ลิขิตกลกาล 119-125
ตอนที่ 119 เล่าเรียน
“มีด้านมืดจึงมีด้านสว่าง มีเกิดจึงมีดับ…?” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าครุ่นคิดประโยคทั้งสองนี้
“อืม” หรงซู่พยักหน้าแล้วเผลอมองไปยังด้านหลังบ้านแล้วเอ่ยต่อว่า “คนอื่นหากถือดาบเล่มนี้ไว้ โดยปกติแล้วจะเกิดเรื่องราวขึ้นได้สองแบบ”
“สองแบบไหน?” ซูเหลียนอวิ้นเก็บดาบในปลอกแล้วเงยหน้าขึ้นถาม
“ถ้าไม่ถูกดาบควบคุมเพื่อไปแก้แค้น ก็จะใช้ดาบเล่มนี้ไม่ได้ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าดาบเล่มนี้เย็นยะเยือกผิดธรรมดา แม้ว่าจะพยายามฝืนตัวเองให้ใช้ดาบนี้ก็คงจะแสดงประสิทธิภาพของตนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“แก้แค้น?” ซูเหลียนอวิ้นตกตะลึง “ให้ใคร? องค์หญิงจิ้งหว่านรึ? แต่จะแก้แค้นอย่างไร?” เพราะคนในราชวงศ์ก่อน ตายไปหมดแล้วมิใช่หรือ…
“อืม…จะพูดอย่างไรดี เป็นเพราะว่าคนที่ถูกกระบี่ควบคุมส่วนมากจะเป็นสตรี สตรีมีอารมณ์โศกเศร้าและอ่อนโยน ภายใต้ความอ่อนโยนโศกเศร้านี้จะไปกระตุ้นกระบี่เล่มนี้ แต่บุรุษมีพลังในแบบผู้ชายที่เข้มข้นเกินไป ดาบเล่มนี้คงจะเกิดความยำเกรงขึ้น เนื่องจากมันก็เป็นเพียงดาบเล่มหนึ่งเท่านั้น
“แต่อวิ้นเอ๋อร์นั้นแตกต่างไป” เมื่อหรงซู่เอ่ยถึงตรงนี้ก็ตั้งใจลดเสียงลงไปแล้วกระซิบต่อว่า “เจ้าเป็นคนที่กลับมาเกิดอีกรอบหนึ่ง ในดวงจิตของเจ้ายังไม่มีความเกลียดชังมากนักรวมทั้งพลังหยางจากทั้งสองภพ บวกกับเจ้าเป็นสตรีด้วยแล้ว เหมาะสมลงตัวกับดาบเล่มนี้พอดี เจ้าจะไม่ข่มพลังมันและจะไม่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นการที่เจ้าเป็นผู้ครองคงจะถือว่าเป็นการเหมาะสมที่สุดแล้ว”
เวลานี้ต้วนเฉินเซวียนพยายามที่จะเอาหูของตนแนบชิดกับขอบประตูเพื่อฟังว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่ เพราะเขามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าการสนทนาต่อจากนี้ของหรงซู่จะต้องมีไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน! แต่หรงซู่เองก็เป็นคนมีวรยุทธ์อีกทั้งยังเป็นศิษย์พี่ของเขาด้วย จึงกล่าวได้ว่าใน
ด้านวรยุทธ์ พวกเขาทั้งสองไม่สามารถเสมอกัน ไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะกันได้
ดังนั้นในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหรงซู่ไม่อยากให้เขาได้ยินเรื่องราวนี้ ด้วยเหตุนี้ต้วนแนเซวียนจึงทำได้เพียงเดาอย่างขาดๆ ตอนๆ เท่านั้น
“แต่ว่า…” หรงซู่นำมือของตนเคาะเบาๆ ไปที่คางของตัวเองสองสามทีแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ว่า…ช่างเถอะ มันก็ไม่แน่ พอถึงวันนั้นแล้วค่อยพูดก็ได้ คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไร…”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกสับสนเมื่อเห็นท่าทางน่าพิศวงและการพูดจาครึ่งๆ กลางๆ ของหรงซู่ “คงจะ? คงจะไม่มีเรื่องใหญ่หมายความว่าอย่างไร? หากเกิดเรื่องขึ้น ก็คงสายไปเสียแล้ว!” ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ ท่านอาจารย์ก็ยังคงเป็นคนไม่น่าเชื่อถือเหมือนเดิม!
“เอาเป็นว่ากระบี่เล่มนี้ไม่เป็นอันตรายกับเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าวางใจได้ ที่ข้าพูดนั้นหมายถึงส่วนน้อย แม้ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายต่อเจ้า ทว่าสำหรับผู้อื่นแล้ว…” หรงซู่หัวเราะแหะๆ “มิอาจรับประกันได้”
“อ่อ อย่างนั้นก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวก็เอ่ยต่อว่า “ไม่ได้สิ! แล้วหากเป็นพี่ชายหรือว่าท่านแม่หรือคนในครอบครัวข้าเล่า?” หากพวกเขาโดนทำร้าย นั่นต้องทำให้นางรู้สึกผิดจนตายแน่! เช่นนี้มิสู้ทำร้ายตัวนางจะดีกว่า!
“วางใจเถอะ!” หรงซู่ลูบหน้าผากตัวเองพลางบ่นในใจ อวิ้นเอ๋อร์จะอย่างไรก็ถือเป็นผู้ที่อยู่มาสองชาติแล้ว เหตุใดความคิดในบางเรื่องถึงไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย? “ในเรื่องราวขององค์หญิงจิ้งหว่าน ข้าได้พูดถึงพ่อแม่ของนางให้เจ้าฟังหรือ? ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอก”
ท่าทางของหรงซู่ในตอนนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อแล้วจึงหยุดพูดแล้วทำท่าราวกับคิดเรื่องอื่นออกจึงเอ่ยว่า “จริงสิ อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังไม่ได้บอกอาจารย์เลยว่าเหตุใดในงานพิธีปักปิ่นของเจ้าถึงปรากฏหนานกงมู่เสวี่ยอยู่ด้วย? ตอนที่เจ้ามาเชิญข้าไปงานในครั้งก่อน เจ้าไม่เห็นเอ่ยถึงสักคำ”
“เอ๊ะ? งั้นหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ แล้วเกาศีรษะ “หนานกงมู่เสวี่ย..นางมาร่วมงานแล้วมีปัญหาอะไรหรือ? นางเป็นถึงจวิ้นจู่เชียวนะ! อีกอย่างหากข้าจะเชิญหนานกงมู่เสวี่ยมาด้วย ทำไมข้าต้องบอกท่านอาจารย์ด้วย? ท่านอาจารย์สนใจนางถึงขนาดนี้? คงมิได้พยายามหาทางหลบนางกระมัง?”
“มันเป็นเพราะเหตุใดกัน? ท่านอาจารย์ตอบคำถามข้อนี้ของข้าก่อนได้หรือไม่? แล้วก็อาจารย์ของท่านคือใครกันแน่? แล้วก็ท่านกับต้วนเฉินเซวียนมีความสัมพันธ์กันแบบนั้น! แล้วก็…”
“หยุด!” หรงซู่ยื่นมืออกไปเคาะหัวซูเหลียนอวิ้น “ในหัวสมองเม็ดถั่วเขียวของเจ้าวันหนึ่งๆ คิดอะไรอยู่บ้าง? ทำไมถึงมีปัญหาเยอะเช่นนี้? วันนี้ข้าจะตอบคำถามเจ้าเพียงคำถามเดียว เจ้าคิดดูให้ดีๆ ก่อนแล้วค่อยถาม”
ซูเหลียนอวิ้นเบะปากมองไปยังหรงซู่ ท่านอาจารย์เหตุใดถึงขี้งกนัก? นางลองคำนวนคร่าวๆ ดูแล้ว คำถามของนางที่อยากจะถามมีมากกว่าสิบข้อ! แต่เขากลับบอกนางว่าจะตอบคำถามนางเพียงข้อเดียว? ขี้งก ขี้งกมากเกินไปแล้ว!
“ข้าขอคิดก่อน…” โอกาสครั้งนี้คว้ามาได้ยากยิ่ง ดังนั้นนางต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียหน่อย มิฉะนั้นคงจะเสียโอกาสไปได้!
พักใหญ่ ซูเหลียนอวิ้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านอาจารย์บอกข้ามาก่อน ท่าน…กับต้วนเฉินเซวียนและหนานกงมู่เสวี่ย สาบานตัวเป็นลูกศิษย์กัน จากนั้นพวกท่านก็…เฮ้อ อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับปัญหาใหญ่ข้อนี้!
“เรื่องนี้หรือ” หรงซู่เผยรอยยิ้มกว้าง “เรื่องนี้ข้าบอกเจ้าได้” ตอนแรกเขาเดาเอาจากนิสัยที่ชอบข่าวโคมลอยของอวิ้นเอ๋อร์แล้ว่ารู้ว่านางจะตามถามเขาอย่างเอาเป็นเอาตายว่าเขากับหนานกงมู่เสวี่ยมีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องราวของเขากับหนานกงมู่เสวี่ย
คิดไม่ถึงเลยว่าอวิ้นเอ๋อร์จะถามคำถามนี้? คำถามข้อนี้นั้นไม่ซับซ้อนสักนิด จะให้เขาบอกนางทั้งหมดยังได้
แต่ว่า…หรงซู่แอบถอนใจ ดูท่าแล้วในใจของซูเหลียนอวิ้นนี้ยังคงมีที่สำหรับเจ้าเด็กหน้าเหม็นต้วนเฉินเซวียนอยู่อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะเอ่ยถึงเขาทำไมกัน? นี่ทำให้เขาอดทอดถอนใจมิได้ ศิษย์น้องของเขาคงใกล้จะถึงเวลาแต่งงานแล้วจริงๆ!
“ตอนนั้นข้าสาบานตนเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ของพวกข้าตอนอายุได้ห้าปี หนานกง…จวิ้นจู่อายุได้หกปี ส่วนต้วนเฉินเซวียนอายุได้เก้าขวบ
“อ่อๆ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “จากนั้นเล่า? พวกท่านก็บำเพ็ญกันตลอดมาเลยหรือ? ไม่ลงจากเขากันมาบ้างเลยรึ?” เพราะหากเขาลงจากเขามาบ้าง ด้วยสติปัญญาของท่านอาจารย์เขาจะต้องรู้เรื่องราวที่บ้านของเขาถูกกำจัดในตอนนั้นอย่างแน่นอน…
“ข้าไม่ได้ลงจากเขาเลย” หรงซู่ส่ายศีรษะ “ปกติแล้วจะมีเพียงเจ้าเด็กต้วนเฉินเซวียนนั่นเพียงผู้เดียวที่ลงไปวิ่งเล่น และการขึ้นๆ ลงๆ นั้นเหนื่อยเกินไป อีกอย่างข้ายังเป็นศิษย์พี่ใหญ่สุด การแอบไปเที่ยวเล่นเช่นนั้น เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเกินไป!
“โดยปกติแล้วพวกท่าฝึกอะไรกันบ้างหรือ?” ซูเหลียนอวิ้นให้ความสนใจกับคำถามข้อนี้มาก นางวางกระบี่ไว้บนโต๊ะแล้วโน้มไปข้างหน้าอย่างอยากรู้ “ฝึกวรยุทธ์เพียงอย่างเดียวหรือ? มีฝึกอย่างอื่นอีกหรือไม่ ข้าขอฝึกบ้างได้หรือไม่” นางเองก็อยากเรียนวิชาการเสี่ยงทายและการดูดวงชะตาประเภทนี้กับหรงซู่บ้าง เพราะไม่เพียงแค่ฟัง แต่แค่พูดขึ้นมาก็ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความลึกลับอย่างยิ่ง! ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของนางได้มากไปกว่านี้แล้ว
“อืม ข้าเรียนเพียงแค่ศาสตร์การแพทย์ฉีหวง[1] ส่วนต้วนเฉินเซวียนเรียนเรื่องแนวคิดด้านการปกครองสำหรับเชื้อพระวงศ์ ส่วนหนานกง เนื่องเพราะนางเป็นสตรีจึงเรียนเพียงวิชาสี่ศิลปวิทยา ทว่าระดับการเรียนของนางนั้น หากเทียบกับข้าและต้วนเฉินเซวียนแล้วถือว่าช่ำของกว่ามากนัก” หรงซู่กล่าวเรียบๆ
แต่ละคนเรียนได้เพียงด้านเดียวหรือ? เหตุใดจึงเรียนทุกด้านไม่ได้เล่า?” เพราะจากนิสัยของหรงซู่แล้วเขาดูไม่ใช่คนประเภทที่ว่าพอขี้เกียจแล้วไม่อยากเรียนต่อเสียหน่อย
——
[1] ศาสตร์การแพทย์ฉีหวง ฉีหมายถึงหมอหลวงฉีปั๋ว ส่วนหวงหมายถึงพระเจ้าหวงตี้ ทั้งสองคนนี้ร่วมกันคิดค้นตำราการแพทย์แผนจีนขึ้นมา
ตอนที่ 120 หึงหวง
“เพราะว่าคนเราเมื่อมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดคือความละโมภ” หรงซู่ไม่แสดงอารมณ์ใด
“ก็ใช่” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “คนเรามีชีวิตอยู่ ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์พร้อมไปทุกเรื่องได้”
“แต่ท่านอาจารย์เพิ่งบอกไปว่า ท่านเรียนศาสตร์ด้านการทำนายดวงชะตาและเสี่ยงทาย ส่วนต้วนเฉินเซวียนเรียนศาสตร์ด้านการเมืองการปกครอง? ฟังดูแล้วยอดเยี่ยมทั้งสิ้น! แต่ทำไมหนานกงมู่เสวี่ยถึงได้เรียนเพียงวิชาสี่ศิลปวิทยาเท่านั้น? ความแตกต่างนี้…” ดูๆ แล้วคล้ายไม่ใช่วิชาในระดับเดียวกันเลย! หรือว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ้นผู้นั้นลำเอียง? เนื่องจากการให้ความสำคัญกับบุรุษและดูถูกสตรีเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้! แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่มีบุคลิกสูงส่งราวเทพเซียนอย่างเช่นในนิยายจะมีนิสัยเสียเช่นนี้ด้วย?
คนเรามิอาจดูเพียงภายนอก แล้วรีบเชื่อโดยไม่พิจารณาให้ดี เฮ้อ
“สมองเม็ดถั่วเขียวของเจ้าวันหนึ่งๆ คิดอะไรอยู่บ้าง!” หรงซู่เขกหัวซูเหลียนอวิ้นอย่างขบขันแล้วอธิบายว่า “อาจารย์เองก็คิดเช่นเดียวเขาเหมือนกัน เพราะหากพูดถึงสติปัญญาและการวางแผน หนานกงไม่น้อยหน้าข้ากับต้วนเฉินเซวียนอย่างแน่นอน อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่แน่วแน่และไม่เต็มใจที่จะทำบางเรื่อง หากตอนนั้นท่านอาจารย์สอนนางจริงๆ คงจะโดดเด่นมากกว่าข้ากับต้วนเฉินเซวียนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า”
“แต่น่าเสียดายที่นางเป็นสตรี เพราะว่าในโลกปัจจุบันนี้ สตรีต้องประสบกับความเข้มงวดและโหดร้ายมากกว่าบุรุษมากนัก บวกกับฐานะของนางแล้ว…” เมื่อหรงซู่เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ค่อยปกตินัก “การมีฐานะเป็นพระราชวงศ์ แม้ว่าจะเป็นสตรี แต่ก็ต้องรู้จักรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางจะดีที่สุด เพราะการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตลอดชีวิตย่อมดีกว่าการทำอะไรตามใจไปเรื่อย”
“อ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นรับคำแล้วยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาวางไว้บนโต๊ะหินแล้วเอาหัวซุกไว้ด้านใน “อย่างนั้นท่านอาจารย์ว่าข้าสามารถเรียนทำนายดวงชะตากับท่านได้หรือไม่? ข้าเองก็ไม่ใช่คนในราชวงศ์คงจะไม่เป็นไรกระมัง?”
ในความเป็นจริง ปัจจุบันนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ไม่ดีต่อสตรี แต่นั่นจะเป็นอย่างไรเล่า? ตัวเองขยันให้มากๆ หน่อยก็คงพอชดเชยกันได้?
อีกอย่างไม่มีใครเคยบอกว่าสตรีจะต้องอ่อนแอกว่าบุรุษ? ผู้ที่จะเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาได้ต้องเป็นคนที่คิดว่าชีวิตนี้ของตนจะต้องต่ำต้อยกว่าผู้อื่นเลยหวาดกลัว เพราะหากแม้แต่ตัวเองยังยอมแพ้ เช่นนั้นก็คงไม่เหลือความหวังแม้เพียงน้อยนิด
“อวิ้นเอ๋อร์เจ้าอยากเรียนหรือ?” หรงซู่ยื่นมือออกไปกระทุ้งซูเหลียนอวิ้นที่หมอบอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม
“อยาก!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแววตาของนางเต็มไปด้วยการอ้อนวอนและยืนหยัดที่สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
“เอ่อ แต่ว่าซูเหลียนอวิ้น…” หรงซู่ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “อวิ้นเอ๋อร์เจ้ารู้ฐานะของข้าหรือไม่? ข้าเดาว่า หนานกงคงบอกเจ้าแล้วกระมัง”
“รู้แล้ว หนานกงจวิ้นจู่บอกข้าแล้ว” ท่านอาจารย์ที่น่าสงสาร ต้องทนรับความหันเหในชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก น่าสงสารจนมิอาจจะสงสารไปมากกว่านี้ได้แล้ว!
“ดังนั้นหากอวิ้นเอ๋อร์ต้องการจะเรียน เจ้าต้องเป็นแบบข้าก่อน มิเช่นนั้นก็เรียนไม่ได้”
“อะไรนะ?” หมายความว่าอย่างไร? เป็นเหมือนท่านอาจารย์? คงมิได้…?
“ก็ตามที่เจ้าคิดไว้นั่นแหละ” หรงซู่ยิ้มตาปิดพลางลูบหัวซูเหลียนอวิ้น “หากเจ้าต้องการเรียนเรื่องนี้ ข้อแม้ข้อแรกก็คือคนในครอบครัวทั้งหมดจะต้องได้รับภัยพิบัติจนถึงแก่ความตาย เพราะมีได้ก็ต้องมีเสีย”
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ายังอยากเรียนอยู่หรือไม่?”
“ไม่” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ จากนั้นจึงโน้มตัวด้านบนขึ้นไม่ฟุบหน้าอีกต่อไป เพราะตอนนี้นางรู้สึกว่าโต๊ะหินนี้เริ่มเย็นขึ้น แถมโต๊ะนี้…ตอนนี้นางมือไม้เย็นไปหมด!
“ข้า ไม่ เอา!”
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายมาก” หรงซู่ผายมือทั้งสองออกด้านข้าง “เพราะข้าเห็นว่าเจ้ามีหน่วยก้านดีมาก เพียงดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มีความสามารถแบบหาตัวจับยาก! แต่เจ้ากลับไม่เรียนซะนี่ ช่างน่าเสียดายยิ่ง น่าเสียดายจริงๆ” แม้ว่าปากของเขาจะบอกว่าน่าเสียดาย แต่รอยยิ้มของหรงซู่กลับแสดงออกมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูเหลียนอวิ้นกรอกตาใส่หรงซู่ นางขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว เพราะเรื่องราวของคนในบ้านเอามาพูดล้อเล่นส่งเดชได้หรือ? ใช่หรือไม่?
ท่านอาจารย์ช่างน่านัก! ช่างเถิด เห็นแก่ว่าตอนเด็กเขา…ตอนนี้ขอหยุดพักแล้วปล่อยเขาไปก่อน หากมีครั้งหน้าอีก หรงซู่จะต้องได้เห็นดีแน่!
“ลา ก่อน!” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นเพื่อคะเนเวลาจากนั้นจึงเอ่ยเพียงสองคำนี้อย่างถือตัวเตรียมตัวจะลากลับ
เนื่องจากนางได้รับปากหลีมู่เอาไว้แล้วว่าจะรีบกลับ ดังนั้นครั้งนี้เมื่อพูดไปแล้วก็ไม่ควรผิดคำพูด อีกอย่างตอนที่นางกำลังจะออกเดินทางนั้น สายตาจับจ้องของหลีมู่เช่นนั้น ตอนนี้นางยังคงจำได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน! ไม่ว่าผู้ใดจะมองเห็นต่างถือว่าเป็นโอกาสที่ยากจะเพิกเฉยได้
“อืมๆ ไปเถิดๆ” หรงซู่ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยต่อไปว่า “แต่เมื่ออวิ้นเอ๋อร์กลับไปถึงแล้ว สิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด เรื่องนี้เจ้าคงแยกแยะเองได้อยู่แล้วกระมัง”
“หมายความว่าอย่างไร?” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปสองก้าว มือทั้งสองของนางอุ้มดาบเอาไว้ สีหน้าของนางมองมายังหรงซู่อย่างระมัดระวัง
เมื่อดูสถานการณ์ตอนนี้ ต้องลุ้นเหตุการณ์นาทีต่อนาทีว่านางจะชักดาบออกมาแล้วทะเลาะกับหรงซู่เมื่อไหร่
“เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าพูดอีกรึ?!” เมื่อหรงซู่เห็นการตั้งท่าป้องกันตัวของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้อารมณ์ก็เดือดพล่านขึ้นมา
เขาก้าวไปข้างหน้า มือของเขากำมีดสั้นเอาไว้แล้วจ่อไปเคาะที่ศีรษะของซูเหลียนอวิ้น อีกทั้งท่าทางของเขานั้นไม่เหลือความเมตตาเอ็นดูใดๆ เหลืออยู่อีก “หากเจ้ากล้าไปพูดจาเรื่อยเปื่อยกับหนานกงมู่เสวี่ยล่ะก็…อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าต้องรับผลที่เจ้าทำด้วยตัวเอง!”
ซูเหลียนอวิ้นกุมศีรษะของตัวเองเอาไว้แล้วจ้องเขม็งไปยังหรงซู่ “ท่านจะพูดจาดีๆ ไม่ได้เลยรึ?! หากครั้งหน้าเจ้ากล้าทำร้ายข้าอีก ข้า ข้าจะไปหาหนานกงมู่เสวี่ยที่เรือนของนาง จากนั้นจะนำเรื่องราวทั้งหมดของเจ้าหลายปีมานี้เปิดโปงออกมาให้หมด! มาดูกันว่าเราสองคนใครจะโหดเ**้ยมกว่ากัน!”
หรงซู่ไม่ได้เบามือลงเลยแม้แต่น้อย! นางเจ็บจะแย่อยู่แล้ว! อีกอย่างพูดกันดีๆ ก็ได้มิใช่หรือ? เหตุใดถึงกล้าลงไม้ลงมือกับนาง?! ความแค้นครั้งนี้ นางจะจดจำเอาไว้!
เฮอะ อีกอย่างหนึ่ง นางดูเป็นคนที่ยอมขายอาจารย์เพื่อเพื่อนเลยหรือ? เรื่องราวเช่นนี้นางไม่มีทางทำอย่างแน่นอน!
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นคนขี้ลืมมากทีเดียว เมื่อชั่วยามที่แล้วยังขายอาจารย์ตัวเองอยู่เลย แต่พอถึงตอนนี้กับลืมทุกอย่างไปสิ้นแล้ว
“ไปเถิดๆๆ!” หรงซู่จับตัวของซูเหลียนอวิ้นหันหน้าไปอีกทางหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจเจ้าเป็นอย่างยิ่ง! ดังนั้นอวิ้นเอ๋อร์เจ้ารีบลงเขาไปเสียเดี๋ยวนี้ อีกประเดี๋ยวพอดึกแล้วเจ้ากลับถึงบ้านก็ไม่มีอะไรเหลือให้เจ้ากินอีก! รีบกลับไปเถิด!”
“เฮอะ!” ซูเหลียนอวิ้นแค่นเสียง จวนตระกูลซูมิได้ขี้งกอย่างเจ้า! ที่อยากจะกินข้าวสักมื้อก็ต้องออกไปล่าสัตวากินเอง
อีกอย่างนางยังมีหลีมู่ทั้งคน! หลีมู่ของนางแม้ว่าจะขี้บ่นมากไปหน่อย ส่วนด้านอื่นๆ ดีต่อนางหรือไม่นั้น ตนคงต้องบอกว่าเยี่ยมยอดยิ่งนัก! นางจะยอมให้นางทนหิวได้อย่างไร!
“คุยกันจบรึยัง?” ผ่านไปพักใหญ่ต้วนเฉินเซวียนเดินออกมาจากด้านในกระท่อม น้ำเสียงของคลุมเคลือยากจะเข้าใจ “ดูไม่ออกเลยว่า เจ้ากับแม่นางคนนั้นจะมีความสัมพันธ์ดีต่อกันขนาดนี้ ศิษย์พี่หญิงรู้เรื่องนี้หรือไม่? หากไม่รู้ ข้าคิดว่าพวกเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน จะว่าไปแล้วก็ควรบอกสักหน่อยใช่หรือไม่”
หรงซู่เอ่ยว่า “ศิษย์น้องต้วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่าทางหึงหวงของเจ้าในตอนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว”
ตอนที่ 121 สาปแช่ง
“หรงซู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ต้วนเฉินเซวียนก้าวออกมาข้างหน้าอีกสองสามก้าว แววตาของเขาอยากจะเอาชีวิตของหรงซู่ “เจ้าบอกว่าข้าหึงรึ? ข้าหึงใคร?”
หรงซู่เบี่ยงตัวหลบ “จะหึงผู้ใดได้อีก ก็ต้องหึง…” หรงซู่เอ่ยเพียงครึ่งประโยคก็ตัดสินใจสงบปากสงบคำ สายตาที่เขาใช้มองต้วนเฉินเซวียนวิบวับเป็นประกาย ทว่าแม้ปากของเขาจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ต่อแล้ว ทว่าแววตาของเขากลับแสดงถ้อยคำนับหมื่นนับแสน!
“ข้าหึงซูเหลียนอวิ้นรึ?! หรงซู่เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ? นี่เจ้าเริ่มเพี้ยนไปแล้วรึ!” ต้วนเฉินเซวียนตะคอกใส่เขา
“ดูสิ” หรงซู่ใช้สายตาแบบ เจ้าดูสิ ข้ารู้อยู่แล้ว ขนาดลองเดายังเดาถูก จากนั้นจึงมองไปที่ต้วนเฉินเซวียนแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้ายังไม่ได้เอ่ยเลยว่าเจ้าหึงใคร แต่ตัวเจ้ากลับยอมรับออกมาเองเสียแล้ว ดังนั้นศิษย์น้อง เจ้าอย่าเอาแต่ปากแข็งอยู่เลย”
ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยว่า “….เรื่องสร้างปัญหาเจ้าคือที่หนึ่ง ข้าขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า แต่เมื่อกี้พวกเจ้าสองคนคุยกันเรื่องอะไร? เจ้าต้องเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังอย่างกระจ่างด้วย”
มีเกิดก็ย่อมต้องมีดับ? มีด้านสว่างย่อมมีด้านมืด? ประโยคนี้ต้วนเฉินเซวียนรับประกันได้เลยว่าเขาไม่ได้ฟังผิดอย่างแน่นอน แต่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
เกิด ดับ? ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าเรื่องที่ยุ่งเกี่ยวพัวพันอยู่กับเขาและความขัดแย้งและความลับหลายอย่างของซูเหลียนอวิ้น น่าจะเกี่ยวข้องกับประโยคนี้ ขอเพียงไขความหมายของประโยคนี้ได้ เขารับประกันว่า ปัญหาทั้งหมดจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
“ศิษย์น้องฟังผิดแล้ว” หรงซู่ยกเท้าก้าวเดินไปหยุดที่ตำแหน่งเดิมของตนแล้วจัดแจงยาสมุนไพรของตัวเองต่อ “อีกอย่างอะไรคือเกิด อะไรคือดับ ศิษย์น้องข้าเคยพูดถึงด้วยหรือ? เจ้าฟังผิดไปกระมัง”
“หรง ซู่!” ต้วนเฉินเซวียนเค้นสองคำนี้ออกมาจากลำคอ “เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจะได้ไหม! หากวันนี้เจ้าไม่ยอมพูด ข้าจะเอาเรื่องราวเบื้องหลังของเจ้าทั้งหมดขุดออกมา เจ้าก็รู้ว่าตลอดมาข้าเป็นคนพูดจริงทำจริง”
หรงซู่หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโยนสมุนไพรที่ตากแดดเรียบร้อยแล้วในมือทิ้งอย่างกราดเกรี้ยว
เขาเงยหน้าขึ้นคำรามว่า ชีวิตของเขา ช่างรันทดนัก! เจอศิษย์น้องเป็นแบบนี้ยังไม่พอ แต่ลูกศิษย์ที่รับเอาไว้กลับเป็นเช่นนี้อีก?!
ผู้หนึ่งข่มขู่ตนว่าจะเอาเรื่องราวทั้งหมดของตัวเองเปิดเผยแก่หนานกงมู่เสวี่ย อีกผู้หนึ่งบอกว่าจะขุดเอาเรื่องราวทั้งหมดของเขาออกมาเปิดเผยอย่างถอนราถอนโคน
หรงซู่รู้สึกว่าเมื่อชาติที่แล้วเขาคงติดหนี้คนสองคนนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดชาตินี้คนสองคนนี้ถึงทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเป็นผีทวงหนี้มาคอยตามทวงหนี้เขาอย่างไรอย่างนั้น? เขารู้สึกจริงๆ ว่าตนคงไปติดหนี้คนสองคนนี้ตอนใดตอนหนึ่งอย่างแน่นอน
อีกอย่างหรงซู่คิดว่า เวลาที่สองคนนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็เป็น…ก็เป็นพิษเป็นภัยต่อกันและกันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ก็แล้วกัน? หรืออย่างน้อยๆ ก็ถือเป็นการขจัดความทุกข์ให้เขา
หรงซู่สูดหายใจเข้ายาวเพื่อข่มคำก่นด่าและแช่งชักต้วนเฉินเซวียนเอาไว้ในใจ เนื่องจากลูกศิษย์ของเขาก็ถือเป็นลูกศิษย์ของเขาไม่ว่าจะอย่างไรก็ตัดไม่ขาด อีกอย่างการสาบแช่งเช่นนี้…แช่งเพียงต้วนเฉินเซวียนก็พอแล้ว! เพราะหากมองเพียงผิวเผินแล้วจะให้ความรู้สึกว่าเป็นคำแช่งที่ทำให้รำคาญเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงซู่จึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้อง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าอยากรู้? เพราะเรื่องราวบางอย่าง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งไม่ดี ถ้ารู้น้อยลงหน่อยจะดีกับทุกคนมากกว่า”
“เหตุใดท่านถึงมีคำพูดเรื่อยเปื่อยมากมายเช่นนี้!” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วว่าอยากรู้ นั่นหมายความว่าข้าคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาแล้ว อีกอย่างเจ้า**พูดเรื่อยเปื่อยมากมายเช่นนี้ สุดท้ายข้าก็ยังคงอยากรู้อยู่ดี? ดังนั้นเจ้ารีบหน่อยเถิดจะได้ไม่เสียเวลาของพวกเราทั้งสองฝ่าย”
สีหน้าของหรงซู่ไร้อารมณ์ใดๆ แต่ยังคงแช่งชักเขาอยู่ในใจ เป็นคำแช่งชักประเภทที่ว่าให้น้ำเย็นเข้าไปติดในร่องฟัน[1]ของต้วนเฉินเซวียน!
“เข้ามาข้างในและนอนลง” หรงซู่ชี้ไปยังที่นอนใบใผ่ของตน “อีกประเดี๋ยวพอข้าทำยาเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะเรียกเจ้า จากนั้นเจ้าก็ดื่มยานั้นเข้าไปแล้วนอนหลับสักตื่นหนึ่ง แล้วเจ้าจะรับรู้ความจริงทั้งหมดเอง”
ต้วนเฉินเซวียนจ้องไปทางหรงซู่ที่มองมาที่ตนอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจที่จะทำตามที่เขาพูด จากนั้นจึงนอนลงบนเตียง ทว่าปากของเขากลับยังคงบ่นอุบอิบว่า “แปลกประหลาดพิกล…หากข้ารู้ว่าเจ้าแอบทำอะไรไม่ดีล่ะก็ หรงซู่ หรงซู่ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องเสียใจอย่างถึงที่สุด!”
หากจะเอ่ยถึงความเป็นเจ้าแห่งแผนการแล้ว ต้วนเฉินเซวียนเป็นคนที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง เขาไม่มีทางสู้หรงซู่ได้อย่างแน่นอน และในตอนเด็กเขาก็ติดกับไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ดังนั้นต่อมาเขาถึงจะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนัก
วิธีการที่ดีที่สุดที่จะเอาคืนแผนการเจ้าเล่ห์ได้ก็คือกำปั้น เรื่องราวทุกอย่างเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมันแล้วจะคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย
“ถอดรองเท้าออกด้วย!” หรงซู่ตะโกนบอก
เพราะในขณะที่เขากำลังผสมยาและต้องหันกลับมามองว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังทำท่าทางอย่างไรอยู่ด้วยนั้น เมื่อมองเห็นดังนั้นแล้ว ภาพที่เห็นทำให้หรงซู่โมโหจนแทบจะหน้ามืดไปเลยทีเดียว
ต้วนเฉินเซวียนขึ้นมานอนบนเตียงของเขาและก็นอนไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ไม่ยอมถอดรองเท้าออก!
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้หรงซู่รับไม่ได้อย่างมาก เพราะสำหรับหรงซู่นั้น การให้ผู้อื่นขึ้นไปนอนบนเตียงของตัวเองได้ถือว่าเป็นเรื่องที่พิเศษและใจกว้างมากแล้ว แล้วเจ้ายังกล้าไม่ถอดรองเท้าอีกหรือ?! หากย่ำเตียงของเขาเละเทะไปจะทำอย่างไร?
เพราะอีกครู่หนึ่งผลจากการกินยาเข้าไป หรงซู่อาจจะไม่สามารถคาดคะเนได้ถึงแปด เก้าส่วนในสิบส่วน แต่ก็พอจะรู้ผลถึงสามสี่ส่วน เขาจะต้องผจญกับฝันร้ายอย่างแน่นอน!
หากถึงตอนนั้นผลจากการไม่ถอดรองเท้าจนทำให้เตียงของเขาสกปรกขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องทำความสะอาดเพียงคนเดียวอยู่ดี เพราะคนอย่างต้วนเฉินเซวียนดูเป็นคนที่จะช่วยทำความสะอาดอย่างนั้นหรือ?
ดูแล้วไม่ใช่
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปยังหรงซู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยอมถอดรองเท้าอย่างว่าง่าย การไม่เถียงหรงซู่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง! เนื่องจากตอนนี้ใจของต้วนเฉินเซวียนค่อนข้างร้อนรน
คำตอบอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาไม่อยากรออีกต่อไป ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เอาวางทิ้งไว้ข้างหลังก่อนจะดีกว่า
จัดการเรื่องที่ค้างคานี้ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นค่อยต่อยหน้าหรงซู่สักทีก็ยังไม่สาย
“นอนเรียบร้อยแล้วใช่รึไม่” เวลาผ่านไปเนินนาน หรงซู่จึงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ เจ้าดื่มนี่ซะ จากนั้นก็แค่รอ”
ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือออกไปรับถ้วยมาจากมือของหรงซู่ มองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงพบว่าของเหลวที่อยู่ในถ้วยเป็นสีม่วงเข้ม เมื่อมองแล้วให้ความรู้…แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ใส่ยาพิษให้ข้า?” ต้วนเฉินเซวียนเหล่มองหรงซู่อย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก น้ำเสียงของเขากังวลอย่างยิ่ง! เพราะของชิ้นนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกว่าน่าสะอิดสะเอียน แล้วจะให้เขาดื่มของเช่นนี้เข้าไปได้อย่างไร?
“มาถึงขั้นนี้แล้ว! เจ้าจะยังลีลาอะไรอยู่อีกเล่า?” หรงซู่ยัดแก้วเข้าไปตรงกลางอกของต้วนเฉินเซวียน “โอกาสมีครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลยนะ! หากเจ้าพลาดโอกาสวันนี้ไป ครั้งหน้าไม่ว่าจะพูดอย่างไรหรือใช้วิธีการอะไร ข้าจะไม่มีทางรับปากเจ้าอย่างแน่นอน”
“อื้ม” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้ากระดกของเหลวในแก้วเข้าปากหมดรวดเดียว วินาทีต่อมาจากนั้น แก้วในมือของเขาก็ร่วงลงบนพื้น ส่วนตัวคนก็ฟุบหมดสติไป…
หรงซู่เก็บกระบอกไม้ไผ่ที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมา “ยังดี…ที่ข้าไหวพริบดีจึงเลือกใช้อันนี้ หากใช้แก้วกระเบื้อง ป่านนี้แก้วของข้าคงจะแตกไปอีกใบ”
——
[1] น้ำเย็นเข้าไปติดในร่องฟัน มีความหมายว่าโชคร้ายที่สุด ทำอะไรก็ไม่ราบรื่น เพราะโดยปกติแล้วน้ำเปล่าไม่มีทางติดร่องฟันได้
ตอนที่ 122 ความหลัง
เมื่อต้วนเฉินเซวียนตื่นขึ้นมา ความมืดก็ได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?” ปากของหรงซู่ยังคงมีน่องไก่คาอยู่โดยเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง “เจ้าหลับไปนานมาก ข้ายังนึกว่าเจ้าจะหลับไปสักสองสามชั่วยามเท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าเจ้าจะหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ!”
“แต่ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว ตื่นมาเจ้าก็ไปได้แล้ว ข้าง่วงแทบแย่ เตียงของข้าถูกเจ้ายึดไปเช่นนี้ แถมข้ายังต้องกังวลอีกว่าเจ้าจะขยับตัวแรงจนกลิ้งตกลงมา ศิษย์น้อง วันนี้เจ้าติดหนี้ข้าไว้มากทีเดียว”
ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นนั่งแล้วก้มหน้ามองพื้นอยู่นานโดยไม่เอื้อนเอ่ย
“ศิษย์น้อง?” หรงซู่ยืนขึ้นแล้วโบกมือตรงหน้าต้วนเฉินเซวียนแล้วพึมพัมขึ้นว่า “ยานี้คงมิได้มีผลข้างเคียงกระมัง? ทำให้คนทึมทือแบบนี้ได้ด้วยรึ?! ก็ใช่…นี่เป็นครั้งแรกที่เราลองใช้ ศิษย์น้อง ให้อภัยข้าด้วย อภัยให้ข้าด้วย” หรงซู่หัวเราะแหะๆ แล้วตบไหล่ของต้วนเฉินเซวียน
“หนวกหู” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาเย็นเฉียบแล้วเอ่ยเสียงแข็งว่า “หรงซู่เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”
“ดูแล้วไม่ได้เป็นอะไร” หรงซู่ยิ้มแล้วหมุนตัวกลับลงไปนั่งที่ตำแหน่งเดิม “ไร้สาระ ถ้าไม่มีข้า เจ้าคิดว่าจะมีนางในตอนนี้หรือไม่?”
“แล้วอย่างไร? เจ้ายอมให้ข้ารู้เรื่องนี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าลงพยายามที่จะไม่เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองออกไป
ชีวิตมนุษย์ดั่งความฝัน แม้ว่าจะถือว่าเสียเวลาที่นี่ แต่ก็ผ่านไปเพียงแค่สองสามชั่วยามเท่านั้น ทว่าในความฝันเขากลับได้เห็นชีวิตของคนคนหนึ่งทั้งชีวิต คนที่มีชีวิตพัวพันกับเขาอยู่ตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง!
ต้วนเฉินเซวียนได้เห็นการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างตัวเขากับซูเหลียนอวิ้น ได้เห็นการสารภาพรักครั้งแรกของซูเหลียนอวิ้นและตัวเขาได้ปฏิเสธนางไปอย่างไรและยังมีเรื่องราวต่างๆ ที่เขาทำให้ซูเหลียนอวิ้นต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลราวกับความฝันแสนเนิ่นนานแต่ให้ความรู้สึกถึงความจริงอย่างมาก
“ข้าจะมีจุดประสงค์อะไรได้” รอยยิ้มของหรงซู่อันตรธานหายไปแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เป็นเรื่องราวระหว่างพวกเจ้าสองคน ส่วนข้าก็มีหน้าที่เป็นคนกลางเท่านั้น
“เจ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ด้วยเหตุนี้ต่อมาเจ้าจึงร้องขอผลลัพธ์นี้ ดังนั้นตอนนี้…ทั้งหมดก็อยู่ที่เจ้าแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไร หรือจะบอกว่าเจ้าเสียดายเสียแล้ว?”
“ข้าไม่เคยเสียดายมาก่อน” ต้วนเฉินเซวียนเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง ความทระนงตัวเหนือผู้อื่นของเขาได้กลับมาอยู่ในสายตาของเขาตามปกติแล้ว “เมื่อชาติที่แล้ว ข้าทำให้นางรักข้าได้ เช่นนั้นชาตินี้ก็ต้องทำได้เช่นกัน และแม้ว่าชาตินี้จะมีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ กวนใจ แต่ข้าเชื่อว่านั่นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ชีวิตของนางเป็นของข้าได้เพียงผู้เดียว”
“ชีวิต ข้าเป็นคนให้ ตายก็ต้องตายด้วยกัน”
“ฮ่าๆๆๆ” หรงซู่โยนกระดูกที่ตัวเองกินหมดแล้วทิ้งไปแล้วเช็ดมือแล้วเอ่ยว่า “ดี แต่ศิษย์น้องต้องจำเอาไว้ โอกาสมิอาจปล่อยผ่าน เพราะหากเสียไปแล้วมิอาจหวนคืน เรื่องราวทั้งหมดที่เจ้าเคยทำในอดีตถือเป็นการท้าทายโชคชะตา มิใช่ว่าทุกครั้งจะโชคดีแบบนั้นอีก”
“ข้ารู้” ต้วนเฉินเซวียนยืนขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ข้าไปก่อนแล้ว”
“ไม่ส่งนะ”
หลังจากที่ต้วนเฉินเซวียนออกจากที่พักของหรงซู่มาแล้ว เขาก็มิได้ใช้วิชาตัวเบาแต่อย่างใด นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเดินกลับทีละก้าวๆ เช่นนี้ ทั้งยังเป็นการก้าวเดินที่เชื่องช้า
ตัวเขาสงบลงบ้างหรือไม่? ต้วนเฉินเซวียนส่ายหัวให้กับตัวเอง มือของเขาตอนนี้เริ่มมีอาการสั่นเทา
“ซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเสียงอ่อย “ที่แท้แล้วข้าติดหนี้เจ้าไว้มากมายนัก”
ในความฝัน สภาพตอนที่ซูเหลียนอวิ้นตาย ภาพนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างชัดเจน
เลือดออกจากทั้งเจ็ดทวารบนใบหน้า ทั่วร่างของนางเจ็บปวดแต่กลับหันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้น ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่เจ็บปวดที่สุดที่เขาเคยเห็นบนโลกใบนี้ ความเจ็บปวดเช่นนั้น แม้ว่าตอนนี้จะคิดย้อนกลับไปก็สามารถทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากชีวิตต่อไป
ด้านหน้า มีกำแพงขวางทางของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้
เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาจึงพบว่าตนเดินมาถึงประตูด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ตอนนี้ในใจของต้วนเฉินเซวียนรู้สึกสับสน เขาไม่รู้ว่าควรเข้าไปด้านในหรือไม่…เนื่องจากตอนนี้เขาอยากจะพูดประโยคประโยคหนึ่งกับซูเหลียนอวิ้น บอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอร้องให้นาง…ช่วย….
แต่คำพูดเช่นนี้เมื่อต้วนเฉินเซวียนพิจารณาแล้วกลับรู้สึกว่าน่าขายหน้ายิ่ง ทั้งยังแปลกประหลาดอีกด้วย อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นกลัวเขาขนาดนั้น รวมทั้งสายตาเย็นชาของนาง ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาถอยหลังกลับไปอยู่ที่เดิม
เขายอมให้นางด่าเขา ต่อยเขาหรือทำร้ายเขาได้อย่างเต็มที่ แต่ได้โปรดอย่า…เย็นชาและหวาดกลัวเขาเช่นนี้
คำพูดสุดท้ายของหรงซู่เมื่อชาติก่อน เขาคิดว่าเขาสามารถเข้าใจได้ และเมื่อมาถึงชาตินี้ เขาจำต้องจ่ายค่าชดเชยบ้างแล้ว
เนื่องจากสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นต้องสูญเสียไปทั้งหมดเมื่อเกิดใหม่มาในชาตินี้ นอกจากจะเป็นชีวิตของเขา แต่ยังเป็นความรักที่ซูเหลียนอวิ้นมีต่อเขาด้วย เมื่อสองอย่างนี้รวมกันบวกกับการกระทำของเขาในชาตินี้ ตัวเขาก็ต้องลิ้มรสชาติความเจ็บปวดที่ซูเหลียนอวิ้นเคยลิ้มรสเมื่อชาติที่แล้วและโทษทัณฑ์ต่างๆ เช่นกัน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นถือว่ายังไม่ได้เกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ เพราะเขายังไม่ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดและทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะได้รับ ดังนั้นหากเขายังคงไม่ลงมือทำอะไร ผลที่จะเกิดขึ้นกับซูเหลียนอวิ้นในตอนสุดท้าย นางอาจจะแตกสลายไปเพราะจิตวิญญานของนางพร่าเลือนและไม่แข็งแกร่ง
ความเจ็บปวดหรือความเหนื่อยล้า ต้วนเฉินเซวียนไม่เคยหวาดหวั่น แต่สิ่งที่เขากลัวที่สุดในตอนนี้คือความรักที่ซูเหลียนอวิ้นมีต่อเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเงื่อนไขของการกลับมาเกิดใหม่ยังคงอยู่ตรงนั้น เขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นปัญหาจะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมมากนัก อย่างน้อยๆ เรื่องราวอื่นๆ ยังพอหาทางแก้ไขได้ แต่สิ่งนี้…เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร
ณ สวนสาลี่
คืนนี้ซูเหลียนอวิ้นนอนไม่กลับ เนื่องจากไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าตัวเองวิตกกังวลอย่างยิ่ง นางจึงนอนไม่หลับ อีกอย่างพอนางล้มตัวลงนอนบนเตียงกลับอยากลุกขึ้นมานั่งแล้วก็เดินวนไปวนมา
ความรู้สึกลึกๆ ของนางที่บอกว่าคืนนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น!
ทว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้? เพราะพิธีปักปิ่นสิ้นสุดไปแล้ว และช่วงนี้ก็มิได้มีงานเลี้ยงอะไรเหล่านี้อีกแล้ว ดังนั้นความวิตกกังวลของนางในตอนนี้เกิดจากอะไรกัน? ถึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจและข้องใจเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังเดินวนไปวนมาจนเบื่อแทบแย่อยู่นั้น เปลวเทียนของนางพลันสั่นไหว นางจึงหยิบกระบี่ที่วางไว้ข้างตัวนางขึ้นมาแล้วระแวดระวังรอบด้าน
หรือว่าคืนนี้จะมีขโมย? ใจกล้ามากทีเดียว จะขโมยของกลับมาขโมยที่จวนแม่ทัพ ห้าวหาญยิ่งนัก
“ซูเหลียนอวิ้น”
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังถือโอกาสจะหมุนตัวกลับไปในขณะที่คนด้านหลังไม่ได้ทันระวังตัว แล้วใช้กระบี่แทงสักทีนั้น แต่เมื่อนางได้ยินเสียงนี้ร่างทั้งรางของนางพลันสะท้าน
“ต้วน ต้วน ต้วนเฉินเซวียน?” ซูเหลียนอวิ้นถอยกรูดไปด้านหลังจนกระทั่งหลังของนางประชิดกำแพงและไม่สามารถถอยหลังไปได้อีกแล้วถึงจะเอ่ยว่า “ดึกดื่นป่านนี้ ท่านเข้ามาในห้องข้าด้วยเหตุใด!”
คงมิได้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องราวในวันนั้นอยู่นะ? แต่นางก็ขอโทษไปแล้วนี่?! หรือว่าคำพูดที่พูดไปไม่มีประโยชน์? เพราะยังไม่ได้ลงไม้ลงมือกับนาง?
ตอนที่ 123 ไม่ติดค้างกันอีกต่อไป
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนอยากจะก้าวออกไปข้างหน้าอีกสักครึ่งก้าว แต่เมื่อเห็นสายตาหวาดกลัวและระแวดระวังของซูเหลียนอวิ้น ฝีเท้าของเขากลับหยุดชะงักอยู่ที่เดิม
เขาก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโดดเดี่ยว “ข้า…ซูเหลียนอวิ้น ข้าขอโทษ”
“ห๊ะ?” ห๊ะ?!
ต้วน ต้วนเฉินเซวียนพูดว่าอะไรนะ? บอกว่าขอโทษ?! กำลังพูดกับนางหรือ?!
พระเจ้า นางต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ! เพราะว่าตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดหมดแล้ว เฮ้อ ดูท่าแล้วช่วงนี้คงต้องกินยากล่อมประสาทเข้าจริงๆ เสียแล้ว
เพราะจะให้นางมานั่งฝันทุกวันแบบนี้ก็คงมิใช่เรื่อง! อีกอย่างควาฝันนี้นับวันก็ยิ่งเหมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ดูสิ ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนว่าเห็นต้วนเฉินเซวียนตัวเป็นๆ เลยทีเดียว
“ซูเหลียนอวิ้น” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่านางไม่สนใจตน จิตใจของเขาก็ร้อนรน จึงต้องเรียกนางขึ้นมาอีกรอบ “ซูเหลียนอวิ้น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเหลียนอวิ้นคงมิได้ตัดสินใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้วนับจากนี้ไปกระมัง? แต่กระมังที่เรียกว่าตัวเองทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลนั้น
ต้วนเฉินเซวียนเตรียมจะก้าวเท้าเพื่อเข้าไปดูซูเหลียนอวิ้นให้ละเอียดว่านางเป็นอย่างไรแล้วในตอนนี้ เพราะว่า…ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ดูท่าแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนางเซื่องซึมไปแล้ว? นางเพียงกระพริบตาปริบๆ และไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นตามมาอีก
“ท่าน ท่าน ท่าน อย่าเข้ามานะ!” ซูเหลียนอวิ้นเอามือกุมกระบี่ของตัวเองเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น “ถอยไป! อยู่ห่างๆ ข้า! ไม่งั้นเราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง”
เมื่อกี้นางลองหยิกตัวเองดูแล้วที่กลางฝ่ามือของตน และนางรู้สึกว่าเจ็บปวดมาก! อีกอย่างรอยแดงที่ปรากฏอยู่ไม่มีทางเป็นของปลอมได้
เช่นนั้นก็หมายความว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง! ต้วนเฉินเซวียนบุกมาหานางที่ห้องกลางดึก!
ต้วนเฉินเซวียน…เขาคงไม่ได้โดนผู้ใดวางยาสลบมากระมัง? หรือว่าเขาดื่มเหล้าเยอะเกินไป ดื่มเยอะไปกระมัง? เท้าของเขาเลยล่องลอยมาถึงที่นี่
มิเช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นก็คงคิดคำอธิบายใดๆ ไม่ออกที่จะสามารถทำให้เข้าใจพฤติกรรมของต้วนเฉินเซวียนขณะนี้ได้
เพราะว่าคนอย่างต้วนเฉินเซวียน รู้จักขอโทษผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งสิ้น ดีมาก เจ้าต้องขอร้องให้เขาอภัยให้ เป็นความผิดของเขาหรือ? ดียิ่ง เจ้าก็ต้องขอร้องให้เขาอภัยให้เช่นกัน เพราะหากดูจากนิสัยของต้วนเฉินเซวียนแล้ว สาเหตุเป็นเพราะเจ้าทำให้เขาไม่สบายใจเอง ดังนั้นเขาจึงต้องหาเรื่องเจ้าอย่างไรเล่า
อีกอย่างการที่เขาหาเรื่องเจ้า เจ้าต้องซาบซึ้งในตัวเขาจึงจะถูก ผู้อื่นอยากให้เขาจับผิดจะแย่ แต่กลับไม่ได้รับโอกาสนั้น
ดังนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า สิ่งมีชีวิตที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นอยู่ในตอนนี้ ผู้ที่ขอโทษเป็นผู้นี้คือต้วนเฉินเซวียน ดังนั้นระดับความประหลาดใจในตอนนี้จึงไม่ต่างไปจากความรู้สึกที่นางได้ยินว่าพ่อของนางกำลังตั้งท้อง!
ผลที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่านางเพียงตกใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกดีใจ!
“ซูเหลียนอวิ้น ข้าขอโทษ” ต้วนเฉินเซวียนถอยไปข้างหลังอย่างว่าง่าย จากนั้นยังคำนับให้ซูเหลียนอวิ้นอีกทีแล้วเอ่ยว่า “ซูเหลียนอวิ้น เรื่องราวในอดีตทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า! เจ้าช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่!”
“ฮะ? เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าเบาๆ ในใจของนางกำลังคลุ้มคลั่ง ดูเหตุการณ์แล้วท่าทางจะไม่ปกติจริงๆ!
ตอนนี้นางหวังเพียงว่าต้วนเฉินเซวียนจะพูดให้จบโดยเร็ว จากนั้นก็รีบกลับไปซะ แล้วก็กลับไปนอนตื่นใหญ่ๆ สักตื่น ให้การนอนครั้งนี้เป็นการนอนติดต่อกันไปสองวันจนลืมเรื่องราวทุกอย่าง เพราะหากเขากลับไปเป็นปกติอีกครั้ง แล้วนึกได้ว่าตัวเองเคยมีช่วงเวลาที่น่าขายหน้าเช่นนี้เกรงว่าจะกลับมาหาเรื่องนางอีกรอบ
เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรล้วนไม่ดีต่อนางทั้งนั้น?! เพราะนางไม่ได้ทำอะไรให้เขาสักหน่อย!
“เจ้าเอ่ยอย่างนี้ แสดงว่าให้อภัยข้าทุกอย่างแล้วหรือ?” แววตาของต้วนเฉินเซวียนปรากฏความเจ้าเล่ห์ขึ้นพลางเอ่ยปากถาม
“เปล่า” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าแล้วตอบตามความจริง “ข้าเพียงตอบรับไปส่งๆ เท่านั้น” ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนอายุมากกว่านางอย่างเขาลดตัวลงมาขอโทษขอโพยนางเช่นนี้…คิดๆ ดูแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ดังนั้นหากเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา นางจะยอมใจอ่อนให้กับการขอโทษแบบพื้นๆ เช่นนี้หรือ? อีกอย่างเป็นเพราะเขาขอโทษอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ทำให้จิตใจของนางรู้สึกหวาดผวาจนได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ตอนนี้ความแค้นใหม่กับความแค้นครั้งเก่าจึงหลอมรวมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“เช่นนั้นข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมขอโทษข้า” ต้วนเฉินเซวียนกอดอก น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความได้เปรียบ
ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าในใจ เป็นอย่างที่คาดไว้ ต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ต่างหากถึงจะปกติหน่อย แม้ว่าดูๆ แล้วจะยังคงมีท่าทางยอมให้นางตบตีเขาอยู่ แต่จะอย่างไรก็มีท่าทางคล้ายเขาในตอนปกติอยู่ดี!
ดีกว่าท่าทางเป็นคนดีของเขาเมื่อกี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
“เช่นนั้นท่านต้องบอกมาก่อนว่า ท่านขอโทษข้าด้วยเรื่องใด” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องตรงไปที่ต้วนเฉินเซวียน “คงไม่ได้หมายความว่าท่านเอ่ยคำขอโทษแล้วข้าจะต้องยอมรับกระมัง? เพราะต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงจะไม่ทำอะไรแบบนี้เช่นกัน?” นั่นเป็นเพราะว่าฮ่องเต้ไม่เคยขอโทษ ดังนั้นจึงไม่มีทางทำแบบนี้…
ทว่าสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นคิดไม่ถึงก็คือ เดิมทีนางคิดว่าประโยคนี้เป็นการเยาะเย้ยที่เจ็บแสบ แต่ภายหลังนางจะมีโอกาสได้เห็นว่าฮ่องเต้ก็ขอโทษเป็น…
แม้ว่าจะไม่ได้ขอโทษนาง
“ข้า…” ความคิดของต้วนเฉินเซวียนแล่นอย่างว่องไว เพื่อเสาะหาเหตุผลดีๆ สักข้อ เพราะเขารู้สึกว่าหากเอ่ยออกไปโดยตรง ด้วยนิสัยของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้แล้วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น! และจากนี้เป็นต้นไปนางจะพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาเข้าไว้เพื่อหลบหน้าหลบตาเขาให้พ้นๆ
เพราะซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ก็เริ่มหลบหน้าเขาแล้ว หากปล่อยให้ซูเหลียนอวิ้นรู้อีกว่าเขารู้ความลับสำคัญของนางแล้ว…
เขาเกรงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยออกมาว่ายอมรับคำขอโทษของเขาจากนั้นก็พูดต่อว่า ต่อจากนี้พวกเราสองคนไม่ติดค้างอะไรกันอีก เนื่องจากเขาได้สำรวจเรื่องราวเมื่อชาติก่อนอย่างละเอียดแล้ว ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีและพร้อมรับมืออยู่แล้ว
แต่หากหาเหตุผลไม่ให้ได้ คงจะ…
“ข้าขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าทั้งหมดในงานพิธีปักปิ่นวันนั้น”ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นด้วยสายตาสัตย์ซื่อ “เหตุการณ์ในวันนั้น ข้าได้…ทำให้เจ้าหวาดกลัวหรือไม่? ซูเหลียนอวิ้นข้าขอโทษเจ้าจริงๆ เจ้าให้อภัยข้าได้หรือไม่?”
เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดในวันงานพิธีปักปิ่นอีกแล้วหรือ? สายตาของซูเหลียนอวิ้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หรือว่า…คงจะไม่…ต้วนเฉินเซวียนในตอนกลางวันกับกลางคืนอาจจะเป็นสองคนที่แตกต่างกัน? ความรู้สึกนึกคิดและลักษณะที่แตกต่างกัน?
เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเหตุใดตอนเช้าถึงมีท่าทางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อคน แต่ตอนนี้กลับมีท่าทางอ่อนแอ สายตาของเขาให้ความรู้สึกน่าสงสารราวกับลูกแกะตัวน้อยตัวหนึ่งเช่นนั้น?
สุดท้ายแล้ว…แม้ว่าจะผ่านมาสองชาติแล้ว เขาก็ยังเข้าใจต้วนเฉินเซวียนน้อยอยู่ดี!
“หากท่านกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ข้าสามารถอภัยให้ท่านได้” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าด้วยสายตาเป็นมิตร
นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่านางกลัวหรือระแวงต้วนเฉินเซวียนจนไม่กล้ามีเรื่องกับเขาอีก แต่เหตุผลสำคัญคือนางคิดว่าการมีเรื่องอะไรประเภทนี้…เป็นเรื่องที่วุ่นวายอย่างยิ่ง! เพราะตอนนี้นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับต้วนเฉินเซวียนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นตอนนี้สะสางปัญหาให้จบไปก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยๆ ดูผิวเผินแล้วพวกเขาทั้งสองคล้ายไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว? อืม เช่นนั้นตอนนี้ก็ต่างคนต่างแยกย้ายได้แล้ว
“เจ้ายังมีเรื่องอื่นใดจะพูดอีกหรือไม่?” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าแววตาของซูเหลียนอวิ้นเริ่มจืดจางลงไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกร้อนใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้อยากจะพูดกับข้าเลยหรือ?”
ตอนที่ 124 นอนกลางวัน
“มีก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นด้วยสายตาสงบนิ่ง “หากคุณชายไม่มีเรื่องอื่นที่จะต้องพูดแล้ว ข้าก็หวังว่าคุณชายคงจะกลับไปได้แล้ว” หากมีคนเข้ามาพบว่านางซ่อนคนเอาไว้ในห้องกลางดึกเช่นนี้ แถมคนผู้นั้นยังเป็นผู้ชายอีกด้วยล่ะก็…ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาเป็นสิ่งที่จินตนาการได้ไม่ยากเลย!
“ข้า…”
“หรือว่าคุณชายยังมีเรื่องอื่นใดอีก?”
“ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “หากยังมีธุระจะพูดต่อ ก็รีบพูดมาเถิด” ต้วนเฉินเซวียนกลายเป็นคนอืดอาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? อ้ำๆ อึ้งๆ กระอึกกระอักอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยพึมพำคำๆ นี้ออกมา
เมื่อก่อนไม่ว่าเขาอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น เพราะเขาจะพูดอะไรล้วนไม่มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“ข้าไม่มีธุระแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานกว่าจะเอ่ยสี่คำนี้ออกมาได้
ต้มกระต่ายต้องใช้น้ำอุ่น รีบร้อนไปจะเสียรูปการณ์
ถึงอย่างไรตอนนี้กระต่ายก็ยืนอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว คงจะหนีไปไหนไม่พ้นกระมัง เขาต้องอดทนไว้ก่อนถึงจะสำเร็จ เพราะหากน้ำอุ่นเกิดร้อนเกินไปเพียงชั่วขณะเจ้ากระต่ายก็จะถูกลวกตาย เช่นนั้นจะยิ่งวุ่นวายไปใหญ่!
นี่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าในสายตาของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ ตัวเขาเป็นเช่นไร ทว่าทุกอย่างต้องมีความเชื่อ ชีวิตนี้ยังมีเวลาอีกยาวนาน เวลาที่ทั้งสองยังเหลืออยู่สามารถค่อยๆ ทำความเข้าใจกันอย่างไม่ต้องรีบร้อนและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วส่งสายตาไปที่ประตู กิริยานี้เพียงไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นว่าเชิญออกไปเดี๋ยวนี้
“เอาไว้คราวหน้าข้าจะมาหาเจ้าใหม่” ก่อนที่ต้วนเฉินเซวียนจะออกไปก็ทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านี้แล้วมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างหมดหนทาง
มาหาใหม่?!
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกไปดันกำแพงเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้เพื่อให้ตัวเองยืนได้อย่างมั่นคงขึ้น นางไปทำให้คุณชายผู้นี้ไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…เมื่อชาติก่อนนางทุ่มเทแรงกายแรงใจตั้งมากมาย แต่ต้วนเฉินเซวียนกลับไม่เคยสนใจนางสักนิด
พอมาถึงชาตินี้ นางพยายามที่จะหลบเขาให้ห่างอย่างน้อยสักแปดจั้ง ผลสุดท้ายกลับไปยั่วยุให้เขาเข้ามาหานางเสียเอง?
โธ่เอ๊ย ชะตาที่ชีวิตอันแปรปรวนและเส้นทางชีวิตที่ขมขื่นของนาง!
……
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” หลังจากที่หลีมู่เห็นม่านที่เตียงเริ่มไหวและเห็นเงาคนขยับ นางก็รีบลุกยืนขึ้นแล้วเปิดม่านออกพร้อมขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
ซูเหลียนอวิ้นโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรงพร้อมเอ่ยตอบว่า “ขอน้ำให้ข้าสักแก้วเถิด” จิตใจของนางอิดโรย ร่างกายของนางเหนื่อยล้า นี่คือสภาพของนางในตอนนี้
“คุณหนู มาดื่มน้ำเจ้าค่ะ” หลีมู่ดึงหมอนที่อยู่ด้านข้างออกมาแล้วเอารองไว้ด้านหลังของซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง “คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้เริ่มหิวแล้วใช่หรือไม่? คุณหนูคงไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าไหร่แล้วกระมัง! ตอนนี้ถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้วนะเจ้าคะ! คุณหนูหลับไปนานทีเดียว…” หลีมู่แอบบ่นในใจ เพราะเมื่อคืนก็ฝันร้ายหมดสภาพ แถมวันนี้ยังนอนตื่นสายถึงตอนนี้อีก!
เวลาตื่นและเวลาพักผ่อนของคุณหนู…แปรปรวนเป็อย่างยิ่ง!
“เช่นนั้นก็ตั้งสำรับเถิด ข้าเริ่มหิวแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นอ่านสายตาของหลีมู่ออก แต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เนื่องจากตอนนี้นางรู้สึกเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง! ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ ในตอนนี้นางขอพักเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
อันที่จริงนางตื่นขึ้นมาแต่เช้าแล้ว แต่พอนางลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นภาพที่ต้วนเฉินเซวียนยืนอยู่ที่ห้องของนางเมื่อคืนนี้พร้อมพูดขอโทษขอโพยนาง!
น่าสยดสยองอย่างยิ่ง! ทั้งยังทำให้นางคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัวอย่างหยุดไม่ได้ การกระทำของต้วนเฉินเซวียนเมื่อวานนี้ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อะไรกันแน่!
ดังนั้นทุกครั้งที่นางตื่นขึ้นแล้วพลิกตัวต่ออีกสักสองสามครั้ง จากนั้นจึงบังคบตัวเองให้นอนต่ออีกสักพัก เพราะซูเหลียนอวิ้นคิดว่านางจำเป็นต้องหลีกหนีโลกแห่งความจริงเสียแล้ว! ความจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดวุ่นวายและทำให้นางคิดไม่ออกหาเหตุผลไม่ได้! แต่ในฝันกลับมีเหตุผลกว่า
เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงไปนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารแล้วทานอาหารอย่างอ้อยอิ่ง และในตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากชมว่าวันนี้ข้าวต้มที่พ่อครัวทำรสชาติไม่เลวอยู่นั้น ก็มีเสียงหายใจหอบและเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนดังขึ้นมาขัดจังหวะนางตอนนั้นพอดี
“คุณหนูใหญ่!” เสียงของชายรับใช้ดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู
ซูเหลียนอวิ้นวางชามและตะเกียบในมือลง สายตาของนางปรากฏแววสงสัยแล้วทำท่าบอกให้หลีมู่ออกไปสืบดู เวลาเช่นนี้แล้วคงจะมีเรื่องอะไรสำคัญมารายงานนางกระมัง? มิเช่นนั้นเหตุใดจะต้องรีบวิ่งหอบมาหานางเช่นนี้ ทำอย่างกับเป็นวิญญาณที่รีบวิ่งมาเข้าท้องนางเพื่อจะได้เกิดใหม่อย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้นรึ?” หลีมู่ผลักประตูเปิดออกอย่างช้าๆ และยังคงยืนอยู่บนระเบียงทางเดินพลางกวาดตามองไปที่ชายรับใช้ที่หมอบอยู่ด้านล่างด้วยท่าทีของหญิงรับใช้ข้างกาย ตอนนี้ท่าทางของนางแสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มที่!
“ท่านพี่หลีมู่” ชายรับใช้คนนั้นก้มตัวลงต่ำยิ่งขึ้น “พี่หลีมู่ขอรับ ด้านนอกมีคนมากลุ่มหนึ่งพวกเขาบอกว่ามีของจะมอบให้คุณหนูของเรา แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร” หลีมู่รู้สึกได้ว่าคำพูดอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของชายรับใช้คนนี้มีความสำคัญกว่าจึงรีบเอ่ยเร่งขึ้น “มีเรื่องอะไรก็รีบพูด เจ้ากล้าทำธุระของคุณหนูล่าช้ารึ?”
“แต่…” สีหน้าของชายรับใช้ผู้นั้นลำบากใจ “แต่ของที่พวกนั้นมันเยอะเกินไปแถมยังเป็นของล้ำค่าอีกต่างหาก!” เช่นนี้แล้วเขาจะกล้ารับไว้ได้อย่างไร! เพราะหากเป็นผู้ที่คิดอยากจะติดสินบนขึ้นมาจะทำอย่างไร? นายท่านของเขาก็ยากจะติดต่อได้แถมยังไม่รู้จะติดต่ออย่างไร ดังนั้นจึงต้องหันมาพึ่งคุณหนูแทน
มิเช่นนั้นจะมีผู้เอ่ยหรือว่า คนที่จะเป็นขุนนางใหญ่ได้ต้องครุ่นคิดให้รอบคอบ! ชายรับใช้แอบคิดในใจ น่าเสียดายที่ความคิดนั้นไม่ได้ใช้อย่างถูกที่
เมื่อหลีมู่ได้รับสายตาพิลึกพิลั่นสื่อถึงความนัยบางอย่างจากชายรับใช้ผู้นั้น ตอนนั้นนางจึงเข้าใจถึงความหมายแท้จริงที่แฝงอยู่ หว่างคิ้วของนางจึงขมวดแน่นขึ้นอย่างเคร่งขรึมแล้วเอ่ยว่า “แล้วฮูหยินล่ะ? เหตุใดเจ้าไม่ไปแจ้งแก่ฮูหยินก่อน?”
วันนี้ฮูหยินไปหอผิ่นหวา ถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ”
“เช่นนั้นฮูหยินใหญ่ล่ะ?”
“ฮูหยินใหญ่…ตอนนี้กำลังนอนกลางวันอยู่ ดังนั้น…ข้าน้อยไม่กล้ารบกวน” เนื่องจากคนทั้งจวนแม่ทัพต่างรู้ดีว่า สำหรับฮูหยินใหญ่ของพวกเขาแล้ว การนอนกลางวันถือเป็นเรื่องสำคัญมากขนาดไหน!
ครั้งหนึ่งซูปั๋วชวนกลับมาถึงที่จวนแล้วอยากจะแวะไปดูหวังฉือหวนก่อนสักหน่อย สุดท้ายกลับโชคไม่ดีเท่าไหร่ ตอนนั้นหวังฉือหวนเพิ่งจะล้มตัวลงเตรียมตัวจะนอน แต่สุดท้ายกลับโดนการเข้ามาในเรือนอย่างกะทันหันของเขาทำเอานางตกใจตื่น
ตอนนั้นหวังฉือหวนตื่นขึ้นมาทันที จากนั้นจึงหยิบไม้เท้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แล้วฟาดไปที่ซูปั๋วชวนทันที! แถมยังเป็นการฟาดไปด่าไปอีกด้วย ฟาดไปปากก็ด่าไปจนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายก็เริ่มร้องไห้ออกมา
และเอ่ยว่าตัวเองอายุเยอะเพียงนี้แล้ว แค่อยากจะนอนกลางวันเท่านั้นทำไมถึงยากเย็นเพียงนี้?
เดิมทีซูปั๋วชวนมาเยี่ยมด้วยอยากจะกตัญญูต่อท่านแม่ สุดท้ายพอโดนทำร้ายเช่นนี้ก็ไร้อารมณ์
ตังแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จวนแม่ทัพก็มีกฏที่ไม่ใช่กฏขึ้นมาข้อหนึ่ง นั่นก็คือเวลาที่ฮูหยินใหญ่นอนกลางวันต่อให้มีมีดตกลงมาจากฟากฟ้าก็ห้ามปลุกนางอย่างเด็ดขาด! เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทนรับต่อแรงอันหนักหน่วงของหวังฉือหวนได้…แถมยังต้องเผชิญกับการคำสาบแช่งและการร้องไห้อย่างหายนะเช่นนั้นอีก!
ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ในห้องก็พอได้ยินคร่าวๆ บ้างแล้ว ในใจของนางเริ่มมีแผนการแล้ว เพราะดูท่าแล้ว จากสถานการณ์ตอนนี้มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่สามารถไปรับมือกับสถานการณ์นี้ได้
ตอนที่ 125 อ่อนไหว
“หลีมู่” เสียงของซูเหลียนอวิ้นดังขึ้นจากด้านในห้อง “ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ใกล้จะเสร็จแล้ว”
ถึงอย่างไรก็ใกล้จะกินข้าวเสร็จแล้ว ที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยเดี๋ยวค่อยกลับมาเก็บก็ได้
“ไปกันเถิด” เพียงครู่เดียวซูเหลียนอวิ้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ นางเงยหน้ามองฟ้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไปเถิด พาข้าไปดูหน่อย” นางเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเป็นตระกูลใดกันถึงใจกล้ามาทำพฤติกรรมต่ำช้าเช่นนี้? นี่คงคิดว่าตอนนี้จวนแม่ทัพไม่มีใครอยู่แล้วกระมัง?
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะยังเดินไปไม่ถึงด้านหน้าเรือน แต่เมื่อมองไกลๆ ก็เห็นลังใบใหญ่ที่วางไว้กลางเรือน
เมื่อลองดมดูลังใบนี้คล้ายทำจากไม้กฤษณา? ทุ่มเททรัพย์สินมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ดูท่าแล้วคงอยากจะติดสินบนจริงๆ!
เพราะหากมีเป้าหมายเพียงเรื่องเล็กๆ น้อย เหตุใดต้องทุ่มเงินมากมายถึงเพียงนี้? อีกอย่างตั้งแต่โบราณเป็นต้นมาเงินยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องการไหว้วานให้ทำเรื่องที่ยากขึ้นมากเท่านั้นเป็นความสัมพันธ์ที่มิอาจแยกออกจากกันได้
“คุณหนูใหญ่ซู!” ขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังเดินเข้าไปในเรือนหน้า ขณะที่นางนั่งลงก้นยังมิทันร้อนและตั้งใจจะเอ่ยปากถามนั้น น้ำเสียงทักทายอย่างร่าเริงก็ดังขึ้นตัดหน้านาง
“เจ้าคือ…” หลิวจือ?!
ซูเหลียนอวิ้นอยากจะขยี้ตาตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าหากนางทำเช่นนั้นจะเป็นการไม่เหมาะและน่าขายหน้าจนเกินไป ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้เพียงกระพริบตาปริบๆ จากนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงพบว่าสิ่งที่นางเห็นเป็นเรื่องจริง
ผู้นี้มิใช่หลิวจือองครักษ์ข้างกายของต้วนเฉินเซวียนเมื่อชาติที่แล้วหรอกหรือ! แต่เหตุใดถึงมาโผล่ที่จวนของนางได้? อีกอย่างเจ้านายของเขาเพิ่งจะมาเมื่อวานนี้ แต่วันนี้กลับส่งคนของเขากลับมาอีกหรือ?
ในน้ำเต้า[1]ของต้วนเฉินเซวียนวางยาอะไรเอาไว้กันแน่? ต้องมีแผนการอื่นซ่อนไว้อย่างแน่นอน! เมื่อคิดถึงตรงนี้สายตาของซูเหลียนอวิ้นจึงเริ่มจ้องหลิวจือด้วยอาการจับผิดและระแวดระวัง
“ข้าน้อยคารวะคุณหนูใหญ่ซู! ข้าน้อยคือ…” ตอนนี้หลิวจือยินดีเสียจนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว จากนั้น แล้วก็มิได้สนใจสายตาระแวดระวังของซูเหลียนอวิ้นแต่อย่างใด
เพราะถึงอย่างไรเจ้านายของเขาก็ทำตัวเหมือนต้นปรงสาคูออกดอกและพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางฝั่งตะวันตก[2]อยู่ดี!
อย่างไรก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักรัก! ตอนนี้รู้จักมอบของให้ผู้หญิงโดยไม่ต้องให้เขาคอยกระตุ้นอีกต่อไปแล้ว! เรื่องนี้ทำเอาหลิวจือรู้สึกทอดถอนใจถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสรรพสิ่งบนโลกนี้ หากไม่ทันระวังตัวเข้าแม้แต่นิดเดียวคงกลายเป็นคนตกยุคตกสมัยเข้าง่ายๆ!
“ข้ารู้ว่าเจ้าคือใคร” ซูเหลียนอวิ้นพูดขัดหลิวจือ “ข้าจำเจ้าได้”
หลิวจือพยักหน้า ใช่ๆ พอมาคิดๆ ดูแล้วนี่มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วมิใช่หรือ! ถึงอย่างไรตัวเขาก็เปรียบเหมือนมีดด้ามหนึ่งของนายท่าน ส่วนคุณหนูซูก็เป็นจะเป็นนายหญิงของเขาในอนาคต ดังนั้นการที่นางจำเขาได้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“สรุปแล้วเจ้ามาทำอะไร?” ซูเหลียนอวิ้นเอนตัวพิงไปด้านหลังเพื่อไม่ให้ระยะห่างกับเขามากยิ่งขึ้น
เจ้านายไม่ปกติ คนรับใช้ผู้นี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ เขาจะมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนี้ทำไมกัน? คงมิใช่ว่าโรคเก่ากำเริบกระมัง?
“ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อนำสิ่งของมามอบ!” หลิวจือปรบมือสองทีเพื่อส่งสัญญาณให้คนข้างหลังนำของเข้ามาได้แล้ว “คุณหนูลองดูเถอะ นี่คือของที่เจ้านายของพวกเราต้องการจะมอบให้คุณหนู หากคุณหนูคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร พวกเราขอย้ายของพวกนี้เข้าไปเก็บด้านในได้หรือไม่?” หากจะลงมือทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์
คนของนายหญิงหากสามารถไม่ทำให้พวกเขาเหนื่อยได้ก็จะดีที่สุด อีกอย่างตอนนี้ตัวเขาก็ไม่มีธุระอะไรต้องทำต่อแล้ว ดังนั้นก็ช่วยนายท่านปัดฝุ่นสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับนายหญิงจะดีกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นผลดีสำหรับเขาในอนาคต ไม่มีอะไรเสียหาย! อย่างแน่นอน!
ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ วางถ้วยชาในมือลงแล้วแอบคิดในใจว่า ยังดีที่ตัวเองยังไม่ทันได้ดื่มชาเข้าไป มิเช่นนั้นหากดื่มชาไปพลางฟังหลิวจือพูดไปล่ะก็…เกรงว่าน้ำชาอึกนั้นคงถูกนางพ่นออกมาใส่หน้าของหลิวจืออย่างแน่นอน
ต้วนเฉินเซวียนเป็นฝ่ายเริ่มมอบสิ่งของให้ผู้อื่นก่อน? ของด้านในคงมิได้มียาพิษกระมัง!
“ข้าขอเปิดดูหน่อย…” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นอย่างเกร็งๆ เพื่อจะเปิดฝาออกดูให้เห็นชัดๆ เพราะตรวจดูให้ชัดเจนตอนนี้จะได้พบว่ามีอะไรไม่ดีอยู่หรือไม่ และจะได้ให้พวกเขารีบนำของกลับไปซะ!
“คุณหนูซูมิต้องเสียแรง!” หลิวจือรีบเปิดฝาลังออกอย่างประจบสอพลอ “เรื่องแบบนี้ให้ข้าน้อยทำจะดีกว่า! เหตุใดต้องให้คุณหนูเสียแรงลงมือด้วยตัวเองด้วยเล่า”
ซูเหลียนอวิ้นดึงมือของตนกลับมาอย่างเงียบๆ แล้วเอ่ยนิ่งๆ ว่า “เจ้าช่างมีน้ำใจ…” ประจบสอพลอเพื่อหวังผลโดยแท้ ดูท่าทางก็รู้แล้วว่าเขาต้องมีแผนการในใจอย่างแน่นอน!
“ที่ไหนกันเล่าคุณหนูซู นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรทำ” หลิวจือยิ้มอย่างขวยเขิน
“คุณหนูเจ้าคะ…” หลีมู่เดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าวเพื่อเข้าไปพยุงซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงส่งสายตาข้องใจไปทางหลิวจือ
คนแบบนี้เป็นคนของคุณชายต้วนจริงหรือ? ทำไมถึงได้…ทำไมนางถึงรู้สึกว่าเขาเทียบนางไม่ติดเลยแม้แต่น้อย? คนประเภทที่ไม่ว่าเขาจะออกไปที่ไหนล้วนทำให้เจ้านายต้องขายหน้า!
ซูเหลียนอวิ้นสงบนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามไม่ให้ตัวเองสนใจว่าหลิวจือเป็นคนเช่นไร และบังคับให้สายตาของตัวเองพุ่งความสนใจไปยังลังห้าใบตรงหน้า
“เจ้า เจ้านายของเจ้าต้องการมอบให้ข้าหรือ?” เมื่อซูเหลียนอวิ้นดูจนครบแล้วจึงเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักอีกรอบหนึ่ง
“ข้าน้อยขอยืนยันขอรับ!” หลิวจือพยักหน้าสุดชีวิตแล้วเอ่ยขึ้น “มอบให้คุณหนูซูจากจวนแม่ทัพ คุณหนูซูเหลียนอวิ้น ข้าน้อยไม่มีทางจำผอดอย่างแน่นอน” ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคำพูดประโยคเดียวเท่านั้น การจะจำผิดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก!
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะก้มหน้ามองของแต่ละอย่างที่อยู่ในลังอีกครั้ง
ลังหนังสือ มีตั้งแต่โคลง กาพย์ กลอนไปจนถึงนิยาย อะไรที่ควรมีล้วนมีทั้งสิ้น นี่คือลังใบแรก
ลังเครื่องประดับ เครื่องประดับผม สร้อยคอ เครื่องประดับศีรษะ กำไล ถูกจัดชุดอย่างเข้ากัยมาหลายชุดมาอย่างครบครัน
ลังอาวุธยุทโธปกรณ์ คันธนูที่อยู่ในลังนั้นยากที่ซูเหลียนอวิ้นจะจำไม่ได้ว่ามันเป็นเครื่องบรรณาการของเมืองอิ๋งเย่ว์ และต่อมาถูกต้วนเฉินเซวียนขโมยมา ในตำนานเล่ากันว่าอานุภาพของมันสามารถยิงขึ้นไปถึงพระจันทร์กลางฟ้าได้ ถึงแม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วนางจะจ้องมันมาเป็นเวลานาน แต่ตอนนี้เขากลับให้นางง่ายๆ เช่นนี้?!
ลังโบราณวัตถุ เป็นของประเภทถ้วยชามรามไหที่ดูแล้วเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับของเช่นนี้สักเท่าไหร่ มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้นที่นางพอจะนึกออกโดยอาศัยการตกแต่งที่ยู่ด้านบน ทั้งยังเป็นการเค้นความทรงจำออกมา ดูแล้วของชิ้นนี้คงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
และลังใบสุดท้ายเต็มไปด้วยผ้าไหมสิ่งทอ โดยรวมเป็นผ้าที่ยังไม่ได้ถูกนำไปทอเป็นเสื้อผ้าทั้งพับ แน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตามที่สุดในนั้นคือผ้าไหมพับหนึ่งที่ทำจากซิงซา[3]
ผ้าไหมซิงซา เมื่อเห็นมันก็ทำให้นึกถึงความหมายแฝงของมัน ลวดลายของผ้ามีแสงดาวระยับซ่อนอยู่ราวกับทำมาจากดวงดาวที่อยู่กลางฟากฟ้า ความแตกต่างของประกายที่สาดส่องออกมามีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นเสื้อผ้าชุดหนึ่งก็อาจจะแสงที่แตกต่างกันออกไปได้หากอยู่ในมุมมองที่แตกต่างกัน
ทว่าของเช่นนี้มีวิธีการทำที่วิจิตรซับซ้อนมากดังนั้นยังมิต้องพูดถึงผ้าทั้งพับ ต่อให้เป็นผ้าเพียงชิ้นเดียวเกรงว่าเงินพันตำลึงยังซื้อมันมาไม่ได้
เมื่อประเมินค่าสิ่งของเหล่านี้จนครบแล้ว คงต้องเอ่ยว่าซูเหลียนอวิ้นเริ่มอ่อนไหวขึ้นมาบ้างแล้ว นางอ่อนไหวตรงที่เดิมทีนางเอาแต่คิดว่าต้วนเฉินเซวียนต้องการอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้คงต้องดูของก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่ตอนนี้…ไม่ต้องดูอีกต่อไปแล้ว! ทั้งหมดนี่คงไม่มีอะไรต้องเจรจากันอีก!
——
[1] หมายความว่า มีอะไรแอบซ่อนอยู่หรือมีแผนร้ายอะไรแอบแฝง
[2] คำพังเพยแรกหมายหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ส่วนคำพังเพยที่สองหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
[3] ตัวซิงซาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากสัตว์จำพวกหนอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น