สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 121-129

บทที่ 121 การมาครั้งที่สอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใช่ ยังไม่เจอเขาเลย แต่ว่าคุณวางใจได้ ทางฝั่งผมจัดคนไว้แล้ว พอเขาปรากฏตัวออกมาก็จะล็อกตัวเขาเอาไว้ให้เรียบร้อย วางใจเถอะๆ! จริงๆ! ผมจะกล้าที่ไหนล่ะ? ผมเคยหลอกคุณเมื่อไหร่…เอาล่ะๆ ผมจะต้องไปประชุมแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ!”


เซอร์หม่าเช็ดเหงื่อ ปิดโทรศัพท์แล้วหันมาหาเยี่ยเหยียน ก่อนถุยน้ำรสกร่อยออกมา “พูดตามจริงนะฉันยอมถูกพวกหัวล้านที่โรงพักผลัดกันปาระเบิดใส่ยังดีกว่าต้องเจอกับคำถามของยัยนี่ซึ่งๆ หน้า…ชาติที่แล้วยัยนี่เป็นหนูหรือไง ถึงได้ขุดเอาปัญหาออกมาได้!”


เยี่ยเหยียนตบบ่าของหม่าโฮ่วเต๋อที่สีหน้าลำบากใจอยู่เสมอ


ตอนนี้หม่าโฮ่วเต๋อตบฝ่ามือของเยี่ยเหยียน “น้องชาย ครั้งที่แล้วนายบอกว่าไม่อยากทำให้ฉันเดือดร้อน ก็เลยตีฉันสลบไป แต่ครั้งนี้นายคงทำไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉันเหยียบเท้าเข้ามาพัวพันเต็มๆ แล้ว”


“เราอาจต้องใช้กำลังตำรวจฝั่งนี้” เยี่ยเหยียนพูดอย่างจนใจ “ไม่ว่าจะเป็นคิงคองหรือว่า…พวกมันรู้จักฉันทั้งนั้น การติดต่อคืนนี้ฉันเปิดเผยตัวเองไปตรงๆ ไม่ได้”


หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าแล้วบอก “วางใจได้ ฉันจัดเตรียมคนไว้พร้อมแล้ว…ถ้าไม่ใช่เพราะเจอเจ้าคิงคองในเคสหนึ่งก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ ครั้งนี้ฉันก็จะออกโรงเองให้ได้! จิ๊ๆ ไม่ได้เจอคดีแบบนี้มาตั้งนานแล้ว บ้าเอ๊ย ฉันแทบจะอดใจไว้ไม่อยู่แล้ว!”


“ยังไงเราก็มาจบเรื่องทั้งหมดในคืนนี้กันเถอะ”


บทที่ 2 ตอนที่ 127

 

รถบนถนนน้อยลง เสียงผู้คนก็ค่อยๆ ไกลออกไป กลางดึกเวลาผ่านไปช้าๆ เที่ยงคืน…ตีสอง…ตีสามครึ่ง


ในที่สุดเจสสิก้าก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา


เธอลูบคลำที่ขอบตาของตัวเองอย่างเผลอไผล แต่ก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมาเลย


เจสสิก้ายังคงเงียบอยู่


เธอกำลังมองคนผู้นี้ที่อยู่กลางซอยมืดสายนี้เป็นเพื่อนเธอ พอสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงค่อยๆ เปล่งเสียงขึ้น “ขอบคุณ”


“คุณลูกค้ายังต้องการอะไรอีกไหมครับ”


เจสสิก้าพยักหน้า “ก่อนอื่นจดหมายสองฉบับนั้นเป็นโมฆะ…แต่ฉันยังคงจะใช้ค่าธรรมเนียมที่ตกลงกันไว้ตามเดิม”


“ว่ามาเลยครับ”


เจสสิก้าสูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง “ฉันต้องการพลังต่อต้านสมาคมไมเคิล”


“คุณลูกค้าวางแผนแก้แค้นสมาคมไมเคิลด้วยตัวเองเหรอครับ?”


เจสสิก้าพูดเสียงเฉยเมย “การขายของให้ลูกค้า จำเป็นต้องรู้การใช้งานของลูกค้าด้วยเหรอ?”


ลั่วชิวส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ใช่ครับ แค่ความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นครับ”


เจสสิก้ากลับตัดสินใจพูดอย่างเด็ดขาดว่า “อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดมากอีก…ฉันอย่างได้พลังในการแก้แค้น”


“ตามที่คุณปรารถนาครับ คุณลูกค้าที่เคารพ”


เจ้าของสมาคมแสดงความเคารพเล็กน้อย ก่อนดีดนิ้วกลางอากาศ แล้วม้วนหนังแกะโบราณม้วนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยลงมา


มันกำลังค่อยๆ เปิดอ้าออกตรงหน้าเจสสิก้า รอบด้านราวกับเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง ทั้งมืดอึมครึมและว่างเปล่า


เจสสิก้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง นาทีนี้เธอยินยอมกลายเป็นผู้แก้แค้นคนหนึ่ง


ในเสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือของเธอกดไปบนม้วนหนังแกะแผ่นนี้เบาๆ ความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกแขนแตกหักก็ค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว ส่วนขาที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกหลังคารถทับก็หายดีแล้ว พลันรู้สึกได้ถึงพลังที่มากกว่าเมื่อก่อนมาก เหมือนกับจะทะลักออกมาจากร่างกายแบบไม่ขาดสาย


บนตัวของเจสสิก้าพลันมีเสียงดังเปรี๊ยะเบาๆ ครั้งหนึ่ง นั่นคือลำแสงแปลกๆ สีฟ้าอมม่วง พันล้อมรอบตัวเธอเป็นสายๆ


เจสสิก้าเผลอยื่นมือของตัวเองออกไป เธอกำลังมองดูลำแสงทรงโค้งสีฟ้าอมม่วงที่กำลังหมุนติ้วอยู่ที่ระหว่างนิ้วของเธอ…นี่คือกระแสไฟฟ้า


“ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยแล้ว” ตอนนี้ลั่วชิวกำลังมองดูสีหน้าตกใจของเจสสิก้าหลังจากได้รับพลังมา พลางพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “พลังกระแสไฟฟ้าประเภทนี้แกร่งกว่าพละกำลังทางกายของคุณ เพราะว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง แน่นอนว่าการเพิ่มขึ้นของมันก็จะลดอายุขัยของคุณไปเรื่อยๆ เช่นกัน”


เจสสิก้ามองอีกฝ่ายเงียบๆ “ยิ่งพลังของมันมีอำนาจมากขึ้น ฉันก็จะยิ่งตายไว…ค่าธรรมเนียมก็จะไปอยู่ในมือของพวกคุณเร็วขึ้นใช่ไหม? เป็นพ่อค้าที่เห็นแก่ได้จริงๆ ด้วย”


แต่เธอก็ส่ายหน้าทันที “ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ไม่เคยคิดว่าพวกคุณจะเป็นพวกขี้ใจอ่อน ได้ครอบครองพลังพวกนี้ สำหรับฉันแล้วก็เพียงพอแล้วล่ะ”


พูดจบ เจสสิก้าก็เดินผ่านข้างตัวของลั่วชิวไป คิดจะวิ่งเข้าไปในซอยลึกนั้นโดยไม่พูดแย้งสักคำ


ลั่วชิวมองสินค้าล็อตนั้นของสมาคมไมเคิลที่ถูกทิ้งไว้อย่างประหลาดใจ เจสสิก้าเหมือนตั้งใจทิ้งเอาไว้ที่นี่ และไม่คิดจะกลับมาเอาแล้ว


ลั่วชิวหยิบถุงใบใหญ่นี้ขึ้นมา แล้วอดครุ่นคิดไม่ได้




ในห้องพักหลังร้านขายยาจีนเล็กๆ หมอจีนสูงวัยที่ยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันกำลังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ ด้วยได้คำสั่งจากนายตำรวจหม่าผู้เป็นที่ยอมรับจากทุกที่ทั่วเมือง หมอจีนวัยชราจึงทำได้เพียงดูแลคนบาดเจ็บสาหัสที่ส่งตัวมาก่อนหน้านี้อย่างสุดความสามารถ


หมอแผนจีนวัยชราที่หลับอยู่ไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ผู้ป่วยคนนี้ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว


ใช่แล้ว อวี๋หวาได้สติขึ้นมาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เอง


แต่ว่าเขาไม่ได้ขยับตัว ประการหนึ่งเป็นเพราะว่าเอ็นและกระดูกที่มือเท้าของเขาถูกตัดขาด สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทั้งหมดไป อีกประการหนึ่งก็มาจากผลข้างเคียงของยาต้องห้ามประเภทนั้น


เขาไม่ได้ใช้ยาต้องห้ามประเภทนี้เป็นครั้งแรก ตั้งแต่สมาคมไมเคิลปล่อยยาตัวทดลองจำนวนหนึ่งออกมา แล้วอาจารย์อาของเขาได้ลองใช้ยานี้เพิ่มความแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบนี้ เขาก็รู้ผลข้างเคียงของยาประเภทนี้แล้ว


ผลข้างเคียงของมันจะทำให้คนอ่อนแอถึงขีดสุดช่วงหนึ่ง มีแต่การใช้ต่อเนื่องเท่านั้นถึงจะรักษากำลังวังชาเอาไว้ได้ แต่เขาได้รู้จากอาจารย์อา ว่าการใช้ของประเภทนี้ต่อเนื่องเท่ากับการขูดรีดชีวิตของตัวเอง


พลังที่เกินขีดจำกัดของร่างกาย จะต้องใช้ชีวิตมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน!


แต่ทว่า แม้จะใช้สิ่งนี้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เขากลับยังทำในสิ่งที่ต้องการไม่สำเร็จ อีกทั้งยังมีจุดจบเช่นนี้อีก


ในฐานะที่เป็นคนฝึกยุทธ์คนหนึ่ง เขารู้ดีทีเดียวว่าแผลบนตัวจะนำผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขนาดไหนมาให้เขากันแน่ แม้ว่าเขาจะเชื่อมต่อเอ็นกระดูกที่ถูกตัดขาดทันที เกรงว่าก็ไม่อาจฟื้นฟูกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็ล่วงเลยมานานขนาดนี้แล้ว


คนไร้ประโยชน์


นี่เป็นคำที่ไม่สามารถลบออกไปจากหัวสมองของเขาได้ เหมือนเป็นฝันร้ายหลังจากฟื้นขึ้นมา


มองย้อนกลับไปดูเรื่องในอดีต อวี๋หวาก็มีความเกลียดชังสุดขั้วผุดขึ้นมาในจิตใจ…เขาไม่ตาย แต่เขาไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้น้ำยาไม่เอาไหนแบบนี้หรอก


ในฐานะที่เป็นคนฝึกยุทธ์คนหนึ่ง ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการฝึกยุทธ์ไม่ได้อีก


“ฉัน…เป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้วนะ…”


อวี๋หวานอนอยู่บนเตียงคนไข้ ความทรงจำในหลายปีนี้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย


ในใจของเขากำลังตะโกนร้อง


เขาเหมือนถูกขังอยู่ในกรงที่มืดมิด และกรงนี้ก็หดเล็กลงเรื่อยๆ เหมือนกำลังบีบอัดร่างกายของเขาอยู่


ตอนที่เขาผิดหวังจนถึงขีดสุด ทั้งร่างกายของเขาเหมือนจะหยุดหายใจไม่มีผิด ของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมาจากหางตาของเขา!


น้ำตา!


นี่ทำให้อวี๋หวาฮึกเหิมมากขึ้นกว่าเดิม ความอ่อนแอแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกคมมีดทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น


ความโกรธ ความเกลียดชัง ความผูกพยาบาท ความอัปยศอดสู…พวกมันระเบิดปะทุอยู่ในใจของเขาอย่างถึงที่สุด


“ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ!!!”


สุดท้ายเขาก็ส่งเสียงขู่คำรามออกมา ราวกับผีร้ายที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก อารมณ์บ้าระห่ำ “อ๊า!!! ฉันเกลียดจริงๆ!! อ๊า!!!!”


เขาต่อสู้กับร่างกายของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เพียงแต่เขาที่ไร้สิ้นเรี่ยวแรง สุดท้ายก็ทำได้เพียงพลิกตัวลงมาจากเตียงผู้ป่วย


เขาตกลงไปกองอยู่บนพื้น หน้าของเขาแทบจะแนบอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไม่มีผิด “ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ…”


ทันใดนั้น สายตาของเขาก็มองเห็นขาคู่หนึ่ง


มีใครอยู่ด้วย ไม่รู้ว่ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่


อวี๋หวาฝืนเงยหน้าขึ้นมา…เขากำลังมองดูคนผู้นี้ ชายผู้นี้ ผู้ชายคนนี้ที่สวมหน้ากากตัวตลกแปลกๆ เอาไว้


คนผู้นี้ย่อตัวลงมาแล้ว ค่อยๆ เอ่ยปากพูดอยู่ตรงหน้าเขา “คุณลูกค้า คุณ…อยากได้อะไรไหมครับ?”


“อยากได้…อะไร?”


“ใช่ครับ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ขอแค่คุณจ่ายสิ่งตอบแทนได้ พวกเราจะช่วยคุณทำให้เป็นจริงเอง” เสียงนั้นเบาและนุ่มนวลกว่าเดิม “ไม่ว่าอะไรก็ตาม”


“พลัง…ผมต้องการพลัง! ผมต้องการพลัง! คุณให้ผมได้ไหม?!!” จู่ๆ อวี๋หวาก็ร้องคำราม “พลังมหาศาล พลังที่ทำลายโชคชะตาทุกอย่าง! พวกคุณให้ได้ไหม?!”


เขาเหมือนเป็นคนบ้าไปแล้ว “พวกคุณให้ได้ไหม? ฮ่าๆๆๆ!!!”


“ลูกค้าคิดจะใช้อะไรมาจ่ายครับ?”


“อะไรเหรอ?” อวี๋หวาหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง “ขอแค่ให้ผมยืนขึ้นมาใหม่ได้! ขอแค่ให้ผมมีพลังมากกว่าเดิม! ไม่ว่าอะไรผมก็ให้ได้ทั้งนั้น! ทรัพย์สมบัติของผม! ชีวิตของผม! แม้กระทั่งวิญญาณของผม!!”


“แน่ใจไหมครับ?”


“อย่าพูดมาก!! รีบทำให้ผมเร็วเข้า!!”


“ตามที่คุณต้องการ คุณลูกค้าที่เคารพ”




“รอเดี๋ยว คุณ…คุณคิดจะทำอะไร?”


ตอนนี้อวี๋หวากำลังมองผู้ชายประหลาดตรงหน้าอย่างหวาดผวา เขากำลังเทผงสีฟ้าละลายในน้ำทีละห่อทีละห่อ


ผงสีฟ้าพวกนี้…เขาคุ้นเคยมาก!!


“แน่นอน ก็สินค้าที่ให้คุณลูกค้าไงครับ”


คนนั้นเอายาที่ละลายแล้วใส่ในเข็มฉีดยา จากนั้นก็ฉีดเข้าไปในแขนของเขาทันที “ปริมาณยาขนาดนี้ เพียงพอให้คุณลูกค้าใช้ชีวิตด้วยพละกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยครับ”


“อย่า…อย่า! ผมไม่ต้องการ!! หยุด! ผมไม่เอาแล้ว!!!”


“ขอโทษด้วยครับลูกค้า…สัญญาที่เซ็นไว้แล้ว จะต้องปฏิบัติตามเท่านั้นนะครับ”


“อย่า…นะ!!!”


พลัง พลังที่ไร้ขีดจำกัดเริ่มปะทุออกจากร่างกายของอวี๋หวาอย่างบ้าระห่ำ…เพียงแต่หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง เหมือนกับจะระเบิดได้ตลอดเวลาอย่างนั้น


อีกโดสต่อด้วยอีกโดส แต่ละเข็มฉีดเข้าไปในเส้นเลือดที่แขนอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ตามมาด้วยจังหวะการสูบฉีดเลือดของเขา พลังที่ยาผงสีฟ้าพวกนั้นมอบให้กำลังแล่นไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเขาอย่างบ้าระห่ำ


พวกมันแล่นมาถึงหัว แล้วซึมเข้าไปในส่วนสมองของเขา


ในที่สุด อวี๋หวาก็ล้มลงไปแนบกับพื้นอีกครั้ง ตอนนี้กล้ามเนื้อของเขากำลังขยายตัวอย่างรุนแรง เส้นเลือดแต่ละเส้นค่อยๆ ปูดบวมขึ้นทั้งตัว


หลังจากเส้นเลือดแต่ละเส้นขดม้วนอยู่บนร่างกายของเขาแล้ว ก็ทิ้งริ้วรอยเหมือนใยแมงมุมยุ่งเหยิงเอาไว้


ทั้งสองมือของอวี๋หวากดอยู่บนพื้นด้วยร่างกายสั่นสะท้าน ก่อนเริ่มออกแรงกดนิ้วมือกับพื้นอย่างบ้าระห่ำ จนพื้นที่แข็งแรงแตกกระจายอย่างง่ายดาย!


พลังอันไร้ขอบเขตในร่างกายของเขายังคงปรากฏให้เห็นอยู่ ราวกับไร้ขีดจำกัดอย่างไรอย่างนั้น!


“อ๊า*!!!!*”


เขาจำเป็นต้องระบายความเจ็บปวดที่ร่างกายได้รับด้วยวิธีเช่นนี้ หมัดของเขาชกลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง แต่ละหมัดทำเอาพื้นปูนซีเมนต์แข็งแตกร้าว เหมือนกับการขุดเสาเข็มไม่มีผิด!


“พลัง! ฮ่าๆๆๆ!!! ผมมีพลัง! ฮ่าๆๆๆ!!!”


อวี๋หวาหัวเราะบ้าคลั่งพร้อมลุกยืนช้าๆ วินาทีนี้ เขารู้สึกเหมือนว่าไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ และเขาสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้


“ความรู้สึกแบบนี้เยี่ยมยอดเสียจริงๆ!” อวี๋หวากำลังมองดูมือทั้งสองของตัวเอง ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง


รอยยิ้มน่าขยะแขยงเกิดขึ้นตามมาไม่หยุด


เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว…แต่ทว่า เพียงแค่ก้าวออกไป ร่างกายของเขากลับทรุดลงพื้นในชั่วพริบตา!


เลือด เลือดสดๆ จำนวนมาก เลือดสดๆ ปริมาณมากเปลี่ยนเป็นสีดำ ตอนนี้กำลังพุ่งทะลุออกมาจากหลอดเลือดทุกส่วนในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง


“อ๊า*!!!!*”


เขาร้องโหยหวนอย่างคนบ้า กล้ามเนื้อ กระดูก ทุกส่วนเหมือนถูกบีบอัดโดยเครื่องจักรทีละเล็กทีละน้อย


อวี๋หวาตาเหลือกทันที เผยให้เห็นส่วนตาขาวที่เต็มไปด้วยเลือด


ชายผู้นั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขามาโดยตลอด และผู้ที่มอบพลังให้กับเขา ค่อยๆ ถอดหน้ากากบนใบหน้าออกมาแล้ว


อวี๋หวาขยับริมฝีปาก เขาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง


แต่สุดท้ายอวี๋หวาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา…คอของเขาก็พับลง ร่างกายเหมือนดั่งรูปปั้นพังทลายลง และจมอยู่ในกองเลือดสีดำบนพื้น


ตอนนี้เจ้าของสมาคมโค้งตัวลงอย่างสง่างามผิดวิสัย พร้อมพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “คุณลูกค้า ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณพอใจไหมครับ? ถ้าอย่างนั้น…ได้โปรดจ่ายค่าธรรมเนียมของคุณด้วยครับ”


ลั่วชิวยื่นมือไปจับที่บนหน้าผากของอวี๋หวาเบาๆ แล้วดึงดวงวิญญาณสีขาวเทาออกมา

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 128

 

สีหน้าของหม่าโฮ่วเต๋อและเยี่ยเหยียนดูเคร่งขรึมจริงจังผิดปกติ


 


ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนหลับตาได้ไม่เกินห้านาทีด้วยซ้ำ ถึงแม้คิงคองจะถูกจับขังคุกแล้ว แต่อวี๋หวากลับตายเนี่ยสิ


 


คนที่รีบห้อตะบึงมาหาหมอจีนวัยชราที่นี่โดยไม่หยุดพักมองรอบๆ ที่เกิดเหตุแวบหนึ่ง แล้วก็อดตกใจจนเหงื่อท่วมตัวไม่ได้!


 


สภาพการตายของอวี๋หวาน่าสยดสยองเกินไปแล้ว!


 


ทั้งตัวล้มคว่ำจมกองเลือดเหนียวข้นออกสีดำ กล้ามเนื้อบนตัวส่วนใหญ่ปริแตกออก ดูแล้วไม่มีส่วนไหนยังคงสภาพเดิมเลย…นี่ก็คือสภาพการณ์ในที่เกิดเหตุ


 


รวมทั้งรอยแตกที่ปรากฏอยู่บนพื้น


 


พอพลิกตัวอวี๋หวาแล้ว เยี่ยเหยียนจึงมองดูทุกอย่างที่นี่เงียบๆ เขาขมวดคิ้ว “พวกรอยแตกพังพวกนี้ อวี๋หวาน่าจะเป็นคนทำ…”


 


เซอร์หม่าก็ขมวดคิ้วพูดเหมือนกัน “เป็นการลงโทษโหดร้ายแบบไหนกันแน่ ถึงทรมานคนคนหนึ่งให้อยู่ในสภาพแบบนี้ได้…”


 


หม่าโฮ่วเต๋อมองดูหมอจีนวัยชราที่หน้าซีดอยู่ทางด้านหลัง “หมอไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ เหรอ? เป็นถึงขนาดนี้ ไม่ได้ยินเสียงเลยสักนิด?”


 


หมอจีนสูงวัยส่ายหน้า สีหน้าหวาดผวาเป็นยิ่ง “เซอร์หม่า ผมจะหลอกคุณได้ที่ไหนล่ะ? ตั้งแต่คุณเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยจนตอนนี้ ก็มารักษาอาการเคล็ดขัดยอกกับผมที่นี่หลายสิบปี ผมเป็นใคร คุณยังไม่รู้อีกเหรอ? พอผมฟื้นมาก็เห็นเหตุการณ์แบบนี้แล้ว ก็เลยรีบติดต่อคุณทันทีเลยนะ!”


 


“นี่…” หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดคลุ้งกระจายเหม็นสุดทน ก็เหมือนกลิ่นในท่อน้ำที่เต็มไปด้วยซากปลาตาย ทั้งคาวทั้งเหม็น!


 


“หรือจะเป็นคนของสมาคม?” เขาอดมองเยี่ยเหยียนเพื่อนเก่าของตนเองไม่ได้ พร้อมเอ่ยถามความคิดแรกในใจตนเองออกไป


 


เยี่ยเหยียนส่ายหัว ถอนหายใจแล้วพูด “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ สรุปคือเบาะแสจากอวี๋หวาถูกตัดทิ้งไปแล้ว…อีกอย่าง เขาเป็นแค่คนของทางฝ่ายซื้อ ไม่น่าจะรู้เรื่องสมาคมไมเคิลมากนัก กุญแจสำคัญยังคงเป็นคิงคอง”


 


หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดว่า “ฉันจะให้คนจับตาดูเจ้าหมอนี่ไว้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ต่อให้คิดจะฆ่าตัวตายก็คงทำไม่ได้! ฉันก็ไม่เชื่อว่าคนบ้าอะไรของสมาคมไมเคิลนั่นจะกล้าบุกเข้ามาในสถานีตำรวจ!”


 


พูดไปเซอร์หม่าก็ตบบ่าเยี่ยเหยียนแล้วพูดขึ้น “น้องชาย นายวางใจเถอะ ฉันจะส่งกำลังคนมาเพิ่ม ขอเพียงผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ทางนี้ ฉันจะต้องช่วยนายหาจนเจอให้ได้…รวมทั้งสินค้าพวกนั้นด้วย!”


 


เยี่ยเหยียนตบฝ่ามือของหม่าโฮ่วเต๋อบนบ่าตนเอง แล้วฝืนยิ้มก่อนถอนใจยาวๆ มองท้องฟ้านอกหน้าต่าง “ฟ้าสว่างแล้ว”


 


“ฉันส่งนายกลับไปที่โรงแรมเหอผิงไหม?” หม่าโฮ่วเต๋อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น


 


เยี่ยเหยียนส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ …ถ้ามีข่าวของคิงคองนายก็แจ้งฉันด้วย มีอะไรไว้ติดต่อกัน”


 


“ครั้งนี้นายจะไม่เล่นหายตัวไปกะทันหันอีกแล้วใช่ไหม?” หม่าโฮ่วเต๋อพูดจริงจังเป็นที่สุด


 


“ไม่มีอะไรหรอก นายไปรายงานความปลอดภัยกับแม่เสือที่บ้านนายก่อนแล้วกัน” เยี่ยเหยียนยิ้มน้อยๆ เขาสะบัดเสื้อคลุมสีดำบนตัวแล้วเดินออกประตูนั่นไป


 



 



 


ลั่วชิวล้างหน้าก่อน แล้วถึงมองตนเองในกระจก…ก่อนหน้านี้ไม่นาน ความรู้สึกในร้านขายยาจีนได้ถูกลบออกไปจากใจเขาอย่างช้าๆ


 


อวี๋หวาทำลายความสงบที่อยู่ภายในจิตใจของเขามาตลอด หลังการตกลงแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นไปแล้ว ก็เหมือนกับน้ำมันในตะเกียงที่เผาไหม้จนเกลี้ยง


 


เขากลับมาถึงห้องพักของตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ


 


ที่นี่มีจดหมายสองฉบับวางอยู่…นี่คือจดหมายที่เจสสิก้าเขียนไว้ก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเนื้อหาในจดหมายสองฉบับนี้เป็นโมฆะตามความต้องการของเธอ


 


แต่ที่บอกว่าเป็นโมฆะก็ไม่ได้บอกว่าจะเปิดดูไม่ได้นี่ อีกอย่างเจ็ดโมงเช้าหนึ่งนาทีก็เลยเวลาที่นัดหมายไว้แล้วด้วย


 


ลั่วชิวฉีกจดหมายฉบับแรกออก


 


“ในมหาสมุทรแปซิฟิกมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง ที่นั่นคือ ‘สวรรค์’ ของสมาคมไมเคิล ที่นั่นมีคนอยู่ไม่น้อย เด็ก ผู้ใหญ่…สาวก ดังนั้นได้โปรดปล่อยคนพวกนั้นที่อยู่บนเกาะนี้ออกมา ถ้าหากดวงวิญญาณของฉันไม่เพียงพอ อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตแม่ฉันออกมา และให้เธอหลุดพ้นจากความเชื่อของสมาคมไมเคิล ให้เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วก็ แล้วก็ลืมว่าฉันมีตัวตนอยู่”


 


เนื้อหาไม่เยอะ


 


แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เจสสิก้าอยากได้จากสมาคมภายหลังจากตนเองทำแผนล้มเหลว


 


ลั่วชิวถือจดหมายฉบับนี้เหนือถังขยะที่อยู่ข้างๆ พอเจสสิก้าได้รู้ว่าแม่ของเธอเป็นเพียงละครตบตา จดหมายฉบับนี้ไม่มีมูลค่าให้เก็บไว้


 


มันเผาไหม้อยู่กลางอากาศ ก่อนขี้เถ้าจะค่อยๆ ร่วงใส่ในถังขยะใบเล็ก


 


ลั่วชิวหลับตาสองข้างของตัวเองลง ในมือมีจดหมายฉบับที่สองอยู่ แต่ก็ไม่ได้รีบเปิดออกในทันที


 



 


โซ่ตรวนแบบนี้ไม่สามารถกักขังเยี่ยเหยียนได้


 


วินาทีที่เปิดประตู จู่ๆ เขาก็นึกเรื่องเมื่อไม่นานนี้ขึ้นมาได้ ภาพตอนเจสสิก้าส่งปืนของเธอให้เขา เขาถอนหายใจยาวๆ นิ้วมือไล้ผ่านเฟอร์นิเจอร์โดดๆ ตัวนี้ไป


 


เขานั่งอยู่บนโซฟา แล้วหลับตาของตัวเองลง…ราวกับว่าข้างตัวมีเจสสิก้านั่งอยู่ ราวกับว่าเธอกำลังตั้งใจฟังเสียงจากเครื่องดักฟังที่ลอบติดในห้องข้างล่างของลั่วชิว


 


สองมือเยี่ยเหยียนปิดที่หูของตนเอง ก่อนเอียงหัวเล็กน้อย


 


เขาคิดว่า เจสสิก้าก็น่าจะทำท่าทางแบบนี้


 


ทันใดนั้นเอง เยี่ยเหยียนก็ยกปากกาขึ้นมา แล้ววางเบาๆ ที่ข้างริมฝีปาก เขากำลังจินตนาการว่าถ้าเป็นเจสสิก้า เธอจะพูดอะไรใส่ปากกาบันทึกเสียงด้ามนี้


 


“ฉัน….มาถึงที่นี่แล้ว มาถึงบ้านเกิดของเยี่ยเหยียน…ใช่ไหม?”


 


เยี่ยเหยียนวางมือลง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่สุขและก็ไม่ทุกข์ ถึงขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…แต่น่าจะเป็นรอยยิ้ม


 


แววตาของเขากำลังมองภายในห้องพักแห่งนี้ตามใจตนเอง จู่ๆ กลับเห็นกระเป๋าเดินทางสีดำใบหนึ่งวางอยู่ใต้โต๊ะชาข้างโซฟา


 


เยี่ยเหยียนหยิบกระเป๋าเดินทางออกมาอย่างลืมตัว เขาลูบคลำผิวกระเป๋าใบนี้…นี่เป็นลักษณะของกระเป๋าถือที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมาก


 


เยี่ยเหยียนเปิดมันออก


 


ไมโครโฟนหนึ่งตัว จดหมายหนึ่งฉบับ แฟลชไดรฟ์หนึ่งตัว


 


นั่นเป็นซองจดหมายฉบับหนึ่งที่มีกระดาษสองหน้า


 



 


ถึง เยี่ยเหยียน:


 


‘ฉันรู้ นายจะมาที่นี่อีกครั้ง และคงจะมาทันที ฉันรู้ นายเองก็คงจะสับสนว่าฉันเป็นใครกันแน่’


 


‘ฉันเป็นคนของสมาคมไมเคิลมาตั้งแต่แรก เรียกว่าเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของสมาคมเลยก็ได้’


 


‘ใช่แล้ว ฉันคิดมาโดยตลอดว่าสมาคมไมเคิลน่าศรัทธา เป็นสมาคมที่ฉันพร้อมอุทิศทั้งชีวิตให้ จนกระทั่ง จนกระทั่งฉันมาพบกับนาย’


 


‘ฉันถึงขนาดจำได้ว่า ในสนามบินเมื่อสามปีก่อน ฉันเห็นนายครั้งแรกในฝูงชน นายตอนนั้นมีหนวดขึ้นเต็มใบหน้าเหมือนคนขี้เหล้ายังไม่สร่างเมา แล้วยังความขมขื่นในดวงตาของนายอีก’


 


‘สามปีแล้วนะ นายจะไม่ยิ้มมีความสุขสักหน่อยเหรอ?’


 


‘ฉันรู้ ในใจของนายมีคนคนหนึ่งอยู่ตลอด บางทีชั่วชีวิตนี้ฉันคงไม่มีทางเป็นคนคนนั้นได้’


 


‘แต่เวลาสามปีมานี้ ชีวิตตลอดยี่สิบห้าปีที่ว่างเปล่าของฉันกลับมีนายเพิ่มเข้ามา’


 


‘ฉันกลัวจริงๆ ว่านายจะเกลียดฉัน เพราะนายไม่มีทางรู้เลยว่าช่วงเวลาที่แฝงตัวอยู่ในองค์การตำรวจอาชญากรรม ฉันทำเรื่องที่ขัดกับความคิดค่านิยมของนายไปมากเท่าไหร่แล้วกันแน่ ฉันยังทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตกอยู่ในวังวนแห่งความโชคร้ายไปแล้วเท่าไหร่กันแน่ นายยิ่งไม่มีทางรู้เลยว่าก่อนหน้าที่ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันทำเรื่องโหดร้ายเพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความศรัทธาไปมากตั้งเท่าไหร่’


 


‘ฉันเป็นปีศาจ แล้วปีศาจตัวนี้ก็จะกลายเป็นผู้แก้แค้นคนหนึ่ง’


 


‘ข้อมูลในแฟลชไดรฟ์นี้มีข้อมูลที่ฉันรู้ทั้งหมด ทั้งข้อมูลสายลับที่องค์กรส่งมาที่สำนักงานใหญ่ และหลักฐานความผิดของพวกมัน รวมทั้งข้อมูลที่ทำให้นายถูกใส่ร้าย ข้อมูลพวกนี้มากพอให้นายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ และทำให้นายสามารถได้รับความดีความชอบที่ไม่ธรรมดาด้วย’


 


‘ยังจำได้ไหม? สามปีก่อน นายก็ยกความดีความชอบให้ฉันเหมือนกัน คำพูดที่นายเคยบอกตอนนั้น ฉันคิดว่าเหมาะจะเอามาใช้ตอนนี้เหมือนกัน เพียงแต่ครั้งนี้คนที่พูดเป็นฉัน’


 


‘เยี่ยเหยียน ได้โปรดอย่าตามหาฉันเลย’


 


‘สุดท้ายนี้ นายจะเป่าแซกโซโฟนให้ฉันสักครั้งได้ไหม?’


 


เยี่ยเหยียนหลับตาลง แล้วถอนหายใจอย่างช้าๆ “เจสสิก้า…”


 



 


ลั่วชิวเปิดจดหมายฉบับที่สองออก


 


“ถ้าฉันล้มเหลวแล้วตายไป หรือสมาคมไมเคิลโกรธแค้นฉันแล้วลงโทษแม่ฉันถึงตาย ได้โปรดให้เยี่ยเหยียนใช้ชีวิตในชาตินี้อย่างมีความสุข และลืมฉันซะ”


 


ลั่วชิวไม่ได้เผามันทิ้ง


 


เขาเพียงแค่พับกระดาษจดหมายอย่างระมัดระวัง แล้วใส่ไปในซองจดหมายอีกครั้งอย่างช้าๆ


 


ตอนนี้ที่ชั้นบนมีเสียงแซกโซโฟนอันคุ้นเคยดังแว่วมา แล้วลั่วชิวก็เอาจดหมายในมือล็อกกุญแจใส่ไว้ในลิ้นชัก ก่อนหลับตาของตัวเขาลง


 


สองมือของเขาวางไว้ที่หน้าลำตัว นึกภาพตัวเองถือแซกโซโฟนอยู่เหมือนกัน นิ้วมือของเขาขยับขึ้นลงทีละน้อยต่อเนื่องตามจังหวะและเสียงที่ดังมา


 


นั่นเป็นการกดตัวโน้ตของเพลงบทนี้


 


ที่ชั้นบน เยี่ยเหยียนหยิบแซกโซโฟนที่เจสสิก้าทิ้งไว้ให้ แล้วยืนอยู่กลางห้องโถงในห้องพักที่เงียบสงบแห่งนี้ ลำแสงแห่งรุ่งอรุณทำให้ที่นี่ดูเนือยๆ สลัวๆ ราวกับเวทีเต้นรำ


 


เขาค่อยๆ เป่าเป็นจังหวะเพลง ‘Yesterday Once More’ อย่างช้าๆ


 



 


เธอยืนอยู่บนดาดฟ้าตึก กำลังมองพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า


 


เธอเอามือข้างหนึ่งกุมหูซ้ายไว้ ค่อยๆ สัมผัสถึงสายลมแผ่วเบา ฟังเสียงที่ดังก้องอยู่ในหูฟังอันเล็กๆ อย่างตั้งใจ


 


สายลมแผ่วเบาพัดผมเธอปลิวสยายไปมา ขณะเดียวกันก็พัดความคิดของเธอให้ล่องลอยไปด้วย


 


ฉับพลันนั้นน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงมา


 


“ขอบคุณนะ…”

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 129

 

​พอเครื่องบินลดระดับลงจอดที่เกาะแห่งหนึ่งเหนือน้ำทะเล ชายหนุ่มที่ไม่มีเวลาเสวนากับพนักงานขับเครื่องบินก็รีบเดินลงมาอย่างร้อนรน 


 


 


ทีมหนึ่งมีห้าคน ชายซึ่งมือถือปืนกระบอกหนึ่งไว้ และยังสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ ได้รอคอยอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว 


 


 


“หัวหน้าสาขา คุณกลับมาแล้ว” 


 


 


ผู้ที่เป็นหนึ่งในผู้นำคนนั้นพยักหน้า 


 


 


ชายหนุ่มก็พยักหน้า เขาทอดมองไปทางหุบเขาบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ตามอารมณ์…ฝั่งนั้นเป็นที่อยู่ และเป็นสถานที่ที่บรรดาศิษย์สาวกอาศัยอยู่รวมกัน แต่ทางฝั่งนี้ถึงเป็นฐานที่ตั้งของสมาคมไมเคิล 


 


 


คุณซุนเป็นแค่ชื่อรหัสเท่านั้น คนในสมาคมที่รับผิดชอบดูด้านนอก ล้วนแล้วแต่ใช้ชื่อรหัส ‘คุณซุน’ นี้ได้ 


 


 


แต่เมื่อกลับมาถึงฐานที่ตั้งสมาคมจริงๆ แล้ว ชายหนุ่มกลับคืนสู่สถานะเดิมของตนเอง หนึ่งในสี่ผู้รับผิดชอบสาขาฝั่งยุโรปตะวันตก ‘ชื่อรหัสสกอร์เปียน’ 


 


 


ขนานนามตามจักรราศีสิบสองราศี หัวหน้าสาขาทุกคนล้วนมีชื่อรหัสที่สอดคล้องกัน 


 


 


ในตอนนี้สกอร์เปียนมองดูชายสวมชุดทหารตรงหน้า “เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ ฉันจะพูดคุยกับพวกสมาชิกสภาผู้นำสักหน่อย” 


 


 


ชายชุดทหารกลับพูดขึ้นทันทีว่า “หัวหน้าสาขาสกอร์เปียน ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าที่คุณจะกลับมาถึง แฮงค์แมน เทมเพอร์แรนซ์ พระสังฆราช รวมทั้งเดอะ ไฮ พรีสเทส ทาวเวอร์ วงล้อแห่งโชคชะตา สมาชิกสภาผู้นำหลายท่านได้รออยู่แล้วครับ” 


 


 


สกอร์เปียนนิ่งอึ้ง ในสมาชิกสภาผู้นำร่วมยี่สิบเอ็ดคน มีหกคนมารอเขาล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว? เขากำลังครุ่นคิดถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ไปอย่างเผลอตัว 


 


 


“ฉันรู้แล้ว” 


 


 


… 


 


 


ในทางเข้าทางลับที่สร้างจากหินภูเขา สกอร์เปียนรีบเดินตามเส้นทาง ก่อนเข้าไปในลิฟต์ จนมาถึงพื้นที่ที่ลึกระดับหนึ่งของใต้ดินแล้ว 


 


 


ฐานที่ตั้งแห่งนี้ก่อสร้างมาเป็นเวลานาน ทุกวันนี้ใต้เกาะได้ขยายจนเรียกได้ว่าใหญ่โตโออ่าแล้ว 


 


 


ลิฟต์หยุดลง ก่อนสกอร์เปียนจะเดินผ่านประตูกั้นน้ำบานแล้วบานเล่า สุดท้ายก็มาถึงในห้องห้องหนึ่งเพียงลำพังคนเดียว 


 


 


ที่นี่มีสะพานยาวประมาณสี่เมตรมุ่งไปข้างหน้าเพียงทางเดียวเท่านั้น สกอร์เปียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกเท้าก้าวไปจนสุดสะพานอีกด้านหนึ่ง แล้วทันใดนั้นเองรอบๆ ด้านก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้น 


 


 


ตอนนี้มองเห็นทั้งห้องชัดเจนแล้ว ที่นี่มีลักษณะเป็นทรงกลมที่ตั้งตรงอยู่ เหมือนส่วนเล็กๆ ที่ถูกตัดแยกออกมา 


 


 


ที่ปรากฏอยู่บนผิวกำแพงทรงกลมรอบทิศ ก็คือหน้าจอขนาดเท่าๆ กันจำนวนยี่สิบเอ็ดช่อง เวลานี้มีเพียงหกจอที่สว่างอยู่ ส่วนหน้าจอที่เหลือดำมืด 


 


 


แฮงค์แมน เทมเพอร์แรนซ์ พระสังฆราช เดอะ ไฮ พรีสเทส ทาวเวอร์ วงล้อแห่งโชคชะตา…สกอร์เปียนมองภาพแต่ละคนที่ปรากฏบนหน้าจอทั้งหกนี้ 


 


 


แต่กลับไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของสมาชิกสภาผู้นำพวกนี้ได้ เพราะบนหน้าจอพวกนี้ฉายเพียงตราที่สมาชิกสภาผู้นำทั้งหกคนนี้ครอบครองอยู่เท่านั้น 


 


 


ตราที่สอดคล้องกับไพ่ทาโร่ 


 


 


“สมาชิกสภาผู้นำทุกท่าน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร ทำให้พวกท่านทั้งหกคนมาพบผมพร้อมกัน?” สกอร์เปียนถามด้วยเสียงดังก้อง 


 


 


ทันใดนั้นหน้าจอของแฮงค์แมนก็กะพริบๆ แล้วเสียงก็ดังขึ้นตามมา เป็นเสียงที่ผ่านการดัดแปลงมาแล้ว เสียงราวกับหยิบเหล็กออกมากระแทกใส่ ฟังแล้วเสียงก้องแปลกๆ “ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจที่สมาคมจัดไปแทรกซึมในองค์กรตำรวจอาชญากรรมทั้งหมดห้านายถูกควบคุมตัวแล้ว” 


 


 


สกอร์เปียนตกใจไปชั่วขณะ “อะไรนะ? ไวขนาดนี้เลย?” 


 


 


แฮงค์แมนกล่าว “มีคนเปิดโปงข้อมูลของพวกเขาแล้ว พวกเราก็รู้ ว่าทางองค์กรตำรวจอาชญากรรมรู้การมีอยู่พวกเรา พวกเขากำลังทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อหาพวกเราให้เจอ ครั้งนี้ข้อมูลคนของพวกเราถูกเปิดเผยแล้ว ย่อมต้องถูกควบคุมตัวทันทีอยู่แล้ว” 


 


 


สกอร์เปียนขมวดคิ้ว พูดเสียงหนักแน่น “เจสสิก้าเปิดเผยข้อมูลของเธอออกมาแน่ๆ…สมควรตาย! หรือเธอไม่สนใจความปลอดภัยของแม่แล้วใช่ไหม?” 


 


 


แฮงค์แมนกล่าว “ช่วงที่เธอถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว หรือว่าความทรงจำจะกลับมาบ้างแล้ว?” 


 


 


สกอร์เปียนส่ายหน้าตอบ “เป็นไปไม่ได้ การสะกดจิตของผมไม่มีทางถูกทำลาย…” 


 


 


แต่เขาก็เงียบไปทันที 


 


 


สกอร์เปียนอดคิดถึงโทรศัพท์แปลกๆ สายนั้นไม่ได้ เจ้าคนแปลกๆ คนนั้นที่เคยพูดคุยกับเขา และยังระบุสถานที่ที่เขาซ่อนตัวได้อย่างง่ายดาย 


 


 


จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าหมอนั่นจะทำลายการสะกดจิตของตัวเขาได้? 


 


 


อันที่จริงระหว่างทางที่มาเขาก็ยังรอการติดต่อกลับของเจสสิก้าตลอด เพราะเขารู้ว่าขอเพียง ‘แม่’ ของเจสสิก้ายังอยู่ใน ‘สวรรค์’ เจสสิก้าก็คงจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม 


 


 


“สกอร์เปียน ทำไมคุณถึงเงียบไปล่ะ?” 


 


 


คราวนี้คนที่พูดกลับเป็นคนหนึ่งที่ใช้สัญลักษณ์ ‘เดอะ ไฮ พรีสเทส’ บนหน้าจอ 


 


 


สกอร์เปียนจำเป็นต้องจัดท่ายืนตนเองใหม่ ก่อนหันหน้าไปทางเดอะ ไฮ พลีสเทส สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดว่า “ก่อนกลับมาที่นี่ผมพบเรื่องแปลกมากเรื่องหนึ่ง” 


 


 


เขาเล่าเรื่องที่เขาพูดคุยกับชายแปลกๆ คนนั้นทางโทรศัพท์อย่างหมดเปลือก “ครั้งก่อน ‘ดวงตาปีศาจ’ ที่ สมาชิกสภาผู้นำ ‘เทมเพอร์แรนซ์’ ส่งให้ไปดำรงตำแหน่งข้างกายผมก็สังเกตการณ์รอบๆ ตัวผมแล้ว กลับไม่พบอะไรเลย แต่อีกฝ่ายเหมือนเห็นผมได้ทุกอิริยาบถ!” 


 


 


ทันใดนั้นภายในห้องทรงกลมพลันก็เงียบลง 


 


 


และตอนนั้นเอง หน้าจอช่องหนึ่งที่ดับอยู่พลันมีแสงสว่างขึ้นมา แล้วเสียงนั้นก็ดังมาจากหน้าจอว่า “สกอร์เปียน คุณต้องลำบากเลย เพิ่งกลับมาถึงบนเกาะ ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” 


 


 


สกอร์เปียนหันกลับมาทางหน้าจอที่เพิ่งสว่างขึ้นจอนี้ แล้วพูดด้วยความเคารพมากเป็นพิเศษ “ครับ สมาชิกสภาผู้นำ ‘เดอะ ฟูล’ 


 


 


ทันใดนั้นห้องทรงกลมพลันเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง 


 


 


เนิ่นนานทีเดียว 


 


 


เสียงของทาวเวอร์ดังขึ้น “สกอร์เปียนบอกว่า คนนั้นเรียกตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจ” 


 


 


วงล้อแห่งโชคชะตา “ไม่รับเงินทองใดๆ ทั้งสิ้น…แถมยังรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเขา” 


 


 


พระสังฆราช “คิดจะดูว่าพวกเราทำได้ถึงระดับไหน?” 


 


 


ฉับพลันแฮงค์แมนก็เปล่งเสียงขึ้น ถึงแม้เป็นเสียงดัด แต่ก็แหบอย่างเห็นได้ชัด “ใช่ ที่แห่งนั้น” 


 


 


เดอะ ฟูล “เป็นสมาคม…” 


 


 


ทาวเวอร์ “ร้อยปีก่อน ไม่ใช่ว่า…มันโดน…” 


 


 


เสียงของเดอะไฮพรีสเทสกระวนกระวายน้อยๆ “ถ้าหากเป็นที่นั่นจริงๆ สิ่งที่ฉันเป็นกังวลคือ เจสสิก้าเคยทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนอะไรหรือเปล่า และไหนจะเนื้อหาในข้อตกลงอีก…” 


 


 


เดอะ ฟูล “ทุกท่าน อย่าเพิ่งเดาไปเรื่อยเลย สมมุติว่าสถานที่นั้นยังอยู่ก็จะไม่ทำอะไรพวกเรา  นั่นก็เป็นแค่สถานที่ค้าขายความปรารถนา ไม่ใช่ศัตรูของพวกเราอยู่แล้ว เพียงแต่เพื่อเห็นแก่ความปลอดภัย ช่วงเวลาต่อจากนี้พวกเราควรต้องระมัดระวังให้มาก” 


 


 


วงล้อแห่งโชคชะตา “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทุกสาขาหยุดความเคลื่อนไหวชั่วคราว พวกเราต้องการเวลาสังเกตการณ์” 


 


 


“เห็นด้วย” 


 


 


“เห็นด้วย” 


 


 


“เห็นด้วย” 


 


 


… 


 


 


… 


 


 


หนึ่งวัน สองวัน 


 


 


เวลาผ่านไปสองวันแล้ว เยี่ยเหยียนก็นำข้อมูลที่เจสสิก้าทิ้งไว้ส่งไปให้สำนักงานใหญ่ทันที และควบคุมตัวสายลับหลายคนในสำนักงานใหญ่ได้สำเร็จ 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยเหยียนก็ได้รับข่าวจากสำนักงานใหญ่ให้กลับมาดำรงแหน่งเดิมของเขา และร่วมทีมหน่วยปฏิบัติการพิเศษถาวร ให้สิทธิพิเศษเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด เพื่อเริ่มจัดการเนื้อร้ายที่น่ากลัวอย่างสมาคมไมเคิล 


 


 


“จะไปตอนไหน?” หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจ 


 


 


“คืนนี้ก็ไปแล้ว” เยี่ยเหยียนยิ้มตอบ “พอคนที่สำนักงานใหญ่มาถึงก็จะนำตัวคิงคองกลับไปพร้อมกับฉัน หลังจากนี้เกรงว่าฉันคงจะยุ่งไปอีกนานสักระยะหนึ่งเลยล่ะมั้ง” 


 


 


หม่าโฮ่วเต๋อไม่ได้พูดอะไร แค่ออกแรงตบบ่าเยี่ยเหยียน เขาเชื่อว่า ในอนาคตคนเก่งคนนี้จะต้องพัฒนาฝีมือได้ไกลแน่ๆ 


 


 


“เหล่าเยี่ย! เหล่าหม่า!” 


 


 


เสียงเริ่นจื่อหลิงดังขึ้นฉับพลัน…ตอนนี้เองรองบรรณาธิการเริ่นกำลังตะโกนมาแต่ไกล ข้างๆ เธอก็มีลั่วชิวตามมาติดๆ 


 


 


วันที่สาม…ก่อนที่เริ่นจื่อหลิงจะมาสุสานของสามี 


 


 


แน่นอนว่า เยี่ยเหยียนกับหม่าโฮ่วเต๋อร่วมมือกันหาข้ออ้าง บอกว่าสถานที่ที่จดหมายนั่นระบุไว้ก็คือที่นี่ เยี่ยเหยียนแค่มารอใครคนหนึ่งที่นี่เท่านั้น 


 


 


แน่นอนว่าเริ่นจื่อหลิงรู้เรื่องที่เยี่ยเหยียนล้างมลทินได้แล้ว เธอจึงรู้สึกสบายใจ 


 


 


ทั้งสี่คนรวมตัวกันที่นี่ 


 


 


แจกเหล้าขาวคนละแก้วอย่างเงียบๆ 


 


 


หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป 

 

 

 



เยี่ยเหยียนหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง


เขาหลับตาของตัวเองลง เริ่มรวบรวมพลังตั้งแต่ตอนนี้




หนึ่งปีก่อน


ประเทศเยอรมัน ลักเซมเบิร์ก


“ฉันแต่งตัวแบบนี้แปลกเกินไปหรือเปล่า?”


เจสสิก้าจัดแจงเดรสยาวบนร่างกายตัวเองอย่างขัดเขิน เทียบกับความไม่เป็นธรรมชาติของเธอ เยี่ยเหยียนในชุดทางการกลับดูค่อนข้างสง่างามลุ่มลึก สายตาของเยี่ยเหยียนที่ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางงานเลี้ยงนี้เพียงแค่มองกวาดไปมา เจสสิก้าก็ขมวดคิ้ว “ฉันเสียใจมากเลยที่เชื่อคำแนะนำของนาย ความจริงแล้วการแฝงตัวเข้ามาที่นี่ไม่เห็นจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นแขกเลย พนักงานเสิร์ฟก็ได้เหมือนกัน”


เยี่ยเหยียนถือโอกาสหยิบแชมเปญสองแก้วจากถาดบนมือของพนักงานเสิร์ฟที่ผ่านไปมา ก่อนส่งแก้วหนึ่งไปให้เจสสิก้า “ความคล่องตัวของพนักงานเสิร์ฟมีไม่พอ หรือเธอคิดว่าตัวเองถูกผู้หญิงที่นี่กลบรัศมีล่ะ อิจฉาหรือยังไง?”


เจสสิก้าแสยะยิ้ม “ฉันแค่คิดว่าถ้าเผื่อเกิดเรื่องอะไร รองเท้าส้นสูงจะเป็นอุปสรรคทำให้เคลื่อนไหวได้ลำบากก็แค่นั้น”


เยี่ยเหยียนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ความจริงก็ดูดีมากอยู่นะ ไม่ต้องห่วง เธอควรจะเชื่อมั่นในความสวยของตัวเอง”


เจสสิก้าตอบรับอย่างเรียบเฉยมาก “ขอบคุณ…เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว”


เยี่ยเหยียนเข้าไปขวางหน้าเจสสิก้าทันที บังสายตาของเธอเอาไว้ “การระแวดระวังของเจ้านี่สูงมาก อย่าเพิ่งมองเขา รออีกหน่อยค่อยเข้าไปใกล้ๆ”


เจสสิก้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งเข้าโรงเรียนไปได้! ฉันรู้หรอกว่าควรทำยังไง อีกอย่างนายต่างหากถึงจะเป็นเด็กใหม่ที่ต้องให้ฉันดูแล”


ในโถงเริ่มบรรเลงเพลงวอลซ์


เยี่ยเหยียนจับมือของเจสสิก้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็วางไว้บนบ่าของตัวเอง


“นายคิดจะทำอะไร?”


“แน่นอนว่าเข้าใกล้เป้าหมายไง” เยี่ยเหยียนพูดเสียงเบาๆ “วางใจได้ ฉันไม่เหยียบเท้าเธอหรอก น่าจะพูดว่าฉันกลัวถูกเธอเหยียบเท้ามากกว่านะ”


เจสสิก้าเขม็งมองเยี่ยเหยียนแวบหนึ่ง แต่พูดอะไรไปก็คงไม่ดี ยิ่งไม่ควรทำตัวเป็นศัตรูกันในสถานการณ์นี้ เธอบอกกับตัวเอง เพียงเพื่อเข้าใกล้เป้าหมายเท่านั้น


เธอและเยี่ยเหยียนหมุนวนไปรอบๆ แขกที่ได้รับเชิญมาเต้นรำมากมาย ค่อยๆ เข้าใกล้บุคคลเป้าหมายทีละน้อยทีละน้อย


แสงไฟที่เลือนรางเคล้าคลอกับเพลงวอลซ์ที่เสนาะหูรวมทั้งการเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ของสเต็ปเต้นรำ เจสสิก้าที่จำไม่ได้ว่าตัวเองเต้นรำครั้งสุดท้ายตอนไหนก็คล้ายใจลอยไปทันที


“เต้นพอได้นี่” เจสสิก้าพูดพร้อมกับมองตาของเยี่ยเหยียน


แม้ว่าสายตาของเยี่ยเหยียนจะอยู่บนตัวเจสสิก้าตลอด แต่เธอกลับรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเคลื่อนไหวไปรอบด้านตลอด สนใจทุกคนที่ผ่านตัวไปตลอดเวลา อีกทั้งยังเต้นนำเธอได้อย่างถูกต้องตามสเตป เข้าใกล้บุคคลเป้าหมายด้วยวิธีการที่ดูราวกับว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้


“เมื่อก่อนเคยมีคู่เต้นรำ” เยี่ยเหยียนเหมือนพูดออกมาตามอารมณ์


เธอรู้ว่าเขาเคยผ่านเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจบางอย่างมา ตอนนี้จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ


เธอเริ่มสังเกตผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าตรงนี้อย่างจริงจัง มีความเป็นผู้ใหญ่ สงบเยือกเย็น อีกทั้งยังมีความเศร้าที่ไม่อาจลบล้างออกไปได้อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะร่วมงานกันมาสองปี เธอก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเข้าใจความในใจของเขาได้จริงๆ


เจสสิก้าคิดว่าดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยเหยียนเหมือนกำลังบอกเล่าเรื่องราวอยู่ ลูกตาที่แบ่งแยกสีขาวดำได้ชัดเจนแตกต่างกับคนตะวันตกของเขา ยามนี้มันดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลอันร้ายกาจจนพรากชีวิตเธอไปได้เลย


ร่างกายกำลังพลิ้วหมุนไปมาในท่วงทำนองของการเต้นรำ เธอไม่สามารถละสายตาไปจากดวงตาคู่นี้ได้เลย…เธอถึงขนาดมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากดวงตาของอีกฝ่าย


ใบหน้าของเยี่ยเหยียน ตอนนี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ เจสสิก้าก็เขย่งปลายเท้าของตัวเองไปตามสัญชาตญาณ


ก็เหมือนกับปลาจูบ* ที่เจอกันกลางทะเล พวกมันมักจะรวมตัวกันเสมอ…ระหว่างเวลาปฏิบัติภารกิจนี้ ความหวั่นไหวจากภายในจิตใจ ทำให้เจสสิก้าเกือบจะลืมทุกอย่างไปในชั่วพริบตา


ในวินาทีที่จะประกบชิดกันนั่นเอง เยี่ยเหยียนกลับหยุดชะงัก และยังมีเสียงขอโทษของเขาตามมา ที่แท้ที่ทั้งสองคนหยุดลงนั้น ด้วยชนเข้ากับตัวของแขกอีกคู่หนึ่งที่ย่ำเท้ามาตามสเต็ปพอดี


“โอ๊ะ ขอโทษครับคุณผู้ชาย ผมอยากจะจูบคู่เต้นรำสาวของผมจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวถึงได้เผลอหยุดไป หวังว่าคุณจะไม่ถือโทษนะครับ”


“ไม่เป็นไรครับ” คุณผู้ชายยกยิ้ม อีกทั้งยังพูดชื่นชมว่า “คู่เต้นรำสวยขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผมก็คงจะเหมือนกัน”


เหมือนจะเป็นเพลงขั้นกลางสั้นๆ ผู้ชายคนนั้นก็พาคู่เต้นรำของตัวเองห่างออกไปไกลเรื่อยๆ อย่างช้าๆ


เจสสิก้าสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง ข่มความหวั่นไหวที่แปลกประหลาดนั้นลงไป ได้ยินเพียงแค่เยี่ยเหยียนก้มหัวลงมาพูดเบาๆ ว่า “ติดเครื่องติดตามเรียบร้อยแล้ว”


“อ้อ…งั้นเหรอ” เจสสิก้าก้มหัว “งั้นออกไปก่อนเถอะ”



ฉับพลันเจสสิก้าก็รู้สึกหัวหนักอึ้ง จึงลืมตาทั้งสองตื่นจากการงีบสั้นๆ


เธอลูบคลำริมฝีปากของตัวเองอย่างเผลอไผล นั่นคือความฝัน หรือก็คือความทรงจำในอดีต


ข้างโซฟามีไวน์แดงแก้วหนึ่งที่ดื่มไปนิดหน่อยแล้ว เจสสิก้ากำลังมองของเหลวสีแดงอ่อนๆ ในแก้วไวน์นั้น ก่อนยื่นมือออกไปดึงสร้อยที่คอออกมา แล้วคล้องไว้ระหว่างนิ้ว ขยับแกว่งไปมาเบาๆ


แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา นั่นคือเบอร์ของคิงคอง


“ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอมาได้แล้ว คุณซุนบอกให้เธอรับผิดชอบการค้ารอบนี้”


“รู้แล้ว พอถึงเวลาฉันจะไปปรากฏตัวตามที่นัดหมาย”


พอเจสสิก้าวางโทรศัพท์แล้ว เธอก็มองเวลาเล็กน้อย บ่ายสี่โมงยี่สิบเอ็ดนาที


เธอสูดลมหายใจเข้า แต่กลับกำจัดความไม่สบายใจและความหวาดกลัวออกไปไม่ได้ เธอไม่แน่ใจว่าพ้นคืนวันนี้ไปแล้ว ต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น


เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าไปพร้อมกับความหนักใจ ตอนนี้เธอไม่ได้กลับไปในห้องที่เธอเช่าไว้แล้ว เพราะครั้งที่แล้วคำถามของเริ่นจื่อหลิงทำให้เธอระแวดระวังตัวอย่างประหลาด ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกเช่าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในละแวกนี้


ข้างในลิฟต์ที่เปิดออกมาว่างเปล่า โหวงเหวง ไร้วี่แววของคน


เจสสิก้าเดินเข้าไป วินาทีที่กำลังมองประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง เธอก็เผลอกอดแขนทั้งสองของตัวเองไว้ แล้วถอยหลังกลับไปอีกหนึ่งก้าว


ราวกับว่าตัวเองพึ่งเข้ามาในกรงขัง มองเห็นรอบข้างได้ไม่ชัดเจน มองไม่เห็นทางข้างหน้า…ไม่มีทางข้างหน้า ความรู้สึกแบบนี้มาจากความคิดของเธอ มาจากจิตใจของเธอ


ติ๊ง!


ถึงชั้นหนึ่งแล้ว


วินาทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เจสสิก้าก็มองเห็นประตูไม้สนเก่าแก่บานหนึ่ง เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผลักประตูตามจิตใต้สำนึก แล้วเดินเข้าไป


ยังคงเป็นสถานที่แปลกประหลาดแห่งนั้น ทุกที่มีเพียงแสงสลัวเช่นเดิม แล้วยังมีของประดับตกแต่งแปลกๆ มากมายหลากหลายที่วางประดับอยู่รอบๆ อีก ทุกสิ่งทุกอย่างดูแล้ว ล้วนแต่ทำให้เธอหวาดกลัวลึกๆ


“คุณลูกค้า คุณมาอีกแล้ว”


ใช่แล้ว ยังคงเป็นเจ้าของร้านคนนั้น…เหมือนกับว่าจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าเธอจะต้องมาอีกครั้ง


*ปลาจูบ หรือ ปลาหมอตาล มีพฤติกรรมที่แปลกไปกว่าปลาชนิดอื่น คือ เมื่อจะต่อสู้หรือข่มขู่กัน จะใช้ปากตอดกันคล้ายกับการจูบที่แสดงออกถึงความรักของมนุษย์จึงเป็นที่มาของชื่อ ปลาจูบ

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 122

 

บทที่ 122 จดหมายสองฉบับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เจสสิก้าขอปากกาด้ามหนึ่งจากสมาคม และกระดาษเปล่าอีกสองแผ่น ซองจดหมายอีกสองซอง ก้มหน้าแล้วก็เริ่มเขียนอะไรบางอย่าง


การมาเยือนร้านครั้งที่สอง ตั้งแต่เดินเข้าประตูมาจนนั่งลง จนพูดถึงสิ่งที่ต้องการเล็กๆ นี้ออกไป ในสายตาของลั่วชิว เธอดูระมัดระวังรอบคอบกว่าครั้งที่แล้วอยู่มาก


ลูกค้าหลากหลายรูปแบบ ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมต่างกัน…นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ลั่วชิวมักจะรู้สึกรอคอยลูกค้าใหม่ที่พิเศษแตกต่างกันออกไปทุกครั้งล่ะมั้ง


แป๊บเดียวเจสสิก้าก็เขียนเสร็จ เธอใส่กระดาษขาวลงไปในซองจดหมาย ก่อนสูดลมหายใจลึกๆ เธอไม่ได้ถามว่าทำไมครั้งนี้อีกคนถึงเป็นคุณสาวใช้แสนสวย ไม่ใช่เจ้าคนไร้น้ำยาพิลึกพิลั่นคนนั้นในครั้งก่อน


เธอระงับความอยากรู้ทั้งหมดต่อสถานที่ลึกลับแห่งนี้เอาไว้ รู้แค่ว่าสถานที่แห่งนี้ซื้อได้ทุกอย่าง ตราบใดที่สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมได้ก็พอ


เจสสิก้านั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าของร้านคนนี้ ก่อนยื่นซองจดหมายในมือออกไป แล้วพูดเนิบๆ ว่า “ฉันไม่รู้ค่าธรรมเนียม แต่คิดว่าน่าจะไม่สูง…ฉันอยากให้พวกคุณเปิดจดหมายสองฉบับนี้หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้”


“เรื่องเล็กน้อยนี้ ไม่สำคัญหรอกครับ” ลั่วชิวส่ายหัว “ในเมื่อเป็นความต้องการของลูกค้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพวกเราจะไม่อ่านเนื้อหาในจดหมายนี้ พวกเรารับรองเรื่องนี้ได้ครับ”


แต่เจสสิก้ากลับพูดขึ้น “ไม่ ฉันไม่เชื่อคำสัญญาด้วยวาจาใดๆ …ในเมื่อที่นี่เก็บค่าธรรมเนียมก็ต้องทำให้เป็นจริง ถ้าอย่างนั้นสิ่งแรกที่ฉันต้องการซื้อวันนี้ ก็คือเรื่องนี้แหละ”


“ผมเข้าใจแล้วครับ” ลั่วชิวพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ใช้เวลาตั้งแต่ตอนนี้ถึงพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เป็นค่าธรรมเนียมเป็นยังไงครับ?”


เจสสิก้านิ่งอึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอพยักหน้า แล้วสัญญาซื้อขายครั้งแรกของวันนี้ก็ปรากฏขึ้น หลังจากลงนามในสัญญาแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว


ต่อมาเธอก็พูดขึ้น “ก่อนหกโมงพรุ่งนี้ ถ้าฉันไม่ได้มาเอามันคืน ก็ขอให้พวกคุณเปิดซองจดหมายออก ที่เขียนในนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ฉันอยากแลกเปลี่ยนจริงๆ”


“ขออภัยครับ พวกเราไม่รับเงื่อนไขแบบนี้ครับ” หลังจากลั่วชิวนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งจึงพูดขึ้น “เพราะถ้าหากไม่สามารถตกลงพูดคุยซึ่งๆ หน้ากันได้ พวกเราก็ไม่สามารถยืนยันความต้องการของลูกค้าได้ครับ รวมทั้งลูกค้ามีค่าธรรมพอจะจ่ายหรือไม่…”


เขาชูซองจดหมายขึ้นมา “ยกตัวอย่างเช่น สิ่งที่เขียนในจดหมายมากเกินกว่าที่คุณจ่ายไหว ถึงแม้พวกเราจะอ่านแล้ว ก็จะไม่ดำเนินการใดๆ ครับ ดังนั้นพวกเราขอแนะนำคุณว่าอย่าใช้วิธีนี้จะดีที่สุดครับ เพราะเป็นไปได้ว่าลูกค้าอาจจะไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ”


ดูเหมือนเจสสิก้าจะคิดไว้นานแล้ว จึงพูดด้วยคำพูดที่ชวนให้ตกใจ “ฉันจะใช้ดวงวิญญาณของฉันค้ำประกัน…ให้สิทธิพิเศษในการดำเนินการแลกเปลี่ยนตามเนื้อหาในจดหมายฉบับแรก แต่ถ้าที่จ่ายไปไม่มากพอ ถ้าอย่างนั้นก็ดำเนินการตามเนื้อหาในจดหมายฉบับที่สอง ในเมื่อฉันจ่ายค่าธรรมเนียมทั้งหมดล่วงหน้าก่อน ถ้าเนื้อหาในจดหมายฉบับที่สองก็ยังมีราคาเกินกว่าค่าธรรมเนียมนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้พวกคุณคิดคำนวณกันในภายหลัง ทำให้เนื้อหาสักอย่างในจดหมายฉบับที่สองเป็นจริงโดยพิจารณาตามเหตุการณ์แล้วกัน แต่ถ้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ฉันได้รับจดหมายสองฉบับนี้คืน ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องการค่าค้ำประกันของฉันคืน แต่โปรดวางใจ ฉันไม่เล่นตุกติกกับพวกคุณแน่นอน เพราะฉันใช้อายุขัยส่วนหนึ่งของฉันเป็นค่าบริการในการดำเนินการนี้”


หลังจากลั่วชิวนิ่งเงียบไปสักพักก็พูดว่า “ลูกค้ายังไม่ทราบว่าค่าธรรมเนียมเพียงพอหรือไม่ ยิ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเราจะทำให้เป็นจริงได้ถึงระดับไหน แต่ก็ยินดีใช้ดวงวิญญาณค้ำประกันแล้วเหรอครับ…นี่เป็นการวางเดิมพันที่สูงมาก โปรดคิดให้ดีนะครับ เพราะถ้าเซ็นข้อตกลงแล้ว จะไม่มีทางเลือกให้เปลี่ยนใจได้อีก”


เจสสิก้ากลับพูดอย่างจริงจัง “ไม่…ฉันเชื่อ คุณจะทำให้เนื้อหาในจดหมายฉบับที่สองสำเร็จได้แน่นอน”


ลั่วชิวขมวดคิ้ว


ทันใดนั้นเขาก็เริ่มอยากอ่านเนื้อความในจดหมายฉบับที่สองขึ้นมาทันที แต่เนื่องมาจากอยู่ในข้อตกลง เขาจำต้องรอคอยให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นถึงจะเปิดจดหมายสองฉบับได้


เจสสิก้าจากไปแล้ว…แต่หากพรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเธอไม่ปรากฏตัว ตามเอกสารสัญญาข้อตกลงฉบับที่สองจะต้องไปเอาดวงวิญญาณออกจากร่างของเธอไปเลย


ที่ผ่านมานั้นสมาคมจะทำความปรารถนาให้เป็นจริงก่อนแล้วค่อยเก็บค่าธรรมเนียม หรือไม่ก็เป็นการแลกเปลี่ยนกันตรงๆ ในระหว่างที่ทำการค้าขายนั้นทันที…การออกค่าธรรมเนียมก่อน แล้วคำนวณราคาโดยพุ่งไปยังการแลกเปลี่ยนในระดับที่สามารถเป็นจริงได้แบบนี้ ลั่วชิวก็เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก


แต่นี่เป็นความต้องการที่ลูกค้าเสนอ และไม่ได้ฝ่าฝืนกฎการแลกเปลี่ยนของสมาคม


“นายท่านคะ เตรียมของพร้อมแล้วค่ะ”


ตอนที่ลั่วชิวกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น โยวเย่ก็ถือถาดมาตรงหน้าเขา บนถาดมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ลั่ว ชิวยื่นมือไปเปิดผ้าออก นิ้วมือกำลังลูบของที่อยู่ข้างใน ก่อนแย้มยิ้มออกมา




รถตู้อเนกประสงค์คันหนึ่งที่อยู่ด้านนอกไม่ไกลจากศูนย์การค้า เซอร์หม่ากำลังกำชับนายตำรวจหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความระมัดระวังรอบคอบ


ตำรวจท้องที่หนุ่มชั้นผู้น้อยสีหน้าคล้ายตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเซอร์หม่ากำลังให้เขาใส่เครื่องติดตามจีพีเอสไว้ที่ตัวเขาและสวมเสื้อกันกระสุน


“ฟังให้ดีล่ะ คุณเป็นตำรวจที่ฉลาดเฉียบแหลมที่สุดในสายบังคับบัญชาของผมเลย ผมเชื่อว่าคุณจะทำได้ดีอย่างแน่นอน” หม่าโฮ่วเต๋อกำชับย้ำแล้วย้ำอีกว่า “แต่จะทำอวดเก่งไม่ได้นะ พอมีอะไรไม่ชอบมาพากล ให้รีบหนีออกมาทันที คดียังมีโอกาสสืบอีกได้ คนร้ายหนีไปได้แล้วก็จับมาได้อีก แต่ชีวิตเสียไปแล้วก็คือเสียเลยนะ”


ตำรวจหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าเงียบๆ


หม่าโฮ่วเต๋อพูดต่ออีกว่า “รอให้เห็นของก่อน ผมจะรีบให้คนเข้าไปทันที จำไว้ว่าจะต้องสงบเยือกเย็น จะมีพิรุธไม่ได้เด็ดขาด ทางที่ดีอย่าพูดเรื่องที่ไม่จำเป็นกับอีกฝ่าย ทุกอย่างให้ถือว่าธุรกิจครั้งนี้เป็นสำคัญ!”


“เข้าใจครับ” ตำรวจหนุ่มพยักหน้า จัดแจงชุดที่ใส่ให้เรียบร้อยดีแล้วสักหน่อย หลังจากสวมหมวกเบสบอลสีดำแล้วก็คิดจะเปิดประตูรถออก


ในตอนนั้นเองเซอร์หม่าก็ดึงเขาเอาไว้ทันที “เดี๋ยวก่อน คุณเอาไอ้นี่ไปด้วย!”


“เซอร์หม่า นี่มันไม่ใช่…ของท่าน”


สิ่งที่ส่งมาคือปืนพกกระบอกหนึ่ง


หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้านี่อยู่กับผมมานานแล้ว ตลอดหลายปีมานี้ผมก็พึ่งมันนี่แหละ!”


นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า แล้วรับปืนมาอย่างรวดเร็ว หลังจากเขาหันไปทำความเคารพหม่าโฮ่วเต๋อแล้ว ก็ลงจากรถไปทันที


“พี่ชาย อย่าเครียดไปเลย” เยี่ยเหยียนบอกพลางตบบ่าหม่าโฮ่วเต๋อ


“ฉันเครียดที่ไหนกันล่ะ?” หม่าโฮ่วเต๋อลูบเหงื่อที่ผุดเต็มบนหน้าผากแล้วพูดขึ้น “ฉัน ข้าเหมือนคนที่เครียดเป็นหรือไง!”


เยี่ยเหยียนจับบ่าหม่าโฮ่วเต๋อแล้วออกแรงบีบขึ้นอีก “งั้นก็ ทำงานกันเถอะ!”


“ได้เลย!” เซอร์หม่าสูดลมหายใจลึกๆ ใส่หูฟังที่ใช้ดักฟัง ขณะเดียวกันก็พูดจ่อไปที่ไมค์หูฟังว่า “ทุกหน่วยโปรดทราบ ฟังคำสั่งปฏิบัติการจากผมตลอดเวลา!”



สองทุ่มยี่สิบนาที


ตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยกำลังเดินอยู่ในที่จอดรถชั้นใต้ดินช้าๆ


เขากดปีกหมวกเบสบอลสีดำลง กำลังก้มหน้า มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ตำแหน่งที่ระบุไว้ทีละนิดทีละนิด ตรงนั้นเขามองเห็นแค่รถโฟล์คสวาเกน ซานตาน่าสีดำคันหนึ่ง แต่ในรถไม่มีคนอยู่เลย บริเวณรอบๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย


เวลากำลังผ่านไปทีละนิดทีละนิด นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เริ่มมองหาที่รถโฟล์คสวาเกน ซานตาน่าสีดำธรรมดาคันนี้ เขาเดินรอบรถคันเล็กไปหนึ่งรอบ หลังจากนั้นก็นอนคว่ำลงในฉับพลัน แล้วเริ่มตรวจสอบใต้ท้องรถ


หลังจากนั้นไม่นาน นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยก็พบถุงใบหนึ่งที่ถูกติดไว้บนล้อหลังใต้ท้องรถ หลังจากเขาเปิดถุงออก ก็พบว่าสิ่งที่ใส่ไว้ข้างในคือโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง รวมทั้งกุญแจรถ


สองทุ่มครึ่ง


โทรศัพท์ดังขึ้น


“ผมมาถึงแล้ว คนของพวกคุณล่ะ?”


“อย่าตื่นเต้นน่า ต่อไปคุณก็แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอแล้ว หวังว่าพวกคุณจะไม่โทษที่พวกฉันระวังตัวเกินไปหรอกนะ” เสียงที่ดังมาจากในโทรศัพท์นั้นเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง


“ว่ามาสิ” นายตำรวจหนุ่มชั้นผู้น้อยปฏิบัติตามคำแนะนำของเซอร์หม่าอย่างเคร่งครัด พูดให้สั้นๆ ง่ายๆ


“ต่อไป คุณก็ถือสายไว้ตลอด ตอนนี้คุณขับรถออกมาก่อน ขับไปทางถนนใหญ่ลั่วซาน”

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 123

 

บทที่ 123 สปายที่เก่งที่สุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พวกเขาเริ่มบอกให้คนของเราทำตามแล้ว…ท่าทางอีกฝ่ายจะระมัดระวังสุดๆ เลยนะ!”


หม่าโฮ่วเต๋อเอาหูฟังข้างหนึ่งออก กำลังมองเยี่ยเหยียนแล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ตาม หรือไม่ตาม?”


“ตามเถอะ” เยี่ยเหยียนพูดอย่างเด็ดขาด “มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีเหตุผลให้หยุดตรงนี้…พี่ชายผมขอแผนที่หน่อย!”



บนรถโฟล์คสวาเกน ซานตาน่า นายตำรวจหนุ่มพูดกับปลายสายว่า “ผมขับอยู่เส้นถนนใหญ่ลั่วซานแล้ว”


“กลับรถก่อนเข้าอุโมงค์”



“ผมกลับรถแล้ว”


“ดีมาก…ต่อไปคุณก็ขึ้นทางด่วนเส้นรอบเมือง แล้วลงตรงด่านเก็บเงินด่านแรก”



“ตอนนี้คุณลงรถมา มองเห็นป้ายรถเมล์ที่อยู่ข้างๆ หรือยัง? นั่งรถเมล์คันแรกที่ขับผ่านมา”



“ลงรถ เดินขึ้นสะพานลอยที่อยู่ตรงหน้า”


ตั้งแต่ขับรถออกมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดิน เวลาเกือบจะผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว สำหรับนายตำรวจหนุ่มที่ถือว่าคุ้นเคยกับเมืองนี้ ก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘ภายในครึ่งชั่วโมงนี้ เกรงว่าจะทำลายทุกสิ่งที่เซอร์หม่าได้วางแผนไว้พังไปก่อน ดูท่าอีกฝ่ายจะระมัดระวังรอบคอบมากจริงๆ’


“ผมเดินขึ้นสะพานลอยมาแล้ว”


“ดีมาก คุณหันหน้าไปทางถนนใหญ่จงหนาน ฉันจะเริ่มนับถอยหลังห้าวินาที หลังจากห้าวินาที คุณก็กระโดดลงไป ห้า สี่…”


ตำรวจหนุ่มสายลับคนนี้ยังไม่ทันได้คิดใคร่ครวญใดๆ เลย หญิงสาวที่ปลายสายก็เริ่มนับถอยหลังแล้ว


สาม…สอง…หนึ่ง!


นายตำรวจหนุ่มขบกรามแน่น ปีนขึ้นราวกั้นทันที หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไปครั้งหนึ่งก็กระโดดลงไปจากตรงนี้ทันที!


และตอนนี้เอง รถคอนเทนเนอร์คันใหญ่คันหนึ่งก็ขับผ่านมาจากอีกด้านของสะพานลอย นายตำรวจหนุ่มที่โดดลงมาจากสะพานลอยก็ร่วงลงมาบนรถคอนเทนเนอร์คันนี้ในทันที!


นายตำรวจหนุ่มแอบปาดเหงื่ออยู่ด้านบนคอนเทนเนอร์ ก่อนมองสิ่งแวดล้อมบริเวณรอบๆ ให้ชัดเจน


นี่เป็นรถคอนเทนเนอร์ที่กำลังขนรถเก๋งคันเล็ก


เขายกโทรศัพท์แนบหูตัวเองอีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “พวกคุณคิดจะทำการค้าครั้งนี้อยู่หรือเปล่าเนี่ย?”


“ขออภัยจริงๆ ขออภัยที่พวกฉันต้องระมัดระวังแบบนี้ เพราะสายในเมืองนี้ค่อนข้างร้ายกาจ ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น เป็นไปได้ว่าพวกฉันเองก็จะถูกเปิดโปงไปแล้ว”


“คุณบอกว่าพวกคุณถูกเปิดโปงแล้ว?” นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นทันที


“ฉันแค่บอกว่ามีความเป็นไปได้…เอาล่ะ ตอนนี้กรุณาโยนโทรศัพท์เครื่องนี้ในมือของคุณทิ้งไป แน่นอนโทรศัพท์ที่ติดตัวคุณมาก็โยนทิ้งเหมือนกัน”


“เรียบร้อย”


“ตอนนี้คุณช่วยเดินขึ้นไปสุดทางเดินของชั้นบน แล้วปีนลงมา พวกเราอยู่ในรถคันหนึ่งที่อยู่หลังสุดชั้นสอง”


นายตำรวจหนุ่มรีบคลำทางมาสุดทางของรถคอนเทนเนอร์คันนี้อย่างรวดเร็ว ปีนเข้าไปในรถคันเล็กสีขาวคันหนึ่ง ในนั้นเขามองเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายก็นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับ แต่ผู้หญิงนั่งอยู่ที่เบาะหลัง


“ความระมัดระวังของพวกคุณทำเอาผมเคืองจริงๆ”


เจสสิก้ามองสังเกตแวบหนึ่งลวกๆ แล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “กรุณาคาดเข็มขัดนิรภัยของคุณด้วย”


นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วอย่างเสียไม่ได้ แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นเองรถเก๋งเล็กคันนี้ก็สตาร์ทเครื่องขับถอยหลังทันที ชนแนวกันด้านหลังรถคอนเทนเนอร์เข้าอย่างแรง จนพังร่วงตกลงไปบนถนน…สั่นสะเทือนไปพักหนึ่ง รถเก๋งคันเล็กสีขาวนี้ก็ขับอยู่บนถนนแล้ว หลังจากนั้นก็ขับเข้าไปในถนนเส้นเล็กๆ ในเมือง


“สินค้าล่ะ?” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วแล้วถาม


คิงคองที่กำลังขับรถอยู่ข้างหน้าหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นแล้วล่ะ…คุณสบายใจได้ อีกเดี๋ยวรถคันนี้จะมอบให้คุณ เงินล่ะ?”


นายตำรวจหนุ่มล้วงกุญแจอิเล็กทรอนิกส์อันเล็กๆ อันหนึ่งออกมาจากเสื้อ “ยื่นหมูยื่นแมว”


“ไม่มีปัญหา” คิงคองผิวปาก เลียริมฝีปากพลางบอก “นั่งดีๆ ล่ะ!”


ในตอนนี้เองจู่ๆ เจสสิก้าส่งแถบผ้าสีดำผืนหนึ่งให้นายตำรวจหนุ่ม “ขั้นสุดท้าย กรุณาปิดตาตัวเองด้วยค่ะ”


“คุณเชื่อไหมว่าผมจะยุติการค้าครั้งนี้เมื่อไหร่ก็ได้นะ?”


เจสสิก้ากำลังมองสายตาที่ไม่พอใจสุดๆ ของอีกฝ่าย แล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “คุณต้องรู้นะว่า พวกเราทำการค้าด้วยกันครั้งแรก…ครั้งก่อนที่ต่างประเทศถูกคนทางฝั่งตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศนั่นเล่นงานแล้ว เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป พวกเราในฐานะผู้ขายยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นหน่อย ดังนั้น ถ้าพวกคุณคิดจะทำการแลกเปลี่ยนครั้งแรกนี้ให้สำเร็จจริงๆ ละก็ กรุณาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ด้วย แน่นอนว่าพวกคุณจะยุติการค้าก็ได้เหมือนกัน แต่คุณต้องจำไว้ว่า พวกคุณจะหาสินค้าที่ดีกว่าของพวกเราไม่ได้แล้ว สบายใจได้ พวกเราแค่อยากทำธุรกิจครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเท่านั้น จะไม่ทำอะไรคุณหรอก”


นายตำรวจหนุ่มได้แต่เอาผ้าคลุมปิดตาไว้เงียบๆ



“สัญญาณขาดหายไปแล้ว”


ในรถตู้บนถนน เซอร์หม่าโยนหูฟังในมือลงอย่างแรง กัดฟันกรอดแล้วพูดขึ้น “แม่งเอ๊ย! คงไม่ใช่ถูกจับได้แล้วนะ!”


เยี่ยเหยียนพูดอย่างใจเย็น “ก็ยังไม่แน่…อีกฝ่ายก็แค่ระวังตัวเท่านั้น เจสสิก้าเป็นพวกหัวกะทิที่มาจากเครือข่ายตำรวจอาชญากรรม บนตัวเธอน่าจะมีเครื่องมือส่งสัญญาณรบกวนอยู่…เกรงว่าคงกลัวคนที่มาซื้อขัดผลประโยชน์กันถึงได้ระวังตัวแบบนี้”


ในตอนนี้เซอร์หม่าใจร้อนราวกับถูกไฟเผา พูดว่า “พวกเราขาดการติดต่อไปแล้ว ไม่มีทางยืนยันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจได้ เขาตกอยู่ในอันตรายจากการถูกเปิดโปงได้ทุกเมื่อ ที่สำคัญหลังจากที่เขากระโดดลงมาจากสะพานลอยเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเราไม่รู้อะไรเลยสักนิด!”


สองมือเยี่ยเหยียนเสยไปที่ผมของตนเอง หลับตาสองข้างลง เวลาเดินหน้าผ่านไปทีละนิดๆ


ในฉับพลันนั้นเอง เขาก็ขบฟันแน่น พูดเสียงดังขึ้นมา “คนที่อยู่ข้างหน้าลงมา ฉันขับเอง!”




รู้สึกว่ารถจะจอดแล้ว ในที่สุดนายตำรวจหนุ่มก็ได้ยินคำสั่งให้ถอดผ้าสีดำปิดตาออกได้


เขาสังเกตสภาพแวดล้อมบริเวณรอบๆ ก่อน…ดูเหมือนว่าจะกลับเข้ามาในโรงจอดรถแห่งหนึ่งอีกครั้ง


หลังจากลงรถมา คิงคองก็เปิดท้ายรถของรถคันนี้ ด้านในมีทะเบียนรถป้ายใหม่เอี่ยมอันหนึ่งวางอยู่ คิงคองยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “สบายใจแล้วหรือยังล่ะ? สิ่งที่พวกเราเตรียมไว้มีพร้อม อีกเดี๋ยวคุณก็เปลี่ยนป้ายทะเบียนรถแล้วคุณจะไปที่ไหนก็ได้ แน่นอนว่าคุณจะไม่ขับก็ได้”


“สินค้าล่ะ?”


คิงคองพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตามผมมาสิ”


คิงคองเดินไปข้างหน้า ส่วนเจสสิก้ากลับเดินไปข้างหลัง สองคนยืนประกบตำรวจหนุ่มหน้าหลัง พวกเขาขึ้นไปด้านบนด้วยลิฟต์ในโรงจอดรถ จนมาถึงชั้นที่สองแล้ว


นายตำรวจหนุ่มนับชั้นเล็กน้อย…ชั้นที่ยี่สิบเจ็ด


ตึกสูงยี่สิบเจ็ดชั้นในเมืองนี้มีไม่มากนัก จู่ๆ เขาก็กุมมือทั้งสองของตนเองเอาไว้แน่น นิ้วมือเคาะอยู่เบาๆ ตรงบริวณหน้าท้อง


คิงคองนำคนเดินออกมาจากลิฟต์ ไม่นานนักก็มาถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง ซึ่งก็คือห้องควบคุมกล้องวงจรปิด


เห็นแค่คิงคองยื่นมือไปเคาะบนประตู หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องควบคุมกล้องวงจรปิดก็เปิดออก รปภ.ที่ออกมาเห็นรูปร่างลักษณะของคิงคองแล้วดูเหมือนแปลกใจมากเป็นพิเศษ แต่เขาไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกคิงคองอุดปิดปากอย่างรวดเร็ว แล้วตามด้วยการซัดไปที่ท้องอีกหนึ่งหมัด รปภ.ก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที


แล้วต่อมาคิงคองก็เดินตรงไปหน้าแป้นควบคุมกล้องวงจรปิด ลบเทปบันทึกที่เริ่มตั้งแต่โรงจอดรถเมื่อสักครู่ทิ้งไปแล้วถึงได้หันกลับมา


เขามองเจสสิก้าพร้อมบอก “อีกเดี๋ยวค่อยจัดการ รปภ.คนนี้แล้วกัน ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันเคยทำงานที่บริษัทนี้ เขารู้จักฉัน แต่สบายใจได้ ฉันจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”


ที่นี่ก็คือ…ตึกใหญ่ที่บริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนต์ตั้งอยู่!


เจสสิก้าพยักหน้า เธอหยิบโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งออกมา เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตของที่นี่ แล้วหันหน้าจอมาทางตนเอง


หลังจากนั้นไม่นาน บนหน้าจอนั่นก็มีชายคนหนึ่งที่เห็นคางแค่ครึ่งเดียวปรากฏขึ้นมา


“คุณเป็นคนที่พลเอกปาซ่งส่งมาทำธุรกิจในครั้งนี้เหรอ? มีแค่คุณคนเดียว?” ชายผู้เผยหน้าให้เห็นเพียงแค่คางเอ่ยปากถามตรงๆ


“พวกคุณก็มีสองคนเองไม่ใช่เหรอ?”


ชายคนนั้นเกือบพยักหน้า หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก เขาถึงพูดขึ้นช้าๆ “เจสสิก้า ครั้งนี้เธอทำได้ดีมาก ตั้งแต่จับตัวเจ้านั่น จนถึงการสั่งการในครั้งนี้ ทุกขั้นตอนล้วนอยู่ในสายตาฉันตลอด ความสามารถของเธอน่าชื่นชมจริงๆ …คิงคอง แกไปเอาสินค้าออกมาเถอะ”


“ครับ”


คิงคองเดินไปที่ข้างล่างแผงกล้องวงจรปิด แล้วเริ่มแกะแผ่นข้างล่างออก หลังจากนั้นไม่นานก็ล้วงผงสีฟ้าห่อแล้วห่อเล่าออกมาจากตู้ขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับหน้าจอพวกนี้ สุดท้ายยังมีถุงหนังใบหนึ่ง


เจสสิก้าอ้าปากค้างแล้วพูดขึ้น “ที่แท้สินค้าก็ซ่อนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด”


คิงคองพูดอย่างเฉยเมย “เมื่อก่อนฉันเป็นบอดี้การ์ดอยู่ที่นี่ แล้วก็ควบตำแหน่งหัวหน้ารปภ.ได้พอดี เก็บไว้ที่นี่ดีที่สุด ทุกวันมีคนเฝ้าดูแลให้ฉันแบบฟรีๆ …แน่นอนว่ายังเหลือเวลาอีกอย่างน้อยสองเดือนกว่าจะถึงการตรวจซ่อมแซมครั้งต่อไป”


แล้วคิงคองก็เอาถุงพร้อมสินค้าออกมาทีละห่อ ฉีกออกแล้วพูดขึ้น “ความบริสุทธิ์สูง ยี่สิบแปดกิโลกรัม คุณจะทดสอบสินค้าก่อนหรือเปล่า? แต่ว่าผมต้องเตือนคุณก่อนนะว่าให้ลองปริมาณน้อยๆ ไม่อย่างนั้นเกิดมากเกินไป พวกเราก็ไม่มีหน้าที่ช่วยคุณนะ”


นายตำรวจหนุ่มได้แต่รับของที่เป็นห่อๆ พวกนั้นมา สังเกตดูแบบแกล้งทำเป็นรู้ เขารู้ที่ไหนกันล่ะว่าของนี้ใช่ของจริงหรือไม่กันแน่?


“คุณดูเสร็จแล้วหรือยัง? พวกเรามีเครดิตดี ไม่หลอกคุณหรอก” คิงคองกลับพูดด้วยความรำคาญ


“เรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาแล้ว”


“งั้นก็ตกลงซื้อนะ” คิงคองเข้าระบบบัญชีธนาคารต่างประเทศบัญชีหนึ่งบนโน้ตบุ๊ก


นายตำรวจหนุ่มนั่นมองคิงคองแล้วก็มองเจสสิก้าที่อยู่ข้างหลังอีก เขาได้แต่เดินไปข้างหน้าโน้ตบุ๊กทีละก้าวทีละก้าว แล้วเอาแฟลชไดรฟ์ออกมา เสียบเข้าไปในโน้ตบุ๊กช้าๆ


สายตาของเขาค่อยๆ หรี่ลง แล้วหันหลังให้คนทั้งสองคน ก่อนยื่นมือคลำไปที่บริเวณข้างๆ ท้องตนเอง


ปัง!!


ในทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งที่ดังมากๆ พลันดังก้องอยู่ในห้องควบคุมกล้องวงจรปิดนี้ นายตำรวจหนุ่มก็รู้สึกแค่ว่าที่บริเวณหลังเจ็บปวดรุนแรงราวกับมีอะไรเจาะทะลุหัวใจ แล้วก็ล้มคว่ำลงไปกับพื้นเลย


“เจสสิก้า เธอทำอะไรน่ะ?” คิงคองนิ่งอึ้ง แล้วก็โมโหมาก


คิดไม่ถึงว่านัดที่สองที่ยิงออกไปจะบนหน้าอกของคิงคอง


“เธอ…ไม่นึกเลยว่าเธอ…” คิงคองเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนทรุดตัวคุกเข่าลงมา แล้วล้มคว่ำไปบนพื้น


เจสสิก้าลดปืนในมือลงมาเงียบๆ แล้วมองไปทางโน้ตบุ๊กนั่นอย่างเย็นชา


ผู้ชายที่อยู่ในจอภาพนั่นดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้าน ตอนนี้ก็แค่เท้าคางด้วยสองมือ “อันที่จริงฉันคิดไม่ออกเลย ทำไมเธอถึงได้มาทรยศพวกเราเอาตอนนี้ เธอเป็นคนที่พวกเราเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กๆ จะว่าไปแล้วไม่น่ามีเหตุผลให้ทรยศนี่”


เจสสิก้าสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ “คุณซุน พวกเรามาทำธุรกิจสักอย่างกันดีกว่า”


“ไหนว่ามาสิ”


เจสสิก้ายื่นมือไปหยิบผงสีฟ้าห่อเล็กๆ ห่อหนึ่ง “ของแบบนี้สกัดมาไม่ง่าย ห่อเล็กๆ ห่อหนึ่งก็ราคาไม่เบาเลย ฉันคิดว่าสมาคมไมเคิลคงจะไม่ทิ้งขว้างพวกมันไปง่ายๆ หรอกใช่ไหม?”


“น่าสนใจ ว่าต่อสิ”


“ฉันอยากถอนตัวจากพวกคุณ” เจสสิก้าพูดขึ้นช้าๆ เธอมองดูปฏิกิริยาทุกอย่างของชายที่อยู่บนหน้าจอคนนี้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ สักนิดเลย “เพียงแต่ฉันรู้ว่า นี่ไม่น่าจะเป็นจริงได้ ดังนั้นฉันจะเปลี่ยนข้อเรียกร้องสักหน่อย พรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ฉันจะให้พวกคุณส่งแม่ของฉันไปที่สำนักงานตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างปลอดภัย…ถ้าพวกคุณไม่รับปากล่ะก็ ฉันจะทำลายของพวกนี้ทิ้งตอนนี้!”


“เธอคิดจะทรยศพวกเราจริงๆ เหรอ?”


ชายคนนั้นพูดอย่างไม่แยแส “บางทีเธอแค่สับสนไปชั่วขณะเท่านั้น แล้วฉันก็คิดว่าเธอคงเข้าใจบางอย่างผิดไป พวกเราไม่ได้ควบคุมกักขังแม่ของเธอเลย แต่เสนอชีวิตในโลกอุดมคติให้เธอก็เท่านั้น เป็นโลกที่ไม่มีสงคราม ไม่มีความเศร้าโศกและก็ไม่มีความเคียดแค้น ทุกคนต่างใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”


เสียงของชายหนุ่มดูอบอุ่นขึ้นมา “เจสสิก้า เธอต้องเข้าใจนะว่า นั่นเป็นสวรรค์ มีเพียงคนที่ถูกเลือกให้ขึ้นสวรรค์เท่านั้นถึงเข้าไปในสรวงสวรรค์ได้ เพราะแม่ของเธอเกี่ยวพันกับเธอถึงได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในสรวงสวรรค์แห่งนี้ ทำไมเธออยากพาหล่อนกลับมาสู่นรกแห่งความเป็นจริงนี้ด้วยล่ะ? เจสสิก้า เธอเป็นคนที่ถูกสวรรค์เลือก เป็นสาวกที่จะนำพาระเบียบใหม่มาให้กับโลกใบนี้ นี่เป็นชะตาชีวิตของเธอ เธอลืมความศรัทธาของเธอไปแล้วเหรอ?”


เสียงของชายหนุ่มทรงอำนาจไร้ที่สิ้นสุด เจสสิก้าก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวในทันที เธอเกมหน้าผากผยสีหน้าเจ็บปวด แล้วพยายามลืมตาตนเอง


“เจสสิก้า เธอคือคนที่ดีที่สุด เธอคือนักรบที่โดดเด่นที่สุดของฉัน เป็นลูกของพวกเรา เธอเป็นคนที่สนับสนุนความเชื่อของพวกเรามากที่สุดไม่ใช่เหรอ?”


“เลิกพูดได้แล้ว!”


ในฉับพลันนั้นเองเจสสิก้าก็ลั่นไกปืนในมือยิงสาดไปบนแผงควบคุมกล้องวงจรปิดหลายนัด เธอหอบหายใจพลางพูดขึ้น “ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น พาแม่ฉันส่งออกมาอย่างปลอดภัย! ไม่อย่างนั้นฉันก็จะทำลายสินค้าพวกนี้ทันที! ความปรารถนาของฉันมีเพียงอย่างเดียว!”


ดูเหมือนชายคนนั้นกำลังถอดถอนใจ “เป็นเพราะเยี่ยเหยียนใช่ไหม? ดูท่าความรู้สึกแบบมนุษย์จะทำให้เธอตกต่ำไปเลยนะ…เจสสิก้า เธอเคยเป็นลูกที่พวกเราดูแลอย่างดี แต่เธอถูกทำให้แปดเปื้อนแล้ว คนที่แปดเปื้อนก็ต้องกำจัดทิ้งแล้วสินะ”


หน้าจอนั่นดับไปในทันที ชายคนนั้นหายไปแล้ว


ทันใดนั้นเจสสิก้าก็รู้สึกได้ถึงวิกฤติที่น่าหวาดกลัวจู่โจมเข้ามาทั่วทั้งร่างกายเธอ เธอหันตัวกลับตามสัญชาตญาณ กลับเห็นคิงคองที่ไม่รู้ว่าลุกยืนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่


บนหน้าอกของเขา รอยทะลุของกระสุนนัดนั้นยังคงสะดุดตา เลือดสดๆ ถึงขนาดไหลเลอะบนเสื้อผ้าเขา แต่ราวกับว่าเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด


คิงคองบิดคอตนเองไปมา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเหี้ยมโหด “หวังว่าเธอจะอดทนได้ดีกว่าคนรักเก่าของเธออยู่บ้างนะ”


เจสสิก้ายกปืนลำกล้องยาวในมือขึ้นมาอย่างสุขุมใจเย็น


แต่คิงคองในตอนนี้จู่ๆ กลับฉีกเสื้อผ้าบนร่างกายออก โยนไปทางอีกฝ่ายตรงๆ


ช่วงวินาทีที่การมองเห็นถูกบดบัง คิงคองก็มาอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความรวดเร็ว แล้วใช้ท่าคาราเต้สับแขนเธอครั้งหนึ่ง


เหมือนกระดูกจะหักเลย!


ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้ปืนในมือของเธอร่วงตกสู่พื้น เจสสิก้ากัดฟันแน่น หักกล่องกลมๆ อันเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่อยู่บนเข็มขัดอย่างรวดเร็ว แล้วออกแรงกดปลดล็อกออก!


ลำแสงสีขาวสว่างจ้าไปทั่วทั้งห้องควบคุมกล้องวงจรปิดในทันที คิงคองจึงเสียการมองเห็นไปชั่วขณะ


“เฮ้ย!!”


คิงคองโบกมือทั้งสองของตัวเองปัดป้องไปมาอย่างโกรธเคือง เขาแค่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่าง หลังจากที่สายตาของเขาเริ่มกลับมามองเห็นชัดขึ้นแล้ว เจสสิก้าก็หนีออกไปจากห้องควบคุมกล้องวงจรปิดห้องนี้แล้ว


คิงคองขบกรามแน่น มองดูภาพบนจอกล้องวงจรปิดอย่างรวดเร็ว หาร่องรอยเงาของอีกฝ่าย ไม่นานนัก คิงคองก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อจะต้องลงมือฆ่าแล้ว งั้นเธอก็หนีไม่พ้นหรอก”


เขาตามออกไปจากห้องควบคุมกล้องวงจรปิดอย่างรวดเร็วเช่นกัน



จู่ๆ ร่างของนายตำรวจหนุ่ม ก็เริ่มขยับเล็กน้อย


เขาลุกขึ้นมาจากพื้น แล้วก็แหวกเปิดเสื้อบนตัวออก ก่อนถอดเสื้อกันกระสุนตัวนั้นออกมา…พอดูรอยกระสุนด้านหลังเสื้อกันกระสุน นายตำรวจหนุ่มก็ถอนหายใจโล่งอก


เขาลุกขึ้นมา ผ่อนคลายกระดูกกระเดี้ยวที่คอสักหน่อย พูดพึมพำว่า “เป็นสปายนี่ที่แท้ก็รู้สึกแบบนี้นี่เอง…ตื่นเต้นสุดๆ เลย”


ขณะเดียวกันนายตำรวจหนุ่มก็ยื่นมือไปลูบที่ใบหน้าตนเอง ค่อยๆ ลอกสิ่งที่ติดอยู่ที่หน้าบางๆ ออกทีละชั้น เผยใบหน้าที่แท้จริงของตนเองออกมา นี่คือหน้ากากหนังเสมือนจริงฝีมือของสาวใช้จากสมาคม


เขาส่ายหัว แล้วยื่นมือออกไปเลื่อนบนแป้นเมาส์ของโน้ตบุ๊กเครื่องนั้น

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 124

 

บทที่ 124 สูงวัยแต่ยังแข็งแรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้วยแบกสินค้าถุงใหญ่เอาไว้บนตัว น้ำหนักขนาดยี่สิบแปดกิโลกรัม สำหรับร่างกายของผู้หญิงแล้ว โดยเฉพาะระหว่างที่กำลังวิ่งหนี จึงหนักมากเป็นพิเศษ


อีกทั้งแขนของเจสสิก้าข้างหนึ่งถูกคิงคองสับไปครั้งหนึ่ง เกรงว่ากระดูกจะหัก แต่เธอก็อาศัยลิฟต์ลงมากลางลานจอดรถได้สำเร็จแล้ว


ยังดีที่ก่อนหน้านี้คิงคองส่งกุญแจให้คนซื้อไปเพื่อแสดงความจริงใจในการร่วมงาน วินาทีที่ระเบิดแสงขนาดเล็กระเบิดออกมา เธอก็ล้วงกุญแจออกมาจากตัวของอีกฝ่ายได้สำเร็จ


ตั้งแต่หนีออกไปจนถึงนั่งอยู่บนรถเก๋งสีขาว เวลาที่ใช้ไม่ได้มากมาย แน่นอนว่าจะไวกว่านี้ก็ได้ เพียงแต่ต้องทิ้งสินค้าที่อยู่ในมือเป็นอันดับแรกน่ะสิ


แต่เธอทำแบบนี้ไม่ได้…นี่เป็นแต้มต่อเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้เจรจาต่อรองกับองค์กรได้


เครื่องยนต์ของตัวรถติดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วทันที เจสสิก้าออกแรงเหยียบลงไปบนคันเร่ง รีบหนีตายออกมาจากลานจอดรถแล้ว! แต่ว่าในขณะที่ใกล้จะถึงทางออก เธอกลับจำต้องหยุดรถลง!


ประตูถูกปิดลงแล้ว เธอคิดว่าถ้าพุ่งออกไปคงไม่ปลอดภัยทั้งกับเธอและรถ!


เจสสิก้าทำได้แค่ถอยรถ!


แต่ทว่าในตอนนี้เอง รถกลับไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เพราะรถทางล้อหลังได้เอียงไปแล้ว!


เจสสิก้ามองคิงคองจากกระจกมองหลังอย่างหวาดผวา!


คาดไม่ถึงว่าเขาจะยกส่วนท้ายของรถขึ้นมาด้วยมือเปล่า!


ได้ยินเพียงแค่คิงคองที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงคำรามฮึกเหิม กล้ามเนื้อที่นูนเกร็งขึ้นมาจากแขนทั้งสองนำพาพลังมหาศาลมาให้ ทำให้รถขนาดกลางคันนี้คว่ำทันที!


รถพลิกหมุนเวียนหัวไปรอบหนึ่ง ขณะที่รู้สึกว่าร่างกายหมุนกลับด้าน เจสสิก้าก็รู้สึกถึงหลังคารถที่กำลังกดทับตัวเองลงมา!


รถพลิกหงายท้อง บริเวณใต้ท้องรถที่หนักอึ้งทำให้หลังคารถที่บางเบาทรุดจมลง!


เจสสิก้าตะเกียกตะกายคลานออกจากตัวรถ เพียงแต่ขาซ้ายของเธอถูกกดทับไว้กลางที่นั่ง ไม่สามารถบิดตัวออกมาได้เลย


“ฉันเคยบอกแล้ว ฉันทำงานที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว เธอนึกจริงๆ หรือว่าตัวเองจะหนีรอดไปจากเงื้อมมือของฉันได้?” คิงคองเดินไปอยู่ข้างหน้าเจสสิก้า เขาแสยะยิ้มพูดว่า “ให้เวลาเธอห้าวินาที พูดคำสั่งเสียของตัวเองออกมาเถอะ”


เวลาห้าวินาทีไม่ได้นานเลย


แต่ก็เพียงพอให้เจสสิก้ารวบรวมความรู้สึกอันแรงกล้า…ทันใดนั้นเจ้าของสมาคมวัยรุ่นก็มาถึงตามคำเรียกร้องของเธอแล้ว


ลั่วชิวมาอยู่ที่ด้านหลังของคิงคอง เหมือนกับปีศาจร้ายไม่มีผิด เขาค่อยๆ ยกปืนพกที่เอามาจากเซอร์หม่า เล็งปากกระบอกปืนไปที่ด้านหลังของคิงคอง


ประจวบเหมาะกับตอนที่ลั่วชิวคิดจะเหนี่ยวไกปืน เขาก็ลดปืนลงทันที แล้วเคาะเสาข้างๆ อย่างเบามือ


สิ่งที่ตามมาก็คือ เสียงที่ดังมากเสียงหนึ่ง!


ปั้ง!!



เสียงที่ดังกึกก้องนี้มาอย่างกะทันหันเกินไป ชั่วพริบตาประตูล็อกที่อยู่ด้านหน้าก็เปลี่ยนรูปร่างด้วยความเร็วที่น่ากลัว ฉับพลันนั้นวัตถุยักษ์ใหญ่อย่างหนึ่งก็ทำมันพัง


รถตู้รูปร่างบิดเบี้ยวพุ่งเข้ามาเหมือนกับสัตว์ป่าไม่มีผิด!


รถตู้คันนั้นที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งชนเข้ากับร่างของคิงคองตรงๆ ทำให้ตัวเขากระเด็นลอยออกไปไกล หลังจากกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายครั้งก็แน่นิ่งไป ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย


ในตอนนี้เองประตูรถตู้คันนั้นถูกถีบออกอย่างแรง มีเงาคนคนหนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือเยี่ยเหยียน และแน่นอนยังมีเซอร์หม่าที่ตกที่นั่งลำบากมากๆ อย่างเห็นได้ชัดเพราะถูกแรงกระแทกอย่างหนัก


เซอร์หม่าที่ตาเห็นดาวกำลังกุมหัว “ฉันว่านะน้องชาย ครั้งหน้าบอกกันก่อนล่วงหน้าสักหน่อยได้ไหม…”


นายตำรวจหม่าเหมือนจะหาทิศทางไม่เจอ เท้าเดินวนอยู่ที่เดิม ส่วนเยี่ยเหยียนที่พุ่งออกมาจากรถตู้ทันทีก็มาอยู่ที่ข้างกายเจสสิก้าแล้ว กำลังลากเธอออกมาจากตัวรถ


“เยี่ย…ทำไมนาย…” เจสสิก้ามองอีกฝ่ายอย่างงงงัน


เยี่ยเหยียนกดบริเวณขาที่เลือดไหลของเจสสิก้า พร้อมกับตอบอย่างรวดเร็ว “ฉันเจอเครื่องติดตามตัวที่เธอทิ้งไว้ในห้องเช่าน่ะสิ สัญญาณแสดงเตือนว่าเป็นที่นี่ตลอด ฉันเลยรีบมาทันทีเลย”


เจสสิก้าขยับริมฝีปาก ก้มหน้าลง พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “นาย…นายยอมเชื่อฉันแล้วสินะ”


“ขอโทษ” เยี่ยเหยียนหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันควรจะรู้ไวกว่านี้หน่อย คำพูดตอนที่เธอส่งปืนให้ฉันวันนั้นในอพาร์ตเมนต์ ความจริงเธอไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อน นอกจากนั้นตอนที่เธอฉีดยาให้ฉัน สิ่งที่ใช้ก็คือผลิตภัณฑ์เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดไม่จำเป็นต้องแบ่งครั้งใช้…แม้กระทั่งเมื่อกี้นี้ ตอนที่เธอกำลังแลกเปลี่ยน ให้คนของฝ่ายซื้อจงใจอ้อมมานานขนาดนี้ ดูแล้วเหมือนรอบคอบมากก็จริง แต่ฉันรู้สึกเหมือนเธอกำลังยื้อเวลา…เธอหวังให้ฉันหาเธอจนเจอ! แม้กระทั่ง…คนที่ช่วยฉันออกมาคนนั้น ก็อาจเป็นเธอ”


“นายเดาได้ทุกเรื่องเลยสินะ ขอโทษ คนของสมาคมดักฟังฉันทุกความเคลื่อนไหว ถ้าฉันไม่จับนายไว้ล่ะก็…” เจสสิก้าฝืนยิ้ม ก่อนส่ายหน้า แล้วถอนหายใจพร้อมกับพูดว่า “ช่วยนายออกมา เพียงแค่ทำให้พวกมันรู้สึกถึงวิกฤต ศัตรูที่แฝงตัวจะก่อกวนแผนการของพวกมัน การแลกเปลี่ยนครั้งนี้เลยเกิดขึ้นก่อนเวลา”


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว “ทำไมจะต้องทำเยอะขนาดนี้ด้วย เป้าหมายของเธอคืออะไรกันแน่? หรือว่าเธอคิดว่าจะยึดสินค้าล็อตนี้คนเดียว แล้วรับมือกับทั้งสมาคมไมเคิลเพียงลำพัง?”


เจสสิก้าส่ายหัว ก้มหน้าลงไม่ได้มองเยี่ยเหยียน พูดเบาๆ ว่า “ฉันไม่ได้สวยงามเหมือนที่นายคิด…ฉันก็แค่ทำเพื่อตัวเอง แม้กระทั่งเงื่อนงำที่ฉันทิ้งเอาไว้ให้นายตอนแรกเริ่ม ก็ไม่ได้คิดว่านายจะมาพบเข้า ฉันก็แค่สร้างมาตรการป้องกันภัยอย่างหนึ่ง ถ้าเผื่อฉันล้มเหลวแล้ว นายอาจจะมีโอกาสหาศพของฉันและของล็อตนี้เจอก็เท่านั้นเอง”


“เธอ…เธอเป็นใครกันแน่?”


“ฉันเหรอ?” เจสสิก้ามองเยี่ยเหยียน พูดอย่างเศร้าสลด “ฉันก็เป็นเพียงแค่…”


และในตอนนี้เอง เซอร์หม่าที่อยู่ข้างๆ กลับรีบพูดขึ้นมาทันที “ฉันว่านะเหล่าเยี่ย ตอนนี้เหมือนไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แล้ว…แม่งเอ๊ย พวกเราเหมือนจะเจอกับสัตว์ประหลาดเข้าอีกแล้ว!”


คิงคองที่ถูกรถตู้พังประตูวิ่งฝ่าเข้าไปชนกระแทกเข้าอย่างจัง


ไม่รู้ว่าเขาลุกยืนขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน…กล้ามเนื้อบนร่างกายเขาเริ่มกำลังปลุกปั่นขึ้นมา


“เยี่ยเหยียน เจสสิก้า…” คิงคองกวาดตามองสามคนข้างหน้าอยู่แวบหนึ่ง “ยังมีนายตำรวจหม่าด้วยเหรอ? ดีมาก คนที่ขวางทางอยู่ที่นี่ทั้งหมด งั้นฉันจะจัดการให้จบสิ้นไปในครั้งเดียวเลยแล้วกัน!”


หม่าโฮ่วเต๋อพูดเสียงหนักแน่น “แกอย่าพยายามดิ้นรนให้เสียเวลาเปล่าเลย! ที่นี่กำลังจะถูกล้อมเอาไว้แล้ว แกหนีไม่พ้นหรอก! แล้วก็!”


คิงคองขมวดคิ้ว “แล้วก็อะไร?”


หม่าโฮ่วเต๋อยื่นมือไปข้างหลังตรงๆ “แล้วก็…ครั้งนี้ข้าจะระเบิดหัวแกในนัดแรกแน่นอน!!”


แต่ในตอนที่เซอร์หม่าคิดจะล้วงปืนพกของตัวเองออกมาตามความเคยชิน กลับล้วงออกมาได้แค่ความว่างเปล่า ก่อนหน้านี้เขายกปืนพกให้นายตำรวจหนุ่มที่เป็นสปายคนนั้นไปแล้ว


นี่ก็…นี่ก็น่าขายหน้าไปแล้วล่ะ!



“แกจะเอาอะไรมาระเบิดหัวฉัน? อากาศเหรอ?” คิงคองยิ้มอย่างน่าขยะแขยง “ให้ฉันระเบิดหัวแกแล้วกัน!”


มือของเขาดึงปืนสั้นมาจากบริเวณเข็มขัดที่อยู่ด้านหลัง คิงคองบรรจุกระสุน “ตอนดวลเดี่ยวฉันชอบเล่นใหญ่…แต่ตอนที่มีคนเยอะ ฉันชอบฆ่าทีละคน!”


คิงคองเหนี่ยวไกปืนทันที แต่นิ้วมือนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนกับยิงกระสุนออกมาไม่ได้ คาดไม่ถึงว่าลูกปืนขัดลำกล้องไปแล้ว!


ปืนสั้นแบบนี้โอกาสลูกปืนขัดลำกล้องแทบจะเป็น…ศูนย์!


ทำไมต้องมาขัดลำกล้องเอาตอนนี้ด้วย คิงคองยังไม่ทันคิดอย่างรอบคอบ พริบตาแสงจากคมมีดก็พุ่งออกมาจากมือเยี่ยเหยียน แล้วไปกระแทกข้อมือของเขาอย่างแม่นยำ


พอปืนพกตกลงมาจากมือคิงคอง…เยี่ยเหยียนก็วิ่งไปทางคิงคองอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองของเขาลื่นไถลไปที่ข้างหน้าคิงคองอย่างรวดเร็ว!


ถอยร่นต่อเนื่อง!


คิงคองมองหน้าอกของตัวเองอยู่แวบหนึ่ง บนเสื้อผ้ามีรอยขาดที่สัมผัสได้รอยหนึ่ง ผิวหนังข้างในเปิดออกเล็กน้อย คิงคองเช็ดเลือดแล้วก็ปาดไปบนริมฝีปากของตัวเอง ยิ้มเยาะพร้อมพูดว่า “ดูท่าครั้งที่แล้วแกยังใช้ความสามารถไม่หมดสินะ”


เยี่ยเหยียนยิ้มเยาะ “ความสามารถของฉันมีอยู่มากมาย อย่างเช่นฉันเชี่ยวชาญเรื่องการบำรุงรักษาปืน จะไม่เกิดเหตุการณ์ลูกปืนขัดลำกล้องแบบนี้เด็ดขาด”


การถากถางครั้งนี้ทำให้คิงคองหรี่ตาลง เขายิ้มเยาะหนึ่งครั้ง มือเหวี่ยงไปมาหลายครั้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กำหมัด วางไว้ตรงหน้าตัวเอง ขาทั้งสองของเขากำลังกระโดดเบาๆ อย่างรวดเร็ว


“เยี่ย! เขาใช้ยาสูตรลับที่สมาคมดัดแปลงขึ้นมา! ประสาทที่ทำงานไม่ใช่ระดับของคนปกติ!” เจสสิก้ารีบพูดเตือนทันที


มือข้างหนึ่งของเยี่ยเหยียนทิ้งดิ่งลงมา พูดอย่างเฉยเมย “ไอ้ตัวที่เหมือนกันฉันก็เคยเจอมาแล้ว…ฉันรู้ว่าควรจะจัดการยังไง”


เขาสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ร่างกายที่ฟิตเปี๊ยะพุ่งไปข้างหน้าทันที!


ทั้งสองคนปะทะเข้าหากันอย่างรวดเร็ว


คิงคองหลบเลี่ยงทิศทางของมีดเล็กอันคมกริบในมือของเยี่ยเหยียน ส่วนเยี่ยเหยียนก็หลบการต่อสู้ระยะประชิดกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่


“นึกไม่ถึงว่าเหล่าเยี่ยจะเอาชนะไม่ได้…” เซอร์หม่าได้แต่ร้อนใจอยู่ข้างๆ


เขาไม่ค่อยเข้าใจเลยจริงๆ ด้วยฝีมือของเยี่ยเหยียน อยู่ต่อหน้าคิงคองทำได้แค่หลบและสู้ ประคับประคองอย่างยากเย็น ดูแล้วเกรงว่าอีกสักพักเขาจะต้องแพ้แน่


“หม่า…เซอร์หม่า!”


ทันใดนั้นเอง เซอร์หม่าก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เห็นเพียงแค่ตำรวจหนุ่มคนนั้นวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาหอบหายใจพร้อมกับพูดว่า “เซอร์หม่า ขอโทษครับ…ผม ผมล้มเหลวแล้ว!”


ในตอนนี้นายตำรวจหม่าจะยังสนใจความสำเร็จหรือล้มเหลวที่ไหนกันล่ะ!


เขามองเห็นไอ้คนที่ส่งไปเป็นสปายคนนี้ปลอดภัยกลับมา ในใจของเขาเหมือนจะเบิกบานใจจริงๆ!


หม่าโฮ่วเต๋อเริ่มต้นก็พูด “ปืนของฉันล่ะ?!”


นายตำรวจวัยรุ่นรีบเอาปืนสั้นที่ซ่อนไว้อย่างดิบดีออกมา


หม่าโฮ่วเต๋อรับปืนมา ก่อนจูบลงไปแรงๆ บนตัวปืนหนึ่งครั้ง!


แขนข้างหนึ่งของหม่าโฮ่วเต๋อชี้ออกไป ก่อนตะโกนขึ้นดังๆ “เยี่ยเหยียน!! ย่อตัวลง!!”


เยี่ยเหยียนที่ได้ยินเสียงก็ดึงสติขึ้นมาในทันที ร่างกายของเขาย่อต่ำลงไปทันที


ปังๆๆๆ!!


เสียงยิงปืนที่ลูกกระสุนยิงออกมาสี่นัดต่อเนื่องดังขึ้น พวกมันส่งเสียงดังชัดเจนในลานจอดรถใต้ดินแห่งนี้!


เซอร์หม่าไล่ฆ่าแบบสี่นัดอย่างบ้าระห่ำ ไม่ความคลาดเคลื่อนเลยแม้แต่น้อย ยิงไปที่ข้อเข่าทั้งสอง และบนข้อศอกบนแขนทั้งสองของคิงคองตรงๆ!


มองเห็นคิงคองทรุดตัวลงทันทีอย่างหวาดผวาและโกรธแค้น เยี่ยเหยียนจึงรีบพลิกตัวไปที่ข้างหน้าของคิงคอง มาถึงที่ด้านหลังของเขา แล้วใช้มีดเล็กๆ ในมือแทงเข้าไปที่ปลายกระดูกสันหลังของคิงคองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงมีดออกมา อ้อมไปที่ข้อเท้าของคิงคองอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าอีกครั้ง!


“อ๊า!!”


คิงคองที่ถูกเยี่ยเหยียนกดลงบนพื้น ร้องเสียงหลงขึ้นมาหนึ่งครั้ง


ใบหน้าของคิงคองที่ไม่อาจใช้แรงได้แนบอยู่บนพื้นอย่างแรง ในช่วงที่ตัวเองดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่สามารถใช้กำลังประคับประคองได้


ตอนนี้เซอร์หม่าก็เป่าลมไปที่ปากกระบอกปืนหนึ่งครั้ง พูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ข้าบอกไว้แล้ว! ว่าข้าเป็นมือปืนขั้นเทพเบอร์หนึ่งของโรงพัก!!”


เยี่ยเหยียนก็ไม่มองหม่าโฮ่วเต๋อ แต่กลับยื่นมือออกมา ยกนิ้วโป้งขึ้นมาหนึ่งครั้ง “สูงวัยแต่ยังแข็งแรงนะ!”


“นายตำรวจหม่าเก่งจริงๆ เลย!”


นายตำรวจหนุ่มยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย



เขายิ้มอย่างจริงใจ ในใจมีกระแสความอบอุ่นบางอย่างกำลังไหลริน…ตอนนี้คือเขา เช่นนั้นเมื่อหลายปีก่อน สิบปีก่อน ตอนที่พ่อของเขายังอยู่ พ่อ หม่าโฮ่วเต๋อ และพวกเยี่ยเหยียน ที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาก็เป็นช่วงเวลาแบบนี้นี่เอง


ช่วงเวลาที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายแบบนี้ ทำให้คนจะเลิกก็ไม่ได้จะหยุดก็ไม่ได้ เขาแทบจะเข้าใจว่า ความรู้สึกที่ยาวนานหลายปีมั่นคงลึกซึ้งแบบนี้ คงจะเป็นสิ่งที่กาลเวลาทำให้มันตกตะกอนล่ะมั้ง

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 125

 

​บทที่ 125 เธอเป็นใคร!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้เซอร์หม่าเดินไปอยู่ข้างตัวเยี่ยเหยียนอย่างรวดเร็วแล้ว ล้วงกุญแจมือมาใส่ไว้บนข้อมือของคิงคอง


“ถึงแกติดปีกก็บินหนีไปไม่รอดหรอก ให้ความร่วมมือกับพวกเราดีๆ เถอะ!”


คิงคองหันไปอีกฝั่งพร้อมทั้งยิ้มเยาะ ไม่ได้คิดจะพูดเลยแม้แต่น้อย


ตอนนี้เอง รถตำรวจคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้านหลังยังมีรถตามมาอีกสองคัน แล้วเหล่าตำรวจติดอาวุธเต็มรูปแบบก็ถือปืนทยอยลงมาจากรถตำรวจ


“เซอร์หม่า!”


“ไอ้สารเลว พวกแกจะต้องให้เรื่องจบแล้วถึงค่อยโผล่หัวออกมาตลอดเลยเหรอ? เป็นตำรวจได้ยังไงกัน! นายตำรวจหม่าพูดอย่างไม่พอใจ


แต่ว่าท่านก็เป็นตำรวจนะ…แต่พวกตำรวจที่ถูกตำหนิกลับไม่กล้าปริปาก เพียงแค่จับคิงคองที่ถูกกำราบไว้แล้วอย่างเงียบๆ


ตอนนี้เยี่ยเหยียนก็เดินมาอีกฝั่งหนึ่ง เขามาอยู่ตรงประตูทางเข้าที่รถเจสสิก้าพลิกคว่ำ แต่เขากลับมองไม่เห็นเงาของเจสสิก้าตรงนี้แล้ว


เยี่ยเหยียนมองไปกลางลานจอดรถใต้ดินอย่างงุนงง แล้วมองเจ้าคนที่ถูกส่งออกไปเป็นสปายคนนั้น ก่อนเดินไปจับแขนทั้งสองข้างของเขาอย่างลืมตัว ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ผู้หญิงคนเมื่อกี้ล่ะ?”


“อ๊า…ผมไม่รู้ ผมมองไม่เห็น” นายตำรวจหนุ่มตอบด้วยสีหน้างงๆ


เยี่ยเหยียนปล่อยตัวเขา แล้วถอยหลังไปสองก้าว แล้วมองหารอบๆ อีกครั้ง ก่อนเอามือป้องปากตะโกนว่า “เจสสิก้า!! เจสสิก้า!! เจสสิก้า!!”


เขาเดินอย่างรวดเร็วออกจากลานจอดรถไป ร้องเรียกไปพลาง ตามหาไปพลาง



ลั่วชิวถอดหน้ากากบนใบหน้าออก


ณ มุมหนึ่งของลานจอดรถ ตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังจัดการที่เกิดเหตุกันอยู่


คุณสาวใช้อยู่ข้างกายเขา ส่วนที่นั่งอยู่บนพื้นก็คือเจ้าของใบหน้าที่เดิมทีควรจะปฏิบัติการเป็นสายลับในครั้งนี้


นิ้วมือของโยวเย่จิ้มไปที่บนหน้าผากของเจ้าของใบหน้าเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว


ในที่สุด สาวใช้ก็ชักนิ้วมือของตัวเองกลับมา มองดูลั่วชิวพร้อมพูดเบาๆ ว่า “นายท่านคะ หลังจากเขาฟื้นก็จะจำเรื่องที่เกิดทั้งหมดได้เหมือนไปเผชิญมาด้วยตัวเองแล้วค่ะ”


ลั่วชิวพยักหน้า เขามองไปทางเยี่ยเหยียนที่พิงรถตู้อยู่เงียบๆ ในที่ห่างออกไปไม่ไกล หลังจากผ่านมาสักพักถึงพูดว่า “ไปเถอะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”




เจสสิก้ามาถึงกลางซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากตึกใหญ่นั้น


เธอใช้พลังทั้งหมดที่เหลือเพื่อมาให้ถึงที่นี่ แล้วเธอยังเอาสินค้าล็อตนี้ออกมาได้อย่างประสบความสำเร็จ หลังจากออกแรงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปหลายครั้ง เจสสิก้าก็หยิบโทรศัพท์ออกมา


คนนั้นที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์รับสายทันที แต่ทว่ากลับเงียบอยู่ตลอด


เจสสิก้าพูดช้าๆ ว่า “คุณซุน ได้รับโทรศัพท์ของฉัน คุณคงจะเข้าใจนะคะว่าคิงคองล้มเหลวแล้ว”


น้ำเสียงของ ‘คุณซุน’ ไม่รีบร้อนแต่ไม่เนิบช้า “เจสสิก้าที่รัก ฟังเสียงของเธอแล้ว อาการของเธอก็ไม่ได้ดีเลยนะ”


เจสสิก้าตอบ “ฉันสบายดีมาก…สุดท้ายสินค้าล็อตนั้นก็มาอยู่ในมือฉัน ที่นี่ไม่มีคนของคุณแล้ว การแลกเปลี่ยนระหว่างคุณกับฉันคงจะดำเนินการต่อไปได้แล้วล่ะมั้ง?”


‘คุณซุน’ กลับพูดขึ้นทันทีว่า “ไม่ๆๆ เจสสิก้า ตอนนี้ฉันไม่สนใจสินค้าล็อตนี้แล้ว สิ่งที่ฉันเป็นห่วงก็คือเธอ เจสสิก้า ไม่เสียแรงที่เธอเป็นเด็กที่พวกเราเลี้ยงมา คู่ควรที่จะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าคิงคองจะถูกทำลายด้วยน้ำมือเธอ นั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความโดดเด่นของเธอแล้ว เจสสิก้าเธอแค่สับสนไปชั่วขณะเท่านั้นเอง ไม่ใช่เหรอ? อ้อมกอดของฉันอ้าพร้อมรับเธอเสมอ”


“อย่าพูดเหลวไหลให้มากนัก! ยังไงคำขอของฉันก็ไม่เปลี่ยน! ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ คุณต้องส่งแม่ฉันไปที่สำนักงานใหญ่ตำรวจอาชญากรรมอย่างปลอดภัย! ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาสินค้าล็อตนี้ทั้งหมดทิ้งลงไปในทางระบายน้ำ!”


“โอ้! ลูกเอ๋ย ลูกทำให้พวกเราผิดหวังมากจริงๆ” ‘คุณซุน’ ที่อยู่ปลายสายพูดอย่างทอดถอนใจ “ถึงเวลาที่ลูกจะต้องกลับมาสู่อ้อมกอดของพวกเรา และฟังคำสอนของพวกเราอีกครั้งแล้ว”


จู่ๆ ปลายสายโทรศัพท์ก็มีเสียงประหลาดอย่างหนึ่งดังขึ้นมา


ทันใดนั้นเจสสิก้าก็กุมหัวของตัวเอง เสียงดังเสียดหูกำลังดังอย่างบ้าคลั่งในสมองของเธอ!


เธอล้มลงไปกองอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวดทรมาน


เสียงจากโทรศัพท์นั้นกลับยังดังอยู่ “เจสสิก้าบอกฉัน ลูกคือใคร?”


“ฉัน…ฉันคือเจสสิก้า ฉันเป็นศิษย์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของสมาคมไมเคิล…ไม่ๆ…ไม่! ฉันคือเจสสิก้า…ไม่…”


“เจสสิก้า นานขนาดไหนแล้วที่ไม่ได้ฟังคำสอนของฉัน ลูกเอ๋ย เวลาที่ลูกออกมานานเกินไปแล้ว สิ่งเย้ายวนใจบนโลกนี้บดบังจิตวิญญาณของลูกไปแล้ว ลูกนึกให้ออกสิว่าลูกเป็นใครกันแน่”


“ฉันคือ…ฉันคือ…”


เจสสิก้านิ่งไป สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นสับสนมึนงง เธอค่อยๆ หยิบมือถือขึ้นมา แม้ว่าสายตาของเธอจะดูดื้อรั้นเล็กน้อย แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับค่อยๆ ถูกบางอย่างเข้าแทนที่


เจสสิก้าคิดอยากจะฝืนร่างกายของตัวเองอย่างที่สุด แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากกลับไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการพูด “ฉันคือ…ลูกของพระเจ้า…ฉันคือสาวกของพระเจ้า…ฉันคือ…”


ใครก็ได้…มาช่วยฉันที



“ใช่ ลูกคือลูกของพวกเรา ทุกสิ่งทุกอย่างของลูก ความคิดของลูกล้วนแต่เพื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรา”


“ค่ะ…”


“งั้นในตอนนี้ ลูกบอกตำแหน่งของลูกมา ฉันจะส่งคนไปเก็บสินค้าล็อตนั้นกลับมาทันที แน่นอนรวมถึงลูกด้วย ลูกไม่ต้องกังวล แป๊บเดียว แป๊บเดียวลูกก็จะพบกับแม่ของลูกที่บน ‘สวรรค์’ ”


“พบกัน…”


สิ่งที่ ‘คุณซุน’ ที่อยู่ปลายสายไม่รู้ก็คือ มือถือที่เจสสิก้ากำลังถืออยู่ในมือตอนนี้ถูกใครหยิบไปแล้ว


พอรู้สึกว่าคำตอบของเจสสิก้าไม่สมบูรณ์ เสียงของ ‘คุณซุน’ ก็ดังขึ้นต่อเนื่อง “เจสสิก้า เด็กดีบอกตำแหน่งของลูกมาเถอะ”


“อืม…คุณก็คือคุณซุนคนนั้น? โอ้ หนึ่งในคุณซุนใช่ไหม?”


นี่ไม่ใช่เสียงของเจสสิก้า แต่เป็นของอีกคน เสียงที่ ‘คุณซุน’ ไม่เคยได้ยินเลย! เขาที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ไม่ได้ลุกลี้ลุกลน ทว่ากลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณเป็นใคร?”



คุณเป็นใคร


ตลอดเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เจ้าของสมาคมได้ยินคำถามแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน


ตอนนี้เจ้าของของสมาคมกำลังมองเจสสิก้าที่นั่งอยู่บนพื้น ซึ่งในสายตาของเธอเหมือนกำลังต่อสู้กับบางสิ่ง ก่อนเขาจะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนตอบกลับปลายสายว่า “ผมน่ะเหรอ? ผมเป็นเพียงแค่คนทำธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น แล้วตอนนี้คุณเจสสิก้าคนนี้ก็คือลูกค้าของผม”


“โอ้? งั้นเหรอ” ‘คุณซุน’ เงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนพูดอย่างเฉยเมยว่า “น่าสนใจจริงๆ ในเมื่อพวกเราก็เป็นคนทำธุรกิจด้วยกันทั้งนั้น ผมว่าพวกเราน่าจะคุยกันดีๆ ได้นะครับ”


ลั่วชิวพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “คุณลูกค้าต้องการอะไรครับ?”


‘คุณซุน’ พูดเสียงเรียบเฉย “ง่ายมาก ไม่ว่าเจสสิก้าให้พวกคุณเท่าไหร่ พวกเราจะให้คุณสองเท่าหรือมากกว่านั้นก็ย่อมได้ ขอแค่คุณเอาตัวเจสสิก้ารวมถึงของในมือเธอ ส่งมอบให้พวกเราพร้อมกันก็ใช้ได้แล้ว”


“กำลังซื้อของคุณลูกค้าดูจะค่อนข้างเยอะนะครับ” ลั่วชิวหรี่ตาลง


‘คุณซุน’ พูดเสียงเฉยเมย “พูดพล่ามให้น้อยๆ หน่อย ผมไม่รู้ว่าคุณรู้เรื่องจากเจสสิก้ามาแค่ไหนแล้ว…แต่ถ้าคุณรู้จักผม คุณจะต้องเสียใจที่มาเจรจากับผมแน่ๆ แต่ไม่เป็นไร ผมชอบการเจรจาที่มีสีสัน สิบล้านเป็นไง”


“สิบล้านเหรอครับ?”


“ยูโร” ‘คุณซุน’ พูดเสียงเรียบเฉย


ลั่วชิวก็พูดเสียงเรียบเฉยเช่นกัน “งั้นก็มากจริงๆ นะครับ แต่ว่าน่าเสียดายนะครับ สิ่งที่พวกเรารับไม่ใช่เงินทอง”


“อะไรนะ?”


“อิตาลี เมืองโตริโน ถนนอาร์ปีโน่ หมายเลขสามสิบแปด…อืม ห้องเลขที่สี่ ห้องหนังสือ…” เจ้าของร้านลั่วหรี่ตาลง “คุณลูกค้า ไวน์มาร์โกขวดนั้นที่วางอยู่ข้างหน้าคุณอร่อยไหมครับ?”


“คุณเป็นใคร!!!!”


เสียงตกใจหวาดกลัวปนกันสับสนอลหม่าน


ในอพาร์ตเมนต์ที่ตั้งตำแหน่งนั้น แก้วไวน์แดงในมือของผู้ชายก็ตกลงพื้นทันที เขายืนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง รีบมองห้องหนังสือที่นอกจากตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีใคร


เขาถึงขนาดเดินไปตรงหน้าต่าง เลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านออก แล้วมองทุกสิ่งทุกอย่างบนถนนนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง…

 

 

 


บทที่ 2 ตอนที่ 126

 

​บทที่ 126 เหตุผลที่มีชีวิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ‘คุณซุน’ คนนี้ก็คือผู้ชายที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน เขาจึงตั้งสติกลับมาจากอาการตกใจได้อย่างรวดเร็ว


เขาสับขาก้าวไปถึงหน้าประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนปิดแสงไฟในห้องหนังสือจนที่นี่มืดสลัว ถ้าเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะมีคนเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวเขาอยู่ข้างนอก ก็จะมองไม่เห็นสภาพของเขาขณะนี้


เขาไม่อยากเชื่อเลย ว่าคนที่อยู่ในประเทศห่างออกไปนับหมื่นกิโลเมตรจะ ‘มองเห็น’ เขาได้ คนนั้นจะต้องซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้เป็นแน่


พอจัดการความคิดเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้ว ‘คุณซุน’ กำลังควบคุมอะไรบางอย่างในโน้ตบุ๊กบนโต๊ะ พลางพูดอย่างสุขุม “พวกคุณเยี่ยมมาก นึกไม่ถึงว่าจะหาผมพบ ช่วยบอกตัวตนจริงๆ ของคุณกับผมหน่อยได้ไหม?”


“ถ้าลูกค้าคิดจะทำการค้ากับพวกเรา คุณก็จะรู้เอง”


‘คุณซุน’ เลิกคิ้วสูง พร้อมพูดอย่างช้าๆ “คุณบอกว่า พวกคุณไม่รับเงินทองใดๆ ทั้งสิ้นใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น หากพวกคุณคิดว่าเงินตราไร้ค่า แล้วถ้าเป็นทองล่ะจะว่ายังไง?”


“พวกเราไม่รับสกุลเงินรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้นครับ”


ลั่วชิวพูดเสียงต่ำ “แต่คุณผู้ชายโปรดวางใจ ที่ผมติดต่อกับคุณก็เพียงแค่อยากรู้จักองค์กรที่ชื่อสมาคมไมเคิลก็เท่านั้น แต่ว่าผมออกจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง คุณผู้ชายยังไม่ใช่แกนนำสำคัญในสมาคมสินะครับ ดูท่าโค้ดลับ ‘คุณซุน’ ที่ปลายสายคนนี้น่าจะยังไม่ติดอันดับสำคัญใดๆ ด้วยซ้ำ เป็นเพียงบุคคลติดต่อประสานงานกับโลกภายนอกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”


ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เงื่อนไข คุณเสนอเงื่อนไขมาเถอะ ในเมื่อพวกคุณเรียกตัวเองว่านักธุรกิจ ก็เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”


“พวกเราพร้อมทำธุรกิจอยู่แล้ว…” ลั่วชิวจ่อโทรศัพท์มือถือข้างๆ ริมฝีปาก “เพียงแต่ว่าสำหรับพวกคุณแล้วยังไม่ถึงเวลา อีกอย่างผมเป็นคนอยากรู้อยากเห็นซะด้วย…ขอผมลองดูระดับของศูนย์รวมความชั่วร้ายของพวกคุณหน่อยเถอะครับ ว่าจะไปได้ถึงระดับไหนกันแน่”


เสียงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักลง


ชายหนุ่มหรี่ตา มองภาพบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้เขาได้รับโทรศัพท์อีกสายหนึ่ง นั่นเป็นคำตอบกลับคำสั่งที่เขาส่งไปทางโน้ตบุ๊กเมื่อกี้ ตอนนี้มีการตอบกลับมาแล้ว


“ท่านครับ ‘ดวงตาปีศาจ’ ได้สำรวจรอบๆ ตัวท่านแล้ว ไม่พบบุคคลน่าสงสัยเลย อีกอย่างพวกเราก็ตามสืบไม่พบแหล่งที่มาของหมายเลขโทรศัพท์…เกรงว่าอีกฝ่ายจะมีมือแฮกเกอร์ที่ฉลาดหลักแหลมช่วยเหลือครับ”


“หาคนน่าสงสัยไม่พบ?” ชายหนุ่มอดพูดอย่างเดือดดาลไม่ได้ “งั้นแกบอกฉันมา ว่าอีกฝ่ายเห็นชื่อไวน์แดงขวดนั้นที่ฉันกำลังดื่มอยู่ได้ยังไง?”


“บางที…บางทีอีกฝ่ายอาจจะมีความสามารถเดียวกับ ‘ดวงตาปีศาจ’ …”


“พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!”


“ขอโทษครับ…ไม่ทราบว่า ท่านยังมีคำสั่งอะไรอีกหรือไม่ครับ?”


“เตรียมตัวเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปจากที่นี่” เขาลุกขึ้นพูดอย่างเด็ดขาด “ที่นี่ถูกเปิดเผยแล้ว หลังจากฉันไป แกมาทำลายข้าวของที่นี่…ไม่สิ เตรียมการให้ฉันก่อน ฉันจะออกทะเลสักรอบ เดี๋ยวนี้!”


“ครับท่าน…”


เขาพับฝาปิดโน้ตบุ๊กลง สองมือกดไปบนโน้ตบุ๊ก แต่กลับรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งมองเขาอยู่ตลอด…นี่ชวนให้ขนลุกขนพองไปทั้งตัว


ใช่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อน


ไม่เคยรู้…น่ากลัวเกินไปแล้ว!




“คุณนี่เอง…”


วินาทีที่วางสายโทรศัพท์ ก็เป็นวินาทีเดียวกันที่เจสสิก้าเอ่ยปากพูด…เธออยู่ที่นี่ มองเจ้าของสมาคมแบบกึ่งระแวงกึ่งหวาดกลัว


เธอได้ยินบทสนทนาของเขากับ ‘คุณซุน’ ครึ่งหลังเท่านั้น เพราะกว่าเธอจะรู้สึกตัว บทสนทนาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว


ลั่วชิวมองเจสสิก้า ก่อนส่งโทรศัพท์คืนให้เธอ “ดูท่าสมาคมไมเคิลจะสะกดจิตคุณได้ไม่ดีเท่าไรนะ เมื่อกี้ชายคนนั้นคิดจะปลุกส่วนที่คุณเคยถูกล้างสมองขึ้นมา เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าล้มเหลวไปแล้ว”


ความคิดเจสสิก้าแล่นอย่างรวดเร็ว เธอกัดฟันไปพลางค้ำผนังลุกขึ้น “หลายปีมานี้ที่ออกมาทำงานภาคสนาม ฉันมักจะติดภารกิจทำให้กลับไม่ตรงเวลา นานวันเข้าก็นับวันยิ่งเกิดความรู้สึกต่อต้านกับตัวตนอีกคนหนึ่งของตนเอง”


เกรงว่ายังเป็นเพราะสิ่งอื่น


ลั่วชิวไม่ได้พูดขัด ช่วงที่เธอกำลังทนกับความเจ็บปวดของการสะกดจิต มีช่วงหนึ่งที่เธอกำจี้ห้อยคอในปกคอเสื้อไว้แน่น


จู่ๆ เจสสิก้าก็มองเจ้าของร้านแปลกๆ คนนี้ พร้อมกับกัดฟันพูดว่า “ดูท่าคุณคงรู้จักสมาคมไมเคิลดีกว่าฉันเสียอีก”


“อืม ระยะนี้รู้มาว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่” เจ้าของสมาคมไม่คิดจะอ้อมค้อม “ลงทุนจ่ายค่าแลกเปลี่ยนสักหน่อย ถือว่าพอรู้ข้อมูลมาบ้าง”


ฉับพลันนั้นเจสสิก้าก็ถามว่า “ในเมื่อพวกคุณรู้สิ่งที่สมาคมนั่นทำไปทั้งหมด ในเมื่อพวกคุณมีพลังมหัศจรรย์แบบนี้ ทำไมพวกคุณยังปล่อยให้องค์กรนี้อยู่ต่อไป?”


ลั่วชิวพูดอย่างไม่สนใจ “ลูกค้ากำลังตรวจสอบจุดยืนของพวกเราเหรอครับ?”


เจสสิก้าสูดลมหายใจลึกๆ พูดว่า “ก็พวกคุณมีพลังลึกลับที่เปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้นได้ ไม่ใช่เหรอ?”


ลั่วชิวส่ายหัวพร้อมพูดว่า “พวกเราไม่คิดจะทำอะไรฟรีๆ จะว่าไป ทำไมพวกเราต้องกำจัดสมาคมไมเคิลเพียงเพราะการมีอยู่ของมันทำให้โลกใบนี้มืดมน และคนมากมายต้องตกอยู่ในความทุกข์ทรมานด้วย?”


เจสสิก้ากัดฟันพูด “อย่างน้อยไม่มีพวกมันแล้ว…”


ไม่ทันสิ้นเสียง ลั่วชิวก็พูดขัดขึ้นว่า “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องสงครามเคยยุติลงบ้างไหมครับ? สมาคมไมเคิลหายสาบสูญไปหนึ่งแห่ง จะรับประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่มีสมาคมไมเคิลอีกหนึ่งแห่งโผล่ขึ้นมา ในประเด็นนี้ ลูกค้าคงไม่สามารถรับประกันได้ สำหรับพวกเราแล้ว…ไม่มีความจำเป็นต้องรับประกันเลยครับ”


เจสสิก้ากลับหัวเราะเยาะพร้อมพูดขึ้นว่า “สุดท้ายแล้วที่พูดมาทั้งหมดก็เพียงเพราะมีผลประโยชน์ไม่มากพอ หากมีผลประโยชน์มากพอ พวกคุณก็จะดำเนินการถูกไหม? ถือผลประโยชน์เป็นหลัก สมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ!”


ลั่วชิวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีประโยชน์ที่จะยั่วโมโหพวกเราหรอกครับ อีกอย่าง ก็เหมือนอย่างที่คุณลูกค้าพูดมาทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วพวกเราเป็นนักธุรกิจที่ถือผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง สมมติว่าลูกค้าจ่ายค่าธรรมเนียมมากพอ ย่อมขอให้พวกเรากำจัดสโมสรนี้ไปได้เช่นกัน”


เจสสิก้ายิ้มเจื่อนๆ “เกรงว่าใช้ทุกสิ่งที่ฉันมีก็คงขุดรากถอนโคนได้ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ!”


ลั่วชิวไม่ได้พูดอะไร แค่ยืนขึ้นเงียบๆ ในซอยที่มืดสลัวๆ เขาดูเงียบแปลกๆ ราวกับว่าได้หลอมรวมไปเป็นส่วนหนึ่งในความมืดมิดนี้เสียแล้ว


เจสสิก้าก็นิ่งเงียบอยู่เช่นกัน


หลังจากผ่านไปนาน เจสสิก้าก็ค่อยๆ เอ่ยปากพูด “ฉันต้องการทำข้อตกลง”


“เชิญพูดครับ”


เจสสิก้าพูดเสียงหนักแน่น “สมาคมไมเคิลเข้มงวดเป็นพิเศษ พวกมันไม่ยอมให้คนอื่นทรยศได้ อีกทั้งจิตใจเหี้ยมโหดทารุณ…ฉันต้องการรู้ว่าตอนนี้แม่ของฉันปลอดภัยดีหรือเปล่า”


เจสสิก้าอดคิดพิจารณาการดำเนินการต่อไปในอนาคตไม่ได้ เธอถึงกับเป็นกังวลว่าคนของสโมสรจะไม่กลัวคำขู่ของเธอ…หลายปีมานี้ หลังจากเธอได้สติ เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ว่า พวกนั้นเป็นคนเสียสติกลุ่มหนึ่ง


เดิมเธอก็ไม่อาจเข้าใจรูปแบบการคิดของคนเสียสติกลุ่มนั้นได้


เจสสิก้าใช้อายุขัยห้าปีเป็นค่าตอบแทน แล้วก็ได้รับคำตอบจากเจ้าของสมาคม


“ขออภัยอย่างยิ่งครับลูกค้า คุณแม่ของคุณเสียชีวิตไปเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนแล้ว”




ลั่วชิวบอกคำตอบที่เจสสิก้าแทบจะล้มทั้งยืน!


“เป็นไปไม่ได้!” เจสสิก้าแทบจะคำรามด้วยความโกรธพลางพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้! หลายเดือนก่อน ฉันยังวิดีโอคอลคุยกับแม่ฉันอยู่เลย! เห็นชัดๆ ว่าเธอยังแข็งแรงดี!”


ลั่วชิวถอนหายใจ “ความจริงแล้ว คุณเป็นลูกกำพร้า ตอนเด็กๆ แม่ของคุณก็ไม่อยู่แล้ว คุณระเหเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ถูกคนของสมาคมนั่นพาตัวกลับไป แล้วเริ่มสะกดจิตคุณตั้งแต่ยังเล็กๆ แต่ ‘แม่’ คนนั้นที่คุณพูดถึงคือก็เป็นเพียง…นักแสดงคนหนึ่งที่สมาคมใช้มาทำให้จิตใจของคุณสับสนเท่านั้นเอง”


“คุณหลอกฉัน!”


ลั่วชิวเดินมาถึงตรงหน้าเจสสิก้า ก่อนยื่นมือไปแตะบนหน้าผากของเธอเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “ความจริงความทรงจำในตอนเด็กยังคงอยู่ เพียงแต่ถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกสุดของสมอง…ถ้าแบบนี้ลูกค้าคงจะเชื่อได้แล้วนะครับ


ความทรงจำในสมองของเจสสิก้าค่อยๆ เผยออกมา



ตอนอายุยี่สิบปี


“แม่ แม่สบายใจได้นะ หนูจะต้องกลายเป็นสาวกที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งให้ได้ หลังจากผ่านวันเกิดไปแล้ว หนูก็จะกลายเป็นสมาชิกภาคสนาม ต่อสู้เพื่อภารกิจของพระเจ้า! หนูจะต้องทำให้แม่มีชีวิตที่ดีให้ได้!”


“ลูกรัก อย่าทำงานหนักเกินไปล่ะ ดูแลสุขภาพด้วย ต้องมีแรงถึงจะไปทำทุกอย่างได้นะลูก”


“รู้แล้วค่ะ แม่!”



ตอนอายุสิบแปด


“ขอโทษนะคะแม่ การฝึกวันนี้ หนูยังทำไม่ได้ตามเป้าหมาย…”


“ลูกรัก อย่าหักโหมเกินไปนัก ต้องดูแลสุขภาพด้วย ต้องมีแรงถึงจะทำทุกอย่างได้ดี ลูกต้องเชื่อมั่น ว่าพระเจ้าของพวกเราจะเห็นความมุ่งมั่นของลูก”


“แม่คะ…หนู พรุ่งนี้หนูกินพายแอปเปิลที่แม่ทำได้ไหม?”


“ถ้าพรุ่งนี้พยายามเต็มที่ แม่ก็จะทำให้ลูกกินนะ ต้องตั้งใจเข้าล่ะ!”


“ได้ค่ะ! แม่!”



ตอนอายุสิบสามปี


“แม่ ฝั่งตรงข้ามกับทะเลคือที่ไหนเหรอคะ? หนู…หนูไม่รู้เลย แต่เคยเห็นฝั่งนั้นที่ข้ามทะเลไปผ่านทางวิดีโอและเทปบันทึกภาพ ที่นั่นก็มีคนเยอะแยะเหมือนกันเหรอคะ?”


“แน่นอน แต่ฝั่งนั้นของทะเลก็เป็นสถานที่อันตรายมากเช่นกัน ลูกต้องจำไว้ว่า มีเพียงที่นี่เท่านั้นพวกเราถึงจะมีความสุขได้”


“ค่ะแม่”



สิบขวบ


“แม่…แม่ แม่อยู่ที่ไหน หนู หนูกลัวมาก…”


“ลูกรัก แม่อยู่นี่ไง! ได้ยินเสียงแม่ไหม? เด็กดี หยิบกริชในมือลูกขึ้นมา เห็นสุนัขล่าสัตว์ตัวนั้นไหม? มา เชื่อมั่นในตัวเองนะลูก ฆ่ามันให้ตาย มันเป็นร่างจำแลงของปีศาจร้าย พวกเราในฐานะสาวกของพระเจ้า มีหน้าที่ต้องกำจัดทิ้ง! ฟังนะลูก เพื่อปกป้องสวรรค์ที่พวกเราอาศัยอยู่แห่งนี้ บางครั้งเราจำเป็นต้องใช้กำลังบ้าง นี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้…แม่จะทำพายแอปเปิลที่อร่อยที่สุดให้ลูก เป็นเด็กดีนะ…”


แต่ว่า…ก็ยังคงหวาดกลัวมาก


แม่ หนูไม่อยากฆ่าสุนัขล่าสัตว์ตัวนี้เลย…



หกขวบ


“นี่คือ…นี่คือที่ไหน”


“ที่นี่น่ะเหรอ? ที่นี่คือสวรรค์ ที่นี่คือสถานที่ที่ไร้ความเจ็บปวดและความโกรธแค้นชิงชังไงล่ะ”


“คุณ…คุณคือใคร?”


“ลูกรัก ลืมแล้วเหรอ? แม่เป็นแม่ของลูกไงล่ะ…”


“แม่…”


“เป็นเด็กดีจริงๆ”



ห้าขวบ


“ไสหัวไปๆๆ เจ้าเด็กมอมแมมเนื้อตัวสกปรก อย่ามาอยู่หน้าร้านพ่อฉัน!”


“หนู…หนูหิว…”


“เธออยากกินเหรอ? ขนมปังของที่นี่? ถ้าเธอทำท่าเป็นหมาน้อยคลานสองรอบที่นี่ ฉันก็จะให้เธอกิน”


“โฮ่งๆ…โฮ่งๆ…”


“กินสิ! เจ้าหมาน้อย!”



สามขวบ


“แม่ หนูอยากฟังนิทานเรื่องเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า!”


“ได้สิ แต่ว่าฟังจบแล้วก็ต้องเข้านอนนะ?”


“อืมๆ!”


“กาลครั้งหนึ่ง มีครอบครัวนายพรานครอบครัวหนึ่ง…”




เจสสิก้าพิงไปกับผนังกำแพง แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงช้าๆ นั่งลงบนพื้นที่เย็นเฉียบ


“ฉัน…เพื่ออะไร…ทำไปเพื่ออะไรกันแน่…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม