ระบบร้านค้าออนไลน์ 121-140
TB:บทที่121 บดรถให้แหลก
“จะให้ผมไปคุยกับรถจริงๆหรอ?” ใบหน้าของเฉินหลงมีรอยยิ้ม
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินหลงหญิงสาวก็พูดขึ้นมา “พี่เต๋า” และรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่เมื่อมองไปที่ท่าทีที่ดูขี้แพ้ของเฉินหลงอีกครั้ง ชายคนนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไร เขาพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ใช่”
เฉินหลงให้จี้โม่ซีถือร่ม จี้โม่ซีก็คว้ามาจากเฉินหลง เธอรู้อยู่แล้วว่าเฉินหลงคงไม่พูดอะไรกับรถเฉินหลงยิ้มให้กับจี้โม่ซี
“สาวสวย ผมว่าอย่าตามเขาไปเลย ลืมเขาไปเถอะ ผมสัญญาว่าจะให้คุณได้กินดีอยู่ดี ได้ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ขับรถหรูๆและได้อยู่บ้านพักตากอากาศด้วย”ตอนนี้ เมื่อคนที่ถูกเรียกว่า พี่เต๋า เห็นจี้โม่ซี เขาก็หลงใหลในความสวยของเธอทันที
คนที่ถูกเรียกว่า พี่เต๋าหรือเต๋าเกอนั้นดูเหมือนว่าคำพูดเมื่อกี้จะทำให้ผู้หญิงของเขาไม่พอใจ เธอคนนั้นจึงคว้าไปที่แขนของเขาและพูดว่า “พี่เต๋า ถึงเธอจะสวยมาก แต่เธอเป็นของคนอื่นแล้วไม่ใช่หรอ? เธอจะทำให้พี่มีความสุขเท่าฉันได้หรอ? พี่คิดดีแล้วหรอคะ?”
“ไม่ต้องกังวลไป ถ้าเธอตัดสินใจมากับพี่แล้ว ฉันก็ยังคงต้องการเธอและถ้าเธอสอนเด็กคนนั้นดีแล้ว ฉันก็จะให้เธอทั้งสองอยู่ด้วยกันกับพี่แล้วพี่ก็ได้มีความสุขเป็นสองเท่าเลยไงจ้ะ ” พี่เต๋าตบไปที่สะโพกของคู่ขาของเขาและจากนั้นก็มองไปที่จี้โม่ซีด้วยสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์
เมื่อได้ยินคำพูดของคนที่ชื่อ พี่เต๋า สีหน้าของจี้โม่ก็แสดงออกอย่างไม่ชอบและคิดว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดมันแย่จริงๆ
เฉินหลงลูปไปที่แก้มจี้โม่ซีและพูดกับเธอว่า
“ไม่เป็นไรนะ ผมจะช่วยระบายความโกรธให้คุณเอง” พูดจบ เฉินหลงก็ตรงไปที่รถเฟอร์รารี่ของพี่เต๋า
เมื่อพี่เต๋าเห็นเฉินหลงเดินตรงไปที่รถ เขาจึงไม่ได้เข้าไปในร้านค้าทันที แต่เขากลับหันมาดูสิ่งที่เฉินหลงกำลังจะทำแทน
ตอนนี้ พนักงานผู้ช่วยในร้านค้าก็ยนมองความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ผ่านกระจกร้านด้วยเมื่อเฉินหลงเดินมาถึงประตูของรถเฟอร์รารี่ เขาก็เตะเข้าไปที่ประตู “ปัง”
เฉินหลงเตะประตูรถด้วยขาข้างเดียวจากนั้นเสียงร้องเตือนของรถของดังขึ้นมา
เมื่อเห็นเฉินหลงทำการกระทำที่ดูบ้าระห่ำ ทั้งจี้โม่ซี พี่เต๋า ผู้หญิงของพี่เต๋าและพนักงานในร้านก็ต่างพากันตะลึงกับการกระทำของเฉินหลง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พี่เต๋าก็ยังคงนิ่งและรู้สึกเจ็บใจ
“แก นี่แกทำอะไรของแกเนี่ย” พี่เต๋าวิ่งตรงมาที่เฉินหลงด้วยใบหน้าที่เจ็บแค้น
รถคันนี้ถือเป็นอาวุธหลักที่เขาเอาไว้ใช้ไปรับสาวๆ ตอนนี้เฉินหลงกลับเตะไปที่ประตูรถของเขา มันจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกเจ็บใจ ซึ่งเฉินหลงก็ไม่สนใจอะไรเขาเลย เขาค่อยๆยกประตูขึ้นช้าๆและคิดจะถอดชิ้นส่วนประกอบรถออกมา
“หยุด หยุดนะ “พี่เต๋าวิ่งไปหาเฉินหลงและร้องห้าม
เฉินหลงมองพี่เต๋าด้วยสายตาที่เย็นชาและน้ำเสียงของเขาก็เย็นชาไม่ต่างกัน
“นั้นไม่ใช่สิ่งที่แกขอให้มาเอาเรื่องกับรถหรอกหรอ? นี่แหละวิธีการเอาเรื่องจากรถของฉัน” เฉินหลงจ้องกลับไปที่พี่เต๋าและก็เหมือนมีความรู้สึกเยือกเย็นส่งผ่านออกมาทันทีราวกับว่าคนคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ที่พร้อมจะกินคน และนั้นก็ทำให้พี่เต๋าถอยหลังโดยอัตโนมัติ
เมื่อเฉินหลงได้ยกประตูรถขึ้น เขาก็เริ่มทุบไปที่ตัวรถ เขาทุบมันพร้อมกับพูดไปด้วยว่า
“ให้ฉันสาดน้ำใส่แกสิ ไม่งั้นฉันจะฆ่าแก” เมื่อเห็นท่าทีของเฉินหลงเป็นแบบนี้ พี่เต๋าก็รู้สึกเจ็บใจเข้าไปอีก และเมื่อคิดถึงการกระทำของเฉินหลง เขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เฉินหลง เพราะเขากลัวว่าเฉินหลงจะเป็นบ้าเข้าไปอีกถ้าประตูรถล้มทับเขา เขาไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงแต่ยืนมองรถถูกแยกส่วน
หลังจากนั้นสักพัก เขาก็คิดที่จะโทรเรียกตำรวจ ในฐานะที่เป็นเศรษฐีในปักกิ่ง เขาควรโทรแจ้งตำรวจ ถ้าเพื่อนเขารู้เรื่องนี้เขาคงต้องเสียหน้าแน่ แต่ยังไงเวลานี้ เขาคิดออกแค่ทางเดียวก็คือโทรแจ้งตำรวจ เพื่อรถของเขาแม้ต้องเสียหน้าก็ตาม
เมื่อเห็นว่าพี่เต๋ากำลังโทรศัพท์ เฉินหลงก็ได้หยิบโทรศัทพ์มือถือออกมาเหมือนกันและจากนั้นก็กดไปที่หมายเลขๆหนึ่ง
“พี่เกา ใบรับรองของผมยังอยู่ดีไหม?”หลังจากที่เกาเฟิ่งเซียว ได้รับโทรศัพท์ เฉินหลงก็ได้พูดถามพร้อมกับทุบไปที่รถ
“แน่นอน แต่เดี๋ยวนะ ทำไหมฝั่งนายดูวุ่นวายจัง?” เกาเฟิ่งเซียวตอบกลับ
“ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่ชนรถคนอื่น ผู้ชายคนนั้นเขาโทรแจ้งตำรวจ พี่มารับผมไปสถานีตำรวจได้ไหมครับ ผมลืมเอาบัตรประชาชนมา แล้วตอนนี้ผมก็กำลังยุ่งอยู่ด้วย งั้นผมวางสายก่อนนะครับ”พูดจบ เฉินหลงก็กดวางสาย
ประชาชนของเขานั้นใช้ประโยชน์ได้มาก แต่ใครจะพกติดตัวออกมาตอนทีเดินเล่นกันละ
ฝ่ายเกาเฟิ่งเซียวก็ไม่ได้มีเวลามาตั้งคำถามมากนัก เมื่อเฉินหลงวางสายไปมันก็ทำให้เขารู้สึกงงจนอดส่ายหน้าไม่ได้ ใครกันที่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลยถึกล้ามามีเรื่องกับเฉินหลง
เมื่อเฉินหลงได้ปิดระบบภาพเสมือนจริงไป เขาดูกลายเป็นเหมือนคนสำคัญของท่านผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใส่ใจถึงเรื่องนี้ และงานก็ได้ตกมาอยู่ในการดูแลของหัวหน้าเกาเฟิ่งเซียว และเฉินหลงกับเกาเฟิ่งเซียวก็คุ้นเคยกันดีในกลุ่มซีโร่ด้วย เพราะเกาเฟิ่งเซียวเป็นพี่เลี้ยงให้กับเฉินหลงนั้นเอง
อย่างแรก พวกเขาต้องรู้ก่อนว่าที่ที่เฉินหลงขับรถชนอยู่ที่ไหน ตอนเกาเฟิ่งเซียวโทรกลับมา เฉินหลงก็ทุบและบดรถจนเหมือนเศษเหล็กไปแล้ว ตอนนี้ ตำรวจที่พี่เต๋าฝากความหวังไว้ก็ได้มาถึงแล้ว
“คุณตำรวจครับ นั้นเขาครับ เขาที่บดรถผมจนเป็นแบบนี้” หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจลงมาจากรถ พี่เต๋าก็เดินตรงไปกลางและชี้ไปที่เฉินหลงอย่างรวดเร็ว
“ผมเห็นแล้วครับ ตอนนี้กลับไปกับพวกเราก่อนนะครับพวกเราจะส่งคนมาจัดการเรื่องรถคุณ” เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยสามสิบปีมองไปที่รถยนต์ซึ่งถูกบดจนกลายเป็นเศษเหล็กโดยเฉินหลงและจากนั้นก็มองเฉินหลงและหันกลับไปมองลูกน้องของตัวเอง
“คุณตำรวจครับ ผมเป็นเหยื่อนะครับ มันเป็นคนบดรถของผม ทำไมผมต้องไปที่โรงพักกับพวกคุณด้วย?” พี่เต๋าพูดด้วยความอารมณ์เสีย
ถึงเขาจะเป็นเหยื่อ แต่เขาก็ต้องไปที่สถานีตำรวจเช่นเดียวกับเฉินหลงและปฏิเสธไม่ได้ด้วย
“พวกเราไม่สามารถสอบสวนได้จนกว่าพวกเราทุกคนจะกลับที่โรงพัก ” เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงพูดอย่างใจเย็น
“พวกคุณทุกคนก็เห็นแล้วว่ามันเป็นพังรถผม ยังจะต้องสอบสวนอะไรอีก? พวกคุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร ผมชื่อฟ่างเต๋าหลิน พ่อของผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข” ฟ่างเต๋าหลินเริ่มโกรธและก็เริ่มตะโกนออกมา
“โปรดให้ความร่วมมือในการสอบสวนของพวกเราด้วยครับ” เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของฟ่างเต๋าหลิน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคงนิ่ง
“อีกอย่าง แม้ว่าพ่อของคุณจะชื่อหลีกัง เขาก็ต้องมาและให้ความร่วมมือกับพวกเราในการสอบสวนครั้งนี้ด้วย”
“โอเค ผมจะไปสถานีตำรวจกับพวกคุณ ” เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้กลัวกับคำขู่ของเขา ฟ่างเต๋าหลินก็ทำได้เพียงตอบตกลงไปสถานีตำรวจด้วย
“คุณแฟนกลับบ้านไปรอผมที่บ้านก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะรีบกลับไปหา “เฉินหลงได้เข้าไปนั่งในรถตำรวจและยิ้มให้กับจี้โม่ซี
ทางด้านจี้โม่ซีก็ดูกังวล แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากฟังเฉินหลงและกลับไปรอเขาที่บ้าน
“น้องชาย น้องชายดูจะอารมณ์ไม่ดีมากนะ รถเฟอร์รารี่ดีๆถึงได้พังเพราะน้องชายขนาดนี้ น้องชายนี่ใจร้ายจริงๆ ถึงแม้ผมจะรู้ว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เรื่องนี้ แต่ไม่คงไม่ง่ายที่น้องชายจะได้ออกไปจากโรงพักได้เร็วๆนี้ ” เจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นรถมาและได้พูดกับเฉินหลง
ตอนที่ 122
TB:บทที่122 ขอโทษฉันซะ
“ผมไม่คิดแบบนั้นนะครับ ผมคิดว่าภายในครึ่งชั่วโมงผมก็กลับได้แล้ว” เฉินหลงยิ้ม
ทัศนคติที่เป็นกลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อกี้ทำให้เฉินหลงมีท่าทีที่ดีกับเขา
“ใช่หรอ?”เจ้าหน้าที่ตำรวจหันหลังมามองเฉินหลงและหยุดพูด
จริงๆที่เฉินหลงบดรถของฟ่างเต๋าหลินไปมันดูทำให้เขารู้สึกดีมาก ส่วนฟ่างเต๋าหลินเจ้าหน้าที่นั้นดูไม่ออกแต่พอรู้จักชื่อของเขาว่าชายคนนี้เป็นพวกคนรวยที่มักจะทำผิดกฎจราจรในเรื่องการแข่งรถในทาง เนื่องด้วยความเกี่ยวพันธ์กับตระกูลเขา เขาจึงไม่เคยโดนจับ แต่ตอนนี้เฉินหลงได้พังรถเขาซึ่งมันทำให้รู้สึกน่าพอใจจริงๆ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถมาถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบว่าผู้กำกับได้อยู่คุยอยู่ชายที่ดูท่าทางฉลาดในห้องปฏิบัติการ
“หลิวจู นี่คือเสี่ยวหู หูเจิ้นกานตำรวจหนุ่มอนาคตไกล” หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาที่ห้องปฏิบัติการ ผู้กำกับการสถานีตำรวจก็ได้แนะนำชายที่ยืนคุยด้วยให้รู้จัก
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผู้กำกับหลิว”หูเจิ้นกานได้ตะเบ๊ะทำความเคารพผู้กำกับ
ผู้กำกับหลิวเป็นตำรวจวัย 50 ปีที่ซึ่งมีใบหน้าแบบชาวจีนและเป็นชายที่สง่างามมาก
“ตามสบาย” หลิวจูยิ้มให้หูเจิ้นกาน
หูเจิ้นกานพยักหน้ารับและจากนั้นก็เดินไปกระซิบสถานะของเฟิ่งเต๋าหลินตอนนี้
เมื่อได้ยินสิ่งที่หูเจิ้นกานพูด เขาก็ปวดหัวไปด้วย จากนั้นเขาจึงทำได้เพียงเล่าเรื่องราวให้หลิวจูฟังเท่านั้น
หลิวจูได้คุยกับเกาเฟิ่งเซียวอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร ให้ผมได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยมาดูว่าฟ่างเต๋าหลินควรจะขอโทษหรือไม่” ไม่ว่าเฉินหลงจะผิดหรือถูก เกาเฟิ่งเซียวก็ยังยืนยันที่จะอยู่ข้างเฉินหลง
“เป็นแค่รัฐมนตรีไม่ใช่หรอ? ถ้าไม่อยากจะทำ ก็เปลี่ยนเป็นทำอย่างอื่นก็ได้” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเกาเฟิ่งเซียว หูเจิ้นกานก็คิดขึ้นมาทันทีว่าตอนอยู่บนรถเฉินหลงได้พูดอะไรไปบ้าง แม้แต่รัฐมนตรีเขาก็ไม่กลัว ดูเหมือนว่าคนที่หนุนหลังเขาจะหาตัวจับได้ยากจริงๆ
“เสี่ยวหู พาพวกเขามาตรงที่นี่” ผู้กำกับหันไปสั่งหูเจิ้นกาน
หูเจิ้นกานออกมาจากห้องปฏิบัติการ ไม่นานทั้งเฉินหลงและฟ่างเต๋าหลินก็เข้ามาอยู่ในห้องปฏิบัติการ ตอนที่เฉินหลงเข้ามาในห้องแล้วเขาเห็นว่าเกาเฟิ่งเซียวได้อยู่ในห้องอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินไว้แล้วว่าถ้าเขาต้องเจอกับปัญหา เขาสัญญาว่ากับตัวเองว่าเขาจะไม่อยู่ในกลุ่มซีโร่อีกต่อไป
“ผมจะโทรหาแฟนของผม เธอจะได้สบายใจ ” เฉินหลงพูด
พูดจบ เฉินหลงก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาจี้โม่ซี
“อย่าให้เขาโทรนะครับ เขาพังรถผม นายควรห้ามไม่ให้มันใช้โทรศัพท์สิ เร็วเข้า ห้ามเขาสิ!” เมื่อเห็นเฉินหลงจะโทรศัพท์ ฟ่างเต๋าหลิวก็เกิดอาการหัวร้อนจนถึงกับสั่งหูเจิ้นกาน
“ก็แค่โทรศัพท์ ถ้าอยากจะโทรก็โทรได้ตามที่ต้องการ” ทันทีที่ฟ่าวเต๋าหลินเปิดปากพูด เกาเฟิ่งเซียวก็เริ่มรู้สึกไม่ดีกับเขาขึ้นมาทันที พ่อหนุ่มเจ้าสำอางคนนี้ ถึงจะอยู่ที่นี่ก็ยังกล้าหาเรื่องกับเจ้าหน้าที่
ตอนที่เฉินหลงได้คุยโทรศัพท์ เขาก็ได้บอกกับแฟนเขาว่าตอนนี้ปลอดภัยดีและได้ถ่ายวีดิโอเกาเฟิ่งซียวเพื่อพิสูจน์ว่าสถานการณ์โอเคจริงๆ และยังพูดอีกว่าเขาจะกลับไปในไม่ช้า หลังจากนั้น เฉินหลงจึงได้วางสายไป จากนั้นเขาก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฟัง
“เขาบอกให้ผมไปคุยกับรถ ผมเลยไปคุยกับรถ แต่ยังไงรถมันก็พูดไม่ได้อยู่แล้ว ผมจึงทำได้แค่ให้รถเสียงดังนิดหน่อย สุดท้ายผมก็ได้ยินรถมันพูดว่า ‘บดฉันเลย’ ผมก็เลยทำตามที่มันขอ” หลังจากที่ได้ยินคำให้การของเฉินหลงแล้ว แน่นอนว่าเฉินหลงไม่ได้สีหน้าที่ดูรู้สึกแย่เลย
ถ้าหากคุณเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่เพียงแค่รถที่จะถึงบด แต่คนคงต้องถูกบดไปด้วยและผู้กำกับและหลิวจูก็ต่างหมดคำพูดแล้วหันไปมองที่เกาเฟิ่งเซียวแทน และคิดว่าคงไม่ต้องทำอะไรให้มันชัดเจนไปกว่านี้แล้ว
“โอ้ ผมรู้ว่าคุณก็อยู่ในกลุ่ม รอก่อนนะ เดี๋ยวผมจะโทรหาพ่อให้คุยกับคุณ”เมื่อฟ่างเต๋าหลินเห็นว่าเฉินหลงพูดจบแล้วเขาคงจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว สิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำได้ก็คือให้พ่อเขามาช่วย
เมื่อเห็นว่าฟ่างเต๋าหลินหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาเพื่อที่จะโทรไปหาพ่อของเขา หลิวจูก็พูดไม่ออก นี่นะหรือผลงานชิ้นเอกของพ่อของเขา สถานะของเกาเฟิ่งเซียวนั้นถือเป็นสมาชิกในกลุ่มซีโร่ ซึ่งกลุ่มซีโร่อยู่ภายใต้คำสั่งของผู้นำสูงสุด ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎจะคนอื่นจะไม่มีสิทธิ์ละลาบละล้วงกลุ่มซีโร่ได้
ไม่นาน โทรศัพท์ของหลิวจูก็ดังขึ้น นั้นก็คือสายจากหัวหน้าสูงสุดของเขาโทรมาถามเรื่องกระบวนการการดำเนินของเรื่องนี้
หากเกาเฟิ่งเซียวได้อยู่ที่นั้นด้วย ฟ่างเต๋าหลินก็คงไม่สามารถทำเรื่องในครั้งนี้ได้ แต่ตอนนี้ตราบใดที่เขายังเล่าเรื่องราวและกล่าวถึงสถานะของเกาเฟิ่งเซียว หัวหน้าสูงสุดของเขาก็จะไม่ถามคำถามอีก
หลังจากที่ได้ยินคำให้การของคนกลุ่มซีโร่ หัวหน้าของหลิวจูก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่ยังไงในฐานะเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังต้องเรียกพ่อของฟ่างเต๋าหลินมาคุยว่าคนในนั้นมีคนของกลุ่มซีโร่อยู่ด้วยและเขาเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เกาเฟิ่งเซียวจึงรู้สึกมั่นใจมากพอ
เมื่อพ่อของฟ่างเต๋าหลินรู้ว่ามีคนที่มีเรื่องอยู่ในกลุ่มซีโร่อยู่ด้วยและเรื่องก็เหมือนจะเกิดจากลูกชายเขา เขาก็ทำได้เพียงทำสิ่งต่างๆให้สงบ และเขาก็ได้ยืนคุยมาเป็นเวลานานจนแถบไม่ได้นั่ง สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อยากจะเผยความลับเร็วขนาดนี้
ในไม่ช้า ฟ่างเต๋าหลินก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเขา เรื่องที่คุยก็คือการกจัดการกับปัญหาในครั้งนี้ และบอกว่าถ้าเขาสร้างปัญหาอีกครั้ง เขาจะไม่ช่วยแล้ว เมื่อได้ยินและเข้าใจในสิ่งที่พ่อกำลังหมายถึง เขาก็ยังคงรู้สึกทะนงตนอยู่ เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้? มันชัดอยู่แล้วว่ารถของเขาถูกบด แล้วตอนนี้พ่อของเขาก็บอกให้เขาหยุดสร้างปัญหา นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนั้นสักพัก ฟ่างเต๋าหลินก็พูดออกมาอย่างหมดแรงว่า
“ผมไม่ต้องการสอบสวนเรื่องพวกนี้แล้ว ดังนั้น ก็ปล่อยมันไปเถอะ “
แม้เฟิ่งเต๋าหลินจะเป็นคนจองหองแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อพ่อบอกให้เขาหยุดสร้างปัญหา นั้นก็หมายถึงแล้วว่าคนหนุนหลังของฝ่ายตรงข้ามนั้นแข็งแกร่งกว่ามากและเขาก็ไม่สามารถที่จะรับมือได้เลย เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝืนยอมรับว่าเรื่องรถของเขาเป็นเพียงความโชคร้ายของเขาเอง
“คุณไม่อยากเอาเรื่องแล้วหรอ? แต่ผมยังอยากสอบสวนอยู่นะ” ด้วยคำพูดที่ฟ่าวเต๋าหลินพูดไว้กับจี้โม่ซี เฉินหลงจึงไม่สามารถปล่อยเขาผ่านไปได้ง่ายๆ
“แกต้องการอะไร?” เมื่อได้ยินเฉินหลงพูด ในใจของฟ่างเต๋าหลินก็เริ่มรู้สึกไม่ดี เขาได้ยอมรับและทำตามที่ขอแล้ว เขาจะยังไม่ปล่อยไปอีกหรอ?
“ผมไม่ทำให้คุณอับอายหรอก แค่ขอโทษผมกับสิ่งที่คุณเคยพูดไป แต่ถ้าทำเป็นลืมไปหมดแล้วผมเกรงว่าถ้าคุณกลับมาขับรถอีกครั้ง ผมก็จะพังรถคุณอีก ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคุณจะมีรถมากแค่ไหนที่จะพอให้ผมพัง” เฉินหลงมองฟ่างเต๋าหลินพร้อมพูดไปด้วย
วันนี้เป็นวันที่เขาอารมณ์ดี แต่ฟ่างเต๋าหลินกลับมาทำลายบรรยากาศหมด ถ้าเขาไม่สามารถให้บทเรียนกับฟ่างเต๋าหลินได้ เขาก็จะไม่สามารถกำจัดไฟที่ลุกโชนในใจได้
“แก โอเค ฉันขอโทษ” เฉินหลงได้บดรถของเขา แต่เขากลับต้องมาขอโทษ นั้นจึงทำให้ฟ่างเต๋าหลินโมโหมากแต่ตอนนี้เขาไม่มีพ่อคอยช่วยแล้ว เขาจึงไม่กล้าที่จะโมโหออกมาและทำได้เพียงขอโทษตามที่เขาบอก
เวลานี้ สุดท้ายเขาก็เข้าใจถึงความสิ้นหวังและความรู้สึกโกรธแค้นของคนที่เขาไปดูถูกในตอนนั้นแล้ว จากนั้นฟ่างเต๋าหลินก็ได้ขอโทษเฉินหลงอย่างจริงใจ
ตอนที่ 123
TB:บทที่ 123 คนมีชื่อเสียง
หลังจากที่ฟ่างเต๋าหลินขอโทษแล้ว เฉินหลงก็ไม่ได้เอาเรื่องอีก เมื่อได้ให้บทเรียนเล็กน้อยกับเด็กบ้านรวยแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้กับไปนอนนพักกับแฟนเขาสักทีและจะไม่อยู่ที่นี่ให้เสียเวลาแล้ว แน่นอนว่าถ้าครั้งหน้าเขามายั่วโมโหเฉินหลงอีก เขาก็จะให้บทเรียนกับเด็กหนุ่มคนนั้นได้จำไม่มีวันลืม
เฉินหลงไม่ได้ถูกสอบสวนต่อ ส่วนฟ่างเต๋าหลินก็ได้กลับไปอย่างผิดหวัง
หลังจากที่ฟ่างเต๋าหลินกลับไปแล้ว เฉินหลงก็ได้กล่าวลากับคนที่เหลืออย่างสุภาพ จากนั้นก็ได้กลับพร้อมกับเกาเฟิ่งเซียว เมื่อเห็นว่าฟ่างเต๋าหลินและเฉินหลงต่างกลับกันไปหมดแล้ว หลิวจูก็นั่งลงบนเก้าอี้อย่างโล่งอก
เมื่อครู่ ผู้คนที่อยู่ที่นี่ไม่ได้กระทำการใดที่หาเรื่องใส่ตัว พวกเขาคงจะคิดอย่างรอบคอยก่อนที่จะพูดอะไร ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้กลับไปแล้ว หลิวจูก็รู้สึกว่าบรรยากาศดูสดชื้นและดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
“ท่านผู้กำกับครับ เมื่อครู่คนที่ชื่อเฉินหลงที่มีเรื่องกับฟ่างเต๋าหลินเด็กบ้านรวย เขาเป็นใครกันหรือครับ” หูเจิ้นกานถามผู้กำกับด้วยเสียงต่ำ
ผู้กำกับมองไปที่หูเจิ้นกานแล้วพูดออกมาเพียงสองคำว่า “หนุ่มใหญ่”
เมื่อหูเจิ้นกานได้ยินคำพูดของผู้กำกับ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตา นี่มันคำตอบอะไรกัน? มันดูตอบแบบขอไปทีเกินไป แต่เมื่อดูท่าทางของผู้กำกับแล้วก็เหมือนกับเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เอาละ ได้เวลาที่ผมจะต้องไปแล้วบ้าง ไม่ต้องเอาเรื่องเล็กน้อยนี้ไปจดบันทึกละ” จากนั้นสักพัก หลิวจูก็ยืนขึ้นพูด
เมื่อพูดเสร็จ เขาก็ออกจากสถานีตำรวจไป
หลังจากที่เฉินหลงกลับมาถึงบ้านแล้ว จี้โม่ซีก็รีบเข้ามากอดเขาแน่นทันทีด้วยกลัวว่าเฉินหลงจะหายไปจากสายตาเธออีก
เมื่อครู่ เฉินหลงไม่ได้อยู่ข้างๆเธอ ทุกนาทีและวินาทีนั้นมันผ่านไปอย่างยากลำบากมาก และเธอก็รับรู้ได้ว่าเธอคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเฉินหลง
“ไม่ต้องกลัวไป ผมกลับแล้ว ผมอยู่แล้วไม่ใช่หรอ หื้อ?” เฉินหลงตบหลังปลอบจี้โม่ซี
“ที่รัก คุณห้ามห่างจากฉันอีกนะคะ ตกลงไหม?” จี้โม่ซีมองเฉินหลงด้วยสายตาที่แดงก่ำ
“ครับ ผมสัญญา” เฉินหลงพยักหน้า
แม้เฉินหลงจะรู้ว่าในอนาคตพวกเขาทั้งสองไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา แต่สุดท้ายเฉินหลงก็ต้องไปจัดการกับบางอย่างด้วยตัวเองอยู่ดี แต่ตอนนี้จี้โม่ซียังสะเทือนใจอยู่มาก เขาคงต้องพูดดีๆกับเธอไปก่อน
ต่อมาทั้งคู่ได้บรรเลงเพลงรักและดูเหมือนว่าครั้งนี้จี้โม่ซีจะตามใจเฉินหลงเป็นพิเศษนั้นก็เพื่อให้เขาสบายใจ แน่นอนว่าเฉินหลงยังมีปัญหาเล็กน้อยอยู่บ้างและปัญหาก็คือร่างกายของเขาเอง เขาจึงไม่สามารถมีความสุขไปพร้อมจี้โม่ซีได้มากนัก
เฉินหลงมองไปที่จี้โม่ซีที่ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างสบายใจและพูดกับเธอว่า “ที่รัก ทำไมพวกเราไม่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันละ?”
ในสายตาของเฉินหลงฟ่างเต๋าหลินไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ดูยังไม่เป็นผู้ใหญ่ในเมืองนี้ เขาคงจะไม่เคยถูกคนอื่นเหยียบหยาบมาก่อน มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยถ้าเขาเลือกที่จะอยู่บ้าน
“ไม่ว่าคุณต้องการไปที่ไหน ฉันก็จะไปทุกๆที่ที่คุณพูด ฉันจะไปกับคุณค่ะ” ตอนนี้จี้โม่ซีได้อยู่ในความดูแลของเฉินหลงก็พยักหน้ารับ
“โอเค ทำไมพวกเราไม่ไปเซียงเจียงกันพรุ่งนี้ละ? “ไม่กี่วันโรงเรียนก็ใกล้เปิดแล้ว เฉินหลงเลยอยากกลับไปดู ดังนั้นเขาจึงเลือกที่ที่ใกล้หน่อย
“แล้วแต่คุณเลยค่ะ” ตราบใดที่เธอยังสามารถตามเฉินหลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จี้โม่ซีก็ยินดี
วันรุ่งขึ้น เฉินหลงและจี้โม่ซีได้เดินทางไปเซียงเจียง ส่วนปัญหาเรื่องบัตรประชาชนที่ระบุตัวตนเฉินหลง แค่โทรไปจัดการเรื่องเพียงไม่กี่ครั้งก็เสร็จ
เครื่องบินได้มาถึงที่เซียงเจียงเวลา 10:30 ในช่วงเช้า และได้ลงจอดในเวลาช่วงบ่ายโมงเศษในช่วงบ่าย
เซียงเจียงเป็นมหานครที่เฟื่องฟูระดับนานาชาติรองลงมาจากลอนดอนและนิวยอร์กและยังเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 3 ของโลก เซียงเจียงเคยตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษในปี ค.ศ.1842 และได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1997
แต่อย่างไรก็ตาม การอยู่ภายใต้อาณานิคม ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ทำให้ทั้งเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตนั้นต่างจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ สุดท้ายประเทศจีนจึงได้สร้างแนวคิดในการปกครองขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’
จริงๆแล้ว ในความคิดของเฉินหลงเซียงเจียงเป็นดินแดนที่ปกครองตนเอง ซึ่งเมื่อได้เอกราชกลับคืนมาแล้วก็ควรปล่อยให้ดูแลและปกครองตนเอง สิ่งที่เรียกว่า’หนึ่งประเทศ สองระบบ’ สำหรับเขาจึงดูเป็นเรื่องไร้สาระ
อย่างไรก็ตาม เฉินหลงก็รู้มานานแล้วว่าหลังจากที่เซียงเจียงได้ทำการฟื้นฟูแล้ว อิทธิพลของประเทศจีนมหาอำนาจก็ค่อยๆเข้าแทรกซึมเข้าไปในแม่น้ำเซียงเจียงทีละน้อย
ก่อนที่เซียงเจียงจะกลับคืนสู่ภายใต้การปกครองของจีน เซียงเจียงนั้นเคยเป็นผู้นำทางสังคมมากมาย แต่หลังจากที่เซียงเจียงได้รับเอกราชแล้ว รัฐบาลก็ยังคงไม่หายไปไหนและไม่มีทางที่โลกข้างใต้จะจัดการและทำลายจีนมหาอำนาจได้ ดังนั้น จึงทำได้เพียงฉาบภาพสีดำไว้ภายใต้ภาพลักษณ์สีขาวที่สวยงาม
เมื่อมาถึงเซียงเจียงแล้ว เฉินหลงและจี้โม่ซีได้เข้าพักห้องพักชั้นพิเศษของโรงแรมสี่ฤดูที่ได้จองมานานแล้ว เฉินหลงไม่ได้ต้องการที่จะมีเงินเยอะ เขาแค่อยากมีเงินพอที่จะดูแลตัวเองและดูแลจี้โม่ซีได้
เดิมทีเฉินหลงมาที่เซียงจียงเพียงเพื่อพักผ่อนกับจี้โม่ซี แต่ไม่คิดว่าเขาจะสามารถย้ายมาอยู่ได้ ในวันที่เขามาถึงเซียงเจียงเขาได้ลืมของกึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่แขวนไว้ในร้านที่เขามันถูกซื้อโดยชายที่ชื่อว่า’ไร้เงา'( 无影)เป็นเวลาเก้าวันแล้ว
‘ไร้เงา’ มาจากดาวเคราะห์ที่เรียกว่าซันไชน์ ซึ่งที่นั้นอาจมีแสงแดดทั่วทุกบริเวณของดาวเคราะห์ แต่เขาน่าจะเป็นคนที่ไม่ชอบแสงอาทิตย์และไม่ชอบให้คนอื่นเห็นนัก ดังนั้นเขาจึงดูเหมือนกับมนุษย์กึ่งเทพ ยิ่งไปกว่านั้น ‘ไร้เงา’ ยังทิ้งข้อความให้เฉินหลงไว้ที่ร้านของเขา
“มันเป็นของดี ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณมีของดีอยู่ที่นี่ หากคุณมีของที่มีเกรดเดียวกัน คุณก็แขวนเอาไว้ที่หน้าร้านของคุณได้เลย ผมจะมาซื้ออีก “หลังจากที่ได้เห็นข้อความจาก’ไร้เงา’ แล้ว เฉินหลงก็สงสัยว่าทำไม’ไร้เงา’ คนนี้ถึงได้มีคะแนนแลกเปลี่ยนมากมายนัก
‘เสื้อคลุมสีดำ’มีประสิทธิภาพต่ำกว่า ‘ปรมาจารย์แห่งดวงดาว’” ซึ่งมันก็พิสูจน์ได้ด้วยว่าพลังของชายที่ชื่อ ‘ไร้เงา’ ยังไปไม่ถึงระดับ’ปรมาจารย์แห่งดวงดาว’ และถ้ายังไปไม่ถึงระดับ’ปรมาจารย์แห่งดวงดาว’ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคะแนนแลกเปลี่ยนถึงขนาดนี้ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือเขาต้องมีของใช้พิเศษแน่
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เฉินหลงจึงได้เปิดกลับไปที่ร้านค้าของ’ไร้เงา’ เพื่อให้มั่นใจว่ามีของแบบเดียวกับในร้านค้าของเขาที่เรียกว่า’หินแห่งแสง’ไหม ซึ่งแต่ละชิ้นแลกได้ถึง 10,000 คะแนนแลกเปลี่ยนและเพื่อดูว่ามีการนำ’หินแห่งแสง’ เหล่านี้มาใช้หรือไม่ แต่กระนั้นเฉินหลงก็คิดเห็นว่าหินแห่งแสงยังคงสามารถซื้อหาได้
เฉินหลงดูบนหน้าร้านค้าของ’ไร้เงา’ผ่านทางหน้าจอมือถือ และทันใดนั้นเขาก็พบกับ’ไร้เงา’ ที่กำลังทำงานอยู่ และงานที่เขาทำก็คือซื้อขายแร่ธาตุรวมไมโครคริสตัลไลน์ ไมโครคริสตัลไลน์เป็นแร่ธาตุคุณภาพสูงซึ่งเพียง 1 กรัมก็สามารถแลกได้ 100 คะแนนแลกเปลี่ยน
เดิมทีเฉินหลงไม่รู้ทราบว่าตัวผลึกของแร่ธาตุรวมไมโครคริสตัลไลน์คืออะไร แต่หลังจากที่ได้เห็นตัวอย่างของรูปร่างแร่ธาตุรวมไมโครคริสตัลไลน์แล้ว เฉินหลงก็รู้แล้วว่าคืออะไร นั้นก็คือหยก ด้วยความช่วยเหลือจากระบบอัจฉริยะ ในไม่ช้าเฉินหลงก็ได้ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับแร่หยกเจไดต์ ตั้งแต่ผู้น้อยจนถึงผู้เชี่ยวชาญก็เห็นตรงว่าให้ออกแบบหยกให้อยู่ในรูปของหยดน้ำ
“มันเป็นทางที่ดีที่จะสร้างรายได้กับคะแนนแลกเปลี่ยน ตอนนี้ฉันได้เงินมาเยอะแล้วแต่ยังไม่สามารถใช้มันได้ ฉันควรจะเปลี่ยนพวกมันเป็นคะแนนแลกเปลี่ยนดีกว่า ” เมื่อเห็นงานที่’ไร้เงา’ ได้ปล่อยออกมา เฉินหลงก็มองเห็นหนทางที่จะได้รับคะแนนแลกเปลี่ยน
อาหารที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านั้นไม่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ที่บูชาเทียนซิงจื่อ ไม่มีทางที่อาหารจะสามารถกลายเป็นเพียงความกตัญญูที่มีต่อเทียนซิงจื่อได้
ตอนที่ 124
TB:บทที่124 ได้รับการดูถูกอีกครั้ง
หลังจากที่ได้พบหนทางเพิ่มคะแนนแลกเปลี่ยนได้แล้ว เฉินหลงก็ไม่มัวอยู่แต่ในห้องเฉยๆต่อไป เขากับจี้โม่ซีได้พากันออกไปข้างนอกด้วยกัน
เซียงเจียงเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงของสวรรค์ของนักชิมและสวรรค์ของนักช็อป ซึ่งที่นี่มีหยกเจไดต์คุณภาพดีที่เฉินหลงต้องการแน่นอน และเขาก็สามารถซื้ออาหารอร่อยๆไปฝากอาจารย์เข้าได้ด้วย
อย่างแรก ทั้งเฉินหลงและจี้โม่ซีได้ใช้เวลาร่วมกันท่องเที่ยวตามจุดสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเซียงเจียง จากนั้นเฉินหลงก็พาจี้โม่ซีไปที่ร้านจิวเวลรี่
ร้านที่เฉินหลงพาจี้โม่ซีไปนั้นเป็นร้านของโจวจิวเวลรี่ซึ่งเป็นร้านที่ขายเพชรในช่วงแรกๆ แต่อย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นร้านที่พิเศษจากร้านอื่นทั่วๆไปด้วย ร้านที่นี่เป็นออฟฟิซสำนักงานใหญ่และยังเป็นร้านค้าอีกสาขาที่ตั้งอยู่อีกด้านของสตาร์ซิตี้อีกด้วย
การออกแบบของเปลือกอาคารของร้านโจวจิวเวลรี่นั้นโอ่อ่าหรูหรา และมีตัวอักษรสีทองอร่ามสีคำว่า ‘โจวจิวเวลรี่’ วางอยู่ตรงตำแหน่งของผนังกระจกซึ่งดูเหมือนกับเป็นสมบัติล้ำค่า ภายในตู้กระจกที่จัดแสดงสินค้านั้นมีสร้อยคอเพชรที่แขวนอยู่บนชั้นวางกำลังส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟอยู่ เมื่อได้เห็นสร้อยเพชรที่ตั้งโชว์อยู่ ดวงตาของจี้โม่ซีก็ประกาย ไม่มีทางที่ของที่ดูล่อตาล่อใจแบบนี้จะทำให้หญิงสาวกลายเป็นคนร้ายกาจได้ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชื่นชอบเครื่องประดับแวววาวพวกนี้
เมื่อเปิดประตูร้านค้าออก เฉินหลงก็จูงมือจี้โม่ซีเดินเขาไป
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เมื่อเฉินหลงและจี้โม่ซีเดินเข้ามาในร้านแล้ว ได้มีผู้ช่วยสาวสวยที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มกล่าวต้อนรับลูกค้าเป็นภาษาจีนกวางตุ้งด้วยรอยยิ้ม
เฉินหลงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เป็นครั้งแรกของจี้โม่ซีที่เธออาจจะเข้ามาในร้านจิวเวลรี่แบบนี้ เธอจึงอยากจะดูของทุกสิ่งที่อยู่ในร้านเป็นอย่างมากจนสีหน้าของเธอแสดงออกมาอย่างตื่นเต้น
“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงคะ ไม่ทราบว่าต้องการดูเครื่องเพชรแบบไหนคะ? ดิฉันสามารถแนะนำให้ได้นะคะ” ผู้ช่วยสาวสวยพูดแนะนำกับเฉินหลงต่อ
ในฐานะผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้า งานของเธอก็คือการช่วยแนะนำและดูแลลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้านค้า
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกเราขอดูกันเองดีกว่า” เฉินหลงพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพูดจบ เฉินหลงก็ดึงจี้โม่ซีไปยังเคาท์เตอร์ที่ตั้งโชว์หยก
“ที่รัก คุณเข้าใจภาษาจีนกวางตุ้งด้วยหรอคะ?” จี้โม่ซีมองเฉินหลงอย่างแปลกใจ เพราะเธอไม่คิดว่าเฉินหลงจะพูดภาษาจีนกวางตุ้งได้
เฉินหลงยิ้มให้จี้โม่ซีแล้วพูดกับเธอว่า
“ฟังออกแค่ครึ่งนึงเดาครึ่งนึงนะ ยังไงความหมายก็คงใกล้เคียงกัน “
ความจริง เฉินหลงไม่ได้เข้าใจภาษาจีนกว้างตุ้งหมด แต่ด้วยระบบอัจฉริยะ ภาษาจีนกวางตุ้งที่ผู้ช่วยสาวได้พูดออกมาถูกแปลเป็นภาษาจีน แต่เฉินหลงก็ไม่สามารถบอกกับจี้โม่ซีได้ว่าเขาใช้ระบบอัจฉริยะช่วยแปลภาษาให้กับเขา ดังนั้น เขาจึงบอกว่าเพียงว่าฟังออกเพียงครึ่งเดียวว่สนอีกครึ่งนึงคือเดา
จี้โม่ซีตามเฉินหลงมาที่เคาท์เตอร์ที่มีเครื่องหยกตั้งโชว์อยู่ เธอมองเครื่องหยกอันล้ำค่าที่อยู่ในตู้โชว์แล้วพูดออกมาอย่างตกตะลึงว่า
“ว้าว เครื่องหยกพวกนี้ต้องราคาแพงแน่ๆเลย”
ราคาของเครื่องหยกแต่ละชิ้นในเคาท์เตอร์นี้มีราคามากกว่า 50,000 หยวนซึ่งทำให้จี้โม่ซีถึงกับพูดไม่ออกแม้ว่าแฟนของเธอจะรวยก็ตาม
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้โม่ซี หญิงสาวผู้ช่วยที่สูงพอๆกับจี้โม่ซียืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ เธอมีรูปร่างที่ผอมบางมาก และส่วนหน้าอกของเธอราบเรียบจนเหมือนไม่มีอะไร เธอย้อมผมสีบลอนด์และตอนนี้เธอได้แสดงสีหน้าที่กำลังเหยียดหยามออกมา
“จากแผ่นดินใหญ่.”
“คุณต้องการอะไรหรอคะ? แร่หยกเจไดต์ในร้านค้าของพวกเราต่างเป็นหยกเกรดสูงจากประเทศพม่าซึ่งเครื่องหยกพวกนี้ก็ได้ช่างฝีมือดังเป็นคนทำ ในเซียงเจียงมีดาราหลายท่านมาที่ร้านพวกเราเพื่อมาซื้อเครื่องหยกพวกนี้” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจี้โม่ซี พนักขายหญิงคนนี้ก็จงใจพูดเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง
เฉินหลงมองไปที่หยกเจไดต์ที่อยู่ในเคาท์เตอร์แต่คุณภาพดูค่อนข้างไม่ค่อยสูง เขาจึงพูดอย่างผิดหวังว่า
“มีแร่หยกที่คุณภาพดีกว่านี้ไหมครับ?”
“แน่นอนค่ะ เรามีหยกคุณณภาพที่ดีกว่านี้ในร้านค่ะ แต่ราคาของหยกเหล่านีจะค่อนข้างราคาสูงนะคะ ส่วนหยกที่ราคาถูกลงมาก็ประมาณหลายแสนหยวน และส่วนหยกที่มีราคาสูงราคาก็จะประมาณหมื่นล้านหยวน คุณลูกค้าอยากจะดูหยกพวกนี้ไหมละคะ?” เมื่อได้ยินว่าเฉินหลงใช้ภาษาจีนแมนดารินพูด พนักงานขายสาวก็ไม่ได้พูดเป็นภาษาจีนกวางตุงกับเขา
ตามกฎข้อบังคับของร้านนี้คือต้องใช้ภาษาจีนแมนดารินตอนที่มีลูกค้า หากไม่กระทำตามกฏข้อบังคับหรือแม้แต่พูดเพียงคำเดียวก็จะถูกไล่ออกในทันที
อย่างไรก็ตาม พนักงานขายสาวก็ยังใช้ภาษาจีนแมนดารินในการสื่อสารกันอยู่แล้วแต่น้ำเสียงที่ใช้กับเฉินหลงมันออกเชิงดูถูกเล็กน้อย นี่อาจเป็นเพราะความจริงที่ว่าคนฮ่องคนบางกลุ่มมักจะชอบดูถูกคนที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ในใจ
แน่นอนว่าเมื่อเฉินหลงได้ยินคำพูดของพนักงานสาวพวกนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนในทันทีและน้ำเสียงของเขาที่ใช้พูดก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”คุณจะหมายถึงว่าผมไม่สามารถชื้อหยกพวกนั้นได้งั้นหรอ?”
เฉินหลงมาที่เซียงเจียงเพื่อเที่ยวพักสมอง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้ใครมาทำลายบรรยากาศ แต่เขาไม่คิดว่าการมาที่เซียงเจียงครั้งนี้ เขาจะโดนพนักงานขายพูดดูถูกใส่ มันจึงทำให้เฉินหลงเริ่มกลับมาโมโหอีก
“ดิฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะคะ ดิฉันแค่คิดว่าจิวเวลรี่ของที่นี่นั้นราคาคุ้มค่ามาก” เมื่อเห็นว่าเฉินหลงเริ่มโกรธ ใบหน้าของหญิงสาวก็แสดงออกอย่างหวาดกลัวในทันที
ในฐานะปรมาจารย์ระดับขอบเขตกำเนิด ทุกการเคลื่อนไหวจะนำพาร่องรอยของพลังลึกลับระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ ในเวลาปกติ เฉินหลงสามารถควบคุมตนเองและทำให้ตัวเองดูเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปได้ แต่เมื่อเฉินหลงสูญเสียการควบคุมของอารมณ์เมื่อไหร่ คลื่นพลังในระดับขอบเขตกำเนิดก็จะปรากฏขึ้นในตัวของเฉินหลง คนธรรมดาทั่วไปจะไม่กลัวกับสิ่งนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ระดับขอบเขตกำเนิด
“คุณไม่ได้กลัวหรอว่าผมจะมีเงินไม่พอที่จะซื้อของพวกนี้? ผมจะซื้อพวกมันวันนี้จริงๆ ไม่ให้ผมได้แสดงให้คุณเห็นว่าผมมีเงินพอและสามารถซื้อพวกมันได้ละ?” เสียงของเฉินหลงดังขึ้น
ผู้คนมักจะดูถูกผู้อื่นเก่งและม้าก็เป็นสัตว์พาหนะที่ขี่ได้ดี หากคุณมีมือที่ไม่แข็งแรงพอ ผู้คนก็จะไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับคุณ
เสียงจากด้านข้างที่ดังมาจากพนักงานดึงดูดความสนใจเฉินหลงทันที ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบร้านก็ได้ออกมา เมื่อเห็นผู้ดูแลรับผิดชอบ เฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจกับโลกที่มันแคบก่อนไป แม้ว่าเขาจะมาถึงที่นี่แล้วก็ยังต้องมาเจอกับเขาอีก ผู้ดูแลคนนั้นก็คือจางกวงหนาน ผู้จัดการของโจวจิวเวลรี่สาขาสตาร์ซิตี้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่เซียงเจียงด้วย
“ทำไมคุณจางถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละครับ?” เมื่อเฉินหลงเห็นจางกวงหนานสีหน้าของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรเขาก็เป็นคนรู้จักเก่าและเคยทานมื้อค่ำด้วยกัน เขาจึงย่อมไม่ทำให้คนผู้นั้นต้องอับอาย
เมื่อได้พบเฉินหลง ความคิดจางกวงหนานก็เริ่มสับสน มันดูทั้งน่าปวดหัวและน่าประหลาดใจ น่าปวดหัวเพราะหลังจากที่เฉินหลงดื่มมาครั้งล่าสุดเขาถึงกับเปลื้องผ้าแล้วค่อยๆเดินขึ้นเตียง โชคดีที่ไม่มีใครเห็น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะดูน่าอนาถแน่ ส่วนที่น่าประหลาดใจนั้นเป็นเพราะเพชรสองเม็ดสุดท้ายที่ทำให้เขาต้องถูกย้ายมาเป็นผู้จัดการร้านโดยสำนักงานใหญ่ ครั้งนี้เมื่อได้เจอกับเฉินหลงอีกครั้ง เขาก็หวังว่าเฉินหลงจะทำให้เขาได้ประหลาดใจอีกครั้ง
“ต้องขอบคุณคุณเฉินที่ทำให้ผมได้ย้ายมาเป็นผู้จัดการที่สำนักงานใหญ่ คุณมาเที่ยวเซียงเจียงหรอครับ คุณเฉิน?” จางกวงหนานพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินหลงมองไปที่พนักงานขายหญิงแล้วพูดว่า
“แน่นอน ผมมาเที่ยวที่นี่ครับ แต่ผมยังโกรธอยู่?”
เมื่อเห็นเฉินหลงดูไม่โอเค จางกวงหนานก็มองไปที่พนักงานขายหญิงและพูดว่า
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
พนักงานขายหญิงคนนั้นเมื่อเห็นเฉินหลงและจางกวงหนานรู้จักกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ต้องกับสถานการณ์นี้ ดังนั้นสีหน้าของเธอก็ดูแย่ลงไปอีก อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้บอกกับจางกวงหนานไปจริงๆว่าเพิ่งทำอะไรลงไป แน่นอนว่าเธอเครียดเรื่องว่าต้องบริการเฉินหลงยังไง ไม่ได้เครียดเรื่องที่เธอดูถูกเขา
ตอนที่ 125
TB:บทที่125 เอาทั้งหมด
“หากลูกค้าต้องการดูสินค้าที่คุณภาพดีกว่านี้ เธอควรจะบอกเขาว่ามันอยู่ตรงไหนดีกว่าบอกว่าราคาคุ้มค่าแค่ไหน ถ้าเธอเรื่องพวกนี้ได้ไม่ดี แล้วเธอททำอะไรอย่างอื่นได้ดีบ้างละ? งั้นพรุ่งนี้เธอก็ไม่ต้องมาทำงานละ” จางกวงหนานพูดกับพนักงานขายหญิงด้วยใบหน้าที่เย็นชา
สำหรับจางกวงหนาน แน่นอนว่าเฉินหลงสำคัญกว่าพนักงานขายหญิงมาก ดังนั้น ไม่ว่าพนักงานขายหญิงจะดูถูกหรือคิดยังไงกับเฉินหลง เพื่อที่จะทำให้เฉินหลงได้ใจเย็น เธอจำต้องตกกลายเป็นเหยื่อไป
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจางกวงหนานว่าเขาจะไล่เธอออก พนักงานขายหญิงก็พูดออกมาว่า
“ผู้จัดการคะ ฉันไม่ได้…”
อย่างไรก็ตาม จางกวงหนายเพียงแค่หันไปมองเธอและบอกให้เงียบปากไป
เวลานี้ เธอร่ำร้องอย่างเสียใจอยู่ในใจ เธอเสียใจที่ทำไมตอนนั้นเธอถึงมองเฉินหลงดวงสายตาแบบนั้น
“คุณเฉิน ด้านบนของที่นี่มีของเก่าที่คุณภาพดีอยู่ซึ่งมันสามารถทำให้คุณพอใจได้ครับ” จางกวงหนานหันมาพูดกับเฉินหลงด้วยรอยยิ้ม สีหน้าของนั้นไปเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ในฐานะนักธุรกิจ คุณไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่มีความสามารถในการตีสองหน้า
เฉินหลงโอบจี้โม่ซีให้ตามจางกวงหนานไปที่ชั้นสองด้วย ส่วนทางด้านพนักงานขายหญิง ใครจะไปสนใจเธอกันละ? หากคุณต้องการที่จะตำหนิเธอ ก็คงต้องโทษความคิดของคนฮ่องกง
จางกวงหนานพาเฉินหลงมาที่เคาท์เตอร์ของชั้นสองพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณเฉิน แร่หยกเจไดต์พวกนี้เป็นแร่หยกที่ดีที่สุดในร้านเรา ผมจะลดให้คุณ 10% ตามชิ้นที่คุณชอบครับ” เฉินหลงมองไปที่เคาท์เตอร์ ในนั้นมีกำไลอยู่หลายคู่ แหวนเพชร 12 กะรัต หยกเจ้าแม่กวนอิมและพระหยก ตามที่จางกวงหนานได้พูดไว้ว่าคุณภาพหยกของข้างบนนี้ที่นี่ดีกว่าชั้นล่าง ซึ่งหยกแต่ละชิ้นต่างก็มีคุณภาพราคาจึงไม่ใช่ถูกๆ แต่ละชิ้นมีราคาที่แตกต่างกันไปตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้าน
“ผมเอาทั้งหมด ถ้าคุณมีหยกที่คุณภาพคล้ายกันหรือดีกว่าของในร้าน คุณสามารถเอามาให้ผมได้เลย” หยกที่เขาเห็นพวกนี้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาจึงย่อมซื้อพวกมันหมด
“ทั้งหมดหรอครับ?” จู่ๆเฉินหลงพูดขึ้นมาทันทีว่าเขาต้องการซื้อทั้งหมดนั้นจึงทำให้จางกวงหนานคิดว่าเขาได้ยินผิด
เฉินหลงพยักหน้า
เมื่อเห็นเฉินหลงพยักหน้า จางกวงหนานก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่เขาเพิ่งบอกเฉินหลงไปว่าจะให้ส่วนลดเขา 10% เขาจะได้กำไรเท่าไหร่กันเชียว
จี้โม่ซีก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินเฉินหลงพูดว่าจะซื้อหยกของที่นี่ทั้งหมด พูดง่ายๆก็คือ เขาจะต้องจ่ายเงินมากกว่า 100 ล้านหยวนเพื่อที่จะซื้อหยกของที่นี่ นี่เฉินหลงสติหลุดไปแล้วหรอ
“เสี่ยวฝาน เอาใบเสร็จสินค้ามาให้คุณเฉินดูด้วย” จางกวงหนานพูดกับพนักงานขายสาวสวย
พนักงานขายสาวคนนั้นตอบรับและรีบยื่นใบเสร็จให้เฉินหลง
เพื่อที่ย้ำเตือนความจริงที่ว่าเมื่อครู่เฉินหลงพูดว่าจะซื้อทุกอย่าง เธอก็รู้สึกตะลึงไปด้วยจนละเลยหน้าที่ของตน โชคดีที่จางกวงหนานเตือนเธอ
“ผู้จัดการจางครับ ที่นี่ไม่มีแร่หยกที่ดีกว่านี้แล้วหรอครับ?” ถึงแม้ว่าจะได้กำไรอยู่บ้าง แต่เฉินหลงก็ผิดหวังที่ร้านใหญ่ที่นี่จะม่แร่หยกเจไดต์เพียงไม่มาก
เมื่อจางกวงหนานมองเฉินหลงและพบว่าเหมือนเขาจะไม่ได้พูดเล่น จากนั้นจางกวงหนานก็พูดออกมาจริงจังว่า
“เราไม่มีหยกที่คุณภาพที่ดีไปกว่านี้ในร้านแล้วครับ แต่ถ้าคุณต้องการหยกเจไดต์ คุณเฉินครับ ผมก็พอมีวิธี 3 วันก่อนได้มีการประมูลหินหยกหายาก หินหยกพวกนี้เป็นหินที่มาจากพม่าทั้งหมด ถ้าคุณได้เข้าร่วมการประมูล คุณก็จะมีโอกาสได้หยกเจไดต์คุณภาพสูง”
“การประมูลหินหยกเจไดต์?” เฉินหลงพูดขึ้นมาด้วยความสนใจ
“ใช่ครับคุณเฉิน ถ้าคุณสนใจ ผมสามารถช่วยบอกคุณเรื่องข้อบังคับของการเข้าร่วมการประมูลก่อนได้ อย่างไรก็ตามในการเข้าร่วมประมูลจำนวนเงินขั้นต่ำประมาณ 500 ล้านหยวน” จางกวนหนานพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินจางกวงหนานพูดถึงเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้าร่วมงานประมูลได้ เฉินหลงก็เริ่มเสียกิริยาขึ้นมาทันที
“ผู้จัดการจาง คุณแค่ช่วยมผมให้ได้เข้าร่วมการประมูลก็พอ ส่วนเรื่องเงินผมไม่มีปัญหา”
สิ่งที่เฉินหลงต้องการตอนนี้คือหยกเจไดต์คุณภาพสูง ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย
“ตกลงครับ ผมจะช่วยคุณเรื่องข้อบังคับของการประมูลและพวกเราก็จะได้ไปงานประมูลหลังจากสามวันนี้” พูดจบ จางกวงหนานก็ยื่นนามบัตรให้เฉินหลง
เฉินหลงไม่มีนามบัตร ดังนั้นเขาจึงให้เบอร์โทรศัพท์ไปแทน
เฉินหลงจ่ายเงินสดโดยตรงหลังจากที่เสี่ยวฝานได้เขียนใบเสร็จสินค้าทั้งหมดซึ่งเป็นเงินมากกว่า 100 ล้านหยวนซึ่งจำนวนเงินนี้เป็นเพียงแค่เศษเงินสำหรับเฉินหลง ส่วนการลดราคา เฉินหลงก็ไม่ได้พูดถึงมันเลย พนักงานทุกคนเต็มใจช่วยเฉินหลงให้มีคุณสมบัติตามข้อบังคบการเข้าร่วมประมูล ส่วนส่วนลดก็ถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อจางกวงหนาน
หลังจากที่เสี่ยวฝานใส่เครื่องหยกทั้งหมดลงไปในกล่องเครื่องประดับ จางกวงหนานก็หยิบกล่องโลหะที่ใส่รหัสลับและใส่เครื่องหยกลงไปในนั้น ขั้นตอนสุดท้าย เขาได้ยื่นกล่องนั้นให้กับเฉินหลงและให้เฉินหลงตั้งรหัสลับด้วยตนเอง
เมื่อเฉินหลงตั้งรหัสเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เตรียมตัวกลับ แต่จู่ๆเขาก็คิดบางสิ่งขึ้นมาได้ “ผู้จัดการจางครับ คุณสามารถทำเครื่องประดับให้ลูกค้าได้ไหม?” เฉินหลงถาม
“แน่นอนครับ” จางกวงหนานพยักหน้า
“เอ่อ ผมอยากจะขอให้ผู้จัดการจางทำแหวนกับสร้อยคอให้ผมนะครับ” พูดจบเฉินหลงก็หยิบเพชรผง(สารสกัดจากเพชร)และเพชรเม็ดห้าสี
ดวงตาของจางกวงหนานเบิกกว้างเมื่อเขาเห็นเพชรหกเม็ดที่เฉินหลงหยิบออกมา
เมื่อไม่นานมานี้ เฉินหลงได้นำเพชรสองเม็ดที่มีขนาดเดียวกันไปขาย ตอนนี้เขายังเหลืออีกหกเม็ด หนึ่งนั้นเป็นเพชรสีชมพูที่หายากมากๆ จางหวงหนานจึงรู้สึกตื่นเต้น
“คุณเฉิน ไม่ทราบว่าชอบแหวนกับสร้อยแบบไหนหรอครับ?” จางกวงหนานถาม
“คุณเป็นมืออาชีพจริงๆ ผมเชื่อใจคุณ แต่ผมมีเรื่องเล็กน้อยจะขอ ก็คือช่วยสลักคำว่า ‘CL love JMX’ ข้างในแหวนได้ไหมครับ? ” เฉินหลงพูด
“แน่นอนครับ ไม่มีปัญหา ภายในหนึ่งเดือน พวกเราสามารถผลิตผลงานได้ภายในหนึ่งเดือนครับ” จางกวงหนานมองไปที่เพชรทั้งหกเม็ดที่เฉินหลงให้เขามา
จากนั้น จางกวงหนานก็ยืนข้อตกลงให้กับเฉินหลงโดยระบุว่าเฉินหลงได้อนุญาติให้นำเพชรเข้าสู่กระบวนการแปรรูปที่ร้านโจวจิวเวลรี่และอื่นๆ ไม่ว่ากรณีใดๆ ข้อตกลงนี้ถือเป็นการันตีได้ว่าจำนำเพชรของเฉินหลงเข้าสู่กระบวนการแปรรูปโดยร้านโจวจิวเวลรี่จริง
“ที่รัก คุณจะสั่งทำแหวนเพชรกับสร้อยคอให้ฉันจริงๆหรอคะ?” หลังจากที่กลับมาจากร้านโจวจิวเวลรี่แล้ว จี้โม่ซีก็เอาแต่มองเฉินหลง ในแววตาของเธอมีทั้งความประหลาดใจนิดๆ ตื่นเต้นหน่อยๆและสัมผัสได้ถึงความสุขผสมปนกันไป
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหน เมื่อชายที่เธอรักให้แหวนกับเธอก็ต้องรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งไปกว่านั้น เฉินหลงยินดีที่จะสั่งแหวนเพชรให้เธอด้วยตัวเขาเองและยังมีเพชรอีกซึ่งมันทำให้จี้โม่ซีมีความสุขมาก
“ถ้าไม่ใช่สำหรับคุณ แล้วผมจะสั่งทำให้ใครได้ล่ะ? ” เฉินหลงพูดพร้อมกับยิ้ม
จี้โม่ซีกอดเฉินหลงแน่นและพูดอย่างมีความสุขว่า
“ที่รัก คุณนี่ดีจริงๆเลย ทำไมชีวิตของฉันถึงได้ดีขนาดนี้นะ? ฉันดีใจที่ได้พบกับแฟนที่ทั้งรักและหวงฉันมากขนาดนี้”
ผู้หญิงที่ได้พบกับชายที่ทั้งรักและห่วงตลอดชีวิต นั้นคือสิ่งที่ความสุขที่สุดของผู้หญิง
ตอนที่ 126
TB:บทที่ 126 การประมูลการกุศล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ได้ผ่านไปสามวันแล้วที่เฉินหลงและจี้โม่ซีได้พบกับจางกวงหนาน
วันถัดมาหลังจากที่จางกวงหนานได้ช่วยเฉินหลงให้ได้เข้าร่วมการประมูล เขาก็ได้ส่งบัตรเชิญมาให้ ในไม่ช้าจางกวงหนานและเฉินหลงได้มาถึงถนนปินจีที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ยาวจนไปถึงภูเขาไทปิง ที่นี่มีคฤหาสน์ที่มีพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร ทุกคนควรรู้ว่าภูเขาไทปิงไม่ได้เป็นเพียงจุดที่สูงที่สุดของเซียงเจียง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของเมืองเซียงด้วย โดยทั่วไปแล้วคนที่สามารถขึ้นไปบนเขาได้พวกเขาจะต้องร่ำรวยหรือไม่ก็เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในเซียงเจียง และการที่สามารถมีคฤหาสน์บนยอดเขาไทปิงได้นั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนคนนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน
เวลานี้ได้มีรถหรูหลายคันจอดอยู่ด้านนอกของตัวคฤหาสน์ จางกวงหนานได้หยุดรถเพื่อมองรถที่เข้าไปในคฤหาสน์
เฉินหลงจูงมือจี้โม่ซีเข้าไปในคฤหาสน์ ข้างนอกประตูของคฤหาสน์มีชายวัย 50 ปียืนอยู่ เขาแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
จางกวงหนานเดินไปหาชายคนนั้นแล้วยื่นบัตรเชิญให้ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณพ่อบ้านโจว สบายดีรึเปล่า?”
เขาก็เป็นพ่อบ้าน ดูเหมือนว่าพวกคนรวยจะชอบมีพ่อบ้านจริงๆ
แมนเชียสหรือเม่งจื๊อได้กล่าวไว้ว่า’ไม่มีอะไรดีไปกว่าแสดงความกรุณาต่อผู้อื่น’ การทำความดีบ่อยๆไม่เพียงแต่สามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ยังสร้างความสุขให้กับพวกเขาได้ด้วย แต่ทำไมใบหน้าของพ่อบ้านโจวถึงไม่มีรอยยิ้มและความสดใสเลยละ
“งั้นผมคงต้องช่วยตาแก่ซูวันนี้” จางกวงหนาน
การประมูลจัดขึ้นโดยเจ้าของคฤหาสน์ เขาต้องการบริจาคเงินทั้งหมดที่ได้จากการประมูลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการ จางกวงหนานที่เข้าร่วมการประมูลนี้ก็ได้ช่วยเจ้าของของที่นี่ด้วย
“ใช่ ฉันต้องขอบคุณนายสำหรับเรื่องลูกค้าเหล่านี้ แต่ยังไงพวกเขาก็มาที่นี่แล้ว มันไม่ง่ายเลยที่จะชักจูงพวกเขา” พ่อบ้านโจวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมรู้ ตอนที่ผมเห็นรถของพวกเขา ผมก็รู้ว่าพวกเขามาที่นี่กันแล้ว เอาละ ผมไปก่อนนะ” จางกวงหนานพยักหน้า
หลังจากที่จางกวงหนานเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว เฉินหลงก็เดินตามเข้ามาและยื่นบัตรเชิญให้กับพ่อบ้านโจว แต่เมื่อเข้าเข้าใกล้พ่อบ้านโจว เฉินหลงก็พบกับบางอย่างที่น่ามหัศจรรย์ นั้นก็คือ พ่อบ้านโจวจริงๆแล้วเป็นปรมาจารย์ระดับขอบเขตกำเนิด
มันแปลกที่ปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิดจะมาเป็นพ่อบ้านให้กับคน และเมื่อเฉินหลงพบว่าพ่อบ้านโจวเป็นปรมาจารย์ระดับขอบเขตกำเนิด พ่อบ้านโจวก็รู้เช่นกันว่าเฉินหลงอยู่ในระดับขอบเขตกำเนิด
หลังจากที่รู้แล้ว ใบหน้าที่มีรอยยิ้มของพ่อบ้านโจวก็หายไป ร่างกายของเขาก็ค่อยๆคอยระวังเฉินหลง
“คุณเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่?” พ่อบ้านโจวถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาและเสียงที่ทุ่มต่ำ
“พ่อบ้านโจวครับ ไม่ต้องกังวลไป ผมไม่ได้มาสร้างปัญหาที่นี่ ผมมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประมูลครับ” เฉินหลงยิ้มให้เขามั่นใจ
“ผมก็หวังอย่างนั้น เข้ามาเถอะครับ แล้วผมจะจับตาดูคุณเอง” พ่อบ้านโจวคิดไปด้วยพูดไปด้วยเฉินหลงยิ้มให้พ่อบ้านโจวแล้วก็จูงมือจี้โม่ซีเข้าคฤหาสน์ไป
เมื่อเขามาในคฤหาสน์แล้ว เฉินหลงก็เห็นว่าจางกวงหนานกำลังพูดคุยอยู่กับชายสี่คนที่อายุราว 30 ปี เมื่อเห็นท่าทีของจางกวงหนานแล้วเขาก็ดูจะไม่พอใจเท่าไหร่
“ผู้จัดการจาง”เวลานี้ เฉินหลงได้เรียกเขาด้วยรอยยิ้ม
เสียงของเฉินหลงไม่เพียงแต่จะทำให้จางกวงหนานหันหน้ามา แต่กลับทำให้ชายทั้งสี่คนที่เขาคุยอยู่ด้วยก็หันมามองเฉินหลงเช่นกัน
เมื่อเห็นจี้โม่ซีอยู่ข้างกายเฉินหลง สายตาของชายสามคนที่หันมาก็แสดงออกอย่างชอบพอและชายอีกคนก็มองเฉินหลงอย่างสนใจเขามาก
เมื่อเห็นสายของชายคนนั้น เฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัวและคิดว่าเขาคงไม่ได้เป็นเกย์หรอกนะ
ตอนนี้ ได้มีชายคนนึงถามกับจางกวงหนานว่า “พี่จาง คนคนนี้คือ…”
เสียงของเขาเป็นเสียงกลางที่ออกไปทางผู้หญิงเล็กน้อย แต่ก็ยังออกไปทางตุ้งติ้งจนทำให้รู้สึกอึดอัดมาก
“ผมเป็นแค่คนไม่มีตัวตนครับ” เฉินหลงไม่ต้องการให้ชายคนนั้นรู้ชื่อของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบพูดขึ้นก่อนจางกวงหนานจะเปิดปาก
ชายคนนั้นหัวเราะและมองไปที่เฉินหลง
“คุณนี่ถ่อมตัวจังนะครับ คุณซู การประมูลของที่นี่ไม่ใช่ว่าใครที่ไม่มีตัวตนเข้าร่วมได้ใช่ไหมครับ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูยั่วยวนของชายคนนั้นแล้ว เฉินหลงก็รู้สึกไม่สบายใจและทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้ม “ผมไม่เป็นคนที่มีชื่อเสียงอะไรหรอกครับ คุณไม่รู้จักชื่อของผมหรอก ลืมมันไปเถอะครับ”
พูดจบ เฉินหลงก็ดึงจี้โม่ซีมาอีกฝั่งเนื่องจากเขาไม่อยากที่นะจะอยู่ตรงนี้แล้ว
ส่วนจางหนานก็แยกออกมาจากกลุ่มชายสี่คนนั้นและเดินมาพร้อมกับเฉินหลง
“เมื่อกี้ คนพวกนี้เป็นใคร? ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะเป็นมิตรกับคุณเท่าไหร่นะ” เฉินหลงถาม
จางกวงหนานพูดด้วยรอยยิ้มว่า”ชายทั้งสี่คนเมื่อกี้เป็นตัวแทนของสี่กลุ่มจิวเวลรี่ในเซียงเจียงและเป็นคู่แข่งของโจวจิวเวลรี่ของพวกเรา เพื่อนร่วมงานของผมเป็นเหมือนศัตรูทางการแข่งขัน แต่พวกเขาจะไม่ต่อต้านผมแน่นอน” จากนั้นจางกวงหนานก็แนะนำชายทั้งสี่ให้เฉินหลงฟัง พวกเขาทั้งสี่ชื่อจินเหลียงหยวน อวี่จินหรู ลู่เหลียงยู่และหยินหลง
ชายที่ดูคล้ายกับหญิงคนนั้นมีชื่อว่าอวี่จินหรูแห่งตระกูลอวี่
ในบรรดาทั้งสี่คน อวี่จินหรูเป็นคนที่ทรยศเก่งที่สุดและพูดได้ว่าเขาเก่งเรื่องหลงหยาง(‘龙阳’
เป็นคำที่ใช้เรียกชายรักชาย)ซึ่งทำให้น่าปวดหัว”เขาเป็นเกย์จริงๆด้วย อย่ามายุ่งกับผมก็พอหรือไม่งั้นได้เจอดีแน่”
เมื่อได้ยินจางกวงหนานพูดถึงอวี่จินหรูเป็นเกย์คนนั้น ในหัวของเฉินหลงก็เกิดความคิดขึ้นมาทันที
ไม่นานนัก ทุกคนที่ถูกเชิญมาเข้าร่วมการประมูลก็ได้อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าของคฤหาสน์ คุณซูก็ได้ออกมาแล้ว
คุณซูเป็นชายวัย 70 ปี ถึงผมของเขาเป็นสีเทาแต่ยังมีสปิริตดีอยู่และยังยืนหลังตรงอีกด้วย
“ยินดีต้อนรับเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ทุกท่านที่มาเข้าร่วมการประมูลการกุศลในครั้งนี้ การประมูลนี้จัดขึ้นโดยเพื่อนเก่าของผมซึ่งมันเป็นการประมูลหินหยก 10 ชิ้นที่ผมได้ไปซื้อมาจากประเทศพม่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ผมไม่สามารถการันตีได้ว่ามีแร่หินหยกเจไดต์หายากอยู่ในนี้หรือไม่แต่ผมการันตีได้ว่าได้คัดสรรหยกเหล่านี้มาอย่างดี ไม่ว่าผมจะได้เงินจากการประมูลครั้งเท่าไหร่ ผมก็จะบริจาคเงินทั้งหมดให้กับคนยากไร้ที่อยู่ในพื้นที่ภูเขาบนแผ่นดินใหญ่เพื่อช่วยให้พวกเขาได้มีอาหารและมีการศึกษาพวกเขา เอาละ ผมรู้ว่าพวกคุณร้อนใจอยากจะให้เริ่มประมูลแล้ว ผมจะเลิกพูดจาเพ้อเจ้อแล้ว งั้นขอเริ่มการประมูล ณ บัดนี้” พูดจบ คุณซูก็นั่งลงเฉยๆ
ขณะที่เสียงของคุณซูค่อยๆลดลงไป หยกที่มีเครื่องหมายสีเขียวชิ้นแรกได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมา และได้มีชายวัย 40 ปี เดินไปยังตำแหน่งที่คุณซูอยู่ คนคนนี้น่าจะเป็นผู้ขายการประมูลในครั้งนี้
“หินหยกดิบชิ้นนี้มีน้ำหนักถึง 66 ชั่ง ซึ่งเป็นของที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง ผมเชื่อว่ามันจะทำให้การประมูลเริ่มต้นได้ด้วยดี ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 6.66 ล้านหยวน และการประมูลครั้งแรกสามารถเพิ่มได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านหยวน” ผู้ขายการประมูลได้แนะนำหินหยกและทำการเริ่มการประมูล
TB:บทที่127 เท่าไหร่
“7.66 ล้านหยวน”
“8.66 ล้านหยวน”
……
ในช่วงแรกของการประมูลราคาก็พุ่งขึ้นสูงแล้ว
ราคาของหยกเจไดต์สูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยปกติแล้วราคาของหยกเจไดต์น้ำหนัก 66 ชั่งราคาจะอยู่ที่ 6.66 ล้านหยวนซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก ดังนั้นราคาประมูลจึงเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าผู้เข้าร่วมการประมูลทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น เฉินหลงก็รู้สึกงงเล็กน้อย
“ผู้จัดการจางครับ ผู้เฒ่าซูเป็นใคร? พวกเขาดูเหมือนจะเชื่อถือเขาเอามากๆเลย พวกเขาไม่กลัวว่าการประมูลจะไม่คุ้มราคาหรอเมื่อราคาประมูลสูงขนาดนี้?”
“คุณเฉิน ชื่อของผู้เฒ่าซูก็คือซูชิงเฟิ่ง เขาเป็นบุคคลในตำนานของเซียงเจียง เขาไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวที่มีชื่อเสียงแต่เขามีทุกวันนี้ได้ด้วยความยากลำบากของเขา แต่สิ่งที่นาสนใจมากที่สุดก็คือวิสัยทัศน์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการพนันหินหยก อสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นอื่นๆ ตราบใดที่เขาได้เห็นของพวกนี้แล้วและแม้พวกเหล่านี้จะดูทำเงินไม่ได้เลยและแม้ว่าจะเป็นหุ้นใหญ่หลายตัวในซียงเจียงที่อยู่ในช่วงภัยพิบัติ คุณซูก็สามารถเอาตัวรอดจากหายนะครั้งนั้นไปได้ ดังนั้นชื่อของคุณซูจึงเป็นเหมือนป้ายทองคำเนื่องจากเขาสามารถซื้อพวกหินหยกกลับมาจากพม่าได้ด้วยตัวเองและไม่เสียหายมากด้วย” จางกวงหนานพูดไปด้วยยกป้ายเรียกราคาประมูลไปด้วย
มาจนถึงตอนนี้ ราคาของหินหยกก้อนสูงถึง 16 ล้านหยวนแล้ว
หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายจากจางกวงหนาน เฉินหลงก็มองไปที่ซูชิงเฟิ่งและพบว่าเขาก็มองมาที่ตนด้วย เมื่อคณซูเห็นว่าเฉินหลมองมาที่เขา เขาก็ยิ้มให้เฉินหลง
เฉินหลงยิ้มกลับให้พร้อมพยักหน้า ตั้งแต่ที่เขามีพ่อบ้านที่มีพลังระดับขอบเขตกำเนิด เขาก็มักจะได้ฟังเรื่องเล่าจากพ่อบ้านและทำให้รู้ว่าควรจะสนใจเรื่องใด อย่างไรก็ตาม เฉินหลงมาเพื่อที่จะซื้อหยก จากนั้นเฉินหลงก็หยิบเอา’แว่นประมาณของคุณภาพต่ำ’ขึ้นมาแล้วสวมมัน
เนื่องจากที่ไม่รู้ว่าก้อนหยกเจไดต์มีสภาพเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงใช้ความสามารถของ’แว่นประมาณของคุณภาพต่ำ’ระบุสภาพหยกพวกนี้
เฉินหลงมั่นใจว่าเมื่อสวมแว่นนี้แล้ว แว่นจะสามารถระบุสภาพได้ในทันที
“หยกเจไดต์สีขาว เป็นหยกคุณภาพชั้นยอดที่มีมูลค่าสูง” จากนั้น แว่นก็ได้แสดงถึงขนาดของหินหยกซึ่งมันมีขนาดเท่ากับชามและยาวเท่ากับแขนคน
หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากแว่นมาแล้ว เฉินหลงก็คิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าจะต้องประมูลมันมาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความจำเป็นหรือมูลค่าของหยก เฉินหลงก็จะประมูลมันมา เขาไม่อยากโดนคนอื่นเอาเปรียบ
ซูชิงเฟิ่งเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ แม้กระทั่งก้อนหยกชิ้นแรกก็มีคุณภาพสูงขนาดนี้แล้ว
“20 ล้านหยวน” เมื่อรู้มูลค่าของก้อนหยกนี้แล้ว เฉินหลงก็ประมูลราคาออกไป
“21 ล้านหยวน” หลังจากที่เฉินหลงเสนอราคาไปก็มีคนอื่นเสนอเพิ่มขึ้นไปอีกทันที
เฉินหลงตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะประมูลหยกชิ้นนี้ให้ได้ ใครที่กล้ามาแข่งกับเขาคงต้องเตรียมเงินไว้สู้กับเขามากถึง “30 ล้านหยวน” เมื่อได้ยินราคาประมูลของเฉินหลง อวี่จินหรูก็หันมามองเฉินหลง เฉินหลงดูท่าทีสงบราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นค่าของเงิน 30 ล้านหยวนเลย
อวี่จินหรูคิดเรื่องนี้อยู่ครู่นึง จากนั้นก็เรียกราคาเพิ่มไปอีก
“32 ล้านหยวน แต่ถ้าคุณประมูลอีกครั้ง ผมก็จะไม่สู้คุณแล้ว” นี่เป็นแค่ราคาเริ่มต้นสำหรับเขา เฉินหลงได้สู้กลับ ส่วนอวี่จินหรูก็คิดไม่สู้ราคาต่อแล้ว
เฉินหลงยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้น ผมขอขอบคุณคุณครับ 35 ล้านหยวนครับ”
เมื่อได้ยินราคาประมูลของเฉินหลง อวี่จินหรูก็หัวเราะและหยุดการประมูลราคาต่อ
หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครเรียกราคาเพิ่มขึ้นอีก เฉินหลงจึงประมูลหินหยกได้ในราคา 35 ล้านหยวน
เมื่อประมูลหินหยกมาได้แล้ว เฉินหลงก็มองซูชิงเฟิ่งและก็พบว่าเขากำลังมองตนอยู่ เฉินหลงจึงทำได้เพียงหันหน้าไปยิ้มให้
“คุณซู คุณเห็นอะไรบ้างไหมครับ?” พ่อบ้านโจวพูดถามซูชิงเฟิ่งข้างๆหูอย่างสุภาพ
ซูชิงเฟิ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“เขาไม่ได้โกหก เขามาที่นี่เพื่อที่จะซื้อหยกจริงๆและสายตาเขาเฉียบแหลมมาก” เขาย่อมรู้ว่าหินก้อนไหนที่เขาเลือกมามีหยกอยู่ในนั้นและชิ้นไหนไม่มีหยกอยู่ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นหยกชนิดไหน
เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงเฟิ่ง พ่อบ้านโจวก็หันไปมองเฉินหลง ถึงแม้ว่าซูชิงเฟิ่งจะพูดว่าเฉินหลงดูไม่น่าอันตราย เขาก็ยังจับตามองเฉินหลงอยู่ดี ถ้าเฉินหลงเกิดจู่โจมขึ้นมากระทันหันจะเป็นเรื่องแย่เอาได้
ต่อมาก็ได้เริ่มการประมูลของชิ้นต่อไป ของชิ้นที่สองเป็นหินหยกที่มีน้ำหนัก 100 ชั่งซึ่งราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10 ล้านหยวนและราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าสองล้านในแต่ละครั้งของการประมูล เฉินหลงได้มองไปที่หยกนั้นผ่านแว่นและได้รู้ถึงสภาพของหยกชิ้นนี้แล้ว เนื่องจากหยกเจไดต์ที่อยู่ในนั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นของเหลวเหนียวที่จับตัวกันและแร่หยกที่อยู่ในหินก่อนนั้นก็บางมาก แม้ว่าจะขุดมันออกมาได้ ก็ดูไม่คุ้มค่ากับเงินล้านหยวน
ในตอนสุดท้าย ผู้ที่ซื้อหินหยกก่อนนี้ไปได้คือร้านจินจิวเวลรี่ในราคาถึง 58 ล้านหยวน
หลังจากที่หยกชิ้นที่สองถูกประมูลไปแล้ว จินเหลียงหยวนก็รู้สุกตื่นเต้นราวกับว่าเขาต้องได้กำไรจากมันแน่ เมื่อหยกชิ้นที่สองถูกประมูลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความคิดของซูชิงเฟิ่งที่มีต่อเฉินหลงก็เริ่มแตกต่างออกไป มันชัดเจนว่ามีบางอย่างอยู่ในหินหยกชิ้นที่สอง ทำไมเขาถึงไม่ซื้อมันละ เมื่อคิดเช่นนี้ ซูชิงเฟิ่งก็อยากรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเฉินหลง และอยากดูว่าเฉินหลงจะทำอะไรหลังจากนี้ ซูชิงเฟิ่งอยากจะรู้เรื่องของปรมาจารย์ที่อายุน้อยมากว่าเขาเป็นใครและทำไมถึงต้องหาซื้อหยก
จากนั้นการประมูลก็มาถึงชิ้นที่สามและสี่ ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นขนาดใหญ่กว่ารอบแรกๆ ราคาประมูลจึงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆไปด้วย
หยกชิ้นที่สามมีราคาถึง 80 ล้านหยวน ส่วนหยกชิ้นที่มีราคา 100 ล้านหยวนและหยกชิ้นที่ห้ามีราคา 120 ล้านหยวน
คนที่ประมูลหยกทั้งสามชิ้นนี้นั้นก็คือครอบครัวตระกูลหยก จางกวงหนานต้องการที่จะสู้ราคากับพวกเขาแต่เขาไม่มีเงินมากพอ
จางกวงหนานประมูลหยกพวกนั้นไม่ได้เลยแต่เฉินหลงกลับรู้สึกโล่งใจเพราะเขารู้ว่าหยกทั้งสามก้อนนั้นไม่ได้มีแร่หยกมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จ่ายเงินประมูลหินหยกพวกนั้นไป
หลังจากนั้นก็มาถึงหินหยกชิ้นที่หก
หินหยกชิ้นนี้มีน้ำหนักถึง 300 ชั่ง มันมีร่องรอยของหยกสีเขียวบนผิวของหินจึงทำให้มีผู้ประมูลมากมาย ราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 100 ล้านหยวนและการสู้ราคาแต่ละครั้งต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้านหยวน
ครั้งนี้ เฉินหลงรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าหินหยกก้อนนี้มีแร่หยกขนาดถังน้ำอยู่ข้างใน ยิ่งไปกว่านั้น แร่หยกชนิดนี้เป็นหยกแก้วจักรพรรดิสีเขียวในตำนาน ลักษณะของมันทั้งสองของมันไม่ว่าจะเป็นแก้วแล้วยังมีสีเขียวจักรพรรดิอีกด้วย เมื่อลักษณะทั้งสองปรากฏบนตัวหยกแล้วมันจะกลายเป็นของที่หายากขึ้นมาทันที
แน่นอนว่าตระกูลจินและตระกูลอวี่ต่างต้องการของสิ่งนี้ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาก็เหมือนมังกรและพยัคฆ์ที่เฉินหลงจะต้องต่อสู้ด้วย
อย่างไรก็ตาม นี้ถือว่าเป็นการสู้ที่ไม่ค่อยยุติธรรมสักไหร่ เพราะเฉินหลงรู้ว่าหินหยกชิ้นไหนคุณภาพดีที่สุดแต่ตระกูลจินกลับไม่รู้ถึงเรื่องนี้ ในขณะที่เฉินหลงประมูลราคาไปเรื่อยๆแต่ตระกูลจินกลับไม่กล้าสู้ราคา
สุดท้าย เฉินหลงจึงได้ประมูลหยกได้ในราคา 180 ล้านหยวน เมื่อเห็นว่าเฉินหลงจ่ายไปถึง 180 ล้านหยวนเพื่อหินหยกชิ้นนั้น จี้โม่ซีก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่กี่วันที่ผ่านมาในเซียงเจียง เฉินหลงก็จ่ายเงินไปมากกว่า 100 ล้านหยวนแล้วซึ่งมันดูเร็วเกินไปที่จะจ่ายเงินก้อนใหญ่ในตอนนี้ เธอจึงสงสัยว่าเฉินหลงมีเงินเท่าไหร่กันแน่
TB:บทที่ 128 การเดิมพันหนึ่งร้อยล้าน
การประมูลได้ดำเนินต่อไปท่ามกลางหินหยกสี่ชิ้นที่หลงเหลืออยู่ซึ่งเฉินหลงประมูลมาได้สองชิ้น ชิ้นแรกเป็นหยกเขียวจักรพรรดิมูลค่า 150 ล้านหยวนและชิ้นที่สองเป็นหยกแดงซึ่งนอกจากจะเป็นหยกที่มีคุณภาพเยี่ยมแล้ว ยังมีมูลค่าถึง 200 ล้านหยวนอีกด้วย
งานประมูลได้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ในที่สุดงานการกุศลก็จบลงแล้ว เฉินหลงสามารถประมูลหินหยกได้ทั้งหมดสี่ชิ้นซึ่งทั้งสี่ชิ้นนั้นก็เป็นหินหยกที่มีแร่หยกอยู่มากที่สุดของงานนี้
ในการขายของประมูลทั้งหมดมีมูลค่าถึง 1.2 ล้านล้านหยวน เพียงเฉินหลงแค่คนเดียวก็ประมูลราคาไปทั้งหมดเกือบ 600 ล้านหยวนแล้ว
หลังจากที่งานการกุศลจบลงไปแล้ว คนที่ประมูลของไปได้ก็ต่างพากันโอนเงินและนำของที่ประมูลได้กลับไปแปรรูป พวกเขากลับไปอย่างร่าเริง ในขณะที่กลุ่มคนที่ประมูลไม่ได้ก็กลับไปอย่างเงียบๆและแอบร้องอยู่ในใจ
แค่เฉินหลงอยู่ที่นี่ ก็คงมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ต้องผิดหวังกลับไป
“เสี่ยวเฉิน คุณมีสายตาเฉียบคม” ตอนที่เฉินหลงกำลังโอนเงิน ซูชิงเฟิ่งก็มองเฉินหลงแล้วยิ้มให้
“เพราะมันเป็นหินหยกจำนวนมากที่ถูกคุณซื้อกลับมาไงครับคุณซู ไม่ว่าผมจะตาดีแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ” เฉินหลงไม่ได้ปฏิเสธ เพราะอย่างไรซูชิงเฟิ่งรู้ถึงสถานะขอบเขตกำเนิดของเขาหมดแล้ว จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการที่เขาได้รู้ถึงความสามารถอีกอย่างนึง เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงเฟิ่ง เขาก็ถึงกับหันไปมองหน้าเฉินหลงอย่างประหลาดใจ เดิมทีเขาคิดว่าเฉินหลงและคนจากตระกูลจินสู้ราคาประมูลกัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของซูชิงเฟิ่งแล้ว เขาก็รู้สึกว่าเขาดูถูกเฉินหลงเกินไป
คำสารภาพของเฉินหลงทำให้ซูชิงเฟิ่งยิ่งชอบเฉินหลงมายิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเฉิน คุณต้องการที่จะเปิดดูหยกทั้งสี่ชิ้นที่นี่เลยไหม?”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมกลัวว่าจะไปกระตุ้นบางคนเข้า” เฉินหลงมองไปที่จินเหลียงหยวน อวี่จินหรูและคนอื่นที่อยู่ข้างๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหลง สีหน้าของจินเหลียงหยวนก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดว่าเฉินหลงจะรวยขนาดนี้ ในสายพวกเขาเฉินหลงดูมีเงินเพียงไม่กี่ดอลลาร์ แต่พวกเขากลับถูกขโมยหยกไปด้วยเงินที่เฉินหลงมีมากกว่า เขาจะรู้รึเปล่าว่าการทำแบบนี้มันก็เหมือนกับการขโมยของของคนอื่นด้วยเงิน แต่ความสามารถแบบนี้มีสิทธิที่จะทำได้อยู่แล้ว และตอนนี้พวกเขาก็โดนมากับตัวเองและทำให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องกังวลไปเสี่ยวเฉิน ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องที่นี่หรอก” ตอนที่ซูชิงเฟิ่งกำลังพูด แม้ว่าเสียงของเขาจะค่อนข้างเรียบ แต่ก็เหมือนมีแรงกดดันออกมาจนคนอื่นปฏิเสธไม่ได้
เฉินหลงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมั่นใจและพูดว่า
“ผมไม่กลัวคนที่มาหาเรื่องหรอกครับ” เขาเป็นถึงปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิดเลยนะ หากเขากลัวแค่คนธรรมดาๆจะมาหาเรื่องจริง เขาคงไม่ทำเรื่องให้ยุ่งยากหรอก
“ดูจากอายุของคุณแล้วคุณคงจัดการกับปัญหาได้ ผมนี่ลืมไปเลยจริงๆ”
เวลานี้ ซูชิงเฟิ่งคิดเรื่องสถานะของพลังที่เป็นขอบเขตกำเนิดของเฉินหลงและพลังของพ่อบ้านของเขาเอง อย่างไรซะมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขานั้นแข็งแกร่งเกินมนุษย์ คนแบบนี้จะมากลัวคนปกติทั่วไปได้อย่างไรกัน
ตอนนี้ อวี่จินหรูได้เดินมาหาเฉินหลงและพูดว่า
“สุดหล่อ เมื่อกี้ที่คุณพูเรื่องหินหยกของคุณดีกว่าของพวกเรา ทำไมพวกเราไม่มาเปรียบเทียบและดูกันว่าใครจะมีแร่หยกที่มีมูลค่าสูงกว่ากันละ?”
“แล้วทำไมผมต้องเดิมพันกับคุณด้วยละ?” เฉินหลงถอยหลังไปสองก้าวเพื่อให้มีช่องว่างระหว่างเขากับอวี่จินหรูโดยอัตโนมัติ
สำหรับอวี่จินหรูเองดูมียินชี่(阴气,ความพร้อมทางร่างกาย)มากเกินไป ทางที่ดีควรจะหลีกเหลี่ยงดีกว่า
“ตราบใดที่คุณสามารถชนะได้ด้วยหยกทั้งสี่ชิ้นนี้ พวกเรายินดีที่จะจ่ายให้คุณ 100 ล้านหยวน แต่ถ้าคุณแพ้ พวกเราก็จะสามารถเลือกหยกหนึ่งในสี่ที่คุณประมูลมาได้” อวี่จินหรูพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเขินอาย”
อย่างไรก็ตาม อวี่หรูจินก็เป็นที่มักจะทรยศอยู่เสมอจริงๆตามที่จางกวงหนานได้บอกไว้ ในบรรดาหินหยกทั้งสี่ที่เฉินหลงประมูลมา ยกเว้นแค่ชิ้นแรกที่เหลือแต่ละชิ้นราคามากกว่า 100 ล้านหยวน ถ้าพวกเขาชนะ เฉินหลงอาจต้องสูญเสียหยกมูลค่าถึง 200 ล้านหยวน ยิ่งไปกว่านั้นเฉินหลงต้องเดิมพันกับคนทั้งสี่คน ถึงแม้ว่าเขาอาจจะแพ้ พวกเขาแต่ละคนต้องจ่ายเฉินหลง 25 ล้านหยวน มันก็ดูสูญเสียไม่มากนัก
“คุณเฉิน อย่าไปท้าพนันกับพวกเขาเลย มันไม่คุ้มหรอก” จางกวงหนานรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับ พวกเขาดูยินดีที่จะให้เงินผม ดังนั้นผมก็จะเล่นกับพวกเขา” เฉินหลงไม่ได้สนใจคำเตือนนั้นเลย ไม่ว่ายังไงก็แน่ใจที่จะเดิมพันในครั้งนี้ ทำไมเราจะไม่อยากทำกำไรบ้างละ เมื่อเห็นว่าเฉินหลงยินดีที่จะเดิมพัน จางกวงหนานจึงไม่พูดอะไรแล้ว เขาทั้งสองคนต่างยังไม่รู้จักกันดี เขาได้แนะนำไปแล้วและเฉินหลงก็เลือกที่จะไม่ฟังเขา งั้นก็แล้วเขาก็แล้วกัน
เมื่อเฉินหลงตกลงแล้ว อวี่จินหรูและจินเหลียงหยวนก็ได้เลือกหินหยกที่พวกเขาประมูล พวกเขาได้เลือกหยกชิ้นที่มีพื้นผิวสมบูรณ์ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าไม่มีแร่หยกในนั้นเลย พวกเขาคิดว่าตัวเองโชคดี เมื่อเฉินหลงเห็นดังนั้นแล้วเขาก็ไม่คิดที่จะพูดอะไร เขาทำได้เพียงเลือกหยกที่ประมูลมาในมูลค่า 35 ล้านหยวนที่สามารถทำให้พวกเขาแพ้จนอับอายได้
ซูชิงเฟิ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านหินอยู่ที่นี่ หยกที่พวกเขาเอาออกมาให้อาจารย์จื่อผู้เชี่ยวชาญดู จากประสบการณ์ของเขาสามารถดูออกได้อย่างรวดเร็ว
อวี่จินหรูผ่าหินหยกออกและพบว่าไม่มีผงฝุ่นมรกตเลย
ผู้เชี่ยวชาญหยิบหินหยกดิบที่ถูกผ่าออกแล้วของเฉินหลงขึ้นมาดูจนรู้สึกตื่นเต้น ทุกวันนี้เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะได้พบหยกที่คุณภาพดีขนาดนี้ เขาไม่คิดว่าชีวิตนี้เขาจะสามารถจับหยกที่บริสุทธิ์และล้ำค่าด้วยมือของเขาเองได้ เขารู้สึกโชคดีมาก
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คนที่โชคดีจริงๆกำลังพูดว่า
“เอาละ คุณควรยอมรับความพ่ายแพ้นี้นะ” เฉินหลงมองหน้าอวี่จินหรูซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กล้าสบตาเลย
“คุณชนะ พวกเราจะจ่าย”
พวกเขาทั้งสี่หมดคำที่จะพูดและเลือกที่จะไป หินหยกทั้งสี่ที่พวกเขาเลือกไม่คิดว่าจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ
เมื่อเห็นอวี่จินหรูเดินเข้ามา เฉินหลงก็พูดว่า
“ไม่ต้องให้ผมหรอกครับ ให้คุณซูเถอะ ถือซะว่าให้ผมได้ให้ความรักกับเด็กๆที่อยู่ในพื้นที่ยากไร้”
คนอย่างอวี่จินหรูทำให้เฉินหลงรู้สึกอึดอัดปวดหัวได้เมื่อเห็นหน้า เขาจึงย่อมอยู่ให้ห่างจากเขา
หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่คนได้ให้เงินมาแล้ว อวี่จินหรูก็กลับไปอย่างท้อใจ ในฐานะที่เป็นฝ่ายแพ้ พวกเขาจึงไม่มีหน้าอยู่ต่อ
“คุณเฉิน คุณนี้ช่างโชคดีจริงๆ คุณคงทำเงินได้มากจากการที่ซื้อหยกแก้วมาในราคาเพียง 35 ล้านหยวน” หลังจากที่พวกเขากลับกันไปหมดแล้ว จางกวงหนานก็มองเฉินหลงด้วยความอิจฉา
“แต่ยังไงถ้าคุณยินดีที่จะขายหยกให้กับพวกเรา พวกเราสามารถให้ราคาที่น่าพอใจกับคุณได้แน่นอนครับ”
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่สามารถขายพวกมันให้คุณได้เพราะมันมีประโยชน์มากกว่านั้น” เฉินหลงส่ายหน้าปฏิเสธจางกวงหนาน
หยกพวกนี้เฉินหลงจะใช้เอาไปแลกคะแนนแลกเปลี่ยน เขาย่อมไม่ขายให้จางกวงหนานอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของเฉินหลง จางกวงหนานก็พูดได้เพียงว่า
“เรื่องนั้นคงไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าเกิดคุณเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ โปรดติดต่อผมมานะครับ แต่” หลังจากที่เฉินหลงตอบกลับไป จางกวนหนานก็ขอตัวกลับก่อน
ซูชิงเฟิ่งชวนเฉินหลงและจี้โม่ซีให้อยู่ต่อ เขาทั้งสองตอบตกลง จากนั้นเขาเห็นว่ามีหินหยกชิ้นหนึ่งที่ได้ถูกผ่าออกแล้วจึงเก็บส่วนที่เหลือของหยก
TB:บทที่ 129 มวยใต้ดิน (1)
“เสี่ยวเฉิน ผมเจอคนที่โดดเด่นแบบคุณมามากมายในชีวิตแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคุณแบบคุณ” ซูชิงเฟิ่งมองเฉินหลงด้วยความรู้สึกบางอย่าง
หยกชิ้นที่เหลือทั้งสามชิ้นของเฉินหลงต่างก็มีแร่หยกล้ำค่าที่อยู่ภายใน ซูชิงเฟิ่งจึงชื่นชมสายตาของเฉินหลง เมื่อได้ยินคำชมจากซูชิงเฟิ่ง เฉินหลงก็ถามอย่างสงสัยว่า
“คุณซู ผมเป็นคนประเภทไหนหรอครับ? ผมแตกต่างจากคนที่คุณพูดถึงหรอครับ?”
“เอ่อ ผมรู้สึกถึงออร่าแปลกๆรอบตัวคุณ เหมือนกับว่าคุณเกิดมาเหนือพวกเรา” ซูชิงเฟิ่งมองเฉินหลงอย่างระแวดระวัง
“ไม่ได้หมายความว่าคนแบบผมเกิดมาเป็นจักรพรรดิเหมือนในสมัยก่อนหรอกนะครับ?” เฉินหลงพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูชิงเฟิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่กลับพยักหน้าอย่างจริงจัง
เฉินหลงจงใจส่ายหัวด้วยสีหน้าที่เศร้าบ่นตลก
“โถ! ผมเกิดมาผิดยุคหรือนี่ มิเช่นนั้นแล้วผมคงจะได้เป็นจักรพรรดิปกครองประชาชนนับล้าน
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ? นี่คุณยังคิดถึงสามพระตำหนักหกหมู่เรือน 72 พระสนม(三宫六院 七十二妃)อยู่อีกหรอ? ” อยู่ๆจี้โม่ซีก็พูดขึ้นมา
มุมมองของหญิงสาวกับเหตุการณ์ตอนนี้มันช่างแตกต่างกับผู้ชายอย่างเราเสียจริง
“เอ่อ ผมแค่พูดเล่นนะ” เมื่อได้ยินคำพูดของจี้โม่ซี เฉินหลงก็แสดงออกอย่างหมดหนทาง เรื่องที่เกิดขึ้นจึงทำให้ต้อง[1]กินน้ำส้มสายชูด้วยความรู้สึกที่หึงหวงมากไป
[1]เรื่องเล่าในสมัยราชวงศ์ถัง ว่า’มีขุนนางผู้หนึ่งได้ทำความดีความชอบ ฮ่องเต้จึงได้ประทานสาวงามให้แก่เขา แต่ภรรยาของขุนนางเป็นคนขี้หึงจึงไม่ยอมรับ จึงทำฮ่องเต้ไม่พอพระทัยสั่งให้ภรรยานางนั้นเลือกว่าจะยอมรับหญิงคนนั้นหรือจะกินยาพิษ ซึ่งจริงๆแล้วมันคือน้ำส้มสายชูเนื่องจากฮ่องเต้ต้องการพิสูจน์ว่าภรรยาของขุนนางจะอุทิศตนให้ชายผู้เป็นที่รักได้หรือไม่ การน้ำส้มสายชูจึงเป็นตัวแทนของการหึงหวงหรือความโรแมนติก [2]三宫六院 七十二妃 ที่อยู่ของพระสนม
เมื่อมองไปที่เฉินหลง ซูชิงเฟิ่งถึงกับยิ้ม ส่วนเฉินหลงหลังจากที่พูดโต้จี้โม่ซีไปสองคำ เขาก็รีบพูดกับซูชิงเฟิ่งว่า
“คุณซู จริงๆแล้วคุณก็มีสายตาที่ไม่เลวเลยนะครับ แถมยังมีพ่อบ้านโจวคอยช่วยอีก”
คนปกติธรรมดาปล่อยให้ปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิดมาเป็นพ่อบ้าน ซูชิงเฟิ่งคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“จริงๆแล้ว มันเหมือนเป็นโชคชะตาที่ทำให้ผมได้มาเจอกับต้าวฝานตอนที่ผมอายุได้ 30 ปี ผมเจอกับต้าวฝานในการแข่งมวยใต้ดิน ตอนนั้นเขาได้เข้าร่วมต่อยมวยด้วยแถมยังตัวเล็กกว่าคุณตอนนี้อีก ส่วนเรี่ยวแรงก็น้อยกว่าคุณเยอะ แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาสู้ เหมือนกับเสือที่หลุดออกมาจากกรง ทั้งดุร้ายและหาตัวจับได้ยาก ถึงอย่างไรพละกำลังของเขาตอนนั้นยังไม่แข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่กล้าหาญ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยเป็นความแข็งแกร่งที่เขามีไม่มากพอได้ ในการแข่งขัน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นสำหรับนักมวยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถือว่าไม่มีราคามูลค่าสำหรับมวยใต้ดินแล้ว ยังมีคนอีกมากมายที่แข็งแกร่ง ดังนั้น เขาจึงถูกทิ้งอย่างไร้ความปราณี จากนั้นก็ปล่อยให้ไปมีชีวิตหรือไม่ก็ตาย” ซูชิงเฟิ่งหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปี ซึ่งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึง
ตอนนี้ โจวต้าวฝานหรือพ่อบ้านโจวคนที่อยู่เคียงข้างซูชิงเฟิ่งพูดว่า
“เป็นโชคดีของผมมากที่นายท่านเอาใจใส่ผมขนาดนี้ หลังจากที่ผมโดนต้นสังกัดโละทิ้ง นายท่านก็ได้ช่วยผมไว้ เขาขอให้หมอที่ดีที่สุดมาดูอาการ รักษาและให้ยาที่ดีที่สุดกับผม ตอนนั้นผมสาบานกับตัวเองว่า ทั้งชีวิตของโจวต้าวฝานจะเป็นของนายท่าน ไม่ว่าใครที่ต้องการทำร้ายเขาต้องข้ามศพเขาไปก่อน”
“ต้าวฝาน นายกับฉันเกิดที่เมืองเดียวกันแล้วก็เป็นพี่น้องกันมาหลายปีแล้ว ทำไมถึงยังเรียกฉันแบบนี้อีก?” ซูชิงเฟิ่งมองชีวิตที่หมดหนทางและเหมือนเกือบตายที่ผ่านมาหลายปีของเขา ความรู้สึกที่เป็นเหมือนพี่น้องยังคงเหมือนเดิม แต่เหตุใดโจวต้าวฝานมักเรียกตนว่านายท่านเสมอ
“นายท่าน ผมเรียกแบบนี้มาก็หลายปีแล้วนะครับ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของโจวต้าวฝาน “มีการแข่งมวยใต้ดินจริงๆหรอค่ะ? ” จี้โม่ซีถามด้วยความอยากรู้
จี้โม่ซีรู้เพียงว่าการชกมวยและ[3]สานต่า (散打) มักจะถ่ายทอดสดทางทีวี แต่มวยใต้ดินเธอไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้คนที่เคยผ่านการต่อสู้ของมวยใต้ดินมาก่อนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว มันจึงทำให้เธอยากรู้อยากเห็นมาก
เมื่อโจวต้าวฝานเห็นว่าจี้โม่ซีอยากจะรู้เรื่องมวยใต้ดิน เขาจึงอธิบายให้เธอฟังง่ายๆว่า
“แน่นอนว่ามีที่นึงในเซียงเจียงครับ มวยใต้ดินจะไม่เหมือนการแข่งชกมวยทั่วไป พวกเขาไม่มีกฎ เว้นแต่ห้ามใช้อาวุธ จนกว่าอีกฝ่ายจะตายหรือสูญเสียประสิทธิภาพนการต่อสู้ การแข่งขันก็จะจบลงทันที”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากโจวต้าวฝาน จี้โม่ซีก็รู้ว่ามันดูไร้ปราณี สีหน้าของเธอจึงแสดงออกอย่างเวทนา
“มวยใต้ดินโหดขนาดนี้แล้ว ทำไมยังมีนักมวยเข้าไปแข่งละคะ? พวกเขาถูกบังคับหรอคะ?”
คำพูดของจี้โม่ซีเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา จนทำให้โจวต้าวฝานอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ถึงแม้ว่ามวยใต้ดินจะไม่มีกฎ บางครั้งก็มีคนตาย แต่นักสู้ที่เข้าร่วมสมัครใจเข้าไปเองทั้งนั้น นักสู้บางคนอยากจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองด้วยการเดิมพันระหว่างชีวิตกับความตาย บางคนยินดีที่จะเป็นคนที่ถูกฆ่า และมีนักสู้บางคนเข้าร่วมการแข่งขันเพราะเงินและโบนัส”
“ตอนนี้ยังมีมวยใต้ดินเหลืออยู่ไหมคะ?” จี้โม่ซีไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร จู่ๆเธอก็ได้ไอเดียว่าอยากจะไปดูกับตา
“ยังมีครับ ตอนผมมีเวลา ผมก็จะไปดูกับนายท่าน คืนนี้ก็มีมวยใต้ดินนะครับ ถ้าพวกคุณสนใจ พวกเราก็ไปด้วยกันเลย” โจวต้าวฝานมองจี้โม่ซีและพูดกับเธอ
การชกมวยใต้ดินไม่เหมือนการแข่งทั่วไปและไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปดูได้
จี้โม่ซีมองเฉินหลง หากเฉินหลงไม่ตกลงไปด้วย เธอก็คงไม่ไป
“ผมก็สนใจมวยใต้ดินเหมือนกันครับ งั้นเย็นนี้พวกเราก็ไปดูด้วยกันเถอะครับ” เมื่อเป็นคำขอจากจี้โม่ซีแล้ว แน่นอนว่าเฉินหลงไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนบวกกับที่เขาไม่เคยเห็นการชกมวยใต้ดินมาก่อน เขาจึงตอบตกลงไปทันที
การแข่งขันการชกมวยใต้ดินเริ่มตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถกันครบทุกคนแล้ว โจวต้าวฝานก็สตาร์ทรถและออกเดินทางไปพร้อมกับเฉินหลง ซูชิงเฟิ่งและจี้โม่ซี
20 นาทีผ่านไป โจวต้าวฝานก็ได้ขับมาถึงโกดังขนาดใหญ่ที่อยู่ติดทะเล
หลังจากที่ลงมาจากรถกันแล้ว โจวต้าวฝานก็เดินไปที่ประตูโกดังและทุบไปที่ประตูสามครั้ง
มีช่องเล็กๆที่ประตูโกดังเปิดออกและคนที่อยู่ในช่องเล็กๆนั้นมองออกมาจนเห็นกับโจวต้าวฝาน
ชายวัย 30 ปีพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาโค้งให้โจวต้าวฝานกับซูชิงเฟิ่งและพูดว่า
“คุณซู คุณโจว เชิญเข้ามาข้างในครับ วันนี้เรามีชกทั้งหมดสามแมตช์ครับ นักมวยพลังเยอะและดูยอดเยี่ยมมากครับ”
โจวต้าวฝานมองเฉินหลงและหันไปพูดกับคนชายคนนั้นว่า
“พวกเขาเป็นแขกของนายท่าน”
“สองที่ครับ” ชายคนนั้นให้ไปมองเฉินหลงทันที และพบว่ามีอีกสองคนที่กำลังยิ้มให้อยู่
“ผมล้อเล่นครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณซูอยู่ในฐานะใดในเซียงเจียง แน่นอนว่าเขาเป็นแขกของคุณซูที่ไม่สามารถละลาบละล้วงได้”
หลังจากที่ทั้งสี่คนได้เข้ามาในโกดังแล้ว ประตูก็ได้ถูกปิดลงทันที
โกดังที่นี้มีขนาดใหญ่มากแต่ก็ไม่ได้มีที่ว่างมากนักเพราะยังมีสินค้าบางอย่างอยู่ในนี้
ตามทางที่เดินไปได้มีชายเดินนำพวกเขาทั้งสี่ เขาได้เดินนำเฉินหลงมาที่ประตูเหล็กบานเล็ก เขาใช้กุญแจไขประตูและเปิดประตูออก จากนั้นเขาก็พาเฉินหลงและอีกทั้งสามคนผ่านเข้าไปในประตู
หลังจากที่ผ่านประตูเหล็กเข้ามาแล้วก็พบกับทางลงบันได เฉินหลงได้ยินเสียงบางอย่างดังเข้ามาในหู ฟังแล้วดูเหมือนจะมีสเตเดียมอยู่ใต้บันไดนี้จริงๆ แล้วก็พบกับทางลงบันไดซึ่งทางบันไดนี้ไม่ยาวมากนักเพราะมีเพียงแค่สิบขั้นเท่านั้น และเมื่อเดินลงบันไดมาแล้วก็ต้องเจอกับประตูที่อยู่ตรงหน้า
ชายที่นำทางมาเดินไปที่ประตูและเปิดออกพร้อมกับเชิญแขกทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว
TB:บทที่130 มวยใต้ดิน (2)
ด้านในเป็นสนามประมาณ 200 ตารางเมตรพร้อมกับไฟหลากสีด้านบน ตรงกลางของสนามมีเหล็กลวดล้อมสนามมวยเป็นวงแหวนอยู่ ในวงแหวนนั้นมีหน้าจอ LED ที่เอาแสดงภาพการต่อสู้ ตอนนี้บนหน้าจอมีข้อมูลของนักมวยสองคนที่กำลังจะแข่งเป็นคู่ต่อไป
รอบๆวงแหวนนี้มีเก้าอี้หนังล้อมรอบอยู่ด้วยซึ่งมีทั้งชายและหญิงต่างนั่งที่เก้าอี้พวกนั้นเพื่อรับชมการแข่งชกมวย ชายผู้นำทางได้พาแขกทั้งสี่คนมายังที่นั่งด้านหน้าที่ใกล้กับสนามมวยและนั่งลงบนที่ของตัวเอง
เฉินหลงมองไปที่นักมวย พวกเขาเกือบทั้งหมดดูเหมือนจะมีฐานะและเฉินหลงก็เห็นคนรู้จักของเขาด้วย นั้นก็คือ จินเหลียงหยวน
เมื่อเฉินหลงมองไปที่เขา จินเหลียงหยวนก็มองกลับไปที่เฉินหลงด้วย
เฉินหลงยิ้มให้ก่อนจะละสายตาไป
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเฉินหลง เพื่อนอีกสามคนของเขาก็ดูไม่พอใจ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาแต่ละคนควรที่จะได้เงิน 25 ล้านหยวนจากเฉินหลง แม้ว่าเงินจำนวน 25 ล้านหยวนจะดูไม่มากนักสำหรับพวกเขา แต่มันก็พอที่จะทำให้พวกเขาไม่ขัดสนเรื่องเงินได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
เดิมทีพวกเขาต้องมาที่สนามมวยใต้ดินก็เพื่อแค่มาระบายความแค้น คาดไม่ถึงว่าพวกเขาต้องมาเจอเฉินหลงอีกครั้ง
“ทำไมพวกเราไม่เดิมพันกับเขาอีกครั้งละ?” อวี่จินหรู ทำท่าเหมือนจะพูด
“ไม่เอาหน้า เด็กนั้นไม่สนเรื่องเงินอยู่แล้ว ถึงเราจะชนะ เขาก็คงไม่สนใจอะไรหรอก อีกอย่างนะพวกเราไม่มีเงินพอที่จะเดิมพันตอนนี้แล้ว” จินเหลียงหยวนหมดหนทาง
อวี่หรูจินพูดอย่างท้าทายว่า “ฉันรู้ว่าเด็กนั้นเป็นคนรวยมาจากแผ่นดินใหญ่และเขาก็ไม่ค่อยสนใจเงินเท่าไหร่ แต่พวกเราไม่ได้ทำให้โดนโกรธแบบนี้ในเซียงเจียงนานเท่าไหร่แล้วนะ? สิ่งที่ขนานนามว่ามังกรผู้แข็งแกร่งยังไม่ถูกงูเจ้าถิ่นงาบไป เราต้องถูกเจ้ามังกรที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมากลืมกินจริงๆหรอ แต่นายไม่กล้า ก็ให้ฉันเดิมพนันเองคนเดียว ฉันไม่สามารถหายใจร่วมกันกับมัน ฉันยังมีเหลืออยู่ 5 ล้านหยวนและฉันก็จะเดิมพันอีกครั้ง “
“แล้วนายจะไปเดิมพันกับมันยังไง?” คำพูดของอวี่่จินหรูทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสั่นคลอน
“ใช่ ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้ว่าพวกเราโดนแผลงฤทธิ์ใส่ถึงเซียงเจียง แต่พวกเราก็ยังเป็นคนมีชื่อ มีสกุล ใครก็ตามที่เจอพวกเราก็ต่างทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้มีมังกรที่ข้ามทะเลมาทำให้พวกเราต้องหม่นหมอง”จินเหลียงหยวนก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
อวี่จินหรูพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั้นง่ายมาก ฉันจะท้าเขาว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการแข่งทั้งสามแมตท์คืนนี้ เขาอาจจะมีสายตาที่ดีกับการเลือกหยก แต่มันใช้ไม่ได้กับการชกมวย ยิ่งกว่านั้นนะ การชกมวยมันสามารถควบคุมได้ด้วย”
“ควบคุมงั้นหรอ?” จินเหลียงหยวนหันไปมองเพื่อนของเขา
“ใช่ ฉันได้รับข่าวใหม่มาว่าสองในสามแมตท์คืนนี้จะอยู่ภายใต้การควบคุม ตราบใดที่พวกเราชนะสองเกมส์ พวกเราก็มีสิทธิ์ชนะมากขึ้น ฉันไม่เชื่อว่ามันจะเดาทั้งสามเกมส์ออก” อวี่จินหรูดูสมควรกับตำแหน่งเจ้าเล่ห์จริงๆ เขาช่างร้ายกาจ
เมื่อได้ยินคำพูดของอวี่จินหรู ตาของจินเหลียงหยวนก็สว่าง ถ้าเป็นตามแบบที่เพื่อนเขาพูด ชัยชนะครั้งนี้จะยิ่งใหญ่มาก เขาจึงตกลงด้วย
“ยังไงก็ตาม พวกเราก็หักหน้ามัน มาออกกันคนละล้านหยวนแล้วพนันกับมันกัน”
ข้อเสนอของจินเหลียงหยวนถูกตอบรับโดยอวี่จินหรู
จากนั้นอวี่จินหรูก็เป็นตัวแทนที่จะไปท้าพนันกับเฉินหลง
เฉินหลงถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอวี่จินหรูเดินตรงมาหา มันต้องไม่เรื่องดีแน่ถ้าชายคนนี้เดินมาที่นี่
เมื่ออวี่จินหรูเดินมาหแล้ว เขาก็ยิ้มและพูดกับซูชิงเฟิ่งว่า
“ผู้เฒ่าซู มาดูมวยใต้ดินด้วยหรอครับ”
“ใช่” ซูชิงเฟิ่งพยักหน้าพร้อมยิ้ม
“คุณซู คุณคิดว่านักมวยของวันนี้ดูเป็นยังไงบ้าง?” อวี่จินหรูพูดต่อ
“การชกยังไม่เริ่มเลย ผมจึงไม่มีความเห็นใดๆ ถ้ามองจากข้อมูลข้างบนแล้ว นักมวยทุกคนดูมีทักษะพิเศษกันทั้งนั้น ตราบใดที่พวกเขาคุมเกมส์ได้ก็มีสิทธิ์ที่จะชนะ” ซูชิงเฟิ่งสมควรกับการที่เป็นคนแก่ที่น่ายกย่อง
จากนั้นอวี่จินหรูก็หันไปมองเฉินหลงและถามว่า
“ผมไม่รู้ว่าคุณคิดยังไงกับนักมวยพวกนั้นบ้างคุณเฉิน?”
ในฐานะที่เป็นเศรษฐีรุ่นที่สองของเซียงเจียง อวี่จินหรูพอมีกำลังอยู่บ้างมันจึงไม่ยากที่จะทำให้รู้ชื่อเฉินหลง
“ผมหรอ? นี่เป็นแรกที่ผมมาดูมวยใต้ดิน ผมจึงไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้ครับ” เฉินหลงส่ายหน้า
“คุณเฉิน คุณนี่ถ่อมตัวจังเลยนะครับ เห็นอยู่แล้วว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป อย่าปิดบังพวกเราเลย บอกพวกเราเถอะ” อวี่จินหรูพูด
“ผมไม่มีความคิดเห็นอะไรจริงๆครับ” เฉินหลงไม่รู้ว่าอวี่จินหรูกำลังหมายถึงอะไร แต่รู้ว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีแน่
หลังจากที่เฉินหลงพูดไป อวี่จินหรูก็หยุดพูดเรื่องไร้สาระแล้วก็พูดเข้าประเด็น
“ผมรู้ว่าคุณเฉินมีความเห็นของตัวเอง แต่คงไม่เต็มใจที่จะพูดมากกว่า ไม่งั้นเรามาพนันกันเล็กน้อยๆไหมว่าใครจะชนะการชกมวยในเย็นวันนี้ พนันกัน 5 ล้านหยวน คุณเฉินว่าไงละ คุณกล้ารึเปล่า? ” เมื่อรู้ถึงความตั้งใจอวี่จินหรูแล้ว เฉินหลงก็ถึงกับยิ้ม ถ้าเขาอยากจะเดิมพัน เฉินหลงก็จะสนองให้
“มันเป็นการต่อสู้เล็กๆ น่าเบื่อจะตาย” จากนั้นเฉินหลงและยู่จินหรูก็เดิมพันกันในการแข่งชกมวยครั้งนี้
การชกมวยทั้งสามแมตท์ของเย็นวันนี้ ซางจาย อาฮาน คนที่รู้จักกันดีในนามของ ‘ช้างยักษ์เอสาม’ และมารุยาม่า สึบาสะ ที่มีฉายาในญี่ปุ่นว่า’เงาของญี่ปุ่น‘ และพวกเขาทั้งสองเพิ่งเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรก”
ซางจาย อาฮานอายุ 28 ปีฉายาของเขาคือ ช้างยักษ์เอสาม’ มีส่วนสูงสองถึงสามเมตรได้ เขาน่าจะเดินบนถนนได้ลำบากแต่เขาเชี่ยวชาญในเรื่องโยคะ ทุกๆการโจมตีสามารถจู่โจมได้อย่างน่าทึ่งจนทำให้คู่ต่อสู้ป้องกันตัวยาก การที่ได้พบกับเขาก็เหมือนกับการมาเจอกับช้างยักษ์ และคุณสามารถทำได้เพียงปล่อยให้เขากลิ้งมาหาเท่านั้น สถิติการแข่งขันทั้งหมด 35 ครั้ง ชนะ 33 ครั้ง เสมอ 2 ครั้ง ซึ่งทั้ง 33 ครั้งเขาฆ่าคู่ต่อสู้ของเขาทั้งหมด
คู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้คือ มารุยามะ สึบาศะ อายุ 29 ปี ส่วนสูง 189 เซนติเมตร เขาเชี่ยวชาญอากิโดญี่ปุ่น คาราเต้และยูโด เนื่องจากเขาเป็นคนว่องไวจนคู่ต่อสู้ของเขาเห็นเขาเป็นเหมือนผีจนสามารถจู่โจมและน็อคได้เพียงแค่หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น ปัจจุบันสถิติการแข่งขันคือ 25 ครั้ง เสมอ 1 ครั้งและชนะ 20 ครั้งและชนะน็อคเอาท์ถึง 4 ครั้ง
ในการชกของคู่ที่สอง ‘ประสงค์’นักมวยที่มาจากประเทศไทยมีฉายาว่า ‘งูหลาม’ และอเล็กเซจากประเทศรัสเซียที่มีฉายาว่า’หมีขาวใหญ่’
ประสงค์ อายุ 25 ปี สูง 183 เซนติเมตร เขาเชี่ยวชาญการชกมวยไทยและทักษะร่วม เขาเป็นที่แกร่ง อึด ถึก ทน ตอนโจมตีคู่ต่อสู้ หากคู่ต่อสู้เผลอเพียงแค่นิดเดียว เขาก็สามารถใช้ขาอันทรงพลังของเขาเตะข้างหรือรวบตัวคู่ต่อสู้ด้วยทักษะร่วมของเขา สถิติการแข่งขันทั้งหมด 40 ครั้ง ชนะ 37 ครั้ง เสมอ 2 ครั้งและแพ้ 1 ครั้ง แต่ทั้ง 37 ครั้งที่เขาชนะ เขาสามารถชนะน็อคเอาท์คู่ต่อสู้ได้ทั้งหมด
อเล็กเซอายุ 30 ปี ส่วนสูง 190 เซนติเมตร และเพิ่งออกมาจากค่ายฝึกไซบีเรีย เขามีพละกำลังที่น่าทึ่งและมีจิตวิทยาในการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบ เขาเป็นคนเยือกเย็น สงบและพร้อมที่จะตายแต่ก็ต้องการที่จะเอาตัวรอดด้วย การตายในค่ายฝึกถือเป็นเรื่องปกติแต่เขาไม่มีทางตายแน่นอน เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดแล้ว เขาต้องแข็งแกร่งให้มากขึ้นเท่านั้น ต้องพยายามทำตัวให้แข็งแกร่งจนถึงขั้นครูผู้ฝึก สถิติการแข่งขันปัจจุบัน การแข่งขันทั้งหมด 50 ครั้ง ชนะ 50 ครั้งและชนะน็อคเอาท์ทั้ง 50 ครั้ง
TB:บทที่ 131 การแข่งมวยใต้ดิน (3)
ในการต่อสู้ครั้งที่สาม หวังหู เจ้าของฉายา ‘พยัคฆ์บูรพา’ จากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ และเจียงตงเฉิง เจ้าของฉายา ‘เจ้าแห่งลูกเตะ’ จากประเทศเกาหลี
หวังหู อายุ 22 ปี ส่วนสูง 185 เซนติเมตร เขาได้ฝึกมวยปาจี๋อย่างดุเดือด จนถึงตอนนี้ เขาได้ชนะการแข่งขันมาแล้วสิบนัด คู่ต่อสู้ของเขาไม่มีโอกาสได้อยู่บนสังเวียนแม้แต่นาทีเดียว แม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมการแข่งมวยใต้ดินมานานแล้ว แต่คู่ต่อสู้ที่เขาได้ฆ่าไปนั้น ต่างเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของเขาจึงเป็นที่เลื่องลือมาก
เจียงตงเฉิง ปีนี้เขาจะมีอายุ 22 ปี ความสูง 185 เซนติเมตร เทควันโดของเขาอยู่ในระดับนรกเก้าขุม เท้าของเขาสามารถโจมตีได้แทบทุกทาง เขาบอกว่ามันมีความยืดหยุ่นมากกว่ามือของเขาเสียอีก และเขาเคยทำการต่อสู้มาแล้วสิบครั้ง และก็ได้รับชัยชนะมาทั้งสิบการต่อสู้ เขาได้ฆ่าคู่ต่อสู้ไปถึงเก้าคน ส่วนอีกหนึ่งคนที่เหลือบาดเจ็บสาหัส
คนสองคนที่มีอายุ ส่วนสูงและสถิติที่เหมือนกัน ถูกจัดให้ได้สู้กัน น่าจับตามองเสียจริง
อวี่จินหรูรู้ข้อมูลเบื้องหลัง ดังนั้นในตอนที่เลือก เขาจึงเลือก เมื่อเลือกเขาเลือกมารุยามะ สึบาสะ อะเลคเซย์ และเจียงตงเฉิงมา เพื่อชนะทั้งสามเกม ทำให้เฉินหลงทำได้แค่เลือกคู่ต่อสู้ของตนเท่านั้น
“เอาล่ะ ฉันจะไปคนแรก คอยดูความโชคดีของฉัน” ในตอนที่ซูชิงเฟิงเข้ามา อวี่จินหรูก็ไม่กลัวว่าเฉินหลงจะไม่ยอมรับเงินของเขาอีกต่อไป
ในตอนที่อวี่จินหรูออกไปแล้ว ซูชิงเฟิงก็หันไปพูดกับเฉินหลงด้วยรอยยิ้ม “ เสี่ยวเฉิน นายมั่นใจว่าจะชนะใช่ไหม?”
เฉินหลงหลุดขำออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “ใครจะแพ้ใครชนะ มันก็แค่เงินห้าล้านหยวน ผมไม่สนใจหรอก พวกเขาก็แค่อยากจะชนะแล้วก็ได้หน้า ครั้งนี้ถ้าพวกเขาชนะ ก็แสดงว่าพวกเขาโชคดี ถ้าพวกเขาแพ้ ก็คงต้องโทษตัวเองเท่านั้น “
“นายมองขาดจริงๆ” ซูชิงเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนใจกว้างหรอกนะครับ ผมก็แค่ไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย” เฉินหลงกล่าวเสียงเรียบ
คนอย่างเฉินหลงไม่มีทางให้ความสนใจกับลูกคนรวยหรอก
ไม่นานนัก หลังจากที่มีการกล่าวเปิดงานโดยเจ้าภาพ และการแนะนำนักมวยทั้งสองคนแล้ว ในสังเวียนแรก คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ร่างเปลือยท่อนบนของอาฮานและท่อนล่างสวมกางเกงที่กีฬาขายาวแบบชาวอาหรับ และเท้าที่เปลือยเปล่า
ส่วนมารุยามะสวมชุดไอคิโด*สีขาวแบบญี่ปุ่น
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายก้าวเข้าไปอยู่ในวง พวกเขาได้จ้องตากัน ราวกับสัตว์สองตัวที่รู้สึกกระหายเลือด
ในตอนที่เห็นคนสองคนยื่นอยู่บนเวที เครื่องดักจับให้ค่าอะไรบางอย่างในรูปแบบตัวเลขต่อเฉินหลงอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนเป็นปรมจารย์ ความสามารถเหมือนกันทุกด้าน แต่ทั้งสองคนต่างก็มีข้อได้เปรียบ ความแข็งแกร่งคือของมารุยามะ สึบาสะ คือความเร็วของ ส่วนของอาฮานคือความยืดหยุ่นของร่างกาย
หลังจากเวลาได้ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที มารุยามะ สึบาสะก็เริ่มเคลื่อนไหว และความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก ในสายตาของคนธรรมดา พวกเขาคิดว่าตัวเองได้เห็นภาพมายาของจริง
เขารีบพุ่งไปทางอาฮานด้วยความเร็ว มารุยามะใช้ขาขวาของตนเตะเข้าไปที่ศีรษะของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว
ขาของมารุยามะเป็นเหมือนกับแท่งเหล็กที่พุ่งออกไป พร้อมกับกระแสลมแรงๆ
เมื่อเห็นว่าขาของมารุยามะใกล้จะได้สัมผัสกับศีรษะของอาฮาน ทันใดนั้นร่างของเขาได้บิดตัวเป็นรูปร่างแปลกๆ เพื่อหลบหลีกลูกเตะของมารุยามะ จากนั้นขาขวาของเขาก็ได้เตะไปที่ขาซ้ายของมารุยามะ สึบาสะด้วยความเร็วในตอนที่ร่างกายของเขาเสียการทรงตัว
ความเร็วของมารุยามะ สึบาสะนั้นรวดเร็วมาก แต่ตราบใดที่เขาควบคุมความเร็วของอีกฝ่ายได้ การโต้ตอบของอาฮานสามารถฆ่ามารุยามะ สึบาสะได้โดยตรง
แต่เพราะอาฮานอ่านทางมารุยามะออก และมารุยามะเองก็อ่านทางอาฮานเช่นกัน ในตอนที่เขาเตะพลาด เขาก็ก้าวเท้าถอยกลับในทันที และเปิดทางให้ลูกเตะของอาฮานไม่สามารถพุ่งมาทางเขาได้
กลังจากทดสอบทั่วไปแล้ว ทั้งสองก็ได้ทราบถึงความแข็งแกร่งของกันและกัน
ครั้งต่อไปจะเป็นศึกแห่งความเป็นความตายของจริง
มวยใต้ดินเน้นความตรงไปตรงมา การกระทำใดๆ ที่ไม่จำเป็นและเปล่าประโยชน์นั้น นับว่าเป็นมลทิณ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนถึงได้ชอบดูการต่อสู่ที่ดุเดือด และการโจมตีที่หนักหน่วงยังไงล่ะ
เดิมที มันควรจะเป็นศึกที่ยอดเยี่ยม ความเร็วของมารุยามะ สึบาสะ นั้นแทบจะใกล้เคียงกับการหลบหลีกระยะสั้นของอาฮาน แต่ศึกนี้ได้รับการตัดสินแล้ว อาฮานเข้าใจว่าที่ให้ปีศาจญี่ปุ่นที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เป็นฝ่ายชนะ เป็นเพราะอะไร ถึงเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ เพราะมันเป็นกฎ
เพื่อทำให้ตัวเองดูดี อาฮานสู้กับมารุยามะอย่างหนักถึงสองนาที ตามความคิดของนักแสดงที่ดีที่สุด หลังจากนั้นเขาก็เผยช่องโหว่ออกมาลับๆ หลังจากการโจมตี มารุยามะ สึบาสะได้เตะเข้าไปส่วนกลางลำตัวของคู่ต่อสู้ หลังจากการโจมตี เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง ถ้าเขาป้องกันไม่ถูกที่ มีหวังอีกฝ่ายได้เตะหัวเขาอีกแน่ จากนั้นเขาก็น็อคไปเลย
แน่นอนว่าฝ่ายมารุยามะ สึบาสะเองก็ได้ยั้งพลังเอาไว้เช่นกัน เขาไม่ได้เตะอารฮานจนถึงแก่ชีวิต
หลังจากที่อาฮานหมดสติไป เจ้าภาพก็ได้ประกาศว่า มารุยามะสึบาสะเป็นฝ่ายชนะในทันที
หลังจากที่อาฮานถูกพาตัวออกจากสนามไป เฉินหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเห็นว่าอาฮานจงใจแพ้มารุยามะ
“หึ มวยหลอกๆ?” เฉินหลงนึกถึงความเป็นไปได้
ในเวลาเดียวกัน เสียงของโจวเต๋าฟานก็ได้เข้ามาในหูของเฉินหลง: “บางที การแข่งมวยที่ไร้ความหมายแบบนี้ อาจจะถูกใครบางคนควบคุมอยู่”
ดูเหมือนว่าเขาก็คงเห็นมันเหมือนกัน
“ไม่หรอกครับ เกมบางเกมก็คุมไม่ได้หรอก ถึงคุณจะอยากคุมมันแค่ไหนก็ตาม” เฉินหลงหันไปมองโจวเต๋าฟาน
จากนั้นเฉินหลงก็หันไปมอง อวี่จินหรูและเห็นว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
เฉินหลงเองก็หัวเราะพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ดูเหมือนว่าเขาจะมีข้อมูลเบื้องหลังก่อนที่จะได้เลือกสินะ ถ้านายชนะฉันด้วยโชคได้อีกคน ฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่ถ้านายอยากเล่นกับฉันนักละก็ อย่ามาโทษว่าฉันไม่ให้โอกาสนายล่ะ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่า นายจะคุมนักมวยได้ดีกว่า หรือเป็นฉันที่คุมคู่ต่อสู้ได้ดีกว่ากัน!’
เพราะเฉินหลงต้องการเข้าไปพัวพันกับศึกนี้
ศึกที่สองคือ ประสงค์ และ อะเลคเซย์ อวี่จินหรูได้พนันเอาไว้ว่าอะเลคเซย์จะต้องเป็นฝ่ายชนะ ส่วนเฉินหลงก็จะทำให้ประสงค์เป็นฝ่ายชนะ
ประสงค์และอะเลคเซย์ที่ยืนอยู่บนเวทีการประลอง ช่างเป็นฉากของการต่อสู้ที่ดุเดือด ฉากของก้อนเนื้อที่ถูกชก ทำให้ผู้ชมได้ดูการชกมวยที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้น
มวยไทยขึ้นชื่อในด้านความแข็งแกร่ง ความภาคภูมิใจของนักมวยไทยทุกคนคือ จำนวนต้นมะพร้าวที่พวกเขาสามารถเตะจนมันหักในชีวิต
ในทำนองเดียวกัน อะเลคเซย์ มาจากค่ายฝึกที่โหดร้ายที่สุดในไซบีเรีย ซึ่งเป็นประเภทที่ยากเช่นกัน การฝึกอย่างหนักของทั้งคู่ทำให้บนสังเวียนเต็มไปด้วยประกายไฟ และไม่มีที่สำหรับต่อสู้มวยหลอกๆแบบก่อนหน้านี้เด็ดขาด
สามนาทีต่อมา ประสงค์ได้กระโดดไปข้างหน้า แล้วใช้เข่าขวาตีเข้าไปที่คางของอะเลคเซย์
การโจมตีที่รุนแรงแบบนี้ ถ้ามันโดนคางคุณเข้า มีหวังคางแตกหมอไม่รับเย็บแน่
ผู้ชมที่ได้เห็นฉากนี้ ต่างกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นในทันที
แต่ในสายตาเฉินหลง การตีเข่าของประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นแรงหรือความเร็ว อีกฝ่ายตั้งใจอ่อนข้อให้
อะเลคเซย์ที่เห็นว่าเข่ากำลังพุ่งเข้ามา ทันใดนั้นก็ยกแขนขึ้นมากันด้านหน้าของตัวเองไว้ มันทำให้เห็นว่าเขาพร้อมสู้กับลูกเตะหนักๆ เพื่อป้องกันการโจมตี
ขณะที่อะเลคเซย์กำลังคิดหาหนทางที่จะเอาชนะประสงค์อย่างชาญฉลาด ทันใดนั้นเท้าขวาของเขาก็รู้สึกชา ร่างของเขาเอนเอียง และมือขวาของตัวเองก็ขยับออก ทำให้มองเห็นใบหน้าของตัวเอง
ในเวลานี้เอง เข่าของประสงค์ก็ได้กระแทกเขาอย่างจัง
ตอนแรก อะเลคเซย์คิดว่าถึงเขาจะทำพลาด เขาก็ยังกันเข่าของประสงค์ได้
แต่ในตอนที่หัวเข่าของประสงค์กระแทกเข้ากับใบหน้าของเขา ตามมากับเสียงกระดูกแตกแล้ว อเล็กซี่ก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้เอาชนะเขาได้ ทำไมล่ะ ทำไม?!
*ชุดไอคิโด
TB:บทที่ 132 การแข่งมวยใต้ดิน (4)
หลังจากที่มีความคิดนี้แวบเข้ามาในสมอง ใบหน้าของอเล็กเซย์ก็ถูกกระแทกเข้าอย่างจัง อเล็กเซย์ถึงกับหงายหลังล้มลงไปดังตึง! จากนั้นเลือดก็ไหลทะลักออกมา…
ประสงค์ได้เอาชนะเขาด้วยการตีเข่าเพียงครั้งเดียว เหมือนจะตกตะลึงไปเล็กน้อยในตอนที่อีกฝ่ายล้มลงไปที่พื้น ในตอนที่เขากำลังกระโดดกลางอากาศ จู่ๆพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันนี้แข็งแกร่งกว่าตอนที่เขาได้พยายามสุดกำลังซะอีก ผลคืออเล็กเซย์น็อคเอาท์ไปโดยปริยาย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะรู้สึกตื่นเต้นมากหลังจากที่คู่ต่อสู้น็อคเอาท์ไป แต่ในครั้งนี้ เขากลับไม่ได้รู้สึกถึงความตื่นเต้นเลยสักนิด เพราะตามแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้คือเขาจะต้องเป็นฝ่ายถูกฆ่า และคู่ต่อสู้เป็นฝ่ายชนะต่างหาก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ในตอนที่กรรมการประกาศว่าประสงค์เป็นฝ่ายชนะ ในความคิดของเขามีแต่คำว่า ทำไม?
แต่ความล้มเหลวของอเล็กเซย์ได้ทำให้ใครบางคนโกรธขึ้น มันไม่สำคัญว่าอเล็กเซย์จะแพ้หรือตาย ยังไงก็ตาม มันทำให้พวกเขาสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก และเรื่องนี้จะยกโทษให้เขาไม่ได้เด็ดขาด
ในทำนองเดียวกัน อวี้จิน(อวี่จินหรู)เองก็โมโหเขาเช่นกัน เขาไม่ได้บอกว่าอเล็กเซย์เป็นฝ่ายชนะเหรอ? แล้วประสงค์ชนะได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าเขาเล่นฉันแล้ว?
ในตอนนี้ อวี้จินได้หันไปมองเฉินหลง และเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน อีกฝ่ายกลับส่งรอยยิ้มแสนเศร้ามาให้เขา เดี๋ยวนะ… ไอ้นี่มันกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ใช่ไหม?
‘บัดซบ! ฝากไว้ก่อนเถอะ!’ อวี้จินทำอะไรไม่ได้นอกจากก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ
เมื่อถึงเวลา ประสงค์ก็กลับไปยังห้องพักของตัวเอง ในห้องมีใครสักคนกำลังนั่งรอเขาอยู่ แต่คนที่กำลังนั่งบนเก้าอี้กลับนั่งหันหลังให้เขา
เมื่อเห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ ประสงค์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หวง คุณหวงครับ!”
นักมวยที่เป็นนักมวยตัวดำที่ไม่ได้จริงจังกับชีวิตของตัวเอง แต่น้ำเสียงของ ประสงค์กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ทำไม?” ในตอนนี้ หวงได้หันกลับมามองทางประสงค์
คุณหวงเป็นผู้ชายที่อายุประมาณสามสิบปี เขาดูดีมาก แต่เขามีแรงผลักดันที่เหมือนกับคมมีด
ประสงค์รีบอธิบายอีกฝ่าย “คุณหวงครับ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรก ผลกำลังให้โอกาสอเล็กเซย์แล้ว แต่ตอนที่ผมอยู่กลางอากาศ จู่ๆพลังในร่างกายของผมก็ได้เพิ่มขึ้น โดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้… “
คุณหวงคนนี้น่ากลัวมาก ประสงค์รู้ความสามารถของเขาในฐานะนักสู้ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยพูดคุยกับอีกฝ่าย เขาบอกว่าเขาเคยทุบหัวคู่ต่อสู้เหมือนกับว่ามันเป็นลูกแตงโม ในตอนที่น้ำสีแดงกับสีขาวไหลออกมาจากหน้าของอีกฝ่าย ท่าทางของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขาแค่ยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามใบหน้าของตัวเองเท่านั้น
เห็นท่าทางของประสงค์แล้ว หวงก็ได้เข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนคนที่กำลังพูดโกหกเลยสักนิด และเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้เรื่องมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาจึงตอบว่า “คราวนี้ฉันจะเชื่อนาย แต่ว่านายจะไม่ได้โบนัส”
พูดจบ คุณหวงก็เดินออกจากห้องไป
ถ้าประสงค์ไม่ได้พูดเรื่องโกหก แสดงว่าต้องมีปรมจารย์สักคนทำอะไรบางอย่างกับการแข่งครั้งนี้ โดยที่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้ใครรู้ว่าเขาคือใคร แสดงว่าความสามารถของคนๆนี้จะต้องมีพวกกำลังภายใน และในที่นี้ เขารู้แค่ความสามารถของโจวเต๋าฟาน เป็นคนเดียวที่มีกำลังภายในเท่านั้น
‘หรือว่าจะเป็นเขา?’ ทันใดนั้น ความคิดนี้ก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของหวงในทันที
แต่ไม่นาน เขาก็คิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะคนอย่างโจวเต๋าฟานเป็นคนที่ชัดเจนว่าตัวเองคือใคร โจวเต๋าฟานมาเพื่อแข่งมวยหลายครั้งแล้ว และเขารู้กฎระเบียบที่มีอยู่ทุกข้อ และเขาก็ไม่เคยแหกกฎเลยสักครั้ง ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นฝีมือของเขาแน่นอน
หลังจากคิดได้เช่นนั้น เขาก็เดินไปหาหวังหู
เงินที่สูญหายไปจากประสงค์ หวังหูจะเป็นคนที่ได้มันกลับคืนไป หวังหูเป็นคนที่เชี่ยวชาญและช่ำชองมาก ที่เขาพนันไว้กับเจียงตงเฉิงคือสี่ต่อหนึ่ง ถ้าหวังหูเป็นฝ่ายแพ้ในเกมนี้ เงินที่หายไปก่อนหน้านี้ เขาก็จะสามารถนำมันกลับคืนมาได้
หวังหูเป็นคนที่มีศักยภาพมาก หวงมักจะต้องการเก็บเขาเอาไว้ข้างหลัง แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผนใหม่ซะได้
ร่างกายของหวังหูไม่เหมือนกับพวกนักมวยที่มีกล้ามมีเนื้อแน่นๆ เขาเป็นคนผอม แต่ว่ากล้ามเนื้อแต่ละมัดกลับมีพละกำลังเหมือนกับระเบิด ที่กำลังรอให้เจ้าของระเบิดพวกมันออกมายังไงอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าคุณหวงกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขาแล้ว หวังหูขมวดคิ้วเล็กน้อยและเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างสุภาพ “คุณหวงครับ”
ในตอนที่เขาขึ้นเวที คุณหวงไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เขากลับมาที่นี่ในวันนี้ เรื่องนี้ทำให้หวังหูรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
“หวังหู วันนี้ฉันต้องการให้นายเป็นฝ่ายแพ้ โอ๊ะ แล้วก็ไม่ต้องกังวลไปนะ เพราะคู่ต่อสู้จะไม่จัดการนายถึงตาย แล้วนายก็จะได้รับโบนัสสิบเท่าอีกหนึ่งล้านหยวนด้วย” เพราะอีกไม่นาน หวังหูที่อยู่ตรงหน้าเขาก็จะถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว ดังนั้นหวงจึงพูดเข้าประเด็นในทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณหวง ใบหน้าของหวังหูก็ขึ้นสีด้วยความโกรธ “คุณหวง นี่ คุณกำลังขอให้ผมแกล้งแพ้เหรอครับ?”
ดูเหมือนว่าหวงจะไม่เห็นหวังหูที่กำลังมีน้ำโห เขาจึงพยักหน้าตอบอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “ถูกต้อง จริงๆแล้ว นายไม่จำเป็นต้องแกล้งสู้ในศึกนี้หรอกนะ แต่ทำเหมือนว่ามีอุบัติเหตุเล็กๆเกิดขึ้นบนเวทีก็ได้ นายจะได้เป็นฝ่ายแพ้ไง”
หวังหูพยายามระงับความโกรธของตัวเอง เขาสบตาคุณหวงพร้อมกับตอบว่า “คุณหวง ถ้าคุณอยากให้ผมแกล้งชกมวยแบบนั้น สู้ให้ผมไม่สู้เลยจะดีกว่า!”
ถึงหวังหูจะมาแข่งมวยเพื่อเงิน แต่เขายังหนุ่มแถมยังความสามารถของการเป็นนักสู้ เขาสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ของตัวเองบนสังเวียนเพื่อเงินได้ แต่เขาไม่มีทางแกล้งชกมวยปลอมๆเพื่อเงินเด็ดขาด
“อย่าทำให้ฉันหมดหวังเร็วนักสิ นายมาต่อสู้เพื่ออาการป่วยของน้องสาวของตัวเองนะ ถ้านายหาเงินไปรักษาเธอไม่ได้แบบนี้ มันน่าเสียดายออก” นายหวงตอบเสียงเบา
“คุณหมายความว่ายังไงครับ?” หวังหูรู้ความหมายของของคุณหวง
“ไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น มันก็แค่คำแนะนำของฉันเฉยๆ ลองเก็บมันไปคิดดูก่อนสิ”
จากนั้นคุณหวงก็เดินออกไปจากห้องของหวังหู
คงต้องบอกว่า เขาควรรู้ว่าตัวเองควรจะเลือกอะไร เขาต้องไปหาเจียงตงเฉิงอีกคน เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่พวกสมองตายนะ
“แปลก ทำไมอเล็กเซย์ถึงเป็นฝ่ายแพ้ได้นะ” โจวเต๋าฟายมองเฉินหลงด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าปากจะบอกว่าแปลก แต่เขากลับไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกๆออกมาให้ใครได้เห็น
เมื่อนี้ เฉินหลงเป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นอุบายของประสงค์ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ จู่ๆอเล็กเซย์ก็ทำพลาด และความแข็งแกร่งของประสงค์ก็เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน และสิ่งเดียวที่เป็นไปได้คือ มีใครบางคนเริ่มโจมตีก่อน
และคนที่อยู่ตรงนี้ก็คือเฉินหลง และเฉินหลงก็เป็นคนเดียวที่มีความสามารถในการทำอะไรแบบนี้ ถึงเขาจะไม่เห็นว่าเฉินหลงขยับมือหรือเท้าของตัวเอง แต่เฉินหลงก็พนันกับเขาไว้ แต่ว่ามันก็ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว
เฉินหลงพยักหน้าพร้อมกับเล่นคำ “เยส! เป็นศึกที่เยี่ยมมาก ถ้าไม่มีใครควบคุมมันได้ มันก็เยี่ยมแบบนี้แหละ!”
ไม่มีใครได้ต่อสู้ในการแข่งมวย เฉินหลงไม่สนใจว่าใครจะแพ้หรือชนะ แต่ถ้ามีคนโกงขึ้นมา เฉินหลงก็จะไม่ยอมเป็นไอ้หน้าโง่หรอก คิดจะมาโกงคนอย่างเขาน่ะ มันยังเร็วไปอีกร้อยปีเฟ้ย
หลังจากนั้นไม่นาน หวังหูและเจียงตงเฉิงก็ได้ปรากฏตัวขึ้น แต่ใบหน้าของหวังหูนั้นหมองหม่นและน่าเกรงขาม ส่วนใบหน้าของเจียงตงเฉียงนั้น…ดูไม่ได้เลยสักนิด!
หวังหูได้รับการเรียกว่าเป็นเครื่องมือและถูกคุกคาม ใบหน้าของเขาจึงดูไม่ดีเป็นธรรมดา และในตอนนี้ โทสะของเขาเป็นเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดตลอดเวลา และเขาเองก็กำลังรอให้มันระเบิดออกมาเช่นกัน!
TB:บทที่ 133 การแข่งมวยใต้ดิน (5)
อีกอย่างคือ ในสายตาของคนอื่น เขาเป็นถึงสักสู้อัจฉริยะมาโดยตลอด และเขาก็มาถูกทาง เพื่อที่จะได้นักสู้ที่เก่งขึ้น เขาจึงมาที่เซียงเจียงเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยใต้ดิน เขาอยากเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
ในตอนที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยใต้ดิน ชาวจีนอีกคนที่อายุน้อยกว่าเขาก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเช่นกัน เขารู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากและเขาก็ต้องการต่อสู้กับเขาอีกด้วย แต่ในตอนที่เขามีโอกาสได้สู้กับอีกฝ่าย เขากลับพบว่าผู้จัดต้องการให้เขาต่อสู้แบบปลอมๆเพื่อให้อีกฝ่ายชนะ การดูหมิ่นศิลปะการต่อสู้ แถมยังดูถูกเขาแบบนี้ แน่นอนว่าคนอย่างเจียงตงเฉิงเองก็มีคงน้ำโหเหมือนกัน ไม่อย่างงั้นหน้าตาของอีกฝ่ายจะดูไม่ได้แบบนี้เหรอไง?
แล้ว… จะเกิดอะไรขึ้นกันถ้าชายหนุ่มที่มีโทสะสองคนต้องมาสู้กัน?
เมื่อเขาได้เห็นคนสองคนบนเวที เฉินหลงรู้ก็ได้ทันทีว่าใครคือผู้ชนะและใครคือผู้แพ้ ความแข็งแกร่งของหวังหูอยู่ในระดับสูงสุง ในขณะที่เจียงตงเฉิงเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด พวกเขาอยู่ห่างกันถึงหนึ่งระดับ และในศึกนี้หวังหูจะต้องเป็นฝ่ายชนะ เพราะสุดท้ายความแตกต่างระหว่างระดับแต่ละระดับนั้น ไม่ได้ก้าวข้ามกันได้ง่ายๆ
“ฉันรู้ว่านายตั้งใจจะแพ้ฉัน แต่ว่าฉันจะบอกอะไรให้นะ ถ้านายทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันจะฆ่านายให้ตายบนสังเวียนนี้เลย คอยดูเถอะ!” เจียงตงเฉิงจ้องตากับหวังหูอย่างดุเดือด แต่กลับพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“นายพร้อมแล้วใช่ไหม?” หวังหูตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ถามอะไรอย่างนั้นล่ะ นายจะทำอะไรกันแน่?” เจียงตงเฉิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันถามว่าพร้อมที่จะตายรึยัง?!”
พูดจบ ร่างของหวังหูก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว เขาวิ่งเข้าไปหาเจียงตงเฉิงเหมือนกำแพง นี่คือวิชาที่เป็นเอกลักษณ์ของมวยปาจี๋ ‘เถี่ยซานเหยา’
มวยปาจี๋มีชื่อเสียงในด้านมวยที่ดุเดือดและรุนแรงมาก เพราะมันใกล้เคียงกับท่าต่อสู้ของจริง การเคลื่อนไหวของเถี่ยซานเหยา เป็นท่าที่ใกล้เคียงมากที่สุด คนที่ฝึกมวยปาจี๋ท่าเถี่ยซานเหยา พวกเขามักจะใช้ร่างกายของตนเองปะทะกับกำแพง ต้นไม้หรือเสา ในตอนที่พวกเขาฝึกมันบนโลกนี้ ทั้งกำแพง ต้นไม้หรือเสาก็มิอาจต้านทานพวกเขาได้เลย
ในตอนที่เจียงตงเฉิงเห็นว่าหวังหูกำลังจู่โจมเขา ทันใดนั้นเขาก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา เพราะเขารู้สึกได้ว่าการจู่โจมของหวังหูทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ราวกับว่าเขาถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยความสามารถของหวังหู
‘ก่อนหน้านี้เขาซ่อนพลังเอาไว้ เขาแข็งแกร่งเกินไป และฉันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยสักนิด แต่ฉันคือเจียงตงเฉิน ขอบอกเอาไว้เลยนะว่า คนอย่างฉันจะไม่ยอมตายแบบนี้หรอก!’
เจียงตงเฉิงใช้ความสามารถทั้งหมดที่เขามี เปิดลมปราณที่ติดอยู่กับเขาในทันที
จากนั้นเจียงตงเฉิงก็ใช้เท้าเตะเก้าครั้ง ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ถ้าคนหนึ่งยังไม่ตาย ก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส จนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยกำลังของตัวเอง
ในตอนที่ไหล่ของหวังหูและเท้าของเจียงตงเฉิงได้ปะทะกัน ทันใดนั้นเสียงของกระดูกแตกก็ดังขึ้น
“อ๊ากกกก!”
เสียงกรีดร้องของเจียงตงเฉิง ร่างกายของเขาก็ถูกเหวี่ยงออกไปในทันที และเลือดสีแดงสดมากมายไหลทะลักออกมาจากปากของเจียงตงเฉิงกลางอากาศ เหมือนกับสายรุ้งสีเลือด ภาพที่เห็นตรงหน้า นับว่าเป็นภาพที่มีสีสัน แต่กลับไม่น่ามองเอาเสียเลย
ปัง!
เจียงตงเฉิงถูกท่าเถี่ยซานเหยาเข้าอย่างจัง จากนั้นก็กระโดดกลับไปที่สนาม
ในตอนนี้ ขาซ้ายของเจียงตงเฉิงถูกบิดงอ จนเป็นแนวขวางเหมือนกับเครื่องหมายลบ กระดูกที่แตกได้ทะลุผ่านกล้ามเนื้อออกมา ทำให้ทุกคนสามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจน กระดูกสีขาวที่ติดอยู่กับเนื้อแถมยังมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาอีก มันดูสยดสยองมากจริงๆ บางคนที่ได้เห็นภาพนี้แทบจะอาเจียนออกมา ส่วนคนที่แพ้เลือดก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไปเลย
ส่วนเท้าของเจียงตงเฉิงกลับไม่เป็นอะไร อย่างน้อยเขาก็หยุดยั้งท่าเถี่ยซานเหยาของหวังหูเอาไว้ได้
“ความความสามารถของนายก็ใช้ได้นี่ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไม่เอาชีวิตของนายไปก็แล้วกัน”
ตอนแรก เขาคิดว่าท่าเถี่ยซานเหยานี้จะฆ่าเจียงตงเฉิงให้ตายไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายสามารถสกัดเถี่ยซานเหยาของเขา แถมยังมีชีวิตรอดมาได้อีกด้วย หวังหูละตกใจจริงๆ
หลังจากที่เห็นว่าหวังหูเอาชนะเจียงตงเฉิงได้ คุณหวงอดไม่ได้ที่จะขย้ำถ้วยกาแฟของตัวเองจนแตกละเอียด “หวังหู นายอยากตายนักใช่ไหม”
คราวนี้ หวังหูไม่เพียงทำให้เขาสูญเสียเงิน แต่อีกฝ่ายยังดูถูกอำนาจของเขาอีกด้วย หวงจึงได้ตัดสินใจว่า เขาจะฆ่าหวังหูให้จงได้
หลังจากที่หวังหูเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ใบหน้าของเฉินหลงก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา “ผมถูกใจหวังหูคนนี้ ไว้ผมจะไปถามเขาว่า เขาสนใจจะมาทำงานกับผมไหม บางทีผมอาจจะหาผู้ช่วยในสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ก็ได้”
“ถ้าเขารู้ว่านายต้องการให้เขาเป็นผู้ช่วยของนายจริงๆละก็ ฉันคิดว่าเขาน่าจะยินดีอย่างยิ่งเลยล่ะ” โจวเต๋าฟานตอบด้วยรอยยิ้ม
สุดยอดปรมาจารย์ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงขอบเขตโดยกำเนิด มันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้
“เอาไว้ผมจะไปหาเขาหลังจากนี้ก็แล้วกันครับ” เฉินหลงตอบ
พูดจบ เฉินหลงก็หันไปมองอวี้จินที่ยืนอยู่อีกด้าน ที่ตรงนั้นมีแค่อวี้จินยืนอยู่เพียงคนเดียว ส่วนจินเหลียงหยวนไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงออกจากการแข่งขันชกมวยแล้ว แต่ในตอนนี้ สีหน้าของอวี้จินไม่ค่อยดีนัก เขาไม่คิดว่าการเดิมพันของเขาจะผิดพลาด เขาคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้ชนะ แต่กลับแพ้ แพ้เนี่ยนะ? แล้วทำไมคนอย่างเขาถึงได้แพ้โดยไม่มีสาเหตุอย่างนี้ได้กันเล่า?
แต่จะว่าไป เขาก็เป็นคนที่จะเสี่ยงโชคเอง ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้สิ แต่ในฐานะที่เป็นถึงรุ่นที่สองที่มีชื่อเสียงของเซียงเจียง เขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้ต่อหน้าซูชิงเฟิงได้เด็ดขาด
ในตอนนี้ เขาเห็นว่าเฉินหลงกำลังมองเขาอยู่ ส่วนเขาก็ทำได้แค่แค่นยิ้มออกมาบนใบหน้า จากนั้นก็เดินไปหาเฉินหลง
“ขอแสดงความยินดีกับคุณเฉินด้วย คุณชนะอีกแล้ว นี่คือเช็คห้าล้านหยวน คุณสามารถขึ้นเงินได้ทุกเมื่อตามที่คุณต้องการ” อวี้จินหยิบเช็คที่กรอกข้อมูลเอาไว้เรียบแล้วออกมา แล้วส่งมันให้เฉินหลง
หลังจากรับเช็คไป เฉินหลงก็ได้บอกอะไรบางอย่างกับอวี้จินด้วยรอยยิ้ม “ผมขอบอกอะไรคุณสักอย่าง ผมคงเป็นคนที่โชคดีจริงๆ เพราะผมไม่เคยแพ้การพนันเลยสักครั้ง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหลง อวี้จินที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบอะไรอีกฝ่าย จึงฝืนยิ้มให้เขาอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไปจากที่ตรงนี้ ในเมื่อเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เฉินหลงพูดจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เขาจะไม่พนันกับอีกฝ่ายอีกเด็ดขาด ถ้าบังเอิญแล้วชนะทุกรอบแบบนี้ แสดงว่าหมอนี่ มันต้องเป็นพวกเล่นของแน่ๆ คนอะไรขี้โกงชะมัด
หลังจากที่อวี้จินกลับไปแล้ว เฉินหลงกับโจวเต๋าฟานจึงไปหาหวังหูด้วยกัน
เพียงแต่ว่าเฉินหลงไม่รู้ว่า ในตอนนี้หวังหูกำลังต่อสู้กับคุณหวงอยู่
หลังจากหวังหูทำการต่อสู้เสร็จ เขาก็พร้อมที่จะเดินออกไปจากสนามในทันที แต่เพราะคุณหวงกำลังจ้องเขาอยู่ ถ้าเขาจะหนีจากอีกฝ่าย เห็นทีมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เพราะทันทีที่เขากลับมาถึงห้องพัก เขาก็ต้องหยุดชะงักในทันที
“หวังหู ฉันรู้สึกชื่นชมนายจริงๆ นายสามารถอยู่ในระดับนี้ได้ตั้งแต่วัยเยาว์ นายช่างเป็นคนที่มีความสามารถซะจริง ใจจริงฉันก็ไม่ได้อยากกำจัดนายหรอกนะ แต่ถ้านายไม่ถนอมโอกาสที่ฉันหยิบยื่นให้แบบนี้ เห็นที ฉันก็คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องกำจัดคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของฉันเท่านั้น!” หวงกล่าวขึ้น ในขณะที่จ้องมองหวังหู
หวังหูที่เห็นคุณหวงกำลังขวางทางเขาอยู่ สีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย เขารู้ดีว่าการขัดขืนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาจึงตอบอีกฝ่ายไปว่า “คุณหวง ผมสามารถลงแข่งเพื่อหาเงินมาให้คุณได้นะครับ แต่ผมจะไม่ชกมวยปลอมๆแบบนั้นเด็ดขาด แล้วผมก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับคุณด้วย ให้ผมออกไปจากตรงนี้เถอะนะครับ”
“ออกไปจากตรงนี้? ถ้านายไปแล้ว ฉันจะทำยังไงกับเงินห้าร้อยล้านที่ฉันต้องสูญเสียมันไปเพราะนายกันล่ะ? ถ้าไม่ใช่นายแล้ว ใครจะเป็นคนชดใช้มันให้ฉันล่ะ?” ดวงตาของคุณหวงดูเยือกเย็นมาก “ไม่ต้องห่วงนะ หลังจากที่นายตายไปแล้ว ฉันก็จะส่งน้องสาวสุดที่รักไปอยู่กับนายด้วย นายก็จะได้ไม่เหงาไง ฟังดูเข้าท่าดีใช่ไหม?”
TB:บทที่ 134 เปล่าประโยชน์
คำพูดของคุณหวงทำให้บันดาลโทสะสุมอยู่เต็มอกหวังหู เขารักและหวงแหนน้องสาวของตัวเอง ดั่งแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าใครหน้าไหนที่กล้ามาแตะต้องเธอแม้แต่ปลายเล็บละก็ หวังหูคนนี้จะจัดการมันเอง และในตอนนี้ ที่คุณหวงพูดออกมาว่า เขาต้องการฆ่าน้องสาวของเขา มันทำให้หวังหูรู้สึกโมโหมาก จึงตอบอีกฝ่ายไปว่า “ตายยยย!”
เสียงคำรามของหวังหูดังก้อง หวังหูก็ได้นำท่าเถี่ยซานเหยาออกมาใช้อีกครั้ง โทสะที่ไม่มีที่สิ้นสุดของเขาทำให้ท่าทางของหวังหูดูดุร้ายและป่าเถื่อนมากกว่าตอนที่เขาอยู่บนเวทีเสียอีก
หลังจากรู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหวังหูแล้ว ดวงตาของคุณหวงจ้องเขม็งอีกฝ่าย และท่าทางของเขาก็ดูจริงจังขึ้น หวังหูมีความสามารถที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ความแข็งแกร่งของท่าเถี่ยซานเหยาของหวังหู สามารถพันธนาการเจียงตงเฉิงไว้ได้ชั่วคราว แต่มันกลับส่งผลต่อคุณหวงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทันใดนั้นคุณหวงก็ทำท่าม้าแล้วปล่อยหมัดที่แสนจะธรรดาออกไปหนึ่งหมัด
ปัง!
คุณหวงต่อยเข้าไปที่ไหล่ของหวังหู
ท่าเถี่ยซานเหยาที่สามารถจัดการกับเจียงตงเฉิง ถูกสกัดเอาไว้ด้วยหมัดของคุณหวง ยิ่งไปกว่านั้น แรงหมัดของอีกฝ่าย ทำให้หวังหูถึงกับต้องก้าวถอยหลังไปอีกสองก้าว และอวัยวะภายในกายรู้สึกถึงแรงสั่นเล็กน้อย
หลังจากที่ได้รับรู้ถึงความสามารถของคุณหวง หวังหูก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็เริ่มโจมตีอีกครั้งในทันที ถึงพลังของคุณหวงนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าเขาไม่จริงจัง มีหวังเขากับน้องสาวได้เสร็จเขาแน่ คนอย่างเขาเขาไม่มีวันยอมแพ้หรือหนีเด็ดขาด
หวังหูใช้ท่าต่างๆโจมตีคุณหวง แต่อีกฝ่ายกลับใช้ท่าเดียวก็คือหมัดตรงเพื่อรับมือกับมัน หมัดตรงของคุณหวงเป็นเหมือนกับภูเขาตรงหน้าหวังหู มันทำให้เขาจัดการกับมันไม่ได้
ในเวลาเดียวกัน แรงกระแทกจากการโจมตีแต่ละครั้ง ทำให้อวัยวะภายในของหวังหูรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เลือดสีสดไหลออกมาจากมุมปากของเขา
‘แข็งชะมัด! นายนี่ตัวแข็งจริงๆ!’ หวังหูมองไปที่คุณหวงที่อยู่ในท่าม้าอีกครั้ง เขาจึงพูดกับตัวเอง
เมื่อเห็นคราบเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของหวังหู มุมปากของคุณหวงจึงเผยรอยยิ้มจางๆออกมา เขาชี้นิ้วไปที่ประตูอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ดูสิ นั่นคือทางออก เข้ามาเลย ถ้านายโค่นฉันได้ นายก็ไปได้ อ้อ แล้วก็อย่าลืมพาน้องสาวของนายหนีไปด้วยล่ะ”
หลังจากเห็นความสามารถของหวังหู คุณหวงก็รู้ว่าการเอาชนะอีกฝ่ายนั้นไม่ยากเลยสักนิด ถ้าเขาอยากเอาชนะอีกฝ่ายนั้นง่ายนิดเดียว เขาสามารถใช้การสกัดให้อยู่หมัดจัดการกับร่างของหวังหูได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน
และในตอนนี้ ดูเหมือนว่าแผนของเขาจะประสบความสำเร็จแล้ว
หวังหูรู้ว่าคุณหวงพูดแบบนี้เพื่อให้เขาใช้ความสามารถทางกายภาพของตัวเอง แต่ตอนนี้ทางเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือ พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายโดยตรง
ในตอนที่หวังหูกำลังจะพุ่งเข้าใส่คุณหวงอีกครั้ง ทันใดนั้นเฉินหลงและใครอีกคนก็ได้มาถึงที่นี่พอดิบพอดี
“หวงถัง คุณมาทำอะไรที่นี่?” โจวเต๋าหานกล่าวขึ้น เขากำลังมองดูคุณหวงที่กำลังตั้งท่าม้า
ชื่อจริงของคุณหวงคือ หวงถัง
เห็นว่าโจวเต๋าฟานและซูชิงเฟิงมาที่นี่ หวงถังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบว่า “โอ๊ะ คุณซูและคุณโจวนั่นเอง ฉันกำลังต่อสู้กับนักมวยของฉันอยู่ ประตูทางออกอยู่ทางนั้น แล้วก็ขอโทษด้วย ที่ฉันไม่สามารถไปส่งพวกคุณทั้งสี่คนได้ในตอนนี้”
ถ้าซูชิงเฟิงกับโจวเต๋าฟานเข้ามาจุ้นจ้านเรื่องของเขาล่ะก็ เขาคงไม่มีทางต้านทานพวกเขาได้แน่นอน เขาได้แต่หวังว่า เฉินหลงกับคนอื่นๆจะยอมเดินออกไปจากที่ตรงนี้ดีๆ แล้วก็ไม่รบกวนเขา
“ต่อสู้? ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันดีกว่า นอกจากนี้ ผมอยู่ฝ่ายหวังหู เป็นไปได้ ถ้าคุณสู้กับหวังหูเสร็จแล้ว คุณลองมาสู้กับผมดูสักตั้งสิครับ” เฉินหลงมองดูหวงถัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทำให้คนอื่นไม่สามารถถามอะไรเขาได้
ในตอนที่เขาได้ยินเฉินหลงพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหยามเขาอยู่ ใบหน้าของหวงถังเผยความสุขออกมา แต่เมื่อเห็นว่าเฉินหลงอยู่กับโจวเต๋าฟานแล้ว การจู่โจมในทันทีจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เขาจึงถามโจวเต๋าฟานว่า “คุณโจว คนๆนี้เป็นเพื่อนของคุณ รบกวนคุณถามเขาดูอีกสักครั้ง เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาในเซียงเจียง ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่”
สำหรับโจวเต๋าฟานและซูชิงเฟิงแล้ว คนอย่างหวงถังก็ต้องให้ความสำคัญกับโจวเต๋าฟานที่เกิดในเทียนถางมากกว่าอยู่แล้ว
เฉินหลงไม่แสดงความสามารถของตัวเองออกมา ในตอนที่อีกฝ่ายมาหาหวงถัง เขาคิดว่าเฉินหลงคงเป็นแค่คนธรรมดา บางทีตระกูลของเขาอาจจะมีอำนาจในเทียนถาง และเขาเป็นคนรุ่นที่สองที่ชอบอวดเก่งหรืออะไรสักอย่าง
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือสาเรื่องของคนหนุ่มหรอก” โจวเต๋าฟานส่งยิ้มให้คนทั้งสองที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
ความสามารถของเฉินหลงคือกำลังภายในเหมือนกับเขา แล้วคนอย่างเขาจะต้องช่วยอะไรเขาอีกล่ะ?
โจวเต๋าฟานไม่ได้ช่วยเหลือหวงถัง เขาหันไปมองเฉินหลงด้วยรอยยิ้มแปลกๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้านายอยากให้หวังหูว่านอนสอนง่าย นายก็แค่เอาเงินห้าร้อยล้านหยวนมาให้ฉัน จากนั้นก็พาเขาไปได้เลย”
“ถึงตอนนี้ผมจะไม่มีเงินสดห้าร้อยล้าน แต่ผมมีสิ่งนี้ ผมจะยกมันให้คุณก็แล้วกันครับ” เฉินหลงเอ่ยขึ้นแล้วหยิบเช็คห้าล้านออกมา พร้อมกับส่งมันให้กับหวงถัง
“ในสายตาของคุณ คุณเห็นผมมีค่าแค่ห้าล้านหยวนหรือว่าแค่อยากทำทานกันแน่?” คำพูดของเฉินหลงทำให้หวงถังแสดงสีหน้าขุ่นเคืองออกมา เขาเป็นถึงบุคคลที่มีมีฐานะในเซียงเจียง ตอนนี้ เขาเป็นเหมือนขอทานที่ใช้ดอกไม้ซื้อใจได้อย่างนั้นหรือ? ไม่แปลกเลยที่เขาจะโมโหอีกฝ่ายขนาดนี้
เฉินหลงไม่สนว่าหวงถังจะโกรธหรือไม่ เขายังคงกล่าวเสียงเรียบออกมา “ผมให้คุณห้าล้าน แต่ผมไม่ได้หมายความว่าในสายตาของผม คุณมีค่าแค่ห้าล้านหยวนนะครับ แต่ผมแค่คิดว่าสำหรับคุณแล้ว หวังหูน่าจะมีค่าแค่ห้าล้านหยวนสำหรับคุณ ส่วนสำหรับผมมันใช้กับผมไม่ได้หรอก แล้วก็ไม่ได้มีค่าเลยสักนิด”
หวงถังไม่ได้แสดงความโกรธออกมา แต่เขากลับตอนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแทน “หึ ฉันอยู่ในเซียงเจียงมาตั้งหลายปี นายเป็นคนแรกที่กล้าบอกว่าฉันไร้ค่า ในเมื่อนายพูดแบบนี้ ฉันจะทำให้นายนอนติดเตียงสักสามเดือนเลย คอยดูสิ!”
“หึ ผมก็จะทำให้คุณนอนติดเตียงสักครึ่งปีเลย!” เฉินหลงตอบ
ในเมื่อนายไม่เห็นด้วยกับฉัน นายคงต้องนอนติดเตียงสักสามเดือนแล้วล่ะ และในเมื่อพูดกันดีๆแล้วไม่ชอบ ก็จงนอนติดเตียงไปอีกสามเดือนเสียเถอะ!
จากนั้นเฉินหลงก็เดินไปทางห้องโถงสีเหลือง
“ระวังตัวด้วยนะครับคุณ อีกฝ่ายเก่งมาก” เมื่อเห็นเฉินหลงเดินไปทางห้องโถงสีเหลืองแล้ว หวังหูจึงรีบกล่าวเตือนเขา
ในมุมมองของเขา คนทั่วไปตต้องเจอกับสุดยอดรมาจารย์แล้ว มันก็เหมือนกับเอาไข่ไปทุบหิน ตอนจบเป็นยังไง ไม่เห็นต้องบอก
เฉินหลงส่งยิ้มให้หวังหู แล้วเดินไปหาหวงถัง คนอย่างหวังหูอุตส่าห์ออกปากกล่าวเตือนเขาแบบนี้ มันทำให้เฉินหลงประทับใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นว่าหวงถังยังคงยืนรอเขาอยู่ที่เดิม เฉินหลงจึงพูดกับเขาว่า “ถ้าคุณไม่ชิงลงมือก่อน คุณก็จะไม่มีโอกาสได้ลงมืออีกแล้วนะครับ”
หวงถังไม่ตอบ ทำเพียงแค่เหยียดยิ้มผ่านใบหน้าของตัวเองเท่านั้น
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับความเมตตาจากเขา เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องสุภาพกับมันอีกต่อไปแล้ว ในตอนที่เฉินหลงอยู่ห่างจากหวงถังออกไปสองเมตร เขายื่นมือขวาออกมา แล้วทำท่ากำมือให้ตรงกับตำแหน่งของหวงถัง
ในตอนแรก เมื่อหวงถังเห็นการเคลื่อนไหวของเฉินหลง เขาถึงกับคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่ไม่นาน สีหน้าของหวงถังก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองกำลัง ‘ถูกจับ’ ด้วยพลังที่เขาได้ใฝ่ฝันมาโดยตลอด
“ขอบเขตกำเนิด?” หวงถังจ้องหน้าเฉินหลง จากนั้นขาได้เข้าใจว่าทำไมเมื่อกี้โจวเต๋าฟานถึงได้พูดแบบนั้นออกมา เพราะเขารู้ว่าตัวเขาไม่มีทางเอาชนะเฉินหลงได้ ตอนนี้ ในสายตาของคนอื่น เขาได้กลายเป็นไอ้โง่ที่นอกจากจะพูดไม่คิดแล้ว ยังจะปากดีหาเรื่องใส่ตัวอีกด้วย มีหวังเขาได้เป็นปลาหมอตายเพราะปากแหงๆ
TB:บทที่ 135 ตั้ง 570,000 คะแนนแลกเปลี่ยน!
“อย่างที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ คุณจะได้นอนติดเตียงประมาณครึ่งปี ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น แล้วถ้าคุณมีความสามารถมากพอ คุณจะไปหาผมที่ปักกิ่งก็ได้นะครับ ผมชื่อ เฉินหลง จำเอาไว้ด้วยล่ะครับ” หลังจากที่เฉินหลงพูดจบจบ เขาก็ลงมือจัดการอีกฝ่ายในทันทีด้วยมือของเขา
จากนั้นร่างกายของหวงถังก็มีเสียงกระดูกแตกดังกร๊อบ!
คำพูดเหน็บแนมของเฉินหลง กับแขนขาที่ถูกบดของหวงถัง
แต่หวงถังเป็นคนที่มีความอดทนมาก ต่อให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดขนาดไหน เขาก็ยังไม่ร้องไห้ฟูมฟายออกมาแอะ เฉินหลงละนับถือเขาเลยจริงๆ
เฉินหลงเหวี่ยงหวงถังออกไปทางข้าง จากนั้นก็เดินไปหาหวังหู
เห็นเฉินหลงกำลังมาตรงหาเขา หวังหูรีบก้าวถอยหลังไปอีกสองก้าวด้วยความตกใจ เขาต้องระวังคนอันตรายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“หวังหู! ผมชื่นชมคุณมากครับ คุณพอจะทำอะไรให้ผมสักอย่างได้ไหมคัรบ!?” หลังจากที่เขาได้เห็นศึกของหวังหูแล้ว เฉินหลงก็รู้สึกว่าหวังหูเป็นคนที่มีพรสวรรค์ เฉินหลงไม่มีทางปล่อยคนเก่งๆแบบนี้ให้หลุดมือไปเด็ดขาด
เมื่อรู้ว่าเฉินหลงแค่อยากช่วยเขา อีกฝ่ายก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที และหัวใจของเขาก็รู้สึกปลื้มปิติเช่นกัน เป็นอย่างที่โจวเต๋าฟานบอกไว้จริงๆ สำหรับหวังหู นักสู้โดยกำเนิด ทำให้พวกเขาทำงานได้ในสภาพแวดล้อมตั้งแต่เกิดมา และบางโอกาสก็อาจจะได้รับคำชม และนั่นก็คือสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝัน
ขณะที่หวังหูกำลังจะอ้าปากกล่าวคำมั่นสัญญา เขาก็นึกถึงน้องสาวของตัวเองขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้วตอบว่า “คุณเฉิน ผมก็อยากช่วยคุณจริงๆนะครับ แต่ฉันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำในตอนนี้ แล้วบางทีผมอาจจะช่วยคุณไม่ได้”
“คุณบอกผมได้ไหมครับ? ถ้าผมช่วยได้ ผมก็จะช่วย” เฉินหลงไม่ได้คิดอะไรให้มากความ เขาตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
หวังหูมองเฉินหลงด้วยความซาบซึ้ง เขารู้สึกได้ว่าเฉินหลงยินดีที่จะช่วยเขาจริงๆ แต่ในฐานะที่เธอเป็นน้องสาวแท้ๆของเขาเอง เขาก็ยังอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยความสามารถของตัวเองอยู่ดี “เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยครับ ถ้าคุณเฉินยินดีที่จะช่วยผม หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมเองก็จะช่วยคุณเหมือนกันครับ!”
“หวังหู การที่นายมีความมั่นใจมันก็ดีอยู่หรอก แต่บางครั้ง การที่เรามั่นใจเกินไป มันก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะ นายควรพิจารณามันอย่างระเอียดและถี่ถ้วนก่อนที่จะลงมือทำอะไร” ดูเหมือนว่าคำพูดของซูชิงเฟิงจะถูกต้องทุกถ้อยคำ
คำพูดของซูชิงเฟิงทำให้หวังหูคิดเกี่ยวกับมัน ในตอนนี้เขาได้ออกไปพร้อมกับหวงถังแล้ว ถึงเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ไม่ได้ตัวคนเดียว ถ้าเขายังคงอยู่ในเซียงเจียง เขาต้องตามหาตัวปัญหาของตัวเองแน่ หรือไม่ก็อาจจะฆ่าเขากับน้องสาว เรื่องแบบนี้ง่ายนิดเดียว หลังจากที่ลองชั่งน้ำหนักในใจดูแล้ว หวังหูทำได้แค่สลัดความภาคภูมิใจของตัวเองทิ้งไป
“คุณเฉิน น้องสาวของผมป่วยและต้องการเข้ารับการรักษา เพราะแบบนี้ผมถึงทิ้งเธอเอาไว้ไม่ได้ ถ้าคุณเฉินอนุญาตให้ผมพาน้องสาวไปด้วย ผมก็เชื่อฟังคุณครับ คุณเฉิน” หวังหูคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเห็นด้วยและตอบตกลง
เมื่อได้ยินข้อตกลงของหวังหูแล้ว เฉินหลงก็รู้สึกมีความสุขมาก จึงรีบตอบว่า “แค่น้องสาวคนเดียวเหรอครับ? ตราบใดที่คุณปฏิบัติตามคำสั้งของผม คุณจะพาทุกคนในครอบครัวไปด้วยก็ได้นะครับ ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
ตราบใดที่อีกฝ่ายมีพรสวรรค์ที่ใช้ประโยชน์ได้ เฉินหลงก็ไม่สนว่าหวังหูจะพาน้องสาวหรือครอบครัวของเขาไปด้วย เพราะสุดท้าย ความร่ำรวยของเฉินหลงในตอนนี้ ไม่มีทางมีปัญหากับเรื่องแค่นี้อยู่แล้ว เป็นยังไงล่ะ หล่อ รวย สปอร์ต ใจดี จะเป็นใครไปได้นอกจากคนที่มีชื่อว่า เฉินหลง!
“ความจริงแล้วผมมีแค่น้องสาวเพียงคนเดียว ผมไม่มีครอบครัวอื่นแล้ว…” หวังหูตอบเสียงเบา
“โอเคครับ เอาเป็นว่า คุณไปหาน้องสาวของคุณก่อน แล้วค่อยมาหาผมที่ห้องพักแบบเพรสซิเด้นท์เชลสวีท ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ตกลงตามนี้นะครับ” เฉินหลงผงกหัวให้อีกฝ่ายหนึ่งครั้ง
จากนั้นพวกเขาก็แยกย้าย หวังหูไปหาน้องสาวของตัวเอง โจวเต๋าฟานไปส่งเฉินหลงกลับไปที่โรงแรมก่อน แล้วค่อยกลับไปที่ของตน
เดิมที ซูชิงเฟิงต้องการให้เฉินหลงกับโจวเต๋าฟานไปพักผ่อนที่วิลล่าของตัวเอง แต่เพราะเฉินหลงกลับคิดสึกว่าพักอยู่ที่โรงแรมสะดวกกว่า ส่วนซูชิงเฟิงจึงไม่ได้เรียกร้องอะไร
หลังจากที่เฉินหลงและคนอื่นๆ ออกไปจากออกแล้ว หวงถังก็ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเช่นกัน
หวงถังที่นอนอยู่บนเดียงได้แต่คิดว่า ‘เฉินหลง ฉันจะจำชื่อนายเอาไว้ ถึงความแข็งแกร่งของนายจะถึงขอบเขตกำเนิด แต่นายไม่ได้เป็นแบบนั้นคนเดียวในโลกสักหน่อย ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ อะไรที่นายทำกับฉันในวันนี้ วันหน้าฉันจะมาเอาคืนนายสองเท่าเลย คอยดูสิ!’
เฉินหลงไม่รู้ว่าตัวเลยว่าหวงถังที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา ในภายภาคหน้า เขาจะเป็นคนที่นำปัญหามาให้ตัวเอง
หลังจากกลับมาถึงที่โรงแรมแล้ว เฉินหลงก็มีโอกาสเข้าไปในระบบ
ก่อนอื่น เขาใช้เครื่องประดับหยก และได้รับ 60,000 คะแนนแลกเปลี่ยน จากนั้นเขาก็ได้ติดต่อกับ ‘อู๋หยิ่ง’ เป็นตามคาด ‘อู๋หยิ่ง(ไร้เงา)’ เหมือนกับชื่อของเขาเลย เขาไม่ชอบพบปะผู้คน และติดต่อได้ผ่านข้อมูลเท่านั้น
“คุณอู๋หยิ่ง ผมมีของบางอย่างที่มีคุณภาพดีกว่าผลึกแร่หลายชนิดขนาดจิ๋วตามภารกิจของคุณ คุณต้องการมันไหม?” เฉินหลงส่งข้อความไปหอีกฝ่าย
“คุณมีเท่าไหร่?” อู๋หยิ่งส่งข้อความสั้นๆกลับมาหาเขา
“คุณต้องการจำนวนและราคาเท่าไหร่ครับ?”
“ฉันจะรับมันทั้งหมด ฉันให้ 200 คะแนนแลกเปลี่ยนต่อหนึ่งกรัม”
“คุณมีคะแนนแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ครับ?”
ก่อนหน้านี้ อู๋หยิ่งใช้คะแนนแลกเปลี่ยน 300,000 คะแนนเพื่อซื้อกึ่งสิ่งประดิษฐ์ เมื่อนี้เขาเพิ่งส่งภารกิจและรับคะแนนแลกเปลี่ยน 60,000 คะแนนมาจากเขา รวมๆแล้วก็ 360,000 คะแนนแล้ว เฉินหลงเกรงว่าอู๋หยิ่งจะไม่มีคะแนนมากพอซื้อของของเขา
“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องคะแนนแลกเปลี่ยนหรอก ถ้ามันไม่พอจริงๆ ผมจะนำหินแห่งแสงมาใช้แทนคะแนนคะแนนเปลี่ยน” อู๋หยิ่งได้ส่งข้อความ
เฉินหลงรู้สึกตกใจที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายรวยคะแนนแลกเปลี่ยน ผ่านข้อความที่เขาส่งมา ในเวลาเดียวกัน เขาเองก็อยากรู้ประสิทธิภาพของหินแห่งแสงเหมือนกัน “ผมไม่รู้ว่าหินแห่งแสงคืออะไร แล้วคนอย่างผมสามารถนำมันไปทำอะไรได้บ้างครับ?”
” ‘หินแห่งแสง’ สามารถทำให้ผู้ใช้วิวัฒนาการได้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้ใช้ในที่นี้ไม่รวมถึงมนุษย์ฉันมีมันอยู่ในระบบทั้งหมด ปกติฉันจะขายเป็นคะแนนแลกเปลี่ยนเท่านั้น แต่ฉันยินดีที่จะแลกเปลี่ยนกับผลึกแร่หลายชนิดขนาดจิ๋วคุณภาพสูง”
อู๋หยิ่ง คุณช่างเป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงๆ
“ถ้าคุณขายตามราคาขายในร้านของคุณ ผมไม่ค่อยยินดีที่จะแลกผลึกแร่หลายชนิดขนาดจิ๋วคุณภาพสูงกับคุณสักเท่าไหร่ เพราะผลึกแร่หลายชนิดขนาดจิ๋วคุณภาพสูงนี้หายากมาก แล้วมันก็มีมูลค่าแตกต่างกัน”
ที่ดาวเคราะห์อู๋หยิงจะต้องมีหินแห่งแสงแบบนี้จำนวนมากแน่นอน ส่วนที่โลกของเขา หยกคุณภาพสูงนั้นหาได้ยากมาก ดังนั้นเฉินหลงถึงได้ไม่อยากขายหยกในราคาต่ำนัก แต่ฟังก์ชั่นที่ช่วยให้ผู้ใช้วิวัฒนาการได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งกลับทำให้เฉินหลงสนใจมันมาก นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถใช้มัน ทำให้เขาต้องการสร้างหินแห่งแสงพวกนี้ เขาอยากเห็นหินแห่งแสง ถ้เกิดว่าเขาเอามันไปใช้กับสัตว์หรือพืช แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? มันจะต้องสุดยอดมากแน่ๆ
ในตอนนี้ ความปรารถนาของเฉินหลงก็เป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์ผู้บ้าคลั่งคนหนึ่ง
อู๋หยิ่งเงียบไปสักครู่ สองนาทีต่อมา ข้อความได้ส่งมาจากอีกฝ่าย “ชิ้นส่วนของหินแห่งแสงสามารถแลกเปลี่ยนได้สิบกรัม ถ้าใช้ไม่ได้ นายไม่โอเค เรามาแลกกับคะแนนแลกเปลี่ยนกันเถอะ”
“ได้เลย จัดไปเลยครับผม!” เฉินหลงตอบตกลง
หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำการแลกเปลี่ยนกัน เฉินหลงใช้หยกแลกกับคะแนนแลกเปลี่ยน 200,000 คะแนน บวกกับหินแห่งแสงอีก 30 ก้อน
ด้วยวิธีนี้ ทำให้เฉินหลงมีคะแนนแลกเปลี่ยนตั้ง 570,000 คะแนนแน่ะ! แล้วมันก็เป็นจำนวนสูงสุดที่เขาเคยมีมาในระบบเลย รวย รวยแล้ว! ในอนาคต เขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนนแลกเปลี่ยนไปอีกนานเลย ส่วนหยกที่เหลืออีกสามชิ้น เขาสามารถนำมันไปแลกเป็นคะแนนแลกเปลี่ยนได้อีกมากมายมหาศาล ด้วยเหตุนี้เฉินหลงจึงไม่ได้นำมันมาแลกกับอู๋หยิ่งอีก
TB:บทที่ 136 หินแห่งแสง
หินแห่งแสงมีขนาดเท่าลูกวอลนัทและสามารถเปล่งแสงได้ แม้ว่าชื่อของมันจะเรียกว่าหินแห่งแสง แต่มันกลับไม่เหมือนหิน ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเหมือนวุ้น ที่เป็นรูปตัวคิว(q)มากกว่า แถมยังมีกลิ่นหอมด้วย
หลังจากที่ได้สูดดมกลิ่นหอมเข้าไปแล้ว เฉินหลงก็อยากจะกลืนหินแห่งแสงในมือของตัวเองลงไปในทันที แต่ในใจของเขายังคงรู้สึกต่อต้านมันอยู่ เพราะถ้าเกิดว่าเขากลืนหินแห่งแสงลงไปแล้วจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาบ้าง ดังนั้นเขาควรจะไปหาใครสักคนหรือสัตว์สักตัว มาเป็นหนูทดลองน่าจะฟังดูเข้าท่ามากกว่า
เช้าวันรุ่งขึ้น หวังหูพาน้องสาวของเขาไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง
น้องสาวของหวังหู หวังเฟิงอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เธอดูอ่อนแอแถมยังดูเหมือนกับแจสเปอร์ตัวน้อย บางทีอาจเป็นเพราะอาการป่วยของเธอ ทำให้ใบหน้าของเธอซีดเผือด ใครก็ตามที่ได้เห็นเธอในสภาพแบบนี้ เขาคนนั้นคงจะมีความคิดที่อยากจะปกป้องและรู้สึกสงสารเธอเหมือนกันกับเขาแน่นอน
“นี่คือคุณเฉินและแฟนของเขา คุณจี้ ส่วนคุณเฉินกับคุณจี้ครับ เธอเป็นน้องสาวของผม ชื่อหวังเฟิง” หลังจากเห็นเฉินหลง หวังหูก็ได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน
หลังจากได้ยินคำแนะนำของพี่ชายแล้ว หวังเฟิงรีบโค้งให้เฉินหลงพร้อมกับกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ คุณเฉิน คุณจี้”
ก่อนที่เธอจะมาถึงที่นี่ หวังหูได้บอกกับเธอเอาไว้ว่า ตอนนี้เขาได้ติดตามคนที่สูงศักดิ์คนหนึ่ง แถมคนที่สูงศักดิ์คนนี้ยังยินดีที่จะรักษาอาการป่วยของเธออีกด้วย เขาจึงบอกให้เธอทำตัวสุภาพเข้าไว้ หลังจากที่ได้พบอีกฝ่าย
เฉินหลงส่งยิ้มให้คนทั้งสอง โดยเฉพาะหวังหู “คุณไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าคุณเฉินหรอก ผมอยากให้คุณเรียกผมว่าพี่เฉินหรือบอสมากกว่า”
บางทีเฉินหลงอาจจะไม่ได้มีอายุเท่ากับหวังหู แต่ในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องต้องสนใจเรื่องอายุของอีกฝ่ายเลยสักนิด ในสังคมนี้ ถึงเขาจะไม่เคยเห็นผู้สูงอายุหลายเรียกคนที่เด็กกว่าตัวเองว่าพี่ แล้วไง? ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ใครมีความสามารถมากกว่า ใครมีเงินมากกว่าก็เป็นพี่ได้ทั้งนั้นแหละ
“อ๊ะ จริงด้วย นี่ๆ เสี่ยวเฟิง เธอจะเรียกฉันว่าพี่ก็ได้นะ พอได้ยินเธอเรียกฉันว่าคุณแล้ว ฉันรู้สึกแปลกๆน่ะ” จี้โมซีเองก็ทักท้วงออกมาเช่นกัน
เมื่อเธอได้เจอกับหวังเฟิง จี้โม่ซีก็รู้สึกราวกับว่าเธอได้เจอญาติของตัวเอง และความรู้สึกดีๆที่มีต่อเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ได้เพิ่มมากขึ้นในทันที
ในเมื่อเฉินหลงบอกกับทั้งสองคนว่าให้เรียกเขาว่าพี่ หวังหูจึงเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกเขาในทันที
“บอส มาดาม” หวังหูพูดขึ้น
ในตอนที่ได้ยินหวังหูบอกว่าตัวเองเป็นภรรยาของบอสแล้ว ใบหน้าของจี้โม่ซีก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดงในทันที มันฟังดูเจ๋งมากแล้วเธอก็เต็มใจที่จะทำมัน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกเธอแบบนั้น แถมคนอย่างจี้โม่ซียังเป็นคนขี้อายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ เธอจึงทำได้แค่มองดูหวังหูเท่านั้น
เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของจี้โม่ซีแล้ว เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า หวังหู ดีแล้วที่นายอยู่ตรงนี้
“พี่เฉิน พี่จี้” หวังเฟิงเรียกชื่อของพวกตามที่ได้ตกลงกันไว้
เฉินหลงลองใช้เครื่องดักจับ ตรวจสภาพร่างกายของหวังเฟิง และพบว่าไตของเธอมีก้อนเนื้อตายระดับผันผวน ถ้าได้การใช้ยารักษาช้า อาจจะทำให้อาการของเธอแย่ลง
เฉินหลงหันไปทางจี้โม่ซี แล้วบอกกับเธอว่าเขาต้องการคุยกับหวังเฟิง
จากนั้น เขาก็หันไปพูดกับหวังหู “หวังหู อาการป่วยของน้องสาวของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับไต”
เพื่อให้หวังหูซื่อสัตย์กับเขาอย่างแท้จริง การรักษาอาการป่วยของน้องสาวของเขาจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถึงเฉินหลงจะใช้ผลซื่อสัตย์เพื่อทำให้หวังหูภักดีต่อเขาได้ แต่เฉินหลงอยากลองทำให้คนอื่นภักดีต่อเขา ด้วยความสามารถของตัวเองมากกว่า
หวังหูเบิกตากว้าง แล้วจ้องหน้าเฉินหลงด้วยความตกใจ “บอส คุณจะรู้ได้ยังไงครับ? แล้วคุณรู้วิธีรักษาไหมครับ?”
ถ้าเฉินหลงต้องการตรวจอาการของน้องสาวของเขาจริงๆ เขาสามารถใช้ความสามารถของซูชิงเฟิงได้ แต่เฉินหลงกลับไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากซูชิงเฟิง ด้วยเหตุนี้ ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เฉินหลงจะสามารถช่วยเธอได้ก็คือ การศึกษาแพทยศาสตร์!
“แค่นิดๆหน่อยๆครับ” เฉินหลงยิ้มตอบ
หวังหูจึงรีบตอบว่า “บอสครับ ถ้าคุณสามารถรักษาโรคของน้องสาวคนนี้ได้ ทั้งชีวิตของหวังหูคนนี้เป็นของคุณครับ!”
หวังหูรู้ดีว่าเฉินหลงเป็นแค่คนถ่อมตัว นอกจากนี้ ถ้าเขาบอกว่าตัวเองรู้อาการแค่นิดหน่อย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง ที่อีกฝ่ายแค่มองหน้าน้องสาวก็ทราบถึงอาการป่วยของเธอแล้ว ในโลกนี้ น้องสาวเป็นญาติคนเดียวของเขา ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตและมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ว่าเธอจะเคยทำไม่ดีมาก่อน แต่แค่นี้มันก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
“ผมไม่ต้องการชีวิตของคุณหรอกครับ แต่ตราบใดที่คุณทำงานให้ผม ผมก็จะรักษาอาการป่วยของน้องสาวของคุณ ในตอนที่ผมกลับไปที่นั่น” เฉินหลงพยักหน้า
สำหรับแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่สามารถหาวิธีมาจะทดแทนไตคู่เก่าได้ ถึงจะเอาไตของคนอื่นมาแทนได้ เราก็ต้องสังเกตุอาการด้วยว่ามีการต่อต้นและอาการณ์อื่นๆเกิดขึ้นกับร่างกายหรือไม่ แต่การทำแบบนั้น มันค่อนข้างซับซ้อนและยุกยากมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับเฉินหลงแล้ว มะเร็งสามารถรักษาจนหายดีได้ เพราะโรคชนิดนี้นับว่าเป็นโรคอาการเบาเท่านั้น เขาสามารถใช้ลมปราณในการรักษาและกำจัดโรคนี้ได้ แลกกับลูกน้องที่ซื่อสัตย์แล้ว งานนี้นับว่าไม่ขาดทุน!
“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆครับ บอส!” หวังหูกล่าวขอบคุณพร้อมกับคำนับเฉินหลงด้วยความดีใจ
“ไหนๆเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ” เฉินหลงเองก็รู้สึกพอใจเช่นกัน ที่ตัวเองสามารถหาลูกน้องที่ซื่อสัตย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งผลซื่อสัตย์
สามวันต่อมา เฉินหลงได้รับข้อความโทรศัพท์ ในข้อความที่ส่งมามีเพียงแค่คำสองคำคือ ‘ช่วยด้วย’ คนที่ส่งข้อความนี้มาคือตู๋เสวี่ย หญิงสาวที่เคยร่วมโต๊ะกับเฉินหลง
สำหรับตู๋เสวี่ยผู้ที่ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานร้องเพลงในร้านกลางคืน เพื่อหาเงินมารักษาแม่ของตัวเอง เฉินหลงยังจำความรู้สึกดีๆที่มีต่อเธอได้ และความรู้สึกดีๆพวกนั้นเป็นพวกความรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายเท่านั้น เฉินถึงได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองกับตู๋เสวี่ยไว้
เฉินหลงจึงโทรกลับไปหาตู๋เสวี่ย แต่กลับพบว่าโทรศัพท์มือถือของเธอถูกปิดเครื่อง ในเมื่อติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนไปใช้เครื่องดักจับเพื่อค้นหาตำแหน่งของเธอแทน เขาพบว่าเธอได้นอนหมดสติอยู่ในรถคันหนึ่ง
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าแล้ว คิ้วของเฉินหลงอดไม่ได้จะผูกกันเป็นปมยากที่จะแก้ ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ได้ไปยั่วโมโหใครสักคน จนทำให้ตัวเองถูกลักพาตัวเลยเนี่ยนะ? นี่เธอไปทำอีท่าไหนกันละนั่น
เขาและตู๋เสวี่ยเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แต่กลับถูกชะตากันเพราะได้กินข้าวด้วยกัน ถึงคุณจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นยังไง ก็ช่างมันเถอะ แต่ในตอนนี้เธอส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือแล้ว แสดงว่าเธอต้องตกอยู่ในอันตราย ถึงคุณไม่ช่วยเธอ ก็คงแล้วแต่คุณ แต่สำหรับเฉินหลงแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้ เฉินหลงจึงตัดสินใจตรงดิ่งกลับบ้านในทันที หลังจากนั้นไม่นาน เฉินหลงก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองคิดถูกแล้วตัดสินใจกลับบ้าน
เฉินหลงได้ติดตามตู๋เสวี่ยด้วยเครื่องดักจับ ในไม่ช้ารถก็ได้เคลื่อนที่ออกไปจากซูตู หลังจากนั้นอีกสิบนาที รถก็ขับเข้าไปในวิลล่าหลังใหญ่หลังหนึ่ง
นอกจากนี้ ในวิลล่ามีกล้องติดอยู่ทุกมุม และบางครั้งก็มีชายในชุดสูทสีดำที่ดูแข็งแรงเดินลาดตระเวนอยู่
หลังจากที่ขับรถไปจอดที่โรงรถในวิลล่า มีชายสี่คนลงมาจากรถคันนั้น โดยมีสองคนอุ้มตู๋เสวี่ยลงมาจากรถ ส่วนอีกสองคนทำหน้าที่เปิดประตูลับในโรงรถ แล้วทั้งสี่คนก็ได้หายเข้าไปในโรงรถ
ด้านหลังประตูลับเป็นห้องใต้ดินที่ดูเหมือนกับห้องขัง ตามทางมีประตูเหล็กทั้งสองด้าน ประตูเหล็กที่ปิดสนิท และมีตัวเลขไม่กี่ตัว อักษรภาษาอังกฤษ ตัวอักษรจีนแล้วก็มีภาษาอื่นๆอีก
เมื่อแก้รหัสนี้ได้ ชายทั้งสี่คนก็อุ้มตู๋เสวี่ยเข้าไปในห้อง แสงไฟในห้องนี้เป็นสีแดงเข้มและให้ความรู้สึกแปลกๆ แถมในห้องยังมีกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้คนที่สูดกลิ่นนี้เข้าไปแล้ว สามารถเพิ่มปริมาณการหลั่งของฮอร์โมนได้อีกด้วย
ในห้องนี้มีอ่างน้ำร้อนที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ นอกจากนี้ยังมีเตียงขนาดใหญ่ ที่มีชายในสภาพเกือบเปือยทั้งตัวนอนอยู่ แถมมีหญิงสาวที่เปลือยผ้าสองคนนั่งคุกเข่าขนาบซ้ายขวาอยู่บนเตียงอีกด้วย
TB:บทที่ 137 วิถีชีวิตของปีศาจ
“นายท่าน ผมพาเธอมาแล้วครับ” ในสี่คนที่กำลังอุ้มตู๋เสวี่ยอยู่ มีชายคนหนึ่งได้ก้มหัวแล้วเอ่ยขึ้น ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาถึงได้ดูหวาดกลัวขนาดนี้
ชายที่นั่งอยู่บนเตียงพยักหน้าตอบ “ดี ไปได้แล้ว”
ชายทั้งสี่คนวางตู๋เสวี่ยลง จากนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“ไปปลุกเธอสิ” ชายคนนั้นโยนขวดลายครามขนาดเล็กที่มีขนาดเท่ากับนิ้วโป้ง จากนั้นก็หันไปสั่งหญิงสาวทั้งสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง
ผู้หญิงคนหนึ่งรีบเก็บขวดเล็กๆที่เขาโยนลงมาไป จากนั้นก็เดินไปหาตู๋เสวี่ย เธอเปิดฝาเล็กๆที่ปิดขวดอยู่ออก จากนั้นก็เอาไปวางใกล้ๆจมูกของตู๋เสวี่ย
กลิ่นจากขวดลายครามทำให้ตู๋เสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น
เมื่อเห็นผู้หญิงสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ชายที่อยู่บนเตียง และภาพทุกอย่างภายในห้อง เธอจึงมีสีหน้าหวาดกลัวออกมา
เมื่อเห็นว่าตู๋เสวี่ยได้ลืมตาตื่นแล้ว หญิงสาวทั้งสองคนก็เดินกลับไปที่เตียงแล้วนั่งคุกเข่าอีกครั้ง หญิงสาวที่ถือขวดลายครามขวดเล็กยกมือขึ้น แล้วส่งขวดลายครามขวดเล็กคืนให้ชายคนนั้น
ชายคนนั้นลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินลงไป
ท่อนล่างของชายคนนั้นถูกปกปิดด้วยผ้าขนหนูสีขาว ส่วนสูงของเขาเกือบถึง 190 เซนติเมตร รูปร่างสูงโปร่งและสมบูรณ์แบบ มัดเนื้อทุกมัดตามร่างกายของเขาเด่นชัด ราวกับมีพลังระเบิดซ่อนอยู่ข้างใน
ชายคนนั้นเดินไปหาตู๋เสวี่ย เขาก้มลงไปมองตู๋เสวี่ยอย่างระมัดระวัง ราวกับว่าเขากำลังตรวจสอบสินค้าอยู่ยังไงอย่างนั้น
ตอนนี้สีหน้าของตู๋เสวี่ยเริ่มหม่นหมอง ถึงเธอจะได้สติดีแล้ว แต่ร่างกายของเธอก็ยังคงอ่อนแอ และไม่เหลือเรี่ยวแรงเลย เวลานี้ สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงร้องขอความเมตตาจากชายคนนี้เท่านั้น “ได้โปรด อย่าทำอะไรฉันเลย”
ชายคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวเลยสักนิด เขายังคงจ้องมองตู๋เสวี่ยด้วยความระมัดระวัง
ในตอนนั้นเองที่เฉินหลงได้เห็นหน้าตาของชายคนนั้นผ่านสายตาของตู๋เสวี่ย ชายคนนั้นหล่อมาก หล่อถึงขนาดว่าเป็นปีศาจก็ยังหล่อเลยอ่ะ แต่ถึงจะหล่อขนาดไหน ก็ยังหล่อน้อยกว่าผมอยู่ดี
เดิมที เฉินหลงอยากจะใช้เครื่องดักจับตรวจสอบข้อมูลของชายคนนี้ แต่ในครั้งนี้ เฉินหลงไม่สามารถใช้เครื่องดักจับค้นหาตัวตนของชายคนนี้ได้เลย เรื่องนี้ทำให้เขาตกตะลึงไปเลย
“ห๊ะ เป็นไปได้ยังไงละเนี่ย? อย่าบอกนะว่าพังแล้ว?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
‘ข้อมูลของเป้าหมายไม่ได้ถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์เลยสักเครื่อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถทำการระบุตัวตนของเขาได้’ ในตอนนี้ ระบบอัจฉริยะในเครื่องดักจับก็ได้ให้คำตอบต่อเฉินหลงในทันที
สุดท้าย เครื่องดักจับก็ไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง เพราะในโลกนี้ยังมีข้อมูลที่ไม่สามารถทำการค้นหาได้อยู่
หลังจากที่เขามองดูตู๋เสวี่ยอยู่ประมาณห้านาที ชายคนนั้นพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่แสดงความพึงพอใจออกมาผ่านใบหน้าของเขา “ครั้งนี้ ไอ้พวกขยะทำได้ไม่เลวเลย ได้เด็กบริสุทธิ์ของจริงแบบนี้มา ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกบ้าง กว่าจะหาสาวบริสุทธิ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อตกลงแบบนี้มาได้นี่ยากชะมัด”
“คุณ ได้โปรดอย่าทำอะไรฉันเลย ที่บ้านของฉันยังมีแม่ที่ป่วยและรอฉันกลับไปดูแลอยู่ ได้โปรด…” ตู๋เสวี่ยที่น้ำตาเอ่อล้นออกมารีบขอร้องและอ้อนวอนคนตรงหน้า “ถ้าคุณต้องการเงิน ฉันจะให้เงินทั้งหมดที่ฉันมีเลย ได้โปรดอย่าทำอะไรฉันเลย”
ชายคนนั้นจ้องหน้าตู๋เสวี่ยด้วยความสนใจอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่ารายละเอียดของ ‘ของ’ ที่ถูกจับได้ในครั้งนี้ เป็น ‘ของ’ ที่ดีที่สุด
“เงิน? เธอคิดว่าฉันสนใจเงินเหรอ? ถ้าให้ไปนับเงินที่ฉันมี ฉันนับมันไม่ไหวหรอกนะ สิ่งที่ฉันต้องการคือเธอต่างหาก ที่ฉันต้องการเธอเพราะเธอสามารถช่วยฉันในการฟื้นพลังให้เร็วขึ้น ส่วนเรื่องแม่เธอ โทษทีนะ แต่ฉันคงต้องบอกว่าแล้วแต่เวรแล้วแต่กรรมแล้วล่ะ”
ในตอนนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของชายคนนั้นได้เผยรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมาเล็กน้อย
“หวังฮง ครั้งที่แล้วแกทำให้ฉันเจ็บตัว ถ้าฉันฟื้นพลังได้เมื่อไหร่ ฉันจะทำให้แกได้ชดใช้ในสิ่งที่แกทำให้สาสมเลย!”
จากนั้น ชายคนนั้นก็หันไปพูดกับผู้หญิงสองคนที่นั่งคุกเข่าอีกครั้ง “พวกเธอ พาเธอไปอาบน้ำแต่งตัวให้ดีๆซะ คืนนี้ฉันจะเอาใจเธอสักหน่อย”
พูดจบ ชายคนนั้นก็เดินออกจากห้องไปทันที
หลังจากที่ชายคนนั้นออกไปแล้ว หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ในโอวาทของชายคนนั้น เดินไปหาตู๋เสวี่ย แล้วเริ่มจัดการถอดเสื้อผ้าของตู๋เสวี่ยออก
เห็นสถานการณ์แบบนั้นแล้ว เฉินหลงคงทนดูต่อไปไม่ได้อีก ชายคนนั้นเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก เป็นอย่างที่คนนี้พูด พูดยังไงก็เป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เขาบอกว่าตัวเองจะเอาใจตู๋เสวี่ย แน่นอนว่าอนาคตไม่มีทางมีเรื่องแบบนั้นเกิดแน่ๆ ไอ้หมอนี่ไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากที่ไหนกันละเนี่ย?
ว่าแต่ ชายคนนี้สามารถหนีจากเงื้อมมือของหวังฮงมาได้ แสดงว่าความแข็งแกร่งของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ดูเหมือนว่าหลังจากลงจากเครื่องแล้ว เขาคงต้องติดต่อกับหวังฮงเป็นอันดับแรก
“พี่สาวทั้งสองคน ทำไมพี่ต้องช่วยไอ้สารเลวนั่นด้วย? ฉันนึกว่าพี่โดนมันจับมาซะอีก ทำไมเราหาโอกาสแล้วหนีไปด้วยกันล่ะ?” ตู๋เสวี่ยที่ขยับตัวไม่ได้ ยังคงไม่ยอมแพ้ต่อการเกลี้ยกล่อมทั้งสองคน
คำพูดของตู๋เสวี่ยทำให้ใบหน้าของผู้หญิงสองคนฝืนยิ้มขมขื่นออกมา หนึ่งในนั้นตอบว่า “หนีเหรอ? เธอคิดว่าเราจะหนีได้จริงๆเหรอ? ทุกคนที่นี่อยู่ภายใต้การควบคุมของปีศาจตัวนั้น ถ้าเธออยากหนีจริงๆ มันยากกว่าขอให้ตัวเองได้ขึ้นสวรรค์อีกนะ อย่าโทษเราเลย ถ้าคิดจะโทษก็โทษตัวเองเถอะ เฮ้อ ชีวิตเราก็บัดซบเหมือนกันนั่นแหละ”
“คนที่นี่ อย่างน้อยต้องมีสักคนที่มีโทรศัพท์แน่ๆ เราโทรแจ้งตำรวจให้มาจับพวกมันที่นี่ดีไหม?” ตู๋เสวี่ยยังคงเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ยอมแพ้
หญิงสาวคนหนึ่งส่ายหน้า จากนั้นก็ตอบอีกฝ่ายด้วยความสิ้นหวัง “เปล่าประโยชน์ เราไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงเราจะได้โทรศัพท์มือถือมาแล้วโทรแจ้งตำรวจ แต่พวกเขาไม่รู้ตำแหน่งของที่นี่อยู่ดี แถมตำรวจพวกนั้นอาจจะคิดว่าเราเป็นพวกแกล้งโทรไปหลอกตำรวจอีกก็ได้”
เมื่อได้ยินคำตอบของหญิงสาวคนนั้นแล้ว หัวใจของตู๋เสวี่ยก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แล้วอย่างนี้ใครจะช่วยเธอได้ล่ะ?
หลังจากเฉินหลงลงจากเครื่อง เขาไปส่งจี้โม่ซีที่วิลล่าของตัวเอง จากนั้นก็ติดต่อไปหาหวังฮงผ่านเกาเฟิงเซียวในทันที
“นี่ นายหมายความว่า นายรู้ที่อยู่ของมันอย่างนั้นเหรอ?” หลังจากฟังเรื่องราวต่างๆของเฉินหลงแล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของหวังฮงก็เปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักผู้ชายคนนั้นจริงๆด้วย
เฉินหลงพยักหน้าตอบ “ครับ ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
“เข้าใจแล้ว พาฉันไปหามันเดี๋ยวนี้เลย ไอ้ปีศาจตัวนี้ นอกจากจะใช้ชีวิตในโลกนี้แล้ว ยังทำให้ผู้คนมากมายต้องพบเจอกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอีกด้วย” หวังฮงลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลังจากนั้น เฉินหลงและหวังฮงก็ได้ออกเดินทางไปยังรังปีศาจในทันที
ระหว่างทาง หวังฮงได้บอกให้เฉินหลงรู้ว่า ‘อี้หยาง’ คือชื่อของชายคนนั้น เขาเคยเป็นมือขวาของผู้อาวุโสที่มีวถีชีวิตของปีศาจ เมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นอี้หยางกล้าลงมือสังหารผู้นำของประเทศจีน ในฐานะผู้คุ้มกันของท่านผู้นำ หน้าที่ของหวังฮงคือปกป้องผู้นำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ด้วยเหตุนี้สงครามครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้น ในตอนนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองคือขอบเขตพลังลมปราณ(ปลดปล่อยลมปราณเป็นพลัง) ความสามารถของหวังฮงที่ได้เปรียบกว่าของอี้หยางเล็กน้อย ทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาจับตัวมันไว้ไม่ได้ มันถึงได้หลบหนีไปด้วยเคล็ดวิชาลับ
ในศึกครั้งนี้ หวังฮงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่มันก็เป็นความโชคดีในการเปลี่ยนแปลง หลังจากการรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาสามารถเลื่อนจากขอบเขตพลังลมปราณ เป็นครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ในปัจจุบัน
หลังจากที่อี้หยางหนีไป เขาก็ได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์ หวังฮงยังคงต้องการฆ่าชายคนนี้อยู่ตลอด แต่เขากลับตามหาตัวมันไม่เจอเลยสักที่ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะได้ข่าวเกี่ยวกับมัน คราวนี้มันไม่มีทางหนีจากเขาไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ราวกับว่าทะเลในโลกนี้ลึกเสียจริง ถึงหนทางของปีศาจจะน่าพิศวงขนาดไหน แต่โลกที่น่าอัศจรรย์แบบนั้น ถ้าผมได้เข้าร่วมด้วย มันต้องทำให้เขาตกใจกว่าเดิมแน่” หลังจากได้ยินเรื่องราวของหวังฮงแล้ว ในใจของเฉินหลงในตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์และความปราถนาอันแรงกล้า
ด้วยความที่อยากจะเซอร์ไพรส์เฉินหลง หวังฮงถึงกับใช้เฮลิคอปเตอร์ทหารบินไปยังซูตูเลยทีเดียว
สองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดหวังฮงและเฉินหลงก็มาถึงซูตู
ในตอนนี้ ที่วิลล่าถูกห้อมล้อมโดยหน่วยรบพิเศษจากกองทัพ
เฮลิคอปเตอร์ได้ลงจอดห่างจากวิลล่าไม่ไกลนัก หลังจากที่เฉินหลงกับหวังฮงก้าวเท้าลงจากเครื่อง เฮลิคอปเตอร์ได้บินออกไปจากตรงนั้นเพื่อไปเติมเชื้อเพลิงในทันที
พวกเขาเดินตรงไปยังวิลล่าโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพักเลยแม้แต่น้อย
TB:บทที่ 138 สารเลว
หวังฮงเดินไปยังประตูเหล็กของวิลล่า เขาใช้มือข้างหนึ่งออกแรงผลักประตูเหล็กเบาๆ จากนั้นประตูเหล็กที่แข็งเหมือนกับรถบรรทุกก็พังลงมาในทันที
ในตอนที่ใครบางคนใช้กำลังบุกเข้าไปข้างในนั้น บอดี้การ์ดชุดดำในวิลล่าก็รีบพุ่งเข้าใส่เฉินหลงทีละคน เนื่องจากมือปืนของประเทศจีนนั้นแม่นยำมาก ส่วนบอดี้การ์ดพวกนี้มีแค่ไม้กระบองอยู่ในมือเท่านั้น
“พวกแกกำลังทำอะไร? ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัว รีบออกไปดีๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไร้เมตตา”
“ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!”
……
กลุ่มบอดี้การ์ดที่มีมากกว่าสิบคนพุ่งเข้าหาเฉินหลง แต่พวกเขาก็มีการเคลื่อนไหวเช่นกัน
ทันใดนั้นหวังฮงก็ได้ทำท่าส่งสัญญาณ ห่างออกไปไม่ไกลจากพวกเขาหน่วยพิเศษที่ซุ่มอยู่นั้นก็ได้รับคำสั่งในทันที หลังจาที่ทำการกล็อคเป้าหมาย พวกเขาวางตำแหน่งนิ้วไว้ที่ไกปื่นสไนเปอร์ แล้วงอนิ้วในทันที
ทันใดนั้นบอดี้การ์ดแปดคนจากทั้งสิบกว่าคนถูกยิงเข้าอย่างจัง
หลังจากผ่านไปแค่ห้าวินาทีหลัง บอดี้การ์ดที่ถูกยิงก็หมดสติล้มตึงลงไปกองที่พื้นในทันที
ส่วนที่บอดี้การ์ดที่เหลืออีกเก้าคนที่เห็นพรรคพวกอีกแปดคนที่จู่ๆก็ล้มลงไปอย่างไม่มีสาเหตุ จึงหยุดชะงักในทันที
ในเวลาเดียวกัน หน่วยซุ่มยิงก็ได้ยิงกระสุนออกไปที่บอดี้การ์ดที่ยืนนิ่งอยู่อีกรอบ
ในเวลานี้ มีเพียงใบหน้าของบอดี้การ์ดที่ได้เปลี่ยนเป็นสีซีดเพราะความหวาดกลัว ขาของเขาเริ่มมีอาการสั่น จากนั้นกางเกงที่เขาสวมใส่อยู่ก็เริ่มชื้น แถมส่งกลิ่นยูเรียไหลออกมาจากเรียวขาทั้งสองอีกต่างหาก
ดูเหมือนว่าเขาจะตกใจสุดขีดที่เห็นพวกพ้องล้มลงไปกองพื้น
“อ๋า!”
ในเวลาเดียวกัน เฉินหลงได้ร้องออกมาทันที
มีเพียงบอดี้การ์ดคนเดียวเท่านั้นก็ได้ยินเสียงของเฉินหลง เขาทำอะไรไม่ถูกเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ตอนนี้เขาหวาดกลัวเฉินหลงมาก ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวจากนั้นก็เป็นลม…
“เสี่ยวเฉิน นายเก่งมาก นายเกือบจะเก่งเท่ากับจางเฟย*ที่อยู่บนฉางปานโปแล้วนะเนี่ย” ในตอนนี้หวังฮงที่อารมณ์ดีสุดๆกำลังพูดหยอกล้อเขาอยู่
จากนั้น เขาก็ตะโกนไปทางวิลล่า “อี้หยาง ฉันรู้ว่าแกอยู่ข้างใน รีบออกมาแล้วก็รีบๆตายซะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! คิดไม่ถึงเลยว่า ฉันซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาตั้งห้าปี ในที่สุดแกก็หาฉันเจอ แต่ว่าฉันสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง ฉันแทบไม่ออกจากบ้านมาตั้งห้าปี ฉันอยากรู้ว่าแกหาฉันเจอได้ยังไง? “
เมื่อประตูของวิลล่าเปิดออก อี้หยางเดินออกมาจากข้างใน แต่เขาถืออะไรบางอย่างที่เหมือนกับเครื่องควบคุมไว้ในมือของเขา
“สิ่งนี้เรียกว่า ‘ตาข่ายแห่งสวรรค์’ มันมีขนาดใหญ่แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะเล็ดลอดผ่านมันไปได้ คนอย่างแกไม่มีทางหนีมันไปได้ จากนั้นฉันก็จะทำการสังหารแกซะ” หวังฮงจ้องหน้าอี้หยางอย่างดุเดือด
คนในเหมยชิงเต่านอกจากจะทำลายความรู้สึกของตัวเองแล้ว ยังจะทำลายความรู้สึกคนอื่นอีกด้วย เหมยชิงเต่าเป็นองค์กรแอลไคดา และสมาชิกของพวกมันเป็นผู้ก่อการร้ายทุกคน
ไม่ว่าอี้หยางจะลอบสังหารผู้นำหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาเป็นคนในเหมยชิงเต่า เขาก็จะจัดการสังหารมันทีละคน
อี้หยางเหยียดยิ้มออกมาผ่านใบหน้าที่หล่อเหลาแล้วตอบว่า “สวรรค์? หวังฮง นายนี่นอกจากจะแก่แล้วยังไร้เดียงสาอีกด้วยสินะ ถ้ามีชายชรายืนอยู่ตรงนั้น แล้วถ้าเขาดูถูกพวกเรา มีหวังเขาได้ตายเพราะถูกฟ้าฝ่าลงกลางหัวก่อนแน่ ไม่อย่างนั้นเขาจะปล่อยให้ฉันมีชีวิตอยู่นานขนาดนี้เหรอ? การที่ฉันมีชีวิตรอดมาได้ถึงทุกวันนี้ นี่ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน ส่วนเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลคือแกไง ไอ้งั่ง ไม่ใช่ว่าแกมาที่นี่เพื่อฆ่าฉันเหรอ? เข้ามาสิ ฉันอยู่ตรงนี้แล้วไง ตรงหน้าแกเนี่ย เข้ามาเลย แต่ฉันได้ซ่อนระเบิดเอาไว้เยอะอยู่นะ และสิ่งที่อยู่ในมือของฉันคือเครื่องควบคุม สำหรับฉันแล้ว การสังหารแกที่มีความแข็งแกร่งในตอนนี้นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ง่ายพอๆกับกดปุ่มระเบิดตรงนี้เลยล่ะ ข้างใต้วิลล่าของฉันมีคนอยู่ไม่น้อย แถมคนมากมายพวกนั้นก็จะได้ตายไปพร้อมกับฉันด้วย เห็นไหม มีเพื่อนตายไปพร้อมกันตั้งหลายคน ฉันไม่เห็นจะขาดทุนตรงไหนเลย ฮ่าฮ่าฮ่า! “
ตั้งแต่ที่อี้หยางได้มาถึงที่นี่ เขาได้ทำการฝังระเบิดทีเอ็นทีเอาไว้ข้างใต้วิลล่า เขาวางแผนนี้มาตั้งนานแล้ว เพราะถ้าวันไหนหวังฮงได้หาตัวเขาเจอ ในตอนที่เขายังบาดเจ็บอยู่ อย่างน้อยเขาก็สามารถสังหารมันได้เช่นกัน
หลังจากได้ยินคำพูดของอี้หยางแล้ว หวังฮงได้ดูถูกอีกฝ่ายผ่านทางสีหน้า “อี้หยาง ขอบคุณที่แกยังเป็นคนฉลาดไม่เคยเปลี่ยนนะ ถึงกับใช้วิธีสกปกแบบนี้ได้ นายนี่เก่งเรื่องทำให้คนอื่นดูถูกนาย ไสหัวไปซะ ครั้งนี้ฉันจะปล่อยแกไปก่อน เอาไว้คราวหน้าฉันค่อยเอาชีวิตหมาๆของแกไปก็แล้วกัน”
ถึงครั้งหนึ่งหวังฮงเคยคิดว่าอี้หยางเป็นศัตรูของเขาก็จริง แต่ในตอนนี้อีกฝ่ายกลับไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย
นอกจากนี้ ความตั้งใจในการสังหารอี้หยางในใจของหวังฮงนั้นแรงกล้ากว่านั้นมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! หวังฮง อย่างนั้นแหละ… มารดาแกสิ! ถ้าฉันเป็นแก ตราบใดที่ฉันยังมีศัตรูคู่แค้นอยู่แบบนี้ ฉันจะฆ่ามันให้ตายไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม” เมื่อเห็นว่าแผนของเขาได้ผล อี้หยางก็ระเบิดหัวเราะออกมา “หวังฮงความแข็งแกร่งของแกดีกว่าฉัน แล้วไง? ครั้งนี้แกฆ่าฉันไม่ได้ ครั้งต่อไปแกก็ฆ่าฉันไม่ได้เหมือนกัน แล้วถ้าแกไม่ฆ่าฉันให้ตายๆไปสักทีแบบนี้ ชีวิตของแกได้มีปัญหาตามมาแน่”
พูดจบ อี้หยางก็หัวเราะเสียงดังออกมา จากนั้นก็รีบวิ่งหัวจุกตูดออกไปจากวิลล่าในทันที
“จับตาดูเขาไว้ อย่าให้คราดสายตาเด็ดขาด” หวังฮงออกคำสั่งอีกครั้ง
“รายงาน เป้าหมายกำลังเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เราไม่สามารถติดตามเขาได้”
“รายงาน เป้าหมายได้เข้าสู่อวิ๋นซาน จากนั้นเป้าหมายก็ได้หายไป”
หลังจากที่ติดตามอี้หยางต่อไปไม่ได้ หวังฮงก็คงทำได้แค่ยอมแพ้เท่านั้น
หลังจากนั้น เฉินหลงก็ได้พาหวังฮงไปที่โรงรถของวิลล่า แล้วเปิดประตูลับที่ถ้าไม่สังเกตุให้ดีก็ไม่มีทางหาเจอได้อยู่ในโรงรถ
หวังฮงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นเฉินหลงกำลังเปิดประตูลับอยู่ “เสี่ยวเฉิน นายรู้ได้ยังไงว่าตรงนี้มีประตูลับอยู่ด้วย?”
“มันเป็นความสามารถของผมครับ นอกจากนี้ คนอย่างอี้หยางไม่มีทางหนีผมได้หรอกครับ เขารู้ว่าเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน หลังจากจัดการเรื่องตรงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไว้เราค่อยไปจัดการเขากันนะ” เฉินหลงตอบ
หวังฮงที่เพิ่งเคยเจอเฉินหลง ถามด้วยความจริงจังว่า “หรือว่านายเป็นพวกมีพลังวิเศษ?”
การเป็นคนที่มีขอบเขตกำเนิดตั้งแต่หนุ่ม ทำให้หวังฮงรู้สึกชื่นชมเฉินหลงมาก และตอนนี้เฉินก็มีความสามารถในการตามหาคน มันทำให้หวังฮงตกใจมากกว่าเดิม
พลังคือความสามารถที่น้อยคนนักจะเกิดมาพร้อมกับมัน บางคนเกิดมาพร้อมพลังที่ยิ่งใหญ่ บางคนเกิดมาพร้อมกับความเร็วในการเคลื่อนที่ และบางคนมีความสามารถในการทำนายชั่วขณะ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางคนพวกนี้ นอกจากผู้ที่เกิดมาพร้อมกับพลังที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีพลังอื่นไม่สามารถฝึกฝนได้ แต่ความสามารถของเฉินหลง ทำให้หวังฮงได้แต่นึกสงสัยในกฎของมันจริงๆ
แน่นอน ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเฉินหลงไม่ได้ใช้พลังพวกนั้นได้ เขาจะไม่สงสัยเลยสักนิด หรือว่าเด็กนี่เป็นลูกเทพ?
“ก็…ไม่รู้สิครับ” เฉินหลงไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ ปล่อยให้เขาสงสัยต่อไปอย่างนี้แหละดีแล้ว
ตอนนี้เวลากำลังเดินอยู่ หวังฮงจึงไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ต่อ แล้วเดินเข้าไปในห้องใต้ดิน
เมื่อเข้ามาในห้องใต้ดิน หลังจากเฉินหลงทำการเปิดประตูเหล็กตรงหน้า ทันใดนั้นภาพที่เขาได้เห็นตรงหน้าก็คือผู้หญิงที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว! !
นอกจากเฉินหลงยังเข้าใจความหมายของตัวเลข ตัวอักษรและคำต่างๆที่อยู่บนประตูเหล็ก ตัวเลขคืออายุของผู้หญิงที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตัวอักษรคือขนาดของร่างกาย และคำอื่นๆพวกนี้ก็เป็นอาชีพของพวกเขานั่นเอง นอกจากอี้หยางจะเป็นคนไม่มีหัวใจแล้ว ไอ้นี่ยังเป็นคนวิปลาสอีก ถ้าไม่ฆ่ามันให้ตาย เห็นทีคงต้องไอ้นี่เอาไปฝากไว้ที่โรงพยาบาลจิตเวชแล้ว!
ในตอนที่พวกผู้หญิงรู้ว่าตัวเองได้รับการช่วยเหลือแล้ว ดวงตาที่มีแต่ความสิ้นหวังของพวกเธอทุกคนได้กลับมามีความหวังอีกครั้ง
ในห้องที่อยู่ลึกที่สุด ตู๋เสวี่ยที่กำลังรออี้หยางมาที่นี่ด้วยความสิ้นหวัง พอได้เห็นหน้าของเฉินหลงแล้ว เธอกลับรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออกเลยจริงๆ
“ห-หลง เฉินหลง ฮึก ขอบคุณ..นะ ขอบคุณจริงๆ ฮือออ!” ทันใดนั้นตู๋เสวี่ยก็ได้กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเฉินหลง แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
ตอนแรก เธอได้ทำใจยอมรับชะกรรมแล้วก็ได้วางแผนที่จะรับใช้อี้หยางเป็นอย่างดี เผื่ออีกฝ่ายจะใจอ่อนแล้วยอมปล่อยเธอไป แต่ในตอนนี้ เธอไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว มันเหมือนกับการได้ขึ้นสวรรค์และได้หลุดพ้นจากนรกบ้าๆนี่สักที และความรู้สึกของเธอถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด
เฉินหลงตบหลังเธอเบาๆเป็นการปลอบโยนแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว ไม่กลัวแล้วนะ”
* “เตียวหุย” หรือ “จางเฟย” (Zhang Fei, 張飛) ในภาษาจีนกลางเป็นตัวละครในนิยายสามก๊ก
TB:บทที่ 139 นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?
หลังจากที่ช่วยหญิงสาวทุกคนได้แล้ว หวังฮงได้ส่งคนมาพาพวกเธอออกไปจากวิลล่าในทันที
เมื่อเฉินหลงได้เห็นหน่วยซุ่มยิงที่ได้จับปืนสไนเปอร์ไทป์88 กับใบหน้าที่ได้เพนท์สีแล้ว จู่ๆเขาก็รู้สึกอิจฉาที่พวกเขาได้เป็นถึงนายพลหลัก แต่น่าเสียดายที่คนอย่างเขาไม่ได้แตะปืนเลยสักนิด
ไม่ได้การละ เห็นทีเราต้องเล่นปืนบ้างแล้ว
ทางด้านหวังฮง เขาได้ติดต่อกับพวกทหาร ในตอนที่ภารกิจเสร็จสิ้น จากนั้นเขาก็ตามไปที่กองทัพและใช้เวลาดีๆร่วมกัน
เนื่องจากว่าเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับปืนและรถสปอร์ต ไม่เว้นแม้แต่เฉินหลง
หลังจากนั้น หวังฮงได้สั่งให้นักกำจัดระเบิดมายังวิลล่าเพื่อทำการรื้อถอนระเบิดทั้งหมด
ก่อนที่ตู๋เสวี่ยจะกลับไป เธอได้ขอให้เฉินหลงไปที่บ้านของเธอ เพราะเธอต้องการกล่าวคำขอบคุณต่อเฉินหลง สำหรับคำขอนี้ เฉินหลงทำได้แค่ตอบตกลงเท่านั้น
หลังจากจัดการเรื่องที่วิลล่าเสร็จเรียบร้อย เฉินหลงได้พาหวังฮงไปยังภูเขาอวิ๋นซาน
หลังจากที่อี้หยางได้ทำการหลบหนีออกไปจากวิลล่าแล้ว เฉินหลงคอยจับตาดูอีกฝ่ายผ่านเครื่องดักจับ ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรก เพราะหลังจากหลบหนีไปยังภูเขาอวิ๋นซานแล้ว เขาได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าไปในถ้ำ อี้หยางได้น้ำหินมาปิดช่องทางเข้าจากด้านใน ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถสังเกตเห็นถ้ำที่เขาซ่อนตัวอยู่ได้
หลังจากอี้หยางเข้าไปข้างในถ้ำ เฉินหลงสังเกตุได้ว่าถ้ำแห่งนี้ถูกขุดด้วยมือ ภายในถ้ำไม่ใหญ่มากนัก เพราะมีความลึกเพียงสิบเมตรเท่านั้น แถมมันยังแห้งมาก ดูเหมือนว่าข้างในนั้นจะระบายอากาศได้ดี
ใต้ถ้ำมีเตียง น้ำกับอาหาร แล้วยังมีของอื่นๆอยู่อีก และของทั้งหมดนี้ เฉินหลงได้เห็นมันผ่านสายตาของอี้หยาง
หากคนธรรมดาต้องมาอาศัยในสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทแบบนี้ พวกเขาไม่มีทางมองเห็นของต่างๆพวกนี้แน่ แต่อี้หยางไม่ใช่คนธรรมดา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีความแข็งแกร่งเหนือขั้นกว่าขอบเขตกำเนิด ทำให้เขาสามารถมองเห็นภาพต่างๆเหมือนกับมองภาพปกติ เฉินหลงที่ใช้เครื่องดักจับมองภาพต่างๆผ่านสายตาของอี้หยาง อี้หยางมองเห็นอะไร เฉินหลงก็มองเห็นแบบนั้น
นอกจากนี้ยังและมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบไม่มีเสียงขนาดเล็กตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งในถ้ำ หลังจากเปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แสงไฟดวงเล็กๆได้สว่างขึ้น ทำให้ภาพมืดๆก่อนหน้านี้สว่างขึ้นกว่าเดิม
ถึงอี้หยางสามารถมองเห็นภาพในที่มืดได้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์คือการตามหาแสงสว่าง กับอี้หยางก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
หลังจากไฟติดแล้ว อี้หยางเดินไปนั่งไขว้ขาบนเตียง แล้วเริ่มปรับตัว
เมื่อกี้นี้ อี้หยางใช้เคล็ดวิชาลับ ‘เซวี่ยตุ้น’ หนีออกมาจากวิลล่าด้วยความเร็ว เพื่อทำให้อาการบาดเจ็บแย่ลง แถมยังทำลายความรู้สึกของเขาอีกด้วย
การใช้เซวี่ยตุ้นหนึ่งครั้งจำเป็นต้องใช้กระแสที่อยู่ในเลือดถึงครึ่งหนึ่งของร่างกาย ทำให้สามารถเร่งความเร็วได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าไม่ใช่สถานการณ์แบบเมื่อกี้ คนอย่างอี้หยางไม่มีทางใช้เซวี่ยตุ้นง่ายๆแบบนี้เด็ดขาด
ถ้าคราวนี้อี้หยางมีเวลามากพอ เขาจะใช้ ‘วิถีแห่งปิติ’ ของเสี่ยวชิงเต๋า โดยใช้พลังลมปราณและโลหิตของหญิงบริสุทธิ์ มาเติมเต็มและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขา
โชคไม่ดีที่แผนการของเขาถูกหวังฮงจับได้เสียก่อน แล้วมันยังทำให้อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงขึ้น แถมต้องทำให้เขาต้องมาหลบๆซ่อนๆ อยู่ในสภาพที่เหมือนกับหนูสกปกโสโครกไม่มีผิด คิดๆแล้วเจ็บใจนัก!
เขาไม่รู้ว่าเฉินหลงเป็นคนช่วยหวังฮงในการตามหาที่ซ่อนของเขา ถ้าเขารู้มาก่อนว่าเฉินหลงเป็นคนทำลายชีวิตดีๆของเขาแบบนี้ เขาจะฉีกร่างของเฉินหลงให้เป็นชิ้นๆเลย คอยดู!
ในตอนที่อี้หยางนั่งขัดสมาธิแล้วพยายามปรับลมหายใจอยู่นั้น ส่วนเฉินหลงกับหวังฮงได้ใช้เวลาในการตามตัวเขาอยู่ด้านนอกถ้ำ
ทันใดนั้นเฉินหลงได้ชี้ไปที่หลุมที่ถูกปิดอยู่ แล้วกล่าวว่า “อี้หยางหลบอยู่ในถ้ำนี้ครับ”
หวังฮงนำของที่ปิดหลุ่มอยู่ออกทำให้เห็นหลุมที่ถูกหินทับถมไว้อีกชั้น
หวังฮงยื่นมือออกไปจับก้อนหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางเข้าถ้ำ จากนั้นเขาก็หยิบหินที่มีน้ำหนักหลายร้อยจินออกไปให้พ้นทาง แถมเขายังหยิบมันออกด้วยท่าทางสบายๆอีกด้วย
ในตอนที่หวังฮงขยับหินก้อนใหญ่ที่ปิดปากถ้ำอยู่ อี้หยางที่เดิมทีกำลังปรับลมหายใจ ถึงกับหยุดชะงักไป
“ที่นี่ไม่มีทางเกิดแผ่นดินไหวได้แน่นอน” อี้หยางที่ไม่สามารถทำใจเชื่อได้ว่า ถ้ำที่เขาทำการซ่อนมันเอาไว้เป็นอย่างดี จะมีคนหาเจอ
อี้หยางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองต้องเผชิญกับความจริงแบบนี้ เพราะในตอนนี้ เขาเห็นหวังฮงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา โดยที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น
“อี้หยาง คิดไม่ถึงเลยนะว่าเราจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้ คราวนี้แกจะหนีไปไหนอีกล่ะ?” หวังฮงยืนประจันหน้ากับอี้หยางซีอานหยานตี้แล้วพูดออกมา
ครั้งนี้อี้หยางได้รับบาดเจ็บสาหัส เขารู้ดีว่าครั้งนี้เขาไม่มีทางหนีมันพ้นแน่ เขาจึงทำได้แค่ฝืนยิ้มขมขื่นออกมาแล้วตอบกลับไปว่า “นาย นายรู้ได้ยังไงว่าฉันซ่อนตัวอยู่ที่นี่?”
เขาใช้เวลาตั้งห้าปีในการเตรียมทุกอย่างที่นี่ แต่เขาไม่คิดเลยว่ามันจะที่นี่จะถูกคนอื่นหาเจอได้เร็วขนาดนี้ เขาอยากรู้เหตุผลจริงๆว่าทำไมพวกมันถึงหาเจอ หรือว่าเขาจะทำอะไรผิดไปเอง? เห่ย ไม่น่าจะใช่มั้ง มันต้องเป็นความผิดของไอ้พวกนี้แน่ๆ ไม่มีทางความผิดของเขา!
“อยากรู้จริงๆเหรอ?” ในเวลาเดียวกัน เสียงของเฉินหลงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของหวังฮง จากนั้นเฉินหลงก็ได้เปลี่ยนตำแหน่งจากยืนข้างหลังเป็นยืนข้างๆหวังฮงแทน
“ห๊ะ นี่ แกอีกแล้ว?”
ก่อนที่เฉินหลงกับหวังฮงจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน อี้หยางสังเกตเห็นเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจชายคนนี้
เฉินหลงตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วครับ ผมเอง ขนาดที่อยู่เก่าของคุณ ผมก็ยังหาเจอเลย เป็นไงล่ะ อึ้งไปเลยใช่ไหมครับ?”
ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของอี้หยางก็ผุดรอยยิ้มแปลกๆออกมา “แกนี่เอง! ถ้าอย่างงั้น แกตาย! ระเบิดโลหิต!”
หลังจากอี้หยางพูดออกมา ใบหน้าของเขาเริ่มปรากฏสิ่งที่เหมือนกับเส้นเลือดขึ้นมา
เมื่อได้เห็นท่าทางของอี้หยาง ใบหน้าของหวังฮงก็เปลี่ยนไปในทันที เขารีบวิ่งไปคุ้มกันร่างของเฉินหลงเอาไว้ “ไม่นะ! เสี่ยวเฉิน รีบหนีไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
จู่ๆเครื่องดักจับของเฉินหลงยังพบว่าค่าความแข็งแรงของอี้หยางได้เพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่ผิดปกติ พร้อมกับคำแนะนำว่า ‘วัตถุระเบิด’ ปรากฏขึ้น
ในตอนที่เฉินหลงกำลังจะรีบวิ่งออกไปจากถ้ำ เขาก็ได้ยินเสียงอันบ้าคลั่งของอี้หยางดังขึ้นมาจากข้างหลังเขา
“สายไปแล้ว!ฮ่าฮ่า”
อี้หยางกล่าว ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างก็เป็นเหมือนกับบอลลูนที่ถูกอากาศอัดเข้าไปจนเต็ม
อี้หยางได้ทำการระเบิด ทำให้ลมปราณในร่างกายของเขารีบพุ่งไปหาหวังฮงและเฉินหลงในทันที
หวังฮงคิดไม่ถึงว่าการระเบิดของตัวเองของอี้หยางจะมาถึงระดับครึ่งเทพครึ่งมนุษย์แล้ว ทำให้เขาต้องใช้พลังในการป้องกันการโจมตีไปไม่น้อย
แต่พลังของอีกฝ่ายกลับเล็ดลอดผ่านมือของเขาไปได้ แล้วโจมตีเฉินหลง
เฉินหลงรู้สึกได้ถึงพลังที่กำลังตามหลังเขามา จึงก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ ‘บัดซบ! ไอ้หมอนี่ จะตายแล้วก็ไม่ยอมตายคนเดียว ยังจะตามให้เขาไปตายเป็นเพื่อนอีก เหอะ ฝันไปเถอะ คนอย่างเขาน่ะไม่ยอมตายง่ายๆหรอกโว้ย!’
ทันทีที่เขานึกอะไรขึ้นมาได้นั่นก็คือ ‘โล่คุ้มกัน’ จู่ๆโล่ในความคิดของเฉินหลงก็ได้ปรากฏออกมาข้างนอกจริงๆ ตอนนี้โล่พลังได้อยู่ในมือของเฉินหลง พร้อมกับเปิดการใช้งานเรียบร้อยแล้ว
พลังลมปราณรุนแรงพวกนั้นที่พุ่งมาทางเขา ได้โจมตีเข้าใส่โล่พลังของเฉินหลงแทน ทำให้เฉินหลงที่หลบอยู่ข้างหลังโล่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็รีบออกจากถ้ำ
ถึงเฉินหลงจะหลบพลังพวกนั้นได้ แต่เพราะมันระเบิดที่กระจายไปทั่ว ในไม่ช้าถ้ำนี่ก็จะถล่ม แล้วเขาก็ไม่อยากถูกฝังทั้งเป็น!
ส่วนหวังฮง เขาเป็นถึงครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ เฉินหลงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเขาเลยสักนิด ณ จุดนี้ เขาควรจะห่วงตัวเองก่อนเถอะ
หลังจากเฉินหลงวิ่งออกมาจากถ้ำแล้ว เขาเห็นว่าไม่นานถ้ำก็ถูกหินที่ตกลงมาจากด้านบน
ฝังจนมิด
สามสิบวินาทีต่อมา ได้มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากภูเขา
แน่นอนว่าชายคนนี้คือหวังฮง
ตอนแรก หวังฮงเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าสร้อย เฉินหลงเป็นเด็กหนุ่มที่ควรจะมีอนาคตที่สดใส แต่เพราะเรื่องของเขาเองแท้ๆ ทำให้ตอนนี้อีกฝ่ายต้องถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาแห่งนี้ ในใจของเขารู้สึกผิดต่อเฉินหลงมาก
ในความคิดของเขา ความแข็งแกร่งของเฉินหลงไม่มีทางสกัดลมปราณพวกนั้นได้แน่นอน
แต่เมื่อ เขาได้เห็นเฉินหลงยืนอยู่ตรงหน้า แถมยังมีสภาพที่น่ามองกว่าตัวเขาเสียอีก ทันใดนั้นดวงตาของฝ่ายก็จ้องมาทางเขา
“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!”
TB:บทที่ 140 ผมแค่อยากสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าปืนดูสักครั้ง
หลังจากนั้น เฉินหลงกับหวังฮงก็เดินลงจากภูเขาไปพร้อมกัน
ทุกคนต่างมีความลับส่วนตัว และหวังฮงเองมีทักษะเฉพาะตัวในการปกป้องชีวิตของเขาเอง หลังจากที่เฉินหลงบอกเขาว่าเขาใช้โล่ปกป้องชีวิตของตัวเองไว้ หวังฮงก็ไม่ได้ไถ่ถามเฉินหลงว่า เขาไปหาโล่นั่นมาจากที่ไหน
“มาสเตอร์หวัง คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพใช่ไหมครับ?”
หวังฮงสามารถเคลื่อนย้ายเฮลิคอปเตอร์ทหารอย่างรวดเร็ว และยังสามารถติดต่อกับกองกำลังของซูตูได้อีกด้วย ดูเหมือนว่าเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ
“เมื่อหลายปีก่อนฉันเคยไปทำสงคราม และนายพลหลายคนก็สนิทกับฉันด้วย แต่ตอนนี้พวกเขาหลายคนเริ่มเป็นตาเฒ่าแล้ว บางคนก็อำลาโลกไปแล้วล่ะ” หวังฮงตอบเขาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
บางทีมันก็เหมือนกับการระลึกถึง ช่วงเวลาที่แสนวิเศษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฉินหลงมองดูร่างกายของเขา จากนั้นก็รู้สึกถึงกลิ่นของดินปืนจางๆ
“มาสเตอร์ คุณเคยไปที่สนามรบเหรอครับ?” ในตอนที่เขาได้เห็นหน้าของหวังฮงในวัยห้าสิบ เฉินหลงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในตอนที่เขาเห็นสีหน้าของเฉินหลง หวังฮงก็รู้ได้ในทันทีว่าเฉินหลงกำลังคิดอะไรอยู่ เขาตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “หืม นี่นายคิดว่าฉันอายุน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ? จริงๆแล้ว ฉันอายุ 85 ปีแล้วนะ ขอบใจที่ชมว่าฉันยังหนุ่มอยู่นะ ฮ่าฮ่า”
“ห๊ะ! อะไรนะครับ 85 ปีแล้ว?!” ในตอนที่หวังฮงบอกอายุจริงๆของตัวเอง ทำให้เฉินหลงตกละลึงไปในทันที
หวังฮงดูเหมือนคนที่อายุเพิ่งจะเข้าเลขห้า แต่จริงๆแล้วเขามีชีวิตอยู่มาตั้ง 85 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาแล้วมีอายุขนาดนี้ บางทีเราอาจจะได้เห็นหน้าคนๆนั้นผ่านรูปที่แขวนอยู่บนฝาผนังบ้านแฮงๆ
“เสี่ยวเฉิน เมื่อจอมยุทธ์เข้าสู่ขอบเขตกำเนิด ความเร็วในการแก่ตัวของเขาก็จะเริ่มชะลอตัวลง คนที่มีขอบเขตกำเนิดสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 100 ปี แถมยังสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอีกต่างหาก และในระดับครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อย 200 ปี ในอนาคต ฉันคิดว่าฉันน่าจะแก่กว่านั้นและมีชีวิตที่เป็นอมตะล่ะ” หวังฮงตอบ โดยที่เขากำลังดูถูกตัวเองอยู่
ถึงเขาจะอยู่ในระดับครึ่งเทพครึ่งมนุษย์ แต่เขาก็ยังทำได้แค่มองเพื่อนเก่าของตัวเองจากเขาไปทีละคน ความรู้สึกที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้แบบนี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
“มาสเตอร์หวัง ผมจะไปที่ค่ายทหารได้ยังไงเหรอครับ?” เฉินหลงเป็นคนที่ไม่รักชีวิตเท่าไหร่ แต่ในระบบมีของหลายอย่างที่สามารถเพิ่มอายุขัยได้ เขากลัวว่าถ้าตัวเองไปที่ค่ายทหารแล้วจะได้สัมผัสกับปืนหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก
เมื่อได้ยินถามของเฉินหลง หวังฮงจึงหันหน้าไปมองเฉินหลงด้วยสายตาแปลกๆ “เสี่ยวเฉิน นายอยากเป็นทหารเหรอ? แต่ว่าตอนนี้นายได้เป็นถึงนายพลหลักแล้วนะ ฉันว่านายไม่เห็นจำเป็นต้องไปเป็นทหารเลย”
ในตอนที่เฉินหลงไปที่เซียงไท่ หวังฮงเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ทำให้เขารู้ตำแหน่งของเฉินหลง ว่าเขาเป็นนายพลหลักเรียบร้อยแล้ว
“ผมไม่ได้จะไปเป็นทหารสักหน่อย ผมแค่อยากไปที่ค่ายทหารแล้วหาปืนมาเป็นของตัวเองสักกระบอก ตอนนี้ ผมเป็นถึงนายพล แล้วถ้าผมไม่ได้สัมผัสปืนเลยสักนิด มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจจริงๆนะครับ” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายด้วยความลำบากใจ
หวังฮงมองดูเฉินหลงสักครู่ แล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เข้าใจแล้ว วันนี้นายว่างไหมล่ะ ฉันจะพานายไปที่ค่ายทหารเอง แล้วก็ ตอนนี้นายเป็นถึงนายพลหลัก นายสามารถขอให้คนที่มีอำนาจสูงกว่านายนำปืนมาให้นายสักกระบอกได้นะ”
“เอ่อ คือ วันนี้ผมไม่สะดวกเท่าไหร่ เอาไว้พรุ่งนี้ ผมจะติดต่อคุณไปนะครับ” ตอนแรก เฉินหลงอยากตอบอีกฝ่ายว่า ‘ไปเลยตอนนี้ก็ได้นะครับ ผมพร้อม!’ ใจจะขาด แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้นี้ตัวเองมีนัดสำคัญที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปให้ได้ นอกจากนี้เขายังต้องกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อให้จี้โม่ซีสบายใจอีก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เลื่อนนัดของอีกฝ่ายไปวันพรุ่งนี้แทน
สำหรับการได้ครอบครองปืน พวกเขาจะต้องรอจนกว่าพวกเขาจะกลับมาจากค่ายทหาร
หลังจากลงจากภูเขามาแล้ว เฉินหลงกับหวังฮงก็ได้แยกย้ายกันไปคนละทาง เฉินหลงได้แวะไปหาตู๋เสวี่ย ในขณะที่หวังฮงไปที่ค่ายทหารแห่งซูตูเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับลูกชายของเพื่อนเก่าของเขา
ตู๋เสวี่ยและแม่ของเธออาศัยอยู่ในบ้านราคาถูกที่พัฒนาโดยรัฐบาล บ้านหลังนี้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก โดยมีขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร
หลังจากประตูถูกเปิดออก เป็นตู๋เสวี่ยที่รู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นเฉินหลงมาตามนัด
ในตอนที่เฉินหลงจะมาไม่ถึง เธอคิดว่าเฉินหลงจะไม่มาซะแล้ว และตอนนี้ เฉินหลงก็ได้มาอยู่ที่นี่ ที่หน้าประตูบ้านของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจที่ห่อเหี่ยวของเธอก่อนหน้านี้ก็ได้ถูกเติมเต็ม
“พี่หลง! ฉันดีใจจริงๆนะที่พี่มาที่นี่ อุ๊ย นั่นอะไรน่ะ พี่จะให้ฉันรับของของพี่มาจริงๆเหรอ?” เห็นมือของเฉินหลงถือของขวัญชิ้นหนึ่งอยู่ ทันใดนั้นตู๋เสวี่ยจึงรีบเอ่ยถาม
เฉินหลงคลี่ยิ้มแล้วตอบเธอไปว่า “ตอนนี้เราก็เรียกได้ว่าเป็นทองแผ่นเดียวกัน*แล้วนะ เวลาที่เราไปที่บ้านคนอื่นครั้งแรก เราก็ควรนำของติดไม้ติดมือไปให้เขาด้วยสิ ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะมองว่าฉันเป็นคนไม่มีมารยาทน่ะสิ นอกจากนี้ของพวกนี้ ฉันตั้งใจซื้อมาฝากเธอเลยนะ ถ้าเธอไม่ยอมรับมันไป ฉันก็จะไม่ก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปในบ้านเธอไม่ได้นะ ถือซะว่ามันเป็นสินน้ำใจจากฉันก็ได้นะ เอ้า รับไปสิ!”
“โอ้ยๆๆ ก็ได้ๆ เอาก็เอา เอามานี่ มาๆๆ เข้ามาในบ้านเลยพี่!” ในเมื่อเฉินหลงพูดแบบนั้น ตู๋เสวี่ยคงทำได้แค่ทำใจรับของมาเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงที่แหบแห้งดังออกมาจากข้างในห้อง
“เสี่ยวเสวี่ย ใครมาเหรอลูก?”
ตู๋เสวี่ยบอกกับเฉินหลงเสียงเบาว่า “เธอคือแม่ฉันเอง ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง พี่อย่าเอาเรื่องนั้นไปเล่าให้แม่ฟังนะ ฉันกลัวแม่คิดมากอ่ะ” จากนั้นเธอก็รีบตอบอีกฝ่ายว่า “แม่คะ เพื่อนของหนูเองค่ะ”
“เพื่อนของเสี่ยวเสวี่ยมาที่นี่ ลูกรีบพาเพื่อนเข้ามานั่งข้างในสิจ้ะ” แม่ของตู๋เสวี่ย ซุนเหมยฟาง ที่ได้ยินว่าผู้มาเยือนคือเพื่อนของตู่เสวี่ย ลูกสาวของเธอนั่นเอง ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอถูกเติมเต็มด้วยความปิติยินดี
ตั้งแต่ที่ตู๋เสวี่ยลาออกจากโรงเรียน ช่วงแรกๆเพื่อนร่วมชั้นของเธอบางคนก็มาหาเธอที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราว แต่มีจำนวนคนที่มาก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ถึงตู๋เสวี่ยจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอออกจากบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม และกลับมาที่บ้านพร้อมกับรอยยิ้มทุกวัน แต่ในฐานะที่เป็นแม่ของเธอ ซุนเหมยหางสังเหตุเห็นความโดดเดี่ยวผ่านดวงตาของลูกสาวได้ และในตอนนี้ เธอมีเพื่อนมาเยี่ยมถึงที่บ้าน ซุนเหมยฟางรู้สึกดีใจมากที่เห็นลูกสาวของตัวเองมีเพื่อนมาเยี่ยมอีกครั้ง
หลังจากเฉินหลงเดินตามตู๋เสวี่ยเข้าไปข้างในห้อง เขาเห็นว่าซุนเหมยฟางกำลังส่งยิ้มมาให้เขา เขาจึงกล่าวทักทายอีกฝ่าย “สวัสดีครับ ผมชื่อเฉินหลงครับ”
ดูเหมือนว่าซุนเหมยฟางจะอายุประมาณ 40 กว่าปี เธอตัวไม่ค่อยสูงนัก น่าจะสูงราวๆ 160 เซนติเมตร คิ้วของเธอเหมือนกับของตู๋เสวี่ยเป๊ะๆ อาจเป็นเพราะตอนนี้เธอกำลังป่วยอยู่ เธอถึงได้ดูไม่เหมือนคนที่มีแรงสักเท่าไหร่
ในตอนที่ได้เห็นหน้าเฉินหลง ซุนเหมยฟางถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ตอนแรกเธอคิดว่าเพื่อนของลูกสาวจะเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนของเธอจะเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าหล่อ แถมยังสุภาพอีกด้วย ถ้าไม่ติดว่ามีลูกสาวมาแล้วตั้งหนึ่งคน แม่จะจีบไอ้หนุ่มนี่ให้ได้เลย จำคำแม่เอาไว้นะ รักกันที่ใจ ใช่ที่อายุ แถมอายุก็เป็นเพียงแค่ตัวเลขย่ะ! แต่เพราะเด็กคนนี้กำลังรอให้เธอตอบอยู่ เธอจึงรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “นั่งเลยจ้ะ นั่งเลย โอ๊ะ บ้านหลังนี้อาจจะเล็กไปสักหน่อย ฉันหวังว่าเธอจะไม่รังเกียจนะจ้ะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้รังเกียจอะไรเลยครับ” เฉินหลงตอบอีกฝ่ายว่าเขาไม่รังเกียจที่จะนั่งบนม้านั่งตัวเล็กตัวนี้เลยแม่แต่น้อย
เฉินหลงไม่ใช่ลูกคุณหนูหรือเป็นพวกหัวสูง เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชีวิตของเขาก็เหมือนกับตู๋เสวี่ยและแม่ของเธอนั่นแหละ
เห็นว่าเฉินหลงนั่งที่ม้านั่งแล้ว ซุนเหมยฟางก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวเฉินหลงมากกว่าเดิม
“แม่คะ แม่นั่งคุณกับพี่หลงไปก่อนนะ หนูจะเข้าไปเตรียมอาหารในครัวให้นะคะ” จู่ๆตู่เสวี่ยก็พูดขึ้มา
“ได้เลยจ้ะ” ซุนเหมยฟางพยักหน้าตอบ
ตั้งแต่ที่แม่ป่วย ตู๋เสวี่ยต้องทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวเอง ถึงซุนเหมยฟางอยากจะช่วยเธอมากขนาดไหน แต่เพราะร่างกายที่ไม่แข็งแรง ทำให้เธอไม่สามารถช่วยเหลือหรือแบ่งเบาภาระให้ลูกสาวตัวเองได้เลย
หลังจากตู๋เสวี่ยเดินเข้าไปทำอาหารในครัว ซุนเหมยฟางก็ได้ถามเกี่ยวกับครอบครัวของเฉินหลง ดูเหมือนว่าเธอจะคิดว่าเฉินหลงเป็นแฟนของตู๋เสวี่ยซะแล้ว
เฉินหลงไม่ได้ปกปิดอะไรเลย เขาเล่าเรื่องของตัวเองให้ซุนเหมยฟางฟัง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องไปเป็นอาการป่วยของซุนเหมยฟางแทน
“คุณป้าครับ ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญหาต่อร่างกายของคุณป้า น่าจะมาจากหัวใจนะครับ” ในขณะที่กำลังสนทนากับซุนเหมยฟาง เฉินหลงก็ได้ตรวจสอบสภาพร่างกายของซุนเหมยฟาง และพบว่าอาการป่วยของเธอคือภาวะหัวใจล้มเหลว
ซุนเหมยฟางพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวเฉิน นายรู้ได้ยังไงจ้ะ หรือว่าตู๋เสวี่ยเป็นคนบอกเธอเหรอจ้ะ?”
เธอคิดว่าตู๋เสวี่ยคงจะเล่าเรื่องอาการป่วยของเธอให้เฉินหลงฟังแล้ว
*ทองแผ่นเดียวกัน ใช้ในความหมายว่าเป็นไมตรีกัน เป็นพวกเดียวกัน หรือรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น