พันธกานต์ปราณอัคคี 121-136

 121 รบอสูรชั้นสอง

 


 


 


งูเขียวขนาดเท่าปากชามตัวหนึ่งขู่ฟ่อๆ เลื้อยมาตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินอยู่ด้วยความเร็วยิ่ง เสียงเกล็ดที่ท้องเสียดสีกับพื้นทำให้คนขนลุกซู่


 


 


“อสูรปีศาจชั้นสอง!” มั่วชิงเฉินหันหลังหนีโดยไม่ลังเล


 


 


อสูรปีศาจชั้นสองเท่ากับระดับสร้างรากฐานระยะต้นในมนุษย์ แม้อสูรปีศาจในชั้นนี้เนื่องจากยังไม่เปิดผนึกปัญญาวิญญาณ ได้แต่จู่โจมตามสัญชาตญาณ กำลังความสามารถอ่อนกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับสร้างรากฐานระยะต้นสักหน่อย ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรในระดับหลอมลมปราณจะรับมือได้


 


 


หากพูดว่ามั่วชิงเฉินเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ ยังมีกำลังลองสักตั้ง กระทั่งสามารถเอาชนะ ทว่าต่อหน้าอสูรปีศาจระดับสร้างรากฐานแล้ว นางนอกจากหนีก็ไม่มีทางเลือกอื่น


 


 


มั่วชิงเฉินเสกคาถาเหยียบลมหนีไปข้างหน้า อีกาไฟกระพือปีกบินสู่ด้านบน


 


 


ทว่าไม่นานนัก มั่วชิงเฉินก็เลิกล้มที่จะวิ่งหนี ด้านหนึ่งโยนยันต์ตั้งใหญ่ออกมาขัดขวางงูเขียว อีกด้านหนึ่งปลุกอาวุธเวทรูปชามอย่างรวดเร็วแล้วครอบตนไว้ภายใน


 


 


ตาสีเขียวมัวของงูเขียวจ้องมั่วชิงเฉินที่หยุดลงกะทันหัน ส่งเสียงฟ่อๆ อย่างโกรธเคือง


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น สีหน้าซีดเซียว จิตใจกลับสงบลง


 


 


ในป่าทึบแห่งนี้ ไม่ใช่ที่ที่ดีในการวิ่งหนีจริงๆ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเช่นนาง ไม่มีพลังในการเหยียบสิ่งของโบยบิน ความเร็วของการวิ่งด้วยคาถาเหยียบลมเทียบกับอสูรปีศาจชั้นสองแล้วห่างกันไกล หากตนวิ่งต่อไปมีแต่จะถูกไล่ทัน แผนในบัดนี้ มีเพียงเสี่ยงชีวิตสู้กันสักตั้ง อาจยังมีโอกาสรอดชีวิตบ้าง!


 


 


งูเขียวนี้แม้ยังไม่เปิดผนึกปัญญาวิญญาณ กลับไม่ใช่สิ่งที่อสูรธรรมดาจะเทียบได้ เห็นสิ่งมีชีวิตที่ไล่อยู่หยุดลงกะทันหัน กลับรู้สึกแปลก มันยกครึ่งตัวบนขึ้นสูง หัวงูยื่นๆ หดๆ ดูเหมือนกำลังคิดอยู่ว่าสิ่งมีชีวิตนี้มีกระบวนท่าลับอะไรใช่หรือไม่


 


 


มั่วชิงเฉินจ้องกับงูเขียวด้วยสีหน้าเย็นชา มือหนึ่งกลับแอบเสกคาถาโบกค่ายธง ปลุกค่ายกลเงียบๆ


 


 


เพียงแต่นางด้านหนึ่งปลุกค่ายกล ด้านหนึ่งบังคับอาวุธเวทรูปชาม พลังจึงไม่ได้ดั่งใจอยู่บ้าง จึงไม่ทันได้เสกประเภทคาถาพันไม้แล้ว ได้เพียงหวังว่างูเขียวนี่จะงงนานอีกสักนิด ให้เวลานางเพียงพอในการวางค่ายกล


 


 


อาจเพราะสัญชาตญาณของอสูรปีศาจรู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้ากำลังคิดแผนชั่วไม่เป็นผลดีต่อมัน งูเขียวไม่ครุ่นคิดอีกแล้ว ขู่ฟ่อหนึ่งทีแล้วฟาดหางไปที่มั่วชิงเฉิน


 


 


เสียงดังผลัวะหนึ่งเสียง หางหูกวาดผ่านอาวุธเวทรูปชาม แสงวิญญาณพรั่งพรู มั่วชิงเฉินตัวสั่นเทา พลังวิญญาณในกายยิ่งพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่งค้ำชูอาวุธเวทไว้


 


 


งูเขียวเห็นสิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อยตรงหน้าไม่ได้ถูกหางตบตายในทีเดียว แต่กลับรู้สึกเจ็บส่วนหางเนืองๆเพราะการกระแทก มันโกรธจัด หางงูฟาดใส่ชามใหญ่ไม่หยุด ในชั่วเวลาหนึ่งเสียงผลัวะๆ ดังไม่หยุด ชามใหญ่ส่งเสียงครืนๆ


 


 


หนึ่งที สองที สามที…พูดแล้วเหมือนยาวนาน ที่จริงเพียงชั่วอึดใจงูเขียวก็ฟาดหางงูใส่ชามใหญ่ไปสิบกว่าทีแล้ว พลังวิญญาณในกายมั่วชิงเฉินถูกใช้ไปจนเหลือไม่เท่าไรแล้ว


 


 


ที่จริงพลังป้องกันของอาวุธเวทรูปชามนี้ไม่อ่อน เพียงแต่มั่วชิงเฉินตบะต่ำเกินไป ไม่อาจสำแดงอานุภาพของมันถึงที่สุด นี่ถึงได้ถูกอสูรปีศาจชั้นสองตัวหนึ่งต้อนจนจนมุม


 


 


“อืม!” มั่วชิงเฉินหอบหายใจทีหนึ่ง ในที่สุดในขณะที่ชามใหญ่โคลงเคลงใกล้ล่มก็โบกค่ายธงแล้วโยนจานค่ายกลออกไป


 


 


จนถึงยามนี้ นางถึงมีโอกาสหยิบยาลูกกลอนเติมวิญญาณกลืนลงไป พลังวิญญาณที่ใกล้เหือดแห้งในร่างได้รับการเติมอย่างช้าๆ


 


 


ทีแรกงูเขียวกำลังโจมตีชามใหญ่อย่างแข็งขัน กลับพบว่าภาพตรงหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป เดิมทีเป็นป่าทึบต้นไม้สูงเสียดฟ้า ในพริบตาก็กลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ดอกกล้วยไม้หลากสีแย่งกันเบ่งบาน สายลมเฉื่อยๆ พัดกลิ่นหอมละมุนมาเป็นระลอก


 


 


ด้วยปัญญาของงูเขียว มันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตรงหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่จู่ๆ สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยหายไปแล้ว ทำให้มันกังวลโดยสัญชาตญาณ


 


 


มั่วชิงเฉินที่ควบคุมค่ายธงอยู่เห็นท่ารีบปล่อยเถาวัลย์สีเหลืองเขียวที่พันอยู่ด้วยกันเส้นหนึ่งออกไปทันที


 


 


เถาวัลย์สีเหลืองเขียวสลับกันชนิดนี้ที่จริงหลังจากงมอยู่หลายครั้ง เป็นเถาวัลย์ที่นำเถาวัลย์สีเหลืองที่มีความเหนียวอย่างยิ่งยวดและเถาวัลย์สีเขียวที่สามารถพันธนาการวิญญาณได้มาพันเข้าด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เป้าหมายเมื่อถูกพันไว้แล้วก็จะดิ้นไม่หลุด อีกทั้งพลังวิญญาณยังถูกพันธนาการไว้


 


 


เพียงแต่คาถาพันไม้เช่นนี้ต้องการความคุ้นเคยในคาถาถึงขีดสุดและการควบคุมพลังวิญญาณอย่างละเอียดอ่อนอย่างพอดิบพอดี นางใช้เวลาหลายปีเต็มกว่าจะฝึกสำเร็จ


 


 


งูเขียวยังสับสนอยู่ เถาวัลย์เลื้อยมาพันร่างของมันเข้าในทันใด มั่วชิงเฉินสีหน้าปีติ เมื่อใดที่อสูรปีศาจถูกพันธนาการวิญญาณไว้ เช่นนั้นก็จะสูญเสียการคุกคาม ต่อให้ร่างกายแข็งแกร่งเพียงใดก็มักมีวิธีทรมานมันจนตาย


 


 


ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นทำให้มั่วชิงเฉินกลับต้องเปลี่ยนสีหน้า เมื่องูเขียวนั้นรู้สึกได้ว่าถูกพันธนาการ ตัวงูก็ดิ้นอย่างรุนแรง ไม่คิดเลยว่าถูกมันดิ้นหลุดเสียแล้ว!


 


 


แย่แล้ว ปกติแล้วงูก็สามารถมุดเข้าปากถ้ำที่เล็กกว่าขนาดตัวของมัน งูเขียวตัวนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


 


งูเขียวที่ดิ้นหลุดมาได้โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก ก็ไม่สนแล้วว่าตรงหน้าเป็นเช่นไร บิดตัวออกแรงจู่โจมเข้ามา


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากไว้แน่น ยกมือขึ้นปล่อยเข็มสีเขียวหลายเล่ม กลับพบว่าด้านนอกตัวงูมันเลื่อมและเหนียว ไม่คิดเลยว่าเข็มสีเขียวจะไม่มีแรง เมื่อถูกตัวงูก็ลื่นหล่นลงตามๆ กัน


 


 


“แว้ดๆ!” ตามเสียงร้องของอีกา ลูกไฟก้อนหนึ่งร่วงลงมา


 


 


งูเขียวที่เดิมทีไม่รู้สึกรู้สมต่อการโจมตีทุกรูปแบบของมั่วชิงเฉินกลับหดตัวในบัดดล ส่งเสียงฟ่ออย่างเจ็บปวด


 


 


มั่วชิงเฉินเกิดปีติ เหตุใดตนจึงลืมได้ งูเขียวตัวนี้อาศัยอยู่ในป่าทึบ เป็นไปได้มากที่จะเป็นอสูรปีศาจธาตุไม้ ร่างกายของมันเป็นมันเงาทนทาน พลังการป้องกันทางกายภาพแข็งแกร่ง มีแรงต้านทานต่อคาถาธาตุไม้ที่ตนปลุกพลังวิญญาณ ทว่าคาถาธาตุอื่นกลับไม่แน่ โดยเฉพาะทอง ไฟสองธาตุ น่าจะเป็นวิธีที่ดีในการต่อกรกับมัน


 


 


โดยเฉพาะ นิสัยและลักษณะของงู…


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินโบกค่ายธงในมือ งูเขียวพบด้วยความตื่นตระหนกว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่กลายเป็นทุ่งหิมะขาวโพลนในบัดดล หิมะยังโปรยปรายลงจากฟ้าเป็นแผ่นๆ


 


 


ต่อให้มันเป็นอสูรปีศาจชั้นสอง ก็ต้านธรรมชาติของสัตว์ไม่อยู่ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ทำให้มันรู้สึกร่างกายแข็งทื่อ ง่วงนอนขึ้นมาทันที


 


 


เห็นร่างกายของงูเขียวค่อยๆ ขดขึ้นมา การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง มั่วชิงเฉินที่จ้องฉากเหตุการณ์ภายในค่ายกลกลับไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย มองอย่างไม่ขยับเขยื้อน ไม่กล้าจู่โจมผลีผลาม


 


 


เพียงชั่วอึดใจ ค่ายกลสี่ฤดูเล็กก็ถูกนางปลุกแล้วสองด้าน บวกกับการโจมตีเมื่อครู่ ยาลูกกลอนเติมวิญญาณเติมวิญญาณไม่ทันเอาเสียเลย นางประคองค่ายกลนี้ได้อีกไม่นานแล้ว


 


 


ดังนั้น นางจำเป็นต้องคว้าโอกาสเพียงหนึ่งเดียวไว้ สำเร็จหรือไม่อยู่เพียงการกระทำนี้!


 


 


ในยามนี้เอง! ในตามั่วชิงเฉินเป็นประกายแวบหนึ่ง แล้วโยนยันต์กระสุนน้ำแข็งออกจากมือทันที จู่โจมเข้าที่จุดตายของงูเขียวพอดี


 


 


ร่างกายของงูเขียวแข็งขึ้นทันใด กลายเป็นแท่งน้ำแข็งในพริบตา


 


 


มั่วชิงเฉินเก็บค่ายธงขึ้น แต่ไม่ได้เดินเข้าไป แต่กลับกลืนยาลูกกลอนเติมวิญญาณลงไป นั่งขัดสมาธิลงเริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ


 


 


กระทั่งร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ นางถึงรีบเดินไปที่งูเขียวในไม่กี่ก้าว


 


 


มองดูงูเขียวที่แข็งทื่อ มั่วชิงเฉินฝืนทนความขยะแขยงหวาดกลัวต่อสัตว์ชนิดนี้ตามนิสัยธรรมชาติของเด็กผู้หญิง หยิบอาวุธเวทกระบี่บินชั้นต่ำที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้วออกมา ถลกหนังงูออก เอาดีงูออกมา เก็บเข้าถุงเก็บวัตถุของตนให้หมด


 


 


จัดการทั้งหมดนี่เสร็จ มั่วชิงเฉินที่ตั้งใจละเลยความคลื่นไส้ของตนหันหลังเดินกลับไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่ถูกนางฆ่าก่อนหน้านี้


 


 


“แว้ดๆ สิ่งนี้เจ้าเอาหรือไม่?” อีกาไฟที่อยู่ข้างหลังเรียก


 


 


มั่วชิงเฉินหันหน้าไป เห็นมันหยุดอยู่กลางอากาศ ยื่นปีกออกข้างหนึ่งชี้เนื้องูที่กองอยู่บนพื้น


 


 


มั่วชิงเฉินรีบส่ายศีรษะ นางรู้ว่าเนื้อของอสูรปีศาจชั้นสองสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วบำรุงร่างกายดีนัก หากเป็นสิ่งอื่นก็แล้วไป ทว่านี่เป็นเนื้องู นางไม่อาจเอาชนะสภาพจิตใจเช่นนั้นได้จริงๆ


 


 


อีกาไฟเห็นมั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ดีใจร้องแว้ดๆ ไปสองที แล้วรีบร่อนลงไปกินอย่างเอร็ดอร่อย


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก กลับไม่ได้พูดอะไร อย่างไรเสียเมื่อครู่ก็ได้อีกาไฟเตือนสติ ตนถึงได้ใช้ความอ่อนสยบความแข็ง หลุดจากสภาพอับจนหนทาง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนนี้จนใช้ได้จริงๆ ไม่นึกว่าในถุงเก็บวัตถุมีเพียงยันต์โอสถและหญ้าทิพย์จำนวนหนึ่ง อย่าว่าแต่อาวุธเวทเลย แม้แต่หินวิญญาณก็มีไม่กี่ก้อน


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจอึดหนึ่ง ดูท่าสองคนนี้หากไม่ใช่มาจากตระกูลเล็กๆ ก็มาจากสำนักเล็กๆ เกรงว่ายังเป็นประเภทที่ไม่ได้รับความสำคัญอีกต่างหาก ยิ่งกว่านั้นดูตามนี้แล้ว สองคนนี้ก็ไม่ได้ปล้นฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรอื่น น่าจะรู้ตัวว่าความสามารถไม่ถึง เกรงว่าจนกระทั่งเห็นตนเข้า ถึงรู้สึกว่าพบแกะอ้วน ยอมเสี่ยงอันตรายลงมือสักตั้ง


 


 


ทว่านางก็ไม่เสียใจ คนอื่นจะน่าสงสารเพียงใด ในเมื่อมาปล้นฆ่าตน หรือว่ายังจะให้ตนทำใจดีปล่อยไปหรืออย่างไร?


 


 


พูดได้เพียงว่า แต่ละคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน อารมณ์ชั่ววูบ ที่ต่างกันคือความเป็นความตาย


 


 


หลังจากผ่านการต่อสู้กับอสูรปีศาจหลายสิบครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ตนฆ่าคน ทว่าย่อมต้องมีสักวันมิใช่หรือ? มั่วชิงเฉินสงบลงอย่างรวดเร็ว เริ่มเก็บกวาด


 


 


“ใคร?” มั่วชิงเฉินที่กำลังจะดีดเพลิงแท้ทำลายร่องรอยศพหันหลังไปทันที อาวุธเวทรูปชามหมุนอยู่ในมือ คันไม้คันมืออยากจะลอง


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน ข้าเอง” เสียงที่คุ้นเคยทำให้มั่วชิงเฉินโล่งใจ ผ่านศึกมาสองครั้งติดกัน แม้สภาพร่างกายฟื้นฟูแล้ว ทว่าด้านจิตใจไม่อยากรีบเข้าสู่การรบทันทีอีกจริงๆ


 


 


ต้วนชิงเกอที่เดินมารูปร่างสูงโปร่ง เพียงไม่กี่วันใบหน้าที่สวยสดงดงามไม่คิดว่าจะมีความเย็นชาเพิ่มเข้ามา


 


 


“ศิษย์พี่ชิงเกอ เหตุใดเจ้า…” มั่วชิงเฉินเห็นเป็นต้วนชิงเกอจริงๆ จึงเรียกอย่างดีใจ


 


 


ต้วนชิงเกอก็สีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน รีบเดินเข้ามาว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน ในที่สุดเราก็เจอกันแล้ว หลายวันมานี้ข้ากลัวเจ้าคนเดียวรับมือไม่ไหว รอเจ้าที่ที่นัดหมายอยู่นานเห็นเจ้าไม่มาเสียที ข้ากลัวว่าเจ้าจะเจอเรื่องอะไรเข้า จึงเดินมาดู โชคดีที่ไม่ได้เดินผิดทาง”


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มว่า “ศิษย์พี่เจ้าคาดการณ์ดั่งเทพจริงๆ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็ช่วยน้องเก็บกวาดที่นี่เถอะ”


 


 


มองดูศพสองศพบนพื้น ต้วนชิงเกอแอบว่าเดิมทีนึกว่าหลายปีมานี้มั่วชิงเฉินเอาแต่ก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียร ไม่เคยผ่านการฆ่าฟัน อยู่ในแดนลี้ลับนี้เพียงลำพังยากจะประคองไหว บัดนี้ดูแลกลับเป็นตนที่คิดมากเกินไปแล้ว ศิษย์น้องอายุน้อยคนนี้ สภาพจิตใจโดดเด่นกว่าที่ตนคิดมากนัก


 


 


ด้านหนึ่งนางดีดเพลิงแท้ออกทำลายร่องรอยศพด้านหนึ่งถามว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน หลายวันมานี่เจ้าเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้างหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง ด้วยความสัมพันธ์หลายปีของทั้งสองคน นางย่อมไม่กลัวที่จะบอกต้วนชิงเกอว่าตนได้กล้วยไม้ทองใบคู่มาแล้ว ทว่ากล้วยไม้ทองใบคู่ต้นนั้นตนไม่คิดจะมอบให้สำนัก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วกลับไม่อาจบอกความจริงได้เสียแล้ว จึงว่า “เด็ดได้สมุนไพรทิพย์หายากมาต้นหนึ่ง คิดว่านำมาแลกโอสถสร้างรากฐานไม่เป็นปัญหา ศิษย์พี่ เจ้าล่ะ?”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี ข้าโชคดี เด็ดกล้วยไม้ทองใบคู่ได้สองต้น เดิมคิดว่าหากเจ้าไม่มี แบ่งเจ้าต้นหนึ่งก็แล้วกัน บัดนี้ดูแล้วกลับไม่ต้องแล้วล่ะ” ต้วนชิงเกอยิ้ม


 


 


มั่วชิงเฉินแอบซาบซึ้ง แต่กลับไม่ใช่คนชอบเอ่ยคำขอบคุณ จึงถอนใจว่า “เฮ่อ รู้แต่แรกข้าก็ไม่พูดแล้ว ศิษย์พี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะอยู่นานได้ พวกเราไปเถอะ”


 


 


ใครจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดคิดมักจะมาไม่ขาดสาย มั่วชิงเฉินเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินอีกาไฟร้องแว้ดๆ มีเสียงว่า “ศิษย์พี่ รีบดูเร็ว นี่เป็นศพของอสูรปีศาจชั้นสอง!”


122  ศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเอง

 


 


 


มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง รีบเก็บงำกลิ่นอายตนหลบเข้าข้างๆ แล้วก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งว่า “เป็นอสูรปีศาจชั้นสองที่เทียบเท่าระดับสร้างรากฐานจริงหรือ? ไป เข้าไปดูหน่อย”


 


 


“ศิษย์พี่ นี่ไม่เหมาะกระมัง ผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถฆ่าอสูรปีศาจชั้นสองได้ ต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน หากยังไม่จากไป…” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยอย่างรีบร้อน


 


 


ต้วนชิงเกอมาจากอีกทิศทางหนึ่ง จึงไม่รู้เรื่องของอสูรปีศาจชั้นสอง มองมั่วชิงเฉินแล้วส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน อสูรปีศาจชั้นสองอันใด?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่ ประเดี๋ยวค่อยพูด ดูสามคนนี้จะทำอันใดก่อน”


 


 


จากนั้นก็ได้ยินศิษย์พี่คนนั้นว่า “กลัวอะไร ที่แห่งนี้ต้นไม้หนาทึบ พบเจออันตรายก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการหนี หากคนนั้นฟื้นฟูพลังแล้ว ก็คงจากไปนานแล้ว หากยังไม่จากไป นั่นหมายความว่า…”


 


 


“หา ศิษย์พี่หมิงเจี้ยน หากคนคนนั้นยังไม่จากไป แสดงว่าเขาได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรที่เริ่มพูดคนแรกตระหนักว่า


 


 


มั่วชิงเฉินแอบว่าผู้บำเพ็ญเพียรมีคนโง่ไม่กี่คนจริงๆ หากไม่เพราะการมาของต้วนชิงเกอ ตนก็จากไปนานแล้วจริงๆ


 


 


สมุนไพรทิพย์ในมือพวกมั่วชิงเฉินสองคนเพียงพอที่จะแลกโอสถสร้างรากฐาน วันต่อๆ ไปที่การแก่งแย่งนับวันจะยิ่งโหดร้ายขึ้นเช่นนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือการอยู่ให้ห่าง ทนให้ครบสิบวันออกจากหุบเขาก็บรรลุเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว ยามนี้ย่อมไม่ยอมมากเรื่องเป็นธรรมดา จึงเก็บงำกลิ่นอายอย่างระมัดระวัง หวังเพียงให้สามคนนี้จากไปโดยที่ไม่สังเกต


 


 


ใครจะรู้ว่าเรื่องมักจะต่างกับที่หวัง เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสามคนนั้นค้นหาอยู่รอบหนึ่งกำลังจะหันหลังจากไป จู่ๆ คนนั้นในนั้นก็โยนยันต์แผ่นหนึ่งจู่โจมมาที่ตำแหน่งที่ต้วนชิงเกออยู่


 


 


ด้วยความจำใจ ต้วนชิงเกอจึงได้แต่ปรากฏตัวออกมา


 


 


“ศิษย์พี่ ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนัก!” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งน้ำเสียงแฝงด้วยความประหลาดใจ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามคนนี้ล้วนใส่ชุดเต๋าสีเขียวขอบดำ เป็นเครื่องแต่งกายของศิษย์ในสำนักของพรรคเหยากวง


 


 


“ขอคารวะศิษย์พี่ทั้งสาม” ต้วนชิงเกอเห็นเป็นศิษย์ร่วมสำนัก จึงคารวะอย่างสงบ


 


 


“หึๆ ข้าคาดไว้แล้วว่าคนที่ฆ่าอสูรปีศาจชั้นสองต้องเป็นหญิงสาวแน่นอน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักที่อายุน้องเพียงนี้” คนนั้นในนั้นเอ่ยเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม


 


 


มั่วชิงเฉินที่หลบอยู่ข้างๆ ได้ฟังแล้วก็ให้ตกใจ สามคนนี้แม้จะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก ทว่าต่อหน้าผลประโยชน์ใหญ่หลวง ยากจะรับประกันว่าจิตใจจะไม่อ่อนไหว


 


 


คนที่เป็นผู้นำบอกว่าต้วนชิงเกออายุน้อย มีความหมายสองชั้น หนึ่งคือบอกว่านางอายุน้อย ความหมายที่ซ่อนไว้อีกหนึ่งคือตบะต่ำ ทว่าคนเช่นนี้สามารถฆ่าอสูรปีศาจชั้นสองได้ เช่นนั้นหากไม่ใช่มีอาวุธเวท ยันต์ชั้นดี ก็คือได้บำเพ็ญเพียรวิชาสุดยอดบางอย่าง และสิ่งเหล่านี้ เฉพาะเจาะจงเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรล้วนละเมอใฝ่หาถึง


 


 


ต้วนชิงเกอก็เป็นคนฉลาด รีบเอ่ยว่า “ศิษย์พี่พูดเล่นแล้ว น้องเพียงแต่ผ่านที่แห่งนี้เท่านั้น อสูรปีศาจชั้นสองที่ท่านพูดถึง แม้แต่เห็นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน”


 


 


“ศิษย์พี่ ท่านคาดได้อย่างไรว่าเป็นหญิงสาว?” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ อดถามไม่ได้


 


 


คนที่เป็นผู้นำยิ้มว่า “เนื้อของอสูรปีศาจชั้นสอง เป็นของบำรุงชั้นเยี่ยม หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชาย ใครจะทิ้งไว้ข้างทาง ปล่อยให้อีกาตัวหนึ่งกิน? จะมีก็เพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ที่ยังคงถูกรบกวนโดยลักษณะภายนอก”


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ เกิดละอายใจ ไม่ว่าอย่างไรสภาพจิตใจในด้านนี้ของตน ก็เป็นรองผู้บำเพ็ญเพียรชายที่อยู่ตรงหน้า นี่น่าจะเป็นข้อบกพร่องที่มีร่วมกันของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแล้ว จึงแอบเตือนตนเอง ต่อไปจะไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้อีกเด็ดขาด


 


 


ต้วนชิงเกอเห็นสามคนนี้คุยเล่นกันเองโดยไม่เห็นคนอื่นในสายตา จึงแอบโล่งใจ ฝีเท้าค่อยๆ ถอยไปทางทิศทางหนึ่ง


 


 


“ศิษย์น้องนี่จะไปไหน?” คนนั้นในนั้นอมยิ้มถาม


 


 


ต้วนชิงเกอเม้มปาก “น้องไม่รบกวนศิษย์พี่ทั้งสามแล้ว หลายวันมานี้ยังเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้เลย ใจร้อนรนยิ่งนัก จึงอยากจะไปลองดูที่อื่นบ้าง”


 


 


คนนั้นในนั้นกวาดสายตาผ่านคนทางซ้ายปราดหนึ่ง คนทางซ้ายรีบรับทันทีว่า “ศิษย์น้อง การจากไปเช่นนี้ไม่ใช่ทำให้การพบกันที่หายากนี้ต้องสูญเปล่าหรอกหรือ?”


 


 


“ความหมายของศิษย์พี่คือ?” ต้วนชิงเกอระแวดระวังตัวขึ้นมาเต็มพิกัด ตอบโดยหวังเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะโชคดี


 


 


คนนั้นในนั้นเบิ่งตาใส่คนด้านซ้ายปราดหนึ่ง มองต้วนชิงเกอตรงๆ ว่า “เช่นนี้เถอะ ศิษย์น้อง เห็นแก่ที่อยู่สำนักเดียวกัน พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ เพียงเจ้ามอบถุงเก็บวัตถุบนตัวออกมา ก็ปล่อยเจ้าไปเป็นเช่นไร?”


 


 


“ศิษย์พี่ นางหนูนี่อรชรอ้อนแอ้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึง…” คนด้านซ้ายร้อนรนว่า


 


 


“หุบปาก!” คนนั้นในนั้นเบิ่งตาอย่างดุร้ายใส่คนด้านซ้ายปราดหนึ่ง


 


 


อีกคนหนึ่งรีบกระตุกคนทางซ้าย ทั้งสองคนไม่รู้ส่งเสียงทางจิตอะไรกัน


 


 


“ศิษย์พี่ แกล้งรับปากพวกเขา ฉวยโอกาสจู่โจมคนที่อ่อนหัดที่สุดคนนั้น” มั่วชิงเฉินฉวยโอกาสที่ทั้งสามคนคุยกันแอบส่งเสียงทางจิตให้


 


 


มั่วชิงเฉินที่ดูอยู่ข้างๆ อยู่วงนอกดูออกตั้งนานแล้ว เรื่องในวันนี้ไม่อาจจบอย่างสันติได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ลงมือก่อนได้เปรียบ


 


 


สามคนนี้แม้เป็นศิษย์ในสำนัก ตบะกลับสูงต่ำไม่เท่ากัน คนที่เป็นผู้นำคนนั้นอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ นับเป็นสุดยอดฝีมือที่อยู่ในแดนลี้ลับนี้แล้ว สอนคนที่เหลือล้วนอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด คนอ่อนหัดที่สุดที่อยู่ด้านซ้ายนั้น เพิ่งอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดเริ่มต้น


 


 


ขอเพียงจัดการคนหนึ่งก่อน มั่วชิงเฉินมั่นใจว่าพวกนางสองคนร่วมมือกันรับมือผู้บำเพ็ญเพียรที่เหลือสองคนไม่เป็นปัญหา


 


 


“ศิษย์น้อง พิจารณาถึงไหนแล้ว?” คนในนั้นถามอย่างไม่ร้อนไม่หนาว


 


 


บนใบหน้าต้วนชิงเกอฉายแววลังเลอาลัยอาวรณ์ สีหน้าเปลี่ยนหลายครั้ง สุดท้ายกัดฟันดึงถุงเก็บวัตถุที่เอวออก เอ่ยว่า “นี่เป็นสมบัติทั้งหมดของน้องแล้ว ยังหวังให้ศิษย์พี่รักษาคำพูด ไม่ทำให้น้องลำบากใจ…”


 


 


ต้วนชิงเกอเอ่ยพลางก้มตัววางถุงเก็บวัตถุไว้บนพื้น ทั้งสามคนเห็นต้วนชิงเกอเชื่อฟังเช่นนี้ มองตากันปราดหนึ่ง พยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


ในยามนี้เอง แส้ยาวเส้นหนึ่งสะบัดออกในทันใด ตวัดไปที่คนทางซ้าย


 


 


คนทางซ้ายไม่ทันตั้งตัวถูกแส้ยาวพันถูกข้อเท้า ต้วนชิงเกอดึงโดยพลัน คนนั้นล้มลงกับพื้นทันที


 


 


แทบจะในเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น อีกสองคนจู่โจมมาทางต้วนชิงเกอพร้อมกัน ต้วนชิงเกอกลับไม่ต้านแม้แต่น้อย เพียงแต่จู่โจมคนที่ถูกแส้ยาวพันไว้อย่างเต็มที่


 


 


เป็นดังคาดขณะที่การโจมตีของทั้งสองคนกำลังจะมาถึงหน้าต้วนชิงเกอ ชามใหญ่ใบหนึ่งปากชามหันออก ตั้งขวางไว้หน้านาง ต้านการจู่โจมไว้


 


 


หลังจากสองคนตกใจแล้วพบว่าด้านหลังมีคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงแผ่มา ก็ไม่ทันได้หันกลับไปมองแล้ว เมื่อเก็บการจู่โจมแล้วโดดออกสองข้าง ก็เห็นยันต์หลายใบระเบิดออกกลางอากาศ


 


 


คนที่ตบะต่ำกว่าคนนั้นเห็นหลบยันต์พ้นแล้วจึงโล่งอก รีบบังคับกระบี่บินจู่โจมมาที่มั่วชิงเฉินที่จู่ๆ โผล่ออกมา แต่กลับรู้สึกเจ็บที่หน้าอก ก้มหน้าลงดู เสื้อด้านหน้าหน้าอกมีรูขนาดเท่ารูเข็ม เลือดพุ่งออกมาเป็นสายเล็กๆ ในพริบตาบนเสื้อสีเขียวเลอะละอองเลือดเป็นจุดๆ ทว่าไม่นานเลือดก็แข็งตัว ไม่เห็นเลือดไหลออกมาอีก


 


 


คนที่เป็นผู้นำในมือกางร่มสีเขียวอันหนึ่ง ต้านการโจมตีไว้ กลับได้ยินเสียง ‘ตึก’ เสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ หงายล้มลงพื้น บนใบหน้ายังปรากฏสีหน้าตื่นตระหนกแต่กลับไม่มีลมหายใจแล้ว


 


 


“ศิษย์น้อง!” คนที่เป็นผู้นำร้องเรียกเสียงหนึ่ง ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาว่า “นางมาร เจ้าใช้ฝีมืออะไร?” ถามพลาง ร่มเขียวในมือแปลงเป็นลูกธนูหลายดอกยิ่งไปที่มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินเร่งให้ชามใหญ่กลับมา ชนเข้ากับธนูแหลม สองคนร่างสั่นเทิ้มในเวลาเดียวกัน


 


 


ต้วนชิงเกอที่จัดการผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งแล้วเห็นท่าสะบัดแส้เฆี่ยนไปที่คนนี้อย่างไม่ลังเล


 


 


คนคนนั้นคิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ตบะไม่สูงสองคนนี้ล้วนมีอาวุธเวทที่ไม่เลว โดยเฉพาะหญิงสาวที่โผล่มาหลังสุดนี้ พลังป้องกันของอาวุธเวทไม่เลวยิ่งนัก พอฟัดพอเหวี่ยงกับร่มเขียวของเขา


 


 


นึกถึงฝีมือที่คาดไม่ถูกของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ฆ่าศิษย์น้องนี่อีกครั้ง ผู้บำเพ็ญเพียรนี่เกิดเสียใจขึ้นมา แอบว่าในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดด้วยฐานะของเขาจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


 


คนคนนี้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ เมื่อเผชิญหน้าการจู่โจมของหญิงสองคนนี้จึงอดคิดหนีไม่ได้


 


 


เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหลังจากซัดออกมากระบวนท่าหนึ่งแล้วเอียงตัว มั่วชิงเฉินติงว่า “ศิษย์พี่ เขาคิดหนี!”


 


 


ต้วนชิงเกอที่ร่วมมือกันอย่างรู้ใจได้ยินดังนั้นรีบโยนยันต์กระสุนไฟสองสามใบออกไปปิดทางไปของคนนั้น ขณะเดียวกันแส้ยาวก็ตวัดมา


 


 


ร่มเขียวในมือผู้บำเพ็ญเพียรหมุนขึ้นมาทันที กลายเป็นวงกลมที่ไม่มีช่องโหว่ ใบมีดวิญญาณนับไม่ถ้วนบินออกจากในวงกลม บีบจนพวกมั่วชิงเฉินสองคนต้องล่าถอย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรเห็นสองสาวถูกบีบให้ล่าถอย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่ง แล้วโยนยันต์แผ่นหนึ่งออกจากมือ ยันต์ใหญ่ขึ้นในพริบตา กลายเป็นนกกระดาษขนาดยาวหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรกระโดดขึ้นไปทันที นั่งนกกระดาษบินขึ้นฟ้าไป


 


 


มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าคนคนนี้ยังมียันต์เหินหาวอีก ความเร็วในการเร่งเถาวัลย์ในมือให้ยาวสู้ความเร็วของนกกระดาษไม่ได้ เข็มสีเขียวที่โยนออกไปยิ่งถูกร่มเขียวในมือผู้บำเพ็ญเพียรนั่นต้านไว้จนหมด


 


 


“เจ้าสองคนคอยดู ความอับอายในวันนี้ วันหลังข้าต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าให้ได้!” ผู้บำเพ็ญเพียรก้มหน้ามองลงมา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ


 


 


ไม่คิดว่าลูกไฟขนาดเท่าชามลูกหนึ่งตกลงจากฟ้า ลงบนศีรษะเขาพอดี


 


 


การป้องกันของผู้บำเพ็ญเพียรที่สำคัญคือการอาศัยการป้องกันจากอาวุธเวทและยันต์ เมื่อถึงระดับสร้างรากฐานถึงสามารถสร้างม่านป้องกันขึ้นรอบตัวได้ หากว่ากันด้วยร่างเนื้อ ที่จริงเป็นสิ่งที่อ่อนแอมาก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ที่แสนโชคร้ายคนนี้ เนื่องจากไม่ได้ป้องกันเลยสักนิด ศีรษะถูกลูกไฟไหม้เป็นก้อนดำก้อนหนึ่งทันที กลิ่นของเนื้อย่างแผ่ซ่านไปเต็มท้องฟ้า


 


 


ศพของผู้บำเพ็ญเพียรตกลงจากฟ้า กลายเป็นเลือดเนื้อเละเทะก้อนหนึ่ง ยันต์เหินหาวขาดพลังวิญญาณคอยควบคุม คืนสภาพเป็นนกกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือ ปลิวลงบนพื้น


 


 


ในยามนี้เองอีกาสีดำมะเมื่อมร่อนลงมาอย่างสบายอารมณ์ ร้องใส่มั่วชิงเฉินอย่างได้ใจสองที “แว้ดๆ บังอาจรบกวนแม่นางข้ารับประทานอาหาร เผาให้ตายซะเลย!”


 


 


เห็นจู่ๆ มีอสูรปีศาจชั้นหนึ่งร่อนลงมาตัวหนึ่ง ต้วนชิงเกอสะบัดแส้ในมือหมายจู่โจม มั่วชิงเฉินรีบห้ามว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ อย่าลงมือ นี่เป็นอสูรวิญญาณของข้า!”


 


 


“หา?” ต้วนชิงเกออ้าปากค้างแผ่วเบาแล้วชะงักงัน หันหน้ามองดูอีกาไฟว่า “ศิษย์น้อง เจ้ารับอีกาตัวหนึ่งเป็นอสูรวิญญาณตั้งแต่เมื่อไรแล้ว!”


 


 


น้ำเสียงช่าง…


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกขายหน้าในทันใด เอ่ยเสียงต่ำว่า “นี่ นี่เป็นอุบัติเหตุ…”


 


 


ต้วนชิงเกอกลับหัวเราะฮึๆ ว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน ไม่คิดว่ารสนิยมเจ้าจะ…พิเศษ…ปานนั้น”


 


 


“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินเห็นนางล้อเลียน จึงต่อว่าไปหนึ่งคำ


 


 


ใครจะรู้ว่าอีกาไฟฉลาดผิดปกติ ฟังออกว่าต้วนชิงเกอดูถูกมัน จึงบินลงมาหน้านางทันที ยื่นปีกออกข้างหนึ่งร้องแว้ดๆ ใส่นางไม่หยุด หนังตาเปิดครึ่งหนึ่ง โผล่ออกมาแค่ตาขาว


 


 


เห็นอีกาตัวนี้ทำท่าทางเหมือนหญิงปากร้ายด่ากราด ในแววตายังแสดงออกถึงความดูถูกดูแคลนที่ขอให้เป็นคนก็ต้องดูออก ต้วนชิงเกอรู้สึกร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่ใช่ทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


มั่วชิงเฉินที่เก็บรางวัลแห่งชัยชนะจู่ๆ ก็ร้องเรียกว่า “ศิษย์พี่ มานี่เร็ว เรารวยแล้ว!”


123 ช่วยคนยังช่วยตน

 


 


 


หนึ่งใบ สองใบ สามใบ สี่ใบ…ถุงเก็บวัตถุสิบเอ็ดใบเต็มๆ!


 


 


ต้วนชิงเกอดูจนงงเป็นไก่ตาแตก พึมพำว่า “มิน่า มิน่าผู้บำเพ็ญเพียรตั้งมากมายถึงชอบปล้น นี่ช่างเป็นลาภลอยจริงๆ”


 


 


“ศิษย์พี่ชิงเกอ เรารีบไปเถอะ หาที่กำบังหลบขึ้นมาก่อน แล้วค่อยตรวจดูของที่ได้มา” มั่วชิงเฉินไม่อยากให้เกิดเรื่องยุ่งยากอะไรอีกแล้ว จึงรีบเอ่ย


 


 


สองคนหนึ่งกาเก็บกวาดสนามรบ แล้วไปจากป่าทึบอย่างเงียบๆ


 


 


หลายวันต่อมา


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน นี่เป็นวันที่เก้าแล้ว ขอเพียง ขอเพียงอดทนอีกหนึ่งวัน พวกเราก็ออกไปได้แล้ว…” ต้วนชิงเกอเอ่ยพลางหอบแฮ่กๆ


 


 


มั่วชิงเฉินผมเผ้ายุ่งเหยิง พยุงต้วนชิงเกอไว้ พยักหน้าแรงๆ ว่า “อืม ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าหลังจากมาถึงแดนลี้ลับแล้ว จะกลายเป็นนรกอเวจี เมื่อก่อนได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าแดนลี้ลับ คนที่ออกไปได้มีไม่เกินครึ่ง ที่แท้คนมากเพียงนี้ ล้วนตายในมือพวกเดียวกัน”


 


 


เพิ่งผ่านการฆ่าฟันมาอีกยกหนึ่ง ทั้งสองคนหมดเรี่ยวแรง จึงหาที่กำบังที่หนึ่งกินโอสถลงไปแล้วเริ่มนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ


 


 


หนึ่งชั่วยามให้หลังต้วนชิงเกอลืมตาขึ้น ยิ้มอย่างขมขื่นว่า “ตบะของเรายังคงต่ำไปสักหน่อย โชคดีที่อยู่ด้วยกันกับเจ้า การปล้นฆ่าหลายครั้งปานนั้นถึงรอดมาได้ กลับได้ของมาไม่น้อย โดยเฉพาะยันต์และโอสถ”


 


 


ที่จริงมั่วชิงเฉินไม่ขาดแคลนโอสถ ทว่ายันต์เป็นของสิ้นเปลือง เมื่อเข้าแดนลี้ลับแล้วไม่อาจเติมได้ การยึดจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นจึงช่วยพวกนางไว้ได้มาก เพราะว่าอย่างไรเสียอาวุธเวทที่ได้มาในเวลาสั้นๆ นั้นไม่อาจเชี่ยวชาญวิธีใช้ได้เลย


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “การทดสอบครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า ไม่เพียงได้โอสถสร้างรากฐาน ยังเพิ่งประสบการณ์ในการสู้จริงไม่น้อย อย่างน้อยก็รู้ว่าพลังที่แท้จริงของตนเป็นเช่นไรกันแน่”


 


 


“หึๆ ที่ยิ่งหายากคือศิษย์น้องได้อสูรวิญญาณที่ไม่เลวมาตัวหนึ่ง” ต้วนชิงเกอล้อเล่น


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักทีหนึ่ง เมื่อวานอีกาไฟได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการต่อสู้ บังเอิญไม่กี่วันก่อนในของที่ได้จากผู้บำเพ็ญเพียรสามคนนั้นพบถุงอสูรวิญญาณใบหนึ่ง จึงเก็บมันเข้าไปพักฟื้น


 


 


ทว่าอีกาไฟคงไม่ยินยอมเป็นอสูรวิญญาณของตนหรอกกระมัง ถึงพรุ่งนี้ก็ทิ้งมันไว้นี่ ก็ไม่รู้ว่ามันที่ได้รับบาดเจ็บจะมีอันตรายหรือไม่


 


 


“เป็นอะไรหรือ ศิษย์น้องชิงเฉิน?” ต้วนชิงเกอเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ จึงอดถามไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ ไม่สู้เราก็อยู่นี่วันหนึ่งเถอะ ไหนๆ เมื่อถึงยามบ่ายพรุ่งนี้ ก็จะถูกส่งออกไปเอง”


 


 


ต้วนชิงเกอถอนใจว่า “ก็ดี เพียงแต่หวังว่าคราวนี้อย่าถูกพบอีกเลยจะดีกว่า”


 


 


หลังจากวันที่ห้าเป็นต้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ยอมแพ้ในการหาสมุนไพรทิพย์ แต่คิดมิดีมิร้ายกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นขึ้นมาแทน ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยที่ได้สมุนไพรทิพย์แล้วคิดจะประคองให้ถึงวันออกจากหุบเขาต่างถูกหาเจอ ต้องเข้าสู่การต่อสู้อย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อถึงสองวันสุดท้ายนี้ พวกมั่วชิงเฉินสองคนที่หลบซ่อนอยู่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่รวมตัวเป็นกลุ่มเหมือนสุนัขล่าเนื้อ ค้นไปทั่วไม่หยุดหย่อน


 


 


พวกนางสองคนก็เป็นเช่นนี้ หากถูกพบ เห็นทั้งสองคนล้วนเป็นหญิงสาวตบะก็ไม่สูงอีก อีกฝ่ายเหมือนได้เปรียบจึงลงมือโดยไม่ลังเล กระทั่งมีหลายครั้งที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรสี่ห้าคนล้อมโจมตี ดีที่ทั้งสองคนร่วมมือกันอย่างรู้ใจ อีกทั้งต่างมีท่าไม้ตาย นี่ถึงได้อยู่รอดปลอดภัยมา


 


 


จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็สีหน้าจริงจัง ส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ มีคนมาทางนี้แล้ว


 


 


ต้วนชิงเกอรีบพยักหน้า เก็บงำกลิ่นอายของตนขึ้น


 


 


หลายวันนี้ที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา นางพบตั้งนานแล้วว่ามั่วชิงเฉินจิตสัมผัสไม่ธรรมดา ก็เหมือนวันนั้น ตนถูกผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเดียวกันสามคนนั้นพบ นางกลับสามารถหลบการตรวจค้นของพวกเขา ดังนั้นบัดนี้นางจึงเชื่อถือและยอมรับคำพูดของนางในด้านนี้นัก


 


 


ไม่ผิดตามที่คาดเพียงไม่นาน ก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเสกคาถาเหยียบลมวิ่งมาทางนี้ เพียงแต่ฝีเท้าของคนคนนั้นโซซัดโซเซ ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บ


 


 


ข้างหลังมีผู้บำเพ็ญเพียรสองสามคนไล่ตาม ดูเครื่องแต่งกายแล้วเป็นคนของพรรคเหยากวงทั้งหมด


 


 


“เป็นนาง?” มั่วชิงเฉินชะงัก


 


 


“เป็นอะไรหรือ ศิษย์น้อง เจ้ารู้จักหญิงสาวคนนี้หรือ?” ต้วนชิงเกอส่งเสียงทางจิต


 


 


มั่วชิงเฉินตอบว่า “อืม เคยเสวนากันสองครั้ง ศิษย์พี่เจ้าก็รู้จักหรือ?”


 


 


“ก็ไม่ถึงกับรู้จัก เพียงแต่หญิงสาวนี้มีชื่อเสียงนักในพรรคเหยากวง เป็นศิษย์หัวกะทิที่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิโดยตรง ดังนั้นข้าเคยพบครั้งหนึ่ง” ต้วนชิงเกอเอ่ย


 


 


“นางเป็นเช่นไร?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


ต้วนชิงเกอชะงัก “ได้ยินว่ากับผู้ชายนางไม่ไว้หน้า กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยังนับว่ามีไมตรี ดูเหมือนไม่มีความยโสที่ผู้บำเพ็ญเพียรในแวดวงนั้นมีโดยเฉพาะ หรือว่า…ศิษย์น้องคิดช่วยนาง?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่พูดถูกครึ่งหนึ่ง ข้าก็ประทับใจหญิงคนนี้ไม่เลวเช่นกัน แต่ไม่ปิดศิษย์พี่ สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นคือข้าอยากฆ่าคนสองคนที่อยู่ในคนที่ตามฆ่านางอยู่”


 


 


ยามนี้คนพวกนั้นมาถึงข้างหน้าแล้ว มีทั้งหมดห้าคน ค่อยๆ ล้อมผู้บำเพ็ญเพียรหญิงขึ้นมา


 


 


ชายสามหญิงสองนี้ ดูจากเครื่องแต่งกายนอกจากผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งเป็นศิษย์ในสำนัก นอกนั้นไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์ฆราวาสหมด หากปกติอยู่ในสำนัก เจอผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับหลอมลมปราณที่เป็นศิษย์หัวกะทิเช่นนี้ แม้หายใจแรงก็ไม่กล้า บัดนี้กลับกล้าล้อมฆ่าแล้ว ผลประโยชน์ช่างเร้าใจคนจริงๆ


 


 


ต้วนชิงเกอตั้งใจดู พบว่าหนึ่งในหญิงสาวไม่คิดเลยว่าจะเป็นหูเยียนหรานที่อยู่ร่วมลานบ้านกับมั่วชิงเฉิน ศิษย์ในสำนักเพียงคนเดียวนั้นก็คือคนรักของนางนั่นเอง จึงเข้าใจในฉับพลันว่า “มิน่าล่ะ ศิษย์น้องคิดถูกแล้ว ฉวยโอกาสฆ่าสองคนนี้ซะ ไม่แน่ความยุ่งยากของเจ้าก็จะหายไป”


 


 


“ถูกต้อง ข้ากำลังคิดเช่นนี้พอดี ศิษย์พี่ เรารอดูท่าทีไปก่อน ผู้บำเพ็ญเพียรในห้าคนนี้ไม่มีระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ ดูท่าทางศิษย์พี่ท่านนั้นแม้ได้รับบาดเจ็บถูกพวกเขาล้อมไว้ แต่พวกเขาก็ต้องเปลืองแรงไม่น้อย” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิต


 


 


ผ่านการต่อสู้มาหลายวันนี้ ทั้งสองคนไม่กลัวการต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้พลังวิญญาณจนอิดโรยห้าคนพร้อมกัน นี่นอกจากประสบการณ์การต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการดวลเป็นตายแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือในมือพวกนางมียันต์ปริมาณมาก โยนออกไปเหมือนไม่ต้องใช้เงิน อานุภาพยิ่งใหญ่นัก


 


 


แน่นอนนี่ไม่ได้บอกว่าพวกนางก็จะประมาทเพราะการนี้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะมากจะน้อย ล้วนต้องสู้เต็มกำลัง ไม่แน่ผู้บำเพ็ญเพียรที่ดูเหมือนธรรมดาคนหนึ่งก็มีไพ่ตาย ก็เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นที่เห็นพวกนางเป็นแกะอ้วน ใครจะคิดว่าสุดท้ายต้องกลายเป็นชิ้นปลามันในปากพวกนางล่ะ


 


 


“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่มั่ว เจ้าก็อย่าหนีอีกเลย เปลืองแรงเปล่าๆ” คนที่พูดก็คือศิษย์ในสำนักคนนั้น


 


 


ใบหน้าสดสวยแต่จริงจังของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงปกคลุมด้วยน้ำแข็งชั้นหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นว่า “เราต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน พวกเจ้าอดทนมาถึงยามนี้แน่นอนย่อมเก็บเกี่ยวมาไม่น้อย เหตุใดต้องเข่นฆ่าสำนักเดียวกัน หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่ากฎสำนักข้อที่หนึ่งก็คือห้ามศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเองหรือไร?”


 


 


คนที่เป็นผู้นำแหงนหน้าหัวเราะว่า “ฮ่าๆๆ กฎสำนัก? กฎสำนักมีไว้ใช้ในสำนัก มาพูดกฎสำนักในแดนลี้ลับนี้ ช่างน่าขันสิ้นดี! ศิษย์หัวกะทิที่ว่ากันเช่นพวกเจ้า ปกติสูงส่งไม่เห็นใครในสายตา ของที่คนอื่นใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่ได้มาพวกเจ้ากลับได้มาอย่างง่ายดาย ย่อมไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ไม่มีคนหนุนหลังเช่นพวกเรานั้นสำคัญเพียงใด!”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกัดริมฝีปากว่า “พูดเช่นนี้ พวกเจ้าตัดสินใจแล้วสิว่าจะต่อกรกับข้า? พวกเจ้าต้องคิดให้ดีนะ!”


 


 


คนที่เป็นผู้นำหัวเราะ ‘ฟู่’ ว่า “ศิษย์พี่มั่ว อย่าพูดมาก หากเจ้ายอมมอบของออกมาให้หมด เห็นแก่ที่อยู่สำนักเดียวกัน พวกเราย่อมให้เจ้าได้ตายอย่างศพสวยหน่อย โดยเฉพาะเกราะอ่อนไหมทองนั่น”


 


 


“เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีเกราะอ่อนไหมทอง?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงดูออกว่าห้าคนนี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงถามเสียงดุ


 


 


“หึๆ นี่ก็ไม่รบกวนศิษย์พี่มั่วเป็นห่วงแล้ว หากคิดไม่เข้าใจ ก็ไปขบคิดดีๆ ข้างล่างเถอะ!” ผู้ชายที่เป็นผู้นำดูเหมือนไม่ยอมเสียเวลา ส่งสายตาให้ห้าคนบุกขึ้นมาพร้อมกัน


 


 


เห็นทั้งหาคนบุกมา ใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงฉายแววสิ้นหวัง ตนมั่นใจในตนเองเกินไปแล้ว ตอนนั้นอาจารย์กำชับตนให้ระวังให้มาก ให้อาวุธเวทเกราะอ่อนไหมทองที่พลังป้องกันโดดเด่นมาชุดหนึ่ง ยังยัดยันต์และโอสถจำนวนมากให้ตน อีกทั้งตนก็โดดเด่นในค่ายกล เชื่อมั่นว่าในผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไม่มีคนสู้ตนได้ แดนลี้ลับเป็นเพียงสถานที่เพิ่มประสบการณ์ให้นางเท่านั้น กลับประมาณความละโมบของผู้บำเพ็ญเพียรต่ำไปแล้ว!


 


 


หึ ต่อให้ข้าตาย ก็ไม่ให้พวกเจ้าได้เปรียบเด็ดขาด!


 


 


ใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงฉายแววเด็ดเดี่ยว เสื้อผ้าพองขึ้นในทันใด เปรียบเหมือนลูกโป่งที่อัดเต็มด้วยลม พลังวิญญาณที่พองขึ้นอย่างรุนแรงก่อให้เกิดลมพายุ เสื้อผ้ากระพือดังพรึบๆ


 


 


“แย่แล้ว นางจะระเบิดตนเอง!” คนที่เป็นผู้นำตะโกนเสียงหนึ่ง ทั้งห้าคนถอยหลังไปพร้อมกัน


 


 


กลับได้ยินเสียงโหยหวนลอยมา ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงล้มลงพร้อมกัน


 


 


“เยียนหราน!” คนที่เป็นผู้นำตะโกนเสียหนึ่ง เอียงศีรษะหลบพ้นเงาแส้เส้นหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอต่างคนต่างใช้ท่าไม้ตาย โรมรันพันตูกับทั้งสามคน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เตรียมระเบิดตนเองเห็นการเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ จึงหยุดพลังที่ขับเคลื่อนแล้วทันที พลังวิญญาณที่เคลื่อนย้ายอยู่ถูกขัดขวางกะทันหัน นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดทันที แล้วหมดสติไป


 


 


“เจ้า พวกเจ้าเป็นใคร?” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกสองเสียง เหลือเพียงผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นผู้นำประคองไว้อย่างยากลำบาก เห็นสองสาวที่จู่ๆ โผล่มาใส่ชุดศิษย์ฆราวาสพรรคเหยากวง ลงมืออำมหิต ร่วมมือกันอย่างเฉียบขาด จึงอดถามไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าไร้ความรู้สึก โยนเข็มสีเขียวออกไปกำหนึ่ง คิดจะหลบเข็มสีเขียวที่เล็กยิ่งต้องรวบรวมสมาธิ ระหว่างที่ผู้บำเพ็ญเพียรหลบหลีกอย่างเร่งรีบกลับละเลยแส้ยาวของต้วนชิงเกอ


 


 


ต้วนชิงเกอเฆี่ยนลงหนึ่งแส้ พลังวิญญาณที่อัดใส่ในแส้เฆี่ยนจนผู้บำเพ็ญเพียรร้องโหยหวนออกมา ร่างกายที่เชื่องช้าจึงถูกเข็มสีเขียวของมั่วชิงเฉินซัดเข้าอย่างจัง


 


 


สองคนไม่พูดสักคำ เก็บของรางวัลอย่างเฉียบขาด เก็บกวาดสถานที่


 


 


ดึงถุงเก็บวัตถุที่เอวของหูเยียนหรานออก มองดูใบหน้าที่ยังคงงามดุจบุปผาของนาง มั่วชิงเฉินเม้มปาก แล้วหันหลังดึงถุงเก็บวัตถุของผู้บำเพ็ญเพียรชายนั้นออกมาอีก ในใจแอบคิดว่า ในที่สุดก็กำจัดภัยเงียบได้อันหนึ่งแล้ว หากมีเรื่องอันใดอีก ก็ได้แต่แก้ไปทีละเปลาะแล้ว


 


 


แม้จะอยู่ร่วมลานบ้านเดียวกัน มั่วชิงเฉินก็ไม่รู้สึกผิด นางไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องคนอื่น ทว่าหากคนอื่นคิดร้ายกับนาง นางก็ได้แต่ชิงลงมือก่อนได้เปรียบแล้ว


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน นางจะทำเช่นไร?” ต้วนชิงเกอมองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่หมดสติอยู่บนพื้นแล้วถาม


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่งว่า “ไหนๆ เราก็ต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่หนึ่งวัน พานางไปด้วยก่อนแล้วกัน”


 


 


ต้วนชิงเกอพยักหน้า “เช่นนั้นได้ ทว่าหากในระหว่างนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรพบพวกเรา ก็ไม่มีเวลาห่วงนางแล้วนะ”


 


 


“นั่นแน่นอน” มั่วชิงเฉินตอบ


 


 


มั่วชิงเฉินป้อนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกินยาลูกกลอนย้อนอายุเข้าไป แล้วเริ่มตรวจของที่เก็บเกี่ยวได้ในหลายวันนี้กับต้วนชิงเกอ


 


 


ยันต์ อาวุธเวทพวกนั้นอย่าเพิ่งดูก่อน ที่สำคัญคือดูคนพวกนี้เด็ดได้ของล้ำค่าอะไรบ้างในแดนลี้ลับนี้ ควรจัดสรรเช่นไรเพื่อแลกโอสถสร้างรากฐาน


 


 


โชคดีที่ต่อมาคลื่นลมสงบโดยตลอด ในที่สุดก็ถึงวันที่สองภายใต้ความคาดหวังของพวกมั่วชิงเฉินสองคน


 


 


“พวกเจ้าเป็นใคร?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ลืมตาขึ้นมาในที่สุดถามอย่างระแวง


124 ได้ออกจากหุบเขาโยวเล่อ

 


 


 


“ศิษย์พี่ เป็นข้าเอง” มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นจึงยิ้มหวาน ไหนๆ เมื่อตนอ้าปากนางก็สามารถฟังเสียงออกได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องปิดๆ บังๆ อีกอย่างนางไม่ได้สูงส่งถึงขั้นทำความดีไม่ทิ้งชื่อหรอกนะ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชะงัก จากนั้นสีหน้าผ่อนคลายลง “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเป็นคนช่วยข้า ขอบใจนะ”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “ศิษย์พี่เกรงใจไปแล้ว เป็นเพียงเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่านั้น”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยิ้มระทมว่า “เรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรง? หึๆ เอาเป็นว่ามิตรจิตมิตรใจของสองท่าน ข้ามั่วหลีลั่วจำไว้ในใจแล้ว เอ่อ ที่นี่ที่ไหนน่ะ?”


 


 


ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้ชื่อมั่วหลีลั่ว ชื่อพิเศษมากทีเดียว มั่วชิงเฉินใจก็คิดปากก็ว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ซ่อนตัวของเราสองคน ยังนับว่าโชคดีที่ไม่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นพบเข้า รออีกเพียงชั่วครู่ ก็ออกจากหุบเขาได้แล้ว”


 


 


ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงก็โล่งอก คิดจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับร้องโอ๊ยเสียงหนึ่ง


 


 


ต้วนชิงเกอรีบพยุงนางว่า “ศิษย์พี่มั่ว อาการบาดเจ็บของท่านค่อนข้างหนัก อย่าเพิ่งขยับดีกว่า รอออกไปอาจารย์ปู่ที่นำขบวนต้องมีวิธีแน่นอน”


 


 


มั่วหลีลั่วพยักหน้า สายตากวาดผ่านหน้าสองสาวรอบหนึ่ง สุดท้ายหยุดอยู่บนใบหน้ามั่วชิงเฉิน “ไม่ทราบศิษย์น้องทั้งสองชื่ออะไร?”


 


 


ปกติผู้บำเพ็ญเพียรถามเช่นนี้ ก็คือคิดจะคบหากันแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสบตากันปราดหนึ่ง ในใจรู้สึกยินดี แม้บอกว่าช่วยคนโดยบังเอิญ ทว่าทั้งสองคนไม่ได้ฉวยโอกาสซ้ำเติมก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว ในพรรคเหยากวงพวกนางต่างเป็นแหนไร้ราก สามารถคบหากับศิษย์หัวกะทิท่านหนึ่ง ย่อมเป็นเรื่องไม่เลว


 


 


เนื่องจากมั่วชิงเฉินและมั่วหลีลั่วเคยรู้จักกันมาก่อน นางจึงว่า “น้องชื่อมั่วชิงเฉิน ศิษย์พี่ท่านนี้ชื่อต้วนชิงเกอ พวกเราล้วนเป็นศิษย์ของเขาชิงมู่”


 


 


“มั่วชิงเฉิน ต้วนชิงเกอ? ดูเหมือนเคยได้ยินมาก่อน” มั่วหลีลั่วขมวดคิ้ว จากนั้นตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว มีครั้งหนึ่งข้าไปทำธุระที่เขาชิงมู่ ได้ยินศิษย์จิปาถะสองสามคนวิจารณ์อะไร ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ หรือว่าก็คือพวกเจ้า?”


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจำใจเล็กน้อยว่า “น่าจะใช่พวกเรากระมัง นั่นล้วนเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นลือเหลวไหลยามว่างน่ะ”


 


 


มั่วหลีลั่วยิ้ม ในใจกลับว่าตอนนั้นตนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็แล้วกันไป ยังคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เป็นศิษย์จิปาถะถูกตั้งฉายามั่วซั่ว ต้องอาศัยที่หน้าตาพอดูได้ ประพฤติตัวนอกลู่นอกทางเป็นแน่ สำหรับการนี้แม้แต่ความรู้สึกดูถูกก็ขี้เกียจมีก็โยนทิ้งไปแล้ว บัดนี้ดูแล้วตนกลับคิดผิดแล้ว ฐานะย่อมไม่ได้หมายถึงทุกอย่าง


 


 


“ข้าอยู่เขารั่วสุ่ย วันหน้าศิษย์น้องทั้งสองหากไปธุระที่นั่น ต้องไปนั่งเล่นที่ข้าให้ได้” มั่วหลีลั่วเอ่ย


 


 


ทั้งสามคนบอกชื่อและที่มาแล้ว ความสัมพันธ์ใกล้เข้ามาเล็กน้อย เพราะมั่วหลีลั่วได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งต้องสังเกตความเคลื่อนไหวข้างนอกตลอดเวลา จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก แต่ต่างคนต่างหลับตาปรับลมหายใจขึ้นมา


 


 


ในขณะนี้เองทั้งสามคนรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณในอากาศที่ส่งผ่านมา มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอรีบจับมั่วหลีลั่วไว้ จากนั้นรู้สึกหน้ามืด ยามลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มาถึงนอกหุบเขาแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินสังเกตรอบๆ พบว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรโผล่ออกมาจากกลางอากาศเป็นครั้งคราว มีบางคนล้มลงบนพื้นเหมือนเทเกี๊ยว ยังมีที่ดูท่าทางแล้วกำลังประมือกันอยู่ ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเห็นว่ามาถึงนอกหุบเขาแล้ว จึงต่างสงบลงมา


 


 


ผู้นำขบวนแต่ละสำนักที่รออยู่ด้านนอก พอผู้คนเดินเข้ามา นับศิษย์สำนักตน


 


 


ผู้นำขบวนของพรรคเหยากวงนักพรตฝูหมิงมองดูศิษย์ที่กลับจากการทดสอบครั้งนี้ จำนวนคนไม่ต่างจากปีก่อนๆ เท่าไร จึงวางใจลง สำนักใหญ่เช่นพวกเขา การสูญเสียศิษย์อยู่ที่ประมาณสามถึงสี่ส่วน ขอเพียงการผันแปรไม่มาก เขาก็นับว่าทำหน้าที่สำเร็จแล้ว


 


 


สงสารแต่สำนักเล็กๆ มากมายที่ออกมาได้เพียงไม่กี่คน กระทั่งตระกูลเล็กๆ บางตระกูลก็ไม่เห็นมีคนออกมาเลย


 


 


เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนพยุงมั่วหลีลั่วไว้ นักพรตฝูหมิงสีหน้าจริงจัง ไม่คิดว่านางหนูมั่วจะได้รับบาดเจ็บ เมื่อนึกถึงอาจารย์ที่ขี้เข้าข้างของนาง แล้วยังมีอาจารย์ปู่ที่ขี้เข้าข้างยิ่งกว่า นักพรตฝูหมิงรู้สึกกินปูนร้อนท้อง สองสามก้าวรีบเดินเข้าไป พูดกับพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “นางหนูมั่วอาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง?”


 


 


โดยไม่ได้ถามว่าเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บ เข้าสู่หุบเขาโยวเล่อเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเข่นฆ่ากัน เดิมทีก็เป็นเรื่องรู้กันโดยที่ไม่ต้องพูดอยู่แล้ว แม้จะโหดร้าย ทว่าก็เป็นโอกาสการฝึกฝนที่หายากครั้งหนึ่ง หากแม้แต่ที่นั่นก็ออกมาไม่ได้ ต่อให้เป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ปานใดก็ไม่น่าเสียดาย


 


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าศิษย์อันเป็นที่รักของศิษย์พี่รั่วซีจะได้รับบาดเจ็บ เด็กผู้หญิงที่ตบะไม่สูงสองคนที่อยู่ข้างๆ กลับปลอดภัยไร้กังวล เมื่อคิดเช่นนี้จึงพิจารณาพวกมั่วชิงเฉินสองคนปราดหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว


 


 


ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกวาดสายตาผ่าน มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นโถมเข้ามา นางฝืนยืนให้มั่นคงว่า “เรียนท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์พี่มั่วนางได้รับบาดเจ็บภายในเจ้าค่ะ”


 


 


“ท่านอาจารย์อา ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เนื่องจากมั่วหลีลั่วได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนย้ายออกจากหุบเขาทำให้ไม่สบายตัว ต้องรอทุเลาเล็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น


 


 


แม้จะเป็นศิษย์ในระดับหลอมลมปราณ แต่เพราะอาจารย์ของมั่วหลีลั่วเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นางจึงมีคุณสมบัติเรียกผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นในระดับก่อแก่นปราณว่าอาจารย์อา


 


 


มั่วชิงเฉินอดเหงื่อตกไม่ได้ พอดูเช่นนี้แล้ว ตนเรียกมั่วหลีลั่วว่าศิษย์พี่ กลับไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว


 


 


นักพรตฝูหมิงยื่นมือตรวจอาการของมั่วหลีลั่ว สีหน้าหนักใจขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปเนิ่นนานจึงหยิบโอสถขนาดประมาณไข่นกพิราบเม็ดหนึ่งป้อนนาง แล้วหันหน้าบอกผู้บำเพ็ญเพียรที่มักใบหน้าเปื้อนยิ้มที่อ่อนโยนว่า “ศิษย์หลานอู๋ เจ้ามาดูแลนางหนูมั่วที”


 


 


“ขอรับ อาจารย์อา” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เดินเข้ามามองพวกมั่วชิงเฉินสองคนปราดหนึ่ง แล้วรับมั่วหลีลั่วมา


 


 


นักพรตฝูหมิงเอ่ยอีกว่า “ศิษย์หลานเยี่ย ศิษย์หลานหวัง พวกเจ้าสองสามคนรับผิดชอบบันทึกสิ่งที่ศิษย์พวกนี้เก็บเกี่ยวได้ที”


 


 


“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองสามคนที่เหลือเอ่ย


 


 


จากนั้นนักพรตฝูหมิงหันหน้ามาดูพวกมั่วชิงเฉินสองคนว่า “พวกเจ้าสองคนทำได้ไม่เลวทีเดียว ถึงเวลาย่อมมีรางวัลให้ บัดนี้ไปเข้าแถวบันทึกเถอะ”


 


 


“ขอบคุณอาจารย์ปู่เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอเอ่ยพร้อมกัน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรที่รอดจากแดนลี้ลับพวกนั้น ต่างเข้าแถวยาวตามคำสั่ง


 


 


ต้วนชิงเกอก้าวเท้าเดินไปที่แถวหนึ่งตามอำเภอใจ กลับถูกมั่วชิงเฉินลากไปอีกแถวหนึ่ง


 


 


เห็นสายตาสนเท่ห์ของต้วนชิงเกอมองมา มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคักว่า “ทางนี้คนน้อย”


 


 


ต้วนชิงเกอมองดูแถวที่อยู่ แล้วมองดูแถวก่อนหน้านี้อีก อย่างไรก็ไม่เห็นว่าทางนี้คนน้อยนี่นา สายตาจึงยิ่งสงสัยขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วมองไปข้างหน้า


 


 


ไม่ค่อยได้เห็นมั่วชิงเฉินทำท่าทางเช่นนี้ ต้วนชิงเกอยิ่งสงสัยแล้ว มองดูแถวนั้นอีกที ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่อยู่หน้าสุดสีหน้าเย็นชา บันทึกอะไรอยู่อย่างรวดเร็ว จึงรู้แจ้งในทันใดส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าคงไม่ได้กลัวอาจารย์อาเยี่ยหรอกนะ?”


 


 


“อาจารย์อาเยี่ยอะไร?” มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตเช่นกัน


 


 


ต้วนชิงเกอเอ่ยอย่างจำใจว่า “นั่น ก็คือท่านที่อยู่หน้าแถวที่ข้าไปเข้าเมื่อครู่”


 


 


“มีที่ไหนกัน ข้าจะกลัวเขาเพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ใบหน้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในใจกลับรู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ มั่วชิงเฉินเหมือนตื่นจากฝันว่า “หา คนที่เจ้าว่าก็คืออาจารย์อาเยี่ยที่ชื่อเสียงโด่งดัง?” พูดพลางทนไม่ไหวแอบเหล่คนคนนั้นปราดหนึ่ง ในใจแอบว่าหากผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนอื่นรู้ว่าตนเคยเห็นอาจารย์อาเยี่ยของพวกนางอาบน้ำมาก่อนละก็ ตนจะถูกถลกหนังกินทั้งเป็นหรือไม่นะ?


 


 


ตรงหน้าปรากฏภาพผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับไม่ถ้วนกำลังล้อมนางไว้แล้วทั้งเตะทั้งต่อย มั่วชิงเฉินแอบบอกตนเองให้อยู่ห่างอันตรายไว้ อยู่ให้ห่างอาจารย์อาเยี่ย


 


 


ต้วนชิงเกอมองท่าทางเหม่อลอยของมั่วชิงฉิน หัวเราะฟู่ว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งพรรคเหยากวง มีเพียงเจ้าที่ไม่รู้แล้ว ข้าแปลกใจจริงๆ ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนอื่นเห็นอาจารย์อาเยี่ยแล้วแทบอยากจะโถมเข้าใส่อย่างทนไม่ไหว เหตุใดเจ้ากลับกลัวหลบยังหลบไม่ทัน?”


 


 


มั่วชิงเฉินเบิ่งนางปราดหนึ่ง “ครือกันครือกัน”


 


 


ทันใดนั้นพบว่าอาจารย์อาเยี่ยท่านนั้นดูเหมือนเหลือบมาทางนี้ปราดหนึ่ง เหมือนได้ยินที่พวกนางส่งเสียงทางจิตกันอย่างนั้นแหละ มั่วชิงเฉินเหงื่อเย็นซึมออกมา รีบเปลี่ยนหัวข้อว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ เหตุใดสำนักและตระกูลอื่นก็เข้าแถวอยู่ตรงนี้ล่ะ?”


 


 


ต้วนชิงเกอยกคางว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นล้วนเข้าแถวอยู่ในพรรคเหยากวง สำนักไท่ซวี นิกายเหอฮวน นิกายอวี้กุย นิกายหมิงฝูไม่กี่สำนักนี้ พวกเขาล้วนเป็นสำนักและตระกูลเล็กๆ ที่ขึ้นอยู่กับสำนักพวกนี้ มีมากมายที่ต่อให้ได้กล้วยไม้ทองใบคู่มา สำนักของตนก็หลอมโอสถสร้างรากฐานออกมาไม่ได้ ดังนั้นพวกสำนักใหญ่นี้จึงตั้งกฎไว้ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรทุกท่านที่รอดชีวิตออกจากหุบเขาโยวเล่อได้ ขอเพียงเด็ดกล้วยไม้ทองใบคู่ได้หรือว่าได้สมบัติในฟ้าดินอื่นๆ ที่สามารถแลกโอสถสร้างรากฐานได้ ก็สามารถลงบันทึกที่สำนักที่ตนขึ้นอยู่ได้ หลังจากมอบของให้แก่สำนักแล้ว รอกลับไปถึงก็สามารถไปรับโอสถสร้างรากฐานได้แล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินชื่นชมว่า “การคำนึงถึงเช่นนี้ช่างรอบคอบนัก หากแจกโอสถสร้างรากฐานทันที ระหว่างทางกลับบ้านผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นก็อาจถูกผู้ที่มีใจดักฆ่าได้”


 


 


สิ่งที่มั่วชิงเฉินพูดนั้นไม่ผิด เวลานั้นที่เหล่าสำนักใหญ่ตั้งกฎนี้ขึ้นมา ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าที่เพิ่มมากขึ้น การสู้กันในแดนลี้ลับนับว่าเป็นการฝึกตนของศิษย์ ทว่าก็ต้องหยุดแต่พอดี หากสูญเสียมากไปจะเป็นการทำร้ายรากฐานแล้ว


 


 


“ถูกต้อง ไม่เพียงเท่านี้ ถึงเวลาผู้บำเพ็ญเพียรที่ไปรับโอสถสร้างรากฐานที่พรรคเหยากวงเรา ยังสามารถเลือกสร้างรากฐานที่นั่นได้ ขอเพียงจ่ายหินวิญญาณในจำนวนที่เหมาะสมก็ได้แล้ว” ต้วนชิงเกอเอ่ย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่รับผิดชอบลงบันทึกที่แถวที่มั่วชิงเฉินอยู่เป็นคนเฉื่อยชา ทีแรกตอนที่เพิ่งเริ่มสองสามแถวนี้จำนวนคนล้วนไม่ต่างกันเท่าไร ทว่าเวลาเพียงครู่เดียว ก็กลายเป็นที่เขานี่คนมากที่สุดแล้ว


 


 


ด้วยการนี้ต้วนชิงเกอจึงล้อมั่วชิงเฉินอีกสองสามประโยค มั่วชิงเฉินกลับไม่รีบร้อน แต่กลับมองไปทางนิกายเหอฮวนนั่นเงียบๆ พยายามมองหาเงาร่างของหลิวหลิงจือ น่าเสียดายแถวของนิกายเหอฮวนห่างค่อนข้างไกล มีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายขวางอยู่ ดูอยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่พบคนที่หา


 


 


ไม่สู้หลังจากบันทึกเสร็จแล้วตนค่อยไปหาดูทางนั้น ทว่า ทว่าพี่หลิงจือกลับไม่อยากรับตน ตนผลีผลามเข้าไปจะไม่เหมาะสมหรือไม่?


 


 


มั่วชิงเฉินที่ต่อสู้อย่างเด็ดขาดในแดนลี้ลับเจอกับเรื่องความรู้สึก กลับไม่รู้ควรทำเช่นไรดีซะแล้ว


 


 


ระหว่างที่คิดไม่ตกอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “พวกเจ้ามาลงบันทึกที่ข้านี่”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก เสียงนี้นางลืมไม่ลงเด็ดขาด นั่นคือเสียงของอาจารย์อาเยี่ยที่ปีนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแทบจะอยากฆ่านางปิดปาก


 


 


มองตามเสียงไป ผู้บำเพ็ญเพียรที่อาจารย์อาเยี่ยนั่น ไม่คิดว่าจะลงบันทึกหมดแล้ว ยามนี้เขากำลังมองมาทางนี้พอดี ชี้ครึ่งหลังของแถวที่นางอยู่แล้วเอ่ย


 


 


ในสายตาล้อเล่นของต้วนชิงเกอ มั่วชิงเฉินได้แต่ตามทุกคนเดินเข้าไป คิดๆ ดูแล้ว ไปยืนอยู่หลังสุด


 


 


การทำงานของอาจารย์อาเยี่ยประสิทธิภาพสูงตามคาด มองเห็นแถวค่อยๆ สั้นลง ถึงตามั่วชิงเฉินแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินอดลังเลขึ้นมาไม่ได้ นางไม่อยากเผชิญหน้ากับคนผู้นี้จริงๆ ไม่เพียงเพราะการพบกันครั้งแรกที่ไม่น่ายินดี ยังมีสาเหตุที่สำคัญกว่านั้น ปีนั้นเมื่อนางเข้าใกล้คนผู้นี้ ก็ถูกดึงดูดอย่างหักห้ามตนเองไม่ได้ มีปฏิกิริยาที่แปลกมากทั้งกายใจ เรื่องนี้ประหลาดเกินไป ประหลาดจนนางเกิดหวาดกลัว


 


 


“ยังไม่เข้ามาอีก เจ้าเสียเวลาอะไร?” เสียงเย็นเยียบลอยมา


 

 

 


ตอนที่ 125

 

แอบดึงดูดกันเงียบๆ

 


 


 


อาจารย์อาเยี่ยที่ทุกคนพูดถึงมีชื่อว่าเยี่ยเทียนหยวน เขาที่บนใบหน้าเขียนว่าคนไม่คุ้นเคยห้ามเข้าใกล้จู่ๆ เปิดปากเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรไม่น้อยจึงแอบมองข้ามมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋สีหน้ายิ่งอ่อนโยนขึ้นอีก มองผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกปราดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังแบะปาก มือยังคงยุ่งอยู่ แต่หูกลับตั้งขึ้นมาแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายการซุบซิบแผ่ซ่านออกในอากาศ ในใจแอบด่าไปประโยคหนึ่ง แล้วฝืนทนเดินไปข้างหน้า


 


 


แล้วก็เป็นจริงตามนั้น นางเพิ่งเดินเข้าไปใกล้ ความรู้สึกประหลาดนั้นก็มาอีกแล้ว เสียงใจเต้นแรงจนตนยังได้ยิน พลังวิญญาณภายในร่างอยู่ไม่สุขขึ้นมา คิดจะหาทางออกไหลออกไปอยู่หน้าผู้ชายคนนั้น


 


 


มั่วชิงเฉินอดหน้าแดงไม่ได้ กลับไม่ใช่เพราะอาย หากแต่เป็นเลือดร้อนพุ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจบังคับได้


 


 


เยี่ยเทียนหยวนที่ชินกับการทำหน้าเย็นชาก็ชะงักแผ่วเบาเช่นกัน มองนางหนูน้อยที่ไม่มีอะไรเด่นตรงหน้าด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก


 


 


ทั้งสองคนต่างมองอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย ในชั่วเวลาหนึ่งไม่มีความเคลื่อนไหวและคำพูดใดๆ กลับทำให้บรรยากาศคลุมเครือยิ่งขึ้นอีก


 


 


เหตุการณ์นี้ตกไปอยู่ในสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่เดิมก็แอบเหล่ทางนี้อยู่แล้ว คนไม่น้อยตกตะลึงจนคางแทบจะตกลงมา แม้แต่ผู้นำขบวนระดับก่อแก่นปราณนั่น ก็ทนไม่ไหวต้องมองมาหลายครั้ง


 


 


เยี่ยเทียนหยวนได้สติคืนมาเป็นคนแรก เอ่ยด้วยเสียงไร้ความรู้สึกสิ้นดีว่า “มอบของและป้ายประจำตัวมา” สีหน้ากลับยิ่งเย็นชาขึ้นอีก ในตาฉายแววหงุดหงิดและรังเกียจขึ้นแวบหนึ่ง


 


 


“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินแทบจะหาซอกบนพื้นมุดเข้าไป นางรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถเข้าใกล้คนคนนี้ได้ ทีนี้ดีแล้ว เสียกิริยาต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรมากมายเช่นนี้ จ้องผู้ชายคนหนึ่งเหม่อลอย ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน


 


 


เยี่ยเทียนเหยียนกวาดสายตาผ่านถุงที่มั่วชิงเฉินยื่นมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็บันทึกข้อมูลในป้ายประจำตัวลงในม้วนคัมภีร์หยกเฉพาะ เก็บถุงขึ้น แล้วคืนป้ายประจำตัวให้มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินรับป้ายประจำตัวมา แทบจะหนีหัวซุกหัวซุนกลับไปที่ต้วนชิงเกอนั่น ไม่กล้ามองไปที่คนนั้นอีกแม้แต่ปราดเดียว


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ ยังมีสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยตกอยู่บนตัวนาง โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนหนึ่ง สายตาเหมือนมีดนั่นแทบจะอยากเจาะตัวนางให้เป็นรูให้ได้


 


 


ในแดนลี้ลับพวกมั่วชิงเฉินสองคนแม้ฆ่านักบำเพ็ญเพียรที่มาปล้นพวกนางไปไม่น้อย ทว่าเจอกับศิษย์สำนักเดียวกันยังคงพยายามไม่ปะทะกัน ด้วยเหตุนี้คนพวกนี้จึงไม่รู้ถึงความร้ายกาจของพวกนางสองคน ล้วนนึกว่าที่ออกมาได้เพราะอาศัยโชคช่วย ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงบางคนจึงไม่สะทกสะท้าน สายตาไม่เป็นมิตรยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนก็มองมาด้วยสายตาเป็นประกาย


 


 


มั่วชิงเฉินก็ช่างเถอะ ผมข้างหน้าของนางบังตาไว้ทำให้มองโฉมหน้าไม่ชัดเจน อีกทั้งยังเพราะดูเหมือนมีความสัมพันธ์ที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับอาจารย์อาเยี่ย ผู้บำเพ็ญเพียรชายพวกนั้นหลังจากผ่านความอยากรู้อยากเห็นในตอนแรกก็ไม่ได้มองมากอีก ทว่าหลังจากสายตาตกไปอยู่ที่ต้วนชิงเกอนั่น กลับถอนสายตาไม่ได้แล้ว


 


 


หญิงสาวที่บำเพ็ญเพียรแม้โฉมหน้าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ทว่าเพราะมีพลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง สีผิว รูปร่าง บุคลิกเป็นสิ่งที่หญิงสาวธรรมดาไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนไหนก็ตามไปถึงโลกฆราวาสแล้วล้วนเรียกได้ว่าเป็นสาวงาม


 


 


ศิษย์พรรคเหยากวงแสนกว่าคน สัดส่วนของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่ว่าจะน้อยเพียงใดก็ยังเป็นคนจำนวนมหาศาลอยู่ดี ย่อมมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามเป็นธรรมดา ทว่าหากไม่เพราะพวกนางตบะ ฐานะสูง ผู้บำเพ็ญเพียรชายธรรมดาไม่กล้าอาจเอื้อม ก็เพราะบุปผามีเจ้าของแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรชายที่มอบกายให้ยิ่งไม่ใช่คนที่ผู้บำเพ็ญเพียรชายธรรมดาพวกนี้กล้าตอแยด้วย


 


 


โฉมของต้วนชิงเกอจัดอยู่ในชั้นแนวหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งพรรคเหยากวง ผู้บำเพ็ญเพียรชายพวกนี้พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว อดตะลึงในความงามดุจชาวสวรรค์ไม่ได้


 


 


ที่ยิ่งทำให้คนทนลงมือแทบไม่ไหวก็คือ ศิษย์น้องผู้นี้ตบะไม่สูง และยังเป็นศิษย์ฆราวาสอีกด้วย…


 


 


รอผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดลงบันทึกเสร็จ ภายใต้คำสั่งของผู้นำขบวนระดับก่อแก่นปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่กี่คนต่างอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออกมา พาศิษย์พวกนี้บินไปพรรคเหยากวง


 


 


ความคิดที่จะตามหาหลิวหลิงจือของมั่วชิงเฉินจึงได้ตกไป ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของอาวุธเวทเหินหาวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่อยากดึงความสนใจของคนอื่นอีก


 


 


อาวุธเวทรูปเรือทะลุผ่านชั้นเมฆ ท้องฟ้าดูแล้วยิ่งใสสะอาดขึ้นอีก ลมพายุและกระแสอากาศพวกนั้นถูกม่านป้องกันต้านไว้หมด ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ล่องไปตามลม ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีชีวิตรอดออกจากแดนลี้ลับส่วนใหญ่ล้วนได้ผลเก็บเกี่ยว พลางคิดถึงอนาคตที่สดใส จิตใจไม่ใช่ตุ้มๆ ต่อมๆ ที่ตอนที่มาจะเทียบได้


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่ยกเว้น ไม่มีความรู้สึกทุ่มสุดตัว ไม่แน่ใจในอนาคตเหมือนยามมา จึงมีกะจิตกะใจมองลงไปข้างล่างจากบนเรือ


 


 


เทือกเขาสูงตระหง่านเรียงต่อกันสุดลูกหูลูกตา สายน้ำซัดสาด อีกทั้งมีทะเลสาบใหญ่น้อยเหมือนไข่มุกที่กระจายอยู่ บางทียังได้เห็นหมู่บ้านตัวเมือง คนที่มีขนาดเท่ามดกำลังคลื่นไหวอย่างช้าๆ ดูแล้วช่างเล็กกระจ้อยร่อย


 


 


คนพวกนี้ก็มีชีวิตของตัวเอง รักโลภโกรธหลง ความรักความแค้นพัวพัน ชื่อเสียงลาภยศ เพียงแต่ช่วงชีวิตหนึ่งกลับเหมือนการที่นางมองปราดหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้เงยหน้า ก็ไม่รู้ว่าบนเมฆสีขาว มีมนุษย์ที่เหมือนเซียนกลุ่มหนึ่งนั่งเรือใหญ่กระบี่บิน บินผ่านไปโดยไม่หยุดสักนิด


 


 


แม้การบำเพ็ญเพียรยากลำบาก ต้องเผชิญอันตรายถึงแก่ชีวิตตลอดเวลา ทว่า มีประสบการณ์แสนวิเศษที่คนธรรมดาไม่มี ได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์มากมายปานนั้น วันหนึ่งอาจจะสามารถอาศัยความพลังของตนสะสางบุญคุณความแค้น อยู่อย่างตามใจ ต่อให้สุดท้ายคือการเข้าสู่วัฏสงสารหกภูมิ ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว มิใช่หรือ?


 


 


ทันใดนั้น สภาพจิตใจของมั่วชิงเฉินดูเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นเปิดทางที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ราวกับสามารถรับของที่มากยิ่งขึ้นได้


 


 


นางจมดิ่งอยู่ในความตระหนักที่อัศจรรย์นั้น ความคิดหนึ่งจู่ๆ ก็แล่นผ่านในใจอย่างงงๆ ในยามนี้ไม่สามารถดื่มสักหนึ่งจอก ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ


 


 


แต่แล้วจู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีพลังสายหนึ่งส่งผ่านมาจากด้านหลัง คนทั้งคนตกลงจากเรือบินลงไปตรงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินตื่นจากภวังค์ในพริบตา แทบจะปล่อยเถาวัลย์โดยจิตใต้สำนึกพันไปที่กราบเรือ น่าเศร้าที่เรือบินเดินหน้าเร็วเหลือเกิน อีกทั้งนางยังตกลงมากะทันหัน พอออกห่างจากบริเวณของอาวุธเวทเหินหาวก็ไม่ได้รับการปกป้องจากม่านป้องกัน ลมที่รุนแรงพัดร่างกายของนางเหมือนใบไม้ร่วงปลิวลงไปข้างล่าง


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน!” เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ยามที่ต้วนชิงเกอตะโกนเหมือนใจจะขาด มั่วชิงเฉินก็ตกลงไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่เรือลำเดียวกันและอยู่บนอาวุธเวทโบยบินต่างโกลาหลขึ้นมา


 


 


แต่กลับเห็นเงาร่างสีเขียวอีกสายหนึ่งโฉบลงไปเหมือนดาวตก เร็วจนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณมองไม่ชัดว่าคืออะไร


 


 


จนกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรบนอาวุธเวทรูปใบไม้พบว่าคนบังคับอาวุธเวทหายไปแล้ว ถึงร้องด้วยความตกใจว่า “คืออาจารย์อาเยี่ย!”


 


 


“จื๊ดๆ ทีนี้ศิษย์น้องเยี่ยสร้างปัญหาใหญ่ให้นางหนูน้อยนั่นแล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋พลางบังคับเรือบินพลางส่งเสียงทางจิตกับผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารก


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังน้ำเสียงไม่พอใจมากว่า “สร้างปัญหาให้นางอะไร ข้าว่ากลับเป็นนางที่ชอบสร้างปัญหาทุกครั้ง! แต่ศิษย์น้องเยี่ยสิ อยู่ดีๆ ไปช่วยนางหนูนั่นทำอะไร หรือว่าจริงที่ว่าเขา…”


 


 


“ศิษย์น้อง ข้าว่าหากเจ้าไปช่วยได้ เจ้ายังวิ่งเร็วกว่าศิษย์น้องเยี่ยอีกนะ อาวุธเวทเหินหาวของพวกเราไม่กี่คนนี้เป็นของทางสำนัก สามารถบังคับอาวุธเวทเหินหาวขนาดใหญ่เช่นนี้พาคนมากมายเพียงนี้บินไปด้วยก็ไม่เลวแล้ว มีเพียงอาวุธเวทเหินหาวของศิษย์น้องเยี่ยที่เป็นของเขาเอง อาวุธเวทที่จำเจ้านายใช้พลังวิญญาณน้อย ใช้ขึ้นมาคล่องแคล่วง่ายดาย นี่ถึงสามารถแยกตัวออกไปช่วยคน ข้อนี้กลับเป็นเจ้าที่คิดมากแล้ว?”ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยิ้มตาหยีแล้วส่งเสียงทางจิต


 


 


“ศิษย์พี่อู๋ นี่ท่านหมายความว่าเช่นไร หรือว่าข้ายังจะสนใจนางหนูน้อยคนหนึ่งหรืออย่างไร ข้าแก่กว่านางหกเจ็ดสิบปีเลยนะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังหน้าทารกเอ่ยอย่างโมโห


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋คิดในใจในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรต่อให้แก่กว่าหลายร้อยปีก็ไม่มีปัญหา ปากกลับเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเจ้าคิดมากอีกแล้ว คนอย่างเจ้าปากร้ายใจดี ไม่ว่าศิษย์คนไหนตกลงไปขอเพียงช่วยได้ก็ต้องลงไปช่วยอยู่แล้ว เพียงแต่ท่าทางที่ศิษย์น้องเยี่ยที่มีต่อนางหนูนั่นก็ค่อนข้างแปลกจริงๆ เจ้าก็รู้ เขาแทบจะไม่พูดกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเลย”


 


 


“ข้าก็ว่าแล้ว ศิษย์น้องเยี่ยต้องมีปัญหาแน่นอน ทว่าพูดก็พูดเถอะ ข้าจำได้ว่าสมัยเด็กเขาไม่ได้ทั้งนิสัยเสียทั้งดื้อดึงเช่นนี้นี่นา” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าทารกเอ่ยเหมือนคนแก่


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถอนหายใจว่า “เขาก็ไม่มีทางเลือก มีญาติร่วมสายเลือดอยู่ระดับก่อกำเนิดคนหนึ่ง ตนก็เข้าระดับสร้างรากฐานระยะกลางตั้งแต่อายุสามสิบ สวมหัวโขนของอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งพรรคเหยากวง ที่ยิ่งหายากกว่านั้นคือมีร่างหยางบริสุทธิ์ที่พันปีจะได้เจอสักครั้ง หากได้ผสานกับเขา ไม่พูดถึงฐานะที่สูงศักดิ์ ตัวผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นเองก็ได้อาศัยร่างหยางบริสุทธิ์นี้เพิ่มตบะขึ้นอย่างรวดเร็ว ขนาดท่าทางเขาในยามนี้เป็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพวกนั้นยังแห่กันวิ่งเข้าใส่ หากอ่อนโยนใส่พวกนางละก็ เขายังจะมีทางรอดหรือ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่กี่คนพาศิษย์ทั้งหลายเดินหน้าต่อ ไม่กังวลเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่นำขบวนนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของอาวุธเวทเหินหาวอย่างสงบ ดูเหมือนเข้าฌานแล้ว


 


 


สูญเสียการปกป้องจากม่านป้องกัน มั่วชิงเฉินที่มีเพียงตบะระดับหลอมลมปราณถูกกระแสอากาศกลางอากาศอัดจนร่างกายเจ็บปวดรุนแรง ต้องเคลื่อนพลังวิญญาณมาฝืนต้านไว้ถึงได้รอดจากวิกฤติถูกลมฉีกร่างกายออก ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนยังสามารถได้ยินเสียงกระดูกในร่างกายดังกร๊วบๆ


 


 


ตาเห็นร่างกายตกลงข้างล่างอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณในร่างก็หมดไปอย่างรวดเร็วอีก ดูเหมือนจะหลบไม่พ้นจุดจบของการที่ร่างกายแหลกเหลวซะแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินหลับตาลง บอกไม่ถูกว่ายามนี้รู้สึกเช่นไร เมื่อครู่ยังเป็นหนทางที่สดใสรอนางอยู่ เพียงพริบตาก็ชีวิตน่าเป็นห่วงซะแล้ว หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมายากจะคาดเดาจริงๆ


 


 


แต่แล้วในชั่วพริบตาที่พลังวิญญาณกำลังจะเหือดแห้งนั้นกลับตกเข้าสู่อ้อมกอดที่ร้อนแรงอันหนึ่ง มั่วชิงเฉินที่ใจเต้นเหมือนฟ้าร้องลืมตาขึ้นในบัดดล เบื้องหน้าคือใบหน้าคมสันหน้าหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินถูกพลังวิญญาณของเยี่ยเทียนหยวนป้องกันไว้ ความรู้สึกไม่สบายหายไปมาก ทว่าความรู้สึกประหลาดที่รุนแรงยิ่งขึ้นกลับถาโถมมาเหมือนน้ำขึ้น ในยามที่ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนอ่อนแอยิ่งเช่นนี้ พลังในการยับยั้งชั่งใจตนเองลดลงอย่างมาก นางยื่นมือโอบเอวของคนคนนั้นไว้อย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ ร่างกายแนบชิดกับตัวเขา


 


 


เยี่ยเทียนหยวนสะดุ้ง ไม่ได้อาละวาดอย่างผิดคาด แต่กลับกอดคนในอ้อมกอดไว้แน่นยิ่งขึ้น


 


 


กระแสไฟเสียวซ่านชาๆไหลไปทั่วร่างมั่วชิงเฉิน พลังวิญญาณที่พรั่งพรูในร่างกายไม่มีที่ระบาย เพลิงแท้สีฟ้าที่จุดตันเถียนมอดไหม้ขึ้น นางที่สูญเสียสติสัมปชัญญะลืมการสงวนท่าทีจนสิ้น กอดคนนั้นไว้แน่น ริมฝีปากสีแดงประทับไปบนริมฝีปากที่บางและเย็นเฉียบของเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหลบโดยจิตใต้สำนึก ริมฝีปากที่อุ่นและนุ่มยื่นเข้ามาใกล้อีก ในที่สุดเขาก็ไม่ปฏิเสธอีกแล้ว ตักตวงความอุ่นนุ่มที่ส่งมาอย่างร้อนแรง ลิ้มรสความหวานของนาง


 


 


ในยามนี้ สติสัมปชัญญะ ศีลธรรม ความอายทั้งหมดล้วนจากมั่วชิงเฉินไปไกล นางรู้สึกได้เพียงความอัศจรรย์ของรสชาติเช่นนี้ อัศจรรย์จนนางลืมว่าตัวอยู่ที่ใด และกำลังทำอะไรอยู่กันแน่


 


 


เสียงครางละเอียดยิบถูกเขาดักไว้ระหว่างริมฝีปาก ท่ามกลางความมืดฟ้ามัวดินมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าใต้เท้าหยุดกึก ในที่สุดทั้งสองคนก็ตกถึงพื้นแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินยังไม่ทันได้สติคืนมา ร่างกายก็ถูกผลักอย่างแรงล้มลงกับพื้น เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเย็นเยียบจนคนตัวสั่นงันงก ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าใช้วิชามารอะไรกันแน่?”

 

 

 


ตอนที่ 126

 

คำพูดร้ายกาจดุจดาบสองคม

 


 


 


คำพูดเย็นดุจน้ำแข็งเข้าไปในหูมั่วชิงเฉินทีละคำ ราวกับถูกเฆี่ยนด้วยแส้ที่แช่ในน้ำเกลือ หัวใจบีบรัดแน่น เจ็บ


 


 


ถูกเยี่ยเทียนหยวนจ้องมองจากด้านบน มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อนเป็นไฟน่าอึดอัดใจ แต่กลับแก้ตัวไม่ออกสักคำเดียว


 


 


ความจริงก็อยู่ตรงหน้า นางเป็นฝ่ายไปกอดเขาจูบเขา หรือจะให้นางพูดว่าข้าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับท่านเลย เพียงแต่ควบคุมร่างกายของตนไม่ได้เท่านั้นเองเช่นนั้นหรือ?


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินก้มหน้าไม่พูดสักคำ เสียงอันเย็นชาของเยี่ยเทียนเหยียนแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิด “เหตุใดจึงไม่พูด หรือว่า…หรือว่าเจ้าเป็นสายลับของนิกายเหอฮวนหรือพรรคมาร?”


 


 


พูดจบเขาก็นั่งยองๆ ลงมา ยื่นมือจับข้อมือของมั่วชิงเฉินตรวจสอบขึ้นมา ผ่านไปชั่วครู่ก็ปล่อยออก ใบหน้าฉายแววประหลาด ดูเหมือนคิดอะไรไม่ตก


 


 


ความอัปยศอดสูอย่างยิ่งยวดพุ่งขึ้นในใจมั่วชิงเฉิน นางจะเสกคาถามารอะไรได้ เมื่อเข้าใกล้เขาตนก็เปลี่ยนไปอย่างประหลาดบอกไม่ถูก นางยังรู้สึกว่าเป็นเขาต่างหากที่เสกคาถามารใส่นางน่ะ!


 


 


ก็เพียงเพราะว่าตนฐานะต่ำต้อย ตบะต่ำ เขาดูแล้วตนกับเขาต่างกันราวฟ้าดิน ดังนั้นจึงคิดโดยปริยายว่าตนใช้วิธีสกปรกเพราะใฝ่สูงอยากเกาะเขา


 


 


ฝืนทนความไม่สบายของร่างกาย มั่วชิงเฉินยันมือกับพื้น ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าว่า “เรียนท่านอาจารย์อา ผู้น้อยเป็นศิษย์ที่เพิ่งอยู่ระดับหลอมลมปราณ ไม่รู้คาถามารอะไร หากอาจารย์อาไม่มีสิ่งใดจะสั่งแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”


 


 


พูดจบมั่วชิงเฉินหันหลัง ยกเท้าเดินไปข้างหน้า


 


 


“หยุดก่อน!” เสียงผู้ชายดังมาจากด้านหลัง


 


 


มั่วชิงเฉินหยุดเดิน แต่กลับไม่หันหลังไป


 


 


“เจ้าคิดจะไปไหน?” เยี่ยเทียนหยวนถาม


 


 


“ผู้น้อยย่อมต้องกลับพรรคเหยากวงอยู่แล้ว หากอาจารย์อาไม่มีสิ่งใดสงสัย ผู้น้อยขอล่วงหน้าไปก่อนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ รู้สึกมีของบางอย่างพุ่งขึ้นคอหอย จึงรีบเม้มปากแน่น แล้วเดินต่อไปยังข้างหน้า


 


 


มองดูแผ่นหลังที่ยืดตรงของหญิงสาว แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น จู่ๆ เหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนก็แวบผ่านสมองเยี่ยเทียนหยวน เพียงขยับตัวเขาก็มาถึงข้างหน้านาง จับนางแล้วกระโดดขึ้นกระบี่บิน กลายเป็นแสงสายหนึ่งหายวับไปในขอบฟ้า


 


 


กระบี่บินนี่เป็นอาวุธเวทเหินหาวธรรมดา ย่อมเทียบไม่ได้กับอาวุธเวทเหินหาวรูปใบไม้ของเยี่ยเทียนหยวนเป็นธรรมดา ทั้งสองคนจนถึงยามอาทิตย์อัสดงถึงเร่งมาถึงพรรคเหยากวง


 


 


“นั่นอาจารย์อาเยี่ยนี่!” เห็นเยี่ยเทียนหยวนพาหญิงสาวนางหนึ่งขี่กระบี่บินโฉบผ่าน ศิษย์ที่รักษาประตูร้องออกมาด้วยความตกใจ


 


 


ระหว่างทางมีศิษย์ไม่น้อยเงยหน้าขึ้นดู แล้ววิจารณ์ขึ้นมาไม่ขาดสาย


 


 


“ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ อาจารย์อาเยี่ยถูกใจศิษย์หญิงฆราวาสธรรมดาคนหนึ่ง” ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งพูดอย่างได้ใจ หากมีคนคุ้นเคยก็จะรู้ว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งกลับจากหุบเขาโยวเล่อเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ ตกใจจนเบิกตาโต “ไม่คิดว่าข่าวลือจะเป็นจริง ข้ายังนึกว่าเป็นแค่คำเล่าลือแน่ะ…”


 


 


“ฮือๆๆ ที่แท้ที่ศิษย์พี่จางพูดเป็นความจริง มีปีศาจจิ้งจอกเกาะแกะอาจารย์อาเยี่ยจริงๆ ด้วย” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งปิดหน้าร้องไห้


 


 


เพราะว่าเยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินขี่กระบี่เล่มเดียวกันกลับมา ด้วยเหตุนี้คำเล่าลือที่ลือมาจากศิษย์ที่กลับมาจากแดนลี้ลับยิ่งดูน่าเชื่อถือขึ้น ในเวลาสั้นๆ ข่าวลือหลากหลายรูปแบบกระจายไปทั่วพรรคเหยากวงด้วยความเร็วที่เร็วกว่ากระบี่บินเสียอีก


 


 


ยามนี้มั่วชิงเฉินยังไม่รู้ ว่าคลื่นลมที่เกิดจากเยี่ยเทียนหยวนครั้งนี้ไม่ได้ผ่านไป ตรงกันข้ามกลับยิ่งลือยิ่งใหญ่โต


 


 


เยี่ยเทียนหยวนบังคับกระบี่บินไปถึงสถานที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งที่เขาชิงมู่ถึงร่อนลงมา เพิ่งร่อนลงก็โยนมั่วชิงเฉินลงไปเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน เหยียบอยู่บนกระบี่บินพูดเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีแผนการอะไร ต่อไปห้ามเข้าใกล้ข้าอีก มิเช่นนั้น…”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่อ แต่เหยียบกระบี่บินหันหลังจากไป


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูผู้ชายที่เหยียบกระบี่จากไปไกลอย่างเย็นชา ผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆ ก็กระอักเลือดออกมา นางลุกขึ้นเช็ดมุมปากอย่างไม่แยแส เดินไปทางที่พำนักของต้วนชิงเกอช้าๆ


 


 


อาจารย์อาเยี่ย คำพูดของท่านข้าจำไว้แล้ว!


 


 


เยี่ยเทียนหยวนร่อนลงที่เขาโฮ่วเต๋อ เดินเข้าโถงประชุมส่งมอบภารกิจ


 


 


เห็นเยี่ยเทียนหยวนเข้ามา ผู้เฒ่าที่นั่นอยู่ในโถงรีบลุกขึ้นมา ยิ้มว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”


 


 


ผู้เฒ่ามีตบะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย กับเยี่ยเทียนหยวนย่อมเรียกศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเป็นธรรมดา


 


 


“ศิษย์พี่เห่า นี่เป็นข้อมูลที่บันทึกในภารกิจครั้งนี้ นี่คือผลเก็บเกี่ยวของภารกิจ” เยี่ยเทียนหยวนยื่นคัมภีร์หยกม้วนหนึ่งและถุงเก็บวัตถุใหญ่ๆ น้อยๆ ข้ามไป


 


 


ทั้งสองคนส่งมอบป้ายภารกิจและสิ่งของกันแล้ว ผู้เฒ่าวางของไว้ข้างๆ อีกประเดี๋ยวยังต้องตรวจของในถุงทีละใบตามข้อมูลที่บันทึกไว้ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำเสร็จได้ในเวลาสั้นๆ


 


 


“ศิษย์น้อง นี่คืออาวุธเวทเหินหาวของเจ้า อาจารย์อาฝูหมิงสั่งข้ามอบให้เจ้า” ผู้เฒ่ายื่นใบไม้สีมรกตยาวสองนิ้วกว่าใบหนึ่งข้ามไป


 


 


เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือรับแล้วเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่เห่าข้าขอตัวก่อน”


 


 


“แค่กๆ ศิษย์น้องเยี่ย ได้ยินว่าเพราะช่วยคนจึงทำให้เจ้าเสียเวลา ศิษย์หญิงคนนั้น…ช่วยกลับมาได้หรือไม่?” ผู้เฒ่าถามอย่างระมัดระวัง กลับปิดบังไฟแห่งการซุบซิบในตาไม่มิด


 


 


เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว ท่าทางกลับไม่รังเกียจเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ลำบากศิษย์พี่เห่าต้องเป็นห่วงแล้ว ย่อมต้องช่วยกลับมาได้อยู่แล้ว”


 


 


เห็นเยี่ยเทียนหยวนหันหลังจากไป ผู้เฒ่าจึงได้แต่กลืนคำพูดที่จะพูดต่อลงไป


 


 


เพิ่งถึงหน้าประตู ผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างท้วมคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา เห็นเยี่ยเทียนหยวนแล้วสีหน้าตื่นเต้นมาก อ้าปากถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากลับมาแล้ว เป็นเช่นไร ศิษย์หญิงคนนั้นช่วยกลับมาได้หรือไม่?”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งทันที มองเขาปราดหนึ่งแล้วเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างท้วมลูบศีรษะ เดินเข้าไปว่า “ศิษย์พี่เห่า ศิษย์น้องเยี่ยเขาเป็นอะไรหรือ ปกติเพียงแต่พูดจาไม่ไว้หน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมิใช่หรือ เหตุใดไม่เห็นหน้าสิบกว่าวันก็กินเรียบทั้งชายทั้งหญิงแล้วล่ะ?”


 


 


ฟังคำพูดชอบกลของผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ ผู้เฒ่าฝืนกลั้นหัวเราะว่า “ศิษย์น้องซุน เจ้าก็อย่างครุ่นคิดอีกเลย รีบช่วยข้าทำงานเถอะ”


 


 


พูดพลางชี้ถุงเก็บวัตถุและม้วนคัมภีร์ที่อยู่ข้างๆ ในใจแอบคิดว่า ช่วยไม่ได้ ใครให้เด็กนี่เป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อนล่ะ!


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งกลับถึงยอดเขาหลักของเขาหลิวหั่ว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแต่งตัวเหมือนสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาคำนับว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเจินจวินเชิญท่านไปที่ที่พำนักของท่านเจ้าค่ะ”


 


 


ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเยี่ยเทียนหยวนกลับมาท่าทางเป็นคนไม่คุ้นเคยอย่าเข้าใกล้อีกครั้ง เดินเข้าไปในตำหนักโดยไม่พูดสักคำ


 


 


ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงสีหน้าอิ่มเอิบ ส่วนหน้าของศีรษะเป็นเงาวาว คาดไม่ถึงว่าจะศีรษะล้านด้านบน!


 


 


เขากำลังถือพัดสานขาดๆ อันหนึ่งโบกพัดเป็นครั้งคราว เห็นเยี่ยเทียนหยวนเข้ามายังไม่รอเขาพูดอะไร ก็ยิ้มตาหยีเปิดปากว่า “เทียนหยวน เจ้ามานี่”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนชะงัก


 


 


“มานี่ รีบมานี่เร็ว” ชายศีรษะล้านใช้พัดสานขาดๆกวักเรียกเขา


 


 


เยี่ยเทียนหยวนฝืนเดินเข้าไป คำนับว่า “ท่านปู่ทวด”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรศีรษะล้านคนนี้ ก็คือเสวียนหั่วเจินจวินเจ้าหุบเขาแห่งเขาหลิวหั่ว ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้สง่างาม


 


 


บัดนี้เขาอายุนับพันปีแล้ว เยี่ยเทียนหยวนที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบปีจึงบอกไม่ถูกแล้วว่าเป็นหลานรุ่นที่เท่าไรของเขาแล้ว


 


 


ตั้งแต่ที่เยี่ยเทียนหยวนถูกเขาพามาพรรคเหยากวงลงมือสั่งสอนด้วยตนเอง เพียงแต่ติดที่ตบะ แม้จะเรียกเสวียนหั่วเจินจวินว่าปู่ทวด กับผู้บำเพ็ญเพียรอื่นกลับเรียกตามเขตแดน รอเพียงถึงเวลาทะลวงระดับก่อแก่นปราณจะได้รับไว้เป็นศิษย์ก้นกุฏิอย่างถูกต้อง


 


 


นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งพรรคเหยากวงต่างรู้กัน ดังนั้นต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ต้องเกรงใจเยี่ยเทียนหยวนสามส่วน ต้องรู้ว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทุกคนจะมีคุณสมบัติได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด


 


 


“แหะๆ ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าช่วยนางหนูน้อยคนหนึ่งไว้ ยังได้ยินว่า…” เปิดปากอีกที ภาพพจน์ของอาวุโสผู้สูงส่งหายไปไม่เหลือหลอ สีหน้าดูแล้วยังตื่นเต้นกว่าผู้บำเพ็ญเพียรรูปร่างท้วมที่พบที่โถงประชุมของเขาโฮ่วเต๋ออีก


 


 


ข้าว่าแล้ว!


 


 


เยี่ยเทียนหยวนแอบกัดฟัน สีหน้ายิ่งบึ้งขึ้นอีกว่า “ท่านปู่ทวด หากไม่มีอะไร เทียนหยวนขอตัวก่อนขอรับ!” พูดจบหันหลังเดินออกไป


 


 


“เฮ่อ เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ” เห็นเยี่ยเทียนหยวนจากไปเหมือนไม่ได้ยิน เสวียนหั่วเจินจวินส่ายศีรษะ พึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่ นอกจากบำเพ็ญเพียรแล้วเหตุใดเรื่องอื่นๆ ถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ?”


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ถอนหายใจว่า “บำเพ็ญเพียรเร็วเกินไป สำหรับเขาแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องดี…”


 


 


ส่วนเพราะสาเหตุอะไร สุดท้ายยังคงซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสีหน้าที่คลุมเครือไม่ชัดเจนของเขา


 


 


มั่วชิงเฉินเดินโซซัดโซเซช้าๆ มาถึงหน้าประตูลานบ้าน ผลักประตูเข้าไปก็เห็นต้วนชิงเกอท่าทางร้อนรน เดินไปเดินมาไม่หยุดอยู่ในลานบ้านพอดี ต่างกับท่าทางอ่อนโยนใจเย็นเวลาปกติราวกับคนละคน


 


 


มั่วชิงเฉินเกิดอบอุ่นในใจ เรียกว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ”


 


 


ต้วนชิงเกอรีบเงยหน้าขึ้น วิ่งมาด้วยความยินดีว่า “ศิษย์น้อง ดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมาแล้ว! แม้คนอื่นต่างบอกว่าอาจารย์อาเยี่ยไปช่วยเจ้า ต้องไม่เป็นไรแน่นอน ทว่าในใจข้ายังคงตุ้มๆ ต่อมๆ”


 


 


ได้ยิน ‘อาจารย์อาเยี่ย’ สามคำ มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว


 


 


ต้วนชิงเกอเฉลียวฉลาดปานใด ไม่ล้อนางเล่นเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว ตรงกันข้ามกลับกลืนคำถามทั้งหมดลงไปว่า “ศิษย์น้องชิงเฉิน เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะว่า “ไม่เป็นไร แค่บาดเจ็บเพราะกระแสปั่นป่วนในอากาศ พักฟื้นสักระยะก็หายแล้ว ถูกแล้ว โอสถสร้างรากฐานแจกหรือยัง?”


 


 


ต้วนชิงเกอพลางพยุงมั่วชิงเฉินเข้าไปในห้องพลางเอ่ยว่า “จะเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องจดบันทึกข้อมูลตรวจสอบสิ่งของ ตามระเบียบเทียบจำนวนที่จะแจกให้แต่ละคน จากนั้นยังต้องเปิดเตาหลอมโอสถ ค่อยดูตามจำนวนโอสถสร้างรากฐานที่หลอมออกมาได้ตัดสินขอบเขตในการแจก มีสมุนไพรทิพย์ที่ผู้บำเพ็ญเพียรบางคนเก็บได้ถ้ายามปกติอาจแลกเป็นโอสถสร้างรากฐานไม่ได้ ทว่าหากโชคดีครั้งนี้ได้โอสถปริมาณมากละก็ ก็อาจได้รับแบ่งสักหนึ่งเม็ด”


 


 


“ศิษย์พี่ชิงเกอ ข้าพบว่าเจ้าช่างรู้เรื่องมากมาย” มั่วชิงเฉินถอนหายใจ


 


 


ต้วนชิงเกอเม้มปากยิ้มว่า “นี่มีอะไรน่าแปลก ในสามปีที่เจ้ากักตนบำเพ็ญเพียร ข้าไปทำภารกิจบ่อยๆ นะ ย่อมได้ยินข่าวคราวมากมายเป็นเรื่องธรรมดา”


 


 


มั่วชิงเฉินฟังแล้วยิ้มระทมว่า “จำได้ว่าปีนั้นตบะเจ้ายังต่ำกว่าข้าเล็กน้อย ทว่าสองสามปีนี้ทำภารกิจมากมายเช่นนั้น ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรกลับเร็วกว่าข้าเสียอีก ความรู้ก็กว้างไกลไปมาก”


 


 


ต้วนชิงเกออ้าปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่ใส่ใจ ใครไม่มีความลับของตนบ้างล่ะ ศิษย์พี่ที่ละมุนอ่อนโยนผู้นี้ในเรื่องการบำเพ็ญเพียร ต้องมีที่ที่ไม่เหมือนผู้อื่นที่ให้คนรู้ไม่ได้เป็นแน่ นี่ก็เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจไล่ถามได้


 


 


ผ่านไปห้าหกวัน ภายใต้การหล่อเลี้ยงของโอสถ อาการบาดเจ็บของมั่วชิงเฉินกลับเป็นปกติ เมื่อคิดได้ว่าอาศัยอยู่ที่ต้วนชิงเกอนี่ไม่ใช่แผนในระยะยาว จึงร่ำลาต้วนชิงเกอ


 


 


ต้วนชิงเกอลังเลครู่หนึ่งว่า “ศิษย์น้อง ครั้งนี้เจ้าตกจากอาวุธเวทอย่างน่าสงสัย หลังจากกลับไปแล้วต้องระวังตัวให้มาก”


 


 


“ข้ารู้” มั่วชิงเฉินพยักหน้า แล้วเสกคาถาเหยียบลมจากไป


 


 


เพิ่งก้าวเข้าลานบ้านได้หนึ่งก้าว ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกันชะงักทีหนึ่งก่อน จากนั้นคนหนึ่งในนั้นรีบยกมือขึ้น แสงทองสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป


 


 


มั่วชิงเฉินมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นอย่างสงสัย ถามเสียงเย็นชาว่า “เหตุใดเจ้าเห็นข้าแล้วจึงปล่อยยันต์ส่งสาร?”

 

 

 


ตอนที่ 127

 

ต่อให้ยอมอ่อนข้อก็ยากจะรักษาการใหญ่

 


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ร่วมลานบ้านกับมั่วชิงเฉิน ทั้งหมดมีสามคน นอกจากหูเยียนหรานที่ถูกนางฆ่าแล้ว อีกสองคนเพราะตบะไม่ถึง จึงไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบของหุบเขาโยวเล่อครั้งนี้


 


 


เพราะว่ามั่วชิงเฉินเลื่อนขึ้นมาจากศิษย์จิปาถะเมื่อก่อนสองคนนี้จึงมีใจดูถูก ไม่ค่อยคุยกับนางนัก


 


 


พอดีกับมั่วชิงเฉินก็ชอบที่ได้อยู่อย่างสงบ รักษาระยะห่างกับพวกนาง การพูดจาเสียงร้ายกาจแบบนี้ ในหลายปีนี้ยังถือเป็นครั้งแรก


 


 


มั่วชิงเฉินที่ผ่านการเข่นฆ่า เดินออกจากแดนลี้ลับตะโกนถามแบบนี้ จึงมีพลานุภาพที่มองไม่เห็น ทำให้สองสาวชะงักทันที


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ปล่อยยันต์ส่งสารถึงเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าปล่อยอะไร เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”


 


 


เห็นปฏิกิริยาของนาง มั่วชิงเฉินยิ่งแน่ใจว่าต้องมีปัญหา


 


 


ตนไม่ได้กลับมานานถึงเพียงนี้ เพิ่งโผล่หน้ามานางก็ปล่อยยันต์ส่งสาร เช่นนั้นจะต้องแจ้งคนอื่นเป็นแน่ ดูจากสีหน้าของพวกนางแล้ว เห็นชัดว่าคนที่ถูกแจ้งไม่ใช่สหายของนาง ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่มาอยู่พรรคเหยากวงนอกจากต้วนชิงเกอแล้ว นางก็ไม่มีสหายอะไรจริงๆ


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินไม่พูดสักคำ หันหลังวิ่งออกไป


 


 


“เอ๊ะ เจ้าไปไม่ได้!” ผู้บำเพ็ญเพียรข้างหลังเรียกอย่างร้อนรน เห็นมั่วชิงเฉินไม่ยอมหยุดแม้แต่น้อย สองสาวจึงรีบไล่ตามไป


 


 


มั่วชิงเฉินวิ่งออกไปไม่กี่สิบจั้ง ก็มีแสงสายหนึ่งวาดผ่านขอบฟ้า ตามด้วยผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งกระโดดลงจากอาวุธเวท ขวางอยู่หน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินหยุดเท้าโดยพลัน มองดูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตรงหน้า


 


 


เห็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้เกล้าผมทรงเมฆาสูง ตารูปหงส์เป็นประกาย ใส่ชุดกระโปรงยาวชาววังสีแดง เผยคอระหงขาวดุจหิมะ กระดูกไหปลาร้าอันประณีตวับๆ แวมๆ ภายใต้ผ้าแพรบาง


 


 


“นางก็คือมั่วชิงเฉินคนนั้น?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตาหงส์จ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง คิ้วโก่งขมวดแน่น กลับถามผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่เร่งรีบวิ่งมาข้างหลังสองคน


 


 


“เรียนอาจารย์อา คือนางเจ้าค่ะ!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหนึ่งในนั้นหอบหายใจว่า ในใจแอบว่าเหตุใดตบะพอๆ กันแท้ๆ นางกลับวิ่งเร็วกว่ากระต่ายเสียอีก


 


 


ได้ยินคำพูดของผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังส่ายสายตาจ้องมั่วชิงเฉินไว้อีกครั้ง หยุดอยู่บนใบหน้านางชั่วครู่ แล้วหัวเราะฟู่ว่า “หึ ข้ายังนึกว่าจะสวยหยาดฟ้ามาดินสักเพียงไหน ที่แท้ก็เป็นนางหนูกะโปโลคนหนึ่ง!”


 


 


มั่วชิงเฉินแน่ใจว่าตนไม่รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตรงหน้า ทว่านางอุตส่าห์วางแผนถึงเพียงนี้เพื่ออยากพบตน ตกลงเพราะอะไรกันแน่ ช้าก่อน คงไม่ใช่ความยุ่งยากที่คนคนนั้นนำมาให้หรอกนะ…


 


 


เห็นนางหนูน้อยที่ยังละอ่อนยืนตัวตรงสง่าต่อหน้าตน เสื้อเขียวที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร กลับขับนางจนดูเหมือนต้นหลิวอ่อนที่เพิ่งแตกหน่อ ในใจผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังรู้สึกหงุดหงิดแวบหนึ่ง จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เป็นเช่นไร เห็นข้าก็ไม่ทำความเคารพเช่นนั้นหรือ ช่างเป็นนางหนูป่าเถื่อนที่ใช้หน้าตายั่วยวนคนตามคาดจริงๆ ไม่รู้ระเบียบ!”


 


 


คำพูดนี้ลบหลู่คนยิ่งนัก มั่วชิงเฉินที่ใจเย็นมาตลอดโมโหจนตัวสั่น หรือว่าหญิงแก่นี่กับเจ้าสารเลวนั่นเป็นพวกเดียวกัน เหตุใดต่างพูดกับตนเช่นนี้!


 


 


พอคิดเช่นนี้แล้ว อดยิ่งโมโหคนผู้นั้นขึ้นมาไม่ได้ บัดนี้นางแน่ใจได้แล้วว่า หญิงสาวนี่ต้องมาถามหาความรับผิดชอบตนเพราะเขาแน่นอน


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินยังคงคำนับหนึ่งทีว่า “ท่านผู้อาวุโส”


 


 


ความแตกต่างของตบะวางอยู่ตรงนี้ นางไม่ก้มศีรษะไม่ได้


 


 


“ท่านผู้อาวุโส?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังทวนคำพูดซ้ำหนึ่งรอบ เอ่ยอีกว่า “เจ้าไม่ได้ยินพวกนางเรียกอย่างไรหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินหลุบตาลง สายตาจ้องไปบนพื้น “เรียนท่านผู้อาวุโส มีเพียงสำนักเดียวกัน ผู้น้อยถึงกล้าเรียกอาจารย์อา”


 


 


กฎของพรรคเหยากวง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าก่อแก่นปราณจำเป็นต้องใส่ชุดของสำนัก ไม่ว่าใครจะฐานะพิเศษเพียงใดก็ไม่อาจละเมิดกฎได้


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ตบะอยู่ระดับสร้างรากฐาน กลับแต่งตัวด้วยชุดชาววัง มั่วชิงเฉินกล้ามั่นใจว่านางไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง เรียกว่าผู้อาวุโส อย่างไรก็ไม่ควรถูกหาข้อผิดพลาดได้


 


 


ทว่าหากสำนักที่ทั้งสองคนอยู่ความสัมพันธ์ดีต่อกัน ตบะก็ใกล้เคียงกันละก็ การเรียกศิษย์พี่น้องด้วยความเกรงใจก็ย่อมทำได้


 


 


ต่อให้มั่วชิงเฉินไม่สนใจเรื่องโลกภายนอกอย่างไร ความรู้พื้นฐานเรื่องมารยาทเช่นนี้อย่างไรก็ยังมี


 


 


พูดกลับมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์พรรคเหยากวง เหตุใดสามารถเข้าออกอย่างอิสระ และยังโอหังถึงเพียงนี้?


 


 


ระหว่างที่มั่วชิงเฉินรีบใช้ความคิดอยู่ กลับรู้สึกมีลมสายหนึ่งซัดมา นางเสกคาถาเหยียบลมโดยไม่รู้ตัว ฝีเท้าก้าวถอยหลังไป กลับได้ยินเสียง ‘เพียะ’ เสียงหนึ่งดังขึ้น แก้มซ้ายเจ็บปวดแสบปวดร้อนในทันใด


 


 


“เหตุผลข้างๆ คูๆ วาจาคมคายนัก เจ้าก็คือใช้คำพูดไพเราะเสนาะหูพวกนี้ทำให้ศิษย์พี่เยี่ยหลงใหลใช่หรือไม่?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเอ็ดเสียงดุดัน


 


 


ค่อยๆ มีศิษย์ที่เดินทางผ่านไปผ่านมาเริ่มมุงดู ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย เพียงแต่ปล่อยพลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกดดันมั่วชิงเฉิน


 


 


ดีที่มั่วชิงเฉินจิตสัมผัสค่อนข้างแข็งแกร่งมาแต่กำเนิด ตอนที่อยู่ในแดนลี้ลับก็เคยสู้เป็นสู้ตายกับอสูรปีศาจชั้นสองที่มีตบะเทียบเท่าระดับสร้างรากฐานระยะต้น จึงไม่ถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นภายใต้แรงกดดันตามที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้คาดไว้ ในทางกลับกันกลับยืดหลังตรง


 


 


“ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่ใกล้พูดจาข้างๆ คูๆ ยิ่งไม่ได้เกาะแกะท่านอาจารย์อาเยี่ยเหมือนที่ท่านว่ามาเช่นนั้น…”


 


 


มั่วชิงเฉินยังพูดไม่จบ เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นอีกที แก้มข้างขวาแดงบวมขึ้นมาเช่นกัน


 


 


“ศิษย์น้องผู้นี้เหตุใดจึงไปตอแยกับท่านอาจารย์อาระดับสร้างรากฐานล่ะ?” ศิษย์ที่มุงดูอยู่มีคนหนึ่งแอบถามขึ้น


 


 


“คนผู้นั้นไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง” ศิษย์อีกคนหนึ่งกล่าว


 


 


คนที่ถามก่อนหน้าร้องอย่างตกใจว่า “อะไรนะ ไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง คาดไม่ถึงเลยว่าจะโอหังเพียงนี้?”


 


 


อีกคนหนึ่งรีบกระตุกเขาทีหนึ่งว่า “เจ้าเสียงเบาหน่อย ถูกได้ยินเข้าจะโชคร้ายนะ แม้นางไม่ใช่คนของพรรคเหยากวง ทว่าฐานะไม่ธรรมดา อย่าว่าแต่อาจารย์อาพวกนั้น แม้แต่ท่านปรมาจารย์พบเข้าก็ต้องยอมให้สามส่วน”


 


 


“เพราะเหตุใดล่ะ?”


 


 


อีกคนหนึ่งค้อนเขาปราดหนึ่งว่า “ข้าถึงว่าเจ้าอย่าเอาแต่บำเพ็ญเพียรอย่างโง่ๆ คนผู้นี้เป็นหลานสาวของเจ้าหุบเขาเขารั่วสุ่ย ได้ยินมาว่าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักรั่วสยา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ตามอาจารย์อาเยี่ยกลับมาเมื่อหลายปีก่อนก็คือนาง!”


 


 


“หา ที่มาใหญ่โตเพียงนี้ เช่นนั้นเหตุใดศิษย์น้องผู้นั้นยังกล้าไปตอแยด้วยล่ะ หรือว่าอยากตาย?” คนก่อนหน้าสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง


 


 


อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้านี่บำเพ็ญเพียรจนโง่แล้วจริงๆ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินว่าอาจารย์อาเยี่ยชอบแม่นางน้อยเข้าคนหนึ่งหรือไร คิดว่าก็คือศิษย์น้องผู้นี้แล้ว ท่านผู้อาวุโสผู้นั้นร้ายกาจนักแล ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมากมายที่เกาะแกะอาจารย์อาเยี่ยล้วนถูกนางจัดการมาก่อน เอาล่ะ เจ้ารีบดูเถอะ”


 


 


“ท่านผู้อาวุโส หากท่านไม่เชื่อ เหตุใดไม่ไปถามอาจารย์อาเยี่ยเองเจ้าคะ เหตุใดต้องทำให้ศิษย์ระดับหลอมลมปราณเช่นผู้น้อยต้องลำบากใจด้วย?” มั่วชิงเฉินพยายามอดทนไว้ไม่ให้ลงมือ อย่าว่าแต่ตนไม่ใช่คู่มือของเขาเลย คำวิจารณ์ของคนที่มุงดูเมื่อครู่ ล้วนถูกนางได้ยินหมดแล้ว


 


 


ตนเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตบะต่ำต้อยไม่มีที่พึ่งคนหนึ่ง หากสู้กับนางขึ้นมา ต่อให้นางฉวยโอกาสฆ่าตนเสีย ก็ไม่มีคนออกหน้าแทนตน ต่อให้นางไม่ลงมือฆ่าแกงกัน ขอเพียงประมือกัน เกรงว่าผลสุดท้ายคนที่ถูกลงโทษก็ยังคงเป็นตนเองอยู่ดี


 


 


หรือว่า นี่ก็คือแผนของนาง?


 


 


เสียงเพียะๆ ดังขึ้นอีกสองเสียง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงเห็นดาวตรงหน้า ฝีเท้าโซเซไปทีหนึ่ง


 


 


“ข้าจะดูเจ้ายังจะปากแข็ง…”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังขยับตัวอีก กลับได้ยินเสียงหนึ่งว่า “ศิษย์น้องหรวน ได้โปรดยั้งมือด้วย”


 


 


ทุกคนมองไป เห็นเพียงผู้ชายดูแล้วอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งเดินเข้ามา ตาเล็กจนดูไม่ออกว่าลืมอยู่หรือหลับอยู่ คือศิษย์ผู้ดูแลที่ปีนั้นพามั่วชิงเฉินขึ้นเขาชิงมู่นั่นเอง


 


 


“เจ้าเป็นใคร?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังยกคิ้วว่า กลับไม่ได้เก็บงำพลานุภาพเพราะคนที่มามีตบะสูงกว่าตนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง


 


 


คนที่มาบ่นในใจว่า พรรคเหยากวงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหลายร้อยคน เจ้าเป็นคนนอกคนหนึ่งไม่รู้จักก็เป็นเรื่องธรรมดา กลับเป็นแม่เจ้าประคุณรุนช่องท่านนี่สิชื่อเสียงด้านความโอหังในพรรคเหยากวงข้ากลับไม่มีคนไม่รู้จัก ปากกลับเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ศิษย์น้องหรวน ข้าแซ่เฉียน เป็นศิษย์ผู้ดูแลของเขาชิงมู่ ไม่ทราบนางหนูที่ไม่รู้ความนี่ไปทำอะไรให้ศิษย์น้องโกรธ หากมีที่นางทำไม่ถูก ศิษย์น้องต้องบอกข้านะ ข้าต้องมอบนางให้ศิษย์พี่ที่โถงลงทัณฑ์ ให้ลงโทษอย่างสาสมแน่นอน”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังถลึงตาหงส์ ฮึเสียงเย็นว่า “เป็นเช่นไรล่ะ ข้าก็คิดจะสั่งสอนนางหนูน้อยนี่กับมือ ไม่ได้หรืออย่างไร?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนโกรธอยู่ในใจ ไม่คิดว่าหญิงผู้นี้ถือว่ามีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งจึงเอาแต่ใจเช่นนี้ ไม่ไว้หน้าตนแม้แต่น้อย ใบหน้ากลับไม่แสดงอาการใดๆ ว่า “ศิษย์น้องหรวนพูดอะไรเช่นนั้น นางเป็นเพียงนางหนูน้อยระดับหลอมลมปราณบังอาจกล้าทำให้เจ้าโกรธ ต่อให้ตีจนปางตายก็เป็นเรื่องสมควร เพียงแต่ศิษย์พี่ก็เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงเตือนศิษย์น้องประโยคหนึ่ง ผู้ชายในโลกนี้มักทะนุถนอมอิสตรี ผู้บำเพ็ญเพียรก็ยากจะยกเว้น”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังได้ยินคำพูดข้างหลังแล้ว สีหน้าเริ่มอ่อนไหวขึ้นมา กลับไม่ยอมที่จะปล่อยมั่วชิงเฉินไปทั้งอย่างนี้ ปากก็แข็งว่า “ฮึ ผู้ชายล้วนโง่เช่นนี้!”


 


 


“หึๆๆ ศิษย์น้องหรวน เช่นนั้นข้าก็จะพานางหนูนี่ไปแล้วนะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนพูดพลางส่งสายตาให้มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินเพิ่งเดินได้ก้าวเดียว ก็ได้ยินผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังว่า “ช้าก่อน ข้าจะขอดูอย่างละเอียดหน่อยว่านางหนูนี่มีตรงไหนที่เหนือกว่าคนอื่นกันแน่”


 


 


พูดพลางเดินขึ้นหน้ามายื่นมือออก คาดไม่ถึงว่าคิดจะเปิดผมหน้าของมั่วชิงเฉินขึ้น


 


 


ต่อให้ถูกตบหน้าหลายที ใบหน้ามั่วชิงเฉินยังสุขุมอยู่ได้ ทว่าการกระทำของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนี้กลับทำให้นางตกใจสะดุ้งเฮือก


 


 


นางเข้าใจดีเหลือเกินว่าหน้าตาตนบัดนี้จะนำความยุ่งยากอะไรมาให้บ้าง หากวันนี้เปิดเผยต่อหน้าผู้คน นางที่ยังไม่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง ต่อไปอย่าคิดจะมีชีวิตสงบสุขเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตั้งใจบำเพ็ญเพียรเลย!


 


 


“แค่กๆ ศิษย์น้องหรวน เจ้าจำต้องทำเช่นนี้หรือ มีเรื่องหนึ่งศิษย์พี่ลืมบอกไป ที่นี่เป็นสถานที่ที่อาจารย์อาเหอกวงดูแล อาจารย์อารักความสงบ ยิ่งไม่ชอบให้มีคนมาทะเลาะในที่ของท่าน ศิษย์พี่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์อาเหอกวง มาเตือนสติศิษย์น้องทีหนึ่ง ทว่าศิษย์น้องเจ้าวางใจได้ นางหนูนี่ข้าพากลับไป ต้องลงโทษให้เข็ดหลาบแน่นอน”


 


 


ไม่รู้ใช่เพราะชื่อเสียงของนักพรตเหอกวงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังเกิดกลัวขึ้นมาหรือไม่ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเบิ่งตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่งว่า “สบายเจ้าแล้ว นางหนูบ้า ยกเว้นเจ้าอย่าออกจากเขาชิงมู่ ไม่เช่นนั้น…”


 


 


จนกระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดชาววังไปไกล ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกวาดสายตาผ่านผู้คนที่มุงดูปราดหนึ่ง ตะคอกว่า “พวกเจ้าว่างขนาดนี้หรือ ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรหรืออย่างไร?”


 


 


คนที่มุงดูกระจายไปทันที


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกวาดสายตาเย็นชามาที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกับมั่วชิงเฉิน สองสาวหดตัว เอ่ยอย่างว่าง่ายว่า “อาจารย์อาเฉียน…”


 


 


“หุบปาก พวกเจ้าไปโถงลงทัณฑ์ตอนนี้เลย!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ็ดว่า


 


 


“อาจารย์อาเฉียน พวกเราก็ทำเพราะความจำใจ…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งพูดอย่างน้อยใจ


 


 


แรงกดดันสายหนึ่งส่งผ่านมา สองสาวล้มลมกับพื้นพร้อมกัน ไม่กล้าเถียงอะไรอีก ลุกขึ้นมาแล้วรีบจากไปโดยไว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนมองมั่วชิงเฉินที่หน้าบวมมากปราดหนึ่ง ถอนใจว่า “เจ้ากลับไปเถอะ”


 


 


มั่วชิงเฉินย่อเข่า “ขอบคุณอาจารย์อาเฉียนเจ้าค่ะ”


 


 


“อย่าขอบคุณข้า จะขอบคุณก็ขอบคุณนักพรตเหอกวงเถอะ” อาจารย์อาเฉียนพูดพลางขี่กระบี่จากไป


 


 


มั่วชิงเฉินชะงักงัน หันหลังยกเท้ากำลังจะไป กลับต้องหยุดลงอีก


 


 


ไม่ไกลออกไป เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร

 

 

 


ตอนที่ 128

 

ลงโทษคนส่งสาร

 


 


 


“อาจารย์อาเยี่ย” มั่วชิงเฉินย่อตัวอย่างรวดเร็วหนึ่งที แล้วยกเท้าเดินจากไป


 


 


เยี่ยเทียนหยวนปรากฏตัวขึ้นหน้านางอย่างรวดเร็ว หน้าบึ้งว่า “เจ้าหนีอะไร?” พูดพลางสายตากวาดผ่านแก้มที่แดงบวมของนาง


 


 


“เรียนอาจารย์อา ผู้น้อยทำตามคำสั่งอาจารย์อา ห่างท่านให้ไกลหน่อยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงสงบ ในใจกลับคลื่นโหมกระหน่ำ เจ้าสารเลวนี่มาทำอันใดอีก ถ้าถูกคนอื่นเห็นเข้าตนต้องถูกตบอีกหลายทีใช่หรือไม่?


 


 


ช่างเป็นชายงามล่มเมืองจริงๆ!


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้ความขุ่นเคืองในใจของมั่วชิงเฉิน ขมวดคิ้วว่า “เจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่?”


 


 


ทอ-โอะ-นอ ทน มั่วชิงเฉินกำหมัดแน่นแล้วกัดฟัน “ผู้น้อยไม่กล้า อาจารย์อาเยี่ยมีบุญคุณช่วยชีวิตผู้น้อยไว้ ผู้น้อยยังไม่ทันได้ซาบซึ้งเลย ย่อมต้องทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นท่ากำหมัดแน่นของมั่วชิงเฉินแล้ว เยี่ยเทียนหยวนมีความรู้สึกว่านางจะกระโดดเข้ามาอัดตน จากนั้นก็รู้สึกเหลวไหล จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าจำได้ก็ดีที่สุด เมื่อครู่มีคนมาหาเจ้าใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดเล็กน้อย นางไม่หลงตัวเองขนาดคิดว่าอาจารย์อาเยี่ยหัวสูงผู้นี้จะเร่งมาช่วยตนหรอกนะ ตามนิสัยของเขาแล้ว ควรจะปล่อยให้เหล่าหญิงสาวตีกันหัวร้างข้างแตก เขาก็ไม่มองสักปราดเดียวถึงจะถูก


 


 


แม้นางจะโมโหคนผู้นี้ กลับดูออกว่า เขาไม่เหมือนผู้ชายบางคนที่ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับกับหญิงสาว หากแต่หลบหลีกยังหลบแทบไม่ทันจริงๆ


 


 


“เรียนอาจารย์อา เมื่อครู่มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมาหาผู้น้อยจริงๆ นี่ไงล่ะ หน้าของผู้น้อยก็ได้มาเพราะผู้อาวุโสท่านนั้น” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


นางเป็นนางเอกในนิยายน้ำเน่าประเภทนั้น ถูกตัวประกอบหญิงอำมหิตทำร้าย พระเอกวิ่งมาถาม ยังจะทำตัวเป็นแม่พระปกปิดให้นางเช่นนั้นหรือ?


 


 


ความสามารถไม่ถึงถูกเขาทำร้าย นางก็ได้แต่เอาคืนในวันข้างหน้า ทว่าบัดนี้สร้างความอึดอัดให้นางได้นางก็ยินดีที่จะทำ


 


 


ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้ เยี่ยเทียนหยวนเดินหน้ามาหนึ่งก้าว


 


 


พอเข้าใกล้ ความรู้สึกเช่นนั้นก็มาอีกแล้ว มั่วชิงเฉินแทบอยากจะตบหน้าตนแรงๆ อีกสักที เหตุใดจึงไม่เอาไหนเพียงนี้ นางถอยหลังอย่างทุลักทุเลไปหนึ่งก้าว ว่า “ท่านอาจารย์อาเยี่ย หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


พูดจบก็ไม่สนใจฐานะแล้ว หันหลังแล้วหนีไป


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองดูแผ่นหลังที่หนีอย่างหัวซุกหัวซุนของมั่วชิงเฉิน เม้มริมฝีปากบางแน่น แล้วบินไปทางเขารั่วสุ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินวิ่งภายในอึดใจเดียวไปถึงหน้าลานบ้านตนถึงหยุดลงมา พยุงประตูใหญ่ลายชิงมู่ แล้วยิ้มเยาะตนเอง


 


 


มีใครเคยประสบบ้าง ความรู้สึกที่ในใจรังเกียจจวนจะตายแท้ๆ ทว่าร่างกายกลับอยากเข้าใกล้อย่างบังคับตนเองไม่ได้?


 


 


เมื่อเข้าไปในลานบ้าน กลับพบยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งไม่รู้โผล่ออกมาจากมุมไหน ตกลงสู่มือนาง


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน ข้าได้ยินมาว่าหรวนหลิงซิ่วจะไปหาเรื่องเจ้า หญิงผู้นั้นนิสัยเอาแต่ใจ หากเจ้าถูกนางพบเข้า จำไว้ว่าอย่าใช้ไม้แข็งปะทะแข็ง อดทนความโกรธเพียงชั่ววูบถึงเป็นวิธีที่ยั่งยืน ข้าได้บอกเรื่องนี้แก่ศิษย์พี่เยี่ยที่นางใส่ใจที่สุดแล้ว อาจสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ จากมั่วหลีลั่ว”


 


 


มั่วชิงเฉินอ่านสารบนยันต์ส่งสารจบ ยันต์แผ่นนั้นก็ระเบิดแตกออก กลายเป็นควันเขียวกระจายไปในอากาศ


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาเยี่ยหรือว่าหรวนหลิงซิ่ว ไปตายเสียให้หมดเถอะ


 


 


สิบวันที่นางอยู่ในแดนลี้ลับ ต้องตื่นตัวคอยระมัดระวังเต็มที่ตลอด ศึกระหว่างความเป็นความตายยิ่งผ่านมาหลายครั้ง บวกกับสภาพจิตใจที่สูงขึ้นบนเรือบิน และคลื่นลมต่างๆ หลังจากนั้น บัดนี้สิ่งที่ต้องการที่สุด ก็คือสงบใจลงมาบำเพ็ญเพียร


 


 


เข้าไปในห้องที่ไม่ได้กลับมาหลายวัน มั่วชิงเฉินเสกคาถาปัดกวาดฝุ่นผง แล้วนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พิจารณาตนที่บวมเป็นหัวหมูในกระจกแก้วทีหนึ่ง


 


 


จากนั้น นางรื้อยามังกรเหลืองออกมา ใช้ปลายนิ้วแตะแล้วทาลงบนแก้ม รู้สึกเย็นขึ้นมาทันที ความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทุเลาลงมาก


 


 


“วั่งชวน ข้ากลับมาแล้ว อย่างไรก็เจ้าดีที่สุด มักอยู่เป็นเพื่อนข้าอย่างสงบ ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่?” มั่วชิงเฉินเรียกหุ่นเชิดวั่งชวนออกมา ในมือถือขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่ง


 


 


วั่งชวนย่อมไม่ขยับเขยื้อนเป็นธรรมดา มั่วชิงเฉินก็ไม่ใส่ใจ ดื่มสุราจากขวดน้ำเต้าทีละอึกๆ ขึ้นมา


 


 


ไม่รู้ดื่มไปเท่าไร ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินพึมพำว่า “วั่งชวน เสียดายที่เจ้าพูดไม่ได้ บอกข้าไม่ได้ว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”


 


 


พูดถึงตรงนี้ก็พูดไม่ออก นึกถึงตาเฒ่าน่ารักที่อารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน กลับเฉพาะเจาะจงอดทนสอนตนด้วยตนเองตั้งแต่ความรู้ทั่วไปของโลกบำเพ็ญเพียรจนถึงข่าวลับต่างๆ น้ำตาที่ไม่เห็นเสียนานของมั่วชิงเฉินก็เอ่อขึ้นมา


 


 


“ท่านปู่ หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ต้องบอกชิงเฉินได้แน่ใช่ไหมเจ้าคะ ว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เหตุใดชิงเฉินพบชายผู้นั้นแล้ว ก็จะถูกดึงดูดอย่างหักห้ามใจไม่ได้? หรือว่า หญิงอื่นก็เป็นเช่นนี้ ถึงต่างเกาะแกะเขาอย่างบ้าคลั่ง?” มั่วชิงเฉินพึมพำไปเรื่อยเปื่อย


 


 


“ไม่ถูก ไม่ถูก ชิงเฉินดูออก ดูเหมือนเขาก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันต่อข้า นี่เพราะอะไร หรือว่าเพราะเขาเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ ทว่า ทว่าชิงเฉินไม่ใช่ร่างหยินบริสุทธิ์นี่นา…” มั่วชิงเฉินกอบขวดน้ำเต้าสุราไว้ พูดบ่นไปเรื่อย


 


 


ผ่านไปพักใหญ่ นางขดตัวอยู่บนเตียง ค่อยๆ หลับลึกแล้ว


 


 


ผ่านการปล่อยตัวปล่อยใจหนึ่งวัน มั่วชิงเฉินที่ไม่ชอบยึดติดกับอะไรที่ไม่ได้คำตอบก็ทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลัง แล้วเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรอย่างตั้งใจเต็มที่


 


 


พริบตาเดียวผ่านไปสามเดือนกว่า มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นค่อยๆ ถอนหายใจออก เป็นจริงดังคาด ตนยังคงชอบวันเวลาที่บำเพ็ญเพียรด้วยใจสงบเช่นนี้ ทว่าประโยชน์ของการต่อสู้จริงก็มากมายจริงๆ นี่อย่างไรล่ะเวลายังไม่ถึงหนึ่งปี ไม่คิดว่านางจะขึ้นถึงขั้นสิบแล้ว


 


 


แม้จะบอกว่าโอสถของตนเพียงพอเสมอมา ทว่าอาศัยพรสวรรค์ของตน ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้กลับแยกจากการทดสอบของหุบเขาโยวเล่อและการทะลวงสภาพจิตใจโดยบังเอิญบนเรือบินไม่ออก


 


 


ยืนอยู่กลางลานบ้าน มั่วชิงเฉินหายากที่จะมีเวลาว่างพิจารณาต้นทับทิมที่เพิ่งแตกหน่อสีเขียวที่อยู่ข้างกำแพง นกกระเต็นสองสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ร้องจิ๊บๆ จู่ๆ ก็มีอารมณ์ขึ้นมา รื้อเก้าอี้โยกตัวหนึ่งจากถุงเก็บวัตถุวางไว้ใต้ต้นไม้ ทั้งตัวขดอยู่ในเก้าอี้โยก หรี่ตาครึ่งหนึ่งแล้วดื่มสุราทีละอึกๆ


 


 


น้ำเต้านี้ช่างเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ไม่เพียงแต่มีสุราเลิศรสไม่ขาดสาย ยังสามารถเร่งสมุนไพรทิพย์ให้สุกงอม ไม่แน่ในอนาคต อาจจะสามารถค้นพบวิธีใช้มหัศจรรย์อย่างอื่นก็ไม่แน่…


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มที่มุมปาก ปลายนิ้วไล้ผ่านขวดน้ำเต้าน้อยที่ทำเป็นจี้ห้อยคอ


 


 


กลับจู่ๆ ได้ยินเสียงหนึ่งว่า “แว้ดๆ เจ้าคิดจะหมกข้าให้ตายหรือไง ยังไม่ปล่อยข้าออกไปอีก!”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก ถึงนึกได้ว่าเป็นเสียงของอีกาไฟตัวนั้น วันนั้นเนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บถูกตนเก็บไว้ในถุงอสูรวิญญาณ ยามที่กำลังจะออกจากหุบเขาคิดๆ แล้ว ยังคงไม่ได้ปล่อยมันไว้ เพราะอย่างไรเสียในแดนลี้ลับมีปีศาจอสูรมากมาย มันที่สลบไสลไม่ฟื้นไม่แน่ก็อาจกลายเป็นอาหารกลางวันในท้องของพวกมัน


 


 


อย่างไรเสียก็อยู่ด้วยกันมาระยะเวลาหนึ่ง ต่อให้จะแยกจากกันก็ต้องรอมันตื่นก่อนค่อยว่ากัน ใครจะรู้ว่ามันจะนอนตั้งหลายวันเพียงนี้ จนตนเกือบจะลืมว่ามีเจ้านี่อยู่เสียแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินพิจารณาจิต อีกาไฟก็กระโดดออกมาจากถุงอสูรวิญญาณ กระพือปีกอยู่กลางอากาศมองไปรอบด้าน แล้วทำตาเหลือกพูดอย่างดูแคลนว่า “ที่นี่ที่ไหนน่ะ โล้นเลี่ยนเตียนเชียว น่าเกลียดจริงๆ!”


 


 


“นี่คือที่พำนักของข้า” มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากว่า นางว่าแล้ว เมื่อเจ้านี่ออกมาก ชีวิตเงียบสงบของตนก็หายไปไม่ย้อนกลับแล้ว


 


 


อีกาไฟฟังแล้วแว้ดๆสองที หัวเราะเยาะว่า “เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่อัปลักษณ์เช่นนี้หรือเนี่ย จุ๊ๆ…ไม่ถูกนี่นา เหตุใดข้าถึงอยู่ที่นี่ได้!” ขึ้นเสียงสูงทันที


 


 


มั่วชิงเฉินขมับเต้นตุ้บๆ กัดฟันว่า “เจ้าอย่าหนวกหูเช่นนี้จะได้หรือไม่ วันนั้นเจ้าได้รับบาดเจ็บข้าจึงติดมือพาเจ้าออกจากหุบเขาโยวเล่อ…”


 


 


“ติดมือ?” ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูดจบ อีกาไฟก็โมโหกรีดร้องขึ้นมา


 


 


มั่วชิงเฉินไม่สนใจมัน พูดต่อว่า “หากคิดจะกลับไปก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ รอสิบปีให้หลังแดนลี้ลับหุบเขาโยวเล่อเปิดออกอีกครั้ง เจ้าก็…”


 


 


“สิบปี!!” อีกาไฟร้องเสียงยิ่งดังขึ้นอีก


 


 


ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หน้าบึ้งลง “หุบปาก เอาเป็นว่าบัดนี้ก็เป็นเช่นนี้แหละ เจ้าไม่เต็มใจก็ช่วยไม่ได้”


 


 


แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่คนอดกลั้นฝืนทน เวลาสู้คนอื่นไม่ได้ต้องอดทนชั่วคราวเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าสู้ได้ยังต้องทน นั่นก็คือทรมานตนเอง


 


 


อีกาไฟชะงักอยู่กลางอากาศ ปีกลืมกระพือ ยามที่ร่างทั้งร่างร่วงลงมาถึงกระพือขึ้นมาอย่างสุดชีวิตอีก บินขึ้นไปเกาะบนต้นทับทิม แล้วร้องแว้ดๆ สองทีอย่างน้อยใจ


 


 


ไม่รู้ใช่คิดไปเองหรือไม่ ไม่คิดว่ามั่วชิงเฉินจะฟังออกถึงความเศร้าโศกในเสียงร้องนี้ แต่กลับนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้โยกอย่างไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย หรี่ตาเริ่มดื่มสุราขึ้นมา


 


 


“เอื้อก” เสียงประหลาดเสียงหนึ่งลอยมา


 


 


มั่วชิงเฉินมือกระตุกทีหนึ่ง จิบสุราต่ออีกอึก


 


 


“เอื้อก” เสียงลอยมาอีกแล้ว


 


 


ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็เหล่อีกาไฟปราดหนึ่ง


 


 


อีกาไฟส่งเสียงทางจิตอย่างขุ่นเคือง “เจ้าดื่มอะไรน่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่อยากรังแกมันเกินไป จึงยกมือส่ายไปมาว่า “สุราทิพย์ เจ้าจะลองชิมดูหรือไม่?”


 


 


เพื่อไม่ให้ความลับของขวดน้ำเต้ารั่วไหล มั่วชิงเฉินก็เรียกสุราเลิศรสที่นางดื่มเป็นประจำว่าสุราทิพย์เช่นกัน อย่างไรเสียชนิดของสุราทิพย์มีมากมาย ใครจะตามสืบสาวต้นสายปลายเหตุได้ล่ะ


 


 


“เอื้อก” อีกาไฟจ้องขวดน้ำเต้าในมือมั่วชิงเฉิน แล้วกลืนน้ำลายอีก “ข้าก็จะดื่ม!”


 


 


แสงสีเขียวสายหนึ่งลอยมา อีกาไฟยื่นปีกออกรับไว้ ค่อยๆ กอบขึ้นมา เอาปากฝังเข้าไปข้างในเริ่มดื่มขึ้นมา


 


 


เห็นท่าทางฝังหัวดื่มสุราของมัน มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคัก


 


 


“แว้ดๆ ต่อไปเจ้าให้ข้าดื่มสุรานี่ทุกวัน ข้าก็ไม่ไปแล้ว แว้ดๆ” อีกาไฟหมุนรอบอย่างตื่นเต้น


 


 


“ข้าไม่ได้ขอร้องให้เจ้าอยู่เสียหน่อย หากเจ้าเต็มใจ ก็สามารถยกเลิกพันธสัญญาได้ตลอดเวลา” มั่วชิงเฉินหยอกเล่นว่า


 


 


อีกาไฟโมโหจนตาเหลือก แต่ก็อาลัยอาวรณ์รสชาติของสุราทิพย์อีก จึงบิดตัวว่า “เช่นนั้นต่อไปข้าช่วยเจ้าตีกับคนอื่น เจ้าให้ข้าดื่มสุรา!”


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่หนึ่งที นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกาตัวหนึ่งก็รู้จักขายแรงงาน


 


 


“แว้ดๆ ตกลงได้หรือไม่ได้ มนุษย์อย่างพวกเจ้า ช่างจุกจิกจู้จี้” อีกาไฟร้อง


 


 


มั่วชิงเฉินยกคางขึ้น “ได้สิ อ้าว โอกาสการแสดงฝีมือของเจ้ามาแล้ว!”


 


 


หน้าประตูมีความเคลื่อนไหว อีกาไฟบินสวบเข้าไป อ้าปากพ่นลูกไฟออกมาลูกหนึ่ง


 


 


“เอ๊ะ นี่มันตัวอะไร?” ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวลอยมา


 


 


จากนั้นก็เห็นหญิงสาวสองคนหนีเข้ามาอย่างทุลักทุเล เสื้อบนตัวของทั้งสองคนถูกเผาจนขาดวิ่น คนหนึ่งในนั้นผมยังถูกเผาจนไหม้ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ไม่น่าดม


 


 


มั่วชิงเฉินเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โยกมองดูโดยไม่ออกเสียง มุมปากกระดก


 


 


อีกาไฟมีตบะเกือบเท่าระดับหลอมลมปราณโดยสมบูรณ์ พวกนางสองคนจะรับมือได้อย่างไรไหว


 


 


“แว้ดๆ!” อีกาไฟบินไปถึงหน้ามั่วชิงเฉิน ร้องอย่างเอาหน้า


 


 


สองสาวแม้ฟังภาษาอีกาไฟไม่ออก แต่กลับเห็นความสัมพันธ์ของมันและมั่วชิงเฉินอย่างชัดเจน คนหนึ่งในนั้นโมโหว่า “มั่วชิงเฉิน ไม่คิดว่าเจ้าจะใช้เดรัจฉานมาโจมตีเรา ไม่กลัวข้าไปบอกอาจารย์อาผู้ดูแลหรืออย่างไร?”

 

 

 


ตอนที่ 129

 

ผ่านไปสามปีอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

 


 


 


ได้ยินเดรัจฉานสามคำ อีกาไฟโมโหจนพองขน อ้าปากจะพ่นไฟอีกกลับถูกมั่วชิงเฉินขวางไว้


 


 


“ศิษย์น้องหวัง เจ้าแน่ใจว่าจะไปบอกอาจารย์อาผู้ดูแลเช่นนั้นหรือ?” อยู่มาตั้งหลายปี ไม่นึกว่ามั่วชิงเฉินยังไม่รู้ชื่อของสองคนนี้ รู้เพียงคนหนึ่งแซ่หวัง คนหนึ่งแซ่จู


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังได้ยิน ‘ศิษย์น้องหวัง’ สามคำแล้วชะงักงัน จากนั้นเพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างละเอียด ตาเบิกโตในทันใดว่า “เจ้า…ไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบแล้ว!”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูก็ชะงักเช่นกัน ในตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีจากระดับหลอมลมปราณขั้นเก้าขึ้นถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบ ความเร็วนี้จะเร็วเกินไปสักหน่อยแล้ว


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินท่าทางไม่แยแส ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่หวังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าอย่านึกว่าตนบำเพ็ญเพียรได้เร็วก็โอหังเช่นนี้ พรรคเหยากวงอัจฉริยะมีมากมาย เจ้าแม้แต่จะถือรองเท้าให้ชาวบ้านยังไม่คู่ควร…โอ๊ย!”


 


 


ได้ยินเพียง ‘เพียะ’ เสียงหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หวังเอามือปิดหน้าข้างซ้ายทันที


 


 


มั่วชิงเฉินฝึกเข็มกล้วยไม้ปัดจุดตั้งแต่เด็ก มือย่อมไวกว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่เขตแดนเดียวกันมาก เวลาว่างเว้นจากการบำเพ็ญเพียรยังฝึกคาถาที่ใช้บ่อยอย่างไม่ว่างเว้น ความเร็วในการเสกคาถายิ่งไม่ใช่ธรรมดา ในสถานการณ์ที่ตบะสูงกว่าสองคนนี้ ทำกับพวกนางได้ถึงขั้นที่วันนั้นหรวนหลิงซิ่วทำกับตน เป็นเรื่องง่ายดายแค่พลิกฝ่ามือ


 


 


“ศิษย์พี่หวัง พวกเราไป” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จูกลับรู้จักดูสถานการณ์ เห็นฝีมือห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้มั่วชิงเฉิน จึงลากนักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังเดินออกไปข้างนอก


 


 


เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นเสียงหนึ่งเช่นกัน แก้มซ้ายของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูบวมขึ้นทันที


 


 


“เจ้า เจ้ารังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จูท่าทางจะร้องไห้


 


 


มั่วชิงเฉินแทบอยากจะทำตาเหลือก ตนและพวกนางไม่มีความแค้นต่อกัน วันนั้นพอเห็นนางปุ๊บกลับรีบส่งสารให้หรวนหลิงซิ่วทันที เห็นชัดว่าได้รับคำสัญญาอะไรจากหรวนหลิงซิ่ว วันนี้กลับทำท่าทางเหมือนเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือว่าคิดว่าตนเป็นคนโง่หรืออย่างไร?


 


 


“จะบอกว่าข้ารังแกกันเกินไปก็ดี โอหังก็ได้ กฎเกณฑ์ของพรรคเหยากวงพวกเจ้าก็รู้ดี ขอเพียงไม่ใช่ตายไปหรือเพราะตบะเพิ่มขึ้นจึงได้เปลี่ยนที่อยู่ ที่อยู่ของศิษย์ธรรมดาถูกกำหนดตายตัวไว้แล้ว พวกเจ้าต้องอยู่กันอย่างยาวนานกับข้าอยู่แล้ว วันนี้ไปบอกอาจารย์อาผู้ดูแล ข้าอาจได้รับบทลงโทษบ้าง ทว่าวันนั้นพวกเจ้าก็เห็นแล้ว ความเจ็บปวดทางเนื้อหนังข้าไม่ใส่ใจ ไม่ว่าอะไรก็เทียบกับความสะใจในใจข้าไม่ได้ เอาเป็นว่า ขอเพียงพวกเจ้าออกจากประตูนี้ไปฟ้อง ต่อไปข้าเห็นพวกเจ้าครั้งหนึ่งตีครั้งหนึ่ง นอกจากพวกเจ้าไม่กลับมา” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเฉื่อยชา


 


 


“เจ้า…เจ้าข่มขู่พวกเรา!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หวังโมโหจนคิ้วโก่งกลับตั้งขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว “นี่เจ้าก็ดูออกหรือเนี่ย เป็นเช่นไร คิดดีแล้วหรือยัง?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูพูดแทรกว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าไม่กลัวอาจารย์อาหรวนมาหาเจ้าอีกหรืออย่างไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินแสยะมุมปาก “ข้ากลัวจังเลย แต่ข้าไม่ออกจากเขาชิงมู่นางจะทำอะไรข้าได้อีกเล่า? หึๆ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นให้ประโยชน์อะไรแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจึงผลักไสเพื่อนร่วมที่พำนักที่ไม่เคยมีความแค้นต่อกันเข้าสู่ทางตัน ก็ไม่รู้ว่าชีวิตในโถงลงทัณฑ์อยู่สุขสบายดีหรือไม่?”


 


 


ได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน สองสาวสีหน้าเปลี่ยนในทันใด พวกนางอยู่ในโถงลงทัณฑ์มาสามเดือนกว่าเต็มๆ วันนี้ถึงถูกปล่อยออกมา นึกถึงที่นั่นใจก็สั่นหมดแล้ว


 


 


ในใจผู้บำเพ็ญเพียรแซ่จูอดตำหนิไม่ได้ เพราะศิษย์พี่หวังคนเดียว หากวันนั้นไม่โลภอยากได้โอสถที่อาจารย์อาหรวนสัญญาไว้ ก็ไม่ต้องสร้างหนี้แค้นนี้ขึ้น สุดท้ายไม่มีโอกาสไปทวงโอสถจากอาจารย์อาหรวน ยังทำให้อาจารย์อาผู้ดูแลไม่พอใจอีก


 


 


มั่วชิงเฉินผู้นี้สามารถรอดออกมาจากแดนลี้ลับได้ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็เร็วปานนี้อีก อนาคตไม่แน่อาจมีบุญพาวาสนาส่งอะไรก็ได้ เหตุใดตนต้องสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นมาคนหนึ่งด้วยล่ะ


 


 


คิดถึงตรงนี้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่จูกระตุกชายเสื้อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแซ่หวัง “ศิษย์พี่หวัง ไม่สู้…”


 


 


“เป็นเช่นไร หรือว่าเรื่องในวันนี้ก็ช่างทั้งเช่นนี้แล้วหรือ เช่นนั้นวันหลังเรามิต้องโดนรังแกทุกวันหรอกหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงหวังเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงจูน้ำเสียงอ่อนไหว จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ


 


 


การกระทำเช่นนี้ของมั่วชิงเฉิน เป็นเพียงการระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเท่านั้น อย่างไรเสียคิดจะทวงคืนจากหรวนหลิงซิ่วยังไม่รู้เลยว่าเป็นเวลาใด บัดนี้เก็บดอกเบี้ยได้สักนิดก็ยังดี ก็ไม่ได้คิดว่าต่อไปจะทรมานพวกนางทุกวันจริงๆ หรอก


 


 


ต่อให้พวกนางอยาก นางยังไม่เต็มใจเลย นางมีเวลาเช่นนั้นที่ไหนกัน!


 


 


“พวกเจ้าวางใจ ขอเพียงต่อไปพวกเจ้าไม่ตอแยข้า ข้าย่อมไม่หาเรื่องพวกเจ้า มีเวลาเช่นนั้นข้ายังไม่สู้เอามาบำเพ็ญเพียรซะดีกว่า!” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา


 


 


สองสาวเห็นชัดว่าโล่งอก แต่กลับรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่สนใจ หันหลังเดินเข้าห้องไป แล้วพูดโดยไม่หันกลับมาว่า “จำไว้ เรื่องนั้นก็ถือว่าแล้วกันไป หากมีครั้งต่อไป แม้ไม่อาจฆ่าศิษย์ร่วมสำนักได้ แต่หากศิษย์ตัวเล็กๆ ระดับหลอมลมปราณหายสาบสูญไปสักคนสองคน เกรงว่าคงไม่มีคนพบกระมัง?”


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าไปในห้อง ถอนหายใจยาวอึดหนึ่ง ขอให้ต่อไปสองคนนี้อย่าสร้างเรื่องอะไรอีกเลย เมื่อครู่แม้พูดจาร้ายกาจไป แต่หากจะให้นางฆ่าคนในสำนัก นางยังไม่กล้าขนาดนั้นจริงๆ หากถูกพบเข้า ผลลัพธ์ไม่กล้าคาดคิด


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสองคนนั้นตกใจกับคำพูดนั้นของมั่วชิงเฉินจริงๆ ปกติหลบอยู่ในห้องบำเพ็ญเพียรทั้งวัน หากออกไปทำภารกิจ เจอมั่วชิงเฉินโดยบังเอิญก็รีบร้อนพยักหน้าแวบหนึ่งแล้วผ่านไป ชีวิตของมั่วชิงเฉินกลับสงบลงมากทีเดียว


 


 


ตามที่อากาศยิ่งอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ต้นทับทิมในลานบ้านยิ่งโตยิ่งงาม ไม่นึกว่าอีกาไฟจะสร้างรังไว้ข้างบนไว้รังหนึ่ง เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมกลับเข้าถุงอสูรวิญญาณ


 


 


มั่วชิงเฉินก็ไม่บังคับ ทุกอย่างปล่อยตามสบายมันไป เพียงแต่เตือนมันว่าห้ามออกไปสร้างปัญหา


 


 


ในวันนี้ มั่วชิงเฉินที่รู้สึกว่าจิตวิญญาณสิ้นเปลืองค่อนข้างมากเกินไปเนื่องจากบำเพ็ญเพียรติดต่อกันในที่สุดก็หยุดลงมาแล้ว นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ ตรวจนับถุงเก็บวัตถุที่ยึดได้มาจากหุบเขาโยวเล่อตอนนั้น


 


 


ในหุบเขาโยวเล่อ นอกจากเริ่มแรกไม่กี่วัน วันหลังจากนั้นล้วนร่วมมือกับต้วนชิงเกอต่อสู้กับศัตรู ผลเก็บเกี่ยวที่ได้มาทั้งสองคนแบ่งอย่างหยาบๆ ก่อนออกจากหุบเขาแล้ว หลังจากออกมาก็ถูกเรื่องมากมายเป็นพรวนเกี่ยวพันไว้ ที่จริงตนมีของอะไรที่ใช้ได้กันแน่ ยังไม่รู้จริงๆ


 


 


ในหุบเขาที่สิ้นเปลืองมากที่สุดคือยันต์และโอสถ มั่วชิงเฉินคัดแยกยันต์ที่เหลือไม่มาก โอสถ และหินวิญญาณตามประเภทแล้วเก็บขึ้น เริ่มตรวจนับวัตถุดิบ


 


 


วัตถุดิบประกอบด้วยหินแร่ หินหยก หญ้าทิพย์ สมุนไพรทิพย์ ไม้ประหลาดต่างๆ เป็นสิ่งของที่เบ็ดเตล็ดที่สุด และก็เป็นการทดสอบความรู้ของคนที่สุด


 


 


มั่วชิงเฉินเอาของที่รู้จักแยกตามประเภทเก็บขึ้น ของที่ไม่รู้จักวางไว้ข้างๆ เก็บไว้ต่อไปค่อยว่ากัน


 


 


นี่ถึงเริ่มตรวจดูอาวุธเวทที่เก็บเกี่ยวได้ครั้งนี้


 


 


เพราะว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าแดนลี้ลับ นอกจากหลายสำนักใหญ่แล้ว ยังมีสำนักเล็กๆและตระกูลมากมาย ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณทุกคนจะสามารถมีอาวุธเวทได้ บวกกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอาวุธเวทในยามหน้าสิ่วหน้าขวานล้วนใช้มันต้านไว้อย่างสุดความสามารถ อาวุธเวทมากมายที่ต้อเสียหาย ดังนั้นอาวุธเวทที่มั่วชิงเฉินได้มานั้นจึงมีไม่มาก


 


 


อาวุธเวทโจมตีประเภทกระบี่บินสิบกว่าเล่ม นอกจากเล่มหนึ่งเป็นระดับกลาง นอกนั้นล้วนเป็นระดับล่าง ซึ่งก็คือของแบกับดินที่เห็นบ่อยที่สุดในโลกบำเพ็ญเพียร


 


 


นอกนั้นมีปิ่นหยกหนึ่งอัน เป็นอาวุธเวทที่รวมการโจมตีและกักศัตรูไว้ในชิ้นเดียวกัน ดูจากคุณภาพของแล้วยังนับว่าไม่เลว เป็นอาวุธเวทระดับกลาง เพียงแต่มั่วชิงเฉินที่ใช้ชามใหญ่จนชินแล้วกลับไม่ค่อยสนใจเท่าไร


 


 


นางอยากได้มากที่สุดคืออาวุธเวทโจมตี ส่วนเหินหาว กักศัตรูและป้องกันมีชามใหญ่แล้ว อย่างน้อยก่อนถึงระดับก่อแก่นปราณ หากไม่พบที่ดีเป็นพิเศษ ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแล้ว


 


 


ต้องรู้ว่า นอกจากตบะไม่พูดถึง ระดับความคุ้นเคยที่ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งมีต่ออาวุธเวทนั้น เป็นการตัดสินพลานุภาพของอาวุธเวทชิ้นนั้นโดยตรง


 


 


แล้วดูอาวุธเวทสองสามชิ้นนั้น ล้วนธรรมดา ไม่มีสิ่งใดทำให้ใจหวั่นไหวได้ มั่วชิงเฉินหยิบอาวุธเวทชิ้นสุดท้ายขึ้นมา


 


 


อาวุธเวทชิ้นนี้ขนาดเท่าแค่ฝ่ามือ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความหนาอยู่บ้าง สีเหลืองดิน ดูแล้วไม่ค่อยน่าดูจริงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินจับมันเล่น ดูอย่างไรก็รู้สึกว่านี่เป็น…อิฐก้อนหนึ่ง


 


 


ทิ้งการคาดเดาแปลกประหลาดของตนไป นางยื่นจิตสัมผัสลูบคลำขึ้นมา


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด


 


 


อาวุธเวทนี้เป็นอาวุธเวทโจมตีจริงแท้แน่นอน วิธีใช้ก็ง่ายมาก หลังจากใช้พลังวิญญาณปลุกขึ้นมาแล้วก็จะใหญ่ขึ้น ขนาดอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นอยู่กับพลังวิญญาณที่ใช้ เวลาโจมตีก็คือบังคับให้มันฟาดไปที่ตัวคู่ต่อสู้


 


 


นี่ นี่ก็คืออิฐก้อนหนึ่ง!


 


 


อันว่าคนมีพละกำลังเอาชนะคนเป็นวรยุทธ์ได้สิบคน ในด้านการโจมตีมั่วชิงเฉินมีเถาวัลย์และเข็มสีเขียว ล้วนเน้นที่การเล่นทีเผลอ ใช้ไหวพริบเอาชนะต่างๆ ที่ขาดก็คืออาวุธเวทที่สู้ศึกซึ่งหน้าด้วยกำลังที่แท้จริง ไร้ซึ่งไหวพริบประเภทนี้พอดี


 


 


เพียงแต่คิดถึงว่ามีวันหนึ่ง ตนนั่งอยู่บนชามใหญ่บินไปหน้าคู่ต่อสู้ จากนั้นโยนอิฐลงไปก้อนหนึ่ง นี่…จะไม่งามเกินไปหรือเปล่า?


 


 


แม้จะหัวเราะเยาะตนแก้เบื่อเช่นนี้ แต่มั่วชิงเฉินกลับตัดสินใจใช้ชิ้นนี้โดยไม่ลังเล อย่างไรเสียงอาวุธเวทที่ตรงกับสิ่งที่ตนต้องการนั้นหายากเหลือเกิน


 


 


ในเมื่อการบำเพ็ญเพียรช้าลง ยิ่งใจร้อนก็ยิ่งไม่มีประสิทธิภาพ มั่วชิงเฉินตัดสินใจวันเวลาต่อจากนี้จะศึกษาอาวุธเวทนี้อย่างดี ภายภาคหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำเวลาปะทะกัน


 


 


ทว่าผ่านไปไม่กี่วัน นางก็ได้รับยันต์ส่งสารจากโถงจัดหา ที่แท้โอสถสร้างรากฐานหลอมเสร็จแล้ว แจ้งให้ศิษย์ที่ตรงกับคุณสมบัติการรับไปรับโอสถ


 


 


มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าหรวนหลิงซิ่วคนนั้นว่างไม่มีอะไรทำจริงหรือไม่ ทุกวันเอาแต่จ้องตนออกจากเขาชิงมู่หรือไม่ ทว่าได้ยินมาว่าหญิงผู้นั้นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนผู้นั้นก็จะบ้าคลั่งอยู่บ้าง ไม่แน่อาจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็ได้ คิดๆ ดูแล้ว จึงส่งยันต์ส่งสารให้ต้วนชิงเกอแผ่นหนึ่ง


 


 


ไม่นานนัก ต้วนชิงเกอก็ตอบยันต์ส่งสารกลับมา “ศิษย์น้องชิงเฉิน เห็นอักษรเหมือนเห็นหน้า ไม่คิดว่าหลังจากเจ้ากลับไปแล้วจะพบเจอคลื่นลมแรงเช่นนั้น ไม่คิดว่าเจ้าจะไม่บอกข้า ข้าก็เพิ่งสิ้นสุดการกักตน เวลาอันใกล้นี้อาจจะยังรับภารกิจบ้าง ในเมื่อเจ้าพูดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจหาเรื่องเจ้า เพื่อความปลอดภัยอย่าเพิ่งออกจากเขาชิงมู่ดีกว่า ข้าสืบข่าวมาแล้ว ผู้หญิงคนนั้นนอกจากปรมาจารย์ระดับก่อกำเนิดไม่กี่ท่าน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณที่ไม่มีภูมิหลังนางก็ไม่ไว้หน้า ยามนี้แข็งกับนางเป็นการไม่ฉลาดโดยแท้ ในสำนักมีระเบียบว่าไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ตบะยังไม่ทะลวงระดับสร้างรากฐาน เพื่อความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องรับโอสถสร้างรากฐานเป็นการชั่วคราว รอวันหลังตบะถึงแล้วค่อยไปรับก็ไม่สาย เจ้าไม่สู้ทุ่มเทใจบำเพ็ญเพียร รอผู้หญิงนั่นค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ค่อยวางแผนใหม่ จากศิษย์พี่ ต้วนชิงเกอ


 


 


มั่วชิงเฉินฟังคำแนะนำของต้วนชิงเกอ จึงทุ่มเทกายใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา เวลาคั่นกลางจากการบำเพ็ญเพียร ก็จะศึกษาคาถาอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมทำความคุ้นเคยอาวุธเวทสองชิ้นและค่ายกล เมื่อโอสถบางชนิดใกล้ใช้หมดแล้ว ก็จะเปิดเตาหลอมโอสถ


 


 


นอกจากบางทีปลอมตัวไปตลาดขายสุราทิพย์หรือซื้อวัตถุดิบบางอย่าง มั่วชิงเฉินแทบจะไม่ก้าวออกจากบ้าน


 


 


อีกาไฟผ่านช่วงตื่นเต้นในช่วงแรกสุดแล้ว เริ่มเบื่อขึ้นมา เพื่อป้องกันการรบกวนของมัน มั่วชิงเฉินอุตส่าห์หลอมยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวไว้หลายขวดใหญ่โยนให้มัน ให้มันได้บำเพ็ญเพียรอย่างอุ่นใจ


 


 


ยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวเป็นยาที่ให้อสูรวิญญาณกินโดยเฉพาะ เป็นโอสถทิพย์ที่สามารถเพิ่มพลัง


 


 


การบำเพ็ญเพียรตามขั้นตอนเช่นนี้ พริบตาเดียวก็อีกสามปี


 


 


มั่วชิงเฉินอายุยี่สิบสองปี อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดแล้ว


 


 


นางที่เพิ่งคิดจะผ่อนคลายสักระยะเวลาหนึ่ง จู่ๆ กลับได้รับยันต์ส่งสารที่เหนือความคาดหมายมาก่อน เนื้อหาในยันต์ทำให้นางสีหน้าเปลี่ยนอย่างรุนแรง

 

 

 


ตอนที่ 130

 

ความลับอันน่าตกใจ

 


 


 


ต้วนชิงเกอหายสาบสูญแล้ว!


 


 


มั่วชิงเฉินดูที่ลงชื่ออีกปราดหนึ่ง ไม่ผิด คือต้วนไห่เทา นางจำได้ปีนั้นต้วนชิงเกอจะบุกแดนลี้ลับตามลำพัง เคยไหว้วานนางให้มอบของบางสิ่งให้บิดาของนาง ชื่อของบิดานาง ก็คือต้วนไห่เทา


 


 


ในยันต์ส่งสารกล่าวว่า เนื่องจากต้วนชิงเกอพลาดวันที่พ่อลูกสองคนจะได้เจอกันทุกปี ได้บอกเขาว่าจะกลับไปสายวันหนึ่ง ทว่าพริบตาเดียวผ่านไปสองวันแล้ว กลับไม่เห็นบุตรสาวกลับไปเสียที เขาก็เข้าพรรคเหยากวงไม่ได้อีก นึกได้ว่าบุตรสาวเคยพูดถึงที่พรรคเหยากวงมีสหายสนิทท่านหนึ่งชื่อมั่วชิงเฉิน ด้วยไม่มีทางเลือกจึงได้แต่รบกวนนางแล้ว หากมีข่าวคราวของบุตรสาวขอได้โปรดบอกกล่าวด้วย


 


 


หากเป็นผู้อื่นเห็นยันต์ส่งสารนี้ ต้องเห็นเป็นเรื่องตลกแล้วก็แล้วกันไป ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งด้วยสาเหตุต่างๆ สายไม่กี่วันเป็นเรื่องที่ปกติยิ่งนัก ร้อนรนถึงเพียงนี้จะตื่นตูมไปสักหน่อยแล้ว ทว่ามั่วชิงเฉินขมวดคิ้วคิดๆ แล้ว สีหน้ายิ่งคิดยิ่งหนักหน่วงขึ้น


 


 


นางและต้วนชิงเกอคบหากันมาหลายปี รู้ดีว่าต้วนชิงเกอปกติเป็นคนรักษาสัจจะ ยิ่งกว่านั้นจะมากจะน้อยก็เคยได้ยินนางเอ่ยมาก่อน นางและบิดาความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ไม่ว่าการบำเพ็ญเพียรจะยุ่งสักเพียงใด ทุกปีก็จะต้องกลับไปครั้งหนึ่ง


 


 


ที่มั่วชิงเฉินจำได้แม่นยำเช่นนี้ เพราะว่าต้วนชิงเกอจะกลับไปในวันเทศกาลจงหยวน[1]ของทุกปี ด้วยเหตุนี้นางยังล้อนางว่าเหตุใดเฉพาะเจาะจงถึงรักเดียวใจเดียวต่อเทศกาลปล่อยผี[2]


 


 


พอคิดเช่นนี้แล้ว ความเคยชินที่ต้วนชิงเกอจะกลับเมืองผิงอันเพื่อพบบิดาในเทศกาลจงหยวนของทุกปีได้ดำเนินมาหลายปีแล้ว


 


 


หรือว่า นอกจากสายใยความสัมพันธ์พ่อลูกที่นางตัดไม่ขาดแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นอีก?


 


 


ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าในตัวสหายสนิทผู้นี้เต็มไปด้วยปริศนา ทว่าเวลานี้เรื่องที่สำคัญที่สุด ยังคงต้องไปสืบข่าวคราวของต้วนชิงเกอเสียหน่อย


 


 


มั่วชิงเฉินตอบยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งให้บิดาของต้วนชิงเกอ ปลอบใจเขาอย่าเป็นกังวลจนเกินไป นางจะไปตามหาต้วนชิงเกอเดี๋ยวนี้ เมื่อมีข่าวคราวของนางจะบอกเขาทันที


 


 


ทำทุกอย่างนี้เสร็จ มั่วชิงเฉินจึงมุ่งหน้าสู่โถงปฏิบัติงานของเขาโฮ่วเต๋อ เพราะว่าพวกเขาศิษย์อย่างเป็นทางการจะรับภารกิจ ไม่สามารถไปรับที่โถงปฏิบัติงานเล็กของแต่ละที่เหมือนเช่นศิษย์จิปาถะแล้ว


 


 


สามปีนี้มั่วชิงเฉินตั้งใจบำเพ็ญเพียร คลื่นลมในปีนั้นแม้ยังคงเล่าลือกันในหมู่คนมากมาย ทว่าคนที่เคยพบนางนั้นมีไม่มาก ต่อให้มีบางคนเคยเห็นนาง ก็เพราะการแต่งตัวที่เหมือนกับทุกคนของนางจึงจำหน้าตานางไม่ได้ไปนานแล้ว รู้เพียงว่าปีนั้นมีนางหนูน้อยที่ไม่มีอะไรโดดเด่นแม้แต่น้อยทำให้อาจารย์อาเยี่ยผู้เรืองนามพึงใจในการพบกันครั้งแรก ดังนั้นมั่วชิงเฉินเดินอยู่ระหว่างทาง จึงไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรมองนางสักเท่าไร ไม่นานนักก็มาถึงเขาโฮ่วเต๋อ


 


 


เงยหน้ามองดูแผ่นป้ายของโถงปฏิบัติงาน มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหนุ่มคนหนึ่งกำลังมือถือม้วนคัมภีร์ดูอย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้นมา สายตาอ่อนโยน มุมปากอมยิ้ม


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก รีบคำนับว่า “อาจารย์อาอู๋”


 


 


ไม่รู้ใช่รู้สึกไปเองหรือไม่ มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าสายตาของอาจารย์อาอู๋ท่านนี้กวาดบนตัวนางรอบหนึ่ง ถึงยิ้มนิ่งเรียบว่า “อ้อ ที่แท้คือเจ้า มีอันใด จะมารับภารกิจใช่หรือไม่?”


 


 


พูดไปแล้วอาจารย์อาท่านนี้ก็นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่คุ้นเคยเล็กน้อยในพรรคเหยากวงแล้ว มั่วชิงเฉินจึงระวังตัวน้อยลงหลายส่วน ตอบอย่างมีมารยาทว่า “เรียนอาจารย์อา ผู้น้อยไม่ได้มารับภารกิจ แต่อยากสอบถามอะไรสักหน่อยเจ้าค่ะ”


 


 


“อ๋อ เรื่องอันใด?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋วางม้วนคัมภีร์ในมือลงข้างๆ ยืดตัวตรงขึ้นว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ผู้น้อยมีสหายท่านหนึ่งชื่อต้วนชิงเกอ เดิมทีนัดกันไว้แล้วว่ามีเรื่องจะปรึกษากัน เพราะว่าก่อนหน้านี้หลายวันนางรับภารกิจออกไปแล้ว จึงรอนางกลับมาตลอด ทว่ารออย่างไรก็ไม่กลับมา ผู้น้อยเกิดร้อนใจ จึงคิดรบกวนอาจารย์อาช่วยตรวจสอบสักหน่อย ภารกิจที่นางรับไปได้ส่งมอบหรือยัง?”


 


 


“เช่นนี้หรือ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ดูเหมือนนิสัยดียิ่งนัก ลุกขึ้นดึงม้วนคัมภีร์หยกจากชั้นวางด้านหลังออกมาม้วนหนึ่ง กวาดสายตาผ่านรอบหนึ่งว่า “นางส่งมอบภารกิจแล้ว”


 


 


“ส่งมอบแล้ว? ส่งมอบเมื่อไรเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินรีบถามต่อ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋กวาดสายตาผ่านม้วนคัมภีร์หยกอีกปราดหนึ่งว่า “ก็สองวันก่อนนี่เอง”


 


 


“สองวันก่อน?” มั่วชิงเฉินพึมพำ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋มองมา ถึงรีบคำนับว่า “ทำให้อาจารย์อาต้องลำบากแล้ว ผู้น้อยไม่รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“ไม่เป็นไร” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋เอ่ยด้วยท่าทีอ่อนโยน


 


 


มั่วชิงเฉินคำนับอีกทีหนึ่ง แล้วรีบเดินออกไป


 


 


ศิษย์พี่ต้วนส่งมอบภารกิจตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว จากนั้นส่งสารให้บิดานางว่าจะสายวันหนึ่งถึงสามารถกลับบ้านได้ สองวันก่อน…เดือนเจ็ดขึ้นสิบหกค่ำพอดี!


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในวันเทศกาลจงหยวนศิษย์พี่ต้วนน่าจะสำเร็จภารกิจแล้วอยู่ระหว่างทางกลับ นี่ถึงได้ส่งสารให้บิดานาง บอกว่าต้องสายวันหนึ่งถึงกลับบ้านได้


 


 


นางส่งมอบภารกิจเดือนเจ็ดขึ้นสิบหกค่ำ คาดคะเนตามเหตุผลแล้ว ต้องเร่งเดินทางไปเมืองผิงอันโดยตรงแน่นอน ทว่าท่านลุงต้วนกลับบอกว่านางยังไม่กลับ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้วนชิงเกอจะต้องเกิดเรื่องในสองวันหลังจากที่กลับพรรคเหยากวงแน่นอน


 


 


เช่นนั้น ตกลงนางเกิดเหตุการณ์ในสำนัก หรือว่าระหว่างทางที่เร่งเดินทางไปเมืองผิงอันล่ะ?


 


 


ถูกแล้ว เพื่อนร่วมทีม!


 


 


คนที่รู้อย่างแน่ชัดว่าต้วนชิงเกอกลับสำนักเวลาใด นอกจากโถงปฏิบัติงานแล้ว ยังมีเพื่อนร่วมทีมที่ปฏิบัติหน้าที่พร้อมนาง!


 


 


มั่วชิงเฉินนึกถึงตรงนี้รีบหันหลังทันที กลับเห็นคนรูปร่างท้วมคนหนึ่งหลบสวบไปข้างๆ


 


 


“อาจารย์อา ผู้น้อยบุ่มบ่ามไปแล้ว ได้โปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเห็นคนผู้นั้นท่าทางอายุสามสิบกว่าปี รูปร่างท้วม ไม่คิดว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จำได้รางๆ ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่มารับศิษย์ขึ้นเขาในปีนั้น จึงรีบคำนับ


 


 


ก่อนหน้านี้เคยพูดถึงมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรนี้แซ่ซุน เป็นเด็กเลี้ยงวัวมาก่อน เห็นศิษย์หญิงคนหนึ่งเกือบชนถูกเขา แม้ขอโทษแล้ว กลับปากไวว่า “นางหนูเจ้านี่ช่างบุ่มบ่ามนัก ที่ผู้บำเพ็ญเพียรเน้นคือการบำเพ็ญจิต เดินรีบร้อนเช่นนี้ไปทำอะไร? เสียแรงที่ผู้อาวุโสในสำนักสอนสั่งมา!”


 


 


พูดจบใบหน้าฉายแววได้ใจอยู่บ้าง แอบคิดในใจว่า แหะๆ มิน่าท่านผู้เฒ่าถึงชอบสั่งสอนคนเช่นนี้ ที่แท้รสชาติการสั่งสอนคนมันดีเช่นนี้นี่เอง!


 


 


มั่วชิงเฉินย่อมไม่รู้ความคิดของผู้สูงส่งระดับสร้างรากฐานท่านนี้ กลับฝืนทนไว้ไม่ได้แบะปาก ตนเป็นศิษย์ฆราวาสระดับหลอมลมปราณคนหนึ่ง จะมีผู้อาวุโสอะไรมาสอนสั่ง ทว่าปากยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนว่า “อาจารย์อาสั่งสอนได้ถูกต้องเจ้าค่ะ ต่อไปผู้น้อยจะไม่ทำอีกแน่นอน”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนพยักหน้ารู้สึกพอใจมาก สั่งสอนว่า “จำได้ก็ดี นางหนูน้อยเดี๋ยวนี้เหตุใดล้วนลนลานเช่นนี้กันหมด เจ้าชนถูกข้ายังนับว่าโชคดี สองวันก่อนมีนางหนูน้อยอายุประมาณเจ้าคนหนึ่งเกือบชนถูกท่านผู้เฒ่าหานจาง เกือบถูกท่านผู้เฒ่าหานจางจับไปแน่ะ!”


 


 


พูดจบกำลังจะหันหลังจากไป กลับเห็นมั่วชิงเฉินกระโดดไปข้างหน้าทันทีว่า “ท่านอาจารย์อา นางหนูน้อยที่ท่านพูดถึงเป็นใครเจ้าคะ?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนหน้าบึ้งทันที “ข้าก็พูดถึงเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือไร ฮึ เพิ่งพูดหยกๆ ว่าต่อไปอย่าลนลาน เจ้าดูท่าทางเจ้าเช่นนี้ ต่อให้…ต่อให้เจ้าทนไม่ไหว อย่างไรก็ควรรอข้าไปก่อนสิ?”


 


 


มั่วชิงเฉินนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้สูงส่งในสายตาพวกนางนั้น ยังมีคนสุดยอดเช่นนี้อยู่ด้วย จึงแสยะปากฝืนยิ้มว่า “อาจารย์อาสอนสั่งได้ถูกต้อง สอนสั่งได้ถูกต้อง อาจารย์อาเจ้าคะ…เมื่อครู่ท่านบอกว่านางหนูน้อยที่พอๆ กับข้าคนนั้นคือใครนะเจ้าคะ หน้าตาเป็นเช่นไร?”


 


 


“ข้าจะรู้จักว่านางเป็นใครได้อย่างไร หน้าตาหรือ…ชุดที่ใส่เหมือนกับเจ้า ไม่มีผมข้างหน้า เอ่อ ผมจอนข้างขวามีดอกบัวขาวไม่ใหญ่ดอกหนึ่ง เอาเป็นว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงล้วนหน้าตาไม่ต่างกันเท่าไร ไม่น่าเกลียด” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกปีติ ฟังจากที่เขาสาธยาย หญิงสาวนั่นต้องเป็นต้วนชิงเกอแน่!


 


 


ไม่น่าเกลียด…ด้วยหน้าตาของต้วนชิงเกอ ไม่คิดว่าในสายตาเขาเป็นเพียงแค่ไม่น่าเกลียด เอาเถอะ นางแน่ใจอีกครั้งว่าคนคนนี้เป็นคนสุดยอด


 


 


“ท่านอาจารย์อา ท่านบอกว่านางเกือบถูกท่านผู้เฒ่าหานจางจับตัวไปหรือเจ้าคะ เช่นนั้นต่อมาล่ะ? ท่านผู้เฒ่าหานจางคือใครอีก” มั่วชิงเฉินถามคำถามเป็นพรวน


 


 


“ต่อมามีท่านผู้เฒ่าท่านอื่นผ่านมา ท่านผู้เฒ่าหานจางจึงไม่ได้เอาความกับนางหนูนั่นน่ะสิ ท่านผู้เฒ่าหานจางคือ…” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนพูดถึงตรงนี้ ถลึงตา “เอ๊ะ ข้าจะพูดมากเช่นนี้กับนางหนูอย่างเจ้าทำอะไร ฮึ!”


 


 


พูดจบก็หันหลังไปแล้ว ในใจแอบคิดว่า เหตุใดพอถูกท่านผู้เฒ่าถามคำถามมากแล้ว ก็อดที่จะชอบตอบคำถามอย่างไม่รู้ตัวเสียแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูแผ่นหลังที่จากไปไกลของคนคนนี้แล้วงงงัน จากนั้นยิ้มๆ ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างไรก็นับว่าได้อะไรมาบ้าง


 


 


เพียงแต่ ท่านผู้เฒ่าหานจางตกลงเป็นใครกันแน่นะ?


 


 


มั่วชิงเฉินแอบโกรธตนที่ปกติไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เกินไป ขมวดคิ้วครุ่นคิดพลาง ทันใดนั้นก็นึกได้ ศิษย์พี่มั่วท่านนั้นต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่นอน


 


 


นึกถึงตรงนี่นางรีบส่งยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกไปทันที ผ่านไปไม่นานยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศตกลงสู่มือนาง


 


 


“ศิษย์น้องชิงเฉิน นักพรตหานจางเป็นท่านผู้เฒ่าแห่งเขาต้วนจิน แซ่ทางฆราวาสแซ่เฉิน ในบรรดานักพรตระดับก่อแก่นปราณหลายสิบท่านในพรรคเรา พลังไม่นับว่าสูง ติดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นมาร้อยกว่าปีแล้ว ไม่รู้ศิษย์น้องสืบข่าวคนผู้นี้ด้วยเหตุอันใด นักพรตหานจางค่อนข้างอารมณ์ร้อน ศิษย์น้องพยายามหลีกเลี่ยงการก้าวล่วง จากมั่วหลีลั่ว”


 


 


เห็นสารตอบของมั่วหลีลั่ว มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบ ได้ยินว่าหนึ่งปีก่อนนางก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานอย่างราบรื่นแล้ว กลายเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่สร้างรากฐานสำเร็จตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบปี บัดนี้ยังเรียกตนว่าศิษย์น้อง ก็นับว่าเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ แล้ว


 


 


ในพรรคเหยากวง ผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณก็จะกลายเป็นท่านผู้เฒ่าของสำนักโดยปริยาย ได้เสพสุขกับสวัสดิการมากมายจากสำนัก ขอเพียงออกแรงในยามที่สำนักต้องการก็พอ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ต่อให้ในสำนักเช่นนี้ ฐานะก็สูงส่งมากแล้ว เป็นการมีตัวตนอยู่ที่ศิษย์ระดับหลอมลมปราณอาจเอื้อมไม่ถึง


 


 


แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าการหายตัวไปของต้วนชิงเกอเกี่ยวข้องกับนักพรตหานจาง มั่วชิงเฉินกลับไม่กล้าสรุปง่ายๆ แต่สืบข่าวคราวจากคนที่ทำภารกิจร่วมกับต้วนชิงเกอ แล้วใช้ยาลูกกลอนรวมวิญญาณขวดหนึ่งติดสินบนศิษย์ที่ดูแลข้อมูลของผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกจากสำนักของพรรคเหยากวง พบว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่ออกจากสำนักเมื่อสองวันก่อน ชื่อนักพรตหานจางปรากฏอย่างโดดเด่น!


 


 


นักพรตหานจาง?


 


 


มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำสี่คำนี้ อาศัยสัญชาตญาณแล้ว การหายตัวไปของต้วนชิงเกอต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน ทว่า เขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เหตุใดเพราะต้วนชิงเกอบุ่มบ่ามเพียงเล็กน้อยก็อุตส่าห์ไล่ตามออกจากเขาไปนะ?


 


 


นี่ไม่สมเหตุผลเอาเสียเลย!


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ ท่าทางอมยิ้มอ่อนโยนของต้วนชิงเกอแวบผ่านสมองนาง จู่ๆ ก็ชะงัก ศิษย์พี่ต้วนปกติละเอียดถี่ถ้วน เทียบกับตนแล้วเหมือนยิ่งคุณหนูตระกูลใหญ่มากกว่าตนมากนัก ต่อให้ยามนั้นใจร้อนอยากกลับบ้านเพียงใด ก็ไม่ถึงกับเกือบชนคนเข้าหรอกกระมัง


 


 


นอกจาก…ความลนลานของนางก็เกิดจากนักพรตหานจาง!


 


 


ยิ่งสันนิษฐานมั่วชิงเฉินยิ่งกลัว ตกลงเพราะอะไร ต้วนชิงเกอเห็นนักพรตหานจางถึงลนถึงเพียงนั้นล่ะ นางกลับเมืองผิงอันในเทศกาลจงหยวนของทุกปี มีเหตุผลพิเศษอะไรหรือไม่นะ?


 


 


หรือว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวกับความลับส่วนตัวของนาง?


 


 


หากเป็นผู้อื่น มั่วชิงเฉินจะไม่เปลืองแรงเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด เรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งจะไปให้ห่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ความยุ่งยากมาถึงตัว


 


 


ทว่าหลายปีมานี้ นางที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว กับมิตรภาพของต้วนชิงเกอก็ไม่ต่างอะไรกับพี่น้องแท้ๆ แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินออกจากสำนักเงียบๆ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวันก็มาถึงเมืองผิงอัน ตามที่อยู่ที่ต้วนชิงเกอเคยบอกไว้หาบ้านชาวบ้านธรรมดาหลังหนึ่งพบ


 


 


หลังจากเคาะประตู ผู้ชายวัยกลางคนท่านหนึ่งสีหน้าเป็นกังวลมาเปิดประตู เห็นมั่วชิงเฉินแล้วชะงักงัน


 


 


เรื่องไม่ควรรอช้า หลังจากยืนยันฐานะแล้ว มั่วชิงเฉินเล่าสิ่งที่นางสันนิษฐานรอบหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียดว่า “ท่านลุงต้วน หลานสาวของบังอาจถามคำหนึ่ง ศิษย์พี่ต้วนมีของสิ่งใดที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอยากได้กันแน่หรือเจ้าคะ?”


 


 


ต้วนไห่เทาหน้านิ่งเป็นน้ำ ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างบังคับตนเองไม่ได้


 


 


“ท่านลุง หากไม่สะดวกพูดจริงๆ ก็ช่างเถอะ หลานสาวจะไปสืบข่าวคราวอย่างอื่นอีกที” มั่วชิงเฉินหลุบตาเอ่ย พูดจบหันหลังจะจากไป


 


 


“ช้าก่อน” มีเสียงดังมาจากด้านหลัง


 


 


มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้า บรรยากาศหนักหน่วงขึ้นมาอีกแล้ว ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้ยินต้วนไห่เทาถอนหายใจยาวว่า “นางหนู ชิงเกอนาง…นาง…นางเป็นร่างหยินบริสุทธิ์!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เทศกาลจงหยวน คือวันสารทจีน หรือ เทศกาลสารทจีน ตรงกับ วันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 7 ตามปีปฏิทินทางจันทรคติของจีน ถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ และยังถือเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้


 


 


[2] เทศกาลปล่อยผี คือ อีกชื่อเรียกหนึ่งของเทศกาลสารทจีน


 

 

 


ตอนที่ 131

 

 เด็กหนุ่มในวันวาน

 


 


 


“อะไรนะเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินหันมาในทันใด ร้องอย่างตกใจด้วยความไม่อยากเชื่อ


 


 


ต้วนไห่เทาพูดความลับอันน่าตกใจออกมาแล้ว คำพูดกลับลื่นไหลขึ้นมา “หลานชิงเฉิน เจ้าไม่ต้องตกใจ เชิงเกอนางมีร่างหยินบริสุทธิ์จริงๆ มิเช่นนั้น ด้วยพรสวรรค์สามรากวิญญาณของนาง จะบำเพ็ญเพียรได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


มั่วชิงเฉินเข้าใจในทันใด ใช่สินะ ตนมีขวดน้ำเต้าเซียนในมือ ซ้ำยังมีเพลิงแก้วใจกระจ่างที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรใฝ่หา พริบตาเดียวผ่านไปหลายปีเช่นนี้ ไม่เพียงมาตรฐานในการหลอมโอสถเพิ่มขึ้นอย่างมาก โอสถยิ่งไม่เคยขาดมาก่อน ตบะจึงรุดหน้าดั่งติดปีกบินเช่นนี้ ส่วนต้วนชิงเกอคาดไม่ถึงว่าจะสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่มากับตนได้ หากบอกว่าเป็นเหตุมาจากร่างหยินบริสุทธิ์ ก็อธิบายได้แล้ว


 


 


ทันใดนั้นมีความคิดหนึ่งแวบผ่าน ท่านอาจารย์อาท่านนั้นมีร่างหยางบริสุทธิ์พอดี เช่นนั้นพวกเขาสองคนมิใช่คู่สร้างคู่สมหรอกหรือ…คิดถึงตรงนี้ก็แอบถุยเสียงหนึ่ง กดความคิดเหลวไหลของตนลงไป


 


 


ความลับนี้ดูเหมือนกลายเป็นหินยักษ์ก้อนหนึ่งทับอยู่ในใจต้วนไห่เทามาหลายปี เมื่อได้พูดออกมาก็เปรียบเหมือนเขื่อนแตก คำพูดต่อจากนั้นจึงทะลักออกมาไม่ขาดสาย “ตามข่าวคราวที่หลานชิงเฉินได้มา ข้าคิดว่าชิงเกอนางคงถูกนักพรตหานจางผู้นั้นพบความลับเรื่องร่างหยินบริสุทธิ์เข้า ถึงได้ก่อให้เกิดเคราะห์กรรมในครั้งนี้


 


 


มั่วชิงเฉินในใจเห็นด้วยกับคำพูดของต้วนไห่เทา เพราะมีเพียงเช่นนี้ถึงอธิบายการกระทำที่ผิดปกติของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งได้


 


 


ร่างหยินบริสุทธิ์ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่ติดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นมาร้อยกว่าปี ใจจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร


 


 


“ท่านลุง เช่นนั้นเหตุใด เหตุใดหลายปีมานี้ ศิษย์พี่ชิงเกอนาง…” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


ต้วนไห่เทายิ้มด้วยความขมขื่นว่า “พูดแล้วก็เพราะโชคดี ข้าได้คาถาลับมาด้วยความบังเอิญ สามารถปิดบังสภาพร่างของนางได้ชั่วคราว เพียงแต่ตบะมีจำกัด คาถาลับนี้จึงรักษาได้เพียงหนึ่งปี ถึงเวลาหากไม่เสกคาถาซ้ำก็จะหมดฤทธิ์ ดังนั้นชิงเกอนางจึงกลับมาวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนเจ็ดของทุกปี ปีนี้เดิมทีนางก็สายอยู่แล้ว ข้าจึงเป็นห่วง เพียงแต่คิดว่าคงไม่บังเอิญเช่นนั้นหรอกกระมังที่จะเจอผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงกว่าก่อแก่นปราณ ใครจะรู้ว่า…”


 


 


นี่ก็ช่างบังเอิญจริงๆ เลย! ทางโถงปฏิบัติงานนั้น ยามปกติผู้ที่ไปมากที่สุดคือศิษย์ผู้ดูแลระดับสร้างรากฐานและศิษย์ระดับหลอมลมปราณ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแทบจะไม่ย่างกรายไปถึง กลับเฉพาะเจาะจงถูกต้วนชิงเกอพบเข้าแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจในใจเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ท่านลุง เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากลับไปแล้วจะลองสืบดู หากนักพรตหานจางจับศิษย์พี่ชิงเกอไปที่พำนักของเขาจริง ข้าจะคิดหาวิธีช่วยนางออกมาให้จงได้เจ้าค่ะ”


 


 


ในฐานะหญิงสาวด้วยกัน เมื่อคิดไปถึงเคราะห์กรรมที่ต้วนชิงเกออาจได้รับมากที่สุด มั่วชิงเฉินก็อกสั่นขวัญแขวน หันหลังจะจากไป


 


 


ต้วนไห่เทากลับห้ามไว้ว่า “ช้าก่อน หลานชิงเฉิน ลุงขอบคุณเจ้าแทนบุตรสาวแล้ว เพียงแต่ในเมื่อนางถูกผู้เฒ่าระดับก่อแก่นปราณในสำนักพวกเจ้าจับไป เรื่องนี้ก็ช่างเถอะ”


 


 


“ท่านลุง!” มั่วชิงเฉินตกใจ


 


 


ต้วนไห่เทาหน้าตาดูเหมือนชราขึ้นมากในชั่วพริบตา ทว่ากลับเอ่ยต่อว่า “ชิงเกอภายนอกอ่อนโยน กลับเพราะความลับนี้ ในใจจึงชอบเอาชนะมาก มักบำเพ็ญเพียร เข้าร่วมภารกิจอย่างสุดชีวิต ข้าเป็นห่วงเด็กคนนี้จะได้รับบาดเจ็บระหว่างภารกิจมากที่สุด บัดนี้ในเมื่อถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพบเข้า อย่างน้อยที่สุดไม่ต้องห่วงชีวิตนางแล้ว แล้วจะให้เจ้าเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตไปล่วงเกินยอดคนระดับก่อแก่นปราณได้เช่นไร”


 


 


“ท่านลุง…หลานสาวไม่ค่อยเข้าใจ…” มั่วชิงเฉินพึมพำว่า นางเพียงแต่ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีร่างหยินบริสุทธิ์หยางบริสุทธิ์ไม่เพียงตนเองบำเพ็ญเพียรได้เร็ว ยังสามารถทำให้คู่บำเพ็ญเพียรต่างเพศบำเพ็ญเพียรได้เร็วด้วย ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหรูติ่งของต่างเพศได้ง่ายเป็นพิเศษ สำหรับประโยชน์ที่มากกว่านี้กลับไม่รู้แล้ว


 


 


ต้วนไห่เทาถอนใจว่า “ร่างหยินบริสุทธิ์ สามารถทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเพียรชายรุดหน้าอย่างมาก ทว่าตบะของชิงเกอและนักพรตหานจางอย่างไรเสียก็ต่างกันเกินไป หากเขากระทำการอย่างบุ่มบ่าม กลับจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นเขาต้องไม่ทำร้ายชิงเกอจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้น ประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของร่างหยินบริสุทธิ์ ไม่ใช่จะสำเร็จทันที หากแต่ค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต้องแบ่งแยกส่วนได้ส่วนเสียหนักเบาได้แน่ หลานชิงเฉิน เจ้ากลับไปเถอะ หากวันหลังมีโอกาสเจอชิงเกอ ก็ปลอบประโลมนางหน่อย”


 


 


มั่วชิงเฉินงงงันอยู่ตรงนั้น ชั่วเวลาหนึ่งไม่รู้ควรพูดเช่นไร นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบิดาของต้วนชิงเกอรู้ว่าบุตรสาวของตนถูกผู้บำเพ็ญเพียรชายลักพาไปเป็นหรูติ่ง กลับมีปฏิกิริยาเช่นนี้


 


 


เห็นสีหน้าของมั่วชิงเฉิน ต้วนไห่เทายิ้มอย่างขมขื่นว่า “หลานชิงเฉิน ไม่ปิดเจ้าหรอกนะ พวกเราพ่อลูกรักษาความลับนี้ด้วยความอกสั่นขวัญแขวนมาหลายปี ได้เตรียมใจไว้สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้นานแล้ว พูดไปแล้ว ชิงเกอสามารถติดตามผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้ ก็ไม่นับว่าแย่นัก…”


 


 


พูดถึงตรงนี้กลับพูดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นการปลอบใจตนเอง หรือว่ารับไม่ไหว


 


 


บรรยากาศหนักหน่วงเล็กน้อย ต้วนไห่เทาพูดถึงขนาดนี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็ไม่สะดวกพูดอะไรอีก จึงคำนับแผ่วเบาหนึ่งที แล้วร่ำลาจากไป


 


 


เสกคาถาเหยียบลม มั่วชิงเฉินค่อยๆ เร่งเดินทางไปทางพรรคเหยากวง ในใจกลับติดพันอยู่กับเรื่งของต้วนชิงเกอ


 


 


ท่านลุงต้วนบอกว่า นักพรตหานจางไม่ทำร้ายศิษย์พี่ชิงเกอ


 


 


ท่านลุงต้วนบอกว่า พวกเขาพ่อลูกได้เตรียมใจไว้สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้นานแล้ว


 


 


ท่านลุงต้วนบอกว่า ศิษย์พี่ชิงเกอติดตามยอดคนระดับก่อแก่นปราณ ก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดี


 


 


ท่านลุงต้วนยังบอกว่า แม้นักพรตหานจางไม่ทำร้ายศิษย์พี่ชิงเกอ กลับจะทำเพื่อรักษาความลับนี้ โดยลงมือฆ่าตน ให้ตนอย่าไปเสี่ยงอันตราย…


 


 


มั่วชิงเฉินความคิดโบยบินอยู่ ชั่วเวลาหนึ่งไม่ทันระวังใต้เท้ารู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนส่งผ่านมา


 


 


นางนั่งยองๆ ลงไป ถึงพบว่าที่แท้เพราะไม่ระวัง เท้าเหยียบถูกก้อนหินแหลมก้อนหนึ่ง ถูกบาดเป็นแผลแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินนั่งลงมา ถอดรองเท้าถุงเท้าทำความสะอาดบาดแผล ทันใดนั้นก็นึกถึงหลายปีก่อนในหุบเขานั้น ตนก็ขาพลิกบาดเจ็บ ไม่อาจไม่เงยหน้ามองอาจารย์อาเยี่ยที่โกรธอยู่


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินสะดุดในใจ อาจารย์อาเยี่ยท่านนั้น เพียงถูกตนเห็นขณะอาบน้ำ ก็โกรธถึงเพียงนั้น เช่นนั้นชิงเกอล่ะ นางที่ตั้งใจไล่ตามหนทางการเป็นเซียนถูกบังคับลักพาตัวไปเป็นหรูติ่งของผู้บำเพ็ญเพียร ความรู้สึกของนางจะเป็นเช่นไรอีกนะ?


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะเยาะตนเองหนึ่งที ยิ่งนานวันตนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวจริงๆ แล้วสินะ ความคิดพวกนั้นเมื่อครู่ ก็เพียงแค่หาเหตุผลสักข้อ ให้ตนไม่ไปช่วยต้วนชิงเกอได้อย่างสบายใจเท่านั้น


 


 


ทว่า ละทิ้งสหายสนิทที่เป็นดั่งพี่น้องโดยไม่ไยดี ตนในภายภาคหน้าจะสามารถสบายใจได้จริงหรือ?


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ได้ใช้ยามังกรเหลือง แต่กลับยืนขึ้นมา เสกคาถาเหยียบลมเร่งไปที่พรรคเหยากวงต่อ นางจะให้ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาจากฝ่าเท้าเป็นระยะนั้นเตือนสติตนเองไม่ให้เดินทางผิดบนหนทางอายุยืนยาวอันยาวไกลนี้


 


 


การบำเพ็ญเพียรแน่นอนคือเพื่อให้มีอายุยืนยาว ทว่าเป้าหมายในการมีอายุยืนยาวของนาง กลับเพื่อให้ได้ประจักษ์ฟ้าดินที่ยิ่งกว้างใหญ่ยิ่งยอดเยี่ยม สัมผัสความสุขมากยิ่งขึ้น หากละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่เพื่อการมีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงมีชีวิตอยู่ หนึ่งวันกับหนึ่งหมื่นปี จะต่างกันตรงไหนล่ะ?


 


 


นี่ก็คือความคิดชั่วแล่นจึงเป็นเซียน ความคิดชั่ววูบจึงเข้าสู่ทางมารที่ว่าสินะ


 


 


รอใกล้ถึงประตูพรรคเหยากวง มั่วชิงเฉินหยุดลง เปลี่ยนมาเดินเท้า


 


 


นี่ก็เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่ได้ระบุไว้ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสำนัก


 


 


ประตูของพรรคเหยากวงมีค่ายกลพิทักษ์ภูผาคอยพิทักษ์ไว้ จำเป็นต้องมีป้ายประจำตัวและคาถาที่สอดคล้องกันถึงสามารถส่งสารให้ศิษย์เฝ้าประตูเปิดค่ายกลปล่อยเข้าไปได้


 


 


มั่วชิงเฉินล้วงป้ายประจำตัวสีควันเขียวออกมา นิ้วมือขยับแผ่วเบากำลังจะเสกคาถา ก็เห็นแสงสายหนึ่งวาดผ่านขอบฟ้า จากนั้นคนสองคนกระโดดลงมา


 


 


หนึ่งในนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เกล้าผมทรงนักพรต ใบหน้าสวยงามประณีตและสุขุม แต่กลับดูออกว่าเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนเดินทางอยู่บ้าง


 


 


เห็นคนผู้นั้นมองมา มั่วชิงเฉินรีบคำนับหนึ่งที แล้วเหลือบมองคนข้างกายเขาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงปราดหนึ่ง แต่แล้วร่างกายกลับต้องหยุดชะงัก


 


 


คนที่อยู่ข้างๆ หน้าตาคล้ายผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอยู่หลายส่วน ตาโตคู่นั้นกะพริบแล้วกะพริบอีก ดูแล้วนิสัยเหมือนเด็ก รอยยิ้มที่มุมปากเปรียบเหมือนอาทิตย์ยามเช้า อบอุ่นกำลังดี


 


 


พี่เสี่ยวซย่า!


 


 


ปีนั้นยามที่จากลากับนางที่เมืองเทียนเหยา เสี่ยวซย่าก็เป็นหนุ่มแล้ว มั่วชิงเฉินย่อมจำได้ในปราดเดียว เพียงแต่นางไม่ใช่เด็กผู้หญิงในปีนั้นอีกแล้ว จึงไม่ได้ตะโกนออกมาอย่างบุ่มบ่าม


 


 


เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยคนหนึ่งมองตนอยู่ เสี่ยวซย่ายิ้มแผ่วเบา ยื่นมือชี้เท้าของมั่วชิงเฉินว่า “ศิษย์พี่น้อย เท้าเจ้าเลือดไหลแล้ว”


 


 


กาลเวลาสิบกว่าปี ตกลงเขายังคงจำนางไม่ได้ ทว่ายังคงมีน้ำใจเช่นเดิม


 


 


“เสี่ยวซย่า เข้าไปเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานข้างๆ เอ่ย


 


 


“ขอรับ” เสี่ยวซย่าแสยะยิ้มให้คนผู้นั้น


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มแผ่วเบา เอียงกายรอให้พวกเขาไปเคาะประตูสำนักก่อน ในเมื่อวันนี้เขาจำตนไม่ได้ เช่นนั้นก็รอวันหลังค่อยว่ากันเถอะ อย่างไรเสียเรื่องที่ตนจะทำยามนี้ ยิ่งมีคนสนใจตนน้อยยิ่งดี


 


 


ทันใดนั้นเสี่ยวซย่าที่อยู่ข้างหน้ากลับหันหน้ามา จ้องลักยิ้มข้างปากมั่วชิงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “น้องสาว?”


 


 


เริ่มแรกคือถามด้วยความสงสัย ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความแน่ใจ


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองเขาพลาง พยักหน้าเบาๆ


 


 


เสี่ยวซย่าเหมือนถูกสกัดจุดก็ไม่ปานชะงักอยู่ที่เดิม มุมปากยิ่งแสยะยิ่งกว้าง ถึงสุดท้ายยิ้มอย่างสดใส แล้ววิ่งเข้ามาในทันใด กอดมั่วชิงเฉินไว้แน่น


 


 


“น้องสาว เจ้ามาพรรคเหยากวงตั้งแต่เมื่อไร เหตุใด เหตุใดไม่ไปหาข้า ยายเด็กบ้า!” เสียงติเตียนลอยมาชุดใหญ่ ปนด้วยกลิ่นอายเฉพาะตัวของชายหนุ่ม


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่รู้สึกเขินอาย ราวกับนี่เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรธรรมดาไปกว่านี้แล้ว


 


 


“น้องสาว เหตุใดเจ้าไม่พูดล่ะ?” ผ่านไปเนิ่นนาน เสี่ยวซย่าถามเสียงต่ำ


 


 


มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งเหมือนเมื่อสิบปีก่อน “ข้าจะถูกเจ้ารัดจนจะตายแล้ว จะพูดอย่างไร?”


 


 


มองดูท่าทางโมโหของมั่วชิงเฉิน เสี่ยวซย่าเกาศีรษะหัวเราะคิกคัก ผมทรงนักพรตที่เดิมทียังนับว่าเรียบร้อย ถูกเกาจนกลายเป็นรังนกในพริบตา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรข้างๆ ไอแค่กๆ สองที


 


 


เสี่ยวซย่าหัวเราะแหะๆ สองสามเสียง รีบลากมั่วชิงเฉินพูดกับคนผู้นั้นว่า “พี่ใหญ่ นี่ก็คือน้องสาวที่ข้ารับไว้ เมื่อก่อนข้าเคยบอกท่านแล้ว” พูดจบดึงมั่วชิงเฉินอีกว่า “น้องสาว นี่คือพี่ใหญ่ข้า”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นเห็นเสี่ยวซย่าฉุดกระชากลากถูผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอายุน้อยคนหนึ่งท่าทางดูไม่ได้เลย จึงเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่ง จากนั้นพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “มักได้ยินเสี่ยวซย่าพูดถึงเจ้า ไม่คิดว่าน้องสาวที่เขาพูดถึง ตบะยังสูงกว่าเขามากนัก”


 


 


ฟังน้ำเสียงของผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ยังนับว่าเป็นมิตร มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “ท่านอาจารย์อาชมเกินไปแล้ว เพียงแต่เขาไล่ตามมาไม่ทันเสียทีเท่านั้น”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชะงัก ตามด้วยเสียงหัวเราะกังวานว่า “ฮ่าๆ ข้าถึงว่าเหตุใดถามถึงตบะของเจ้าทีไร เสี่ยวซย่ามักไม่ยอมพูด ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”


 


 


เสี่ยวซย่าเบิ่งตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วโบกหมัด เห็นมั่วชิงเฉินไม่สนใจเขา กลับเขยิบเข้ามายิ้มร่าว่า “น้องสาว ถ้ารู้ว่าเจ้าอยู่พรรคเหยากวง ข้าก็ไม่ออกไปกับพี่ใหญ่แล้ว”


 


 


ที่แท้แรกสุดเสี่ยวซย่า ยังมัวแต่หวังว่ามั่วชิงเฉินจะสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ที่สิบปีมีครั้งหนึ่งของพรรคเหยากวงได้ ทว่าจนถึงการคัดเลือกสิ้นสุดก็สืบหาชื่อนางไม่ได้เสียที ถึงตอนหลังมั่วชิงเฉินกลายเป็นศิษย์จิปาถะ ไม่ออกจากที่พำนักหลายปี เสี่ยวซย่าจึงไม่รู้ ต่อมาตามพี่ใหญ่ออกไป กลับไปทีหนึ่งก็เป็นเวลาหลายปี พลาดยามที่ชื่อของมั่วชิงเฉินถูกลืออย่างเอิกเกริกไป


 


 


“น้องสาว ท่านปู่ล่ะ?” เสี่ยวซย่าถาม


 


 


มั่วชิงเฉินหลุบเปลือกตาลง เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่อยู่แล้ว”


 


 


เสี่ยวซย่าขยับริมฝีปาก กลับไม่ได้พูดอะไร แล้วยื่นมือตบไหล่อันบอบบางของมั่วชิงเฉิน


 


 


“เสี่ยวซย่า ตามข้าไปกราบอาจารย์ก่อนเถอะ รอกลับมาค่อยเชื้อเชิญน้องบุญธรรมเจ้ามาเที่ยว” ผู้บำเพ็ญเพียรพูดแทรก


 


 


เสี่ยวซย่ามองพี่ชายปราดหนึ่ง พูดกับมั่วชิงเฉินอย่างไม่เต็มใจว่า “น้องสาว เช่นนั้นข้าตามพี่ใหญ่ไปก่อนแล้ว ตอนบ่ายเจ้าก็มาหาข้าที่เขาต้วนจินดีหรือไม่ เราจะได้คุยกันดีๆ อ้อ หากเจ้าไม่สะดวกออกมา ข้าไปหาเจ้าก็ได้”


 


 


มั่วชิงเฉินเกิดความคิดในใจทันที ปากว่า “สะดวกแน่นอน”

 

 

 


ตอนที่ 132

 

 รอบคอบมาตลอดกลับละเลยเพียงสิ่งเดียว

 


 


 


หลังบ่ายมั่วชิงเฉินก็มาถึงเขาต้วนจิน พูดไปแล้วนี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางมา มองไปรอบๆ ยอดเขาหลักของเขาต้วนจินและเขาชิงมู่ไม่เหมือนกัน เป็นไหล่เขารูปกรวยแหลมสูงตระหง่านถึงชั้นเมฆ ที่แหงนหน้าก็สามารถเห็นได้เพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนบนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ดูแล้วมีพลังอหังการ


 


 


“พี่เสี่ยวซย่า ไม่คิดว่าเจ้าจะได้อยู่ที่ยอดเขารอง” มั่วชิงเฉินกวาดสายตาผ่านที่พำนักของเสี่ยวซย่าปราดหนึ่ง


 


 


เสี่ยวซย่าขยี้ผมอย่างเคยชิน “อาศัยบารมีของพี่ใหญ่น่ะ”


 


 


“อ๋อ? พี่ใหญ่เจ้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหรือ?” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยความประหลาดใจ นึกไม่คิดจริงๆ ว่าพี่ใหญ่ของเสี่ยวซย่า ฐานะไม่ต่ำทีเดียว


 


 


เสี่ยวซย่าพยักหน้าว่า “ใช่น่ะสิ พี่ใหญ่ร้ายกาจมากเลย เป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่านผู้เฒ่าหานจางนะ”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ชะงักแผ่วเบาทีหนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ท่านผู้เฒ่าหานจางหรือ ข้าก็เคยได้ยิน”


 


 


ทันใดนั้นเสี่ยวซย่าเขยิบเข้ามา ขยิบตาว่า “เจ้าได้ยินมาว่าเช่นไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่ง


 


 


เสี่ยวซย่าหัวเราะว่า “ได้ยินว่าท่านอารมณ์ร้ายมากใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ส่งเสียง พยักหน้าแผ่วเบา


 


 


เสี่ยวซย่าถอนใจว่า “ที่จริงข้าก็รู้สึกเช่นนี้ ทุกครั้งที่เจอท่าน ใจข้าก็เต้นเหมือนตีกลอง ก็ลำบากพี่ใหญ่แล้ว บัดนี้ยังไม่กลับมาอีก”


 


 


“หึๆ พี่เสี่ยวซย่า พวกเจ้าออกไปหลายปีมิใช่หรือ พี่ใหญ่เจ้าต้องมีเรื่องมากมายคุยกับอาจารย์ของเขาเป็นแน่” มั่วชิงเฉินยินดีในใจ พี่ใหญ่ของเสี่ยวซย่าอยู่ที่ผู้เฒ่าหานจางนั่น เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้วนชิงเกออยู่ที่นั่นละก็ ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคอยเฝ้าแล้ว


 


 


มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง เสี่ยวซย่าว่า “เดิมทีพี่ใหญ่ก็ไปเพื่อหาสมุนไพรทิพย์ให้อาจารย์เขาอยู่แล้ว ครั้งนี้ได้สมุนไพรทิพย์กลับมา ก่อนไปบอกข้าว่าเกรงว่าต้องอยู่ที่ท่านผู้เฒ่านั่นสักระยะหนึ่ง เพื่ออยู่ช่วยอาจารย์เขาหลอมโอสถ”


 


 


“เอ่อ เช่นนี้หรือ พี่เสี่ยวซย่า นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ข้ามีโอกาสมาถึงยอดเขารองนะ ที่นี่เทียบกับยอดเขานอกที่พวกข้าศิษย์ฆราวาสอยู่แล้ว สง่ากว่ามากเลย นักพรตหานจางในฐานะผู้ดูแลยอดเขารองนี้ ไม่รู้ว่าอาศัยอยู่ที่ไหนนะ?” มั่วชิงเฉินสายตาเป็นประกายแวววับด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


 


เสี่ยวซย่าพิจารณามั่วชิงเฉินอีกปราดหนึ่ง ทันใดนั้นยื่นหน้าไปข้างหน้านาง ยื่นมือดึงหางเปียของนาง


 


 


มั่วชิงเฉินถอยหลังไป เอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้าทำอะไร?”


 


 


“น้องสาว บอกความจริงพี่มา ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรพิเรนทร์กันแน่?” เสี่ยวซย่ายันแก้มไว้มือหนึ่งแล้วถามอย่างตามเอ้อระเหย


 


 


มั่วชิงเฉินเหมือนวัวสันหลังหวะ แต่ปากกลับไม่ยอมรับ “พี่เสี่ยวซย่า เจ้าพูดอะไรน่ะ?”


 


 


เสี่ยวซย่าถอนใจว่า “น้องสาว เจ้าหัวแหลมมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่หน้าเจ้าปรากฏสีหน้าเช่นนี้ ในใจจะต้องคิดพิเรนทร์แน่นอน พูดมาเถอะ หากช่วยได้ ข้าต้องช่วยเต็มที่แน่นอน”


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่ง อย่างไรเสีย สองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันสิบกว่าปีแล้ว


 


 


เสี่ยวซย่าย่นจมูก จู่ๆ ก็หัวเราะ “จู่ๆ ข้าก็นึกได้ พี่ใหญ่ลืมสมุนไพรทิพย์ชนิดหนึ่งอยู่ที่ข้านี่ไม่ได้เอาไปด้วย  ข้าต้องรีบเอาไปให้ที่ที่พำนักของท่านผู้เฒ่าหานจางสักครั้ง น้องสาว ไม่สู้เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนข้าด้วย?”


 


 


ความซาบซึ้งเอ่อขึ้นในใจมั่วชิงเฉินแผ่วเบา ทันใดนั้นกลับนึกได้ว่า หากตนช่วยต้วนชิงเกอออกมาได้สำเร็จจริง นักพรตหานจางผู้นั้นต้องอาละวาดยกใหญ่แน่ ไม่แน่ก็อาจจะพาลโกรธเสี่ยวซย่าไปด้วย เช่นนี้แล้ว ยังคงให้เขารู้ให้น้อยเข้าไว้ดีกว่า


 


 


มั่วชิงเฉินตามเสี่ยวซย่าไปที่ที่พำนักของนักพรตหานจาง กลับไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่แยกกับเสี่ยวซย่าที่รอบนอก เดินกลับไปกลับมา เห็นไม่มีคน จึงพลิกมือหยิบดอกไม้สีน้ำทะเลรูปร่างเหมือนกระดิ่งออกมาดอกหนึ่ง


 


 


ดอกไม้ดอกนี้เป็นหนึ่งในเถาวัลย์หลายร้อยชนิดที่มั่วชิงเฉินปลูกในสวนสมุนไพรพกพาในปีนั้นเพื่อเลือกเถาวัลย์ ยามนั้นไม่เห็นมีประโยชน์ใช้สอยอันใด แต่เพราะว่าแต่ละชนิดมีเพียงต้นเดียว ไม่นับว่าเปลืองพื้นที่ มั่วชิงเฉินจึงไม่ได้ทิ้งไป แล้วปล่อยให้พวกมันงอกตามสบาย ใครจะรู้ว่าสิบกว่าปีผ่านไป ในสวนสมุนไพรเพราะว่ามีสุราเลิศรสคอยรด ไม่รู้ผ่านไปกี่พันปีแล้ว คาดไม่ถึงว่าเถาวัลย์ชนิดนี้จะออกดอกรูปร่างเป็นกระดิ่งสองดอกติดกัน ดูแล้วงดงามยิ่งนัก


 


 


ครั้งหนึ่งมั่วชิงเฉินพบโดยบังเอิญ ว่าดอกไม้ชนิดนี้มีประโยชน์ในการใช้ตามหาคน ขอเพียงคนอื่นพกหนึ่งในสองดอกที่ติดกันนี้ไว้กับตัว ยามที่นางใช้พลังวิญญาณปลุกอีกดอกหนึ่งในมือ หากคนผู้นั้นอยู่ห่างนางในระยะที่กำหนด ดอกไม้ในมือนางก็จะส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหู


 


 


ยามนั้นรู้สึกว่าดอกไม้นี้น่าสนใจ อีกทั้งสวยงาม นางจึงมอบดอกหนึ่งแก่ต้วนชิงเกอ เพียงแต่ไม่อาจอธิบายที่มาของดอกไม้นี้ จึงไม่ได้บอกถึงประโยชน์ใช้สอยของมัน ต้วนชิงเกอก็เพียงนึกว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่สหายสนิทมอบให้ จึงอมยิ้มรับไว้


 


 


มั่วชิงเฉินถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าสู่ดอกไม้อย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ลองส่ายดู เป็นไปตามคาด ดอกไม้รูปร่างเหมือนกระดิ่ง ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหูจริงๆ เสียงกระดิ่งค่อยๆ ล่องลอยไปไกล ดั่งบทเพลงที่รื่นหู


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปาก ต้วนชิงเกออยู่ที่นี่ตามคาดจริงๆ!


 


 


นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางดันทุรังจะเข้าใกล้ที่พำนักของนักพรตหานจาง เพราะว่าขอบเขตการตามหาคนของดอกไม้นี้เล็กนัก นางได้ยินเสียงกระดิ่งที่นี่ เช่นนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าต้วนชิงเกอต้องอยู่ที่นี่แน่นอน


 


 


นางขมวดคิ้วคิดๆ ดู แสงวิญญาณแวบขึ้นที่ปลายนิ้ว เขียนอะไรบางสิ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นยกมือขึ้น ยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งก็ถูกส่งออกไป


 


 


ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางถอนหายใจเบาๆ อึดหนึ่ง ศิษย์พี่ชิงเกอ ที่น้องสามารถทำได้ก็ทำหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องดูลิขิตฟ้าแล้ว


 


 


“เจ้าเป็นใคร!” ทันใดนั้นมีเสียงตวาดดังมาจากด้านหลัง


 


 


มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง หันหน้าไปช้าๆ ก็พบผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งกำลังมองตนอยู่


 


 


“ท่านอาจารย์อา” มั่วชิงเฉินรีบย่อตัวคำนับ


 


 


“เจ้าศิษย์ฆราวาสคนหนึ่ง เหตุใดจึงปรากฏตัวที่นี่ได้?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้นั้นถามอย่างสงสัย


 


 


“ผู้น้อย…”


 


 


มั่วชิงเฉินกำลังครุ่นคิดว่าควรตอบเช่นไร ก็เห็นคนอีกคนหนึ่งเลี้ยวมาจากหัวมุมเข้ามา เงยหน้าเห็นมั่วชิงเฉินแล้วชะงักงัน จากนั้นเรียกว่า “มั่วชิงเฉิน เหตุใดเจ้ามาอยู่นี่? ใช่แล้ว เจ้ากักตนบำเพ็ญเพียรเสร็จอีกแล้วใช่หรือไม่ มาหาข้าหรือ?”


 


 


พูดจบวิ่งเข้ามาร่าเริงราวกับนกน้อย มือหนึ่งคล้องแขนของมั่วชิงเฉินไว้ พลางยิ้มพูดกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานว่า “ท่านพ่อ นี่คือสหายของข้า มาหาข้าเจ้าค่ะ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสีหน้าผ่อนคลายลง “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นซิ่งเอ๋อร์ เจ้าพาสหายของเจ้าไปเล่นทางนั้นเถอะ นี่เป็นที่พำนักของท่านลุงใหญ่เจ้า ปกติเขาไม่ชอบให้คนรบกวน”


 


 


“เจ้าค่ะ” เฉินเจียวซิ่งตอบอย่างชื่นบาน จากนั้นลากมั่วชิงเฉินว่า “ไปสิ ชิงเฉิน เราไปทางนั้นกัน”


 


 


มั่วชิงเฉินโล่งอก จึงพยักหน้าเลยตามเลยว่า “อืม” พูดจบก็คำนับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอีกครั้ง


 


 


สองคนจูงมือกันเดินออกไป ทันใดนั้นก็เห็นเมฆสีแดงก้อนหนึ่งลอยผ่านขอบฟ้า ร่อนลงหน้าที่พำนักของนักพรตหานจาง


 


 


“นี่ มั่วชิงเฉินเจ้ารีบดู นั่นคืออาวุธเวทเหินหาวของนักพรตรั่วซี” เฉินเจียวซิ่งนิ้วชี้ไปทางนั้นพลางเรียก


 


 


“นักพรตรั่วซี?” มั่วชิงเฉินได้ยินแล้วในใจเกิดปีติขึ้นมา นางได้ยินมาว่า นักพรตรั่วซีคือศิษย์เอกของเจ้าหุบเขาแห่งเขารั่วสุ่ย ได้รับความเมตตาจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำนิดที่สุด ส่วนมั่วหลีลั่วก็คือศิษย์ของนาง


 


 


เช่นนี้แล้ว ยันต์ส่งสารของตนแผ่นนั้นเกิดประโยชน์แล้วจริงๆ?


 


 


เฉินเจียวซิ่งนึกว่ามั่วชิงเฉินไม่รู้จักชื่อเสียงของนักพรตรั่วซี อธิบายว่า “นักพรตรั่วซีเป็นศิษย์เอกของเขารั่วสุ่ยไงล่ะ ใช่แล้ว นางและท่านปรมาจารย์ท่านนั้นเหมือนกัน เข้าข้างศิษย์ยิ่งนัก ปกติหาน้อยที่จะไปมาหาสู่กับผู้บำเพ็ญเพียรชาย วันนี้มาที่นี่ หรือว่าท่านลุงใหญ่จะล่วงเกินนางที่ไหนแล้ว ทีนี้แย่แล้ว มั่วชิงเฉิน เจ้ารีบตามข้าไปดูหน่อย”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบว่า “นี่ไม่ดีหรอกกระมัง ข้าศิษย์ฆราวาสคนหนึ่ง เข้าไปจะไม่ดีนะ”


 


 


“ไอยา เช่นนั้นตามใจเจ้าแล้ว แต่ข้าจะรีบเข้าไปดูหน่อย” เฉินเจียวซิ่งกระทืบเท้า วิ่งไปที่ที่พำนัก


 


 


มั่วชิงเฉินรอดตัวแล้ว แต่ก็ไม่กล้าวิ่งในเขตของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ จึงได้แต่อดกลั้นไว้ออกจากยอดเขารองก่อน เมื่อถึงรอบนอกของเขาต้วนจิน ถึงได้เสกคาถาเหยียบลมวิ่งพรวดขึ้นมา


 


 


ทันใดนั้น รู้สึกถึงคลื่นวิญญาณส่งผ่านมาจากบนฟ้าอีก นางรีบเงยหน้ามองไป เห็นเพียงบนฟ้ามีเมฆแดงก้อนหนึ่งลอยผ่าน ด้านบนเห็นมีคนสามคนรางๆ คนหนึ่งในนั้นถูกอีกคนหนึ่งพยุงไว้ แม้เร็วมากมองหน้าตาไม่ชัด นางกลับจำได้ว่าคือเงาร่างของต้วนชิงเกอนั่นเอง!


 


 


มั่วชิงเฉินยักคิ้วแล้วยิ้ม ถือว่าไม่ได้เสียแรงเปล่า


 


 


นางยกเท้ากำลังจะไป ทันใดนั้นด้านหน้ามีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง คือบิดาของเฉินเจียวซิ่งนั่นเอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานผู้นั้น


 


 


“ผู้น้อยคารวะท่านอาจารย์อาเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินรีบคำนับ


 


 


ทว่าต่อจากนั้น คนผู้นั้นกลับไม่พูดสักคำก็บุกเข้ามา มั่วชิงเฉินคิดต่อต้านโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นคิดได้ว่านี่อยู่ในสำนัก หากล่วงเกินผู้อาวุโสแล้ว ผลลัพธ์ยิ่งพูดยาก ในขณะที่นางลังเลนี่เอง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จึงจับนางได้ในทันที แล้วบินไปที่ยอดเขารองที่นักพรตหานจางอยู่


 


 


กระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจับมั่วชิงเฉินไว้เดินเข้าไปที่พำนัก จนถึงตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งถึงหยุดลง โยนมั่วชิงเฉินลงบนพื้นแล้วว่า “อาจารย์ ที่ข้าพูดถึงก็คือนางหนูคนนี้!”


 


 


“ท่านพ่อ นี่ท่านจะทำอะไร?” เฉินเจียวซิ่งเห็นมั่วชิงเฉินแล้วตกใจ รีบวิ่งไปพยุงนาง


 


 


“ซิ่งเอ๋อร์ ยังไม่กลับมาอีก!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตะคอก


 


 


“ท่านพ่อ…”


 


 


กลับรู้สึกว่ามีลมพัดผ่าน ทุกคนถอยหลังไปหลายก้าว ผู้บำเพ็ญเพียรเท้าเปล่าสยายผมอย่างตามสบายคนหนึ่งเดินมาถึงหน้ามั่วชิงเฉิน ถามเสียงทุ้มว่า “เจ้าเป็นใคร?”


 


 


“เรียนท่านปรมาจารย์ ผู้น้อยชื่อมั่วชิงเฉินเจ้าค่ะ” รู้สึกถึงพลานุภาพของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ มั่วชิงเฉินฝืนตอบอย่างสุขุม


 


 


“มั่วชิงเฉิน?” นักพรตหานจางกวาดสายตาผ่านผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้นรีบเดินขึ้นหน้าส่งเสียงทางจิตคราหนึ่ง


 


 


แล้วก็เห็นนักพรตหานจางสีหน้ายิ่งเย็นชาขึ้น ฮึว่า “เป็นตามที่คาดจริงๆ เจ้าและนางหนูนั่นต่างมาจากเขาชิงมู่ มิหนำซ้ำยังเป็นสหายสนิท ดูแล้วต้องเป็นเจ้าที่ส่งสารเป็นแน่!”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบว่า “ท่านปรมาจารย์ ผู้น้อยไม่เข้าใจความหมายของท่านเจ้าค่ะ?”


 


 


“ฮึ เรื่องมาถึงบัดนี้ ยังปากแข็งไม่ยอมรับอีก น่ารังเกียจ!” นักพรตหานจางสะบัดแขนเสื้อในบัดดล


 


 


มั่วชิงเฉินบินไปข้างหลังทั้งตัว ชนเข้ากับเสาต้นหนึ่งถึงหล่นลงบนพื้น แล้วกระอักเลือดออกมาทันที


 


 


“มั่วชิงเฉิน!” เฉินเจียวซิ่งรีบวิ่งไป มือหนึ่งพยุงนาง ด้านหนึ่งเงยหน้า “ท่านลุงใหญ่ ท่านต้องเข้าใจผิดแน่นอน ชิงเฉินนางมาหาข้า เมื่อครู่ข้าชวนนางเข้ามานางยังกลัวรบกวนท่านจึงปฏิเสธไปนะเจ้าคะ”


 


 


“หุบปาก ที่นี่ถึงตาเจ้าพูดตั้งแต่เมื่อไร!” นักพรตหานจางเมื่อนึกถึงเนื้อติดมันที่ได้ถึงมือต้องบินหนีไปทั้งเช่นนี้ อีกทั้งนึกถึงท่าทางยโสโอหังของหญิงแก่รั่วซีนั่น ก็อดโมโหเจ็บใจไม่ได้


 


 


นักพรตหานจางขยับมือ เสี่ยวซย่าก็พุ่งไปหน้ามั่วชิงเฉินทันที ถูกพลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทำร้าย จนครางเสียงหนึ่ง เลือดไหลออกจากมุมปาก แต่เขากลับไม่ใส่ใจสักนิด แล้วโขกศีรษะดัง ‘ปึงๆ’ ว่า “ท่านปรมาจารย์ ศิษย์พี่เฉินพูดได้ไม่ผิด ชิงเฉินเป็นสหายสนิทของข้าในวัยเยาว์ ศิษย์เป็นคนเชิญนางมาเป็นแขกที่เขาต้วนจินเองขอรับ ต่อมาข้านึกขึ้นได้ว่ามีของต้องนำมาส่งให้พี่ใหญ่ เดิมทีตั้งใจส่งนางออกไป แต่นางบอกในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็อยากไปหาศิษย์พี่เฉินคุยเสียหน่อย ขอท่านได้โปรดพิจารณา นางไม่ใช่คนส่งสารอันใดอย่างแน่นอนขอรับ”


 


 


ฟังสองคนต่างพูดเช่นนี้ นักพรตหานจางกวาดสายตาผ่านพี่ชายของเสี่ยวซย่าปราดหนึ่ง


 


 


พี่ชายเสี่ยวซย่าคำนับว่า “เรียนอาจารย์ เสี่ยวซย่าพบแม่นางนั่นโดยบังเอิญจริงๆ พบว่าเป็นสหายสนิทในวันวาน ถึงได้เชิญนางมาเป็นแขกขอรับ”


 


 


นักพรตหานจางกวาดสายตาผ่านบิดาของเฉินเจียวซิ่งปราดหนึ่งอีก


 


 


“พี่ใหญ่ ข้าเห็นนางหนูนั่นลับๆ ล่อๆ อยู่นอกที่พำนักของท่านจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าทำอันใดอยู่” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานนั้นพูด


 


 


“ท่านพ่อ ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่านางมาหาข้าน่ะ!” เฉินเจียวซิ่งกระทืบเท้าว่า


 


 


มั่วชิงเฉินหมอบอยู่บนพื้นไม่ได้พูดอะไร แอบถอนใจว่าช่างรอบคอบมาตลอดแต่ละเลยเพียงสิ่งเดียวจริงๆ ไม่คิดว่าบิดาของเฉินเจียวซิ่งจะเป็นคนขี้สงสัยปานนั้น ดูท่าวันนี้ จะจบดียากเสียแล้ว


 


 


แล้วก็ได้ยินนักพรตหานจางว่า “พอแล้ว พวกเจ้าหุบปากให้หมด หมิงเฟิง จับนางหนูนี่ขังขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

 

 

 


ตอนที่ 133

 

 ท่ามกลางความมืดมิดยังมีแสงแห่งความหวัง

 


 


 


“แค่กๆ” มั่วชิงเฉินฟื้นมา รู้สึกอวัยวะภายในเหมือนติดไฟ นางไอสองที แล้วมองไปรอบๆ


 


 


นี่ดูเหมือนเป็นห้องลับห้องหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช้เป็นที่สำหรับขังคนโดยเฉพาะใช่หรือไม่ รอบข้างไม่มีสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงต่ำลงมาจากใต้หลังคาเล็กน้อย มีหน้าต่างบานหนึ่ง มีแสงสว่างรำไรส่องเข้ามา


 


 


นักพรตหานจางขังตนเองขึ้นมาตามที่คาดไว้จริงๆ!


 


 


มั่วชิงเฉินหัวเราะขมขื่นทีหนึ่ง ตกลงเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่นะ เรื่องมาถึงบัดนี้ ต้วนชิงเกอได้ถูกนักพรตรั่วซีแห่งเขารั่วสุ่ยพาไปแล้ว ตนก็ไม่อาจชดใช้ร่างหยินบริสุทธิ์ให้เขาได้


 


 


ว่ากันตามปกติแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรมีสิทธิ์ขาดในการควบคุมศิษย์ก้นกุฏิ และศิษย์ที่บันทึกชื่อของตน นอกจากนั้นหากศิษย์อื่นๆทำผิด ต้องมอบให้โถงลงทัณฑ์ โดยเฉพาะเช่นมั่วชิงเฉินประเภทนี้ ไม่ได้อยู่เขาเดียวกันกับนักพรตหานจางโดยสิ้นเชิง นักพรตระดับสูงมากมายยิ่งไม่ยอมเอาตัวไปพัวพันความยุ่งยากเช่นนี้ เพราะว่าอย่างไรเสียศิษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่เป็นไร แต่หากล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันแห่งหุบเขาอื่นเพราะการนี้ นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสียแล้ว


 


 


ทว่าหากผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงคนหนึ่งเจตนาลงโทษศิษย์ที่ไม่มีที่พึ่งคนหนึ่ง ย่อมไม่มีคนถามหาโดยสิ้นเชิง


 


 


นึกถึงท่าทางโมโหโกรธาของนักพรตหานจาง หากไม่มีพี่เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่งคอยวิงวอน เกรงว่าเขาคงซัดตนตายคามือก็อาจเป็นได้


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูหน้าต่างขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วเม้มริมฝีปาก


 


 


เป็นเช่นนี้พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายวัน มั่วชิงเฉินราวกับถูกลืมเลือนไปแล้วก็ไม่ปาน ถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆ นั่น นางจากความร้อนรนกังวลใจในตอนแรก กลายเป็นความชินชาอย่างช้าๆ ถึงตอนหลังอะไรก็ไม่คิดแล้ว รักษาร่างกายให้แข็งแรง หลับตาบำเพ็ญเพียรขึ้นมา


 


 


“มั่วชิงเฉิน มั่วชิงเฉิน” ทันใดนั้นมีเสียงที่เล็กมากดังขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินลืมตาในบัดดล เพราะว่าไม่ได้เปิดปากเป็นเวลานาน เสียงจึงแห้งแหบอยู่บ้าง “เฉินเจียวซิ่ง?”


 


 


“ชู่ เจ้าเสียงเบาหน่อย ในห้องนี้จิตสัมผัสถูกกั้นไว้ ได้แต่คุยกันเช่นนี้แล้ว” เฉินเจียวซิ่งกดเสียงต่ำว่า


 


 


มั่วชิงเฉินอืมเสียงหนึ่ง


 


 


“เจ้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว?” เฉินเจียวซิ่งถาม


 


 


มั่วชิงเฉินตอบว่า “ข้ายังดีอยู่ นักพรตหานจางกะจะขังข้าถึงเมื่อใด?”


 


 


ข้างนอกหยุดไปครู่หนึ่ง ตามด้วยได้ยินเฉินเจียวซิ่งว่า “ข้าก็ไม่รู้ ท่านลุงใหญ่ท่านดูท่าทางโมโหมากเลย มั่วชิงเฉิน นี่ตกลงเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าทำเพราะช่วยต้วนชิงเกอจริงหรือ? แล้วท่านลุงใหญ่เขาจับต้วนชิงเกอมาด้วยเหตุใดอีกล่ะ?”


 


 


ได้ยินคำถามของเฉินเจียวซิ่ง มั่วชิงเฉินเงียบไป ผ่านไปเนิ่นนานถึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าก็ไม่รู้”


 


 


“เจ้า เอาเถอะ เช่นนั้นเจ้ารักษาตัวดีๆ ปกติท่านลุงใหญ่ยังนับว่าดีต่อข้าไม่น้อย ข้าจะคิดวิธีช่วยเจ้านะ อ้าว อันนี้ให้เจ้า” เฉินเจียวซิ่งพูดพลางโยนของสิ่งหนึ่งเข้ามาทางหน้าต่างเล็กบานนั้น


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือรับพอมองดู มีโอสถเลี่ยงธัญพืชขวดหนึ่ง ยาลูกกลอนย้อนอายุขวดหนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ขอบใจนะ”


 


 


“ขอบใจอะไร ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าหรอกนะ รอเจ้าออกไปแล้ว ยังต้องตีกันเป็นเพื่อนข้านะ” เฉินเจียวซิ่งพูดจบ ข้างนอกก็ค่อยๆ ไร้สุ้มเสียงแล้ว


 


 


พริบตาเดียวผ่านไปอีกหลายวัน มั่วชิงเฉินชินกับการไม่คิดอะไรแล้ว ใช้ชีวิตก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ข้างนอกมีเสียงดังมาอีก


 


 


“มั่วชิงเฉิน เจ้าโง่นี่ บ้าที่สุด!” เสียงโมโหของเฉินเจียวซิ่งดังมาจากข้างนอก


 


 


“เป็นอะไรหรือ?” มั่วชิงเฉินงงงัน


 


 


ก็ได้ยินเฉินเจียวซิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ต้วนชิงเกอเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้ได้ล่ะ?”


 


 


“ฮึ บัดนี้ทั่วทั้งพรรคเหยากวงใครไม่รู้บ้าง ในสำนักเราปรากฏร่างหยินบริสุทธิ์ที่พันปียังยากเจอสักคน ได้ถูกนักพรตรั่วซีแห่งเขารั่วสุ่ยรับเป็นศิษย์ก้นกุฏิคนสุดท้ายแล้ว สามวันให้หลัง ก็จะจัดพิธีไหว้ครูอย่างเป็นทางการนะ!” เฉินเจียวซิ่งโมโหว่า


 


 


“เอ่อ…เช่นนั้นก็ดีออกมิใช่หรือ” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


เฉินเจียวซิ่งที่อยู่นอกประตูเกือบกระโดดขึ้นมา “มั่วชิงเฉิน! เจ้ามันโง่ วันนั้นเจ้าก็ทำเพราะช่วยต้วนชิงเกอใช่หรือไม่ ทีนี้ดีแล้ว คนเขาก้าวกระโดดทีหนึ่งกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตระดับก่อแก่นปราณ ฮึ ยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายด้วยนะ แล้วเจ้าลองดูอีกทีว่าเจ้ามีจุดจบเช่นไร!”


 


 


ว่ากันตามปกติแล้ว ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ฐานะก็สูงศักดิ์มากแล้ว ทว่าศิษย์เอกและศิษย์คนสุดท้าย ฐานะยิ่งเหนือขึ้นหนึ่งชั้น ศิษย์เอกไม่ต้องพูดมาก ส่วนศิษย์คนสุดท้ายน่ะ ก็คือบอกว่ารับศิษย์มาถึงคนนี้เพียงพอแล้ว จากนี้ไม่รับศิษย์อีก แสดงว่าศิษย์คนนี้เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์ยิ่งนัก


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ออกเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีร่างหยินบริสุทธิ์ ได้รับความสำคัญเช่นนี้เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ ทว่าเห็นท่าทางเช่นนี้ของเฉินเจียวซิ่ง ตนอย่าพูดจะดีกว่า


 


 


“เหตุใดไม่พูดแล้ว เสียใจภายหลังแล้วสิ?” เฉินเจียวซิ่งโมโหว่า


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ได้รับคำ แต่ถามว่า “เฉินเจียวซิ่ง เจ้ามาดูข้า ไม่มีคนเห็นหรือ?”


 


 


เฉินเจียวซิ่งตอบว่า “ข้าพบว่าท่านลุงใหญ่กำลังยุ่งกับการหลอมโอสถ จึงบอกศิษย์น้องเฝ้าประตูโดยตรงว่ามาหาเจ้าคุยด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่ารอท่านลุงใหญ่ว่างแล้ว จะลงโทษเจ้าเช่นไร”


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้วว่า “ลุงใหญ่เจ้าเป็นนักพรตระดับก่อแก่นปราณ อาจจะลืมเรื่องของข้าไปโดยสิ้นเชิงแล้วก็ไม่แน่”


 


 


“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ ทว่าท่านลุงใหญ่ข้าปกติเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ถูก ปกติความจำดีต่างหาก” เฉินเจียวซิ่งเอ่ยอย่างเนือยๆ


 


 


สามวันให้หลัง


 


 


ศิษย์เฝ้าประตูอ่อนยวบลงกับพื้น เสี่ยวซย่าแวบเข้ามา กำลังจะเข้าไป กลับถูกเฉินเจียวซิ่งลากไว้ “เสี่ยวซย่า เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”


 


 


“ศิษย์พี่เฉิน ท่านหลีกไป ข้าจะช่วยนางออกไป” เสี่ยวซย่าใบหน้านิ่งดุจน้ำ ไม่มีท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนเคยแม้แต่น้อย


 


 


เฉินเจียวซิ่งเบิ่งตาใส่เขาปราดหนึ่ง “เจ้าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ทำอะไร หากถูกท่านลุงใหญ่ข้าพบเข้า…”


 


 


เสี่ยวซย่าผลักนางออก “ข้าไม่สนมากมายเช่นนั้นแล้ว ศิษย์พี่เฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้ยินอะไรมา ท่านผู้เฒ่าหานจางจะมอบชิงเฉินให้พี่ใหญ่ข้าทำหรูติ่ง บอกว่าในเมื่อนางขัดขวางชะตาที่ต้องกลายเป็นหรูติ่งของคนอื่น ก็ให้ตนเองรับกรรมนั้นเอง ดูสุดท้ายจะเสียใจภายหลังหรือไม่!”


 


 


“หา เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ?” เฉินเจียวซิ่งตกใจร้องอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


เสี่ยวซย่าไม่พูดมากอีก ผลักเฉินเจียวซิ่งออกแล้ววิ่งเข้าไปข้างใน กลับถูกเฉินเจียวซิ่งลากไว้ไม่ยอมปล่อย “ไม่ได้ เสี่ยวซย่า ห้องลับนั่นถูกท่านลุงใหญ่ข้าเสกคาถาไว้ ขอเพียงคนอื่นฝืนเปิดออก ท่านก็จะรู้ ถึงเวลา ก็จบเห่กันจริงๆ แล้ว!”


 


 


เสี่ยวซย่าชะงักงัน กำหมัดไว้แน่นโบกไปมา ทันใดนั้นว่า “ข้าจะไปหาผู้ดูแลเขาชิงมู่ ชิงเฉินนางเป็นคนของเขาชิงมู่ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ปล่อยไว้ไม่เหลียวแลก็ได้”


 


 


มั่วชิงเฉินเป็นเพียงศิษย์ฆราวาส เสี่ยวซย่าพูดเช่นนี้ ก็เป็นเพียงการรักษาม้าตายดั่งม้าเป็น[1]เท่านั้น


 


 


“ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าไปเขารั่วสุ่ยคราหนึ่ง เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกชิงเฉิน นางรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าโง่นี่ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่านางจะจิตใจดีจนโง่เช่นนี้!” เฉินเจียวซิ่งกระทืบเท้า แล้ววิ่งไปทางทิศทางหนึ่ง


 


 


“นางไม่ใช่โง่ ที่จริงนางเข้าใจดีกว่าใครทั้งหมด” เสียงของเสี่ยวซย่าดังมาจากข้างหลัง


 


 


เขารั่วสุ่ย


 


 


ต้วนชิงเกอสยายผมออก ใส่ชุดขาวนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะ ด้านหลังมีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งใช้หวีไม้หวีผมยาวของนางอย่างเชื่องช้า จากนั้นหยิบปิ่นไม้อันหนึ่งเกล้าเป็นผมทรงนักพรต


 


 


มีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอีกคนยกถาดมาใบหนึ่ง บนนั้นวางชุดสีเขียวชุดใหม่ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นไม่พูดสักคำสะบัดชุดเขียวออก คลุมให้ต้วนชิงเกอ


 


 


“จุดธูปคารวะ…” เสียงสะท้อนอยู่ในตำหนัก ต้วนชิงเกอมือถือธูป กราบรูปเซียนบนตำหนักสามครั้ง


 


 


“ดำเนินพิธีไหว้ครู…”


 


 


ต้วนชิงเกอยกแขนขึ้นสูง หมอบลงบนพื้นหินเขียว กราบคารวะหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลาง


 


 


“เอาล่ะ ชิงเกอ จากนี้ไปเจ้าก็คือศิษย์คนสุดท้ายของนักพรตรั่วซีข้า จะไม่มีใครกล้าคิดมิดีมิร้ายกับเจ้าอีก!” หญิงสาวที่นั่งอยู่ยิ้มดุจดอกไม้ สีหน้าทระนง


 


 


“ขอบคุณอาจารย์ที่เมตตา” ต้วนชิงเกอหมอบกับพื้นว่า


 


 


พูดไปแล้ว นางเองยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ถูกนักพรตหานจางจับไว้แท้ๆ เหตุใดนักพรตรั่วซีถึงรู้เรื่องล่ะ และยังกลายเป็นอาจารย์ของตน


 


 


“ต้วนชิงเกอ เจ้าออกมานะ!” นอกตำหนักมีเสียงของหญิงสาวดังขึ้น


 


 


นักพรตรั่วซีที่อยู่ในนั้นคิ้วโก่งตั้งขึ้น “เหตุใดวันนี้ถึงมีคนมาวุ่นวาย?”


 


 


“อาจารย์ ศิษย์ขอออกไปดูสักหน่อย คนผู้นั้นเมื่อก่อนรู้จักกับศิษย์” ต้วนชิงเกอฟังออกว่าเป็นเสียงเฉินเจียวซิ่ง จึงรีบเอ่ย


 


 


เห็นนักพรตรั่วซีพยักหน้า ต้วนชิงเกอเดินออกไป ทว่าไม่นานนักกลับวิ่งเตลิดเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้านักพรตรั่วซีว่า “อาจารย์ ขอท่านได้โปรดช่วยสหายสนิทของศิษย์มั่วชิงเฉินด้วยเถอะเจ้าค่ะ”


 


 


“มั่วชิงเฉิน? เกิดอะไรขึ้น?” นักพรตรั่วซีขมวดคิ้วถาม


 


 


ต้วนชิงเกอหมอบลงกับพื้น เอ่ยอย่างรีบเร่งว่า “ที่ครั้งนี้ศิษย์ได้อาจารย์ยื่นมือเข้าช่วย เพราะชิงเฉินส่งข่าวแจ้งศิษย์พี่มั่ว ทว่านางกลับถูกนักพรตหานจางขังไว้ อาจารย์ ได้โปรดท่านต้องช่วยนางนะเจ้าคะ”


 


 


นักพรตรั่วซีมองมั่วหลีลั่วปราดหนึ่ง มั่วหลีลั่วรีบคำนับว่า “เรียนอาจารย์ ศิษย์น้องต้วนพูดไม่ผิดเจ้าค่ะ”


 


 


นักพรตรั่วซีครุ่นคิดครู่หนึ่งว่า “ชิงเกอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าใช้ไม้แข็งพาเจ้าออกมาจากที่พำนักนักพรตหานจาง ก็ทำให้เขาเสียหน้ามากแล้ว เพียงแต่เขาก็รู้ดีว่าสภาพร่างกายของเจ้าหากถูกสำนักรู้เข้า เดิมทีเขาก็ขังเจ้าไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าบัดนี้หากข้ายังไปขอคนอีก นั่นก็จะกลายเป็นเงื่อนตายแล้ว”


 


 


“อาจารย์!” ต้วนชิงเกอรู้สึกสิ้นหวังทันที


 


 


“ลั่วเอ๋อร์ พาศิษย์น้องเจ้าไปพักผ่อนดีๆ เถอะ” นักพรตรั่วซีเอ่ยนิ่งเรียบ


 


 


กลับไม่คิดว่าทันใดนั้นมั่วหลีลั่วก็คุกเข่าลงว่า “อาจารย์ มั่วชิงเฉินก็มีบุญคุณช่วยชีวิตศิษย์ไว้ หากยามนี้ศิษย์เห็นตายไม่ช่วย วันหลังต้องถูกจิตมารพันกายเป็นแน่ หวังให้อาจารย์เห็นใจด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


“ศิษย์ก็เช่นกัน หวังให้อาจารย์เห็นใจด้วยเจ้าค่ะ!” ต้วนชิงเกอโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง


 


 


“พวกเจ้า!” นักพรตรั่วซีจนด้วยคำพูด ในใจกลับปีติที่ศิษย์ทั้งสองไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ


 


 


ต้องรู้ว่าคนบำเพ็ญเพียรไม่เหมือนคนบำเพ็ญมาร ปกติต่อให้ทำเรื่องชั่วช้าปานใด จิตใต้สำนึกยังคงได้รับอิทธิพลจากศีลธรรมกฎเกณฑ์ ทำเรื่องผิดต่อมโนธรรมแล้ว ก่อแก่นปราณและก่อกำเนิดจะผ่านจิตมารได้ยากนัก เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรนับหมื่นพันคนเดินถึงระดับก่อแก่นปราณมีเพียงคนเดียว จึงมีคนมากมายเพื่อผลประโยชน์ตรงหน้าแล้วลืมสิ่งเหล่านี้ไป


 


 


“เอาเถอะ” นักพรตรั่วซีเรียกเมฆสีแดงออกมา พาทั้งสองคนบินสู่เขาต้วนจิน


 


 


“ศิษย์พี่รั่วซี ไม่ทราบท่านให้เกียรติมาเยือนมีเหตุอันใด?” นักพรตหานจางเห็นนักพรตรั่วซีมาอีกแล้ว ข้างกายยังพาต้วนชิงเกอมาด้วย จึงกัดฟันถาม


 


 


นักพรตรั่วซีหัวเราะเบาๆ หนึ่งที “ศิษย์น้องหานจางพูดเกินไปแล้ว เราเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสำนักเดียวกัน มาเยี่ยมเยือนกันมีสิ่งใดไม่ได้เช่นนั้นหรือ?”


 


 


นักพรตหานจางมุมปากกระตุก “กลัวแต่ที่พำนักข้าต่ำต้อย จะทำให้ตาศิษย์พี่สกปรก”


 


 


“หึๆ ศิษย์น้อง ข้าไม่ใช่รับศิษย์มาใหม่คนหนึ่งหรือไง ชิงเกอ ยังไม่มาคารวะอาจารย์อาอีก” นักพรตรั่วซีหัวเราะว่า


 


 


ต้วนชิงเกอเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง คารวะตามระเบียบ “ศิษย์ต้วนชิงเกอขอคารวะท่านอาจารย์อาเจ้าค่ะ”


 


 


นักพรตหานจางโกรธจนหน้าดำ


 


 


นักพรตรั่วซีว่า “ศิษย์คนเล็กข้านี่ ยังขาดศิษย์รับใช้ใกล้ชิดคนหนึ่งคอยจัดการเรื่องรอบตัวนางพอดี ได้ยินมาว่านางมีสหายชื่อมั่วชิงเฉินคนหนึ่งบังเอิญมาเป็นแขกอยู่ที่เจ้านี่ ยังหวังให้ศิษย์น้องตัดรัก”


 


 


“นักพรตรั่วซี ท่านอย่ารังแกกันเกินไปนะ!” นักพรตหานจางเอ็ดตะโร


 


 


ในยามนี้เอง ขอบฟ้ามีแสงวิญญาณปรากฏ ต่อมามีคนผู้หนึ่งกระโดดลงจากอาวุธเวท คือศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาชิงมู่


 


 


“ศิษย์คารวะอาจารย์ลุงทั้งสอง” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ย


 


 


“วันนี้ที่ข้านี่ช่างครึกครื้นเสียจริง เจ้ามาทำอะไร?” นักพรตหานจางปฏิบัติต่อศิษย์ระดับสร้างรากฐาน ย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกลับตอบอย่างมีสัมมาคารวะยิ่งนักว่า “เรียนอาจารย์ลุง ศิษย์รับคำสั่งท่านผู้เฒ่าเหอกวง รับศิษย์ของท่านกลับเขาขอรับ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น หมายถึง ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จแต่ก็ยังลองดู เหมือนม้าที่ตายไปแล้วรักษายังไงมันก็ไม่ฟื้นแต่ก็ยังพยายามให้มันกินยา

 

 

 


ตอนที่ 134

 

 ใจกล้าห่อฟ้าได้

 


 


 


“ศิษย์? นี่หมายความเช่นไร?” นักพรตหานจางขมวดคิ้วว่า เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ศิษย์ฆราวาสตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเรียกว่าศิษย์ได้แล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนคารวะอีกครั้งว่า “เรียนอาจารย์ลุง เขาชิงมู่ของเรามีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งชื่อมั่วชิงเฉิน ก่อนหน้านี้บอกว่าได้รับการเชื้อเชิญจากสหายมาเป็นแขกที่เขาต้วนจิน นางก็คือศิษย์ของท่านผู้เฒ่าเหอกวงขอรับ”


 


 


“เหลวไหลสิ้นดี นางใส่ชุดศิษย์ฆราวาสชัดๆ!” นักพรตหานจางมองนักพรตรั่วซีที่ยิ้มดุจดอกไม้ กำลังพิจารณาพวกเขาสองคนอย่างสนุกปราดหนึ่ง พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า


 


 


เรื่องประหลาดมีทุกปี ปีนี้มากเป็นพิเศษ เหตุใดเจ้าพวกที่ปกติแทบจะไม่ตายก็ไม่ไปมาหาสู่กันพวกนั้น เร็วๆ นี้วิ่งมาบอกว่าคนที่เขาจับมาเป็นศิษย์ของพวกเขาทีละคนๆ


 


 


หากเขาจับศิษย์ติดมือมาอีกคน แม้แต่ท่านไท่ซ่างเหล่าจู่แห่งเขาโฮ่วเต๋อก็จะวิ่งมาบ้างแล้วใช่หรือไม่?


 


 


เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของนักพรตหานจาง ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกลับเอ่ยอย่างไม่แสดงอารมณ์ว่า “เรียนอาจารย์ลุง ศิษย์ไม่กล้าโป้ปดเด็ดขาด มั่วชิงเฉินถูกท่านผู้เฒ่ารับเป็นศิษย์บันทึกชื่อไว้นานแล้ว เพียงแต่ท่านผู้เฒ่าเหยากวงหวังให้นางสร้างพื้นฐานให้ดีฝึกฝนให้มาก นี่ถึงไม่ได้ประกาศต่อภายนอก รอเพียงให้นางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ก็จะรับเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ท่านดูสิ นี่คือป้ายคำสั่งของท่านผู้เฒ่าเหอกวงขอรับ”


 


 


เห็นป้ายคำสั่งเล็กๆ อันนั้น ไม่เพียงแต่นักพรตหานจาง แม้แต่นักพรตรั่วซีก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือว่า นางหนูน้อยนั่นจะเป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวงจริงๆ?


 


 


ทั่วทั้งพรรคเหยากวงมีใครไม่รู้บ้าง อัจฉริยะผู้ได้รับพรจากสวรรค์มากที่สุดก็คือนักพรตเหอกวง เขาก็เป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ยึดติดจนขึ้นชื่อ หากไม่เพราะเรื่องในวันวาน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านที่หกนอกจากเขาก็ไม่มีใครอีกแล้ว


 


 


ต่อให้ในยามนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั่วไปก็ไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับเขา แม้ตบะของเขาไม่เพิ่มขึ้นเสียที ทว่ากลับไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ไม่พอ แต่เพราะมีปมในใจ หากมีวันหนึ่งปมในใจแก้ออก อนาคตยากจะคาดคะเนได้


 


 


“ท่านอาจารย์ลุง ท่านว่า…” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน


 


 


นักพรตหานจางรู้สึกเพียงอัดอั้นตันใจ เอ่ยเสียงอึดอัดว่า “ใครไม่รู้ว่าศิษย์น้องเหอกวงเย็นชาปลีกวิเวก ไปมาหาสู่กับคนอื่นน้อยยิ่งนัก ถึงบัดนี้ยิ่งไม่เคยมีศิษย์แม้แต่คนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าอยู่ดีๆ เขาจะรับนางหนูน้อยคนหนึ่งเป็นศิษย์ หรือว่านางหนูนั่นก็มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฮึ หากเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ใช่ศิษย์ฆราวาสแล้ว”


 


 


ทันใดนั้นนักพรตรั่วซีที่อยู่ข้างๆหัวเราะว่า “ศิษย์น้องหานจางพูดเช่นนี้ก็ผิดแล้ว ดูสิ ศิษย์คนสุดท้องของข้านี่ก่อนหน้านี้วันหนึ่งยังมีฐานะเป็นศิษย์ฆราวาสเลย ใครจะพูดได้อีกล่ะว่าร่างหยินบริสุทธิ์นั้นด้อยพรสวรรค์ด้วยล่ะ? หึๆ รุ่นหลังที่รับศิษย์พวกนั้น ไม่แน่อาจจะตาส่อน จึงดูพลาดไปทั้งอย่างนั้นก็ได้”


 


 


“ท่าน!” นักพรตหานจางรู้สึกเพียงอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา พลังวิญญาณในกายปั่นป่วนในทันใด เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก


 


 


“ศิษย์น้องหานจาง เจ้าก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้แหละ ข้าว่าเจ้าปล่อยนางหนูนั่นออกมาเถอะน่ะ ให้ข้าได้ดูหน่อย คนที่ถูกตาต้องใจศิษย์น้องเหอกวง ท่าทางเป็นเช่นไรกันแน่” นักพรตรั่วซีซ้ำเติมว่า


 


 


นักพรตหานจางสูดหายใจลึกๆ อึดหนึ่ง กดความโกรธไว้ หันหน้าไปว่า “หมิงเฟิง เจ้าไปพานางหนูนั่นออกมา”


 


 


“ขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวข้างๆ รับคำ หันหลังจากไป


 


 


เพียงชั่วครู่ ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวนั่นเตลิดกลับมาอีก เรียกอย่างลนลานว่า “อาจารย์…”


 


 


“ลนๆ ลานๆ เหมือนอะไร!” นักพรตหานจางเอ็ดว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนในใจบีบรัดคราหนึ่ง หรือว่า เกิดเรื่องอะไรกับนางหนูนั่น?


 


 


“อาจารย์ ห้องลับนั่นถูกปกคลุมไปด้วยแสงวิญญาณสีเขียว จิตสัมผัสเข้าได้ยาก ดูท่าทาง นางหนูนั่น นางหนูนั่นกำลังสร้างรากฐานอยู่ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรหน้ายาวพูดจบในอึดใจเดียว


 


 


“อะไรนะ!” ไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่ถามพร้อมกัน


 


 


เป็นที่รู้กัน ผู้บำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดก็สามารถทะลวงระดับสร้างรากฐานได้ ทว่าอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดก็ทำเช่นนี้จริงๆ มีไม่กี่คน ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนเลือกรอให้ถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสองถึงลงมือสร้างรากฐาน หากบางคนที่พรสวรรค์ด้อยหรือไม่ได้โอสถสร้างรากฐานเสียที ตบะหยุดชะงักอยู่ที่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์หลายปีค่อยสร้างรากฐานก็มีมากมาย


 


 


คนที่กล้าสร้างรากฐานตั้งแต่อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด นอกจากอัจฉริยะได้พรจากสวรรค์ ก็คือคนบ้าบิ่นที่ไร้ความรู้ไร้ความกลัว


 


 


ไม่กี่คนมองตากันปราดหนึ่ง รีบเร่งไปที่ห้องลับพร้อมกัน เป็นจริงดังคาด นอกห้องลับแสงวิญญาณสีเขียวที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเอ่อจากหน้าต่างบานเล็กนั่นเข้าข้างใน ดูจากเหตุการณ์แล้ว คือผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


“เสี่ยวซย่า มั่วชิงเฉินบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ หากนางสร้างรากฐานล้มเหลว ด้วยตบะก่อนหน้านี้ของนาง รับพลังสะท้อนไม่ไหวโดยสิ้นเชิง” เฉินเจียวซิ่งกัดริมฝีปากว่า


 


 


นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ไม่กล้าเลือกสร้างรากฐานในระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด หากล้มเหลวในยามนี้ ร่างกายจะรับปราณวิญญาณที่ดูดเข้ามาได้ยากมาก หากตันเถียนระเบิด เช่นนั้นก็จบแล้ว มีเพียงรอให้ถึงหลังจากระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสอง ถึงพอกล้อมแกล้มรับมือไหว หากครั้งหนึ่งไม่สำเร็จละก็ ยังมีโอกาส


 


 


เสี่ยวซย่าสีหน้าซีดเซียว กลับฝืนยันไว้ว่า “ไม่หรอก นางหนูนั่นไม่เคยทำอะไรที่ไม่มั่นใจมาก่อน”


 


 


ไม่พูดถึงทุกคนนอกห้องลับต่างคนต่างความคิด เพียงพูดถึงมั่วชิงเฉินว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงกระทำการน่าตกใจเช่นนี้นะ


 


 


ที่แท้นางอยู่ในห้องลับ อีกาไฟที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในถุงอสูรวิญญาณตลอดจู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา อีกานั่นด้วยความเบื่อมากจึงบินออกจากหน้าต่างไป กลับพบว่าห้องลับนี้แม้ถูกขัดขวางจิตสัมผัสไว้ แต่หน้าต่างกลับให้สิ่งของเข้าออกได้ ตอนนั้นจึงทิ้งมั่วชิงเฉินไว้อย่างไร้คุณธรรม บินพุ่งออกไป


 


 


อีกาไฟตัวนี้เพิ่งเตร็ดเตร่ออกมาได้ไม่นาน ก็ได้ยินการสนทนาครึ่งแรกของเฉินเจียวซิ่งและเสี่ยวซย่า มันรีบบินกลับไปอย่างร้อนรนทันที ใส่สีตีไข่เล่าเรื่องทั้งหมดให้มั่วชิงเฉินฟังรอบหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินได้ฟังแล้วก็ชะงัก เดิมทีนางนึกว่านักพรตหานจางขังนางขึ้นมา จะกักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพนางสักระยะ หรือใช้วิธีบางอย่างให้นางได้รับความลำบากบ้าง ทว่าไม่คิดว่าเขาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้สง่าผ่าเผย ไม่คิดว่าจะกระทำการเหลวไหลเช่นนี้


 


 


เมื่อคิดว่าจะมอบตนเองให้ผู้ชายที่แทบจะแปลกหน้าอย่างสิ้นเชิงใช้เป็นหรูติ่ง ปล่อยให้เขาปฏิบัติกับตนตามใจ ไม่ว่าจะเป็นนางที่ได้รับการศึกษาเรื่องความรักอิสระที่อีกโลกหนึ่ง หรือนางที่ถูกขับกล่อมด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีในโลกนี้ ก็ไม่อาจยอมรับได้


 


 


ปกติแม้มั่วชิงเฉินจะรอบคอบ ทว่าหากพบเจอเรื่องอะไรที่หนีไม่พ้นแล้ว ที่จริงนิสัยนางก็คือนักเลงดีๆ นี่เอง


 


 


นางคิดไปคิดมา หากไม่อยากนั่งรอความตาย เช่นนั้นวิธีเดียวที่มีก็คือสร้างรากฐาน!


 


 


ปีนี้นางอายุยี่สิบสองปี หากสร้างรากฐานสำเร็จ นางไม่เชื่อว่านักพรตหานจางยังกล้าเห็นนางเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งมอบให้คนตามใจ


 


 


แต่หากไม่สำเร็จ…


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากอย่างแรงทีหนึ่ง หากไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องต่อจากนั้นแล้ว ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ ล้วนดีกว่าให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริงๆ


 


 


มั่วชิงเฉินดื้อดึงขึ้นมาแล้ว กลับไม่ใช่บุ่มบ่ามทั้งหมด ตั้งแต่ยามที่นางสิ้นสุดการบำเพ็ญเพียรสามปีได้ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด ฉวยโอกาสคลื่นลมครั้งนั้นในปีนั้นค่อยๆ สงบลง นางก็ไปโถงจัดหารับโอสถสร้างรากฐานสามเม็ดนั้นของตนอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง บวกกับที่นางหลอมออกมาได้เอง มีมากถึงสิบกว่าเม็ด เมื่อนางสร้างรากฐานสำเร็จ ย่อมสามารถอธิบายได้ว่าโอสถสร้างรากฐานมาจากไหนแล้ว


 


 


นอกจากนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด มั่วชิงเฉินพบว่าชีพจรของตนยิ่งนานยิ่งแกร่งและกว้าง แกร่งก็ช่างเถอะ อาจเป็นเหตุจากตบะสูงขึ้น ทว่าตามหลักแล้ว หากไม่ได้ทะลวงเขตแดน ชีพจรจะไม่กว้างขึ้น มีเพียงรอให้ชีพจรถูกปราณวิญญาณเติมเต็มรับไม่ไหวอีกแล้ว นั่นก็คือบำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ สามารถสร้างรากฐานเพราะเงื่อนไขสุกงอมแล้ว


 


 


ถึงตอนหลัง มั่วชิงเฉินได้แต่คาดเดาอย่างเลือนราง หรือว่าความพิเศษเหล่านั้นของร่างกายตน กับการที่นางดื่มสุราเลิศรสในขวดน้ำเต้าสุรานั้นจะเกี่ยวข้องกัน?


 


 


มั่วชิงเฉินที่ตัดสินใจเด็ดขาด จึงนั่งขัดสมาธิลง ผ่อนคลายทั้งตัว ปิดเปลือกตาลง รอลมหายใจเชื่องช้ายืดยาวจิตใจเข้าฌานแล้ว จึงพลิกมือโยนโอสถหน่อหยกเม็ดหนึ่งเข้าปาก ตามด้วยกลืนโอสถสร้างรากฐานเม็ดหนึ่งลงไปทันที


 


 


โอสถสร้างรากฐานเปรียบดังราดน้ำมันลงในกองไฟ ปราณวิญญาณในร่างระเบิด ‘ปัง’ ขึ้นมา ต่อจากนั้นเหมือนม้าคึกที่หลุดจากบังเ**ยน ไหลพุ่งเข้าชีพจร


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟันไว้ ทำตามวิธีสร้างรากฐานที่พูดถึงในเคล็ดวิชา ผ่อนคลายทุกซอกมุมในร่างกาย ไม่ต่อต้านปราณวิญญาณมหาศาลสายนี้ หากแต่ดึงพลังวิญญาณออกมาสายหนึ่งค่อยๆ ชี้นำ ค่อยๆ ตามวิถีการเดินของปราณวิญญาณสายนี้ไปสู่ชีพจรที่จะทะลวง


 


 


ยามที่ปราณวิญญาณทะลวงชีพจร มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดสายหนึ่งส่งผ่านมา ความเจ็บปวดชนิดนั้นราวกับฟาดลงที่จิตของคนโดยตรง เจ็บปวดจนนางเหงื่อเย็นไหลโชก แต่กลับร้องไม่ออก


 


 


มั่วชิงเฉินในยามนี้ ทิ้งความคิดรบกวนทุกสิ่งไป ด้านหนึ่งทะลวงชีพจรครั้งแล้วครั้งเล่า ด้านหนึ่งปรับลมหายใจของตน


 


 


ในที่สุด นางก็สามารถได้ยินเสียฉีกขาดของชีพจรในร่างกายทุกกระเบียดนิ้วอย่างชัดเจน ความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่อาจพรรณนาได้แล้ว ตามติดด้วยประโยชน์จากโอสถ ชีพจรที่ขาดทุกกระเบียดนิ้วนั้นก็ต่อติดขึ้นมาอีก จุดเชื่อมนับไม่ถ้วนเหมือนถูกแมลงกัดกินหัวใจ ชาจนตัวสั่นเทิ้ม


 


 


ชีพจรที่เชื่อมขึ้นมาถูกทะลวงขาดอีกครั้ง เชื่อมขึ้นอีกครั้ง เชื่อมต่อติดก็ทะลวงอีก เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้ผ่านไปกี่ครั้ง มั่วชิงเฉินค่อยๆ รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว มีเพียงความเจ็บปวดที่ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุดเคียงคู่กับเสียงชีพจรฉีกขาด


 


 


ตันเถียนของมั่วชิงเฉิน ยามนี้เหมือนโอ่งน้ำที่ใส่น้ำจนเต็ม เห็นว่าเก็บไม่ได้แล้วจะหกออกไป กลับเฉพาะเจาะจงไม่มีที่ไป จึงได้แต่เบียดอัดลงข้างล่าง เบียดอัดอีก ทว่าในเวลาเดียวกับที่เบียดอัดก็มีปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนเอ่อเข้ามาอีก


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าความเจ็บปวดเช่นนั้นทุเลาลงแล้ว นางกลืนโอสถสร้างรากฐานอีกเม็ดหนึ่งลงไปอย่างไม่ลังเล


 


 


ทั่วไปแล้วการที่ผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานล้มเหลวแบ่งสถานการณ์ได้สองชนิด หนึ่งคือทนความเจ็บปวดที่ชีพจรฉีกขาดซ้ำๆ ไม่ไหว หากเป็นเช่นนี้ละก็การสร้างรากฐานล้มเหลว และต้องรับพลังสะท้อนกลับไม่น้อย ต่อไปยามสร้างรากฐานอีก จะยิ่งยากลำบาก


 


 


อีกชนิดหนึ่ง คือชีพจรรับการทะลวงของปราณวิญญาณได้แล้ว ทว่าจนถึงฤทธิ์ยาของโอสถสร้างรากฐานหายไป ตันเถียนยังไม่ทันได้เปลี่ยนปราณวิญญาณที่เข้มข้นเป็นของเหลววิญญาณ ขาดแรงผลักดันของโอสถสร้างรากฐาน จึงไม่มีแรงดำเนินต่อไปแล้ว


 


 


ทว่าเหตุการณ์เช่นนี้ ชีพจรของผู้บำเพ็ญเพียรจะถูกขยายกว้าง ของเสียในร่างกายก็จะถูกขับออกปริมาณมาก ยามสร้างรากฐานอีกในครั้งต่อไป ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จก็มากขึ้นมากแล้ว


 


 


ความเร็วที่ตันเถียนเปลี่ยนปราณวิญญาณและประสิทธิภาพย่อมเกี่ยวกับพรสวรรค์ของผู้บำเพ็ญเพียร สำหรับการนี้มั่วชิงเฉินเตรียมใจไว้นานแล้ว ดังนั้นเห็นฤทธิ์ยาของโอสถสร้างรากฐานกำลังจะหมดไป จึงกลืนลงไปอีกเม็ดหนึ่งอย่างไม่ลังเล


 


 


ภายในที่ค่อยๆ สงบลง ทีนี้คลื่นยักษ์ถาโถมขึ้นมาอีก มั่วชิงเฉินกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง เปรียบดังเรือใบลำหนึ่งแล่นเรือเบาๆ ไม่ใช่ต่อต้าน หากแต่ไหลไปตามกระแส


 


 


โอสถสร้างรากฐานเม็ดที่สามถูกกลืนลงไป คลื่นลมในกายยิ่งแรง


 


 


เม็ดที่สี่


 


 


เม็ดที่ห้า


 


 


ยามนี้ในร่างมั่วชิงเฉินแม้มีคลื่นยักษ์พลิกขึ้นมา ทว่ากลับดูเหมือนมักจะขาดอยู่เพียงเล็กน้อย ทำให้ตันเถียนที่เต็มเปี่ยมไม่เปลี่ยนแปลงเสียที


 


 


มั่วชิงเฉินแข็งใจ กลืนโอสถสร้างรากฐานสองเม็ดลงไปพร้อมกัน


 


 


ครั้งนี้ ที่ตันเถียนของนางราวกับเกิดลมงวงช้างขึ้น คำรามพลางพุ่งเข้าชนไม่ยั้ง ชนจนตันเถียนของนางระเบิดไม่หยุด


 


 


ทันใดนั้น มั่วชิงเฉินได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ เบาๆ เสียงนั้นเบามากเบามาก หากไม่ใช่นางอยู่ในสภาพที่น่าพิศวงเช่นนี้ ไม่มีทางได้ยินเด็ดขาด


 


 


แย่แล้ว ตันเถียนปรากฏรอยร้าวแล้ว!


 


 


มั่วชิงเฉินที่ไม่ว่ารับความเจ็บปวดมหาศาลแค่ไหนก็สุขุมเสมอมา ในที่สุดก็สีหน้าเปลี่ยนแล้ว


 


 


ทีนี้ช่างเล่นแรง…จริงๆ แล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 135

 

 ร้อยวันได้สร้างรากฐาน

 


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นผ่านการมองภายใน ตันเถียนของนางที่เดิมที่ก็สั่นคลอนไม่มั่นคงอยู่ที่ขอบการล่มสลาย เปรียบเหมือนเปลือกไข่ใบหนึ่ง ในชั่วอึดใจมีรอยแยกเล็กๆเต็มไปหมด


 


 


ทีแรกนางนึกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับได้ถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเทียบกับความเจ็บปวดที่ตันเถียนฉีกขาดขึ้นมา แล้วกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย


 


 


ที่แปลกก็คือ มั่วชิงเฉินที่มองดูตันเถียนที่เต็มไปด้วยรอยเล็กๆ กับตา ไม่มีความกลัว หวาดผวาที่กำลังจะเผชิญความตาย ตรงกันข้ามกลับสงบอย่างประหลาด ในใจนาง แม้แต่ความเสียใจภายหลังสักนิดก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรทุกอย่างตนล้วนเป็นผู้เลือกเอง เดินสู่จุดจบเช่นไร ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้น


 


 


ที่เหนือความคาดหมายคือ ในชั่วอึดใจที่ตันเถียนของมั่วชิงเฉินระเบิด เพลิงแท้แผดเผาขึ้นที่ตันเถียนในบัดดล เพลิงแท้สีฟ้าห่อหุ้มทั้งตันเถียนไว้ ในเปลวไฟตันเถียนกลับค่อยๆ หดเล็กลง รอยแยกที่อยู่เต็มด้านบนไม่คิดว่าจะถูกลูบจนราบเรียบแล้ว


 


 


แต่ผู้คนนอกห้องลับกลับเห็นแล้ว ในแสงวิญญาณสีเขียวที่เอ่อเข้าข้างในทันใดนั้นกะพริบแสงวิญญาณสีแดง ตามด้วยสีเขียว สีแดงแสงวิญญาณสองสีพันอยู่ด้วยกันเหมือนปาท่องโก๋ พุ่งเข้าในห้องพร้อมกัน


 


 


“แปลก หรือว่านางบำเพ็ญเพียรวิชาธาตุไม้ ไฟสองชนิด?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ยอย่างแปลกใจ


 


 


นักพรตหานจางจ้องห้องลับไม่พูดไม่จา


 


 


นักพรตรั่วซีหัวเราะว่า “เป็นเช่นไร สามารถถูกศิษย์น้องเหอกวงรับเป็นศิษย์ ต้องมีที่เด่นเกินคนแน่นอน”


 


 


ต้วนชิงเกอมองห้องลับด้วยความตระหนก ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ


 


 


นางที่รู้จักมั่วชิงเฉินเป็นอย่างดีย่อมรู้ดี ที่มั่วชิงเฉินบำเพ็ญตลอดมาล้วนเป็นเคล็ดชิงมู่ กระทั่งในคาถาห้าธาตุ หลายปีมานี้ล้วนไม่เคยเห็นนางใช้คาถาธาตุไฟมาก่อน


 


 


ทว่ายามนี้ นางไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกมา หวังเพียงมั่วชิงเฉินมีที่ที่ไม่เหมือนใครจริง ไม่ขอให้สร้างรากฐานสำเร็จ อย่างน้อยสามารถรักษาชีวิตและตบะไว้


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ในห้องลับไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ผ่านการมองภายในเห็น ตันเถียนในร่างค่อยๆมั่นคงขึ้นมา ปราณวิญญาณที่ทะลวงออกมาในตอนแรกไม่มีปากทางระบายอีกแล้ว เริ่มพุ่งชนส่งเดชในตันเถียนอีกครั้ง


 


 


เพียงแต่ครั้งนี้ ต่อให้พลังของปราณวิญญาณน่ากลัวเพียงใด ตันเถียนที่ถูกเปลวไฟสีฟ้าห่อหุ้มไว้ราวกับมีความยืดหยุ่น ดันปราณวิญญาณที่พุ่งเข้าไปกลับมา


 


 


ปราณวิญญาณที่ไม่มีที่ไปยิ่งเบียดยิ่งแน่นอยู่ในตันเถียน ยิ่งอัดยิ่งแข็ง รอจนในที่สุดก็เบียดไม่ขยับอีกต่อไป ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ เสียงหนึ่ง


 


 


ของเหลวสีเขียวกระจ่างใสหยดลงมา เสียงติ๊งเข้าหูมั่วชิงเฉินดั่งเสียงสวรรค์ก็ไม่ปาน


 


 


ตามติดจากนั้น มีของเหลวอีกหลายหยดหยดลง ถึงยามท้ายของเหลวยิ่งหยดยิ่งเร็ว ดั่งฝนตกก็ไม่ปาน


 


 


ปราณวิญญาณทั้งหมดที่มีในร่างมั่วชิงเฉินพุ่งไปที่ตันเถียน จากนั้นกลายเป็นฝนสีเขียวตกสู่ตันเถียนที่ได้กลายเป็นลำธารที่ตื้นเขิน


 


 


ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดปราณวิญญาณสายสุดท้ายในร่างของมั่วชิงเฉินกลายเป็นของเหลวหยดหนึ่ง ตกลงสู่ในทะเลสาบน้อย


 


 


ในวินาทีนี้ ทะเลสาบน้อยของตันเถียนจู่ๆ กระเพื่อมเป็นระลอก ของเหลวเหล่านั้นไหลสู่ทุกอณูทั่วร่างตามชีพจร มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าสบายไปทั่วร่างอย่างหาใดเปรียบมิได้ มีความรู้สึกล่องลอยดุจเซียน


 


 


ต่อจากนั้นอีก ของเหลวที่ไหลผ่านทุกอณูทั่วร่างมั่วชิงเฉินเหมือนแม่น้ำร้อยสายไหลลงสู่ทะเล ไปรวมตัวกันในตันเถียน


 


 


ส่วนนอกห้องลับ ทันใดนั้นต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เถาวัลย์ที่ยืดยาวอย่างรวดเร็วดั่งมีชีวิตก็ไม่ปาน ร่ายรำไปสู่ห้องลับ เพียงไม่นานก็คลานเต็มด้านนอกห้องลับจนมิด พันแน่นเต็มไปหมด


 


 


กิ่งก้านเครือเถามากมายผลิดอกตูมออกมา ตามติดด้วยดอกตูมผลิบาน ออกเป็นดอกไม้ดอกใหญ่ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วดึงดูดแมลงภู่ผึ้งมาไม่นับบินร่ายรำ บรรยากาศดุจแดนสวรรค์


 


 


ยามนี้คนที่ยืนอยู่นอกให้ลับ มีเพียงต้วนชิงเกอ มั่วหลีลั่ว เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่ง ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาชิงมู่ แต่ไม่พบเงาของนักพรตหานจางและนักพรตรั่วซีแล้ว


 


 


“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เสี่ยวซย่าที่เป็นห่วงสภาพการณ์ในห้องเป็นระยะ ต้องตกใจต่อฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนตื่นเต้นเล็กน้อย “ปรากฏการณ์ฟ้า นี่คือปรากฏการณ์ฟ้า ไม่นึกเลยว่านางหนูนั่นจะสร้างรากฐานสำเร็จแล้ว!”


 


 


สวรรค์ หากเขาจำไม่ผิด นางหนูน้อยนั่นปีนี้เพียงแค่ยี่สิบสองปีใช่หรือไม่ ทั่วทั้งพรรคเหยากวงรุ่นเยาว์ นอกจากนักพรตเหอกวงที่สร้างรากฐานเมื่ออายุสิบแปดปี ศิษย์น้องเยี่ยที่สร้างรากฐานเมื่ออายุยี่สิบ นางคือคนที่สาม!


 


 


หรือว่า เขาชิงมู่ข้าจะมีอัจฉริยะอีกท่านปรากฏสู่โลกแล้ว?


 


 


ตลอดมาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนักพรตเหอกวงถึงเมตตานางหนูนี่ บัดนี้ดูแล้ว ญาณตนเทียบท่านผู้เฒ่าเหอกวงไม่ติดจริงๆ ท่านต้องมองพรสวรรค์ของนางหนูนี่ออกตั้งแต่แรกแล้วเป็นแน่! ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนสันนิษฐานมั่วซั่ว สีหน้ายิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ต้องรู้ว่าพรรคเหยากวงมีห้าขุนเขา ต่อหน้าคนนอกแม้เกาะกุมเป็นกลุ่มก้อน ทว่าปกติก็มีการแข่งความเหนือชั้นกัน ขุนเขาไหนมีผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะปรากฏ ศิษย์ทั้งขุนเขานั้นล้วนมีเกียรติตามไปด้วย


 


 


มั่วหลีลั่วยกมือปล่อยยันต์ออกไปแผ่นหนึ่ง นักพรตรั่วซีที่กำลังเล่นหมากกับอาจารย์ที่เขารั่วสุ่ยหลังจากได้รับยันต์ส่งสารแล้วมือชะงัก ไม่ได้ลงหมากเสียที


 


 


“เป็นอะไรหรือ รั่วซี?” หญิงสาวงดงามผิดปกติคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ


 


 


นักพรตรั่วซีเงยหน้าขึ้นว่า “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันศิษย์รับศิษย์ร่างหยินบริสุทธิ์คนหนึ่งไว้มิใช่หรือเจ้าคะ”


 


 


ทันใดนั้นหญิงสาวที่งดงามมากหัวเราะว่า “ข้าได้ยินแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าวิ่งไปเขาต้วนจินด้วยตัวเองแย่งคนกลับมาจากเจ้าเด็กหานจางนั่น เป็นอันใด นางหนูน้อยนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่?”


 


 


นักพรตรั่วซีส่ายศีรษะ “กลับไม่ใช่ วันนั้นที่ข้าได้ข่าวนั้นได้ ที่แท้เพราะสหายสนิทของศิษย์คนเล็กข้าส่งสารมาแจ้ง สุดท้ายสหายสนิทของนางคนนั้นถูกเจ้าเด็กหานจางขังไว้ ภายใต้การวิงวอนของลั่วเอ๋อร์และชิงเกอ ข้าจึงรีบไปคิดจะช่วยนางหนูน้อยนั่นออกมาด้วย รับมาเป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดให้ชิงเกอก็แล้วกัน ไอยา บัดนี้ดูแล้วยามนั้นข้าควรไปให้เร็วหน่อย”


 


 


“รั่วซี เจ้าเล่นตัวอยู่ครึ่งค่อนวันตกลงจะพูดอะไรกันแน่?” หญิงสาวผู้งดงามมากอมยิ้มกวาดสายตาผ่านศิษย์ปราดหนึ่ง


 


 


“อาจารย์ ท่านไม่ให้ความร่วมมือเรื่อยเลย ศิษย์เพิ่งได้รับข่าวจากลั่วเอ๋อร์ ไม่นึกว่านางหนูน้อยนั่นสร้างรากฐานสำเร็จแล้ว นางปีนี้เพิ่งยี่สิบสองปีนะเจ้าคะ!” นักพรตรั่วซีสีหน้าแฝงความเสียดาย


 


 


หากตนไปเร็วขึ้นก้าวหนึ่ง แย่งนางหนูน้อยนั่นมาที่เขารั่วสุ่ยเหมือนกัน เช่นนั้นเขารั่วสุ่ยของพวกนางคนเก่งคับคั่งแล้วมิใช่หรือ


 


 


หญิงสาวที่งดงามมากชะงักครู่หนึ่ง “อ๋อ? ไม่นึกว่าอายุยี่สิบสองก็สร้างรากฐานแล้ว ในรุ่นเยาว์ของพรรคเหยากวงเรา เป็นคนที่สามสินะ? รั่วซี เจ้าแย่งร่างหยินบริสุทธิ์คนหนึ่งมาจากเขาชิงมู่แล้ว หากแย่งนางหนูนี่มาอีก เกรงว่าตาเฒ่าหลิวซางนั่นจะมาหาอาจารย์อาละวาดแล้ว”


 


 


นักพรตรั่วซียักคิ้วหัวเราะว่า “ศิษย์ไม่สนหรอก อย่างไรเสียถึงเวลาย่อมมีอาจารย์ไปรับมือ”


 


 


“เจ้าน่ะ ก็อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้เกินไปเลย ระดับสร้างรากฐานก็เพียงเพิ่งก้าวเข้าประตูเซียนเท่านั้น ต่อไปวาสนาเป็นเช่นไรยังบอกไม่ได้ พรรคเหยากวงเราแต่ไหนแต่ไรมาไม่ขาดอัจฉริยะ เจ้าดูอัจฉริยะพวกนั้นมีกี่คนที่สุดท้ายก่อแก่นปราณแล้วล่ะ?” หญิงสาวผู้เลอโฉมกล่าว


 


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์” ต่อหน้าหญิงสาวผู้เลอโฉมผู้นี้ นักพรตรั่วซีเหมือนสาวน้อยคนหนึ่งน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการแกล้งต่อว่า


 


 


หญิงสาวผู้เลอโฉมยกมือขึ้น ลงหมากตัวหนึ่งดัง ‘ผลัวะ’ แล้วอมยิ้มว่า “รั่วซี ตานี้เจ้าแพ้แล้ว รีบไปหวีขนให้อสูรเนตรทองเลี่ยงน้ำของอาจารย์เถอะ”


 


 


 “อาจารย์!” นักพรตรั่วซีสีหน้าบึ้งตึงทันที


 


 


อสูรวิญญาณหัวสิงห์ปากมังกรที่นอนหมอบอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้เลอโฉมตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา คำรามอย่างได้ใจสองสามที


 


 


ส่วนที่ยอดเขารองลูกหนึ่งของเขาต้วนจิน นักพรตหานจางที่กำลังสนทนากับศิษย์สองสามคนอยู่ในที่พำนักสีหน้าเปลี่ยนไป ลุกขึ้นรีบเร่งไปทิศทางที่ห้องลับตั้งอยู่


 


 


พี่ชายของเสี่ยวซย่าและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ชื่อจ้าวหมิงเฟิงและนอกนั้นอีกสองสามคน ตามไปด้วยกัน


 


 


เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า สีหน้าของนักพรตหานจางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในใจแอบว่า นี่ช่างเฮี้ยนจริงๆ แล้ว ข้าอยู่มาหลายร้อยปี ยังไม่เคยเจอเรื่องพันธุ์นี้มาก่อน จับเด็กผู้หญิงมาทั้งหมดสองคน คนหนึ่งเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ที่พันปียากจะเจอสักคน อีกคนหนึ่งไม่คิดว่าจะสร้างรากฐานตั้งแต่อายุแค่ยี่สิบสอง!


 


 


หากท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างรับรู้ จะร้องไห้วิงวอนให้ตนจับเพิ่มสักสองสามคนหรือไม่?


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนที่ไม่รู้ว่าความคิดของนักพรตหานจางได้บินไปถึงขอบฟ้าแล้วนั้นกลับเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านอาจารย์อา บัดนี้ศิษย์น้องมั่วได้สำเร็จระดับสร้างรากฐานแล้ว จึงเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตเหอกวงแห่งเขาชิงมู่เราแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์อาจจะผ่อนปรนให้สักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ให้ผู้น้อยพาศิษย์น้องมั่วไปกราบคารวะท่านอาจารย์?”


 


 


นักพรตหานจางหน้าบึ้งพลางถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนปราดหนึ่ง เรื่องถึงบัดนี้เขาเองก็รู้ดี ว่าต่อให้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็ไม่อาจลงโทษนางหนูน้อยนั่นได้ตามใจแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบสองคนหนึ่ง อนาคตไม่อาจคาดเดา ไม่ว่าสำนักไหนก็ต้องทุ่มสุดตัวกล่อมเกลา


 


 


นักพรตหานจางที่ขาดทุนแต่พูดไม่ออกนั้นไม่ได้ไม่มีสมองสักนิดจริงๆ เห็นเสียเปรียบแล้ว เขาไม่พูดมากอีกแม้คำเดียว ทำมือเสกคาถาออกมาสองสามอัน ประกายแสงสีทองสายหนึ่งฟาดลงบนห้องลับ จากนั้นก็เห็นแสงสีขาวสายหนึ่งออกจากห้องลับ


 


 


“หมิงเฟิง เจ้าไปเปิดประตูออกมา” นักพรตหานจางหันหน้าบอกจ้าวหมิงเฟิง


 


 


จ้าวหมิงเฟิงรับคำ เดินขึ้นหน้าไปปัดเถาวัลย์ที่เกะกะออก ถึงเปิดประตูออก


 


 


มั่วชิงเฉินในห้องลับพบว่าบนตัวเต็มไปด้วยโคลนที่ผสมกับของเสียปริมาณมากที่ขับออกจากร่างกายเนื่องจากสร้างรากฐาน กลิ่นเหม็นชวนให้อาเจียน


 


 


นางเพิ่งทำความสะอาดร่างกายเสร็จเปลี่ยนชุดเขียวที่สะอาดเสร็จ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ ประตูใหญ่ตรงหน้าค่อยๆ เปิดออก แสงสว่างที่แสบตาส่องเข้ามา นางที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมานานหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว เจ้าออกมาได้แล้ว” จ้าวหมิงเฟิงเห็นคนข้างในได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานดังคาด จึงเอ่ยอย่างเกรงใจ


 


 


มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจอึดหนึ่ง ยกเท้าก้าวออกไป ระหว่างที่เคลื่อนไหวไม่คิดว่าจะรู้สึกตัวเบาดั่งนก ล่องลอยดุจบินได้


 


 


นางเพิ่งก้าวออกจากห้องลับ เห็นคนมากมายจ้องเขม็งมาที่ตนเอง อดชะงักไม่ได้ ทว่าไม่คิดว่าผู้คนนอกห้องกลับก็ชะงักงันเช่นกันแล้ว บรรยากาศเงียบสงัดอย่างประหลาด


 


 


ยังเป็นมั่วชิงเฉินที่ได้สติกลับมาก่อน แย้มยิ้มว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ พี่เสี่ยวซย่า ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่นี่กันหมด?”


 


 


ไม่มีคนตอบ


 


 


มั่วชิงเฉินสงสัยเล็กน้อย ดูท่าทางพวกเขารู้ว่าตนสร้างรากฐานอยู่นานแล้ว ต่อให้สร้างรากฐานสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องตะลึงถึงเพียงนี้กระมัง?”


 


 


ในยามนี้เองเสี่ยวซย่าถลาเข้ามา ยื่นมาดึงหางเปียของมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาว ท่าทางเจ้าเช่นนี้น่ากลัวเหลือเกิน เป็นเช่นแต่ก่อนดูสบายตากว่านะ”


 


 


พูดพลางปัดๆ ด้านหน้าหน้าผากของมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินตัวแข็งทื่อทันที สมควรตาย หรือว่าผมข้างหน้าหน้าผากยาวอีกแล้ว ผมนี่ก็ช่างยาวเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า?


 


 


นางตัดผมยาวด้านหน้าให้เป็นผมม้าอย่างฉับไว แล้วก็ได้ยินนักพรตหานจางฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง


 


 


“ผู้น้อยขอคารวะท่านอาจารย์อา” มั่วชิงเฉินจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วคำนับ กลับไม่มีความกังวลใจตุ้มๆ ต่อบๆ ของก่อนหน้านี้อีกแล้ว


 


 


นักพรตหานจางสะบัดแขนเสื้อฮึเสียงหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินยกตามองคนอื่นๆ ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่งว่า “ศิษย์น้องมั่ว เจ้าอยู่เขาต้วนจินมาร้อยกว่าวันแล้ว รีบตามข้ากลับเขาชิงมู่เถอะ นักพรตเหอกวงยังรอเจ้าอยู่”


 


 


“ร้อยกว่าวัน? นักพรตเหอกวง?” มั่วชิงเฉินพึมพำว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ก็ใช่น่ะสิ ศิษย์น้องเจ้าอยู่ที่นี่มาสามเดือนกว่าแล้ว นักพรตเหอกวงเคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ รอเจ้าสำเร็จสร้างรากฐานก็จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิ บัดนี้ศิษย์น้องสร้างรากฐานสำเร็จ ก็ควรกลับไปกราบคารวะสักคราแล้ว”


 


 


ครั้งนี้มั่วชิงเฉินงงงันอย่างสวยงามจริงๆ แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 136

 

การเข้าใจผิดที่สวยงาม

 


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว ไปกับข้าเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเพิกเฉยต่อความงงงันของมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างสุขุมว่า


 


 


“อ้อ” มั่วชิงเฉินตอบรับอย่างเซ่อๆ ตากลับมองไปที่พวกต้วนชิงเกอ


 


 


ต้วนชิงเกอเดินเข้ามากุมมือของมั่วชิงเฉินไว้ “ศิษย์น้องชิงเฉิน เรื่องก่อนหน้านี้ขอบคุณเจ้ามาก ในเมื่อนักพรตเหอกวงรอเจ้าอยู่ ข้าและศิษย์พี่มั่วก็ขอกลับเขารั่วสุ่ยก่อน รอเจ้าว่างแล้วค่อยไปเยี่ยมเจ้า”


 


 


“อืม” มั่วชิงเฉินตอบรับต่ำๆ


 


 


ทันใดนั้นต้วนชิงเกอก็หัวเราะ “ศิษย์น้องชิงเฉิน ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงแต่งตัวเช่นนี้ตลอดแล้ว” พูดถึงตรงนี้เสียงต่ำลงไป ค่อยๆ ไม่ได้ยิน “สุดท้ายเจ้าก็ฉลาดกว่าข้ามาก”


 


 


ต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่วร่ำลาไปแล้ว นักพรตหานจางทนความอับอายไม่ไหวนานแล้ว จากไปอย่างโมโห เหลือเฉินเจียวซิ่งและเสี่ยวซย่าสองคน


 


 


เฉินเจียวซิ่งไม่พูดสักคำ กัดริมฝีปากมองมั่วชิงเฉิน สีหน้าคาดไม่ถูก


 


 


มั่วชิงเฉินเดิมทีก็อยู่ในความตกใจ ในชั่วเวลาหนึ่งก็ลืมพูด กลับเป็นเสี่ยวซย่าที่เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ยื่นมือขยี้ศีรษะของมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาว เจ้ารีบไปเถอะ วันหน้าข้าไปเยี่ยมเจ้าที่เขาชิงมู่”


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว ไปเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเหยียบกระบี่บิน แล้วลากมั่วชิงเฉินขึ้นไป


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ระดับสร้างรากฐานแล้วมีพลังวิญญาณคุ้มกายเอง ยืนอยู่บนอาวุธเวทเหินหาวไม่ต้องป้องกันโดยเฉพาะอีกแล้ว จึงสามารถสัมผัสความรู้สึกการโบยบินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


 


 


เมฆขาวรอบตัวบินผ่านไป แม่น้ำขุนเขาหมื่นลี้ล้วนอยู่ใต้เท้า สายลมพัดฟิ้วกระพือชุดคลุม มั่วชิงเฉินที่ทะยานอยู่ในฟ้าดิน ในที่สุดก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงจากหางตาเงียบๆ


 


 


ท่านปู่ ในที่สุดชิงเฉินก็สร้างรากฐานแล้ว หากท่านรับรู้ จะเมาเป็นเพื่อนชิงเฉินหัวเราะสามหมื่นจอกหรือไม่เจ้าคะ?


 


 


ทันใดนั้นนึกได้ว่าดูเหมือนชาติที่แล้วจะจำกลอนได้บทหนึ่ง


 


 


“วันใดชื่อเสียงขจรไกล คืนถิ่น เมาหัวเราะเป็นเพื่อนปู่สามหมื่นจอก


 


 


ไม่พล่ามการจากลา ดื่มอย่างสะใจด้วยการอื่น”


 


 


“แค่กๆ ศิษย์น้องมั่ว มาที่นี่เปลี่ยนป้ายประจำตัวเจ้าก่อนเถอะ” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนไม่รู้จักดูสีหน้าตัดความระทมของมั่วชิงเฉินขาดสะบั้น แล้วกระโดดลงจากกระบี่บินก่อน


 


 


มั่วชิงเฉินถึงพบว่าพวกเขาถึงเขาโฮ่วเต๋อแล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเดินนำเข้าโถงปฏิบัติงาน คนที่อยู่เวรยังคงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนคนนั้น


 


 


“ศิษย์พี่เฉียน เหตุใดวันนี้จึงว่างมาที่นี่ได้?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยกตายิ้มว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนสีหน้าได้ใจ “ข้าพาศิษย์น้องมั่วมาเปลี่ยนป้ายประจำตัวใหม่น่ะ”


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถามกลับ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนหลบออก มั่วชิงเฉินที่อยู่ด้านหลังจึงโผล่ออกมา


 


 


เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันแล้ว มั่วชิงเฉินคำนับด้วยการคารวะรุ่นเดียวกัน “ศิษย์พี่อู๋”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ที่อ่อนโยนและใจเย็นเป็นนิจชะงักอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกอยู่นาน


 


 


“แค่กๆ ศิษย์น้องอู๋ ศิษย์น้องมั่วทักทายเจ้าอยู่นะ เจ้าวางมาดศิษย์พี่เช่นนี้ไม่ค่อยดีหรอกกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนตั้งใจล้อเล่นว่า


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋นี่ถึงได้สติคืนมา จ้องมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบปราดหนึ่งว่า “ศิษย์น้องมั่วอย่าถือสา ข้าตกใจมากจริงๆ พี่จำได้ว่าสามเดือนก่อนเจ้ายังอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกดีต่อศิษย์พี่อู๋ผู้อ่อนโยนสง่านี้นัก ตอบเสียงใสว่า “ศิษย์พี่อู๋พูดอะไรเช่นนั้น น้องเพียงแต่โชคดีเท่านั้น”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋หัวเราะหึๆ ขึ้นมา “ศิษย์น้องถ่อมตัวเกินไปแล้ว เวลาสั้นๆ ศิษย์น้องมั่วก็เลื่อนชั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ต้องมีพรสวรรค์เกินคนเป็นแน่ พี่ขอแสดงความยินดีกับเจ้านะที่นี้แล้ว”


 


 


“เอาล่ะ ศิษย์น้องอู๋ คำพูดเกรงใจก็ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเปลี่ยนป้ายประจำตัวให้ศิษย์น้องมั่วเร็วๆ เถอะ เรายังรอกลับเขาชิงมู่อยู่นะ?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเร่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋พยักหน้า “แน่นอนแน่นอน”


 


 


พรรคเหยากวงรวมทั้งศิษย์จิปาถะ บวกขึ้นมาแล้วมีถึงหลายแสนคน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไม่ถึงพันคน ระดับการเห็นความสำคัญต่อศิษย์ระดับสร้างรากฐานไม่ว่าจะเป็นหุบเขาไหน ก็ไม่ใช่ศิษย์ระดับหลอมลมปราณที่จับทีก็จับได้กำเบ้อเร่อจะเทียบได้เด็ดขาด


 


 


มั่วชิงเฉินมอบป้ายประจำตัวเก่าขึ้นไป ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รับไป แล้วบันทึกข้อมูลในนั้นลงในป้ายประจำตัวแผ่นใหม่ รอจะบันทึกเรื่องสร้างรากฐานลงไป จึงกวาดสายตาผ่านอายุนางปราดหนึ่ง แล้วก็อดชะงักงันไม่ได้


 


 


รอผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกระแอมอีกสองที ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ถึงกลับสภาพเดิม ปลายพู่กันวิญญาณสั่นแผ่วเบา เขียนลงบรรทัดหนึ่ง


 


 


‘บัดนี้ศิษย์ฆราวาสแห่งเขาชิงมู่มั่วชิงเฉิน สร้างรากฐานสำเร็จด้วยวัยยี่สิบสองปี กลายเป็นศิษย์หัวกะทิแห่งสำนักเรา ย้ายที่พำนักเขาด้านในแห่งเขาชิงมู่’


 


 


จากนั้นบันทึกปี เงยหน้าบอกผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนว่า “ศิษย์พี่เฉียน ศิษย์น้องมั่วกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน จึงมีที่พำนักของตนเองได้ เจ้าเป็นผู้ดูแลเขาชิงมู่ กำหนดไว้ที่ไหนแล้วแต่เจ้าจัดการ ถึงเวลามาแจ้งที่ข้านี่สักทีก็พอ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนลูบหนวดที่มีอยู่หร็อมแหร็มว่า “ศิษย์น้องอู๋ ศิษย์น้องมั่วไม่ใช่ย้ายไปเขาด้านในหรอกนะ แต่เป็นยอดเขารอง!”


 


 


“หืม?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยกคิ้ว หืมอย่างไม่เข้าใจเสียงหนึ่ง


 


 


ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรสีหน้ายิ่งได้ใจ ยิ้มตาหยีว่า “ศิษย์น้องมั่วได้ถูกนักพรตเหอกวงรับเข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิแล้ว ย่อมต้องย้ายเข้ายอดเขารองที่นักพรตเหอกวงพำนักอยู่เป็นธรรมดา”


 


 


“อะไรนะ?” ตั้งแต่สองคนนี้เข้ามา ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ก็ตกอยู่ในความตะลึงตลอดเวลา ทว่าไม่ว่าครั้งไหนก็ไม่ทำให้เขาตะลึงเท่าครั้งนี้ พู่กันวิญญาณกลิ้งหล่นจากมือ ลงไปบนพื้น ส่งเสียงดังติ๊งเสียงหนึ่ง


 


 


“ศิษย์น้องอู๋? ศิษย์น้องอู๋?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนดูเหมือนที่อยากได้ก็คือผลเช่นนี้แหละ เห็นผู้บำเพ็ญเพียรอู๋เสียกิริยา มุมปากเกือบฉีกไปถึงแก้มแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างๆ กระตุกมุมปาก ศิษย์พี่เฉียนท่านนี้ เหตุใดจึงชอบแกล้งเช่นนี้ นางก้มหน้าเก็บพู่กันวิญญาณขึ้น ยื่นให้ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋รับมา แล้วกวาดสายตาผ่านมั่วชิงเฉินอย่างประหลาดมากปราดหนึ่ง บันทึกข้อมูลสั่นคลอนใจคนที่ได้มาใหม่ข้อนี้ลงในป้ายประจำตัว


 


 


ยามนี้ในใจมั่วชิงเฉินก็อยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก นักพรตเหอกวงท่านนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ เหตุใดทุกคนที่รู้ว่านางกลายเป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวง ต่างตกตะลึงเช่นนี้


 


 


ที่นางยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นก็คือ เหตุใดนางก็กลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตเหอกวงอย่างเมินๆ งงๆ เช่นนี้แล้ว?


 


 


แม้จะพูดว่าผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ล้วนมีโอกาสได้รับความเมตตาจากนักพรตระดับก่อแก่นปราณ ถูกรับเป็นศิษย์ นางด้วยอายุยี่สิบสองปีเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ยิ่งไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีอาจารย์ ทว่าฟังความหมายของพวกศิษย์พี่เฉียน นักพรตเหอกวงรับตนเป็นศิษย์บันทึกชื่อตั้งนานแล้ว ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว นี่คือป้ายประจำตัวใหม่ของเจ้า เชิญเก็บให้ดี” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋ยื่นป้ายประจำตัวข้ามมา


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือรับไว้ ป้ายประจำตัวสีควันเขียวถืออยู่ในมือรู้สึกเย็นเล็กน้อย รูปแบบไม่ต่างกับแผ่นก่อนหน้านี้ ทว่าสีหยกและการทำกลับประณีตกว่ามาก ยิ่งมีคำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ ตัวเล็กๆ เพิ่มมาอยู่บนมุมบนด้านขวา


 


 


“ศิษย์น้องอู๋ พวกเราขออำลา ณ ที่นี้แล้ว” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกอบมือ พามั่วชิงเฉินจากไป


 


 


คาดไม่ถึงว่ายามนี้เองมีผู้บำเพ็ญเพียรท่านหนึ่งเดินเข้ามา รูปร่างท้วม เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนแล้วทักทายว่า “ศิษย์พี่เฉียน เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรแล้ว? เอ๊ะ นางหนูน้อย เหตุใดเป็นเจ้าอีกแล้ว? หา เจ้า เจ้า…”


 


 


มั่วชิงเฉินคารวะหนึ่งทีอย่างไม่กระโตกกระตาก “ศิษย์พี่ซุน”


 


 


“เจ้า…เจ้า…” ผู้บำเพ็ญเพียรอ้วนนี่ยังอยู่ในความตกตะลึง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนหรี่ตาเล็กๆ ของเขา รุ่นของพวกเขานี้ใครไม่รู้บ้าง ว่าศิษย์น้องซุนผู้นี้มีชื่อในด้านซื่อบื้อ ถูกท่านผู้เฒ่าเอ็ดไม่เว้นวันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


 


 


เขาย่อมขี้เกียจพูดมากกับเจ้างั่งคนหนึ่ง จึงพามั่วชิงเฉินหันหลังจากไป


 


 


“ศะ…ศิษย์พี่อู๋ นี่มันเรื่อง…เรื่องอะไรกัน? ข้า ก่อนหน้านี้ข้าพบนาง นางเพิ่งอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ดอยู่เลย คงไม่ใช่ คงไม่ใช่เห็นผีแล้วนะ?” นิ้วมือที่ชี้ออกไปของผู้บำเพ็ญเพียรแซ่ซุนยังไม่ได้หดกลับมา


 


 


เห็นศิษย์น้องซื่อบื้อนี่ตะลึงกับเรื่องนี้จนติดอ่างแล้ว ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่อู๋อารมณ์ดีขึ้นมา หัวเราะว่า “ใช่สิ เมื่อครู่ข้าก็ตกใจมากเช่นกัน ศิษย์น้องมั่วท่านนั้นปีนี้เพิ่งจะอายุยี่สิบสองก็สร้างรากฐานสำเร็จแล้ว ยังถูกนักพรตเหอกวงรับเข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิอีก…”


 


 


ยังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงตุ๊บ ผู้บำเพ็ญเพียรอ้วนผู้นั้นนั่งเต็มก้นลงกับพื้น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนพามั่วชิงเฉินไปโถงจัดหารับสิ่งของต่างๆ ที่แจกให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในหนึ่งปีและสิ่งของที่แจกให้เป็นพิเศษแก่ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นี่ถึงพามั่วชิงเฉินกลับเขาชิงมู่อย่างเนิบนาบ


 


 


และที่สองคนไม่รู้ก็คือ ตามที่พวกเขาเดินรอบหนึ่งที่เขาโฮ่วเต๋อ และผู้เห็นเหตุการณ์มากมายของเขาต้วนจิน เรื่องที่มั่วชิงเฉินสร้างรากฐานด้วยวัยยี่สิบสองปีและกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตเหอกวงจึงกระจายออกไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่ากระบี่บินด้วยเหตุนี้


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่นานเรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีฐานะเป็นศิษย์ฆราวาสแห่งเขาชิงมู่ถูกค้นพบว่าเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ ยังก้าวกระโดดในทีเดียวกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิคนสุดท้ายของนักพรตรั่วซียังไม่สงบ เรื่องราวนี้ของมั่วชิงเฉินที่มีฐานะเป็นศิษย์ฆราวาสแห่งเขาชิงมู่เช่นกันปรากฏขึ้นด้วยผลที่ยิ่งน่าตกใจกว่า ในชั่วเวลาหนึ่ง เขาชิงมู่กลายเป็นสถานที่ในอุดมคติของบรรดาศิษย์ฆราวาสหรือกระทั่งศิษย์ในสำนักจำนวนนับไม่ถ้วน


 


 


เมื่อมีคนระลึกได้ว่ามั่วชิงเฉินก็คือนางเอกที่มีข่าวลือกระฉ่อนกับอาจารย์อาเยี่ยเมื่อสามปีก่อนนั้น ใจที่ชอบซุบซิบของผู้คนยิ่งไฟลุกโชนขึ้นมา


 


 


สองสาวที่มาจากเขาชิงมู่เช่นกัน คนหนึ่งมีร่างหยินบริสุทธิ์ คนหนึ่งมีพรสวรรค์ฟ้าประทาน ตกลงอาจารย์อาเยี่ยจะถูกใจคนไหนนะ?


 


 


ยิ่งมีผู้มากเรื่องคุ้ยข่าวคราวที่ปีนั้นมั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอถูกขนานนามเป็น ‘สองโฉมสะคราญแห่งชิงชิง’ ทำให้เรื่องอัศจรรย์ครั้งนี้ยิ่งเพิ่มความเป็นตำนานขึ้นหลายส่วน


 


 


มั่วชิงเฉินไม่รู้ ว่าเมื่อชายโสดหลายแสนคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ต่อให้เป็นเซียนเหนือโลกฆราวาสที่ไม่แตะควันไฟแดนมนุษย์ในสายตาของคนธรรมดา ระดับการซุบซิบของพวกเขาน่ากลัวกว่าที่นางคิดไว้มากนัก


 


 


เยี่ยเทียนหยวนออกจากหุบเขาไปหลายเดือน เมื่อก้าวเข้าประตูสำนัก ก็เห็นสายตานับไม่ถ้วนกวาดมาทางเขา จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้


 


 


แม้ตนเคยชินกับสายตาจับจ้องเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก ทว่าส่วนใหญ่มาจากผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ผู้บำเพ็ญเพียรชายไม่ว่าอย่างไรก็สำรวมกว่ามาก วันนี้นี่เป็นอะไรไปแล้ว?


 


 


เพิ่งก้าวเข้ายอดเขาหลังเขาหลิวหั่ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานลักษณะเป็นสาวใช้คนหนึ่งก็อมยิ้มรับเข้ามา “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเจินจวินเชิญท่านไปที่ท่านนั่นสักคราเจ้าค่ะ”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าไม่กระโตกกระตาก ในใจกลับกระตุกหนึ่งที ทุกครั้งที่ท่านปู่ทวดที่ไม่เอาจริงเอาจังท่านนี้หาเขา ล้วนไม่มีเรื่องดี


 


 


แม้คิดเช่นนี้ กลับได้แต่ฝืนเดินเข้าไปภายใต้สายตาพิจารณาอันร้อนแรงของสาวใช้


 


 


ไม่ถูก สาวใช้นั่นปกติไม่ใช่สายตาเช่นนี้ เหตุใดวันนี้จึงแปลกเช่นนี้? ทันใดนั้นเยี่ยเทียนหยวนมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา


 


 


เพิ่งก้าวเข้าไป เสวียนหั่วเจินจวินที่ศีรษะล้านด้านบนก็โบกพัดสานขาดๆ เดินเข้ามา ยิ้มอย่างเบิกบานว่า “เทียนหยวน ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมุมปากกระตุกหนึ่งที “ขอรับ ท่านปู่ทวด”


 


 


ทันใดนั้นเสวียนหั่วเจินจวินพูดอย่างลึกลับว่า “เทียนหยวน วันเวลาที่เจ้าไม่อยู่ในสำนักนี้ รู้หรือไม่ว่าพรรคเหยากวงเกิดเรื่องใหญ่แล้วเรื่องหนึ่ง?”


 


 


“เทียนหยวนไม่ทราบเรื่องใหญ่ที่ท่านปู่ทวดเอ่ยถึงคืออะไรขอรับ” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยหน้าตาย


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินกวาดสายตาผ่านเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “เหยากวงปรากฏผู้บำเพ็ญเพียรร่างหยินบริสุทธิ์ผู้หนึ่ง!”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนในใจบีบรัดคราหนึ่ง อดนึกถึงนางหนูที่ท่าทางโมโหโทโสคนนั้นไม่ได้ หรือว่าเป็นนาง?

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม