จอมใจจ้าวพิษ 116-129

 ตอนที่ 116 ผู้มีพระคุณ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนหันกลับมาวางกิ่งไม้ทองใบไม้หยกไว้ตรงหน้าฉู่จิ่งเหยา เกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ขึ้น ใบไม้คลี่ตัวออก าวกับกำลังบิดขี้เกียจ ฉู่จิ่งเหยายิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น แล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าคงต้องรอให้ใบมันร่วงจึงจะใช้ได้ใช่หรือไม่ อย่างนั้นก็ตั้งไว้ที่นี่เถิด ข้ารับประกันว่านอกจากเจ้าแล้วจะไม่มีใครได้แตะต้อง จะอย่างไรเจ้าก็มาดูทุกวันอยู่แล้ว ถ้าหายไป เจ้ามาขอให้ข้าชดใช้ก็ย่อมได้” 


 


 


ถังเฉียนดูท่าทางฉู่จิ่งเหยา ใบหน้ายิ้มแย้ม ยื่นมือไปแตะใบของกิ่งไม้ทองใบไม้หยกเล่นเบาๆ ถังเฉียนพยักหน้าแล้วว่า 


 


 


“ท่านอ๋องเป็นยอดวีรบุรุษที่คนนับหมื่นเคารพยกย่อง อาหรูน่าไว้ใจท่านอ๋อง อย่างนั้นก็ตั้งกิ่งไม้ทองใบไม้หยกไว้ในห้องหนังสือของท่านอ๋อง ต้องรบกวนท่านอ๋องช่วยดูแลเสบียงให้เสี่ยวจินของข้าด้วย” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาสีหน้าเรียบเฉย พูดกับนางว่า 


 


 


“เรื่องเล็กน้อย ห่างไกลจากบุญคุณที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้ามากนัก” 


 


 


ถังเฉียนมองแววตาของฉู่จิ่วเหยา ดวงตาของเขาช่างสวยงามจริง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอาจหาญเยี่ยงวีรบุรุษ แม้แต่เวลายิ้มก็ยังคงดูองอาจเคร่งขรึม ยากที่จะจินตนาการถึงท่วงท่าขณะที่เขาบัญชาการทหารนับหมื่น สำหรับถังเฉียนแล้วจินซิวอ๋องคือผู้ที่คู่ควรต่อการเคารพนับถือมากที่สุด 


 


 


ถังเฉียนมอบกิ่งไม้ทองให้เขา ค้อมคารวะแล้วผละออกมา นางรู้สึกอิ่มเอิบใจมาก แต่เจิ้งจยาเฉิงรออยู่นอกห้องด้วยความร้อนรนจนใบหน้าขาวซีด รอจนนางไปแล้วจึงรีบเข้าไปในห้อง พูดว่า 


 


 


“ท่านอ๋อง ฐานะนางยังไม่แน่ชัด ท่านไม่ควร…” 


 


 


“ชู่ว…” 


 


 


สายตาฉู่จิ่งเหยาอ้อมผ่านเจิ้งจยาเฉิงไปด้านหลังของเขา ฮว่าเหยียนยืนอยู่ที่ประตู นางกรอกตารอบหนึ่ง แล้วเดินเข้ามา 


 


 


“ท่านอ๋อง รบกวนแล้ว ฮว่าเหยียนมาส่งขี้ผึ้งยาและยาลูกกลอนให้ท่าน อาหรูน่าอายุยังน้อย อารมณ์ร้อน คงสร้างความลำบากให้ท่านอ๋องไม่น้อย ฮว่าเหยียนคิดว่าไม่ควรชักช้าต่ออาการป่วยของพระชายารอง ไม่เช่นนั้นแม่นางจื่อเย่ว์จะคอยมาเร่งเร้าไม่หยุด ทำให้นางร้อนใจเปล่าๆ เพคะ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเห็นฮว่าเหยียนจึงลุกขึ้นเชิญนางเข้ามาในห้อง ฮว่าเหยียนเพียงแต่วางของสองสิ่งลงบนโต๊ะ 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาพูดว่า 


 


 


“ท่านหมอ ตั้งใจมาเพราะเรื่องนี้หรือ” 


 


 


มือฮว่าเหยียนวางทับกัน นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า 


 


 


“ความจริงมีเรื่องอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเล็กน้อย ฮว่าเหยียนเห็นว่าเวลานี้ท่านอ๋องไม่สะดวก ไว้วันอื่นค่อยพูดดีกว่า” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยามองดูเจิ้งจยาเฉิงแล้วพูดว่า 


 


 


“ท่านหมอกล่าวมาเถอะ จยาเฉิงออกไปก่อน” 


 


 


“ท่านอ๋อง” 


 


 


“หือ” 


 


 


“ฮว่าเหยียนขออภัยด้วย ที่จริงเรื่องนี้ไม่ควรรบกวนท่านอ๋อง แต่ท่านก็คงดูออกแล้ว ลูกข้าคนนี้แม้จะมีนิสัยดื้อรั้นแต่เป็นเด็กที่มีน้ำใจ ตอนนางเป็นเด็กข้าเคยพาไปเซวียนกั๋ว เกิดป่วยหนัก ได้หมอที่นั่นช่วยรักษา ต่อมาได้ข่าวว่าหมอท่านนี้เกิดเรื่องกับผู้สูงศักดิ์ เวลานี้ถูกขังคุก ลูกข้าวิตกแต่ไม่กล้ารบกวนท่านอ๋อง…” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงแอบฟังที่ประตู นึกในใจว่านางตั้งใจพูดให้พวกเขาได้ยิน ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยถังเฉียนยิ่งขึ้น แต่เขาไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อได้ ฉู่จิ่งเหยากระแอมทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตือนเจิ้งจยาเฉิง 


 


 


ฮว่าเหยียนกวาดสายตาไปข้างนอก แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า 


 


 


“ท่านอ๋อง ฮว่าเหยียนไม่กังวลเรื่องนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าใต้เท้าเจิ้งคนใกล้ชิดของท่านอ๋องเป็นคนละเอียดรอบคอบที่สุด ฮว่าเหยียนเพิ่งมาถึงไม่นาน ก็มารบกวนท่านอ๋อง ไม่แปลกที่เขาจะไม่พอใจ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยายกมือขึ้นห้ามนาง เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า 


 


 


“ท่านหมอ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมอผู้นั้นชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ใด หากข้าสามารถหาพบ ย่อมต้องช่วยเหลือ” 


 


 


ฮว่าเหยียนยืนขึ้นกล่าวขอบคุณ แล้วพูดว่า 


 


 


“คนผู้นี้ชื่อถังหรงเจิน เคยรักษาคนอยู่ที่แถบเจียงเจ้อ บ้านเดิมเป็นคนที่ไหนข้าไม่อาจรู้ เพียงแต่ได้ยินว่าเขาเข้าวังเป็นหมอหลวง เดิมทีอาหรูน่าคิดจะช่วยดูแลลูกสาวของเขา คิดไม่ถึงว่าพอมาถึงก็หาพวกนางไม่เจอ คงเป็นเพราะโชคชะตาแท้ๆ”


ตอนที่ 117 ฆ่านางซะ 


 


 


 


 


 


หลังจากฮว่าเหยียนพูดจบ ฉู่จิ่งเหยาก็รับปากทันที เมื่อฮว่าเหยียนเดินออกมาก็ชำเลืองเห็นจื่อเย่ว์ยืนดมดอกไม้อยู่ที่โถงทางเดิน จึงผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วจึงจากไปอย่างวางใจ 


 


 


สมกับคำกล่าวที่ว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด 


 


 


ฮว่าเหยียนเจอจื่อเย่ว์ ต่างย่อมได้ตามที่ตนเองต้องการ นางไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญการทำยาแก้พิษ แต่ฮว่าเหยียนกลับสันทัดในการทำยาพิษ นางไม่รู้ว่าซูซินเหลียนป่วยเป็นโรคใดกันแน่ แต่นางสามารถทำตามที่จื่อเย่ว์ต้องการ ค่อยๆ ทำให้ซูซินเหลียนเสียชีวิต โดยไม่สาวมาถึงจวนจินซิวอ๋อง 


 


 


ถังเฉียนเพิ่งกลับมาถึงเรือนฮั่นต้าน แต่ที่นี่กลับทำให้นางรู้สึกถึงอันตรายเป็นพักๆ เวลานี้ถังเฉียนยังไม่รู้ แต่ความรู้สึกถึงอันตรายนี้ที่จริงถูกถ่ายทอดมาจากเสี่ยวจินซึ่งอยู่ในห้อง 


 


 


“เหตุใดเรือนฮั่นต้านจึงดูวังเวงน่ากลัวเช่นนี้กันนะ” 


 


 


ถังเฉียนอดพูดออกมาไม่ได้ พอหันไปก็เห็นหน้ากากบุปผาทองสามดอก ดูจากชุดสีเขียว ความสูงและท่าทางแล้ว เหมือนศิษย์พี่ถงถงเอ๋อร์ 


 


 


“ศิษย์พี่ ใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนเพิ่งพูดจบก็รู้สึกว่ารอบตัวมีลมเย็นเป็นพักๆ พอจะขยับตัวไปข้างหน้าก็ถูกตีจากด้านหลังจนหมดสติไป 


 


 


เสี่ยวจินซ่อนอยู่ในกล่องหยกเวินเซียงหน่วน ถูกถังเฉียนขังไว้ คาดไม่ถึงว่าเวลานี้ถังเฉียนจะถูกคนลอบทำร้ายในจวนอ๋อง นางถูกย้ายเข้ามาในห้อง หงหลิงเอ๋อร์ถอดหน้ากากออก เหลือบมองนางอย่างเยือกเย็น แล้วเตะใส่ถังเฉียน 


 


 


“ดูตัวไม่ใหญ่ แต่หนักชะมัด!” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นว่า 


 


 


“ศิษย์น้อง เจ้าทดสอบดูเองเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อศิษย์พี่” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์ร้อง “หึ” ออกมา แล้ววางมือลงบนทรวงอกถังเฉียน ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้น พูดด้วยความแปลกใจว่า 


 


 


“เป็นไปไม่ได้!” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่นางมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“ตอนนี้จะทำเช่นไรดี นี่ก็ตีจนสลบแล้ว” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์ถอดหน้ากากถังเฉียนออก มองดูใบหน้าที่เยาว์วัยแล้วพูดอย่างไม่ยี่หระว่า 


 


 


“หน้าตาก็เฉยๆ ทั่วไป ไม่รู้ว่าแม่ที่ต่ำทรามของนางเอายาเพิ่มพลังทิพย์อะไรให้กิน แต่เมื่อตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว ก็ไม่มีทางพบจุดจบที่ดีแน่ๆ” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์ยื่นมือออกไปจะตัดเส้นชีพจรของถังเฉียน แต่เป็นครั้งแรกที่ถงถงเอ๋อร์แย้งนาง รีบพูดว่า 


 


 


“หลิงเอ๋อร์ บ้าไปแล้วหรือ ถ้าเจ้าลงมือเช่นนี้ อาจารย์ต้องรู้ว่าเป็นฝีมือเจ้ากับข้า เจ้าลืมกฎสำนักของอาจารย์ไปแล้วหรือ” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์ปัดมือนางออกไป แล้วพูดว่า 


 


 


“ต่อให้ไม่ใช่ศิษย์นาง ข้าอาศัยพรสวรรค์ตัวเองก็ต้องเข้าแทนตำแหน่งนางไม่ช้าก็เร็ว” 


 


 


หงหลงเอ๋อร์ตั้งท่าจะลงมืออีก แต่ถงถงเอ๋อร์พูดอย่างร้อนใจว่า 


 


 


“เจ้าเล่นงานศิษย์ร่วมสำนัก หวังจะไต่เต้าถึงตำแหน่งนั้น ยังคิดว่าจะง่ายหรือ ใครจะเลือกผู้นำที่ทำร้ายคนร่วมสำนัก มีใจอำมหิตดุจอสรพิษ หรือเจ้าไม่อยากจะมีชีวิตต่อแล้ว” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์เองรู้ตัวการทำเช่นนั้นเป็นเรื่องเกินเลย เวลานี้ถังเฉียนเป็นศิษย์น้องของนางแล้ว ถ้าฆ่านางตาย บนป้ายดวงชะตาจะปรากฏให้เห็น ถึงตอนนั้นนางจะแก้ตัวเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ จากนั้นนางจึงมองถงถงเอ๋อร์ แล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้าช่วยข้าสังหารนางให้ข้าที รอให้ข้าได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่า ข้ารับประกันว่าเจ้าจะร่ำรวยสูงศักดิ์สุดประมาณ” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์คิดในใจว่า 


 


 


ข้าไม่ใช่คนโง่ ถ้าข้าฆ่านาง อาจารย์จะปล่อยข้าหรือ ศิษย์ร่วมสำนักจะปล่อยข้าหรือ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้อง แล้วจะช่วยข้าได้อย่างไร หงหลิงเอ๋อร์ อย่าคิดว่าคนอื่นล้วนโง่เขลา 


ตอนที่ 118 ไม่เหมือนแล้ว  


 


 


 


 


 


หากแต่ถงถงเอ๋อร์ไม่กล้าพูดออกมา แต่ล้วงขวดยาออกมาจากอกเสื้อยื่นให้หงหลิงเอ๋อร์ พลางพูดว่า 


 


 


“เอายานี่ให้นางกิน ภายในเวลาครึ่งปีพลังทิพย์ของนางจะไม่เพิ่มขึ้น นางก็จะกลายเป็นแค่คนที่ไร้ประโยชน์ อาจารย์ก็จะทอดทิ้งนาง ส่วนเรื่องอื่นถึงตอนนั้นค่อยว่ากันทีหลัง” 


 


 


“นี่ยาอะไร เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เป็นผลร้ายต่อข้า” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์เอ่ยว่า 


 


 


“นี่คือยากลืนพลังทิพย์ เป็นของล้ำค่าที่คราวก่อนอาจารย์มอบให้ข้า ข้าจำเป็นต้องเอาออกมาใช้เพื่อช่วยศิษย์น้อง” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์มองดูยากลืนพลังทิพย์ ครุ่นคิดแล้วพูดว่า 


 


 


“อีกครึ่งปีนางจะอาศัยยานี้ทำให้พลังทิพย์สูงขึ้นมาก เจ้าแน่ใจนะว่าจะให้นางกิน” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ยิ้มอย่างเย็นชา แล้วว่า 


 


 


“เวลานี้เจ้ามีวิธีอื่นด้วยหรือ หากฆ่านางทิ้งตอนนี้ก็จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่ถ้ามีเวลาครึ่งปี ศิษย์น้องย่อมหาคนมาสังหารนางก็ไม่มีใครรู้ได้จริงหรือไม่” 


 


 


หงหลิงเอ๋อร์หัวเราะทันที 


 


 


“ศิษย์พี่อยู่ข้างหลิงเอ๋อร์จริงๆ วันหน้าย่อมไม่ลืมบุญคุณศิษย์พี่เป็นแน่” 


 


 


ถงถงเอ๋อร์ดูท่าทางของนาง แล้วมองดูถังเฉียนซึ่งนอนอยู่บนพื้น นางไม่ใส่ใจว่าทั้งสองคนจะทำสิ่งใด นางเพียงรออีกครึ่งปีก็พอ ใครจะแพ้ใครชนะ นางก็ล้วนเป็นผู้ชนะ 


 


 


ถังเฉียนฟื้นขึ้นบนเตียงตนเอง อาห่าวเฝ้าอยู่ที่ประตู นางนึกไม่ออกว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางจึงนอนหลับไป 


 


 


“อาห่าว เมื่อวานข้ากลับมาได้อย่างไร” 


 


 


อาห่าวเปิดประตูเดินเข้ามา ยกน้ำมาให้ถังเฉียนล้างหน้า เขาตอบว่า 


 


 


“เจ้านายนอนหมดสติอยู่ที่หน้าประตู ท่านหมอฮว่าเหยียนพบเข้า จึงให้อาห่าวอุ้มเข้ามาวางบนเตียง” 


 


 


“ข้าหมดสติหรือ” 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกแปลกใจ อยู่ดีๆ เหตุใดตนถึงหมดสติได้ 


 


 


“ใช่ขอรับ ศิษย์พี่ถงถงเอ๋อร์ช่วยตรวจเจ้านาย เป็นเพราะเจ้านายฝึกมากเกินไป ทำให้จิตใจอ่อนล้าสุดขีด นางบอกว่าเจ้านายต้องฝึกให้พอเหมาะ อย่าทุ่มเทจนสุดจนเกินกำลัง อาจส่งผลร้ายต่อจิตใจ ทำให้สติฟั่นเฟือนเป็นได้” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รีบโคจรพลังทิพย์ของตนเอง แต่ถัดมาก็รู้สึกปวดชายโครงด้านขวาอย่างรุนแรง ทั้งยังรู้สึกเวียนหัวด้วย 


 


 


“ข้าฝึกมากเกินไปเช่นนั้นหรือ” 


 


 


ถังเฉียนนึกสงสัยเช่นนี้ จากนั้นติดๆ กันสองวัน ทุกครั้งที่ถังเฉียนรู้สึกว่าสะสมพลังทิพย์ได้มากแล้ว พอวันรุ่งขึ้นกลับหายไปอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกว่าไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้อีก 


 


 


เถิงเสวี่ยกลับมาแล้ว แต่ถังเฉียนยังไม่กล้าบอกอาจารย์ เพราะนางรู้สึกว่าเป็นเพราะตนเองมีพรสวรรค์จำกัด ยิ่งรู้สึกโทษตัวเองมากขึ้น ใกล้ถึงวันที่เทพเจ้าจะมาปรากฏพระองค์แล้ว ทุกคนกำลังเตรียมพิธีบวงสรวง แต่ไม่ว่าถังเฉียนจะพยายามเช่นไรก็ไม่มีประโยชน์ 


 


 


แม้แต่เถิงเฟิงเองก็ยุ่งมากเช่นกัน แต่ละวันเหมือนลมพัดไปมา ไม่เห็นแม้แต่เงา ถังเฉียนก็ยิ่งห่อเ**่ยว รู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างไร้ค่า คนที่นี่ต่างวุ่นวาย มีเพียงฮวาหวนที่รู้สึกได้ว่าถังเฉียนกำลังเศร้าใจ เมื่อมาเป็นเพื่อนคุยด้วยจึงทำให้นางมีโอกาสระบายความในใจ 


 


 


“พี่ เหตุใดจึงสีหน้าอมทุกข์ทั้งวันเช่นนั้นเล่า ดูฮวาหวนสิ ผมบนหัวร่วงหมดก็ยังงอกใหม่ได้ มีเรื่องอะไรที่แก้ไม่ได้กัน เหตุใดพี่ถึงไม่สบายใจเล่า” 


 


 


แม้บนตัวฮวาหวนจะเหลือรอยแผลเป็น แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก หมอหลวงจางยังรับประกันว่าเวลานี้ฮวาหวนยังอายุน้อย ถ้าใช้ขี้ผึ้งยาของเขาอย่างต่อเนื่อง เมื่อฮวาหวนโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะดูไม่ออกว่าเคยได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาก่อน 


ตอนที่ 119 ทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว 


 


 


 


 


 


หมอหลวงจางบอกว่าต่อให้มีแผลเป็นก็เป็นเพียงรอยจางๆ ขณะนี้ผมงอกขึ้นแล้วช่วยปิดรอยแผลเป็นที่น่ากลัวบนแผ่นหลังและแขน เด็กหญิงยังคงเป็นเทพธิดาตัวน้อย 


 


 


“มีเรื่องในใจนิดหน่อยเท่านั้น พี่ได้คุยกับฮวาหวนก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น” 


 


 


ฮวาหวนสั่นศีรษะ แล้วดึงถังเฉียนไป ทั้งสองนั่งเคียงคู่กันบนบันไดหิน เด็กหญิงฟุบลงในอ้อมกอดของถังเฉียน แล้วนอนลงบนตักนาง จากนั้นจึงพูดว่า 


 


 


“พี่ คลำหัวข้าสิ พี่อาห่าวบอกว่าฮวาหวนเป็นเด็กที่เทพประทานมาให้ไม่ใช่หรือ คลำหน่อยสิ แล้วพี่จะสบายใจขึ้น” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินที่ฮวาหวนพูดก็ฉุกคิดถึงคำพูดเหลวไหลที่ตนกุขึ้น แต่ฮวาหวนกลับเชื่ออย่างสนิทใจ แต่คำพูดเหลวไหลนี้กลับทำให้เด็กหญิงทุกข์ทรมานจนถึงเดี๋ยวนี้ 


 


 


ถังเฉียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า นางยื่นมือมาลูบคลำเส้นผมฮวาหวน ขณะเดียวกันน้ำตาก็หยดแหมะออกมาอย่างท้อแท้ จนน้ำตาหยดลงบนหน้ากากไหลลงมา 


 


 


ฮวาหวนลืมตาขึ้น มองดูถังเฉียนหลังหน้ากาก แล้วยื่นมือออกไปค่อยๆ ดึงหน้ากากนางออก ทำให้น้ำตาถังเฉียนหยดลงบนใบหน้าฮวาหวน 


 


 


“พี่ น้ำตาขมจัง พี่ต้องกินอะไรที่ขมมากแน่ๆ ถึงได้มีน้ำตาขมขนาดนี้ พี่รู้สึกขมขื่นมากอย่างนั้นหรือ” 


 


 


ถังเฉียนมองดูฮวาหวนช่วยนางเช็ดน้ำตาอย่างจริงจัง ก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าวใจ นางอยากเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองทำผิดให้ฮวาหวนรู้ แต่ฮวาหวนจะให้อภัยนางหรือไม่ 


 


 


“พี่ ก่อนหน้านี้ฮวาหวนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตั้งแต่เกิดข้าก็อ่อนแอกว่าคนอื่น คนในครอบครัวทยอยตายไปก่อนเพราะโรคเลือดไหลไม่หยุด น้าหญิงบอกข้าว่าพวกเราชีวิตสั้น ต้องทำเรื่องที่มีความหมาย แต่ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือเรื่องที่มีความหมาย…” 


 


 


ถังเฉียนมองตาเด็กหญิง นี่ไม่เหมือนคำพูดของเด็กอายุสิบขวบ ในดวงตาเด็กน้อยเหมือนมีโลกที่สดใสเจิดจ้าซ่อนไว้ 


 


 


“จนกระทั่งข้าได้พบหมอผีอย่างพี่ พี่บอกข้าว่าข้าช่วยคนอื่นได้ ข้ารู้สึกมีความสุขมาก ตอนนั้นข้าไม่รู้สึกว่าตัวเองป่วยอีกแล้ว แต่เป็นคนที่มีประโยชน์ พี่ พี่เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มาก แล้วเหตุใดพี่ต้องเศร้าด้วยเล่า” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่ฮวาหวนพูดจนตะลึงงัน นางกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 


 


 


“ที่ข้าพูดประโยคเดียว ก็สำคัญมากหรือ?” 


 


 


ฮวาหวนพยักหน้าทันที 


 


 


“แน่นอนว่าสำคัญ พี่ช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้าน คนหลายหมู่บ้านได้ข่าวว่าพี่หมอผีกับหมอผีคนอื่นจะช่วยชาวม้งทั้งหมด พี่เก่งจังเลย” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ แล้วบอกว่า 


 


 


“ข้าอาจจะต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ข้าไม่อาจร่วมกับหมอผีคนอื่นรักษาทุกคนได้ เพราะข้าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถรวบรวมพลังทิพย์ เวลานี้ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ยังแย่กว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ” 


 


 


“เพราะเหตุใดหรือ” 


 


 


ถังเฉียนไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ถอนหายใจพลางลูบคลำศีรษะฮวาหวน แล้วพูดว่า 


 


 


“ที่จริงข้าน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์รู้ทันที ไม่อาจปล่อยให้ถึงเวลาแล้วอาจารย์หาคนอื่นแทนข้าไม่ได้ ข้าพยายามเต็มที่แล้ว อาจเป็นเพราะพื้นฐานข้าต่ำเกินไปจริงๆ” 


 


 


ถังเฉียนพูดจบ ขอบตาก็แดงเรื่อขึ้น นางลุกขึ้น ผละไปจากที่นี่ นางไม่อยากยอมแพ้ ไม่อยากก้มหัว แต่เลือกหมอผีเจ็ดคนแล้ว แท่นพิธีของฉู่จิ่งเหยาก็สร้างเกือบเสร็จแล้ว มีเวลาเหลือให้นางไม่มาก ถ้าหากนางทำไม่ได้ ถึงเวลานั้นจะอธิบายกับอาจารย์อย่างไร แล้วจะเผชิญหน้ากับผู้คนที่หวังจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร 


 


 


นางไม่อาจเห็นแก่ตัว เอาความดึงดันของตัวเองวางอยู่บนความเป็นความตายของคนอื่น ทำให้การสร้างดอกไม้ดอกที่สองล้มเหลว


ตอนที่ 120 ค้นหาคำตอบ 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนจากไปแล้ว แต่นางลืมไปว่าระยะนี้ฮวาหวนชอบอยู่กับอาห่าวเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะอาห่าวกระโจนเข้าไปในกองเพลิงเพื่อช่วยนางออกมา นางจึงคุยกับอาห่าวทุกเรื่อง 


 


 


แม้แต่ที่ถังเฉียนเศร้าใจครั้งนี้ฮวาหวนก็เล่าให้อาห่าวรู้ นางลืมไปว่าอาห่าวบอกเถิงเฟิงทุกเรื่อง เมื่อเถิงเฟิงรู้ก็มาหานางเพื่อสอบถาม น่าเสียดายที่ไม่เจอถังเฉียน เขาจึงไปสอบถามเถิงเสวี่ย หลังจากเถิงเสวี่ยรู้เรื่องก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกเถิงเฟิงว่าถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็คงต้องตัดนางทิ้งไป เพราะพรสวรรค์ของนางด้อยเกินไป 


 


 


ตามเหตุผลแล้ววงแหวนพลังทิพย์ไม่ควรสว่างขึ้น แต่ตอนนั้นนางมีวงแหวนสามวงจริงๆ ไม่น่าเป็นเช่นนั้น 


 


 


หลายปีมานี้เป็นครั้งแรกที่เถิงเสวี่ยเจอสภาพเช่นนี้ ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง 


 


 


แม้ถังเฉียนจะไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ แต่นางยังคงทุ่มเทฝึกฝนทุกวัน ไม่ละทิ้งแม้แต่นาทีเดียว นางหวังเสมอว่าอาจมีเวลาใดเวลาหนึ่งที่เกิดโอกาสบ้าง แต่ถังเฉียนยิ่งเข้าใจเรื่องหนึ่งมากขึ้น การเติบโตสุกงอมนั้นหมายถึงจะพูดจะทำอะไรต้องรอบคอบ จะตัดสินใจทำอะไรล้วนต้องคิดทบทวนให้ดี เพราะเมื่อเป็นผู้ใหญ่นางต้องรับผิดชอบต่อผู้อื่น ต้องแบกรับผลที่เกิดขึ้น 


 


 


“อาจารย์ ข้า…” 


 


 


อาหรูน่ายังไม่ทันพูด เถิงเสวี่ยก็วางถ้วยลงบนโต๊ะ แล้วถอนหายใจ 


 


 


“อาจารย์รู้สภาพเจ้าแล้ว แต่เมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ เมื่อเกิดปัญหาก็ควรมาหาอาจารย์ทันที เหตุใดต้องแบกไว้เอง เฮ้อ…” 


 


 


ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะไม่ตำหนิตน เพียงแต่ถอนหายใจเท่านั้น ยิ่งทำให้ถังเฉียนรู้สึกโทษตัวเองมากขึ้น ไหล่ที่อยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำสั่นสะท้าน 


 


 


“อาจารย์ ศิษย์ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว” 


 


 


เถิงเสวี่ยตบไหล่ถังเฉียน ลองทดสอบพลังทิพย์ของนางด้วยตนเอง แล้วรู้สึกประหลาดใจทันที 


 


 


นางนึกในใจว่า 


 


 


ในเวลาสั้นๆ เพียงสิบวัน เด็กคนนี้ถึงกับเคลื่อนพลังถาดดาวได้แล้ว ถงถงเอ๋อร์บอกว่าถังเฉียนทุ่มเทฝึกทั้งกลางวันกลางคืน เหนื่อยเกินไปทำให้กระทบกระเทือนจิตใจ แต่ไม่ได้บอกว่าถังเฉียนสามารถเคลื่อนพลังถาดดาวได้แล้ว หรือว่าร่างกายนางพิเศษกว่าคนทั่วไป 


 


 


เถิงเสวี่ยรู้สึกว่าแปลกมาก แล้วพูดเบาๆ ว่า 


 


 


“ไม่ต้องกังวล เจ้าลองเดินพลังทิพย์รอบหนึ่งต่อหน้าอาจารย์ อาจารย์อยากดูว่าปัญหาอยู่ที่ใดกัน” 


 


 


เมื่อเถิงเสวี่ยเอ่ยปาก ถังเฉียนจึงนั่งขัดสมาธิทันที ดวงตาหลุบลง เพ่งสมาธิไปที่ภายในร่างกายตนเอง สัมผัสถึงแสงที่ไม่สว่างนักภายในร่างกาย ดูราวกับกำลังสั่นไหวไม่หยุด นางท่องคาถาเพื่อชักนำ มังกรดำเหมือนถูกขังอยู่ในนั้น ส่วนมังกรแดงพันรอบตัวนางฉวัดเฉวียนไม่หยุดพร้อมกับกลืนและคายลมหายใจ 


 


 


ไม่ถึงหนึ่งเค่อถังเฉียนก็เก็บมังกรแดงกลับ เพิ่งรู้สึกเหมือนพลังทิพย์จะเพิ่มขึ้น แต่แล้วก็รู้สึกอย่างรวดเร็วว่าพลังของตนแยกออกจากภายในร่างกาย ความรู้สึกที่ค่อยๆ อ่อนเปลี้ย ทำให้นางท้อใจมาก 


 


 


“แปลกจริง ถ้าพลังทิพย์สลายไป รอบตัวเจ้าก็ควรมีพลังปรากฏขึ้น แต่อาจารย์ตรวจไม่พบแม้แต่น้อย กลับคล้ายกับเจ้าได้กินยากลืนพลังทิพย์เข้าไป” 


 


 


ถังเฉียนสั่นศีรษะทันที 


 


 


“อาจารย์ ข้าไม่ได้กินยาอะไรทั้งนั้น…เพียงแต่…” 


 


 


ถังเฉียนฉุกคิดถึงเรื่องที่วันนั้นตัวเองหมดสติไปอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นก็ไม่สามารถรวบรวมพลังทิพย์ได้อีกเลย หรือว่าวันนั้น ในเมื่อถังเฉียนมาเพื่อหาคำตอบ นางจึงเล่าเรื่องที่ตนเองสงสัยออกมาจนหมด 


 


 


เถิงเสวี่ยฟังจบก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วบอกว่า 


 


 


“ระยะนี้เจ้าเจอศิษย์พี่ถงถงเอ๋อร์บ้างหรือไม่ แล้วเจอศิษย์พี่ที่ชอบผูกด้ายแดงบนผมหรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนสั่นหัว นางไม่เจอจริงๆ เถิงเสวี่ยเห็นท่าทางถังเฉียนเช่นนี้ก็พอจะคาดเดาสาเหตุของเรื่องนี้ได้แล้ว จึงให้ถังเฉียนกลับไปก่อน 


 


 


ในใจถังเฉียนยังเปี่ยมด้วยความสงสัย แต่เห็นสีหน้าอาจารย์เย็นชามาก รู้ว่าตนไม่ควรอยู่ต่อ จึงรีบผละออกไป  


บทที่ 121 กระบี่ทะลุตะวัน 


 


 


 


 


 


พิธีบวงสรวงอัญเชิญเทพเจ้าในครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่ต้องจัดเตรียมนั้นมีมากมายนัก คราวก่อนที่ถังเฉียนพูดเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องเส้นผมบนหน้าผากและเลือดจากนิ้วกลางของเด็กชายหญิงสี่สิบเก้าคู่ เวลานี้กลับมีบทบาทจริงๆ 


 


 


พิธีนี้พวกเขาต้องการหล่อเลี้ยงโลหิตของเทพมังกร จึงเลือกใช้ของดังกล่าว แล้วนำเอาเลือดของคนป่วยไข้ป่าระดับต่างๆ แปดสิบเอ็ดคนเทลงในหม้อทองคำที่ใช้สำหรับบวงสรวง เลือกงูมังกรวัยเด็กเป็นตัวแทนของเทพมังกรร่วมเซ่นไหว้ด้วยเจ็ดวัน เถิงเสวี่ยจัดให้ถังเฉียนถวายเลือดตนเองให้แก่เทพมังกรทุกวัน 


 


 


ถังเฉียนเพิ่งป้อนเลือดเลี้ยงเทพมังกรเสร็จ มองดูมันโตขึ้นทุกวัน บนหัวมีหงอนสีแดงงอกขึ้นมา ถังเฉียนหมอบอยู่ข้างหม้อทองคำมองดูมันกินเครื่องเซ่นไหว้อย่างตะกละตะกลาม แล้วอดพูดขึ้นไม่ได้ 


 


 


“ฉวยโอกาสรีบกินเสียตอนนี้เถอะ อีกไม่กี่วันหมอผีทั้งเจ็ดจะมารวมตัวกัน จะต้องส่งเจ้าขึ้นไปบนแท่นพิธี ถึงตอนนั้นเจ้าจะมีบทบาทสำคัญ” 


 


 


ถังเฉียนพูดถึงตรงนี้ เทพมังกรก็เชิดหัวขึ้น แล้วแลบลื้นให้ถังเฉียน 


 


 


“ปัดโธ่ ที่ข้าพูดทำให้เจ้าไม่พอใจหรือ เจ้าไม่ใช่เครื่องสังเวยเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่พอใจเล่า” 


 


 


เวลาที่ถังเฉียนรู้สึกเบื่อก็จะมาพูดคุยกับมันที่นี่ คุยอยู่สักครู่ถังเฉียนก็จะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง แล้วเดินกลับไปตามทางเส้นเล็ก คิดว่าเวลานี้น่าจะไม่มีใคร แต่ที่ลานฝึกวิชายุทธ์ในสวนดอกไม้กลับมีเสียงอาวุธกระทบกันดังแว่วมา ถังเฉียนนึกอยากรู้อยากเห็น จึงแหวกกอดอกไม้ที่ขวางหน้าอยู่ เห็นคนกำลังร่ายรำกระบี่อยู่ใต้แสงจันทร์ 


 


 


ถังเฉียนดูท่ารำของคนผู้นี้ กระโดดไปมาราวกับกระเรียนเต้นรำ เท้าแตะพื้นอย่างมั่นคงราวกับแท่งศิลา ดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือ 


 


 


ขณะที่ถังเฉียนกำลังมองดูอย่างเพลิดเพลินนั้น ร่างของนางก็โน้มไปข้างหน้าอย่างทรงตัวไม่อยู่ แล้วเผลอทับลงบนกิ่งไม้ ทำให้กิ่งไม้หักอย่างไม่ตั้งใจ เกิดเสียงดังกรอบ ไม่เพียงทำให้นางสะดุ้งโหยง คนที่รำกระบี่พลอยได้ยินด้วย 


 


 


“ใคร? ยังไม่โผล่ออกมาอีก” 


 


 


พอถังเฉียนได้ยินเสียงนี้ก็รู้สึกผิด แต่กลับมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่า จึงค่อยๆ เดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ พอเดินเข้าไปจึงพบว่าเป็นฉู่จิ่งเหยา 


 


 


“ท่านอ๋อง อาหรูน่าไม่ตั้งใจจะแอบดู เพียงแค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น” 


 


 


“อยากรู้อยากเห็น ก็เลยดูจนไม่ไปไหนอย่างนั้นหรือ” 


 


 


น้ำเสียงฉู่จิ่งเหยาเคร่งขรึมไม่น้อย ถังเฉียนยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“ท่านอ๋องฝึกกระบี่ น่าชมเหมือนร่ายรำ แต่อาหรูน่าเข้าใจทันทีว่าเพราอะไรแผลของท่านอ๋องจึงมักจะปริออกเป็นประจำ ที่จริงไม่ใช่เพราะความผิดของพระชายารองที่กวนใจท่านอ๋อง” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาก้มหน้าแล้วหัวเราะ เขาสอดกระบี่ใส่ฝัก แล้วหันมาลูบศีรษะนาง 


 


 


“เด็กน้อย ไม่รู้ไปหัดพูดจาเหลวไหลเช่นนี้จากใครกัน” 


 


 


ถังเฉียนถูกเขากดศีรษะลง แล้วเหลือบมองดูแผลบนแขนเขาโดยไม่รู้ตัว นางถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“เด็กน้อยย่อมเรียนมาจากผู้ใหญ่ อย่างเช่นใต้เท้าเจิ้ง เขาบอกว่าตอนนี้ห้ามรบกวนท่านอ๋อง แต่แม่นางจื่อเย่ว์ต้องไม่พอใจแน่นอน” 


 


 


ยิ่งฉู่จิ่งเหยาไม่ให้นางพูด นางก็ยิ่งอยากพูด แต่ไม่ได้ทำให้เขารำคาญ นางยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“ท่านอ๋องควรระวังหน่อย แผลฉีกออกไม่ยอมหายเสียที คอยดูเถิดชั่วชีวิตท่านอ๋องจะไม่สามารถถือกระบี่ทะลุตะวันเข้าสนามรบ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาแปลกใจที่ถังเฉียนพูดเช่นนี้ เขามองกระบี่ในมือแล้วถามว่า 


 


 


“เจ้ารู้ว่ามันชื่อทะลุตะวัน?” 


 


 


ถังเฉียนพยักหน้า 


 


 


“แม่นางจื่อเย่ว์เคยบอก กระบี่ทะลุตะวันเป็นสิ่งล้ำค่าของท่านอ๋อง ติดตามท่านบุกเหนือรบใต้สังหารคนมานับไม่ถ้วน กระบี่เล่มนี้ตีขึ้นจากเหล็กชั้นดีและเพิ่มหินอุกกาบาตรจากฟ้าที่ทั้งดำและแข็งแกร่ง ได้ยินว่าเจ้าทะลุตะวันสามารถแทงทะลุผ่านทุกอย่างได้ มันจึงมีชื่อเรียกว่าทะลุตะวัน” 



ตอนที่ 122 เพลงกระบี่จิงหง 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนทำท่าชักกระบี่ออกมา แต่ท่าทางไม่ค่อยถูกต้องนัก ท่าทางใสบริสุทธิ์ของนางทำให้ฉู่จิ่งเหยาจับแขนนางดึงให้เหยียดตรง จากนั้นหยิบกระบี่ไม้เล่มหนึ่งจากชั้นวางอาวุธวางลงบนมือถังเฉียน 


 


 


“อยากเรียนเพลงกระบี่ชุดหนึ่งกับข้าหรือไม่” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาไม่เปิดโอกาสให้ถังเฉียนปฎิเสธแม้แต่น้อย ใช้มือจับมือนางข้างหนึ่ง ดึงไหล่นางขึ้นพาไปที่ลานฝึกวิชายุทธ ปลายเท้าแตะเบาๆ ร่างนางบินถลาออกไป ถังเฉียนไม่เคยสัมผัสความรู้สึกของลมที่พัดผ่านข้างหูเช่นนี้มาก่อน 


 


 


ลมพัดหมวกใบใหญ่ของนางปลิวไป ทั้งคู่ร่อนลงแตะพื้น ฉู่จิ่งเหยายืนอยู่ข้างหลังนาง กุมข้อมือนางไว้ จับมือนางเหวี่ยงไปข้างหลังหนึ่งรอบ ท่าของถังเฉียนค่อนข้างแข็งทื่อ ฉู่จิ่งเหยาจึงผลักเอวนางเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับอย่างฉับไว กระบี่ในมือราวกับมีวิญญาณ วาดเป็นวงกลมขึ้นกลางอากาศอย่างงดงาม 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาสอนนางให้ก้าวไปข้างหน้า ยืนกางขาในท่าม้าก้าว สอนนางให้รู้จักการเก็บและชักกระบี่ออก สอนให้รู้จักหมุนตัวรอบตัวกระบี่ จนในที่สุดหน้ากากของนางก็หลุดออก 


 


 


ถังเฉียนลูบคลำกระบี่ไม้ในมือด้วยความตื่นเต้น อดพูดไม่ได้ว่า 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ข้ารำกระบี่เป็นแล้ว ท่านอ๋องเก่งจริงๆ ฮ่าฮ่า…” 


 


 


ถังเฉียนตื่นเต้นสุดขีด ฉู่จิ่งเหยามองดูนางกอดกระบี่ไว้ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ดวงตาชองเขาที่ดูราวกับซ่อนดวงดาราเอาไว้มองดูนางด้วยแววตารักใคร่ แต่ความรู้สึกนี้วาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ข้าเคยพบเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่ หมอผีน้อย” 


 


 


ถังเฉียนดีใจเกินไป นางเอามือคลำหน้าตัวเอง แล้วรีบก้มหน้าลงพลางพูดว่า 


 


 


“โธ่ ท่านอ๋อง หน้าตาข้าไม่สวย ท่านอย่ามองเลย ข้า…” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาไม่ได้ฟังคำแก้ตัวอย่างสับสนของนาง และไม่ได้มองท่าทางนางที่พยายามปิดหน้า เขาหันหลังกลับ ถือกระบี่ทะลุตะวันแล้วผละไป พอหันหลังให้นางแล้วจึงพูดว่า 


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นหมอผีหรือชาวบ้านธรรมดา อยู่ในสถานที่อย่างเหมียวเจียงเรียนรู้วิชายุทธบ้างย่อมเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ถูกคนอื่นทำร้ายจนสลบง่ายๆ หมอผีน้อย เพลงกระบี่เมื่อครู่ชื่อจิงหง ถ้าเจ้าอยากฝึก ทุกวันยามจื่อสือให้เจ้ามาที่นี่” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาพูดจบก็เดินจากไป ไม่รอให้นางบอกว่าอยากฝึกหรือไม่ แต่ถังเฉียนกลับได้ยินประโยคสำคัญ นั่นคือไม่ถูกใครทำร้ายจนสลบง่ายๆ ถ้านางมีวรยุทธ์ บางทีร่างกายนางจะแข็งแรงขึ้น บางทีนางจะมีชีวิตรอดได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น 


 


 


“จินซิวอ๋อง ท่านรู้จริงๆ หรือว่าข้าต้องการอะไร” 


 


 


มุมปากถังเฉียนเชิดขึ้น มองดูกระบี่ในมือตัวเอง ในหัวใจรู้สึกอบอุ่น นางซาบซึ้งในบุญคุณของฉู่จิ่งเหยา ไม่เสียทีที่เป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในใจนาง 


 


 


ทางนี้ถังเฉียนกำลังง่วนอยู่กับการฝึกกระบี่ ส่วนที่ห้องเถิงเสวี่ยก็คึกคักเป็นพิเศษ เมื่อเถิงเสวี่ยรู้ว่าถังเฉียนเคยหมดสติไป ทั้งก่อนและหลังที่จะหมดสติได้พบถงถงเอ๋อ ในใจนางก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องราวเป็นไปเป็นมาอย่างไร แต่ไม่ลงความเห็นอย่างเด็ดขาดทันที 


 


 


ดังนั้นเมื่อตกกลางคืนเถิงเสวี่ยจึงให้อาเซิงไปตามถงถงเอ๋อมาที่นี่ นางเข้ามาในห้องแล้วแสดงการคารวะ เถิงเสวี่ยกำลังดื่มชา ไม่พูดอะไร ถงถงเอ๋อจึงลุกขึ้น เดินมาด้านหลังเถิงเสวี่ย ช่วยบีบนวดให้ 


 


 


“มีศิษย์ที่รู้ใจดีกว่าเลี้ยงลูกสาว คำพูดนี้ไม่ผิดเลย ถงเอ๋อ เจ้าติดตามอาจารย์มากี่ปีแล้ว” 


 


 


ถงถงเอ๋อยิ้มแล้วบอกว่า 


 


 


“แปดปีแล้วเจ้าค่ะอาจารย์ ตอนนั้นข้ากับศิษย์น้องเข้าสู่สำนักของอาจารย์ด้วยกัน ก่อนศิษย์น้องหลิงเอ๋อเพียงไม่กี่ชั่วยาม อาจารย์ยังตั้งใจตั้งชื่อให้ข้ากับศิษย์น้องให้คล้ายกัน” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 123 ยอมถอยเพื่อสถานการณ์ 


 


 


 


 


 


ถงถงเอ๋อยิ้มพลางพูดจนจบ เถิงเสวี่ยใคร่ครวญความหมายในคำพูดนาง จึงเปลี่ยนน้ำเสียงถามว่า 


 


 


“อย่างนั้นก็แปลกสิ ตอนนั้นหลิงเอ๋อบอกว่าเจ้าชอบชื่อนาง ขอร้องให้อาจารย์เปลี่ยนชื่อเจ้าให้คล้ายกับนาง อาจารย์ยังคิดว่าเจ้าอายไม่กล้าพูด ให้ศิษย์น้องมาพูดแทน” 


 


 


ถงถงเอ๋อได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็หมองลง มือที่บีบนวดอยู่หยุดชะงัก แม้ว่านางจะตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“ใช่ อาจารย์จำถูกต้องแล้ว ถงเอ๋อยังเด็กกลับจำได้ไม่ชัด” 


 


 


เถิงเสวี่ยยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“อาจารย์จำได้ว่า ให้ยากลืนวิญญาณแก่เจ้าเม็ดหนึ่ง เจ้าใช้ไปหรือยัง” 


 


 


ถงถงเอ๋อได้ยินคำว่ายากลืนวิญญาณก็รู้สึกเครียดทันที แต่ยังคงเม้มปากแล้วพูดว่า 


 


 


“ยังไม่ได้ใช้” 


 


 


“อืม เช่นนั้นเอาให้อาจารย์ยืมใช้สักหน่อย พิธีบวงสรวงครั้งนี้สำคัญมาก อาจจะต้องใช้ยากลืนวิญญาณ รอให้กลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ค่อยคืนให้ดีหรือไม่” 


 


 


ถงถงเอ๋อได้ยินเช่นนั้น มีท่าทางลังเลชัดเจน แต่ก็รีบพูดว่า 


 


 


“อาจารย์ ยากลืนวิญญาณเม็ดนั้น ศิษย์เก็บไว้ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์…” 


 


 


พออาเซิงได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย มีแสงสีแดงวาบขึ้นในดวงตา จ้องมองถงถงเอ๋ออย่างไม่วางตา 


 


 


“อาจารย์ ศิษย์จำผิดแล้ว ศิษย์นำติดตัวมาด้วย เพียงแต่ศิษย์น้องหลิงเอ๋อสนใจ ยืมไปเล่น ยังไม่คืนให้” 


 


 


อาเซิงเห็นถงถงเอ๋อพูดเช่นนี้ สีแดงในดวงตาก็ยิ่งเข้มขึ้น เล็บมือดูเหมือนจะงอกยาวขึ้นกว่าเดิม เถิงเสวี่ยมองดูถงถงเอ๋อแล้วพูดว่า 


 


 


“พวกเจ้าศิษย์พี่น้อง อาจารย์ล้วนใช้เลือดตัวเองเปิดวิญญาณให้ เหมือนเช่นอาเซิง จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ถ้าพวกเจ้าบังอาจโกหกอาจารย์ เจ้าย่อมรู้ว่าอาเซิงจะทำเช่นไร” 


 


 


ถงถงเอ๋อได้ยินที่อาจารย์พูด แล้วหันไปมองอาเซิงที่ประตู เห็นเล็บนางกางออกเล็กน้อย ก็รีบคุกเข่าลงทันที 


 


 


“อาจารย์ ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ศิษย์เอายากลืนวิญญาณให้ศิษย์น้องใช้” 


 


 


เถิงเสวี่ยวางถ้วยชากระแทกลงบนโต๊ะ แววตาแข็งกร้าวทันที บรรยากาศรอบๆ เยือกเย็นลง 


 


 


“พูดให้ชัดสิ” 


 


 


ถงถงเอ๋อรีบคลานเข้ามาเกาะขากางเกงเถิงเสวี่ย แล้วพูดว่า 


 


 


“อาจารย์ ท่านก็รู้ว่าหลิงเอ๋อมีนิสัยอย่างไร ต้องโทษที่ถงเอ๋อไม่ระวังเผลอพูดออกไป ข้าบอกนางว่าอาหรูน่ามีพรสวรรค์สูงมาก เพียงแค่เจ็ดวันก็สามารถสัมผัสถึงถาดดาวแล้ว มีพรสวรรค์สูงจนน่าตกใจ พอหลิงเอ๋อได้ฟังก็ร้อนใจ เดิมทีเพราะเรื่องคุณชายเถิงเฟิงก็ทำให้หลิงเอ๋อเกลียดชังอาหรูน่าแล้ว อาจารย์ก็รู้ว่า…” 


 


 


ถงถงเอ๋อพูดจนจบ ผ่านไปครู่หนึ่งเถิงเสวี่ยจึงถามว่า 


 


 


“ก่อนอาจารย์จะไป สั่งเจ้าไว้อย่างไร” 


 


 


ถงถงเอ๋อคุกเข่าลงบนพื้นร้องไห้โฮ แล้วพูดว่า 


 


 


“อาจารย์ ท่านเองก็รู้นิสัยหลิงเอ๋อ นางไม่เคยนับถือศิษย์พี่อย่างข้า ในสายตานาง ถงเอ๋อเป็นแค่สาวใช้เท่านั้น ถงเอ๋อพูดเตือน นางย่อมไม่ฟัง ถงเอ๋อจนปัญญาจึงบอกว่าให้สกัดพลังทิพย์ของศิษย์น้องเล็กก่อน ทำให้อาจารย์ตรวจสอบไม่ได้ แล้วค่อยหาทางกำจัดนาง ถงเอ๋อใช้ยากลืนวิญญาณที่สุดหวงแหนเพื่อช่วยชีวิตศิษย์น้องเล็ก” 


 


 


เถิงเสวี่ยฟังจบก็ถามว่า 


 


 


“เช่นนั้นพออาจารย์กลับมาแล้ว ทำไมเจ้าจึงไม่บอกให้อาจารย์รู้” 


 


 


ใบหน้าถงถงเอ๋อเต็มไปด้วยน้ำตา นางบอกว่า 


 


 


“อาจารย์ ถ้าถงเอ๋อบอก อาจารย์จะเชื่อหรือเจ้าคะ ถงเอ๋อคิดว่าจะคอยดูแลศิษย์น้องทุกวัน หลังจากครึ่งปีผ่านไปพลังทิพย์ของนางจะสูงขึ้นมาก ก็ไม่เสียทีที่นางต้องทนลำบากในช่วงนี้ ถงเอ๋อผิดไปแล้ว ถงเอ๋อสำนึกผิดแล้วจริงๆ อาจารย์โปรดให้อภัยถงเอ๋อครั้งนี้ด้วยเถอะ” 



ตอนที่ 124 ไม่เป็นดั่งที่คิด 


 


 


เถิงเสวี่ยได้ยินนางร้องไห้อ้อนวอนก็เริ่มใจอ่อน แล้วถามว่า 


 


 


“เจ้าอายุมากกว่าหลิงเอ๋อหลายปี เหตุใดถึงไม่กล้าขัดขวางนาง เจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่านางไม่ว่าอะไร เหตุใดไม่กล้าพูดยืนยันความเห็นตัวเอง ทำได้เพียงยอมรับผิดกับอาจารย์ เป็นความผิดของเจ้าเท่านั้นหรือ” 


 


 


เมื่อถงถงเอ๋อได้ยินคำถามของเถิงเสวี่ย กลับตีความหมายต่างออกไป เป็นการตำหนิและเป็นการบีบคั้น 


 


 


“อาจารย์ ถงเอ๋อชาติกำเนิดต่ำต้อย พรสวรรค์ก็เทียบศิษย์น้องไม่ได้ วันหน้านางจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ ถงเอ๋อก็แค่หมอผีผู้บวงสรวงพื้นๆ จะเอาอะไรไปคัดค้านนาง” 


 


 


เถิงเสวี่ยขมวดคิ้วแน่น ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“ช่างเถอะ เรื่องนี้จบลงเท่านี้ อาจารย์จะตักเตือนหงหลิงเอ๋อเอง นางชักจะไม่เคารพกฎเกณฑ์มากขึ้นทุกที เจ้ากลับไปเถอะ” 


 


 


ถงถงเอ๋อเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ยืนขึ้นแล้วเดินออกมา พอถึงปากประตูก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมุมปาก อันที่จริงนางรู้นานแล้วว่าต้องเกิดช่วงเวลานี้ขึ้น แม้แต่ทุกรายละเอียดของการถามตอบกับอาจารย์ก็ล้วนฝึกทบทวนในสมองมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ 


 


 


“หลิงเอ๋อ อาหรูน่า ศิษย์พี่จะรอดูว่าระหว่างพวกเจ้าใครกันจะเป็นผู้ชนะ” 


 


 


มีรอยยิ้มอำมหิตวาบขึ้นบนใบหน้าถงถงเอ๋อ ในใจรอคอยละครฉากนี้ เวลานี้เถิงเสวี่ยได้แต่ยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกหงุดหงิด 


 


 


“อาเซิง เจ้าว่าข้าควรจัดการกับพวกนางอย่างไร” 


 


 


อาเซิงซึ่งเดิมทีเป็นเด็กสาวที่อายุน้อยนั้น ใบหน้านางกลับมีรอยยิ้มที่เป็นผู้ใหญ่ นางเดินมาด้านหลังเถิงเสวี่ย ช่วยนวดขมับให้นาง พลางพูดวิเคราะห์ถงถงเอ๋อ 


 


 


“อาเซิงเข้าใจความตั้งใจของเจ้านาย เดิมอยากให้สองคนนี้ช่วยเสริมกันและกัน คิดไม่ถึงว่าที่อ่อนแอก็ยังคงอ่อนแอ ที่วางอำนาจก็ยิ่งวางอำนาจหนักขึ้น บางทีสองคนนี้อาจไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว” 


 


 


เถิงเสวี่ยฟังที่อาเซิงพูดก็ถามว่า 


 


 


“เพราะอะไร หงหลิงเอ๋อมีพรสวรรค์สูงมาก แต่หยิ่งผยอง แม้ถงถงเอ๋อจะพรสวรรค์ด้อยแต่ก็ถ่อมตัวมีความมุมานะ สองคนอยู่ด้วยกัน หงหลิงเอ๋อน่าจะช่วยกระตุ้นให้ถงถงเอ๋อทุ่มเทมากขึ้น แต่ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น เป็นถงถงเอ๋อที่ขยันขึ้น แต่นิสัยไม่ถ่อมตัวแล้ว กลับอ่อนแอ ส่วนหงหลิงเอ๋อก็ยิ่งแย่ลง” 


 


 


อาเซิงถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“เจ้านายก็ได้ยินที่ถงถงเอ๋อพูดแล้ว เกรงว่าหงหลิงเอ๋อคิดมานานแล้วว่าตัวเองคือผู้อาวุโสใหญ่ในอนาคต จึงไม่ค่อยจะทุ่มเทอะไรนัก กลับเย่อหยิ่งไร้แบบแผนหนักขึ้น เดิมทียังเรียกอาเซิงอย่างเคารพว่าป้า แต่เดี๋ยวนี้เรียกอาเซิงเฉยๆ แล้ว” 


 


 


เถิงเสวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ แล้วว่า 


 


 


“เฮ้อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี” 


 


 


อาเซิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วบอกว่า 


 


 


“อย่างนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ…” 


 


 


อาเซิงขยับเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูเถิงเสวี่ย เถิงเสวี่ยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกดีกว่าเดิมมาก 


 


 


“ถ้านางมาเร็วกว่านี้ก็คงจะดี เวลานี้ก็ยังไม่สาย บางทีอาจจะมีอะไรต่างออกไป” 


 


 


ถังเฉียนหยิบกระบี่ขึ้นมาร่ายรำอย่างต่อเนื่องในห้องของตน เมื่อคิดว่าวีรบุรุษในสายตาตนสอนตนฝึกกระบี่ด้วยตัวเอง ยังมีความรู้สึกเหมือนถือกระบี่ร่อนถลา รู้สึกเหมือนกระบี่มีวิญญาณ ขณะที่ร่ายรำนั้นกระบี่ก็แตกต่างจากเดิมแล้ว 


 


 


“แทง ปัด…” 


 


 


ถังเฉียนกำลังฝึกตามที่เรียนมาได้อย่างน่าดู แต่จู่ๆ ก็เกิดจาม นางรีบหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นว่าตนลืมผ้าเช็ดหน้าไว้ที่ฉู่จิ่งเหยา วันนั้นนางเผลอทำถ้วยน้ำหก 


 


 


“แย่แล้ว ยังไม่ได้เอาผ้าเช็ดหน้ากลับมา หรือว่าเป็นเพราะท่านอ๋องพูดถึงข้า” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 125 ไม่ยอมลำบาก 


 


 


แม้ว่าปัญหาของถังเฉียนจะยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่นางก็ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ อาจารย์ช่วยให้นางขับเคลื่อนถาดดาวจนสำเร็จ หลังจากที่สามารถหมุนถาดดาวได้แล้ว จู่ๆ ถังเฉียนก็รู้สึกว่าตนเองสามารถใช้ไอทิพย์ได้ดั่งใจมากขึ้น ถาดดาวก็เหมือนดั่งศูนย์กลางที่สามารถสะสมไอทิพย์และใช้ไอทิพย์ได้ 


 


 


ถังเฉียนยิ่งสนใจศึกษาวิชาหมอผีมากยิ่งขึ้น 


 


 


สภาพของนางที่ดูดรับพลังทิพย์แล้วสลายไปก็บรรเทาลง นางสามารถดูดรับได้ แต่ไม่กระจายออกอย่างชัดเจนอย่างเก่าแล้ว อีกประการหนึ่งมังกรดำตัวหนึ่งของนางยังคงถูกล่ามไว้ แทบจะขยับเขยื้อนไม่ได้ แต่การที่มีเพียงมังกรแดงพันรอบตัวนางนั้น ก็ทำให้นางพอใจมากแล้ว 


 


 


“พี่หมอผี ดูเหมือนพี่จะอารมณ์ดีมากเลยนะ” 


 


 


อาห่าวจูงฮวาหวนมาหาถังเฉียน นางเพิ่งดูดรับไอทิพย์ที่สนามเสร็จ รู้สึกจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใสมาก 


 


 


“ใช่แล้ว ข้าอารมณ์ดีมาก เพราะอาจารย์ช่วยแก้ไขปัญหาที่รุมเร้าข้ามานานแล้ว อาจารย์ข้าเก่งมากใช่หรือไม่” 


 


 


ฮวาหวนยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็ไปเล่นแถวนั้นกับอาห่าว 


 


 


หลายวันมานี้ถังเฉียนอยากไปพบเถิงเฟิง แต่น่าเสียดายที่เขานั้นงานยุ่งตลอด ได้ยินอาห่าวบอกว่าการสู้รบระหว่างเผ่าหมอผีกับเผ่าครึ่งคนยังคงไม่สงบ หลายแห่งยังคงเกิดสงคราม เจิ้งจยาเฉิงกับเถิงเฟิงจึงยุ่งมาก ถังเฉียนจึงไม่กล้าไปรบกวนพวกเขา เถิงเฟิงบอกว่าเวลานี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของนางคือการพักฟื้น และช่วยเถิงเสวี่ยเตรียมพิธีอัญเชิญเทพ 


 


 


คืนก่อนจู่ๆ ฉู่จิ่งเหยาก็สอนเพลงกระบี่ชุดหนึ่งให้แก่นาง ถังเฉียนอาศัยเวลาก่อนยามจื่อสือมาฝึกฝนที่ลานฝึกวิชายุทธ แต่ไม่ว่าจะฝึกอย่างไรก็ไม่สามารถรู้สึกถึงการใช้กระบี่ได้ดั่งใจเหมือนฉู่จิ่งเหยา แต่นางก็ไม่ได้ท้อใจ ยังจะพอทำท่าทางเลียนแบบได้ 


 


 


นางตั้งใจมาถึงล่วงหน้าพักหนึ่ง เพราะอยากฝึกฝนก่อน พอถึงเวลาจะทำให้อาจารย์ซึ่งเป็นเทพแห่งสงครามประทับใจ ไม่เช่นนั้นถ้านางโง่เขลาอย่างนี้ เกิดฉู่จิ่งเหยาไม่สอน แล้วจะทำอย่างไรเล่า 


 


 


ขณะที่ถังเฉียนกำลังฝึกอย่างขะมักเขม้น ที่ที่นางปรากฏตัวเมื่อวานก็มีคนผู้หนึ่งปรากฎตัวขึ้น ค่อยๆ กดกิ่งไม้ลง มองดูท่าทางเงอะงะไม่คล่องแคล่วของนาง มุมปากเขายกขึ้นเป็นรูปโค้งน่าชม เขายืนอยู่หลังพุ่มไม้ มองดูนางเงียบๆ ดวงตาที่ล้ำลึกสะท้อนเงาจันทร์เย็นตาในบึงน้ำ 


 


 


“ดูตามเวลาแล้ว เขายังไม่มา ข้าไปเลี้ยงอาหารเทพมังกรก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจจะหิวอีก” 


 


 


ถังเฉียนถือกระบี่ไม้เดินอาดๆ ผ่านหน้าเขาไป ท่าทางนางดูน่าขำ แต่ฉู่จิ่งเหยาจงใจหลบนาง เห็นท่าทางกระหยิ่มใจของนางก็รู้สึกน่าขัน 


 


 


แม้ถังเฉียนยังไม่พบฉู่จิ่งเหยา แต่นางก็ยังคงอารมณ์ดี นางคิดเสมอว่าสักวันตัวนางเองจะสามารถกลายเป็นจอมยุทธที่อาศัยกระบี่ท่องไปทั่วหล้า เหมือนเรื่องราวในหนังสือและนักเล่านิทาน พอคิดก็รู้สึกสะใจขึ้นมา ทำให้ฝีก้าวเบาขึ้นมาก 


 


 


“หวังหลง วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


สองพี่น้องหวังหลงและหวังหู่ได้รับหน้าที่ที่สำคัญยิ่งขึ้น คือคอยเฝ้าหม้อทองเทพมังกร ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ คืนนี้หวังหู่กลับไปพักผ่อน มีเพียงหวังหลงกับสหายสองคนดูแลที่นี่ ยิ่งใกล้ถึงเวลาดังกล่าวก็ยิ่งคลายความระมัดระวังไม่ได้ 


 


 


“ไม่มีอะไร บริเวณนี้ท่านอ๋องสั่งปิดแล้ว นอกจากท่านและผู้อาวุโสใหญ่เผ่าหมอผี คนอื่นห้ามเข้ามาเด็ดขาด ท่านหมอวางใจเถอะ” 


 


 


ถังเฉียนเปิดฝาออก เทพมังกรกำลังนอนขดหลับอยู่ข้างล่างเป็นกระดูกขาวโพลน เทพมังกรช่างกินเก่งนัก พอโยนไก่ลงไปก็ไม่เหลือแม้แต่เงา เหลือเพียงกระดูกที่เทพมังกรไม่กิน 


 


 


“ก่อนนี้ข้าเคยเห็นงูกินอาหาร ล้วนแต่กลืนลงไปเลยแล้วค่อยๆ ย่อย เป็นครั้งแรกที่เห็นงูที่กินไก่แล้วคายกระดูกออกมา ข้าเล่าให้พรรคพวกฟัง ไม่มีใครเชื่อสักคน รอให้ท่านเทพมังกรไม่อยู่ในหม้อทองแล้ว ข้าจะพาพวกเขามาดู ท่านหมอดูสิ กินเกลี้ยงเลย” 



ตอนที่ 126 ล้อเล่น


 


 


ถังเฉียนอดหัวเราะไม่ได้เมื่อฟังที่หวังหลงพูด แต่ที่เขาพูดก็ถูก เทพมังกรท่านนี้ดูแปลกจริงๆ


 


 


นางให้หวังหลงไปเฝ้าอยู่ข้างๆ นางกรีดแขนตัวเอง ถ่ายเลือดให้เลือดไหลลงไปในหม้อทองคำ เทพมังกรได้กลิ่นคาวเลือดจึงรีบเลื้อยขึ้นมาดูดกินเลือดจากแขนถังเฉียนทันที


 


 


ถ้าเป็นก่อนหน้าที่นางจะฝึกไอทิพย์ คงทนไม่ไหวกับการถ่ายเลือดเช่นนี้ บัดนี้ยังพอฝืนทำได้ นางไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรได้บ้างในพิธีอัญเชิญเทพ แต่นางกำลังทุ่มเทเต็มกำลัง


 


 


“อ้า…”


 


 


เทพมังกรดื่มเลือดจนพอแล้วจึงปล่อยถังเฉียน นางรู้สึกหน้ามืดจนเกือบเป็นลมล้มลง ยังดีที่หวังหลงซึ่งอยู่ด้านหลังรู้สภาพนางจึงยื่นมือมาประคองนางไว้ พยุงให้นั่งพักอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่ง


 


 


แผลบนแขนถังเฉียนหายไปแล้ว นางหลับตาพักผ่อน ใช้ไอทิพย์เล็กน้อยในร่างโคจรรอบร่างกายหนึ่งรอบ พอทำเช่นนี้แล้วก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติ


 


 


“ท่านหมอ ที่แท้ก็อาศัยเลือดท่านมาเลี้ยงเทพมังกร ท่านต้องระวังสุขภาพด้วย อย่าทุ่มเทชีวิตจนเกินไปเด็ดขาด”


 


 


หวังหลงนึกถึงที่นางยังเยาว์วัยมากก็รู้สึกสงสาร แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กลับต้องถ่ายเลือดที่นี่ทุกวัน ไม่เคยมาสายหรือพร่ำบ่นแม้แต่วันเดียว หรือนางไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกกลัวเลยหรือ


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าเคยชินแล้ว ยังดีที่อาจารย์สอนวิธีที่จะฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นคงทนให้มันกินทุกวันอย่างนี้ไม่ไหวจริงๆ”


 


 


ถังเฉียนรู้สึกดีขึ้นบ้าง จึงลุกขึ้นปัดเสื้อผ้า แล้วยกฝาขึ้นปิดหม้อทองคำ มองดูเทพมังกรที่ขดตัวอยู่ในนั้น ยิ้มแล้วพูดว่า


 


 


“ท่านเทพ หงอนแดงของท่านมีสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆ อาจารย์บอกว่ารอให้หงอนกลายเป็นสีม่วงแดงก็ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้ใกล้แล้ว ท่านอดทนหน่อยนะ”


 


 


ถังเฉียนพูดปลอบแล้วปิดฝา งูมังกรตัวนี้ยาวเท่ากับแขนข้างหนึ่ง ใหญ่เท่าแขนผู้ชายเท่านั้น เถิงเสวี่ยบอกว่านี่เป็นลูกงูที่เกิดจากแม่งูมังกรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เลือกลูกแห่งเทพมังกรที่แข็งแรงที่สุดมา เพราะมีเพียงลูกงูที่แข็งแรงที่สุดจึงจะใช้ทำพิธีบวงสรวงที่ยิ่งใหญ่นี้ได้


 


 


ถังเฉียนเหยียดเอวแหงนมองซ้ายขวา นางพูดกับหวังหลงว่า


 


 


“ถ้ามันอยู่ในนั้นไม่เชื่อฟัง เจ้าก็ร้องเพลงให้มันฟัง มันคิดถึงแม่ ร้องให้อ่อนโยนหน่อย”


 


 


พอหวังหลงได้ฟัง ควงตาที่โตก็เบิ่งกว้าง แล้วพูดว่า


 


 


“ข้าเป็นคนนิสัยหยาบกร้านเช่นนี้ จะร้องเพลงเป็นได้อย่างไร ท่านหมอ อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย ให้พวกเราเฝ้ายามก็พอจะไหว เดินทัพสู้รบก็ยังได้ แต่เรื่องร้องเพลง ทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ…”


 


 


ถังเฉียนพยักหน้า นางไม่ฝืนใจ เพียงแต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า


 


 


“ถ้าเจ้าร้องเพลงไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ถ้ากลางคืนมันเลื้อยออกมาขดรอบตัวเจ้า เจ้าพยายามอย่าหายใจ อย่าใจเต้น ไม่อย่างนั้นมันจะเข้าใจว่าเจ้าไม่ใช่แม่ของมัน คิดว่าเจ้าเป็นอาหารแล้วก็จะกลืนเจ้าลงไป”


 


 


หวังหลงหน้าซีดเผือดทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ แล้วขยับยืนห่างจากหม้อทองคำใบนั้น ถังเฉียนเห็นท่าทางหวาดกลัวของเขาก็หัวเราะ


 


 


“เจ้าเชื่อที่ข้าพูดหรือ ฮ่าฮ่า ข้าล้อเจ้าเล่นต่างหาก”


 


 


หวังหลงเพิ่งถอนหายใจ เทพมังกรก็แลบลิ้นแปลบๆ เสียงดังซู่ๆ ทำให้หวังหลงตกใจจนเสียวสันหลัง


 


 


ฮ่าฮ่าฮ่า…


 


 


ถังเฉียนหัวเราะอย่างสบายใจ ห่างออกไปมีคนเฝ้ามองนางอยู่ น้อยมากที่จะได้ยินเสียงหัวเราะใสราวกับเสียงระฆังเช่นนี้ของนาง บางทีคนที่ซ่อนอยู่ในที่มืดก็ไม่รู้ว่าที่แท้เสียงหัวเราะของนางเป็นเช่นนี้


 


 


“เทพมังกรเลื้อยออกมาแล้ว!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 127 เทพมังกรถูกลักพาตัว


 


 


ถังเฉียนยังคงสนุกอยู่กับการล้อเล่นเมื่อครู่ แต่ถัดมาสีหน้าหวังหลงก็ตื่นตระหนกทันที เพราะเทพมังกรซึ่งที่ผ่านมาทำตัวดี ได้เลื้อยออกมาแล้ว ถังเฉียนรู้สึกว่าที่ด้านหลังของตนมีเสียงขลุ่ยที่เร็วมากดังแว่วมา นางจึงรีบหันไปมอง


 


 


ขณะนั้นเองเทพมังกรก็ชูหัวสีแดงออกมาจากหม้อทองคำ ดวงตาเรียวยาวจ้องมองรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง แลบลิ้นแปล่บๆ แล้วเลื้อยออกมา เลื้อยคืบคลานไปตามผนังศิลาเข้าไปในพงหญ้า ถังเฉียนฟังเสียงขลุ่ยเป่าเป็นเพลงแล้วหันไปมองดูเทพมังกร นางยกฝาปิดออก ในนั้นไม่มีร่างเทพมังกรแล้ว


 


 


“เร็ว เทพมังกรถูกคนลักตัวไปแล้ว เจ้ารีบไปบอกอาจารย์ ข้าจะตามมันไป!”


 


 


ถังเฉียนปล่อยเสี่ยวจินออกมา คราวนี้เสี่ยวจินร่วมมือเป็นอย่างดี มันแปลงร่างเป็นเหมือนหิ่งห้อยทันที บินออกไปพร้อมกับหางที่ส่องสว่าง เทพมังกรเลื้อยไปเร็วมาก ถังเฉียนไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว นางมองตามเสี่ยวจินมุ่งหน้าไปที่เรือนเซียงหานของซูซินเหลียน


 


 


“เหตุใดถึงเป็นซูซินเหลียน”


 


 


เสียงขลุ่ยไพเราะนั้นดังมาจากเรือนเซียงหาน ถังเฉียนยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าเสียงแสบแก้วหู นางมาถึงหน้าประตูใหญ่เรือนเซียงหาน รู้สึกว่าทรวงอกราวกับถูกกดทับ หายใจลำบาก  ปวดหูมาก


 


 


“อะไรกันนี่ เสี่ยวจิน เสี่ยวจิน…”


 


 


ถังเฉียนก้าวเข้ามาในเรือนเซียงหาน แต่ตัวนางทนไม่ไหวกับความรู้สึกหายใจไม่ออก แล้วล้มลงในห้องเล็กด้านข้าง ประตูใหญ่เรือนเซียงหานปิดเข้าหากันดังปัง


 


 


มีคนเดินเข้ามาจากทั้งซ้ายและขวา ตรงเข้ามาหมายจะดึงตัวถังเฉียนขึ้น แต่เสี่ยวจินไม่ยอมให้ใครรังแกได้ง่ายๆ มันทะลวงทรวงอกของคนทั้งสองเป็นรูโบ๋ ถังเฉียนช่วงชิงโอกาส ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดหูตัวเอง แล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งพิงเสาประตูสีแดง


 


 


“ข้าเป็นอะไรไป”


 


 


ขณะที่ถังเฉียนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ก็นั่งขัดสมาธิโคจรไอทิพย์ในตัวพยายามต้านทานการโจมตีจากเสียงขลุ่ย เมื่อนางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้ว จึงอาศัยไอทิพย์หยัดตัวขึ้น เห็นเสี่ยวจินขวางอยู่ข้างหน้านาง ท่าทางดุร้าย เผชิญหน้ากับหญิงในชุดดำทั้งตัว 


 


 


“ซูซินเหลียน ทำไมเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนี้”


 


 


ถังเฉียนมองหญิงตรงหน้า ใบหน้าขาวซีด ดวงตาสองข้าง จมูกและปากมีเลือดไหลออกมา นางเป็นเหมือนนางปีศาจที่เป่าขลุ่ยทำนองเดิมซ้ำไปซ้ำมา ถังเฉียนอยู่ห่างจากนางราวสิบเมตร แต่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าว แล้วเห็นว่าพอซูซินเหลียนหยุดเป่าขลุ่ยก็จะมีเลือดไหลออกมา ร่างนางเหมือนจะยิ่งอ่อนแอลง ส่วนเทพมังกรอยู่ตรงหน้านางนั่นเอง


 


 


ถังเฉียนตะโกนบอก


 


 


“ซูซินเหลียน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถ้าท่านอ๋องรู้ จะไม่ปล่อยเจ้าไว้ รีบหยุดเสีย!”


 


 


ถังเฉียนเห็นเสี่ยวจินดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ นางจึงร้องสั่งในใจว่า


 


 


“เสี่ยวจิน ช่วยหน่อยนะ ช่วยยับยั้งนางด้วย นางกำลังเรียกอะไรมาแน่ๆ…”


 


 


ถังเฉียนเพิ่งคิดถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงนกอินทรีดังมาแต่ไกล แล้วเห็นเงาดำพุ่งทะยานมาทางเทพมังกร ถังเฉียนร้อนใจมาก แต่นางไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ จึงฟันกระบี่ในมือออกไปตรงๆ ฟาดถูกกลางหัวอินทรีดำ มันเจ็บปวด แต่มันบินขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พุ่งเป้ามาที่ถังเฉียน ตรงดิ่งลงมาหานาง


 


 


ถังเฉียนล้มตัวนอนลงไปด้านหลังเพื่อหลบ แล้วใช้มือยันตัวลุกขึ้นอย่างยากเย็น อินทรีดำตัวนั้นบินโฉบไปแล้วย้อนกลับมา ถังเฉียนทำได้เพียงวิ่งหนีไปตามสองข้างของโถงทางเดิน


 


 


“ช่วยด้วย!”



ตอนที่ 128 คงตายแน่


 


 


ถังเฉียนวิ่งหนีมาได้ เสี่ยวจินตามมาข้างๆ นางหลบอยู่หลังเสาสีแดง แต่อินทรีดำตัวนั้นโมโหแล้ว มันบินขึ้นสูง ดวงตาจ้องเขม็งที่ชายเสื้อถังเฉียนที่โผล่ออกมาจากหลังเสา จากนั้นมันก็เปลี่ยนทิศทางบินทะยานพุ่งลงมาทางด้านข้าง ถังเฉียนเหลือบมองเสี่ยวจิน ออกคำสั่งในใจประโยคหนึ่ง นางตื่นเต้นจนเกร็งไปทั้งตัว


 


 


อินทรีดำโฉบเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แทบจะชั่วพริบตาก็จะมาถึงตรงหน้าถังเฉียนแล้ว แต่ก่อนที่มันจะถึงตัว ถังเฉียนก็ล้มตัวกลิ้งไปข้างหน้า พลางคว้าหินก้อนหนึ่งบนพื้น เอี้ยวตัวกลับมาฟาดใส่หัวอินทรีดำที่หลบไม่ทัน


 


 


นางฮึดสู้ ออกแรงสุดกำลัง ใช้หินทุบหัวอินทรีดำแรงๆ หลายครั้ง จนกระทั่งมือนางเปื้อนเลือดสีม่วงดำของมัน


 


 


อินทรีดำถูกทุบจนตาย ซูซินเหลียนก็กระอักเลือดออกมาทันที เสี่ยวจินบินไปจะกัดนาง แต่ซูซินเหลียนเตรียมพร้อมก่อนแล้ว นางวางขลุ่ยในมือลง ล้วงกล่องเล็กใบหนึ่งออมาจากอกเสื้อ แล้วครอบเสี่ยวจินไว้


 


 


“กล่องหยกเวินเซียงหน่วน”


 


 


เดิมทีกล่องนี้เป็นที่อยู่ของเสียวจิน นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคู่ปรับของมันไปเสียแล้ว เพราะเสี่ยวจินไม่สามารถบินออกมาได้


 


 


“อาหรูน่า คราวนี้เจ้าตายแน่”


 


 


ซูซินเหลียนเอ่ยปากพูดแล้ว แต่เสียงนางทั้งหยาบและเ**้ยมราวกับเสียงชายกลางคนที่อัปลักษณ์และบ้าคลั่ง ใบหน้านางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดน่ากลัวมาก


 


 


“คงถูกคนเข้าสิงร่างใช่หรือไม่”


 


 


ที่ผ่านมาถังเฉียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูซินเหลียนแน่ แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของนางช่างน่ากลัวจริงๆ เล็บมือของนางที่งอกยาวออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบกล่องเล็กใบนั้นขึ้นมา ใช้เท้าเขี่ยเทพมังกรออกไป แล้วพุ่งใส่ถังเฉียนทันที


 


 


ถังเฉียนเห็นท่าทางนางเหมือนนางมารร้าย ก็วิ่งหนีทันที นางไม่ใช่คนเซ่อซ่า ทั้งไม่เชี่ยวชาญในการจับผี แต่ไม่รู้ประตูใหญ่เรือนเซียงหานถูกอะไรขัดไว้ นางหนีออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงคอยวิ่งอ้อมหลบหลังเสา แต่นางวิ่งไม่เร็วเท่าซูซินเหลียน ชั่วประเดี๋ยวซูซินเหลียนก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว


 


 


“เจ้าตายแน่!”


 


 


ถังเฉียนมองดูใบหน้าที่ซีดขาวน่ากลัว รวมทั้งเล็บสีดำที่เข้ามาใกล้แล้วเสียบเข้าที่ทรวงอกนาง เจ็บ…


 


 


นั่นเป็นความรู้สึกเดียวของถังเฉียน คราวนี้คงตายแน่แล้ว ใครใช้ให้นางไม่ได้เรื่องเช่นนี้ นางอยากฝึกวิชายุทธ์ แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่ให้โอกาสนาง ให้เวลานางแค่นั้น นี่คงเป็นชะตากรรมของนาง


 


 


ถังเฉียนเห็นเล็บนั่นเข้าใกล้หัวใจตนเองทุกที แต่นางยังไม่อยากตาย ถังเฉียนใช้มือสองข้างดันฝ่ามือที่น่ากลัวนั่นออกไป แม้เล็บจะเสียบทะลุเนื้อนางแล้ว เลือดสดๆ ไหลรินออกมาจากผิวหนังที่ขาวดุจหิมะ หยดลงบนเล็บสีดำ


 


 


“อย่าหวังว่าจะปลิดชีวิตข้าได้ ข้าไม่ยอมแพ้หรอก”


 


 


ถังเฉียนจับหัวแม่มือซูซินเหลียนไว้แน่น ไม่ยอมให้นิ้วมือนางรุกคืบไปข้างหน้าได้


 


 


“เจ้าตายแน่! ข้าจะใช้เจ้าสังเวยเทพมังกรที่ยิ่งใหญ่”


 


 


ถังเฉียนฟังที่พูด แล้วรู้สึกว่าคุ้นมาก มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ จึงถามว่า


 


 


“เจ้าคือใต้เท้าหลี่ เจ้านี่เองที่ควบคุมซูซินเหลียน เจ้าทำอะไรนาง”


 


 


‘ซูซินเหลียน’ ซึ่งอยู่ตรงหน้าถูกเปิดเผยตัวตน มีรอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นบนใบหน้า ท่าทางไม่ยี่หระ บวกกับเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดชวนให้ขนลุกซู่


 


 


“ใช่ เจ้าฉลาดมาก เจ้าทำให้ข้าทำงานใหญ่ให้เทพมังกรไม่สำเร็จ ทำให้ข้ามีสภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างนี้ ข้าย่อมต้องให้เจ้ารู้ความร้ายกาจของข้า จงชดใช้ด้วยชีวิตเถอะ เจ้าเด็กน้อย”


 


 


“อ้า…”


 


 


ใต้เท้าหลี่ออกแรงเพิ่มขึ้น เล็บมือเสียบลึกเข้าไปในร่างถังเฉียนมากขึ้น ความเจ็บปวดเหมือนถูกทิ่มแทงหัวใจทำให้นางส่งเสียงร้องไม่หยุด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 129 ได้รับการช่วยเหลือแล้ว


 


 


ถังเฉียนรู้สึกว่าพละกำลังของตนค่อยๆ อ่อนลงทีละน้อย เม็ดเหงื่อบนหน้าผากไหลลงมาไม่หยุด นางรู้สึกเจ็บปวดมาก ยืนหยัดจนถึงที่สุดแล้ว มือถังเฉียนคลำไปที่มีดสั้นเรียวยาวในอกเสื้อ ในดวงตานางมีประกายอำมหิตผุดขึ้น


 


 


ชั่วขณะที่ถังเฉียนใช้หัวเข่ายันซูซินเหลียนไว้ ปล่อยมือแล้วล้วงมีดสั้นออกมา ใช้การบุกแบบฆ่าตัวตาย แทงมีดใส่ทรวงอกของซูซินเหลียน


 


 


“เจ้า…”


 


 


ชั่วขณะที่มีดสั้นเสียบเข้าร่างซูซินเหลียนนั้น เล็บมือนางก็ปักลึกลงไปอีก ถังเฉียนใช้พละกำลังทั้งหมดที่มียกมีดขึ้นฟันเล็บจนขาดออก เล็บปักเข้าไปลึกมากราวกับฉีกทรวงออกนางออก


 


 


ถังเฉียนถือมีดสั้นนั่งพิงกำแพง มองดูซูซินเหลียนกุมมือตัวเองพลางร้องหวีดด้วยความเจ็บปวด


 


 


ถังเฉียนเห็นท่าทางนาง คิดว่าตนเองยังพอมีหวังที่จะเอาชนะได้ ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แต่ชั่วประเดี๋ยว ซูซินเหลียนก็หันหน้ามา มองดูถังเฉียนด้วยดวงตาที่แดงดุจเลือด


 


 


“เจ้าทำบังอาจลายเล็บข้า เจ้าคิดว่าอาวุธพื้นๆ อย่างนั้นจะทำร้ายข้าได้หรือ ช่างโง่เขลาเสียจริง!”


 


 


ถังเฉียนเห็นบาดแผลซูซินเหลียนที่ดูเหมือนจะไม่ระคายผิวนางเลย นางใจฝ่อลงกว่าครึ่ง ซูซินเหลียนลุกขึ้นยืนช้าๆ เล็บนิ้วมือขวาถูกตัดขาด ไม่ได้งอกออกมาใหม่แต่อย่างใด แต่นางยังมีมือซ้าย นางมองดูซ้ายขวา ร้องหึออกมาแล้วพูดว่า


 


 


“เจ้ารอคนมาช่วยอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องรอแล้ว ข้าจัดวางที่นี่เป็นเขตต้องห้าม ต่อให้เข้ามาได้ก็เป็นคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ใครหน้าไหนก็ช่วยเจ้าไม่ได้”


 


 


ถังเฉียนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ นางหวังยังรอที่จะให้อาจารย์มาช่วย แต่คำพูดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้ตัดความหวังสุดท้ายของนางลงไปแล้ว


 


 


“เจ้าตายแน่!”


 


 


ใบหน้าซูซินเหลียนเผยความโหดเ**้ยมอำมหิตออกมา มือซ้ายกลายเป็นกรงเล็บ เล็บมือห่อเข้าหากัน ราวกับลิ่มพุ่งเข้ามาหาถังเฉียน


 


 


แต่ครั้งนี้ถังเฉียนไร้เรี่ยวแรงที่จะหลบหลีก นางดิ้นรนจะยืนขึ้น แต่ร่างที่ทรวงอกยังมีเลือดไหลรินกลับไม่ยอมฟังคำสั่งนาง


 


 


เล็บยังคาอยู่ในร่างนาง บาดแผลไม่อาจปิดได้ ขณะนี่นางทำได้เพียงมองดูความตายขยับเข้าใกล้ตัวนางทีละน้อย


 


 


ฮ่าฮ่า…


 


 


ในชั่วพริบตานั่นเองถังเฉียนก็เห็นกระบี่สีดำเล่มหนึ่งแทงใส่ฝ่ามือซูซินเหลียน ถังเฉียนเห็นเล็บที่อยู่ตรงหน้ากำลังทิ่มแทงใส่หน้ากากนาง ทำให้หน้ากากบุปผาทองอันใหม่แยกออกเป็นสองเสี่ยง นางมองดูกระบี่สีดำตรงหน้า นั่นคือกระบี่ทะลุตะวัน


 


 


“หมอผีน้อย ข้าไม่ได้สอนเพลงกระบี่อย่างนั้นให้เจ้า ตั้งใจดู!”


 


 


ฉู่จิ่งเหยาไม่ได้มองมาที่นาง ใบหน้าด้านข้างภายใต้แสงจันทร์ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ นางเห็นฉู่จิ่งเหยางอแขนแล้วฟันแขนซูซินเหลียนขาด กระบี่วาดขึ้นข้างบน ซูซินเหลียนร้องครวญครางแล้วถอยกรูทันที รอดตายแล้ว…


 


 


ถังเฉียนมองดูแผ่นหลังฉู่จิ่งเหยา สายตานางเลือนรางขึ้นทุกที นางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว


 


 


ดาบทะลุตะวันของฉู่จิ่งเหยาฟันศีรษะซูซินเหลียนขาดสะบั้น คาถาสกัดที่ประหลาดรอบๆ สลายไปทันที ทำให้เถิงเสวี่ยสามารถเข้ามาได้ พอได้เห็นภาพตรงหน้าแล้วก็รีบปรี่เข้าไปช่วยถังเฉียนทันที


 


 


ฉู่จิ่งเหยาอุ้มถังเฉียนเข้าไปในห้องซูซินเหลียน แต่พบว่าในห้องของนางมีซากศพเกลื่อนพื้น รวมถึงร่างของซูซินเหลียนและหงซี แล้วเช่นนั้นเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน


 


 


ฉู่จิ่งเหยายังคงงุนงง แต่แล้วเขาก็ถูกผลักออกไป เพราะเถิงเสวี่ยและฮว่าเหยียนจะรักษาอาการบาดเจ็บของถังเฉียน


 


 


ถังเฉียนเหมือนเดินวนรอบด่านประตูผีรอบหนึ่ง นางฝันซ้ำๆ ไปมาว่าตัวเองกำลังเล่นว่าวอยู่นอกเมืองเจาหยาง ว่าวนั้นติดคาอยู่บนต้นไม้ นางไม่สามารถเอาลงมาได้เอง จนกระทั่งมีคนร่างสูงใหญ่อุ้มร่างของนางขึ้น นางจึงสามารถเอาว่าวลงมาจากต้นไม้ได้


 


 


ถังเฉียนจำได้เพียงว่าคนผู้นั้นขายาวมาก ร่างสูงใหญ่ บนร่างมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ แม้เขาจะใช้กลิ่นสมุนไพรหอมกลบไว้ แต่ถังเฉียนยังรู้ได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ เมื่อครู่ขณะที่อุ้มนาง ทำให้ปากแผลฉีกออก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม