปรื่องจนแทบขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยคลึงหว่างคิ้วของตน “เจ้าว่าจงรั่วปิงทำไปเพราอะไร นางมีความแค้นกับเยี่ยเม่ยตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


 “ดูจากท่าทางนาง ก็เหมือนเพิ่งถึงชายแดนต้ามั่ว หากบอกว่ามีความแค้น ข้ารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้” ซินเยว่เยี่ยนมอง ซือหม่าหรุ่ย เริ่มวิเคราะห์ตามเหตุผล


 


 


เพราะว่านางได้ฟังว่า เยี่ยเม่ยปรากฏตัวขึ้นที่ชายแดนอย่างกะทันหัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาการกระทำที่กำเริบเสิบสานก็อยู่ที่ชายแดนทั้งสิ้น


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “หรือเมื่อก่อนเคยล่วงเกินกัน”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนส่ายหน้า กลับโพล่งขึ้นว่า “ดูไม่คล้าย ข้ากลับรู้สึกว่า บางทีจงรั่วปิงอาจจะชอบองค์ชายสี่ รู้ว่าวันนี้องค์ชายสี่กับคนที่เรียกว่าเสี่ยวจิ่วต่อยตีกัน เกี่ยวพันกับเยี่ยเม่ย ถึงได้หึงหวง”


 


 


 “นี่ก็เป็นไปไม่ได้ เจ้าลองคิดดู สีหน้าของจงรั่วปิงตอนเดินทาง ก็ไม่ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นนางยังไม่เห็นสองคนนั้นต่อยตีกันด้วยซ้ำ” ซือหม่าหรุ่ยย่นคิ้วโต้แย้ง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยืดบ่าตั้งตรง ส่ายหัว “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็เดาไม่ออกแล้ว เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนพลันฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้


 


 


มองซือหม่าหรุ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “คือว่า…พวกเราสองคนใช่ลืมรายละเอียดสำคัญอะไรบางอย่างไป ไม่สิ ไม่นับว่าเป็นรายละเอียด เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเชียว”


 


 


 “รายละเอียดอะไร” ซือหม่าหรุ่ยมอง ซินเยว่เยี่ยนด้วยแววตาแปลกใจ


 


 


แต่ไม่ช้า สีหน้าของ ซือหม่าหรุ่ยก็เคร่งขรึมลง นางตระหนักอะไรบางอย่างได้ มุมปากกระตุก “ไม่ใช่ล่ะมั้ง…”


 


 


“ดูจะจริง” ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลืนน้ำลาย พลันไม่พูดจา หันหน้ามองลงไปที่ใต้กำแพง “ดูจากเรื่องนี้ พวกเราคงช่วยอะไรไม่ได้ อย่างนั้น…ก็เฝ้าดูเงียบๆ เถอะ”


 


 


 “หวังว่าอย่าได้ถึงชีวิตเลย”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยคำขอของตนออกมาอย่างจริงใจ


 


 


   ……


 


 


สายตาของ จงรั่วปิงยิ่งตื่นเต้นขึ้นทุกที


 


 


เยี่ยเม่ยมองนาง เอ่ยปากเตือนด้วยเสียงเย็นชา “พวกเราต่อสู้กันมานานแล้ว หากเจ้ายังหนีออกไปจากวงล้อมไม่ได้ ข้าเสนอว่า การยอมแพ้เหมาะกับเจ้ามากกว่า”


 


 


คำพูดนี้…


 


 


จงรั่วปิงเดือดดาล


 


 


นางเลิกคิ้วสูงมองเยี่ยเม่ย กระบี่ในมือร่ายรำเข้าหาอีกฝ่ายอย่างดุดัน ไอกระบี่ในมือนางแบ่งเป็นสองส่วน กระบี่ยาวในมือพลันเปลี่ยนไปเป็นกระบี่สองเล่ม


 


 


ที่แท้ในกระบี่ยังซ่อนกลไกไว้ให้แยกออกได้เป็นสองเล่ม


 


 


สายลมพัดชายชุดจงรั่วปิงพลิ้วไหว ผ้าขาวโบกพลิ้ว นำพาซึ่งพลังของจอมยุทธหญิง


 


 


กระบี่สองเล่มในมือจงรั่วปิงพุ่งใส่เยี่ยเม่ยในเวลาเวลาเดียวกัน


 


 


ส่วนกระบวนท่าของนางก็ว่องไวขึ้นมาก ทุกกระบวนท่าแฝงไปด้วยกำลังภายใน ตวาดใส่เยี่ยเม่ยอย่างโกรธเคือง “ไม่ช้าเจ้าจะรู้ว่า การท้าทายข้าเป็นการกระทำที่ไร้ความคิดมากแค่ไหน”


 


 


นางจงรั่วปิงเป็นจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง ไม่อยากถูกคนกล่าวหาว่ารังแกคนไม่มีกำลังภายใน ดังนั้นทุกกระบวนท่าจึงไม่แฝงกำลังภายใน ล้วนเป็นการปะทะกันด้วยความเร็ว และอาวุธ


 


 


คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายจะเป็นศึกที่หน่วงเหนี่ยวไว้ก็ช่างเถอะ ตัวเองยังถูกสตรีนางนี้เยาะเย้ยอีกด้วย


 


 


แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ


 


 


หลังจากนางเริ่มตั้งใจลงมือ เยี่ยเม่ยกลับไม่ลนลาน ทั้งยังยกยิ้มมุมปาก มองจงรั่วปิง “ดีมาก ในที่สุดก็เอาจริงแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะเอาจริงด้วยเช่นกัน”


 


 


จงรั่วปิงพลันอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าตลอดการต่อสู้ คนที่ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด ไม่เพียงแค่ตัวเอง อีกฝ่ายเองก็ ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเช่นกันหรือ


 


 


ในขณะที่นางแปลกใจ


 


 


พัดในมือของเยี่ยเม่ย พลันก่อเกิดลมหมุน แตกออกท่ามกลางอากาศ “พันอิงทลาย”


 


 


ชิ้นส่วนเล็กๆ ราวกลีบดอกอิง รุนแรงคล้ายกับพายุฝนก็ไม่ปาน พุ่งใส่จงรั่วปิง


 


 


ยามนี้จงรั่วปิงตะลึงงัน เดินกำลังภายใน ถอยหลังไปสองเมตรอย่างว่องไว เพื่อหลบหลีกการโจมตีคร่าชีวิต แต่ทว่ายังมีเกล็ดเล็กน้อยจำนวนมาก พุ่งเข้าโจมตีนางจากทั่วสารทิศ


 


 


นางรีบโคจรพลังให้กระบี่สองเล่มในมือนางหมุนควงอย่างรวดเร็ว


 


 


ความเร็วในการหมุนวนคล้ายกับมือของนางปรากฏกงล้อไฟสองอัน ขัดขวางชิ้นส่วนเล็ก ๆ ไว้ด้วยความเร็ว


 


 


เห็นความสามารถขั้นนี้ของนาง สายตาของเยี่ยเม่ยปรากฎแววชื่นชม


 


 


แต่เยี่ยเม่ยหาอ่อนข้อให้เพราะเหตุนี้


 


 


นางยื่นมือออก รับพัดที่หมุนกลับมารวมตัวกลับเป็นพัดสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ยังไม่รอให้จงรั่วปิงทันโต้ตอบ ก็โยนออกไปอีกครั้งหนึ่ง


 


 


 “ร้อยอิงทะลวง”


 


 


คราวนี้ ชิ้นส่วนเล็กๆ มีจำนวนมากกว่าเมื่อครู่มากมายไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด


 


 


จงรั่วปิงในอารามตกตะลึง ยกกระบี่ในมือขึ้นหมุนควงอีกครั้ง ที่น่ากลัวก็คือ การหมุนครั้งนี้กลับขวางชิ้นส่วนเล็กๆ ไม่ได้แล้ว พลังโจมตีของมันมากกว่าเมื่อครู่ประมาณสิบเท่าได้


 


 


ทุกครั้งที่ปะทะกับกระบี่ยาว เกิดเสียงดัง “ปัง”


 


 


ความเร็วของกระบี่หมุนก็ลดลงเพราะเหตุนี้ ดังนั้นชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านั้นก็มุ่งตรงมาที่ตัวนาง


 


 


ใบหน้าเย็นชาของจงรั่วปิงเปลี่ยนไปตะลึงตะลาน


 


 


คิดถอยร่นลงไปก้าวหนึ่ง แต่ไม่ทันการณ์แล้ว พัดชิ้นเล็กพุ่งโจมตีหน้านาง นางถอยจนหมดหนทางถอยได้อีก


 


 


กระบี่หมุนคว้าง ครั้งนี้สกัดการจู่โจมได้แค่สามในสี่ส่วนเท่านั้น ที่เหลืออีกสามสิบกว่าชิ้นพุ่งใส่จงรั่วปิง ก็มีอานุภาพมากพอสร้างความบาดเจ็บให้นางเป็นจำนวนมาก


 


 


จงรั่วปิงหลับตาปี๋ ไม่ดิ้นรน ยืนมั่นอยู่ที่เดิม รอชิ้นส่วนเล็กๆ พวกนั้นพุ่งทะลุร่าง

 

 

 


ตอนที่ 129

 

ตอนที่ 129 ความสามารถที่แท้จริงของเยี่ยเม่ย

 


 


 


แต่…


 


 


หลังจากที่นางปิดตา กลับไม่มีชิ้นส่วนเล็กๆ พุ่งทะลุร่าง


 


 


จงรั่วปิงเปิดตาด้วยความตะลึง


 


 


เห็นก็แต่เยี่ยเม่ยรับพัดรูปร่างสมบูรณ์เล่มหนึ่งกลับเข้ามือ เยี่ยเม่ยมองนางด้วยสายตาเย็นชา ถามนิ่งๆ อีกครั้ง “ยอมแพ้แล้วยัง”


 


 


จงรั่วปิงชะงักงันไปเล็กน้อย กลับตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้ายอมแพ้”


 


 


ในฐานะที่เป็นจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง นางจงรั่วปิงไม่ใช่คนที่แพ้ไม่เป็น ความกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ ก็เป็นความเด็ดเดี่ยวชนิดหนึ่ง


 


 


จงรั่วปิงยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมา กลับทำให้เยี่ยเม่ยมองนางในแง่ดีขึ้นอีกหลายส่วน


 


 


ถัดมา จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย ย่นคิ้วเอ่ยปาก “เจ้าไม่ฆ่าข้า”


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชา “ฆ่าเจ้ามีประโยชน์อะไร อีกทั้งข้ายังไม่รู้สาเหตุที่เจ้าลงมือกับข้าเลยด้วยซ้ำ”


 


 


ความจริงเยี่ยเม่ยไม่ได้ใช้ท่าพิฆาตเลย


 


 


นั่นก็เพราะว่านับตั้งแต่ลงมือ หลังจากอีกฝ่ายเห็นว่านางไม่มีกำลังภายใน อีกฝ่ายก็ตั้งใจรักษาความยุติธรรมของนักสู้ ไม่ใช้กำลังภายในกับตน ยังเป็นคำพูดของตนที่ปลุกระดมอีกฝ่าย


 


 


จากจุดนี้ทำให้เห็นว่า อีกฝ่ายหากมิใช่เพราะมีจิตใจดีงาม ก็มีศักดิ์ศรีของนักสู้ ไม่ว่าจะเป็นข้อใดในสองข้อนี้ ก็มากพอให้เยี่ยเม่ยมีความอดทนฟังสาเหตุที่อีกฝ่ายลงมือกับตนเอง จากนั้นนางค่อยคิดว่าจะสังหารอีกฝ่ายดีหรือไม่


 


 


จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย กลับรู้สึกสนใจ “ทำไม สาเหตุที่สังหารเจ้า มันสำคัญมากอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “ข้าคิดว่า เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วค่อนข้างสำคัญมาก” เยี่ยเม่ยมองจงรั่วปิงอย่างเย็นชา ค่อยเสริมขึ้นอีกประโยค “เพื่อจะเป็นการตัดสินใจว่า ข้าจะปล่อยเจ้าไป หรือสังหารเจ้าทิ้ง”


 


 


คราวนี้ บรรยากาศรอบด้านเย็นเยียบลง


 


 


เยี่ยเม่ยหาใช่คนชอบเข่นฆ่า แต่นางไม่มีทางทิ้งภัยร้ายไว้แก่ตนเองในภายหน้า หากอีกฝ่ายเห็นว่านางเป็นศัตรู เช่นนั้น…


 


 


นางก็จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป


 


 


คำพูดนี้ของเยี่ยเม่ยเรียกได้ว่าโอหังเป็นอย่างมาก ทำให้ศักดิ์ศรีของจงรั่วปิงจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่งเกือบรักษาไว้ไม่ได้แล้ว นางเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้”


 


 


เมื่อเห็นจงรั่วปิงอารมณ์ตกต่ำถึงขั้นนี้ เยี่ยเม่ยเอ่ยคำปลอบด้วยเสียงเย็นชาอย่างหาได้ยาก ทั้งยังเป็นความเลื่อมใสขั้นพื้นฐานที่มีต่อนักสู้ “เจ้าไม่ต้องโศกเศร้าไป ความจริงแล้ว คนที่ทำให้ข้าใช้กระบวนท่าต่อเนื่องได้ มีเจ้าเป็นคนแรก”


 


 


พลังฝีมือของจงรั่วปิง ย่อมอ่อนด้อยจริงๆ


 


 


มายุคโบราณนานถึงขนาดนี้ ครั้งก่อนยามประมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใช้กระบวนท่าพันอิงผลิบานจนกระทั่งถึงข้อกำหนดการประลองที่สามกระบวนท่า ดังนั้นยังไม่ได้ใช้ร้อยอิงทะลวง


 


 


ส่วนการประมือกับคนอื่น หากไม่ใช้ร้อยอิงทะลวง ก็ใช้พันอิงผลิบาน รวมถึงในยุคปัจจุบัน หลายปีที่ผ่านมา ต่อให้ใช้ทั้งสองกระบวนท่า ปกตินางมักใช้ออกทีละท่า ไม่เคยใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง ดังนั้นความสามารถที่แท้จริงของนางมีมากเท่าไหร่ แม้แต่พวกลูกพี่กับเยาเนี่ยก็ยังไม่รู้ชัดเจน


 


 


วันนี้เป็นครั้งแรกที่ใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง นั่นก็เพราะจงรั่วปิงมีความสามารถทำให้นางปล่อยออกมาจริงๆ


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ จงรั่วปิงกลับเอ่ยปาก “คำพูดนี้เป็นจริงหรือ”


 


 


วันนี้จงรั่วปิงถูกจู่โจมไม่น้อย เห็นการประมือกันระหว่าง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุน ก็สงสัยในพลังยุทธ์ของตนอย่างรุนแรงแล้ว ยามนี้พ่ายแพ้ต่อเยี่ยเม่ยอีก จิตใจได้รับความกระทบกระเทือนจนดำดิ่ง


 


 


คำพูดของเยี่ยเม่ยแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ตัวนางเองก็เป็นยอดฝีมือ เพียงแต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสามคนนี้เท่านั้นเอง


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า วิจารณ์ว่า “ไม่เลว อย่างน้อย เจ้าไม่มีทางแพ้ให้กับเป่ยเฉินเสียง


 


 


ฝีมือของเป่ยเฉินเสียง ความจริงมิได้ต่ำต้อย นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ เพียงแต่ต่อหน้าเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่อาจแสดงความเข้มแข็งออกมาก็เท่านั้น 


 


 


ทันทีที่เยี่ยเม่ยเอ่ยถึงเป่ยเฉินเสียง จงรั่วปิงพลันเกิดความเดือดดาลขึ้นมาทันที


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ทันเห็นความเปลี่ยนทางสีหน้าอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยปากว่า “เอาล่ะ เจ้าพูดได้หรือยัง สาเหตุอะไรที่ทำให้เจ้าลงมือกับข้า”


 


 


 “เจ้าตอบคำถามข้อหนึ่งมาก่อน” จงรั่วปิงจ้องเยี่ยเม่ย


 


 


ส่วนในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นซินเยว่เยี่ยนหรือซือหม่าหรุ่ยบนกำแพง หรือจะเป็นเหล่าทหารด้านล่างกำแพง ยามนี้ต่างมีสีหน้าอึ้งไป


 


 


พวกเขารู้มาตลอดว่า เยี่ยเม่ยร้ายกาจมาก แต่เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยใช้กระบวนท่าต่อเนื่อง พวกเขามองเห็นเป็นครั้งแรก ฝีมืองดงามหมดจดมาก ทั้งยังทรงพลังเข้มแข็งมาก  คนทั้งหมดตกอยู่ในความตะลึง จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้สติ


 


 


เยี่ยเม่ยมองจงรั่วปิง นางลังเลสักครู่ แต่ยังพยักหน้า “เจ้าถามมา”


 


 


จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “สองกระบวนท่าเมื่อครู่ เจ้าใช้กำลังทั้งหมดแล้วหรือไม่”


 


 


ถามเช่นนี้ คนทั้งหมดในที่นี้ต่างเงี่ยหูตั้งใจฟัง


 


 


ความจริงพวกเขาก็อยากรู้ความสามารถของเยี่ยเม่ยว่ามีเท่าไหร่ กระบวนท่าต่อเนื่องเมื่อครู่ก็ร้ายแรงมากแล้ว ก็น่าจะเรียกว่ากำลังทั้งหมดแล้วกระมัง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยไม่ใช่คนเข้าใจวิทยายุทธมาก แต่ก็มองความร้ายกาจของเยี่ยเม่ยออก นางหันกลับไปมอง ซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง กระซิบกระซาบถามว่า “เจ้าว่าเจ้าเอาชนะ เยี่ยเม่ยได้หรือเปล่า”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนค่อยๆ ยื่นปากเข้าใกล้หูของซือหม่าหรุ่ย  ใช้เสียงดังตะเบ็งออกไปว่า “สู้ไม่ได้”


 


 


เสียงดังนั้นแทบทำซือหม่าหรุ่ยหูตึงแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองอีกฝ่ายด้วยความอึ้ง “สู้ไม่ได้ก็ไม่ต้องสู้ เจ้าจะแตกตื่นไปทำไม”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนส่งสายตาไม่พอใจมองซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “ความสามารถของข้ากับจงรั่วปิงไม่ต่างกันมาก เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ เจ้าถามออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่ทำให้ข้ากระอักกระอ่วนใจหรือไง”


 


 


 “อ้อ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเก่งกาจกว่าจงรั่วปิงมาโดยตลอด” ซือหม่าหรุ่ยหน้าตาผิดหวัง


 


 


ยามนี้ซินเยว่เยี่ยนรู้สึกได้รับบาดเจ็บ ลุกขึ้นมา เตรียมจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับซือหม่าหรุ่ย


 


 


ส่วนในเวลานี้เอง เยี่ยเม่ยเงยหน้า ส่งสายตามองบนกำแพง การเคลื่อนไหวและเสียงดังเช่นนี้ นางไม่อยากสังเกตแต่ก็เห็นได้


 


 


ซินเยว่เยี่ยนสีหน้าแข็งไปในทันที มองเยี่ยเม่ยอย่างกระอักกระอ่วน


 


 


        บนกำแพงเมือง ซือหม่าหรุ่ยที่เบิกตากว้างมองลงมาด้านล่าง ก็ยิ้มอย่างอึดอัด ลุกขึ้นมา


 


 


….


 


 


จากนั้นทั้งสองคนที่ส่ายหน้าโบกมือพร้อมเพรียง “พวกเราไม่รู้อะไรทั้งนั้น พวกเราแค่ตามมาชมความสนุก”


 


 


ทั้งสองคนทำท่าทางราวกับไม่เกี่ยวข้องใด ก่อให้เกิดความสงสัยในใจของเยี่ยเม่ย แต่สุดท้ายหญิงสาวไม่พูดอะไร หันหน้ามองจงรั่วปิง


 


 


จงรั่วปิงถลึงตาใส่คนทั้งสอง ยามที่ตนถูกทิ้งไว้นอกกำแพงเมือง นางก็รู้แล้วว่าสองคนนั้นไร้คุณธรรม ตอนนี้เห็นสองคนปัดความสัมพันธ์ชัดเจน นางก็ไม่แปลกใจ


 


 


จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย ถามอีกครั้ง “ตอบคำถามข้าได้หรือยัง นี่คือ…กำลังทั้งหมดของเจ้าแล้วหรือยัง”


 


 


นางอยากรู้ว่า สตรีเบื้องหน้าตนในยามนี้ร้ายกาจถึงขั้นไหน


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ลีลา เอ่ยปากตรงๆ ว่า “ข้าอยากบอกว่า เพราะว่าเห็นแก่หน้าเจ้าแล้ว ข้าตอบเช่นนี้เจ้าคงสบายใจมากขึ้น แต่ว่าข้า ไม่ชอบโกหก ความจริง…คือยัง นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสามของความสามารถข้าเลย”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยตอบเช่นนี้ จงรั่วปิงพลันไม่ส่งเสียง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับ ซินเยว่เยี่ยนบนกำแพงที่พยายามตัดความสัมพันธ์อย่างสุดกำลัง ยามนี้ตกตะลึงจนลืมหายใจ


 


 


เหล่าทหารกลับสูดลมหายใจลึก มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ความสามารถของแม่นางเยี่ยเม่ย ดูท่าทางจะบีบคั้นองค์ชายสี่ได้จริงๆ แล้ว…


 


 


เมื่อเห็นท่าทางสะเทือนใจของจงรั่วปิง เยี่ยเม่ยก็ไม่ค้าน เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เอาล่ะ ข้าว่าข้าแสดงออกอย่างอดทนมากพอแล้ว ทั้งยังจริงใจกับคนที่คิดข้าฆ่า ดังนั้น เจ้าตอบคำถามข้าได้แล้วหรือยัง สาเหตุที่เจ้าลงมือคือ”

 

 

 


ตอนที่ 130

 

ตอนที่ 130 ใต้หล้านี้มีแต่บุรุษที่ตามปรนนิบัติเอาใจข้า

 


 


 


 “เพราะเป่ยเฉินเสียง”


 


 


จงรั่วปิงตรงไปตรงมายิ่ง โพล่งชื่อคนผู้หนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


หลังจากเปล่งเสียงออก ก็เห็นเยี่ยเม่ยเลิกคิ้วมองตน ใบหน้าของจงรั่วปิงเผยความไม่เป็นตัวของตัวเอง เอ่ยปาก “ข้าคือจงรั่วปิง บุตรสาวของต้าซือคง[1] และยังเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง เขาคือคู่หมั้นของข้า ตอนข้าเดินทาง ได้ยินว่าเจ้าเกือบเอาชีวิตเขา ดังนั้น…”


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ จงรั่วปิงเสริมขึ้นอีกประโยค “แต่ข้าไม่คิดเอาชีวิตเจ้า ก็แค่อยากสั่งสอนเจ้าสักที อย่างไรเสียครั้งนี้ องค์ชายใหญ่เสียหน้าที่ชายแดน ตระกูลจงของข้าก็เสียหน้าเช่นกัน”


 


 


เมื่อนางตอบ ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนบนกำแพงก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน


 


 


พวกนางรู้อยู่แล้ว เป็นดังคาดจริงๆ


 


 


จงรั่วปิงต่างจากเหล่าคุณหนูใหญ่ที่ถูกเลี้ยงในห้องหอ นับตั้งแต่เล็กนางร่างกายอ่อนแอ ถึงได้ถูกส่งขึ้นเขาไปฝึกวิชาเพื่อรักษาสุขภาพ สุดท้ายก็กลายเป็นจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง ก็เพราะเหตุนี้ถึงได้รู้จักกับนางทั้งสองคน


 


 


พวกนางเล่นเป็นเพื่อนกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ลืมฐานะเดิมของอีกฝ่ายไปแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว มองสตรีเบื้องหน้า เอ่ยปากเสียงเย็น “ข้าทำร้ายคู่หมั้นของเจ้าหรือ อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรู้ว่า ข้ากับคู่หมั้นของเจ้าพบหน้ากันครั้งแรก คนขับรถม้าใต้บัญชาของเขาเกือบชนข้าแล้ว ซ้ำยังดูถูกข้า ทั้งยังคิดสั่งสอนข้าด้วย”


 


 


 “เจ้าพูดว่าอะไรนะ” จงรั่วปิงตะลึงไปชั่ววูบ


 


 


เยี่ยเม่ยมองจงรั่วปิงตะลึง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องราว


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “นอกจากเรื่องนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า หลังจากคู่หมั้นของเจ้าเดินทางมาชายแดน เฝ้าเป็นปรปักษ์กับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่หยุดยั้งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมอบตราพยัคฆ์ให้ข้า ก็คิดหลอกเอาตราพยัคฆ์ไป ข้าไม่ได้ทำอะไรเขา เขากลับแอบลงมืออยู่เบื้องหลัง เกือบทำให้แผนการจัดการต้ามั่วของข้าเกือบพลิกผัน”


 


 


 “ข้า…” จงรั่วปิงย่นคิ้ว สีหน้าปรากฏความไม่เห็นด้วย กอปรด้วยความเดือดดาล “ความหมายของเจ้าคือ เขาถึงกับไม่สนใจความปลอดภัยของบ้านเมือง ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา”


 


 


ถึงนางจงรั่วปิงจะไม่มีความรู้สึกล้ำลึกอะไรกับราชสำนักเป่ยเฉิน แต่ว่าคุณธรรมพื้นฐาน นางก็ยังคงยืนหยัดรักษาไว้


 


 


คำพูดนี้ เยี่ยเม่ยไม่ตอบกลับ เพียงแต่เงยหน้ามองทหารด้านหลังตน “เจ้าไปถามพวกเขาคนไหนสักคนก็ได้ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะตอบคำถามเจ้าได้”


 


 


ทหารผู้หนึ่งมองซ้ายมองขวา ก้าวออกมาด้วยความกล้าหาญ เอ่ยปากกับจงรั่วปิง “ถูกแล้ว แม่นาง ไม่ใช่แค่นี้ ตอนที่แม่นางเยี่ยเม่ยนำพวกเราต่อสู้ ระหว่างทางกลับ ถูกคนขององค์ชายใหญ่ซุ่มโจมตี เพราะเช่นนี้ องค์ชายสี่ถึงโมโหมาก สั่งสอนองค์ชายใหญ่ ความจริงคนที่ลงมือคือองค์ชายสี่ ไม่ใช่แม่นางเยี่ยเม่ย”   


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองนางด้วยความเย็นชา น้ำเสียงเย็นชา “ดังนั้นเจ้าก็รู้แล้วสิ ความจริงของเรื่องก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าคิดแก้แค้นให้คู่หมั้น ก็ไม่สมควรมาหาข้า ไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงจะถูก หรือแม่นางท่านนี้คิดว่า จะบีบลูกพลับต้องเลือกลูกที่อ่อน สู้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ ถึงมาระบายอารมณ์กับข้าหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ กลับไม่โยนความผิดไปให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากท่าทางของคนเป่ยเฉินมีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางมั่นใจว่า จงรั่วปิงไม่กล้าไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแน่


 


 


 


 


 


 


 


 


เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนี้ จงรั่วปิงก็ไม่พอใจแล้ว โบกมือเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านเข้าใจผิดแล้ว หากข้าจงรั่วปิงไม่กล้าลงมือกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพราะสู้เขาไม่ได้ ก็คงไม่ลงมาเกลือกกลั้วกับน้ำคร่ำนี้ ไม่ใช่เพราะสู้เขาไม่ได้ ก็ระบายอารมณ์กับคนรอบข้าง ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น เพียงแต่ข้าได้ฟังว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า จึง…”  


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยกลับเกิดความสนใจ เอ่ยถาม “ไม่รู้เจ้าฟังใครมา”


 


 


 “ซือถูเฉียง” จงรั่วปิงตอบทันที “ซือถูเฉียงเป็นเพื่อนสมัยเด็กของข้า ภายหลังข้าขึ้นเขาฝึกวิชา ก็พบนางน้อยลง ตอนนั้นฮองเฮาประสงค์ให้ ซือถูเฉียงเป็นพระชายาองค์ชายใหญ่ แต่เพราะซือถูเฉียงชอบองค์ชายสี่ ดังนั้นการประทานสมรสถึงตกใส่ข้า ระหว่างทางที่ข้าเดินทาง ได้พบสองพี่น้องซือถูเฉียง เป็นนางที่เล่าให้ข้าฟัง”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เสียงเย็นชา “อย่างนั้นก็ไม่แปลกแล้ว”


 


 


 “ไม่แปลกอย่างไร” จงรั่วปิงไม่รู้ว่าไฉนเยี่ยเม่ยถึงเอ่ยเช่นนี้


 


 


สิ้นเสียงนาง คนทั้งสองบนกำแพง ถึงได้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยน รีบลงจากกำแพงอย่างรีบร้อน เดินมาเบื้องหน้าจงรั่วปิง  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยไม่เอ่ยมากความ เอ่ยปากตรงไปตรงมา “คำพูดของนางแพศยาไม่อาจเชื่อ นางชอบองค์ชายสี่ แต่ว่าองค์ชายสี่มีใจให้แม่นางเยี่ยเม่ย เพราะพวกเขาสองพี่น้องไล่สังหารแม่นางเยี่ยเม่ย องค์ชายสี่ถึงจำต้องเอาชีวิตเขา พวกเขารีบหนีเอาชีวิตรอดกลับเมืองหลวง เจ้าว่าหากเพราะสาเหตุนี้ คำพูดที่ออกจากปากพวกเขาจะเป็นคำพูดดีๆ ได้อย่างไร”


 


 


 “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ” จงรั่วปิงแทบไม่อยากเชื่อคำพูดที่ตนเองได้ฟัง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกลอกตามองนาง “ข้ายังจะหลอกเจ้าอีกเหรอ คนเราเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าก็บอกแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเจ้าพบซือถูเฉียงน้อยครั้ง นางเป็นอย่างไรเจ้าจะรู้หรือ จิตใจคนเปลี่ยนแปลง คำพูดคนตั้งมากมาย เจ้าล้วนไม่เชื่อ เจ้าเชื่อนางคนเดียว ไม่ไร้เหตุผลเกินไปหรืออย่างไร”


 


 


คำพูดนี้ พลันทำให้ จงรั่วปิงย่นคิ้ว “เจ้าพูดก็ถูก”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนตบบ่าจงรั่วปิง “เจ้าก็จริงๆ เชียว หากเป็นเพราะเรื่องนี้ ระหว่างทางไฉนถึงไม่ถามพวกเรา เจ้าไม่ยอมพูดอะไร พวกข้าเห็นท่าทางโหดเ**้ยมของเจ้า กลัวว่าเจ้าจะเกิดเรื่องถึงได้ทิ้งเจ้าไว้นอกกำแพง หากเจ้าเอ่ยชัดเจนตั้งแต่เรก ก็ไม่มีการเข้าใจผิดแล้ว”


 


 


จงรั่วปิงมองเยี่ยเม่ย “ข้ารู้ว่าข้าทำร้ายเจ้าโดยไร้เหตุผล เป็นปัญหาของข้า พวกเราคุยกันชัดเจนแล้ว เจ้าอยากฆ่าข้าก็ยอม แต่มีคำพูดหนึ่ง ข้าอยากให้เจ้ารับรอง ซือถูเฉียงบอกว่าเจ้ายั่วยวนองค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่คร้านจะใส่ใจเจ้า คำพูดนี้จริงหรือไม่”


 


 


 “หืม…” ซือหม่าหรุ่ยเป็นคนแรกที่จนคำพูด “เจ้าถูกปลุกปั่นจนไร้สติไปแล้วจริงๆ เจ้าลองคิดดู หากนางยั่วยวนองค์ชายใหญ่จริง ไฉนต้องสั่งสอนองค์ชายใหญ่จนกลับไปเช่นนั้น”


 


 


 “นี่…” จงรั่วปิงชะงักงัน “นั่นไม่ใช่เพราะองค์ชายใหญ่ไม่สนใจ นางถึงได้เดือดดาลหรอกหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยมองนางด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยปากว่า “แม่นางท่านนี้ เจ้าเชื่อคำพูดนี้ นั่นก็เพราะเจ้าไม่เข้าใจข้าดีพอ ข้ารูปโฉมล่มเมือง ยากหาได้อีกเป็นคนที่สอง ใต้หล้านี้มีแต่บุรุษที่คอยตามเอาใจปรนนิบัติข้า ไม่มีทางที่ข้าจะเข้าไปยั่วยวนใคร อย่างไรเสียข้าก็เพียบพร้อมมาก พวกเขาต่างรับเอาไว้ไม่ไหว”


 


 


ทุกคน “…”อืม เมื่อเห็นเยี่ยเม่ย เอ่ยคำพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ดูท่านางจะคิดเช่นนี้จริงๆ


 


 


มุมปากจงรั่วปิงกระตุกขึ้นเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าตัวเองก็มีความมั่นใจมากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีคนแบบเยี่ยเม่ยเช่นนี้ แบบนี้ไม่เรียกว่าหลงตัวเองหรอกหรือ


 


 


ไม่ช้า เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเย็นชาอีกว่า “ข้าไม่มีความสนใจในตัวเขา กลับเป็นเขาที่เสนอตัวรับข้าเป็นชายารองตั้งแต่ครั้งแรกที่พบข้า ข้าปฏิเสธไปแล้ว”


 


 


 


 


[1] หนึ่งในตำแหน่งขุนนาง 



 

 

 


ตอนที่ 131

 

ตอนที่ 131 ไม่ดีแล้ว จิ่วหุนหนีออกจากบ้าน (1)

 


 


 


 


 “อะไรนะ” น้ำเสียงของจงรั่วปิงสูงขึ้น 


 


 


จ้องเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อ เอ่ยถาม “ความหมายของเจ้าคือ เป่ยเฉินเสียงคิดรับเจ้าเป็นพระชายารองแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า จากนั้นสีหน้าไม่คัดค้าน “ข้าไม่สนใจ บุรุษที่คิดเองเออเองหลงตัวเองเกินเหตุเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าเข้าใจหรือยัง” 


 


 


 “ไอ้เจ้าคนตาบอดนี่มันอะไรกัน” จงรั่วปิงเกิดโทสะแล้ว 


 


 


คำสบถหยาบคายทำเอาคนทั้งหมดในที่นี้ต่างกระตุกมุมปาก 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนยังนับว่าเข้าใจอีกฝ่าย ถึงแม้นางเป็นคุณหนูมีสกุล แต่ว่าออกท่องยุทธภพเป็นเวลานาน หลังจากมีน้ำโหแล้ว เอ่ยวาจาหยาบคาย…ได้คล่องปากนัก 


 


 


ยามนี้จงรั่วปิงด่าว่า “เป่ยเฉินเสียง ตาเขาไปงอกอยู่ที่ก้นแล้วหรือไง ข้าจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่งเป็นพระชายา ยังอยู่ที่นี่ไม่ทันแต่งเข้าตระกูล เขาคิดรับพระชายารองแล้วหรือ เขาจะเอาศักดิ์ศรีข้าไปทิ้งไว้ที่ไหน ข้าจงรั่วปิงเป็นสตรีที่พร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ เขากล้าทำเช่นนี้กับข้าเชียว”   


 


 


เยี่ยเม่ยหางตากระตุก ดูท่าสตรีเบื้องหน้านาง ก็เป็นคนมั่นใจในตัวเอง  


 


 


เหล่าบุรุษจำนวนไม่น้อยในเหตุการณ์ ยื่นมือออกมากุมหน้ากันเป็นแถว พวกเขาใครก็คิดไม่ถึงว่า แม่นางจงที่รูปโฉมน่าชมราวกับนางฟ้า จะเอ่ยคำด่าพวกนี้ออกมาได้ 


 


 


พวกเขา…เลื่อมใสนัก 


 


 


เห็นจงรั่วปิงโมโหจนทนไม่ไหว ซือหม่าหรุ่ยใช้ศอกระทุ้ง “ใจเย็น ใจเย็นก่อน อย่าได้แตกตื่นไปนัก ภาพลักษณ์ ระวังภาพลักษณ์” 


 


 


 “ภาพลักษณ์เหลวไหล ข้าจะถอนหมั้น” จงรั่วปิงรีบพ่นคำออกมาทันที 


 


 


ไม่ช้า นางก็มองเยี่ยเม่ย “เจ้าว่ามาเถอะ เจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไร จะตีหรือจะฆ่า” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบเบือนหน้ามองเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด แล้วเป็นซือถูเฉียงแทรกกลางยุแยง จงรั่วปิงรู้ความจริง ไม่สู้ปล่อยไปเถอะนะ”  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเองก็พยักหน้า “จริงด้วย หากฆ่าปิงปิงจริง นั่นไม่เท่ากับตกหลุมพรางของนางแพศยาซือถูเฉียงแล้ว” 


 


 


คำพูดนี้มีเหตุผลไม่น้อย 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า สายตาที่มองจงรั่วปิงไม่นับว่าเป็นมิตร แต่ก็ทอนความเย็นชาลง “เดิมทีไร้เรื่องราว ล้วนเป็นเพราะปากคนคอยยุยง คนเราควรแยกแยะเหตุผล ก็สามารถเข้าใจเรื่องเท็จจริง ผู้อื่นเอ่ยอะไรก็เชื่อเช่นนั้น ผลลัพธ์ของความมีจิตใจดีงามและความเชื่อ ทำให้เจ้าสูญเสียความเยือกเย็น หุนหันเกินเหตุ สุดท้ายก็เป็นแค่อาวุธของผู้อื่น หวังว่าแม่นางจงจะจดจำคำพูดของข้าในวันนี้ให้ดี” 


 


 


คราวนี้ คนอื่นๆ ในเหตุการณ์ต่างพยักหน้า 


 


 


จริงด้วย เรื่องราวมากมายบนโลก ล้วนถูกปลุกระดมขึ้นมา เพราะจงรั่วปิงเชื่อซือถูเฉียงมาเกินไปถึงถูกหลอกใช้ 


 


 


หลังจากจงรั่วปิงฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ก็พยักหน้า สูดลมหายใจลึก ถามกลับ “ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย ตัดสินได้อย่างไรว่าข้ามีจิตใจดี” 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยปากโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว “ง่ายมาก คนเจ้าเล่ห์ มองผู้อื่นย่อมคิดว่าเจ้าเล่ห์ ถึงต้องระแวงสงสัย ส่วนคนมีเมตตา จิตใจดีงาม มองผู้อื่นว่าจิตใจดีงาม ดันนั้นใครพูดอะไรก็เชื่อ ง่ายๆ เท่านี้เอง” 


 


 


ความจริงแล้วคนถูกหลอกได้ง่าย หลายๆ ครั้งไม่เกี่ยวกับความโง่เขลา กลับเป็นเพราะจิตใจดีมากเกินไป 


 


 


จงรั่วปิงได้ยินดังนี้ กลับถามเยี่ยเม่ยอีกประโยค “อย่างนั้นไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย คิดว่าตนเองเป็นคนเจ้าเล่ห์ หรือเป็นคนมีจิตใจดีงามกันเล่า”    


 


 


 “สำหรับพวกเจ้าเล่ห์ข้าก็เจ้าเล่ห์ สำหรับคนดีข้าก็ดีด้วย” เยี่ยเม่ยตอบทันควัน สรุปอีกว่า “ต้องดูว่าจะจัดการเรื่องราวอย่างไร อย่างแรกต้องรู้จักมองคน” 


 


 


จงรั่วปิงประสานมือ “ได้รับการชี้แนะแล้ว” 


 


 


คราวนี้ นางเลื่อมใสจากใจ 


 


 


คำพูดนี้ไม่ผิด อย่างแรกต้องเรียนรู้การมองคน รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร รู้ว่าอีกฝ่ายโฉดชั่วหรือว่าจิตใจดี ถึงจะรู้ว่าควรใช้วิธีการโฉดชั่ว หรือวิธีการดีงามเพื่อรับมือ 


 


 


           เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางเลื่อมใสของจงรั่วปิง ก็รู้ยามนี้อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายต่อตนเองอีกแล้ว 


 


 


มีศัตรูมากขึ้นคนหนึ่งไม่สู้มีสหายเพิ่มขึ้นคนหนึ่ง ด้วยนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไปเถอะ หากยังมีครั้งหน้า ข้าไม่ใจกว้างอีกแล้ว” 


 


 


จงรั่วปิงพยักหน้า “ความผิดพลาดเช่นเดิม ข้าไม่มีทางทำผิดเป็นครั้งที่สอง หากผิดครั้งที่สอง นั่นไม่เรียกว่าจิตใจดีแล้วแต่นั่นคือโง่เขลา ยังมีอีก แม่นางเยี่ยเม่ย หากเจ้าและข้าต่างเป็นบุรุษ หากมีสักวันที่ต้องการแย่งชิงอำนาจ อาศัยสติปัญญาและความกล้าแกร่งของเจ้า ข้าจะต้องติดตามจนตัวตายอย่างแน่นอน” 


 


 


คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง มองอีกฝ่าย “เหตุไฉนต้องแบ่งแยกเพศด้วยเล่า สตรีขอเพียงมีความพยายาม ต้องมีสักวันที่จะทำลายการยึดติดเรื่องเพศไปด้วย พิสูจน์ว่าตัวเองไม่ด้อยกว่าบุรุษ ร่วมมือกับสตรีทั่วหล้า ผงาดค้ำแผ่นดินขึ้นมาได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาจงรั่วปิงพลันวาวโรจน์ 


 


 


พูดตามจริง หลายปีที่ผ่านมาจงรั่วปิงรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมช่างไม่ยุติธรรม ไฉนมีเพียงบุรุษถึงได้เป็นขุนนาง ไฉนทุกอย่างมักมีแต่บุรุษเป็นผู้พูด ไฉนฮ่องเต้ถึงต้องเป็นบุรุษ  


 


 


แต่ความคิดเช่นนี้ของนาง ไม่ว่าจะบอกใคร อีกฝ่ายต่างรู้สึกว่านางทำผิดศีลธรรมจรรยา คิดไม่ถึงว่าจากปากคนที่นางเห็นว่าเป็นศัตรู กลับได้คำตอบที่แตกต่างออกไป 


 


 


จงรั่วปิงประสานมือ “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าต้องไปแล้ว เพราะว่าสิ่งแรกที่ข้าจะทำทันทีก็คือกลับเมืองหลวงไปถอนหมั้น ภายหน้าหากมีโอกาส หวังว่าจะได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับเจ้า” 


 


 


 “เชิญ” เยี่ยเม่ยพยักหน้า สีหน้าเย็นชาดังเก่า 


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกได้อย่างหนึ่ง ภายหน้าจงรั่วปิงจะมีความคิดเช่นเดียวกับนางไม่น้อย 


 


 


ในยามนี้เยี่ยเม่ยและจงรั่วปิง ใครก็ต่างคิดไม่ถึงว่า อนาคตยามที่เยี่ยเม่ยทำศึก จงรั่วปิงจะคอยติดตามอยู่ด้านหลังจริงๆ 


 


 


เมื่อเห็นท่าทีของจงรั่วปิงเปลี่ยนไปอย่างกลับตาลปัตร เห็นเยี่ยเม่ยไม่คิดสังหารคนอีก ซินเยว่เยี่ยนกับซือหม่าหรุ่ยพลันคลายใจ 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ข้าว่านะปิงปิง เจ้าชอบองค์ชายใหญ่ขนาดนั้นจริงหรือ ข้าได้ยินว่าเขาโมโหมาก เตรียมกลับมาหาเรื่องในไม่ช้า” 


 


 


 “เพ้ย” จงรั่วปิงรีบร้องออกมา “ข้าเห็นเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยังไม่ทันจะได้พูดคุยสักประโยค ความรักมีจากไหนกัน เพียงแต่คนทั่วหล้ารู้ว่าเขาคือคู่หมั้นของข้า ข้าทำไปเพื่อศักดิ์ศรีของตัวเองก็พอแล้ว ในเมื่อเขาไม่เคารพข้า ข้ายังไม่ทันแต่งเข้า ก็คิดรับพระชายารองแล้ว ข้ามีคู่หมั้นพรรค์นี้จะมีประโยชน์อันใด ขอตัว” 


 


 


เห็นนางจากไปด้วยความโมโหโทโส ท่าทางมุ่งกลับไปเอาเรื่องที่เมืองหลวง 


 


 


เยี่ยเม่ยมองซือหม่าหรุ่ย ถามว่า “ในที่นี้หากยังไม่แต่งภรรยาเอก แต่งภรรยารองก่อนเป็นเรื่องร้ายแรงมากเหรอ” 


 


 


 “อืม จะว่าร้ายแรงก็ร้ายแรง บอกว่าไม่ร้ายแรงก็ไม่ร้ายแรง” ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “ความจริงเรื่องมีอยู่บ่อยครั้ง แต่ยากที่จะไม่ให้เข้าใจว่า ให้เกียรติภรรยาเอกหรือว่าสามีรักภรรยารองมากกว่า ปิงปิงรักศักดิ์ศรีขนาดนี้ ต้องทนรับไม่ได้ เพียงแต่อย่างไรก็เป็นการแต่งงานของราชนิกุล ไม่ใช่อยากถอนหมั้นก็ถอนหมั้นได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้าเอ่ย “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


ดังนั้น นางสมควรตักเตือนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสักหน่อยหรือไม่ อย่าได้เล่นลูกไม้อะไรลับหลัง ทำเรื่องให้นางต้องเสียหน้า  


 


 


อืม เดี๋ยวก่อน นางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูคล้ายจะไม่มีความสัมพันธ์อันใดกันนะ  


 


 


ในขณะที่ใช้ความคิด พลันมีบ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้าหาเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ดีแล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วหนีออกจากบ้านไปแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 132

 

ตอนที่ 132 ไม่ดีแล้ว คุณชายจิ่วหนีออกจากบ้าน (2)

 


 


 


 


 “อะไรนะ” 


 


 


นี่มันเรื่องอะไรกัน 


 


 


คนทั้งหมดอึ้งไปเล็กน้อย 


 


 


เยี่ยเม่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ รู้สึกกลัดกลุ้มบ้าง เลิกคิ้วสูง “เจ้ากำลังพูดอะไร เจ้ามั่นใจหรือ” 


 


 


จิ่วหุนเด็กคนนั้น… 


 


 


มุมปากของบ่าวผู้นั้นก็กระตุกเล็กน้อย 


 


 


รีบพยักหน้า “ขอรับ เป็นความจริง ตอนที่ข้าน้อยพบเรื่อง ก็ตกใจเช่นกัน” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยน ไม่พูดมากความยกสองมือกุมหน้า  


 


 


ไม่ต้องคิดเลย พวกนางต่างรู้ว่าเพราะอะไร 


 


 


นี่ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเหรอ ตอนนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนร่วมหัวกับคนมากมาย เยี่ยเม่ยหลงคิดว่าคนที่บาดเจ็บคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  ได้ฟังแล้วยังวิ่งไปดูแลเขาอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน 


 


 


ส่วนจิ่วหุนคนที่พ่ายแพ้จริงๆ ย่อมน้อยใจแย่แล้ว หากบอกว่าหนีออกจากบ้าน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก  


 


 


เดี๋ยวก่อน ไฉนทำตัวเหมือนเด็กเช่นนั้น บอกว่าจะหนีออกจากบ้าน ก็หนีออกจากบ้านแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยมองคนผู้นั้นทีหนึ่ง ย่นคิ้ว “เจ้าเห็นแล้วหรือ เจ้าเห็นเขาออกไปอย่างนั้นเหรอ” 


 


 


 “ไม่…” บ่าวส่ายหน้า มอบจดหมายในมือให้เยี่ยเม่ย “ข้าน้อยไม่เห็นตอนเขาจากไป เห็นแต่ในห้องเขาทิ้งของสิ่งนี้ไว้ จากนั้นไปที่ไหนก็ไม่เห็นเขาอีก ดังนั้นข้าน้อยถึงคิดว่า เขาหนีออกจากบ้าน” 


 


 


เยี่ยเม่ยยื่นมือออกมาด้วยความสงสัย รับจดหมายจากบ่าวมา 


 


 


เมื่อเปิดออก ขณะที่จะดู  


 


 


ส่วนเวลานี้ในค่ายหทาร เหล่าแม่ทัพจำนวนไม่น้อยกำลังหลับอยู่ ได้ยินข่าวนี้ ก็ลุกขึ้นมา สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบวิ่งออกมา 


 


 


คนแรกที่ออกมาเป็นคนแรกก็คือเซียวเยว่ชิง “อะไร อะไรนะ คุณชายเสี่ยวจิ่วหนีออกจากบ้านแล้ว” 


 


 


ในฐานะที่เป็นคนบอกข่าวที่องค์ชายสี่บาดเจ็บกับแม่นางเยี่ยเม่ย ทันทีที่เซียวเยว่ชิงฟังเรื่องนี้ ก็นอนไม่หลับ รู้สึกว่าตนเองไม่ต้องแบกความรับผิดชอบที่ไม่อาจผลักไสไปได้ 


 


 


หลูเซียงฮั่วติดตามออกมาอย่างรีบร้อนเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น จากไปแล้วจริงๆ หรือ” 


 


 


จดหมายในมือเยี่ยเม่ยยังไม่ทันเปิดออก คนก็โผล่ออกมามากขนาดนี้แล้ว ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน เสี่ยวจิ่วมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเจ้าอย่างนั้นเหรอ ไฉนพวกเจ้าต้องแตกตื่นถึงเพียงนี้ด้วย” 


 


 


 “เออ…เรื่องนี้…” 


 


 


คราวนี้ แม่ทัพหลายคนชะงักงัน เสียงแหบแห้งไม่พูดอะไรออกมา 


 


 


สักพัก เซียวเยว่ชิงเอ่ยปาก “ก็คือว่า ผลงานในการทำศึกกับต้ามั่วครั้งก่อนของคุณชายเสี่ยวจิ่ว ท่านก็เห็นแล้ว เขาอาจเป็นเสาหลักของแผ่นดิน หากได้ฝึกฝนอยู่ในค่ายทหารอีกหลายปี ภายหน้าจะต้องมีคุณงามความชอบ ดังนั้นพวกเราต่างก็เห็นค่าของเขา” 


 


 


เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้ 


 


 


ความคิดแรกของพวกเขาก็คิด แย่แล้ว ต้องเป็นเพราะพวกเขาร่วมมือกัน หลอกลวงแม่นางเยี่ยเม่ย ทำให้เสี่ยวจิ่วโมโห 


 


 


ความคิดที่สองคือ ทหารกล้าแข็งแกร่งผู้หนึ่งจากไป สำหรับราชสำนักเป่ยเฉินแล้ว ช่างเป็นความเสียหายอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงหมกตัวอยู่ในกระโจมไม่ได้อีก 


 


 


เมื่อฟังเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็มองคนอื่น ๆ อีกครั้ง 


 


 


คนอื่นรีบพยักหน้า “จริงด้วย เป็นเช่นนี้” 


 


 


เหล่าทหารพากันพยักหน้า 


 


 


ความจริงเหล่าทหารที่ติดตามเยี่ยเม่ยออกรบ เห็นพลังอานุภาพของจิ่วหุน ยกดาบฟาดลงสังหารศัตรูในคราเดียว เรียกได้ว่าเป็นเทพแห่งสงครามก็ไม่เกินไป ความจริงพวกเขาเลื่อมใสจิ่วหุนมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่ายประมือกับ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแพ้เพียงแค่ครึ่งกระบวนท่าเท่านั้น 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังพวกเขาแต่ละคนเอ่ยเป็นเสียงเดียว นางเก็บความสงสัยในใจชั่วคราว ก้มหน้ามองจดหมายในมือ ที่มีตัวอักษรแน่นกระดาษ 


 


 


เยี่ยเม่ยผงะเล็กน้อย จิ่วหุนเป็นพวกมีนิสัยไม่ชอบพูดจา จะเขียนตัวอักษรมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร 


 


 


แต่ หลังจากอ่านข้อความด้านใน เยี่ยเม่ยก็มุมปากกระตุกเบา ๆ หางตาก็พลอยกระตุกไปด้วยเช่นกัน 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนด้านข้าง ก้าวเข้ามาดูว่าบทความยาวเหยียดของจิ่วหุนเขียนว่าอะไร 


 


 


จากนั้น… 


 


 


หลังจากเห็นเนื้อความด้านใน มุมปากของพวกนางก็กระตุกเช่นกัน  


 


 


บนหน้ากระดาษไม่ใช่อะไร ก็แค่ตัวอักษรเบียดเสียดกันว่า “ข้าโมโหแล้ว ข้าไปล่ะ” หนึ่งร้อยจบเท่านั้นเอง  


 


 


ถูกแล้ว ตัวอักษรเจ็ดคำนั่นเขาคัดเป็นร้อยจบ 


 


 


เป็นการเน้นย้ำอย่างหนักแน่น ทำให้คนรู้ว่า จิ่วหุนโมโหแล้วจริงๆ อีกทั้งยังโมโหมากอีกด้วย 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักงัน ไม่เข้าใจอยู่บ้าง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “มีอะไรน่าโมโหกัน” 


 


 


ไม่มีใครในที่นี้กล้าพูดความจริง  


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเป็นคนจำพวกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ได้แต่ฝืนวิเคราะห์ว่า “ข้าว่า พวกเขาสองคนประมือกัน เดิมก็เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายแพ้ชนะ ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยุติธรรม แต่วันนี้เจ้าไปดูแลองค์ชายสี่ตลอดทั้งบ่าย เสี่ยวจิ่วไม่พอใจก็ถือเป็นเรื่องปกติ” 


 


 


นางฝืนวิเคราะห์โดยจงใจข้าม‘อาการบาดเจ็บ’ ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เกิดขึ้นเพราะคำพูดประโยคนั้นของเยี่ยเม่ย 


 


 


 “ถูกแล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วดูไปแล้วยังอายุเยาว์  คนอายุเยาว์ยากที่ไม่ชอบการเอาชนะคะคาน โมโหก็เป็นเรื่องปกติ” เซียวเยว่ชิงด้านข้างเสริมขึ้นมา 


 


 


ความเซียวเยว่ชิงไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว กลัวการพูดจาช่วยเสี่ยวจิ่วต่อหน้าทุกคน แล้วคำพูดถ่ายทอดถึงหู องค์ชายสี่ ที่สำคัญเรื่องนี้เขาต้องรับผิดชอบ จิตใจอันดีงามของเขาเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว จึงได้แต่ช่วยอธิบายอีกประโยค 


 


 


พวกเขาสองคนคนหนึ่งเอ่ยประโยค อีกคนช่วยเอ่ยวิเคราะห์อีกประโยคหนึ่งทำให้เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าก็สมควรโมโหจริงๆ  


 


 


แต่ ไม่ช้าเยี่ยเม่ยมองทุกคน “หรือว่า พวกเจ้าไม่มีใครคิดว่า เขาไร้เหตุผลจงใจก่อเรื่อง” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมให้เขาถึงได้บาดเจ็บ เด็กคนนี้ไม่รู้ความเอาเสียเลย ยังจะโมโหอีก  


 


 


ทุกคนกระตุกมุมปาก 


 


 


หากเรื่องเป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยรับรู้ พวกเขาย่อมรู้สึกว่าเสี่ยวจิ่วไม่รู้ความอยู่บ้าง จงใจก่อเรื่องไร้เหตุผล แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น นี่คือบทละครที่องค์ชายสี่เขียนขึ้นน่ะสิ 


 


 


ดังนั้น เพื่อให้จิตใจดีงามของพวกเขาไม่ต้องเจ็บปวดเพื่อเสี่ยวจิ่วเทพสงครามที่ร้ายกาจ กลับมาอยู่ข้างกายของพวกเขาได้ไวหน่อย ทั้งไม่อาจเปิดโปงองค์ชายสี่ พวกเขาสมควรทำอย่างไรเล่า 


 


 


พวกเขาทำได้เพียง… 


 


 


ถัดมา พวกเขาทั้งหมดคล้ายสูญเสียความสามารถในการแยกแยะ เอ่ยปากกับเยี่ยเม่ย “ไม่มีใช่หรอก ก่อเรื่องโดยไร้เหตุผลที่ไหนกัน หากข้าเป็นคุณชายเสี่ยวจิ่ว ข้าก็คงโมโหมาก คำวิเคราะห์ของแม่นางซือหม่าหรุ่ยเมื่อครู่มีเหตุผลมากจริงๆ” 


 


 


 “นั่นสิ นั่นสิ” ทหารทั้งหลายพยักหน้า  


 


 


สีหน้าของทุกคนจริงใจเป็นอย่างมาก  


 


 


พลันทำให้เยี่ยเม่ยเกิดความสงสัยว่า ความสามารถในการวิเคราะห์ของตัวเองกับความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นมีปัญหาหรือเปล่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมให้จิ่วหุนถึงได้รับบาดเจ็บ เจ้าหนุ่มเสี่ยวจิ่วสมควรไปเยี่ยมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงจะถูกต้อง 


 


 


ต่อให้เขามีนิสัยรักสันโดษ ไม่ยินยอมไป ก็ไม่ถึงขั้นหนีออกจากบ้านเลยนิน่า 


 


 


เยี่ยเม่ยมองทุกคนอีกครั้ง “พวกเจ้าคิดว่าเขาทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นเหรอ” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนทำเพื่อน้องสะใภ้ในอนาคต จึงไม่ช่วยเสี่ยวจิ่วพูด ทว่าจิตใจอันดีงามของนางก็รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่ขัดขวาง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเงียบไปหลายวินาที แต่งเรื่องต่อไม่ได้อีก ดังนั้นเพียงเอ่ยประโยคสำคัญประโยคหนึ่ง “ปกติหรือไม่ปกติไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเจ้าคิดจะตามเขากลับมาหรือเปล่า” 

 

 

 


ตอนที่ 133

 

ตอนที่ 133 ไม่ดีแล้ว จิ่วหุนหนีออกจากบ้านแล้ว (3)

 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยออกไป คนอื่น ๆ ด้านข้างพากันพยักหน้าอย่างรุนแรง


 


 


ต่างก็ใช้สายตาเฝ้ารออย่างแรงกล้ามองเยี่ยเม่ย คล้ายกับพวกเขาทุกคนเป็นห่วงและเสียใจในการหนีไปของจิ่วหุนมากกว่าเยี่ยเม่ย  ทั้งคาดหวังว่าจิ่วหุนจะกลับมายิ่งกว่าเยี่ยเม่ยเสียอีก


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนเช่นนี้ มุมปากของเยี่ยเม่ยกระตุกอย่างแรง


 


 


นางปรายตามองซือหม่าหรุ่ย “เจ้าพูดก็ถูก เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดเบื้องหน้า ไม่ใช่วิเคราะห์ว่าทำไมเขาถึงหนีออกจากบ้าน หรือว่าเขาจงใจก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผลหรือเปล่า แต่ข้าจะตามตัวเขากลับมาหรือไม่”


 


 


สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยมองคนทั้งหมด เอ่ยปากว่า “พวกเจ้ามีใครเห็นหรือเปล่าว่าจิ่วหุนจากไปทางไหน”


 


 


 “ไม่มี” คนทั้งหมดส่ายหน้า


 


 


หากพวกเขาเห็นว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วหนีจากไปทางไหน ก็ไม่ต้องรอเยี่ยเม่ยเอ่ยปากถาม พวกเขาต้องชิงบอกออกไปอยู่แล้ว


 


 


ฝีมือของคุณชายเสี่ยวจิ่วดีเช่นนั้น คิดจะจากไปอย่างไร้ร่อยรอง ไม่ให้คนทั้งหมดสังเกตเห็นหาใช่เรื่องยากเย็น


 


 


คราวนี้ ในหน้าเยี่ยเม่ยเผยแววไม่น่ามอง


 


 


ไม่รู้ว่าหนีไปทางไหน แล้วจะไปหาที่ไหน


 


 


เซียวเยว่ชิงด้านข้างเอ่ยปาก “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านกับคุณชายเสี่ยวรู้จักกันมานานกว่า ท่านรู้หรือไม่ว่าปกติเขาชอบไปที่ไหน”


 


 


 “ไม่รู้” เยี่ยเม่ยส่ายหน้า


 


 


คำตอบนี้เป็นความจริง นางไม่รู้จริง ๆ ว่ายามปกติแล้วจิ่วหุนชอบไปที่ไหน อีกทั้งตามความเป็นจริงเมื่อเทียบกับพวกเซียวเยว่ชิงแล้ว นางก็ไม่ได้รู้จักจิ่วหุนมากกว่ามากมายนัก ระยะเวลารู้จักกันก็มิได้นานเท่าไหร่ กอปรกับจิ่วหุนไม่ชอบพูดจา ดังนั้นนางเข้าใจเขาได้ไม่มาก   


 


 


เมื่อฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของคนทั้งหมดในที่นี้ปรากฏความผิดหวังไม่น้อย


 


 


หากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งหาตัวยากแล้ว


 


 


เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากเตือน “เช่นนั้นแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่สู้เอาเช่นนี้ ข้าน้อยส่งคนออกไปตามหาก่อน ตามหาไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ เมื่อร่องรอยของคุณชายเสี่ยวจิ่วพบแล้ว ค่อยมารายงานท่านดีหรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า นี่เป็นความคิดไม่เลว


 


 


เยี่ยเม่ยตอบเสียงเย็นชา “อย่างนั้นก็ดี ลำบากทุกคนแล้ว”


 


 


ตอนนี้ก็คงทำได้แค่นี้แล้ว ไม่เช่นนั้นนางได้แต่ออกตามหาคนไปสุดหล้าฟ้าเขียวโดยไร้เป้าหมาย ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหาพบ


 


 


 “ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่พวกเราสมควรทำแล้ว ” เซียวเยว่ชิงอดไม่ไหวเอ่ยความจริง


 


 


  เขาเองก็ไม่รู้ว่าชายชาตรีอย่างพวกเขา ทำไมถึงได้ใจอ่อนถึงเพียงนี้ ช่วยเตี้ยนเซี่ยขุดหลุมพรางทำร้ายเสี่ยวจิ่ว ในใจรู้สึกติดค้าง เขาบอกตัวเอง ต้องเพราะเขาเสียดายคนเก่ง ทนดูนักรบอย่างจิ่วหุนออกจากชายแดนไปไม่ได้ ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน


 


 


เขาไม่อยากยอมรับว่า บุรุษอกสามศอกอย่างตนรู้สึกสงสารเห็นใจบุรุษผู้หนึ่ง จะถูกคนเข้าใจผิดได้ง่าย หากเขาไม่ระวังอาจกลายเป็นพวกตัดแขนเสื้อ[1]


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่งด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเพราอะไร มักรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้กระตือรือร้นกับการหายตัวไปของเสี่ยวจริงเกินกว่าเหตุ


 


 


คนทั้งหมดเห็นสายตาระแวงของเยี่ยเม่ย ก็วางแผนถอยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่มีใครกล้าจ้องตากับหญิงสาว กวาดสายตาสอดส่องไปทั่ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “เจ้าน่าจะเหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ รอพบร่องรอยเสี่ยวจิ่ว ข้าจะไปรายงานเจ้าก่อน”


 


 


 “ดี” เยี่ยเม่ยง่วงนอนแล้ว นางยังไม่ได้หลับสบายๆ เลย


 


 


หลังจากตอบรับ เยี่ยเม่ยก็หาว


 


 


นางหมุนกายเดินกลับไปทางกำแพงเมือง หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าว ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ หันกลับมองทุกคน“จริงสิ พวกเจ้าลองหาตามถ้ำบนเขาดู บางทีเขาอาจแอบอยู่ในถ้ำ”


 


 


นางพลันคิดอะไรขึ้นได้ ก่อนหน้านี้จิ่วหุนเคยบอกว่า เขามีเงินมากมายฝังไว้ใต้ดินในถ้ำ


 


 


พิสูจน์ได้ว่าเขาต้องไปถ้ำอยู่บ่อย ๆ จึงถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่น่าออกตามหา


 


 


เซียวเยว่ชิงพยักหน้าทันที “ได้ ข้าจะส่งคนไปค้นถ้ำเดี๋ยวนี้ ”


 


 


 “อืม ” เยี่ยเม่ยค่อยวางใจลงบ้าง มุ่งตรงกลับห้องตัวเอง


 


 


   ……


 


 


ในวังหลวง


 


 


ยามที่เป่ยเฉินเสียงเดินเข้าห้องฮองเฮา พระนางก็วิ่งออกมาอย่างร้อนรน ทันทีที่เห็นสภาพของเป่ยเฉินเสียง รวมถึงบาดแผลบนใบหน้า ยามนั้นรู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ น้ำตาไหลรินออกมา


 


 


เป่ยเฉินเสียงเห็นฮองเฮาอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ รีบปลอบ “เสด็จแม่อย่าทำเช่นนี้ ลูกไม่เป็นอะไร”


 


 


 “ไม่เป็นอะไรหรือ เจ้าดูสภาพเจ้าในยามนี้ เรียกว่าไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเจ้าเดียรัจฉาน เขาไม่เห็นเจ้าเป็นพี่ชายเลยสักนิดเดียว” ฮองเฮาพูดไปก็เอาผ้าเช็ดหน้าซับหน้าเป่ยเฉินเสียงด้วยความเจ็บปวด


 


 


เป่ยเฉินเสียงฟัง สีหน้าปรากฎแววเย้ยหยัน “เขาจะเห็นข้าเป็นพี่ชายได้อย่างไร หลายปีที่ผ่านมา เขาหาได้เห็นท่านและเสด็จพ่อ เป็นท่านพ่อท่านแม่เลยด้วยซ้ำ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ฮองเฮาก็สงบนิ่งลงทันที


 


 


ความจริงเป็นเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นว่าญาติมิตรครอบครัวไร้ตัวตน ตัวนางที่เป็นแม่ ต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่เคยได้รับความเคารพเลยสักน้อย กลับมีแต่เจ้าเดียรัจฉานที่เอาแต่พูดออกมาจากปากตัวเองว่าเขากตัญญู


 


 


เป่ยเฉินเสียงเอ่ยจบ ก็ไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อไปอีก กล่าวตรง ๆ กับฮองเฮาว่า “เสด็จแม่ ลูกมาก็เพราะมีเรื่องจะปรึกษากับท่าน”


 


 


สีหน้าของฮองเฮาปรากฏความเย้ยหยันตัวเอง “มาปรึกษากับข้ามีประโยชน์อะไร วันนี้เรื่องที่ซือถูเฟิงถูกเนรเทศ เจ้าก็น่าจะรู้แล้ว เสด็จแม่ของเจ้าร้องไห้ขอร้องก็เทียบกับคำพูดประโยคเดียวของเสินเซ่อเทียนไม่ได้ ต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จพ่อเจ้า ฐานะฮองเฮาของข้าเกรงว่าจะไม่มั่นคงแล้ว”


 


 


 “เสด็จแม่ อย่าได้เอ่ยคำพูดเหลวไหลเช่นนี้” เป่ยเฉินเสียงเตือนฮองเฮา


 


 


ยามเมื่อฮองเฮาได้สติกลับมา ก็รู้ว่าคำพูดของตนเมื่อครู่เอ่ยแรงเกินไปแล้ว หากเผยแพร่ออกไป เกรงว่าพรุ่งนี้ตนคงถูกส่งไปตำหนักเย็น


 


 


ยามนี้นางไม่พูดมากอีกแล้ว เพียงมองเป่ยเฉินเสียง “เจ้าอยากพูดอะไร เจ้าพูดมา เจ้าก็รู้ว่า ขอเพียงเสด็จแม่ช่วยเจ้า เสด็จแม่ก็จะช่วยอย่างเต็มความสามารถ”


 


 


 “ลูกอยากแต่งสตรีนางหนึ่ง”  เป่ยเฉินเสียงพูดไปพลางประสานมือคารวะฮองเฮา


 


 


ฮองเฮาชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าว่าอะไรนะ”


 


 


เป่ยเฉินเสียงทวนอีกครั้ง “ลูกอยากแต่งงานกับสตรีนางหนึ่ง หวังว่าเสด็จแม่จะช่วยให้สมปรารถนา”


 


 


ฮองเฮาเลิกคิ้วสูง น้ำเสียงไม่ยินดี “เสียงเอ๋อ เจ้าต้องเข้าใจว่าเจ้ายังมีพระชายาที่ยังไม่ได้แต่งเข้านางหนึ่ง นี่เป็นงานแต่งงานที่ปีนั้นข้าให้เสด็จพ่อของเจ้าพระราชทาน ไม่อาจถอนได้ อีกอย่างจงรั่วปิงมีชื่อเสียง ในมือของบิดานางคุมทหาร หากถอนหมั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก”


 


 


 “ลูกเข้าใจ ดังนั้นลูกคิดจะแต่งสตรีนางนั้นเป็นพระชายารองเท่านั้น” เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปากตอบฮองเฮาอย่างรวดเร็ว


 


 


สีหน้าของฮองเฮาค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “อย่างนั้นก็ดี หากเป็นเช่นนี้ เจ้ารอต้นปีหน้า หลังจากจงรั่วปิงแต่งเข้ามาแล้ว ค่อยรับชายารอง จริงสิ คนที่เจ้าเอ่ยถึงคือสตรีบ้านไหน”


 


 


 “ไม่ เสด็จแม่ เรื่องนี้ไม่อาจรอได้แม้แต่วันเดียว” เป่ยเฉินเสียงปฏิเสธเสียงดัง


 


 


 


 


[1] ชายรักชาย

 

 

 


ตอนที่ 134

 

ตอนที่ 134 คนที่หนีออกจากบ้านไป เป็นมารดาชราที่บ้านพวกเจ้าหรืออย่างไร

 


 


 


เห็นท่าทางแข็งกร้าวของเป่ยเฉินเสียง ฮองเฮาก็ชะงักไปเล็กน้อย


 


 


ฮองเฮาย่นคิ้ว “เพราะอะไร เรื่องนี้ต้องรีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าก็รู้ว่า หากเจ้าแต่งงานกับนางก่อนแต่งกับจงรั่วปิง คนตระกูลจงต้องไม่ยินดีแน่ หากเป็นเช่นนี้ ก็ได้ไม่คุ้มเสีย”


 


 


 “แต่ในยามนี้ การแต่งงานกับแม่นางผู้นั้น ไม่อาจชะลอไปได้” เป่ยเฉินเสียงย่นคิ้ว “ส่วนจงรั่วปิง นางคือพระชายาเอก หากจะแต่งงาน จำเป็นต้องเตรียมพิธีการเป็นเวลาหลายเดือน รอจนถึงเวลานั้นก็ไม่ทันการณ์แล้ว”


 


 


สีหน้าของฮองเฮาพลันขรึมลงหลายส่วน จ้องเป่ยเฉินเสียงเอ่ยว่า “เจ้าต้องบอกมาให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแม่ไม่อาจรับปากเจ้า”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ นางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ รอคำตอบของ เป่ยเฉินเสียง


 


 


เป่ยเฉินเสียงเดินเข้าไปข้างกายฮองเฮา เอ่ยปากว่า “เสด็จแม่ ลูกพูดถึงแม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ก็คือคนที่ทำร้าย ซือถูเฉียงบาดเจ็บ”


 


 


 “อะไรนะ” ฮองเฮาเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิด “หรือว่าเจ้าก็พลอยหลงเสน่ห์สตรีนางนั้นไปด้วย”


 


 


สีหน้าเป่ยเฉินเสียงกระอักกระอ่วน ตอบตามตรงว่า “เสด็จแม่ ลูกไม่ปฏิเสธว่ายามพบกันครั้งแรก ลูกหวั่นไหวจริง ๆ หลังจากนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินร่วมทางกัน สำหรับนางแล้ว ลูกเหลือแต่ความคิดสังหารนางเท่านั้น ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ฮองเฮาก็วางใจ ถามต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะแต่งงานกับนางเพื่ออะไร ทั้งยังต้องรีบร้อนถึงขั้นนี้ด้วย”


 


 


เป่ยเฉินเสียงรีบเอ่ยปาก “ก็เพราะว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชอบนาง ดังนั้นเป็นไปได้อย่างมากที่นางจะกลายเป็นจุดอ่อนเดียวของเขา เมื่อนางเป็นพระชายารองของลูก ก็เท่ากับกุมจุดอ่อนเขาไว้ในมือ สำหรับท่าน เสด็จพ่อ ลูก รวมถึงราชสำนักเป่ยเฉิน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ ฮองเฮามุ่นคิ้ว “เจ้ามั่นใจว่านางมีผลกระทบต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้รุนแรงเช่นนี้จริง ๆ หรือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชอบสตรีนางนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกิดจากนิสัยชั่วร้ายชอบทรมานคนของเขาเท่านั้น”


 


 


 “ลูกมั่นใจ” น้ำเสียงของ เป่ยเฉินเสียงหนักแน่นมาก


 


 


ไม่ช้าเขาเสริมขึ้นว่า “ความเข้าใจที่ลูกมีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่เรื่องวันสองวันนี้ไม่ เขาคิดจะหลอกล้อสตรีนางนั้น หรือว่าจริงใจกับนาง ลูกมองออกอย่างชัดเจน  ขอเพียงพวกเราเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง ควบคุมแม่นางเยี่ยเม่ยไว้ในมือ ภายหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังกล้าเป็นศัตรูกับพวกเราอีกหรือ”


 


 


ฮองเฮาฟังจบ กลับไม่คิดในแง่ดีอย่างเป่ยเฉินเสียง นางถามว่า “แต่เจ้าคิดหรือไม่ว่า หากพวกเราทำเช่นนั้น ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดโทสะ จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจจัดการได้” 


 


 


“หรือยังมีผลลัพธ์อื่นอีก ตามนี้ก็จัดการไม่ได้แล้วมิใช่หรืออย่างไร” สีหน้าเป่ยเฉินเสียงส่อแววเย้ยหยัน “ไม่เพียงแต่เขาทำร้ายลูกจนเป็นเช่นนี้ ซ้ำยังวางยาพิษหนอนในร่างลูกด้วย ท่านหมอหลวงไร้หนทางแล้ว ลูกยังไม่รู้ว่าตนจะมีชีวิตอีกนานเท่าไหร่”


 


 


 “อะไรนะ หมอหลวงก็จนปัญญาหรือ” ฮองเฮาคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะร้ายแรงเช่นนี้


 


 


สีหน้าของหน้าเขียวคล้ำ “เขา…เขามันเป็นเดียรัจฉาน”


 


 


เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปาก “ลูกเตรียมจะไปตำหนักเขาหลินซานสักเที่ยวหนึ่ง ดูว่าเสินเซ่อเทียนมียาถอนพิษหรือไม่ หากไม่มี เกรงว่าชีวิตของลูกคงไม่อาจยืนยาวแล้ว”


 


 


 “เสินเซ่อเทียนจะช่วยเจ้าหรือไม่” ฮองเฮา ขมวดคิ้วอีกครั้ง


 


 


เป่ยเฉินเสียงแค่นหัวเราะ เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ถึงเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากกว่า แต่ครั้งนี้เขาให้เป่ยเจี้ยนเกอช่วยลูก ก็ดูออกว่า เขารู้ว่าเมื่อลูกตายแล้ว ราชสำนักเป่ยเฉินจะต้องวุ่นวาย กระทบถึงอนาคตของบ้านเมือง ดังนั้นหากเขามีวิธี ลูกเชื่อว่าเขาต้องช่วยชีวิตลูกแน่”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” ยามนี้ฮองเฮารู้สึกวางใจ ลังเลอยู่สักครู่ ก็เอ่ยปากว่า “เรื่องของเยี่ยเม่ย ข้าจะปรึกษากับเสด็จพ่อเจ้า พยายามให้เสด็จพ่อเจ้าพระราชทานงานแต่งงานให้ในเร็ววัน หากเขาไม่ยินยอม แม่จะออกราชเสาวนีย์ไป ส่วนตระกูลจง ก็ได้แต่ลำบากพวกเขาแล้ว”


 


 


คราวนี้เป่ยเฉินเสียงกลับรู้สึกแปลกใจ “เสด็จแม่ ท่านไม่คัดค้านหรือ”


 


 


ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าพูดถูก เวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล้าวางยาพิษเจ้า อย่างนั้นข้ายังต้องกลัวเขาทำเรื่องอื่นอีกหรือ ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมให้เจ้าอยู่อย่างสบาย แม่ก็ไม่ยอมให้พวกเขาได้เสวยสุขเช่นกัน”


 


 


 “ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่” เป่ยเฉินเสียงรีบแสดงความซาบซึ้งใจออกไป


 


 


ฮองเฮาพยักหน้ารับ โบกมือ “เจ้าอย่าพูดมากความอีกเลย รีบไปที่ตำหนักหลิงซานหาเสินเซ่อเทียน หายาถอนพิษเสียก่อน”


 


 


 “รับบัญชา” เป่ยเฉินเสียงรีบตอบรับ “ลูกขอตัวแล้ว”


 


 


   ……


 


 


ข่าวที่จิ่วหุนหนีออกจากบ้าน แพร่สะพัดไปทั่ว


 


 


ทั่วทั้งเมืองชายแดนนี้ ทุกคนต่างก็รู้กันหมด แน่นอนว่าองค์ชายสี่ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้เรื่อง


 


 


ยามที่อวี้เหว่ยได้ข่าว ตอนที่รายงานเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาได้ใส่ใจมาก เขาเลิกคิ้วอย่างไม่สนใจ น้ำเสียงไพเราะแฝงไปด้วยความไม่ใส่ใจ “จากไปก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ นับตั้งแต่นี้ไป ก็ไม่ต้องมองเห็นใบหน้าชวนรังเกียจนั่นอีกแล้ว สำหรับเยี่ยนถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง”


 


 


อวี้เหว่ยมองท่าทางสบายอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ย พลันร้อนรนเอ่ยว่า “แต่เตี้ยนเซี่ย ทุกคนต่างก็ออกตามหาเขา หากว่าพบตัวแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยจะต้องไปปลอบโยนแน่ เมื่อไปปลอบโยน ไม่แน่ว่าเรื่องบาดเจ็บปลอมอาจจะถูกเปิดโปงได้แล้ว ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ต่อให้คนอื่นไม่กล้าเปิดโปงท่านต่อหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย แต่จิ่วหุนกล้าทำ ยามนี้เขาก็แค่ไม่รู้ความจริงก็ช่างเถิด แต่หากเขาเอ่ยกับแม่นางเยี่ยเม่ยถึงเรื่องนี้…”


 


 


เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังคงมีสีหน้าสบายอารมณ์ดังเดิม ค่อยๆ เอ่ยปากว่า “สั่งการลงไป ให้คนพวกเราคอยระวังไว้ ออกตามหาก็ได้ เชื่อว่าพวกเขาไม่โง่เขลาถึงเพียงนั้น ตามตัวจิ่วหุนกลับมา คิดจะเป็นศัตรูกับข้าหรืออย่างไร”


 


 


 “นี่…” มุมปากอวี้เหว่ยกระตุก “เตี้ยนเซี่ย ท่านช่างมองโลกในแง่ดีนัก ไม่รู้ว่าเพราะทุกคนต่างเห็นใจจิ่วหุนเป็นพิเศษ รู้สึกว่าครั้งนี้ท่านทำเกินไปแล้ว ดังนั้นทุกคนล้วนช่วยเหลือแม่นางเยี่ยเม่ย ตั้งใจออกตามหาร่องรอยของจิ่วหุน”  


 


 


 “อะไร” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหลือบมอง สายตาทอแสงมารสีแดง น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจ “เมื่อก่อนไฉนเยี่ยนไม่เคยรู้เลยว่าคนพวกนี้มีความเห็นใจผู้อื่นด้วย พวกเขามีจิตใจดีงามจริง ๆ หรือว่าจงใจเป็นศัตรูกับเยี่ยน”


 


 


 


 


 


อวี้เหว่ยรีบช่วยคนทั้งหมดพูด “เตี้ยนเซี่ย เรื่องนี้ท่านไม่อาจโทษทุกคนเช่นนี้ ท่านทำเรื่องรังแกคนอย่างร้ายกาจ ความจริงข้าน้อยยังรู้สึกเห็นใจจิ่วหุนอยู่บ้าง แต่ข้าน้อยต้องยืนอยู่ข้างท่านอย่างแน่นอน”


 


 


เห็นใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่าการเลือกฝั่งก็เป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกอย่างชัดเจน


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่นคิ้ว มองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง ค่อย ๆ ถามว่า “การกระทำของข้า ชวนให้คนเห็นใจจิ่วหุนขนาดนี้จริงหรือ”


 


 


 “ถูกต้อง” อวี้เหว่ยพยักหน้า


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้าใจแล้ว เอ่ยช้า ๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยนก็วางใจแล้ว”


 


 


อวี้เหว่ย “เอ๋”


 


 


เขาฟังผิดแล้วใช่หรือไม่


 


 


ส่วนองค์ชายสี่ อธิบายช้า ๆ “นี่ก็หมายความว่าความห่วงของเยี่ยน ทำให้ที่คนทั้งหลายเห็นแล้ว กลัวก็แต่ว่าเยี่ยนห่วงใยเขาไม่เพียงพอ ถึงทำให้คนทั้งหลายยังเป็นห่วงกังวลว่า เขาได้รับความลำบาก หรือต้องว่าต้องการความเห็นใจจากทุกคนหรือไม่”


 


 


ยามนี้อวี้เหว่ยยิ่งตัวสั่น ในใจเข้าใจแล้ว เตี้ยนเซี่ยทำกับจิ่วหุนเช่นนี้ ในใจเตี้ยนเซี่ยไม่สำนึกเสียใจเลยสักน้อย ไม่เพียงแค่สาแก่ใจ ทั้งยังคิด ‘ห่วงใย’ มากขึ้นอีก รวมถึงคนอื่น ๆ ที่เห็นใจจิ่วหุน ปลุกความไม่พอใจในตัวเตี้ยนเซี่ยขึ้นมาแล้ว


 


 


เพื่อป้องกันไม่ให้พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ทุกที่เต็มไปด้วยศพของเหล่าทหาร ส่วนปีศาจที่สังหารคนก็คือเตี้ยนเซี่ยผู้มีจิตใจโหดเ**้ยมอำมหิต ไม่ใช่…เตี้ยนเซี่ยที่มี ‘จิตใจเมตตา’ อวี้เหว่ยผู้มีจิตใจเห็นแก่ส่วนรวม เอ่ยปากเตือนว่า “เตี้ยนเซี่ย เช่นนั้นยามนี้ข้าน้อยจะไปเตือนแม่ทัพทั้งหลายเสียหน่อย ไม่ให้พวกเขาตามหาเสี่ยวจิ่วอย่างตั้งใจเกินไป”  


 


 


มิเช่นนั้นจากท่าทางของเตี้ยนเซี่ยเวลานี้ หากมีแม่ทัพคนไหนหาตัวจิ่วหุนเจอ คงไม่อาจรักษาชีวิตคนเอาไว้ได้


 


 


  สิ้นเสียงเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนลุกขึ้น สาวเท้าก้าวเดินออกนอกประตูไป


 


 


เขามีท่วงท่าสง่างามราวแมวเปอร์เซีย แต่หว่างคิ้วเผยความอำมหิตยากเก็บงำ กล่าวเสียงเนิบว่า “ไม่ต้องแล้ว เยี่ยนจะไปเตือนพวกเขาเอง เยี่ยนกลัวว่าเจ้าจะเตือนไม่ดีพอ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักถอย จะตายอย่างอนาถในสนามรบ”


 


 


อวี้เหว่ยพลันกระตุกมุมปาก ในใจได้แต่แอบเหงื่อตกแทนเหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ดูท่าคนที่เตี้ยนเซี่ยต้องการสังหารคน ทั้งไม่คิดสังหารในทันที เตรียมส่งคนทั้งหลายเข้าไปทรมานในสนามรบจนตาย


 


 


   ……


 


 


ภายในเมืองชายแดน


 


 


เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วตั้งใจสั่งการให้เหล่าทหารออกตามหาไปทั่ว


 


 


เซียวเยว่ชิงเอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ไม่รู้ว่าคุณชายเสี่ยวจิ่วไปที่ใดกันแน่ ตามหามาครึ่งค่อนวันแล้ว ร่องรอยสักน้อยก็ไม่มี”


 


 


 “นั่นน่ะสิ ช่างชวนให้กังวลใจนัก” หลูเซียงฮั่วที่อยู่ด้านข้างเสริมขึ้น


 


 


พวกเขาสองคนล้วนสัมผัสไม่ได้ถึงไอปีศาจที่อยู่ด้านหลังตนที่ค่อย ๆ เคลือบคลานเข้ามา อีกทั้งต้นกำเนิดของไอปีศาจกลุ่มนั้นมาจากองค์ชายสี่ปีศาจของพวกเขานั่นเอง


 


 


อวี้เหว่ยมองสีหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระวัง…


 


 


ส่วนอีกสองคน ยังไม่ตระหนักรู้เลยสักน้อยว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินมาถึงด้านหลังแล้ว


 


 


เซียวเยว่ชิงเอ่ยปากว่า “เจ้าว่า คุณชายเสี่ยวจิ่วจะเกิดเรื่องหรือไม่”


 


 


 “จะคิดไม่ตกหรือไม่” หลูเซียงฮั่วสีหน้ากังวล


 


 


ในขณะที่ เซียวเยว่ชิงเตรียมจะเอ่ยวาจา พลันมีเส้นเสียงไพเราะสายหนึ่ง ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของพวกเขา “พวกเจ้าเป็นห่วงคุณชายเสี่ยวจิ่วผู้นั้นมากใช่หรือไม่”


 


 


 “ถูกแล้ว” ทั้งสองเอ่ยปากตอบออกมาพร้อมกัน


 


 


หลังจากตอบเสร็จ ถึงคิดได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เรียวคิ้วของทั้งคู่เลิกสูงขึ้นเล็กน้อย หัวใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี


 


 


นั่นคือ…


 


 


พวกเขาทั้งสองกลัว ๆ กล้า ๆ หันกลับมองตัวสั่น ก็เห็นใบหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยนขององค์ชายสี่


 


 


ก็เพราะรอยยิ้มอ่อนโยนจนเกินไป ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย ยิ่งทวีความร้ายกาจเข้าไปใหญ่


 


 


เซียวเยว่ชิงไม่พูดมากความ เอ่ยตัดความเกี่ยวข้องอย่างทันที “เตี้ยนเซี่ย การตามหาคุณชายเสี่ยวจิ่วคือความต้องการของแม่นางเยี่ยเม่ย แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นแม่ทัพใหญ่ คำพูดของนางข้าน้อยมิอาจไม่เชื่อฟัง ดังนั้นข้าน้อยถึงได้กระวนกระวายใจเช่นนี้ หาใช่เป็นเพราะข้าน้อยกับคุณชายเสี่ยวจิ่วมีการคบหากันเป็นการส่วนตัว ขอให้เตี้ยนเซี่ยพิจารณาด้วย” 


 


 


เขาไม่มีทีท่ายอมรับว่าตนเองเห็นใจจิ่วหุนเลยสักน้อย


 


 


หลูเซียงฮั่วรีบเอ่ยว่า “ถูกแล้ว ข้าน้อยกับแม่ทัพเซียวมีความคิดเช่นเดียวกัน ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ในเรื่องเดียวกันนี้ พวกเราทั้งสองที่มีฐานะและตกอยู่ในความลำบากเช่นเดียวกัน พวกเราไม่มีทางคิดเป็นศัตรูกับเตี้ยนเซี่ย อีกทั้งพวกเราหาได้สนิทกับเสี่ยวจิ่ว คำพูดของข้าน้อยเป็นจริงทุกคำ”


 


 


 “จริงหรือ” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะ น้ำเสียงไพเราะค่อยๆ เอ่ยว่า “ที่แท้พวกเจ้าออกตามหาเขาเพราะคำสั่ง มิได้เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งเป็นคนไม่คุ้นเคยกัน เมื่อครู่ยามเห็นสีหน้ากระวนกระวายของพวกเจ้า เยี่ยนกำลังใคร่ครวญว่า คนที่หนีออกจากบ้าน ใช่มารดาชราที่บ้านของพวกเจ้าหรือเปล่า”

 

 

 


ตอนที่ 135

 

ตอนที่ 135 ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ย แทนมารดาที่บ้าน

 


 


 


“ตุบ” เซียวเยว่ชิงคุกเข่า


 


 


 “ตุบ” หลูเซียงฮั่วคุกเข่าแล้ว


 


 


ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะในคำพูดของเตี้ยนเซี่ยเอ่ยถึงมารดาของพวกเขา  แม่ทัพทั้งสองมั่นใจอย่างแรงกล้าว่า หากตนเองยังไม่รู้จักสถานการณ์อยู่อีก คนที่จะเกิดเรื่องเป็นรายต่อไป เกรงว่าจะเป็นมารดาชราที่บ้านตนแล้ว เตี้ยนเซี่ยไม่มีทางเอ่ยวาจาเหลวไหล ย่อมไม่เอ่ยถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องแน่


 


 


ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนมาก หากพวกเขาทำผิด เช่นนั้นคนที่จะเกิดเรื่องก็คือมารดาชราที่บ้านตน


 


 


เซียวเยว่ชิงตีหน้าเศร้าในทันที “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว มารดาชราที่บ้านข้าน้อยสุขภาพแข็งแรงดี ขอให้เตี้ยนเซี่ยโปรดละเว้นด้วย”


 


 


 “ถูกแล้ว มารดาของข้าน้อยสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี นั่นก็คือโชควาสนาของข้าน้อย ขอให้เตี้ยนเซี่ยยั้งมือด้วย” หลูเซียงฮั่วรีบเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากให้คนผมดำส่งคนผมขาวก่อนเวลาอันสมควร


 


 


อวี้เหว่ยมองสีหน้าโศกเศร้าของพวกเขา ก็ช่วยพูดขึ้นคำหนึ่งว่า “เตี้ยนเซี่ย เสี่ยวจิ่วหายไปแล้ว สำหรับท่านถือว่าเป็นวันเวลาที่ดี เห็นแก่ที่ท่านอารมณ์ดี เรื่องที่ท่านแม่ทัพทั้งสองไม่รู้ความ ท่านก็อย่าได้เอาเรื่องเลยนะขอรับ”


 


 


 “จริงด้วย” เซียวเยว่ชิงพยักหน้าด้วยความเคารพ “เตี้ยนเซี่ย ขอให้ท่านโปรดอภัยให้ความหลงผิดอย่างไม่ตั้งใจของข้าน้อยด้วย”


 


 


หลูเซียงฮั่วก็เอ่ยบ้าง “ถูกแล้ว พวกเราเพียงแค่ไม่ทันระวังหลงเดินทางผิด พวกเราสำนึกแล้ว ขอให้เตี้ยนเซี่ยละเว้นด้วย”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียง สุดท้ายก็ใคร่ครวญได้ว่า หากกำจัดแม่ทัพสองคนนี้ไป เยี่ยเม่ยต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ลงมือชั่วคราว ดวงตาชั่วร้ายกวาดมองผ่านหน้าพวกเขา ค่อย ๆ เอ่ยปากว่า “เรื่องประเภทนี้ ไม่จำเป็นให้เยี่ยนตักเตือนอีกเป็นครั้งที่สอง ส่วนที่ว่าจะตามหาเสี่ยวจิ่วหรือไม่…”


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบรับปาก “เตี้ยนเซี่ย คุณชายเสี่ยวจิ่วหายไปอย่างไร้ร่อยรอง ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง พวกเราจะตามหาเขาพบได้อย่างไรกัน”


 


 


 “ถูกแล้ว เบาะแสสักเล็กน้อยยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ” หลูเซียงฮั่วรีบเอ่ยรับทันที


 


 


ความจริงก็คือ พวกเขาไม่มีเบาะแสเลยสักเล็กน้อย


 


 


แน่นอนว่า เวลานี้ต่อให้หาพบ ก็ทำได้แต่บอกว่าตัวเองไม่พบอะไรทั้งนั้น


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเบา ๆ จัดแต่งชายเสื้อด้วยท่าทางสง่างาม ระหว่างหมุนกายจากไป ยังเตือนขึ้นอีกประโยค “วันนี้เยี่ยนมาหาพวกเจ้าหรือไม่”


 


 


 “เอ๊ะ ไม่มา” เซียวเยว่ชิงยังนับว่าพอมีไหวพริบ รีบส่ายหัวโดยพลัน


 


 


หลูเซียงฮั่วก็รีบส่ายหัวตามอย่างว่องไว “ไม่มี คืนนี้พวกเราไม่ได้พบเตี้ยนเซี่ย ทั้งยังไม่มีใครเอ่ยถึงมารดาชราภาพของพวกเราอีกด้วย”


 


 


เมื่อพูดถึงมารดาชราที่บ้าน หลูเซียงฮั่วจวนเจียนจะร้องไห้ออกมา


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกเขารู้จักสถานการณ์ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่หยุดรั้งรอ ก้าวเท้าจากไป


 


 


ในยามนี้เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วกลับสบตากันไปมาด้วยความประหลาดใจ นิสัยขององค์ชายสี่ เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อตั้งอกตั้งใจมาหาพวกเขาแล้ว กลับไม่ลงมือ


 


 


เซียวเยว่ชิงตระหนักอะไรขึ้นมาได้ “แปดส่วนน่าจะเป็นเพราะ หากกำจัดพวกเรา แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะเห็นพิรุธอะไรบ้าง”


 


 


หลูเซียงฮั่วน้ำตาคลอเบ้าเอ่ยปากทันที “ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ยแทนมารดาชราที่บ้านข้าด้วย”


 


 


เซียวเยว่ชิงสองมือประนม “ขอบคุณ”


 


 


   ……


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยกลับถึงห้องนอน


 


 


ยังมีอารมณ์ไม่สงบอยู่บ้าง


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาหากในใจยังมีเรื่องค้างคา ก็ยากนอนหลับ ต่อให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องปะติ๋วเล็กน้อย ก็ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในการนอนของนาง


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง ในคราแรกเพียงรู้สึกว่าเสี่ยวจิ่วเด็กคนนี้ค่อนข้างวุ่นวายนัก มีเรื่องอะไรพูดจากันดี ๆ ไม่ได้หรือ ไฉนต้องหนีไปด้วยเล่า


 


 


ทั้งยังไม่ล่ำลากันดี ๆ เลยสักคำ


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยที่อยู่บนเตียงพยายามฝืนหลับไปสักพัก ร่างกายก็ยิ่งอ่อนล้า แต่ว่าสติกลับยิ่งปลอดโปร่ง เยี่ยเม่ยตระหนักอย่างชัดเจนว่า ตัวเองนอนไม่หลับแล้ว


 


 


หญิงสาวไม่พูดมาก ลุกขึ้นมานั่ง หยิบเอาเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่ใต้หมอนออกมา


 


 


นางเปิดหน้าแรก เริ่มฝึก


 


 


ครั้งก่อนเพิ่งถึงตอนเริ่ม ก็ถูกผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ขัด สุดท้ายฝึกอะไรไม่สำเร็จ ครั้งนี้ต้องตั้งอกตั้งใจเริ่มต้นอย่างจริงจัง


 


 


โดยเฉพาะหลังจากที่นางเห็นเสี่ยวจิ่วและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนประลองฝีมือกันแล้ว ร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น ทำให้นางตระหนักได้ถึงความสำคัญของกำลังภายในทันที ต้องร่ำเรียนให้ดีถึงจะถูก


 


 


หน้าแรกถูกเปิดออก


 


 


เมื่อปฏิบัติตามภาพด้านใน เยี่ยเม่ยเริ่มฝึกวิชา ทดลองเคลื่อนพลังในร่างกายตน ถัดมา นางก็รับรู้ถึงพลังปราณบริสุทธิ์ในร่างสายหนึ่ง เป็นปราณบริสุทธิ์ที่แฝงอยู่ในร่างมานานแล้ว


 


 


นี่ทำให้นางตะลึง


 


 


ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่เคยบอกว่า เดิมทีนางเป็นคนของโลกนี้ เมื่อก่อนนางเคยร่ำเรียนกำลังภายใน ดังนั้นปราณบริสุทธิ์สายนี้ สมควรเป็นกำลังภายในเมื่อก่อนของนางล่ะมั้ง….


 


 


อย่างนั้น ทำอย่างไรถึงจะดึงพลังสายนี้เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หลอมรวมกับลมหายใจ ทำให้นางใช้ออกได้ในเร็ววัน


 


 


ปัญหานี้


 


 


เยี่ยเม่ยตั้งอกตั้งใจพิจารณา จากนั้นลองเคลื่อนพลังกระแสใหม่ให้ไปใกล้กับพลังกระแสเดิม พยายามหลอมรวมมันอย่างว่องไว


 


 


หลังจากความพยายามครู่ใหญ่ หญิงสาวกลับพบว่า ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด


 


 


ปราณบริสุทธิ์ที่ดำรงอยู่แต่เดิมสายนั้น ไม่ขยับเลยสักนิดเดียว เพียงแค่ไหลทะลักออกมาทีละสาย ๆ ทำให้นางเกิดความหวัง ทว่าไม่มีมีการหลอมหลวมทั้งสิ้น


 


 


เยี่ยเม่ยพยายามอยู่ชั่วยามกว่า ๆ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อซึมไหลรินเป็นทางลงมา ยามนี้นางสูญเสียความอดทนไปแล้ว


 


 


เมื่อเปิดตา


 


 


เยี่ยเม่ยรีบลงมือฝึกเป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งนี้ นางมิได้ลองเคลื่นพลัง ในเมื่อปราณบริสุทธิ์ดำรงอยู่แต่ก่อนแล้ว ก็ไม่ง่ายที่จะดึงออกมาหลอมรวมใช้ เช่นนั้น


 


 


นางก็ทิ้งปราณสายนั้นไปเสียเลย


 


 


ทำเสียว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่ เริ่มต้นตั้งแต่หนึ่งใหม่ก็ช่างเถอะ


 


 


ขอเพียงตั้งใจฝึกกำลังภายในสายใหม่ ทอดทิ้งพลังปราณสายเดิมที่เคยมีอยู่


 


 


แต่ไม่ช้า ขมับของเยี่ยเม่ยก็มีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกถึงความล้มเหลว


 


 


นั่นก็เพราะว่าปราณบริสุทธิ์สายเดิมที่เคยมีอยู่ ไม่ยอมออกมาหลอมรวมก็ช่างเถอะ เมื่อนางคิดทิ้งพวกมันไป เริ่มต้นฝึกปราณสายใหม่ พวกมันก็โผล่ออกมาก่อความวุ่นวาย คอยแผ่พลังออกมาอยู่เรื่อย ก่อกวนการเคลื่อนปราณบริสุทธิ์ของนางในยามนี้


 


 


นี่มันช่าง….


 


 


เยี่ยเม่ยคิดด่าคนขึ้นบ้างแล้ว


 


 


แต่เพราะเป็นคนเย่อหยิ่งลำพอง กอปรกับมีนิสัยเย็นชา นางจึงฝืนเก็บคำว่า “มารดามันเถอะ” เอาไว้ในคอ


 


 


นางเปิดตาด้วยความกลัดกลุ้ม พลิกคัมภีร์ในมือตน


 


 


สายตาเคลื่อนไปตกอยู่ที่ลังใบใหม่ที่หน้าต่างอย่างว่องไว


 


 


นั่นคือข้าวของในลังที่ร่วงลงมาจากหลังคายามที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้ามาในห้องของนาง ภายหลังกระจายเต็มไปทั่ว ดูท่าจะให้บ่าวไพร่เก็บแล้วนำใส่ลังใบใหม่ วางไว้ริมหน้าต่าง


 


 


เยี่ยเม่ยรีบลุกขึ้น เตรียมตัวเดินเข้าไป หาดูว่าจะของอะไรที่ช่วยนางแก้ปัญหาในยามนี้ได้บ้าง


 


 


หญิงสาวก้าวเท้าไปโดยไว


 


 


แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างตกอยู่บนลังไม้


 


 


เยี่ยเม่ยเพิ่งเปิดลังออก ก็ได้ยินฝีเสียงเท้า แววตาของนางเย็นวาบ ไม่พูดอะไรก็ปิดลังลง หันหน้ามองประตู

 

 

 


ตอนที่ 136

 

ตอนที่ 136 ถูกตี แล้วยังต้องไปศึกษาวิธีการอีกหรือ

 


 


 


“ปัง ปัง+ ปัง”


 


 


ไม่ช้า เสียงเคาะประตูดังสนั่น


 


 


ประกายเย็นเยียบในสายตาเยี่ยเม่ยสงบลง ในเมื่อผู้มาเคาะประตู นั่นก็หมายความว่ามาอย่างเปิดเผย อย่างน้อยไม่ได้มาลอบสังหาร


 


 


นางเอ่ยปากว่า “เข้ามา”


 


 


ประตูในสมัยโบราณกับสมัยปัจจุบันต่างกัน ประตูส่วนมากสามารถผลักได้ทันที


 


 


สิ้นเสียงนาง ประตูห้องก็ถูกคนเปิดออก


 


 


เยี่ยเม่ยเองก็ลุกขึ้นเดินออกจากลังไม้ ในจิตใต้สำนึกของเยี่ยเม่ย  นางเข้าใจว่าของที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งมา ย่อมต้องเป็นของดี ไม่เช่นนั้นในฐานะองค์ชายผู้หนึ่งย่อมไม่กล้าส่งมอบออกมา 


 


 


อย่างนั้น ในเมื่อเป็นของดี ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ได้ง่าย ๆ ไม่เช่นนั้นอาจถูกขโมยไปได้


 


 


อ้อ จริงสิ ไม่น่ามีใครกล้าขโมยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


ในขณะที่คิด สิ่งที่ตามมาหลังจากประตูห้องเปิดออก ก็คือสตรีสวมชุดสีฟ้านางหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้านางมีความอบอุ่นสง่างามเฉกเช่นหญิงสาวชาวเจียงหนาน ทว่ากลับแฝงความเดือดดาล หลังจากเข้ามาแล้ว นางไม่พูดไม่จาก็เดินตรงเข้าหาเยี่ยเม่ย


 


 


นางยกมือขึ้น ตบลงไปที่ใบหน้าของเยี่ยเม่ย


 


 


ดวงตาเยี่ยเม่ยทอแววเย็นวาบสายหนึ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายเงื้อมือ ก็พลันถูกจับเอาไว้ น้ำเสียงเย็นชาเอ่ย “แม่นาง หากเจ้าเคยได้ยินเรื่องของข้ามาบ้าง เช่นนั้นเจ้าก็สมควรรู้ว่า ถึงข้าจะนิสัยดีมาก แต่ก็มีขอบเขต หากฝ่ามือเจ้านี้ตบถูกข้าเข้าจริงๆ เจ้าจะตายอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรอง”


 


 


เมื่อเอ่ยออกไป มือที่จับข้อมืออีกฝ่ายอยู่ก็ออกแรงบีบแน่น


 


 


หลินซูเหย่าสีหน้าเปลี่ยนไป เข้าใจดีว่า สตรีเบื้องหน้า ไม่มีทางปล่อยให้ตนตบตีได้แน่


 


 


ในเมื่อนางจับข้อมือตนเอาไว้ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธ์ไม่ต่ำทรามดังที่ภายนอกเล่าลือ


 


 


หลินซูเหย่าจ้องเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าคือใคร”


 


 


นางเอ่ยออกไปเช่นนั้น เยี่ยเม่ยกลับมองนาง เส้นเสียงเย็นชาเตือน “เป็นเจ้าต่างหากที่สมควรรู้ชัดว่า เยี่ยเม่ยเป็นใครกันแน่ ”


 


 


 “เจ้า…” หลินซูเหย่าเกิดโทสะ เอ่ยปากว่า “ข้าบอกเจ้าเอาไว้ ข้าคือบุตรสาวของเจ้าเมืองหลิน ท่านแม่ข้าคือน้องสาวของเจ้าบ้านเฉินคหบดีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน เจ้าเป็นศัตรูกับข้า ข้ากลัวแต่ว่าเจ้าจะตายอย่างน่าสมเพชเกินไป”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ร้องรับคำหนึ่งว่า “อ้อ”


 


 


จากนั้นก็มองใบหน้าเดือดดาลของแม่นางผู้นั้น วิจารณ์ออกมาว่า “เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะแนะนำตัวเอง ไฉนเจ้าถึงได้แนะนำบิดามารดาเจ้าเล่า”


 


 


 “ข้า…” หลินซูเหย่าพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ


 


 


นางย่อมเข้าใจความหมายของคำพูดเยี่ยเม่ย อีกฝ่ายกำลังเยาะเย้ยนางว่า ตัวนางกำเริบเสิบสานเช่นนี้ก็เพราะฐานะของบิดามารดา ลอบบอกตัวนางนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง


 


 


หลินซูเหย่ารีบมองเยี่ยเม่ย เตรียมยอกย้อน “แล้วเจ้าเล่า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร หามิใช่เพราะองค์ชายสี่เห็นเจ้าต่างออกไป เจ้าคิดว่าเจ้าอยู่ในเมืองชายแดนแห่งนี้ได้อย่างมีความสุข ทั้งในมือยังมีอำนาจคุมทหารสองแสนนายอีกเหรอ เจ้าก็เป็นแค่คนที่พึ่งพาบุรุษก็เท่านั้นเอง”


 


 


 “อย่างนั้นหรือ” คราวนี้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วสูง มองสตรีเบื้องหน้าอย่าสงบ ถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ หากเจ้าเป็นข้า หากว่าอำนาจทางทหารอยู่ในมือเจ้า เจ้าก็สามารถเอาชนะได้อย่างสวยงามเช่นข้า นำชัยชนะกลับมาแล้ว”


 


 


เมื่อเอ่ยออกไป ใบหน้างดงามของหลินซูเหย่าพลันแดงก่ำคล้ายกับสีตับหมู


 


 


ถึงแม้นางจะมองตัวเองสูงส่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้จักตัวเอง หากให้นางอยู่บ้านเป็นคุณหนูนั่นย่อมไม่มีปัญหา แต่ให้นางออกรบ อย่าว่าแต่ความสามารถในการสังหารคนเลย แม้แต่ความกล้าในการสังหารก็ยังไม่มี


 


 


เห็นนางใบหน้าแดงก่ำไม่พูดไม่จา


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยถามเสียงเย็น “ทำไมกัน ไม่พูดหรือว่าไร้คำพูด หรือว่าละอายใจแล้ว”


 


 


 “วิชาความรู้มีหลายแขนง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะร้องเพลงปักผ้าได้” หลินซูเหย่ารีบย้อนกลับมาคำหนึ่งในทันที


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็นชา “ร้องเพลงข้าทำได้ แต่ปักผ้าข้าทำไม่เป็นจริง ๆ แต่ว่าแม่นางที่เข้ามาก็คิดลงมือกับข้าโดยไร้สาเหตุผู้นี้ การปักผ้ากับหัวข้อที่เราคุยกันอยู่นี้เกี่ยวข้องอะไรกันหรือ ทหารศัตรูจะยอมถอยทัพหนีเพราะเจ้าปักผ้าเป็นหรืออย่างไร”


 


 


 “เจ้า…” หลินซูเหย่าคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีที่ชวนให้คนมองรู้สึกเย็นชาราวตู้น้ำแข็งคนหนึ่ง จะยอกย้อนได้เก่งเพียงนี้


 


 


พูดไม่กี่คำ ก็จู่โจมเสียตัวนางไม่เหลือทางถอย


 


 


จริงด้วย การปักผ้าไม่เกี่ยวข้องกับทัพใหญ่ ตราทัพและความสามารถการรับศึกของเยี่ยเม่ยเลยแม้แต่น้อย


 


 


เยี่ยเม่ยปล่อยมือหลินซูเหย่าออกอย่างแรง ในชั่วขณะนั้นเอง หลินซูเหย่ายืนไม่มั่น ล้มลงที่พื้นทันที


 


 


ส่วนเยี่ยเม่ยเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา ค่อย ๆ เอ่ยว่า “เห็นแก่ว่าเจ้าเมืองหลินดีกับข้าอยู่บ้าง ไม่สังหารเจ้าชั่วคราว บอกเป้าหมายของเจ้ามาเป็นการแลกเปลี่ยนให้เจ้าออกจากห้องข้าไปได้อย่างปลอดภัย”


 


 


หลังจากหลินซูเหย่าฟัง นางจ้องเยี่ยเม่ย “ที่บอกว่าข้าออกไปอย่างปลอดภัยคืออะไรความหมายของเจ้าคือ เจ้ายังกล้าลงมือกับข้าหรือ”


 


 


 “เมื่อครู่เจ้าก็คิดจะลงมือกับข้าแล้ว ข้ายังไม่กล้าลงมือกับเจ้าหรือไง” เยี่ยเม่ยย้อนถาม สีหน้าเย็นชา เอ่ยต่อไปว่า “เจ้าฟังให้ดี ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเป็นคนอ่อนโยนมาก ดังนั้นถึงอดทนเจ้าได้นานขนาดนี้ หากคำตอบของเจ้าไม่อาจทำให้ข้าพอใจได้ ข้าไม่เพียงจะตีเจ้า แต่ยังจะตีจนเจียนตายด้วย”


 


 


เอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยพยักหน้า ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เสริมขึ้นอีกประโยคว่า “วิธีการตี เจ้าสามารถศึกษาจากสภาพของซือถูเฉียงในยามนี้ได้”


 


 


ถูกตี แล้วยังต้องไปศึกษาวิธีการอีกหรือ


 


 


……….


 


 


หลินซูเหย่าอึ้งไป ฉุกคิดอะไรได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตนเองจะมา ก็ได้ฟังเรื่องท่านหญิงซือถูเฉียงขาขาดสองข้างออกจากเมืองชายแดนไป นางไม่ได้สนใจเลยสักน้อย ทว่าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่นาง


 


 


เยี่ยเม่ยอารมณ์ไม่ดีนัก


 


 


จิ่วหุนหนีออกจากบ้าน พวกเซียวเยว่ชิงพากันไปตามหาคนตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวส่งกลับมาเลย


 


 


ตัวนางกำลังฝึกวิชา ก็พบเจอสถานการณ์ชวนปวดหัวและลำบากยิ่ง


 


 


ตอนนี้ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาท้าทาย นางย่อมเกิดความคิดจะลงมือ…


 


 


เวลานี้หลินซูเหย่าจ้องเยี่ยเม่ยอย่างเย็นชา ใบหน้าไม่มีความหวาดกลัว ทว่าในใจหวาดกลัวอยู่บ้าง นางฝืนเอ่ยปากว่า “ข้าคือบุตรสาวของเจ้าเมืองหลิน เป็นไข่มุกล้ำค่าในมือของเจ้าเมือง หากเจ้ากล้าทำอะไรข้า อย่างนั้น…”


 


 


หลินซูเหย่ายังไม่ทันเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบทด้วยเสียงเย็นชา “วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ หากเจ้ายังไม่หยุดพูดจาเหลวไหล ข้าก็ไม่มีปัญหาที่จะเอาโทสะทั้งหมดในวันนี้ไประบายที่เจ้า”


 


 


หากมีคนมาหาถึงที่ ก็นับเป็นที่ระบายอารมณ์


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ปฏิเสธที่จะลงมือ


 


 


จากคำพูดของเยี่ยเม่ยประโยคนั้น สิ่งที่ติดตามมายังมีไอสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง เวลานี้หลินซูเหย่าหัวศีรษะชาวาบ ชั่วขณะนั้นไม่กล้ารีรออีกต่อไป


 


 


นางมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “คนที่ไร้คุณธรรมอย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรให้คุณชายเสี่ยวจิ่วขายชีวิตให้”

 

 

 


ตอนที่ 137

 

ตอนที่ 137 เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวมั่ว หรือเสี่ยวเหอก็ได้

 


 


 


 


“หืม” เกี่ยวข้องอะไรกับจิ่วหุน  


 


 


เยี่ยเม่ยประเมินแม่นางที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าตนเองฟังผิดไป 


 


 


ระยะนี้เจ้าหนูจิ่วหุน ก็ติดตามอยู่ข้างหลังนางตลอด โดยทั่วไปแล้วแทบไม่ได้ไปข้างนอกเลย 


 


 


อีกทั้งนิสัยของเจ้าเด็กนั่น เยี่ยเม่ยเข้าใจเป็นอย่างมาก นิสัยที่ไม่มีทางเข้าไปพูดคุยกับใครก่อน ดังนั้น ไฉนจู่ๆ ถึงมีสตรีนางหนึ่งโผล่มาออกหน้าให้จิ่วหุนเล่า 


 


 


นี่คือปัญหา 


 


 


แต่เมื่อคิดถึงใบหน้างามไร้ที่ติ หญิงก็รักชายก็ชอบของจิ่วหุน ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง รวมไปถึงท่าทางองอาจสง่างาม หากบอกว่ามีคนสองคนโผล่ออกมารักชอบเขา ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ 


 


 


เห็นสายตาของเยี่ยเม่ยทวีความล้ำลึก 


 


 


หลินซูเหย่าในยามนี้ก็รู้ว่าเรื่องที่ตนเองชอบคุณชายเสี่ยวจิ่วเปิดเผยต่อคนเบื้องหน้าแล้ว  


 


 


นางหน้าแดงเรื่อ 


 


 


แต่หน้าแดงไม่ทันไร หลินซูเหย่าเอ่ยปากว่า “คุณชายเสี่ยวจิ่วดีต่อเจ้าถึงขนาดนั้น แต่หลังจากที่เขาประมือกับองค์ชายสี่แล้ว เจ้าก็ไปหาเพียงแค่องค์ชายสี่ ไม่ไปหาคุณชายเสี่ยวจิ่ว จึงทำให้เขาหนีออกไป ตอนนี้เจ้าไม่สำนึกบ้างหรือ”    


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องหน้าแม่นางที่พูดพร่ำเหตุผลอยู่ตรงหน้าไม่หยุดหย่อน ใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ เพียงสนับสนุนให้หลินซูเหย่า “ยังมีอะไรอีก เจ้าพูดต่อไป” 


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยต่อไปจริง ๆ “ที่น่าโมโหที่สุดคือ คุณชายเสี่ยวจิ่วจากไปแล้ว เจ้าถึงกลับนั่งอยู่ในห้องตัวเอง ไม่ไถ่ถาม เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อความภักดีของเขาบ้างหรือ” 


 


 


หลินซูเหย่าถามด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จิ่วหุนติดตามนางมา ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจิ่วหุน ก็ยังไม่ถึงขั้นให้คนนอกสอดเท้าเข้ามายุ่ง  


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องหลินซูเหย่า  จนกระทั่งทำให้หลินซู่เหย่าหวาดหวั่น ค่อยเอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “ข้าอยากรู้ว่าเจ้ามีฐานะอะไรถึงได้มายุ่งเรื่องของข้ากับเสี่ยวจิ่ว” 


 


 


 “ข้า เจ้า…” หลินซูเหย่าพูดไม่ออก 


 


 


เยี่ยเม่ยมองใบหน้าตรงหน้า ราวกับนางมองไม่เห็นความประหม่าของอีกฝ่าย เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ขอถามหน่อย เจ้ากับเสี่ยวจิ่วมีความสัมพันธ์อะไรกัน เขาอนุญาตให้เจ้ามาถามข้าอย่างนั้นหรือ” 


 


 


หลินซูเหย่ายิ่งชะงักนิ่งพูดไม่ออก  


 


 


ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยสักน้อย  


 


 


นางชอบคุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนคุณชายเสี่ยวจิ่วก็มิได้อนุญาตการตามจีบของนาง แม้กระทั่งเป็นสหายทั่วไปก็ยังไม่อนุญาตด้วย 


 


 


แล้วตัวนางยังมีคุณสมบัติอะไรมาเรียกร้องแทนคุณชายเสี่ยวจิ่วกัยเยี่ยเม่ยด้วย 


 


 


ในขณะที่หลินซูเหย่าตกอยู่ในความประหม่า น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยเย็นเยียบอย่างไม่พอใจ “หากเจ้าเบื่อ ก็กลับไปปักผ้าให้ดี อย่างไรเสียก็เป็นความถนัดเดียวของเจ้า และยังมีความอดทนมากกว่าข้าด้วย อย่ามัวแต่ยืนอยู่ข้างๆ ทำตัวเป็นยายแก่ลิ้นยาวพร่ำวาจาไร้สาระ ไม่ใช่ว่าใครจะอารมณ์ดีเหมือนข้าทุกคน” 


 


 


ฉับพลัน คำพูดของเยี่ยเม่ยปลุกเพลิงโทสะของหลินซูเหย่าขึ้นมา  


 


 


แต่ที่น่าโมโหที่สุดคือ โมโหแต่ก็ระบายออกไปไม่ได้ 


 


 


เยี่ยเม่ยพูดไม่น่าฟังถึงขั้นนี้ ยังจะบอกว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ดีอีก 


 


 


หลินซูเหย่าเอ่ยเสียงสูง “ต่อให้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ก็ถือว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็แล้วกัน” 


 


 


คำพูดนางเอ่ยถึงดอนนี้  เยี่ยเม่ยก็ตัดบทว่า “ไม่ใช่นับว่า แต่เป็นความจริง” 


 


 


ยามนี้หลินซูเหย่าหน้าซีดเซียว 


 


 


ความหมายของเยี่ยเม่ยชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลินซูเหย่า ทั้งไม่ใช่ว่านางยุ่งเรื่องชาวบ้าน 


 


 


แต่คือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวนางและตัวนางก็ยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ  


 


 


หลินซูเหย่ากัดฟันแน่นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ใส่ใจคำพูดของเยี่ยเม่ย เอ่ยปากต่อไป “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร สรุปแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าทำเกินไปหรืออย่างไร การจากไปของคุณชายเสี่ยว เจ้าไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด ไม่รู้สึกอยากไปตามเขากลับมาบ้างเลยหรือ”  


 


 


 “ข้าส่งคนไปแล้ว เจ้าไม่รู้หรือ” เยี่ยเม่ยปรายตามองนาง ถามขึ้น 


 


 


 “เอ๋” หลินซูเหย่าอึ้งไปชั่วขณะ นางรู้แค่ว่าหลังจากเสี่ยวจิ่วจากไป เยี่ยเม่ยก็กลับห้องตัวเอง แต่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายส่งคนออกไปหา  


 


 


ในระหว่างที่หลินซูเหย่าอยู่ในความตะลึง เสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เสี่ยวจิ่วไปที่ไหน ใครก็ยังไม่รู้ ข้าออกไปตามหาเพียงคนเดียว จะมีกำลังมากแค่ไหนเชียว ยามนี้เหล่าทหารออกไปตามหาแล้ว เจ้าคิดว่ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่”  


 


 


 “นี่…” หลินซูเหย่าพูดไม่ออกไปชั่วครู่  


 


 


เยี่ยเม่ยมองสีหน้าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่า หลินซูเหย่าไม่รู้เรื่องที่นางส่งคนออกไปตามหา  


 


 


เยี่ยเม่ยมองหลินซูเหย่านิ่งๆ เอ่ยเสียงเย็นชา “แม่นางผู้นี้ ข้าขอเตือนเจ้า ก่อนที่จะระบายอารมณ์ ไปทำความเข้าใจกับเรื่องให้ชัดเจนก่อนค่อยพูด ข้าก็เกลียดคนที่ใส่ร้ายข้า ทั้งยังเกลียดคนที่สอดเรื่องของครอบครัวข้าอีกด้วย” 


 


 


สำหรับเยี่ยเม่ย เสี่ยวจิ่วเป็นเหมือนน้องชาย 


 


 


เรื่องระหว่างพี่น้อง ยังไม่ถึงคราวที่คนนอกจะมาพูดมาก 


 


 


หลินซูเหย่าพูดไม่ออก เดิมคิดมาสั่งสอนเยี่ยเม่ย ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นตัวเองที่ถูกสั่งสอน 


 


 


 “ข้า…ข้ารู้แล้ว” หลินซูเหย่าเอ่ยจบ เตรียมตัวจากไป 


 


 


นางพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ หันมองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ย ในเมื่อเจ้ากับองค์ชายสี่เป็นคู่กัน เจ้าควรรักษาระยะห่างกับคุณชายเสี่ยวจิ่ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยทั้งฉิวทั้งขำ เอ่ยว่า “แม่นางผู้นี้ ในเมื่อเจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ เป็นสตรีนางหนึ่ง อย่าได้เอาแต่พูดเรื่องบุรุษกับคนอื่น”  


 


 


หลินซูเหย่าหน้าซีด 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “เจ้ามาหาข้าถึงที่นี่ เจ้าเมืองหลินรู้บ้างหรือเปล่า เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าคำพูดพวกนี้ของเจ้า เจ้าเมืองหลินจะคิดอย่างไร เจ้าเคยคิดถึงหน้าตาของตระกูลหลินและหน้าตาของสตรีอย่างตัวเจ้าเองบ้างหรือไม่” 


 


 


หลินซูเหย่าหน้าซีด นิ้วมือสั่นเทาชี้เยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “นี่คือเรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้า” 


 


 


 “ใช่ เรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองอีกอย่างเย็นชา “อย่างนั้นเรื่องของข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างไร ข้ากับเสี่ยวจิ่วเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของข้า เกี่ยวอันใดกับเจ้า” 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา หลินซูเหย่าพูดไม่ออก สีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวขาว 


 


 


หลินซูเหย่าคิดไม่ถึงว่าคำพูดของเยี่ยเม่ยหลายประโยค ไม่ใช่เพื่อเอาผิดตัวนาง แต่เพื่อใช้คำที่นางเอ่ยว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ตบหน้านาง 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยคำว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ก่อน เพื่อทำให้นางเสียหน้า 


 


 


ส่วนตัวเองที่ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร เพราะเมื่อครู่ตัวนางเองเพิ่งจะใช้วิธีนี้ต่อว่าเยี่ยเม่ย 


 


 


ในขณะที่หลินซูเหย่าตะลึงและอยู่ในความกระอักกระอ่วน เยี่ยเม่ย สาวเท้ากว้างเข้ามาเบื้องหน้านาง ยกมือขึ้น “เพี๊ยะ” ก่อนที่หลินซูเหย่าจะได้สติ เยี่ยเม่ยตบลงที่หน้าหลินซูเหย่าอย่างแรง 


 


 


หลินซูเหย่าตะลึงไปทันที 


 


 


เยี่ยเม่ยอธิบาย “เรื่องที่เจ้าไม่ชอบอย่าทำกับผู้อื่น ไม่อยากให้ผู้อื่นยุ่งเรื่องของเจ้า เจ้าก็อย่าได้สอดมือสอดเท้าเรื่องคนอื่น ไม่อยากถูกผู้อื่นตบ ก็อย่าคิดตบหน้าคนอื่น” 


 


 


คำพูดเช่นนี้ หลินซูเหย่าก็เข้าใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยตบนาง ก็เพราะว่าตอนที่หลินซูเหย่าเข้ามา ก็เงื้อมือจะตบเยี่ยเม่ย  


 


 


ใบหน้าของหลินซูเหย่าเริ่มชา คนก็นิ่งอึ้งกุมใบหน้าตัวเองพูดไม่ออก 


 


 


รอความเจ็บปวดจนชานั้นผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว เป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาแทนที่ 


 


 


ใบหน้าของหลินซูเหย่าเกิดโทสะ นางยกมือขึ้น เตรียมตบลงไปที่เยี่ยเม่ย 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องมองอีกฝ่าย เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ข้าขอเตือนให้เจ้าคิดให้ดีก่อน ฝ่ามือนี้เจ้าตบลงมา จะรับผลลัพธ์ไหวหรือไม่” 


 


 


หลินซูเหย่าชะงักงัน 


 


 


นางคิดไม่ถึงเลยว่า หลายปีที่ผ่านมานางถูกคนเลี้ยงดูพะเน้าพะนอเอาใจ วันนี้คิดตบตีคนไม่สำเร็จก็ช่างเถอะ กลับเป็นฝ่ายถูกตี ยามนี้ยังถูกข่มขู่ถึงขั้นไม่กล้าแม้แต่จะลงมือกลับ  


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นนางหวาดกลัว ไม่กล้าลงมืออีก  


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา “ดูถูกผู้อื่นก็ถูกผู้อื่นดูถูก คิดทำร้ายผู้อื่น ตัวเองถูกทำร้าย แม่นางเชิญกลับไปเถอะ ฉวยโอกาสยามที่ข้ายินยอมให้เจ้ากลับไป” 


 


 


เพราะเยี่ยเม่ยไม่แน่ใจว่า หากหลินซูเหย่ายังอยู่ต่อไป นางไม่แน่ใจว่าจะระบายอารมณ์เรื่องจิ่วหุนหายตัวไปและปัญหาในในการฝึกกำลังภายในกับอีกฝ่ายหรือไม่ 


 


 


หลินซูเหย่าเห็นท่าทางดุร้ายของเยี่ยเม่ย พลันไม่กล้าเอ่ย มือนางกุมแก้ม หมุนตัวจากไป 


 


 


หลังจากเดินออกจากประตู นางยังเอ่ยปากว่า “วันนี้ข้าไม่ประมาณตนมาท้าทายเจ้า แต่ต้องมีสักวันที่ข้าเอาชนะเจ้าได้” 


 


 


พูดจบ หลินซูเหย่าก็จากไป 


 


 


ทั้งนางยังสาบานอยู่ในใจ วันนี้นางเอาชนะไม่ได้ แต่ภายหน้าต้องมีสักวันที่นางจะทวงเอาศักดิ์ศรีที่เสียกลับคืนมา 


 


 


หลังจากนางไปแล้ว เยี่ยเม่ยกำลังจะหมุนกายกลับ 


 


 


ในเวลานี้บนหลังคามีเสียงฝีเท้าสายหนึ่งดังขึ้นมา เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “วันนี้ช่างคึกคักเชียว” 


 


 


สิ้นเสียงนาง เยี่ยเม่ยล้วงพัดที่ข้างเอว สะบัดไปที่หลังคา 


 


 


พัดกระแทกหลังคาแตกออก 


 


 


ไม่ช้านางก็เห็นใบหน้างดงามที่ไม่คุ้นตา บุรุษผู้นั้นกระพริบตาให้นาง ยิ้มร่าเอ่ยว่า “คนงาม อย่าโกรธไป ข้ามาที่นี่เพื่อหาความสุข มิได้มาเพื่อต่อสู้” 


 


 


สีหน้าเยี่ยเม่ยเย็นเยียบ 


 


 


บุรุษผู้นั้นเห็นสถานการณ์ ใบหน้ายังมีท่าทีทะเล้นไม่เปลี่ยน ทั้งยังไม่ถอยหนีกลับโดดลงมาจากหลังคา เข้าใกล้เยี่ยเม่ย “คนงาม เจ้าเรียกข้าเสี่ยวมั่ว หรือเสี่ยวเหอก็ได้ ข้อดีของข้าคือ สนิทกับผู้อื่น เข้ากับคนง่าย เชื่อว่าเจ้าจะชอบข้าอย่างแน่นอน” 

 

 

 


ตอนที่ 138 ชายงามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่ว จิวมั่วเหอ

 

หลังจากเยี่ยเม่ยฟังเขาเอ่ยจบ นางประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง 


 


 


บุรุษผู้นี้รูปร่างกำยำ ต่างจากลักษณะของชาวภาคกลางทั่วไป เผยความองอาจออกมา 


 


 


ส่วนใบหน้านั้นนอกจากหล่อเหลาสง่างาม ทั้งยังมีความรู้สึกของคนต่างแดน 


 


 


ดวงตาเป็นสีฟ้างดงามราวกับสีฟ้ามหาสมุทร ทำให้คนตกหลุมได้ภายในการมองครั้งเดียว ดวงตางดงามขนาดนี้ ต่อให้อยู่ภายใต้แสงเทียนยามราตรี ก็ยังทำให้คนหลงใหล 


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยประเมินเขา ดวงตาของเขาก็มองกลอกไปมาบนร่างของเยี่ยเม่ยเช่นกัน 


 


 


ใบหน้าเขามีแววทะเล้น สีหน้าเผยความหยอกล้อ คล้ายกับคุณชายเจ้าสำราญผู้ไม่ใส่ใจโลกหล้าท่องเที่ยวในแดนมนุษย์  


 


 


ยามเห็นสตรีนางนี้มองใบหน้าเขา ไร้ซึ่งความเคลิบเคลิ้ม อารมณ์ยังดูเย็นชาด้วยซ้ำไป สายตาของบุรุษหนุ่มก็มีแววสนุกนานเผยออกมา 


 


 


ส่วนแววตาสนุกสนานนี้ก็ทำให้เยี่ยเม่ยมองออกว่า บุรุษผู้นี้หาได้ธรรมดาอย่างที่แสดงออก 


 


 


หลังคนทั้งสองสบตาประเมินอีกฝ่าย บุรุษหนุ่มก็ชม้ายตาใส่เยี่ยเม่ย เอ่ยปากยิ้มแย้มว่า “เป็นอย่างไรบ้าง คนงาม รูปโฉมและท่าทางของข้า ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังกระมัง” 


 


 


เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เยี่ยเม่ยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกเต็มไปด้วยความหวัง” 


 


 


 “แค่ก…” บุรุษผู้นั้นสำลักไปเล็กน้อย รีบเอามือกุมอก ทำท่าราวปวดใจ “อย่าพูดเช่นนั้น ในยามนี้สมควรเอ่ยชมสักประโยค บอกว่าตัวเองไม่ค่อยได้พบบุรุษรูปงามไม่เป็นรองใครเช่นข้ามิใช่หรือ” 


 


 


สิ้นเสียงเขา 


 


 


เยี่ยเม่ยก็รุดมาถึงเบื้องหน้า ดึงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อ จี้คอคนตรงหน้า 


 


 


ราวกับบุรุษผู้นั้นป้องกันไว้อยู่ก่อน ในขณะที่มีดสั้นกำลังเข้าใกล้ตน ก็ยื่นมือออกไปเตรียมหยุดยั้งมีดสั้นของเยี่ยเม่ยเอาไว้ 


 


 


จากนั้น เขาพบว่าความเร็วของเยี่ยเม่ยไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย 


 


 


เขายื่นมือออกมาเช่นนี้ ยังขัดขวางไว้ไม่ทัน เวลาเพียงชั่ววูบ เขาตัดสินใจอย่างฉับพลัน ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มีดของเยี่ยเม่ยถึงไม่ปาดคอตน 


 


 


คราวนี้ ชายหนุ่มก็อดร้องเสียงดังไม่ได้ สีหน้าโศกเศร้ามองเยี่ยเม่ย “นี่ นี่ นี่  ไฉนเจ้าถึงลงมืออย่างโหดเ**้ยมกับบุรุษรูปงามเช่นข้าได้ลงคอกันเชียว หัวใจเจ้าทำมาจากหินผาหรือไง” 


 


 


จากคำพูดประโยคนี้ของเขา เยี่ยเม่ยค่อยๆ ขยับปรับทิศทางของมีดสั้นในมือ   


 


 


บุรุษหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่า หากตัวเองยังคงพูดจาเหลวไหลต่อไป นางจะลงมืออีกครั้งแล้ว 


 


 


ดังนั้น เขาทำหน้าตาทะเล้น “ไม่สู้เอาอย่างนี้ เจ้าถามอะไรข้าตอบอย่างนั้น พวกเราคบกันเป็นสหาย อย่าได้ลงมือใช้อาวุธกับข้าดีหรือเปล่า ข้าไม่อยากเชื่อว่า จะมีคนงามทำกับข้าเช่นนี้” 


 


 


ยามเอ่ยคำพูดนี้ เขายังคงทำท่าทำทางปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงที่หางตาทีหนึ่ง 


 


 


มองเขาก่อกวนอยู่นาน 


 


 


เยี่ยเม่ยหมดความอด รู้อยู่แก่ใจว่าบุรุษเบื้องหน้ามีวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อย เยี่ยเม่ยมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา เอ่ยปากว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่” 


 


 


บุรุษเหยียดมุมปาก ยิ้มอย่างเจ้าชู้ ดวงตาคู่สีฟ้า ยิ่งพราวประกายงดงาม “เจ้าลองเดาดูสิ เสี่ยวมั่วหรือเสี่ยวเหอ เรื่องนี้ไม่น่าเดายาก คนงาม นับแต่แต่แรกเริ่ม ข้าก็ไม่คิดจะปิดบังฐานะของข้ากับเจ้า” 


 


 


เยี่ยเม่ยย่นคิ้ว มองบุรุษเบื้องหน้า เอ่ยว่า “หรือเจ้าก็คือ…” 


 


 


บุรุษหนุ่มฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ยามนั้นสีหน้าค่อยแสดงว่าพบคนที่รู้ใจ รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอียงคอตั้งใจทำตัวน่ารัก มือข้างหนึ่งกำหมัด คล้ายยัดเข้าไปในปาก พยักหน้าใส่เยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว 


 


 


แสดงออกว่า…คือข้า ข้าก็คือ 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “คือ…” 


 


 


           “อือ อือ” บุรุษหหนุ่มรีบพยักหน้ารัวเร็วขึ้น หางตามีน้ำตาแห่งเห็นด้วย 


 


 


จากนั้น 


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางตื่นเต้นของเขา สุดท้ายก็พ่นคำพูดประโยคหนึ่งออกมา “ข้าไม่รู้” 


 


 


 “ตุบ” 


 


 


บุรุษหนุ่มขาเซไปเล็กน้อยเกือบล้มลง 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเม่ยเหมือนจะเอ่ยอยู่ตั้งนาน สุดท้ายกลับเดาฐานะของเขาไม่ถูก 


 


 


บุรุษหนุ่มลูบหน้าตัวเองอย่างเศร้าสลด เจ็บปวดใจเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริง เพียงแค่ออกบวชไม่กี่ปี ผู้คนก็ลืมข้าผู้มีอิสระเสรีองอาจสง่างามแล้ว คนงาม เป็นเจ้าผู้เดียวที่ลืมข้า หรือว่าคนทั่วหล้าต่างลืมข้าไปหมดแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยมาในยุคนี้ภายหลัง นางไม่รู้จักบุรุษตรงหน้าก็ไม่ปกติ แต่ว่าคนอื่นรู้จักหรือไม่ นางก็ไม่รู้ชัดเจน 


 


 


เรื่องที่ไม่รู้ชัดเจน นางไม่เอ่ย 


 


 


หญิงสาวเพียงจ้องบุรุษหนุ่มตรงหน้า เอ่ยว่า “ท่านเล่าเรื่องของท่าน เพื่อเตือนข้าสักหน้อย ว่าท่านคือใคร” 


 


 


ไม่ว่าเขาจะพูดเรื่องในอดีตอย่างไร เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางคิดออกว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่นางอยากรู้เรื่องของเขา เพื่อตัดสินความสามารถและฐานะของบุรุษเบื้องหน้านี้ 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นก็เดินมาตรงหน้านางทันที 


 


 


สีหน้าจริงจังเอ่ยปากว่า “ข้าน่ะ ปีนั้นข้าขึ้นเหนือล่องใต้ ใบหน้าหล่อเหลา ทำให้คนงามไม่น้อยหลงเสน่ห์ ไม่ว่าเดินทางไปที่ไหน ล้วนมีสตรีมอบผ้าเช็ดหน้า ถุงหอมและของขวัญ…” 


 


 


เขากำลังพูดพร่ำไม่หยุด กลับเห็นสายตาที่เยี่ยเม่ยมองเขายิ่งเย็นชาขึ้นทุกที 


 


 


ชายหนุ่มกระตุกมุมปากเบาๆ  


 


 


มองมีดสั้นในมือเยี่ยเม่ย ที่ขยับอีกครั้ง แสดงออกว่าจะลงมือ เขารีบเอ่ยปากว่า “อย่าทำแบบนี้ ข้าแค่เกริ่นนำไปก่อนเท่านั้น อยากให้เจ้าเข้าใจข้าทุกๆ ด้าน” 


 


 


 “หากเจ้าพูดจาเหลวไหลต่อไป ข้าจะให้เหยียนอ๋อง[1]ทำความเข้าใจเจ้าแทนข้า” แววตาของเยี่ยเม่ยเย็นเยือก หมดความอดทนฟังเขาเอ่ยวาจาไร้สาระอีกต่อไป        


 


 


บุรุษหนุ่มเหยียดปาก คล้ายได้รับความอยุติธรรมอย่างสุดซึ้ง กล่าวว่า “อย่างนั้นก็ได้ ฮือๆๆ…” 


 


 


บุรุษร่างสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ร้องฮือๆ อยู่ที่นี่ เยี่ยเม่ยชักอยากถีบเขาตายไปในครั้งเดียว 


 


 


ดีที่ชายหนุ่มร้องฮืออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กลับสู่ภาวะปกติ 


 


 


สีหน้าน้อยอกน้อยใจไม่ยินยอม เอ่ยว่า “ข้านั้น มีชื่อจิวมั่วเหอ ชายงามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่ว เรื่องราวที่มีชื่อเสียงที่สุดของข้าก็ นำกำลังทหารกล้าสองพันนาย บุกทะลวงค่ายทหารศัตรูแสนนาย ตัดศีรษะของผู้นำทัพของศัตรูมาได้ ช่วยเหลือท่านข่านแห่งต้ามั่ว รวบรวมแผ่นดินต้ามั่วเป็นหนึ่งเดียว” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สายตาเยี่ยเม่ยนิ่งลง 


 


 


ฐานะของอีกฝ่ายชัดเจนมาก คนของราชาต้ามั่ว ดูท่าฐานะน่าจะไม่ต่ำเสียด้วย 


 


 


อย่างนั้น ผู้มาย่อมเจตนาไม่ดี 


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยฉายไอสังหาร เอ่ยปากว่า “ดูท่า จะเป็นศัตรูมิใช่มิตรแล้ว” 


 


 


เห็นจิตสังหารบนหน้านาง บุรุษผู้นั้นรีบส่ายหน้า “นี่นี่นี่ เจ้าอย่าได้วู่วาม คำพูดของข้ายังไม่จบเลย เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว หลังจากข้าสังหารคนไปหลายปี ยามนี้รู้สึกถึงว่าตนเองบาปหนา ดังนั้นข้าจึงวางดาบ ชาวภาคกลางอย่างพวกเจ้าไม่ใช่วางดาบบำเพ็ญสำเร็จอรหันต์หรือ ส่วนข้าก็ไปบำเพ็ญที่วัดแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว สีหน้ากลับไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังเย็นชามองบุรุษตรงหน้าเหมือนเดิม 


 


 


นางเอ่ยว่า “จากการแสดงออกของท่าน ข้าดูไม่ออกเลยว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว” 


 


 


 


 


 


[1] ยมบาล 

 

 

 


ตอนที่ 139 เจ้าไม่หวั่นไหวกับข้าเลยสักน้อยหรือ

 

อย่างไรเสีย นางก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งไม่เคยพบมาก่อนว่า มีผู้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรคนไหน เอ่ยปากคำแรกก็พูดจาแบบนี้  


 


 


หยอกล้อสตรี ราวกับจอมเสเพลในหนึ่งร้อยปียากจะหาตัวได้สักคนหนึ่ง 


 


 


ท่าทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวดูคล้ายกับพวกคุณชายเจ้าสำราญ แต่เยี่ยเม่ยดูออก เจ้าหนุ่มนี้หาได้ธรรมดาอย่างที่เขาแสดงออกมา 


 


 


ดังนั้น เจ้าหนุ่มนี่ อย่าบอกว่าบำเพ็ญสำเร็จแล้วเลย ต่อให้บอกว่ากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางเชื่อ 


 


 


นางยังสงสัยด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายบำเพ็ญนั้นใช่อารามแม่ชีหรือไม่ เขาเจาะจงเข้าไปหยอกเอินแม่ชีทั้งหลายมากกว่า 


 


 


 “อย่าได้พูดเช่นนี้” จิวมั่วเหอส่ายหน้าแรงๆ มองเยี่ยเม่ยอย่างจริงจังมากขึ้น เอ่ยปากว่า “เจ้าเข้าใจว่า ถึงข้าจะบำเพ็ญเพียรไม่สำเร็จ แต่ว่าข้าอยู่ในหนทางแห่งการบำเพ็ญจริงๆ” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เบื้องลึกในตากลับมีรอยยิ้มสบายๆ  


 


 


มองจากสายตาเช่นนี้ ก็คือเจ้าคนพูดจาเหลวไหลไร้สาระผู้หนึ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา สีหน้ายังเย็นเยียบเหมือนเดิม เอ่ยปากว่า “ดังนั้นเล่า” 


 


 


 “ดังนั้น ดังนั้น” จิวมั่วเหอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อ “ดังนั้น จั่วอี้อ๋องเปิดศึกกับพวกเจ้า ผลออกไม่ไม่น่ายินดีนัก ท่านพ่อข้าเรียกตัวตัวข้ากลับจากวัด ให้ข้านำทัพต้ามั่ว ท่านพ่อเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญของข้า ต้องเป็นเจ้ากรรมในชาตินี้ของข้าอย่างแน่นอน” 


 


 


เห็นเขาท่าทางลนลานอธิบาย เยี่ยเม่ยปรายตามองทีหนึ่ง เอ่ยว่า “กวนจื้อไจ้ผูซ่า สิงเซิน[1]… ประโยคต่อไปคืออะไร” 


 


 


 “สิงเซินปันรั่วปัวหลัวมีตัวสือ…” จิวมั่วเหอตอบโดยพลัน ทั้งยิ้มจนตาหยีเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ดูถูกข้าเชียว ข้าท่องบทสวดมนต์จริงจังกว่าคนทั่วไปมาก ข้าคือศิษย์ฆราวาสที่เคร่งครัด” 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยว่า “อย่างนั้นหรือ  ศิษย์ฆราวาสที่เคร่งครัด จะไม่รู้ว่าคำสองคำนั้นความจริงต้องออกเสียงว่า ปัวเร่อ[2] อย่างนั้นหรือ” 


 


 


 “เอ๋” จิวมั่วเหอชะงักไปชั่ววูบ 


 


 


เมื่อมองใบหน้าของเยี่ยเม่ยอย่างละเอียด เห็นสีหน้านางมิได้ล้อเล่นเลยสักน้อย ทั้งไม่คล้ายกำลังช่วยแก้คำผิดให้เขา จึงถามอย่างสงสัยว่า “ข้าท่องผิดจริงๆ หรือ” 


 


 


 “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเสแสร้งอีกแล้ว” น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยเย็นเยียบ ตอนนี้นางยังไม่ได้ลงมือ แต่เดินไปที่โต๊ะ รินน้ำชาให้ตัวเอง 


 


 


จากนั้นกล่าว “ศิษย์ฆราวาสผู้เคร่งครัด แม้กระทั่งคำที่แสดงถึงมหาปัญญา ยังไม่รู้ว่าออกเสียงอย่างไร เจ้าว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ 


 


 


คำว่า ปัวเร่อ ทางพุทธศาสนาหมายถึงปัญญา มหาปัญญา 


 


 


ส่วนพระสูตร “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” เป็นหนึ่งในพระสูตรที่สำคัญของศาสนาพุทธเล่มหนึ่ง เป็นการสอนมนุษย์ว่าจะบรรลุถึงฝั่งแห่งมหาปัญญาได้อย่างไร 


 


 


ส่วนเจ้าหนุ่มนี่แม้กระทั่งเสียงอ่านขั้นพื้นฐานยังอ่านผิด หลังจากนางตักเตือนแล้ว ยังชะงักไปอีก ท่าทางไม่รู้เลยสักน้อย ทำให้เห็นได้ว่าคนผู้นี้ศึกษาพุทธศาสนาก็เพื่อหลอกตัวเอง หลอกคนทั่วหล้า 


 


 


หลังจากจิวมั่วเหอฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย ก็รู้ในใจว่าอีกฝ่ายดูออกว่าตัวเองไม่ตั้งใจศึกษาพระธรรม 


 


 


ส่วนเขาก็หาได้ใส่ใจ 


 


 


เขารีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าในวัยเด็กข้าอ่านหนังสือน้อย ดังนั้นจึงไม่ทันใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อย ต่อให้ข้าไปอยู่วัด ก็ยังไม่อาจแก้ไขนิสัยอ่านหนังสืออย่างผิวเผินที่ติดมาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น…” 


 


 


 “อ่านหนังสืออย่างผิวเผิน ชาวต้ามั่วที่พูดคำพูดเช่นนี้ได้ ไม่เหมือนคนร่ำเรียนน้อยตรงไหนเลย” เยี่ยเม่ยรีบเตือนเขา 


 


 


ต้ามั่วย่อมมีตำราของต้ามั่ว 


 


 


ส่วนคำว่าอ่านหนังสืออย่างผิวเผิน เป็นคำพูดที่นิยมในภาคกลาง หากคนตรงหน้าร่ำเรียนมาน้อยจริง ไฉนไม่อ่านแต่ตำราของต้ามั่ว กลับศึกษาตำราของภาคกลางแล้วเล่า คำอธิบายที่เหมาะสมคือ เขาอ่านทั้งตำราต้ามั่วและภาคกลาง 


 


 


คำพูดนี้ของเขา หากเป็นชาวภาคกลางเอ่ย เยี่ยเม่ยยังยอมเชื่อว่าอีกฝ่ายอ่านหนังสือไม่มาก แต่เมื่อเป็นคนต้ามั่วเอ่ย นางไม่กล้าเห็นด้วย  


 


 


คราวนี้  สีหน้าเล่นสนุกไม่อินังขังขอบของจิวมั่วเหอ รวมถึงท่าทางสบายๆ ของเขาพลันหายไปแล้ว 


 


 


เขาถอนหายใจยาว หว่างคิ้วฉายแววขบขัน มองเยี่ยเม่ยอย่างชื่นชม “คนงาม ไฉนความคิดเจ้าถึงได้เฉียบคมนัก ในสายตาเจ้า ข้าไม่อาจปิดบังได้เลย ถูกเปิดโปงครั้งแล้วครั้งเล่า” 


 


 


ต้องรู้ว่ายามเขาอยู่ต้ามั่ว เสแสร้งเล็กน้อยก็มีแค่ไม่กี่คนที่เปิดโปงเขาได้ 


 


 


ดังนั้นมีคนเชื่อว่าเขาอ่านตำราน้อย รู้หนังสือไม่กี่ตัว จากนั้นก็ได้ชัยชนะจากการทำศึก เป็นเพียงแม่ทัพที่รู้จักเอาแต่ดึงดูดความสนใจของเหล่าสตรีเท่าน 


 


 


คนทั้งหลายต่างก็หลงคิดว่า เขาในยามนี้ผ่านการบำเพ็ญมานาน กลายเป็นไต้ซือ จนถึงกระทั่งมีคนที่นับถือพุทธจำนวนไม่น้อย ล้วนนับถือเลื่อมใสเขา  


 


 


คิดไม่ถึงว่า 


 


 


สตรีเบื้องหน้า ใช้การสนทนาสั้นๆ ไม่กี่คำ ไม่ว่าท่าทางบุรุษเจ้าสำราญไม่อินังขังขอบของเขา หรือว่าภาพลักษณ์ของคนตั้งใจศึกษาพระธรรม ไม่มีสักอันที่รักษาเอาไว้ได้ 


 


 


หลังเขาเอ่ยจบ สายตาฉายแววสังหารออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยย่อมมองแววสังหารในตาเขาออก ในโลกก่อนนางเป็นนักฆ่า สำหรับพวกไอสังหารนางรู้สึกได้ไวเป็นอย่างมาก 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียง เอ่ยปากว่า “เจ้าใคร่ครวญให้ดี ที่นี่คือราชสำนักเป่ยเฉิน ถือว่าเป็นค่ายทหารศัตรูของเจ้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าฆ่าข้า หรือเป็นข้าที่ฆ่าเจ้า ต่อให้เจ้าเกิดโชคดี เจ้าก็ไม่อาจมีชีวิตรอดออกไปชายแดนได้” 


 


 


 “ฮ่าฮ่าฮ่า …” จิวมั่วเหอหัวเราะเสียงดัง คิดไม่ถึงว่าสตรีเบื้องหน้าตัวเอง จะตรงไปตรงมาถึงขั้นนี้ ทั้งมีความมั่นใจมากพอ ตนเองกับนางประมือกันได้รับชัยชนะ ยังอธิบายว่าเป็นความโชคดี 


 


 


เห็นเขามีอารมณ์ดี เยี่ยเม่ยส่งสายตามองเขา เอ่ยว่า “หัวเราะพอแล้วก็บอกเป้าหมายของเจ้ามา ที่นี่ไม่ใช่สวนผักที่เจ้าอยากมาก็มาได้โดยพละการ” 


 


 


จิวมั่วเหอกระพริบตาปริบใส่นาง เอ่ยด้วยสีหน้าหยอกล้อ “เป้าหมายของข้าน่ะ ก็คือได้ฟังว่าสตรีที่ทำให้ต้ามั่วเสียเปรียบครั้งยิ่งใหญ่รูปโฉมงดงาม ดังนั้นจึงมาชมดูเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าคนงามผู้นี้ ไม่เพียงแต่รูปโฉมงดงาม ทั้งยังฉลาดเป็นอย่างมาก ข้าเกือบจะหวั่นไหวแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยกวาดตามองเขา หาได้ใส่ใจกับคำว่า ‘หวั่นไหว’ ของเขาเลย กลับเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลต่อไปไม่เลิก อย่างนั้นข้าก็ไม่แน่ใจว่า สุดท้ายเจ้าจะใจสั่นหวั่นไหว หรือว่าหัวใจหยุดเต้นกันแน่” 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยข่มขู่เสร็จ บุรุษหนุ่มก็พุ่งมาอยู่เบื้องหน้า สีหน้าเหมือนได้รับความเจ็บปวดเอ่ยว่า “เจ้าไม่หวั่นไหวกับข้าเลยสักน้อยจริงๆ หรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยยังมีสีหน้าเย็นชาเหมือนเคย น้ำเสียงของนางยิ่งเย็นเยียบ มองใบหน้าตรงหน้า ย้อนถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” 


 


 


จิวมั่วเหอเห็นสายตาเย็นเยือกของนางเวลานี้ก็เข้าใจ ความอดทนของนางใกล้ใช้หมดแล้ว 


 


 


ส่วนตัวเองก็ชวนให้คนรังเกียจจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเสียดาย เอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่า เจ้าก็เหมือนข้า ชอบพอข้า จากนั้นพวกเราก็สามารถลักลอบปฏิบัติการ เจ้าทรยศเป่ยเฉิน ช่วยข้าเอาชนะศึก จะมอบความจริงใจและความร่ำรวยสูงศักดิ์ให้แก่เจ้า น่าเสียดาย…” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยว่า “เดี๋ยวก่อน ต่อให้พวกเราต่างฝ่ายต่างมีใจ ลักลอบปฏิบัติการ ก็ควรเป็นเจ้าทรยศต้ามั่ว ช่วยข้าเอาชนะศึก ข้านำความร่ำรวยและสูงศักดิ์ให้กับเจ้า” 


 


 


 “หืม” จิวมั่วเหอไม่อยากเชื่อคำพูดที่เขาได้ยิน 


 


 


ในสถานการณ์ปกติ ไม่ใช่ว่าแต่งกับสามีก็ติดตามสามีหรือไง 


 


 


หลังจากเขาชะงักไปชั่วครู่ รอยยิ้มในดวงตาก็ชัดเจนขึ้น ขยับเข้าใกล้เยี่ยเม่ย คันไม้คันมือคิดเล่นผมนาง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย สตรีชาวภาคกลางล้วนเป็นเช่นเจ้า หรือว่ามีเพียงเจ้าคนเดียวที่เป็นเช่นนี้” 


 


 


สตรีภาคกลาง เขาไม่ใช่ไม่เคยพบ ทั้งยังเคยหยอกเอินด้วย แต่ไม่เคยพบคนเช่นนาง 


 


 


เยี่ยเม่ยหลบมือของเขาอย่างปราดเปรียว น้ำเสียงเย็นชา ทั้งมั่นใจเอ่ยว่า “ข้าย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า” 


 


 


 “ฮ่าฮ่าๆ…” จิวมั่วเหอพลันหัวเราะเสียงดัง มองแววตาเยี่ยเม่ย ยิ่งเต็มไปด้วยความสนใจ “ดี คนงาม เจ้าช่างตรงกับความชอบของข้าเข้าไปทุกทีแล้ว ไม่ช้าเจ้ากับข้าจะได้พบกันในสนามรบ ข้าบุกเข้าห้องเจ้าในวันนี้ ข้าอยากรู้ว่า เจ้าจะจัดการข้าอย่างไร เรียกคน หรือว่าประมือกับข้า หรือว่า…” 


 


 


เขายังไม่ทันเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบทเขา “เก็บท่าทางหยั่งเชิงของเจ้าไว้  หยั่งเชิงมากไปไม่อาจทำให้เจ้ารู้จักข้ามากขึ้น มีเพียงแต่จะแสดงความโง่งมของเจ้าออกมา ข้ามีความอดทนไม่มาก เจ้าคิดจะใช้คำพูดเหลวไหลยั่วโมโหข้าต่อไป หรือว่าจะตอบคำถามตรงๆ” 


 


 


สำหรับคนที่เป็นผู้นำทัพของศัตรู แฝงกายเข้ามาในเมือง บุกมาถึงห้องนาง พูดจามากมายขนาดนี้ เยี่ยเม่ยไม่มีทางเชื่อว่าอีกฝ่ายกินอิ่มนอนหลับว่างงาน ถึงได้มาหาเรื่องแก้เบื่อที่นี่ โดยเฉพาะอีกฝ่ายไม่ปิดบังชื่อและฐานะ ยิ่งทำให้เห็นว่าเขามาเพราะมีเป้าหมาย” 


 


 


วันนี้เยี่ยเม่ยอารมณ์ไม่ดีจริงๆ ไม่คิดพูดจาเหลวไหลกับเขาต่อไปอีก 


 


 


จิวมั่วเหอพลันหัวเราะออกมา ยิ้มร่าเอ่ยปากว่า “ในเมื่อเจ้าตรงไปตรงมาเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็ไม่ปิดบัง ข้าคิดมาดูความสามารถของเจ้า จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะร่วมมือกับเจ้า หรือว่าสังหารเจ้าเพื่อเป็นการปูทางให้ข้าดี” 


 


 


           ประกายตาเยี่ยเม่ยเย็นวาบมองเขา “ดังนั้น เจ้าสรุปได้ว่าอย่างไรเล่า” 


 


 


 


 


 


[1] บทสวดในพระสูตร “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร” 


 


 


[2] 般若 ปกติแล้วสองคำนี้ ออกเสียงว่า ปันรั่ว แต่ถ้าออกเสียงตามพระสูตรจะอ่านว่า ปัวเร่อ หมายถึง มหาปัญญา 

 

 

 


ตอนที่ 140 เจ้าแพ้แล้ว ก็จบชีวิตตัวเองเถอะ

 

จิวมั่วเหอหัวเราะเบาๆ สายตามองเยี่ยเม่ย “ไฉนต้องร้อนรนเช่นนี้ ไม่สู้พวกมาพนันกันเป็นอย่างไร” 


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขา ไม่พูด 


 


 


จิวมั่วเหอลูบจมูก เอ่ยปากอย่างจนปัญญาว่า “เจ้าไม่ไว้หน้าข้าเลยสักนิด ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดนัก” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา “ข้าไม่ชอบพนัน นอกจากของพนันจะทำให้ข้าหวั่นไหวได้” 


 


 


จิวมั่วเหอกะพริบตาใส่เยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ย “ข้าเชื่อว่า การพนันครั้งนี้ต้องดึงความสนใจของเจ้าได้แน่”  


 


 


เยี่ยเม่ยจ้องเขา รอฟังคำพูดต่อไป  


 


 


จิวมั่วเหอไม่ลีลาอีก รีบเอ่ยว่า “ง่ายมาก พวกเรานัดการประลอง ภายในสามวัน ข้าจะนำทัพบุกโจมตีเมือง สิ่งที่พวกเราพนันกันก็คือผลแพ้ชนะของศึกนี้” 


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยมองเขา ไม่พูดจา 


 


 


จิวมั่วเหอเอ่ยต่อทันที “หากข้าชนะแล้ว อีกสามศึกครั้งหน้า เจ้าต้องแพ้ให้ข้าอย่างหมดจดไม่ให้มีพิรุธ” 


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยว่า “ไม่ต้องคาดการณ์เรื่องเป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าไม่แพ้แน่ เจ้าบอกมาเถอะว่า หากเจ้าแพ้ สมควรทำอย่างไร” 


 


 


มุมปากจิวมั่วเหอกระตุก จ้องใบหน้าเยี่ยเม่ยตรงๆ เอ่ยปากด้วยความแปลกใจปนเจ็บใจ “คนงาม เจ้ามีความมั่นใจขนาดนี้เชียวหรือ” 


 


 


 “เจ้าพูดมากอีกหน่อยก็ได้ ลองดูว่าข้ามีความมั่นใจจริงหรือเปล่า” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา สายตาไม่เป็นมิตร 


 


 


จิวมั่วเหอก็เข้าใจ นิสัยของเยี่ยเม่ยไม่ใช่จะดีมากนัก 


 


 


เขากะพริบตาปริบใส่เยี่ยเม่ย “หากข้าแพ้แล้ว ข้ายอมให้เจ้าจัดการ ไม่ว่าเจ้าจะฆ่าข้า หรือว่าเอาตัวข้าไว้ หรือว่า…” 


 


 


เขายังไม่ทันสาธยายจบ เยี่ยเม่ยก็ตัดบท 


 


 


หญิงสาวเอ่ยว่า “หากเจ้าแพ้แล้ว ก็จบชีวิตตัวเองซะ” 


 


 


 “แค่ก…” จิวมั่วเหอสำลักอีกครั้ง เขาชี้จมูกตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “เจ้าให้ข้าจบชีวิตตัวเอง เจ้าดูใบหน้าหล่อเหลาของข้าสิ ทั้งยังมีนิสัยชวนให้คนหลงรัก เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามอง “ข้ามั่นใจ” 


 


 


จิวมั่วเหอเบิกดวงตาสีฟ้ากว้างขึ้น คล้ายถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง มองเยี่ยเม่ยเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นกุมอกตัวเอง “ชั่วชีวิตนี้ข้าถูกโจมตีทั้งหมด ยังไม่มากเท่าวันนี้วันเดียว” 


 


 


หรือเพราะหลังจากไปอยู่วัดหลายปี รสนิยมต่อความงดงามของโลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่เป็นคนน่าดึงดูด ไม่ใช่จิวมั่วเหอที่ทำให้สตรีทั่วหล้าเคลิบเคลิ้มอีกต่อไป 


 


 


เยี่ยเม่ย คร้านจะฟังวาจาเหลวไหลของเขาอีก เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พนันหรือไม่” 


 


 


จิวมั่วเหอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง 


 


 


มองเยี่ยเม่ยหลายที คลี่ยิ้ม รีบส่ายหน้า เอ่ยปากบอกว่า “ข้าไม่เอา พนันกันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หากข้าชนะแล้ว เจ้าก็แค่แพ้ให้ข้าสามครั้ง แต่หากข้าแพ้แล้ว ข้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่คุ้มค่าเลยสักน้อย”   


 


 


จิวมั่วเหอเอ่ยจบ มองสีหน้าไม่พอใจของเยี่ยเม่ย  


 


 


สีหน้าของเขาพลันสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีทะลึ่งตึงตังแบบเมื่อครู่อีก กลับเอ่ยปากอย่างจริงจังว่า “หากข้าแพ้แล้ว เจ้าจะมีพันธมิตรเพิ่มอีกคนหนึ่ง เพื่อรับรองว่าการศึกครั้งนี้ ราชสำนักเป่ยเฉินจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน สุดท้ายต้ามั่วจะส่งหนังสือยอมจำนนมาให้” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยก็ฟังความนัยออก 


 


 


หญิงสาวมองเขา ถาม “เจ้ากล้าพนันถึงขั้นนี้” 


 


 


ไฉนต้องพนันเช่นนี้ 


 


 


จิวมั่วเหอเป็นผู้นำทัพของต้ามั่ว กลับเป็นพันธมิตรกับตนเอง ทั้งยังรับประกันว่าการศึกครั้งนี้ ตัวเองจะต้องชนะ นี่เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว 


 


 


แต่จั่วอี้อ๋องพ่ายแพ้ไปแค่ครั้งเดียว ตำแหน่งผู้นำทัพก็เปลี่ยนคนแล้ว จิวมั่วเหอมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร รับรองว่าจะมอบหนังสือยอมจำนน เขาจะไม่ถูกจัดการหรอกหรือ 


 


 


จิวมั่วเหอมองความสงสัยของเยี่ยเม่ยออก มองนางตาปริบๆ ก็เริ่มเรียกร้องออกมาอีก “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนมั่นใจ รู้สึกว่าตัวเองจะไม่แพ้ ถึงได้มีความกล้าหาญขนาดนี้” 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียง เปิดโปงว่า “หากเจ้ามีความมั่นใจจริงๆ เหตุใดไม่กล้าตกลงเรื่องจบชีวิตตัวเอง” 


 


 


รอยยิ้มที่มุมปากจิวมั่วเหอพลันแข็งค้าง 


 


 


เขาค้นพบว่า ต่อหน้าสตรีเบื้องหน้าผู้นี้ ทางที่ดีเขาไม่ควรเอ่ยคำโกหก นางมองปราดเดียวก็เปิดโปงได้แล้ว 


 


 


ดังนั้นเขาจึงเอ่ยรับว่า “ลองสมมติว่าข้าแพ้ อย่างนั้นข้าก็จะร่วมมือกับเจ้าขจัดกองกำลังของราชาต้ามั่ว เชื่อว่าในเมื่อเจ้าฉลาดถึงขั้นนี้ ดูออกว่าข้าไปศึกษาพระธรรมคือเรื่องหลอกลวง อย่างนั้นเจ้าก็ต้องดูออกว่า ข้าสนใจในตำแหน่งราชาต้ามั่ว เดิมข้าก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับเป่ยเฉิน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะส่งหนังสือยอมจำนนก็หาใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “นี่ถึงจะมีเหตุผล” 


 


 


แต่เจ้าหนุ่มเริ่มแรกก็พูดจาโกหก มาถึงตอนนี้พลันเอ่ยด้วยความจริงใจ นางยังมีความสงสัยอยู่บ้าง 


 


 


โดยเฉพาะ เปลี่ยนไปไวขนาดนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามว่า “อย่างนั้น ไฉนเจ้าไม่เลือกร่วมมือกับข้า แต่ต้องพนันกันก่อนเล่า” 


 


 


จิวมั่วเหอพลันยิ้มออก จ้องเยี่ยเม่ยอย่างลุ่มลึก คล้ายมองความคิดของนางออก เอ่ยปากว่า “ง่ายมาก เพราะว่าข้าต้องรู้ความสามารถของเจ้า หากความสามารถของเจ้าไม่พอ ร่วมมือกับเจ้าอันตรายเกินไป อย่างนั้นไม่สู้กำจัดเจ้าไปเลย ทำให้เป่ยเฉินพ่ายแพ้ จากนั้นค่อยคิดแผนการภายหลัง” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ย “คำพูดนี้ข้าเชื่อ” 


 


 


จิวมั่วเหอทำท่าคล้ายได้รับบาดเจ็บ เอามือกุมหน้าอก มองเยี่ยเม่ย  “หรือคำพูดของข้าเมื่อครู่ เจ้าล้วนไม่เชื่อ” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขา เอ่ยจากใจว่า “นับแต่เจ้าเข้าประตูมา มีเพียงสามประโยคเท่านั้นที่เป็นความจริง อันดับแรกชื่อของเจ้า อันดับที่สองเป้าหมายในการร่วมมือ อันดับที่สามก็คือคำพูดประโยคเมื่อครู่” 


 


 


จิวมั่วเหออึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นมองเยี่ยเม่ยสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ยิ้มกว้าง “ข้าแปลกใจเหลือเกิน โลกนี้ไฉนถึงมีสตรีเช่นเจ้า” 


 


 


เย็นชาเช่นนี้ ถึงกระทั่งสันโดด เอ่ยวาจาง่ายดายและตรงไปตรงมาชัดเจน ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ราวกับหน้าตาของผู้อื่น สำหรับนางแล้วไม่มีค่าให้เอ่ยถึง 


 


 


อยากเอ่ยอะไรก็เอ่ย… 


 


 


ที่สำคัญคือ นางฉลาดมากพอ ทั้งยังมีไหวพริบ 


 


 


หลังจากเขาคลี่ยิ้มอยู่นาน กะพริบตาใส่เยี่ยเม่ย แววตาเต็มไปด้วยความหลงใหล เอ่ยว่า “เป็นอย่างไร เจ้าจะพนันหรือไม่” 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงออกมา เอ่ยปากโดยไม่ลังเลว่า “พนัน” 


 


 


คราวนี้กลับเป็นจิวมั่วเหอที่ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ เขาสำรวจสีหน้าเยี่ยเม่ย ค่อยกล่าวว่า “เจ้าไม่ใคร่ครวญสักนิด ก็รับพนันแล้วหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “ทำไมต้องใคร่ครวญด้วย” 


 


 


 “หากเจ้าแพ้แล้ว เจ้าต้องยอมแพ้ให้ข้าสามครั้ง บางทีเพราะเหตุนี้เจ้าอาจต้องเสียตราคุมทัพไป แม้กระทั่งเสียชีวิตเจ้าด้วยก็ได้” จิวมั่วเหอเอ่ยตรงประเด็น 


 


 


เยี่ยเม่ยกลับไม่ใส่ใจ ปรายตามองเขา “ข้าบอกแล้วว่า ไม่ต้องสมมติ ข้าไม่มีทางแพ้” 


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ จิวมั่วเหอก็นิ่งไปชั่วครู่ 


 


 


สักพักหนึ่ง สีหน้าเขามีความสนุกสนาน ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ว่ายินดีหรือโมโห “ดีดี” 

 

 

 


ตอนที่ 141 แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าช่างไม่รับน้ำใจ

 

เป็นครั้งแรกที่เขาจิวมั่วเหอ รู้สึกอย่างชัดเจนว่าตนเองโดนดูถูก


 


 


นางมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ถึงเพียงนี้ อย่างนั้นก็เท่ากับว่า นางมั่นใจเช่นกันว่าเขาจิวมั่วเหอจะต้องพ่ายแพ้


 


 


เห็นเขายิ้มเช่นนี้ เห็นรอยยิ้มในเบื้องลึกของแววตา ความจริงแฝงไปด้วยความโกรธและแววอำมหิต เยี่ยเม่ยกลับดูไม่ออก


 


 


หญิงสาวจ้องเขาเอ่ยว่า “เจ้ายังมีอะไรจะเอ่ยอีก”


 


 


จิวมั่วเหอยิ้มเย็น ยืดตัวตรง ตอบว่า “ไม่ หรือบางทีแม่นางเยี่ยเม่ยยังมีอะไรจะเอ่ยอีกหรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เส้นเสียงเย็นชา “มีประโยคเดียวที่อยากเตือนเจ้า หวังว่าคำพูดของเจ้าจะเชื่อถือได้ แน่นอนว่าหากเจ้าเกิดไม่อยากพนันแล้ว เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”


 


 


คราวนี้ จิวมั่วเหอที่เดิมทีคิดว่าตนโดนดูถูก พลันรู้สึกว่าถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก


 


 


กับแค่ท่าทางมั่นใจว่าจะชนะของสตรีนางนี้ก็ช่างเถอะ ถึงกับคาดการณ์ว่าตัวเขาจะยอมแพ้ไม่เป็น และเตรียมเปลี่ยนใจ


 


 


จิวมั่วเหอมองเยี่ยเม่ย ยิ้มเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย วันนี้เจ้าทำให้ข้าเข้าใจคำว่า มั่นใจในตัวเองแล้ว”


 


 


ความมั่นใจในตัวเองที่เข้าขั้นหลงตัวเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีได้ โดยเฉพาะนางที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองถึงเพียงนี้ ตัวเขาจิวมั่วเหอในสายตานาง ช่างเป็นคนธรรมดาดาษดื่นจริงๆ หรือ


 


 


เยี่ยเม่ยเสียงเย็นชา “หวังว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสเห็นข้าในยามที่มั่นใจมากกว่านี้”


 


 


 “ฮ่าๆๆ…” จิวมั่วเหอเลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องโดนดูถูกอีก ชะงักไปเล็กน้อย หัวเราะร่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้ากับข้าก็รอดูแล้วกัน จิวมั่วเหอขอตัวก่อนแล้ว ขอให้แม่นางเยี่ยเม่ยเตรียมตัวคอยรับศึกไว้ให้ดี”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่คิดรั้งเขาไว้  จับตัวเจ้าหนุ่มนี่ไว้ ไม่ช้าทัพศัตรูก็จะมีผู้นำทัพคนใหม่ ส่วนที่อีกฝ่ายยินยอมพนันกับนาง ผลการพนันก็ดึงดูดคนได้มากพอ เรื่องนี้สำหรับเยี่ยเม่ยแล้ว กลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ดังนั้นปล่อยเขากลับไปอย่างปลอดภัยยิ่งมีประโยชน์มากกว่า


 


 


เยี่ยเม่ยตอบ “ก็ดี ไม่ส่ง”


 


 


เยี่ยเม่ยเรียบง่ายตรงไปตรงมา จิวมั่วเหอก็ไม่คิดอยู่ต่อ อย่างไรเสียการรั้งอยู่นาน อาจทำให้ถูกหาตัวพบ


 


 


เขาคลี่ยิ้มโปรยเสน่ห์ ยักคิ้วหลิ่วตาให้เยี่ยเม่ย “คนงาม ภายในสามวันพวกเราจะได้พบกันอีก อย่าคิดถึงข้าล่ะ ถ้าหากคิดถึงจริงๆ ก็ให้คนส่งสารไปหาข้า ข้าต้องมาหาเจ้าแน่ ปลอบเจ้าที่เปล่าเปลี่ยวยามราตรี”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา กล่าว “หากเจ้ายังเอ่ยวาจาเหลวไหลอีก ข้าจะใคร่ครวญใหม่ว่าจะ พนันกับเจ้า หรือจับเจ้าไว้”


 


 


ยามนี้จิวมั่วเหอยิ้มกว้าง ส่ายหน้าไปมา เขาถอนใจเอ่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้าช่างไม่รับน้ำใจเอาเสียเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่รั้งอยู่นาน ขอตัวก่อน”


 


 


สิ้นเสียง จิวมั่วเหอทะยานออกจากกำแพงไป


 


 


ก่อนไปยังไม่ลืมยื่นมือออกมา ปิดแผ่นกระเบื้องที่ถูกพัดของเยี่ยเม่ยเปิดออก อีกทั้งยามที่เขาปิดกระเบื้องแผ่นสุดท้าย ก็กระพริบตามองเยี่ยเม่ย จงใจยั่วเย้านาง


 


 


เยี่ยเม่ยทำเป็นไม่เห็นกิริยาท่าทางทั้งหมดของเขา


 


 


จนกระทั่งลมหายใจที่อยู่ด้านบนหลังคาหายไป นางถึงมั่นใจว่า จิวมั่วเหอจากไปแล้ว ถึงไม่สนใจอีก


 


 


เยี่ยเม่ยเดินสาวเท้ากว้างๆ ไปข้างหน้าต่าง เปิดลังไม้ออก รื้อของด้านใน


 


 


ขวดกระเบื้องจำนวนไม่น้อยภายใน ด้านบนติดตัวอักษรเอาไว้ บ่งบอกว่าด้านในคือยาสักชนิด


 


 


เยี่ยเม่ยรื้ออยู่นาน พบว่ายาพวกนี้ โดยมากล้วนมีส่วนช่วยในการฝึกยุทธ์ แต่ว่าก็ไม่มีรายละเอียดบอก หากในร่างกายนางแต่เดิมก็มีกำลังภายในสายหนึ่งก่อกวน สมควรใช้ยาชนิดไหน ตอนนี้นางรู้สึกยอมแพ้


 


 


เรื่องนี้ไม่อาจโทษเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เดิมทีนางก็ไม่รู้สภาพภายในร่ายกายของตัวเอง เขายิ่งไม่รู้แน่นอน


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยกำลังปวดหัวอยู่นั้นเอง


 


 


นอกหน้าต่างพลันมีเสียงหัวเราะดังส่งเข้ามา เสียงนี้เยี่ยเม่ยคุ้นเคยมาก นั่นคือเสียงของผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ “ฮี่ๆๆ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคงพบแล้วว่าเมื่อข้าไม่ช่วย เจ้าก็ทำไม่ได้สินะ ตอนนี้เจ้ายอมรับข้าเป็นอาจารย์ อาจารย์จะรีบบอกเจ้าว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร”


 


 


สายตาเยี่ยเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง


 


 


เห็นผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ตาเฒ่าผู้นั้นนั่งอยู่บนต้นไม้ตรงหน้าต่างโดยไม่คำนึงถึงวัยวุฒิของตน  แสดงท่าทางองอาจที่เขาไม่มีอยู่อย่างตั้งใจ


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก


 


 


นางไม่พูดมากความ เดินกลับไปที่เตียง ถอดรองเท้า โยนไปที่ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ด้านนอก “ไปให้พ้น พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”


 


 


วันนี้นางเหนื่อยมากแล้ว


 


 


อีกอย่างนางมองออกว่า ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ หากยิ่งไว้หน้าเขา หางก็จะยกสูงเทียมฟ้า หากทำเป็นไม่ไว้หน้า ก็จะได้รับผลอีกอย่างหนึ่ง


 


 


เป็นอย่างที่คาด เยี่ยเม่ยโยนรองเท้าออกไป ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่กระโดดขึ้นมาโดยไม่อยากเชื่อ


 


 


หลบรองเท้าเยี่ยเม่ย จากนั้นมองรองเท้าที่เยี่ยเม่ยโยนออกมาอยู่นาน คล้ายกับพิจารณาอย่างตั้งใจว่านางเท้าเหม็นหรือไม่ ตนเองถูกรองเท้าเหม็นเน่าข้างหนึ่งโจมตีหรือไม่


 


 


เขาหันหน้ากลับไปมองเยี่ยเม่ยโดยพลัน “ไฉนเจ้าไม่เคารพอาจารย์ในอนาคตของเจ้าเช่นนี้ เจ้าทำเช่นนี้ เกินไปแล้วจริงๆ ข้าจะบอกให้ ยามนี้เจ้าคุกเข่า โขกหัวคารวะอาจารย์สามครั้งดีๆ ข้ายังยอมให้อภัย ไม่เช่นนั้นข้าที่นับว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามน ก็ไม่ใจกว้างอีก”


 


 


 


 


 


“อย่างนั้นก็เชิญท่านกลับไปเถอะ” เยี่ยเม่ยน้ำเสียงเย็นชา กล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่า ท่านไม่ต้องช่วยข้า พรุ่งนี้ข้าไปถาม เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็น่าจะได้คำตอบเช่นเดียวกัน”


 


 


 “อ้อ…” ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ได้ฟัง สีหน้ากำเริบเสิบสานพลันสงบลง


 


 


ดีดตัวจากนอกหน้าต่างเข้ามาข้างเตียงเยี่ยเม่ย ปรึกษาว่า “พูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด แต่เจ้าลองคิดดู เจ้าฝึกเคล็ดวิชาของข้าเสี่ยวเถียนไช่ ข้าย่อมเข้าใจเคล็ดวิชาเล่มนี้มากกว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สิ่งที่ข้าช่วยเจ้า ต้องมากกว่าเขาแน่”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เอ่ยว่า “ข้ายังไม่แน่ว่าจะฝึกเคล็ดวิชาเล่มนี้ ข้าเชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะช่วยหาเคล็ดวิชาเล่มอื่นที่เขาเชี่ยวชาญได้แน่”


 


 


 “นี่นี่นี่ เจ้าอย่าได้ไม่ไว้หน้าข้าขนาดนี้” ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่โมโหจนท้าไปมา “หากมีคนรู้ว่า ในมือเจ้ามีเคล็ดวิชาของข้า เจ้ายังร่ำเรียนเคล็ดวิชาอื่นอีก เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าเ**่ยวๆ นี่ไปไว้ที่ไหน”


 


 


ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ย่นคิ้วกล่าวกับเยี่ยเม่ย “ยังมีอีก ข้าจะบอกความลับที่คนทั่วหล้าไม่รู้กับเจ้าเรื่องหนึ่ง คนทั่วหล้าต่างคิดว่าข้ามีศิษย์น้องเพียงคนเดียว นั่นก็คือนักพรตอู๋ซ่างอาจารย์ของซินเยว่เยี่ยน ความจริงแล้วข้ายังมีศิษย์น้องอีกผู้หนึ่ง คือเสินเซ่อเทียน


 


 


 “เสินเซ่อเทียนคือใคร” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา


 


 


ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ล้มทั้งยืน มองเยี่ยเม่ยอย่างไม่คาดคิด “เจ้าอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมานานขนาดนี้ เจ้ายังไม่รู้ว่าเสินเซ่อเทียนคือใคร เขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็น…”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เห็นเยี่ยเม่ยมองเขา


 


 


ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่พลันไม่เอ่ยต่อ ส่ายหน้า “ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ภายหน้าเจ้าจะเข้าใจเอง สรุปแล้ว เจ้าเพียงรู้ว่า หากเจ้าเป็นศิษย์ข้าไม่เสียเปรียบสักนิดก็พอแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “เป็นศิษย์ท่านไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่า…”


 


 


     ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่เลิกคิ้วสูง มองเยี่ยเม่ยอย่างระวัง “แต่อะไร”

 

 

 


ตอนที่ 142 เอามีดแทงลูกศิษย์ของพี่น้องเพื่อลูกศิษย์ของตัวเอง

 

เยี่ยเม่ยจ้องเขา เอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “แต่ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขสองสามข้อของข้า”


 


 


 “อะไรนะ”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ยังมีความหมายอันใดอีก


 


 


สรุปแล้วตัวเขาผู้เฒ่าที่มีความสามารถเป็นเลิศ เริ่มถูกคนอื่นรังเกียจแล้ว หรือว่าเด็กหญิงที่มาจากอีกโลกหนึ่งล้วนไม่รู้จักขอบเขต


 


 


เขามองเยี่ยเม่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตาอยู่สักพัก ชี้ที่จมูกของตัวเอง “ความหมายของเจ้าคือ ผู้เฒ่าอย่างข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ สอนเจ้าร่ำเรียนวิชา แล้วยังต้องรับเงื่อนไขเจ้าสองสามข้ออีกด้วยหรือ”


 


 


เขาไม่คิดอย่างอื่น เพียงอยากถามโลกนี้ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า นางกวาดตามองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ ท่าทางไม่อยากเชื่อ ไม่ยินยอมของอีกฝ่าย ยื่นมือออกไปดึงผ้าห่มเตรียมนอน


 


 


นางมองผู้เฒ่า เอ่ยว่า “ไม่ยอมก็ช่าง ข้านอนก่อนแล้ว ท่านไปเถอะ”


 


 


 “…” นี่คือการขับไล่ตนเองครั้งที่สองของวันนี้


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตระหนักได้แล้ว ตนเองที่เป็นปรมาจารย์แห่งยุค ในสายตาของเยี่ยเม่ย ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร


 


 


แม้แต่ผายลมก็ยังไม่นับเลย


 


 


เขาอยากจะปาดน้ำตาเพราะความปวดใจ


 


 


หลังจากถอนหายใจยาว เขาโบกมือน้ำตาคลอ “เจ้าไม่ต้องไล่ข้าเช่นนี้ ข้าเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนที่หาตัวจับได้ยากในรอบร้อยปี รูปโฉมในวัยหนุ่มของข้า คนน้อยนิดที่เทียบได้ ข้า…”


 


 


เยี่ยเม่ยจามเสียงดัง


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยามนี้น้ำตาแทบล้นเอ่อ โมโหจนกระโดดโลดเต้น ชี้เยี่ยเม่ยกล่าว “ต่อให้เป็นเจ้าหนุ่มกูเยว่อู๋เหินจอมโอหัง ยังเชื่อฟังเคารพข้า เจ้ากลับ…” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขาทีหนึ่ง เปิดโปงว่า “ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นจอมโอหัง ข้าว่าเขาคงกราบท่านเป็นอาจารย์ตั้งแต่เด็กแล้ว ภายหลังพบว่าท่านทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ก็เข้าสำนักมาแล้ว ไม่อาจไม่เคารพท่าน”


 


 


 “อ้อ…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จนคำพูด ใบหน้าแดงก่ำ ถูกเยี่ยเม่ยทำให้กระอักกระอ่วน


 


 


ความจริงไม่รู้ว่าเพราะอะไร พูดถึงความสามารถของตนสูงส่งอย่างมิต้องสงสัย


 


 


แต่บรรดาลูกศิษย์ของตน หลังจากเข้าสำนักแล้ว สายตามักจะเผยความห่างเหิน ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง ร้อนรน ไม่พอใจ…รังเกียจ


 


 


หรือเป็นอย่างที่เยี่ยเม่ยพูดจริงๆ พวกเขาต่างคิดว่าตนทำตัวไม่เหมาะสมกับอายุแล้ว


 


 


เขาลูบเคราของตัวเอง ฝืนไอสองสามที “แค่กๆ ดี ดีมาก เรื่องของพวกเขา พวกเราไม่ต้องพูดถึงแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าบอกข้อเสนอของเจ้ามา ข้าลองพิจารณาดูว่ารับปากเจ้าได้หรือไม่”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ส่งสายตามองเด็กสาวเบื้องหน้า ให้นางเอ่ยปากกราบอาจารย์ด้วยตัวเองคงไม่มีหวังแล้ว เขาได้แต่ถอยร่นก้าวหนึ่งเพื่อเปิดทาง


 


 


อย่างไรเขาก็เป็นอาจารย์ที่ใจกว้าง เขาได้แต่ปลอบตัวเองเช่นนี้


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาให้ความร่วมมือ พยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยปากว่า “เรื่องแรก พิธีการโขกศีรษะกราบอาจารย์ พวกเราละเว้นไว้”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ลูบเคราตัวเอง พยักหน้ารัวๆ “ละเว้น ละเว้น”


 


 


จากนั้นไม่รู้ว่าเขากำลังปลอบตัวเอง หรือว่าปลอบเยี่ยเม่ยกันแน่ “ไม่มีปัญหา คนสมัยใหม่อย่างพวกเรา  เดิมก็ไม่ควรคร่ำครึในพิธีการ แต่แรกเริ่มข้าก็ไม่คิดให้เจ้าโขกหัวรับอาจารย์ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น”


 


 


เมื่อเอ่ยคำนี้ออกมา สายตาของเขาเจือประกายน้ำตา คล้ายอยากร้องไห้


 


 


ไฉนเขารับศิษย์ตั้งมากมาย แต่ละคนต่างไม่ยินยอมโขกหัวเคารพเขา เขารู้สึกทั้งเจ็บปวดทั้งหนาวเหน็บ


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยต่อ “คนของข้าหายไปคนหนึ่ง ชื่อว่าจิ่วหุน ดูท่าฐานะของเจ้าหนูนี่เมื่อก่อนคือนักฆ่า นักฆ่าปิดบังตัวได้แนบเนียนที่สุด ข้าคิดว่าพวกทหารคงหาตัวเขาได้ยาก ภายในสามวัน ท่านต้องช่วยข้าหาตัวเขาให้พบ”


 


 


 “หา หา” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่โบกมือ ท่าทาง ‘ข้ายินยอม’ เอ่ยว่า “ตามหาคนเพื่อศิษย์ข้า เป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างข้าสมควรทำ ต่อให้เจ้าไม่พูด อาจารย์ก็จะบุกน้ำลุยไฟหาคนให้เจ้า”


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยื่นมืออกมา ปาดน้ำตาที่หางตาออก


 


 


พูดตามตรง เขายังรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเสียเลย


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยต่อว่า “จิวมั่วเหอแห่งต้ามั่วพนันกับข้า ทั้งยังบอกฐานะของตนกับเป้าหมายให้กับข้าฟัง ท่านช่วยไปหาข่าวเรื่องราวของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือที่ลับ ขอเพียงสืบได้ ข้าล้วนต้องการ”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเสริมว่า “ส่วนเรื่องข้อมูลของเขา ข้าต้องการเห็นภายในสองวัน”


 


 


ภายในสามวันต้องเปิดศึก รู้เขารู้เรา รู้ว่าอีกฝ่ายอยากเป็นราชาต้ามั่วอย่างที่บอกหรือไม่ นางถึงมีโอกาสกุมชัยชนะครั้งนี้ได้มากขึ้น


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็ไม่ถามมาก โบกมือรับอย่างใจกว้างอีกครั้ง “สืบ ข้าไปสืบเดี๋ยวนี้ ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ภายในสองวัน เจ้าจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับเขาทั้งหมด เป็นอย่างไร เจ้าว่า ข้าผู้เป็นอาจารย์เข้าหาได้ง่าย คิดแทนลูกศิษย์ ชวนให้คนหลงรักหรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ไม่เลวเลยจริงๆ”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกลำบากใจจนสะอื้น สีหน้าเศร้าสลดเอ่ย “แต่ว่าลูกศิษย์เอ๋ย เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าไฉนเจ้าถึงไม่ให้คนอื่นไปสืบข่าวจิวมั่วเหอ แต่ต้องให้ข้าไป”


 


 


หรือว่านางรู้แล้ว…


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา อธิบาย “ให้คนอื่นไป สืบได้อย่างมากก็เป็นเรื่องในที่แจ้ง เรื่องในที่ลับนั้นต้องการคนที่มีความสามารถถึงสืบได้ ข้ารู้สึกว่าท่านสมควรมีความสามารถนี้กระมัง”


 


 


นี่คือคำพูดจากใจจริง


 


 


ให้แม่ทัพทั้งหลายไปสืบ สิ่งที่สืบได้ย่อมเป็นเรื่องที่จิวมั่วเหอต้องการให้ทุกคนพบเห็น ส่วนเรื่องที่เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ต้องไม่มีอย่างแน่นอน แต่ให้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ที่เป็นยอดฝีมือไปสืบ ทุกอย่างต้องไม่เหมือนกัน


 


 


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยไม่รู้อะไร ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้สึกวางใจ ทั้งเบิกบานใจเพราะเยี่ยเม่ยคาดเดาความสามารถของตนออกมาได้


 


 


จึงพยักหน้าติดต่อกัน “อืม ก็ดี ข้าต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา เอ่ยว่า “หากข่าวที่ท่านบอกข้ามีเรื่องเท็จสักอย่างเดียว ก็อย่าโทษที่ข้าส่งคนไปไล่ฆ่าท่าน”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มุมปากกระตุก รีบกระโดดขึ้นมา จ้องเยี่ยเม่ย “ต้องโหดเ**้ยมถึงขั้นนี้เชียว”


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเขา เลิกคิ้ว “นอกจากท่านกับจิวมั่วเหอติดต่อกันเป็นการส่วนตัว?”


 


 


 “นี่…” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่นิ่งไปชั่วครู่ เอ่ยปากว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง แทงมีดใส่ลูกศิษย์ของพี่น้องเพื่อลูกศิษย์ตน เป็นเรื่องที่ผู้เป็นอาจารย์อย่างข้าสมควรทำ ข้าย่อมไม่บอกข่าวเท็จให้เจ้าแน่ เจ้าวางใจได้ กลับเป็นลูกศิษย์ของพี่น้องต่างหาก นอกจากให้ข้าเสียบมีดใส่เขาแล้ว ยังจะช่วยข้าทำอะไรได้อีก”

 

 

 


ตอนที่ 143 ศิษย์เอ๋ย ข้ารู้สึกว่าข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์แล้ว

 

คำพูดนี้ ยอมรับอย่างชัดเจนว่า เขากับจิวมั่วเหอมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาอีกอย่างระบุความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิวมั่วเหอเอาไว้


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยปาก “ดูจากความจริงใจของท่าน อาจารย์อย่างท่าน ข้ายอมรับแล้ว”


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “…”


 


 


เขาปาดน้ำตาเห็นความปวดใจที่หางตา เอ่ยว่า “อย่างนั้น ศิษย์เอ๋ย อาจารย์พูดคำพูดจากใจสักคำได้หรือไม่”


 


 


 “ท่านว่ามา” อีกฝ่ายยอมรับเงื่อนไขทั้งสามข้อแล้ว หากตัวเองยังไม่ยอมตอบคำถามแค่ข้อเดียว ก็แสดงออกได้ชัดเจนว่าตนเองไม่รู้จักถนอมน้ำใจคนแล้ว


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ปาดน้ำตาแห่งความปวดใจอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ความจริงก็ไม่มีอะไร ก็แค่อยากถามว่า เพราะอะไรวันนี้คล้ายกับว่าเจ้ารับข้าเป็นศิษย์”


 


 


ตามหลักแล้ว ล้วนเป็นอาจารย์ที่ต้องยื่นข้อเสนอมิใช่หรือ


 


 


ไฉนถึงทีเขากับนังหนูนี่ กลายเป็นนางยื่นข้อเสนอยกใหญ่ อีกทั้งตัวเขาเองยังตอบรับทั้งหมดอีกด้วยเล่า


 


 


เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักน้อย


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามว่า “ดังนั้นท่านเอ่ยเช่นนี้ ก็เพราะว่าท่านไม่พอใจแล้วหรือ หากท่านไม่พอใจ อย่างนั้นก็ไม่ต้องรับข้าเป็นศิษย์…”


 


 


 “ไม่ไม่ไม่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ส่ายหน้าโดยพลัน กล่าวด้วยน้ำตาคลอว่า “ข้าไม่ฝืนเลยสักนิด จริงๆ ไม่ได้ฝืนเลย ไม่เพียงแค่ไม่ฝืน ซ้ำข้ายังรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ก็กระแอมไออีก ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่แอบรู้สึกว่า บางทีอาจจะไม่คุ้มค่า


 


 


เพียงแต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ เพราะอะไรถึงต้องเกิดเรื่องน่าเศร้าใจขนาดนี้ด้วย


 


 


 “อืม ” เยี่ยเม่ยพยักหน้าน้อยๆ


 


 


แสดงออกว่าพอใจมาก จากนั้นก็รีบกล่าวว่า “ดีแล้ว เรื่องนี้พูดจบแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ท่านบอกข้าได้หรือยังว่า กำลังภายในสายเดิมในร่างกายข้าสมควรจัดการอย่างไร”


 


 


คราวนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยิ่งอยากร้องไห้ขึ้นไปอีก


 


 


ทำไมพูดมาถึงตรงนี้ เหมือนกับว่าเขาเป็นคนขอร้องที่จะบอกนาง จะสอนนางฝึกยุทธเล่า


 


 


เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างโหดร้ายกับตนเองเหลือเกิน


 


 


เขาปาดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่วันนี้ไม่รู้หลั่งไหลออกมากี่ครั้งแล้ว เอ่ยว่า “ความจริงง่ายมาก เจ้าแค่กินยาชนิดหนึ่ง ก็สามารถหลอมรวมกำลังภายในทั้งสองสายนี้เข้าด้วยกัน นี่คือวิธีแก้ไขที่ง่ายมาก ข้า…”


 


 


เขายังไม่ทันพูดจบ เยี่ยเม่ยก็ยื่นมือออกมา รอให้เขาเอายาให้


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองท่าทางสมเหตุสมผลของนาง ยื่นมือมาให้เขา มุมปากพลันกระตุกเล็กน้อย ยามนี้ยิ่งคิดอยากร้องไห้


 


 


เขาหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกจากแขนเสื้ออย่างเชื่องช้า วางลงในมือของเยี่ยเม่ย สะอื้นเอ่ยว่า “เจ้ารับไปสิ”


 


 


เขาอยากร้องไห้จริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยรับขวดกระเบื้องเอาไว้ กลับพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอ่ยปากด้วยเสียงเย็นชาว่า “ขอบคุณอาจารย์”


 


 


หญิงสาวตอบเช่นนี้ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จึงไม่รู้สึกเสียใจอีก


 


 


จากนั้นเขาก็สะอื้นอีกครั้ง เอ่ยปากว่า “ได้รับคำขอบคุณและยังมีคำว่าอาจารย์จากเจ้า ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย ”


 


 


 


 


เขารู้สึกว่าตัวเองข้ามผ่านฤดูหนาวอันหนาวเหน็บและฤดูร้อนแสนร้อนระอุ รวมทั้งฤดูใบไม้ร่วงสุดจะโหดร้ายไปได้


 


 


 


 


 


 


หากภายหน้ารับศิษย์ต้องเป็นเช่นนี้หมด อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เขาก็ไม่อยากรับศิษย์อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ภายหลังจะไม่เอาเคล็ดวิชาของตนเองมอบให้ผู้อื่นอย่างเด็ดขาด ช่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย


 


 


เคล็ดวิชามอบให้ผู้อื่นไปแล้วถูกคืนกลับไปมาก็เสียหน้า ผู้อื่นรับไปแล้วไม่ยอมคารวะตนเป็นอาจารย์ก็เสียหน้า


 


 


สุดท้ายดำเนินไปถึงขั้นที่ตนอ้อนวอนให้ผู้อื่นคารวะตนเป็นอาจารย์ ดังนั้น ภายหน้าไม่อาจให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างเด็ดขาด อืม


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาครู่หนึ่ง ไม่เกิดความรู้สึกเห็นใจอะไรทั้งนั้น


 


 


เพียงเอ่ยปากเสียงเย็นเยียบ “ท่านพูดเช่นนี้ หวังว่าภายหน้าข้าไม่ต้องเกรงใจแล้วใช่หรือไม่”


 


 


 “ไม่” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่น้ำตาคลอปฏิเสธ “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเกรงใจสักหน่อยจะดีกว่า” 


 


 


เมื่อเอ่ยจบ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็หมุนกาย ปาดน้ำตาออกจากหางตา เตรียมตัวจากไป ก็กล่าวว่า “ข้าไปก่อนแล้ว ภายในสองวัน ข้าจะเอาข้อมูลของจิวมั่วเหอทั้งหมดมาให้เจ้า จากนั้นค่อยไปตามหาจิ่วหุนให้เจ้า” 


 


 


นี่มันเรื่องอันใดกัน


 


 


เขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแล้ว


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า กลับเกรงอกเกรงใจ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ขึ้นอักโข “เดินทางราบรื่น ระวังความปลอดภัยด้วย”


 


 


เห็นนางเอ่ยด้วยความห่วงใย ในที่สุดผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็ไม่รู้สึกเศร้าอีก


 


 


ยังดี


 


 


ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เคราะห์ดีที่หลังจากรับเขาเป็นอาจารย์แล้ว ท่าทีของนางที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นมาก


 


 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ถอนหายใจคำหนึ่ง สาวเท้ากว้างจากไป


 


 


เยี่ยเม่ยเปิดขวดกระเบื้องออก จากสัญชาตญาณของนักฆ่า นางลองดมดู สุดท้ายไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ นางก็รีบดื่มทันที


 


 


เยี่ยเม่ยหลับตา เริ่มโคจรพลังในร่างกายอีกครั้งหนึ่ง


 


 


แรกเริ่มยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด แต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย ฤทธิ์ยาก็ค่อยออก เยี่ยเม่ยรีบสงบจิต ตั้งใจหลอมรวมพลังอย่างจดจ่อ


 


 


   ……


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา


 


 


เยี่ยเม่ยลืมตาขึ้น เพียงแค่เวลาคืนเดียว นางรู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายเต็มเปี่ยม ดูแล้วกำลังภายในเป็นของดีจริงๆ


 


 


ในขณะเดียวกันนี้เอง ประตูห้องก็มีคนเคาะ


 


 


เยี่ยเม่ยมองไปที่ประตูเอ่ยว่า “เข้ามาได้”


 


 


สิ้นเสียง ประตูถูกเปิดออก


 


 


เซียวเยว่ชิงเดินเข้ามา หลังจากนั้นก็รายงาน “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้ามารายงาน”


 


 


เยี่ยเม่ยมองสีหน้าของเขา บนใบหน้านั้นมีความกระอักกระอ่วนและสำนึก อีกฝ่ายคงหาจิ่วหุนไม่พบ รู้สึกขอโทษนาง


 


 


จึงเอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “หาจิ่วหุนไม่พบหรือ”


 


 


 “อืม” เซียวเยว่ชิงพยักหน้า “ไม่มีร่องรอยเลยสักน้อย ข้าน้อยไร้ความสามารถ”


 


 


ไม่ใช่ว่าไม่มีร่องรอย แต่เป็นพวกเขาไม่กล้าตามหาต่างหาก


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่คัดค้าน เรื่องราวไม่ต่างจากการคาดเดา นางพยักหน้า เอ่ยว่า “หากเขาคิดหลบจริงๆ ก็ใช่ว่าพวกเจ้าจะหาพบ เรียกทหารกลับมาก่อนเถอะ เตรียมตัวเรื่องการศึกกับต้ามั่ว”


 


 


เซียวเยว่ชิงมองเยี่ยเม่ยอย่างตะลึง “ไม่ต้องตามหาคุณชายเสี่ยวจิ่วแล้ว”


 


 


 “เรื่องของเขา ข้าจัดการเอง” ในเมื่อผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ออกตามหาคน เยี่ยเม่ยเชื่อว่าต้องมีประโยชน์กว่าเหล่าทหารพวกนี้แน่ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ในยุคนี้ท่าจะใช้การได้ไม่เลว ฝีมือไม่ต้อยต่ำ โอกาสหาคนพบย่อมมีมากกว่าพวกเขาและตัวนางมากนัก


 


 


เซียวเยว่ชิงฟังนางเอ่ยเช่นนี้ พลันไม่กล้าถามมากความอีก


 


 


จึงถามเรื่องการศึก “ไม่ทราบว่าแม่นางเยี่ยเม่ยเตรียมแผนไว้อย่างไร เตรียมรุกโจมตีหรือไม่”


 


 


ไม่เช่นนั้นไฉนทัพศัตรูยังไม่มา ถึงได้เอ่ยปากให้เตรียมตัวทำศึกแล้วเล่า


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยเม่ยปรายตามอง โบกมือ “ยื่นหูมา”


 


 


           เซียวเยว่ชิงรีบชะโงกหน้าเข้าไป ฟังคำสั่งเยี่ยเม่ย…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม