เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 118-124

ตอนที่ 118 เธอเบื่อเขาแล้วงั้นหรือ

 

ตกกลางคืน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรอจนกระทั่งสามทุ่ม แต่หลินเช่อก็ยังไม่กลับบ้าน


 


 


ที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ สาวใช้กำลังเดินว่อนกันไปทั่วบ้าน เมื่อพวกเธอเห็นหน้าฉินเฮ่าที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากกัมพูชาเข้า ทุกคนก็ยิ้มกว้างพลางบอกสั้นๆ ว่า “ท่านอยู่ข้างในแน่ะ”


 


 


ฉินเฮ่าพยักหน้ารับรู้และรีบตรงเข้าไปเพื่อรายงานตัวกับกู้จิ้งเจ๋อ เขาเคาะประตูห้องและก้าวเข้าไป กู้จิ้งเจ๋อลุกพรวดพราดขึ้นและจ้องตรงมาที่เขาในทันที


 


 


“ท่านครับ” ฉินเฮ่าว่า “ท่านไม่ต้องลุกขึ้นก็ได้ครับ…ผมกลับมาแล้ว ใช่ครับ ผมทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จเรียบร้อยและเดินทางกลับมาแล้ว ผมคิดถึงท่านมากตอนที่อยู่ในกัมพูชาก็เลยรีบทำงานให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วก็รีบตรงกลับมาที่นี่ทันที ท่าน…”


 


 


ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ กู้จิ้งเจ๋อก็ทิ้งตัวลงนั่งตามเดิมด้วยท่าทางไม่แยแส “อ้อ เรียบร้อยแล้วงั้นรึ”


 


 


ฉินเฮ่าลดเสียงให้เบาลงเมื่อค่อยๆ เดินเข้ามาหาด้วยท่าทีระมัดระวัง “ครับ ใช่ครับ เรียบร้อยแล้ว”


 


 


“งั้นนายก็ไปได้แล้ว”


 


 


“ครับ…”


 


 


ฉินเฮ่ามองดูใบหน้าเฉยชาผิดปกติของผู้เป็นนาย แล้วก็ทำได้เพียงเดินออกไปจากห้อง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจลึกยาว ยังรู้สึกหงุดหงิดใจไม่หาย


 


 


ความรู้สึกกระสับกระส่ายเวลาต้องเฝ้ารอใครสักคนกลับมาแบบนี้เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเคยรู้สึกเป็นครั้งแรก หัวใจของเขาเริ่มพะว้าพะวังมากขึ้นทุกที


 


 


และแล้วประตูก็เปิดออก


 


 


ชายหนุ่มลุกพรวดพราดขึ้นอีกครั้ง


 


 


แต่เมื่อเขารีบเงยหน้ามองด้วยความหวังอันเฝ้ารอนั้นเอง เขากลับได้เห็นฉินเฮ่ากลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง


 


 


“ท่านครับ ผมลืมไป…”


 


 


ฉินเฮ่ารีบแจ้งข้อมูล เขายังอยากพูดบางอย่างเพิ่มเติมแต่ก็ถูกขัดขวางเสียก่อนด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับของผู้เป็นนาย


 


 


คราวนี้ฉินเฮ่าตัวเย็นเฉียบไปทั้งร่าง รีบพูดต่อไปว่า “ท่านครับ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อวางฝ่ามือลงบนโต๊ะและมองหน้าฉินเฮ่าอย่างปราศจากความรู้สึกใดๆ สีหน้านั้นเยียบเย็นและเหินห่าง


 


 


“ฉินเฮ่า ในเมื่อนายสามารถจัดการปัญหาที่โรงงานนั่นได้เร็วทันใจแบบนี้ งั้นฉันก็จะปล่อยเรื่องโรงงานที่กัมพูชานั่นให้นายรับผิดชอบก็แล้วกัน พักร้อนของนายยังไม่หมดนี่ ใช่มั้ย”


 


 


“อ่า…”


 


 


“นายไม่ต้องยกเลิกวันลาพักร้อนหรอก เดี๋ยวฉันจะให้คนจากแผนกบุคคลซื้อตั๋วเครื่องบินให้นายเอง ในเมื่อวีซ่าก็ยังไม่หมดอายุ งั้นก็อยู่ที่กัมพูชาต่อไปนั่นแหละ”


 


 


“…”


 


 


นี่เขาทำอะไรผิดกันนะ…


 


 


ฉินเฮ่าเริ่มตื่นตระหนกอยู่ลึกๆ ข้างใน


 


 


เมื่อดูท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว กู้จิ้งเจ๋อก็ใช้มือกวาดเอกสารทั้งหลายที่ลูกน้องคนสนิทเพิ่งจะมอบให้ลงบนพื้นห้อง เขาเอนหลังพิงเก้าอี้และใช้นิ้วนวดหว่างคิ้ว ยัยหลินเช่อบ้า… ทำไมยังไม่กลับบ้านอีกนะ


 


 


 


 


ที่บาร์


 


 


หลินเช่อส่งเสียงจามสนั่น


 


 


เฉินโยวหรานมองเพื่อนสาวด้วยสายตาสงสัย “ทำไมเธอถึงจามล่ะ อย่าบอกนะว่าเป็นหวัดน่ะ”


 


 


“เปล่าหรอก อาจจะเพราะควันบุหรี่ที่นี่ก็ได้ ทำไมคนเราถึงชอบสูบบุหรี่กันนักนะ”


 


 


“ใครจะรู้ อ่า แล้วสามีเธอไม่สูบบุหรี่หรอกเหรอ”


 


 


“ก็ไม่เชิง เขาควบคุมตัวเองได้ดีน่ะ”


 


 


“ฉันก็ว่างั้นแหละ ไม่อย่างงั้นเขาคงทนอยู่ห้องเดียวกับเธอไม่ได้นานขนาดนี้โดยที่ไม่เคยแตะต้องเธอเลยหรอก” เฉินโยวหรานว่า ยังคงมองดูอีกฝ่ายด้วยความสงสัยไม่หาย “เธอเองก็เหมือนกันนะยะ ฉันละไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอเองก็ยังไม่เคยกระโจนใส่เขาน่ะ ถ้าฉันมีโอกาสแบบนี้บ้างละก็ ฉันคงจัดการเรียบร้อยไปตั้งนานโขแล้ว”


 


 


หลินเช่อย้อนว่า “งั้นก็เชิญตามสบาย ยกให้เลย”


 


 


“เฮอะ ฉันไม่ใช่คนอยู่บ้านเดียวกับเขาสักหน่อยนี่”


 


 


“เป็นเพราะอาการป่วยของเขาน่ะ เขาก็เลยแตะต้องผู้หญิงไม่ได้ บางทีเขาอาจจะมองฉันแล้วไม่เกิดอารมณ์ก็ได้”


 


 


“ไม่มีทาง…”


 


 


หลินเช่อไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนเหมือนกัน แต่พอลองมาคิดดูตอนนี้แล้ว เขาก็ดูจะไม่เกิดปัญหาอะไรเมื่อสัมผัสเนื้อตัวของเธอเลยนี่นา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่แตะต้องเธออยู่ดี หลินเช่อคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องของอาการทางจิตก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสัมผัสโดนตัวผู้หญิง อาการของเขาก็จะกำเริบ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เห็นผู้หญิง เขาเลยมองพวกเธอว่าเป็นปัญหา จนสุดท้ายก็เลยกลายเป็นอาการหมดอารมณ์ได้


 


 


หลินเช่อเตือนตัวเองว่าไม่ควรที่จะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของกู้จิ้งเจ๋อให้มากจนเกินไปนัก ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้แต่เพียงยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก ฉันล้อเล่นน่ะ”


 


 


“อ้อ ก็เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงคิดว่าคนอย่างกู้จิ้งเจ๋อน่ะน่าจะมีผู้หญิงมาคอยเสนอตัวให้อยู่เต็มไปหมด จงใช้ประโยชน์จากโชคดีครั้งนี้ของตัวเองซะนะ อย่ามัวแต่หงุดหงิดอยู่เลย”


 


 


หลินเช่อกลอกตา “เธอไม่เข้าใจ ไอ้โชคดีที่ว่าเนี่ยมันเป็นแค่เรื่องจอมปลอมทั้งนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะหมดไปแล้ว”


 


 


หญิงสาวถอนหายใจยาวแล้วเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ เมื่อคิดถึงเขาแล้ว เธอก็คิดว่าเธอควรที่จะรักษาระยะห่างจากเขาให้มากกว่านี้ แบบนั้นน่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ!


 


 


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน เวลาก็ล่วงเข้าไปถึงสี่ทุ่มแล้ว


 


 


เมื่อก้าวเข้าห้องไป หลินเช่อก็พบว่าทั้งห้องนั้นมืดสนิท แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากโซฟาที่อยู่ในห้อง


 


 


“ยังกลับบ้านถูกอยู่อีกเหรอ”


 


 


เมื่อได้เห็นร่างใหญ่ที่กำลังลุกขึ้นอย่างช้าๆ หลินเช่อก็นึกกลัวขึ้นมา เธอยกมือขึ้นทาบอก “นี่คุณทำให้ฉันหัวใจจะวายนะคะ”


 


 


ชายหนุ่มหันมองนาฬิกา “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงกลับมาป่านนี้”


 


 


“ฉันอยู่คุยกับเพื่อนต่อนิดหน่อยน่ะค่ะ เอ่อ แล้วทำไมคุณถึงอยู่บ้านได้ละคะ”


 


 


ก็ในเมื่อโม่ฮุ่ยหลิงอยู่ใกล้ขนาดนี้ เขาก็ควรจะไปอยู่กับเธอไม่ใช่เหรอ


 


 


หลินเช่อคิดทบทวนมาเป็นอย่างดีแล้ว ปัญหานี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดใจแค่ไหนก็ตาม


 


 


เขาตอบว่า “นี่เป็นบ้านฉัน แน่นอนว่าฉันสามารถอยู่ในบ้านของฉันเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันต้องการได้”


 


 


“อ้อ งั้นก็เชิญคุณดูทีวีต่อเถอะค่ะ ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะ”


 


 


เมื่อพูดจบ เธอก็เดินดุ่มๆ ไปโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก


 


 


ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ในอก แต่เขาก็ทำได้เพียงมองตามหลังเธอไปด้วยความรู้สึกสับสน


 


 


หลินเช่อกำลังทำตัวเย็นชาใส่เขา…


 


 


ครู่ต่อมา กู้จิ้งเจ๋อจึงเดินเข้าไปในห้องนอน หลินเช่อเปลี่ยนชุดนอนเป็นที่เรียบร้อยและกำลังนอนอ่านบทอยู่บนเตียง


 


 


ชายหนุ่มแกล้งกระแอมเสียงดัง


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นและยอมสบตาเขาในที่สุด แต่แล้วเพียงแวบเดียว เธอก็ก้มหน้าลงไปอ่านบทต่ออย่างไม่ใส่ใจ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วน้อยๆ และก้มลงดูตัวเอง เขาทำเสียงฟึดฟัดเมื่อก้าวเข้าไปในห้องน้ำ


 


 


เขาคิดว่ารูปร่างของตัวเองก็ไม่ได้แย่อะไร แถมหน้าตาก็ใช้ได้ทีเดียว แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนักแต่กล้ามเนื้อต่างๆ ก็ยังคงได้รูปเป็นสัดส่วน เขารู้ว่าหลินเช่ออยู่ในวงการบันเทิง เธอคงได้เห็นทั้งชายและหญิงหน้าตาดีๆ มามากมายนับไม่ถ้วน บางทีเธออาจรู้สึกเบื่อที่จะมองหน้าเขาแล้วกระมัง


 


 


หลินเช่อได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำและเหลือบไปมอง เมื่อเสียงน้ำหยุดลง ประตูห้องน้ำก็เปิดออก กู้จิ้งเจ๋อก้าวออกมา


 


 


ตัวของเขาเปียกฉ่ำ มีน้ำหยดลงมาจากเส้นผม มัดกล้ามแน่นภายใต้ผิวสีน้ำผึ้ง เวลาที่เขารู้ว่าเธออยู่ในห้อง ตามปกติแล้วเขาจะสวมเสื้อคลุมอาบน้ำหรือไม่ก็ชุดนอนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกมา แต่คราวนี้ เขามีเพียงผ้าเช็ดตัวที่พันไว้ต่ำแสนต่อที่ช่วงเอวเพียงผืนเดียวเท่านั้น


 


 


แม้แต่หลินเช่อเองยังใจจะคว่ำด้วยเกรงว่าแค่สัมผัสเบาๆ เพียงครั้งเดียวก็อาจจะทำให้ผ้าหลุดลงมากองจนเหลือแต่ร่างเปลือยได้ง่ายๆ


 


 


ขะ ขะ เขา… นี่เขาบ้าไปแล้วหรือไงนะ


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ คุณ…ทำไมถึงไม่สวมเสื้อผ้าละคะ” หญิงสาวกระโดดดึ๋งลงจากเตียง


 


 


เขาเดินเข้ามาหาเธอ หน้าตาเฉยเมยไร้อารมณ์ราวกับนายแบบ มองหน้าหญิงสาวอย่างไม่รู้ชี้ “มีอะไรเหรอ ในนี้มันร้อนออก แล้วเสื้อคลุมอาบน้ำในห้องก็ยังชื้นอยู่เลย ฉันไม่อยากใส่นี่นา ทำไมล่ะ”


 


 


“แต่คุณ…” หลินเช่อชี้นิ้วไปที่ร่างกายท่อนล่างของเขา


 


 


มีบางอย่างตรงกลางลำตัวที่ดูเหมือนจะทำให้ความคิดฟุ้งซ่านไปไกลได้ง่ายๆ หลินเช่อเห็นแล้วก็จำได้ดีว่ามันคืออวัยวะส่วนไหน ตอนนี้เธอร้อนผ่าวไปทั้งเนื้อทั้งตัวแล้ว


 


 


หญิงสาวรีบดึงนิ้วที่ชี้ค้างอยู่กลับมาโดยไว แล้วยกนิ้วขึ้นใส่ปากพลางเริ่มกัดเบาๆ


 


 


ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ…


 


 


ว่าพื้นที่บริเวณนั้นมันก็ใหญ่จริงๆ…

 

 

 


ตอนที่ 119 ขยับอีกนิดเดียวเท่านั้น เข...

 

กู้จิ้งเจ๋อสาวเท้าเข้ามาหาเธอพลางมองด้วยสายตากังขาเป็นที่ยิ่ง “เธอเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ”


 


 


หลินเช่อยังคงจ้องมองตรงนั้นไม่วางตา จนกระทั่งถูกเรียกนั่นแหละจึงสะดุ้งรู้สึกตัว


 


 


ตอนนี้หน้าเธอแดงไปจนยันใบหูแล้ว


 


 


หญิงสาวรีบตั้งสติเก็บอาการ แสร้งทำเป็นกำลังมองไปข้างหน้า


 


 


แล้วก็ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ


 


 


ยัยบ้ากาม ยัยโง่เอ๊ย ทำไมไม่รู้จักหักห้ามใจบ้างนะ ไหนบอกว่าจะเลิกคิดถึงเขาแล้วก็ทำเหมือนเขาเป็นแค่ท่อนไม้ไงล่ะ


 


 


แต่เหตุการณ์ฉากนี้มันก็แสนจะสมบูรณ์แบบเหลือเกิน ผู้หญิงที่ไหนได้มายืนหน้าชายหนุ่มสุดเซ็กซี่แบบนี้ก็คงหักห้ามใจตัวเองไม่อยู่กันทั้งนั้นแหละ ใครจะอดใจไม่มองได้ล่ะ


 


 


เธอนึกโทษกู้จิ้งเจ๋อ ในโลกนี้มีผู้ชายสมบูรณ์แบบขนาดนี้อยู่ได้ยังไงกันนะ แล้วทำไมเธอถึงต้องได้มาเจอเขาด้วย


 


 


มิหนำซ้ำเธอยังต้องเจอหน้าทุกวันอีก แถมยังต้องนอนห้องเดียวกันด้วยอีกต่างหาก


 


 


แล้วทำไมเขาถึงต้องมาเดินอาดๆ ให้เห็นในสภาพเกือบเปลือยอย่างนี้ด้วยเล่า นี่เขารู้ตัวไหมว่าตัวเองมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขนาดไหน เขาควรจะรู้สิว่าคนที่ได้เห็นเขามีปฏิกิริยายังไง


 


 


แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงกู้จิ้งเจ๋อถามขึ้นด้วยความแปลกใจจากด้านหลังว่า “หลินเช่อ นี่เธอกำลังมองอะไรอยู่น่ะ”


 


 


“อะ อ่า…ฉัน…ฉันกำลังคิดเรื่องรายการพรุ่งนี้อยู่น่ะ ฉันต้องไปคัดตัวพรุ่งนี้ แล้วก็คิดว่าจะเล่นออกมายังไงดี” เธอตอบตะกุกตะกัก พยายามคิดหาข้อแก้ตัว


 


 


“อ้อ” เขาพูดแล้วเดินเข้ามาข้างตัวเธอ สายตาเจ้าเล่ห์นั่นกำลังมองมาที่ลำคอและมุมปากของเธอ


 


 


“มันควรจะมีคนเสนอบทดารานำให้เธอมากมายเต็มไปหมดแล้วสิ ทำไมถึงยังต้องไปคัดตัวนักแสดงอีกล่ะ”


 


 


“ต้องคัดสิคะ เราทำงานกันแบบมืออาชีพนะ เราต้องทดสอบบทกันจะได้ดูว่านักแสดงเหมาะกับบทบาทนั้นหรือเปล่า” หลินเช่อตอบ รู้สึกเหมือนอากาศชื้นๆ จากตัวเขาเริ่มใกล้ตัวเธอเข้ามาทุกที หลินเช่อรีบเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ก้าวเข้ามาประชิด เธอรีบเอ่ย “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณจะเข้ามาใกล้เกินไปแล้วนะ แล้วทำไมถึงไม่ใส่เสื้อผ้าซะที”


 


 


ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ขณะส่งสายตาหยอกล้อกลับมา “ทำไมเหรอ ก็ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สบายตัวออกจะตาย ทำไม่ได้หรือไง ต้องใส่เสื้อผ้าอึดอัดมาทั้งวันแล้ว ฉันก็ต้องผ่อนคลายแล้วก็ปล่อยให้เซลล์ในร่างกายได้หายใจหายคอบ้างสิ เธอเองก็เหมือนกันนะ อันที่จริงการนอนแบบไม่ใส่เสื้อผ้าน่ะดีต่อร่างกาย พอทำแบบนี้ร่างกายทุกส่วนของเราจะได้พักผ่อน แล้วความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียที่สะสมมาตลอดทั้งวันจะได้หายไป”


 


 


ขณะที่พูด เขาก็โน้มตัวเข้ามา


 


 


หลินเช่ออดคิดไม่ได้ว่าแผงอกใหญ่ๆ นั่นทำให้เขาดูเหมือนนักรบสปาตันไม่มีผิด เป็นลักษณะความเป็นชายเฉพาะตัวของกู้จิ้งเจ๋อโดยแท้


 


 


“ว้าย กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณทำอะไรน่ะ อย่าเข้ามานะ คุณรังแกฉันไม่ได้นะ ออกไปให้พ้นเลย คุณ…” หลินเช่อยกมือขึ้นหวดซ้ายป่ายขวา


 


 


ชายหนุ่มนิ่วหน้าแล้วคว้ามือทั้งสองข้างของเธอไว้ ดวงตาจ้องมองมา


 


 


หลินเช่อตกใจและสับสนอย่างหนัก เธอจ้องหน้าเขาอย่างโกรธจัด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถามกลับ “นี่เธอทำอะไรน่ะ!”


 


 


หญิงสาวร้องลั่น “ยังจะมาถามอีก คุณนั่นแหละทำอะไรล่ะ คุณ…คุณทำไม่ได้…”


 


 


“ฉันกำลังจะหยิบโทรศัพท์! เธอคิดว่าฉันจะทำอะไรกัน!” กู้จิ้งเจ๋อบอกและเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะหัวเตียง


 


 


หลินเช่อตัวแข็งทื่อ เธอเงยหน้ามองขณะที่ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ไป เขาจ้องหน้าเธอกลับ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนหมอนแล้วเริ่มเล่นโทรศัพท์โดยไม่ใส่ใจเธออีก


 


 


อ้อ เขาจะหยิบโทรศัพท์นี่เอง…


 


 


หญิงสาวระบายลมยาวด้วยความโล่งใจ เธอยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะหันไปมองเขาอย่างแค้นเคือง


 


 


เป็นความผิดเขานั่นแหละ ที่เที่ยวเดินว่อนไปทั่วทั้งที่ไม่ยอมสวมเสื้อผ้า


 


 


อีกอย่าง ที่จริงแล้วถ้าเขาอยากได้โทรศัพท์ เขาก็เดินอ้อมไปอีกทางก็ได้นี่นา แล้วทำไมถึงจะต้องมาเอื้อมมือข้ามตัวเธอไปด้วย ทำให้เธอตีความเจตนาของเขาผิดเลย


 


 


หลินเช่อคว้าผ้าห่มมาคลุมอย่างหัวเสีย แต่เมื่อนึกได้ว่านายตัวปัญหายังคงนอนเปลือยกายอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า นี่เขาอยากจะแก้ผ้านอนจริงๆ เหรอเนี่ย แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมนุ่งผ้าเสียทีนะ


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ทำไมไม่ไปแต่งตัวสักทีละคะ” หลินเช่ออยากจะหันไปมองแต่ก็ทำไม่ได้ในขณะที่พูดกับเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้น “ทำไมเหรอ”


 


 


“คุณ…ไอ้การที่คุณไม่ใส่เสื้อผ้านี่มันออกจะเกินไปหน่อยนะคะ คุณไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องนี้นะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธออย่างไม่เอาใจใส่นัก “ฉันคิดว่าตอนนี้เธอน่าจะชินแล้วเสียอีก ถึงยังไงเราก็อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งนานแล้วนะ”


 


 


“ฝันไปเถอะ” เธอไม่มีวันชินได้หรอกย่ะ!


 


 


เขาหันไปมองคนที่กำลังนั่งกอดเข่าแล้วหัวเราะออกมา ชายหนุ่มกระเถิบเข้าไปใกล้ “ทำไมล่ะ…เห็นฉันแบบนี้แล้วยังอึดอัดใจอยู่อีกหรือไง”


 


 


“ฉัน…”


 


 


เขาพูดต่อไป “อย่าบอกนะว่าเวลาเห็นฉันโป๊แล้วเกิดอารมณ์น่ะ”


 


 


หลินเช่อหน้าแดง ตะเบ็งเสียงใส่ “ใครจะไปรู้สึกอะไรกับคุณกันเล่า!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “งั้นเธอจะกลัวอะไรกัน เราอยู่ด้วยกันมาตั้งนานจนฉันคิดว่าเธอน่าจะคุ้นเคยแล้ว ยกตัวอย่างนะ ถ้าเธอแก้ผ้าต่อหน้าฉัน ฉันก็คงไม่รู้สึกอะไรเหมือนกันนั่นแหละ”


 


 


“หา…” หลินเช่อทำตาเขียวปั้ด


 


 


เขาเหลือบตามอง “ถ้าไม่เชื่อ จะลองดูก็ได้นะ”


 


 


“…” หน้าของหลินเช่อยิ่งแดงหนักขึ้นอีกหลายเท่า เธอกระถดตัวถอยหนี “ไปให้พ้นเลยนะ!”


 


 


แต่เขากลับตามติดมา “จริงๆ นะ เชื่อใจฉันได้”


 


 


เชื่อใจกับผีน่ะสิ จอมอันธพาล คนนิสัยไม่ดีแบบนี้เนี่ยนะ!


 


 


“ถ้าเข้ามาใกล้อีกละก็ ฉันจะร้องแล้วนะ!”


 


 


“เชิญตามสบาย คนข้างนอกเขาคงคิดแหละว่าสามีภรรยากำลังสนุกกัน”


 


 


“คุณ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองใบหน้ายู่เล็กๆ ของเธอด้วยความขบขันเต็มที่ เขายิ้มแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก แผงอกกว้างนั้นแนบเข้ามาชิดตัวเธอ หลินเช่อมองลูกกระเดือกที่กำลังขยับขึ้นลง ช่างดูเป็นผู้ช้าย ผู้ชายซะเหลือเกิน เธอรีบผลักเขาออกไป ไม่ยอมให้เข้ามาใกล้เกินไปกว่านี้ ในเมื่อเขายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย ฝ่ามือของเธอจึงสัมผัสเข้ากับแผ่นอกเปล่าเปลือย และมันก็เป็นความรู้สึกที่…ดีเกินจะบรรยาย


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่ดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมองมือเธอ เขาส่งเสียงในลำคอและเงยหน้าขึ้นมองหลินเช่อ ดวงตาร้อนผ่าวราวกับไฟ


 


 


หลินเช่ออยากดึงมือกลับมา แต่เมื่อได้มองหน้าเขาก็ทำให้เธอไม่อาจทำได้ เขามองดูเธอด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา ใบหน้าเฉยชานั้นลุกโชนไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนแรง


 


 


“คุณ…”


 


 


“อย่าขยับ…” เขาขัดขึ้นและขมวดคิ้ว


 


 


“ทำไมคุณเข้ามาใกล้นักล่ะ…” เธอพยายามผลักเขาออกไป ใบหน้าแดงก่ำ


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ฉันบอกว่าอย่าขยับไงล่ะ”


 


 


“แต่ฉัน…”


 


 


เขาจับมือเธอไว้ แล้วลากมันให้เลื่อนลงไปตามร่างของตัวเอง


 


 


มือของเธอไล้ผ่านเนื้อตัวเขา รู้สึกได้ว่ามันกำลังเคลื่อนไหว ด้วยความตกใจ เธอรีบดึงมือกลับมา


 


 


“คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงบอกว่าอย่าขยับ” เสียงของเขาทุ้มนุ่มและเซ็กซี่เป็นที่สุด


 


 


“ฉัน…ปล่อยฉันเถอะค่ะ…”


 


 


“ยิ่งเธอขยับ มันก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าขยับ!” ผู้หญิงคนนี้ไม่เข้าใจผู้ชายเอาเสียเลย เธอยังกล้าดื้อดึงอยู่


 


 


ถ้าเธอยังไม่ยอมอยู่เฉยละก็ เขาเองก็คงทนไม่ไหวแล้ว 

 

 


ตอนที่ 120 ไม่มีใครดีเท่าคุณอีกแล้ว

 

ก็จะให้เธอทนไหวได้ยังไงกันเล่า ตอนนี้ใบหน้าเธอแดงก่ำเสียไม่มีดีในขณะที่มือสัมผัสโดนบางอย่างที่แข็งขึง และมันกำลังขยายใหญ่ด้วยความเร็วและขนาดที่น่าตกใจเป็นที่สุด ให้ตายเถอะ…หลินเช่อมองผู้ชายตรงหน้าเธอ “คะ คะ คุณ…นะ นี่…เราจะทำยังไงกันต่อ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูผู้หญิงตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เธอยังจะกล้าถามอีกเหรอว่าจะทำอะไร…


 


 


“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ!” กู้จิ้งเจ๋อถามด้วยความฉุนเฉียว


 


 


หลินเช่อเจียนจะร้องไห้เต็มแก่ “คุณไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนี่นา มันเป็นของคุณนะ ไม่ใช่ของฉัน”


 


 


เขาก้มหน้าลงมองเธอ แต่หลินเช่อรีบหันหนี ทำเป็นไม่เห็นสายตาเว้าวอนคู่นั้น


 


 


เขาขยับยิ้มที่มุมปากแล้วค่อยๆ โน้มลงไปหาใบหูเธอ มองดูใบหูเล็กๆ บอบบางนั้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะแตะจูบลงอย่างแผ่วเบา


 


 


หลินเช่อสั่นระริกไปทั่วร่างราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดเข้ามาจากริมฝีปากคู่นั้น


 


 


เสียงของกู้จิ้งเจ๋อนั้นใกล้เสียจนราวกับว่ามันออกมาจากร่างกายเนื้อตัวของเขา


 


 


“มันอาจจะเป็นของฉันก็จริง แต่ตอนนี้มันไม่ยอมฟังฉันแล้วนี่นา บางทีมันอาจจะยอมฟังเธอก็ได้ ไหนลองพูดใหม่ซิ เราจะทำยังไงกันต่อ”


 


 


“…”


 


 


หลินเช่อกลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงดูดเข้าไปใต้สายตาคู่นั้น เธอแทบลืมหายใจ


 


 


“แต่ แต่ว่า…”


 


 


“ลองสัมผัสมันดูสิ สัมผัสมันเท่าที่เธอจะรู้สึกสบายใจกับมัน ตกลงมั้ย”


 


 


“แต่…”


 


 


“ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ” เขาคว้ามือเธอไว้และจับมันกดลงไปตรงนั้น


 


 


มีเพียงผ้าเช็ดตัวขวางไว้เท่านั้น หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสัมผัสมัน จับมันเอาไว้ และกอดผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเกร็งเขม็งขึ้น ในขณะที่ตัวเธอเองแทบจะอยากตายด้วยความขัดเขิน


 


 


ใครก็ได้ช่วยบอกเธอหน่อยเถอะ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคืออะไรกันแน่


 


 


แม้จะเป็นการสัมผัสเพียงแผ่วเบา แต่ดูเหมือนว่ากู้จิ้งเจ๋อจะทรมานเอามากๆ


 


 


เขาไม่อาจหักห้ามจินตนาการที่กำลังขยายตัวใหญ่โตขึ้นมาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกเพียงว่าพลังในการควบคุมตัวเองอันยิ่งใหญ่ที่เขามีกำลังพังทลายครืนลงมาแล้วอย่างสิ้นเชิง


 


 


ไม่สิ แค่นี้ยังไม่พอหรอก


 


 


เขายังต้องการอีก เขาอยากจะกลืนกินผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า อยากมากเหลือเกิน


 


 


แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่อาจ…


 


 


ในชั่วขณะที่ใกล้จะสูญเสียการควบคุมตัวเองนั้นเอง เขาก็หลับตาและบังคับตัวเองให้ก้าวลงจากเตียง


 


 


หลินเช่อตกใจ คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด


 


 


“ฉันทำคุณเจ็บเหรอคะ…ฉะ…ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”


 


 


แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามือของเธอเพิ่งจะไปสัมผัสร่างกายส่วนใดของเขามา หญิงสาวก็รีบชักมือหนีโดยเร็ว เธอจ้องมองมือตัวเอง สับสนงุนงงจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบ้า…นี่เขาพยายามจะทำอะไรกันแน่นะ…


 


 


ชายหนุ่มรีบผลุบเข้าห้องน้ำและเปิดก๊อกน้ำเย็นอย่างรวดเร็ว เขาก้าวเข้าไปในสายน้ำเย็นเฉียบราวน้ำแข็งนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้น


 


 


ยิ่งได้ยินเสียงหญิงสาวที่กำลังร้องเสียงดังอยู่ข้างนอก เขาก็ยิ่งสบถก่นด่า


 


 


ใช่แล้ว เขาทำอะไรไม่ได้น่ะสิ เพราะฉะนั้นนี่มันยิ่งแย่ยิ่งกว่า!


 


 


เขาอ้อยอิ่งอยู่ใต้ฝักบัวพักใหญ่ก่อนที่จะออกมาจากห้องน้ำ


 


 


เขาเห็นหลินเช่อโดดผลุงลุกขึ้น เขาจึงรีบบอกเธอว่า “พอที ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รีบนอนเถอะ”


 


 


ถ้าใครได้มาเห็นฉากอันน่าอับอายนี้ของเขาเข้าละก็ คงจะต้องหัวเราะจนท้องแข็งเป็นแน่


 


 


เรื่องน่าเศร้าก็คือ ในบรรดาผู้คนตั้งมากมาย เรื่องแบบนี้กลับมาเกิดกับเขา


 


 


หลินเช่อมองดูกู้จิ้งเจ๋อที่มีท่าทางดีขึ้นแล้ว แม้ว่าเนื้อตัวเขาจะยังเปียกฉ่ำแต่ก็ดูเหมือนว่าอารมณ์วาบหวามทั้งหลายจะหมดไปแล้ว


 


 


เธอคิดว่ามันแปลกทีเดียว ที่อารมณ์นั้นสามารถเหือดหายไปได้ด้วยการเข้าไปอยู่ในห้องน้ำนานครึ่งชั่วโมง


 


 


ถึงแม้จะไม่ได้เห็นกับตาแต่เธอก็พอจะรู้จากเสียงที่ได้ยิน และนี่ทำให้เธอเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้


 


 


นี่เขาเข้าห้องน้ำไปเพื่อ…


 


 


ช่วยตัวเองหรือเปล่านะ


 


 


หลินเช่อแทบจะระเบิดหัวเราะออกมา


 


 


ในขณะเดียวกัน สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อก็บูดบึ้งและมึนตึงเต็มทีราวกับก้อนหิน


 


 


หญิงสาวรีบนั่งลง ยกผ้าห่มขึ้นคลุมร่างแล้วพลิกตัวหันตะแคงข้างให้


 


 


“นอนเถอะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอก่อนจะล้มตัวลงนอน เขายังคงอึดอัดไม่หายในขณะที่คนข้างๆ ดูจะระบายลมหายใจด้วยเสียงอันดัง


 


 


ที่น่าหงุดหงิดก็คือ ร่างกายของเขาที่เริ่มจะสงบลงแล้วเมื่อครู่ ทำไมถึงได้ปั่นป่วนขึ้นมาอีกระลอกได้ล่ะเนี่ย


 


 


ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพลิกตัว


 


 


หลินเช่อยังขบคิดถึงเรื่องนี้ บางทีเรื่องผู้หญิงอาจจะเป็นปัญหาสำหรับกู้จิ้งเจ๋อ เพราะฉะนั้นเธอกับเขาอาจจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุขไปอีกนาน แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ แล้ว นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็น


 


 


ลองดูเขาสิ…ออกจะดูสุขภาพแข็งแรง


 


 


แล้วทำไมเขาถึงยังสามารถหักห้ามใจตัวเองได้อยู่อีกล่ะ


 


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถแตะต้องเธอได้ นั่นคือเหตุผลที่เขาสามารถควบคุมตัวเองได้แบบนี้กระมัง


 


 


หลินเช่อคิด บางทีผู้ชายอาจจะไม่เหมือนผู้หญิงที่ควบคุมตัวเองได้ดีกว่า เพราะเธอเองก็สามารถมองดูผู้ชายหล่อๆ ได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นว่าจะมีอาการหัวใจกระตุกบ้างนิดหน่อย แต่สำหรับผู้ชายแล้ว ยังไงก็ต้องมีการแสดงออกทางร่างกาย


 


 


ดูเหมือนว่าชีวิตกู้จิ้งเจ๋อจะน่าเศร้ามากทีเดียว…


 


 


เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเช่อก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เธอผงกศีรษะและรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหว เธอจึงถามออกไปว่า “กู้จิ้งเจ๋อ คุณหลับหรือยังคะ”


 


 


“อือ” เขาพึมพำ


 


 


หลินเช่อบ่นใส่ “คุณจะหลับแล้วได้ยังไงในเมื่อยังพูดอยู่เลย”


 


 


“ฉันละเมอพูดไม่ได้หรือไง”


 


 


ดูเหมือนว่าเขาจะยังอารมณ์เสียอยู่


 


 


หลินเช่อเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายที่ถูกทำให้ขาดช่วงแบบนี้จะน่ากลัวสักแค่ไหน เธอจึงยิ้มแล้วถามว่า “รู้สึกไม่ดีเหรอคะ”


 


 


นี่หล่อนยังมีหน้าถามอีกงั้นรึ


 


 


“เธอ คิด ว่า ยังไง ล่ะ”


 


 


หลินเช่อได้ยินเขากัดฟันตอบ


 


 


เธอจึงรีบบอก่า “ฉันขอโทษนะคะ…งั้นคราวหน้าเราแยกกันนอนดีไหม”


 


 


“…ไม่จำเป็น” เขาตอบ


 


 


หลินเช่อหัวเราะคิกแล้วเงียบเสียงลง ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกว่า “ขอบคุณนะคะ…”


 


 


ขอบคุณที่อุตส่าห์อดทนกับความทรมานแบบนี้


 


 


ถึงแม้ว่าข้อตกลงนั้นจะเกิดขึ้นในตอนแรก แต่การรักษาสัญญาก็เป็นคุณธรรมที่พึงปฏิบัติ


 


 


ยิ่งคิด กู้จิ้งเจ๋อก็ยิ่งอารมณ์บูดหนักขึ้นไปอีก


 


 


“ถ้ายังพูดมากอีกละก็ ฉันจะไม่รักษาคำพูดแล้วนะ!”


 


 


หลินเช่อรีบหุบปากฉับ เธอกอดผ้าห่มแน่น หันหลังให้เขา รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัย


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่าดูเหมือนโชคดีทั้งหลายในชีวิตของเธอที่มีจะเกิดขึ้นเพราะเขา


 


 


เพราะเธอบังเอิญได้พบกับเขา บางทีเธออาจจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริงๆ ก็ได้


 


 


บางทีหลังจากที่เธอหย่ากับเขาแล้วในอนาคต เธออาจไม่มีโอกาสได้พบเจอผู้ชายดีๆ แบบนี้อีกเลยก็เป็นได้


 


 


ก็โลกนี้จะมีคนแบบกู้จิ้งเจ๋อสักกี่คนกันล่ะ


 


 


 


 


วันต่อมา


 


 


หลินเช่อตื่นนอนและเดินออกจากห้องพร้อมชายหนุ่ม


 


 


“ฉันจะไปทำงานนะคะ”


 


 


“โอเค ฉันจะไปกับเธอด้วย” เขาบอก แต่ทันทีที่เขาเปิดประตู โม่ฮุ่ยหลิงก็วิ่งถลาเข้ามาหา


 


 


“จิ้งเจ๋อ นั่นคุณจะไปไหนคะเนี่ย! บังเอิญจังเลยนะคะ ฉันกำลังจะไปทำงานพอดี พาฉันไปด้วยนะคะ”


 


 


หลินเช่อหน้าเสีย


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาลืมไปสนิทว่าโม่ฮุ่ยหลิงย้ายมาอยู่ใกล้มากเสียจนสามารถเดินมาหาได้ 

 

 


ตอนที่ 121 เธอต้องย้ายไปได้แล้ว

 

โม่ฮุ่ยหลิงเห็นอยู่หรอกว่าหลินเช่อนั้นอยู่กับกู้จิ้งเจ๋อ แต่หล่อนทำเป็นไม่เห็นไปอย่างนั้นและคว้าแขนชายหนุ่มพลางทำเสียงแง่งอน “จิ้งเจ๋อคะ ทำไมเมื่อวานคุณถึงไม่แวะมาละคะ ฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง คุณมาหาฉันได้ทุกวันเลยนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองหลินเช่อแล้วค่อยๆ ผลักมือของโม่ฮุ่ยหลิงออกไป


 


 


แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมปล่อย หล่อนเห็นหลินเช่อเบือนหน้าหนี หล่อนจึงทำหน้าอย่างผู้มีชัย


 


 


หลินเช่อกลอกตา “พวกคุณไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันเอารถอีกคันไปเอง”


 


 


“เอ้อ หลินเช่อ…” เขาเรียก แต่หลินเช่อรีบปลีกตัวเดินหนีไปอีกทางโดยไม่หันกลับมามองเสียแล้ว


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงดึงตัวเขาไว้ “ช่างเถอะค่ะ จิ้งเจ๋อ ปล่อยเขาไปเถอะ ยังมีรถใช้อีกตั้งหลายคันไปค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อชะงักและหันมามองโม่ฮุ่ยหลิง


 


 


การย้ายมาที่นี่ของหล่อนคอยสร้างปัญหาให้เขาอยู่เสมอ เขาคงปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้เสียแล้ว


 


 


ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าเขาต้องแก้ปัญหาเรื่องนี้เป็นอันดับแรก


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้ารับและบอกกับเธอว่า “ขึ้นรถเถอะ ฉันมีเรื่องอยากพูดกับเธอหน่อย”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงมองดูชายหนุ่มเดินนำไปที่รถ เธอจึงรีบเดินตามไปติดๆ ด้วยใจที่ลิงโลด


 


 


ทันทีที่ขึ้นมาอยู่บนรถ หญิงสาวก็เริ่มอิงแอบซุกไซ้กู้จิ้งเจ๋อในทันที


 


 


ชายหนุ่มเหลือบมองพลางขยับหนี เขาเอ่ยบอก “ฮุ่ยหลิง ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้วนะว่าฉันแต่งงานแล้ว เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอจะเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้!” โม่ฮุ่ยหลิงมองเขาด้วยแววตาชวนสงสาร


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงบุ้ยปากอย่างแง่งอน “แต่คุณไม่ได้รักภรรยาคุณนี่คะ คุณรักฉันต่างหาก!”


 


 


“ฮุ่ยหลิง! เขาเป็นภรรยาฉัน เธอพูดกับเขาแบบนี้ได้ยังไง”


 


 


“คุณ…จิ้งเจ๋อคะ คุณไม่เคยทำแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะคะ!” โม่ฮุ่ยหลิงทำหน้าตาน่าสงสาร


 


 


เขาจ้องหน้าเธอด้วยสายตาจริงจัง “เธอเองก็ไม่เคยทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้มาก่อนเลยเหมือนกัน!”


 


 


“ฉัน…” โม่ฮุ่ยหลิงเบือนหน้าหนี


 


 


เมื่อรู้ว่าเขาเอาจริง เธอก็รีบหุบปากอย่างรวดเร็ว หญิงสาวกัดริมฝีปากแล้วนั่งมองกู้จิ้งเจ๋อ ครุ่นคิดว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี


 


 


เธอไม่เคยประสบเหตุเช่นนี้มาก่อนจริงๆ นั่นแหละ


 


 


แต่เมื่อก่อนก็ไม่เคยมีหลินเช่อเข้ามาวุ่นวายกับพวกเธอด้วยเหมือนกัน


 


 


ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนแต่กู้จิ้งเจ๋อก็ไม่เคยไปวุ่นวายกับผู้หญิงคนอื่นเลย หรือบางทีเขาก็ไม่มีเวลามาพบเธอนานนับสัปดาห์ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไรนักเพราะเห็นว่าเป็นปกติของผู้ชาย ตราบใดที่เขาสามารถแบ่งเวลาอื่นที่นอกเหนือจากงานมาให้เธอได้ ทุกอย่างก็ไม่นับว่าเป็นปัญหา


 


 


ทว่าพอมาตอนนี้ หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อกลับได้อยู่ด้วยกัน ได้เจอหน้ากันทุกวันคืน นั่นแหละ โม่ฮุ่ยหลิงถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วชายหนุ่มมีเวลาเหลือเฟือมากมาย ไม่อย่างนั้นเขาจะมีเวลาไปอยู่กับแม่นั่นทุกวันได้ยังไงกันล่ะ


 


 


เมื่อก่อนนี้เธอเป็นฝ่ายปรับตัวให้เข้ากับเขา เธอจึงไม่เคยเข้าไปวุ่นวายเรื่องต่างๆ ของเขาเลย แต่นังหลินเช่อ นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ นังผู้หญิงแพศยานั่นน่ะสิ หล่อนคงจะหาทางเกาะติดเขาไม่ห่างจนทั้งคู่ดูจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา


 


 


เพราะเหตุนี้เอง โม่ฮุ่ยหลิงจึงอยากคอยเฝ้าตามติดกู้จิ้งเจ๋อบ้าง


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ ที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะฉันกลัวว่าจะเสียคุณไปนะคะ…”


 


 


“ฮุ่ยหลิง ทำไมเธอถึงไม่ลืมตาดูให้ชัดๆ สักทีนะ…เราไม่ได้เป็นคนรักกันอีกต่อไปแล้ว เราเป็นแค่เพื่อนกัน เธอคือคนที่ฉันห่วงใยเท่านั้น เธอ…เธอจะมาคอยตามติดฉันตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้”


 


 


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกตะลึง “แต่ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าฉันจะรอคุณ! ฉันจะรอจนกว่าคุณจะหย่ากับเขา แล้วเราจะได้เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง!”


 


 


“ฉันไม่สามารถบังคับเธอให้เป็นฝ่ายรอฉันได้ ฉันพูดในสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องพูด แต่ถ้าเธอจะเลือกที่จะทำแบบนี้ด้วยตัวเธอเองละก็ งั้นฉันก็คงไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว …” เขามองหน้าเธอ “ฉันไม่สามารถทรยศการแต่งงานของฉันได้ เพราะฉะนั้นฉันคงไม่สามารถใกล้ชิดเธอได้ ฮุ่ยหลิง ย้ายออกไปซะเถอะ อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะ!”


 


 


“ฉะ…ฉัน” น้ำตาไหลลงอาบแก้มเมื่อเธอมองหน้าเขา “ไม่ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น จิ้งเจ๋อ คุณจะมาบังคับให้ฉันย้ายออกไปไม่ได้หรอกนะคะ ทำไมคะ ฉันจะซื้อบ้านหลังนั้นด้วยเงินของฉันเองไม่ได้หรือไง สภาพแวดล้อมที่นี่ก็ออกจะดี แถมทำเลก็งามเสียด้วย ฉันจ่ายเงินซื้อไปตั้งสองสามล้าน ทำไมฉันจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ล่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉยชา “ถ้าเธอยืนยันว่าจะทำอย่างนั้นก็ตามใจ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงนั่งตัวตรงแน่ว เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมย้ายไปไหน ต่อให้ต้องตายก็ตามที


 


 


เธออยากจะวนเวียนอยู่รอบๆ แบบนี้นี่แหละ เพื่อที่จะได้คอยจับตาดูเขา เพราะถึงเธอจะรู้ว่าระหว่างเขากับหลินเช่อนั้นจะไม่ได้มีอะไรกัน แต่นังผู้หญิงแพศยาแบบนั้นก็อาจซุกซ่อนแผนการล่อลวงกู้จิ้งเจ๋อให้ตกหลุมขึ้นมาก็ได้


 


 


เมื่อรถแล่นมาถึงบริษัท ทั้งสองก็แยกทางกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาวที่เดินแยกตัวไปก่อนจะหันไปพูดกับผู้ช่วยที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักว่า “สถานการณ์ที่วิลล่าของโม่ฮุ่ยหลิงเป็นยังไง นายรู้ใช่มั้ย”


 


 


“รู้ครับท่าน”


 


 


“ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะยอมย้ายออกไปด้วยความเต็มใจแน่ ไปหาทางทำให้เธอยอมย้ายให้ได้”


 


 


“ครับ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่อยากจะพูดกับหล่อนให้แตกหักชัดเจนไปยิ่งกว่านี้ เพราะโม่ฮุ่ยหลิงกำลังอยู่ในช่วงเปราะบาง และเขาเองก็อยากจะช่วยรักษาหน้าเธอด้วย ผู้หญิงที่ไม่เคยต้องผิดหวังกับอะไรเลยอย่างโม่ฮุ่ยหลิงอาจจะทำใจรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น หล่อนก็ยังคงทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดอยู่นั่นเอง และนั่นทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากบอกกับหล่อนตรงๆ


 


 


เมื่อมาถึงห้องทำงาน เขานั่งครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะตัดสินใจโทรหาหลินเช่อ


 


 


หญิงสาวรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เธอเองก็เพิ่งจะมาถึงบริษัทด้วยเหมือนกัน แต่สุ้มเสียงของเธอฟังดูไม่ค่อยดีนัก


 


 


“ทำไมถึงไปเร็วนักละคะ ฉันนึกว่าคุณมีเรื่องอยากคุยกับคุณหนูโม่ก่อนเสียอีก”


 


 


“หลินเช่อ เขาจะย้ายออกไปเร็วๆ นี้แล้วล่ะ ฉันจะไม่ยอมให้เขาต้องมาคอยขัดจังหวะเราตลอดเวลาแบบนี้อีกต่อไปแล้ว”


 


 


หลินเช่อชะงักก่อนเอ่ยถามว่า “แล้วทำไมเธอถึงจะต้องย้ายไปด้วยละคะ มีเธออยู่ใกล้ๆ แบบนี้ไม่ดีหรอกเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “เธอคิดว่ามันดีแล้วจริงๆ เหรอ”


 


 


“แน่นอนสิคะ! มันก็จะได้สะดวกสำหรับคุณทั้งสองคนไม่ใช่เหรอคะ” หลินเช่อถามพลางเป่าเล็บมือที่เพิ่งทาใหม่ๆ


 


 


ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาว “แต่มันไม่สะดวกสำหรับเรานี่”


 


 


“อะไรนะคะ” เธอคิดว่าตัวเองหูฝาดไป


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อยังคงพูดต่อไปว่า “ฉันจะไม่ทรยศการแต่งงานของเราหรอกนะ เพราะฉะนั้น…ฉันจะไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของฉันกับเขาในอดีตดำเนินต่อไปอีกแล้ว เขาจะต้องย้ายออกไปโดยเร็วที่สุด”


 


 


เมื่อพูดจบ เขาก็วางสาย


 


 


หลินเช่อตะลึงงันทั้งที่ยังไม่ทันเข้าใจดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เธอยืนถือโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น ก่อนจะระบายลมหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วเธอก็ยกมือขึ้นเคาะหัวตัวเอง อย่าเข้าใจผิดไปสิ หลินเช่อ เขาแค่หมายความว่าเขาจะไม่ทรยศการแต่งงานครั้งนี้ต่างหาก เขาเป็นคนซื่อตรง และไม่อยากจะอยู่ร่วมกับคนไม่ซื่อสัตย์ก็เท่านั้น มันไม่ได้มีความหมายอื่นหรอก


 


 


เธอเดินเข้าบริษัท และทันใดนั้นอวี๋หมินหมิ่นก็รีบตรงดิ่งเข้ามาหา พูดว่า “มาทันเวลาพอดี รถของทีมงานจอดรออยู่แล้วละ วันนี้เธอต้องไปร่วมรายการเรียลลิตี้โชว์นะ เตรียมตัวมาพร้อมหรือยัง”


 


 


หลินเช่อยิ้มให้ผู้จัดการสาว “อืม พร้อมแล้วค่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นย้ำว่า “อย่าตื่นเต้นจนเกินไปล่ะ แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ”


 


 


“อ้อ ได้ค่ะ ว่าแต่ใครเป็นแขกรับเชิญสัปดาห์นี้คะ”


 


 


หลินเช่อจำคำพูดของกู้จิ้งอวี่เมื่อวันก่อนได้ดี


 


 


ผู้จัดการของเธอตอบว่า “ฉันคิดว่าน่าจะเป็นพวกเพื่อนเก่าของเธอนั่นแหละ เห็นเขาว่าพวกนั้นก็รู้จักเธอดีอยู่”


 


 


“หา? จริงเหรอคะ ใครกันน่ะ ฉันไม่ค่อยจะรู้จักใครเลยนะคะ”


 


 


“เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองนั่นแหละ ทางรายการก็ไม่ได้แจ้งเราเหมือนกัน พวกเขาบอกแค่ว่าธีมของรายการเทปนี้คือดาราหญิงหน้าใหม่” 

 

 


ตอนที่ 122 เธออารมณ์ไม่ค่อยดี

 

หลินเช่อก้าวขึ้นรถ และไม่ช้าเธอก็ไปถึงสถานที่ถ่ายทำ เมื่อผู้กำกับเห็นหลินเช่อ เขาก็รีบเข้ามาทักทายเธอเป็นการส่วนตัว เขาสุภาพทั้งกับเธอและอวี๋หมินหมิ่นเป็นอย่างมาก


 


 


ผู้จัดการของเธอเข้าไปจัดแจงเจรจาเรื่องงานในขณะที่หลินเช่อกำลังทบทวนดูสคริปต์รายการอยู่กับผู้กำกับ ทั้งสองกำลังพูดคุยกันถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จะต้องทำในวันนี้ แต่แล้วใครบางคนก็ร้องเรียกขึ้นจากด้านหลัง “หลินเช่อ ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันเร็วแบบนี้นะ”


 


 


หลินเช่อหันไปและพบว่าคนที่กำลังตรงเข้ามาหาก็คืออดีตคู่แข่งรางวัลดาราหน้าใหม่ของเธอ หวังฉิงฉู่นั่นเอง


 


 


หลินเช่อหัวเราะแห้งๆ ขณะมองอีกฝ่ายที่เดินนวดนาดเข้ามา หล่อนมีผู้ช่วยตามหลังมาเป็นพรวนอีกราวห้าถึงหกคน ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“ฉันบอกผู้กำกับว่าฉันมีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ และเราก็น่าจะต้องมาเป็นดารารับเชิญร่วมกันดูสักครั้ง จะปล่อยให้พวกดาราทีวีหน้าเดิมๆ มาขโมยเวลาออกอากาศของเราอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะจ๊ะ”


 


 


เพื่อนเก่าที่ว่าก็คือเธอเองงั้นหรือนี่…


 


 


หลินเช่อหัวเราะอย่างไม่ค่อยจะยินดีนัก “ไม่หรอก ฉันคิดว่ามิตรภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรายการนี้นะ ทุกคนมาที่นี่เพื่อจะร่วมสนุกกัน ไม่มีหรอกเรื่องที่จะมาคอยขโมยซีนกันน่ะ”


 


 


หวังฉิงฉู่มองหน้าเธอแล้วแสร้งยิ้มออกมา


 


 


การได้มาออกรายการที่โด่งดังขนาดนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แล้วใครเล่าที่จะมาที่นี่เพื่อความสนุกกัน


 


 


หวังฉิงฉู่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี หนนี้เธอจะต้องโดดเด่นสะดุดตากว่าใครทั้งหมด


 


 


ทว่าเมื่อเธอเห็นหลินเช่อยังทำหน้าไร้เดียงสาไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างนั้น หวังฉิงฉู่ที่ในตอนแรกอยากจะร่วมมือกับหลินเช่อก็เปลี่ยนใจขึ้นมา เห็นทีจะไม่ดีกว่า โชคยังดีที่ยังมีแขกรับเชิญคนอื่นนอกจากแม่นี่อีก


 


 


ในจังหวะนั้นเอง นักแสดงหญิงอีกคนหนึ่งก็เดินทางมาถึง


 


 


“ผู้กำกับคะ ฉันมาแล้วค่ะ ขอโทษทีนะคะ ข้างนอกนั่นรถติดมากเลย ฉันไม่ได้มาสายใช่มั้ยคะ” เสียงนั้นทำให้หลายคนหันไปมอง หล่อนคือฉินหวานหว่านนั่นเอง หล่อนสร้างชื่อมาจากละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับออฟฟิศยุคใหม่ และก่อนหน้านี้เธอก็เคยรับบทนักแสดงสมทบมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน หลินเช่อจึงจำเธอได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้มีโอกาสเจอหน้ากันจริงๆ


 


 


พวกเธอจับมือและทักทายกันและกัน


 


 


“หลินเช่อคะ ฉันติดตามดูซีรีส์ของคุณอยู่นะ สนุกจนฉันติดเลยล่ะ”


 


 


“คุณเองก็เหมือนกันนั่นแหละค่ะ คุณดังมากเลยทีเดียวนะคะตอนนี้” ทั้งสองผลัดกันแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ก่อนที่หวังฉิงฉู่จะเข้ามาขัดจังหวะและเริ่มทักทายฉินหวานหว่านบ้างด้วยถ้อยคำแบบเดียวกันกับที่หลินเช่อเพิ่งใช้ไป หล่อนต้องการให้ฉินหวานหว่านอยู่ข้างหล่อน แต่ฉินหวานหว่านกลับเพียงแค่ส่งยิ้มให้อย่างประดักประเดิด แล้วเธอก็หันไปคุยกับหลินเช่อต่อ


 


 


“ฉันกังวลจังเลยค่ะ นี่เป็นครั้งแรกของฉันเลย”


 


 


“นี่ก็เป็นครั้งแรกของฉันเหมือนกันค่ะ” หลินเช่อว่า


 


 


“แค่เป็นตัวของตัวเองเอาไว้นั่นแหละค่ะ ถึงแม้ว่าในครั้งแรกคุณจะไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์นะคะ”


 


 


“ได้ค่ะ”


 


 


แล้วในครู่ต่อมา การถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้น


 


 


ทีมงานทุกคนพร้อมแล้ว นักแสดงหน้าใหม่ทั้งสามล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวเอง รายการเริ่มต้นด้วยการเล่นเกม และรูปแบบของเกมนั้นก็ดูน่าสนใจและท้าทายมากทีเดียว


 


 


หลินเช่อไม่ค่อยเข้าใจนักว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แถมยังไม่รู้อีกด้วยว่าตัวเองควรต้องพูดอะไร ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถไล่ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในรายการได้สักเท่าไหร่นัก แต่ฉินหวานหว่านดูจะทำได้ดีทีเดียวแม้เจ้าตัวจะบอกว่ารู้สึกกังวลในทีแรก เธอเข้ากันได้ดีกับนักแสดงหลักประจำรายการและสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ดี ดูเหมือนว่าเธอจะหาวิธีจับความสนใจคนดูได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เมื่อเทียบกับหลินเช่อแล้ว เธอดูจะชักช้าอืดอาดกว่ามาก


 


 


เมื่อฉินหวานหว่านทำภารกิจของตัวเองเสร็จเรียบร้อยและไม่เหลืออะไรที่ต้องทำอีก เธอก็จะเข้ามาช่วยหลินเช่อ ซึ่งหญิงสาวรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก


 


 


ส่วนทางด้านหวังฉิงฉู่นั้นดูจะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของทีมงานสักเท่าไหร่ หล่อนกรีดร้องเสียงดังตลอดเวลาและสร้างปัญหาวุ่นวายในบางครั้ง หล่อนไม่สามารถทำอะไรให้ถูกต้องได้ และคอยแต่เกาะติดนักแสดงหนุ่มที่มีชื่อเสียงที่สุดในรายการอยู่ตลอดเวลา ทีมงานได้แต่เฝ้ามองเธอโดยไม่อาจพูดอะไรได้


 


 


เธอเรียกความสนใจจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี แต่ดูเหมือนจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับทุกคนในที่นั้น


 


 


ในช่วงพักเบรก หลินเช่อนั่งอยู่บนรถพร้อมกับดาราใหญ่ของทางรายการ ขณะกำลังเคลื่อนรถไปด้านหน้า เขาก็หันมายิ้มให้เธอและพูดว่า “ท่าทางเธอดูเหมือนนอนไม่พอมาอย่างนั้นแหละ ใต้ตาบวมเป่งเชียว” หลินเช่อตอบเบาๆ ว่า “พอรู้ว่าจะต้องมาออกรายการนี้ ฉันก็เลยกลัวหนักจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนเลยน่ะค่ะ ถ้าต้องโดนคัดออกตั้งแต่ตอนต้นๆ รายการละก็ ตัวฉันของฉันจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ กว่าจะหาทางให้ฉันมาออกรายการนี้ได้ ต้องหมดเงินไปตั้งมาก”


 


 


“ฮ่าๆๆ โอเค งั้นเราจะช่วยกันปกป้องเธอไม่ให้เธอโดนกำจัดทิ้งเร็วนักก็แล้วกันนะ”


 


 


“จริงเหรอคะ ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ฉันจะยกเงินรางวัลที่ได้ของสัปดาห์นี้ให้คุณหมดเลย”


 


 


“ฮ่าๆ ฉันจะจำไว้นะ”


 


 


“นี่ฉันพูดจริงนะคะ!”


 


 


หลินเช่อไม่ค่อยจะสนใจหน้าตาของตัวเองสักเท่าไหร่ด้วย จะมีก็แต่การแต่งหน้าแต่งตาบ้างเพียงบางเบา หญิงสาวเอาแต่นั่งงง โดยไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิดว่าเครื่องสำอางบนหน้านั้นหลุดออกไปจนเกือบหมดแล้ว


 


 


ฉินหวานหว่านเห็นหลินเช่อนั่งอยู่คนเดียวจึงเข้าไปช่วยปลอบใจ


 


 


“ทำไมถึงไม่ไปล่ะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันไม่รู้จะพูดว่าอะไรน่ะค่ะ พวกคุณดูจะทำได้ดีทีเดียว”


 


 


“โธ่เอ๋ย การแสดงของเธอก็ไม่ได้แย่นะจ๊ะ เธอแค่ยังหาจังหวะให้ตัวเองไม่เป็นเท่านั้นเอง”


 


 


หลินเช่อรับคำอายๆ “ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”


 


 


ฉินหวานหว่านพูดต่อ “ดูสินั่น หวังฉิงฉู่กำลังพยายามอย่างหนักเลยละ”


 


 


หลินเช่อมองดูหวังฉิงฉู่ที่กำลังวนเวียนพยายามหาที่ทางให้ตัวเองอย่างสุดความสามารถ “มันเป็นเรื่องของความสามารถน่ะค่ะ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถในเรื่องนี้ คงทำได้แค่เรื่องการแสดงเท่านั้น”


 


 


ฉินหวานหว่านมองเธอด้วยสายตาปลอบประโลม “เอาเถอะจ้ะ แม่สาวน้อยผู้น่าสงสาร”


 


 


รายการนั้นจะต้องถ่ายทำต่อเนื่องกันสองวันเต็ม เมื่อถ่ายทำในวันแรกเสร็จ หลินเช่อก็ขึ้นเครื่องบินไปยังสถานที่ถ่ายทำถัดไปพร้อมกับทุกคน


 


 


ขณะที่อยู่บนเครื่องบิน อวี๋หมินหมิ่นก็เดินตามหลังหลินเช่อมา ดารารับเชิญสองสามคนได้นั่งชั้นเฟิร์สคลาส ในขณะที่คนอื่นที่เหลือนั่งชั้นประหยัด ผู้จัดการสาวส่งน้ำดื่มให้หลินเช่อพลางมองดูสีหน้าอย่างคนที่กำลังจะยอมแพ้ของหญิงสาว อวี๋หมินหมิ่นพูดปลอบ “อย่ากังวลให้มากไปเลย”


 


 


หลินเช่อเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “สองคนนั้นเขามีจุดเด่นเฉพาะตัว งานนี้ฉันต้องกลายเป็นคนที่เด่นน้อยที่สุดแน่ๆ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นปลอบว่า “ลองมาเทียบกับงานอื่นของเธอกันดีกว่า รายการเรียลลิตี้นี่ก็เป็นแค่งานพิเศษเท่านั้น มันไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเธอสักเท่าไหร่หรอกน่า”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเช่อก็ทำได้แต่เพียงพูดอย่างขอโทษว่า “ฉันรู้สึกขายหน้าจังค่ะ ทั้งที่ทุกคนอุตส่าห์หางานดีๆ อย่างรายการแบบนี้มาให้”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นว่า “ไม่ต้องขอโทษหรอก อย่ากังวลไปเลย ยังมีรายการอื่นอีกถมเถไปน่ะ ตราบใดที่เธอยังมีชื่อเสียงอยู่ ใครๆ ก็อยากได้เธอไปร่วมรายการทั้งนั้นนั่นแหละ อีกอย่าง การแสดงของเธอในรายการก็ไม่ได้แย่เลยสักนิด”


 


 


“โอเคค่ะ…”


 


 


“เอาล่ะ แต่ถ้ายังจะทำหน้าตูมอยู่แบบนี้ละก็ พรุ่งนี้หน้าเธอจะต้องบวมเป็นขนมปังปอนด์แน่ รีบไปพักผ่อนซะ แล้วก็อย่าดื่มน้ำมากไปล่ะ พรุ่งนี้เช้ายังมีถ่ายต่อ”


 


 


พูดน่ะง่ายกว่าทำ หลินเช่อกลับเข้าที่พักทั้งที่ยังอารมณ์ไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงดื่มอะไรอีกนิดหน่อยที่โรงแรม


 


 


ตกกลางคืน กู้จิ้งเจ๋อโทรมาหาและถามเธอว่า [นี่เธอจะต้องถ่ายทำอีกกี่วันน่ะ]


 


 


หลินเช่อรับสาย เธอยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “ยังต้องถ่ายพรุ่งนี้อีกวันค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาดูว่าการถ่ายทำที่ผ่านมาใช้ได้มั้ย ถ้าไม่ดีพอก็อาจจะต้องถ่ายเพิ่มอีกวัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ [มีอะไรหรือเปล่า เธอมีอะไรไม่สบายใจหรือไง]


 


 


หลินเช่อถอนหายใจและคิดว่าคงไม่เป็นไรที่จะเล่าให้เขาฟังถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น


 


 


“ค่ะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเลย คุณชอบพูดอยู่เรื่อยว่าฉันน่ะซื่อบื้อ บอกหน่อยสิคะ ว่าฉันซื่อบื้อขนาดนั้นจริงๆ เหรอ เพราะแบบนี้ฉันถึงได้หาจังหวะออกกล้องให้ตัวเองไม่ได้เลยใช่มั้ย”


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ และตอบว่า [ก็จริงนะ เธอซื่อบื้อมากจริงๆ นั่นแหละ]


 


 


“นี่!”


 


 


ใครเขาปลอบใจคนอื่นกับแบบอีตานี่บ้าง

 

 

 


ตอนที่ 123 การพูดคุยที่ยาวนาน จบลงด้ว...

 

[เอาน่า การเป็นคนซื่อบื้อไม่ใช่เรื่องผิดอะไรสักหน่อย แค่เป็นตัวเธอเองก็พอแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใครหรอกนะ อย่าเอาข้อเสียของตัวเองไปเทียบกับข้อดีของคนอื่นสิ เธอเป็นนักแสดง ไม่ได้อยากเป็นดาราตลกด้วยสักหน่อย จริงมั้ย เธออยากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกการแสดง เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องเอาทักษะการแสดงของเธอไปเทียบกับเขาสิ จะมาสนใจทำไมว่าใครตลกกว่ากัน]


 


 


นั่นก็ฟังดูเข้าทีดีอยู่นะ


 


 


หลินเช่อเล่าต่อว่า “ฉันคิดว่าทุกคนเก่งๆ กันทั้งนั้นเลยน่ะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า [เธอเองก็เก่งเรื่องอื่นไงล่ะ]


 


 


“จริงเหรอคะ”


 


 


แต่หลินเช่อก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าเธอก็ดูเป็นคนไม่มีค่าอะไรในสายตาเขาอยู่ดี


 


 


ชายหนุ่มพูดต่อไปอีกว่า [จริงสิ เธอต้องเชื่อในสายตาของฉันสิ ที่ฉันยอมให้เธอมาเป็นภรรยาของฉันแบบนี้ นั่นหมายความว่าเธอเองก็ต้องมีข้อดีของเธอเหมือนกัน]


 


 


“…” สรุปว่าเขากำลังชมตัวเองใช่ไหม


 


 


“นี่ ผู้ชายอย่างคุณจะไม่หลงตัวเองบ้างเป็นมั้ยคะเนี่ย”


 


 


[มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่ เธอต้องรักตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นจะคาดหวังให้คนอื่นมามองเห็นเธอได้ยังไงกัน]


 


 


“ไปให้พ้นเลยนะ ตกลงยังไงคะ คุณจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย”


 


 


[เธออยากให้ฉันพูดตรงๆ หรือจะให้ฉันโกหกล่ะ]


 


 


“ช่างเถอะ…งั้นฉันจะวางสายละนะ”


 


 


[เอ้า อย่าเพิ่งสิ ให้ฉันคิดก่อน] กู้จิ้งเจ๋อว่า [เธอ…เธอจูบเก่งมาก]


 


 


“…” คราวนี้หลินเช่อโกรธจริงๆ และกำลังจะวางสาย “กู้จิ้งเจ๋อ!”


 


 


[ก็ได้ๆ อย่าตะโกนสิ ถึงแม้ว่าเธอออกจะซื่อบื้อไปนิด โง่เง่าไปหน่อย แถมยังไร้กิริยามารยาท…]


 


 


“นี่ตกลงคุณจะชมฉันหรือจะด่าฉันกันแน่คะ!” หลินเช่อเริ่มทนไม่ไหว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเป็นแบบนี้นะ


 


 


[ถึงเธอจะมารยาทแย่ แต่ข้อดีของเธอก็คือ เธอรูปร่างดีมาก น่าสัมผัสแตะต้อง]


 


 


“…” หลินเช่อหน้าแดง “กู้จิ้งเจ๋อ คนโรคจิต! นี่คุณเห็นฉันเป็นพวกดอกไม้ริมทางงั้นเหรอ”


 


 


ชายหนุ่มตอบ [เป็นดอกไม้ริมทางก็มีประโยชน์อยู่นะ ใช่ว่าใครอยากเป็นก็ได้เป็นเสียเมื่อไหร่ล่ะ]


 


 


“ตกลงนี่คุณยังจะเรียกฉันว่าเป็นดอกไม้ริมทางอยู่ใช่มั้ย!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงียบ เขากำลังชมว่าเธอสวยอยู่ชัดๆ


 


 


แต่ยัยผู้หญิงคนนี้กลับเลือกที่จะได้ยินแค่บางคำ


 


 


ช่างเถอะ


 


 


ทั้งสองคุยกันต่อ จนบทสนทนานั้นก็ยืดยาวออกไปโดยไม่รู้ตัว


 


 


ชายหนุ่มมองเวลาแล้วบอกกับหลินเช่อว่า [พรุ่งนี้เธอต้องตื่นเช้านี่ นี่ก็เลยเที่ยงคืนแล้ว ไปนอนเร็ว!]


 


 


“อ๊ะ เลยเที่ยงคืนแล้วเหรอเนี่ย ความผิดคุณนั่นแหละที่มัวแต่เถียงกับฉันเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ได้!”


 


 


หลินเช่อพูดเสร็จก็รีบวางสายโดยเร็ว


 


 


[นี่ อย่าเพิ่งวาง] เขาพยายามร้องเรียกเธอ


 


 


หญิงสาวชะงัก “มีอะไรเหรอคะ”


 


 


[เธอจะกลับมามะรืนนี้เป็นอย่างช้าที่สุดใช่มั้ย] เขาถาม


 


 


เธอตอบ “อืม ใช่ค่ะ”


 


 


[โอเค อย่าช้าไปกว่านี้ล่ะ] น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำกว่าปกติเมื่อดังผ่านสายโทรศัพท์เข้ามา ทำให้หัวใจของเธออ่อนยวบลงเล็กน้อย


 


 


“อย่าบอกนะว่าคิดถึงฉันแล้วน่ะ” เธอทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะหัวเราะคิกคัก


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับตอบมาตามสายด้วยเสียงเรียบๆ ว่า [ใช่]


 


 


“อะไรนะ”


 


 


หลินเช่อกระเด้งตัวขึ้นนั่งทันที แต่อีกฝ่ายกลับวางสายไปเสียแล้ว


 


 


เยส…เยส…


 


 


ทั้งที่ยังคงถือโทรศัพท์ หัวใจเธอเริ่มรู้สึกได้ถึงความอ่อนหวานอันล้นเหลือ หัวใจของเธอปั่นป่วนรัญจวนไปแสนไกล คงเป็นเพราะได้คุยสารพัดอย่างกับเขาทางโทรศัพท์อยู่นานนั่นล่ะที่ทำให้ความวิตกกังวลก่อนหน้านี้กลับจางหายไปจนหมดสิ้น เธอเหยียดกาย รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม ในห้วงคิดมีแต่ภาพเงาของเขาล่องลอยอยู่ทั่วจนเธอลืมทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง


 


 


เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสนทนาทางโทรศัพท์กับกู้จิ้งเจ๋อได้นานขนาดนี้ เธอกับเขาสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องในโลกนี้


 


 


แต่ก็คงเป็นเพราะความไม่เขินอายของเธอด้วยนั่นแหละ มีหลายอย่างที่หลินเช่อไม่เข้าใจ แต่เธอก็กล้าถามเขาอย่างไม่กระมิดกระเมี้ยน


 


 


เขาเองก็มีความอดทนมากพอที่จะช่วยอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง


 


 


และเธอเองก็คิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้มากมายเหลือเกิน ราวกับว่าเขามีเรื่องให้หยิบยกขึ้นมาพูดคุยได้ไม่รู้จบ


 


 


และในไม่ช้าหลินเช่อก็ผล็อยหลับไป


 


 


 


 


วันต่อมา เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนบุกเข้ามาถึงในห้องตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


โชคดีที่อวี๋หมินหมิ่นเตือนเอาไว้แล้วว่าให้เธอสวมเสื้อผ้าดีๆ เข้านอนเพื่อให้ปลอดภัยต่อการถูกแอบถ่ายและป้องกันไม่ให้เกิดอะไรไม่เข้าท่าขึ้นมาด้วย เมื่อหลินเช่อตื่นขึ้น เธอก็กำลังอยู่ในสภาพยับเยินตั้งแต่หัวจดเท้า หน้าตาไม่ได้แต่ง ใต้ตายังบวมเป่งและเพราะว่ามัวแต่คุยโทรศัพท์กับกู้จิ้งเจ๋อจนดึกดื่น แถมยังดื่มน้ำมากเกินไป ตอนนี้ใบหน้าเธอก็เลยบวมเป่งทีเดียว ด้วยเหตุนี้เมื่อหันไปเห็นกล้อง หลินเช่อก็แทบจะสติแตก


 


 


ทุกคนพากันหัวเราะขณะกำลังถ่ายภาพเธอในสภาพงัวเงียสะลึมสะลือ หญิงสาวไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากยกมือขยี้ตาและพูดกับทุกคนว่า “เดี๋ยวก่อนนะทุกคน นี่ฉันเป็นไอดอลนะ ฉันจะรอดชีวิตในวงการต่อไปได้ยังไงถ้าขืนพวกคุณมาแอบถ่ายฉันในสภาพแบบนี้น่ะ พวกคุณต้องชดใช้ที่ฉันต้องสูญเสียบรรดาแฟนคลับไปนะ”


 


 


ทุกคนพากันหัวเราะเสียงดังสนั่น


 


 


หลินเช่อคิดว่า ไหนๆ สภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของเธอก็ถูกเปิดเผยออกไปแล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่เธอต้องแคร์อีกต่อไป เมื่อจะก้าวออกจากห้อง หญิงสาวจึงไม่ใส่ใจที่จะแต่งหน้า แถมยังอ้าปากหาวหวอดๆ ต่อหน้าทุกคนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ อีกทั้งยังเกาหัวแกรกๆ อีกด้วย


 


 


ฉินหวานหว่านและหวังฉิงฉู่เองก็ดูจะโดนเซอร์ไพรส์แบบเดียวกัน แต่หวังฉิงฉู่นั้นยังคงดูสวยปิ๊งไม่ขาดตกบกพร่อง ซ้ำเธอยังพูดกับทุกคนอีกด้วยว่า “ทำไมถึงไม่บอกก่อนละคะว่าจะมากันเนี่ย ฉันเลยยังไม่ได้แต่งหน้าแต่งตา”


 


 


ฉินหวานหว่านพ่นลมพรืดก่อนจะกระซิบกับหลินเช่อ “โกหกชัดๆ ผู้จัดการหล่อนน่ะบอกล่วงหน้ามาตั้งนานแล้วละ ไม่ได้แต่งหน้างั้นเหรอ แต่งแบบลุคธรรมชาติสิไม่ว่า หล่อนใส่กระทั่งคอนแทคเลนส์ด้วยซ้ำนะนั่น”


 


 


“ไม่จริง นี่พวกผู้จัดการรู้กันด้วยเหรอ”


 


 


“ก็แน่สิจ๊ะ ผู้จัดการของเธอไม่ได้บอกเธอหรอกเหรอ นี่ฉันอุตส่าห์ใส่ชุดนอนตัวที่ดีที่สุดเลยนะ”


 


 


“เขาไม่ได้บอกอะไรฉันเลยซักอย่าง!” หลินเช่ออยากจะตีอวี๋หมินหมิ่นให้ตายคามือนักเชียว


 


 


หรืออวี๋หมินหมิ่นจะคิดว่าการแสดงของหลินเช่อนั้นแย่มากเสียจนแม้ว่าจะบอกอะไรไปก็คงไม่สามารถช่วยได้งั้นหรือ


 


 


หลินเช่อตามหาอวี๋หมินหมิ่นจนเจอและรีบต่อว่า “ฉันจะฆ่าพี่ พี่อวี๋คะ ทำไมพี่ถึงไม่บอกละคะว่าทีมงานจะโผล่เข้ามาในห้องเช้านี้น่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองดูหลินเช่อที่อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงก่อนจะหัวเราะคิกคัก “บอกเธอแล้วมีประโยชน์อะไรล่ะในเมื่อเธอเสแสร้งไม่เป็น ก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่ดีกว่ารึ เห็นมั้ย ดูเธอตอนนี้ก็ไม่ได้ดูแย่อะไรสักหน่อยนี่นา”


 


 


หลินเช่อพูดไม่ออก แต่เมื่อลองคิดๆ ดูแล้ว จะว่าไปเธอก็เป็นคนไม่มีจริตจะก้านแบบหวังฉิงฉู่ที่จะสามารถเสแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ได้จริงๆ นั่นแหละ


 


 


“แต่ให้ตายเถอะ อย่างน้อยพี่ก็น่าจะบอกใบ้กันมั่งนี่นา”


 


 


“ฉันก็บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้แต่งตัวดีๆ แล้วก็อย่าเผลอถอดเสื้อผ้าจนโป๊ แต่เธอเองก็ไม่ได้มีนิสัยถอดเสื้อผ้านอนนี่นา”


 


 


หลินเช่อว่า “แล้วนี่พี่ไม่กลัวว่าฉันจะเอาผู้ชายเข้ามาที่ห้องบ้างเหรอคะ ถ้าเกิดฉันโดนจับได้ขึ้นมาจะว่ายังไง”


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก” อวี๋หมินหมิ่นลูบคาง “แต่ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ว่าถ้าหากกู้จิ้งเจ๋อถูกถ่ายภาพได้ตอนที่กำลังอยู่กับเธอละก็ คงจะได้กลายเป็นข่าวใหญ่ระเบิดระเบ้อไปเลยแน่ๆ”


 


 


หลินเช่อทำตาเขียวใส่ยัยผู้จัดการจอมเจ้าเล่ห์ของตัวเอง


 


 


แต่ยังไงซะ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นไปแล้ว เธอควรที่จะเดินหน้าต่อแทนที่จะมานั่งคิดมาก


 


 


ดังนั้นเมื่อเธอเดินกลับออกมา ทุกคนก็ยังคงส่งยิ้มให้เธออยู่อย่างขบขัน “ท่าทางร่าเริงจังเลยนะ นี่เธอไม่ได้แต่งหน้าด้วยซ้ำเหรอเนี่ย”


 


 


“ด้วยความยินดีค่ะๆ แหม ก็จะให้ฉันแต่งหน้านอนไปทำไมละคะ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเดตกับผีน่ะ” หลินเช่อพูดพลางโบกไม้โบกมือ 

 

 


ตอนที่ 124 ไม่คาดว่ามันจะออกมาดี

 

โชคดีที่การถ่ายทำในวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและทุกคนไม่ต้องอยู่ทำงานต่ออีกวันอย่างที่คาดกันไว้


 


 


เมื่อการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็ทยอยกันขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับ ฉินหวานหว่านรีบเข้ามาดึงตัวหลินเช่อให้ตามไปและชวนให้เธอร่วมดื่มฉลองกับคนอื่นๆ ด้วยกันในช่วงรับประทานอาหารเย็นหากเธอไม่ได้มีสิ่งใดที่ต้องไปทำในคืนนี้


 


 


คืนนั้นเอง ผู้กำกับ ทีมงาน และหญิงสาวทั้งสองที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มราวเจ็ดแปดคนก็ตรงไปที่คลับเพื่อร่วมกินดื่มและร้องเพลง


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเช่อได้มาที่นี่กับพวกเขา ฉินหวานหว่านเป็นสาวเข้าสังคมเก่ง เธอสามารถพูดคุยได้กับทุกคนได้อย่างเป็นกันเองและไม่ถือตัว หลินเช่อกำลังนั่งมองคนโน้นคนนี้อยู่อย่างเพลิดเพลินเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาหา “นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่มาที่นี่สินะจ๊ะ ที่นี่น่ะมีคนจากในวงการมาเที่ยวกันเยอะแยะเลย”


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันเป็นแค่ดาราหน้าใหม่น่ะค่ะ ไม่ค่อยรู้จักใครนักหรอก”


 


 


ฉินหวานหว่านให้กำลังใจ “สุดท้ายเธอก็จะได้รู้จักไปเองนั่นแหละจ้ะ รู้จักคนให้เยอะๆ เข้าไว้น่ะไม่เสียหายหรอกนะถ้ารักจะทำอาชีพนี้”


 


 


“ค่ะ” หลินเช่อไม่ใช่คนที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้ง่ายนัก เธอไม่ใช่คนช่างพูดหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ในทันที แต่ถ้าหากได้สนิทสนมคุ้นเคยกันแล้วละก็ เธอจะกลายเป็นคนพูดไม่หยุดไปเลยทีเดียว


 


 


ฉินหวานหว่านพูดต่อไปอีกว่า “เอาล่ะ งั้นฉันจะเป็นพี่ใหญ่ให้เธอเองก็แล้วกัน แล้วฉันจะลากเธอไปด้วยทุกที่เลยด้วย มาเถอะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”


 


 


หลินเช่อยิ้ม มองดูอีกฝ่ายอย่างนึกชื่นชมที่สามารถเข้ากับทุกคนได้อย่างง่ายดายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้


 


 


ฉินหวานหว่านว่า “แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับกู้จิ้ิ้งอวี่ก็ไม่ได้แย่นี่จ๊ะ”


 


 


หลินเช่อตอบเบาๆ “แต่มันก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่เหมือนกันน่ะค่ะ ฉันไม่ได้ติดต่อเขามาพักใหญ่แล้ว”


 


 


“จริงเหรอ เขาเป็นไอดอลของฉันเลยนะเนี่ย ฮิๆ แต่บางทีฉันอาจจะได้ร่วมงานแสดงกับเขาเร็วๆ นี้นี่แหละ”


 


 


“จริงเหรอคะ ดีเลย เขาเป็นนักแสดงที่เก่งทีเดียว” หลินเช่อชม


 


 


ฉินหวานหว่านยิ้มล้อๆ แล้วมองหน้าหลินเช่อ “งั้นก็แปลว่า ข่าวลือระหว่างพวกเธอสองคนนี่ก็…”


 


 


“เป็นเรื่องโกหกทั้งนั้นแหละค่ะ!” หลินเช่อรีบบอก “ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ มันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น”


 


 


“โอเคๆ”


 


 


ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น หลินเช่อก็รู้สึกว่ามีสายเรียกเข้าที่โทรศัพท์ของเธอ เมื่อดึงออกมาดูก็ได้เห็นว่าเป็นสายจากกู้จิ้งเจ๋อนั่นเอง


 


 


สายตาของฉินหวานหว่านนั้นคมปลาบทีเดียว เธอมองเห็นชื่อที่ระบุว่า ‘สามีสุดที่รัก’ อย่างชัดเจนบนหน้าจอโทรศัพท์จึงยิ้มให้และหยอกว่า “โอ้ งานเข้าแล้วละสิเนี่ย”


 


 


หลินเช่อหน้าแดง


 


 


ฉินหวานหว่านเห็นแล้วก็หัวเราะก่อนจะแตะไหล่อย่างปลอบโยน “เอาน่า ก็ถ้าเธอมีแฟนแล้วจะทำไมล่ะ เธอก็โตป่านนี้แล้ว ไม่มีใครห้ามเธอหรอกจ้ะ ฉันไม่บอกใครหรอก สบายใจได้นะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ…แต่ถึงยังไง ฉันก็ต้องรับสายนี้”


 


 


หลินเช่อรีบกดรับสาย เมื่อต่อติดเธอก็ได้ยินเสียงกู้จิ้งเจ๋อถามขึ้นว่า [นี่เธอจะกลับเมื่อไหร่น่ะ]


 


 


มุมปากของหญิงสาวขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างไม่อาจห้ามได้ “จะกลับเร็วๆ นี้นี่แหละค่ะ”


 


 


[โอเค งั้นฉันไปรับนะ]


 


 


อันที่จริงกู้จิ้งเจ๋อค่อนข้างจะอดทนและเข้าอกเข้าใจทีเดียว เขาคิดว่ามันเป็นการดีสำหรับหลินเช่อที่ได้ออกสนุกข้างนอกบ้าง คนเราต้องมีสังคมและพื้นที่ส่วนตัวกันบ้างในบางเวลา นั่นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพจิต


 


 


เมื่อหลินเช่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็รีบก้าวขึ้นรถแล้วบอกว่า “ฉันแค่แวะมาดูหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ทุกคนต่างก็เป็นทีมงานแล้วก็นักแสดงบางส่วนจากรายการทั้งนั้น”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกว่า “เธอเอาแต่อยู่บ้านตลอดเวลาน่ะไม่ดีหรอก เธอควรจะมีเพื่อนให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคนซื่อบื้ออย่างเธอก็จะไม่มีเพื่อนดีๆ ไว้คอยพึ่งพา จะทำอะไรทีก็ลำบาก”


 


 


“เฮ้ นี่คุณจะเรียกฉันว่ายัยซื่อบื้อตลอดเวลาเลยงั้นเหรอคะ”


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ นี่เป็นความสามารถพิเศษของเธอนะ ฉันก็ไม่ได้อยากจะพูดบ่อยๆ เหมือนกันนั่นแหละ แต่พอเห็นหน้าเธอทีไรมันก็นึกขึ้นได้ทุกที จะให้ทำยังไงได้ล่ะ” ขณะพูดเขาก็เอื้อมมือมาลูบหัวเธอ หลินเช่ออยากขยับตัวหนี เธอรู้หรอกน่าว่าเขาพยายามจะทำอะไรน่ะ แต่เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะ จะมาลูบหัวกันแบบนี้ได้ไง


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินเช่อก็จัดแจงล้างเครื่องสำอาง อาบน้ำ สำรวจดูสิ่งต่างๆ และพูดคุยกับบรรดาสาวใช้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ได้รู้สึกเลยสักนิดว่าบ้านกำลังวุ่นวายอึกทึกไปด้วยเสียงพูดคุย


 


 


แทนที่จะรู้สึกเช่นนั้น เมื่อชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วห้อง เขากลับคิดว่าเพียงแค่คนคนเดียว กลับทำให้ห้องที่ว่างเปล่ารู้สึกเติมเต็มขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด


 


 


หลินเช่อคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีชีวิตชีวาจริงๆ


 


 


รายการเรียลลิตี้ของหลินเช่อยังไม่ได้ออกอากาศแต่ก็มีตัวอย่างรายการฉายให้ดูแล้ว


 


 


ในตัวอย่างรายการนั้น มีตอนที่ทุกคนแห่กันเข้าไปในห้องของหลินเช่อ ตอนที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นนั้นเธอรู้สึกอายอย่างมาก และเมื่อได้มาเห็นภาพบนจอโทรทัศน์อย่างนี้ เธอก็คิดว่าตัวเองดูน่าเกลียดสิ้นดี แต่เมื่อลองไปตามอ่านความคิดเห็นของคนอื่นในโลกออนไลน์แล้ว หลินเช่อกลับพบว่าเธอมีฐานแฟนๆ ที่ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่พวกเขาจะพากันบอกว่า [ฉันยังชอบหลินเช่อนะ เธอจริงใจแล้วก็ไม่เสแสร้งดีน่ะ]


 


 


[ใช่เลย หวังฉิงฉู่น่ะเฟคจะตาย ฉันบอกได้เลยว่าหล่อนกำลังแสดงอยู่ ทำตัวยั่วยวนอย่างกับผู้หญิงอย่างว่ายังไงยังงั้นแหละ]


 


 


[ฉันว่าฉากนี้ไม่ได้ดูแย่อะไรเลยนะ หลินเช่อดูดีออกจะตาย หน้าสดขนาดนี้แต่ผิวเธอยังดูดีอยู่เลย ตาก็โต แล้วก็ดูสวยอีกต่างหาก]


 


 


[หลินเช่อน่ารักจัง]


 


 


หลินเช่อตกตะลึง เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าฉากดังกล่าวจะได้รับแต่คำชมมากมายขนาดนี้


 


 


ในช่วงบ่าย หลินเช่อไปนั่งดูตัวอย่างรายการกับอวี๋หมินหมิ่นที่บริษัท ผู้จัดการสาวบอกกับเธอว่า “นี่เป็นแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ต้องรอจนกว่าจะออกฉายจริงนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นหันมามองหลินเช่อ “ผิวเธอดีมากก็เลยทำให้ยังดูสวยแม้จะไม่ได้แต่งหน้า เพราะงั้นจงมั่นใจในตัวเองให้มากกว่านี้นะ เห็นมั้ย ขนาดหน้าสดเธอยังเอาชนะหวังฉิงฉู่ได้เลย”


 


 


“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะพี่อวี๋ พี่ก็พูดเกินไป”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ตัวแทนของฉินหวานหว่านติดต่อเรามานะ พวกเขาถามว่าเราอยากจะเดินสายโปรโมตรายการร่วมกันหรือเปล่า


 


 


“โปรโมตร่วมกันเหรอคะ” หลินเช่อไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นจึงอธิบายต่อไปว่า “มันก็เหมือนกับการลดแลกแจกแถมน่ะ เป็นการทำกิจกรรมร่วมกันของดาราสองคน แฟนๆ น่ะชอบที่จะได้เห็นดาราไปไหนมาไหนด้วยกัน เพราะงั้นการร่วมโปรโมตกันกับฉินหวานหว่านก็น่าจะทำให้ภาพออกมาดูดีกว่านะ ถ้าเธอสนใจ เราก็จะไปคุยรายละเอียดกัน ก็ไม่มีอะไรมากหรอก อาจเป็นแค่การให้เธอสองคนออกสัมภาษณ์ร่วมกันหรือไม่ก็ไปออกรายการด้วยกัน ฉินหวานหว่านได้รับความสนใจจากแฟนๆ เป็นอย่างดี ส่วนเธอก็ขาดเรื่องการเข้าสังคมกับคนในวงการ นี่น่าจะช่วยได้”


 


 


หลินเช่อฟังแล้วก็พยักหน้ารับ “โอเคค่ะ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้นักหรอก แต่ฉันเชื่อพี่ค่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มก่อนตัดสินใจ


 


 


ตอนนี้หลินเช่อเข้าใจแล้วว่าการ ‘ใช้โชคดีให้เป็นประโยชน์’ นั้นหมายความว่าอย่างไร


 


 


แม้ว่าหลินเช่อจะดูเป็นคนหัวช้าในรายการ แต่ในอินเทอร์เน็ตก็พูดถึงเรื่องนี้กันว่าบุคลิกแบบเข้าใจอะไรช้าของเธอนั้นดูน่ารักดี ฉากที่ทุกคนกำลังพยายามแข่งกันเล่นเกมอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่หลินเช่อกลับเดินลอยชายไปมาอยู่ทางด้านหลัง หรือตอนที่ทุกคนพยายามแกล้งเธอหลายต่อหลายครั้ง แต่หลินเช่อกลับต้องใช้เวลาพักใหญ่ทีเดียวกว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้บรรดาแฟนๆ หัวเราะชอบใจกันอย่างมาก


 


 


ทุกคนพากันตั้งชื่อใหม่ให้หลินเช่อ ตอนนี้เธอถูกเรียกว่า ‘แม่สาวสมาธิสั้น’


 


 


หลินเช่อหัวช้าจึงกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ไปชั่วขณะในทันที


 


 


หญิงสาวพูดกับอวี๋หมินหมิ่นด้วยความแปลกใจ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ฉันคิดว่าการแสดงของฉันมันแย่ออกจะตาย แล้วตัวเองคงจบเห่แน่แล้ว”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “การแสดงของเธอไม่ได้แย่หรอก แค่เธอคิดอะไรออกช้ากว่าชาวบ้านเขา แต่นั่นคือตัวจริงของเธอไงล่ะ เราไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้”


 


 


ผู้ช่วยของอวี๋หมินหมิ่นที่นั่งอยู่ไม่ไกลหัวเราะแล้วบอกว่า “หลินเช่อ พี่อวี๋น่ะเป็นมืออาชีพตัวจริงนะ เธอต้องเชื่อใจสิ่งที่พี่อวี๋บอก พี่เขาเป็นคนเก่งมากจริงๆ ไม่มีใครเทียบได้เลย ไม่อย่างนั้นพี่เขาคงไม่ได้กลายเป็นผู้จัดการอันดับหนึ่งแบบนี้หรอก พี่อวี๋น่ะเป็นตัวแทนนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการนี้เลยนะ ทุกคนรู้ดีว่าพี่อวี๋น่ะเยี่ยมยุทธ์แค่ไหน เธอโชคดีมากเลยนะที่ได้อยู่ในการดูแลของพี่เขา”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม