ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 121-139

ตอนที่ 121

 

 ถังโจวโจวพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกหลายวัน กระทั่งเธอคอยย้ำกับลั่วเซ่าเชินอยู่หลายครั้งว่าเธออยากกลับบ้านแล้ว ลั่วเซ่าเชินไม่อยากขัดใจเธอ หลังจากที่เขาไปถามคุณหมอมา คุณหมอก็อนุญาตให้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ เพียงแต่ต้องระมัดระวังให้มาก ลั่วเซ่าเชินจึงเห็นด้วยกับคำขอของถังโจวโจว 


 


 


           เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้ออกตามหาเธออีก เธอก็กลับสู่การใช้ชีวิตในสภาวะปกติ ดูเหมือนว่าพี่เซ่าเชินจะไม่ได้สงสัยฉัน เมิ่งชิงซีค่อนข้างพอใจในเรื่องนี้ ตราบใดที่ลั่วเซ่าเชินยังไม่มีหลักฐาน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเธอได้ 


 


 


           ส่วนหันฮุ่ยซิน เธอไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลอีกเลย ตอนนี้เธอทุ่มเทแรงกายแรงใจลงไปที่สตูดิโอสอนเต้น นับตั้งแต่เธอเปิดกิจการ สตูดิโอของเธอก็ค่อยๆ เข้าที่เข้าทางดีขึ้นตามลำดับ 


 


 


           และเป็นเพราะว่าคุณแม่ลั่วยังโกรธที่ลั่วเซ่าเชินเอาแต่เข้าข้างถังโจวโจว เธอจึงไม่ไปที่โรงพยาบาลอีกเลย ยิ่งเรื่องไปเยี่ยมถังโจวโจว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่ลั่วและถังโจวโจวที่กำลังจะไปได้ดี กลับต้องมาแตกหักกันอีกครั้ง 


 


 


           ไม่กี่วันต่อมา ฟังหยวนก็มาเยี่ยมถังโจวโจว บังเอิญมากที่แต่ละครั้งที่เขามา หลินเหยาก็จะอยู่ตรงนั้นด้วย และเมื่อเขาขอตัวกลับ เขาก็จะอาสาไปส่งหลินเหยาที่สำนักพิมพ์ทุกครั้ง พอนานวันเข้า หลินเหยาและฟังหยวนก็คุ้นเคยกันมากขึ้น 


 


 


           หลังจากที่ถังโจวโจวนอนพักอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ยอมให้เธอออกไปเดินเล่น ถังโจวโจวรู้สึกว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น เธอใช้ชีวิตเหมือนหมูก็ไม่ปาน วันๆ เอาแต่ถูกป้อนซุปป้อนแกงใส่ท้องของเธอ อีกทั้งคุณแม่ถังก็หิ้วของบำรุงต่างๆ มาให้เธอกินในทุกครั้งที่มาเยี่ยมเธอ 


 


 


           ถังโจวโจวนัดหลินเหยาออกมาเดินเล่น หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ตัวเธอแทบจะขึ้นราอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะอยากออกมาแค่ไหน แต่คุณแม่ถังกับลั่วเซ่าเชินก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ถังโจวโจวก็เถียงพวกเขาไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่เพียงนอนอยู่บนเตียง หรือไม่ก็ไปหาอะไรอ่านที่ห้องหนังสือสักพัก แต่เธอก็อ่านไม่ได้นาน 


 


 


           เพราะว่าลั่วเซ่าเชินสั่งให้ป้าหลิวมาดูแลเธออย่างใกล้ชิด ถ้าถังโจวโจวไม่เชื่อฟัง เธอจะโดนลั่วเซ่าเชินโจมตี เขาไม่ได้ใช้วิธีพูดอะไรที่รุนแรง เขาแค่ส่งลั่วอิงมาเท่านั้น เพียงลั่วอิงส่งสายตาใสซื่อบริสุทธิ์ไปให้ถังโจวโจว เธอก็หยุดตอบโต้ทุกอย่างแล้ว 


 


 


           หลินเหยาตอบตกลง พวกเธอสองคนเลือกวันนี้ที่สภาพอากาศช่างเป็นใจ แม้ว่าจะมีเมฆมาก แต่ก็โชคดีที่ฝนไม่ตก สภาพอากาศโดยรวมค่อนข้างชื้นและหนาวเย็น ถังโจวโจวสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นมาก เธอสวมเสื้อกันหนาวบุปุยฝ้ายสีน้ำเงิน ด้านล่างจับคู่กับรองเท้าลุยหิมะ และพันผ้าพันคอสีเบจไว้ 


 


 


           เธอสวมหมวกไหมพรมสีดำไว้บนศีรษะ มองดูก็รู้แล้วว่ามันอบอุ่นมาก หลินเหยาไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนาอย่างเธอ เธอสวมเพียงเสื้อหนังสีดำ คู่กับกางเกงหนังขายาว และรองเท้าหนังปักหมุดหนึ่งคู่ ประกอบกับตอนนี้เธอตัดผมสั้น เมื่อมองดูรวมๆ แล้ว เธอจึงดูเท่มาก 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกอิจฉามาก เมื่อเห็นชุดของหลินเหยา “เท่มากเลย เหยาเหยา นี่ถ้าเธอเดินด้วยกันกับฉัน คนอื่นเขาจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันไหมเนี่ย” 


 


 


ถังโจวโจวมองดูตัวเองอีกครั้ง มันอบอุ่นก็จริง แต่ก็เทอะทะมาก ลั่วเซ่าเชินขอร้องให้เธอแต่งตัวแบบนี้ เหตุผลก็คือเธอเพิ่งจะหายดี ต้องสวมเสื้อที่มันอบอุ่น มิฉะนั้นถ้าเธอป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร 


 


 


เมื่อถังโจวโจวคิดตาม เธอก็คิดว่าเขาพูดถูก แต่มันจะไม่เสียหายเลยถ้าหากว่าไม่มีการเปรียบเทียบกับใครแบบนี้ เมื่อเทียบกับหลินเหยาแล้ว เธอก็ดูเป็นคนธรรมดาที่ถูกทิ้งอยู่ข้างถนน ไม่มีอะไรให้สะดุดตาเลยสักนิด 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะอิจฉา แต่เธอก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไม่ทนรอมาจนถึงตอนนี้หรอก 


 


 


หลินเหยาเองก็รู้ดีว่าช่วงนี้ถังโจวโจวอยู่ติดบ้านจนเบื่อมากแล้ว แต่ละครั้งที่มาเยี่ยม เธอก็จะออกปากบ่นทุกเรื่อง นี่ถ้าไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรก็คงจะคิดว่าเธอถูกขังอยู่ในคุก บางครั้งที่หลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวบ่นมากเกินไป ก็อดไม่ได้ที่จะเอ็ดเธอเหมือนกัน 


 


 


แต่โดยทั่วไปแล้วถังโจวโจวจะสงบอยู่พักหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นเธอก็จะเริ่มพูดอีกครั้ง หลินเหยารู้สึกว่าหลังจากที่เธอประสบอุบัติเหตุ ทักษะการบ่นของถังโจวโจวนั้นเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่หลินเหยาก็ยังรักเธอมากเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวพยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน ทุกคนก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว 


 


 


ตราบใดที่เธอสามารถเดินออกมาจากความทุกข์ได้ หลินเหยาก็จะยอมทำทุกอย่าง แต่ถึงแม้ว่าหลินเหยาจะเต็มใจอยู่ข้างเธอและบางครั้งลั่วเซ่าเชินเองก็ใจอ่อน แต่คุณแม่ถังกลับไม่หลงเล่ห์กลง่ายๆ ของถังโจวโจวเลย 


 


 


จริงอยู่ที่คุณแม่ถังเป็นคนอ่อนโยน แต่เมื่อมาถึงถังโจวโจว เธอไม่เคยผ่านด่านของคุณแม่ถังไปได้เลย เป็นเพราะคุณแม่ถังคอยจับตามองเธออยู่ตลอด ดังนั้น ถังโจวโจวจึงไม่กล้าสร้างปัญหาอะไร เพราะถ้าเธอยังไม่หายดี วันข้างหน้าเธอจะต้องทนทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้ 


 


 


“เป็นแฟนกันก็ดีน่ะสิ ช่างสามีเธอ แฟนอย่างฉัน เธอจะไปหาที่ไหนได้?” หลินเหยาแสดงสายตาเจ้าชู้ออกมาให้เห็น เธอใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของถังโจวโจว “น้องหนู ยิ้มให้ป๋าหน่อยสิจ๊ะ” 


 


 


ถังโจวโจวปัดมือของเธอ “ทะเล้นจริงเธอนี่!” 


 


 


“เอาละๆ ไม่แกล้งแล้ว เธออยากซื้อของไม่ใช่เหรอ วันนี้ฉันมีเวลาว่างทั้งวัน ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง ดีไหมล่ะ” หลินเหยาโอบไหล่ของถังโจวโจวสบาย เนื่องจากหลินเหยาสูงกว่าถังโจวโจวเล็กน้อย และรองเท้าที่เธอสวมมาในวันนี้ก็สูงพอสมควร 


 


 


ในขณะที่วันนี้ถังโจวโจวสวมรองเท้าลุยหิมะส้นเตี้ย เมื่อเธอยืนอยู่ข้างหลินเหยาและมองจากด้านหลัง ก็จะดูเหมือนคู่รักอยู่นิดๆ 


 


 


พวกเธอเดินซบไหล่กันเข้าไปในห้างสรรพสินค้า แม้ถังโจวโจวจะพูดว่าเธอจะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายดูสักวัน แต่เอาเข้าจริงเธอก็ยังขบคิดอยู่ในใจ เงินเดือนและเงินออมของเธอไม่ได้มากพอจะให้เธอใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้หรอก และเมื่อเธอกลับบ้านไปแล้วหลังจากชอปปิงอย่างเต็มที่เสร็จ เธอก็คงจะปวดใจกับข้าวของที่ซื้อมากมายเกินความจำเป็นของเธอเป็นแน่ 


 


 


หลินเหยาลากถังโจวโจวเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง ทันทีที่เข้าไป พวกเธอก็ได้พบคนรู้จัก ถังโจวโจวไม่คิดอยากจะทักทายเลย เธอจึงพยายามดึงหลินเหยาออกไปข้างนอก แต่ใครจะคิดล่ะว่าเมิ่งชิงซีเป็นฝ่ายมาทักทายพวกเธอก่อน 


 


 


ข้างกายของเมิ่งชิงซีมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกเหมือนว่าอายุของพวกเธอไม่ได้แตกต่างกันมาก ถังโจวโจวไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรกับเมิ่งชิงซี 


 


 


“โจวโจว พวกเธอก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ บังเอิญจังเลยนะ” เรื่องของถังโจวโจวผ่านมาได้สักพักแล้ว เมิ่งชิงซีเองก็เกือบจะลืม วันนี้จู่ๆ เธอก็ได้พบกับถังโจวโจว เธอจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ อย่างไรก็ตาม เธอสามารถดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถเอ่ยทักทายถังโจวโจวได้อย่างแนบเนียน 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอเป็นฝ่ายทักทายมา ครั้นจะไม่ตอบกลับก็ไม่ได้ “คุณเมิ่ง บังเอิญจังเลยค่ะ แต่ฉันกับเหยาเหยากำลังจะกลับแล้วค่ะ” 


 


 


           หลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวยังมีกะจิตกะใจทักทายเมิ่งชิงซี ในมุมมองของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นฝีมือของเมิ่งชิงซี แต่เธอก็ยังไม่อยากปล่อยเมิ่งชีงซีไปง่ายๆ แบบนี้ 


 


 


           ถังโจวโจวเล่าเรื่องวันนั้นให้หลินเหยาฟังแล้ว เธอบอกว่าเธอรู้สึกลื่นที่ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นเธอก็ล้มลงไปเอง เธอน่าจะเหยียบอะไรเข้าสักอย่าง และเมิ่งชิงซีก็คว้าเธอไว้ไม่ทัน จึงทำให้เธอล้มลงไปด้านล่าง เธอไม่อาจผลักความรับผิดชอบไปให้เมิ่งชิงซีได้ 


 


 


           ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เรื่องนี้มันยังไม่ชัดเจน แต่ถังโจวโจวก็เตรียมป้องกันตัวเองจากเมิ่งชิงซีไว้อยู่เหมือนกัน 


 


 


           “โจวโจว ทำไมกลับเร็วนักล่ะ กว่าจะได้เจอกัน เราไปดื่มกาแฟกันดีไหม อ้อ ฉันลืมแนะนำ นี่แม่ของฉันเอง” ฉินอวิ๋นกำลังประเมินถังโจวโจว แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินชื่อของถังโจวโจวจากปากของเมิ่งชิงซีนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ฉินอวิ๋นก็ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลยสักครั้ง 


 


 


           ฉินอวิ๋นรู้สึกว่าถังโจวโจวคล้ายกับใครบางคน แต่เธอก็นึกไม่ออกว่าตกลงแล้วถังโจวโจวนั้นเหมือนใคร “โจวโจว ป้าได้ยินชิงซีพูดถึงหนูหลายครั้งแล้ว วันนี้ได้เจอตัวจริงสักที ดื่มกาแฟกับป้าสักแก้วนะ ป้าเลี้ยงเองจ้ะ” 


 


 


           ฉินอวิ๋นดูเหมือนคนที่บอบบางอ่อนแอ เธอมักจะทำให้ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าเธอเป็นฝ่ายที่รังแกได้ง่าย แต่ความจริงแล้วจิตใจของเธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร 


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร และในขณะที่ถังโจวโจวกำลังลังเล ฉินอวิ๋นก็พูดว่า “โจวโจว หนูไม่อยากไปใช่ไหม ป้ารู้จ้ะ หนูอาจจะเกลียดชิงซีไปแล้วจากเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน” 


 


 


           เมิ่งชิงซีไม่รู้ว่าแม่ของเธอคิดจะทำอะไร แต่โดยปกติแล้ว ไม่ว่าฉินอวิ๋นทำอะไรลงไปก็ตาม เธอจะคอยสนับสนุนทุกอย่าง เพราะสิ่งที่ฉินอวิ๋นทำนั้นล้วนมีประโยชน์ต่อเธอหรือไม่ก็ตัวเองทั้งสิ้น 


 


 


เมิ่งชิงซีก็ช่วยกล่อมอีกคนหนึ่ง “โจวโจว ตอนนั้นฉันยังตั้งสติไม่ได้จริงๆ เธอยังคงคิดว่าฉันตั้งใจสินะ ตอนนี้เธอถึงได้เย็นชากับฉันแบบนี้” 


 


 


เมิ่งชิงซีและฉินอวิ๋นพูดรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พนักงานภายในร้านต่างก็หันมามองกันหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ถังโจวโจวและหลินเหยาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าสองแม่ลูกพูดจาเลอะเทอะ เธอก็รู้สึกโกรธ “เมิ่งชิงซี คุณยังกล้าพูดอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ โจวโจวจะแท้งลูกได้ยังไง” 


 


 


แต่เมิ่งชิงซีไม่อ่อนข้อให้ ก่อนจะพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “หลินเหยา ตอนนั้นคุณไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยซ้ำ โจวโจวยังไม่ได้ว่าอะไรฉันเลยสักคำ แล้วเธอกล้าดียังไงมาว่าฉัน!” 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นท่าทางหยิ่งยโสของเมิ่งชิงซี ก็พานทำให้เธอเกลียดคนที่คอยชี้แนะอยู่ข้างๆ ด้วย พวกเธอทำทีราวกับว่าพวกเธอไม่ได้มีความผิดใดๆ คนพวกนี้เก่งแต่ลอยหน้าลอยตา แต่จริงๆ แล้วไม่เคยคิดจะทำเรื่องดีๆ อะไรเลย 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยาตั้งท่าจะโต้เถียงกับเมิ่งชิงซีอีกครั้ง เธอก็รีบฉุดแขนเพื่อนเอาไว้ ก่อนที่เธอจะกระซิบที่ข้างหูของหลินเหยาว่า “ช่างเขาเถอะ เหยาเหยา ไม่จำเป็นต้องไปพูดด้วยแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นี้ตั้งใจจะทำอะไร แต่เธอไม่อยากจะสนทนาด้วยแล้ว “คุณป้าเมิ่งคะ คุณเมิ่ง วันนี้พอแค่นี้นะคะ พวกเรานั้นแตกต่างกัน ฉันกับเหยาเหยาขอตัวก่อนนะคะ” 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าถังโจวโจวยังคงปฏิเสธเธอ เธอก็รู้สึกโกรธเคือง ยายถังโจวโจวนี่เป็นอย่างที่ชิงซีว่าเอาไว้จริงๆ หล่อนไม่ไว้หน้าใครเลย ว่าแต่เธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะ? 


 


 


ฉินอวิ๋นรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ เมิ่งชิงซีเห็นว่าฉินอวิ๋นยังคงยืนเหม่ออยู่ภายในร้าน ในขณะที่ถังโจวโจวและหลินเหยาออกไปตั้งนานแล้ว เธอสะกิดเรียกฉินอวิ๋นเบาๆ “แม่คะ แม่กำลังคิดอะไรอยู่ พวกเธอไปกันหมดแล้ว” 


 


 


“พนักงาน ห่อตัวนี้ให้ฉันด้วย” ฉินอวิ๋นชี้ไปที่เสื้อโค้ทขนแกะและยื่นบัตรเครดิตตามไปให้ 


 


 


ฉินอวิ๋นมองดูใบหน้าที่ไม่เข้าใจของเมิ่งชิงซีและอธิบายว่า “แม่รู้สึกว่าถังโจวโจวคล้ายกับคนที่แม่รู้จักมาก แต่แม่นึกไม่ออกเลยว่าเป็นใคร” 


 


 


“คล้ายกับคนที่แม่รู้จักมาก จริงเหรอคะ? ใช่เพื่อนสนิทของแม่หรือเปล่า” ทันใดนั้น คำพูดของเมิ่งชิงซีก็ทำให้ฉินอวิ๋นคิดได้ว่าถังโจวโจวหน้าเหมือนใคร…เสิ่นหลานอี! 


 


 


ทันทีที่ฉินอวิ๋นนึกออก เธอก็สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างถังโจวโจวและเสิ่นหลานอีขึ้นมาทันที “ชิงซี ลูกพอจะรู้ประวัติครอบครัวของถังโจวโจวบ้างไหม” 


 


 


เนื่องจากฉินอวิ๋นยังกังวลใจในเรื่องนี้ เธอจึงไม่มีอารมณ์ที่เดินชอปปิงกับเมิ่งชิงซีต่อแล้ว 


 


 


เมิ่งชิงซีคิดเล็กน้อย “หนูเคยได้ยินคุณป้าลั่วพูดถึงอยู่ครั้งสองครั้ง เหมือนกับว่าพ่อแม่ของถังโจวโจวเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ คนเป็นพ่อเหมือนว่าจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนคนเป็นแม่นี่ไม่แน่ใจ แต่หนูรู้ว่าครอบครัวของเธอไม่ได้โดดเด่นอะไร เป็นแค่คนธรรมดาก็เท่านั้น” 


 


 


นี่คือสิ่งที่น่าโมโหที่สุดสำหรับเมิ่งชิงซี ครอบครัวของถังโจวโจวธรรมดามาก แต่กลับดึงดูดความสนใจของลั่วเซ่าเชินได้ ในขณะที่ตระกูลเมิ่งของเธอภูมิฐานถึงเพียงนี้ แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ชายตามองเธอเลยสักนิด บางครั้งเมิ่งชิงซีก็มีแม้กระทั่งความคิดที่อยากจะสลับตัวกับถังโจวโจวผุดขึ้นมา 

 

 

 


ตอนที่ 122

 

ความคิดนี้แค่แวบผ่านเข้ามาในสมองของเมิ่งชิงซีก็เท่านั้น แต่ถ้ามีโอกาสให้เมิ่งชิงซีทำอย่างนั้นจริง เธอก็คงจะเปลี่ยนใจในทันที คนคนหนึ่งซึ่งเคยชินกับการใช้ชีวิตอันหรูหราไปแล้ว จะไปทนชีวิตแบบคนธรรมดาๆ ได้อย่างไร 


 


 


           โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมิ่งชิงซีมักจะไม่เลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่แบรนด์เนมและไม่เลือกคบค้าสมาคมกับคนอื่นๆ ที่อยู่นอกแวดวง ถ้าจะให้เธอไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ ก็คงจะเหมือนตกจากสวรรค์ลงไปสู่นรก เมิ่งชิงซีไม่มีทางยอม 


 


 


           แต่เมิ่งชิงซีก็ไม่เคยปริปากเล่าความคิดนี้ให้ใครฟัง เมื่อคิดดูอีกทีเมิ่งชิงซีก็รู้สึกว่า แม้ถังโจวโจวจะมัดใจของลั่วเซ่าเชินเอาไว้ได้ แต่ก็ยังคงมัดใจคุณป้าและคุณลุงลั่วไม่สำเร็จอยู่ดี 


 


 


           เมื่อฉินอวิ๋นได้ยินเมิ่งชิงซีพูดแบบนั้น เธอก็รู้สึกว่าเธอคงจะคิดมากเกินไป โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าจะมีคนสองคนที่หน้าตาคล้ายกันบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ฉินอวิ๋นก็ยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไปคิดอยู่ดี 


 


 


เมิ่งชิงซีรู้สึกงงงวย เมื่อเห็นว่าจู่ๆ คุณแม่ของเธอก็ถามถึงเรื่องครอบครัวของถังโจวโจว “แม่คะ บ้านของเธอก็คนธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงสนใจเธอจัง” 


 


 


พนักงานภายในร้านห่อและนำเสื้อโค้ทที่ฉินอวิ๋นต้องการมาส่งให้ ฉินอวิ๋นรับมาและเดินออกไปจากร้านพร้อมกับเมิ่งชิงซี ส่วนพนักงานที่อยู่ด้านหลังก็พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ” 


 


 


เนื่องจากฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซีเป็นลูกค้าประจำ และตัวพนักงานเองก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ของครอบครัวนี้มาบ้าง ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติต่อพวกเธอดีกว่าลูกค้าคนอื่นๆ 


 


 


ฉินอวิ๋นและเมิ่งชิงซีพอใจกับท่าทางที่กระตือรือร้นของพนักงาน ถ้าไม่ติดว่ามันจะสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ที่ดีของเธอ เมิ่งชิงซีจะเชิดหน้าขึ้นและมองไปที่ด้านบนแล้วด้วยซ้ำ แต่ด้วยการที่เธอผ่านการหล่อหลอมมาจากตระกูลเมิ่งแล้วตั้งแต่เด็ก เมิ่งชิงซีจึงรู้จักวิธีการที่จะควบคุมตัวเองอยู่บ้าง 


 


 


ในขณะที่ฉินอวิ๋นมักจะมองคนอื่นด้วยสายตาที่อ่อนโยนอยู่เสมอ เธอจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพนักงานตัวเล็กๆ แบบนี้ เป็นภรรยาที่สูงส่งมาตั้งหลายปี จะให้มันสูญเปล่าไปไม่ได้ 


 


 


แม้ตอนนี้ฉินอวิ๋นจะมีเรื่องให้กวนใจมากยิ่งกว่า แต่เธอก็ไม่สามารถแสดงมันออกมาได้ ต่อให้เธอกำลังโกรธอยู่มากก็ตาม แต่เธอก็ยังต้องยิ้มเอาไว้เสมอ 


 


 


บางครั้งเมิ่งชิงซีก็นับถือคุณแม่ของเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอกลับไม่ได้เรียนรู้อะไรพวกนี้จากฉินอวิ๋นเลย นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เมิ่งชิงซีด้อยกว่าฉินอวิ๋น เธอเป็นเหมือนปลาที่ได้น้ำมาตั้งแต่เด็กๆ ที่ผ่านมาเมิ่งชิงซียังไม่เคยได้พบกับความล้มเหลวเลยสักครั้ง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เธอจึงไม่ได้เข้าใจจิตใจของคนอย่างถ่องแท้เหมือนอย่างฉินอวิ๋น 


 


 


หลังจากถังโจวโจวลากหลินเหยาออกมาแล้ว เธอก็เดินตามหาร้านชานม ตอนนี้เธอต้องการของหวานมาปลอบใจอย่างเร่งด่วน ส่วนหลินเหยาก็กำลังต่อว่าเธอในขณะที่ก้าวเดินว่า “โจวโจว เธอกลัวคนพวกนั้นทำไม เมิ่งชิงซีต้องรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองทำอะไรไว้บ้าง แล้วนี่ยังจะมีหน้ามาชวนเธอไปดื่มกาแฟอีก” 


 


 


หลินเหยา ‘เฮอะ’ เสียงดังให้เมิ่งชิงซีอย่างนึกรังเกียจ ส่วนถังโจวโจว แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้เมิ่งชิงซีค่อนข้างเสแสร้ง แต่ไหนๆ ตอนนี้เธอก็ปลีกตัวออกมาแล้ว ถ้าแม่ลูกคู่นั้นยังคิดเล็กคิดน้อยกับเธออยู่อีก นั่นก็เท่ากับว่าสองแม่ลูกนั่นไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนมาเลย 


 


 


เมื่อถังโจวโจวพูดเหตุผลนี้ออกมา หลินเหยาก็กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย “โจวโจว นี่เธอคิดว่าพวกเขารู้จักคำว่า ‘อบรม’ ดีแค่ไหนเหรอ ถ้าเมิ่งชิงซีรู้จักคำนี้จริงนะ ก็คงจะไม่เพ้อฝันถึงสามีคนอื่นหรอก” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่ายิ่งพูด หลินเหยาก็ยิ่งโมโห เธอจึงรีบลูบช่วงอกให้ “เอาละๆ ช่างเขาเถอะ ทำไมเธอถึงโกรธมากกว่าฉันอีกล่ะ เปิดใจกว้างๆ หน่อย เหยาเหยา อย่าไปยุ่งกับพวกเธอเลย” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าการที่ได้พบกับฉินอวิ๋นในวันนี้ แม้ว่าใบหน้าของเธอจะยิ้มแย้ม แต่ถังโจวโจวก็สัมผัสได้ว่าดวงตาของเธอไม่ได้ต้องการจะดื่มกาแฟด้วยจริงๆ บางทีถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเมิ่งชิงซีไม่ใช่คนที่น่ากลัวที่สุด… 


 


 


เวลาเมิ่งชิงซีโกรธ เธอก็จะระบายมันออกมา ไม่มีทางที่เธอจะทำอะไรลับหลัง แต่วันนี้ เมื่อถังโจวโจวได้พบกับคุณแม่ของเมิ่งชิงซี สัญชาตญาณของถังโจวโจวก็บอกว่าคนแบบนี้ต่างหากที่เธอต้องอยู่ห่างไว้ให้มากที่สุด 


 


 


แต่นี่มันก็เป็นแค่การคาดเดาของเธอ ทุกอย่างยังไม่ชัดเจน บางทีเธออาจจะคิดมากไปก็ได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้เธอจะเล่าให้หลินเหยาฟังไม่ได้ มิฉะนั้นเธอจะโดนหลินเหยาดุหนักกว่าเดิม 


 


 


“โจวโจว เธอใจอ่อนเกินไป เธอชอบปล่อยให้พวกเขารังแกเธออยู่เรื่อยเลย” หลินเหยามองไปที่ถังโจวโจวราวกับว่าเธอกำลังมองลูกสาวที่ไม่ได้เรื่อง มุมปากของเธอยกสูงจนเหมือนกับว่ามีคนติดหนี้เธออยู่ห้าล้านหยวน 


 


 


“จ้ะๆๆ ฉันมันใจอ่อนที่สุด ตอนนี้คนใจแข็งจะไปดื่มชานมกับคนใจอ่อนอย่างฉันได้หรือยัง” ถังโจวโจวควงแขนหลินเหยา ก่อนจะกึ่งดึงกึ่งลากพาเธอเดินเข้าไปในร้านชานม 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เธอก็รู้สึกว่าต่อให้เธอโมโหมากกว่านี้อีกเท่าไร ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีวันเข้าใจ โกรธไปก็มีแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ “ฉันจะคอยดูว่าวันข้างหน้าเธอจะรบมอกบคนพวกนั้นยังไง” หลินเหยาได้แต่พูดออกมาอย่างแค้นใจ 


 


 


ถังโจวโจวพูดอย่างหน้าไม่อาย “ฉันรู้ว่าเหยาเหยาก็ยังจะช่วยฉันอยู่” ถังโจวโจวเกาะอยู่บนตัวของหลินเหยา ราวกับตัวเองเป็นหมีโคอาลา และหลินเหยาก็เป็นต้นไม้ต้นใหญ่ 


 


 


ต่อจากนั้น ถังโจวโจวและหลินเหยาก็ไม่ได้พบเรื่องที่ทำให้พวกเธอขุ่นเคืองใจอีก หลังจากดื่มชานมเสร็จ ถังโจวโจวและหลินเหยาก็ไปเดินเล่นกันต่อ พวกเธอใช้เวลาเดินชอปปิงกันทั้งวัน และของที่ได้มามันก็ไม่ใช่น้อยๆ แม้แต่หลินเหยาเองที่ตั้งใจจะมาเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอ ก็กลับถูกถังโจวโจวชักชวนให้ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกสองสามชุด 


 


 


เมื่อถึงเวลากลับ ลั่วเซ่าเชินก็ขับรถมารับถังโจวโจว แน่นอนว่าเขาพาหลินเหยากลับไปส่งที่บ้านด้วย หลังจากหลินเหยาลงไปจากรถแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็เหลือบมองถุงชอปปิงที่อยู่ด้านหลัง “คุณสบายใจแล้ว?” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขามองดูผลงานของเธอ เธอก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย นี่เธอล้างผลาญมากเกินไปหรือเปล่านะ? เมื่อซื้อกลับมาแล้ว ถังโจวโจวถึงพบว่าเธอใช้เงินไปเยอะมาก ถังโจวโจวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอเองก็สามารถชอปปิงได้ทั้งวันเหมือนกัน 


 


 


“ค่ะ สบายใจแล้ว!” วันนี้ถือเป็นวันพักผ่อนจริงๆ ความอัดอั้นตันใจที่อยู่ที่บ้านถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด ในสายตาของถังโจวโจว นี่เป็นการชอปปิงที่เธอจ่ายเงินเยอะที่สุดตั้งแต่ที่เธอเคยจ่ายมา 


 


 


แต่ในสายตาของลั่วเซ่าเชิน นี่ยังไม่เท่าไร ในบรรดาพวกผู้หญิงที่เขารู้จัก อย่างถังโจวโจวนี่ยังถือว่าน้อยมาก ไม่นับว่าเป็นการชอปปิงด้วยซ้ำ 


 


 


เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน ป้าหลิวก็ทำอาหารเสร็จแล้ว และลั่วอิงเองก็กำลังรอให้ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินกลับมา 


 


 


“แม่โจวโจว คุณพ่อ กลับมาแล้วเหรอคะ ทานข้าวได้แล้วค่ะ” ลั่วเซ่าเชินช่วยถังโจวโจวถือถุงอยู่หลายใบ ในขณะที่ถังโจวโจวเองก็ถือถุงอยู่เหมือนกัน ถังโจวโจวหยิบถุงออกมาหนึ่งใบ และมอบมันให้กับลั่วอิง “อันนี้แม่โจวโจวซื้อมาให้หนูค่ะ” 


 


 


ทันทีที่ลั่วอิงเปิดดู เธอก็พบว่ามันคือกิ๊บติดผม เธอรีบกระโดดโลดเต้นและพูดว่า “แม่โจวโจวขา พรุ่งนี้หนูจะติดไปโรงเรียนเลย” 


 


 


“ได้เลยค่ะ พรุ่งนี้แม่โจวโจวจะถักเปียให้หนู แล้วก็ติดกิ๊บตัวนี้ให้ด้วย เพื่อนๆ คนอื่นจะต้องอิจฉาหนูแน่นอน” ถังโจวโจวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าลั่วอิงชอบของขวัญที่เธอเลือกให้ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าพอถังโจวโจวให้ของขวัญกับลั่วอิงแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาจึงวางของไว้บนโซฟาและเดินไปที่โต๊ะอาหารเลย คิ้วของเขาขมวดมุ่น นี่เธออยู่ข้างนอกทั้งวัน เธอซื้อของขวัญให้ลั่วอิง แต่กลับไม่มีอะไรมาฝากเขาเลยเนี่ยนะ? 


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลั่วเซ่าเชินมีสีหน้าที่เคร่งขรึมตลอดมื้ออาหาร ถังโจวโจวเห็นว่าเมื่อครู่นี้เขายังคุยเล่นกับเธออยู่เลย แต่พอถึงตอนกินข้าว เขาก็ไม่สนใจเธออีก เธอคิดไม่ออกว่าเธอไปทำอะไรให้เขาโกรธ? 


 


 


แต่ถังโจวโจวก็ตัดสินใจว่าไว้กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วเธอค่อยคิดอีกที และเป็นเพราะถังโจวโจวทำแบบนี้ ทำให้แม้แต่ตอนที่ถังโจวโจวคีบอาหารให้ลั่วเซ่าเชิน เขาก็ไม่สนใจเธอเลย 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ชักจะเดาใจยากขึ้นเรื่อยๆ นับวันเขายิ่งเหมือนเด็กไม่มีผิด แม้แต่ลั่วอิงก็ยังเทียบไม่ได้ ถ้าเขารู้ว่าถังโจวโจวคิดเช่นนี้ ลั่วเซ่าเชินคงจะหงุดหงิดยิ่งกว่านี้แน่นอน 


 


 


หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ถังโจวโจวก็เห็นว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินยังไม่ดีขึ้น เธอก็เดาว่าเขาคงยังหงุดหงิดอยู่ แต่เธอรู้สึกว่าถ้าถามออกไปตอนนี้ เกิดลั่วอิงรู้เข้า เขาจะรู้สึกอาย เธอจึงถือของขึ้นไปชั้นบน ถังโจวโจวรู้ว่าเขาจะต้องตามมาอย่างแน่นอน 


 


 


แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคาดเอาไว้ ลั่วเซ่าเชินเดินตามเธอเข้ามาในห้องนอน ถังโจวโจววางของไว้บนเตียง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่คิดจะเอ่ยทักถามหรือแสดงความห่วงใยเขาเลยสักนิด เขาก็คิดว่าถ้าเขาไม่พูดมันออกไป เธอก็คงไม่รู้หรอกว่าเขากำลังโกรธเธออยู่ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่อยากให้เหตุการณ์มันซ้ำรอยเดิม ดังนั้น ครั้งนี้เขาจึงถามออกไปตามตรงว่า “คุณไม่มีอะไรจะให้ผมเลยเหรอ” นับว่าเขาถามได้อย่างไพเราะ 


 


 


ถ้าลั่วเซ่าเชินไม่กลัวว่าจะเสียหน้า เขาจะถามเธออย่างที่ใจคิดว่า ‘คุณมีของมาให้ลั่วอิง แล้วไม่มีของมาให้ผมบ้างเลยเหรอ’ แต่เขาก็พูดได้แค่ในใจ 


 


 


ในตอนแรกถังโจวโจวไม่เข้าใจความหมายของเขา เธออยากจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่มีนี่คะ’ โชคดีที่เธอไม่ได้พูดมันออกไป และเมื่อเธอคิดดูอีกที นี่เขาคงไม่ได้อิจฉาลูกหรอกใช่ไหม? นี่เป็นเพราะเธอให้ของขวัญกับลั่วอิง แต่ไม่ได้ซื้อของมาให้เขาอย่างนั้นเหรอ? 


 


 


เดิมทีลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวเธอตั้งท่าจะพูดอะไร แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่พูดมันออกมา ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจับจ้องไปที่เธอ รอดูว่าเธอกำลังจะทำอะไร ถ้าปากเล็กๆ ของเธอพูดอะไรที่เขาไม่อยากฟังขึ้นมา เขาจะกัดมันเสียเลยดีไหมนะ… 


 


 


ถังโจวโจวเอี้ยวตัวกลับไปหยิบถุงที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาถุงหนึ่ง “นี่ค่ะ อันนี้ฉันให้คุณ” แม้ว่าท่าทางของถังโจวโจวจะดูแปลกๆ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ใช่พวกที่จะเอาความกับคนที่อ่อนแอกว่า เขายกโทษให้เธอก็แล้วกัน เขารับถุงใบเล็กนั้นมาจากมือของถังโจวโจวด้วยความยินดี 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตเห็น บางทีถังโจวโจวอาจจะซ่อนมันไว้ก็ได้ ต้องโทษเขาที่ใจร้อนมากเกินไป ดูเหมือนว่าในใจของโจวโจวยังมีเขาอยู่ เธอจึงไม่ลืมที่จะซื้อของขวัญมาให้เขาด้วย 


 


 


บางครั้งลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกว่าเขาเหมือนเด็ก เขากับลั่วอิงมักจะแข่งกันเรียกร้องความสนใจจากถังโจวโจว เขาหยิบของข้างในออกมาดู มันคือเนกไทลายทางสีน้ำเงินสลับสีดำ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาเห็นของขวัญแล้ว เธอจึงค่อยๆ อธิบายว่า “ตอนแรกฉันตั้งใจจะเอาไปให้ตอนที่คุณอยู่ห้องหนังสือ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณจะใจร้อนขนาดนี้ ฉันตั้งใจเลือกให้คุณโดยเฉพาะเลยนะคะ แต่ถ้าคุณไม่ชอบ คุณก็อย่าพูดออกมานะ” 


 


 


ถังโจวโจวเม้มปากอย่างเสียความมั่นใจ แต่เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินเธอพูดเช่นนั้น เขาก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “ผมจะไม่ชอบได้ยังไง พรุ่งนี้ผมจะผูกเนกไทเส้นนี้เลย คุณคิดว่าไงล่ะ” 


 


 


“ตามใจคุณสิคะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นท่าทางปากแข็งประหนึ่งเป็ดที่ตายแล้วของถังโจวโจว เขาก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเธอ เขาจับของขวัญที่ถังโจวโจวให้เขาอย่างทะนุถนอม แม้ว่าคุณภาพมันจะไม่ดีเท่ากับของที่เขาสั่งทำ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวให้ของขวัญเขา แม้ว่ามันจะไม่ดีอย่างไร เขาก็ยังรู้สึกชอบมัน 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาพอใจ เธอเองก็ภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่เธอยังต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้สนใจอะไร หลังจากนั้น ถังโจวโจวก็เก็บของเอาไว้ตู้ พร้อมกับแยกหมวดหมู่ของสิ่งของอย่างชัดเจน

 

 

 


ตอนที่ 123

 

     เซียวโม่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเมื่อครั้งก่อนเขาถูกสวี่โยวและคุณแม่เซียวจัดฉาก สวี่โยวรู้สึกว่าช่วงนี้เธอมีอาการง่วงเหงาหาวนอน ในตอนแรกเธอยังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น แต่เมื่อกลับมาที่บ้านของตระกูลเซียว เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าสภาพของเธอดูอิดโรย เธอก็มีคำถามมาถามมากมาย 


 


 


“โยวโยว เป็นอะไรไปลูก ช่วงนี้นอนไม่หลับเหรอ” สิ่งที่สวี่โยวกังวลใจในตอนนี้ก็คือความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวโม่ ที่ยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้เซียวโม่ยอมทำงานจนดึกดื่นอยู่ข้างนอกดีกว่าที่จะกลับบ้านมาเจอเธอ 


 


 


“หนูเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ คุณแม่ ว่าหนูเป็นอะไร ช่วงนี้หนูอยากนอนอย่างเดียวเลย แล้วก็ทานอะไรไม่ค่อยได้ด้วย” สวี่โยวเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเธอคิดว่ามันเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ เธอจึงไม่เคยไปตรวจที่โรงพยาบาลเลย 


 


 


คุณแม่เซียวรีบนึกถึงความเป็นไปได้ในทันที เธอเอ่ยถามถึงเป้าหมายของเธอ “โยวโยว ประจำเดือนหนูมาหรือยัง” คุณแม่เซียวประชิดตัวถามสวี่โยว ภายในห้องนั่งเล่นมีแค่เธอสองคน ไม่มีใครอื่น ดังนั้น ถึงแม้ว่าคุณแม่เซียวจะรู้สึกเขินอายที่ต้องถามตรงๆ แบบนี้ แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เธอพอจะรับได้ 


 


 


เธอส่ายหน้าและยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณแม่เซียวต้องการจะพูดอะไร รอบเดือนของเธอไม่ค่อยแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้มันก็น่าจะมาช้า สวี่โยวเองก็ไม่ได้สนใจ แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกว่ามันมาช้ากว่าปกติไปหลายวัน 


 


 


แต่ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็แวบขึ้นมาในสมองของเธอ และเมื่อเธอเห็นว่าคุณแม่เซียวเองก็มองมาที่หน้าท้องของเธอด้วยความประหลาดใจ สวี่โยวก็เลยมองไปที่คุณแม่เซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แม่คะ หนู…หนูท้องใช่ไหมคะ” 


 


 


สวี่โยวหวนนึกถึงเรื่องในวันนั้น แต่เธอก็อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเธอและเซียวโม่ให้ดีขึ้น ดังนั้น หลังจากครั้งนั้น เธอจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ช่วงนี้นอกจากเธอจะนอนเยอะแล้ว เธอก็ยังมีความอยากอาหารมากขึ้นด้วย 


 


 


สวี่โยวเองก็ไม่มีประสบการณ์มาก่อน เมื่อเธอเห็นคุณแม่เซียวจับมือเธออย่างตื่นเต้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าครั้งนี้ฝันของเธอมันอาจจะเป็นจริงก็ได้! เธอจะได้ไม่ต้องคิดวางแผน ไม่ต้องสรรหาเรื่องโกหกเพื่อรั้งเซียวโม่ให้อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว เพราะเธอมีสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่คอยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเธอกับเขาในวันข้างหน้าแล้ว 


 


 


คุณแม่เซียวก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน หลังจากที่เธอรอมานาน ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง คุณแม่เซียวรั้งรอแทบไม่ไหวอยู่แล้ว “ไปลูก โยวโยว ไปตรวจที่โรงพยาบาลกับแม่ เราจะได้รู้คำตอบกัน” สวี่โยวรู้สึกสับสนไปหมด ชั่วขณะหนึ่ง เธอก็ได้แต่นั่งมองคุณแม่เซียววิ่งวุ่นอยู่ตรงนั้น 


 


 


หลังจากที่คุณแม่เซียวหยิบของเสร็จ เธอก็ค่อยๆ ประคองสวี่โยวให้ลุกขึ้นยืน “โยวโยว ดีใจมากเลยใช่ไหมลูก นี่ถ้าผลตรวจออกมาว่าหนูตั้งท้องจริงๆ ก็นับว่าหนูเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลเซียวของเรา!” 


 


 


“มันยังไม่แน่นอนเลยค่ะ คุณแม่” แม้ว่าสวี่โยวจะถ่อมตัว แต่เธอก็มีความมั่นใจว่าเธอท้องจริงๆ 


 


 


เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าสวี่โยวนอบน้อมแบบนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกสะใภ้ของเธอนี่ช่างแสนดีจริงๆ “โยวโยว แม่รู้ใจหนูจ้ะ ถ้าอาโม่ทำไม่ดีกับหนู แม่จะช่วยหนูดุอาโม่ให้เอง” สวี่โยวได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าคุณแม่เซียวจะช่วยเธอในเรื่องนี้ได้ แต่ก็บังคับเซียวโม่ให้รักเธอไม่ได้หรอก 


 


 


คนขับรถพาพวกเธอมาส่งที่โรงพยาบาล เดิมทีสวี่โยวจะขับรถมาเอง แต่คุณแม่เซียวไม่ยอม เธอกลัวว่าถ้าเกิดเธอตั้งท้องอยู่จริงๆ แล้วมันจะส่งผลเสียต่อเด็กได้ สวี่โยวเองก็นึกถึงความเป็นไปได้นี้ เธอจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล 


 


 


พวกเธอสองคนโอบอุ้มความหวังเข้าไปในแผนกสูติ-นรีเวช หลังจากนั้นพักหนึ่ง คุณแม่เซียวและสวี่โยวก็มองดูใบแจ้งผลการตรวจที่อยู่ตรงหน้า พวกเธอตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น “โยวโยว หนูท้องจริงๆ ด้วย ดีจังเลย! ในที่สุดฉันก็จะมีหลานแล้ว” 


 


 


สวี่โยวเองก็ตื่นเต้นมาก แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะนึกถึงเซียวโม่ “คุณแม่คะ เราต้องบอกเซียวโม่ไหม แล้วไหนจะคุณพ่ออีก…” 


 


 


คุณแม่เซียวเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เธอมัวแต่ตื่นเต้นจนลืมไปเลยว่าที่บ้านยังมีผู้ชายอยู่อีกสองคน “ใช่ๆ หนูรีบโทรหาเซียวโม่เลยนะ บอกข่าวดีให้เขาฟัง ส่วนคุณพ่อเดี๋ยวแม่บอกเอง เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ” 


 


 


คุณแม่เซียวกุมมือสวี่โยวและลูบใบหน้าเธอเบาๆ “โยวโยว ตอนนี้หนูอุ้มท้องอยู่ หนูย้ายกลับมาอยู่กับแม่ดีกว่าไหม ไม่ต้องอยู่ข้างนอกกับเซียวโม่แล้ว หนูคิดว่ายังไง” 


 


 


เมื่อสวี่โยวมองดูคุณแม่เซียว เธอก็เห็นว่านัยน์ตาของคุณแมวเซียวบ่งบอกความต้องการอย่างชัดเจนว่าอยากจะให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้าน เธอเข้าใจหัวอกของคุณแม่เซียวดี ยิ่งไปกว่านั้น เธอคิดว่าถ้าเธออยู่ที่บ้านของตระกูลเซียว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเซียวโม่จะต้องเก็บอาการมากกว่านี้ เขาจะไม่คุยกับเธอหรือพูดจาเย็นชาใส่เธอเหมือนทุกวันนี้ไม่ได้อีก 


 


 


“ได้ค่ะ คุณแม่ รบกวนคุณแม่ด้วยนะคะ” สวี่โยวยิ้มแย้มอย่างมีความสุข คุณแม่เซียวเองก็มีความสุขมาก “โยวโยว แม่ดูคนไม่ผิดจริงๆ อ้อ อย่าลืมบอกข่าวดีกับคุณพ่อคุณแม่ของหนูด้วยนะจ๊ะ” 


 


 


คุณแม่เซียวอยากจะป่าวประกาศให้ทุกคนที่เธอรู้จักได้ทราบว่า ลูกสะใภ้ของเธอตั้งท้องแล้ว ความตื่นเต้นของเธอไม่สามารถยับยั้งเอาไว้ได้ในเวลานี้ 


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเซียว คุณแม่เซียวก็รีบโทรหาคุณพ่อเซียว “ตงหนาน ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ โยวโยวท้องแล้ว เราจะมีหลานให้อุ้มแล้วนะ” 


 


 


เมื่อคุณพ่อเซียวได้ยินข่าวดีจากคุณแม่เซียว เขาก็นั่งยิ้มไม่หุบอยู่ในสำนักงาน “ดีมากเลย ช่างเป็นข่าวดีจริงๆ โอเค คืนนี้ผมจะกลับไปฉลองด้วย แต่ว่าจยาลี่ ผมว่าคุณควรจับตาดูเซียวโม่เอาไว้หน่อย ผมรู้สึกว่าช่วงนี้พวกเขาสองคนดูแปลกๆ ไป” 


 


 


เมื่อคุณพ่อเซียวเตือนคุณแม่เซียวเช่นนี้ เธอก็เก็บเรื่องนี้เอาไปคิด “ค่ะ ตงหนาน ฉันจะจับตาดูให้ดี ตอนนี้โยวโยวท้องอยู่ เธอเป็นคนสำคัญของตระกูลเรา แม้แต่ลูกชายก็ยังต้องชิดซ้ายค่ะ” 


 


 


คุณแม่เซียวคิดเช่นนั้นจริงๆ ในตอนแรกที่สวี่โยวแกล้งบอกว่าเธอท้อง เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเธอมีหลานให้ตระกูลเซียวได้เมื่อไร เธอก็จะไม่ต้องเป็นกังวลอะไร เพียงแต่เรื่องความรู้สึกระหว่างเธอและเซียวโม่มันค่อนข้างที่จะยุ่งเหยิง เธอจึงต้องจัดการมันด้วยตัวเอง 


 


 


หลังจากที่คุณแม่เซียวแจ้งให้คุณพ่อเซียวทราบแล้ว เธอก็โทรหาเซียวโม่ เธอบอกให้เขากลับบ้านโดยที่ไม่ได้บอกรายละเอียดเพิ่มเติม 


 


 


หลังจากวางสายโทรศัพท์ เธอก็เห็นว่าสวี่โยวมองมาที่เธอด้วยความสงสัย คุณแม่เซียวรู้ดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


“โยวโยว หนูไม่เข้าใจใช่ไหมว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมบอกข่าวดีกับเซียวโม่” สวี่โยวพยักหน้า คุณแม่เซียวก็ไม่ปล่อยให้เธอสงสัย “ที่แม่ทำอย่างนี้ก็เพราะว่าแม่หวังดีกับหนู หนูควรจะบอกข่าวนี้กับเขาด้วยตัวเอง เขาจะได้เซอร์ไพรส์ แม่ไม่สามารถทำลายความสุขของพวกหนูได้” 


 


 


หลังจากนั้น คุณแม่เซียวก็ปล่อยให้สวี่โยวนั่งพักอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนเธอก็ไปที่ห้องครัวเพื่อปรึกษาพูดคุยกับแม่บ้านหลี่ว่าต่อไปเธอจะบำรุงร่างกายของสวี่โยวอย่างไรดี 


 


 


ทางด้านของสวี่โยว เธอแจ้งข่าวการตั้งครรภ์ของเธอให้คุณพ่อและคุณแม่สวี่ทราบ คุณแม่สวี่ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ความขัดแย้งระหว่างสวี่โยวและเซียวโม่เป็นเรื่องที่เธอกังวลใจมาตลอด คุณแม่สวี่มีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว นอกจากคุณพ่อสวี่แล้ว เธอก็ทุ่มเทความคิดทั้งหมดลงไปที่สวี่โยว 


 


 


“โยวโยว หนูท้องก็ดีแล้วลูก แม่สามีของหนูจะได้ดีกับหนูมากขึ้น ตราบใดที่หนูมีลูก เซียวโม่ก็ทำอะไรหนูไม่ได้” ความจริงแล้ว เมื่อคุณแม่สวี่เห็นว่าชีวิตของสวี่โยวนั้นขมขื่นปานนี้ เธอก็รู้สึกเสียใจ 


 


 


แต่ตอนนั้นลูกสาวของเธอยืนกรานว่าจะแต่งงานกับเซียวโม่ แม้ว่าคุณพ่อและคุณแม่สวี่จะลังเล แต่ความตั้งใจแน่วแน่ของสวี่โยวก็ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจ ตอนนี้ชีวิตหลังแต่งงานของสวี่โยวไม่ได้เป็นดั่งที่หวังไว้ คุณแม่สวี่ก็เอาแต่เป็นห่วงเรื่องของเธอกับเซียวโม่อยู่ทั้งวัน จนเธอซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


แล้วตอนนี้เมื่อคุณแม่สวี่ได้ยินข่าวดีอย่างนี้ เธอจะไม่หลั่งน้ำตาได้อย่างไร นี่มันเป็นสิ่งที่ลูกสาวของเธอสมควรได้! 


 


 


“แม่คะ ตอนนี้หนูกับเซียวโม่โอเคดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ทุกวันนี้มันเป็นอย่างที่หนูอยากให้เป็นแล้ว” สวี่โยวไม่อยากให้คุณแม่สวี่ไม่สบายใจ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวโม่จะไม่ได้ดีอย่างที่เธอพูด แต่เธอก็จะไม่บอกความจริงกับคุณแม่สวี่ 


 


 


เมื่อครั้งก่อนเป็นเพราะว่าสวี่โยอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ดังนั้นเธอจึงสติหลุดต่อหน้าคุณแม่สวี่ “โอเคจ้ะ แม่ไม่พูดแล้วก็ได้ ขอแค่หนูสบายดี แม่ก็สบายใจแล้ว” เมื่อคุณแม่สวี่ได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของสวี่โยว เธอก็รู้ว่าเธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมลูกสาวได้อีกต่อไป 


 


 


ตกเย็น เซียวโม่ก็กลับมาที่บ้านจากคำสั่งของคุณแม่เซียว แต่เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าข่าวที่กำลังรอเขาอยู่นั้น ใหญ่มากเสียจนทำให้สมองของเขาเบลอไปหมด 


 


 


สวี่โยวเห็นว่าเซียวโม่กลับมาแล้ว เธอทอดสายตามองเขาด้วยความรักที่เปี่ยมอยู่เต็มอก เซียวโม่ไม่เข้าใจความหมายที่สวี่โยวต้องการจะสื่อ เขาถอดเสื้อโค้ทและวางมันลงบนที่แขวนเสื้อ ก่อนจะเปลี่ยนรองเท้าและเดินเข้ามาในบ้าน 


 


 


คุณแม่เซียวเอ่ยต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “กลับมาแล้วเหรอลูก คุณพ่อกลับมาตั้งนานแล้ว กำลังรอให้ลูกกลับมาทานข้าวอยู่แน่ะ” 


 


 


“แม่ครับ แม่เรียกผมกลับมาทำไม” น้ำเสียงของเซียวโม่ฟังดูเบื่อหน่าย คุณแม่เซียวทนดูเขาเป็นแบบนี้ไม่ได้จึงพูดขึ้น “ช่วงนี้ลูกไม่ได้กลับบ้านเลยใช่ไหม ลูกปล่อยให้โยวโยวอยู่บ้านคนเดียวได้ยังไง นี่ลูกไม่เป็นห่วงเธอบ้างเลยเหรอ” 


 


 


           เซียวโม่นึกไม่ถึงเลยว่าสวี่โยวจะไร้ยางอายมากขนาดนี้ แม้แต่เรื่องนี้ก็เอามาเล่าให้คุณแม่เซียวฟัง เซียวโม่จ้องมองสวี่โยวด้วยสายตาเย็นชา แต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเขามองเธอผิดไป ดวงตาของเธอแดงก่ำ 


 


 


           เมื่อคุณแม่เซียวเห็นเซียวโม่ทำแบบนี้กับสวี่โยว เธอก็คิดว่าในขณะที่เธอไม่อยู่ เซียวโม่ต้องทำยิ่งกว่านี้แน่ ตอนนี้สวี่โยวท้องอยู่ เธอจะไม่อนุญาตให้เซียวโม่ปฏิบัติต่อเธอแบบนี้อีก เกิดหลานเธอมีปัญหาจะทำอย่างไร? 


 


 


“ลูกมองโยวโยวอย่างนั้นทำไม นี่แม่รู้เอง ไม่เกี่ยวกับโยวโยวเลย” เซียวโม่ไม่เชื่อลมปากของคุณแม่เซียว ถ้าสวี่โยวไม่ได้พูดกับคุณแม่เซียว แล้วจู่ๆ คุณแม่เซียวจะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างไร 


 


 


แต่เซียวโม่จะโทษสวี่โยวก็ไม่ได้ เธอไม่ได้เป็นคนเล่าให้คุณแม่เซียวฟังว่าช่วงนี้เธอกับเขาอยู่ด้วยกันไม่มีความสุขเลย คุณแม่เซียวเป็นคนสังเกตเห็นเอง เธอแค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของสวี่โยว แค่นี้ก็จับพิรุธได้แล้ว 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น คุณพ่อเซียวยังบอกอีกว่าเซียวโม่มักจะอยู่ที่บริษัท บางครั้งขนาดว่าคุณพ่อเซียวกลับแล้ว เซียวโม่ก็ยังไม่กลับ เขาทำอย่างนี้อยู่หลายหน จนพนักงานในบริษัทเริ่มซุบซิบนินทากัน แล้วคุณพ่อเซียวเองก็ได้ยิน 


 


 


คุณแม่เซียวเอ่ยปากถามอีกครั้งอย่างอ่อนโยน สวี่โยวก็หลุดออกมาทันที ดังนั้นคุณแม่เซียวจึงนำเรื่องที่คุณพ่อเซียวใบ้ให้ฟังก่อนหน้านี้มาประติดประต่อกัน เท่านี้เธอก็พอจะรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว 


 


 


เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าเซียวโม่ยังไม่เชื่อ เธอก็หมายจะเข้าไปตีเขาสักที แต่เซียวโม่โยกศีรษะหลบ คุณแม่เซียวเองก็ยังไม่ทันได้ลงมือ เธอมองไปที่สวี่โยว “ตอนนี้โยวโยวไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ลูกอย่าทำให้เธอโกรธอีก เอาละ แม่จะไปบอกให้แม่บ้านหลี่ตั้งโต๊ะ รอเดี๋ยวเดียวก็ได้ทานข้าวแล้ว” 


 


 


คุณแม่เซียวขยิบตาส่งสัญญาณให้สวี่โยว สวี่โยวเข้าใจได้ทันทีว่าคุณแม่เซียวหลีกทางให้พวกเธอ เพราะต้องการจะให้เธอเป็นคนบอกกับเซียวโม่เองว่าเธอท้องแล้ว 


 


 


สวี่โยวบีบนิ้วมือของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี แต่เซียวโม่ไม่ได้เข้าใจจิตใจที่สับสนของเธอเลย “คุณมีอะไรจะบอกผมไหม” เซียวโม่เห็นเธอยืนขวางอยู่ตรงหน้า ไม่หลีกทางให้ ส่วนเธอก็เอาแต่ก้มหน้าและไม่พูดอะไรออกมาสักที เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เธอต้องการอะไร 


 


 


สามีภรรยาคู่นี้ยากเกินกว่าจะพูดคุยกันดีๆ แล้ว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าตาของทั้งสองตระกูล บางทีเซียวโม่อาจจะเสนอให้หย่าแล้วก็เป็นได้

 

 

 


ตอนที่ 124

 

เมื่อสวี่โยวเห็นว่าเขาเย็นชาแบบนี้ เธอก็รู้สึกหนาวเหน็บจับใจ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะนึกถึงเรื่องนี้ สวี่โยวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดในสิ่งที่เธอต้องการจะพูดว่า “ฉันท้องค่ะ” 


 


 


คำแค่ไม่กี่คำ แต่กลับโจมตีเซียวโม่ได้อย่างหนักหน่วง “คุณว่าอะไรนะ” นี่เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม สวี่โยวบอกว่าเธอท้อง? มันจะเป็นไปได้อย่างไร! 


 


 


หลังจากประโยคแรกถูกเปล่งออกไปแล้ว ประโยคต่อมาเธอก็พูดได้สะดวกขึ้น “ฉันบอกว่าฉันท้องค่ะ ฉันกำลังอุ้มท้องลูกของคุณอยู่ เซียวโม่” เมื่อสวี่โยวเห็นเซียวโม่มีท่าทางไม่อยากจะเชื่อ เธอก็หวนนึกถึงตอนที่เธอเพิ่งได้ยินว่าตัวเองท้อง เธอก็ทำหน้าแบบเดียวกับเซียวโม่นี่เลย 


 


 


แต่ความแตกต่างระหว่างเธอกับเซียวโม่อยู่ตรงที่…ในความประหลาดใจของเธอ มันเต็มไปด้วยความพึงพอใจ แต่ในส่วนของเซียวโม่นั้น มันกลายเป็นความหวาดกลัวไปแทน ทันใดนั้นสวี่โยวก็รู้สึกขมขื่น ข่าวการตั้งครรภ์ของเธอมันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เขาเชื่อได้ใช่ไหม? 


 


 


เซียวโม่ใช้เวลานานมากในการรับสารนี้ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนี้คุณแม่เซียวถึงอารมณ์ดีนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าสวี่โยวท้องนี่เอง แต่เซียวโม่ไม่ได้รู้สึกดีเหมือนพวกเธอ 


 


 


เมื่อสวี่โยวเห็นสีหน้าเรียบเฉยของเซียวโม่ เธอก็ถามเขาเบาๆ ว่า “เซียวโม่ คุณไม่ดีใจหรือคะ คุณกำลังจะมีลูกแล้วนะ…” 


 


 


“คุณว่าผมควรจะดีใจไหม” เซียวโม่คิดอยู่ว่าถ้าเขามีลูกกับถังโจวโจว ตอนนี้เขาคงจะกระโดดโลดเต้นไปแล้ว จากนั้นเขาก็จะคิดวางแผนว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร จะซื้อของเล่น ซื้อของใช้ให้เยอะๆ และเขากับถังโจวโจวก็จะเรียนรู้เรื่องการเป็นพ่อแม่ที่ดีด้วยกัน 


 


 


แต่ตอนนี้สวี่โยวเป็นคนท้อง เซียวโม่รู้สึกเกลียดสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่จู่ๆ ก็มาเกิดในท้องของสวี่โยวตอนนี้เหลือเกิน เขาจะมาทำไม ทำไมต้องมารังควานชีวิตของเขาในตอนนี้ 


 


 


สวี่โยวไม่ใช่คนตาบอด ทำไมเธอถึงจะมองสายตาที่ขับไล่ไสส่งของเซียวโม่ไม่ออก จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่านี่เธอดีใจไปทำไมกัน เซียวโม่ยังไม่ดีใจเลยที่เธอตั้งท้อง อีกทั้งเธอยังคาดหวังอย่างไร้สาระอีกว่า เซียวโม่อาจจะทำดีกับเธอมากขึ้น เพราะว่าเห็นแก่ลูก 


 


 


คุณแม่เซียวอยู่ในห้องครัวเป็นเวลานานก่อนที่เธอจะออกมา เธอเห็นสวี่โยวและเซียวโม่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมในห้องนั่งเล่น บรรยากาศระหว่างพวกเขาสองคนนั้นดูเปราะบางมากเหลือเกิน 


 


 


คุณแม่เซียวตะโกนเสียงดัง “โยวโยว หนูขึ้นไปเรียกคุณพ่อลงมาทานข้าวทีสิลูก เซียวโม่ ลูกมากับแม่หน่อย แม่มีเรื่องจะคุยด้วย” 


 


 


สวี่โยวเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เธอกลัวว่าคุณแม่ลั่วจะสังเกตเห็นดวงตาที่แดงก่ำของเธอ เธอจึงก้มหน้าต่ำและไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วเธอก็เดินขึ้นบันไดไป 


 


 


มีหรือที่คุณแม่เซียวจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองคน เธอรู้สึกโกรธลูกชายมาก สวี่โยวไม่ดีตรงไหน ทำไมเขาเอาแต่คิดถึงยายสุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์อย่างถังโจวโจว 


 


 


คุณแม่เซียวดึงเซียวโม่ไปที่มุมหนึ่ง เมื่อคุณแม่เซียวเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเซียวโม่ เธอก็ยิ่งโมโหเขามากขึ้น “ลูกทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ถ้าคุณพ่อเห็นว่าลูกทำแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็ตีตายหรอก” 


 


 


คุณแม่เซียวยังคงเป็นห่วงเป็นใยลูกชายคนเดียวของเธอ นอกจากเรื่องของถังโจวโจวแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต เธอก็ไม่เคยขัดขวางความชอบส่วนตัวของเซียวโม่เลยสักครั้ง เซียวโม่เองก็ไม่เคยทำให้เธอไม่สบายใจ เขาหัวดีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้คุณแม่เซียวสามารถยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจเมื่ออยู่ต่อหน้าญาติๆ และเพื่อนๆ ของเธอ 


 


 


เซียวโม่ไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำขู่ของคุณแม่เซียว เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าเซียวโม่ไม่ได้ตอบสนองกลับมาเลย เธอก็ไม่อยากพูดให้มากความ “เซียวโม่ แม่จะพูดชัดๆ นะ ตอนนี้โยวโยวกำลังท้องอยู่ พวกลูกจะต้องย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน แม่จะได้ดูแลเธอ” 


 


 


“ไม่ครับ ผมไม่ย้ายกลับมา” ในที่สุดเซียวโม่ก็เปิดปากพูด แต่คำที่พูดออกมากลับทำให้คุณแม่เซียวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ 


 


 


“ลูกไม่ตกลง แต่โยวโยวตกลงแล้ว ลูกจะไม่ตกลงก็ได้ แต่ลูกต้องไปคุยกับคุณพ่อเอง และถ้าคุณพ่อเห็นด้วย แม่ก็ว่าตามนั้น” คุณแม่เซียวไม่สนใจว่าตอนนี้เซียวโม่จะฟังคำพูดของเธอหรือไม่ ตอนนี้เธอขอแค่หลานชายของเธอก็พอ เซียวโม่ถูกลดความสำคัญลงไปแล้ว 


 


 


เซียวโม่สะดุดกึก เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าเซียวโม่ไม่ตอบโต้ เธอก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เธอรู้ว่าเขากลัวพ่อของเขา แล้วก็กลัวว่าจะรักษาความสัมพันธ์ของเขากับพ่อเอาไว้ไม่ได้ 


 


 


แม้ว่าเซียวโม่จะเชื่อฟังพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แต่เขาก็เคยมีช่วงเวลาที่เขาเกเร แต่เขาก็ไม่ได้เกเรมากเกินไป เพียงแค่เขาได้เจอกับคุณพ่อเซียวที่กำลังอารมณ์เสียเกี่ยวกับเรื่องงาน เซียวโม่ก็จะถูกคุณพ่อเซียวตำหนิเข้าอย่างรุนแรง 


 


 


บางครั้งสองพ่อลูกคู่นี้ก็ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ในขณะที่เซียวโม่ยังวัยรุ่น คุณพ่อเซียวก็ยังสามารถปราบปรามเขาได้ง่าย และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้สร้างความทรงจำไว้ให้กับเซียวโม่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของคุณพ่อเซียวอีกเลย 


 


 


สวี่โยวเดินขึ้นมาถึงชั้นบน เธอหยุดจัดการกับรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองก่อนเล็กน้อย แล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องดู เมื่อไม่เห็นร่องรอยความเสียใจของตัวเองแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในห้องหนังสือ เพื่อเรียกให้คุณพ่อเซียวลงไปทานข้าว 


 


 


พวกเขาทั้งสี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เซียวโม่ทำตัวราวกับว่าเป็นมนุษย์ล่องหน เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำ ซ้ำยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นของทั้งสามคนอีกด้วย เหมือนว่าเขาจะกำลังจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเอง 


 


 


จนกระทั่งสวี่โยวสะกิดเขาเบาๆ เขาก็หันหน้าไปมองเธอ เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จนเขาเห็นสวี่โยวมองไปที่คุณพ่อเซียว เซียวโม่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าคุณพ่อเซียวเรียกเขา แต่เขาไม่ได้ยิน 


 


 


คุณพ่อเซียวไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเซียวโม่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาขมวดคิ้วแน่น “นี่มันเวลากินข้าว แกมัวแต่คิดอะไร ฉันเรียกแกอยู่ตั้งนาน ไม่ได้ยินหรือไง” 


 


 


“เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไร” เซียวโม่ก้มหน้าและกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ 


 


 


เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าคุณพ่อเซียวโมโหจนแทบจะพ่นไฟออกมาแล้ว เธอก็รีบไกล่เกลี่ย “ตงหนาน ลูกโตแล้วนะคะ อีกอย่างฉันเองก็พูดกับลูกแล้วด้วย ลูกตกลงว่าจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่กับโยวโยว ใช่ไหมจ๊ะ โยวโยว” 


 


 


เมื่อสวี่โยวเห็นคุณแม่เซียวขยิบตาให้เธอ เธอก็รีบพยักหน้าและพูดว่า “คุณพ่อคะ วันนี้หนูกับเซียวโม่จะค้างที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปย้ายของ ขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่ที่เมตตาเรานะคะ” 


 


 


สีหน้าของคุณพ่อเซียวดูอ่อนโยนเมื่อเขาหันไปมองสวี่โยว “หนูพูดอะไรของหนูน่ะ ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น แม่เขาก็มีความสุขที่ได้ดูแลพวกหนู” 


 


 


“ใช่จ้ะ ใช่ วันหลังไม่ต้องพูดแบบนี้อีกแล้วนะโยวโยว” คุณแม่เซียวรีบเอ่ยเสริมในทันที 


 


 


คุณพ่อเซียวไม่ได้สนใจคำพูดของคุณแม่เซียว และเขายังไม่ลืมเซียวโม่ 


 


 


“เซียวโม่ ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ใช้ชีวิตอยู่กับโยวโยวให้ดี แกไม่ต้องเพ้อฝันอะไรทั้งสิ้น นอกจากโยวโยวแล้ว ฉันจะไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเป็นสะใภ้เด็ดขาด แกตัดใจซะเถอะ” 


 


 


เมื่อคุณแม่เซียวได้ยินคุณพ่อเซียวพูดถึงผู้หญิงที่ชื่อถังโจวโจว เธอก็กลัวว่าสวี่โยวจะไม่มีความสุข “ตงหนาน วันดีๆ แบบนี้ คุณจะพูดออกมาทำไมคะ โยวโยว รีบทานซุปลูก วันนี้แม่ให้แม่บ้านหลี่ทำให้หนูโดยเฉพาะเลยนะ ทานเยอะๆ นะลูก” 


 


 


“หนูจะทานเยอะๆ ค่ะคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่เองก็รีบทานข้าวเถอะค่ะ” เมื่อสวี่โยวเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซียวโม่กับคุณพ่อเซียวค่อนข้างตึงเครียด เธอก็กลัวว่าเซียวโม่จะพูดอะไรไม่เข้าหูคุณพ่อเซียวอีก ถึงตอนนั้นคุณพ่อเซียวคงจะไม่เหลือความเมตตาแล้ว 


 


 


คุณพ่อเซียวยังคงให้เกียรติสวี่โยวมาก คุณแม่เซียวก็รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “เอาละ วันนี้เป็นวันที่ดี โยวโยวกำลังจะผลิดอกออกผลให้กับตระกูลเซียวของเรา วันข้างหน้าลูกต้องดูแลเอาใจใส่กันให้มากๆ นะ รีบทานข้าวกันได้แล้วจ้ะ!” 


 


 


ต่อจากนั้น คุณแม่เซียวก็คอยบอกให้สวี่โยวกินข้าวเยอะๆ ส่วนสวี่โยวเองก็เอาแต่กินอย่างเดียว เซียวโม่อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่เมื่อเขาจะลุกออกจากที่นั่ง คุณพ่อเซียวก็โกรธขึ้นมาอีก ดังนั้น เซียวโม่จึงเลิกล้มความคิดนี้ไป 


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ คุณแม่เซียวก็รีบไล่ให้พวกเขาสองคนขึ้นไปที่ชั้นบน เซียวโม่มีท่าทีลังเลใจเล็กน้อย จนคุณแม่เซียวต้องผลักเขาเบาๆ เขาจึงยอมเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ส่วนสวี่โยวก็เดินตามเขาไปราวกับว่าเป็นภรรยาตัวน้อยที่น่ารัก 


 


 


คุณแม่เซียวยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง แม้ว่าจะดูแข็งทื่อไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเมื่อมีลูก เซียวโม่ก็จะเปลี่ยนไปเอง 


 


 


สวี่โยวเห็นว่าเมื่อเซียวโม่เข้ามาในห้อง เขาก็ไม่สนใจเธอ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้และยอมมองดูโทรศัพท์มากกว่าที่จะมองดูเธอ “เซียวโม่ การที่ฉันท้องมันทำให้คุณเป็นทุกข์มากใช่ไหม” 


 


 


เซียวโม่ไม่พูดอะไร สวี่โยวกุมมือและคุกเข่าลงไปตรงหน้าเขา “เซียวโม่ เราคุยกันดีๆ ได้ไหมคะ ฉันไม่อยากให้คุณทำสงครามเย็นกับฉันแบบนี้เลย” ทำแบบนี้มันทำร้ายจิตใจกันเกินไป เธอทำให้เซียวโม่สนใจไม่ได้เลยหรือ 


 


 


เมื่อเซียวโม่ได้ยินอย่างนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ “ผมไม่ได้ทำสงครามเย็นกับคุณ” ตอนนี้เขาสับสนมากจนไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น 


 


 


เมื่อสวี่โยวเห็นว่าเซียวโม่พูดกับเธอแล้ว เธอก็ยิ้มออกในทันที “ค่ะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ทำหรอก ฉันแค่อยากให้คุณตอบสนองฉันบ้าง เซียวโม่ เรามาใช้ชีวิตกันดีๆ และเฝ้ารอคอยการมาถึงของเด็กคนนี้ไปด้วยกันนะ ฉันจะไม่สร้างความวุ่นวายให้คุณอีก” 


 


 


ตั้งแต่สวี่โยวรู้ว่าตัวเองท้อง มันก็เหมือนกับว่าเธอคิดอะไรบางอย่างได้ ตัวของเธอเปล่งประกายไปด้วยรังสีของความเป็นแม่ เธอยอมถอดเขี้ยวถอดเล็บ เป็นคนละคนไปเลยเมื่อเทียบกับคนเก่า 


 


 


แน่นอนว่าเซียวโม่เองก็สังเกตเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเธอ ความจริงแล้วเมื่อสวี่โยวไร้พิษสง เซียวโม่ก็รู้สึกดีที่มีเธออยู่ข้างกาย แต่เธอมักจะหยิบเรื่องของถังโจวโจวขึ้นมาทะเลาะกับเขาอยู่เสมอ เซียวโม่ที่อยากจะลืม กลับถูกสวี่โยวตอกย้ำจนจำฝังใจยิ่งกว่าเดิม 


 


 


เมื่อสวี่โยวเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเซียวโม่ เธอก็พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “เซียวโม่ ฉันพูดจริงๆ นะคะ ถังโจวโจวเป็นอดีตไปแล้ว ฉันจะไม่พูดถึงเธอต่อหน้าคุณอีก เราทั้งคู่ไม่ต้องไปพูดถึงเธอ แล้วเราก็ใช้ชีวิตของเราไป ดีไหมคะ” 


 


 


แววตาของเซียวโม่ไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป เขาจะทำอย่างไรได้อีกนอกจากเห็นด้วยกับวิธีนี้? เขาต่างหากที่ต้องขอโทษสวี่โยว ถ้าเขาไม่มัวแต่ฝันเฟื่องอยู่อย่างนั้น บางทีเขากับสวี่โยวอาจจะไม่ต้องอยู่ในสภาพนี้อย่างทุกวันนี้ก็เป็นได้ 


 


 


เซียวโม่กุมมือสวี่โยว “ได้ ผมสัญญา” เซียวโม่รู้สึกว่าเขาควรจะพยายามลืมถังโจวโจวได้แล้ว ตอนนี้ถังโจวโจวเองก็ตั้งท้องลูกของลั่วเซ่าเชินอยู่ พวกเขาไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว และตอนนี้สวี่โยวเองก็ตั้งท้องลูกของเขาอยู่ด้วย 


 


 


สวี่โยวร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน ทันใดนั้นเซียวโม่ก็รู้สึกว่าสวี่โยวเองก็น่ารักอยู่เหมือนกัน “คุณร้องไห้ทำไม” 


 


 


บรรยากาศระหว่างคนทั้งคู่นั้นอ่อนโยนขึ้นจากเดิมมาก สวี่โยวกลัวว่าเซียวโม่จะเข้าใจผิด เธอจึงรีบส่ายหน้า แต่เธอก็เกิดสำลักในลำคอจนพูดอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ กระทั่งสวี่โยวสงบลง เธอถึงพูดออกมาว่า “ฉันแค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย เซียวโม่คะ ฉันจะไม่สร้างปัญหาอีก ฉันจะตั้งตารอลูกของเราค่ะ” 


 


 


เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเซียวโม่จะยอมทำตามคำขอของเธออย่างง่ายดาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอกับเซียวโม่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่มันก็เริ่มมาจากฝ่ายของเซียวโม่เท่านั้น 


 


 


เธอนึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เซียวโม่จะดีกับเธอขนาดนี้ สวี่โยวไม่อยากจะเชื่อ เธอแอบหยิกตัวเองเบาๆ แล้วมันก็รู้สึกเจ็บจริงๆ แต่เธอกลับยิ้มอย่างมีความสุข นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ฝันไป ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ 


 


 


เมื่อเซียวโม่เห็นเธอคุกเข่ามานาน เขาก็กลัวว่าเธอจะทรมาน “คุณรีบลุกขึ้นมาเถอะ ขาของคุณไม่ชาหมดแล้วหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 125

 

“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เมื่อสวี่โยวพูดจบ เธอก็ยืนขึ้น ทันใดนั้นร่างของเธอก็เซล้มเข้าไปหาเซียวโม่ เซียวโม่กางแขนออกไปรับตัวเธอเอาไว้ กลายเป็นว่าสวี่โยวลงมานั่งอยู่บนตักของเซียวโม่ เธอขบฟันร้อง ซี้ด แล้วเธอก็จับขาของตัวเอง เมื่อครู่นี้ที่เธอคุกเข่าอยู่ เธอไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อเธอยืนขึ้น เธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าขาของเธอชาไปหมดแล้ว


 


 


           สวี่โยวกลัวว่าเซียวโม่จะโกรธและรู้สึกว่าเธอกำลังแสร้งทำเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเขา เธอจึงรีบลุกขึ้นยืน แต่เธอลืมไปว่าขาของเธอยังชาอยู่ เธอจึงล้มลงไปอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งจะยืนขึ้น


 


 


“เอาละ นั่งดีๆ อย่าขยับไปขยับมาสิ” คำพูดของเซียวโม่ทำให้เธอนั่งนิ่งอยู่บนตักของเขาได้อย่างสบายใจ ชั่วขณะหนึ่งเธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


 


 


เมื่อเซียวโม่เห็นเธอรู้สึกเขินอาย ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงสมัยก่อนที่สวี่โยวพยายามไล่ตามเขา ตอนนั้นเธอสามารถทำได้ทุกอย่าง แต่หัวใจของเขากลับมีถังโจวโจวอยู่แล้ว เขาจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมเหล่านั้นของเธอ


 


 


สวี่โยวนั่งอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าขาของเธอดีขึ้นมากแล้ว เธอเป็นฝ่ายลุกออกมาเอง จู่ๆ เธอก็ปรับความเข้าใจกับเซียวโม่ได้ เธอจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้ แต่เซียวโม่ดูออกว่าเธอไม่สบายใจ “คุณพักผ่อนเถอะ ผมจะลงไปข้างล่างหน่อย”


 


 


“ค่ะ” สวี่โยวพยักหน้าอย่างว่าง่าย และเมื่อเธอเห็นว่าเซียวโม่เดินออกไปแล้ว เธอก็นั่งลงบนเตียง พลางยิ้มอย่างมีความสุข


 


 


หลังจากที่ฉินอวิ๋นได้พบกับถังโจวโจว เธอก็หวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ยิ่งเธอคิดถึงมันมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอสั่งให้คนไปตรวจสอบประวัติของถังโจวโจวในช่วงที่ผ่านมา และยังให้สืบมาด้วยว่าถังโจวโจวเป็นลูกแท้ๆ ของคุณพ่อและคุณแม่ถังไหม


 


 


           ฉินอวิ๋นไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคนที่ต้องปิดไว้ไม่ให้รู้เด็ดขาดก็คือเมิ่งไหวเซิน ยิ่งตอนนี้ในขณะที่เธอยังไม่ทราบผล ฉินอวิ๋นก็ยังทำอะไรไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่รออย่างอดทนเท่านั้น


 


 


           คุณแม่เซียวเห็นว่าหลังจากที่พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกันไปแล้วในวันนั้น เซียวโม่ก็ใส่ใจสวี่โยวมากขึ้น ทั้งเธอและคุณพ่อเซียวมีความสุขมาก เมื่อได้เห็นว่าทั้งสองคนไปด้วยกันได้ดี พวกเขายิ้มและมองดูปฏิกิริยาที่เซียวโม่และสวี่โยวมีต่อกัน บรรยากาศภายในบ้านตระกูลเซียวนั้นดีขึ้นมาก ราวกับว่าไม่เคยผ่านช่วงเวลาน่าอึดอัดกันมาก่อน


 


 


           คุณแม่เซียวยังคงจำได้ขึ้นใจ ตอนนี้สวี่โยวท้องก็ดีแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านั้นเธอต้องทนทุกข์ทรมานใจเพราะถังโจวโจว นี่ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องหาโอกาสระบายความแค้นนั้นออกมา!


 


 


           คุณแม่เซียวเริ่มสนใจทิศทางการเคลื่อนไหวของถังโจวโจวในช่วงนี้ แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้ยินข่าวดี คุณแม่เซียวเชื่อมั่นในข่าวนี้มาก เพราะว่ามันมาจากปากของคุณแม่ลั่วเอง มันจะยังเป็นเรื่องเท็จได้อีกหรือ? แต่หากว่ามีเค้าว่าเรื่องนั้นอาจจะไม่เป็นความจริง เธอก็ยังสามารถรู้ได้จากถังโจวโจวเอง


 


 


           อายุครรภ์ของถังโจวโจวตอนนี้น่าจะประมาณสามหรือสี่เดือนแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องพอดูออกได้บ้าง แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอได้ข่าวมาว่าถังโจวโจวได้สูญเสียลูกของเธอไปแล้ว แบบนั้นก็จะดีมากเลย


 


 


           เสียแรงที่เธอคับแค้นใจ ที่แท้ก็รักษาลูกเอาไว้ไม่ได้ คุณแม่เซียวไม่สนใจหรอกว่าความจริงแล้วมีคนชนถังโจวโจว หรือว่าถังโจวโจวลื่นล้มไปเอง ขอแค่ถังโจวโจวมีชีวิตที่ไม่ดี แค่นี้เธอก็สุขใจแล้ว


 


 


           เดิมทีคุณแม่เซียวก็ไม่ได้เกลียดชังถังโจวโจวมากถึงขนาดนี้ แต่เนื่องจากตอนนั้นเซียวโม่อาละวาดเพราะเรื่องของเธอหนักมาก ขนาดแม่ผู้ให้กำเนิดของเขายังสู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เลย แม้ว่าเซียวโม่จะกลับใจแล้วในตอนนี้ แต่คุณแม่เซียวก็ยังคงเจ้าคิดเจ้าแค้น จากเหตุการณ์นั้นไม่มีทางที่เธอจะรู้สึกดีกับถังโจวโจวได้หรอก!


 


 


           นอกจากนี้ เมื่อตอนที่ถังโจวโจวตั้งท้อง คุณแม่เซียวยังจำท่าทางภูมิอกภูมิใจของเธอได้เป็นอย่างดี ถ้าถังโจวโจวรู้ว่าคุณแม่เซียวคิดเช่นนี้กับเธอ เธอคงจะโกรธมาก เพราะในวันนั้นเธอไม่ได้ทำท่าภาคภูมิใจตรงไหนเลย


 


 


           ในวันนี้ คุณแม่เซียวพาสวี่โยวออกมาเดินเล่น พวกเธอมาที่ร้านเสื้อผ้าเด็กแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนช่วยกันเลือกดูเสื้อผ้าเด็กที่อยู่ในนั้น จิตใจของคุณแม่เซียวและสวี่โยวเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข


 


 


           สวี่โยวสัมผัสหน้าท้องที่ยังไม่นูนเด่นของเธอและนึกถึงการที่เซียวโม่ทำดีกับเธอมากในช่วงนี้ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอช่างเป็นคนที่โชคดีมาก ในที่สุดพวกเขาก็มีวันนี้


 


 


“โยวโยว เราซื้อเสื้อผ้ากลับไปให้เจ้าหนูน้อยที่อยู่ในท้องของหนูกันดีกว่าจ้ะ” คุณแม่เซียวจับตัวนั้น หยิบตัวนี้ เธอรู้สึกชอบมากจนวางไม่ลง เธอต้องเตรียมข้าวของของหลานเธอให้พร้อมทุกอย่าง


 


 


แม้ว่าสวี่โยวจะรู้สึกชอบอยู่เหมือนกัน แต่เธอก็ยังคิดถึงความเป็นจริง “มันไม่เร็วไปหน่อยหรือคะ คุณแม่ ตอนนี้เพิ่งจะสองเดือนกว่าเอง อีกสักพักค่อยมาซื้อก็ได้ ไม่สายเกินไปหรอกค่ะ”


 


 


เมื่อคุณแม่เซียวได้ฟังคำอธิบายของสวี่โยว ในที่สุดเธอก็หยุดความคิดที่จะซื้อเอาไว้ พนักงานขายที่ยืนถัดไปจากพวกเธอ เมื่อเห็นว่าพวกเธอสองคนทำท่าเปลี่ยนใจไม่ซื้อแล้ว ก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย แต่พวกเธอแต่งตัวดี พนักงานขายจึงไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาให้เห็น


 


 


เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าภายในร้านยังมีของสำหรับเด็กอีกมากมาย เธอก็เดินมองซ้ายมองขวา เดินวนอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะดึงสวี่โยวออกมาจากร้าน “โยวโยว อีกแค่ไม่กี่เดือนเองนะลูก แม่จะเตรียมของให้พร้อมก่อนที่ตาหนูจะออกมา”


 


 


คุณแม่เซียวมองไปที่หน้าท้องของสวี่โยวและยิ้มกว้างจนเต็มแก้ม “ย่ากำลังรอหนูอยู่นะจ๊ะ!” สวี่โยวรู้ว่าตั้งแต่ที่คุณแม่เซียวทราบว่าเธอตั้งท้อง คุณแม่เซียวก็ยิ้มแย้มได้ทุกวัน เด็กคนนี้มาได้ทันเวลาจริงๆ


 


 


สวี่โยวฉุกคิดเล็กน้อย “คุณแม่คะ เราไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะค่ะ หนูอยากไปซื้อของสักหน่อย”


 


 


“โอเคจ้ะ ตามใจหนู เราลงลิฟต์กันไปดีกว่านะ” คุณแม่เซียวยืนรอลิฟต์กับสวี่โยวอยู่ตรงนั้น เมื่อลิฟต์พาพวกเธอลงไปถึงชั้นใต้ดิน พวกเธอก็เดินเข็นรถเข็นเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต


 


 


คุณแม่เซียวรับหน้าที่เข็นรถเข็นเอง ในขณะที่สวี่โยวก็เดินอยู่ข้างๆ เธอ สวี่โยวเดินไปรอบๆ ตามใจชอบ เมื่อเธอพบสิ่งที่เธอสนใจ เธอก็จะหยิบมันใส่รถเข็น บางครั้งคุณแม่เซียวก็ต้องเตือนเธอว่ามีของชนิดไหนบ้างที่เธอไม่ควรกินในช่วงนี้ ดังนั้นสวี่โยวก็เลยวางมันกลับไปที่เดิม เธอเชื่อฟังคุณแม่เซียวเป็นอย่างมาก


 


 


ในขณะที่กำลังเดินชอปปิงกัน สายตาอันแหลมคมของสวี่โยวก็สังเกตเห็นคนรู้จักสองคน สวี่โยวหมายจะพาคุณแม่เซียวเดินไปอีกฝั่ง แต่คุณแม่เซียวก็มองไปตรงนั้นเช่นกัน เธอจำได้ในทันทีที่เห็น “นั่นมันยายถังโจวโจวไม่ใช่เหรอ”


 


 


คุณแม่เซียวจำลั่วเซ่าเชินได้ก่อน จากนั้นเธอก็ตั้งใจมองอีกครั้ง แล้วเธอก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างลั่วเซ่าเชินก็คือถังโจวโจว ผู้หญิงที่เธอเกลียดมากที่สุด! ทันใดนั้น คุณแม่เซียวก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที ตอนนี้โยวโยวท้องแล้ว เธอจะต้องไปอวดสักหน่อย


 


 


เนื่องจากถังโจวโจวยืนหันหลังให้พวกเธออยู่ คุณแม่เซียวจึงไม่แน่ใจว่าถังโจวโจวยังท้องอยู่หรือเปล่า แต่สวี่โยวไม่อยากเจอหน้าถังโจวโจวเลย แม้ว่าเธอไม่อยากจะยอมรับ แต่มันก็คือความจริง ตอนนี้เซียวโม่กำลังพยายามจะลืมถังโจวโจวให้ได้ แต่เธอก็รู้ว่าเขายังไม่สามารถลืมได้จนหมดใจ


 


 


สวี่โยวรู้สึกว่าชีวิตของเธอในตอนนี้มีความสุขมาก เธอไม่อยากจะหาเรื่องถังโจวโจวและทำให้ตัวเองไม่สบายใจอีก แต่คุณแม่เซียวก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง


 


 


“คุณแม่คะ ไปกันเถอะค่ะ กลับกันเถอะ” สวี่โยวพยายามทำให้คุณแม่เซียวเลิกล้มความตั้งใจ แต่คุณแม่เซียวกลับจ้องไปที่ถังโจวโจวอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


“ไป โยวโยว ไปกับแม่ลูก แม่อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้มันถึงเวลาที่เราจะเอาคืนแล้ว!”


 


 


คุณแม่เซียวลากสวี่โยวไปหาพวกเขา และเนื่องจากว่าเธอยังคงห่วงใยเด็กที่อยู่ในท้องของสวี่โยวจึงไม่ได้ออกแรงมากนัก แต่เมื่อสวี่โยวมองดูท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของคุณแม่เซียวแล้ว เธอก็กลัวว่าถ้าเธอยับยั้งคุณแม่เซียวอีกครั้ง เธออาจจะโดนดุมากกว่านี้ก็เป็นได้ ดังนั้นเธอจึงฝืนใจเดินตามคุณแม่เซียวไป


 


 


ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินมองดูคนสองคนที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน จากนั้นพวกเขาก็เห็นสีหน้าและท่าทางหาเรื่องของคุณแม่เซียวได้อย่างชัดเจน พวกเขาไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจเข้าอีก


 


 


ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินกำลังเลือกซื้อซี่โครงหมูกันอยู่ เพื่อเตรียมทำซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานในมื้อเย็น พวกเขาไม่ได้กินเมนูกันมานานแล้ว ก็เลยนึกอยากกินขึ้นมา


 


 


ในขณะที่พวกเขากำลังเลือกของกันอยู่ พวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วพวกเขาก็เห็นคุณแม่เซียวยืนอยู่ตรงหน้า ถังโจวโจวพูดคุยกับคุณแม่เซียวอย่างสุภาพว่า “คุณป้าเซียว มีธุระอะไรกับฉันหรือคะ”


 


 


คุณแม่เซียวจับจ้องไปที่หน้าท้องของถังโจวโจว เมื่อเธอเห็นว่าหน้าท้องของเธอแบนราบ คุณแม่เซียวก็สามารถยืนยันข่าวที่เธอรู้มาได้แน่ชัดแล้ว เธอรู้สึกลำพองใจมากขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าท่านช่างมีตาจริงๆ ตอนนี้ลูกสะใภ้ของฉันกำลังตั้งท้อง แต่ลูกของหล่อนน่ะแท้งไปแล้ว


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวเองก็สังเกตเห็นสายตาของคุณแม่เซียว และเมื่อรู้ว่าคุณแม่เซียวจ้องมาที่หน้าท้องของเธอ ถังโจวโจวก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ซึ่งสิ่งที่คุณแม่เซียวทำนั้น ทำให้ถังโจวโจวไม่พอใจอย่างมาก และทำให้เธออดคิดถึงเด็กที่ไม่มีบุญคนนั้นไม่ได้


 


 


แต่คุณแม่เซียวก็ยังคงสาดน้ำมันลงไปบนกองเพลิง “โจวโจว ป้าได้ยินมาว่า…” สายตาของเธอเหลือบมองไปที่ท้องของถังโจวโจวอีกครั้ง


 


 


ถังโจวโจยังไม่ทันได้พูดอะไร ลั่วเซ่าเชินก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “ป้าเซียวครับ มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ทำไม”


 


 


คุณแม่เซียวยังคงรู้สึกกลัวลั่วเซ่าเชินอยู่เล็กน้อย แม้ว่าเขาจะดูไม่หยิ่งยโสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนึ้นมากถึงขนาดนั้น “เซ่าเชิน ป้าก็แค่หวังดีเป็นห่วงเธอ ป้าก็เลยอยากจะมาพูดคุยด้วยสักหน่อย เธอก็อย่าคิดมากเลยนะ”


 


 


ถังโจวโจวส่งเสียง “เฮอะ!” ออกมาเบาๆ ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างสุภาพว่า “คุณป้าไม่ต้องกังวลเรื่องของผมกับโจวโจวหรอกครับ คุณป้าเอาเวลาไปดูแลลูกชายกับลูกสะใภ้ของคุณป้าจะดีกว่า!”


 


 


ทันทีที่คุณแม่เซียวจะพูดถึงลูกสะใภ้ของตัวเอง เธอก็กระตือรือร้นขึ้นมา “พอดีเลยเซ่าเชิน ป้ามีข่าวดีจะบอก โยวโยวท้องแล้วนะ ช่วงนี้ป้าเป็นห่วงโยวโยวมากๆ เลยล่ะ”


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้ยินว่าสวี่โยวท้อง เธอก็ชะงักกึก พลางพูดออกมาทันที “ยินดีด้วยนะคะ!”


 


 


ทันใดนั้น คุณแม่เซียวก็รู้สึกว่าแบบนี้มันน่าเบื่อเกินไป เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเป็นพิเศษ ทำไมเธอถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย คุณแม่เซียวเงียบลงทันทีและยืนอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ


 


 


เมื่อสวี่โยวเห็นว่าถังโจวโจวแสดงความยินดีกับเธอด้วยความจริงใจ เธอก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณนะ โจวโจว!” สวี่โยวรู้สึกขอบคุณถังโจวโจวจากใจจริง เมื่อก่อนเป็นเธอเองที่คิดมากเกินไป ความจริงแล้วถังโจวโจวไม่เหลือเยื่อใยให้เซียวโม่เลยสักนิด


 


 


แต่หัวใจของเธอบอบบางมากเกินไป แค่ลมพัดหญ้าไหวเธอก็คิดมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ที่ผ่านมาเซียวโม่ยังมีท่าทางแบบนั้นอีก ดังนั้นสวี่โยวจึงรู้สึกว่าไม่มั่นคง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน เธอมีลูกเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว


 


 


ถังโจวโจวสังเกตดูที่หน้าท้องของสวี่โยว แต่มันก็ยังเห็นไม่ชัด “กี่เดือนแล้วเหรอ”


 


 


สวี่โยวลูบหน้าท้อง “สองเดือนกว่าแล้ว เราเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เอง”


 


 


แววตาของถังโจวโจวดูเศร้าสลด ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเธอ “โจวโจว เราซื้อของเสร็จแล้ว กลับกันเถอะ”


 


 


“ค่ะ” ถังโจวโจวรีบก้าวออกมาจากความคิดของเธอในทันที หลังจากที่เธอและลั่วเซ่าเชินบอกลาคุณแม่เซียวและสวี่โยวแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังจุดชำระเงิน


 


 


ลั่วเซ่าเชินโอบไหล่ถังโจวโจว “คุณไม่ต้องเสียใจไปนะ ถ้าเราพยายาม เราก็มีอีกคนได้”


 


 


“แต่ก็ไม่เหมือนกันนี่คะ ถึงจะมีอีกคน แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กคนนั้น” แน่นอนว่าลั่วเซ่าเชินเข้าใจในสิ่งที่เธอพูด


 


 


เขาพูดเสริมว่า “แต่เราก็ต้องพยายามคิดในทางที่ดีไว้ แม้เขาจากเราไปแล้ว แต่เขาคงไม่อยากให้เราจมอยู่กับความทุกข์ในอดีตหรอก”


 


 


เมื่อได้คุยเรื่องลูกกับลั่วเซ่าเชินอีกครั้ง น้ำตาของถังโจวโจวก็เอ่อล้นขึ้นมา แต่หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินปลอบเธอแล้ว เธอก็สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ “เอาเถอะค่ะ เราอย่าคุยกันเรื่องนี้เลย เรากลับกันเถอะค่ะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินลูบไหล่เธอเบาๆ ถังโจวโจวกลับมายิ้มได้อีกครั้ง พวกเขายืนอยู่ที่จุดชำระเงิน ลั่วเซ่าเชินเป็นคนที่หยิบบัตรเครดิตออกมา ถังโจวโจวก็ไม่ได้คิดที่จะจ่ายเงินอยู่แล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็ถือของกลับไปที่รถและกลับบ้านด้วยกัน

 

 

 


ตอนที่ 126

 

วันนี้ถังโจวโจวได้รับโทรศัพท์จากหลินเหยาอย่างกะทันหัน เมื่อถังโจวโจวดูเวลา ตอนนี้ควรจะเป็นเวลาที่หลินเหยาทำงานอยู่สิ ทำไมจู่ๆ เธอถึงได้โทรมาล่ะ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?


 


 


ความคิดวูบหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในใจของถังโจวโจวถูกสลัดทิ้งไป เมื่อเธอกดรับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล เหยาเหยา ว่ายังไง”


 


 


 “…โจวโจว เขากลับมาแล้ว” หลินเหยาพูดประโยคนี้ด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ถังโจวโจวก็เข้าใจได้ทันที


 


 


 “เขา? …หลิวเหยียนเหรอ”


 


 


 “ใช่ เขากลับมาหาฉันแล้ว” น้ำเสียงของหลินเหยานั้นฟังดูไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน แน่นอนว่าถังโจวโจวเข้าใจความรู้สึกของเธอ ไม่ว่าจะเป็นแฟนเก่าของใครกลับมาก็ตาม ล้วนไม่ดีต่อความรู้สึกทั้งนั้น


 


 


 “เขาพูดอะไรกับเธอ” ถังโจวโจวเพียงแต่รู้สึกแปลกใจ เหยาเหยาเคยบอกว่าหลิวเหยียนคบกับผู้หญิงที่เป็นเศรษฐีใหม่ไปแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้กลับมายื้อความสัมพันธ์กับหลินเหยาอีกล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้อยู่ต่างประเทศอย่างมีความสุขไปแล้วหรือ กลับมาทำไมกัน?


 


 


“เขาบอกว่าเขาอยากกลับมาคืนดีกับฉัน โจวโจว ตอนนี้ในใจฉันสับสนมากเลย เธอออกมาอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม” หลินเหยาคิดไม่ถึงเลยว่าหลิวเหยียนจะกลับมา เพราะว่าก่อนหน้านี้เธอไม่มีความสุขที่จะคบกับเขาแล้วจึงต้องเลิกรากัน แต่หลิวเหยียนยังมีหน้ากลับมาหาเธอในตอนนี้ เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร


 


 


แม้ว่าปากของหลินเหยาจะพูดว่าไม่ใส่ใจ แต่ก็ยากจะเป็นไปได้ ความรู้สึกที่มีต่อคนคนหนึ่งมานานหลายปี จะมาบอกว่าปล่อยก็ปล่อยได้เลยอย่างนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นหลินเหยาเองก็มีความคิดอยากจะแต่งงานกับหลิวเหยียนด้วย ใครจะไปรู้เล่าว่าเขาร่วมทุกข์กับเธอได้ แต่กลับแพ้ความร่ำรวยของผู้หญิงคนอื่นเสียนี่ หลินเหยาได้แต่เกลียดตัวเองที่มองคนผิด


 


 


 “เหยาเหยา ทำไมเขาถึงได้ไร้ยางอายแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังมีหน้ากลับมาหาเธออีก เธอคงไม่ได้ตอบรับอะไรเขาไปหรอกใช่ไหม” ดูเหมือนว่าถังโจวโจวจะโมโหมากกว่าหลินเหยาเสียอีก ต้องโทษหลิวเหยียนที่หน้าไม่อาย เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นรวยมาก เขาถึงทิ้งเหยาเหยาไป เธอเกลียดผู้ชายนิสัยแย่ๆ แบบนี้ที่สุดเลย


 


 


“โจวโจว เธอออกมาก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวฉันจะเล่าให้เธอฟังอย่างละเอียดเลย”


 


 


“ได้ ฉันจะรีบออกไป”


 


 


ถังโจวโจวมาถึงร้านกาแฟก็เห็นว่าหลินเหยานั่งอยู่ตรงที่นั่งริมหน้าต่าง เอาแต่เหม่อลอยมองออกไปข้างนอก ถังโจวโจวพบว่าหลังจากที่หลินเหยากลับมา เธอก็ไม่เคยเห็นหลินเหยาหมดอาลัยตายอยากแบบนี้มาก่อน เห็นอย่างนี้แล้ว ดูท่าหลินเหยาคงยังปล่อยวางไม่ได้จริงๆ


 


 


ถังโจวโจวก็เข้าใจ ความรู้สึกแบบนี้ใช่ว่าพูดแล้วจะทำได้เลย หลังจากถังโจวโจวนั่งลงแล้วก็สั่งเพียงน้ำร้อนแก้วหนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นว่าดวงตาของหลินเหยาแดงก่ำ


 


 


“เหยาเหยา เธอร้องไห้เหรอ!” ถังโจวโจวมองหลินเหยาด้วยความตกใจ ในสายตาของเธอหลินเหยาเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด อีกทั้งตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอและหลินเหยาก็สนิทกันมาก เธอไม่เคยเห็นหลินเหยาร้องไห้เลยสักครั้ง


 


 


หลินเหยารีบปาดน้ำตาออก “ไม่เป็นไร ฉันก็แค่นึกถึงอดีตน่ะ พอกลับมามองตัวเองตอนนี้ มีบางอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อก็แค่นั้นเอง”


 


 


หลังจากที่หลินเหยาเลิกกับหลิวเหยียน หลินเหยาก็รู้ถึงความคิดในใจของเขา เธอกับเขาทั้งสองคนเกิดในครอบครัวธรรมดาๆ เมื่อต้องออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกประเทศ แน่นอนว่าย่อมไม่คุ้นชิน ต้องทำงานไปเรียนไป ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก


 


 


แล้วในตอนนั้นหลินเหยากับหลิวเหยียนก็อยู่กันคนละที่ แต่หลินเหยาก็มักจะหาเวลามาหาหลิวเหยียนบ่อยๆ ขณะที่หลิวเหยียนในช่วงนั้นก็ถูกสาวบ้านรวยคนหนึ่งตามจีบอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ตอนแรกหลิวเหยียนก็ไม่ได้ชอบพออะไรกับหญิงสาวคนนั้น แต่พอเวลาผ่านไปใจก็เริ่มเปลี่ยน เขาค่อยๆ ชอบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ หลิวเหยียนเริ่มมองเห็นข้อดีของเธอ ส่วนเธอทันทีที่รู้ว่าหลิวเหยียนต้องทำงานพาร์ทไทม์ตลอด และได้ค่าตอบแทนไม่มากสักเท่าไร เธอจึงฝากเขาเข้าทำงานที่บริษัทของตัวเองให้


 


 


รายได้ของหลิวเหยียนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ใช้ชีวิตก็ไม่ลำบากเหมือนเมื่อก่อน รวมทั้งหญิงสาวก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าหลินเหยาไม่อยู่ข้างเขาตลอดเวลา เขาจึงเริ่มใจอ่อน ค่อยๆ ไปมาหาสู่กับหญิงสาวคนนั้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ


 


 


แล้วเพียงแค่เมาครั้งเดียวก็ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เดิมทีหลิวเหยียนมองเธอเป็นเพียงเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น แล้วเขายังปิดบังหลินเหยามาได้ตั้งนานอีกด้วย ดังนั้น หลินเหยาถึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไป


 


 


การเมาในครั้งนั้น ทำให้หลิวเหยียนกับหญิงสาวคนนั้นเกิดความสัมพันธ์เกินเลยกันขึ้น เดิมทีเธอก็ไม่ได้เอ่ยปากขอให้เขารับผิดชอบอะไร แต่เป็นหลิวเหยียนเองที่รู้สึกละอายใจ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรับผิดชอบ


 


 


หลังจากนั้นหลินเหยาก็ได้รับรู้เรื่องนี้ ในตอนแรกหลินเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ สุดท้ายหลิวเหยียนก็ออกมายอมรับด้วยตัวเอง หลินเหยาจึงขอเลิก แต่หลิวเหยียนไม่ยอม ภายหลังหญิงสาวคนนั้นบอกว่าเธอท้องแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลิวเหยียนจำต้องเลิกกับหลินเหยา


 


 


ต่อมาเมื่อหลินเหยาเรียนจบ เธอก็ไม่ได้ติดตามข่าวคราวของหลิวเหยียนกับผู้หญิงคนนั้นอีกเลย หลังจากนั้นหลินเหยาก็กลับประเทศ จิตใจเธอสงบลงได้มาตั้งนาน แต่จู่ๆ หลิวเหยียนก็กลับมาหาเธออย่างนี้ หลินเหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอกำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบไหน


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวฟังหลินเหยาเล่าเรื่องของเธอกับหลิวเหยียนอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้หลินเหยาเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมาโดยตลอด ถังโจวโจวเองก็ไม่อยากบังคับ เมื่อฟังจบ ถังโจวโจวกับหลินเหยาต่างก็เงียบกันไปอยู่นาน


 


 


“เหยาเหยา เธออยากกลับไปคบกับเขาเหรอ แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ? เลิกกับเขาไปแล้วเหรอ” ถังโจวโจวคิดว่า ถ้าหากหญิงสาวคนนั้นรักหลิวเหยียนมาก คงไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่ ไม่ใช่ว่าพวกเขามีลูกด้วยกันแล้วคนหนึ่งหรือ?


 


 


หลินเหยาส่ายหัว “ฉันไม่ได้ถาม และฉันก็ไม่อยากรู้ด้วย ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ” ในใจของหลินเหยาว้าวุ่นมาก เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะกลับไปคบกับหลิวเหยียนได้อย่างไร


 


 


เธอยังไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคภายในใจไปได้ ถังโจวโจวเห็นว่าเธอกำลังสับสนถึงเพียงนี้ จึงเสนอความเห็นออกมา “เหยาเหยา เธอทำตามหัวใจตัวเองก็พอ ลองกลับไปติดต่อเขาดูก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็แค่ไม่ต้องสนใจเขาอีก เท่านี้ก็พอแล้ว”


 


 


หลินเหยาได้ยินถังโจวโจวพูดแบบนี้ก็หลุดยิ้มออกมา “โจวโจว ความหมายของเธอคือต้องการให้ฉันทดลองสินค้าก่อนอย่างนั้นเหรอ”


 


 


ถังโจวโจวเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดจาแปลกๆ “อ๊ะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ก็เธอไม่ได้บอกเองเหรอว่าเธอไม่รู้ว่าใจตัวเองกำลังคิดยังไง? ฉันก็เลยแนะนำให้เธอพิสูจน์กับความเป็นจริงเท่านั้นเอง ถ้าหากในใจของเธอยังลืมความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเขาในอดีตไม่ได้ หรือว่าเธอยังรักเขาอยู่ก็ตาม ถ้าอย่างนั้นเธอก็แค่ให้อภัยเรื่องในอดีตของเขาซะ”


 


 


 “แต่ฉันลืมการหักหลังของเขาในอดีตไม่ได้ เรื่องนั้นมันฝังอยู่ในใจฉัน ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก พอไปโดนก็รู้สึกเจ็บอีก” หลินเหยาจับหน้าอกแสดงให้รับรู้ว่าเธอเจ็บสุดๆ


 


 


ถังโจวโจวเปลี่ยนไปนั่งข้างๆ เธอ แล้วก็กอดเธอเอาไว้ “เหยาเหยา เธออยากร้องก็ร้องเถอะ ร้องออกมาให้หมดเลยก็ได้นะ” ถังโจวโจวรู้ดีว่าในใจของหลินเหยาเจ็บปวด จึงทำได้แค่เพียงปลอบใจอยู่ข้างๆ เธอเท่านั้น


 


 


“โจวโจว ใจของฉันมันเจ็บปวดมากจริงๆ ฮือ… ฮือ… เขาจะกลับมาทำไม” ถังโจวโจวไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี เธอทำได้แค่ตบบ่าของหลินเหยาเพื่อปลอบประโลมเท่านั้น


 


 


หลังจากที่ร้องไห้อยู่นาน อารมณ์ของหลินเหยาก็สงบลงมาก “เหยาเหยา ตอนนี้เธอดีขึ้นมากแล้วใช่ไหม เธอไม่ต้องคิดมากแล้ว ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเถอะนะ”


 


 


“ได้ ฉันเชื่อเธอ จะไม่คิดมากแล้ว คิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น” ถึงแม้ว่าหลินเหยาจะไม่ได้ถามหลิวเหยียนถึงหญิงสาวคนนั้นว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แต่เธอคิดว่า หล่อนไม่มีทางปล่อยหลิวเหยียนมาง่ายๆ แบบนี้แน่


 


 


ปีนั้นก็บอกว่าท้องแล้ว ถ้าหากเด็กคนนั้นยังอยู่ล่ะ ตอนนี้ก็คงอายุหนึ่งถึงสองขวบแล้วสิ แต่จากที่สังเกตดูหลิวเหยียนในครั้งนี้ ไม่เห็นเขาพูดถึงปัญหานี้เลย ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจปิดบังเอาไว้ หรือว่าเด็กคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกแล้วกันแน่?


 


 


จากนั้นถังโจวโจวก็ไปเป็นเพื่อนหลินเหยาทุกที่ ทั้งสองคนดื่มกินกันอย่างเพลิดเพลิน หลินเหยายังอยากให้ถังโจวโจวไปบาร์เป็นเพื่อน แต่ถังโจวโจวรีบปฏิเสธทันที ตอนนี้มีแค่พวกเธอที่เป็นผู้หญิงกันสองคน เธอกลัวว่าหากเธอกับหลินเหยาเข้าไปดื่มกันต่อในบาร์แล้ว เกิดเมามายจนควบคุมตัวเองกันไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร


 


 


ถ้าหากพวกเธอดื่มกันอย่างบ้าคลั่งแล้วดันไปเจอคนไม่หวังดี ถึงเวลานั้นพวกเธอก็คงยากจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ดังนั้น ถังโจวโจวจึงปฏิเสธสุดกำลัง


 


 


หลินเหยาไม่มีกะจิตกะใจจะกลับไปทำงานอีก เธอจึงตรงกลับบ้านเสียเลย เมื่อเข้าห้องมาแล้วเธอก็ได้แต่มองห้องที่ว่างเปล่า จู่ๆ เธอก็คิดว่าหากมีใครสักคนมาร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน ช่วยทำให้ห้องนี้มีชีวิตชีวามากขึ้นก็คงจะดี


 


 


หลังจากนั้นไม่กี่วัน หลิวเหยียนก็มาพบกับหลินเหยาอีกครั้ง พนักงานในสำนักพิมพ์ต่างให้ความสนใจเขามาก พูดได้เลยว่าที่หลิวเหยียนสามารถทำให้หญิงสาวบ้านรวยคนนั้นมาชอบพอเขาได้ ก็เพราะใบหน้านี้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก


 


 


อีกทั้งวันนี้หลิวเหยียนก็ใส่สูท ดูดีกว่าเมื่อก่อนมากจนผิดหูผิดตา อย่างน้อยหลินเหยาก็เคยเห็นเขาในสภาพที่ย่ำแย่ที่สุด เมื่อนึกเปรียบเทียบกับตอนนี้แล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ


 


 


หลินเหยาไม่อยากให้คนในสำนักพิมพ์นิตยสารนินทาเธอกับหลิวเหยียน ดังนั้น เมื่อหลิวเหยียนกำลังเดินเข้ามาในสำนักงานของเธอ เธอจึงพาเขาออกไปข้างนอก หลินเหยาเดินนำหน้า หลิวเหยียนเดินตามหลังอย่างเชื่อฟัง


 


 


พวกเขาไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อพนักงานเสิร์ฟกาแฟของพวกเขาเสร็จแล้ว หลินเหยาก็ถามอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “นายมีธุระอะไรกับฉัน”


 


 


หลิวเหยียนเห็นว่าหลินเหยายังคงเหมือนเมื่อก่อน กล้ารักและกล้าเกลียด การแสดงสีหน้าท่าทางก็ยังคงชัดเจนเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


หลิวเหยียนมองหลินเหยานิ่งๆ หลินเหยาเองก็สังเกตเห็นแววตาของเขา จู่ๆ ในใจของหลินเหยาก็เกิดความรู้สึกเกลียดชังขึ้นมา นี่เขาคิดจะทำอะไร มาแสดงให้เห็นว่าความรักที่ลึกซึ้งของเขาเป็นยังไงในตอนนี้อย่างนั้นหรือ?


 


 


“อาเหยา เรากลับมาคบกันเถอะ! ฉันเลิกกับเฉินซีไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเฉินซีอีกแล้ว” หลิวเหยียนพูดอย่างจริงใจ แต่หลินเหยากลับรู้สึกว่าเขาน่ารังเกียจ


 


 


หลินเหยาคิดว่าหลิวเหยียนช่างน่าตลกสิ้นดี เพียงแค่เขาเลิกรากับผู้หญิงคนนั้น เธอก็ควรให้อภัยเขาง่ายๆ เลยอย่างนั้นหรือ? หลินเหยารู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองเจ็บปวดจนทำให้เสียพลังใจไปมาก มาตอนนี้ถึงเพิ่งคิดได้ว่า ทำไมตอนนั้นเธอจะต้องเสียอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเพื่อผู้ชายแบบนี้ด้วย


 


 


“หลิวเหยียน แล้วเธอยินยอมด้วยหรือเปล่า ทุกอย่างที่นายมีตอนนี้ ให้ฉันเดาก็คงเป็นสิ่งที่เธอให้นายหมดเลยสินะ? แล้วถ้านายเลิกกับเธอ อาชีพของนายจะไม่ได้รับผลกระทบไปด้วยเหรอ” หลินเหยาเพียงแค่เดาไปอย่างนั้นเอง แต่สีหน้าของหลิวเหยียนกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่หลินเหยาคาดคะเนนั้นเป็นเรื่องจริง


 


 


ความจริงแล้วหลิวเหยียนเป็นฝ่ายเดียวที่พูดเรื่องเลิกรากับสวีเฉินซี แต่สวีเฉินซีไม่ได้ยินยอมด้วยเลย เธอกับเขาทะเลาะกันอย่างหนัก หลิวเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาลืมรักเก่าไม่ได้ หรือเป็นเพราะเขาทนเธอไม่ไหวอีกต่อไปกันแน่ สุดท้ายก็ตัดสินใจแน่วแน่โดยเลือกเดินออกมาเอง


 


 


แต่ตอนนี้หลิวเหยียนก็ยังไม่ได้ออกจากบริษัทของตระกูลสวี แค่อ้างว่าถูกสำนักงานใหญ่ส่งมายังสาขาในประเทศในฐานะผู้จัดการทั่วไปเท่านั้น


 


 


“อาเหยา เธอวางใจได้ ตอนนี้ฉันสามารถอยู่คนเดียวได้แล้ว เธอสบายใจที่จะมาอยู่กับฉันได้เลย เฉินซีไม่มีทางมายุ่งวุ่นวายกับเธอได้อีกแล้ว” หลิวเหยียนทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นเหมือนว่าที่เขากับหลินเหยาต้องเลิกรากันนั้นเป็นเพราะสวีเฉินซีบังคับเขามาโดยตลอด


 


 


หลินเหยารู้สึกว่าหลิวเหยียนเปลี่ยนไป นับวันจะยิ่งเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ “หลิวเหยียน นายเองก็เป็นลูกผู้ชาย นายกล้าทำทำไมถึงไม่กล้ารับล่ะ” หลินเหยารู้สึกว่าหลิวเหยียนเปลี่ยนไปจนเป็นคนที่เธอแทบไม่รู้จักแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วเป็นเธอที่เปลี่ยนไปหรือเขาเปลี่ยนไปกันแน่?


 


 


“อาเหยา เฉินซีต่างหากเป็นฝ่ายบังคับให้พวกเราต้องเลิกกัน ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดเลยนะ” หลิวเหยียนพูดด้วยความมั่นใจ


 


 


หลินเหยากลับยิ่งคิดว่าเขาไร้ยางอายมากเหลือเกิน เรื่องที่ตัวเองเป็นคนทำกลับโยนความผิดไปให้ผู้หญิงที่อ่อนแอคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าหลินเหยาจะไม่ค่อยเต็มใจพูดแทนสวีเฉินซีสักเท่าไร แต่เธอไม่อาจยอมรับพฤติกรรมแบบนี้ของหลิวเหยียนได้มากกว่า นี่คือหมดประโยชน์แล้วก็เลยคิดจะทิ้งหล่อนอย่างนั้นหรือ?


 


 


“เอาเถอะ แม้ว่านายจะคิดว่ามันเป็นความผิดของเธอ แล้วลูกของนายล่ะ เรื่องนี้ฉันคงไม่ได้จำผิดหรอกนะ?”


 


 


หลิวเหยียนร้อนรนมากขึ้นไปอีก “อาเหยา ไม่มีเรื่องลูกอะไรนั่นเลย เฉินซีหลอกฉันมาตั้งแต่แรก ไม่มีเรื่องลูกอะไรทั้งนั้น”


 


 


หลิวเหยียนใช้เวลาไปตั้งนานหลายปีกว่าจะกลับมาหาหลิวเหยาได้ในตอนนี้ เพราะเขาอยากจะเปิดธุรกิจของตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยอิทธิพลของสวีเฉินซีอีก ตอนนี้เขาใกล้จะทำความฝันนั้นสำเร็จแล้ว ขณะเดียวกันความคิดถึงที่เขามีต่อหลินเหยาก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ แล้วก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งทะเลาะกับสวีเฉินซีมาอีก หลิวเหยียนจึงเดินทางกลับประเทศมาเลย


 

 

 


ตอนที่ 127

 

“หลิวเหยียน ระหว่างฉันกับนายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันแล้วล่ะ แล้วไม่ว่านายจะมีหรือไม่มีลูก นายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านายเคยทรยศฉัน ยิ่งตอนนี้นายเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง!” 


 


 


หลินเหยามองหลิวเหยียนเหมือนมองเห็นสิ่งสกปรก แล้วหลินเหยาก็เห็นว่าหลิวเหยียนกำลังโกรธ เธอเมินเฉยอย่างไม่สนใจ ทีแรกเธอคิดว่าหลิวเหยียนจะเดินออกไปเลยด้วยความฉุนเฉียว แต่คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ เขาจะยิ้มออกมา และยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วย ดูท่าว่าหลายปีมานี้ความอดทนของเขาจะเพิ่มขึ้นมากเลย 


 


 


“เหยาเหยา ตอนนี้เธออาจจะยังโกรธอยู่ก็เลยไม่ได้คิดให้ดี แต่ไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าเธอยังมีความรู้สึกดีๆ กับฉันอยู่” หลิวเหยียนพูดจบก็จากไป หลินเหยามองดูเงาจากด้านหลังเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงได้หลงไปกับภาพลวงตาของเขาได้ขนาดนี้กันนะ? 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่หลิวเหยียนคนที่เธอรักมากคนนั้นอีกต่อไปแล้ว เขาอยู่ในสังคมที่ผ่านการทำงานหนัก ความคิดความอ่านเลยไม่เหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งเขายังไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงเชื่อมั่นว่าเธอยังคงรักเขาอยู่? 


 


 


ตอนแรกหัวใจของหลินเหยาก็ยังดูลังเล แต่เมื่อผ่านการสนทนาครั้งนี้กับหลิวเหยียนแล้ว ทำให้เธอตัดสินใจได้เด็ดขาด เธอไม่มีทางกลับไปกินหญ้าเน่าๆ ต้นนี้แน่นอน 


 


 


หลินเหยาเพิ่งจะกลับมาถึงสำนักพิมพ์นิตยสาร ก็มีพนักงานจากส่วนประชาสัมพันธ์คนหนึ่งเข้ามาบอกกับเธอว่ามีคนมาขอพบเธอ เธอแปลกใจมาก วันนี้เป็นวันอะไรกัน ทำไมถึงได้มีแต่คนอยากมาหาเธอ “ได้บอกไหมว่าเป็นใคร” 


 


 


“ไม่ได้บอกค่ะ เธอบอกแค่ว่ามาหาคุณ” 


 


 


หลินเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ให้เธอเข้ามาได้” 


 


 


ประตูห้องของหลินเหยาถูกเปิดออกอีกครั้ง หญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาท่าทางดูดี แต่งตัวแฟชั่นทันสมัยเดินเข้ามาในห้องทำงานของเธอ หากเป็นเวลาปกติ หลินเหยาคงจะพูดทักทายอย่างเป็นกันเอง แต่ผู้หญิงคนนี้กลับโผล่มาในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะไม่ควร เธอไม่รีบไล่ออกไปก็ถือว่าใจดีมากแล้ว 


 


 


“หลินเหยา ไม่เจอกันนานเลยนะ” ผู้มาเยือนยิ้มพลางทักทายเธอ ใบหน้าแต่งด้วยเครื่องสำอางชั้นดีดูเนียนละมุน กลิ่นหอมอบอวลไปด้วยน้ำหอมของชาแนล 


 


 


“ใช่ ไม่เจอกันนานเลย สวีเฉินซี” 


 


 


‘ไม่ได้เจอกันมานานเท่าไรแล้วนะ? หนึ่งปี สองปี สามปี…’ หลินเหยาเคยคิดไว้ว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้เจอสวีเฉินซีกับหลิวเหยียนอีก คิดไม่ถึงเลยจริงๆ สองคนนี้ตกลงกันมาก่อนหรืออย่างไร เดี๋ยวคนนี้คนนั้นก็มาหาเธอ? 


 


 


“เธอมาหาหลิวเหยียนใช่ไหม โทษทีนะ คงต้องทำให้เธอผิดหวังแล้วล่ะ เขาเพิ่งจะกลับไป” หลินเหยาหมุนปากกา นั่งอยู่บนเก้าอี้เบาะหนัง เธอมองตรงไปยังสวีเฉินซี รู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้คนตรงหน้าเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ดูเหมือนว่าจะไปกันได้ไม่เลวเลยกับหลิวเหยียน 


 


 


สวีเฉินซีเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่เหมาะสมอะไรออกมาเมื่อได้ยินชื่อของหลิวเหยียน เธอเพียงหัวเราะเบาๆ “หลินเหยา เธอเข้าใจผิดแล้ว วันนี้ฉันไม่ได้มาหาเขา ฉันตั้งใจมาหาเธอโดยเฉพาะ” 


 


 


“หาฉัน? ระหว่างเรามีอะไรต้องพูดกันด้วยเหรอ เรื่องพัวพันระหว่างพวกเราสามคนไม่ได้จบกันไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้วเหรอ พวกคุณสองคนต่างก็มาหาฉัน ต้องการอะไรกันแน่” 


 


 


“เธอถือสาไหมถ้าฉันจะชวนเธอออกไปดื่มกับฉันสักแก้ว” สวีเฉินซีทัดผมที่หล่นลงมาไว้ข้างหู กระเป๋าหลุยส์สีขาวที่ถืออยู่ในมือก็โดดเด่นขึ้นมา 


 


 


หลินเหยานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในสำนักพิมพ์เริ่มวุ่นวายแปลกๆ ตอนแรกการมาของหลิวเหยียนก็ทำให้พนักงานข้างนอกอยากรู้อยากเห็นมากพอแล้ว ตอนนี้ยังมีสวีเฉินซีมาอีกคน พวกเธอจะยังทำงานกันต่อได้อยู่อีกไหม 


 


 


หลินเหยาหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนเก้าอี้ “ไปกันเถอะ” 


 


 


สวีเฉินซีรู้ดีว่าหลินเหยาจะต้องตอบตกลง หลินเหยาไม่เปลี่ยนไปเลยในหลายปีที่ผ่านมานี้ ยังคงมีแววตาหยิ่งผยองเหมือนเดิม ในตอนนั้นเธอก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้นี่แหละ ถึงสามารถทำให้หลินเหยาเป็นฝ่ายขอเลิกกับหลิวเหยียนได้ 


 


 


หลินเหยามองไปยังสวีเฉินซีที่นั่งอยู่ตำแหน่งที่หลิวเหยียนเพิ่งจะนั่งไป จู่ๆ เธอก็รู้สึกเอือมระอา สองคนนี้เป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม มาหาฉันทีละคนสองคน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าฉันกับหลิวเหยียนไม่ได้เกี่ยวข้องกันตั้งหลายปีแล้ว ทะเลาะกันเองแล้วกลับยังมาดึงฉันเข้าไปเกี่ยวด้วยจนได้อีก! 


 


 


สวีเฉินซีดื่มกาแฟด้วยอารมณ์ที่ดูมีความสุขมาก แต่หลินเหยาไม่อยากเล่นสงครามประสาทกับเธอ “เธอพูดออกมาเถอะว่ามีธุระอะไรถึงมาหาฉัน” 


 


 


สวีเฉินซีส่งบัตรเชิญสีแดงให้หลินเหยา หลินเหยาสังหรณ์ใจเล็กน้อย “นี่เป็นบัตรเชิญงานหมั้นของฉันกับหลิวเหยียน เชิญเธอไปร่วมงานด้วยนะ” 


 


 


‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’ หลินเหยามองสวีเฉินซี ‘เธอทำแบบนี้ต้องการอะไร แค่อยากจะมาอวดฉันเท่านั้นเหรอ’ 


 


 


“เธอไม่กลัวว่าฉันจะแย่งเขาคืนบ้างเหรอ” หลินเหยาเอียงหัวพลางถามกลับไป หลิวเหยียน คนหลอกลวง ยังกล้าดีมาบอกว่าจบกับสวีเฉินซีไปแล้ว ช่างไม่กลัวฟ้าผ่าเอาเสียเลย! 


 


 


“ถ้าคิดว่าแย่งไปได้ก็ลองดูสิ” สวีเฉินซีพูดอย่างมั่นใจ หากหลิวเหยียนยังอยากจะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเช่นตอนนี้ เขาก็จำเป็นต้องแต่งงานกับเธอ แต่หากหลิวเหยียนไม่สนใจทั้งหมดนั่นแล้ว อย่างนั้นเธอก็คงไม่มีทางเลือก 


 


 


หลินเหยาสงสัยว่าจริงๆ แล้วสวีเฉินซีคิดอย่างไรกันแน่ เห็นๆ อยู่ว่าใจของผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ที่เธอ กลับยังอยากจะจัดงานแต่งงานกับเขาเพื่ออะไรกัน แล้วหลินเหยาก็พูดตามสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา สวีเฉินซีหัวเราะขึ้นมาทันที 


 


 


“หลินเหยา ผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ก็เหมือนกันหมด แล้วทำไมฉันจะไม่เลือกคนที่ฉันสามารถควบคุมได้ล่ะ หากวันหนึ่งพวกเราเกิดรักกันขึ้นมาได้จริงๆ นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีที่สุด แต่หากมันเป็นไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ยังไงซะสมบัติตระกูลสวีหลังจากนี้ก็ต้องเป็นของฉันทั้งหมด หากหลิวเหยียนยังอยากได้ทุกอย่างก็แค่พึ่งฉันไปตลอดชีวิต” 


 


 


คำพูดนี้ของสวีเฉินซีช่างไร้เหตุผลเสียจริง ถ้าหากหลินเหยาไม่รู้จักเธอล่ะก็ คงจะลุกขึ้นปรบมือให้เธอแล้ว แต่หลินเหยาไม่เพียงแค่รู้จักเธอ ยังถูกเธอแย่งแฟนไปอีก จากเรื่องราวในวันนี้ทำให้หลินเหยารู้ได้เลยว่า แท้จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ปกติ! 


 


 


“เอาเถอะ ฉันกับเธอมันอยู่กันคนละโลกอยู่แล้ว นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องอะไรอีกไหม” หลินเหยาถามตัดบท ในเมื่อยิ่งพูดคุยก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันต่อแล้ว และเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องส่วนตัวของสวีเฉินซี ผู้หญิงคนนี้จะรักหรือไม่รักใครก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ 


 


 


สวีเฉินซีเข้าใจว่าหลินเหยายียวนเธอ ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นขึ้นมา “หลินเหยา เธออย่าได้เชื่อคำพูดหลอกลวงของหลิวเหยียนเชียวนะ ถ้าหากเธอกับเขากลับมาคบกันอีกครั้ง ฉันจะไม่ทนพูดอย่างใจเย็นแบบนี้หรอก!” 


 


 


หลินเหยาไม่ได้สนใจท่าทางคุกคามของสวีเฉินซี “ถ้าฉันกลับไปคบกับเขา เธอจะทำอะไรฉันงั้นเหรอ สวีเฉินซี ฉันขอแนะนำนะ ถ้าเธออยากให้เขาสนใจ เธอก็ควรจะให้ใจกับผู้ชายคนนี้มากกว่านี้หน่อย ทำไมต้องเอาฉันเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ถ้าหากเขาไม่มีใจจะอยู่ตรงนี้จริงๆ ต่อให้ไม่ใช่ฉันก็เป็นคนอื่นอยู่ดี” 


 


 


แต่สวีเฉินซีกลับไม่คิดอย่างนั้น ตอนนี้คนที่อยู่ในหัวใจของหลิวเหยียนมีเพียงหลินเหยาคนเดียวเท่านั้น เขาไม่มีทางไปรักคนอื่นได้ และตราบใดที่หลินเหยายังคงเมินเฉยเขาอยู่ หลิวเหยียนก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ 


 


 


แม้ว่าสวีเฉินซีจะพูดต่อหน้าหลินเหยาราวกับไม่สนใจว่าหลิวเหยียนจะรักเธอหรือไม่ แต่จะมีผู้หญิงคนไหนกันที่ไม่อยากได้รับความรักจากสามี ใครอยากจะเป็นคนสองคนที่นอนร่วมเตียงแต่ฝันถึงคนต่างกัน สวีเฉินซีรู้แค่เพียงว่าเธอไม่สามารถบังคับหลิวเหยียนได้ มิเช่นนั้นเขาก็มีแต่จะรังเกียจเธอมากขึ้น 


 


 


“ฉันไม่สนผู้หญิงคนอื่นหรอก ฉันสนแค่เธอ หลินเหยา ฉันไม่ได้พูดเล่นๆ นะ ถ้าเธอพูดออกมาแล้วว่าไม่ขอเกี่ยวข้อง เธอก็ต้องทำให้ได้ อย่าบังคับให้ฉันต้องทำร้ายเธอเลย ไม่อย่างนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเผลอทำอะไรลงไปบ้าง” 


 


 


หลินเหยารู้สึกว่า สวีเฉินซีเริ่มบ้าไปแล้วจริงๆ หลิวเหยียนเป็นคนดีที่คู่ควรขนาดนั้นเชียวหรือ? 


 


 


“เธอวางใจได้ ฉันไม่มีทางกลับไปยุ่งกับเขาอีก อย่าเพิ่งรีบดีใจไปล่ะ นี่ไม่ใช่เพื่อเธอ เพียงแต่ฉันไม่อาจมองเขาเป็นคนเดิมได้แล้วก็เท่านั้นเอง ถือว่าเป็นโชคดีของเขาแล้วกันที่มีเธอที่รักเขามากขนาดนี้ ฉันก็ขออวยพรล่วงหน้าให้พวกเธอมีความสุขมากๆ นะ” 


 


 


หลินเหยาหยิบบัตรเชิญแล้วเดินไปยังประตูทางออกของร้านกาแฟ สวีเฉินซีเดินตามมาข้างหลังแล้วพูดว่า “หลินเหยา จำสิ่งที่เธอพูดในวันนี้ไว้ให้ดีล่ะ!” 


 


 


หลินเหยาโบกมือให้อย่างสง่างาม ผลักประตูกระจกแล้วเดินออกมา ข้างนอกลมหนาวกำลังพัดผ่าน ก่อนหน้านี้อยู่ข้างในยังไม่รู้สึก แต่เมื่อเดินออกมาข้างนอกแล้ว ลมหนาวอันเย็นยะเยือกก็เหมือนจะทะลุเข้าไปในเสื้อแบบฉับพลัน 


 


 


 


 


 


ถังโจวโจวที่เตรียมตัวลงไปทำขนมในห้องครัว เติมอาหารลงท้องตัวเองสักหน่อย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดัง ตี๊ด! ถังโจวโจวเปิดดูข้อความนั้น สีหน้าของเธอพลันบึ้งตึงขึ้นมาทันที 


 


 


ถังโจวโจวกดโทรศัพท์โทรกลับไปอย่างไม่รอช้า อีกฝ่ายก็รับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล หันฮุ่ยซิน?” 


 


 


“ถังโจวโจว ฉันเอง เห็นที่ฉันส่งไปให้เมื่อกี้นี้แล้วใช่ไหม” เสียงที่มาพร้อมรอยยิ้มของหันฮุ่ยซินดังก้องอยู่ในหูของถังโจวโจว 


 


 


ถังโจวโจวนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็นเมื่อสักครู่ เธอไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอให้หันฮุ่ยซินรับรู้ เธอจึงตั้งใจถามกลับอย่างใจเย็นว่า “คุณต้องการอะไร” 


 


 


“ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากให้คุณได้รู้ความจริงบางอย่างก็เท่านั้นเอง!” น้ำเสียงหันฮุ่ยซินฟังดูมีความสุขมาก อาจเป็นเพราะว่าเธอสามารถทำให้ถังโจวโจวเสียใจได้สำเร็จ 


 


 


ถังโจวโจวไม่เข้าใจ “ถ้าเป็นรูปพวกนั้นที่คุณส่งมา ฉันไม่เชื่อหรอก” เธอไม่เชื่อว่าลั่วเซ่าเชินจะทำแบบนั้นกับเธอได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็อธิบายทุกอย่างหมดแล้วตั้งแต่แรก และเขาไม่ได้ทำอะไรเลย ถังโจวโจวเองก็เชื่อในตัวเขามาตลอด ถึงไม่เคยถามอะไรเขาอีก 


 


 


แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือหันฮุ่ยซินกลับทำให้เธอได้เห็นความจริงอย่างนี้ นี่เท่ากับตบหน้าเธอเลยใช่ไหม? 


 


 


“ถังโจวโจว ถ้าคุณไม่เชื่อ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะความจริงมันเป็นแบบนี้ อ้อ! นอกจากนี้ฉันยังมีอีกเรื่องที่อยากบอกคุณ …วันนั้นที่คุณแท้งลูกเป็นวันเดียวกับวันที่จัดงานเปิดสตูดิโอของฉันเอง” 


 


 


“คุณพูดว่าอะไรนะ” ถังโจวโจวยังยืนอยู่ที่เดิม แต่เหมือนตัวเองหลุดออกไปอยู่นอกโลก 


 


 


“ได้ยินไม่ชัดเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดให้ฟังอีกรอบ ฉันพูดว่า วันนั้นอาเชินอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอด จนกระทั่งคุณเกิดเรื่อง ฉันกับเขาถึงได้รีบไปโรงพยาบาลด้วยกัน” 


 


 


ทันใดนั้นถังโจวโจวก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว มิน่าล่ะ ตอนนั้นที่เธอถามลั่วเซ่าเชินว่าอยู่ที่ไหน เขาเหมือนกำลังปิดบังอะไรอยู่ ได้แต่บอกปัดๆ เธอไป ตอนนี้มานึกดูแล้วก็คือเขาจงใจไม่ให้เธอรู้ความจริง! 


 


 


ถังโจวโจวนึกถึงลูกของตัวเองที่เสียไป เมื่อมาผนวกกับความจริงที่ว่าลั่วเซ่าเชินทำกับเธอแบบนี้ ตอนนี้ภายในใจเธอก็มีแต่จะเกลียดเขามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปคิดบัญชีกับเขา “หันฮุ่ยซิน แล้วคุณเอาเรื่องพวกนี้มาบอกฉันทำไม” 


 


 


“ถังโจวโจว ก็ในเมื่อคุณรู้แบบนี้แล้ว คุณยังอยากจะคบกับอาเชินอยู่อีกเหรอ” หันฮุ่ยซินไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินเสียลูกไป กี่ครั้งที่เธอบอกให้เขามาหา เขาก็ไม่เคยมาเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอพบว่า ทุกครั้งเขาก็รับปากเธอส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง 


 


 


หันฮุ่ยซินทนไม่ได้กับความเย็นชาแบบนี้ของลั่วเซ่าเชิน เมื่อเอาเรื่องคืนวันนั้นออกมาต่อรอง ในสายตาของลั่วเซ่าเชินก็เต็มไปด้วยความเสียใจ แต่ก็ยังไม่เต็มใจที่จะใส่ใจเธอมากขึ้นเลย หันฮุ่ยซินเห็นว่าวิธีนี้เริ่มไร้ประโยชน์ ทางที่ดีเธอต้องลงมือจากฝั่งของถังโจวโจวบ้างแล้ว 


 


 


“หันฮุ่ยซิน คุณคิดว่าถ้าฉันจะขอหย่า เซ่าเชินก็จะยอมหย่ากับฉันอย่างนั้นหรือ คุณคิดตื้นเกินไปมาก คนที่อยากแต่งงานกับฉันตั้งแต่แรกคือเซ่าเชินนะ ใช่ว่าฉันต้องการติดพันเขาจนไม่ยอมปล่อยเขาไปหรอก” 


 


 


หันฮุ่ยซินที่มองถังโจวโจวเป็นศัตรูหัวใจมาตลอดจึงต้องการทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีดเล่มนั้นได้หวนกลับมาแทงเข้าในใจของตัวเธอเอง 


 


 


เธอคิดว่าคำพูดของถังโจวโจวช่างไร้สาระ หันฮุ่ยซินคิดไม่ถึงว่า การแต่งงานระหว่างลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวนั้นแท้จริงแล้วเป็นความปรารถนาของลั่วเซ่าเชินเอง จะเป็นไปได้ยังไง เห็นกันอยู่ว่าคนที่อาเชินรักก็คือฉัน แล้วเขาจะเป็นฝ่ายขอถังโจวโจวแต่งงานได้ยังไง ฉันไม่เชื่อ! 


 


 


“ไม่จริง! ในใจของอาเชินมีแต่ฉันคนเดียวมาตลอด ขนาดตอนนั้นเขาเมาแล้ว ก็ยังเรียกแต่ชื่อของฉัน!” หันฮุ่ยซินจงใจพูดเพื่อให้ถังโจวโจวจิตใจปั่นป่วน ทั้งที่จริงแล้วคืนนั้นคนที่ลั่วเซ่าเชินละเมอเพ้อถึงไม่ใช่เธอ 

 

 

 


ตอนที่ 128

 

หันฮุ่ยซินจำได้แม่นยำ ตอนที่เธอเข้าใกล้ลั่วเซ่าเชิน เธอเห็นปากของลั่วเซ่าเชินขยับไปมาแล้วพึมพำว่า ‘โจวโจว โจวโจว…’ 


 


 


แผนเดิมของหันฮุ่ยซินถูกทำลายลงด้วยคำสองคำที่ลั่วเซ่าเชินละเมอออกมา หันฮุ่ยซินนั่งเหม่อลอยอยู่ริมเตียง มองดูลั่วเซ่าเชินนอนหลับอย่างสบายใจ ตอนนี้ในใจของเขามีแต่ถังโจวโจวอย่างนั้นหรือ? 


 


 


ถังโจวโจวก็ยังไม่อยากจะเชื่อ แต่หันฮุ่ยซินพูดด้วยเสียงหนักแน่นขนาดนี้ ถังโจวโจวไม่เชื่อคงไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอยังต้องพูดคุยกับหันฮุ่ยซินอยู่ ดังนั้น ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องยืนกราน ไม่ขอยอมรับความจริงนี้เอาไว้ก่อน “คุณหัน ขอโทษด้วยนะ เรื่องนี้เซ่าเชินเคยบอกฉันแล้ว และฉันก็เชื่อเขา” 


 


 


หันฮุ่ยซินรู้ดีว่าถังโจวโจวกำลังปากแข็ง แต่กลับไม่ยอมพูดออกมา “โจวโจว ถึงขนาดนี้แล้วถ้าคุณยังไม่ยอมเชื่อ งั้นฉันก็ไม่พูดมากแล้ว” 


 


 


หันฮุ่ยซินวางสายไปแล้ว ส่วนถังโจวโจวก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าครัวทำขนมอีก ป้าหลิวที่กำลังรอถังโจวโจว เพราะเธอบอกไว้ว่าจะทำขนม แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นลงมาเลย จึงตรงขึ้นไปดูข้างบน ค่อยๆ เคาะประตูหน้าห้องนอนใหญ่เบาๆ “คุณผู้หญิงคะ?” 


 


 


“คะ ป้าหลิว เข้ามาสิคะ” ถังโจวโจวเช็ดน้ำตา พลันมองเห็นป้าหลิวเดินเข้ามา 


 


 


“คุณผู้หญิงจะทำขนมไม่ใช่หรือคะ ฉันเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ไว้ให้หมดแล้ว” ป้าหลิวยิ้มพลางมองถังโจวโจว และเมื่อเธอเห็นว่าอีกฝ่ายดูซึมๆ ไป ป้าหลิวจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะคุณผู้หญิง” 


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่มีทางพูดเรื่องนั้นกับป้าหลิวอยู่แล้ว เธอจึงพยายามฉีกยิ้ม “ป้าหลิว จู่ๆ ฉันก็รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย อยากนอนบนเตียงสักครู่ วันนี้ก็คงไม่ได้ทำขนมแล้ว” ถังโจวโจวกุมหน้าผาก 


 


 


เมื่อป้าหลิวเห็นว่าเธอดูจะไม่สบายจริงๆ ก็กระวนกระวายใจ “คุณผู้หญิงคะ ให้ฉันบอกคุณผู้ชายไหมคะ หรือว่าจะให้ฉันพาคุณไปตรวจที่โรงพยาบาลดี?” 


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ป้าหลิว นอนพักสักครู่เดี๋ยวก็หายแล้ว ป้าหลิวลงไปจัดการธุระต่อเถอะค่ะ” ตอนนี้ถังโจวโจวไม่มีแรงจะคุยกับป้าหลิวต่อแล้ว เธอจึงอยากให้ป้าหลิวออกไปก่อน เธออยากอยู่ในห้องว่างๆ กับตัวเองคนเดียว 


 


 


“ได้ค่ะ คุณผู้หญิง งั้นฉันออกไปก่อน คุณก็พักผ่อนให้มากๆ นะคะ” ป้าหลิวช่วยปิดประตูห้องให้ถังโจวโจว 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าป้าหลิวออกไปแล้ว เธอก็ไม่ต้องฝืนยิ้มแย้มต่อหน้าคนอื่นแบบนั้นอีก เธอหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ นึกถึงเรื่องที่ลั่วเซ่าเชินหลอกเธอซ้ำไปซ้ำมา ถังโจวโจวคิดว่าเธอไม่ควรเชื่อเขาแต่แรกเลย ทุกสิ่งที่เขาพูดมาก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเท่านั้นเอง 


 


 


ถังโจวโจวหวนนึกถึงภาพถ่ายภาพนั้นระหว่างลั่วเซ่าเชินกับหันฮุ่ยซิน คนสองคนเปลือยกายอยู่ด้วยกัน ถ้าหากเอารูปนี้ให้ลั่วเซ่าเชินดูต่อหน้า ไม่รู้ว่าเขายังจะคิดคำหลอกลวงออกมาได้อีกไหม? 


 


 


ถังโจวโจวนั่งร้องไห้ในห้องคนเดียวอยู่นาน จากนั้นเธอก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง สายตาทอดมองไปข้างหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้ยินป้าหลิวเล่าว่าวันนี้ถังโจวโจวเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง จนป่านนี้ยังไม่ออกมาเลย ลั่วเซ่าเชินรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงให้ลั่วอิงเอาของขึ้นไปเก็บในห้องตัวเองก่อน ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ตรงไปที่ห้องนอนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับถังโจวโจว 


 


 


ภายในห้องนั้นมืดสนิท ถังโจวโจวดึงม่านปิดไว้หมด เมื่อลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา เขาก็หมายจะเปิดไฟ แต่ทันใดนั้นถังโจวโจวก็ส่งเสียงมาว่า “อย่าเปิด” ลั่วเซ่าเชินทำตามที่เธอบอก เขาไม่ได้เปิดไฟ 


 


 


ทีแรกลั่วเซ่าเชินคิดว่าที่ในห้องนอนมืดแบบนี้เพราะถังโจวโจวกำลังหลับ แต่พอเธอส่งเสียงมา เขาก็ได้รู้ว่าเธอยังตื่นอยู่ “คุณทำอะไรน่ะ ฟ้ายังไม่ทันมืด ทำไมถึงปิดม่านจนหมดแบบนี้” 


 


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นแล้ว แต่ข้างนอกยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง ไม่เหมือนข้างในนี้ที่ไม่มีแม้แต่แสงแดดรำไร ลั่วเซ่าเชินเดินอยู่ในห้องก็กลัวว่าจะสะดุดล้ม 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคลำไปจนถึงข้างหน้าต่าง เขาเปิดม่านขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แล้วเมื่อหันไปมองก็พบว่าถังโจวโจวนอนอยู่บนเตียง ดวงตาแดงก่ำ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบเดินไปที่ข้างเตียง และเมื่อเห็นว่าสภาพของเธอดูย่ำแย่มาก เขาจึงรีบเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป ใครรังแกคุณ บอกผมมา ผมจะไปจัดการมันเอง!” 


 


 


ถังโจวโจวเหลือบตาขึ้นมาสบตากับลั่วเซ่าเชิน เธอเห็นว่าสีหน้าเขาเป็นกังวลจริงๆ แต่ถังโจวโจวก็ลดสายตาลง ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบสักนิด 


 


 


“โจวโจว เกิดอะไรขึ้นกับคุณ” ลั่วเซ่าเชินพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินคำพูดของเขาที่แสดงความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง ก็หวนคิดไปถึงเรื่องที่เขาแอบทำลับหลังเธอ น้ำตาก็พลันไหลลงมาอีก ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอร้องไห้ออกมาไม่หยุด จึงรีบใช้มือช่วยเช็ดน้ำตาให้ เมื่อสังเกตใกล้ๆ ลั่วเซ่าเชินก็พบว่าปลอกหมอนเปียกชุ่มไปหมด นี่เสียน้ำตาไปมากเท่าไรแล้วเนี่ย! 


 


 


“โจวโจว อย่าร้องไห้เลยนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็พูดออกมาเถอะ ร้องไห้หนักแบบนี้จะยิ่งไม่ดีต่อสุขภาพนะ ร่างกายคุณเพิ่งจะหายดีแท้ๆ” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่ายิ่งพูดถังโจวโจวก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เมื่อเธอไม่ยอมพูดอะไรเลยก็ยากที่เขาจะคาดเดาได้ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เป็นแบบนี้ อยู่ๆ ทำไมวันนี้ถึงได้ผิดปกติแบบนี้ล่ะ? 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถามอะไรไปถังโจวโจวก็ไม่ยอมตอบ จึงลงมาข้างล่างเพื่อถามป้าหลิวว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ป้าหลิวกลับส่ายหัว “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ วันนี้คุณผู้หญิงบอกว่าไม่ค่อยสบาย นอนอยู่ในห้องทั้งวัน ทีแรกเธอบอกว่าจะทำขนม แต่จู่ๆ เธอก็ไม่ทำแล้ว” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถามไปก็ไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะยิ่งทำให้คิดหนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? จู่ๆ เขาก็นึกถึงลั่วอิงขึ้นมา คิดว่าถ้าให้ลั่วอิงไปถามคงจะได้ผล จึงกวักมือเรียกลั่วอิง “ลั่วอิง มานี่หน่อยเร็ว” 


 


 


“คุณพ่อ มีอะไรหรือคะ” ในมือของลั่วอิงถือถ้วยเจลลี่อยู่ เธอกินอย่างเอร็ดอร่อย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินย่อตัวลงมา ลูบหัวเล็กๆ ของลั่วอิง “ลั่วอิง แม่โจวโจวดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความสุข หนูขึ้นไปถามให้พ่อหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมแม่โจวโจวถึงไม่มีความสุข?” 


 


 


“ทำไมคุณพ่อไม่ไปถามเองล่ะคะ” ลั่วอิงกัดช้อนตักเจลลี่ ด้วยหน้าตาท่าทางแสนน่ารัก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินถูกคำพูดของลั่วอิงโจมตี เขาไม่มีทางเลือกจึงบอกว่า “พ่อถามแล้ว แต่ว่าแม่โจวโจวของหนูไม่ยอมพูดด้วย คุณพ่อถึงต้องให้นางฟ้าตัวน้อยๆ ของพ่อออกโรงนี่ไง พ่อเชื่อว่าหนูต้องทำสำเร็จแน่นอน!” 


 


 


“คุณพ่อคะ ถ้าอย่างนั้นหนูควรถามว่าอะไรคะ” ลั่วอิงยังคงไม่เข้าใจ ทำไมถ้าเธอไปถาม แม่โจวโจวถึงจะพูดออกมา แต่ทำไมพอเป็นคุณพ่อถาม แม่โจวโจวถึงไม่พูดล่ะ? 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกระซิบข้างหูเธอ ลั่วอิงพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ลั่วเซ่าเชินยื่นมือใหญ่ๆ ออกมา “มา! แปะมือกับพ่อหน่อย” 


 


 


แปะ! ทั้งสองคนแปะมือกันเรียบร้อย มองดูแล้วมีพลังไม่ใช่น้อยเลย 


 


 


ลั่วอิงไม่ลืมที่จะเอาเจลลี่ในมือไปด้วย ตึงๆๆ เธอเดินขึ้นไปข้างบนจนมาถึงห้องนอนใหญ่ ประตูถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลั่วอิงค่อยๆ ผลักประตูให้เปิดออก เธอเห็นว่าถังโจวโจวนอนอยู่บนเตียง ลั่วอิงส่งเสียงร่าเริงออกมา “แม่โจวโจวขา ลงไปกินข้าวกันได้แล้วค่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินเสียงของลั่วอิงแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ลุกขึ้นมา ลั่วอิงเห็นว่าไม้นี้ไม่เป็นผล จึงเดินไปอยู่ข้างหน้าถังโจวโจว ใบหน้าของถังโจวโจวซีดขาว มือเล็กๆ สัมผัสลงบนแก้มของเธอ “แม่โจวโจว นี่คุณแม่เป็นอะไรไป อย่าทำให้หนูตกใจสิคะ!” 


 


 


ความสามารถของลั่วอิงที่บอกว่าให้ร้องไห้ เธอก็จะร้องออกมาได้เลย เป็นเรื่องที่คนในบ้านต่างก็รู้ดี ในที่สุดถังโจวโจวก็ยอมเอามือออกมาจากในผ้าห่ม เช็ดน้ำตาให้กับลั่วอิง “เจ้าตัวน้อย เด็กโง่ หนูร้องไห้ทำไมคะ” 


 


 


น้ำตาของลั่วอิงหยุดไหลแล้ว แต่เธอก็ยังมีอาการสะอึกอยู่ “อึ้ก… แม่โจวโจวขา อึ้ก… หนูก็ไม่อยากร้องไห้ อึ้ก… แต่พอเห็นคุณแม่ร้องแล้ว หนูก็ทนไม่ได้” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วอิงสะอึกไม่หยุด จึงหยิบน้ำแก้วหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงมาให้ “ดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง แล้วกลั้นหายใจไว้เจ็ดวินาทีนะคะ เดี๋ยวก็จะดีขึ้น” 


 


 


ลั่วอิงดื่มน้ำลงไปอึกหนึ่งอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากนั้นกลั้นหายใจเจ็ดวินาที เธอก็ไม่สะอึกแล้วจริงๆ ลั่วอิงมองถังโจวโจวราวกับเป็นนักมายากล “แม่โจวโจว คุณแม่เก่งจังเลย ทำไมคุณแม่ถึงรู้ทุกอย่างเลยล่ะคะ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้พูดอะไรออกมา นี่เป็นแค่ทักษะการใช้ชีวิตเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ปล่อยให้ความสงสัยนี้คงอยู่ในใจของลั่วอิงก็ดีเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเธอโตขึ้นเธอก็จะรู้เองโดยธรรมชาติ 


 


 


ถังโจวโจวยิ้มกว้าง ลั่วอิงก็ยิ้ม ความสงสัยของลั่วอิงหายวับไปในทันที เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยิ้มได้อย่างมีความสุขแล้ว ลั่วอิงจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “แม่โจวโจวคะ เมื่อกี้นี้คุณแม่เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้ล่ะคะ เป็นเพราะคุณพ่อทำให้คุณแม่โกรธใช่ไหม หนูจะไปตีคุณพ่อให้คุณแม่เองค่ะ!” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วอิงที่กำหมัดน้อยๆ ของตัวเอง แล้วตั้งท่าจะรีบลงไปทันทีเพื่อลงโทษลั่วเซ่าเชินตามที่พูด เธอจึงรีบพูดขึ้นมา “ไม่ใช่หรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณพ่อหรอก ตอนนี้แม่โจวโจวหายดีแล้ว หนูไม่ต้องไปตีคุณพ่อแล้วนะคะ” 


 


 


ลั่วอิงเกาหัวด้วยความรู้สึกผิด “จริงเหรอคะ ถ้าแม่โจวโจวไม่เสียใจแล้ว หนูก็ไม่กังวลแล้วค่ะ แม่โจวโจวขา คุณแม่รู้ไหมว่าเมื่อกี้นี้คุณแม่ทำให้หนูกลัวมากเลย หนูคิดว่าคุณแม่จะบินไปแล้วซะอีก!” 


 


 


“ทำไมล่ะคะ คุณแม่ไม่ใช่เทพเซียนนะ จะบินไปไหนได้ยังไงกัน” ถังโจวโจวได้ยินคำพูดแบบเด็กๆ ของลั่วอิงแล้ว ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง 


 


 


ลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวไม่เชื่อคำพูดของเธอจึงกระวนกระวาย “แม่โจวโจวขา หนูพูดจริงๆ นะคะ เมื่อกี้คุณแม่เหมือนจะหายไปแล้วจริงๆ แม่โจวโจว คุณแม่ต้องสัญญากับหนูนะว่าคุณแม่จะไม่ทิ้งหนูกับคุณพ่อไป สัญญานะคะ?” 


 


 


ถังโจวโจวจับมือของลั่วอิงเอาไว้ เมื่อครู่นี้เธอก็กำลังนึกถึงปัญหาข้อนี้อยู่พอดี ถ้าเธอยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปจะไปมีประโยชน์อะไร? ความรักความเชื่อใจระหว่างเธอกับลั่วเซ่าเชินก็ไม่ต่างอะไรกับเงาของดวงจันทร์ที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ที่เพียงแค่ถูกกระทบก็สลายหายไป ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้นเอง 


 


 


ถังโจวโจวคิดทบทวนอยู่นานมาก นานจนน้ำตาของเธอแห้งเหือดไปหมด แต่ไม่รู้ทำไม แค่เห็นลั่วเซ่าเชิน น้ำตาที่แห้งไปแล้วของเธอกลับรินไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย นี่เป็นเพราะอะไรกัน? แน่นอนว่าถังโจวโจวรู้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร 


 


 


เธอไม่รู้ว่าลั่วเซ่าเชินคิดว่าเธอเพลิดเพลินกับการมีชีวิตอยู่แบบนี้หรืออย่างไร แต่เธอรู้เพียงว่าตัวเองรักเขาไปแล้ว ตอนแรกการมาของเด็กในท้องทำให้ถังโจวโจวคิดว่า ความรักของทั้งสองคนจะยิ่งมั่นคงขึ้น หลังจากนั้นคงจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข 


 


 


แต่แล้วความฝันอันสวยงามนี้ก็ต้องแตกสลายไปเมื่อลูกไม่อยู่แล้ว และลั่วเซ่าเชินก็หลอกเธอมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาในใจของเขายังคงมีแค่หันฮุ่ยซิน เขารักเพียงแค่หันฮุ่ยซิน เขาไม่เคยลืมหล่อนไปได้เลย 


 


 


ส่วนเธอก็เป็นเพียงคนโง่เขลาคนหนึ่งมาโดยตลอด แค่ลั่วเซ่าเชินทำดีกับเธอเล็กน้อย เธอก็แอบเก็บมาดีใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่การทำทานเล็กน้อยจากเขาเท่านั้นเอง 


 


 


ถังโจวโจวยิ่งคิดก็ยิ่งหนักใจมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินน่ารังเกียจ เดิมทีเธอยังอยากจะไปถามลั่วเซ่าเชินว่า สิ่งที่หันฮุ่ยซินพูดมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้เธอคิดว่าไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเคยทำหรือไม่เคยก็ตาม ถึงตอนนี้เธอต้องคิดถึงอนาคตของตัวเองให้ดีๆ แล้ว 


 


 


คุณพ่อกับคุณแม่ถังชอบเขามาก ตอนนี้เธอกับเขายังหย่ากันไม่ได้ แล้วเดิมทีที่ลั่วเซ่าเชินต้องการแต่งงานกับเธอก็เพราะอยากให้เธอมาเป็นโล่กันผู้หญิงคนอื่นเท่านั้น แล้วตอนนี้เธอสามารถปล่อยเขาไปได้แล้วหรือยัง? แต่ตอนนี้เธอไม่อยากกลับไปอยู่ข้างๆ เขาอีกแล้ว เธอคิดว่าเธอควรไปจากที่นี่ได้แล้ว 


 


 


ลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวไม่ตอบเธอ อีกทั้งสัมผัสได้ว่ามันน่ากังวลมาก เธอรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก แม่โจวโจวเป็นอะไรกันแน่? ปกติเธอไม่เคยเป็นแบบนี้นี่ “แม่โจวโจวขา คุณแม่อย่าทำให้หนูตกใจสิคะ” 


 


 


เสียงของลั่วอิงสั่นเล็กน้อย ถังโจวโจวเพียงจับมือเธอไว้เงียบๆ 

 

 

 


ตอนที่ 129

 

“ลั่วอิงคะ แม่ไม่เป็นไรจริงๆ เดี๋ยวแม่จะลงไปกินข้าวแล้ว หนูลงไปก่อนนะคะ แม่โจวโจวขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วจะตามลงไปค่ะ” ถังโจวโจวไม่เคยเงียบใส่ลั่วอิงเลยสักครั้ง เธอคิดว่าเธอไม่อาจทำให้ลั่วอิงเป็นกังวลไปมากกว่านี้ได้ 


 


 


อีกอย่าง เธอก็รู้ดีว่าลั่วเซ่าเชินเป็นคนส่งลั่วอิงขึ้นมาสอบถามแทน แต่ถึงกระนั้นเธอก็แอบคิดอยู่เงียบๆ ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำให้ลั่วอิงเสียใจเลย 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ดวงใจที่เต้นระรัวก็กลับสู่สภาวะปกติในที่สุด เธอไม่เคยเห็นถังโจวโจวเป็นแบบนี้มาก่อน เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวหายดีแล้ว ลั่วอิงก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่า คำพูดที่ถังโจวโจวพูดออกมานี้คืออะไร ดังนั้น เธอจึงขอตัวออกจากห้องนี้ไป 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นแม่โจวโจวต้องรีบลงมานะคะ หนูกับคุณพ่อจะรอคุณแม่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น” ลั่วอิงเดินไปพลางพูดไปพลาง เธอกำชับเสียดิบดี ราวกับกลัวว่าเธอกับถังโจวโจวจะจากกันไปตลอดกาลอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“ได้จ้ะ แม่จะรีบไป” ถังโจวโจวลุกขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ มองดูใบหน้าที่ซีดขาวของตัวเองในกระจก กดเปิดน้ำล้างหน้าจนใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำ แต่ตาที่แดงอยู่ไม่สามารถทำให้หายไปได้ 


 


 


ถังโจวโจวชำระร่างกายของเธอจนเรียบร้อย หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้า อารมณ์ของเธอไม่ได้ย่ำแย่เหมือนตอนก่อนหน้านี้แล้ว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เหลือเกิน ทำไมมัวแต่นอนแน่นิ่งอยู่นานขนาดนั้น นี่ไม่เหมือนตัวเธอเองเลยสักนิด 


 


 


สุดขอบล่าฟ้าเขียวมีพืชพรรณมากมายนับไม่ถ้วน ทำไมเธอถึงต้องรักต้นไม้แค่เพียงต้นเดียวด้วย![1] ในเมื่อถังโจวโจวตัดสินใจได้แล้ว เธอก็เดินลงไปชั้นล่างได้อย่างสบายใจ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอกลับมาเป็นปกติแล้ว มีเพียงแค่ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำอยู่เท่านั้น เขาดูออกว่าก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะร้องไห้มาอย่างหนัก แต่เมื่อทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เขาก็วางใจ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถังโจวโจวถึงได้ร้องไห้หนักมากขนาดนั้น 


 


 


คงไม่ใช่เพราะคิดถึงลูกหรอกนะ? ลั่วเซ่าเชินเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในใจของเธอ ถึงแม้ว่าจะสามารถพูดให้เธอเข้าใจได้แล้ว แต่ในใจเธอก็คงยังหลงเหลือความคิดถึงอยู่ ที่ไม่รู้ว่าจะโผล่ขึ้นมาอีกเมื่อไร เกลี้ยกล่อมก็แล้ว ที่สุดคงมีเพียงตัวเธอเองคนเดียวเท่านั้นที่ต้องก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไปให้ได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้สึกเศร้าเสียใจมากเหมือนกันที่ต้องสูญเสียลูกไป พวกเขาได้ดื่มด่ำกับข่าวดีเรื่องนี้ได้ไม่นานนัก ไม่ทันไรเขาก็จากไปเสียแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็เข้าใจ หากเขามัวแต่จมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต ถังโจวโจวก็จะยิ่งไม่สามารถเดินออกมาได้ 


 


 


“ป้าหลิวคะ ตักข้าวเถอะค่ะ” ครอบครัวสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน ลั่วเซ่าเชินคีบอาหารที่ถังโจวโจวชอบใส่ในชามของเธอ ถังโจวโจวตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ลั่วเซ่าเชินไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงรู้สึกว่าถังโจวโจวน่ากลัวมากกว่า 


 


 


“โจวโจว ถ้ามีเรื่องอะไรก็คุยกับผมได้นะ คุณอย่าเก็บเอาไว้ในใจ” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยด้วยความเป็นห่วง 


 


 


เขากลัวว่าถังโจวโจวกำลังปั้นยิ้มหลอกทุกคนอยู่ โดยที่ความจริงแล้วเธอยังเจ็บปวดอยู่มาก เธอสามารถยิ้มให้เขาได้แบบนี้ ยิ่งทำให้ลั่วเซ่าเชินรู้สึกหวาดระแวง 


 


 


ถังโจวโจวเห็นดวงตาเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงของลั่วอิงมองมา ทันใดนั้นเธอก็ฉีกยิ้มอย่างมีความสุข “เซ่าเชินคะ มีเรื่องอะไรที่ไหนกัน คุณคิดมากไปแล้ว ตอนนี้ฉันโอเคแล้วค่ะ คุณอย่าทำให้ลั่วอิงต้องเป็นห่วงไปด้วยเลย” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหันไปมองลั่วอิงที่กำลังคิ้วขมวดอยู่ ก็รู้ว่าเมื่อสักครู่เขาทำผิดไป จริงสินะ ลั่วอิงยังเด็กอยู่ เรื่องของผู้ใหญ่ก็ไม่ควรให้เธอต้องมากังวลใจตามไปด้วย 


 


 


“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว คุณรีบทานข้าวเถอะ ทานเยอะๆ นะครับลูก” ลั่วเซ่าเชินคีบกับข้าวให้ลั่วอิงเพิ่มอีก 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวไม่ได้มีอะไรผิดปกติไป เธอจึงวางใจมากขึ้น “คุณพ่อคุณแม่ขา คุณพ่อคุณแม่ก็ทานเยอะๆ ด้วยนะคะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแบบนี้ดีจังเลยค่ะ อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยนะคะ” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าวันนี้ลั่วอิงเอาแต่พูดถึงเรื่องอนาคตตลอด แต่ก็คิดเพียงว่าเด็กๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ ความสุขที่อยู่ตรงหน้าจะต้องคว้าเอาไว้ในมือให้ได้ แต่ลั่วเซ่าเชินจะยินยอมหรือ เขาจะยินยอมเดินไปด้วยกันกับเธอในอนาคตข้างหน้านี้ไหมนะ? 


 


 


แล้วกันสิ คิดเพ้อเจ้ออีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเดิมทีก็ไม่มีอนาคตอยู่แล้วหรอกหรือ ก่อนหน้านี้เธอคิดเข้าข้างตัวเองมากไปจริงๆ บางทีเขาอาจจะแค่แสดงความเมตตาเท่านั้น เพราะเขาอาจจะเสียใจมาจากหันฮุ่ยซิน ก็เลยมาอยู่กับเธอที่นี่เพื่อรักษาหัวใจตัวเองเท่านั้น สิ่งที่เขาทำทั้งหมดในตอนนี้ ฉันไม่มีทางเชื่ออีกต่อไปแล้ว! 


 


 


ถังโจวโจวกินข้าวอยู่เงียบๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินในสิ่งที่ลั่วอิงพูด ต่างกับลั่วเซ่าเชินที่พูดไปยิ้มไป “ลูกพูดถูกครับ เราครอบครัวเดียวกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป” 


 


 


ถังโจวโจวเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และเมื่อลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวยิ้มได้แล้ว เธอก็คิดว่าแม่โจวโจวกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เธอจึงกินข้าวต่ออย่างว่าง่าย เมื่อก่อนถังโจวโจวต้องคอยกระตุ้นให้เธอกินข้าวให้หมด แต่ตอนนี้เธอสามารถกินเองได้แล้ว ข้าวชามเดียวหมดไปได้สบายๆ 


 


 


หลังมื้อเย็น ลั่วอิงก็ออกไปหาเพื่อนของตัวเองเพื่อเล่นด้วยกัน เหลือไว้เพียงลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน แต่กลับไม่พูดอะไร 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอยากจะถาม แต่ก็กลัวว่าจะไปกระทบถึงเรื่องที่อยู่ในใจของถังโจวโจวเข้า ถังโจวโจวเองก็อยากจะถามถึงเรื่องที่ติดอยู่ในใจกับลั่วเซ่าเชินเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้ เธอควรจะทำอย่างไรดี? 


 


 


ในเวลานี้พวกเขาสองคนต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม 


 


 


“เซ่าเชิน…” 


 


 


“โจวโจว…” 


 


 


ทั้งสองคนมองหน้ากันและกันแล้วยิ้ม ถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินเห็นว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอยากจะพูดจึงเงียบลงก่อน สุดท้ายกลับพูดชนกันอีก จากนั้นก็ไม่มีใครพูดต่อ 


 


 


“โจวโจว คุณพูดก่อนเลย” ลั่วเซ่าเชินคิดว่าถังโจวโจวคงต้องการจะถามอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจเธอวันนี้ก็เป็นได้ 


 


 


ถังโจวโจวลังเลอยู่นาน ก่อนจะถามว่า “เซ่าเชิน ครั้งที่แล้วที่คุณไปต่างประเทศ คุณไปคนเดียวจริงๆ หรือคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอึดอัดใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถังโจวโจวถึงได้ถามคำถามนี้ออกมาอีก เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวจ้องมาที่เขาอย่างจริงจัง ลั่วเซ่าเชินก็เกิดความกังวลใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดความจริงออกมาได้ แต่ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่ามันผ่านไปตั้งนานแล้วเหรอ? 


 


 


“โจวโจว มีใครมาพูดอะไรกับคุณใช่ไหม ผมเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมไม่ได้ไปคนเดียวนะ” 


 


 


ถังโจวโจวนึกไม่ถึงว่าลั่วเซ่าเชินจะยอมรับออกมาตามตรง เธอตกใจจนหน้าถอดสี ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวสนใจเรื่องนี้มาก มันยิ่งทำให้เขาไม่กล้าพูดความจริงออกมา 


 


 


เขารีบพูดทีเล่นทีจริง “โจวโจว คุณลืมไปแล้วหรือไง หวังหวาก็ไปด้วยกันกับผม ผมถึงพูดว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ไปต่างประเทศ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวดูจะสบายใจขึ้นเล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินก็ลอบปาดเหงื่อ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้กลัวนัก หากเป็นนิสัยปกติของเขา มีหรือที่เขาจะต้องมานั่งอธิบายให้เธอฟัง? ดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมของถังโจวโจวเข้าแล้วจริงๆ 


 


 


ถังโจวโจวเองก็ไม่รู้ว่าลั่วเซ่าเชินพูดจริงหรือพูดหลอก แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ดูไม่เหมือนคนที่พูดโกหกเลย 


 


 


จากนั้นถังโจวโจวก็คิดว่าลั่วเซ่าเชินเป็นคนระดับไหนแล้ว เขาดูแลกิจการมาตั้งหลายปี จัดการกับผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน ถ้าหากเขาอยากจะปิดบังอะไรสักหน่อย เธอก็ไม่มีทางที่จะสืบหาได้ ถ้าพูดแบบไม่น่าฟังล่ะก็ เขาไม่ต่างอะไรกับสุนัขจิ้งจอกเลย 


 


 


“เซ่าเชิน คุณพูดจริงใช่ไหมคะ ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม” ถังโจวโจวยังคงสงสัยอยู่ ก่อนหน้านี้เธอเคยไม่ลงรอยกับลั่วเซ่าเชิน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขายอมเธอ ถังโจวโจวก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้หรอก ตอนนี้ถังโจวโจวจึงยังไม่ค่อยโล่งใจนัก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอยังไม่เชื่อ เขาจึงรีบสาบานว่า “โจวโจว ผมพูดจริงแน่นอน ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็เรียกหวังหวามาถามได้ ดูสิว่าเขาจะตอบว่ายังไง” ลั่วเซ่าเชินกล้าพนันได้เลยว่าถังโจวโจวไม่มีทางเรียกหวังหวามาถาม แล้วอีกอย่าง หวังหวาก็ไม่มีทางพูดจาส่งเดชแน่นอน 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าเขายืนยันหนักแน่นขนาดนี้ จึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองขึ้นมา คิดอยู่ว่าเธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า อาจเป็นแค่การยั่วยุของหันฮุ่ยซินเท่านั้น เพื่อให้เธอหลีกทางออกไปเอง 


 


 


แต่เมื่อถังโจวโจวกลับมานึกถึงรูปที่หันฮุ่ยซินส่งมาให้เธอ หลักฐานมันชัดเจนและมัดตัวแน่นขนาดนี้ ไม่มีทางที่ในรูปจะเป็นหันฮุ่ยซินกับคนอื่นไปได้ 


 


 


ถังโจวโจวตัดสินใจทดสอบลั่วเซ่าเชินดู “เซ่าเชิน ฉันจะยอมเชื่อคุณก็ได้ แต่มีคนส่งรูปถ่ายมาให้ฉัน มันเป็นรูปที่คุณกับผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน แล้วมันก็อยู่ในช่วงที่คุณไปต่างประเทศพอดี เซ่าเชินคะ คุณรู้ไหมว่าตอนที่ฉันได้เห็นรูปใบนั้นแล้วฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน” 


 


 


ถังโจวโจวปวดใจมากจริงๆ พูดไปพูดมาน้ำตาก็พานไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ลั่วเซ่าเชินตกใจมาก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถังโจวโจวเห็นกับตาว่าเขาตกใจมากขนาดนี้ ความผิดหวังที่พยายามกดเอาไว้ในใจก็ปะทุขึ้น 


 


 


เห็นเขาเป็นแบบนี้ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องจริงสินะ? ถังโจวโจวร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิม ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็นั่งไม่ติด เขาไม่รู้ว่าเขาควรปลอบเธออย่างไรดี 


 


 


เขาพูดอยู่ข้างๆ ว่า “โจวโจว คุณอย่าร้องเลยนะ ใครเป็นคนส่งรูปภาพให้คุณ หันฮุ่ยซินใช่ไหม” เมื่อลั่วเซ่าเชินถามคำถามนี้จบ เขาก็อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกิน นี่ไม่เท่ากับว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ 


 


 


เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ถังโจวโจวเงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมาว่า “ลั่วเซ่าเชิน! คุณรู้ได้ยังไงว่าหันฮุ่ยซินเป็นคนส่งรูปมาให้ฉัน ฉันยังไม่ได้พูดถึงชื่อของเธอเลย? ลั่วเซ่าเชิน ก่อนหน้านี้ที่คุณสาบานมา มันไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้เรื่องทั้งหมดมันถูกเปิดเผยหมดแล้ว!” 


 


 


ป้าหลิวได้ยินเสียงดังมาจากในห้องรับแขกมี เธอจึงเดินออกมาดู แล้วก็เห็นว่าถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินกำลังทะเลาะกัน จึงรีบตรงเข้าไปตักเตือน “คุณชาย คุณผู้หญิงคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมถึงได้เสียงดังอย่างนี้ พวกคุณมีเรื่องขัดแย้งกันหรือคะ?” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่ามีคนนอกเข้ามา เธอจึงสงบสติอารมณ์ลง “ป้าหลิวคะ ป้ากลับไปก่อนเถอะ นี่เป็นเรื่องของฉันกับเขา ป้าไม่ต้องเข้ามายุ่งดีกว่าค่ะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ จึงทำได้เพียงพูดกับป้าหลิวว่า “ป้าหลิว ผมกับโจวโจวไม่ได้เป็นอะไร เมื่อสักครู่เราสองคนแค่ความเห็นไม่ตรงกัน ก็เลยเสียงดังนิดหน่อย” 


 


 


เมื่อป้าหลิวได้ยินว่าพวกเขาไม่เป็นไร เพียงแค่ความคิดเห็นต่างกัน เธอก็พูดกับลั่วเซ่าเชินอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชายคะ คุณก็ยอมคุณผู้หญิงเธอหน่อยนะคะ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันแบบนี้ เดี๋ยวคุณหนูมาเห็นเข้า มันจะไม่ดี” 


 


 


“ครับ ป้าหลิว เราเข้าใจแล้ว ป้าไปทำงานของป้าเถอะ” ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่มีแก่ใจจะฟังป้าหลิวเทศนา ตอนนี้เขาต้องการเพียงจัดการกับระเบิดเวลาลูกนี้ของถังโจวโจวก่อน 


 


 


ป้าหลิวเห็นท่าทีของพวกเขาไม่เหมือนก่อนหน้านี้ แม้ว่าในใจจะยังคงเป็นห่วง แต่เรื่องของเจ้านาย เธอก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เธอจึงทำได้แค่เพียงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องครัว 


 


 


เมื่อเห็นว่าป้าหลิวไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินรีบกุมมือของถังโจวโจวขึ้นมา “โจวโจว พวกเราขึ้นไปคุยกันข้างบนเถอะ ผมจะอธิบายให้คุณฟัง ดีไหม?” 


 


 


เธอเห็นลั่วเซ่าเชินพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำระคนอาการกระสับกระส่าย ถังโจวโจวเคยเห็นท่าทางแบบนี้ของเขาที่ไหนกัน เมื่อครู่เธอยังไม่ทันได้ปลดปล่อยความโกรธออกมา ก็ถูกป้าหลิวขัดจังหวะไว้เสียก่อน ความเศร้าที่อยู่ในใจมันเหือดหายไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ใจเธอก็ยังคงอึดอัดอยู่ 


 


 


“ได้ ฉันจะขึ้นไปฟังดูว่าคุณจะอธิบายว่าอะไร” ถังโจวโจวยิ้มอย่างเยือกเย็น เธออยากรู้ว่าลั่วเซ่าเชินจะหลอกอะไรเธออีก หลักฐานก็ชัดเจนขนาดนี้แล้ว เขายังจะพูดอะไรได้! 


 


 


 


 


 


[1] สุดขอบล่าฟ้าเขียวมีพืชพรรณมากมายนับไม่ถ้วน ทำไมเธอถึงต้องรักต้นไม้แค่เพียงต้นเดียวด้วย หมายถึง บนโลกใบนี้ยังมีคนอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องปักใจรักคนนี้เพียงคนเดียว 

 

 

 


ตอนที่ 130

 

    เมื่อพวกเขาเข้ามาภายในห้องนอนแล้ว ถังโจวโจวก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็ยืนมองเธอจากด้านข้าง ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เธอก็ไม่ได้พูดอะไร แค่เฝ้ารอเขาอย่างอดทนและเล่นนิ้วมือของตัวเองจนเบื่อหน่าย ผ่านไปสักพักใหญ่เธอก็เลิกเล่นไป 


 


 


ลั่วเซ่าเชินลังเลใจอยู่นานก่อนจะเอ่ยถามว่า “โจวโจว คุณได้รูปมาจากไหน ขอผมดูหน่อยได้ไหม” ลั่วเซ่าเชินมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นมีแค่เขาและหันฮุ่ยซินเท่านั้นที่รู้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ มีแค่หันฮุ่ยซินเท่านั้นที่รู้ 


 


 


คืนนั้นเขาดื่มหนักมาก เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง กระทั่งเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วได้เห็นสภาพที่ไม่ควรจะเป็นของหันฮุ่ยซิน ลั่วเซ่าเชินเองก็ตกใจไม่น้อย ในตอนนั้นเขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง รู้ตัวอีกทีหันฮุ่ยซินก็แสดงความใจกว้าง เธอบอกให้เขาลืมมันไป ไม่ต้องเก็บเอาไปคิด เธอบอกว่าเธอเต็มใจ 


 


 


แต่วันนี้เรื่องกลับมาถึงหูของถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าหันฮุ่ยซินกำลังทำบ้าอะไรอยู่ และเมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวโกรธมากขนาดนี้ เขาก็สันนิษฐานว่าเธอน่าจะตัดสินโทษเขาไปแล้ว 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินต้องการจะดูภาพนั้น เธอก็หยิบโทรศัพท์และเปิดรูปที่หันฮุ่ยซินส่งมา แล้วยื่นให้เขาดูในทันที หลังจากลั่วเซ่าเชินรับมาดู เขาก็ชะงักไปในทันที และที่มัดตัวเขาที่สุดก็คือในรูปนั้นเขาและหันฮุ่ยซินนอนเปลือยกายอยู่ด้วยกัน 


 


 


จากเหตุการณ์ในรูปถ่าย ณ ตอนนั้น พวกเขาทั้งคู่กำลังหลับอยู่ เขากอดหันฮุ่ยซินไว้ในอ้อมแขน ผิวของหันฮุ่ยซินที่โผล่พ้นออกมานอกผ้าห่มสามารถมองเห็นชัดเจนว่ามีแต่รอยจูบอยู่มากมาย ลั่วเซ่าเชินตระหนักได้ว่าเขาหมดหนทางจะอธิบายแล้ว เพราะไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ถังโจวโจวก็จะต้องคิดว่าเขาแก้ตัว 


 


 


“โจวโจว คุณเชื่อใจผมไหม” ลั่วเซ่าเชินถามกลับมาสั้นๆ ถังโจวโจวนึกว่าเธอจะได้ยินคำอธิบายที่ยืดยาวกว่านี้จากลั่วเซ่าเชินเสียอีก แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้พูดอะไรเลย นี่เขาล้อเธอเล่นอยู่หรือเปล่า? 


 


 


“ฉันจะเชื่อคุณหรือไม่ในตอนนี้มันมีประโยชน์อะไรหรือคะ” ถังโจวโจวมองตรงไปที่ลั่วเซ่าเชิน นัยน์ตาของเธอเริ่มมีไฟลุกโชน มีหรือที่ลั่วเซ่าเชินจะมองไม่เห็นความโกรธของเธอ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย ยิ่งเขาอธิบายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่แน่ใจว่าในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับหันฮุ่ยซินบ้าง แต่เขาก็เห็นอยู่ว่าหลังจากวันนั้นหันฮุ่ยซินไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย เขาจึงคิดว่าเรื่องมันจบลงไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้มันกลับมารอเขาอยู่ตรงนี้ 


 


 


“โจวโจว ถ้าคุณเชื่อผม คุณก็ไม่ต้องถามอะไรอีก แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง” ลั่วเซ่าเชินพูดตามตรง แต่คำพูดนี้ของเขากลับเปิดปากแผลในใจของถังโจวโจวให้ขยายใหญ่มากขึ้น 


 


 


“ค่ะ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ฉันจะพยายามเชื่อคุณ ทีนี้คุณช่วยบอกความจริงกับฉันอีกสักเรื่องสิคะว่าวันที่ฉันแท้งลูก คุณไปอยู่ที่ไหนมา” ถังโจวโจวใช้สายตาคาดคั้นมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินหลบสายตาเธอเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าถังโจวโจวไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นเหมือนที่ลั่วอิงบอกเลย เธอกำลังรอเค้นความจริงจากเขาอยู่นานแล้ว 


 


 


ถังโจวโจวมองดูลั่วเซ่าเชินและจ้องเขาเขม็ง เธอต้องการให้เขาอธิบายให้เธอฟัง ลั่วเซ่าเชินทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น ถังโจวโจวได้รับคำตอบจากรอยยิ้มเจื่อนๆ ของเขาแล้ว ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าถังโจวโจวรู้คำตอบของเรื่องทั้งหมดดี โดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยถามเขาเลย 


 


 


“โจวโจว คุณเองก็รู้คำตอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะถามผมทำไมอีก” ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างเจ็บปวด มันผิดที่เขาเอง วันนั้นเขาไม่น่าไปร่วมงานเปิดกิจการของหันฮุ่ยซินเลย 


 


 


แต่เขารับปากหันฮุ่ยซินไว้ก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหันฮุ่ยซินพูดถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาขึ้นมา บวกกับภาพความทรงจำอันเลือนรางของลั่วเซ่าเชินในคืนนั้น ทำให้ลั่วเซ่าเชินตัดสินใจไม่ถูก แต่เขาก็ตอบตกลงเธอไปในที่สุด เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าวันนั้นถังโจวโจวจะเกิดอุบัติเหตุ 


 


 


ปัญหาผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่าระยะทางระหว่างเขาและถังโจวโจวเริ่มห่างกันออกไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งกาแล็กซี่ ซึ่งกาแล็กซี่นั้นฮองเฮาแห่งสวรรค์ก็ไม่ได้เป็นผู้กำหนด เป็นเขาต่างหากที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง 


 


 


“ค่ะ ฉันรู้หมดทุกอย่างแล้ว แต่ฉันแค่อยากได้ยินความจริงทั้งหมดจากปากคุณ วันนั้นคุณอยู่กับหันฮุ่ยซินใช่ไหมคะ คุณก็เลยไม่ได้ไปตรวจร่างกายกับฉัน” ถังโจวโจวพยายามสงบสติอารมณ์ เธอรู้สึกว่าแม้ว่าเธอจะเลิกกับลั่วเซ่าเชิน แต่เธอก็ควรจะจากไปอย่างสง่างาม 


 


 


“ใช่” 


 


 


ในที่สุดเธอก็ได้คำตอบ ถังโจวโจวรู้สึกว่าหัวใจของเธอไม่ได้เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่เขาไม่ได้หลอกลวงเธอ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็รับได้ทุกอย่าง “ค่ะ ตอนนี้คุณช่วยออกไปก่อนเถอะนะ ฉันอยากจะทบทวนอะไรอีกสักหน่อย” 


 


 


“โจวโจว ผมแค่…ผมไม่รู้ว่าคุณจะเกิดอุบัติเหตุ ผมขอโทษ!” ลั่วเซ่าเชินก้มศีรษะลง นี่เป็นครั้งแรกที่บุตรแห่งสวรรค์องค์นี้ยอมละทิ้งความหยิ่งยโสของเขา แต่ถังโจวโจวกลับไม่อยากเห็นเขาอีกต่อไป 


 


 


“ฉันรับคำขอโทษจากคุณค่ะ แต่ตอนนี้คุณช่วยออกไปก่อนได้ไหม” ถังโจวโจวพูดย้ำอีกครั้ง ลั่วเซ่าเชินรู้ดีว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าเขาในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงยอมออกไปก่อน เพื่อให้ถังโจวโจวได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง จากนั้นเขาค่อยกลับมาคุยกับเธอใหม่อีกครั้ง 


 


 


นี่เป็นคืนแรกของลั่วเซ่าเชินที่ต้องนอนในห้องหนังสือนับตั้งแต่แต่งงาน เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เขาตื่นนอน เขาก็เข้าไปดูในห้องนอน แล้วพบว่าถังโจวโจวยังไม่ลุกจากเตียง เขาจึงแอบย่องเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบๆ และเมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวยังคงหลับอยู่ เขาก็ค่อยๆ หยิบเสื้อผ้าที่เขาจะสวมใส่วันนี้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวกำลังหลับสนิท เขาก็ถือเสื้อผ้าเดินออกไปด้านนอก และลงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านล่าง เขาจะให้เวลากับถังโจวโจวแค่คืนเดียวเท่านั้น เขาไม่อยากนอนที่ห้องหนังสือทุกวัน ถ้าถังโจวโจวยังคงหาคำตอบไม่ได้ เขาก็จะใช้มาตรการบีบบังคับเธอ 


 


 


แต่ก่อนที่ลั่วเซ่าเชินจะได้เริ่มดำเนินการตามแผน ขณะที่เขากำลังทำงานอยู่ที่บริษัท เขาก็ได้รับสายโทรศัพท์จากป้าหลิว “คุณชายคะ คุณชายรีบกลับมาที่บ้านก่อนได้ไหมคะ คุณผู้หญิงเธอหายไป!” 


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ป้าหลิว เล่าให้ชัดอีกทีสิครับ” ลั่วเซ่าเชินได้รับข่าวนี้ในระหว่างที่เขากำลังฟังรายงานจากผู้จัดการของแต่ละแผนก เขารีบโบกมือไล่เหล่าผู้จัดการให้ออกไปก่อน เมื่อผู้จัดการทั้งหลายเห็นว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินดูไม่สบอารมณ์ พวกเขาก็รู้แล้วว่าผู้อำนวยการกำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก พวกเขาจึงรีบเดินออกไปทันที 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหยิบเสื้อสูทตัวนอกแล้วพูดในขณะที่เดินไปว่า “ป้ารู้ว่าเธอหายไปตั้งแต่ตอนไหนครับ” 


 


 


“หลังจากที่ฉันซื้อของเสร็จ พอฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันก็เห็นว่าอาหารเช้าที่ฉันอุ่นไว้ยังอยู่ที่เดิม ฉันก็เลยคิดว่าคุณผู้หญิงอาจจะยังไม่ได้ลงมาทาน ฉันก็เลยขึ้นไปเคาะดูที่ห้อง แต่ว่าไม่มีคนตอบค่ะ ฉันเคาะต่ออีกสองสามครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครตอบกลับมา แล้วพอฉันผลักประตูเข้าไป ฉันก็ไม่เห็นใครเลยค่ะ” 


 


 


“เธออาจจะอยู่ที่อื่น ป้าแน่ใจนะครับว่าเธอไม่อยู่แล้ว” ลั่วเซ่าเชินกดลิฟต์ 


 


 


น้ำเสียงของป้าหลิวฟังดูเป็นกังวล “ฉันหาทุกซอกทุกมุมแล้วค่ะคุณชาย แต่ก็ไม่พบคุณผู้หญิงเลย ฉันแค่ออกไปซื้อของเองนะคะ ถ้าคุณผู้หญิงเธอจะออกไปข้างนอก เธอจะไม่บอกฉันเลยหรือคะ” 


 


 


“โอเค ป้ารออยู่ที่บ้านก่อนนะครับ ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ” ลั่วเซ่าเชินวางสายโทรศัพท์และรีบขับรถกลับไปที่บ้าน 


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน ลั่วเซ่าเชินก็รีบจอดรถ เขาเห็นว่าป้าหลิวมาคอยเขาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว “คุณชาย มาแล้วหรือคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะเสียเวลาคุยกับป้าหลิว เขาวิ่งตรงขึ้นไปที่ชั้นบนและเข้าไปในห้องนอนหลัก เขาเห็นว่าผ้าห่มบนเตียงนั้นถูกพับเอาไว้อย่างเรียบร้อย ไร้ร่องรอยของถังโจวโจว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าดู เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของเธอหายไปสองสามชุด แต่ก็ไม่ใช่เสื้อผ้าที่เขาเคยซื้อให้เธอ ที่เธอเอาไปเป็นเสื้อผ้าที่เธอนำติดตัวมาด้วยตั้งแต่ตอนที่เธอย้ายเข้ามา กระเป๋าเดินทางของเธอก็หายไป 


 


 


จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและต่อสายถึงถังโจวโจว เขารอสายอยู่นานแต่ถังโจวโจวก็ไม่รับสาย ลั่วเซ่าเชินไม่เชื่อว่าเธอจะไม่เห็นว่าเขาโทรมา เขากดโทรออกอีกครั้ง แต่เธอก็ยังไม่รับสายอีก ลั่วเซ่าเชินรู้ดีว่าถังโจวโจวกำลังหลบเลี่ยงจากเขาอยู่ 


 


 


แล้วเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้ทางอื่นว่า ถังโจวโจวอาจจะกลับไปที่บ้านของตระกูลถัง จากนั้นเขาก็รีบบึ่งไปที่บ้านของคุณพ่อและคุณแม่ถังทันที เขาไม่ได้บอกพวกท่านว่าเขามาตามหาถังโจวโจว เมื่อคุณแม่ถังเปิดประตูและเห็นว่าเป็นลั่วเซ่าเชิน เธอก็รีบเรียกให้เขาเข้ามาข้างใน “เซ่าเชิน มาได้ยังไง รีบเข้ามาก่อนเร็ว” 


 


 


“ครับคุณแม่ ผมมาเยี่ยมคุณแม่ครับ แต่ว่าผมไม่ได้ถืออะไรติดไม้ติดมือมาด้วย ต้องขอโทษจริงๆ ครับ” ลั่วเซ่าเชินเดินเข้าไปและแอบสอดส่องอย่างเงียบๆ แล้วเขาก็พบว่าภายในบ้านนั้นดูเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรผิดปกติ 


 


 


คุณแม่ถังหัวเราะเสียงดังลั่น “เด็กคนนี้นี่ เกรงใจทำไมกัน โจวโจวล่ะ? ไม่ได้มาด้วยหรือ ลั่วอิงด้วย?” 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นแค่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็ชะเง้อมองไปที่ด้านหลังของเขา แต่เธอกลับไม่เห็นถังโจวโจวและลั่วอิงแม้แต่เงา เธอนึกสงสัยว่าทำไมลั่วเซ่าเชินถึงมาคนเดียว? 


 


 


ทันทีที่ลั่วเซ่าเชินได้ยินคุณแม่ถังถามถึงถังโจวโจว เขาก็มั่นใจแล้วว่าถังโจวโจวไม่ได้มาที่นี่ ลั่วเซ่าเชินคิดว่าเขานี่ซื่อบื้อจริงๆ ถังโจวโจวจะทำให้คุณพ่อและคุณแม่ถังเป็นห่วงได้อย่างไร เธอต้องปิดบังพวกเขาไว้ และไม่มีทางกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน 


 


 


คุณแม่ถังพาลั่วเซ่าเชินมานั่ง “เซ่าเชิน เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หรือว่าโจวโจวเป็นอะไร” 


 


 


ทุกครั้งที่คุณแม่ถังได้รับสายโทรศัพท์จากถังโจวโจว เธอมักจะบอกอยู่เสมอว่าเธอสบายดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คุณแม่ถังก็รู้ดีว่าถังโจวโจวแค่ไม่อยากให้ทางบ้านเป็นกังวล จึงไม่ได้ซักถามอะไรมากมาย 


 


 


“เปล่าครับคุณแม่ โจวโจวสบายดี เห็นบ่นอยู่ว่าอยากจะมาเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่น่ะครับ” ลั่วเซ่าเชินไม่อยากทำให้คุณแม่ถังตกใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกเธอว่าถังโจวโจวหายตัวไป 


 


 


คุณแม่ถังถามกึ่งสงสัย “แล้วที่วันนี้เซ่าเชินมาหาแม่?” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยิ้มพลางพูดว่า “พอดีผมผ่านมาทำธุระแถวนี้ครับก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณแม่แทนโจวโจวไปก่อน โจวโจวจะได้สบายใจด้วยน่ะครับ” 


 


 


คุณแม่ถังได้ยินอย่างนี้ก็เชื่อสนิทใจ แต่เธอก็อดพูดชักชวนไม่ได้ว่า “วันหลังก็ไปทำธุระเถอะจ้ะ ไว้ว่างเมื่อไรค่อยพาลั่วอิงกับโจวโจวมาด้วย แม่จะทำของอร่อยให้ทาน” 


 


 


“ครับ คุณแม่ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ ครั้งหน้าผมจะพาโจวโจวและลั่วอิงมาเยี่ยมด้วย” ลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้น คุณแม่ถังเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมากแล้ว ที่แท้ลั่วเซ่าเชินก็แค่แวะมาเยี่ยมเธอ 


 


 


“ขับรถดีๆ นะเซ่าเชิน” 


 


 


“คุณแม่ไม่ต้องออกมาส่งผมหรอกครับ กลับเข้าบ้านเถอะ” คุณแม่ถังมาส่งเขาถึงหน้าประตู เมื่อเธอยืนมองจนร่างของลั่วเซ่าเชินลับสายตา เธอจึงกลับเข้าไปในบ้าน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกลับไปที่รถ เขาไม่รู้ว่าถังโจวโจวหนีไปอยู่ที่ไหน เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ เขากระแทกหมัดลงบนพวงมาลัย สีหน้าของเขาหม่นหมองอย่างมาก 


 


 


ทันใดนั้น ลั่วเซ่าเชินก็นึกถึงใครบางคน “ฮัลโหล หลินเหยา ช่วงนี้คุณได้เจอโจวโจวบ้างไหม” 


 


 


“ไม่นี่คะ ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือคะ” หลินเหยาถามกลับอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินสัมผัสได้ถึงความประหลาดใจจากเสียงของเธอ ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้โกหก ถังโจวโจวอาจจะไม่ได้ไปหาเธอจริงๆ จริงสินะ ถังโจวโจวฉลาดเป็นกรด เธอรู้ดีว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้ ดังนั้น เธอไม่มีทางให้เขาหาตัวเจอได้ง่ายนักหรอก 


 


 


ทันใดนั้น ลั่วเซ่าเชินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอคงไม่ได้ไปหาเซียวโม่ใช่ไหม? ลั่วเซ่าเชินร้อนใจขึ้นมา แต่เขาไม่สามารถเอ่ยปากถามเซียวโม่ได้ ไม่อย่างนั้นเซียวโม่จะต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเขากับถังโจวโจวมีปัญหากัน ลั่วเซ่าเชินจะไม่ยอมให้เขาดูถูกดูแคลนได้ง่ายๆ หรอก 

 

 

 


ตอนที่ 131

 

   ลั่วเซ่าเชินทำได้แค่สั่งให้คนคอยจับตามองเซียวโม่เอาไว้ เพื่อดูว่านอกเหนือจากการกลับบ้านแล้ว เขาได้ไปยังสถานที่ที่น่าสงสัยอื่นๆ อีกไหม 


 


 


           หลังจากที่ถังโจวโจวเก็บของเสร็จ เธอก็ฉวยโอกาสออกมาจากบ้านในขณะที่ป้าหลิวออกไปซื้อของ เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะไปที่ไหนดี ถ้าเธอกลับไปที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่ถัง แผนการหนีของเธอจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นนอน เพราะลั่วเซ่าเชินจะหาตัวเธอพบได้จากที่นั่นเป็นที่แรก 


 


 


           ถังโจวโจวไม่อยากให้ลั่วเซ่าเชินตามหาเธอเจอ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกลับไปที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่ถังได้ ชื่อของหลินเหยาผุดขึ้นมาในสมองของถังโจวโจวเป็นตัวเลือกที่สอง แต่ถังโจวโจวก็ลังเลใจ เธอกลัวว่าถ้าเธอไปอยู่กับหลินเหยา ลั่วเซ่าเชินก็ยังจะหาเธอเจอเช่นกัน 


 


 


           นาทีนั้นถังโจวโจวก็มืดแปดด้าน คิดตัดพ้อว่าบนโลกใบนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอนให้คนอย่างเธอเลยหรือ จากนั้นเธอจึงทำได้แค่สาวเท้าเดินต่อไป พลางคิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อจากนี้ดี 


 


 


ในขณะที่เธอเพิ่งเดินออกมาถึงหน้าหมู่บ้าน เธอก็พบกับใครคนหนึ่ง “โจวโจว นั่นคุณจะไปไหน” 


 


 


ฟังหยวนเห็นถังโจวโจวเดินลากกระเป๋ามาแต่ไกล เขาสงสัยอยู่ว่า ‘เธอจะทำอะไร นี่มันใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว เธอกำลังจะไปไหน’ 


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวหันกลับไปมอง เธอก็พบว่ารถของฟังหยวนจอดอยู่ข้างๆ เธอ เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้พบเขา ถังโจวโจวนิ่งงันไปชั่วขณะ “คุณมาอยู่นี่ได้ยังไง” แทนที่ถังโจวโจวจะตอบคำถามเขา แต่เธอกลับถามเขากลับ 


 


 


“ผมแค่ผ่านมาพอดี แล้วคุณล่ะจะไปไหน ขึ้นมาสิ เดี๋ยวผมไปส่ง” ถังโจวโจวไม่รู้ว่าควรจะขึ้นรถของเขาไหม ฟังหยวนจึงพูดต่อ “ขึ้นมาเร็ว ตรงนี้มันห้ามจอดรถ” 


 


 


ฟังหยวนลงจากรถและยกกระเป๋าของถังโจวโจวไปไว้ที่ท้ายรถ เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาช่วยเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อยแล้วโดยที่เธอยังไม่ได้ร้องขอ เธอจึงทำได้แค่ขึ้นไปนั่งที่ข้างๆ คนขับ 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่าเธอเชื่อฟังเขา เขาก็ลอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะขับรถออกไป 


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวขึ้นรถแล้ว เขาก็เห็นว่าเธอเอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟังหยวนจึงถามขึ้นอีกครั้ง “โจวโจว คุณจะไปไหนเหรอ” 


 


 


ดวงตาของถังโจวโจวหันกลับมาจับจ้องที่เขา จากนั้นเธอก็โพล่งอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งฟังหยวนแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “ไปส่งฉันที่บ้านคุณ” 


 


 


“หา?! ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม” เมื่อฟังหยวนเห็นว่าถังโจวโจวขอให้เขาไปส่งเธอที่บ้านของเขา เขาก็คิดว่าเขาอาจจะได้ยินผิดไป ถังโจวโจวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ 


 


 


ก่อนที่ถังโจวโจวจะพูดแบบนี้ออกมา เธอได้คิดทบทวนเป็นอย่างดีแล้ว อยู่ที่บ้านพ่อแม่ไม่ปลอดภัย บ้านของหลินเหยาเองก็ไม่ปลอดภัยด้วย ในเมื่อจู่ๆ เธอก็ได้พบกับฟังหยวน ลั่วเซ่าเชินคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเธอจะอยู่ที่บ้านของฟังหยวน ไอเดียนี้แหละดีที่สุด! 


 


 


“คุณไม่ได้หูฝาดค่ะ ฉันบอกว่า ฉันจะไปที่บ้านคุณ” 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่าเธอเอาจริงเอาจัง เขาก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “โจวโจว หัวคุณไปกระทบกระเทือนกับอะไรมาหรือเปล่า คุณไม่กลัวว่าผมจะลอบทำร้ายคุณเหรอ” 


 


 


แน่นอนว่าประโยคสุดท้ายนั้นฟังหยวนล้อเล่น แต่ลึกๆ ในใจของเขาก็แอบคิดฝันว่า ถังโจวโจวคงเห็นเขาเป็นที่พึ่งและให้การช่วยเหลือเธอได้จริงๆ ดูท่าว่าเขาเองก็คงสำคัญกับเธออยู่เหมือนกัน 


 


 


ฟังหยวนแอบดีใจอยู่เงียบๆ แต่แล้วคำพูดของถังโจวโจวก็ทำให้เขาผิดหวังอย่างรุนแรง “ถ้าคุณคิดจะลอบทำร้ายฉันจริงๆ คุณก็ควรจะระวังตัวไว้หน่อยนะคะ แล้วคุณก็ไม่ต้องตื่นเต้นมากนักหรอก เพราะฉันไม่ได้คิดถึงคุณเป็นคนแรก” 


 


 


สีหน้าของฟังหยวนเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “โจวโจว คุณไม่ต้องพูดตรงๆ กับผมขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ถังโจวโจวเพียงยิ้มบางๆ ฟังหยวนเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร จากนั้นเขาก็ถามต่อว่า “โจวโจว นี่คุณจะหนีออกจากบ้านหรือไง” 


 


 


เขาเห็นเธอเดินลากกระเป๋าออกมา ดูเหมือนว่าน่าจะยังไม่ได้บอกลั่วเซ่าเชินด้วย ไม่รู้ว่าป่านนี้อาเชินจะร้อนใจไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้ฟังหยวนกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น 


 


 


“คุณจะหักหลังฉันไหม” ถังโจวโจวถามออกมาเบาๆ ฟังหยวนรีบรับประกันทันที “ไม่แน่นอน! โจวโจว คุณวางใจได้เลย ตราบใดที่คุณไม่ต้องการ อาเชินก็หาคุณไม่เจอหรอก คุณจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้!” 


 


 


“คุณช่วยฉันทำไมคะ” ถังโจวโจวไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงยอมช่วยเธอทันทีทั้งที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไป 


 


 


ฟังหยวนเลือกใช้ประโยคที่เธอน่าจะเข้าใจ “คุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่!” ถังโจวโจวตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที เธอเข้าใจดีทีเดียว แต่ว่าบนโลกใบนี้ก็ยังมีสิ่งที่แปลกประหลาดอยู่ แม้ว่าฟังหยวนจะพยายามพูดอ้อมค้อมอยู่หลายครั้งว่าเขาชอบเธอ แต่ถังโจวโจวก็ไม่เคยคิดอยากสานสัมพันธ์กับเขาเลย 


 


 


ถังโจวโจวรู้ดีว่านี่คือโชคชะตาที่ฟ้าเบื้องบนลิขิตมาให้ ก็เหมือนเธอกับลั่วเซ่าเชินนั่นแหละ เธอรักลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินรักผู้หญิงอีกคน เรื่องแบบนี้มันบังคับฝืนใจกันไม่ได้ แม้ว่าเธอจะรู้อย่างนี้อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกเศร้าใจมากอยู่ดี 


 


 


ระหว่างทางที่ผ่านมา ฟังหยวนไม่ได้คุยอะไรกับถังโจวโจวอีก เขาขับรถมาจนถึงเขตเล็กๆ เขตหนึ่ง จากนั้นเขาก็ช่วยถังโจวโจวถือกระเป๋าเดินทาง “ไปครับ ขึ้นไปข้างบนกัน” 


 


 


“คุณอยู่ที่นี่หรือคะ” ถังโจวโจวเดินตามเขาเข้าไปในลิฟต์ เธอเห็นเขากดชั้นที่ยี่สิบหก จากนั้นเมื่อลิฟต์หยุดลง ฟังหยวนก็เปิดประตูห้อง และให้ถังโจวโจวเดินนำเข้าไปก่อน 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเดินเข้าไป เธอก็พบว่านี่คือห้องพักของชายโสด แต่มันดูมีรสนิยมมากกว่าผู้ชายทั่วไป ภายในห้องนั้นใช้สีดำเป็นสีหลัก บนชั้นวางของก็จะมีงานแฮนด์เมดตกแต่งอยู่บ้างประปราย ซึ่งพวกมันก็ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับห้องห้องนี้ 


 


 


“เป็นยังไงบ้างครับ ห้องนี้พอจะเข้าตาคุณบ้างไหม” ฟังหยวนปิดประตูและวางกระเป๋าเดินทางของเธอไว้ที่กลางห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็เข้าไปในครัวและรินน้ำออกมาให้ถังโจวโจว 


 


 


ถังโจวโจวรับน้ำมาจิบและพยักหน้า “ดีค่ะ คุณเองก็มีรสนิยมเหมือนกันนะเนี่ย” 


 


 


ฟังหยวนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงรู้สึกดีใจมากขนาดนี้ ราวกับว่าเขาได้รับคำชมที่ยิ่งใหญ่ “คุณชอบก็ดีแล้วครับ นี่ห้องของคุณนะ” ฟังหยวนเปิดประตูห้องนอนเล็ก ถังโจวโจวลากกระเป๋าเดินทางเข้าไป ภายในนั้นมีของทุกอย่างที่ควรจะมี 


 


 


ถังโจวโจวพอใจกับสถานที่ที่ฟังหยวนเสนอให้ ถ้าเธอซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ต่อให้ลั่วเซ่าเชินจะบุกเข้ามา เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเธอหลบอยู่ตรงนี้ 


 


 


“ฟังหยวน ขอบคุณนะคะที่ให้ฉันมาอยู่ด้วยชั่วคราว แต่ฉันอยากจะขอให้คุณรักษาสัญญาว่าคุณจะไม่เอ่ยถึงฉันกับเซ่าเชิน” ถังโจวโจวอ้อนวอนด้วยใจจริง เธออยากจะอยู่กับตัวเองสักพัก ตอนนี้เธอไม่อยากเจอลั่วเซ่าเชิน เธอควรจะคิดถึงอนาคตของเธอกับเขาให้ดี 


 


 


ฟังหยวนพยักหน้า “วางใจได้เลย โจวโจว ผมรู้สึกกับคุณอย่างไร คุณเองก็รู้ดี ตราบใดที่คุณไม่อยากกลับไป อาเชินจะไม่มีวันรู้เด็ดขาดว่าคุณอยู่ที่นี่ แต่ผมขอถามได้ไหมว่าคุณทะเลาะกับเขามาเหรอ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาในตอนนี้ “ฉันไม่อยากพูดถึงมันในตอนนี้ เอาไว้ฉันค่อยตอบคุณทีหลังนะคะ” 


 


 


“โอเค คุณพักผ่อนก่อนเถอะ” ฟังหยวนปิดประตูห้องให้เธอ ถังโจวโจวมองไปรอบๆ ห้องที่ตอนนี้เหลือเธออยู่เพียงคนเดียว เธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทำความสะอาด เธอจึงทิ้งตัวลงไปบนเตียง นอนไปนอนมา ถังโจวโจวก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าดังขึ้น ถังโจวโจวสะดุ้งตื่น เมื่อเธอหยิบขึ้นมาดู ที่แท้ก็หลินเหยา ถังโจวโจวเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น “ฮัลโหล เหยาเหยา” 


 


 


“โจวโจว นี่เธอไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ลั่วเซ่าเชินเพิ่งโทรมาถามฉันว่าเธออยู่กับฉันหรือเปล่า” 


 


 


“อ้อ เธอไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก” น้ำเสียงของถังโจวโจวค่อนข้างแหบแห้ง 


 


 


“โจวโจว นี่เธอคงไม่ได้ร้องไห้อยู่ใช่ไหม” หลินเหยาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


“เปล่าหรอก ฉันจะร้องไห้ไปทำไม ฉันแค่เพิ่งตื่นนอนน่ะ” ถังโจวโจวค่อยๆ ตื่นอย่างเต็มตา จากนั้นน้ำเสียงของเธอก็กลับคืนสู่สภาพปกติ 


 


 


หลินเหยาสบายใจขึ้น “โจวโจว ถ้าเมื่อกี้นี้เธอกำลังนอนอยู่ แล้วเธออยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับลั่วเซ่าเชิน” 


 


 


“เหยาเหยา ฉันแค่อยากทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับฉันน่ะ เหยาเหยา เธอรู้ไหม ลั่วเซ่าเชินมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น” ถังโจวโจวพยายามทำให้ตัวเองสงบนิ่ง แต่เธอก็ยังรู้สึกขมปร่าอยู่ในใจ 


 


 


           ถังโจวโจวกุมหน้าอก เธอรู้ดีว่ามันเจ็บปวด คนที่เป็นฝ่ายรักก่อนต้องเป็นฝ่ายที่ทุ่มเทมากกว่าจริงๆหรือ? เธอไม่ได้กลัวที่จะเป็นฝ่ายให้ แต่กลัวที่ยิ่งให้ไปเยอะเท่าไรกลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย แบบนี้มันคืออะไร หรือจะพูดให้ถูกก็คือที่ทุ่มเทไปทั้งหมดก็เพื่อเห็นเขาไปรักกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ? 


 


 


           หลินเหยานึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาได้ยินความจริงเรื่องนี้ เดิมทีเธอคิดจะช่วยลั่วเซ่าเชิน แต่เมื่อได้ยินถังโจวโจวพูดแบบนี้ เธอก็ย้ายข้างมาฝั่งเพื่อนทันที “โจวโจว ในเมื่อเขาทำกับเธอถึงขนาดนี้ เธอก็อย่าไปยอมเขาง่ายๆ ล่ะ! ว่าแต่เธอแน่ใจแล้วใช่ไหม” 


 


 


           หลินเหยายังคงสงสัยอยู่ ที่ผ่านมาลั่วเซ่าเชินก็ดีกับถังโจวโจวมาตลอดไม่ใช่หรือ พวกเขายังเคยมีลูกด้วยกันเลย แต่เด็กคนนั้นไม่มีบุญจึงไม่ได้ออกมาใช้อยู่ชีวิตบนโลกใบนี้ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลั่วเซ่าเชินทำตัวนอกลู่นอกทางได้นะ? 


 


 


“เหยาเหยา ฉันมีรูปยืนยันนะ นางเอกคนนั้นก็คือรักแรกของเขา หันฮุ่ยซิน แบบนี้ยังจะมีอะไรให้ไม่แน่ใจอีกล่ะ” ถังโจวโจวแค่รู้สึกเหนื่อย ถ้าตอนนั้นลั่วเซ่าเชินพูดกับเธอตามตรงว่าเขายังลืมหันฮุ่ยซินไม่ได้ เธอก็จะยกตำแหน่งที่เธอเป็นอยู่ตอนนี้ให้กับหันฮุ่ยซินไปเลย 


 


 


แต่เขากลับพูดต่อหน้าเธอว่าในใจของเขาไม่มีหันฮุ่ยซินแล้ว ถ้าเขาไม่ได้มีเธออยู่ในหัวใจ ทำไมทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นกับหันฮุ่ยซิน ลั่วเซ่าเชินจะต้องเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเธอเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากขนาดไหนก็ไม่ควรทำเช่นนี้ ท้ายที่สุดก็คือในใจเขายังไม่เคยลืมเธอได้เลย 


 


 


หลินเหยาเข้าใจในทันที ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็อาจเป็นไปได้ “แล้วตอนนี้เธอจะทำยังไง โจวโจว?” หลินเหยารู้ว่าถังโจวโจวหวั่นไหวไปกับลั่วเซ่าเชินแล้ว ถ้าถังโจวโจวไม่อยากแยกจากลั่วเซ่าเชิน เธอจะทำอะไรได้อีกนอกจากต้องทนขมขื่นตลอดไป 


 


 


แต่ส่วนตัวแล้วหลินเหยาไม่อยากให้ถังโจวโจวเป็นแบบนี้ เธอรู้จักถังโจวโจวดี ถังโจวโจวกับเธอเป็นพวกที่ทนให้เม็ดทรายผ่านเข้าไปในดวงตาไม่ได้[1] มิฉะนั้นตอนนั้นที่เซียวโม่ขอคืนดี ถังโจวโจวเองก็คงจะมีปฏิกิริยาอะไรไปบ้างแล้ว แต่เป็นเพราะเธอไม่ต้องการให้เซียวโม่ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอได้อีก 


 


 


ตอนนี้ถึงคราวของลั่วเซ่าเชินแล้ว ถังโจวโจวจะทำอย่างไรต่อไป เธอจะให้อภัยหรือว่าจะเลิก? ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นจากลั่วเซ่าเชิน แล้วลั่วเซ่าเชินจะยอมเลิกกับเธอไหม หรืออาจจะต้องพูดว่าเขายอมให้ถังโจวโจวจากไปหรือเปล่า? 


 


 


“ตอนนี้ฉันจะให้พวกเราได้สงบสติอารมณ์กันสักพักก่อน ถือเสียว่าให้โอกาสฉันได้คิดว่าฉันจะทำยังไงต่อไปดี เหยาเหยา ที่ฉันไม่ได้บอกเธอว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนก็เพราะว่าฉันหวังดีกับเธอนะ แบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องโกหกเขาด้วย” 


 


 


หลินเหยาเข้าใจดีว่าถังโจวโจวทำเพื่อเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เอ่ยถามอีกว่าตอนนี้ถังโจวโจวไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน “ฉันขอถามเธอคำเดียวนะ โจวโจว เธอโอเคใช่หรือเปล่า อย่าทำร้ายตัวเองเพราะลั่วเซ่าเชินนะ” 


 


 


“จ้ะ ฉันรู้แล้ว” ถังโจวโจวรู้สึกยินดีที่ได้มีเพื่อนที่แสนดีแบบนี้ 


 


 


เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ฟังหยวนก็เคาะที่ประตูห้องของถังโจวโจว “โจวโจว เดี๋ยวคุณออกมาทานข้าวได้แล้วนะ” 


 


 


“ไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ” ถังโจวโจวออกมาจากห้อง จากนั้นเธอก็เข้าไปจัดการกับตัวเองในห้องน้ำ เมื่อเธอออกมาด้านนอก เธอก็เห็นว่าบนโต๊ะมีอาหารตั้งอยู่เต็มไปหมด กลิ่นของอาหารเลิศรสกำจายไปทั่วห้อง “นี่คุณทำเองหรือคะ” 


 


 


 


 


 


[1] ทนให้เม็ดทรายผ่านเข้าไปในดวงตาไม่ได้ หมายถึง ไม่สามารถทนกับความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ 

 

 

 


ตอนที่ 132

 

     ถังโจวโจวมองดูจานอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ถ้าสำหรับสองคนก็อาจจะดูเยอะเกินไปสักหน่อย ฟังหยวนกะจะขุนเธอให้เป็นหมูหรือไงกัน


 


 


“เปล่าหรอก ผมสั่งมาจากโรงแรมน่ะ” แม้ว่าฟังหยวนอยากจะโชว์ฝีมือให้ถังโจวโจวเห็น แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่มีทักษะในด้านนี้เลย แต่เขารู้ว่าถังโจวโจวทำอาหารอร่อย เขาไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะมีโอกาสได้กินอาหารฝีมือของเธอบ้างหรือเปล่า


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไร คนเราสามารถคาดหวังได้หรือว่าผู้ชายคนหนึ่งจะลงมือเข้าครัว? ใช่ มันก็อาจจะมี แต่คนอย่างคุณชายที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ เธอเดาว่าน่าจะหมดหวัง


 


 


           ฟังหยวนไม่รู้ว่าถังโจวโจวดูถูกเขาในใจ แต่ให้พูดตามตรง ถังโจวโจวเองก็อยากให้ฟังหยวนได้ลองกินอาหารที่เธอทำดูบ้าง เขาน่าจะไม่เคยได้กินของอร่อยๆ สักเท่าไร แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการทำอาหาร ฟังหยวนก็ได้แต่ยอมศิโรราบให้กับถังโจวโจว


 


 


           “เอาละ อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย รีบทานข้าวกันเถอะครับ ผมไม่รู้ว่าอาหารที่สั่งมาจะถูกปากคุณหรือเปล่านะ” ฟังหยวนไม่แน่ใจว่าถังโจวโจวชอบกินอะไร แม้ว่าเขาจะเคยกินข้าวกับถังโจวโจวอยู่ครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยกินอาหารจีนอย่างเป็นทางการเลย ดังนั้นฟังหยวนจึงรู้สึกกังวลอยู่นิดหน่อย


 


 


           ถังโจวโจวนั่งลงที่โต๊ะและคีบเนื้อวัวผัดต้นกระเทียมมากิน เธอพยักหน้า “ใช้ได้ค่ะ”


 


 


ฟังหยวนได้รับการประเมินแค่ ‘ใช้ได้’ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยถูกปากถังโจวโจว “ครั้งหน้าผมจะเปลี่ยนร้านก็แล้วกัน”


 


 


ฟังหยวนคิดง่ายๆ ถ้าร้านนี้ไม่โอเค ครั้งหน้าก็เปลี่ยนร้าน มันต้องมีสักร้านหนึ่งแหละที่ถูกปากเธอ แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ฟังหยวนก็ดูออกว่าเธอหดหู่มาก ดูเหมือนว่าเธอจะทะเลาะกับลั่วเซ่าเชินมาใหญ่โต ฟังหยวนรีบโบ้ยความผิดไปให้ลั่วเซ่าเชินทันที


 


 


ไม่โทษเขาแล้วจะโทษใคร คนอย่างถังโจวโจวจะทะเลาะกับลั่วเซ่าเชินโดยไม่มีสาเหตุได้อย่างไร อาเชินต้องทำอะไรให้เธอเสียใจมากแน่ๆ ทันใดนั้นฟังหยวนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ คงไม่ใช่เพราะวันนั้นหรอกนะ?


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าเมื่อเธอมาอาศัยอยู่ที่บ้านของคนอื่น เธอก็ไม่ควรที่จะรบกวนให้ฟังหยวนสั่งอาหารมาให้เธอทุกวัน มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเลยจริงๆ เธอจึงคิดว่า “ทำไมไม่ให้ฉันทำให้ทานล่ะคะ ถ้าคุณไม่รังเกียจน่ะนะ?”


 


 


ฟังหยวนรีบรับคำทันที “ผมจะรังเกียจได้ยังไง ผมดีใจมากต่างหาก!” ฟังหยวนไม่สามารถปิดบังรอยยิ้มของตัวเองไว้ได้เลย เขารอประโยคนี้มานาน ดูเหมือนว่าช่วงนี้โชคจะเข้าข้างเขาบ้างแล้ว


 


 


ถังโจวโจวคิดไม่ถึงเลยว่าฟังหยวนจะดีใจมากขนาดนี้ นี่อาหารของเธออร่อยกว่าร้านอาหารในโรงแรมหรูหรืออย่างไร ถังโจวโจวคิดเพียงครู่แล้วก็เผลอหลุดถามคำถามนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


 


ฟังหยวนแสดงสีหน้าที่สื่อว่า ‘แน่นอนอยู่แล้ว’ ออกมาอย่างชัดเจน “โจวโจว ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณทำอาหารอร่อย แต่ผมไม่เคยมีโอกาสได้ลองทานเลย คราวนี้คุณเป็นคนมาเสิร์ฟอาหารให้ผมถึงหน้าประตูเองนะ”


 


 


ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยวันหนึ่งเธอจะได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ เธอแค่ชอบการทำอาหาร ฝีมือของเธอนั้นธรรมดามาก แต่ถ้าเธอสามารถทำมาหากินได้ ถังโจวโจวเองก็ยินดีที่จะศึกษาหาความรู้ทางด้านนี้เพิ่มเติม “ถ้าคุณชอบก็ยิ่งดีเลยค่ะ”


 


 


วันนี้ถังโจวโจวก็ไม่ได้ไปที่บริษัท เธอกำลังคิดว่าเธอจะยังไปทำงานได้อยู่ไหม ลั่วเซ่าเชินคงไม่ดักรอเจอเธอที่บริษัทหรอกนะ? เธอควรจะทำอย่างไรดี


 


 


เธอไม่สามารถอุดอู้อยู่แต่ในห้องเล็กๆ แบบนี้ได้ทั้งวัน ถังโจวโจวรู้สึกปวดหัวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอมองดูท่าทางที่มีความสุขของฟังหยวน ในฐานะคนที่รักอาหาร เมื่อได้เห็นคนชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ ถังโจวโจวก็รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ ถังโจวโจวก็กลับไปเก็บกวาดห้อง เธอหยิบเสื้อผ้าของเธอออกมา แต่เนื่องจากความเร่งรีบ ถังโจวโจวจึงไม่ได้หยิบอุปกรณ์อาบน้ำออกมาด้วย ฟังหยวนจึงพาเธอออกไปซื้อของที่เธอจำเป็นต้องใช้ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ กับบริเวณนั้น


 


 


ด้วยเหตุนี้ ถังโจวโจวจึงอาศัยอยู่กับฟังหยวน ส่วนลั่วเซ่าเชินตามหาถังโจวโจวอย่างไรก็ไม่เจอ เมื่อลั่วอิงกลับมาแต่ไม่พบถังโจวโจว เธอจึงจับลั่วเซ่าเชินมาถามถึงแม่โจวโจว ลั่วเซ่าเชินก็ได้ปลอบเธอว่า “ช่วงนี้แม่โจวโจวไม่อยู่ครับ แม่โจวโจวติดธุระ เดี๋ยวคุณแม่ก็กลับมานะ”


 


 


“คุณพ่อขา ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อก็ไปรับแม่โจวโจวกลับมาสิคะ คุณแม่ไปทำธุระที่ไหนหรือคะ” ลั่วอิงไม่เข้าใจโลกของพวกผู้ใหญ่เลย ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่สามารถพูดได้ว่าที่ถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไปเป็นเพราะเขา


 


 


“แม่โจวโจวอยากอยู่คนเดียวสักพักครับ หนูกับพ่ออย่าเพิ่งไปกวนคุณแม่เลยนะ เดี๋ยวคุณแม่จะอารมณ์เสียเอาได้” เมื่อลั่วอิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็พูดอย่างผิดหวังว่า “ก็ได้ค่ะ แต่ว่าคุณพ่อช่วยพาแม่โจวโจวกลับมาเร็วๆ นะคะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่อาจรับปากเธอได้ ตอนนี้เขายังหาเธอไม่เจอเลย แล้วเขาจะพาถังโจวโจวกลับมาเร็วๆ ได้อย่างไร ลั่วเซ่าเชินนึกไม่ถึงว่าถังโจวโจวจะหนีไปโดยไม่บอกใคร นี่เป็นเพราะเธอโกรธเขาใช่หรือเปล่า มีอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ ล่ะ ทำไมเธอถึงต้องหนีออกจากบ้านอย่างนี้ด้วย!


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินสามารถปลอบลั่วอิงได้แล้ว เขาก็ผ่อนคลายลง อีกสักพักก็จะถึงปีใหม่[1]แล้ว เขาไม่รู้ว่าปีนี้มันจะผ่านไปอย่างราบรื่นหรือไม่?


 


 


หลายวันต่อมา ลั่วเซ่าเชินก็ยังตามหาถังโจวโจวไม่เจอ ในขณะที่ทางบริษัทของถังโจวโจว ผู้จัดการของเธอบอกว่า เธอได้ขอลาหยุดไปหลายวันและยังไม่ได้กำหนดวันที่จะกลับมา ทันใดนั้น ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกว่าผู้จัดการคนนี้ปล่อยปละละเลยถังโจวโจวมากเกินไป


 


 


ถังโจวโจวอาศัยบารมีของเขา เธอจึงคิดจะหายไปนานเท่าไรก็ได้ ตอนนี้เขาก็เลยยังหาเธอไม่เจอ ลั่วเซ่าเชินเริ่มมีความคิดย้อนแย้ง เมื่อตอนที่พวกเขายังรักกันดีอยู่ เขาไม่อยากให้ถังโจวโจวไปทำงานเลยสักวัน เพราะอยากให้เธออยู่ใกล้ๆ เขาตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเธอไม่มาทำงานแบบนี้ช่างไม่ดีเสียเลย


 


 


เมื่อผู้จัดการเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกำลังโกรธ เขาก็พูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “นั่นเป็นความต้องการของท่านผอ. ไม่ใช่หรือครับ? ท่านบอกว่าอย่าทำให้ถังโจวโจวเหนื่อย ผมก็ทำตามคำสั่งของท่านทุกอย่างเลยนะครับ!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินสะดุดกึก จากนั้นเขาก็วางสายไปด้วยความโมโห หวังหวาเห็นว่าในช่วงสองสามวันมานี้ ท่านผอ. อารมณ์ไม่ดี นอกจากนี้ท่านยังให้เขาคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเซียวโม่ด้วย เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงหรือเปล่า?


 


 


หวังหวาและลูซี่จับสังเกตได้อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ท่านผอ. ไม่สบอารมณ์มักจะเกี่ยวข้องกับคุณผู้หญิง และทุกครั้งคนที่ต้องรับกรรมก็คือพวกลูกน้องอย่างพวกเขา คนภายในบริษัทรู้สึกว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว มันแย่เอามากๆ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกดดันทุกวัน!


 


 


สาเหตุที่ทำให้ลั่วเซ่าเชินหาถังโจวโจวไม่เจอ นั่นก็เป็นเพราะฟังหยวน ลั่วเซ่าเชินส่งคนไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดและข้อมูลการเข้าพักอาศัยของโรงแรมในเมืองนี้ แต่เขาก็ไม่พบถังโจวโจวเลย ราวกับว่าเธอหายตัวไปเฉยๆ ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นอีก


 


 


ช่วงนี้ลั่วอิงถูกส่งไปอยู่กับคุณแม่ลั่ว เนื่องจากลั่วเซ่าเชินกลับบ้านดึกมาก ถ้าให้ลั่วอิงอยู่บ้านคนเดียว เขาก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ดังนั้น เขาจึงต้องส่งเธอไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วชั่วคราว เพื่อให้คุณแม่ลั่วช่วยดูแลเธอ


 


 


คุณแม่ลั่วดีใจที่ลั่วอิงมาหา “ลั่วอิง หนูมาเยี่ยมคุณย่าแล้วหรือคะ”


 


 


เธอโอบกอดลั่วอิงเอาไว้ คุณแม่ลั่วกำลังอารมณ์ดี เธอรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าลั่วอิงเป็นเด็กผู้ชายก็คงจะดีกว่านี้ ก่อนหน้านี้คุณแม่ลั่วก็ไม่ได้รู้สึกว่าความคิดนี้ในใจมันรุนแรงอะไร แต่หลังจากที่ถังโจวโจวตั้งท้อง คุณแม่ลั่วก็ยิ่งคิดถึงเรื่องหลานชายหนักขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แต่ตระกูลลั่วของพวกเขาก็ยังไม่มีทายาทที่เป็นทางการเลยสักคน แล้วทรัพย์สินของตระกูลนี้ล่ะจะทิ้งไว้ให้ใคร?


 


 


ในมุมมองของคุณแม่ลั่ว แม้ว่าลั่วอิงจะเป็นหลานของเธอ แต่ลั่วอิงก็ไม่สามารถเทียบกับเด็กผู้ชายได้ นอกจากนี้ เมื่อถึงเวลาเด็กผู้หญิงก็ต้องแต่งงานและออกเรือนไปอยู่กับคนอื่น ลั่วกรุ๊ปก็คงไม่อาจยกให้กับลั่วอิงที่แต่งงานไปเข้าตระกูลอื่นได้


 


 


บางครั้งมันก็น่าขำเสียจริง คุณแม่ลั่วคิดว่าเธอเป็นคนชนชั้นสูงและได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี แต่ความคิดความอ่านของเธอยังคงเหมือนคนหัวโบราณ ที่มีอคติเรื่องชายหญิงอยู่เสมอ


 


 


เมื่อตอนที่ลั่วเซ่าอวี๋ยังอยู่ คุณแม่ลั่วไม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดของเธอไปที่ลั่วเซ่าเชิน เธอมีลูกชายสองคน ตราบใดที่ลูกชายคนโตของเธอสามารถมีหลานชายให้เธอได้ แค่นี้คุณแม่ลั่วก็พอใจแล้ว เธอไม่ได้ขออะไรมากมาย


 


 


แต่ลั่วเซ่าอวี๋กลับด่วนจากเธอไปเสียก่อน ทีนี้คุณแม่ลั่วก็เลยทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มีไปที่ลั่วเซ่าเชินแทน ซึ่งนั่นทำให้ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่อยากกลับบ้านตระกูลลั่วเลย เพราะเมื่อเขากลับมาถึงบ้านทีไร คุณแม่และคุณพ่อลั่วก็มักจะพูดถึงแต่เรื่องลูกของเขา


 


 


เมื่อก่อนเอาแต่พูดถึงเรื่องแต่งงาน ตอนนี้พอเขามีภรรยา แน่นอนว่าก็ต้องพูดถึงเรื่องหลาน ลั่วเซ่าเชินจึงมักยกเอาลั่วอิงขึ้นมาเป็นเกราะกำบังทุกครั้ง โดยการบอกว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่ผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง ถ้าเขาไม่มีลูกชาย เขาก็จะยกกิจการของตระกูลลั่วให้ลั่วอิงดูแล


 


 


ในตอนนั้นคุณแม่ลั่วรู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดถึงมากนัก แต่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินแต่งงานกับถังโจวโจมานานแล้ว และหลานชายของเธอก็ยังไม่มาปรากฏตัวสักที ในที่สุดคุณแม่ลั่วก็เริ่มร้อนรนใจขึ้นมา ช่วงนี้เธอจึงพูดถึงเรื่องหลานชายอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ถังโจวโจวแท้งลูก


 


 


ช่วงนี้ลั่วอิงเองก็รู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในบ้าน พอแม่โจวโจวไม่อยู่ เธอกับคุณพ่อก็ดูเหมือนกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ลั่วอิงคิดถึงถังโจวโจวมาก “คุณย่าขา แม่โจวโจวไม่อยู่บ้าน ช่วงนี้คุณพ่อน่ากลัวมากเลยค่ะ หนูไม่กล้าคุยกับคุณพ่อเลย”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ดุลั่วอิง แต่แค่ลั่วอิงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อึมครึมอยู่รอบตัวของลั่วเซ่าเชิน เธอก็หลบเขาโดยอัตโนมัติ เดิมทีบ้านก็เงียบมากอยู่แล้ว เมื่อไม่มีถังโจวโจว เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่บ้านอีก แต่เป็นแค่ห้องห้องหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้เท่านั้นเอง


 


 


ทันทีที่คุณแม่ลั่วได้ยินว่าถังโจวโจวไม่อยู่บ้าน เธอก็เริ่มให้ความสนใจ “ลั่วอิง ทำไมถังโจวโจวถึงไม่อยู่บ้านล่ะ เธอหายไปไหน”


 


 


“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ หนูได้ยินมาจากป้าหลิว ป้าหลิวบอกว่าคุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกัน แม่โจวโจวก็เลยหนีไป แล้วตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา คุณพ่อก็ไม่ให้ถามอะไรด้วยค่ะ” ลั่วอิงยิ่งเศร้าใจเมื่อคิดถึงจุดนี้ เพราะวันนั้นคุณพ่อโกหกเธอ เขาบอกว่าแม่โจวโจวติดธุระก็เลยออกไปข้างนอก


 


 


ลั่วอิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าถ้าเธอไม่ได้ฟังมาจากป้าหลิว เธอก็คงไม่รู้ว่าถังโจวโจวหนีไปเพราะทะเลาะกับลั่วเซ่าเชิน จากนั้นลั่วอิงก็ไปถามลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยอมตอบเธอ เขาขอให้เธอออกจากห้องไป ลั่วอิงก็เลยร้องไห้งอแงขอกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วได้ยินเช่นนั้น เธอก็คิดว่านี่มันคือโอกาสทองชัดๆ เมื่อก่อนเธอไม่สามารถไล่ถังโจวโจวออกไปได้เพราะอาเชิน นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะหนีออกไปเอง นี่เป็นโอกาสที่ดีเอามากๆ เลยทีเดียว


 


 


คุณแม่ลั่วไม่ได้แสดงท่าทีที่ผิดปกติต่อหน้าลั่วอิง เธอกลัวว่าลั่วอิงจะเอาไปบอกลั่วเซ่าเชิน เธอไม่อยากให้หลานสาวเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการของเธอ


 


 


“โธ่ คนดีของย่า คุณพ่อใจร้ายกับหนู หนูก็อยู่มากับคุณปู่คุณย่าหลายๆ วันเลยนะคะ ย่าจะดีใจมากๆ เลย” คุณแม่ลั่วรู้สึกว่าลั่วอิงเหมือนเป็นตัวนำโชคของเธอจริงๆ ที่นำข่าวดีๆ แบบนี้มาบอกเธอ


 


 


คุณแม่ลั่วปล่อยให้ลั่วอิงออกไปกินของว่าง ส่วนเธอก็รีบยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงเมิ่งชิงซีและบอกข่าวดีกับเธอ เมิ่งชิงซีไม่ได้คาดหวังมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสดีๆ ลอยมาหาเธอถึงที่ เธอรีบกล่าวขอบคุณคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วเองก็หัวเราะชอบใจ เธอฝากความหวังของตัวเองไว้ที่เมิ่งชิงซีได้อีกครั้งแล้ว


 


 


 


 


[1] เทศกาลปีใหม่ หมายถึง เทศกาลตรุษจีน เป็นการเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ของคนจีนตามปฏิทินจันทรคติ


ตอนที่ 133 ยายผู้หญิงซื่อบื้อ

 

   เมื่อเมิ่งชิงซีได้รับข่าวดีจากคุณแม่ลั่ว เธอก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเอาไว้ได้ ฉินอวิ๋นเห็นว่าเมิ่งชิงซีอารมณ์ดี เธอจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “ชิงซี ไปได้ข่าวดีอะไรมา ทำไมถึงดีใจมากขนาดนี้”


 


 


           เมิ่งชิงซีนั่งลงข้างๆ ฉินอวิ๋น “แม่คะ หนูมีข่าวดีจะบอก ถังโจวโจวทะเลาะกับเซ่าเชิน ตอนนี้เธอหนีออกจากบ้านไปแล้ว ในที่สุดโอกาสของหนูก็มาถึงแล้วค่ะแม่”


 


 


           ฉินอวิ๋นคิดว่าลูกสาวของเธอไร้เดียงสามากเกินไป หากเธอไม่ได้ช่วยชิงซีปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อนไว้ได้ทัน ลั่วเซ่าเชินก็คงจะมาเอาเรื่องเธอแล้ว แล้วถ้าเมิ่งไหวเซินรู้ว่าชิงซีเคยก่อเรื่องแบบนั้น เขาเองก็คงไม่ปล่อยลูกสาวไปง่ายๆ เช่นกัน


 


 


ตอนนี้ฉินอวิ๋นเห็นว่าลูกสาวของเธออารมณ์ดีอย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปรามเธอ “ชิงซี ครั้งก่อนลูกบอกแม่ว่าเซ่าเชินสงสัยลูกไม่ใช่เหรอ ลูกไม่ต้องกลับไปยุ่งกับเขาหรอก แม่จะหาผู้ชายที่ดีกว่าให้ลูกเอง ดีไหม”


 


 


แม้ฉินอวิ๋นจะรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่เขาไม่ได้ชอบลูกสาวของเธอ ถ้าชิงซียังจะดื้อดึงแบบนี้ ตัวเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายที่เจ็บตัว นิสัยของชิงซีไม่เหมือนกับเธอ ในตอนนั้นเพราะเธอเป็นคนที่อดทนเก่ง ท้ายที่สุดเธอจึงสามารถเป็นคนที่ได้นั่งบนบัลลังก์คุณผู้หญิงเมิ่งมาจนถึงทุกวันนี้


 


 


“แม่คะ หนูเคยบอกแม่แล้วไง หนูต้องการแค่ลั่วเซ่าเชินคนเดียวเท่านั้น ผู้ชายคนอื่นหนูไม่เอา ทำไมหนูถึงต้องเสียเซ่าเชินให้กับคนอย่างถังโจวโจวด้วย!” เมิ่งชิงซีเดินกระทืบเท้าขึ้นไปข้างบน เธอไม่อยากคุยกับฉินอวิ๋นแล้ว เธอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวออกจากบ้านไปหาลั่วเซ่าเชิน


 


 


ฉินอวิ๋นเห็นว่าเธอพูดไม่เข้าหูลูกสาวแค่คำเดียว เมิ่งชิงซีก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปแล้ว ลูกสาวเธอไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิดว่าที่เธอพูดก็เพราะหวังดี ลูกคนนี้นี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ


 


 


ฉินอวิ๋นนึกเสียใจจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ฉินอวิ๋นไม่สนใจแล้วว่าเธอกำลังเสียใจอยู่หรือไม่ ฉินอวิ๋นเพียงมองดูชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ก็รีบปาดน้ำตาและกดรับสายทันที ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปคุยข้างในห้อง


 


 


“ว่ายังไง ได้เรื่องแล้วเหรอ”


 


 


เสียงจากปลายสายคือเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ฟังดูอ่อนวัยกว่า ฉินอวิ๋นลดเสียงลง เธอกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินเข้า ฝ่ายนั้นต้องการให้ฉินอวิ๋นออกไปพบ เมื่อนัดแนะสถานที่กันเรียบร้อยแล้ว เธอก็วางสายไป


 


 


ฉินอวิ๋นกลับไปที่ห้อง เมื่อเธอได้ยินเสียงเมิ่งชิงซีลงไปที่ชั้นล่าง เธอก็รู้ว่าลูกสาวของเธอออกไปแล้ว ในเมื่อเธอไม่สามารถห้ามเมิ่งชิงซีได้ ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ฉินอวิ๋นเปลี่ยนเป็นเสื้อโค้ทสีดำและสวมหมวกสีดำ จากนั้นเธอก็ออกไปข้างนอก


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นมาถึงร้านกาแฟตามที่นัดหมายไว้ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อโค้ทสีกากีนั่งอยู่ในมุมลับตาคน ฉินอวิ๋นเดินตรงเข้าไปหา “คุณฉินหรือเปล่าครับ”


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาถาม ท่าทางเขาดูธรรมดามาก นี่ถ้าฉินอวิ๋นไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาก็อาจเป็นแค่คนไม่น่าจดจำที่แสนธรรมดาคนหนึ่ง


 


 


“ของล่ะ?” ฉินอวิ๋นไม่พูดอ้อมค้อม แล้วเธอก็ยิ่งไม่อยากให้ใครจำได้ ถ้าเมิ่งไหวเซินรู้เข้า ตำแหน่งของเธอและลูกสาวจะตกอยู่ในอันตรายได้


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาส่งซองเอกสารให้ฉินอวิ๋น ฉินอวิ๋นหยิบกระดาษออกมาดู และเมื่อเธอพบว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ เธอก็ยื่นการ์ดให้เขาใบหนึ่ง “นี่คือเงินส่วนที่เหลือ ทั้งหมดอยู่ในบัตรใบนี้ ไม่มีรหัสผ่าน”


 


 


“หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกนะครับ” ทันทีที่ชายหนุ่มคนนั้นดื่มน้ำจนหมดแก้วในอึกเดียว เขาก็เดินออกจากร้านไป ฉินอวิ๋นนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่เดิม เมื่อเธอดื่มจนหมดแก้ว เธอก็หยิบซองเอกสารและเดินออกไปจากร้านกาแฟอย่างเป็นปกติ


 


 


           เมื่อเธอกลับเข้าไปในรถ ฉินอวิ๋นก็ฉีกซองเอกสารออก ภายในนั้นเขียนบรรยายถึงเรื่องราวของถังโจวโจวตั้งแต่เล็กจนโตไว้อย่างละเอียด หลังจากที่ฉินอวิ๋นได้อ่านดูแล้ว เธอก็มั่นใจในการคาดเดาของเธอมากขึ้น


 


 


ถังโจวโจวไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลถังจริงๆ ด้วย เธอเป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เพียงแต่ ณ ตอนนั้นถังโจวโจวยังเด็กมาก เธอจึงจำอะไรไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น สองสามีภรรยาของตระกูลถังก็ปฏิบัติกับเธอเสมือนลูกแท้ๆ ดังนั้นถังโจวโจวจึงไม่สงสัยอะไรเลย


 


 


อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับฉินอวิ๋นเลย แม้ว่าในข้อมูลจะไม่ได้ระบุเอาไว้ แต่วันที่ถังโจวโจวเข้าสู่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ก็เป็นช่วงที่เสิ่นหลานอีเพิ่งจะเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำเพียงไม่กี่วัน ซึ่งนั่นทำให้ฉินอวิ๋นอดคิดไม่ได้ว่าถังโจวโจวมีอะไรเกี่ยวข้องกับเสิ่นหลานอีหรือเปล่า เพราะว่าหน้าตาของพวกเธอสองคนละม้ายคล้ายคลึงกันมาก


 


 


เมื่อเธอพลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย ฉินอวิ๋นก็ได้พบข้อมูลบางอย่าง ในที่สุดเธอก็แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างถังโจวโจวและเสิ่นหลานอีแล้ว ฉินอวิ๋นแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ เธอจะปล่อยถังโจวโจวเอาไว้ไม่ได้แล้ว เพื่อลูกสาวของเธอ แล้วก็เพื่อตัวเธอเองด้วย


 


 


ฉินอวิ๋นไม่ได้ขับรถกลับบ้าน เมิ่งชิงซีออกไปข้างนอก เมิ่งไหวเซินก็ไม่อยู่บ้าน เธอกลับไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ ดังนั้นเมื่อตอนที่ออกมา ฉินอวิ๋นจึงได้นัดเพื่อนออกมาเสริมสวย และตอนนี้มันก็ถึงเวลานัดหมายแล้ว


 


 


เมิ่งชิงซีมาถึงลั่วกรุ๊ปด้วยความกระตือรือร้น เธอรีบตรงขึ้นไปที่สำนักงานของลั่วเซ่าเชิน พนักงานต้อนรับด้านล่างจำเมิ่งชิงซีได้ เธอหมายที่จะแจ้งให้ชั้นบนทราบก่อน จากนั้นเธอถึงจะปล่อยให้เมิ่งชิงซีเข้าไป


 


 


แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมิ่งชิงซีไม่เปิดโอกาสให้ใครได้รั้งตัวเลย เธอตรงเข้าไปขึ้นลิฟต์ จากนั้นลูซี่ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากพนักงานต้อนรับด้านล่างว่าอีกไม่กี่นาทีเมิ่งชิงซีก็จะขึ้นไปถึงหน้าห้องสำนักงานเลขาฯ แล้ว


 


 


ลูซี่ออกมาต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณเมิ่งคะ ลมอะไรหอบมาคะวันนี้?”


 


 


คำพูดของลูซี่ไม่ได้ทำให้เมิ่งชิงซีหงุดหงิดอะไรเพราะเธอกำลังรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างมาก แล้วเมิ่งชิงซีก็ไม่สนเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับความไม่ลงรอยระหว่างเธอกับลูซี่ในตอนนี้เลย “คุณลูซี่ ฉันมาพบเซ่าเชินค่ะ”


 


 


ลูซี่มองดูท่าทางที่ทั้งเย่อหยิ่งและก้าวร้าวของเมิ่งชิงซีด้วยความเบื่อหน่าย ผู้หญิงคนนี้ยังสติดีอยู่หรือเปล่า วันๆ ไม่ทำการทำงาน เอาแต่วิ่งแจ้นมาที่บริษัทได้ไม่รู้จักเบื่อ ท่านผอ. เองก็ไม่อยากพบเธอ แต่เธอกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างนั้น แต่ด้วยหน้าที่การงาน ลูซี่ไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้


 


 


“ขอโทษด้วยนะคะ คุณเมิ่ง ท่านผอ. ติดประชุมอยู่ค่ะ” ลูซี่แค่ต้องการจะกำจัดเมิ่งชิงซีให้หายไปจากตรงนี้เร็วที่สุด เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลูซี่ยกเอาเรื่องการประชุมขึ้นมาขัดขวางเธอ เธอก็โมโหขึ้นมาทันที


 


 


“ลูซี่ นี่คุณกำลังโกหกตาใสอยู่นะคะ ฉันไม่เคยเห็นบริษัทไหนจัดการประชุมตอนนี้เลย”


 


 


เมิ่งชิงซีมองดูเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัด แม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยง แต่เมิ่งชิงซีก็ไม่เชื่อว่าตอนนี้ลั่วเซ่าเชินกำลังประชุมอยู่ เธอรู้สึกว่าลูซี่ไม่รู้จักพิจารณาว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ


 


 


ตอนนี้ถังโจวโจวก็หนีลั่วเซ่าเชินไปแล้ว เธออาจจะได้เป็นคุณผู้หญิงลั่วในเร็ววันนี้ก็เป็นได้ ถ้ามันเป็นอย่างที่เธอคิด เธอตัดสินใจแล้วว่าสิ่งแรกที่เธอจะทำหลังจากแต่งงานกับลั่วเซ่าเชินแล้ว คือเธอจะไล่ลูซี่ออก


 


 


หากลูซี่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ก็คงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เมิ่งชิงซีจะได้เป็นคุณผู้หญิงแห่งตระกูลลั่วเลย ต่อให้เธอได้เข้าไปอาศัยอยู่ในตระกูลลั่วจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านผอ. จะยอมให้เธอทำอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทได้ตามใจชอบ ลูซี่ไม่กลัวเธอเลยสักนิด


 


 


ลูซี่อุตส่าห์หวังดี ช่วงนี้ท่านผอ. อารมณ์ไม่ดี ถ้าเมิ่งชิงซีจะเข้าไปตอนนี้ก็เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ ในเมื่อเธอไม่เชื่อ ลูซี่ก็จนปัญญา “ฉันผิดเองค่ะ คุณเมิ่ง ถ้าคุณยืนยันว่าจะเข้าไป ก็เชิญเลยค่ะ!”


 


 


ลูซี่ผายมือออกไปด้านหน้า แสดงท่าทีเชื้อเชิญ เมิ่งชิงซีเชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งผยอง “ลูซี่ ไม่น่าเชื่อว่าคุณเองก็พอจะมีสมองอยู่บ้างนะคะ” ลูซี่แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ยายผู้หญิงซื่อบื้อ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ลูซี่ส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปประจำตำแหน่ง


 


 


เมิ่งชิงซียังรู้จักที่จะเคาะประตู หลังจากที่เสียงเคาะดังขึ้นสามครั้ง กระแสเสียงเย็นยะเยือกของลั่วเซ่าเชินก็ดังออกมาจากในห้อง “เชิญ”


 


 


จู่ๆ เมิ่งชิงซีก็รู้สึกเย็นวาบ เธอเดาว่าวันนี้อากาศน่าจะเย็นเกินไป ดังนั้นเธอจึงมีความรู้สึกแบบนี้ เมิ่งชิงซีทำความเข้าใจกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูเข้าไป


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ เธอก็นึกด่าลูซี่อยู่ในใจ ‘ผู้หญิงคนนั้นโกหกตาใสจริงๆ ด้วย เซ่าเชินนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศแท้ๆ ดันมาหลอกฉันว่าเซ่าเชินติดประชุมอยู่ ฉันไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่’


 


 


ลั่วเซ่าเชินนึกว่าลูซี่เอาเอกสารเข้ามาส่ง แต่หลังจากที่รออยู่นาน เขาก็ไม่ได้ยินเสียงของลูซี่สักที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นเมิ่งชิงซียืนอยู่ เขาขมวดคิ้วมุ่นทันที “คุณเข้ามาได้ยังไง”


 


 


เขาเคยสั่งไว้ไม่ใช่หรือว่าห้ามให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเด็ดขาด ดูเหมือนว่าลูกน้องของเขาจะทำให้เขาต้องขุ่นเคืองแล้ว แม้แต่คำพูดของเขาก็ยังไม่เชื่อฟังกันเลย ลั่วเซ่าเชินกังวลเพียงว่าจนวันนี้เขาก็ยังตามหาถังโจวโจวไม่เจอ การที่ได้พบเมิ่งชิงซีในเวลาแบบนี้ มันยิ่งทำให้เขารำคาญใจมากขึ้น


 


 


เมิ่งชิงซียังหน้าหนาค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน ฉันคิดถึงคุณค่ะ! ฉันก็เลยแวะมาหา ฉันขอทานข้าวกลางวันกับคุณได้ไหมคะ”


 


 


เมิ่งชิงซีรู้สึกว่าเสียงของเธอนุ่มนวลมาก แต่เมื่อมันเข้าไปอยู่ในหูของลั่วเซ่าเชิน เขากลับรู้สึกว่ามันถูกปรุงแต่งมากเกินไป ไม่น่าฟังเอาเสียเลย


 


 


เมื่อก่อนอย่างน้อยเมิ่งชิงซีก็ยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เวลาที่ลั่วเซ่าเชินทำไม่ดีกับเธอแค่นิดๆ หน่อยๆ เธอก็จะร้องไห้หรือไม่ก็หนีหายไปเลย ตอนนั้นลั่วเซ่าเชินอารมณ์ดีมาก แต่ตอนนี้ประสิทธิภาพในการเอาชนะของเมิ่งชิงซีได้สูงขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าเขาจะหยาบคายกับเธอเท่าไร แต่เธอก็ไม่สะทกสะท้านเลย ดูเหมือนว่าเธอจะก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว!


 


 


“เมิ่งชิงซี เป็นเพราะผมเห็นแก่หน้าของทั้งสองตระกูล ดังนั้น ผมจึงอดทนกับคุณอย่างมาก คุณอย่าได้ตั้งตัวเองเป็นบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองตระกูลเลย ส่วนเรื่องของถังโจวโจว ผมก็ยังไม่ได้ไปตามคิดบัญชีกับคุณ แต่คุณกลับมาหาผมถึงที่”


 


 


เมิ่งชิงซีใบ้กินไปชั่วขณะ เธอนึกว่าเรื่องของถังโจวโจวผ่านไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะยังคงคาดโทษเธออยู่เช่นเดิม แต่เมิ่งชิงซีตัดสินใจแล้ว เป็นตายร้ายดีอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมรับ “เซ่าเชิน คุณกำลังพูดถึงอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับโจวโจวเหรอ”


 


 


“เมิ่งชิงซี คุณอย่ามาตีหน้าซื่อ คุณทำอะไรลงไปก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” ลั่วเซ่าเชินไม่เคยไว้หน้าเมิ่งชิงซีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งช่วงนี้มีเรื่องของถังโจวโจวด้วย เขาก็ยิ่งหมดความอดทนกับเมิ่งชิงซีถึงขีดสุด


 


 


“เซ่าเชิน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ฉันตั้งใจมาหาคุณนะคะ ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้” เมิ่งชิงซีน้ำตาร่วงเผาะ ท่าทีอ่อนหวานของเธอไม่สามารถทำให้หัวใจที่เย็นชาของลั่วเซ่าเชินหวั่นไหวได้เลย


 


 


“คุณเมิ่งครับ เชิญกลับ! ถ้าคุณยังไม่กลับ ผมจะให้คนมาลากตัวคุณออกไป คุณคงยังไม่ลืมรสชาตินั้นหรอกใช่ไหม?”


 


 


สีหน้าของลั่วเซ่าเชินยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ เมิ่งชิงซีตัวแข็งทื่อ แต่เธอก็ยังคงแข็งใจพูดว่า “เซ่าเชินคะ ฉันรู้ว่าคุณอารมณ์ไม่ดีเพราะโจวโจวหนีออกจากบ้าน ฉันเข้าใจดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ แล้วครั้งหน้าฉันจะมาหาใหม่”


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเมิ่งชิงซีออกไปแล้ว เขาก็ต่อสายโทรศัพท์ภายในเรียกให้ลูซี่เข้ามาในห้องทำงานทันที ลูซี่รู้ดีว่าท่านผอ. เรียกหาเธอทำไม เธอหยิบแฟ้มเอกสารจำนวนหนึ่งและเดินเข้าไปในห้องของท่านผอ.


 


 


“ผอ. คะ นี่เอกสารที่ท่านผอ. ต้องเซ็นค่ะ” เมื่อลูซี่วางแฟ้มเอกสารลง เธอก็ยืนรอรับฟังคำตักเตือนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของลั่วเซ่าเชิน


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอยืนสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด “ลูซี่ คุณรู้ตัวใช่ไหมว่าคุณทำอะไรผิด”


 


 


“ทราบค่ะ ท่านผอ. ครั้งหน้าฉันจะไม่ปล่อยให้คุณเมิ่งเข้ามาอีก” ลูซี่เข้าใจดีว่าทำไมท่านผอ. ถึงโกรธ เขาเคยสั่งเอาไว้ว่าห้ามให้เมิ่งชิงซีเข้าไปในห้องทำงานของเขาเด็ดขาด แต่เธอกลับทำตามคำสั่งไม่ได้


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอยอมรับความจริงอย่างง่ายดาย เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก “ผมจะไม่ตำหนิคุณ แต่ผมจะหักโบนัสของคุณ คุณไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”


 


 


“ไม่มีค่ะ” 

 

 


ตอนที่ 134 มีวิธีตามหาแล้ว

 

    “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว คุณก็ออกไปเถอะ” ลั่วเซ่าเชินโบกมือเล็กน้อย ลูซี่ก้มหน้าต่ำและก้าวถอยออกไปข้างนอก 


 


 


           ลูซี่ไม่ได้รู้สึกเสียใจ ถึงอย่างไรคำพูดของเมิ่งชิงซีคำเดียวมีพลังเทียบเท่ากับอำนาจเงินของตระกูลเมิ่ง เพียงแต่ครั้งนี้ลูซี่ได้รับคำตักเตือนจากลั่วเซ่าเชินแล้ว ครั้งต่อไปเธอก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเมิ่งชิงซีอีก 


 


 


“โจวโจว คุณไปอยู่ที่ไหนกันแน่?” ลั่วเซ่าเชินตามหาเธอมานานหลายวัน แต่เขาก็ยังไม่พบเธอเลย เขาสั่งให้หวังหวาตรวจสอบตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม บ้านพัก หรือสถานีรถไฟต่างๆ แต่กลับไม่ได้ข่าวของถังโจวโจวเลย ลั่วเซ่าเชินแน่ใจว่าเธอไม่ได้ออกไปนอกเมือง แต่เขาไม่รู้ว่าเธอไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน 


 


 


ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ถังโจวโจวเอาแต่ซุกตัวอยู่ในบ้านของฟังหยวน เมื่อฟังหยวนออกไปทำงาน เธอก็นอนหลับอยู่ในห้อง หรือไม่ก็หาหนังสืออ่าน นั่นเป็นวิธีการที่เธอใช้ฆ่าเวลาในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ถังโจวโจวเริ่มเข้าครัว ฟังหยวนก็เริ่มกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านบ้าง 


 


 


แม้ว่าข้ออ้างของเขาคือเขากลัวถังโจวโจวเหงา ดังนั้นเขาจึงกลับมากินข้าวเป็นเพื่อนเธอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ฟังหยวนได้กินอาหารที่ถังโจวโจวทำ ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าวเขามักจะนึกถึงอาหารฝีมือของเธอ อย่างไรเสียเขาก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะขับรถกลับมากินข้าวกับเธออยู่แล้ว อีกอย่างเขาจะได้มีเวลากระชับความสัมพันธ์กับถังโจวโจวด้วย 


 


 


ตกเย็น ฟังหยวนก็กลับมาจากบริษัท เมื่อเขาก้าวขาเข้าไปในห้อง เขาก็ได้กลิ่นหอมฉุย เขารู้ในทันทีว่าถังโจวโจวกำลังเข้าครัว เขาคิดว่าถ้าถังโจวโจวพอใจที่จะอยู่อย่างนี้ เขาก็ยินดีที่จะอยู่กับเธอแบบนี้เหมือนกัน 


 


 


เขามองดูถังโจวโจวคนอาหารที่อยู่ในหม้อ ฟังหยวนส่งเสียงทักทายเข้าไปในห้องครัวว่า “โจวโจว วันนี้ทำอะไรทานครับ” 


 


 


           “มีปลานึ่งค่ะ ซุปมะเขือเทศ หมูนึ่งข้าวคั่ว แล้วก็มีผัดบล็อกโคลี่ด้วย คุณอยากทานอะไรอีกไหมคะ” ถังโจวโจวหันไปมองฟังหยวนแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจอาหารที่อยู่ในหม้อต่อ 


 


 


           “แค่นี้ก็พอแล้วครับ ไม่เอาอะไรเพิ่มแล้ว” 


 


 


           ถังโจวโจวตักอาหารอย่างสุดท้ายลงในจาน “โอเคค่ะ เรียบร้อยแล้ว ทานข้าวได้แล้วค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวผมหยิบชามเอง” ฟังหยวนทำแบบนี้ทุกครั้ง ถังโจวโจวจะรับผิดชอบเรื่องทำอาหาร ส่วนเขาจะรับผิดชอบเรื่องหยิบถ้วยชามและล้างทำความสะอาดหลังจากที่ใช้งานมันเสร็จ จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังฝึกผู้ชายให้เป็นพ่อบ้านอยู่ 


 


 


พวกเขาสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ฟังหยวนมองดูถังโจวโจวกินข้าวอย่างเงียบๆ เขาเล่าเรื่องที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เธอฟังเป็นครั้งคราว โดยเขาหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มจากเธอ ถังโจวโจวเองก็ไว้หน้าเขาอยู่เหมือนกัน ซึ่งมันก็ถือเป็นคำชมที่ยอดเยี่ยม 


 


 


หลังจากที่ฟังหยวนกินข้าวและล้างจานเสร็จ เขากับถังโจวโจวก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น โทรทัศน์ถูกเปิดเอาไว้ แต่พวกเขาทั้งสองคนกลับไม่ได้สนใจรายการที่อยู่บนหน้าจอเลย 


 


 


ครั้งแรกที่ฟังหยวนล้างจาน เขาทำถ้วยชามแตกไปหลายใบ แต่หลังจากที่เขาทำไปได้สักพัก ทักษะของเขาก็ดีขึ้น ตอนนี้อย่าว่าแต่ล้างจานได้สะอาดเลย วี่แววที่จะทำจานชามแตกก็ยังไม่มีให้เห็นเลยสักนิด 


 


 


ฟังหยวนเห็นว่าสายตาของถังโจวโจวจับจ้องไปที่โทรทัศน์ แต่ใจของเธอไม่รู้ลอยไปถึงไหน “โจวโจว คุณไม่คิดจะกลับไปจริงๆ เหรอ” ฟังหยวนเอ่ยถามในฐานะเพื่อน แต่ในฐานะที่เป็นคนที่ชอบเธอ ฟังหยวนไม่อยากให้ถังโจวโจวกลับไปหาลั่วเซ่าเชินเลย 


 


 


เขาไม่อาจพูดความในใจออกมาได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าถังโจวโจวคิดอย่างไร และเหตุผลที่ถังโจวโจวเคยบอกมาทั้งหมด เขาก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอไม่อยากกลับไป ฟังหยวนเดาเอาเองทั้งนั้น เขาจึงไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิดกันแน่ 


 


 


ฟังหยวนเห็นถังโจวโจวขลุกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนเป็นเวลาสองวันแล้ว แม้แต่อาหาร เขาก็เป็นคนซื้อกลับมาใส่ตู้เย็น โทรศัพท์ของเธอก็ไม่ดัง ฟังหยวนไม่เชื่อหรอกว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ออกตามหาเธอ ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากจะรับสายเสียมากกว่า 


 


 


“ฟังหยวน นี่คุณไล่ฉันหรือเปล่าคะ” 


 


 


จู่ๆ ถังโจวโจวก็หันไปมองเขา ฟังหยวนสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรีบปฏิเสธว่า “ผมไม่ไล่คุณหรอก คุณจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ โจวโจว แต่ผมอยากจะขอแนะนำคุณไว้อย่าง ทำแบบนี้มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา” 


 


 


ตอนนี้อาเชินคงไม่รามืออย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ได้คิดถึงเขาเท่านั้น ฟังหยวนเองก็ไม่ได้โทรไปหาลั่วเซ่าเชินเพื่อสังเกตดูว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร ถังโจวโจวรู้ว่าสิ่งที่ฟังหยวนพูดมานั้นคือความจริง แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากนึกถึงมัน ให้เธอพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองวันไม่ได้หรือ? 


 


 


ลั่วอิงอยู่กับคุณแม่ลั่วมาหลายวันแล้ว เธอร้องอยากจะกลับบ้านแล้ว เธอขอให้ให้แม่นมจ้าวโทรหาลั่วเซ่าเชิน “คุณพ่อขา แม่โจวโจวกลับมาหรือยังคะ” 


 


 


“ยังเลยครับ” ลั่วเซ่าเชินได้รับโทรศัพท์จากคฤหาสน์ตระกูลลั่ว เดิมทีเขานึกว่าคุณแม่ลั่วโทรมา แต่เสียงที่เขาได้ยินกลับเป็นเสียงของลั่วอิง 


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วอิงถามถึงถังโจวโจวไม่หยุด ลั่วเซ่าเชินจึงไม่มีทางเลือก นอกจากพูดความจริง 


 


 


ลั่วอิงแผดเสียงร้องไห้ออกมาทันที “คุณพ่อ! แม่โจวโจวไม่อยากอยู่กับหนูแล้วหรือคะถึงได้หายตัวไป แต่หนูอยากอยู่กับแม่โจวโจว!” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูเล็กน้อย ลั่วอิง แม่โจวโจวของหนูแค่ไม่ต้องการพ่อ เธอจะไม่อยากอยู่กับหนูได้ยังไง? 


 


 


“ลูกพ่อ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง พ่อมีวิธีตามหาแม่โจวโจวแล้วครับ” 


 


 


“วิธีอะไรเหรอคะ” ลั่วอิงลืมร้องไห้ไปชั่วขณะ เมื่อเธอได้ยินว่าเขาสามารถพาถังโจวโจวกลับมาได้ เธอก็หยุดร้องไห้ทันที 


 


 


“เดี๋ยวเราไปหาคุณตาคุณยายกัน แม่โจวโจวไม่รับสายพวกท่านไม่ได้ จริงไหมครับ” ลั่วเซ่าเชินทุบศีรษะตัวเอง ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงคิดไม่ได้นะ โง่จริง! 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อรีบมารับหนูเลยนะคะ พาหนูไปหาคุณตาคุณยายด้วย” ลั่วอิงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แม้ว่าเธอจะมีความสุขดีที่ได้อยู่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว แต่เธอก็คิดถึงถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินมาก ท้ายที่สุดแล้วคุณปู่คุณย่าก็เทียบกับคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้จริงๆ 


 


 


           “ครับ พ่อจะไปรับหนูเดี๋ยวนี้” ตอนนี้ลั่วอิงอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูหนาว ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องไปเรียนหนังสือ แม้ว่าคุณแม่ลั่วจะรักเธอมาก แต่ก็ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าคุณแม่ลั่วไม่อดทน เธอแค่ต้องการพักผ่อนบ้างก็เท่านั้น 


 


 


           ลั่วอิงวิ่งกลับขึ้นไปชั้นบนอย่างมีความสุข แม่นมจ้าวก็ตามเธอขึ้นไปด้วย “คุณหนูคะ มีอะไรหรือเปล่า คุณชายมีข่าวดีอะไรหรือคะ” 


 


 


           แม่นมจ้าวเห็นลั่วอิงวิ่งเข้าไปในห้อง จากนั้นเธอก็ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเธอออกมา “คุณหนูคะ คุณหนูจะทำอะไร” 


 


 


           “คุณพ่อจะพาหนูไปหาแม่โจวโจวค่ะ แม่นมจ้าว” ลั่วอิงหัวเราะอย่างมีความสุขพลางประกาศข่าวดี 


 


 


           เมื่อแม่นมจ้าวได้ยินลั่วอิงพูดเช่นนั้น เธอก็ไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นเอาไว้ได้ “จริงหรือคะ ดีจังเลย คุณผู้หญิงเธอเป็นคนดี คุณชายควรจะดีกับเธอให้มากๆ เขาทำเธอโมโหจนหนีไปอย่างนี้ได้ยังไงกันนะ” 


 


 


           แม่นมจ้าวอยู่กับลั่วเซ่าเชินมานานนับสิบปี เธอเห็นการเจริญเติบโตของเขา และรู้จักนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดี ส่วนกับถังโจวโจวที่เธอเพิ่งจะรู้จักได้ไม่นาน แม่นมจ้าวก็รู้ดีว่าถังโจวโจวเป็นคนอารมณ์ดี เธอไม่เคยบันดาลโทสะเลยสักครั้ง 


 


 


           ในความคิดของแม่นมจ้าว เธอคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความผิดของลั่วเซ่าเชิน และแม่นมจ้าวก็ไม่ได้คิดผิด ลั่วเซ่าเชินจะต้องพูดอะไรผิดหรือทำอะไรผิดไปเป็นแน่ ถึงทำให้ถังโจวโจวโกรธมากจนหนีออกจากบ้านไปอย่างนี้ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินขับรถมาถึงคฤหาสน์ตระกูลลั่วในไม่ช้า เมื่อคุณแม่ลั่วได้ยินเสียงเครื่องยนต์ เธอก็กำลังคิดอยู่ว่าใครกันที่จะมาเวลานี้ และเมื่อเธอเดินออกไปดู เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินกลับมาแล้ว “อาเชิน ทำไมจู่ๆ ถึงมาได้ล่ะลูก” 


 


 


เมื่อลั่วอิงได้ยินเสียงรถ เธอก็ขอให้แม่นมจ้าวช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางใบเล็กของเธอลงไปที่ชั้นล่าง เมื่อเธอเห็นลั่วเซ่าเชิน เธอก็โถมตัวเข้าไปหาเขา “คุณพ่อมาแล้ว หนูเก็บของเรียบร้อยแล้วค่ะ” 


 


 


“อาเชิน พวกลูกจะไปไหนกัน ลูกจะพาลั่วอิงกลับบ้านแล้วเหรอ ถังโจวโจวไม่อยู่บ้าน ลูกก็งานยุ่ง ใครจะดูแลเธอล่ะ” คุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วอิงเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยไม่ได้บอกเธอก่อนเลย พ่อลูกคู่นี้ช่างใจจืดใจดำพอกันเลยจริงๆ 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าคุณแม่ลั่วจ้องมองเธอด้วยแววตาน้อยใจ เธอก็ยิ้มแห้งๆ และพูดอย่างซุกซนว่า “คุณย่าขา หนูก็เพิ่งได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อเมื่อกี้นี้เองค่ะ หนูก็เลยยังไม่ทันได้บอกคุณย่า” ลั่วอิงอาศัยความน่ารักน่าเอ็นดูของตัวเองเข้าช่วย 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินกลับผ่านด่านนี้ไปได้ไม่ดีนัก “อาเชิน ยืนเงียบอยู่ได้ ทำไมไม่พูดอะไรสักอย่าง ลูกจะพาลั่วอิงไปไหน แล้วยายถังโจวโจวเนี่ย ถ้าเธอไม่กลับมาหาลูก ลูกก็เลิกๆ กับเธอไปซะสิ ตระกูลของเราไม่มีสะใภ้แบบนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรสักหน่อย” 


 


 


“นี่แม่กำลังพูดอะไรอยู่ครับ” 


 


 


“คุณย่าคะ หนูยอมรับแค่แม่โจวโจวคนเดียวเท่านั้น ผู้หญิงคนอื่นไม่สามารถเป็นแม่หนูได้ค่ะ!” ลั่วอิงแสดงเจตจำนงของเธอในทันที ตอนนี้เธอมีลั่วเซ่าเชินอยู่ด้วย เธอไม่กลัวสีหน้าที่ดุร้ายของคุณแม่ลั่วหรอก 


 


 


“แม่ครับ แม่เห็นไหมว่าลั่วอิงเองก็คิดแบบนี้ วันหลังแม่อย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะครับ ผู้หญิงเจ้าแผนการอย่างเมิ่งชิงซี ผมรับไม่ได้” ลั่วเซ่าเชินอุ้มลั่วอิงขึ้นมา “แม่นมจ้าว เดี๋ยวช่วยขนกระเป๋าของลั่วอิงไปที่รถผมด้วย” 


 


 


“ค่ะ คุณชาย” แม่นมจ้าวเดินถือกระเป๋าเดินทางออกไป 


 


 


ลั่วอิงยิ้มจนตาปิดและกระซิบกับลั่วเซ่าเชินว่า “คุณพ่อขา พวกเราจะทำให้แม่โจวโจวกลับมาได้จริงๆ เหรอคะ” 


 


 


“ได้แน่นอนครับ หนูเชื่อพ่อไหม” แม้ว่าจิตใจของลั่วเซ่าเชินจะหดหู่อยู่หลายวัน แต่เขาก็ยังคงหยอกล้อกับลั่วอิงได้เสมอ 


 


 


ลั่วอิงต้องการให้กำลังใจลั่วเซ่าเชิน เธอจึงตะโกนขึ้นมาว่า “เชื่อสิคะ! คุณพ่อของหนูเก่งที่สุดในโลกเลย!” 


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นสองพ่อลูกกระซิบกระซาบกัน ในขณะที่เธอยืนหัวโด่เหมือนคนนอกอยู่ตรงนี้ เธอก็ยิ่งไม่พอใจ “อาเชิน ทำไมลูกถึงว่าชิงซีแบบนี้ เธอไม่ดีตรงไหน แม่เห็นว่าเธอดีกว่าถังโจวโจวเป็นร้อยเท่าพันเท่า” 


 


 


“ในเมื่อแม่คิดว่าเธอดี แม่ก็แต่งงานกับเธอเองแล้วกันนะครับ ผมไม่เคยอยากยุ่งเกี่ยวกับเธอเลย ผมขอพาลั่วอิงกลับก่อนนะครับ แล้วครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่” จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็อุ้มลั่วอิงเดินออกไป 


 


 


คุณแม่ลั่วยิ่งโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นลั่วเซ่าเชินเดินจากไป เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ หลานสาวของเธอก็เหมือนกัน ทุกคนเข้าข้างถังโจวโจวกันหมด ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อเธอบ้างเลย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินขับรถพาลั่วอิงไปที่บ้านตระกูลถัง เขาบอกลั่วอิงตั้งแต่บนรถแล้วว่าเธอควรจะพูดอะไร ไม่ควรจะพูดอะไร ถึงจะได้ความเห็นใจจากคุณพ่อและคุณแม่ถัง 


 


 


ลั่วอิงไม่ได้อยากโกหกคุณพ่อและคุณแม่ถัง เพราะว่าลั่วเซ่าเชินไม่อยากให้เธอบอกว่าถังโจวโจวโกรธลั่วเซ่าเชินจนหนีไป แต่ลั่วเซ่าเชินบอกว่าถ้าเธอไม่เชื่อฟังเขา แม่โจวโจวก็จะไม่กลับมา ลั่วอิงจึงต้องจำยอมอย่างฝืนใจ 


 


 


“คุณพ่อขา วิธีนี้จะได้ผลจริงๆ เหรอคะ ถ้าแม่โจวโจวยังไม่ยอมกลับมาอยู่ดีล่ะ แล้วเราจะทำยังไง” ลั่วอิงกัดเล็บและคิดว่าถ้าถังโจวโจวหนีไปตลอดกาลจริงๆ ชีวิตของเธอต่อจากนี้ก็คงจะน่าสงสารมาก 


 


 


“เรายังไม่ทันได้เริ่มเลย ลูกก็พูดเป็นลางแล้ว พ่อน่าสงสารกว่าหนูอีก ภรรยาพ่อหายไปทั้งคนนะ” 


 


 


ลั่วอิงกลอกตาขึ้นฟ้า “คุณพ่ออย่ามาพูดกับหนูแบบนี้ค่ะ! คุณพ่อทำตัวเอง ถ้าคุณพ่อไม่ทะเลาะกับแม่โจวโจวจนแม่โจวโจวหนีไป เรื่องทั้งหมดมันจะเป็นแบบนี้ได้ยังไงคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าลั่วอิงค่อนข้างจะโตเกินวัย ตัวแค่นี้ก็รู้จักพูดจาอย่างนี้แล้ว แต่เอาเถอะ ตอนนี้พวกเขาเป็นพันธมิตรกัน อีกเดี๋ยวเขาจะต้องใช้ทักษะความสามารถของลั่วอิง ลั่วเซ่าเชินจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับข้อกล่าวหาของลูกสาวไป 

 

 

 


ตอนที่ 135 โทรศัพท์จากคุณแม่ถัง

 

          คุณพ่อและคุณแม่ถังดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เจอลั่วอิง “เซ่าเชิน โจวโจวล่ะ” แต่พวกเขาไม่เห็นลูกสาวของพวกเขาเลย และช่วงนี้พวกเขาก็ไม่ได้รับโทรศัพท์จากถังโจวโจวด้วย คุณแม่ถังสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจว 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินขยิบตาส่งสัญญาณให้ลั่วอิง ลั่วอิงเข้าไปหาคุณแม่ถังทันทีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคุณพ่อและคุณแม่ถัง “คุณตาคุณยายขา คุณตาคุณยายรักหนูไหมคะ” 


 


 


           “ถามอะไรอย่างนั้นล่ะลูก ครั้งก่อนที่พ่อหนูมา คุณยายยังถามถึงหนูอยู่เลย ลั่วอิง หนูบอกกับคุณยายมาค่ะ แม่โจวโจวไปไหนคะ” คุณแม่ถังรู้จักลูกสาวของเธอดี โอกาสที่จะได้กลับบ้านแบบนี้ มีหรือที่เธอจะไม่มา 


 


 


           เมื่อคุณแม่ถังเห็นลั่วเซ่าเชินมองไปที่ลั่วอิงด้วยท่าทางตึงเครียด เธอก็รู้ว่าลั่วเซ่าเชินต้องมีอะไรบางอย่างปกปิดเธออยู่แน่ 


 


 


“เซ่าเชิน โจวโจวล่ะ ทำไมเธอถึงไม่มาหาพ่อกับแม่ บอกแม่มาตามตรงนะ” 


 


 


“พ่อครับ แม่ครับ เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะครับ” มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ลั่วเซ่าเชินจะบอกพ่อตาแม่ยายของเขา คุณพ่อและคุณแม่ถังเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาอ่อนโยน พวกเขาไม่เคยทำให้ใครรู้สึกลำบากใจ ครั้งนี้ถ้าลั่วเซ่าเชินไม่ได้ปิดบังพวกท่าน จนพวกท่านสามารถสังเกตเห็นได้เอง พวกท่านก็คงจะไม่ปฏิบัติกับลั่วเซ่าเชินแบบนี้ 


 


 


คุณพ่อและคุณแม่ถังมองดูสองพ่อลูกที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู พวกเขาก็คิดว่าไม่น่าจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้จริงๆ พวกเขาจึงหลีกทางให้ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา ในขณะที่คุณแม่ถังก็พาลั่วอิงเข้ามา 


 


 


ทันทีที่คุณแม่ถังพาลั่วอิงมานั่ง ลั่วอิงก็รีบแก้ต่างให้ลั่วเซ่าเชิน “คุณตาคุณยายขา คุณพ่อไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณตาคุณยายนะคะ แม่โจวโจวหายไปเมื่อสองสามวันก่อน แล้วเธอก็ยังไม่กลับมา คุณแม่ไม่ต้องการหนูแล้ว… ฮือ…” 


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วอิงร้องไห้ คุณแม่ถังก็ไม่สนใจเรื่องอื่นชั่วคราว เธอรีบปลอบโยนลั่วอิงทันที “คุณยายไม่ได้ว่าคุณพ่อของหนูนะคะ คุณยายแค่ถามเฉยๆ เอง ลั่วอิงไม่ต้องร้องไห้นะ โจวโจวอาจจะออกไปสักสองสามวัน เดี๋ยวเธอก็กลับมาแล้วลูก” 


 


 


เมื่อเทียบกับการที่ถังโจวโจวหนีออกจากบ้านไป คุณพ่อคุณแม่ถังกลับเป็นกังวลว่าถังโจวโจวยังปลอดภัยดีหรือเปล่า อยู่ข้างนอกเธอได้กินอิ่ม นอนหลับสบายไหม 


 


 


“เซ่าเชิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ โจวโจวจะทำแบบนี้ทำไม” 


 


 


คุณแม่ถังอดคิดไม่ได้ เธอรู้จักลูกสาวของเธอดี ถังโจวโจวเป็นคนอารมณ์ดีมาแต่ไหนแต่ไร เธอใจเย็นมาโดยตลอด ตอนเด็กๆ ถ้าหกล้ม เด็กคนอื่นก็อาจจะร้องไห้ทันที มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ปัดฝุ่นและลุกขึ้นยืนเองได้เลย 


 


 


อีกเหตุการณ์หนึ่ง คุณพ่อถังเคยเห็นเธอถูกเด็กตัวใหญ่รังแกอยู่ เขารีบพุ่งตัวเข้าไปหาเพื่อช่วยเธอ แต่ถังโจวโจวก็ยังคงยิ้มได้ และพูดกับคุณพ่อถังว่า “พ่อขา หนูไม่เป็นอะไร หนูแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย คุณพ่ออย่าโกรธเลยนะ!” 


 


 


เมื่อคุณพ่อถังเห็นเสื้อผ้าหน้าผมที่สกปรกของถังโจวโจว เขาก็ไม่เชื่อเรื่องที่เธอแต่งขึ้น เขาพาเธอกลับบ้านและให้คุณแม่ถังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ จากนั้นก็ตรวจดูว่าเธอมีบาดแผลตรงไหนหรือเปล่า โชคดีที่ไม่มีปัญหาอะไร 


 


 


เมื่อคุณพ่อถังไต่สวนเธอ ถังโจวโจวถึงได้ยอมพูดออกมาว่า เด็กคนนั้นรังแกเธอมานานแล้ว แต่เธอแค่ไม่เคยบอกคุณพ่อและคุณแม่ถังเท่านั้น เพราะเธอคิดว่าเธอสามารถจัดการเองได้ เพียงแต่เธอจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะว่าอีกฝ่ายกลับไม่ออมแรงเลย ยิ่งเด็กคนนั้นเห็นว่าถังโจวโจวอ่อนแอก็ยิ่งรังแกเธอแรงขึ้น 


 


 


คุณแม่ถังจะเชื่อได้อย่างไรว่าถังโจวโจวจะทิ้งลั่วเซ่าเชินและลั่วอิงไปโดยไม่มีเหตุผล แล้วเธอก็ไม่ได้ส่งข่าวหาพวกเขาด้วย มันจะต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน เมื่อคุณแม่ถังมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็รู้สึกว่าปัญหาอยู่ที่เขา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยิ้มเจื่อนอย่างหมดหนทาง “มันเป็นความผิดของผมเองครับ คุณแม่ ผมทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ โจวโจวก็เลยโกรธจนหนีไป แต่คุณแม่ครับ ผมสัญญานะครับ ผมจะไม่ก่อเรื่องแบบนี้อีก ผมกังวลใจจริงๆ ที่โจวโจวหนีไปอย่างนี้ ซ้ำยังหายไปคนเดียวด้วย” 


 


 


“เซ่าเชิน คุณนี่เหลือเกินจริงๆ ปิดพวกเรามาได้ตั้งนาน ไม่รู้ว่าลูกสาวของพ่อจะเป็นยังไงบ้างตอนนี้” คุณพ่อถังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนแรกเขาเห็นว่าลั่วเซ่าเชินดีกับลูกสาวของเขา เขาก็เลยยอมให้โจวโจวแต่งงานด้วย แต่ตอนนี้เขากลับทำให้โจวโจวเสียใจได้ 


 


 


คุณพ่อถังรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ ลูกสาวของเขากลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะหาเธอเจอใช่ไหม เธอถึงไม่กลับบ้าน? โชคดีที่อวี้หนิงรับมือเขาได้อย่างใจเย็น 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นคุณพ่อถังเริ่มดุด่าลั่วเซ่าเชิน เธอก็รีบห้าม “จิ่งฉิน หยุดพูดได้แล้ว สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือการหาตัวโจวโจวให้เจอก่อน” 


 


 


แน่นอนว่าคุณแม่ลั่วก็อยากจะบ่นลั่วเซ่าเชินอยู่เหมือนกัน แต่ผู้หญิงกับผู้ชายคิดต่างกัน ลูกสาวของเธอยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขา และเธอไม่สามารถหนีไปได้อย่างนี้ตลอด 


 


 


แต่คุณแม่ถังก็รู้ว่าควรจะสั่งสอนลั่วเซ่าเชินสักหน่อย ให้เขาได้รู้ว่าลูกสาวของตระกูลถังไม่ใช่คนที่เขาจะรังแกได้ง่ายๆ 


 


 


“เซ่าเชิน แม่จะไม่พูดอะไรมาก ถ้าวันหลังเกิดเรื่องแบบนี้อีก คุณก็ควรจะบอกพวกเราก่อน แม้ว่ามันจะเรื่องที่พ่อกับแม่เข้าไปจัดการไม่ได้ แต่พ่อกับแม่ก็หวังว่าพวกลูกทั้งสองคนจะมีชีวิตที่ดี” 


 


 


“ครับ คุณแม่ ครั้งนี้ผมผิดไปแล้วจริงๆ ขอแค่โจวโจวกลับมา ผมก็พอใจแล้วครับ” เมื่อได้ฟังสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูด คุณพ่อถังก็คลายความกลัดกลุ้มลงไปมาก 


 


 


คุณแม่ถังเห็นลั่วเซ่าเชินก้มศีรษะ “แล้วเซ่าเชินมีวิธีตามหาโจวโจวหรือยัง หรือจะให้แม่โทรศัพท์หาเธอให้?” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนคุณแม่ด้วยนะครับ!” สีหน้าของลั่วเซ่าเชินไม่ได้หดหู่อีกต่อไป เขามาที่นี่ก็เพื่อขอให้คุณพ่อและคุณแม่ถังช่วยติดต่อถังโจวโจวให้ ช่างเป็นโอกาสที่ดีมากจริงๆ เมื่อคุณแม่ถังเธอออกปากเอง 


 


 


คุณพ่อถังยื่นโทรศัพท์ให้คุณแม่ถัง เมื่อคุณแม่ถังค้นหาชื่อของถังโจวโจวเจอ เธอก็กดโทรออก ในไม่ช้าเธอก็โทรติด สักพักเธอก็ได้ยินน้ำเสียงที่มีความสุขของถังโจวโจว “พ่อขา มีอะไรหรือเปล่าคะ” 


 


 


“โจวโจว นี่แม่เอง ช่วงนี้ลูกสบายดีไหม” เมื่อคุณแม่ถังได้ยินเสียงของถังโจวโจว เธอก็รู้สึกว่าลูกสาวน่าจะสบายดี และเดาว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาก็น่าจะโอเคอยู่ เธอจึงวางใจได้ชั่วคราว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างคุณแม่ถังและถังโจวโจว แต่เสียงของถังโจวโจวนั้นเบามาก ฟังแล้วไม่ชัดเจนสักเท่าไร ลั่วเซ่าเชินอยากจะขยับตัวเข้าไปใกล้กับคุณแม่ลั่ว แต่ดูเหมือนว่าคุณพ่อถังจะยังโกรธเคืองลั่วเซ่าเชินอยู่เล็กน้อย จึงใช้สายตาดุจพญาเสือจ้องมาที่เขา ลั่วเซ่าเชินจึงไม่กล้าขยับตัว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองไปที่ลั่วอิงอีกครั้ง แล้วเขาก็เกิดความคิดบางอย่าง เขาบุ้ยปากให้ลั่วอิงขยับเข้าไปใกล้คุณแม่ถัง ลั่วอิงเข้าใจเจตนาของเขาในทันที เธอมุดเข้าไปในอ้อมแขนของคุณแม่ถังและตะโกนใส่โทรศัพท์ว่า “แม่โจวโจวขา ลั่วอิงคิดถึงคุณแม่ คุณแม่จะกลับมาเมื่อไรคะ” 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินเสียงของคุณแม่ถังเป็นเสียงแรก จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตะโกนของลั่วอิง เธอเข้าใจวัตถุประสงค์ที่คุณแม่ลั่วโทรมาในทันที คุณพ่อถังก็นั่งมองอยู่ข้างๆ เมื่อคุณแม่ถังยื่นโทรศัพท์มาให้เขา คุณพ่อก็เอ่ยเสียงทักทายออกไป “โจวโจว ทำไมไม่กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่ล่ะลูก” 


 


 


“พ่อคะ แม่คะ หนูผิดไปแล้วค่ะ” ถังโจวโจวเดาไว้แล้วว่าลั่วเซ่าเชินจะต้องไปหาคุณพ่อและคุณแม่ถัง เธอคิดว่าเขาจะมาเร็วกว่านี้เสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยืดเวลามาจนถึงตอนนี้ แต่ช่วงนี้ถังโจวโจวก็พยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงลั่วเซ่าเชิน 


 


 


เวลาส่วนใหญ่เธอก็จะทำได้ดี มีแค่บางครั้งเท่านั้นที่เมื่อเธอเหม่อมองไปไกล เธอก็จะหวนคิดไปถึงวันที่เธอได้รู้จักกับลั่วเซ่าเชิน แต่หลังจากนั้นเธอก็จะอารมณ์เสียขึ้นมาทันที 


 


 


คุณแม่ถังคว้าโทรศัพท์กลับมาไว้ที่หูของเธออีกครั้ง “โจวโจว พ่อกับแม่ไม่โทษลูกนะ ไม่ว่าลูกจะทำอะไร พ่อกับแม่ก็จะสนับสนุนลูกเสมอ แต่การที่ลูกหนีหายไปเลยแบบนี้ มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ลูกกลับมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยดีกว่านะ เซ่าเชินเองก็อยู่ตรงนี้ กลับมาคุยกันดีๆ ลูกจะว่ายังไง” 


 


 


ถังโจวโจวเงียบไป คุณแม่ถังไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติ 


 


 


“โจวโจว ได้ยินที่แม่พูดหรือเปล่า” 


 


 


“…ได้ยินค่ะแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูจะคุยกับเขา แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ขออีกสักสองสามวันนะคะ แม่กับพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะ หนูสบายดี” ถังโจวโจวพยายามพูดน้ำเสียงปกติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณพ่อและคุณแม่ถัง 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นเธอบอกมาแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก “โจวโจว พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ขออะไรมาก ขอแค่ให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ ลูกมีอะไรจะคุยกับเซ่าเชินกับลั่วอิงไหม” 


 


 


เมื่อลั่วอิงได้ยินคุณแม่ถังเอ่ยถึงเธอ ดวงตาคู่นั้นของเธอก็ลุกวาว “แม่โจวโจวขา หนูคิดถึงคุณแม่ค่ะ!” แน่นอนว่าถังโจวโจวเองก็ต้องได้ยินประโยคแสดงความรักของลั่วอิง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่สะดวกที่จะพูดคุยกับเธอ ซึ่งมันจะทำให้เธอเศร้าใจ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็มองดูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของคุณแม่ถังด้วยความคาดหวัง ราวกับว่ามันคือขุมทรัพย์ล้ำค่า ถ้าไม่ติดว่าคุณแม่ถังเป็นแม่ยายของเขา เขาอาจจะแย่งมันมาแล้ว 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ เดี๋ยวหนูค่อยกลับไปคุยทีเดียว” 


 


 


“โอเคๆ ถ้าอย่างนั้นแม่วางแล้วนะ ลูกก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” 


 


 


“รู้แล้วค่ะแม่” คุณแม่ถังมองดูโทรศัพท์ที่วางสายไป เมื่อเธอก้มหน้าลง เธอก็พบว่าลั่วอิงใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้ว 


 


 


ลั่วอิงเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “คุณยายขา ทำไมแม่โจวโจวถึงไม่คุยกับหนูล่ะคะ คุณแม่ไม่ต้องการหนูกับคุณพ่อแล้วเหรอ” 


 


 


ลั่วอิงค้นพบความจริงบางอย่างที่ทำให้เธอนึกกลัว ถังโจวโจวไม่ยอมคุยกับเธอแบบนี้ นี่เป็นการบ่งบอกว่าถังโจวโจวไม่รักเธอแล้วใช่ไหม คุณแม่จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม? 


 


 


แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดหวังมากอยู่ดี เขานึกไม่ถึงเลยว่าถังโจวโจวจะใจร้ายมากขนาดนี้ แม้แต่ลั่วอิงเธอก็ไม่สนใจ จะด่าเขาก็ไม่เป็นไร แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องดึงลั่วอิงเข้าไปเกี่ยวด้วยเลย 


 


 


“โอ๋ อย่าร้องนะลูก แม่โจวโจวพูดที่ไหนว่าไม่ต้องการหนู เธอบอกว่าอีกสองสามวัน เธอจะกลับมาหาหนูนะคะ” คุณแม่ถังเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของลั่วอิงและรีบปลอบโยนเธอ 


 


 


“คุณยายพูดจริงๆ เหรอคะ” ลั่วอิงลืมความเศร้าเมื่อครู่นี้ไปชั่วขณะ ก่อนจะให้ความสำคัญกับการกลับมาของถังโจวโจว 


 


 


“แน่นอนสิคะ คุณยายจะหลอกหนูได้เหรอ” คุณแม่ถังแสร้งทำหน้าบึ้ง 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าคุณแม่ถังโกรธ เธอก็รีบพูดจาออดอ้อนในทันที “หนูเชื่อคุณยายอยู่แล้วค่ะ! แม่โจวโจวได้บอกไหมคะว่าจะกลับมาเมื่อไร” 


 


 


ลั่วอิงค่อนข้างกังวลใจ เธอไม่ได้เจอถังโจวโจวมาประมาณสิบวันแล้ว นับตั้งแต่ที่ถังโจวโจวย้ายเข้ามาอยู่ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวกับเธอไม่เห็นหน้ากันนานขนาดนี้ ซึ่งมันทำให้ลั่วอิงรู้สึกอึดอัดมาก 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินว่าถังโจวโจวจะกลับมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่า “แม่ครับ โจวโจวได้ระบุวันไหมครับว่าเธอจะกลับมาวันไหน ผมจะไปรับเธอ” 


 


 


“ใช่ค่ะใช่ คุณพ่อไปรับแม่โจวโจวได้ หนูก็จะได้เจอคุณแม่เร็วๆ ด้วยค่ะ” ลั่วอิงพยักหน้าอย่างใจร้อน 


 


 


“เซ่าเชิน โจวโจวไม่ได้บอกจ้ะ แล้วเธอก็ไม่ได้บอกด้วยว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน คุณอดทนรอไปก่อนเถอะนะ เดี๋ยวเธอก็กลับมาเอง” คุณแม่ถังจำเป็นต้องบอกลั่วเซ่าเชินแบบนี้ ถ้าถังโจวโจวไม่หายไป พวกเขาก็คงจะไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีปัญหากัน 


 


 


คุณแม่ถังเดาว่าสถานการณ์ในครั้งนี้คงจะรุนแรงมาก เพราะแม้แต่ถังโจวโจวก็ยังขี้คร้านจะคุยกับลั่วเซ่าเชิน แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะรุนแรงมากขนาดไหน คุณแม่ถังก็ยังสงสัยว่าลั่วเซ่าเชินไปทำอะไรให้ลูกสาวของเธอเสียใจ จนถึงขั้นโมโหหนักและหนีออกไปจากบ้านไปอย่างนี้? 

 

 

 


ตอนที่ 136 หันฮุ่ยซินมาเยือน

 

     ลั่วเซ่าเชินฝากลั่วอิงไว้ที่บ้านตระกูลถัง แล้วเขาก็กลับมาที่บ้านคนเดียว บรรยากาศภายในบ้านนั้นช่างเงียบเหงาเหลือเกิน นอกจากการทำอาหารของป้าหลิวแล้ว ภายในบ้านก็ไม่มีเสียงหัวเราะอื่นอีกเลย ไม่มีผู้หญิงคนไหนรอให้เขากลับมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเซ่าเชินคิดถึงถังโจวโจวมากขนาดนี้ 


 


 


           เขาลองโทรหาถังโจวโจวอีกครั้ง แล้วก็เป็นไปตามที่คาดเอาไว้ เธอไม่รับสาย ดูเหมือนว่าเธอจะส่งเขาเข้าไปอยู่ในแบล็กลิสต์แล้ว นี่เธอกะจะไม่ติดต่อกลับมาหาเขาเลยใช่ไหม ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าเธอยังเป็นภรรยาของเขาอยู่! 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกินข้าวเย็นที่บ้านตระกูลถังก่อนจะกลับมาที่บ้าน เมื่อมองดูบ้านที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อยากอยู่ที่นี่เลย เขาโทรออกหาเบอร์ที่คุ้นเคย “ออกมาดื่มกันสักหน่อยไหม ร้านเม่ยเยี่ยนะ” 


 


 


เขาไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้ปฏิเสธ ลั่วเซ่าเชินขับรถมาถึงร้านที่นัดหมายไว้ในไม่ช้า เมื่อฟังหยวนมาถึง ลั่วเซ่าเชินก็นั่งอยู่ที่หน้าบาร์แล้ว ข้างตัวของเขามีขวดเหล้าที่พร่องไปถึงครึ่งขวดแล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยังคงเทเหล้าลงไปในแก้วอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาเห็นว่าฟังหยวนมาแล้ว เขาก็พูดอย่างสดใสว่า “มาแล้วเหรออาหยวน” แล้วลั่วเซ่าเชินก็หันไปพูดกับบาร์เทนเดอร์ “ขอแก้วอีกใบ” 


 


 


บาร์เทนเดอร์ส่งแก้วให้เขา จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็รินเหล้าส่งให้ฟังหยวน “นั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย” 


 


 


ฟังหยวนนั่งลงเงียบๆ ความจริงแล้วฟังหยวนไม่อยากออกมา เขาอยากอยู่ที่บ้านกับถังโจวโจวมากกว่า แต่หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินเรียกเขาออกมา เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยอมออกมาในที่สุด 


 


 


“อาเชิน นี่นายดื่มคลายเครียดหรือไง” เขาเห็นลั่วเซ่าเชินกรอกเหล้าเข้าปากอย่างกับดื่มน้ำเปล่าจึงเอ่ยถามขึ้น หรือเป็นเพราะถังโจวโจว? 


 


 


“อาหยวน นายยังเป็นพี่เป็นน้องกับฉันอยู่หรือเปล่า ถ้ายังเป็นอยู่ก็รีบดื่มซะ!” เสียงดัง กริ๊ง! ของน้ำแข็งกระทบแก้วดังขึ้นตรงหน้าของฟังหยวน 


 


 


ฟังหยวนไม่ได้พูดอะไรมาก เขายกแก้วขึ้นมาจิบ เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเขาดื่มแล้ว ก็ยกแก้วของตัวเองขึ้นมาดื่มต่อในอึกเดียว 


 


 


แค่ครู่เดียว ลั่วเซ่าเชินก็ดื่มหมดไปอีกสองแก้ว “อาเชิน พอแล้ว เลิกดื่มเถอะ นายเมาแล้ว” ฟังหยวนมองดูท่าทางของเพื่อนแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงคิดจะนอนที่ร้านนี่เลย 


 


 


ในขณะที่เขากำลังเกลี้ยกล่อมลั่วเซ่าเชินอยู่นั้น โทรศัพท์ของลั่วเซ่าเชินก็ดังขึ้น ลั่วเซ่าเชินไม่ได้เมาจนไม่มีสติ เขาไม่ได้มองที่หน้าจอและกดรับสายในทันที “ใครครับ” 


 


 


เขาไม่รู้ว่าปลายสายนั้นคือใคร ฟังหยวนได้ยินแต่เสียงของลั่วเซ่าเชินที่ดูแข็งกร้าวขึ้น “ถ้าไม่มีธุระอะไร ผมจะวางสายแล้ว!” 


 


 


เขาวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ จากนั้นเขาก็เริ่มดื่มต่ออีกครั้ง โดยไม่สนใจว่าฟังหยวนจะดื่มเป็นเพื่อนเขาหรือไม่ ฟังหยวนสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงจำนวนหนึ่งจ้องมองมาที่พวกเขา ถ้าลั่วเซ่าเชินกับเขาหันกลับไปเล่นด้วยเพียงนิดเดียว พวกเธอก็คงจะติดกับดักนี้ทันที 


 


 


หากเป็นเมื่อก่อน ฟังหยวนก็คงจะสนใจเล่นด้วยอยู่บ้าง หรือบางทีก็อาจจะเลยไปถึงขั้น One Night Stand แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ให้พูดก็คือช่วงนี้ฟังหยวนรู้สึกว่าตัวเองอาจจะตายด้านไปแล้ว 


 


 


“อาหยวน นายรู้ไหม ถังโจวโจวหนีไปแล้ว เธอไม่ต้องการฉันแล้ว แม้กระทั่งลั่วอิง เธอก็ยังทิ้งได้ลงคอ” ลั่วเซ่าเชินพูดลอยๆ ออกมา ซึ่งนั่นทำให้ใจของฟังหยวนเต้นตึกตัก หรือลั่วเซ่าเชินจะรู้แล้วว่าถังโจวโจวมาหลบอยู่ที่บ้านเขา? 


 


 


“อาหยวน นายได้เจอเธอบ้างไหม เธอได้อยู่กับนายหรือเปล่า” 


 


 


ฟังหยวนรีบตอบกลับไปทันที “ไม่แน่นอน ช่วงนี้ฉันไม่ได้เจอเธอเลย แล้วเธอจะมาอยู่กับฉันได้ยังไง” ฟังหยวนรู้สึกหวาดผวา โชคดีที่ภายในร้านเล่นแสงสีทำให้มันกะพริบตลอดเวลา บวกกับในตอนนี้ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ค่อยจะมีสติ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของฟังหยวน 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินเองก็เชื่อว่าถังโจวโจวไม่ได้อยู่กับฟังหยวน เขาเพียงแค่ถามไปอย่างนั้นเพื่ออยากปลอบใจตัวเอง “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน อาหยวน ผู้หญิงคนนี้ใจร้ายจริงๆ โหดร้ายเกินไป!” 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นเขานั่งบ่นคนเดียวอยู่นาน เขาก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “อาเชิน นายกับโจวโจผิดใจกันเรื่องอะไรน่ะ” 


 


 


“ไม่มีอะไร เราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย แต่เธอไม่ยอมฟังคำอธิบายของฉัน แล้วเธอก็หนีออกจากบ้านไปเลย เธอไม่ฟังฉันเลยสักนิด…” พูดไปพูดมา อยู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะบาร์ 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่าเขาหลับไปแล้ว หลังจากที่คิดเงินเสร็จ เขาก็แบกลั่วเซ่าเชินเดินออกไปนอกร้าน หลังจากจับลั่วเซ่าเชินใส่รถแล้ว ฟังหยวนก็หมุนตัวเดินขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ เขาดมกลิ่นบนเสื้อผ้าของตัวเอง นี่อยู่ที่ร้านแค่ครู่เดียวเท่านั้น กลิ่นแอลกอฮอล์ก็ติดเสื้อเสียแล้ว 


 


 


เมื่อเขามองดูเวลา เขาก็พบว่ามันดึกมากแล้ว ฟังหยวนขับรถไปส่งลั่วเซ่าเชินที่บ้าน เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ของลั่วเซ่าเชินดังขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของรถ ฟังหยวนไม่คิดจะรับสาย แต่ที่ไหนได้ลั่วเซ่าเชินกลับสะลึมสะลือควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แล้วก็ไม่รู้ว่าลืมตากดปุ่มยังไงไหว ถึงได้รับสายได้ 


 


 


“ฮัลโหล… 


 


 


“ผมกำลังจะกลับบ้าน คุณมีธุระอะไร… 


 


 


“ผมไม่ได้ดื่มเยอะ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาหาผมอีก ไม่เข้าใจเหรอ!” ตุ้บ! โทรศัพท์ของลั่วเซ่าเชินหล่นลงไปใต้เบาะนั่ง จากนั้นเขาก็หลับไปอีกครั้ง 


 


 


ฟังหยวนรีบเร่งความเร็วเพื่อไปส่งลั่วเซ่าเชินที่บ้าน ป้าหลิวยังไม่ได้เข้านอน เมื่อเธอได้ยินเสียงเคาะประตู เธอก็รีบวิ่งไปเปิด แล้วเธอก็พบกับฟังหยวน ซึ่งบนไหล่ของฟังหยวนก็มีแขนของลั่วเซ่าเชินพาดอยู่ 


 


 


“คุณฟังคะ คุณชายเธอไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้กลับมาในสภาพแบบนี้ รีบเข้ามาข้างในก่อนค่ะ” ป้าหลิวช่วยฟังหยวนประคองลั่วเซ่าเชินเข้าไปในบ้าน เมื่อเธออยู่ใกล้กับเขา ป้าหลิวก็ได้กลิ่นเหล้าจากบนตัวของลั่วเซ่าเชิน “ตายจริง! นี่คุณชายดื่มไปมากแค่ไหนคะเนี่ย?” 


 


 


พวกเขาพาลั่วเซ่าเชินขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบน จากนั้นพวกเขาก็ปล่อยให้เขานอนอยู่บนเตียง ฟังหยวนยืดตัวขึ้นอย่างเมื่อยล้า น้ำหนักตัวของลั่วเซ่าเชินไม่ใช่เบาๆ แม้ว่าฟังหยวนจะแบกเขาได้ แต่ว่ามันก็กินแรงเขาอยู่มาก 


 


 


“ขอบคุณคุณชายฟังมากๆ เลยนะคะ” 


 


 


“เรื่องเล็กน้อยครับ เดี๋ยวป้าต้มซุปแก้แฮงก์ไว้ให้อาเชินดื่มด้วยนะครับ ผมขอตัวกลับก่อนล่ะ” 


 


 


“ค่ะ คุณชายฟัง เดี๋ยวฉันออกไปส่งค่ะ” เมื่อมองดูรถของฟังหยวนขับไกลออกไป ป้าหลิวที่กำลังจะกลับเข้าไปในบ้าน พลันสายตามองเห็นว่ามีใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา ป้าหลิวหยุดมองให้ชัดๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คนคนนั้นจะปรากฏชัดในสายตา 


 


 


“ขอโทษนะคะ นี่ใช่บ้านของลั่วเซ่าเชินหรือเปล่า” หันฮุ่ยซินเห็นผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่หน้าประตูบ้าน แต่งตัวเหมือนแม่บ้าน เธอจึงเอ่ยปากถามอย่างนุ่มนวล 


 


 


“ค่ะ คุณคือใครคะ” เมื่อป้าหลิวเห็นเธอมาที่นี่ในเวลานี้ ก็สงสัยว่าเธอคิดจะทำอะไร? แต่ป้าหลิวไม่กลัว เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวคนเดียวซึ่งดูไม่มีพิษมีภัย ป้าหลิวจึงไม่กลัวว่าเธอจะเข้ามาหาเรื่อง 


 


 


“ฉันเป็นเพื่อนของอาเชินค่ะ เขาอยู่บ้านไหมคะ” หันฮุ่ยซินโทรหาลั่วเซ่าเชิน และเมื่อเธอรู้ว่าเขาเมา เธอก็รีบมาหาเขาทันที เธอรู้สึกเป็นห่วงเขามาก แต่เธอไม่ได้แสดงอาการออกมาให้ป้าหลิวเห็น 


 


 


“อ๋อ เพื่อนของคุณชายนี่เอง พอดีคุณชายหลับไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่นะคะ!” ป้าหลิวไม่อยากให้เธอเข้ามา ลั่วเซ่าเชินอยู่ตัวคนเดียว เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนของลั่วเซ่าเชินจริงๆ หรือเปล่า 


 


 


หันฮุ่ยซินหน้าตึงเมื่อเห็นว่าป้าหลิวตั้งท่ากีดกันเธอ แต่เธอก็กลับมายิ้มอย่างอ่อนโยนได้ในทันที “ถ้าอย่างนั้นฉันขอเจอโจวโจวหน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


“ขอโทษด้วยนะคะ คุณผู้หญิงเธอไม่อยู่บ้าน หากคุณมีธุระกับพวกเขาจริงๆ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะคะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว” 


 


 


แม้ป้าหลิวจะคิดว่าหันฮุ่ยซินไม่น่าใช่คนไม่ดี แต่ตอนนี้ถังโจวโจวไม่อยู่บ้าน เธอก็ควรจะช่วยดูแลครอบครัวของถังโจวโจวให้ดี เธอไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงแปลกหน้าผ่านเข้ามาได้ 


 


 


เมื่อหันฮุ่ยซินเห็นว่าป้าหลิวไม่ยอมให้เธอเข้าไป เธอก็ได้แต่รามือ และเธอก็ไม่กล้าอารมณ์เสียใส่ป้าหลิวด้วย “ขอโทษด้วยนะคะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่” 


 


 


หันฮุ่ยซินไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าถังโจวโจวจะไม่อยู่บ้าน แล้วเธอไปไหนล่ะ? เธอคงไม่ได้หนีไปแล้วจริงๆ หรอกใช่ไหม? หันฮุ่ยซินได้ยินถังโจวโจวยืนกรานหนักแน่นอย่างนั้นก็คิดว่าเธอคงไม่ใส่ใจ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะอดรนทนไม่ได้และหนีออกจากบ้านไปนานแล้ว 


 


 


หันฮุ่ยซินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย รู้อย่างนี้เธอน่าจะมาหาอาเชินตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้อาเชินเป็นอย่างไรบ้าง หันฮุ่ยซินนึกถึงตอนที่ลั่วเซ่าเชินรับสายโทรศัพท์เธอในวันนี้ น้ำเสียงของเขาแย่มาก ถังโจวโจวรู้บ้างหรือเปล่าว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร 


 


 


ในหัวของหันฮุ่ยซินเต็มไปด้วยคำถาม น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับเธอได้ เธอจึงต้องแบกความตื่นเต้นที่มีอยู่เอาไว้ก่อน และรอจนถึงวันพรุ่งนี้ 


 


 


ป้าหลิวให้ลั่วเซ่าเชินดื่มซุปแก้แฮงก์ จากนั้นเธอก็ห่มผ้าห่มให้เขา ก่อนจะลงไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง 


 


 


เมื่อฟังหยวนขับรถกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบว่าภายในห้องนั้นเงียบกริบ เขาเดาว่าถังโจวโจวน่าจะเข้านอนไปแล้ว เขาจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อฟังหยวนได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็ไม่ได้กลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ติดอยู่บนตัวของเขาแล้ว 


 


 


ในขณะที่เขาเดินผ่านหน้าห้องของถังโจวโจว จู่ๆ ประตูห้องของเธอก็เปิดออก ฟังหยวนสะดุ้งตกใจ “โจวโจว ยังไม่นอนอีกเหรอ” ฟังหยวนเห็นว่าถังโจวโจวอยู่ในชุดนอน ผมเผ้าของเธอดูยุ่งเหยิงนิดหน่อย เขาเดาว่าเธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมา 


 


 


“ไปดื่มเหล้ามาหรือคะ” ถังโจวโจวเดินอ้าปากหาวเข้าไปในครัว ก่อนจะรินน้ำออกมาหนึ่งแก้ว เธอกำลังหลับสบาย แต่จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตู จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำเบาๆ เธอเดาว่าฟังหยวนน่าจะกลับมาแล้ว 


 


 


ต่อมาก็มีเสียงน้ำดังแว่วมาจากด้านนอก ถังโจวโจวนอนไม่หลับแล้ว เธอจึงลุกออกมาหาน้ำดื่ม 


 


 


ในขณะที่เธอกำลังดื่มน้ำอยู่นั้น ฟังหยวนก็เดินเข้ามาถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไปดื่มเหล้ามา” เขาดมกลิ่นตัวเอง มันก็มีแต่กลิ่นของเจลอาบน้ำนี่ ไม่เห็นมีกลิ่นของแอลกอฮอล์เลย เธอรู้ได้อย่างไรกัน 


 


 


“เดาเอาค่ะ” เมื่อถังโจวโจวดื่มน้ำเสร็จเธอก็พูดออกมา “ฉันไปนอนก่อนนะคะ” 


 


 


เสียงปิดประตูดัง ปัง! ฟังหยวนมองดูเธอที่ทำตัวเหมือนวิญญาณล่องลอยไปมา นี่ดีนะที่เธอไม่ได้สวมชุดนอนสีขาวแล้วก็ปล่อยผมปิดหน้าปิดตา หากเป็นอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเหมือนซาดาโกะเลยหรือ ถ้าเธอออกมาจากห้องในสภาพแบบนั้นจริง เขาคงตกใจแย่! 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น หันฮุ่ยซินได้นำโจ๊กที่เธอทำเองตรงมาที่บ้านของลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินยังไม่ตื่น ป้าหลิวกำลังง่วนอยู่ในครัว เมื่อเธอได้ยิ่งเสียงออด เธอก็รีบออกไปดู และเมื่อเธอเปิดประตูออกไป เธอก็พบกับผู้หญิงคนเมื่อวาน เธอมาพร้อมกับกระติกเก็บความร้อนที่อยู่ในมือของเธอ 


 


 


“อาเชินตื่นหรือยังคะ” พวกเธอสองคนห่างกันแค่โถงทางเข้า หันฮุ่ยซินกวาดตามองเข้าไปด้านในอย่างไม่เกรงใจ 


 


 


“คุณชายยังไม่ตื่นค่ะ” เมื่อป้าหลิวเห็นว่าเธอเรียกลั่วเซ่าเชินอย่างสนิทสนม เธอก็ยิ่งพิจารณาสถานการณ์หนักขึ้น เธอเป็นใครกันแน่ คุณผู้หญิงยังไม่เคยเรียกคุณชายแบบนี้เลย ทำไมเธอถึงเรียกได้อย่างสนิมสนมล่ะ? 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นป้าให้ฉันเข้าไปก่อนได้ไหมคะ ฉันจะเข้าไปรอข้างใน” ท่าทางของหันฮุ่ยซินดูเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างมาก ครั้งนี้ป้าหลิวไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางเธอแล้ว นอกจากนี้ การให้แขกยืนรออยู่ที่หน้าประตูนานๆ มันก็ดูไม่ดี ป้าหลิวจึงต้องเปิดประตูเหล็ก และปล่อยให้หันฮุ่ยซินเข้ามา 


 


 


“เชิญคุณนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นสักครู่นะคะ เมื่อคืนคุณผู้ชายเธอไปดื่มมา คุณอาจจะต้องรออีกสักพักหนึ่ง” ป้าหลิวเข้าไปยกน้ำในครัวออกมาให้อย่างรวดเร็ว 


 


 


หันฮุ่ยซินเอ่ยขอบคุณเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะนั่งรอเขาอยู่ตรงนี้” หันฮุ่ยซินมองไปรอบๆ บ้านที่เรียกว่าบ้านของลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจว ภายในบ้านนั้นดูอบอุ่นมาก ดูเหมือนว่าจะต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับถังโจวโจว 


 


 


อย่างที่หันฮุ่ยซินรู้ดี ลั่วเซ่าเชินไม่เคยโปรดปรานสไตล์การแต่งบ้านแบบนี้เลย 

 

 

 


ตอนที่ 137 ถังโจวโจวกลับมาแล้ว

 

           เมื่อลั่วเซ่าเชินลงมาที่ชั้นล่างหลังจากตื่นนอน เขาก็พบว่าหันฮุ่ยซินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าป้าหลิวหายไปไหน 


 


 


           เมื่อหันฮุ่ยซินได้ยินเสียงฝีเท้า เธอก็หันหน้าไปมองทันที เธอเห็นลั่วเซ่าเชินเดินลงมาในชุดคลุมสีเทา เธอหยัดตัวขึ้นและเอ่ยทักว่า “อาเชิน” 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่สนใจเธอและเดินตรงเข้าไปในห้องครัว เมื่อป้าหลิวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินตื่นแล้ว เธอก็รีบเสิร์ฟอาหารเช้าให้เขาอย่างรวดเร็ว 


 


 


           หันฮุ่ยซินสาวเท้าเดินตามเขาไป เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำเหมือนมองไม่เห็นเธอ เธอก็ยิ้มอย่างขมขื่น “อาเชิน นี่คุณกำลังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม” เธอวางกระติกเก็บความร้อนที่เธอนำมาไว้ตรงหน้าลั่วเซ่าเชิน เธอเปิดฝาแล้วพูดว่า “อาเชิน เมื่อคืนคุณดื่มหนักมาก ฉันก็เลยทำมาให้” 


 


 


“ฮุ่ยซิน คุณไม่ควรมาที่นี่” ลั่วเซ่าเชินไม่รับกระติกเก็บความร้อนของเธอ และตั้งหน้าตั้งตากินอาหารเช้าที่ป้าหลิวทำให้ เขารู้สึกดีใจมากที่เขาตัดสินใจฝากลั่วอิงไว้ที่บ้านตระกูลถัง หากลั่วอิงเห็นเธอเข้า คงจะต้องไม่พอใจแน่ๆ 


 


 


“อาเชิน ฉันแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้น” หันฮุ่ยซินมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยความเสน่หา ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินกลับรู้สึกว่าเขาไม่สามารถทนกับสายตาเช่นนี้ของเธอได้ 


 


 


“ฮุ่ยซิน คุณกลับไปซะ แล้วเราก็ควรติดต่อกันให้น้อยลง สิ่งที่คุณพูด สิ่งที่คุณทำกับโจวโจว ผมจะไม่เอาเรื่อง” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยคำเหล่านี้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง 


 


 


แต่หันฮุ่ยซินกลับรู้สึกว่ามันน่าขำ “อาเชิน ฉันพูดอะไรกับโจวโจว? ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น อาเชิน คุณบอกว่าคุณจะรับผิดชอบฉัน แต่คุณก็ไม่เห็นจะทำเลย!” 


 


 


หันฮุ่ยซินดูหมดความอดทน ลั่วเซ่าเชินมองดูเธอที่ใส่อารมณ์ในคำพูดมากขึ้นด้วยความรู้สึกเฉยเมย นี่เขาหมดรักหันฮุ่ยซินแล้วจริงๆ หรือว่าเป็นเพราะถังโจวโจว? ลั่วเซ่าเชินรู้สึกสับสนเล็กน้อย 


 


 


หันฮุ่ยซินเห็นว่าเมื่อเธอพูดไปขนาดนี้แล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่แยแส “อาเชิน เราลองกลับมาคบกันใหม่ดีไหม ในเมื่อไม่มีถังโจวโจวแล้ว ฉันก็สามารถดูแลลั่วอิงให้ได้ เราจะต้องไปด้วยกันได้ดี แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อยมีลูกกัน นี่คือชีวิตที่เราควรจะเป็น!” 


 


 


หันฮุ่ยซินกุมมือลั่วเซ่าเชินและดื่มด่ำอยู่กับจินตนาการของเธอเอง ภาพความฝันต่างๆ ที่เธอพร่ำเพ้อออกมา ทำให้ลั่วเซ่าเชินหวนนึกถึงวันเก่าก่อน แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนในอดีต และเขากับหันฮุ่ยซินก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว 


 


 


เขาค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมา “ฮุ่ยซิน ตื่นได้แล้ว ตอนนี้ชีวิตผมดีมากอยู่แล้ว แม้ว่าเมื่อก่อนเราจะเคยรักกัน แต่เวลาก็เป็นสิ่งที่เยียวยาได้ดีที่สุด ผมลืมความรู้สึกพวกนั้นกับคุณไปหมดแล้ว” ความจริงแล้วเขาไม่ได้ลืมมัน แต่เพื่อไม่ให้หันฮุ่ยซินยึดติดอยู่กับเขา เขาจึงต้องพูดออกมาแบบนี้ 


 


 


“อาเชิน คุณยังไม่ลืมหรอก ใช่ไหม? ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะลืมเรื่องของเราไปแล้ว ผู้หญิงอย่างถังโจวโจวมีอะไรดี อาเชิน ฉันรู้แล้วว่าฉันทำผิดไป ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว คุณก็ไม่ควรจะปล่อยฉันไปสิ?” 


 


 


หันฮุ่ยซินไม่เข้าใจ ตอนแรกเธอไม่ได้คิดจะเลิกกับเขาสักหน่อย เธอก็แค่อยากทำตามความฝันของตัวเองเท่านั้น เธอขอให้ลั่วเซ่าเชินรอเธอแค่ไม่กี่ปี เพราะทุกอย่างกำลังไปได้สวย แล้วทำไมอาเชินถึงไม่เข้าใจเธอบ้าง? 


 


 


ก็แค่เลื่อนเวลาออกไปไม่กี่ปีเพื่ออนาคตของเธอ เขาไม่คิดจะเก็บไปพิจารณาเลยเหรอ? หรืออาเชินไม่รักเธอแล้วจริงๆ หันฮุ่ยซินก็เคยสงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่คำตอบที่แน่วแน่ของลั่วเซ่าเชินในตอนนั้นก็ทำให้หัวใจของหันฮุ่ยซินสงบลง 


 


 


เพราะจู่ๆ หันฮุ่ยซินก็ได้รับสายโทรศัพท์จากลั่วเซ่าเชิน เขาถามเธอว่าเธอจะกลับมาหาเขาไหม หันฮุ่ยซินจะยอมได้อย่างไร ตอนนั้นเธอมีการประกวดที่สำคัญ อีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เธอจะยอมถอยง่ายๆ ได้อย่างไร ดังนั้นเธอจึงเอ่ยปฏิเสธเขาอย่างรุนแรง 


 


 


และในครั้งนั้นเอง เธอกับลั่วเซ่าเชินก็ทะเลาะกันใหญ่โต หลังจากนั้นหันฮุ่ยซินก็มุ่งมั่นไปที่หน้าที่การงานของเธอ เธอคิดว่าเธอจะจัดการกับความสัมพันธ์ของเธอและลั่วเซ่าเชินหลังจากที่เธอมั่นคงในหน้าที่การงานมากกว่านี้แล้ว แต่เขาไม่ให้โอกาสเธอเลย 


 


 


หันฮุ่ยซินได้ยินชัดเจนว่าลั่วเซ่าเชินขอเลิกกับเธอ แต่หันฮุ่ยซินไม่ยอมรับ เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใจไม่ตรงกัน พวกเขาจึงยังคงคาราคาซังในความสัมพันธ์กันอยู่อย่างนี้ หันฮุ่ยซินเองก็ไม่เคยได้ยินข่าวการแต่งงานของลั่วเซ่าเชินเลย เธอจึงคิดว่าเขาแค่ยั่วโมโหเธอเพื่อให้เธอยอมกลับไปหาเขาเท่านั้น 


 


 


ท้ายที่สุดเธอก็ได้รับข่าวว่าลั่วเซ่าเชินมีภรรยาแล้ว หันฮุ่ยซินรู้สึกกังวลใจ เธอไม่อยากจะเชื่อว่าลั่วเซ่าเชินจะทรยศต่อความรักระหว่างเธอกับเขา และทิ้งเธอไว้ลำพังเพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น 


 


 


“ฮุ่ยซิน คุณไม่เข้าใจหรือว่าเรื่องของเรามันจบลงไปแล้ว คุณจะดื้อดึงอยู่อีกทำไม!” ลั่วเซ่าเชินสะบัดมือของหันฮุ่ยซินออก 


 


 


“ในบ้านคึกคักจังเลยนะคะวันนี้!” น้ำเสียงและรูปร่างที่คุ้นเคยปรากฏตัวขึ้นภายในบ้าน ลั่วเซ่าเชินนึกว่าเขาตาฝาดไป เขากะพริบตาสองสามครั้ง แล้วเขาก็พบว่าเธอยังยืนอยู่ที่เดิม เขาลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น “โจวโจว คุณกลับมาแล้ว!” 


 


 


ถังโจวโจวมองดูหันฮุ่ยซินจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง เมื่อความเศร้าก่อนหน้าหายไปแล้ว เธอจึงหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลับมาแล้วเหรอโจวโจว” 


 


 


ถังโจวโจวมองดูฉากรักๆ ใคร่ๆ ที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็รู้สึกขำอยู่ในใจ เธอจะกลับมาทำไมเนี่ย ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนกำลังไปกันได้ดีในขณะที่เธอไม่อยู่ เรานี่หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ! 


 


 


“ดูเหมือนว่าฉันจะเข้ามาขัดจังหวะพวกคุณ? เฮ้อ ฉันไม่น่ากลับมาตอนนี้เลย” ถังโจวโจวหันหลังกลับและกำลังเดินออกไปจากบ้าน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบวิ่งมารั้งเธอไว้ “โจวโจว คุณเข้าใจผิด มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด!” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่อาจปล่อยให้ถังโจวโจวเข้าใจเขาผิดได้อีกแล้ว กว่าเธอจะยอมกลับมาให้เห็นหน้า ถ้าเธอหนีไปอีก เขาจะทำอย่างไร? 


 


 


“ปล่อยค่ะ” ถังโจวโจวก้มหน้ามองมือของลั่วเซ่าเชินที่บีบข้อมือเธออยู่ มือคู่นี้อาจจะเคยจับหันฮุ่ยซินมาก่อน จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกรังเกียจมันขึ้นมา 


 


 


ใบหน้าของเธอแสดงความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมาทันที และลั่วเซ่าเชินก็สังเกตเห็น “โจวโจว ตราบใดที่คุณบอกว่าคุณจะไม่หนีไปไหนอีก ผมก็จะปล่อยคุณ” 


 


 


ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินกลัวการปล่อยมือนี้มาก ครั้งนี้ถังโจวโจวทำกับเขารุนแรงเกินไป เธอทำให้เขาตกใจกลัว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลั่วอิงร้องไห้งอแงหาเธอ มันก็ยิ่งทำให้ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเจ็บปวดไปหมด 


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้า เมื่อลั่วเซ่าเชินได้รับคำยืนยันจากเธอ เขาก็ค่อยๆ คลายมือลง และเมื่อถังโจวโจวคลึงข้อมือตัวเอง เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้เขาใช้แรงมากเกินไป จนทำให้ข้อมือของเธอเป็นรอยแดง 


 


 


“โจวโจว ขอโทษ ผมขอโทษ…” 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชินแล้ว” ความเย็นชาของถังโจวโจวทำให้ลั่วเซ่าเชินถึงกับชะงักงัน ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าที่ถังโจวโจวกลับมาในครั้งนี้ เธอไม่ได้กลับมาอยู่อย่างถาวร เมื่อครู่นี้เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ต่ทำไมเธอถึงไม่ยกโทษให้เขาล่ะ? 


 


 


หันฮุ่ยซินเห็นว่าดวงตาของลั่วเซ่าเชินเต็มไปด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น ในขณะที่ถังโจวโจวก้มหน้าต่ำ เธอจึงไม่รู้ว่าถังโจวโจวคิดอย่างไร แต่ในมุมมองของหันฮุ่ยซิน เธอคิดว่าถังโจวโจวกำลังหลอกให้เขาตายใจ และต้องการทำให้อาเชินรู้สึกผิดและเป็นทุกข์ เพื่อที่จะได้ควบคุมจิตใจของอาเชินได้อยู่หมัด 


 


 


“โจวโจว เธอเข้าใจผิดนะ ฉันกับอาเชินไม่ได้มีอะไรกัน” 


 


 


“ใช่ อย่างที่ฮุ่ยซินบอก ทีนี้คุณเชื่อแล้วใช่ไหม” ลั่วเซ่าเชินรีบว่าตามเธอ 


 


 


ถังโจวโจวมองดูผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง พลางเห็นแววตาที่แฝงความภาคภูมิใจเอาไว้ ราวกับว่าเธอนี่แหละคือคุณผู้หญิงของตระกูลนี้ ส่วนตัวเองก็เป็นแค่ชู้ที่จู่ๆ ก็โผล่มาหยิบชิ้นปลามันของเธอไป 


 


 


“ลั่วอิงล่ะคะ” ถังโจวโจวไม่ได้บอกว่าเธอเชื่อหรือไม่เชื่อ เธอแค่ไม่อยากคาดหวังอะไรกับลั่วเซ่าเชินอีกแล้ว หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ความหวังของเธอถูกทำลายจนป่นปี้ไปแล้วในตอนนี้ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวไม่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหันฮุ่ยซิน มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่มากกว่าเดิม ถ้าถังโจวโจวบอกว่าโกรธ ลั่วเซ่าเชินก็ยังได้รู้บ้าง แต่ตอนนี้เธอเล่นไม่พูดอะไรเลย เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่ 


 


 


“ลูกอยู่ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ถ้าคุณอยากไปหาลูก ผมจะพาคุณไปเดี๋ยวนี้เลย” ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างใจเย็น 


 


 


หันฮุ่ยซินไม่สามารถปกปิดความอิจฉาริษยาได้อีกต่อไป ลั่วเซ่าเชินช่างเอาอกเอาใจถังโจวโจวเสียเหลือเกิน เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย นี่เธอไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของลั่วเซ่าเชินเลยเหรอ หันฮุ่ยซินไม่เชื่อ เธอไม่เชื่อว่าลั่วเซ่าเชินไม่เคยรักเธอ! 


 


 


“อาเชิน ฉันกลับก่อนนะคะ เมื่อวานคุณดื่มหนัก ท้องยังรับอะไรไม่ไหว อย่าลืมทานตอนที่มันยังร้อนอยู่นะคะ” หันฮุ่ยซินรีบหยิบกระเป๋าและแบกหน้าที่ภาคภูมิใจของเธอ เดินผ่านลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวไป 


 


 


ถังโจวโจวมองดูหันฮุ่ยซินเดินจากไปอย่างเงียบๆ ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอไม่พูดอะไร เขาก็กลัวว่าเธอจะคิดมาก “โจวโจว เธอเพิ่งมาเมื่อเช้านี้เอง ผมกับเธอไม่ได้มีอะไรกันนะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่เคยรู้สึกไร้อำนาจขนาดนี้มาก่อน เขารู้สึกว่าตั้งแต่เขาสูญเสียลูกของเขากับถังโจวโจวไป เขาก็ยอมตกอยู่ใต้อาณัติของถังโจวโจวแต่โดยดี เขากลับไปเป็นคนเย็นชาและวางอำนาจได้อยู่แล้ว แต่เขาแค่อยากตามใจถังโจวโจวเท่านั้น เมื่อเขาเห็นถังโจวโจวมีความสุข เขาก็มีความสุขตามไปด้วย 


 


 


“เหรอคะ? ฉันไม่สนหรอกว่าคุณกับเธอจะมีหรือไม่มีอะไรกัน เพราะอีกไม่นานคุณก็จะไม่ต้องมารายงานอะไรแบบนี้กับฉันแล้ว” 


 


 


ถังโจวโจวเดินเข้าไปด้านใน พลางมองไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เธอยังรู้สึกดีกับบรรยากาศภายในบ้านเหมือนเดิม แต่กับคนในบ้านนี้ ตอนนี้ความรู้สึกของเธอมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว 


 


 


“โจวโจว คุณหมายความว่ายังไง คุณบอกผมมาเดี๋ยวนี้” ลั่วเซ่าเชินฉุดมือเธอไว้ ถังโจวโจวถูกแรงกระชากทำให้เธอทรงตัวไม่อยู่ เมื่อจุดศูนย์ถ่วงในร่างกายของเธอไม่สมดุล เธอจึงเซเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคว้าเอวของเธอเข้ามาโอบไว้แน่นทันที ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองคนนั้นใกล้กันมาก ป้าหลิวที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวเห็นเข้า ก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีว่าไม่ควรเข้าไปรบกวนพวกเขาตอนนี้ 


 


 


ถังโจวโจวพยายามเบี่ยงตัวออก แต่ลั่วเซ่าเชินก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมที่มี โดยการก้มหน้าลงจนทำให้ริมฝีปากของเขาและเธอห่างกันเพียงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น แค่เพียงใครคนใดคนหนึ่งเคลื่อนใบหน้าเข้าไปอีกนิดเดียวริมฝีปากของพวกเขาก็จะประกบกัน 


 


 


ถังโจวโจวไม่กล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า หัวใจของเธอเต้นรัว ลมหายใจของลั่วเซ่าเชินห้อมล้อมอยู่รอบตัวเธอ ถังโจวโจวกลัวว่าเสน่ห์ของลั่วเซ่าเชินจะทำให้ความตั้งใจของเธอสั่นคลอน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกดหน้าผากลงแนบชิดกับเธอ แล้วกระซิบว่า “โจวโจว เราคืนดีกันเถอะ คุณยกโทษให้ผมสักครั้งเถอะนะ ลั่วอิงเองก็คิดถึงคุณมาก คุณทนเห็นลูกเจ็บปวดได้จริงๆ เหรอ” 


 


 


ภาพที่ลั่วอิงร้องไห้น้ำตานองปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของถังโจวโจว เธอเองก็เจ็บปวดมากเช่นกัน แต่ถ้าจะให้เธอให้อภัยลั่วเซ่าเชินง่ายๆ เธอก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อมันมีหนามชิ้นใหญ่ตำอยู่ในใจของเธออย่างนี้แล้ว 


 


 


“ทนได้หรือไม่ได้แล้วยังไงคะ เดี๋ยวเธอก็จะปรับตัวได้เอง ไม่ช้าก็เร็ว…” ถังโจวโจวปากแข็ง ลั่วเซ่าเชินจนปัญญาแล้วจริงๆ และเขาก็ไม่อยากได้ยินเธอพูดคำว่า ‘จะจากไป’ อีก เขาจึงใช้ปากของเขาปิดปากของเธอไว้ 


 


 


เขาพยายามแทรกลิ้นเข้าไปในปากของถังโจวโจว แต่เธอกัดฟันแน่น ไม่ยอมให้ลั่วเซ่าเชินได้ผ่านเข้าไป ลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ตะล่อมเธอ “โจวโจว เด็กดี คุณเองก็ชอบมัน” 


 


 


ถังโจวโจวไม่พูดและเบี่ยงหน้าไปอีกด้านหนึ่ง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็คิดหาวิธี เขาประกบปากลงไปอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน มือของเขาก็ล้วงเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ เมื่อเขาแตะถูกจุดเส้นตื้นของถังโจวโจว ทันใดนั้นเธอก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ และเมื่อเธอหัวเราะออกมา ปากของเธอก็ไร้ด่านปราการกั้นอีกต่อไป  

 

 


ตอนที่ 138 กอดให้หนำใจ

 

           ลิ้นของลั่วเซ่าเชินค่อยๆ สัมผัสเธออย่างอ้อยอิ่ง ถังโจวโจวพยายามขัดขืนเขาอย่างหนัก แต่กลับกลายเป็นว่าเธอยิ่งเข้าไปพัวพันกับลั่วเซ่าเชินแทน 


 


 


           ในสงครามครั้งนี้ ทำเอาถังโจวโจวเหนื่อยหอบ และต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ลั่วเซ่าเชินเองก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนัก แต่สีหน้าของเขาก็ดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก 


 


 


           หลังจากการจูบครั้งนี้ ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่าท่าทีของถังโจวโจวดูอ่อนลงไปมาก ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องใช้วิธีนี้อีกในอนาคต ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องเขาก็ต้องจูบ ดูสิว่าเธอจะทนอย่างไรไหว 


 


 


           “โจวโจว ทีนี้คุณจะยอมฟังผมได้หรือยัง” ลั่วเซ่าเชินยังไม่ยอมปล่อยถังโจวโจว ใบหน้าของถังโจวโจวแดงระเรื่อ เมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องมองที่ริมฝีปากของเธอ เธอก็รู้สึกว่าถ้าเธอยังพูดอะไรที่ไม่เข้าหูเขาอีก ลั่วเซ่าเชินจะต้องรังแกเธออีกครั้งแน่ 


 


 


           ถังโจวโจวทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าในที่สุดเธอก็ยอมจำนนอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาก็รู้สึกว่าเส้นทางอันมืดมนของปัญหาไม่รู้จบในครั้งนี้ ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่างเสียที 


 


 


“โจวโจว ผมไปดื่มมาเมื่อวานนี้ แต่ผมกับฮุ่ยซินไม่ได้มีอะไรกัน เธอมาถึงก่อนหน้าคุณเพียงไม่นาน ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรกับเธอเลย แล้วคุณก็มา…” 


 


 


“อ๋อ นี่คุณกำลังจะโทษฉันว่าฉันเข้ามารบกวนการสนทนาของพวกคุณ? ค่ะ! ฉันรู้แล้ว” 


 


 


“โจวโจว นี่คุณจะเอาชนะผมให้ได้เลยใช่ไหม” ลั่วเซ่าเชินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและหมายที่จะปิดปากเธออีกรอบ ดูสิว่าเธอยังจะโต้เถียงเขาอยู่อีกไหม 


 


 


และดูเหมือนว่าถังโจวโจวจะอ่านความคิดของลั่วเซ่าเชินออก เธอยกมือขึ้นปิดปากและส่ายหน้าใส่ลั่วเซ่าเชิน เดี๋ยวพลังที่เธอเพิ่งจะรวบรวมได้ มันจะหายไปในบัดดล 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้เห็นด้านที่น่ารักของเธอมานานแล้ว “รู้ทันแล้วสินะ!” 


 


 


“คุณปล่อยฉันก่อนได้ไหมคะ” ถังโจวโจวไม่อยากอยู่ใกล้ชิดเขาอย่างนี้แล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินกลับขอดื่มด่ำกับช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ก่อน ราวกับว่าเขาต้องการระบายความคิดถึงเธอที่ทำให้เขาต้องนอนคนเดียวมาหลายคืน 


 


 


“ไม่ปล่อย ผมไม่ได้กอดคุณมาตั้งหลายวัน วันนี้ผมจะกอดให้หนำใจเลย” ลั่วเซ่าเชินกอดเธอแน่นขึ้นอีก 


 


 


“ลั่วเซ่าเชิน คุณพูดอะไรออกมา มันน่าอายไหมเนี่ย” ถังโจวโจวมองดูชายหนุ่มจอมเจ้าเล่ห์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ลั่วเซ่าเชินไม่เคยทำตัวทะเล้นแบบนี้มาก่อน ถังโจวโจวอยากจะลองบิดผิวหนังของเขาเพื่อดูว่าหนากว่าผนังบ้านหรือเปล่า 


 


 


“ต่อหน้าคุณ ผมไม่อายหรอก” ลั่วเซ่าเชินฝังหน้าลงไปบนไหล่ของถังโจวโจว เมื่อได้สูดกลิ่นหอมจากร่างกายของเธอ ความรู้สึกคุ้นเคยก็เขาชื่นชอบก็หวนกลับมาสู่ใจของเขาอีกครั้ง 


 


 


ร่างเพรียวบางของถังโจวโจวต้องรองรับน้ำหนักตัวของเขาเอาไว้ ลั่วเซ่าเชินเองก็ใจร้าย ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงมาที่เธอ ถังโจวโจวเองก็ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น เธอจึงใช้แรงที่มียืนทรงตัวไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินความแข็งแรงของตัวเองสูงเกินไป 


 


 


“เซ่าเชินคะ คุณจะยืนอิงฉันอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร ฉันหนักนะ” เธอเกือบจะยันเอาไว้ไม่อยู่แล้ว เธอแทบอยากจะผลักเขาออก ดูสิว่าเขาจะเอนตัวไปอิงตรงไหนได้อีก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอยากจะกอดถังโจวโจวให้นานกว่านี้ แต่เขาก็ยอมปล่อยเธอแต่โดยดี ในที่สุดถังโจวโจวก็ได้รับอิสรภาพ เธอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาทันที 


 


 


ป้าหลิวเดินออกมาจากห้องครัวในเวลาที่เหมาะสม “คุณผู้หญิงจะรับมื้อเช้าพร้อมกับคุณชายเลยไหมคะ” 


 


 


“โจวโจว ผมคิดว่าคุณน่าจะยังไม่ได้ทานมื้อเช้า เราไปกินด้วยกันเลยเถอะ” ลั่วเซ่าเชินพาเธอไปที่โต๊ะอาหาร โดยที่ถังโจวโจวยังไม่ทันได้พูดปฏิเสธ 


 


 


เมื่อเธอเห็นกระติกเก็บความร้อนใบนั้นตั้งอยู่ ลั่วเซ่าเชินก็ตอบสนองได้ว่องไวกว่าเธอ เขาหยิบมันขึ้นมาและส่งให้ป้าหลิวทันที ถังโจวโจวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกอยู่ข้างๆ ว่า “เก็บทำไมล่ะคะ เธออุตส่าห์บอกให้คุณกินตอนที่มันยังร้อนอยู่” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสะท้าน หากเขากินโจ๊กที่อยู่ในกระติกเก็บความร้อนนั่นจริง เขาเดาว่าถังโจวโจวน่าจะไม่พอใจ และเป็นไปได้ที่เธออาจจะหนีเขาไปอีกครั้ง นอกจากนี้ คำพูดของเธอก็ยังเต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวง สมองของลั่วเซ่าเชินประมวลผลอย่างรวดเร็ว เขาสามารถตีความทุกอย่างออกมาได้ในทันที  


 


 


“โจวโจว ผมก็ต้องกินข้าวที่ป้าหลิวกับคุณเป็นทำเท่านั้นสิ ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมกับเธอไม่ได้มีอะไรกัน” ลั่วเซ่าเชินไม่สนว่าเขาจะต้องพูดย้ำอีกกี่ครั้ง ขอแค่ให้ถังโจวโจวเชื่อเขาบ้างก็พอ 


 


 


ถังโจวโจวยังคงไม่ยอมปล่อยให้เขาลอยตัวไปได้ง่ายๆ เดิมทีเธอตั้งใจจะกลับมาหาลั่วเซ่าเชินเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการหย่าร้างระหว่างเธอกับเขา แต่ปรากฏว่าเธอกลับโดนเขาขัดจังหวะ แผนที่เธออุตส่าห์วางมาดิบดีพลันสูญเปล่าไปหมด แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร 


 


 


ก่อนจะมาถึง ถังโจวโจวเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าลั่วเซ่าเชินทำตัวดีขึ้น เธอก็อาจจะยกโทษให้เขาได้ แต่พอมาถึงเขากลับทำให้เธอเห็น ‘ฉากรักอันหวานซึ้ง’ ของหันฮุ่ยซินกับเขาเข้าพอดี แน่นอนว่าความหงุดหงิดของถังโจวโจวก็พุ่งทะลุปรอทไปเลย 


 


 


“ฉันไม่อยากรู้ว่าคุณมีอะไรกันหรือเปล่า และฉันก็ไม่สนใจด้วยว่าคุณสองคนจะเป็นอะไรกัน” ถังโจวโจวพูดพลางเหยียดริมฝีปากอย่างไม่แยแส 


 


 


“กินข้าวกันเถอะ โจวโจว” ลั่วเซ่าเชินแค่อยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่ถังโจวโจวก็ไม่โอนอ่อนตามที่เขาต้องการ 


 


 


“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณกับเธอไม่ได้มีอะไรกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงไม่พูดแล้วล่ะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดว่าถังโจวโจวกำลังหาเรื่องทะเลาะกันอย่างไร้เหตุผล แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเธอคงจะยังมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ “โจวโจว ผมรู้ว่าคุณยังโกรธผมอยู่ แต่คุณจะโกรธจนทำร้ายตัวเองไม่ได้นะ คุณมากินข้าวก่อน เสร็จแล้วผมจะยอมนั่งนิ่งๆ ให้คุณด่าเลย แล้วผมก็จะไม่โต้เถียงคุณกลับสักคำด้วย แบบนี้โอเคไหม” 


 


 


ถังโจวโจวรู้ว่าเขาพูดจากใจจริง แต่ความรู้สึกโกรธที่ยังอยู่ในใจของเธอทำให้เธอยิ้มไม่ออก เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าไปอย่างเงียบๆ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็ลงมือกินข้าวเช้าที่เหลืออยู่ด้วยรอยยิ้ม เมื่อถังโจวโจวกินเสร็จแล้ว เธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับลั่วเซ่าเชินอีก ความรู้สึกอยากคุยมันหมดไปแล้ว พูดไปก็ไม่ได้อะไร 


 


 


“ฉันจะไปแล้วค่ะ” 


 


 


“คุณจะไปไหน?!” ลั่วเซ่าเชินถามเสียงแข็งขึ้นมา ตอนนี้เขาทนฟังคำว่า ‘จะไป’ จากเธอไม่ได้อีกแล้ว 


 


 


ถังโจวโจวสะดุ้งตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม เมื่อเธอเห็นสีหน้าอันน่าสยดสยองของเขาก็รู้สึกหวาดผวา เหตุการณ์ที่เธอหายตัวไปในครั้งนี้ มีอิทธิพลต่อเขาจนแค่เธอพูดคำว่า ‘ไป’ ก็ทำให้เขาต้องลนลานมากขนาดนี้เลยหรือ 


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่เข้าใจว่าทำไมลั่วเซ่าเชินถึงมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้ ในมุมมองของถังโจวโจว ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะมีความอบอุ่นหัวใจมอบให้แก่กัน แต่มันก็มักจะมีเงาของเมิ่งชิงซีกับหันฮุ่ยซินมาตามลอกหลอนอยู่เสมอ แม้ว่าถังโจวโจวจะอยากสานสัมพันธ์กับเขาให้มากกว่านี้ แต่เธอก็ไม่อาจเพิกเฉยกับความวุ่นวายของผู้หญิงสองคนนั้นได้ 


 


 


เมิ่งชิงซีน่ะไม่เท่าไร ที่หนักหนากว่าคือหันฮุ่ยซิน เธอเป็นเหมือนเชื้อมะเร็งที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของถังโจวโจว ที่ยามไม่เห็นเธอ ถังโจวโจวก็สุขกายสบายใจดี แต่พอเธอปรากฏตัวเมื่อไร ก็สามารถทำให้ถังโจวโจวเจ็บเจียนตายได้ 


 


 


ส่วนลั่วเซ่าเชิน หลังจากที่ถังโจวโจวหายหน้าหายตาไปประมาณสิบกว่าวัน ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าถังโจวโจวนั้นสำคัญต่อเขามาก แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้สึกว่าเขาตกหลุมรักถังโจวโจวจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่เขาก็ยอมรับว่าถังโจวโจวเป็นคนพิเศษสำหรับเขา 


 


 


“ไม่ได้ไปไหนนี่คะ คุณบอกว่าจะพาฉันไปหาลั่วอิงไม่ใช่เหรอ ไม่ไปแล้วหรือคะ” ถังโจวโจวเลิกคิ้ว พลางเห็นสีหน้าลั่วเซ่าเชินผ่อนคลายลง เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนนกที่ตื่นตระหนก บางอย่างแค่เคลื่อนไหวนิดหน่อยก็ทำเอาสติสตังหลุดลอยไปไกล 


 


 


“หมายถึง ‘ไป’ เรื่องนี้เองหรอกหรือ โอเค ผมจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โจวโจว คุณนั่งรอผมก่อนนะ” หลังจากนั้นลั่วเซ่าเชินก็รีบขึ้นไปที่ชั้นบน เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก เธอก็รู้สึกแปลกๆ นี่เขาไม่กลัวว่าเธอจะหนีหายไปแล้วเหรอ? 


 


 


ถังโจวโจวรออยู่เพียงครู่เดียว ร่างของลั่วเซ่าเชินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าบันไดอย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนชุดใหม่และดูดีกว่าเดิมมาก ผู้คนภายนอกล้วนถูกเขาตบตาด้วยภาพลักษณ์แบบนี้สินะ …เธอเองก็เช่นกัน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเดินทางมาถึงบ้านตระกูลถัง เมื่อพวกเขาเคาะประตู ประตูก็ถูกเปิดออก ทันทีที่คุณแม่ถังได้พบหน้าถังโจวโจว เธอก็โผเข้ากอดลูกสาวเอาไว้ “โจวโจว ลูกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ แม่เป็นห่วงลูกมากเลย เกิดเรื่องอะไรทำไมลูกถึงไม่มาหาแม่ล่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวกอดคุณแม่ถังไว้แน่น เธอกลัวว่าคุณแม่ถังจะตื่นเต้นมากเกินไปจนอาจล้มป่วยได้ เธอจึงรีบพูดว่า “แม่ขา หนูก็มาหาแม่แล้วนี่ไง หนูไม่ได้ตั้งใจจะหนีไปไหนสักหน่อย แม่หยุดร้องได้แล้วค่ะ เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก” 


 


 


คุณแม่ถังผละตัวออกมาจากอ้อมแขนของถังโจวโจว เธอใช้มือเช็ดน้ำตาเบาๆ จนใบหน้าไม่มีคราบน้ำตาแล้ว ก่อนจะปากแข็งพูดว่า “แม่ร้องไห้ที่ไหน แม่ไม่ได้อ่อนแออย่างนั้นนะ ลูกคนนี้นี่” 


 


 


“ค่ะ หนูรู้แล้วว่าแม่น่ะเป็นคนเก่ง” ถังโจวโจวรีบโอบเอวคุณแม่ถังเข้าไปข้างใน ในที่สุดคุณแม่ถังก็หายใจได้ทั่วท้อง วันนี้คุณพ่อถังไม่อยู่ เขาไปทำงานที่โรงพยาบาล ส่วนลั่วอิงก็ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว 


 


 


เมื่อลั่วอิงได้ยินเสียงของถังโจวโจว เธอก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วก็รีบโผตัวไปหาถังโจวโจว “แม่โจวโจวกลับมาแล้ว!” 


 


 


ถังโจวโจวตั้งรับความอบอุ่นที่มาอย่างกะทันหันของลั่วอิงไม่ทัน เธอรู้ว่าลั่วอิงคิดถึงเธอมาก หากว่ากันตามตรง หลายวันมานี้เธอเองก็คิดถึงลั่วอิงเหมือนกัน “ตอนที่แม่โจวโจวไม่อยู่ หนูเป็นเด็กดีไหมคะ” 


 


 


“ค่ะ ครอบครัวเรามีแค่คุณพ่อนั่นแหละที่ไม่ดี แม่โจวโจวอย่าหนีไปไหนอีกนะคะ ถ้าคุณพ่อทำอะไรผิด เราก็แค่ไล่คุณพ่อออกไป แล้วคุณแม่ก็อยู่กับหนู โอเคไหมคะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินเช่นนั้น เขาก็เหลือบตาไปมองลั่วอิง 


 


 


ลูกสาวคนนี้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ พูดมาได้ว่าจะไล่เขาออกจากบ้าน ตอนนี้เขากลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆ แล้ว! 


 


 


คุณแม่ลั่วเพิ่งสังเกตเห็นว่าลั่วเซ่าเชินด้วย “อ้าว เซ่าเชิน เมื่อครู่นี้แม่ไม่ได้สังเกต” 


 


 


“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ แค่โจวโจวกลับมาก็ดีแล้ว” เมื่อเห็นลั่วเซ่าเชินมองดูลูกสาวของเธออย่างอ่อนโยน คุณแม่ถังก็พยักหน้า ลูกเขยของเธอนี่แสนดีจริงๆ เธอไม่รู้ว่าพวกเขาผิดใจอะไรกัน แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมาด้วยกันอย่างนี้ คงจะคืนดีกันแล้ว 


 


 


พวกเขาทั้งสี่คนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น คุณแม่ถังยกน้ำชาออกมาให้ดื่ม พลางถามถังโจวโจวว่า “โจวโจว แล้วนี่ลูกไปอยู่ที่ไหนมา” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็สงสัยในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ส่วนลั่วอิงก็นั่งกะพริบตาปริบๆ ใส่เธอ เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าทุกคนสนใจกันมากขนาดนี้ เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ถ้าลั่วเซ่าเชินรู้ว่าเธอหนีไปพักอยู่ที่บ้านของฟังหยวน เขาคงจะโมโหจนบ้าตายแน่ๆ 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวไม่ยอมพูด ก็คิดว่าอาจจะมีบางอย่างที่เธอพูดออกมาไม่ได้ และน่าจะเป็นเพราะลั่วเซ่าเชินอยู่ตรงนี้ด้วย เดี๋ยวเธอแยกไปถามลูกสาวเป็นการส่วนตัวดีกว่า 


 


 


“โจวโจว แม่มีเรื่องจะคุยด้วย ลูกไปที่ห้องกับแม่หน่อย ส่วนเซ่าเชิน คุณกับลั่วอิงรออยู่ข้างนอกก่อนนะ” เมื่อคุณแม่ถังกำชับเสร็จ เธอก็ลากถังโจวโจวออกไปจนพ้นจากสายตาของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


“คุณพ่อขา คุณยายกับแม่โจวโจวมีความลับอะไรกันอยู่เหรอคะ ทำไมหนูถึงฟังด้วยไม่ได้” 


 


 


“ลูกไม่ต้องเสียใจหรอกนะครับ เพราะพ่อเองก็ฟังไม่ได้เหมือนกัน พ่อน่าสงสารมากกว่าอีก” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าแม้แต่เด็กอย่างลั่วอิงยังรู้สึกน้อยใจ ส่วนเขาเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน เห็นทีเขาจะต้องกอบกู้พลังอำนาจของเขาในฐานะคุณพ่อขึ้นมาใหม่เสียแล้ว 


 


 


“ลั่วอิง ที่ลูกบอกว่าลูกจะไล่พ่อ นั่นหมายความว่ายังไง นี่พ่อทำงานหาเลี้ยงลูกกับคุณแม่ทุกวัน แล้วลูกกลับทำกับพ่อแบบนี้เหรอ” ลั่วเซ่าเชินคิดว่าถ้าตอนนี้ลูกสาวยังมีความคิดแบบนี้ แล้ววันข้างหน้าเขาจะฝากผีฝากไข้ไว้กับเธอได้อย่างไร 


 


 


แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ต้องการให้ลั่วอิงเลี้ยงดูตอนแก่ แต่ลั่วอิงกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแบบนี้ เขาจึงคิดว่าควรจะสอนเธอให้เข้าใจอะไรเสียใหม่ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาคอร์สเรียนพิเศษในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวให้เธอลงเรียนแล้ว 


 


 


ลั่วอิงไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ลั่วเซ่าเชินคิดจะส่งเธอออกไปเรียนพิเศษ เพื่อไม่ให้เธออยู่ขัดคอเขากับถังโจวโจว ถ้าลั่วเซ่าเชินคิดจะทำขึ้นมาจริงๆ อนาคตของลั่วอิงคงจะแสนเศร้าน่าดู 


 


 


เรียนมาทั้งเทอมกว่าจะได้ปิดเทอมฤดูหนาว แล้วเด็กตัวเล็กแค่นี้จะไปเรียนให้หนักๆ เพื่ออะไร ข้ออ้างทั้งนั้นแหละ 

 

 

 


ตอนที่ 139 อย่าเรียกพ่อว่าพ่ออีก

 

      คุณแม่ถังพาถังโจวโจวมาที่ห้องนอนของเธอและปิดประตูลง ถังโจวโจวนั่งลงบนเตียง คุณแม่ถังก็นั่งลงตรงหน้าเธอ จากนั้นก็กุมมือเธอและเอ่ยถามอย่างจริงจัง


 


 


“โจวโจว บอกแม่มาตามตรงว่าลูกไปอยู่ที่ไหนมา อย่าโกหกแม่นะ แม่รู้ว่าลูกไม่ได้ไปอยู่ที่บ้านของหลินเหยา”


 


 


คุณแม่ถังพอจะเดาได้ เนื่องจากเธอเห็นว่าผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังคงตามหาลูกสาวของเธอไม่เจอ นั่นหมายถึงว่าถังโจวโจวไม่ได้ไปอยู่ที่บ้านของเพื่อนสนิทอย่างหลินเหยาแน่นอน มิฉะนั้นถังโจวโจวจะหายหน้าไปนานขนาดนี้ได้อย่างไร


 


 


ถังโจวโจวก้มหน้าปิดปากเงียบ คุณแม่ถังตีเธอครั้งหนึ่ง ถังโจวโจวสะดุ้งขึ้นมาทันที “แม่ แม่ทำอะไรเนี่ย”


 


 


คุณแม่ถังเห็นว่าเธอตีแค่เบาๆ แต่ถังโจวโจวกลับโวยวายเสียใหญ่โต “ให้ลูกจำได้ขึ้นใจไง ใช้ไม่ได้เลยเรานี่ หนีออกไปโดยที่ไม่บอกกันสักคำ ทำเอาแม่กับพ่อเป็นห่วงไปหมด ลูกไม่รู้ทางกลับบ้านหรือยังไง”


 


 


“ก็เพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะเป็นห่วงนี่ไงคะ ไม่อย่างนั้นหนูจะกลับมานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ” ถังโจวโจวทำหน้ามุ่ย ยู่ปากน้อยใจเหมือนถูกรังแก


 


 


“ลูกไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วง? แต่พ่อกับแม่ยังไม่รู้อะไรเลย เราก็ยังเป็นห่วงเหมือนเดิมนั่นแหละ ตอนนั้นลูกคงคิดไว้แล้วใช่ไหมว่าเซ่าเชินจะต้องมาตามหาลูกถึงที่นี่?” คุณแม่ถังคิดอยู่แล้วว่า ยังไงๆ ถังโจวโจวก็ตั้งใจหนีไป ลูกคนนี้นี่ หาข้ออ้างเก่งจริงๆ


 


 


คุณแม่ถังเป็นคนใจดี เมื่อครู่นี้ที่อยู่ด้านนอก เพื่อรักษาหน้าของถังโจวโจว เธอจึงไม่ได้พูดอะไรมาก และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ได้ถามอะไร เธอจึงทำทีเหมือนปล่อยให้มันผ่านๆ ไป แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเธอสองคนแม่ลูกเข้ามาคุยกันแบบส่วนตัวแล้ว แต่ถังโจวโจวกลับยังไม่ยอมเปิดปากพูดเสียนี่


 


 


ถังโจวโจวก้มหน้าต่ำ เธอรู้อยู่แล้วว่าลั่วเซ่าเชินจะต้องมาที่นี่ ก็เพราะว่ารู้นั่นแหละ เธอถึงคิดจะหนีไปอยู่ที่อื่น เธอนึกว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่กล้ามารบกวนคุณพ่อคุณแม่ นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะไร้ยางอายจนถึงกับมารบกวนผู้อาวุโสอย่างพวกท่าน


 


 


“เอาละ แม่จะไม่เค้นถามลูกอีก ลูกบอกแม่มาดีๆ ดีกว่าว่าตกลงลูกไปอยู่ที่ไหนมา” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ถังไม่ได้พูดทีเล่นทีจริงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เธอก็รู้สึกปวดหัว ถ้าเธอบอกออกไปตรงๆ ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมา เธอเดาว่าคุณแม่ถังน่าจะอารมณ์เสียมากขึ้น


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่ถังจะคิดแบบเดียวกับเธอ เธอจึงได้แต่พูดอย่างออดอ้อนว่า “แม่ขา แม่อย่าถามหนูอีกเลย แม่ไม่อยากได้ยินมันนักหรอก”


 


 


หัวใจของคุณแม่ถังเต้นระรัวเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนี้ “นี่ลูกหมายความว่า…ลูกไปอยู่บ้านผู้ชายมา?” คุณแม่ถังนึกถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา มิฉะนั้นถังโจวโจวจะพูดว่า ‘แม่ไม่อยากได้ยินหรอก’ ได้อย่างไร


 


 


ถังโจวโจวยอมรับโดยดุษณี คุณแม่ถังยกมือทาบอก ไม่ต้องแปลกใจเลยหากว่าถังโจวโจวจะถูกตีตาย ที่แท้มันก็เป็นอย่างนี้ คุณแม่ถังอยากจะตีเธอให้หนักจริงๆ นี่เธอคิดอะไรอยู่? บ้านตัวเองดีๆ ก็มีแต่ไม่กลับมา ดันไปอยู่บ้านผู้ชายคนอื่นเสียนี่!


 


 


แต่คุณแม่ถังก็อยากจะถามอะไรให้แน่ใจเสียก่อน “โจวโจว แม่จะถามลูกนะ แล้วลูกก็ต้องตอบแม่มาตามตรง”


 


 


“แม่คะ แม่บอกมาก่อนได้ไหมว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร แล้วหนูจะคิดอีกทีว่าจะตอบหรือไม่ตอบ” ถังโจวโจวกะพริบตาปริบๆ คุณแม่ถังก็ตีเธออีกครั้ง ถังโจวโจวยู่ปากลงอย่างน้อยใจ วันนี้แม่ดุจริงๆ เธออยากให้พ่อได้เห็นท่าทางของแม่ยามที่สวมวิญญาณ ‘ผู้หญิงใจร้าย’ เหลือเกิน


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวมองค้อน เธอก็ตีอีก “อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่าลูกกำลังคิดอะไร ลูกคิดว่าแม่ดุมากใช่ไหม ลูกหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น แม่ไม่ได้แผลงฤทธิ์มานานแล้ว ลืมรสชาตินั้นไปแล้วใช่ไหม”


 


 


ถังโจวโจวนึกถึงสมัยก่อน เธอจำได้ว่าตอนที่เธอยังเด็ก ถึงแม้ว่าคุณแม่ถังจะเป็นคนอารมณ์ดี แต่เมื่อเทียบกับคุณพ่อถังแล้วก็ยังดูขี้โมโหกว่าเห็นได้ชัด ถ้าถังโจวโจวทำอะไรผิดมา คุณพ่อถังไม่มีทางเอ็ดเธอก่อนแน่นอน


 


 


มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ถังโจวโจวติดคุณพ่อถังมาก จนคุณแม่ถังเองก็ยังรู้สึกน้อยใจ แต่สำหรับวีรกรรมบางอย่างของถังโจวโจว คุณพ่อถังก็ไม่สามารถปกป้องเธอได้ ตระกูลถังอยู่กันแบบคุณแม่ดุแต่คุณพ่อใจดีมาเป็นเวลานาน


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวรู้ความ คุณแม่ถังก็ไม่ค่อยได้โมโหเธอเท่าไรแล้ว เว้นเสียแต่ว่าถังโจวโจวจะทำในสิ่งที่คุณแม่ถังเห็นว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งมันก็เกิดขึ้นน้อยมาก ดังนั้นถังโจวโจวจึงลืมรสชาติความโกรธของคุณแม่ถังไปแล้ว


 


 


“โอเค หนูยอมแพ้แล้วก็ได้! แม่อย่าตีหนูอีกเลย เดี๋ยวแม่จะเจ็บมือเปล่าๆ”


 


 


ท่าทางทะเล้นของถังโจวโจว ทำให้คุณแม่ถังหัวเราะออกมาเสียงดัง “เอาละ อย่ามัวแต่เล่น พูดมาเดี๋ยวนี้ว่าระหว่างลูกกับเซ่าเชินมีปัญหาอะไรกัน ขืนยังไม่พูดอีก แม่จะใช้ท่าไม้ตายแล้วนะ”


 


 


“พูดแล้วค่ะ พูดแล้ว แม่ก็อย่ากระโตกกระตากไปนะคะ เรื่องของเรื่องก็คือเซ่าเชินเขาออกนอกลู่นอกทางค่ะแม่” ถังโจวโจวพูดจบก็ก้มหน้าลงเล่นมือของตัวเอง


 


 


คุณแม่ถังเกือบจะส่งเสียงร้องออกมา จิตใต้สำนึกทำให้เธอโต้ตอบกลับไปทันทีว่า “พูดเป็นเล่น เซ่าเชินจะทำแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวได้ยินคุณแม่ถังออกปากปกป้องลั่วเซ่าเชิน เธอก็กลอกตาขึ้นฟ้า ถ้าเธอรู้ว่าคุณแม่ถังจะคิดแบบนี้ เธอไม่พูดจะดีกว่า นี่ฉันไม่รู้แล้วว่าแม่คลอดฉันออกมาหรือเปล่า?


 


 


“แม่คะ นี่แม่เป็นคนคลอดหนูออกมาหรือเปล่า ทำไมแม่ถึงไม่อยู่ข้างเดียวกันกับหนูล่ะ แล้วยังจะไปเข้าข้างเขาอีก หนูเป็นลูกแม่นะ หนูจะโกหกแม่ทำไม”


 


 


คุณแม่ถังกลัวว่าถังโจวโจวจะเข้าใจผิดขึ้นมาจริงๆ แม้เธอจะรู้ว่าลูกสาวยังไม่รู้ความจริง แต่เธอก็กันไว้ก่อนดีกว่า คุณแม่ถังรีบพูดว่า “โจวโจว ลูกจะไม่ใช่ลูกที่แม่คลอดออกมาได้ยังไง พูดอะไรไร้สาระ วันหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะ!”


 


 


“แม่คะ ทำไมต้องเสียงดังด้วย หนูรู้ว่าแม่เป็นคนคลอดหนูออกมา แต่ทำไมแม่ถึงดูร้อนรนผิดปกติ?” ถังโจวโจยื่นหน้าเข้าไปมองคุณแม่ถังอย่างสงสัย นัยน์ตาของคุณแม่ถังวูบไหวเล็กน้อย แต่เธอก็แสร้งทำเป็นสงบนิ่งไว้ได้


 


 


“แม่ก็แค่กลัวว่าลูกจะเข้าใจผิดไง นี่ลูกตั้งใจเบี่ยงประเด็นใช่ไหม รีบบอกแม่มาว่าลูกรู้ได้ยังไงว่าเซ่าเชินเขานอกลู่นอกทาง ใครเป็นคนบอก” คุณแม่ถังกังวลเสียจนเหงื่อชื้นเต็มแผ่นหลัง


 


 


“หนูรู้เองค่ะ แม่เชื่อหนูนะ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ ผู้หญิงคนนี้คือรักแรกของเขา แต่เซ่าเชินเขาไม่ยอมรับ”


 


 


ถังโจวโจวนึกถึงลั่วเซ่าเชินที่เอาแต่บอกว่าเขากับหันฮุ่ยซินไม่ได้มีอะไรกัน แต่รูปภาพมันชัดเจนออกอย่างนั้น พวกเขาจะไม่มีอะไรกันได้อย่างไร ถังโจวโจวไม่เชื่อเรื่องที่เขาพูดออกมาเลย ที่ครั้งนี้เธอสารภาพกับคุณแม่ถัง ก็เพราะเธอต้องการความช่วยเหลือ บางทีเรื่องระหว่างเธอและลั่วเซ่าเชินอาจจะมีบทสรุปบางอย่างรออยู่แล้ว


 


 


ตอนนี้ถังโจวโจวยังไม่อยากจะคิดว่าบทสรุปนี้มันจะออกมาดีหรือร้าย แต่เธอไม่อยากอยู่ๆ ก็กลายสภาพเป็นคนโง่แบบนี้อีกต่อไป และเธอก็ไม่อยากจะเสียเวลาอีกแล้ว เธอได้รับการตอบแทนไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ


 


 


“โจวโจว ในเมื่อเซ่าเชินบอกว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ลูกก็ควรจะไตร่ตรองให้ดี ท่าทางของเซ่าเชินก็ไม่เหมือนว่าเขาจะหลอกลูกนะ” คุณแม่ถังรู้ดีว่าหัวข้อสนทนาก่อนหน้าถูกเปลี่ยนไปแล้ว แต่เธอนึกเป็นห่วงถึงความสัมพันธ์ระหว่างถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินมากกว่า


 


 


ในมุมมองของคุณแม่ถัง เธอรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินอายุยังน้อยและมีความสามารถ แม้ว่าเขาจะมีลูกติด แต่เงื่อนไขข้ออื่นๆ ของเขาก็ยังดีกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ คุณแม่ถังค่อนข้างพอใจกับลูกเขยคนนี้ ไม่ว่าจะคำพูดคำจา หรือความรู้ความสามารถของเขา มันก็เหนือกว่าคนทั่วไป


 


 


แต่คุณแม่ถังนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าทำไมลั่วเซ่าเชินถึงมาก่อเรื่องแบบนี้เอาป่านนี้? คนอย่างเขา หากมีความคิดนี้อยู่ เขาก็คงจะเปลี่ยนไปนานแล้ว เขาจะรอจนถึงตอนนี้ทำไม สัญชาตญาณของคุณแม่ถังบอกว่าผู้หญิงคนที่เป็นรักแรกของเขาคนนั้นต่างหากที่เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมด


 


 


“หนูรู้อยู่แล้วว่าแม่ต้องพูดแบบนี้ แต่หนูเห็นรูปค่ะ แล้วมันจะไม่จริงได้ยังไง อีกอย่าง ตอนที่หนูถามเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยอมรับออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ”


 


 


“โจวโจว แม่รู้ว่าลูกเจ็บปวด แล้วตอนนี้ลูกจะทำยังไงต่อไป” ตอนนี้คุณแม่ถังแค่อยากรู้ว่าถังโจวโจวคิดอย่างไร เธอคิดจะเลิกกับลั่วเซ่าเชิน หรือว่าจะอดทนข้ามปัญหานี้ไปให้ได้ แต่เมื่อมองดูท่าทางของลูกสาวแล้ว คุณแม่ถังก็คิดว่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเลิกกัน


 


 


แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ “หนูอยากย้ายกลับมาค่ะแม่” ถังโจวโจวรู้ดี แม้ว่าตอนนี้เธอจะขอหย่า ลั่วเซ่าเชินก็คงไม่ยอม แต่เธอก็ไม่อยากอยู่บ้านเดียวกันกับลั่วเซ่าเชินอีกต่อไปแล้ว


 


 


“โอเค แม่จะไม่ขัดขวางการตัดสินใจของลูก ถ้าลูกย้ายกลับมาอยู่ด้วยจริงๆ พ่อจะต้องดีใจมากแน่ๆ หลังจากลูกแต่งงานออกไป พ่อก็ไม่ค่อยมีแรงเหมือนแต่ก่อนเลย” ถังโจวโจวและคุณแม่ถังยิ้มให้แก่กัน


 


 


เมื่อเห็นคุณแม่ถังและถังโจวโจวเดินออกมา ลั่วเซ่าเชินก็จ้องมองไปที่ถังโจวโจวด้วยแววตาลุกโชน เขากลัวว่าถังโจวโจวจะเล่าอะไรให้คุณแม่ถังฟังและคุณแม่ถังก็เชื่อ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาจะหนีไปร้องไห้ที่ไหนได้!


 


 


“เซ่าเชิน ช่วงนี้โจวโจวจะกลับมาอยู่กับแม่นะ คุณไม่ว่าอะไรใช่ไหม”


 


 


มีปัญหาแน่นอน! แต่ลั่วเซ่าเชินจะปฏิเสธคำขอของคุณแม่ถังได้อย่างไร เขาจึงได้แต่ยิ้มรับอย่างขมขื่น “ไม่มีปัญหาครับ คุณแม่”


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดดูอีกที เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แม้ว่าถังโจวโจวจะอยู่ที่นี่ แต่เธอก็ไม่ได้ห้ามเขาไม่ให้มาหาเธอนี่ ให้เธอได้คิดทบทวนบ้างก็ดี แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาหยุดชะงักไปแบบนี้ได้


 


 


“แม่ครับ ในเมื่อโจวโจวจะอยู่ที่นี่ ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอพาลั่วอิงกลับนะครับ” ลั่วเซ่าเชินพูดพลางมองไปที่ลั่วอิง


 


 


“หนูไม่กลับค่ะ คุณยาย หนูอยากอยู่กับแม่โจวโจว” ในขณะที่เธอพูด เธอก็ยังคงจับชายเสื้อของถังโจวโจวเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเธอยืนกรานหัวชนฝา


 


 


ถังโจวโจวเองก็ไม่อยากให้ลั่วอิงกลับไป “ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ คุณก็ให้เธออยู่กับฉันก็ได้ค่ะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย “ลั่วอิง กลับกับพ่อ ลูกไม่ต้องการพ่อแล้วใช่ไหม”


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินเปลี่ยนไป เธอก็รู้แล้วว่าเขาโกรธ แต่เธอก็ขอลองออดอ้อนดูอีกสักครั้ง “คุณพ่อขา หนูอยู่กับแม่โจวโจวไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”


 


 


“ไม่ได้ ถ้าลูกจะอยู่ที่นี่ ต่อไปก็อย่ามาเรียกพ่อว่าพ่ออีก!” ลั่วเซ่าเชินมองตรงไปที่เธอ ในที่สุดลั่วอิงก็หวาดกลัว


 


 


“คุณพ่อขา! หนูจะเชื่อฟังคุณพ่อ คุณพ่ออย่าทิ้งหนูนะ!” ลั่วอิงแผดเสียงร้องไห้ออกมา


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าลั่วเซ่าเชินกำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็แค่อยู่ที่นี่เอง จำเป็นต้องพูดเหมือนว่าเขาจะทอดทิ้งเธอเลยเหรอ? “คุณทำอะไรน่ะ ดูสิ เธอผวาไปหมดแล้ว โอ๋… ลั่วอิง ไม่ร้องนะคะ” ถังโจวโจวย่อตัวลงไปปลอบลั่วอิง


 


 


คุณแม่ถังเองก็รู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินเข้มงวดกับลูกมากไป “เซ่าเชิน ถ้าลั่วอิงอยากอยู่ที่นี่ก็ให้เธออยู่เถอะจ้ะ ให้เธอนอนกับโจวโจวก็ได้ไม่เป็นไรหรอก”


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่านัยน์ตาของคุณแม่ถังและถังโจวโจวแฝงไปด้วยการตำหนิ แต่เขาไม่หวั่นไหว เขามีแผนของเขา วันนี้เขาจะต้องพาลั่วอิงกลับไปด้วยให้ได้


 


 


“ลั่วอิง ลูกจะไปกับพ่อไหม ถ้าลูกไม่ไป พ่อจะไปคนเดียว แล้วถ้าพ่อเดินพ้นจากประตูนี้ไปเมื่อไร ลูกก็ไม่ต้องเรียกพ่อว่าพ่ออีก” ลั่วเซ่าเชินพูดออกมาขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ลั่วอิงจะกล้าไม่เชื่อฟังเขา


 


 


เธอรีบจับมือของลั่วเซ่าเชินทันที “หนูจะกลับบ้านกับคุณพ่อค่ะ แต่เสื้อผ้าหนูยังอยู่ในห้อง หนูขอไปเก็บก่อนได้ไหมคะ”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่ามือของลั่วอิงหายไปจากมือของเธอ ถังโจวโจวก็รู้สึกผิดหวังอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนที่เธอหนีออกจากบ้านไป เธอยังไม่รู้สึกเบาโหวงแบบนี้เลย แล้วทำไมวันนี้เธอถึงรู้สึกเศร้าอย่างนี้ล่ะ? ถังโจวโจวแอบชำเลืองอย่างระมัดระวังมองดูลั่วอิงที่จับมือของลั่วเซ่าเชินไว้แน่น ก่อนเธอจะหยัดตัวขึ้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม