วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 11.7-12.2

ตอนที่ 11-7

 

วังซึงกอนโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทันทีเมื่อพระพันปีเสด็จมาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เริ่มต้นด้วยเสียงร้องตะโกนอันรีบเร่งต่างจากปกติของยางจิน 


 


 


“พระชายา พระพันปีกำลังเสด็จมาที่นี่เพคะ!” 


 


 


ตามกฏของพระราชวังแล้วนั้น เบื้องบนจะไม่ลงมาเยี่ยมตำหนักของผู้น้อย แต่เมื่อพระพันปีเสด็จมาด้วยตนเอง รยูฮาจึงลุกพรวดขึ้นจัดเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย ขณะเดียวกันเหล่านางในก็เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศสดชื่นถ่ายเทเข้ามาข้างใน หลังจากปักปิ่นปักผมอย่างหวุดหวิดก็ออกไปต้อนรับเกี้ยวของพระพันปีได้ 


 


 


“เสด็จย่า เหตุใดถึงไม่ทรงเรียกหม่อมฉันไปหาล่ะเพคะ” 


 


 


“ย่าแค่มารับลมสักครู่หนึ่งน่ะ อย่าได้กังวลเลย” 


 


 


พระพันปีจับมือที่รยูฮายื่นมาและลงจากเกี้ยว จากนั้นจึงมองดูรอบๆ 


 


 


“ไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนเลยนะ” 


 


 


“มันเคยเป็นวังที่ว่างเปล่าจนกระทั่งหม่อมฉันเข้ามาเพคะ เสด็จย่าเคยเสด็จมาเมื่อใดหรือเพคะ” 


 


 


“ย่าก็เคยเป็นเจ้าสาวคนใหม่แสนสวยเหมือนพระชายานั่นแหละ หญิงชราคนนี้จึงเคยอาศัยอยู่ที่วังแห่งนี้ในสมัยที่เป็นพระชายาเช่นกัน” 


 


 


รยูฮายิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความยินดีพร้อมกับกำมือของพระพันปีแน่นกว่าเดิม ชาถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าทั้งสองคนที่เข้ามายังห้องนั่งเล่น แต่ไม่มีการเตรียมขนมที่ไว้ทานคู่กัน หลังจากพระราชาเสด็จสวรรคต พระพันปีก็ไม่อนุญาตให้นำขนมออกมาโดยเด็ดขาดเมื่อดื่มชา ขณะที่รยูฮากำลังชงชาอย่างงดงามอยู่นั้น พระพันปีก็กวาดตามองไปรอบห้องซึ่งมีความสง่างามแต่ไม่หรูหราด้วยสายตาที่รู้สึกแปลกใหม่ 


 


 


“เสร็จแล้วเพคะ เสด็จย่า” 


 


 


“ขอบใจเจ้ามาก ห้องเจ้าเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่รกตาดี พอเห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเลย” 


 


 


“หม่อมฉันรู้สึกดีใจที่ทรงตรัสเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


แววตาของพระพันปีมองดูรยูฮาซึ่งกำลังดื่มชาอย่างอบอุ่น โชคดีที่ยังมีท่านผู้นี้อยู่ภายในพระราชวัง รยูฮาคิดเช่นนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงชราและยิ้มออกมา 


 


 


“พระชายา ตอนนี้ย่าทั้งชราภาพและอ่อนแรง สติปัญญาก็ดูเหมือนว่าจะไม่เท่าเมื่อก่อนแล้วด้วย” 


 


 


“ทำไมถึงตรัสเช่นนั้นล่ะเพคะ ในพระราชวังเสด็จย่าทรงเป็นผู้ที่ทรงพระปรีชาสามารถมากที่สุดแล้วเพคะ” 


 


 


คำพูดของรยูฮาเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่พระพันปีกลับส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบ 


 


 


“อันที่จริงแล้วย่ามาเพื่อขอยืมความเฉลียวฉลาดจากพระชายาน่ะ เจ้าจะช่วยย่าได้หรือไม่เล่า” 


 


 


“หากความเฉลียวฉลาดที่ยังขาดตกบกพร่องของหม่อมฉันสามารถเป็นประโยชน์ได้ หม่อมฉันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ” 


 


 


พระพันปีลังเลที่จะพูดออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจหรือไม่ไว้วางใจรยูฮา แต่การพูดถึงลูกชายผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก หญิงชราหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นจึงเริ่มพูดความสงสัยที่รบกวนจิตใจออกมา 


 


 


“พระมเหสีคือผู้ที่ส่งขนมใส่ยาพิษให้แก่พระสนมเอกมุน ในเมื่อนั่นคือความจริงอย่างแน่นอน เจ้าคิดว่าเหตุผลที่ทำเช่นนั้นคืออะไรกัน” 


 


 


“ความจริงแล้วหม่อมฉันเองก็สงสัยเช่นนั้นเหมือนกันเพคะ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พระมเหสีก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใดเลยมิใช่หรือเพคะ” 


 


 


ทั้งสองคนนิ่งเงียบสักพักพร้อมกับแบ่งปันความกังวลร่วมกันท่ามกลางความเงียบ แต่แล้วจู่ๆ รยูฮาก็ฉุกคิดคำตอบอันแสนง่ายขึ้นมาได้ 


 


 


“หม่อมฉันจะลองไปถามดูเพคะ” 


 


 


“แต่นางยังไม่เปิดปากพูดเลยจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าพระชายาจะไป…” 


 


 


“บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราไม่รู้ก็ได้เพคะ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวหม่อมฉันจะรีบไปรีบมาเพคะ” 


 


 


รยูฮาออกไปยังวังซึงกอนในทันทีหลังจากส่งเกี้ยวของพระพันปีเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากยังไม่มีการตัดสินโทษ พระมเหสีจึงยังประทับอยู่ที่วังจานยอง แต่ที่นั่นถูกห้อมล้อมด้วยทหารองครักษ์หลายชั้นและเหลือซังกุงเพียงแค่คนเดียวจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรจากคุก พอรยูฮาปรากฏตัว ทหารยามที่เฝ้ายามกันอย่างแน่นหนาจึงพร้อมใจให้ทางนาง พร้อมกันกับที่ประตูซึ่งถูกปิดสนิทหลายชั้นถูกเปิดออก ทว่ากลับหาความสง่างามอย่างในสมัยก่อนจากพระมเหสีผู้ซึ่งนั่งอยู่บนที่ที่สูงที่สุดในชุดไว้ทุกข์ไม่ได้เลย 


 


 


“ถวายบังคมเพคะ พระมเหสี” 


 


 


“พระมเหสีอะไรกัน ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นพระมเหสีหรืออะไรทั้งนั้นแล้ว นั่งลงเถอะ” 


 


 


คำพูดแกมดูถูกตัวเองตามมาด้วยเสียงหัวเราะอันห่อเ**่ยว นางลบเครื่องสำอางและเอาเครื่องประดับที่เคยแต่งออกทั้งหมด แต่กลับดูสบายๆ และผ่อนคลายกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบราวกับไม่มีคนอยู่ รยูฮาที่มองดูพระมเหสีอย่างช้าๆ ในที่สุดก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน 


 


 


“โทษของพระมเหสีจะถูกตัดสินก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกเพคะ” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” 


 


 


“แต่ก่อนอื่น…” 


 


 


“เจ้าจะถามว่าทำไมข้าถึงส่งขนมใส่ยาพิษไปยังวังยองฮวาอย่างนั้นใช่ไหม” 


 


 


มันคือคำถามที่ทุกคนที่เข้ามาที่วังจานยองถามก่อนเป็นอย่างแรก แต่พระมเหสีก็ปิดปากสนิทและไม่ได้ให้คำตอบอะไรกลับมา และตอนนี้พระชายาก็มาแล้ว ในที่สุดนางจึงค่อยๆ พูดสิ่งที่เก็บเอาไว้ออกมาอย่างช้าๆ 


 


 


“ชนะแล้ว พระสนมเอกมุน ไม่สิ ยออ๊กชนะแล้ว” 


 


 


แม้จะไม่เข้าใจ แต่รยูฮาก็นั่งรออยู่เฉยๆ โดยที่ไม่คะยั้นคะยอ หลังจากหายใจเข้าหายใจออกหลายครั้ง เสียงของพระมเหสีก็ค่อยๆ เปล่งออกมาอย่างสั่นเครือและขาดหาย 


 


 


“เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ข้าเคยจับลูกชายของยออ๊กมาเป็นเชลยเพื่อใช้ในการข่มขู่” 


 


 


“ทรงหมายถึงเรื่องของพระสนมเอกยอนใช่ไหมเพคะ” 


 


 


ชื่อที่คุ้นเคยซึ่งโผล่ขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้แววตาของพระมเหสีสั่นเครือ รยูฮาไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปและพูดต่อ 


 


 


“ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้าคงจะคิดว่าในเมื่อพระสนมเอกมุนมีส่วนเกี่ยวข้อง พระราชาผู้ล่วงลับไปแล้วจึงไม่ขุดคุ้ยเรื่องนั้นต่อและปกปิดมันเอาไว้ใช่ไหมล่ะ ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้นแหละ” 


 


 


คิกๆ พระมเหสีระเบิดหัวเราะซึ่งห่างไกลกับคำว่าสง่างามไปมาก ในขณะที่ฝังตัวลงในเก้าอี้ 


 


 


“ข้ามักจะได้ยินข่าวลือว่าพระชายามีปัญญาเฉียบแหลมอยู่เป็นประจำ ใช่แล้ว นางเป็นเช่นนั้นแหละ แต่พระชายาคงจะไม่นึกว่ายออ๊กจะกลับมาแก้แค้นเรื่องนั้น ด้วยวิธีเดียวกัน” 


 


 


“พระสนมเอกมุนทรงข่มขู่พระมเหสีด้วยชีวิตขององค์ชายหนึ่ง ทรงหมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่เพคะ” 


 


 


“ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่เด็กคนนั้น พระชายาก็รู้จักไม่ใช่หรือ ออนของข้ามองก็ไม่เห็น เสียงก็ไม่ได้ยิน พูดไม่ได้และไม่มีสตินับตั้งแต่เกิด ยออ๊ก นางเป็นผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจไร้สาระจึงรู้สึกสงสารออนอยู่เสมอ” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้น…” 


 


 


“ข้าเรียกยออ๊กมายังตำหนักก็เพื่อจะฆ่านางทิ้งเสีย เพราะอย่างไรซะทุกสิ่งทุกอย่างมันก็บิดเบี้ยวหมดแล้ว ข้าจึงตั้งใจที่จะตายหลังจากฆ่ายออ๊กแทนที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เจ้ารู้ไหมว่าผู้หญิงหัวไวคนนั้นเอาอะไรมาเจรจากับข้า” 


 


 


รยูฮาครุ่นคิดสักพัก ถ้าไม่ใช่องค์ชายหนึ่ง โอรสที่พระมเหสีเหลืออยู่ก็คือ… 


 


 


“…องค์ชายสาม?” 


 


 


“ฮ่าๆ!” 


 


 


เสียงหัวเราะของพระมเหสีสั่นสะเทือนภายในห้องอันเงียบสงบทันทีที่รยูฮาพูดจบ 


 


 


“ใช่แล้ว หัวเราะเยาะข้าให้เต็มที่เลยสิพระชายา! ที่ข้ารักและหวงแหนฮอนจากใจจริง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายของคนที่ข้าเป็นคนฆ่าและแย่งชิงมาก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็กลับกลายเป็นเช่นนั้น ยออ๊กเข้าใจถึงความรู้สึกที่ข้าไม่เคยรู้จักอยู่ก่อนแล้ว นางบอกข้าว่าฮอนมีชีวิตรอดอยู่ข้างนอกนั่น ซึ่งเพียงแค่ข้าส่งขนมนั่นไปที่วังยองฮวา นางก็จะปล่อยไปและไม่ทำอะไรเขา นางให้สัญญาเช่นนั้น!” 


 


 


ภายในแววตาของพระมเหสีที่มองดูฮอนจะเต็มไปด้วยแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิอยู่เสมอ รอยยิ้มบนริมฝีปากก็ยังคงไม่ถูกลบเลือนไป นั่นคงจะเป็นความจริงใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของนางที่เต็มไปด้วยคำโกหก รยูฮาเบนสายตาอันเจ็บช้ำไปยังหน้าต่างที่ถูกปิดอยู่ 


 


 


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าอีกไม่นานชีวิตของข้าก็จะจบสิ้นลง ถึงแม้จะเป็นชีวิตที่ควรจะสิ้นลมไปพร้อมๆ กับตอนที่พระราชาเสด็จสวรรคต แต่ข้าก็ยอมใช้ชีวิตอย่างต่ำต้อยและรอคอยพระชายาอยู่เช่นนี้ เพราะฉะนั้นบอกข้ามาเถิดพระชายา ลูกชายของข้า…” 


 


 


สายตาที่หันกลับมาที่พระมเหสีอีกครั้งเข้าใจความจริงใจของนาง ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร รยูฮาค่อยๆ ก้มหัวลงแล้วเงยขึ้น แม้จะเป็นอากัปกิริยาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้พระมเหสีลุกขึ้นมายิ้มด้วยความดีใจอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง สุดท้ายนางก็ฟื้นคืนความสง่างามของพระมเหสีมาได้ 


 


 


“ข้ามีบางอย่างอยากจะขอร้อง ความจริงแล้ว ข้าไม่เคยมีความคิดที่เกลียดชังฮอนเลยแม้แต่น้อย ฝากไปบอกหน่อยได้หรือไม่” 


 


 


“หากทรงซักถามขึ้นมา หม่อมฉันจะตอบเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


“ขอบใจนะ แล้วก็…โปรดช่วยดูองค์ชายหนึ่งให้ทีเถิด เพราะถ้าข้าไม่อยู่แล้วก็คงจะไม่มีผู้ใดสนใจเขาเลย” 


 


 


เมื่อรยูฮาพยักหน้าอีกรอบแล้วโค้งคำนับให้อย่างเงียบๆ พระมเหสีเองก็ก้มศีรษะให้เช่นกัน รยูฮาได้ยินเสียงของนางที่พูดต่ออีกเล็กน้อยหลังจากออกมาข้างนอกแล้ว 


 


 


“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตลูกชายทั้งสองคนของข้า ข้าจะจากไปโดยที่ไม่ลืมเรื่องนั้นเลย” 


 


 


นั่นคือการบอกลาครั้งสุดท้าย ในคืนนั้นพระมเหสีนำขนมที่ซ่อนไว้ลึกใต้พื้นไม้ออกมาแล้วกลืนมันลงไป  

 

 


ตอนที่ 11-8

 

“ใต้เท้ามีเรื่องอะไรถึงได้มาถึงที่นี่หรือขอรับ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าพระสสุระแล้วนี่นา” 


 


 


สีหน้าของซอดูยังคงอ่อนโยนแม้จะโดนจูเยฮึงเหน็บแนม ท่าทางของเขาดูสบายอกสบายใจเพราะตนเองเป็นผู้ชนะจนเยฮึงย่นหน้าผากอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ 


 


 


“พระสสุระอะไรกันเล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรีบร้อนคุยกันหรอกนะ ถึงท่านจะไม่ยินดี แต่ในเมื่อข้าเป็นแขกผู้มาเยี่ยมเยียน ข้าขอชาสักแก้วหน่อยได้หรือไม่เล่า” 


 


 


“ข้างนอกมีใครอยู่บ้าง ไปนำโต๊ะรับรองแขกออกมา! 


 


 


แม้โต๊ะชาจะถูกนำเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนักจะเป็นโต๊ะที่มีคุณภาพสูงจนสามารถเทียบเคียงกับสิ่งของในพระราชวังได้เลย แต่ใบชากลับเป็นของคุณภาพต่ำ แต่ซอดูก็ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิมพร้อมกับยกถ้วยชาของตนเองขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเปิดปากพูดอย่างผ่อนคลาย 


 


 


“ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมนะ ข้าจะขอเงินเจ้าหน่อย” 


 


 


“เฮอะ!” 


 


 


นอกจากจู่ๆ ก็มาหาโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วยังจะมาขอเงินอย่างปุบปับแบบนี้อีก ดังนั้นการที่เยฮึงหัวเราะเยาะออกมาจึงไม่ใช่เรื่องที่ทำเกินไปนัก เนื่องจากเหตุการณ์อันเศร้าสลดที่พระมเหสีได้เริ่มต้นขึ้น เขาจึงตกอยู่ในอันตราย แม้แต่ตระกูลขุนนางต่างๆ ก็ยังปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นเศรษฐีชั้นต่ำ 


 


 


“อย่างที่ท่านรู้ ตระกูลจูขอเรามีความจงรักภักดีมารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่ข้าไม่มีเงินที่จะมอบให้หรอกขอรับ” 


 


 


“ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ…” 


 


 


ซอดูลูบหนวดเคราพร้อมกับจ้องมองเยฮึงสักพัก แววตานั้นซึ่งเปรียบเสมือนดาบอันยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่สิ่งที่บุคคลธรรมดาจะสามารถโต้ตอบกลับไปได้เลย เยฮึงจึงยกถ้วยชาขึ้นมาโดยไม่จำเป็นและวางลงพร้อมกับกระแอมไอ 


 


 


“ข้าจำได้ว่าในตอนที่พระชายาเสด็จไปยังชายแดน ทรงนำสิ่งของที่น่าสนใจมากทีเดียวมาด้วย” 


 


 


“ยะ อย่างนั้นหรือขอรับ” 


 


 


เยฮึงยิ้มให้และจงใจทำเป็นไม่รู้ ทว่าหนวดที่ติดอยู่บนริมฝีปากนั้นกลับมีการสั่นไหวเล็กน้อย 


 


 


“หนึ่งในข้าราชการท้องถิ่นที่ทุจริตมีผู้ที่เป็นหัวหน้าอยู่ด้วยนะ ไหนดูสิ หนังสือเล่มนั้น…” 


 


 


ในไม่ช้าหนังสือเล่มเล็กๆ ก็ออกมาปรากฏอยู่ภายในมือของซอดูที่ควานหาในหน้าอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย จากนั้นพออ่านไปได้หนึ่งบรรทัด เยฮึงก็วางถ้วยชาลงดังปัง ราวกับว่าความสบายใจสุดท้ายได้หายไปจนหมดสิ้น 


 


 


“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มียศตำแหน่งและความมีเกียรติให้เสียอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นท่านไปจัดการเองเถิดขอรับ ใต้เท้า!” 


 


 


ถ้าจะต้องให้ยัดเงินใส่มือของคนที่น่ารังเกียจเช่นนั้น สู้ไปลงนรกดีกว่า เยฮึงกัดฟันกรอด อีกด้านหนึ่งซอดูทำเพียงแค่ยักคิ้วให้หนึ่งที แล้วจึงเริ่มพูดกลอุบายถัดไปออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง 


 


 


“อืม แล้วก็ ไม่นานมานี้ข้าได้บังเอิญไปรู้จักกับพวกนักฆ่ากลุ่มหนึ่งมา เจ้าสงสัยไหมว่าพวกนั้นพูดว่าอะไรบ้าง” 


 


 


คราวนี้เขาถึงกับเอ่ยอะไรไม่ออกเลยทีเดียว เดิมทีแล้วพวกนักฆ่าจะไม่ปริปากพูดต่อให้จะถูกตัดคอก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าซอดูจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วจึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไรสินะ จริงๆ เลย ตอนนั้นน่าจะจัดการทุกอย่างให้สิ้นซาก 


 


 


ไม่ว่าจะรู้สึกเสียใจเรื่องในอดีตมากแค่ไหน แต่ตอนนี้จูเยฮึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้ว แม้ว่าในตอนนี้จะถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้วก็ตาม แต่หากความจริงที่ว่าเขาเป็นคนสั่งให้ซุ่มโจมตีองค์รัชทายาทกับพระชายาปูดออกมาล่ะก็ นอกจากชีวิตของตนเองแล้ว ชีวิตของวงศ์ตระกูลที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิดก็คงไม่รอดพ้นโทษตาย 


 


 


“ท่านมีความคิดจะให้ข้านำเงินที่ซ่อนไว้ออกมาได้อย่างไรกันขอรับ ใต้เท้าเองก็รู้มิใช่หรือขอรับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าได้มาต้องชำระคืนพร้อมกับดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นบุญคุณหรือศัตรูก็ตาม” 


 


 


“ถ้าเจ้าให้เงินแก่ข้า” 


 


 


เยฮึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนดูน่าสมเพช เขาพยายามรักษาความสุขุมเอาไว้ในขณะที่เจรจา แม้ในตอนแรกเขาจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถเจรจาต่อรองได้ แต่ในเมื่อความปลอดภัยของครอบครัวอยู่ในมือของซอดู จึงจำเป็นที่จะต้องเลียแข้งเลียขาของเขา 


 


 


“ท่านจะสามารถรับรองความปลอดภัยของครอบครัวของข้าได้หรือไม่ขอรับ” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว” 


 


 


อย่างไรก็ไม่มีวิธีหลบเลี่ยงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ซ้ำยังต้องขอบใจเสียด้วยซ้ำที่คนที่มาหาคือซอดูมิใช่องค์รัชทายาท เยฮึงสั่นระริกด้วยความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่ก็เปิดประตูห้องใต้ดินที่ซ่อนไว้ลึกใต้พื้น แล้วจึงนำทองคำที่เก็บซ่อนมิดชิดไว้ในนั้นออกมาให้เขา 


 


 


“เท่านี่ก็น่าจะเพียงพอนะขอรับ” 


 


 


เก็บไว้เยอะเลยนะเนี่ย ซอดูเอ่ยสั้นๆ พร้อมกับยิ้มแย้ม เยฮึงว่าจะเอาส่วนหนึ่งไปซ่อนก่อนที่เขาจะกลับไปเอาเกวียนมา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ตระหนักได้ว่ามันคือความคิดที่ตื้นเขินจนเกินไป 


 


 


“เข้ามา!” 


 


 


ซอดูตะโกนออกไปข้างนอกด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย ในตอนนั้นเองเหล่าทหารถือดาบก็กรูกันเข้ามาจากข้างนอกที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกเหมือนว่ามีใครอยู่ บรรยากาศที่ตึงเครียดโดยฉับพลันทำให้เยฮึงตกใจกลัวก้าวถอยหลังด้วยความลังเล พร้อมกับมองซอดูสลับกันกับเหล่าทหาร 


 


 


“คะ คือว่า ท่านมหาเสนาบดี ท่านตกลงแล้วไม่ใช่หรือขอรับ!” 


 


 


“แน่นอนว่าข้าให้คำมั่นกับเจ้าแล้ว” 


 


 


ซอดูยกมุมปากขึ้นเบาๆ แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยเลย เมื่อเขาอ้าแขนออกทั้งสองข้าง ชุดคลุมสีดำที่ทหารนำมาให้จึงถูกสวมเข้าไปในแขนนั้น ก่อนจะผูกปมอย่างประณีต 


 


 


“ข้าบอกแล้วไงว่าจะรับรองความปลอดภัยของครอบครัวเจ้าให้” 


 


 


เขายื่นมือขวาออกไปด้านข้างทั้งที่ยังคงจ้องเยฮึเขม็ง จากนั้นหนึ่งในทหารที่ยืนห้อมล้อมอยู่ก็เอาดาบของตนเองออกมาวางไว้บนมือของเขา คมมีดซึ่งเหวี่ยงเบาๆ ตัดผ่านอากาศเล็กน้อย เยฮึงไม่รู้ตัวเลยว่าฉี่รดกางเกงจนไหลลงไปถึงข้อเท้าแล้ว 


 


 


“ไม่สงสัยหน่อยหรือว่าพวกนักฆ่าที่ข้าได้ไปบังเอิญได้รู้จักปริปากพูดออกมาได้อย่างไรกัน” 


 


 


ไม่ ไม่สงสัย เพราะว่าพอจะรู้ได้คร่าวๆ แล้ว ทว่าเขากลับไม่สามารถพูดหรือแสดงความคิดเห็นออกมาได้เลย ในขณะที่เยฮึงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่นั้น ซอดูก็พูดต่อเรื่อยๆ 


 


 


“ปลาใต้น้ำ ดังนั้นเขาจึงตายไปโดยที่ทรมานน้อยลงนิดหน่อยอย่างไรเล่า” 


 


 


“ตะ ตะ ใต้เท้า ฟะ ฟังข้าก่อน ไม่สิ ข้าทำผิดไปแล้วขอรับ ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น…!” 


 


 


“หุบปากเสีย” 


 


 


คำอ้อนวอนของเยฮึงที่รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายถูกขัดด้วยเสียงอันเยือกเย็น 


 


 


“ในโลกนี้มีอยู่หลายสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภรรยาของข้า ต่อจากนั้นคือลูกสาวทั้งสองคนและลูกชายทั้งสี่คนของข้า และถัดมาก็คือพระราชาอย่างไรเล่า ตอนนี้นอกจากเจ้าจะเข้ามายุ่งกับลูกสาวของข้าแล้ว ยังกระทำความผิดที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการกบฏอีกด้วย” 


 


 


ชิ้ง ซอดูแกว่งดาบอีกหนึ่งครั้ง แต่สิ่งที่ถูกเชือดในคราวนี้ไม่ใช่อากาศอันว่างเปล่า แต่ก่อนที่เยฮึงซึ่งกำลังเหม่อมองดูข้อเท้าของตนเองถูกแยกออกมาจากร่างกายจะทันได้ส่งเสียงร้องออกมา ทหารนายหนึ่งก็เข้ามายัดที่อุดปากใส่เข้าไปในปากของเขาเสียก่อน 


 


 


“อื้อ! อื้อออ!” 


 


 


ซอดูจะไม่เล็งอวัยวะสำคัญเป็นอันขาด เขาจะเชือนเยฮึงราวกับเนื้อสัตว์ด้วยวิธีอันแสนทรมานอย่างเชื่องช้าที่สุด ดาบถูกส่งกลับคืนไปยังทหารเหมือนเดิม หลังจากที่หัวของเยฮึงซึ่งคาบที่อุดปากที่เปื้อนเลือดอยู่ล้มตกลงไปบนกองเลือด 


 


 


“จัดการให้เรียบร้อยแล้วขนทองคำมาซะ” 


 


 


ซอดูสั่งการด้วยเสียงเบาก่อนจะออกจากประตูไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง ทิ้งไว้แต่เพียงชุดคลุมสีดำที่ชุ่มเลือดเท่านั้น การแก้แค้นให้มินอาที่ขี่หลังโฮจินเข้ามาพร้อมกับเลือดไหลอาบจบลงด้วยสิ่งนี้ ภรรยาของเขาขอให้ไว้ชีวิตหมอนี่อย่างน้อยสามวันและลงโทษด้วยการเชือนผิวหนังออกมาทีละนิด ซึ่งนั่นถือว่าเป็นการลงโทษที่ใจดีเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“โชคดีนะ ถ้าภรรยาของข้ามาด้วย หัวของเจ้าก็อาจจะยังไม่หลุดออกจาบ่า” 


 


 


ซอดูพูดปลอบใจก่อนจะกระโดดพรวดขึ้นไปบนกำแพง ดวงจันทร์สีขาวในตอนกลางวันลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาเติมเต็มท้องนภาด้วยกันกับดวงอาทิตย์  

 

 


ตอนที่ 11-9

 

จ๊อก ยาสมุนไพรต้มที่บีบออกมาจากผ้าป่านถูกเติมลงในถ้วยเคลือบสีขาวจนเต็ม ฮาแบควัดอุณหภูมิและตรวจดูสีอย่างรอบคอบ หลังจากมั่นใจว่าสมบูรณ์แบบแล้วจึงวางมันไว้บนโต๊ะสำรับแล้วยกไปยังห้องของฮอน 


 


 


“ฝ่าบาท ยาสมุนไพรพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ยาสมุนไพรเหนียวข้นสีดำปี๋ราวกับยามราตรีมีรสชาติขมจนเจ็บลิ้น แต่ฮอนก็ดื่มมันรวดเดียวโดยไม่บ่นสักคำ แล้วจึงกลั้วปากด้วยน้ำเเปล่า 


 


 


“ขอบใจท่านมากนะ ท่านพี่” 


 


 


ใบหน้าที่ผอมแห้งราวกับศพเริ่มกลับมาเหมือนเมื่อก่อนบ้างแล้ว ตอนนี้เขาสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้และดีขึ้นจนสามารถลุกขึ้นไปเดินเล่นรอบๆ บ้านพักชั่วคราวได้สองรอบ ฮาแบครู้สึกปลาบปลื้มใจกับความจริงนั้นในขณะที่เก็บชามยาสมุนไพรที่ฮอนวางไว้กับผ้าที่ใช้เช็ดปากให้เรียบร้อย 


 


 


“ทรงหายเร็วจนกระหม่อมมตกใจเลยพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่นานพระวรกายก็คงจะกลับไปแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเมื่อก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ต้องขอบใจท่านพี่เลยนะ หากไม่ได้ท่านพี่มาทำยาถอนพิษให้ล่ะก็…” 


 


 


ในบรรดายาสามเม็ดที่ชานส่งต่อให้มินอาพร้อมกับบอกว่าน่าจะประคองได้อีกสองสามเดือน ยาเม็ดหนึ่งรยูฮากลืนลงไปเพื่อตรวจสอบพิษ อีกเม็ดหนึ่งใช้ยืดชีวิตฮอน ส่วนเม็ดสุดท้ายอยู่ที่ฮาแบค เขานำยานั้นไปทำให้เป็นผงและเอาไปให้ลูกเจี๊ยบกิน หรือในบางครั้งก็ลองชิมและค้นหาส่วนผสมของยาทีละตัวเทียบกับอาการของฮอน จนในที่สุดก็สามารถทำยาถอนพิษที่ใกล้เคียงกันออกมาได้ 


 


 


“ต้องขอบใจพระชายาต่างหากพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาไม่ได้ทรงมอบยานั้นให้แก่กระหม่อม กระหม่อมก็คงจะไม่สามารถทำยาถอนพิษในเวลาที่สั้นแบบนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แต่ผู้ที่ทำยาถอนพิษคือท่านพี่นี่นา ท่านช่างสุดยอดจริงๆ” 


 


 


มีคำกล่าวว่าคำชมเชยก็ทำให้วาฬเต้นรำได้ แม้แต่ฮาแบคซึ่งไม่ชอบคำพูดน่าอาเช่นนั้นก็ยังสะดุ้งเล็กน้อยให้กับคำชื่นชมของฮอน 


 


 


“คงจะเป็นเพราะวิสัยทัศน์อันยาวไกลของท่านพ่อท่านแม่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ตอนยังเด็กกระหม่อมเองเคยอยากเรียนดาบด้วยเหมือนกัน แม้แต่น้องสาวตัวเล็กยังได้ยิงธนูและแกว่งดาบ แต่กระหม่อมกลับต้องอ่านหนังสือและเคี่ยวสมุนไพรอยู่ในห้องเพียงลำพัง ช่างน่าห่อเ**่ยวเสียจริง” 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีไม่สอนดาบให้หรือ” 


 


 


ฮอนย้อนถามด้วยความตกใจเล็กน้อย ครอบครัวที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวและคนสนิทของนาง แต่กลับไม่ให้บุตรชายคนที่สองจับดาบเนี่ยนะ 


 


 


“เพราะว่าไม่มีพรสวรรค์อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ จึงให้ยอมแพ้ไปแต่เนิ่นๆ แล้วหาเส้นทางที่เหมาะกับกระหม่อมให้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยสงสัยว่าทำไมถึงไม่ให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการแพทย์ที่ช่วยชีวิตคน แต่กลับต้องไปเรียนเกี่ยวกับยาพิษที่ฆ่าคน แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าพวกท่านคงจะเตรียมการไว้เพื่อการนี้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แต่ท่านก็สุดยอดจริงๆ นะขอรับ ต่อให้ดาบที่ถูกยัดเยียดให้มาจะดีแค่ไหน แต่หากผู้รับเป็นเพียงหุ่นไล่กา มันก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปเลยนะขอรับ!” 


 


 


โฮจินที่เปิดประตูพรวดเข้ามาโดยไม่มีการกล่าวทักทายพูดแทรกขึ้นมา นิ้วที่วางอยู่นิ่งๆ ข้างชามยาสมุนไพรจึงฟาดเข้าที่หน้าผากของเขาดังผัวะ ทว่าหลังจากที่ขึ้นเขามาก็โดนฟาดวันละสิบทีเป็นประจำ ตอนนี้จึงเลิกใส่ใจแล้ว 


 


 


“จำได้ไหมขอรับ ท่านหมอ ที่โดนพระชายาวัยเก้าขวบทุบแล้วร้องไห้น่ะ” 


 


 


“ระวังปากหน่อย!” 


 


 


วันนี้โฮจินกับฮาแบคก็เริ่มเถียงกันตั้งแต่ลืมตาตื่น แน่นอนว่าเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายและสถานภาพของพวกเขาแตกต่างกัน แต่ก็มีเงาของตัวเขากับพี่ชายซึ่งสนิทสนทกันตั้งแต่เด็กซ้อนทับอยู่บนตัวพวกเขาที่ทำตัวสบายๆ เหมือนกับเป็นพี่น้องแท้ๆ กันอยู่ด้วย แต่ใครจะไปคิดกันว่าชานซึ่งเป็นต้นแบบของความถูกต้องอยู่เสมอจะเติบโตขึ้นมาแล้วให้น้องชายกินยาพิษ จากนั้นก็แย่งของของเขาไป ฮอนยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายหัวเพื่อสลัดความโกรธทิ้งไปและขุดความทรงจำอื่นๆ ออกมาแทน 


 


 


“ตอนเก้าขวบ นางเป็นอย่างไรหรือ ข้าเคยถูกรยูฮาวัยแปดขวบตีด้วยดาบไม้ จนร้องไห้วิ่งไปหาเสด็จแม่ด้วยนะ” 


 


 


“อ๋อ ตอนนั้น เพราะว่ารยูฮาตีฝ่าบาท ในบ้านก็เลยวุ่นวายไปหมด…ฝ่าบาท?” 


 


 


ฮาแบคตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แต่แล้วก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหยุดพูด” 


 


 


“ทรงจำได้…หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โอ้ ดูเหมือนว่าความทรงจำจะกลับมาแล้วนะ” 


 


 


ภายในคำพูดของฮาแบคและโฮจินที่ดังออกมาพร้อมกันต่างมีความกังวลและความอยากรู้อยากเห็นอยู่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนที่อยากรู้อยากเห็นคือโฮจิน เสียงดังผัวะจึงดังกังวานขึ้นอีกครั้งจากหน้าผากของเขาที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ใดๆ 


 


 


“ในตอนที่หมดสติ ข้ามักจะฝันอยู่เรื่อยๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่พอตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่” 


 


 


ความทรงจำเสี้ยวหนึ่งที่นึกขึ้นมาได้เมื่อเห็นรยูฮาสวมชุดสีดำที่สนามฝึกที่เขตชายแดน สถานที่ที่ฮูหยินของมหาเสนาบดีซึ่งยังอ่อนเยาว์อยู่ในชุดสีดำเหมือนกับรยูฮายืนอยู่คือวังซออัน ก่อนที่จะกลายมาเป็นวังร้าง ณ ที่แห่งนั้นนางพยายามจะปกป้องเตียงนอนซึ่งอยู่ข้างหลังของตัวเอง แต่ไม่สามารถทำได้ ผู้หญิงซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นคือพระสนมเอกยอนผู้ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ สิ่งที่เขานึกออกในช่วงเวลาที่เห็นรยูฮาซึ่งคล้ายคลึงกับฮูหยินของมหาเสนาบดีในตอนนั้นคือความทรงจำสุดท้ายของผู้เป็นแม่ซึ่งฮอนเคยลบทิ้งไปเมื่อยังเด็ก 


 


 


“แล้วรู้ไหมว่าข้านึกอะไรออกอีก” 


 


 


‘อะไรนะ ที่นี่มีผู้หญิงคุ้มกันเพียงแค่คนเดียวงั้นรึ ถึงจะเป็นคำสั่งของพระมเหสีก็เถอะ…’ 


 


 


‘เฮ้ย เบาๆ หน่อยสิ’ 


 


 


‘ทำไมล่ะ อย่างไรเสียเดี๋ยวก็ถูกฆ่าตายหมดอยู่ดี’ 


 


 


นายหญิงตระกูลจองที่กำลังเฝ้าเตียงนอนซึ่งพระสนมยอนนอนอยู่เชือดคอของนักฆ่าที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกภายในพริบตาเดียวเพื่อสร้างช่องว่าง จากนั้นจึงกอดฮอนตัวน้อยที่ปรากฏอยู่ตรงประตูทางเข้าและพุ่งตัวออกไปยิงหน้าไม้จากทางด้านหลังราวกับสายลม มันคือหน้าไม้ขนาดเล็กที่ฮอนเคยเรียนมาจากมินอา นายหญิงตระกูลจองวิ่งไปจนถึงวังกอนจองโดยไม่หยุดแม้จะโดนกริชของนักฆ่าแทงเข้าที่ไหล่ก็ตาม หลังจากวางฮอนลงอย่างปลอดภัย นางจึงหายตัวไปอีกครั้ง 


 


 


พระราชาซึ่งเสด็จสวรรคตไปแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและปกปิดความจริงเอาไว้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าพระมเหสีเป็นคนฆ่ามารดาของฮอนและแสร้งทำตัวเป็นแม่แทน รวมถึงทุกคนที่รู้ความจริงเรื่องนี้ก็ต้องมองข้ามความจริงตามพระประสงค์ของเขาด้วยเช่นกัน 


 


 


“ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุผลที่ทั้งพระพันปี ทั้งอดีตพระราชาและเหล่าข้าราชบริพารรวมถึงครอบครัวของคุณพ่อตาทำไมถึงไม่ยอมบอกข้า” 


 


 


“…พวกเราเองก็ไม่รู้เรื่องราวภายในโดยละเอียดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อท่านแม่เพียงแค่พูดย้ำว่าอย่าได้พลั้งปากต่อหน้าฝ่าบาทเป็นอันขาด และไม่ได้พูดอะไรนอกจากนั้นอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ว้าว ไม่นึกเลยว่าจะรื้อฟื้นความทรงจำซึ่งหลงลืมไปเป็นยี่สิบปีขึ้นมาได้ ยาพิษนั่นก็พอใช้ได้เหมือนกันนะ” 


 


 


เมื่อโฮจินอุทานออกมาด้วยความขี้เล่น ฮอนที่มีสีหน้าเคร่งเครียดจึงหัวเราะร่าออกมา นั่นสินะ มาจนถึงตอนนี้จะไปยึดติดกับอดีตให้ได้อะไร ในเมื่อคนที่เกลียดชังและคนที่รักได้ตายไปหมดแล้ว 


 


 


“นับตั้งแต่นี้ ทรงต้องมีสมาธิจดจ่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ โฮจิน ถ้าเป็นไปได้ก็เลิกพูดอะไรไร้สาระซะ” 


 


 


“ใครมาได้ยินเข้า คงจะคิดว่าข้าเอาแต่พูดไร้สาระเป็นแน่” 


 


 


“เดี๋ยวนี้หัดพูดจาห้วนๆ แล้วสินะ” 


 


 


คำพูดของฮาแบคปลุกความทรงจำอันเลือนรางของฮอนให้ตื่นขึ้นมา ฮอนระลึกความทรงจำสักพักและนึกถึงบทสนทนาที่เคยพูดคุยกันกับรยูฮาในคืนวันที่สองหลังจากเข้าพิธีอภิเษกสมรสขึ้นมาในทันที บรรยากาศในตอนนั้น ใบหน้าของรยูฮาที่ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้ ไปจนถึงเสียงที่ถูกส่งมาอย่างสงบนิ่ง 


 


 


‘ว่าแต่ ฝ่าบาท’ 


 


 


‘อะไร’ 


 


 


‘ที่ตรัสเมื่อครู่ ดูมันสั้นๆ ห้วนๆ นะเพคะ’ 


 


 


คิกๆ พอฮอนระเบิดหัวเราะออกมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย สายตาของทั้งสองที่กำลังเถียงกันจึงหันมามองเขาพร้อมกัน คนที่เปิดปากพูดก่อนคือโฮจินซึ่งเผยความสงสัยออกมาทางดวงตาสีน้ำตาล 


 


 


“ทรงสติฟั่นเฟือนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือจะเป็นผลข้างเคียงของยาพิษ หรือว่าเพราะยาสมุนไพร?” 


 


 


“เมื่อกี้บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าพูดจาอะไรไร้สาระ” 


 


 


พอเห็นอย่างนี้แล้วจึงค้นพบว่าพวกเขาเหมือนกันแม้กระทั่งวิธีการพูดที่ไม่เคยอ้อมค้อมเลย ฮอนรู้สึกได้ว่าความคิดถึงที่มีต่อภรรยาของตัวเองถาโถมเข้ามาในส่วนลึกของจิตใจ พร้อมกับพินิจมองฮาแบคโดยละเอียด 


 


 


“ข้าแค่หัวเราะออกมาเพราะท่านพี่คล้ายกับรยูฮามากน่ะ” 


 


 


“คนบ้านนี้เหมือนกันหมดพ่ะย่ะค่ะ แม้กระทั่งนิสัยขี้ฉุนเฉียว” 


 


 


“แต่เจ้าที่พูดเช่นนั้นกลับมีนิสัยขี้ฉุนเฉียวหนักที่สุดเลยนะ”  

 

 


ตอนที่ 11-10

 

ฮาแบคพยักหน้าให้กับคำติเตียนของฮอนอย่างเงียบๆ ส่วนโฮจินก็ยักไหล่พร้อมกับกางจดหมายที่รยูฮาส่งมา มีวันที่อยู่สามสี่วันและตัวเลขที่ยากจะเข้าใจความหมายเรียงกันอยู่ และข้างล่างนั้นก็มีคำตักเตือนที่ส่งถึงโฮจินแนบมาด้วยหนึ่งประโยค 


 


 


“วันนี้คือวันสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ หากพลาดวันนี้ไปก็คงต้องรอจนถึงปีถัดไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งในตอนนี้พระวรกายของฝ่าบาทก็ทรงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว…” 


 


 


ฮาแบคใช้นิ้วชี้ไปตรงวันที่ซึ่งอยู่ด้านบนนิดหน่อยพลางมองไปที่ฮอน 


 


 


“ดังนั้นในความคิดของกระหม่อม อีกไม่นานก็น่าจะเคลื่อนไหวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รีบๆ ทำไม่ได้หรือขอรับ แล้วแชยอนของข้าจะต้องรออีกนานเท่าไหร่ ข้าอยากรีบกลับไปหาสะโพกอวบอัดนั่น…” 


 


 


“ออกไป!” 


 


 


ฮาแบคลุกขึ้นไปเตะเก้าอี้ที่โฮจินนั่งอยู่อย่างแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วฮอนไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะนางก็ได้จากอ้อมอกของตนไปแล้ว การที่โฮจินมอบความรักที่ชัดเจนให้ซึ่งตนไม่สามารถให้ได้กลับเป็นเรื่องที่น่าขอบใจเสียด้วยซ้ำ 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกท่านพี่ ข้าเองก็อยากเคลื่อนไหวโดยเร็วเช่นกัน…” 


 


 


“ทรงคิดถึงพระชายาใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ยัยคนขี้ฉุนเฉียวนั่นมีอะไรดีนักหรือ” 


 


 


ฮอนตอบคำถามของโฮจินที่พูดแทรกเข้ามาด้วยความจริงใจปนหัวเราะ 


 


 


“ข้าคิดถึงคนอารมณ์ฉุนเฉียวคนนั้นมากเสียจนไม่อาจข้ามลำธารแห่งปรโลกไปได้ และต้องกลับมายังโลกนี้อีกครั้งเชียวนะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“พระชายา องค์รัชทายาทเสด็จเพคะ” 


 


 


ผ่านมาสักพักแล้วหลังจากที่สำรับเย็นถูกนำเข้ามา ดังนั้นช่วงเวลาที่ชานมาที่วังซึงกอนจึงเป็นช่วงเวลาที่ดึกมากแล้ว ถึงจะไม่มีใครตอบรับเสียงของนางใน แต่ชานก็เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ทันทีเสมือนเป็นห้องตัวเอง พรึ่บ ภายในห้องอันเงียบสงบมีเพียงเสียงหน้าหนังสือที่ถูกพลิกเท่านั้นที่ต้อนรับเขาด้วยความยินดี 


 


 


“อ่านหนังสืออยู่หรือ” 


 


 


ถึงจะถามด้วยความอ่อนโยนแต่ก็ยังไม่มีคำตอบกลับมาอยู่ดี สำหรับชานแล้วนั้น ท่าทางของรยูฮาซึ่งไม่ละสายตาออกจากหนังสือที่อยู่ในมือแม้แต่น้อยเป็นทั้งการทรมาน ซ้ำยังเป็นคมดาบที่กวัดแกว่งอย่างแรงจนทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ให้มองด้วยแววตาดูถูกหรือสาดคำพูดรุนแรงที่ทำให้เกิดบาดแผลยังจะดีเสียกว่า มือของชานที่ยื่นออกไปอย่างลำบากวนเวียนอยู่รอบๆ เส้นผมที่ระอยู่บนต้นคอขาว ก่อนจะรีบวางลงบนโต๊ะ 


 


 


“หลังจากพิธีราชาภิเษก อีกไม่นานดอกไม้ก็จะผลิบาน ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนั้นคงจะยุ่งมาก แต่หากมีเวลา เราไปเดินชมดอกไม้ด้วยกันดีหรือไม่” 


 


 


พรึ่บ หน้าหนังสือถูกพลิกไปอย่างไม่สนใจอีกครั้ง 


 


 


“พาพระพันปีไปด้วยกันเถอะ อ๋อ จะเอาดาบไปด้วยก็ได้นะ หากพระชายาต้องการ” 


 


 


แม้คำเรียกที่รยูฮาเกลียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ แม้คำเรียกที่นางไม่ชอบให้ชานเรียกเป็นอย่างยิ่งจะโผล่ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ อยู่ดี หรือควรจะต้องขอบใจที่นางให้เขามองนางได้อย่างเต็มที่ดี ชานเท้าคางบนโต๊ะและมองดูใบหน้าของรยูฮาที่ยังคงจดจ่ออยู่กับหนังสือ 


 


 


“ข้าชอบตอนที่พระชายาถือดาบเป็นที่สุด พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว เหมือนว่าข้าจะตกหลุมรักหญิงสาวในชุดสีขาวที่กำลังกวัดแกว่งดาบสีนิลที่วังร้างตั้งแต่แรกพบ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาความสนใจของข้าก็เทไปหาเจ้าเสียหมด” 


 


 


รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของชานที่กำลังหวนนึกถึงความทรงจำนั้น 


 


 


“ข้ารู้ดีกว่าใครๆ ว่าพระชายาคงจะไม่ให้อภัยหรือความเมตตาแก่ผู้ที่แตะต้องฮอนอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ร้องขอความรักจากเจ้า เจ้าจะไม่ยกโทษให้ข้าก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่เคียงข้างข้าแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เปลือกนอกก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ก็จะบันทึกไว้ว่าเจ้าคือพระมเหสีของข้า ในหนังสือประวัติศาสตร์พวกเราคือสามีภรรยาและเป็นหนึ่งเดียวกัน” 


 


 


น่าขนลุก รยูฮาคิดเช่นนั้นพลางพลิกหน้าหนังสือ แต่สุดท้ายเสียงของชานที่ยังพูดต่อก็ทำให้สายตาเย็นชาของนางหันกลับมามองเขา 


 


 


“วันนี้ข้าจะนอนที่นี่นะพระชายา ข้าจะครอบครองแม้จะเป็นเพียงเปลือกนอกของเจ้าก็ตาม” 


 


 


หน้าหนังสือที่ถูกพลิกอย่างสม่ำเสมอหยุดชะงักกึก จากนั้นคำสบถรุนแรงก็ดังขึ้นมาภายในห้องอันเงียบสงบจนได้ยินแม้แต่เสียงกลอกตา 


 


 


“ไอ้…” 


 


 


ฮ่าๆ รยูฮาระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อแล้วลุกขึ้น ชานลืมสิ่งที่กำลังจะพูดไปชั่วขณะและจ้องแต่ริมฝีปากของนางที่พ่นคำหยาบคายออกมาเมื่อครู่อย่างนิ่งงัน 


 


 


“เห็นหม่อมฉันอยู่เงียบๆ หน่อยก็ทรงปฏิบัติต่อหม่อมฉันเหมือนเป็นลูกสุนัขนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นเลยสินะเพคะ ไม่ใช่สิ แม้แต่ลูกสุนัขยังไม่กระดิกหางให้ไอ้บ้าที่หวังจะจับกินเลย แต่ว่าอะไรนะ นอน? นอนงั้นหรือเพคะ” 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


“พระชายา? ทรงอยากโดนเย็บปากหรือเพคะ” 


 


 


ลักษณะการพูดที่มักจะอยู่ในบ่อนพนันไม่ใช่สิ่งที่มาจากในพระราชวังอย่างแน่นอน ปลายปิ่นปักผมอันแหลมคมที่รยูฮาดึงออกมาจากศีรษะเล็งไปที่ชานอย่างพอดิบพอดี 


 


 


“เลือกมาเพคะ แขน ขา คอ หรือจะให้ควักตาเฮงซวยนั่นออกมาแล้วนำไปขึ้นสำรับเช้าพรุ่งนี้ดี” 


 


 


นางเอาจริง สัญชาตญาณของชานเตือนเช่นนั้น นางคือผู้หญิงที่สามารถตัดขาคนข้างหนึ่งออกได้ในพริบตาเดียว ชานลุกพรวดขึ้น เพ่งมองไปที่ข้อมือก่อนจะขยับเพื่อห้ามรยูฮา แต่ไม่สามารถสู้ความว่องไวของนางได้เลย รยูฮาบิดตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนเก้าอี้ที่ถูกเตะขึ้นอย่างแรงก็ลอยเฉียดผ่านใบหูของชานไปยังกำแพงอย่างฉิวเฉียดและพังในที่สุด 


 


 


“ถ้าพระชายาทำเช่นนี้ คนที่ชีวิตจะตกอยู่ในอันตรายจะไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคนนะ” 


 


 


“เพราะชีวิตเหล่านั้น ฝ่าบาทก็เลยทรงยังมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่หรือเพคะ” 


 


 


เก้าอี้อีกตัวลอยเข้ามาในเวลาเดียวกันกับที่พูดจบ ชานหมุนไปด้านข้างเพื่อหลบมัน แต่ทว่า 


 


 


“จะทำอะไรล่ะเพคะ” 


 


 


ในขณะที่สายตาของชานพุ่งตรงไปยังเก้าอี้สักพักหนึ่ง รยูฮาก็เขยิบเข้าไปใกล้แล้วจับแขนเขาบิดไปด้านหลังให้ติดกับผนัง เสียงของรยูฮาที่ไม่สามารถอ่านความรู้สึกได้กระซิบลงข้างใบหู รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงตรงแขนที่ค่อยๆ ถูกบีบรัดมากขึ้น ความรู้สึกที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้วนั้นทำให้ชานรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด นี่เรายังมีชีวิตอยู่สินะ 


 


 


“หม่อมฉันไม่ได้พูดเล่นๆ นะเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


ปิ่นที่อยู่ตรงหน้าชานเจาะลึกลงไปบนกำแพง ซึ่งนั่นเป็นระยะที่ใกล้มากจนพอที่จะทำให้ขนตาสั่นไหวได้ 


 


 


“ลองแตะต้องคนของหม่อมฉันแม้แต่คนเดียวดูสิเพคะ แล้ววันนั้นเราจะได้เห็นดีกัน ลองดูสิเพคะ” 


 


 


รยูฮาปิดท้ายด้วยการหักข้อต่อของแขนที่จับไว้อยู่ พร้อมกับกระซิบกระซาบอย่างเยือกเย็น 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาท ยาสมุนไพรเพคะ” 


 


 


ยอนฮวาทูลให้ทราบเบาๆ จากด้านนอกประตู แต่ไม่มีคำตอบออกมาจากด้านใน หรือจะยังไม่ตื่นกันนะ นางเอียงคอสงสัยและเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อย 


 


 


“ฝ่าบาท ยาสมุนไพร…” 


 


 


“อืม เอามานี่สิ” 


 


 


เสียงของฮอนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังไม่ใช่ภายในห้อง มือแกร่งจับไหล่ของยอนฮวาที่หันหลังแล้วเซไปเซมาเพราะตกใจ 


 


 


“เจ้านี่ซุ่มซ่ามเสียจริง” 


 


 


ใบหน้าของฮอนที่ยกยาสมุนไพรขึ้นมาดื่มจากโต๊ะสำรับด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยสมบูรณ์แล้ว ยอนฮวารีบก้มหน้าอย่างว่องไวเพื่อซ่อนพวงแก้มที่ร้อนผ่าวเป็นสีแดงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและรับชามเปล่าไว้ 


 


 


“เสด็จไปที่ไหนมาหรือเพคะ” 


 


 


“ไปภูเขากับโฮจินมาน่ะ” 


 


 


“คงจะทรงหิวมากเป็นแน่ เดี๋ยวหม่อมฉันจะนำสำรับเช้าออกมาถวายให้เพคะ” 


 


 


ยอนฮวาโค้งคำนับและถอยหลังกลับเข้าไปยังห้องครัว และเตรียมอาหารสำหรับสี่คนอย่างวุ่นวาย เนื่องจากฮอนดึงดันที่จะให้ทุกคนมากินอาหารร่วมกันให้ได้ จึงไม่มีการเตรียมสำรับอาหารแยกเฉพาะสำหรับเขา สำหรับนางแล้วการที่ได้เตรียมอาหารให้แก่ผู้ที่อยู่ไกลเกินเอื้อมด้วยมือของตัวเองและได้นั่งกินด้วยกันแบบนี้คือความสุขที่เหมือนฝันเลยทีเดียว แม้ว่าตอนจบจะถูกกำหนดไว้แล้วก็ตาม 


 


 


“เสร็จแล้วหรือยังขอรับ” 


 


 


“รอสักครู่เจ้าค่ะ”  

 

 


ตอนที่ 11-11

 

จู่ๆ ความหนาวเย็นในช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าช่วงกลางฤดูหนาวก็พัดเข้ามาอย่างกะทันหัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือช่วงกลางฤดูหนาว โฮจินก็ใส่เพียงแค่ชุดสีดำไม่หนามากไปไหนมาไหนอย่างเดียวเท่านั้น แต่บนหน้าผากของเขากลับมีเหงื่อหยดเล็กๆ ผุดขึ้นมา ในตอนที่ถามเรื่องอาหารกับยอนฮวา เขาไม่สนใจคำพูดของยอนฮวาที่บอกให้รอและเข้ามาในห้องครัว ก่อนจะไปนั่งหมิ่นเหม่อยู่ตรงมุมหนึ่ง 


 


 


“ท่านมินอา” 


 


 


“เจ้าคะ?” 


 


 


“ไอ้หมอนั้นรูปงามใช่ไหมขอรับ” 


 


 


ในตอนแรกนางไม่รู้ว่าคำพูดของโฮจินที่พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นหมายถึงใคร พอยอนฮวาเอียงคอด้วยความงุนงง โฮจินจึงพูดเสริมให้อย่างใจดี 


 


 


“หมายถึงองค์ชายน่ะ รูปงามไหมขอรับ” 


 


 


“เสียมารยาทนะเจ้าคะ!” 


 


 


“เสียมารยาทแค่ในวังน่ะสิ อะไรกัน ข้าแค่สงสัยเองว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงได้ตามติดหมอนั่นแจเสียขนาดนี้” 


 


 


“อะ อะ อะไรเจ้าคะ…! ข้าไม่รู้เรื่องอะไรแบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ!” 


 


 


แต่ใบหน้าของยอนฮวาที่เป็นสีแดงเรื่อทั้งหน้ากลับบ่งบอกอย่างชัดเจน โฮจินยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับถือโต๊ะสำรับขนาดใหญ่ที่มีถ้วยชามวางอยู่ขึ้นอย่างเบามือ 


 


 


“แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้พวกเรามีบุญคุญกับเขาเพราะคอยดูแลเขา แต่ตัดใจจากหมอนั่นน่าจะดีกว่านะขอรับ เพราะโลกใบนี้มันช่างกว้างใหญ่และผู้ชายก็ยังมีอีกตั้งเยอะแยะมากมาย หากเป็นท่าน ข้าสามารถให้ท่านมาเป็นภรรยาน้อยของข้าได้นะ แต่แชยอนของข้าก็มีอารมณ์ฉุนเฉียว…” 


 


 


คำพูดที่พูดเป็นน้ำไหลไฟดับถูกขัดด้วยฮาแบคที่ปรากฏตัวขึ้นมาพอดิบพอดี 


 


 


“ข้านึกไว้แล้วเชียว เลิกตอแยท่านมินอาสักที!” 


 


 


“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!” 


 


 


โฮจินโต้เถียงด้วยความไม่พอใจและถูกลากออกไปจากห้องครัว ยอนฮวานำชามใหม่ออกมาพร้อมกับกังวลใจกับคำพูดที่เขาทิ้งไว้ แต่หลังจากทำชามแตกไปถึงสองใบ นางจึงหยุดความคิดนั้นลงได้ ยอนฮวาเก็บเศษชามที่แตก แล้วนำอาหารที่เหลือเข้าไปในห้อง วางมันลงและเริ่มลงมือกินอาหาร 


 


 


“ขอบใจท่านมาก” 


 


 


“เดี๋ยวนี้ฝีมือทำกับข้าวดีขึ้นเยอะเลยนะ” 


 


 


“คงจะลำบากน่าดูเลยสินะ” 


 


 


สามคนต่างพูดขอบคุณกันก่อนจะเริ่มจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารโดยไม่พูดไม่จา แต่คนที่ทำลายความเงียบคนแรกคือโฮจิน 


 


 


“ฝ่าบาท ตั้งแต่วันนี้จะเริ่มเรียนดาบเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มีนักดาบมือหนึ่งอยู่ข้างๆ ทั้งที จะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไรเล่า” 


 


 


“อะไรกัน กระหม่อมก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮอนกับโฮจินรีบกินส่วนของตัวเองหมดอย่างว่องไวราวกับแข่งขันกัน ก่อนจะลุกพรวดขึ้น ยอนฮวาตกใจจึงห้ามปรามว่าจะทำอย่างนั้นทันทีหลังจากเพิ่งเสวยเสร็จไม่ได้นะเพคะ แต่ก็ไม่ได้ผล ฮอนทำเพียงแค่ตบไหล่นางเบาๆ สองทีแทนคำตอบ 


 


 


“จะเสด็จไปเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไปกันเถอะ” 


 


 


ชายหนุ่มทั้งสองถือดาบไว้คนละเล่ม รักษาระยะห่างกันไว้ราวๆ สิบก้าวและลงไปยังลานหน้าบ้าน แววตาของโฮจินเปลี่ยนไปเมื่อได้จับดาบ รอยยิ้มที่ยิ้มอย่างทะเล้นอยู่เสมอก็หายไป การกดดันฝ่ายตรงข้ามด้วยเพียงแค่แววตาช่างสมกับฉายาที่ว่านักดาบมือหนึ่งจริงๆ ฮอนไม่สามารถระงับความรู้สึกประทับใจได้พร้อมกับโค้งคำนับให้นิ่งๆ 


 


 


“ฝากด้วยนะ” 


 


 


ดาบของโฮจินพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าในขณะเดียวกันกับที่ฮอนพูดจบ ท่ามกลางสายฝนของคมดาบที่ต้อนเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน อย่าว่าแต่จะโจมตีกลับเลย แค่หลบได้อย่างหวุดหวิดก็ดีใจแล้ว ฮอนค้นพบช่องว่างจองโฮจิน ในตอนที่ลดตัวต่ำลงเพื่อหลบคมดาบที่ฟันมาด้านบน จึงเสียบดาบเข้าไปและหยุดก่อนที่จะโดนเนื้อ 


 


 


“ทรงทำได้ดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จากคำพูดของโฮจินที่ไม่ดูตกใจสักนิด จึงทำให้รู้ว่าเขาจงใจสร้างช่องโหว่แน่นอน ฮอนเก็บดาบแต่ยังไม่ใส่เข้าไปในปลอก 


 


 


“ฝ่าบาททรงเคยฆ่าคนไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ยังไม่เคย” 


 


 


“หากทรงค้นพบช่องโหว่แบบเมื่อสักครู่ในขณะที่แกว่งดาบอยู่นั้น ทรงห้ามมีความลังเลและห้ามมีความเห็นใจแม้แต่นิดเดียว และจะต้องฟันคอภายในครั้งเดียวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คมดาบที่ฮอนกวัดแกว่งโดยไม่บอกไม่กล่าวหยุดอยู่ตรงคอของโฮจินอย่างน่าหวาดเสียว โฮจินจึงยิ้มอย่างขี้เล่นออกมาเหมือนกับตอนปกติและถอยไปข้างหลังเล็กน้อย 


 


 


“ข้าจะจำเอาไว้” 


 


 


ฮอนมองโฮจินตรงๆ พลางพึมพำเบาๆ พอเขาเก็บดาบ โฮจินก็เก็บด้วยเช่นกัน อีกไม่นานก็จะถึงวันที่จะต้องทวงคืนสิ่งที่ถูกแย่งไป และในวันนั้นเมื่อเขามีโอกาสที่จะฆ่าพี่ชาย จะต้องไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความลังเลโดยเด็ดขาด 


 


 


สิบวันก่อนจะถึงพิธีราชภิเษก ทั้งฮอนและชานต่างเฝ้ารอคอยวันเดียวกัน แต่ความกระตือรือร้นในการเตรียมตัวแตกต่างกันโดยสิ้นชิงเหมือนกับตำแหน่งของพวกเขาในตอนนี้ 


 


 


“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชานโยนความรับผิดชอบในการเตรียมการทั้งหมดไปให้พระพันปีกับขุนนางและใช้เวลาอยู่แต่กับเหล้า หลังจากถูกรยูฮาปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจึงไม่แวะไปที่วังซึงกอนอีกเลย คนที่มาหาเขาอยู่เป็นประจำมีเพียงแค่มินอาเท่านั้น แต่นางเองก็รู้ดีว่าชานมองหาเงาของรยูฮาจากตัวของนาง 


 


 


“อยู่ที่นี่เถอะ” 


 


 


“หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเพคะ คงจะต้องพักผ่อนสักหน่อย” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่มินอาพูดว่าจะพักผ่อนออกมาจากปากตัวเอง ชานเลื่อนสายตาที่ดูเบลอขึ้นมามองนางแวบหนึ่ง แล้วจึงเติมเหล้าในแก้วเพิ่มอีก เขารู้สึกหวาดกลัวทั้งห้องนอนที่ว่างเปล่าหลังจากมินอาออกไป ทั้งเงาของคนตายที่จ้องจะเข้ามาทำร้าย ดังนั้นหากดื่มเหล้าเข้าไปก็จะสามารถสลัดสิ่งเหล่านั้นไปได้บ้าง เมื่อคอของชานที่กรอกเหล้าเข้าปากเงยขึ้นแล้วก้มลงมาตามเดิม มินอาจึงเรียกเขาเบาๆ อีกครั้ง 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“เจ้า คือคนของใคร” 


 


 


อย่าแตะต้องคนของข้า เขารู้ดีกว่าใครว่าตัวเองไม่ได้ถูกรวมอยู่ในบรรดาคนของข้าที่รยูฮาเคยพูดไว้ มันคือเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วเหมือนกับที่ถ้าพระอาทิตย์ขึ้น พระจันทร์ก็ต้องตกดิน แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่างเปล่าขนาดนี้ 


 


 


“เป็นคนของพระชายาเพคะ” 


 


 


ได้รับคำตอบที่หนักแน่นกลับมาเหมือนปกติ นี่เราคาดหวังอะไรอยู่กันนะ ชานแสร้งยิ้มออกมาพร้อมกับสะบัดมือข้างหนึ่ง 


 


 


“…ไปซะ” 


 


 


มินอาทำความเคารพอย่างเงียบๆ แล้วออกจากห้องบรรทมไป ที่บอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนั้น แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ซึ่งไม่ได้มีความคิดที่จะพักผ่อนเลยแม้แต่น้อย นางเดินตรงไปยังวังซึงกอนตามปกติ ก้าวข้ามธรณีประตูของตำหนักด้านในโดยไม่มีการหยุดชะงัก 


 


 


“ถ้าเจ้าดื่มเหล้ามาแล้ว ก็ไปเอามาให้ข้าด้วยสิ” 


 


 


รยูฮาซึ่งนอนคิดอยู่บนเตียงหันไปมองมินอา 


 


 


“ไม่ได้ดื่มเพคะ ฝ่าบาททรงดื่ม” 


 


 


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” 


 


 


“ไม่ได้เพคะ” 


 


 


มินอาซึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ถอนหายใจออกมาอย่างแรง ความเหนื่อยทางจิตใจกำลังกัดกินนางยิ่งกว่าความเหนื่อยทางกายเสียอีก 


 


 


“เฮ้อ จะดื่มเหล้าแค่แก้วเดียวตามใจชอบก็ไม่ได้” 


 


 


รยูฮาพึมพำด้วยความเสียดาย ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งตรงกันข้ามกับมินอา ความเงียบที่กดทับพวกนางอยู่ไม่ใช่สิ่งที่สบายใจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ยังคงเชื่อใจกันและกันเป็นอย่างมากอยู่ 


 


 


“มินอา” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


“ข้าไม่อยากทำให้เจ้าเสียใจ” 


 


 


“หม่อมฉัน…” 


 


 


ไม่เป็นไรเพคะ คำนั้นวนเวียนอยู่ตรงริมฝีปากอย่างขมขื่นโดยไม่สามารถพูดออกมาได้ เป็นสิ ไม่มีทางที่จะไม่เป็นไร มินอาขยับริมฝีปากขึ้นหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ปิดปากสนิท 


 


 


“ถ้าข้าสั่งให้เจ้าไป เจ้าจะทำได้ไหม” 


 


 


“หม่อมฉันคือคนของพระชายาเพคะ” 


 


 


มินอาทวนคำพูดที่พูดกับชานเมื่อครู่นี้ แต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่รยูฮาต้องการ 


 


 


“เจ้าคือน้องที่ข้ารัก แต่ข้า…ก็ยังเตรียมส่งเจ้าไป” 


 


 


มินอาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับรยูฮาในชุดผ้าไหมแทนชุดสีดำและเกล้าผมขึ้นดูเหมือนแชยอนในสมัยก่อน หญิงสาวที่เ**่ยวเฉาภายใต้น้ำหนักของชุดผ้าไหมซึ่งกดไหล่ลงมาอย่างช้าๆ แม้นางจะแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ต่างจากแชยอน แต่สุดท้ายแล้วนางก็จะหักภายในครั้งเดียว รยูฮารู้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่นานช่วงเวลานั้นก็จะมาถึง 


 


 


“คยอกรังกลับมาแล้ว” 


 


 


ดวงตาของมินอาสั่นไหวอย่างรุนแรง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ารยูฮาพยายามทำเป็นไม่เห็นมัน 


 


 


“ตอนที่ท่านแม่มอบดาบให้ ท่านบอกว่าอะไรนะ” 


 


 


“ผู้หญิง…จะต้องปกป้องสิ่งสำคัญของตัวเอง” 


 


 


“ใช่แล้ว ข้าปกป้องสามีของข้า ดังนั้นเจ้าก็จงปกป้องสามีของเจ้าซะ” 


 


 


รอยแผลเป็นที่ยังไม่หายสนิทปรากฏชัดเจนอยู่บนหน้าผากของมินอาที่กะพริบตาอย่างช้าๆ รยูฮายื่นมือออกไปและลูบรอบๆ นั้นด้วยความระมัดระวัง 


 


 


“ถ้าหากคนนั้นแตะต้องตัวเจ้าอีกก็ศอกใส่เขา ทำราวกับเจ้าไม่ได้จงใจ มันอาจจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ฝนตกไปตลอดชีวิต แต่ซัดให้น่วมไปเลยน่าจะดีกว่า” 



ตอนที่ 11-12 


 


 


 


 


 


“พระชายา ได้เวลาเสด็จแล้วเพคะ” 


 


 


รยูฮาจ้องมองคันฉ่องตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แม้ลมหนาวจะรุนแรงราวกับจะบาดผิว แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นใดๆ เกี้ยวที่นางนั่งอยู่แกว่งไกวอย่างช้าๆ ตรงไปยังหน้าท้องพระโรงที่เหล่าข้าราชบริพารเดินกันขวักไขว่ 


 


 


“เสด็จมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เจ้ากรมราชพิธีพบเห็นรยูฮาจากที่ไกลๆ จึงรีบวิ่งมาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ดูเหมือนว่าจะวุ่นอยู่กับการเตรียมพิธีราชาภิเษกตลอดเวลา ใต้ตาจึงลึกโบ๋ 


 


 


“ท่านคงเหนื่อยมากเลยสินะ” 


 


 


รยูฮากล่าวทักทายเป็นพิธีการแล้วไปยืนตรงสุดทางตามที่เขาแนะนำ ชานรอรยูฮาอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ด้วยความสง่าผ่าเผยทั้งที่ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของตัวเอง 


 


 


“ในขณะที่พระพันปีทรงอ่านคำแถลงการณ์ ให้ท่านทั้งสองทรงก้าวเท้าพร้อมกันมาจนถึงข้างล่างบันไดพ่ะย่ะค่ะ หยุดอยู่ตรงนี้สักครู่แล้วโค้งคำนับแด่พระพันปี จากนั้นจึงทรงกลับไปที่เดิมได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เท้าของชานและรยูฮาก้าวไปข้างหน้ายังจุดเดียวกันพร้อมๆ กัน จู่ๆ รยูฮาก็นึกถึงวันเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับฮอน ณ ที่แห่งนี้ขึ้นมา ฮอนซึ่งเคยเป็นเด็กขี้แยตัวเล็กๆ เติบโตขึ้นจนสูงกว่าตนเองเกินหนึ่งคืบมองมาที่นางผ่านมงกุฎเคยยืนอยู่ตรงนี้ รยูฮาที่สบเข้ากับแววตานั้นสะดุ้งตกใจพร้อมกับก้มหน้างุดโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา นางไม่เคยตกใจกับสิ่งใดมาก่อนเลย 


 


 


“เอ่อ คือ…พระชายา ยังเสด็จกลับขึ้นไปบนบันไดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อ้า พอดีข้าเผลอไปคิดเรื่องอื่นน่ะ” 


 


 


จู่ๆ รยูฮาก็ขึ้นไปบนบันไดเหมือนกับวันที่เข้าพิธีอภิเษกสมรส ก่อนจะหันหลังกลับมาอีกครั้ง ชานเพ่งมองนางด้วยใบหน้าตึงเครียดจากข้างล่างบันได สถานการณ์นี้ดูคุ้นเคย บันไดสูงที่ทอดยาวอยู่ตรงหน้าและรยูฮาที่ยืนมองชานลงมาจากข้างบนนั้นในชุดสีขาว 


 


 


นั่นคือฉากที่เขาเห็นในฝันในวันนั้นที่สูญเสียพ่อและแม่ไปในคราวเดียว เขารู้สึกเหมือนรยูฮาจะหายตัวไปเดี๋ยวนั้นเหมือนกับในความฝัน ชานที่ถูกครอบงำด้วยความกังวลจึงยื่นมือไปหารยูฮาซึ่งกำลังลงมาจากบันได 


 


 


“อย่าแตะต้องตัวหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงอันเย็นชาราวกับมีดปักลงที่อก รอยมีดอันใหม่กรีดยาวลงบนหัวใจของชานซึ่งไม่เหลือแม้แต่ที่ให้ฉีกขาดเพิ่ม 


 


 


“ต่อไปให้เสด็จขึ้นไปบนเกี้ยวที่อยู่ตรงหน้าและเสด็จไปยังพระราชสุสานของกษัตริย์องค์ก่อนเพื่อขอพระราชทานอนุญาตในการสืบต่อราชบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ จากนั้นจึงหันหลังกลับมาเพื่อรับตราพระมหากษัตริย์จากพระพันปีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พิธีราชาภิเษกใช้เวลายาวนานเป็นอย่างมาก รยูฮารู้สึกหนักใจว่าจะซักซ้อมสิ่งนี้ไปเพื่ออะไรพร้อมกับขยับตัวด้วยความไม่เต็มใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิบัติตามพิธีจนถึงขั้นตอนสุดท้ายด้วยการไปรับตราพระมหากษัตริย์จากพระพันปี ร่างอันเย็นชาหันลุกออกไปจากที่นั่งข้างชาน ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ที่ที่รยูฮาควรจะอยู่ 


 


 


“พระชายา” 


 


 


ชานเรียกนางพร้อมกับตามหลังไป แต่ไม่มีคำตอบกลับมา เขาลูบประตูประหนึ่งลูบรยูฮาอยู่ด้านหน้าตำหนักด้านในของวังซึงกอนที่ปิดสนิทอย่างเย็นชา 


 


 


ข้าขอโทษ ในตอนนี้เขาอยากจะพูดคำนั้นออกไป คำพูดสุดท้ายที่พระสนมเอกมุนทิ้งไว้ก่อนจะจากไปนั้นถูกต้อง ชานปฏิบัติต่อรยูฮาเหมือนกับสิ่งของที่ใช้ซื้อขาย แต่เพราะว่านางไม่ใช่สิ่งของจึงไม่สามารถครอบครองไว้ได้ 


 


 


ผลตอบแทนของความโลภช่างโหดร้ายนัก เขาสูญเสียทั้งน้องชาย พ่อ แม่ที่รักไปทีละคน และสูญเสียแม้กระทั่งรอยยิ้มของรยูฮาที่เคยยิ้มให้เป็นครั้งคราวไปด้วย ที่สำคัญอีชานได้สูญเสียตัวเขาเองไปด้วยเช่นกัน ชานยืนอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่ๆ ก่อนจะผละไปจากหน้าห้องรยูฮาและหันหลังกลับไปยังที่พำนักของตนเองเมื่อแสงตะวันตกดินสีแดงลอดผ่านไปตามโถงทางเดิน  


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 12-1 


 


 


 


 


 


“แคว้ก! แคว้ก!” 


 


 


คยอกรังบินทะลุผ่านอากาศยามค่ำคืนอันหนาวเย็นลงมาพร้อมกับจดหมายฉบับสุดท้าย โฮจินแกะมันออกแล้วเข้าไปในห้องที่ฮอนกับฮาแบคกำลังรออยู่ บนโต๊ะมีกระดาษหลายใบ พู่กันและเม็ดหมากล้อมกระจัดกระจายเต็มไปหมด 


 


 


“แผนสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนี้ ห้ามคลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นท่าทางจริงจังของโฮจิน ฮอนรับจดหมายมาอ่านอย่างละเอียด ก่อนจะจุ่มพู่กันลงในหมึก เริ่มจากวาดเส้นหนึ่งลงไปบนกระดาษ แล้วลากอีกหลายเส้นเชื่อมต่อกัน จนปรากฏเป็นอาคารและเส้นทางอันซับซ้อนภายในพระราชวัง 


 


 


“ช่างน่าทึ่งจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮาแบคอุทานออกมาในขณะที่พินิจมองแผนที่โดยละเอียด โฮจินเองก็เห็นว่าแผนที่นั้นเผยให้เห็นแม้กระทั่งตรอกซอกซอยและทางแยกที่ไม่ค่อยมีผู้คนโดยไม่ผิดเพี้ยนเช่นกัน แต่เขาไม่ได้คิดที่จะเอ่ยชื่นชมออกไปอยู่แล้ว จึงทำแค่เพียงผิวปากอย่างอวดดีหนึ่งทีและยิ้มออกมาเล็กน้อย 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดีก็มีแผนที่นี้ด้วยเช่นกัน การปรึกษาหารือกันต่อหน้าก็เป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ตอนนี้เราควรที่จะระวังตัวให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน” 


 


 


เมื่อฮอนพูดพลางชี้เส้นทางลับในแผนที่ โฮจินจึงพูดเสริมเข้าไปอีก 


 


 


“ก็แค่ฆ่าให้หมดสิ มัวแต่ทำอะไรน่าเบื่อ…”  


 


 


“แต่เหล่าทหารเป็นผู้บริสุทธิ์” 


 


 


ฮอนปฏิเสธคำบ่นของโฮจิน แล้ววางเม็ดหมากล้อมจำนวนหนึ่งบนแผนที่ เขาจ้องมองเม็ดหมากล้อมสีขาวตรงกลางขวาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นโฮจินจึงหัวเราะออกมาพร้อมกับดีดมันออกไปข้างนอกแผนที่ เม็ดหมากล้อมที่ลอยออกไปราวกับลูกศรปักลงไปบนผนังที่ทำจากดินและเป็นประกายระยิบระยับด้วยแสงไฟตะเกียง 


 


 


“ประตูมีทั้งหมดสีประตูหลักๆ แต่การเข้าไปทางนั้นมันเสี่ยงเกินไป เมื่อองค์ชายสองเสด็จออกจากพระราชวัง ทหารองครักษ์ก็จะลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นในตอนนั้นเราจะต้องเข้าไปทางประตูนี้แล้วจัดการพวกเขาซะ” 


 


 


ฮาแบคและโฮจินขยับตาบนแผนที่ไปตามการอธิบายของฮอนและจินตนาการภาพในหัวไปด้วย ถึงแม้ว่าจะตั้งใจให้มีการสูญเสียชีวิตให้น้อยที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็คงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนองเลือดได้ ทั้งสามคนรวมหัวกันจนดึกดื่นและเปรียบเทียบจดหมายกับแผนที่หลายต่อหลายรอบพร้อมกับพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ ต่อมาฮอนจึงปิดแผนที่และยืดเอวบิดขี้เกียจ 


 


 


“ตอนที่ไปตรวจตราที่เขตชายแดน เจ้ากับแชยอนฆ่าเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งแล้วหนีไปใช่หรือไม่” 


 


 


ความกระหายเลือดปะทุขึ้นมาในตัวของโฮจินเพราะคำพูดของฮอนที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา 


 


 


“ไอ้เลวที่เคี้ยวอย่างไรก็ไม่สะใจ ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อย ข้าจะแล่มันออกทีละส่วนแล้วค่อยฆ่าพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“นั่นแหละ ถ้าเจออีกครั้งก็ทำเช่นนั้นซะ” 


 


 


โฮจินเล่าให้ฟังว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น คำพูดของฮอนที่บอกว่า ‘ทำได้ดีมาก ถ้าเป็นข้าก็คงจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน’ กลายเป็นโอกาสดีที่โฮจินจะได้ทำลายกำแพงลง ซึ่งเขาไม่ได้พูดเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นโดยตรง ฮอนคิดอย่างนั้นจริงๆ 


 


 


“ดังนั้นพวกเราจึงไปค้นหาในหัวเมืองทุกแห่งที่ลากยาวไปตามด้านล่างภูเขาเพื่อที่จะตามหาพวกเจ้าทั้งสองคนที่หายตัวไป ตอนนั้นข้าก็วาดแผนที่ ส่วนรยูฮาก็วางแผนเช่นนี้แหละ ส่วนท่านพี่กับมินอาเองก็อยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน ถ้าหากตอนนั้นข้าเข้าไปเตือนท่านพี่โดยตรงล่ะก็…” 


 


 


ก็คงจะไม่พินาศย่อยยับจนถึงขนาดนี้ ฮอนกลืนคำพูดสุดท้ายลงไปและกุมหน้าผาก ใช่แล้ว เขาได้ยินเสียงของชานที่พูดถึงรยูฮาจากอีกด้านของกำแพงอย่างชัดเจน แต่เขากลัวว่าจะเหินห่างกับท่านพี่ที่รักจึงทำเป็นไม่รู้เสมอมา ในขณะที่ตนเองสองจิตสองใจอยู่นั้น สุดท้ายหัวใจของชานที่ไม่สามารถตัดขาดได้จึงทำให้เขาเลือกตัวเลือกที่ผิดพลาด 


 


 


“แต่ถึงอย่างไรผลลัพธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


วิธีการพูดของฮาแบคที่ตัดความกังวลทิ้งไปอย่างเฉยชาคล้ายกับรยูฮาอย่างมากอีกแล้ว ฮอนอมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวและเอียงคอเพื่อมองหาภาพของรยูฮาจากเขา 


 


 


“…กระหม่อมไม่ใช่น้องสาวนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อยากได้รับสายตาอันร้อนแรงจากผู้ชายพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พอฮาแบครู้สึกขนลุก โฮจินที่อยู่ข้างๆ ก็ระเบิดหัวเราะคิกคักออกมา ฮอนก็หัวเราะตามไปด้วย แล้วจึงเลิกมองฮาแบคพลางพับจดหมายที่เรียบเรียงแผนการเอาไว้ ก่อนจะส่งต่อให้กับโฮจิน 


 


 


“ถึงท่านมหาเสนาบดี เช้ามืดมะรืนนี้ จะลงจากภูเขา” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมขอตัวไปนอนก่อน” 


 


 


“ทรงพักผ่อนให้สบายพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”  

 

 


ตอนที่ 12-2

 

หลังจากร่ำลากันเสร็จ คยอกรังที่ถูกผูกจดหมายไว้ที่ขาอย่างแน่นก็บินวนรอบๆท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วจึงบินไปยังบ้านของมหาเสนาบดี หลังจากที่ทั้งสองคนออกไป ฮอนจึงเหลืออยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาเอาจดหมายของรยูฮาที่เก็บถนอมไว้ในหน้าอกออกมากางแทนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียง ภายในนั้นไม่มีข้อความอะไรถูกเขียนอยู่เลย มีเพียงแค่ ‘ฮอน’ ซึ่งเป็นชื่อผู้รับเท่านั้น 


 


 


แต่ฮอนกลับชอบจดหมายว่างเปล่าที่อย่าว่าแต่จะบอกคิดถึงหรือบอกรักเลย แค่ถามว่าสุขภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่มีนั้นเป็นอย่างมากเพราะสมกับเป็นรยูฮาดี ตัวอักษรเพียงหนึ่งตัวนี้คือเสียงของรยูฮาที่เรียกเขาและคือความรู้สึกของนางที่ถูกบรรจุไว้จนเต็มเปี่ยม ฮอนไม่กล้าแม้แต่จะจับเพราะกลัวหมึกจะเลือน ได้แต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น แต่อยู่ๆ ก็พับมันอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ ใส่ลงไปในอก ยอนฮวากำลังเรียกเขาจากด้านนอก 


 


 


“ฝ่าบาท ยอนฮวาเองเพคะ” 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


ยอนฮวาโค้งคำนับอย่างนุ่มนวลแล้วเข้ามาในห้อง ในโต๊ะสำรับที่นางยกมามีถ้วยชาสองใบ รวมถึงอุปกรณ์ชงชาถูกวางไว้อย่างสวยงาม 


 


 


“หม่อมฉันจะขอดื่มชาร่วมกับฝ่าบาทได้ไหมเพคะ” 


 


 


“อืม ข้ากำลังคอแห้งอยู่พอดี ได้อยู่แล้ว มานั่งตรงนี้สิ” 


 


 


คำชมของฮอนทำให้แก้มของยอนฮวาเป็นสีแดงระเรื่อ ในขณะที่ยอนฮวากำลังรินชา ฮอนก็มองดูมือนั้นพร้อมกับจมอยู่ในความคิด ต่อมายอนฮารินชาสีสวยลงในถ้วยชาทั้งสองใบ แล้วจึงวางไว้ข้างหน้าฮอนหนึ่งและข้างหน้าตัวเองหนึ่ง 


 


 


“มีเรื่องจะพูดสินะ” 


 


 


เสียงนุ่มนวลลดต่ำลงบนถ้วยชาอุ่น 


 


 


“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องฝ่าบาทจึงกระทำสิ่งที่ไร้มารยาทเช่นนี้เพคะ” 


 


 


“บอกมาสิ ข้าจะรับฟังทุกอย่าง” 


 


 


อย่าร้องไห้นะ อย่าร้องไห้ คำพูดที่ยอนฮวาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายสิบรอบในใจกลายเป็นน้ำตาหนึ่งหยดใหญ่ๆ ร่วงลงไปผสมกับน้ำชาอย่างน่าอับอาย 


 


 


“ได้โปรดให้หม่อมฉันออกไปข้างนอกพระราชวังด้วยเถิดเพคะ หากทรงพระราชทานอนุญาต หม่อมฉันต้องการที่จะลงภูเขาไปในเช้าวันพรุ่งนี้เลยเพคะ” 


 


 


นี่คือการตัดสินใจของยอนฮวา แน่นอนว่าหากกลับไปยังพระราชวัง นางก็จะถูกแต่งตั้งเป็นนางสนม เพราะรยูฮาให้คำมั่นไว้เช่นนั้น ซึ่งนั่นคือตำแหน่งที่นางในทุกคนที่ปรนนิบัติคนอื่นมาทั้งชีวิตต่างเฝ้าฝันถึง 


 


 


แต่ในวันที่หิมะสีขาวปกคลุมโลกราวกับผ้าห่ม ฮอนซึ่งฟื้นขึ้นมาพร้อมกับอาเจียนเป็นเลือดสีดำเรียกเพียงแค่ชื่อของรยูฮาอย่างเดียวจนหมดสติไปอีกครั้ง ไม่มีช่องว่างให้ยอนฮวาแทรกเข้าไปได้แม้แต่ปลายเข็ม ดังนั้นยอนฮวาจึงตัดสินใจที่จะจากไปพร้อมกับเก็บความทรงจำของที่นี่ซึ่งงดงามที่สุดตั้งแต่เกิดมาเอาไว้ 


 


 


“เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ” 


 


 


“แม้จะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง…แต่หม่อมฉันมีใจให้ฝ่าบาทเพคะ” 


 


 


น้ำตาร่วงลงมาพร้อมกับเสียงที่ขาดๆ หายๆ หัวใจที่จะต้องแยกจากกับฝ่าบาทผู้ซึ่งรักและถวิลหาเป็นคนแรกของชีวิตและพระชายาผู้ซึ่งมอบความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดให้กับตัวเองเป็นคนแรกของชีวิตนั้นแหลกสลาย ยอนฮวาล้มเลิกที่จะพูดอะไรต่อและลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“ยอนฮวา” 


 


 


เสียงเรียกนั้นรั้งข้อเท้าของยอนฮวาที่กำลังจะเดินตรงไปที่ประตูเอาไว้ ตัวของยอนฮวาที่โค้งคำนับอย่างมีมารยาทซึ่งติดเป็นนิสัยและหันหลังกลับไปถูกโอบกอดด้วยอกกว้าง 


 


 


“เจ้าลำบากมามากเลยนะ รยูฮากับข้ารักและห่วงใยเจ้าราวกับน้องสาว ตอนนี้ได้ออกไปยังโลกภายนอกแล้วก็จงทำสิ่งที่เจ้าอยากทำและแบ่งปันความรักกับชายหนุ่มที่รักเจ้าเพียงคนเดียวเถอะนะ” 


 


 


ฮอนตบไหล่ของยอนฮวาที่ขยับขึ้นลงเบาๆ และหยิบกระดาษกับพู่กันออกมา ครืดๆ เสียงฝนหมึกทำให้ยอนฮวาใจเย็นลง ฮอนเขียนชื่อตัวเองกับตัวอักษรที่เรียบร้อยเหมือนกับเขาลงบนกระดาษ จากนั้นจึงรอให้แห้งแล้วพับกระดาษแผ่นนั้น 


 


 


“เก็บสิ่งนี้ไว้ เอามันให้ทหารเฝ้าประตูดูและมาหาพวกเราได้ทุกเมื่อ เพราะพระราชวังคือบ้านของเจ้า และข้าก็เป็นพี่ชายของเจ้าอย่างไรเล่า” 


 


 


วันต่อมา ยอนฮวาจากไปก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น โฮจินยิ้มอย่างขมขื่นแล้วถามขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ต้องอดข้าวหรือขอรับ” แล้วจึงถูกฮาแบคตีหน้าผาก ฮอนมองรอยเท้าเล็กๆ ที่ถูกประทับไว้ตรงลานหน้าบ้านพร้อมกับภาวนาให้น้องสาวผู้ซุ่มซ่ามและขี้แยคนนี้ออกไปจากพระราชวังอย่างมีความสุข 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ข้าบอกให้ไปเรียกพระสนมซอมา” 


 


 


เมื่อชานพูดซ้ำๆ ด้วยเสียงต่ำ ขันทีที่ตกใจกลัวจึงก้มหัวที่ก้มต่ำอยู่แล้วลงไปต่ำกว่าเดิม 


 


 


“ฝ่าบาททรงต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีราชาภิเษกตั้งแต่รุ่งสางนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวนี้” 


 


 


แม้จะพยายามห้ามเท่าไหร่ก็ยังคงฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ขันทีจึงคิดว่ารีบไปเรียกมาน่าจะดีกว่าจึงออกจากวังจงซูและวิ่งไปยังห้องนอนของซอยางเจ ในตอนที่มาถึงห้องนอนจึงเห็นว่านางกำลังจ้องมองแสงไฟในตะเกียงซึ่งสั่นไหวอยู่โดยที่แต่งตัวแล้วเรียบร้อยราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าองค์รัชทายาทจะทรงเรียก 


 


 


“พระสนม องค์รัชทายาททรง…” 


 


 


ขันทีถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเพราะสายตาที่เหลือบมองมา แววตานั้นที่เหมาะกับทหารหรือนักฆ่ามากกว่านางสนม เห็นทีไรก็ยังไม่ชิน ฝ่าบาททรงชอบผู้หญิงแบบนั้นตรงไหนกันนะถึงได้เรียกหาทุกวัน ขันทีคิดเช่นนั้นและพามินอาที่ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ไปยังวังจงซู 


 


 


“ทุกคนกรุณาถอยไปห่างๆ ด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


มินอาเดินไปตามโถงทางเดินมืดสนิทเพียงลำพังหลังจากบอกให้ทุกคนออกไปจากรอบๆ ห้องบรรทม ในใจของนางนั้นได้แต่หวังว่าทางเดินนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุดตลอดไป แต่ไม่นานนักชายชุดที่ระพื้นจนเกิดเสียงดังซวบซาบก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องที่ชานอยู่ ต่างจากที่หวังไว้อย่างสิ้นเชิง  


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


ท่าทางของมินอาที่เข้ามาในห้องแล้วโค้งคำนับอย่างมีมารยาทดูแปลกตาเหมือนเป็นสิ่งแปลกใหม่ ชานเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่งมองนางพลางโบกมือให้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของตัวเอง มินอาจะไม่เปิดปากพูดถ้าไม่เริ่มชวนคุยก่อนและจะไม่มองเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ชานก็รู้สึกสบายใจ เขารู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวและรู้สึกเหมือนอยู่ด้วยกันไปพร้อมๆ กัน 


 


 


“ถ้าเจ้าชนะก็คงจะดี” 


 


 


หลังจากเงียบสักพัก เสียงของชานก็ทำให้แสงไฟในตะเกียงสั่นไหวเล็กน้อย 


 


 


“ทรงหมายถึงอะไรหรือเพคะ” 


 


 


“ตอนที่เจ้าเคยท้าพนันเมื่อก่อนไง เจ้าขอให้ข้าหักห้ามใจจากพระชายาหากเจ้าชนะ” 


 


 


ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา แต่ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือคำตอบ พอนึกย้อนกลับไปดูแล้ว การเดินทางซึ่งออกเดินทางตอนฤดูใบไม้ผลิและกลับมาตอนต้นฤดูหนาวในครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับชานที่โดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่เสมอ ช่วงเวลาในตอนนั้นที่ได้ขี่ม้าได้ตามใจชอบไม่ว่าจะเป็นรุ่งสางหรือกลางดึกและมีชายเสื้อสีขาวของรยูฮาปลิวไสวจากข้างหน้า 


 


 


“ในตอนนั้นเจ้าควรที่จะชนะ ถ้าข้าได้ฝืนหักห้ามใจ พรุ่งนี้ก็คงจะเป็นพิธีราชาภิเษกของฮอน และอาจจะ…” 


 


 


“มันไม่มีคำว่า ‘อาจจะ’ หรอกเพคะ” 


 


 


สายตาของมินอาที่มองตรงไปยังที่ไกลๆ หันกลับมามองชาน 


 


 


“ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะชนะฝ่าบาทในตอนนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเพคะ เพราะหัวใจของคนเรานั้นอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์เพคะ” 


 


 


“แล้วเจ้าทำอย่างไรเล่า” 


 


 


สายตาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปยังเงาที่อยู่บนผนังด้านหลังของชานอีกครั้ง 


 


 


“ข้าหมายถึงเจ้าทำอย่างไร ในขณะที่ข้าชอบพระชายา เจ้าก็แค่นั่งอยู่เฉยๆ แบบนั้นน่ะหรือ” 


 


 


“อย่างที่หม่อมฉันเคยบอกไปแล้วเมื่อก่อน เป็นความจริงที่หม่อมฉันเคยชอบฝ่าบาทในช่วงเวลาสั้นๆ แต่หม่อมฉันตัดใจไปนานแล้วเพคะ ตอนนี้อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยเพคะ” 


 


 


“ช่างอวดดีจริงๆ” 


 


 


ชานหัวเราะออกมาเบาๆ จะมีนางสนมคนไหนในโลกนี้อีกที่หยิ่งผยองและบอกว่าไม่ชอบต่อหน้าองค์รัชทายาทแบบนี้ แต่มินอาก็ถอดชุดผ้าฝ้ายออกและสวมชุดผ้าไหม หากทำให้เขาพึงพอใจได้ บางทีชานก็อาจจะไม่ตามหานางอีก ท่ามกลางท่าทีของทุกคนที่ปฏิบัติต่อเขาเปลี่ยนไปหลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนไป มีเพียงแค่หญิงสาวจอมหยิ่งผยองที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เท่านั้น 


 


 


“โชคดีที่มีเจ้าอยู่ด้วย” 


 


 


โชคดี และยังโชคดีที่แสงไฟในตะเกียงสั่นไหวด้วยการไหลเวียนของอากาศเล็กน้อยด้วย มิเช่นนั้นชานก็คงจะมองเห็นดวงตาที่สั่นเครือเป็นแน่ มินอาไม่อยากเพิ่มความเจ็บปวดหรือความรู้สึกผิดให้แก่เขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม 


 


 


“เข้านอนกันเถอะ วันนี้เจ้านอนที่นี่นะ” 


 


 


“แต่ว่าตั้งแต่เช้ามืดพรุ่งนี้…” 


 


 


“พิธีราชาภิเษก ยิ่งเป็นเช่นนั้นก็ต้องรีบเข้านอน” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม