ลำนำสตรียอดเซียน 116-122

ตอนที่ 116 การพบเจอ

 

เทพผู้ฝึกตน!


 


 


ฉินซีจ้องมองไปยังชายสองคนด้านหน้าเขา ความประหลาดใจของเขามีมากเกินกว่าการระมัดระวัง ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินจากท่านอาจารย์ของเขาว่าเทพผู้ฝึกตนนั้นมีอยู่บนโลกนี้ คนเหล่านั้นก็ได้เก็บตัวเงียบเป็นเวลานานแล้ว เกือบจะหนึ่งพันปีแล้วตั้งแต่ที่มีคนเคยพบเจอพวกเขาสักคนหนึ่ง เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอทั้งสองคนในคราวเดียว!


 


 


จงมู่หลิงเงยหน้ามองฉินซี เขาพูดด้วยตาที่หรี่ลง “ไอ้หนู หลายวันก่อนข้าอารมณ์ดีและปล่อยเจ้าไป วันนี้เจ้ากลับเข้ามาที่ม่านพลังทำไมอีก”


 


 


เมื่อได้ยินคำถามนั้น ฉินซีก็รีบตั้งสติดึงตัวเองออกจากภาวะงุนงง เขาคารวะชายทั้งสองพร้อมพูดว่า “ท่านพี่โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่เจตนาจะรีบเข้ามาที่ม่านพลัง ข้าน้อยมาเพื่อตามหาใครบางคน”


 


 


“ตามหาใครบางคน?” หยวนเป่าพินิจพิเคราะห์ชุดคลุมที่ฉินซีสวมใส่อยู่และถาม “เจ้ากำลังตามหาใคร”


 


 


ฉินซีตอบด้วยความเคารพ “ข้าน้อยเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนซิง มาตามหาสหายศิษย์ด้วยกัน ในเมื่อข้าน้อยเข้ามาที่ม่านพลังนี้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ข้าน้อยหวังว่าท่านจะให้อภัย”


 


 


หยวนเป่าและจงมู่หลิงหันมองหน้ากันเอง ทั้งคู่ต่างเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


เมื่อเห็นว่าชายผู้นี้กล้าเสี่ยงชีวิตรีบเร่งเข้ามาในม่านพลังเพื่อสหายของเขาและในเมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่มีให้โดยที่ไม่มีแม้แต่เจตนาจะประจบประแจงพวกเขา จงมู่หลิงก็ค่อนข้างประทับใจชายผู้นี้ เขาปรับน้ำเสียงให้ดูอ่อนโยนขึ้น “มีคนที่อยู่ที่นี่กับข้า แต่ข้าไม่รู้ว่าใช่คนที่เจ้าตามหาอยู่หรือไม่ เจ้าจงบอกชื่อมาก่อน”


 


 


ฉินซีได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ทันทีว่าโม่เทียนเกอจะต้องอยู่ที่นี่ เพราะเขารู้สึกได้ว่าท่านพี่ทั้งสองคนนี้ค่อนข้างเป็นมิตร เขาจึงพูดเข้าประเด็นในทันที “คนที่ข้าน้อยกำลังตามหาชื่อว่าโม่เทียนเกอ ไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกับที่ท่านพี่ทั้งสองรู้จักหรือไม่”


 


 


มุมปากจงมู่หลิงยกขึ้นเล็กน้อย เขามองที่ฉินซีด้วยท่าทางครุ่นคิดและพูด “เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับนางถึงยอมที่จะเผชิญกับอันตรายที่ใหญ่หลวงเพียงเพื่อช่วยนาง”


 


 


ฉินซีตอบ “ในฝ่ายของพวกเรา ข้าน้อยคือผู้อาวุโสของนาง ย่อมต้องเสียสละและพยายามช่วยนางเป็นแน่แท้”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” จงมู่หลิงชำเลืองมองดูที่เขาและโบกมือ กระบี่สีทองลอยข้ามมาตกที่มือของเขา เขาพูด


 


 


“กระบี่อัคนีสามพลังหยาง… ไม่นึกเลยว่าจะมีคนที่ขัดเกลามันในที่สุด”


 


 


ฉินซีสะดุ้งตกใจ ก่อนเอ่ยถาม “ท่านพี่รู้จักกระบี่นี้หรือขอรับ”


 


 


จงมู่หลิงทำเสียงฮึดฮัดพร้อมโบกมือ โยนกระบี่อัคนีสามพลังหยางคืนให้ฉินซี “ข้าเคยเห็นมันในบันทึกการฝึกตนมาก่อน เจ้านี่โชคดีอย่างคาดไม่ถึงทีเดียวที่เจ้าได้ครอบครองอาวุธวิเศษในยุคอดีตอันไกลโพ้นเช่นนี้”


 


 


ข้างกายเขา หยวนเป่าหัวเราะเบาๆ พร้อมพูด “อาหลิง เมื่อเทียบกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางในร่างกายของเขาแล้ว กระบี่อัคนีสามพลังหยางนี้ด้อยไปเลย แหม ลูกประคำวิญญาณพลังหยาง… ข้าไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้มีโชคแบบไหนเขาถึงได้ครอบครองสมบัติที่มีค่ามหาศาลเช่นนี้ หากข้ามีลูกประคำวิญญาณพลังหยาง คงไม่ติดอยู่ในจุดเริ่มต้นของดินแดนแห่งเทพเจ้านานนัก!” ยามที่พูด เขาก็ยังคงเหลือบมองไปทางฉินซีอย่างต่อเนื่อง


 


 


แม้ว่าเจตนาที่หยวนเป่าจ้องมองฉินซีนั้นทำให้เขาขนลุก แต่ฉินซีรู้ว่าเขาไม่มีค่าอะไรนอกจากเป็นเพียงแค่มดต่อเทพผู้ฝึกตนเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาต้องการที่จะทำอะไร เขาไม่สามารถต่อต้านได้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงรีบสงบลง


 


 


“ท่านพี่ช่างสายตาเฉียบคมยิ่งนัก ในร่างกายข้าน้อยมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอยู่จริง ข้าน้อยได้ครอบครองมันเมื่อหลายปีก่อน ภายหลังจากที่ผ่านมาหลายปี ข้าน้อยเพิ่งจะสามารถควบรวมเข้ากับร่างกายและใช้มันได้ขอรับ”


 


 


ความสงบนิ่งของฉินซีทำให้หยวนเป่าประหลาดใจ ผู้ซึ่งหลังจากนั้นหันไปทางจงมู่หลิงและพูดด้วยเสียงหัวเราะ “อาหลิง เขามีจิตใจที่แข็งแกร่งเทียบได้กับเจ้าทีเดียว”


 


 


จงมู่หลิงพูดอย่างแผ่วเบา “อย่าคิดว่าทุกคนจะต้องเหมือนกับเจ้าสิ”


 


 


ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเบา แต่คำพูดที่ดูถูกของเขานั้นชัดเจน หยวนเป่ารับรู้ได้ถึงสิ่งนั้นและรีบตะโกนออกมา “นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”


 


 


“ข้าไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น” จงมู่หลิงพูดด้วยท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น โดยที่ไม่รอการตอบโต้กลับของหยวนเป่า เขาหันกลับไปทางฉินซีและพูดว่า “น้องชาย ด้วยความเคารพที่มีต่อกระบี่อัคนีสามพลังหยาง ข้าจะให้เจ้าได้พบกับคนที่เจ้ากำลังตามหาหากเจ้าออกไปจากม่านพลังนี้”


 


 


ฉินซีไม่ทันได้มีโอกาสตอบ หลังจากที่เขาพูดจบ จงมู่หลิงโบกมือของเขาในทันทีและหายตัวไปพร้อมกับหยวนเป่า


 


 


ฉินซีได้แต่จ้องมองธารน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าของเขา เขาขมวดคิ้วติดกันแน่น เขาต้องการที่จะถอนหายใจ แต่เขาก็จับที่หน้าอกและกระอักเลือดออกมาในทันที


 


 



 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเปิดประตูเข้ามามองเห็นชายผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น นางก็ต้องงุนงง


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน!”


 


 


นางไม่รู้ว่าจงมู่หลิงผู้ที่กำลังให้ความสนใจต่อทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในกระท่อมกำลังขมวดคิ้ว หลังจากช่วงเวลาแห่งการตกตะลึง นางก็รีบเดินเข้าไปหาฉินซี


 


 


จากที่จงมู่หลิงพูด นางเข้าใจว่าคนที่มาตามหานางคือท่านอาจารย์โส่วจิ้ง ในขณะนั้น นางก็คิดว่านางจะได้เจอกับท่านอาจารย์โส่วจิ้งที่มีชื่อเสียงผู้ซึ่งนางไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่นางก็ต้องประหลาดใจ แท้จริงแล้วคือศิษย์พี่ฉินนี่เอง!


 


 


เมื่อเห็นฉินซี นางทั้งรู้สึกโล่งใจและเป็นกังวล นางโล่งใจเพราะตอนนี้ฉินซีอยู่ตรงหน้านางและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต นางรู้สึกเป็นกังวลเพราะตอนนี้เขาไม่ขยับตัว ใบหน้าเขาซีดเผือด ดวงตาปิด มือเท้าเย็นชืด ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงนาง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาบาดเจ็บสาหัส


 


 


โม่เทียนเกอจับมือของเขาไว้ เมื่อรู้ว่ามือของเขานั้นเย็นแค่ไหน นางก็รีบเรียก “ท่านบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่! เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์พี่ฉินหรือเจ้าคะ”


 


 


หลังจากความเงียบครู่หนึ่ง เสียงของจงมู่หลิงก็ตอบมา “พลังงานเริ่มต้นของเด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บในม่านพลังมายานภา เจ้าไม่ต้องกังวลไป รากวิญญาณธาตุทองกับธาตุไฟของเขานั้นมีพลังแห่งหยาง เมื่อรวมกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางภายในร่างกายของเขาแล้ว น้ำแข็งและหิมะไม่สามารถทำร้ายเขาได้ ตอนนี้กล้ามเนื้อและเส้นเลือดของเขาถูกแช่แข็งไว้ เขาจะตื่นขึ้นมาเองในอีกไม่ช้า”


 


 


“โอ้…” เมื่อได้รับการรับรองจากจงมู่หลิง โม่เทียนเกอก็ถอนใจอย่างโล่งอกในที่สุด พอเห็นฉินซีไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว โม่เทียนเกอก็ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจนั่งข้างๆ เขา


 


 


คิ้วของฉินซีตอนนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง โม่เทียนเกอเดาว่าน่าจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากม่านพลังน้ำแข็งทำลาย คล้ายกับม่านพลังทะเลทรายทำลายที่นางเผชิญ แต่ทำไมศิษย์พี่ฉินถึงอยู่ที่นี่?


 


 


“ท่านบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่!” นางเรียกอีกครั้ง


 


 


“อื้อ”


 


 


“ท่านสามารถช่วยศิษย์พี่ฉินได้หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


จงมู่หลิงหยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดอย่างหงุดหงิด “ช่างมีปัญหาเสียจริง! เขาจะไม่เป็นอะไรหลังจากที่เขาปรับลมหายใจของเขาระยะหนึ่ง!”


 


 


“แต่…”


 


 


“เงียบ! เจ้านี่เสียงดัง! เจ้าก็เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ ก็พอ”


 


 


“โอ้…” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจงมู่หลิงไม่ได้เต็มใจนัก โม่เทียนเกอจึงไม่กล้าที่จะถามต่อและเพียงแค่ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ ด้านข้างคอยมองมาที่ฉินซี


 


 


หลายวันที่ผ่านมา นางได้รับโอกาสมากมายที่ทำให้นางลืมเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกไปชั่วคราว ตอนนี้เมื่อนางเจอฉินซี นางก็ได้แต่เพียงสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่นางจะหลุดเข้ามาในม่านพลัง เกิดอะไรขึ้นกับหลัวเฟิงเสวี่ย ผู้ที่กำลังคุยอยู่กับศิษย์พี่รองเว่ย? หลัวเฟิงเสวี่ยจะสามารถโน้มน้าวศิษย์พี่รองเว่ยได้หรือไม่ พวกเขาจะทำอย่างไรถ้าโน้มน้าวศิษย์พี่รองไม่สำเร็จ พวกเขาจะเป็นอะไรไหม


 


 


เปลือกตาฉินซีขยับเล็กน้อยก่อนเขาจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าที่มีความสุขกำลังยิ้มให้เขา


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน ในที่สุดท่านก็ฟื้น”


 


 


ฉินซีหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากที่ลมหายใจของเขาค่อยๆ สงบนิ่ง เขาจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เทียนเกอ เจ้าเป็นอะไรไหม”


 


 


หัวใจโม่เทียนเกอสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งแรกที่ฉินซีพูดหลังจากฟื้นขึ้นมาคือการถามถึงนาง อย่างไรก็ตามด้วยท่าทางปกติของนาง นางยิ้มและตอบ “ข้าไม่เป็นอะไร แล้วท่านล่ะ”


 


 


“ข้าก็ไม่เป็นอะไร ข้าเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ข้าคงดีขึ้นหลังจากที่ได้พักฟื้นหลังจากที่เรากลับไป”


 


 


ในขณะที่เขามองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉินซีพยายามยืนขึ้นพร้อมพูด “ที่นี่คือ…” ในสถานที่ที่พลังงานทางจิตวิญญาณนั้นเข้มข้น นี่เป็นสถานที่แบบไหนกัน ถ้ำเซียนของเขาตั้งอยู่ในจุดที่พลังงานทางจิตวิญญาณเข้มข้นที่สุดในภูเขาไท่กังและมันก็ครบครันในทุกสิ่งด้วยม่านรวมพลังวิญญาณระดับสูง แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อย


 


 


“พวกเราอยู่ที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน”


 


 


“โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน?” ฉินซีขมวดคิ้วในขณะที่ครุ่นคิดว่าเขาเคยได้ยินคำนี้จากที่ไหนมาก่อน


 


 


โม่เทียนเกอจึงรีบพูด “ศิษย์พี่ฉิน ท่านอย่าคิดมากเลย ที่แห่งนี้เป็นถ้ำเซียนของศิษย์พี่หยวนเป่าและบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งข้า มันจะไม่มีปัญหากับพวกเราอย่างแน่นอน”


 


 


“บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่”


 


 


“ถูกต้องแล้ว” โม่เทียนเกอพยักหน้าและอธิบายต่อ “ข้าเองก็ตกใจเช่นกันตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ ท่านบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของข้าคือแซ่จง และชื่อของท่านคือมูหลิง ท่านยังเป็นผู้ครอบครองที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน”


 


 


“…” เป็นเจ้าของที่แห่งนี้… นั่นหมายถึง เทพสองคนนั้น? เมื่อเขานึกมาถึงจุดนี้ สายตาฉินซีล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน “บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” นั่นหมายถึง ปู่ของปู่นางหรือ แต่ช่วงชีวิตของผู้ฝึกตนนั้นยาวนาน พวกเขาน่าจะมีผู้สืบทอดหลายชั่วอายุคน แล้ว “บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่” ก็มักจะถูกใช้โดยผู้สืบทอดที่มีสายเลือดเดียวกันโดยตรงเพื่อกล่าวถึงบรรพบุรุษผู้ที่ไม่ได้มีตำแหน่งที่แน่ชัดในชั้นวงศ์ตระกูล นั่นหมายความว่าหนึ่งในท่านเทพสองคนนั้นมีสายเลือดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโม่เทียนเกอเช่นนั้นหรือ


 


 


ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกอารมณ์เสียทันที ขณะที่เขากำลังจัดลำดับความคิดที่สับสน โม่เทียนเกอพูด “ข้าจะบอกท่านเกี่ยวกับรายละเอียดหลังจากที่เรากลับไป ศิษย์พี่ฉินท่านไม่เป็นไรจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


ฉินซีพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร อย่าได้กังวลไป ข้าเพียงแค่ต้องปรับลมหายใจสักระยะหนึ่งและบาดแผลของข้าก็จะไม่เป็นอะไร เจ้าต่างหากที่น่าเป็นกังวล เจ้าได้รับบาดเจ็บอะไรไหม”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะพร้อมพูดว่า “ไม่เพียงแต่ข้าไม่บาดเจ็บ แต่ข้ายังได้ครอบครองผลประโยชน์ตั้งหลายอย่าง”


 


 


“หืม?”


 


 


โม่เทียนเกอปล่อยกำลังของนางในขณะที่จ้องมองฉินซีด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นนางจึงถาม “ศิษย์พี่ฉิน ข้ามีอะไรที่แตกต่างไปบ้าง”


 


 


ฉินซีตะลึงงันเมื่อเขาสัมผัสถึงกำลังของนาง เขาพูด “นี่เจ้าเข้าสู่ระดับกลางแล้วอย่างนั้นหรือ”


 


 


“อื้อ” โม่เทียนเกอพยักหน้าอย่างรื่นเริง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับผลไม้ห้าวิญญาณแต่การที่ได้ครอบครองศาสตร์แห่งต้นกำเนิดและเข้าสู่ระดับกลาง มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปกปิดได้ถ้านางกลับไปถึงโรงเรียนเสวียนชิง ดังนั้นมันคงจะดีกว่าที่จะพูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมา


 


 


นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานน้อยกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาแต่นางสามารถก้าวเข้าสู่ระดับกลางได้แล้วตอนนี้… แม้ด้วยโอกาสในชะตาลิขิตของเขาเอง ฉินซียังคงตกตะลึงในความโชคดีของโม่เทียนเกอ อย่างไรก็ตามเมื่อเขานึงถึงเทพผู้ฝึกตนทั้งสองคน เขาก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขาจึงยิ้มและพูด


 


 


“การที่เข้าสู่ระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วยอายุของเจ้าในตอนนี้… เจ้าอาจจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ในโรงเรียนเสวียนชิงคนแรก อืม ถ้าเจ้าขยันหมั่นเพียร อาจจะเป็นไปได้สำหรับเจ้าที่จะก่อแก่นขุมพลังภายในอีกร้อยปี”


 


 


“ข้าไม่กล้าที่จะมั่นใจขนาดนั้นว่าข้าจะสามารถก่อแก่นขุมพลังได้ แต่ข้าจะถือว่าคำพูดของท่านคือคำอวยพรแล้วกัน หวังว่ามันจะเป็นจริง” แล้วนางก็นึกถึงสิ่งหนึ่งออกจึงพูด “จริงสิ! ศิษย์พี่ฉิน ท่าน… ท่านมาตามหาข้าหรือ”


 


 


“อื้อ” ฉินซีพยักหน้าและพูดต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้าหายไปแถวๆ นี้ ข้าก็เลยมาตรวจสอบดู”


 


 


“จริงหรือ ศิษย์พี่ฉิน ท่านไม่ได้หายตัวไปพร้อมกับท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอย่างนั้นหรือ แล้วท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งล่ะ”


 


 


ฉินซีนิ่งเงียบแต่ไม่นานก็พูดออกมา “พวกเราไม่เป็นอะไร พวกเราเป็นห่วงเจ้ามากกว่า เจ้าบอกว่าที่นี่คือถ้ำเซียนของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าใช่ไหม เจ้าหมายถึงหนึ่งในท่านพี่ทั้งสองหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดเชิงขอโทษ “ศิษย์พี่ฉิน ข้าขอโทษท่านด้วย หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ท่านก็คงไม่บาดเจ็บ…”


 


 


“อย่ากังวลไปเลย” ฉินซีส่ายหัวและพูดต่อว่า “อาการบาดเจ็บของข้าไม่ได้รุนแรงเลย เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก ว่าแต่ แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ ในเมื่อบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้าเป็นเทพผู้ฝึกตน นี่เจ้า… บางทีเจ้าอาจจะอยู่ที่นี่เลยใช่หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหัวและพูด “ไม่แน่นอนอยู่แล้ว ศิษย์พี่ฉิน ท่านเพิ่งฟื้น ทำไมท่านไม่ปรับลมหายใจของท่านต่ออีกครู่หนึ่งก่อน อย่างไรก็ตาม บางเรื่องจำเป็นต้องใช้เวลาในการพูดคุยกัน หลังจากหลายวันผ่านไป พวกเราค่อยออกไปจากที่นี่และข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง”


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ หัวใจของฉินซีก็คงที่ เขายิ้มและพูด “ตกลง สถานที่นี้เต็มไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราก็ไม่ควรที่จะทิ้งให้เสียของ พวกเราค่อยคุยกันหลังจากกลับไปแล้วกัน”


 


 


“อือ ท่านควรที่จะพักฟื้นต่อ ข้าจะไม่กวนท่านแล้ว”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอออกจากกระท่อมไป ฉินซีก็ล้มลงบนเสื่อสวดมนต์ เขาไม่ทันได้มีเวลาที่จะถอนหายใจเพราะทันใดนั้น พายุก็โหมกระหน่ำเข้าใส่ ไม่ทันที่จะมีเวลาให้เขาได้เตรียมตัว ร่างกายของเขาถูกโจมตี พลังงานทางจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขาไม่สามารถควบคุมได้ส่งผลให้เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งหนึ่ง


 


 


เสียงจงมู่หลิงดังอยู่ด้านในกระท่อม “เจ้าต้องการอะไรจากการที่เจ้าปิดบังตัวตนของเจ้ากับนาง หากเจ้าไม่อธิบายออกมาให้ชัดเจน อย่ามาโทษข้าที่จะปลิดชีวิตเจ้า!” 

 

 


ตอนที่ 117 โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน

 

โม่เทียนเกอเดินออกจากกระท่อม ก็สังเกตเห็นจงมู่หลิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ข้างบ่อน้ำ เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปหาเขาอย่างแผ่วเบาจากนั้นทำความเคารพเขา “ท่านบรรพบุรุษ”


 


 


หลังจากผ่านไปนาน จงมู่หลิงก็ขยับตัวในที่สุด เขาเหลือบมองนางและพูดว่า “เจ้าอยู่ที่นี่มาเจ็ดวันแล้ว ตอนนี้เจ้าควรไปได้แล้วล่ะ”


 


 


“…” โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงตอบว่า “ท่านบรรพบุรุษมีคำแนะนำอื่นอีกไหมเจ้าคะ”


 


 


“เจ้ามีชะตากรรมของตัวเอง ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าคอยสั่งสอน” เขาพูดอย่างเรียบเฉยก่อนจะเหวี่ยงแขนเสื้อ ทำให้กระเป๋าเอกภพปรากฏขึ้นบนโต๊ะไม้ข้างๆ ตัวพวกเขา “ข้าทำการขัดเกลาจี้ซ่อนวิญญาณของเจ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่เจ้าใส่มันไว้ เจ้าจะไม่เป็นอะไรต่อให้เจ้าแสร้งทำว่าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ตาม”


 


 


“ขอบพระคุณท่านบรรพบุรุษมากเจ้าค่ะ” โม่เทียนเกอรับกระเป๋าเอกภพมา วิชาซ่อนลมปราณของนางอย่างดีที่สุดก็แค่พอใช้ได้ ดังนั้นด้วยของสิ่งนี้ นางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้นในอนาคต


 


 


อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากจี้เส้นนั้น กระเป๋าเอกภพยังเต็มไปด้วยของอีกมากมายหลายอย่าง


 


 


“ท่านบรรพบุรุษ ของพวกนี้คือ…”


 


 


“เตาไม้สีม่วงคือเตาหลอมยาที่ข้าใช้เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้มันไร้ประโยชน์สำหรับข้าแล้ว ในเมื่อเจ้ากำลังเรียนเรื่องการปรุงยา ข้าจะมอบให้เจ้า ส่วนผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมผืนนั้นคืออาวุธป้องกันวิเศษ แต่ยังสามารถใช้ในการบินได้ด้วย ข้าบันทึกศาสตร์ที่ใช้ในการควบคุมมันไว้แล้วในแผ่นหยกบันทึก เส้นทางแห่งการฝึกตนต้องเดินด้วยตัวเอง ดังนั้นข้าจึงสามารถช่วยเจ้าได้มากสุดเพียงเท่านี้ ไม่ว่าเจ้าจะสามารถก้าวไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ หรือแม้แต่ดินแดนแห่งเทพได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง”


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอเก็บข้าวของทั้งหมด นางก็เกิดความนึกคิดขึ้นมา โชคชะตาระหว่างนางและท่านบรรพบุรุษท่านนี้ถือได้ว่ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เทพผู้ฝึกตนอย่างเขาสามารถใช้เวลากว่าร้อยๆ ปีในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ เขาอาจจะไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลยภายในเวลาพันปีข้างหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกในอนาคตหรือไม่ก็ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน


 


 


“เอาละ ข้าจะไปส่งเจ้าทั้งสอง”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


จงมู่หลิงยกมือขึ้น ก่อให้เกิดจุดแสงสว่างขนาดเท่าเม็ดถั่วปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของเขา ขณะที่เขาขยับปากร่ายมนตร์เงียบๆ จุดแสงสว่างก็สว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ กลายเป็นไข่มุกเม็ดใหญ่ก่อนที่จะตกลงสู่ฝ่ามือเขา


 


 


สายตาโม่เทียนเกอจับจ้องอยู่ที่ไข่มุกเม็ดนั้นพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


 


จงมู่หลิงยังไม่หยุดร่ายมนตร์จนท้ายที่สุดคาถานั้นก็พุ่งตรงเข้าไปยังไข่มุก


 


 


รอยแตกของมิติขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทันที


 


 


“ไป!”


 


 


โม่เทียนเกออยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่นางจะได้โอกาสนั้น ก็เห็นความมืดวาบผ่านตามมาด้วยแสงสว่าง ร่างนางหายไปจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน


 


 


โม่เทียนเกอเหลือบมองด้านบนเพื่อดูรอบๆ ตัว นางอยู่บนยอดเขาและไม่มีอะไรอยู่รอบตัวนางเลย บางทีนางอาจจะออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วก็เป็นได้


 


 


นางอดไม่ได้ที่จะถอนใจและรู้สึกเศร้าด้วยความโหยหา นางยังมีอะไรที่อยากถามจงมู่หลิงอีก…


 


 


“เทียนเกอ?”


 


 


“อือ…” โม่เทียนเกอหันไปเมื่อนางได้ยินเสียงฉินซี ทว่าเมื่อนางทำเช่นนั้น ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


 


ฉินซีดูเหมือนจะยืนอย่างไม่ค่อยมั่นคง ใบหน้าเขาซีดเผือด เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขายังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ท่านบรรพบุรุษบอกว่าอาการของเขาไม่รุนแรง แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


ฉินซีพยุงตัวขึ้น ส่ายหน้าและพูดว่า “เรากลับกันก่อนเถอะ”


 


 


เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมและเรียกหากระบี่บินของเขามาทันที ดึงตัวนางขึ้นไปบนกระบี่จากนั้นจึงบินไปทางผาลั่วเยี่ยน


 


 


จงมู่หลิงเป็นคนรอบคอบ เขาปล่อยพวกเขาลงตรงจุดที่ห่างไกลจากป่า


 


 


สีหน้าฉินซีเคร่งเครียด สายตาโม่เทียนเกอชำเลืองมองเขาแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน


 


 


ในเวลาเพียงไม่นาน พวกเขาก็ลงจอดยังอาณาเขตของผาลั่วเยี่ยน


 


 


ทันทีที่พวกเขาร่อนลง ฉินซีพูดว่า “อย่าพูดเรื่องนี้กับใคร หากมีใครถาม ก็แค่บอกไปว่าข้าห้ามไม่ให้เจ้าพูดอะไร”


 


 


“อ้อ ตกลง…” ถึงแม้ดูเหมือนเขายังอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็ไม่ได้พูด เขาแค่มองไปทางอื่นโดยไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ขณะที่สายตาของนางมองตามร่างของเขาไป จู่ๆ นางก็คิดว่าเขาดูค่อนข้างหดหู่


 


 


แต่ก่อนที่นางจะมีโอกาสได้พูดอะไร พวกศิษย์ที่มีหน้าที่ลาดตระเวนได้เข้ามาหา ในไม่ช้าม่านพลังจึงเปิดออกและทั้งสองคนเข้าไปข้างใน


 


 


หลังจากร่ำลากับฉินซี นางไปตามทางของนางต่อด้วยสีหน้าครุ่นคิด ภาพจงมู่หลิงที่กำลังเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนยังคงติดตรึงในจิตใจของนาง


 


 


ไม่มีคนอยู่ในกระโจมเมื่อนางกลับไป แม้แต่หลัวเฟิงเสวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น


 


 


โม่เทียนเกอนั่งอยู่ในที่นั่งของตัวเอง นางคิดอยู่นานก่อนที่นางจะคลำเข้าไปในกระเป๋าเอกภพและเอาบางอย่างออกมา มันคือไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นของเด็ก มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณและเหมือนกับกับของจงมู่หลิงมาก


 


 


นางได้มันมาจากการฆ่าชายคนนั้นจากกลุ่มอันบนเขาอวิ๋นอู้ ก่อนถึงวันนี้ นางไม่เคยเข้าใจเลยว่ามันมีไว้เพื่ออะไร ดังนั้นนางจึงเก็บมันอยู่ในกระเป๋าเอกภพมาตลอดโดยไม่เคยใช้มัน


 


 


นางไม่รู้ว่ามันเป็นเหมือนกับของจงมู่หลิงหรือไม่ แต่มันก็ดูคล้ายคลึงกับของเขามาก นอกจากนี้ แม้แต่วิธีที่พลังวิญญาณของมันตอบสนองก็ยังเหมือนกันด้วย


 


 


ไข่มุกของจงมู่หลิงได้ถูกหลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขาและเขาใช้มันเพื่อเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ดังนั้นมันจึงน่าจะเป็นอาวุธวิเศษที่เกี่ยวข้องกับโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางสงสัยว่านางจะครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนบ้างได้หรือไม่กับของสิ่งนี้ในมือนาง


 


 


อดไม่ได้ที่จินตนาการของโม่เทียนเกอจะลอยไปไกลแสนไกล จะดีเพียงใดกันหากนางมีถ้ำเซียนที่นางสามารถถือไปไหนมาไหนก็ได้เหมือนอย่างโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเช่นนั้น พืชวิญญาณทุกชนิดเจริญงอกงามได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น นางสามารถพกมันไปกับนางได้ทุกที่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนอื่นเจอเข้า


 


 


ยิ่งนางคิดถึงมันมากเท่าไร ความโหยหาในจิตใจนางก็ยิ่งทนไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น โชคร้ายที่ตอนนางกำลังจะถามให้กระจ่างเกี่ยวกับไข่มุก จงมู่หลิงได้ส่งนางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเสียก่อน บัดนี้นางไม่เหลือใครให้ถามได้แล้ว ถึงแม้ว่านางจะมีมันอยู่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ถอนใจอย่างหมดหนทาง


 


 


ช่วงเวลาของความตื่นเต้นตามมาด้วยช่วงเวลาของความผิดหวัง


 


 


โม่เทียนเกอกำลังจะโยนไข่มุกกลับเข้าไปในกระเป๋าเอกภพเมื่อจู่ๆ นางก็นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่หยวนเป่าพูด


 


 


ครั้งหนึ่งเมื่อหยวนเป่าคุยกับนาง เขาบอกนางว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นอาวุธวิเศษที่มีเจ้าของ นอกจากว่าจิตวิญญาณเริ่มต้นของผู้ครอบครองมันได้หายไปจนหมดสิ้น ไม่มีใครสามารถฉกฉวยมันไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่มันยังรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ มันก็จะไม่หนีไปไหน


 


 


ขณะที่นางคิดเรื่องนี้ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าสู่จิตใจในทันใด นางรวบรวมพลังวิญญาณของนางและทำท่าฟันเบาๆ เกิดเป็นรอยบาดตื้นๆ ที่ปลายนิ้ว


 


 


เลือดเริ่มไหลและนางหยดเลือดหนึ่งหยดลงบนไข่มุก หยดเลือดสีแดงสดค่อยๆ ซึมลงสู่ไข่มุกสีขาววาววับช้าๆ และค่อยๆ หายไปจากบนพื้นผิวของมัน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงอาการปวดหัวฉับพลัน ข้อมูลมากมายเหลือคณาแพร่เข้าสู่จิตใจในชั่วพริบตา


 


 


นางเห็นยุคอดีตอันไกลโพ้นที่แสนป่าเถื่อน สัตว์ป่านกกาหลากหลาย …


 


 


วัตถุวิญญาณแทบทุกชนิด ผู้ฝึกตนและสัตว์ปีศาจ…


 


 


งานเขียนมากมาย รูปภาพนับไม่ถ้วน…


 


 


ทั้งหมดนั้นวาบผ่านสายตาของนางไป นางรู้สึกเหมือนกับนางได้พบเจอกับเรื่องทั้งหมดนั้นมาด้วยตัวเอง ราวกับว่ามีใครบางคนจับเรื่องทั้งหมดนั้นยัดเข้าใส่สมองของนาง


 


 


ความเจ็บปวด


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร บางทีอาจจะผ่านไปนานมากหรือบางทีอาจจะแค่ครู่เดียว ทว่าความเจ็บปวดในหัวของนางค่อยๆ หายไป ในที่สุดเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตานางเบิกโพลงทันที


 


 


บัดนี้นางไม่ได้อยู่ในกระโจมบนผาลั่วเยี่ยนอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกัน มันเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น


 


 


กระท่อมไม้ไผ่มากมายซ่อนอยู่ในป่าไผ่หนาทึบสามารถมองเห็นได้ ลำธารไหลคดเคี้ยวไปสู่ที่ไกล สายลมเย็นโชยเอื่อยพัดพากลิ่นหอมของพืชวิญญาณกระทบจมูกนาง


 


 


ป่าไผ่ กระท่อม ลำธาร สวนสมุนไพร… นางดีใจสุดขีด!


 


 


นี่คือโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน! ต้องเป็นโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแน่!


 


 


โม่เทียนเกอยืนขึ้นจากพื้นทันทีและวิ่งเข้าไปสู่กระท่อมหลังหนึ่ง


 


 


กระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว ชั้นฝุ่นหนาปกคลุมทั่วพื้น แทบจะครอบคลุมทุกสิ่งภายในกระท่อม ถึงอย่างนั้นก็ตาม นางเพียงเสกคาถาเล็กน้อยและทั้งห้องก็สะอาดเอี่ยมในชั่วพริบตา


 


 


มีโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไผ่วิญญาณ เสื่อสวดมนต์หลายผืนกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น และชั้นที่เต็มไปด้วยหนังสืออยู่ตรงมุมห้อง


 


 


โม่เทียนเกอเดินไปทางชั้นหนังสืออย่างแผ่วเบา นางเลือกหนังสือเล่มหนึ่งมาเปิดดู หนังสือเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรโบราณสักอย่างโดยใช้คาถา ทำจากหนังสัตว์ปีศาจบางชนิดที่ยืดหยุ่นแต่ก็แข็งแรง เมื่อนางปิดหนังสือนางรู้สึกแปลก นางไม่มีความสามารถที่จะอ่านตัวอักษรโบราณเยี่ยงนั้น แต่นางกลับเข้าใจมันได้โดยแค่มองเท่านั้น!


 


 


ที่จริงแล้วนางสามารถจำทุกอย่างในห้องนี้ได้


 


 


ขณะที่นางออกจากกระท่อมและเดินไปทั่วป่าไผ่ นางเห็นว่ามีวัตถุวิญญาณหลายอย่างอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ ต้นไม้ ดอกไม้ หญ้า เถาวัลย์ และวัตถุวิญญาณอีกนับไม่ถ้วนกระจุกรวมอยู่ด้วยกัน พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ชั้นแล้วชั้นเล่า นางสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้มีชีวิตอยู่และเติบโตได้ด้วยตัวเองและสร้างภาพทิวทัศน์เช่นนี้มานานแค่ไหนกันแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นอาวุธวิเศษที่อยู่ในพื้นที่ว่างที่ถูกทิ้งไว้จากยุคอดีตอันไกลโพ้น หลังจากสูญเสียผู้ครอบครองมันไป ไม่มีใครเข้าใจว่ามันคืออะไรและจากนั้นมันจึงตกไปเป็นทรัพย์สินของชายจากกลุ่มอันจนกระทั่งสุดท้ายมันตกมาอยู่ในมือนาง หากนางไม่ได้บังเอิญเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิง ก็อาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่านางมีสมบัติพิเศษอยู่ในมือจนกว่านางจะตายไป ยาวิเศษครอบจักรวาลพวกนี้เติบโตมามีค่าเทียบเท่ากับกี่ร้อยกี่พันปีกัน ท่ามกลางพวกนั้นคือพืชวิญญาณที่มีอายุมากกว่าหมื่นปี ต่อให้นางแค่เอามันออกไปเล่นๆ นางก็อาจจะทำให้ทั่วทั้งขั้วท้องฟ้าตกตะลึงเป็นแน่!


 


 


ขณะที่นางลูบหญ้าแห้งทั้งเจ็ดอายุหมื่นปีด้วยมือ โม่เทียนเกอนั่งลงบนพื้นดิน รอยยิ้มกว้างดูงี่เง่าผุดขึ้นบนใบหน้านาง ตั้งแต่นางเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน นางได้ผ่านโชคร้ายมามากและมีชะตาลิขิตแค่เพียงน้อยนิด อย่างไรก็ตาม ในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ นางได้พบกับชะตาลิขิตหลายอย่างติดๆ กันซึ่งยากสำหรับคนทั่วไปที่จะพบเจอได้ตลอดชั่วชีวิตของพวกเขา!


 


 


ศาสตร์แห่งต้นกำเนิด ร่างกายที่ฝึกด้วยห้าวิญญาณ คำแนะนำจากเทพผู้ฝึกตน ของขวัญจากท่านบรรพบุรุษของนาง และแม้แต่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้ด้วย! สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกถึงความสุขเหนือจริงราวกับฝัน


 


 


แต่พืชวิญญาณเหล่านี้เป็นของจริง ดินนี้เป็นของจริง กระท่อมพวกนั้นเป็นของจริง และพลังวิญญาณก็จริงเช่นกัน ด้วยของทั้งหมดนี้ นางยังจะต้องกังวลกับอนาคตของนางอีกหรือ


 


 


หลังจากผ่านไปหลายวินาทีเกินกว่าจะนับได้ โม่เทียนเกอค่อยๆ สงบลง


 


 


ไม่ว่านางจะมีสมบัติวิญญาณมากมายเพียงไร นางก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ตราบใดที่ปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าของนางไม่สมบูรณ์ นางก็ยังไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตนเองได้


 


 


อีกอย่าง การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจก็ยังดำเนินอยู่ ดังนั้นการปกป้องชีวิตของตัวเองจึงยังเป็นเรื่องสำคัญ


 


 


คิดได้ดังนี้ โม่เทียนเกอก็ยืนขึ้น เริ่มสำรวจโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้อย่างตั้งใจ


 


 


โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนทุกใบแตกต่างกัน ในโลกของจงมู่หลิงมีบ้านไม้และบ่อน้ำ แต่ในโลกใบนี้มีกระท่อมไม้ไผ่ ป่าไผ่ และลำธาร ถึงอย่างนั้นพลังวิญญาณในทั้งสองที่ก็ค่อนข้างเหมือนกัน ทั้งคู่ล้วนมีพลังหนาแน่น


 


 


นอกจากนี้ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางได้เปรียบกว่าเมื่อเทียบกับของจงมู่หลิง พืชวิญญาณและวัตถุวิญญาณที่นี่มีจำนวนมาก อย่างน้อยที่สุดพวกมันก็เติบโตมาอย่างอิสระมาหลายร้อยหลายพันปี ในหมู่พืชพวกนี้มีพืชวิญญาณอายุหมื่นปีอยู่นับไม่ถ้วน เติบโตแพร่พันธุ์อย่างต่อเนื่องจนปกคลุมสวนสมุนไพรนี้และขยายออกไปจนเกือบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ ในทางกลับกัน โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิงไม่มีพืชวิญญาณมากเท่านี้ บางทีอาจจะเพราะว่าภายในเวลาหลายพันปีตั้งแต่เขากลายเป็นเทพผู้ฝึกตน เขาก็ได้ใช้และเก็บเกี่ยวพืชวิญญาณบางส่วนไปบ้างแล้ว


 


 


ขณะที่นางกวาดตามองสวนสมุนไพรไม่สิ้นสุดภายใต้ลมเย็นอ่อนๆ โม่เทียนเกอก็อดคิดไม่ได้ว่าครั้งนี้นางต้องเรียนรู้การปรุงยาเสียทีไม่ว่านางจะต้องการหรือไม่ พืชวิญญาณส่วนใหญ่เหล่านี้ไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้ ถ้านางต้องการใช้มัน นางทำได้แค่ปรุงยาด้วยตัวเองเท่านั้น อีกอย่าง ด้วยพืชวิญญาณมากมายขนาดนี้ นางยังจะต้องกังวลเกี่ยวกับพืชที่ต้องเสียไปเพราะความสามารถไม่มากพอของนางอีกหรือ


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น นางสามารถเริ่มรวบรวมสูตรยาโบราณให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในโลกแห่งการฝึกตน ถึงแม้ว่าจะมีสูตรยาโบราณมากมายหลงเหลืออยู่ แต่ส่วนใหญ่นั้นก็ไร้ค่าเพราะพืชวิญญาณจำนวนมากที่จำเป็นต้องใช้ได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้นานแล้ว ผู้คนไม่สามารถปรุงยาวิเศษครอบจักรวาลใดๆ ได้เลยต่อให้มีสูตรยา อย่างไรก็ตาม นางไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหานี้ พืชวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่นี่คงจะถูกปลูกโดยเจ้าของคนก่อนของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนใบนี้ ต้องมีพืชวิญญาณบางอย่างที่นี่ที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการปรุงยาแน่ ถึงแม้การเลือกพืชอาจจะขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง แต่การที่สามารถปรุงยาวิเศษโบราณหลากหลายชนิดได้ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง


 


 


ขณะที่นางคิดถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่มอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าเส้นทางแห่งการฝึกตนของนางเป็นเส้นทางที่สดใสเหลือเกิน 

 

 


ตอนที่ 118 โรงเรียนตานติ่ง

 

ในภายหลัง โม่เทียนเกอได้ยินข่าวน่าประหลาดใจ


 


 


เรื่องแรกผู้ฝึกตนที่ผาลั่วเยี่ยนจะกระจายตัวกัน ในเมื่อสัตว์ปีศาจนั้นล้มเหลวในการที่จะโจมตีพวกเขาบ่อยครั้ง สัตว์ปีศาจที่ฉลาดระดับสูงได้กระจายตัวกันไปรอบๆ และก่อให้เกิดความเสียหายไปทั่ว โดยไม่มีทางเลือก ผู้ฝึกตนจะต้องแยกย้ายกันไปคนละทางเพื่อตามล่าพวกมัน


 


 


เรื่องที่สอง มีข่าวมาจากคุณอู๋ตะวันตก ก่อนที่โรงเรียนตานติ่งจะเปิดใช้ม่านพลังป้องกันขุนเขา สัตว์ปีศาจระดับเก้าได้ทำให้อาณาเขตของพวกเขาแตกออกส่งผลให้ต้องเสียลูกศิษย์ไปหลายคน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขอความช่วยเหลือ


 


 


เรื่องสุดท้าย ท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถทนต่อไปได้ เขาจึงต้องเดินทางกลับไปที่ภูเขาไท่กังเพื่อพักฟื้นรักษาตัว


 


 


หลังจากที่ได้ยินสองเรื่องแรก โม่เทียนเกอตระหนักรู้ในทันทีว่าการจลาจลของสัตว์ปีศาจนั้นได้กลายเป็นความร้ายแรงขนาดไหน สัตว์ปีศาจระดับเก้าซึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับกลางของดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ข่าวสุดท้ายทำให้นางรู้สึกประหลาดใจและความคิดก็ผ่านเข้ามาในหัวของนางเพียงพริบตาเดียว


 


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่นางจะได้คิดถึงสิ่งต่างๆ ให้ละเอียด อาจารย์ลุงเสวียนอินแจ้งนางว่าพวกนางมีอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญ นางและหลัวเฟิงเสวี่ยจะต้องตามเขาไปที่โรงเรียนตานติ่งทันที


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้คาดคิดว่าภารกิจการสนับสนุนโรงเรียนตานติ่งจะตกมาที่พวกนาง ดังนั้นนางจึงรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนางแบบลับๆ ว่าตั้งแต่ที่โรงเรียนตานติ่งโดนโจมตี กลุ่มผู้ฝึกตนหลายกลุ่มได้ส่งคนเข้าช่วยเหลือ จนถึงตอนนี้ สัตว์ปีศาจไม่กล้าที่จะโจมตีพวกเขาเท่าไรนัก ดังนั้นอะไรหลายๆ อย่างค่อนข้างที่จะปลอดภัยสำหรับพวกนาง


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอพิจารณาให้ถี่ถ้วน นางก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล ยิ่งไปกว่านั้นโรงเรียนตานติ่งก็มีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เป็นของตัวเอง พรมแดนของพวกเขาเพียงแค่แตกออกเท่านั้น


 


 


ตั้งแต่ที่นางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางยังไม่มีโอกาสที่จะกลับเข้าไปอีกครั้งเพราะนางมักจะอยู่กับหลัวเฟิงเสวี่ยตลอดการเดินทาง ถึงแม้ว่านางกับหลัวเฟิงเสวี่ยจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สุดท้ายแล้วโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางก็เป็นอาวุธวิเศษที่ท้าทายอำนาจสวรรค์ โม่เทียนเกอมุ่งมั่นว่าจะไม่บอกใครเกี่ยวกับมัน


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาเร่งรีบออกเดินทางเพื่อไม่ให้เสียเวลา


 


 


โรงเรียนตานติ่งตั้งอยู่ใจกลางของคุณอู๋ตะวันตก ไม่ได้ไกลจากโรงเรียนเสวียนชิงมากนัก ถ้าพวกเขาขี่อาวุธวิเศษบินได้ของผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังจากผาลั่วเยี่ยน ก็จะใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่สามถึงห้าวันเพื่อไปถึงที่นั่น


 


 


หลายวันต่อมา กลุ่มของศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังก็เดินทางไปถึงภูเขาเทียนหั่ว [1] ของโรงเรียนตานติ่ง ภายใต้การนำของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอิน จากระยะไกลโม่เทียนเกอสามารถมองเห็นถึงภูเขาที่สูงตั้งตระหง่าน ลาวาที่ลุกเป็นไฟกำลังปะทุไหลออกมาจากภูเขาไฟ


 


 


ตามรายงาน สาเหตุที่โรงเรียนตานติ่งตั้งอยู่ ณ สถานที่นั้นเพราะนี่เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในคุณอู๋ มันเป็นสิ่งที่ต้องรู้ว่านอกเหนือไปจากทักษะแล้ว ส่วนประกอบของไฟเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรุงยาเช่นกัน นอกเหนือไปจากไฟตานเถียน ไฟทางโลกก็เป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดสำหรับการปรุงยาเช่นกัน โดยเฉพาะไฟทางโลกคุณภาพสูง มันสามารถเทียบได้เท่ากับไฟของพระอาทิตย์และดีกว่ามากเมื่อเทียบกับไฟตาน


 


 


เถียนของผู้ฝึกตนระดับล่าง สาเหตุที่ภูเขาไฟนี้ถูกขนานนามว่าภูเขาไฟเทียนหั่วนั้น ตามรายงานได้บอกไว้ว่าเป็นเพราะคุณภาพของไฟทางโลกที่นี่นั้นยิ่งกว่าดีเยี่ยมเสียอีก


 


 


เปลวไฟสีแดงแผ่พุ่งออกมาเป็นช่วงๆ จากภูเขาไฟ สร้างความประหลาดใจให้กับศิษย์หลายคน มีเตาสีดำขนาดมหึมาลอยอยู่ตรงกลางภูเขาไฟ นี่คือสัญลักษณ์ของโรงเรียนตานติ่งซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ปักไว้กับชุดเครื่องแบบของศิษย์ทั่วไปทุกคนของโรงเรียนตานติ่งด้วย


 


 


อย่างไรก็ตาม จากระยะไกลพวกเขาก็บอกได้เลยว่าความเสียหายของโรงเรียนตานติ่งนั้นรุนแรงทีเดียว


 


 


ประตูสูงใหญ่ของอารามล้มคว่ำ สิ่งก่อสร้างรอบภูเขาไฟพังทลาย ลานจัตุรัสของโรงเรียนเต็มไปด้วยเศษอิฐและหยก ศิษย์ของโรงเรียนตานติ่งในชุดคุมสีดำเดินงุ่นง่านไปมา ยังคงมีผู้ฝึกตนที่แต่งตัวในชุดเครื่องแบบของกลุ่มอื่นที่ดูวุ่นวาย จากที่โม่เทียนเกอเห็น ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ และบางคนเป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังแต่ไม่มีผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังแม้แต่คนเดียว


 


 


นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในทุกกลุ่มการฝึกตน ถ้าโรงเรียนเสวียนชิงไม่ได้ปิดผนึกอารามไว้ คนที่จะถูกส่งออกไปจะต้องเป็นศิษย์หลอมรวมพลังวิญญาณและผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังจะต้องเป็นผู้นำพวกเขาอย่างแน่นอน


 


 


สำหรับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลัง พวกเขามีไม่มากนักในกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ พวกเขามีไม่มากพอที่จะปกป้องกลุ่มและตระกูลของเขา ดังนั้นจะส่งพวกเขาให้ออกมาช่วยกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นได้อย่างไร มีเพียงแค่โรงเรียนเสวียนชิงเท่านั้นที่มีการปิดผนึกภูเขามาเป็นเวลานานและมีทักษะประเภทนี้


 


 


ก่อนที่พวกเขาจะถึงม่านพลังป้องกันขุนเขา ลำแสงสว่างวาบขึ้นเหนือภูเขาเทียนหั่ว หลังจากนั้นไม่นานม่านพลังป้องกันขุนเขาก็เปิดออก ผู้ฝึกตนหญิงระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังออกมาพร้อมกับศิษย์อีกหลายคนเพื่อพบพวกเขา


 


 


“ศิษย์พี่เสวียนอิน อภัยให้ข้าด้วยที่ไม่ได้ออกมาตอนรับท่านให้เร็วกว่านี้”


 


 


อาจารย์เต๋าเสวียนอินประกบมือรูปถ้วยทักทายพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องโม่ ไม่จำเป็นต้องทางการนัก พวกเราทำในสิ่งที่พวกเราควรทำ”


 


 


ผู้ฝึกตนหญิงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “คนอื่นต่างวุ่นวายอยู่กับการดูแลตัวเอง มีเพียงโรงเรียนเสวียนชิงที่ส่งผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลังมาที่นี่ ศิษย์พี่เสวียนอิน ข้าขอพูดกับท่านโดยสัตย์จริง ตอนนี้พวกเราขาดผู้ฝึกตนระดับสูง ดังนั้นพวกเรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ท่านมา”


 


 


ด้วยรอยยิ้มเล็กๆ อาจารย์เต๋าเสวียนอินพูด “โรงเรียนของพวกเราคือสหายสนิท พวกเราก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา ศิษย์น้องโม่อย่าได้เกรงใจกัน ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“อนิจจา สถานการณ์ไม่ได้ดีนัก ศิษย์พี่เสวียนอินเชิญท่านมากับข้าก่อน” หลังจากนั้นนางจึงหันไปทางศิษย์ระดับสร้างฐานแห่งพลังด้านหลังนางพร้อมพูด “พวกเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ให้กับศิษย์หลานเหล่านี้จากโรงเรียนเสวียนชิงและห้ามละเลยพวกเขาเด็ดขาด”


 


 


“เจ้าค่ะ/ขอรับ ท่านอาจารย์”


 


 


ขณะที่ผู้ฝึกตนแซ่โม่นำท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินเข้าไปที่โถงหลัก โม่เทียนเกอและกลุ่มศิษย์การสร้างฐานแห่งพลังได้ถูกจัดให้พักชั่วคราวที่ถ้ำเซียนโดยศิษย์คนอื่น เพราะกลุ่มผู้ฝึกตนของพวกเขานั้นมีจำนวนมาก โม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ย หันชิงอวี้ และเว่ยจยาซือได้ถูกจัดให้อยู่ด้วยกัน


 


 


หลังจากพิจารณาถ้ำที่พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันชั่วคราว โม่เทียนเกอรู้สึกมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ มันเป็นเพราะถ้ำนี้มีห้องปรุงยาที่สามารถดึงไฟทางโลกเข้ามาในห้อง การอยู่ที่นี่เหมาะที่สุดสำหรับนางในการฝึกวิชาปรุงยา


 


 


นอกไปจากนั้น ที่นี่คือโรงเรียนตานติ่ง พวกเขาก็จะมีสูตรยาอยู่หลายชนิด ดังนั้นนางจึงมองหาโอกาสที่จะออกไปกับหลัวเฟิงเสวี่ย


 


 


“เทียนเกอ ถ้าเจ้าต้องการสูตรยา เจ้าขอจากท่านอาจารย์ก็ได้ โรงเรียนเสวียนชิงมีเก็บเอาไว้เยอะทีเดียว


 


 


เมื่อเผชิญกับความงุนงงของหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอจึงพูดว่า “ศิษย์พี่หลัว ข้าเป็นคนหนึ่งที่ทำอะไรเต็มที่ ตอนนี้ข้ากำลังศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยา ข้าอยากจะเก็บรวบรวมสูตรยาให้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ ถึงแม้ว่าโรงเรียนเสวียนชิงจะมีสูตรยาอยู่มากมายจริง อย่างไรก็ตามโรงเรียนตานติ่งก็เป็นกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียงด้านการปรุงยา มันจะต้องมีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับมันอยู่แน่นอน ข้าอาจจะค้นพบอะไรที่ดีขึ้นมาก็ได้”


 


 


“ก็จริง…”


 


 


ถึงแม้ว่า พวกเขาจะผ่านหายนะที่ยิ่งใหญ่มา ตลาดนัดของโรงเรียนตานติ่งก็ยังคงเปิดอยู่ปกติ เพราะศิษย์หลายคนบาดเจ็บ เครื่องมือเวทมนตร์ เครื่องราง และสิ่งอื่นสูญหายไปหลายชิ้น ตลาดนัดนั้นกลับเต็มไปด้วยผู้คนอย่างคาดไม่ถึง


 


 


โม่เทียนเกอได้ถามคำชี้แนะมาจากศิษย์ของโรงเรียนตานติ่ง ดังนั้นนางจึงไม่ได้เดินเล่นไปเรื่อยและดึงหลัวเฟิงเสวี่ยไปที่ร้านขายของโดยตรง


 


 


“คารวะอาจารย์ลุงจากโรงเรียนเสวียนชิง เรียนเชิญ เรียนเชิญ!” คนดูแลร้านทักทายด้วยความกระตือรือร้นหลังจากที่พวกนางเดินเข้าไปในร้าน อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ศิษย์หลายคนได้เข้ามาที่โรงเรียนนี้ เขาจึงสามารถจำเครื่องแบบพวกนางได้ เขาส่งชาให้กับพวกนางอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดว่า “ท่านอาจารย์ลุง มีสิ่งใดให้ข้าช่วยท่านหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอไม่เคยได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นเพียงนี้ก่อนที่นางจะพูดอะไรออกไปเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกอึดอัด ในทางกลับกันหลัวเฟิงเสวี่ยสงบนิ่งมาก นางเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิตั้งแต่อายุยังน้อยและนางก็เป็นคนคอยดูแลอีกด้วย ดังนั้นแล้วการประจบประแจงแบบไหนกันที่นางไม่เคยเห็น ประเภทของการดูแลแบบนี้ปกติมากสำหรับนาง เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไร หลัวเฟิงเสวี่ยจึงนำด้วยการพูด “เจ้ามีของดีอะไรที่นี่บ้าง พวกข้าต้องการที่จะซื้อบางอย่างที่มีประโยชน์สำหรับการฆ่าสัตว์ปีศาจ”


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยถาม คนขายก็ยิ้มกว้างในทันที เขาพูด “อาจารย์ลุง เพื่อแสดงถึงคำขอบคุณที่ท่านเข้ามาช่วยเหลือ หัวหน้าโรงเรียนของข้าน้อยสั่งให้ทุกร้านลดให้พวกท่านสองส่วน ตั้งแต่หลายวันก่อน ร้านของข้าน้อยมีทุกสิ่งที่พวกท่านอาจต้องการ ทั้งเครื่องมือเวทมนตร์ เครื่องราง ยาวิเศษ… ท่านสามารถหาทุกอย่างที่มีประโยชน์ได้ที่นี่”


 


 


“เช่นนั้นหรือ พวกข้าไม่ได้ต้องการเครื่องมือเวทมนตร์ ด้วยยังไม่สามารถใช้ได้ เจ้าเอาเครื่องรางและยาวิเศษออกมาให้พวกข้าแล้วกัน… พืชวิญญาณด้วย แต่พวกข้าต้องการพวกที่มีอายุสองร้อยปีหรือมากกว่าเท่านั้น”


 


 


“ได้ขอรับ โปรดรอสักครู่นะขอรับ”


 


 


เมื่อคนขายเดินจากไป หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มพร้อมพูดว่า “นี่เป็นโอกาสที่ดีทีเดียว โรงเรียนตานติ่งมีส่วนผสมสมุนไพรดีๆ ที่พวกเราหาไม่ค่อยได้มากมาย และด้วยส่วนลดอีกสองส่วน…พวกเราซื้อกันเถอะ”


 


 


ด้วยโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอไม่ได้สนใจพืชวิญญาณเหล่านี้มากนัก อย่างไรก็ตามนางก็ยังคงยิ้มและพยักหน้าตอบรับ


 


 


คนขายขยับไปมาอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวคนขายก็ยกกระสอบออกมา ถึงแม้ว่ากระสอบนี้จะเป็นประเภทหนึ่งของกระเป๋าเอกภพ แต่มันก็ไม่สามารถบรรจุได้มากนักและราคาค่อนข้างย่อมเยา จึงถูกใช้มากในการย้ายสินค้าในร้านขายของ


 


 


หลังจากที่หยิบของออกมาทีละอย่าง ทีละอย่างและจัดเรียงไว้บนโต๊ะ คนขายของก็ยิ้มพร้อมพูดว่า “อาจารย์ลุง เชิญดูก่อน ข้าน้อยมีเครื่องรางสำหรับผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งหมดนี้สร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของโรงเรียน ร้านของพวกข้าน้อยเคยใช้พวกมันเพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ให้กับร้าน แต่ในเมื่อเครื่องรางเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนตอนนี้ ข้าน้อยจึงเอาพวกมันออกมาทั้งหมด”


 


 


โม่เทียนเกอหยิบเครื่องรางขึ้นมาหนึ่งอัน อย่างแน่นอนมันคือเครื่องราง “เสียงแห่งไม้ร่วงหล่น” ระดับสูง นอกเหนือไปจากนั้น ยังคงมีเครื่องราง “โลกแห่งน้ำแข็งและหิมะ” “กระบี่แห่งแสงระยิบระยับ” และอื่นๆ ทั้งหมดล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณและทำจากผิวหนังและเลือดของสัตว์ปีศาจระดับสามและสี่แทนที่จะทำด้วยกระดาษเครื่องรางและชาดปกติ


 


 


“นี่เป็นเครื่องมือเวทมนตร์ไม่ธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องทำการส่งมอบใดๆ บางทีท่านอาจารย์ลุงอาจจะต้องการมัน”


 


 


คนขายของเปิดกล่องหยกซึ่งมีเข็มล่องหนบินได้วางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบหลายเล่ม ขณะที่หยิบเล่มหนึ่งขึ้นมา โม่เทียนเกอเห็นว่ามันบางมากจนแทบมองไม่เห็น ถึงแม้ว่านางไม่สามารถสัมผัสถึงพลังวิญญาณได้ในตอนแรก แต่เมื่อนางได้ถือมันไว้ในมือ นางก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณที่เคลือบไว้ที่ปลายเข็ม


 


 


“ข้าน้อยยังคงมีพืชวิญญาณ หากท่านอาจารย์ลุงมีสิ่งใดที่ต้องการโดยเฉพาะ กรุณาอย่าเกรงใจที่จะบอกข้าน้อย โรงเรียนตานติ่งของพวกข้าน้อยอาจจะไม่ได้มีสิ่งของที่น่าหลงใหลนัก แต่การจัดหาพืชวิญญาณนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในขั้วแห่งท้องฟ้าขอรับ”


 


 


หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่คนขายภูมิใจนำเสนอ ทั้งโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยก็ก้มลงพิจารณาสินค้าต่างๆ


 


 


โดยแท้จริง เขามีเห็ดดอกไม้หิมะ หญ้าสะเก็ดม่วง อัญมณีสีฟ้า เห็ดหลินจือหิมะ… ทั้งหมดล้วนเป็นพืชวิญญาณหายาก ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดที่วางอยู่บนโต๊ะล้วนมีอายุมากกว่าสองร้อยปี


 


 


โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยต่างมองหน้ากัน “ศิษย์พี่หลัว ท่านคิดว่าอย่างไร”


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยยิ้มและพูดว่า “มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเราซื้อด้วยกันตอนนี้ พวกเราสามารถแบ่งกันทีหลังได้”


 


 


“อือ” โม่เทียนเกอพยักหน้าหลังจากนั้นจึงหันไปทางคนขายพร้อมพูด “พวกข้าจะรับไว้ทั้งหมด เจ้าเริ่มคิดได้เลยว่าพวกข้าต้องจ่ายทั้งหมดนี้กี่ศิลาวิญญาณ”


 


 


คนขายดูประหลาดใจ ถึงแม้ว่าสมุนไพรวิเศษหายากพวกนี้จะไม่ได้เก่าแก่มากนัก แต่ก็ไม่ได้อ่อนวัยเกินไปเช่นกัน อีกอย่างพวกมันมีทั้งหมดอย่างน้อยกว่าสิบประเภท ดังนั้นก็จะสนนราคาอยู่ที่ประมาณ ห้าพันถึงหกพันศิลาวิญญาณ นั่นถือว่าเป็นเงินจำนวนมากทีเดียว ผู้ฝึกตนระดับสร้างฐานแห่งพลังทั่วไปน่าจะได้รับส่วนแบ่งต่อปีประมาณหนึ่งพันศิลาวิญญาณเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขารีบดึงสติ


 


 


กลับคืน หลังจากคำนวณราคาคร่าวๆ เขาก็พูด “ท่านอาจารย์ลุงราคาทั้งหมดจะอยู่ที่ห้าพันเจ็ดร้อยหกสิบศิลาวิญญาณ หลังจากลดไปแล้วสองในสิบส่วน จะเหลืออยู่ที่สี่พันหกร้อยแปดศิลาวิญญาณ ข้าน้อยปรับให้เป็นตัวเลขกลมๆ จะอยู่ที่สี่พันหกร้อยศิลาวิญญาณขอรับ”


 


 


“ตกลง จัดการห่อให้พวกข้าทั้งหมด” หลัวเฟิงเสวี่ยบอกคนขาย หลังจากนั้นนางจึงถามโม่เทียนเกอ


 


 


“ข้าต้องการเพียงแค่พืชวิญญาณ เจ้าต้องการอย่างอื่นอีกไหม”


 


 


โม่เทียนเกอพึมพำอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนที่นางจะชี้ไปที่เครื่องมือเวทมนตร์เข็มบินได้ นี่เหมาะสมสำหรับการลอบโจมตี ดังนั้นนางควรที่จะมีไว้กับตัวบ้างเพื่อเผื่อเอาไว้ ตอนที่นางต่อสู้เพื่อยาสร้างฐานแห่งพลังที่สำนักอวิ๋นอู้ นางได้ครอบครองเข็มบินได้ของมูหรงจือแต่เข็มของนางเริ่มลดลงไปแล้วหลังจากที่ใช้ไป ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางได้สร้างฐานแห่งพลังของตัวเองแล้ว นางก็ไม่ค่อยได้ใช้มันเท่าไรนัก


 


 


“ว่าแต่…” ในขณะที่คนขายกำลังห่อสิ่งของต่างๆ และรับศิลาวิญญาณจากหลัวเฟิงเสวี่ย โม่เทียนเกอแสร้งทำเป็นเหม่อลอยและถาม “ในเมื่อที่นี่คือร้านค้าของโรงเรียนตานติ่ง แล้วเจ้ามีขายสูตรยาบ้างหรือไม่”


 


 


คนขายรีบตอบ “แน่นอนอยู่แล้วขอรับ! โรงเรียนตานติ่งของพวกข้าน้อยเป็นที่รู้จักในเรื่องวิชาปรุงยาที่สุด ข้าน้อยมีทั้งสูตรยาทั่วๆ ไปและแม้กระทั่งสูตรยาหายากขอรับ แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสูตรยาแบบไหนที่ท่านอาจารย์ลุงต้องการ มีสูตรยาบางชนิดที่พวกข้าน้อยไม่สามารถขายได้ ต้องให้ท่านปรมาจารย์ก่อเกิดแก่นขุมพลังของโรงเรียนเราเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในการขายขอรับ”


 


 


ในเรื่องของการปรุงยา โรงเรียนตานติ่งเป็นที่หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนทั้งหมด เป็นธรรมดาที่พวกเขามีทักษะที่บุคคลภายนอกนั้นไม่มี ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำแก้ตัวของคนขาย นางพูด “แล้วสูตรยาสมัยโบราณล่ะ”


 


 


คนขายถามด้วยความงุนงง “ท่านอาจารย์ลุงต้องการสูตรยาสมัยโบราณเพื่อสิ่งใดหรือขอรับ พืชวิญญาณที่จำเป็นสำหรับสูตรยาโบราณนั้นหายสาบสูญไปแล้ว ดังนั้นสูตรยาเหล่านั้นจึงขาดคุณค่าไปขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอผู้ที่คิดถึงคำแก้ตัวมาเป็นเวลานานยิ้มเบาๆ “ข้ากำลังทำงานวิจัยบางอย่างเกี่ยวกับการปรุงยา ยาวิเศษบางตัวจากครั้งสมัยอดีตกาลนั้นมีคุณสมบัติที่เยี่ยมยอด ข้าจึงอยากลองใช้ส่วนผสมของยาวิเศษทั่วไปแทนและดูว่าข้าจะสามารถปรุงยาได้สำเร็จหรือไม่”


 


 


“โอ้ ท่านอาจารย์ลุงมีจิตวิญญาณดังเช่นพวกข้าน้อยนี่เอง” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคนขาย ทัศนคติของเขาที่มีต่อโม่เทียนเกอดูเป็นกันเองขึ้นเล็กน้อย เขาพูด “ถ้าเป็นเช่นนั้น โรงเรียนของข้าน้อยก็กำลังทำการวิจัยเช่นกัน สำหรับสูตรยานั้นสามารถขายได้ เพียงแต่ราคาจะแพงเล็กน้อยขอรับ”


 


 


โม่เทียนเกอตอบ “ไม่มีปัญหา ถ้าเจ้ามีอยู่แล้ว ก็เอาออกมาให้ข้าดูหน่อย”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ภูเขาเทียนหั่ว (天火山) ขึ้นอยู่กับว่าจะอ่านออกเสียงเช่นไร ภูเขาเทียนหั่วมีความหมายคร่าวๆ คือ “ภูเขาไฟสวรรค์” 

 

 


ตอนที่ 119 ตระกูลอวี๋

 

โม่เทียนเกอได้สูตรยาโบราณมากมายจากโรงเรียนตานติ่ง สูตรหนึ่งคือสูตรสำหรับยารวมวิญญาณ ซึ่งเหมาะที่จะใช้โดยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ส่วนสูตรอื่นๆ นั้นคือสูตรสำหรับยาวิเศษของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง อย่างเช่น ยาฟ้ากระจ่าง ยาคงพลังวิญญาณ ยาคงรูป และแม้แต่ยาอายุวัฒนะ 


 


 


ประโยชน์ของยารวมวิญญาณดูเหมือนจะธรรมดา เสมือนว่าเป็นเพียงแค่ยาวิเศษสามัญทั่วไปที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังใช้เพื่อเพิ่มระดับการฝึกตน แต่ในความเป็นจริง ประโยชน์ของสูตรยาโบราณนี้มีมากกว่ายาเพิ่มพลังจิตวิญญาณของสมัยใหม่มากนัก หลักการเดียวกันยังใช้ได้กับยาฟ้ากระจ่างเช่นกัน 


 


 


ส่วนยาคงพลังวิญญาณ ยาคงรูป และยาอายุวัฒนะก็ค่อนข้างมีประโยชน์เช่นเดียวกัน ยาคงพลังวิญญาณเป็นยาครอบจักรวาลที่ดีต่อการถนอมพลังวิญญาณและเหมาะที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งถูกมารเข้าสิง ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะไม่ตกอยู่ในอันตรายจากการถูกมารเข้าสิงโดยบังเอิญอีกแล้ว แต่การมียาพวกนี้เตรียมพร้อมไว้เมื่อนางต้องทำการข้ามผ่านไปสู่ดินแดนถัดไปก็ยังมีประโยชน์มากอยู่ 


 


 


ในขณะเดียวกัน สำหรับยาคงรูปและยาอายุวัฒนะ แม้ว่าชื่อและฤทธิ์ของพวกมันจะเหมือนกับยาวิเศษในยุคใหม่แต่ประสิทธิภาพนั้นไม่เหมือนกัน ยาคงรูปในสมัยใหม่ทำได้เพียงสงวนรูปลักษณ์ของคนไว้ได้ประมาณสิบปี แต่ยาคงรูปในยุคโบราณสามารถทำให้คนผู้นั้นดูอ่อนเยาว์ตลอดไป ยาอายุวัฒนะของยุคโบราณก็เช่นเดียวกัน แทนที่จะเพิ่มอายุขัยคนไปอีกหนึ่งร้อย ปีเหมือนอย่างยาอายุวัฒนะในยุคใหม่ แต่พวกมันกลับสามารถเพิ่มอายุขัยไปได้อีกถึงห้าร้อยปี!  


 


 


ประสิทธิภาพของยาอายุวัฒนะนี้ช่างน่าทึ่ง การเพิ่มอายุขัยของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปอีกห้าร้อยปีก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะพัฒนาจากดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังไปสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ บางทีอาจเป็นเวลามากพอให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้ด้วยซ้ำไป! ทุกวันนี้แม้แต่ยาอายุวัฒนะที่เพิ่มอายุขัยหนึ่งร้อยปีก็ยังเป็นที่ต้องการในหมู่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ 


 


 


โม่เทียนเกออดที่จะถอนใจอยู่ภายในไม่ได้ หากนางรู้ว่านางจะได้ครอบครองสมบัติพิเศษเช่นนี้เมื่อท่านอารองยังมีชีวิตอยู่ นางไม่มีทางปล่อยให้เขาตายจากไปทั้งที่ยังไม่เต็มใจอยู่หรอก 


 


 


นอกจากนี้ ตั้งแต่นางได้โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาครอง ความเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนในหลายร้อยหลายพันปีก่อนดูเหมือนจะหลั่งไหลเข้าสู่ความทรงจำของนางทันที นางรู้จักพืชวิญญาณแต่ละประเภทที่อยู่ข้างในนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อนางเลือกสูตรยา นางจึงเลือกสูตรที่จำเป็นต้องใช้ส่วนประกอบที่นางมีอยู่แล้ว 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยไม่รู้เรื่องนี้ นางเพียงคิดว่าโม่เทียนเกอโยนเงินจำนวนมากทิ้งเป็นว่าเล่นเพื่อซื้อสูตรยาที่ไร้ประโยชน์และเอาแต่พูดซ้ำซากถึงมันระหว่างทางขากลับ ถึงอย่างนั้น หลัวเฟิงเสวี่ยก็เป็นศิษย์ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่นางยังเด็กและได้รับความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ของนาง ดังนั้นนางจึงร่ำรวยกว่าโม่เทียนเกอมากนัก เพราะอย่างนั้นนางไม่ได้คิดว่าศิลาวิญญาณหลายพันอันจะสำคัญอะไร หลังจากสั่งสอนโม่เทียนเกออยู่พักหนึ่งและรู้ตัวว่าโม่เทียนเกอไม่ใส่ใจ นางจึงไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก 


 


 


ทันทีหลังจากที่ทั้งสองคนเข้าสู่ถ้ำเซียนชั่วคราว พวกนางเห็นหันชิงอวี้และเว่ยจยาซือกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงด้วยกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังรอพวกนางอยู่ 


 


 


เมื่อเห็นทั้งสองคน หันชิงอวี้พูดอย่างดีใจว่า “เจ้าทั้งสองกลับมาเสียที รีบเร็ว! อีกเดี๋ยวเราต้องออกเดินทางกันแล้ว!”  


 


 


“อะไรนะ” หลัวเฟิงเสวี่ยถามด้วยความสับสน “ศิษย์พี่ใหญ่ เรากำลังจะไปที่ไหนกันรึ”  


 


 


หันชิงอวี้พูดว่า “เราไม่ได้มาที่โรงเรียนตานติ่งเพื่อเล่นสนุก ตอนนี้เราได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว เราควรออกไปและเริ่มฆ่าปีศาจได้แล้ว”  


 


 


“อ้อ…” สิ่งที่หันชิงอวี้พูดก็ถูก โรงเรียนตานติ่งสูญเสียศิษย์ไปมาก จึงเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ถ้าพวกนางซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มาเพื่อช่วยเหลือกลับนั่งอยู่เฉยๆ และเล่นสนุกไปเรื่อย  


 


 


พวกนางไม่มีอะไรจะต้องเตรียมตัว ท้ายที่สุดแล้วพวกนางก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ในกระเป๋าเอกภพหมดแล้ว พวกนางจึงสามารถออกไปได้โดยทันที 


 


 


สิบห้านาทีให้หลัง ทั้งสี่คนออกจากเขาเทียนหัวโดยมีหันชิงอวี้นำทาง 


 


 


ตอนที่โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยไปซื้อของ ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินได้มอบหมายภารกิจให้พวกนาง เขาบอกหันชิงอวี้และเว่ยจยาซือให้เริ่มออกเดินทางทันทีหลังจากโม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยกลับมา หันชิงอวี้อธิบายภารกิจปัจจุบันของพวกนางคร่าวๆ ตอนอยู่บนถนน ปรากฏว่ามีสัตว์ปีศาจระดับต่ำกำลังเร่ร่อนไปทั่วตระกูลที่อยู่ข้างเคียง ตระกูลพวกนั้นไม่สามารถจะตั้งรับได้อีกนานนัก ดังนั้นพวกนางจึงถูกส่งตัวให้มาช่วยเหลือ 


 


 


ในฐานะผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งสี่คนถือว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงแล้วภายในโรงเรียนตานติ่งปัจจุบัน ทั้งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ แต่โรงเรียนตานติ่งแตกต่างจากสำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิง พวกเขาเก่งในด้านการปรุงยาแต่ระดับการฝึกตนถือว่าแค่ค่อนข้างพอใช้ จำนวนศิษย์ที่พวกเขามีก็มากกว่ากลุ่มการฝึกตนขนาดกลางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาจึงต้องทุกข์ทนจากความเสียหายที่เป็นวงกว้างเช่นนี้ เพราะผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหลือน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มากทีเดียว ถึงอย่างนั้น สัตว์ปีศาจที่พวกเขากำลังต่อสู้ด้วยก็เป็นเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและสอง สัตว์ระดับสี่และสูงกว่านั้นแทบไม่มีให้เห็น ดังนั้นการที่ทั้งสี่คนร่วมมือกับผู้ฝึกตนจากโรงเรียน ภัยอันตรายจึงไม่น่ามีมากนัก 


 


 


หลังจากบินอยู่ในความเงียบมาครึ่งวัน ในที่สุดพวกนางก็มาถึงเขตหนึ่งของเขาเทียนหัว จากที่ไกลๆ ทั้งสี่คนสามารถมองเห็นบ้านเรือนที่ขยายออกไปตามระยะทาง 


 


 


กลุ่มของผู้ฝึกตนที่กำลังลาดตระเวนเหาะมาหาทันที 


 


 


กลุ่มผู้ฝึกตนลาดตระเวนกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณและผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังในฐานะผู้นำ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังนั้นอยู่ในระดับต้นเท่านั้น เขาดูเหมือนชายชราและผมกว่าครึ่งของเขาหงอกเป็นสีดอกเลาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีเวลาใช้ชีวิตเหลืออยู่อีกนานนัก โดยปกติถ้าตระกูลผู้ฝึกตนต้องพึ่งพากลุ่มการฝึกตน คนหนุ่มสาวและคนที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะยังคงอยู่ภายในกลุ่ม ในขณะที่พวกคนที่ไม่ได้มีเวลาเหลืออีกหลายปีและไม่มีหวังในการก้าวหน้าไปสู่ดินแดนถัดไปก็จะกลับมายังตระกูลของตัวเองเพื่อสั่งสอนคนรุ่นใหม่ 


 


 


ผู้ฝึกตนคนนั้นเหาะมาทางพวกนาง เขามองพวกนางอย่างสนอกสนใจพักหนึ่งก่อนที่เขาจะประสานมือเป็นการทักทายและกล่าวว่า “สหายนักพรต ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าท่านคือ…”  


 


 


หันชิงอวี้ยิ้ม นางหยิบแผ่นจารึกประจำตัวออกมาและพูดว่า “สหายนักพรต พวกเราเป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ได้รับสั่งให้มาช่วยเหลือโรงเรียนตานติ่ง เรามาช่วยพวกท่าน”  


 


 


ชายชรารับแผ่นจารึกประจำตัวไป เมื่อเขาตรวจสอบเสร็จ ท่าทางที่ดูระมัดระวังก็เปลี่ยนไปเป็นประหลาดใจและตื่นเต้น เขาเข้ามาใกล้พวกนางและโค้งคำนับซ้ำๆ ขณะที่พูดว่า “สหายนักพรตจากโรงเรียนเสวียนชิง เรื่องนี้สำคัญมากเหลือเกิน ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากหากทำให้ท่านไม่พอใจ ข้าเป็นผู้ฝึกตนแห่งตระกูลอวี๋ ข้าจะไปรายงานให้ท่านหัวหน้าทราบเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะได้มาพบพวกท่าน กรุณารอตรงนี้สักครู่ขอรับ”  


 


 


หันชิงอวี้ทำท่าทางว่า “เชิญ” ให้เขา ผู้ฝึกตนคนนั้นเอาเครื่องรางเรียกขานออกมาและกระซิบไปสองสามคำ จากนั้นเครื่องรางเรียกขานได้เปลี่ยนเป็นลำแสงสว่างที่ยิงตรงไปยังหนึ่งในบ้านที่อยู่ด้านล่าง 


 


 


ทันทีที่เครื่องรางเรียกขานหายลับไป ลำแสงวูบวาบมากมายพุ่งขึ้นจากด้านล่างในทันที เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็มองเห็นได้ชัด พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคน ฮูหยินคนงาม และชายชรา 


 


 


ผู้ฝึกตนวัยกลางคนมีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในทั้งสามคน เขาอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังระดับกลาง เขามีผมยาวเคราดำและใส่ชุดคลุมหยินหยางแบบนักพรตเต๋า เขาดูภูมิฐานมาก ส่วนฮูหยินและชายชราอยู่ในระดับต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังทั้งคู่ ฮูหยินดูอ่อนหวานและสวยสง่าขณะที่ชายชราดูธรรมดา 


 


 


ขณะที่ทั้งสามคนเดินเข้ามา ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพูดพร้อมกับยิ้มให้จากระยะไกล “ท่านเทพธิดา เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากกับการปรากฏตัวของพวกท่าน โปรดอภัยให้เราด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับพวกท่านเร็วกว่านี้”  


 


 


เทพธิดา? โม่เทียนเกอมึนงงเล็กน้อยกับการถูกเรียกเช่นนี้ นางรู้ว่าผู้ฝึกตนหญิงบางครั้งอาจถูกเรียกว่า “เทพธิดา” บ้าง แต่ในสถานการณ์ปกติโดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เรียกพวกนางอย่างนั้น ถนนสู่การเป็นเซียนไม่เกี่ยวอะไรกับเพศสภาพ เพราะฉะนั้นผู้ฝึกตนทั้งชายและหญิงมักจะเรียกอีกฝ่ายว่า “สหายนักพรต” การเรียกพวกนางว่า “เทพธิดา” ในการเจอกันครั้งแรกแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ฝึกตนวัยกลางคนในการเชิดชูพวกนาง แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่ชินกับการถูกเรียกเช่นนี้จริงๆ  


 


 


หันชิงอวี้ไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรแม้แต่น้อย นางพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “สหายนักพรตไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก เราล้วนเป็นผู้ฝึกตนกันทั้งนั้น เรียกพวกเราว่า ‘สหายนักพรต’ ก็เพียงพอแล้ว”  


 


 


เมื่อเห็นว่าหันชิงอวี้ทำตัวมีเหตุผล ผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็รู้ได้ว่าพวกนางไม่ใช่ผู้ฝึกตนหญิงที่ทะนงตนหรือหยิ่งยโส ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพูดอย่างจริงใจมากขึ้นว่า “สหายนักพรตพูดถูก ข้าจะทำตามที่ท่านบอก อ้อ ข้าคืออวี๋จิงเฟิง หัวหน้าตระกูลอวี๋ นี่คือภรรยาของข้า ส่วนนี่คือไห่เทา ศิษย์พี่จากตระกูลของเรา” ชายผู้ฝึกตนชี้ไปยังคนทั้งสองที่อยู่ด้านข้างซึ่งทำความเคารพพวกนางตอบ เมื่อพวกเขาทำความเคารพกันเสร็จ ชายผู้ฝึกตนจึงยิ้มให้อีกครั้งและถามว่า “ข้าขอทราบชื่อของสหายนักพรตได้หรือไม่”  


 


 


เมื่อกลุ่มของโม่เทียนเกอทำความเคารพกลับ หันชิงอวี้ตอบว่า “ข้าคือหันชิงอวี้แห่งโรงเรียนเสวียนชิง คนเหล่านี้คือศิษย์น้องของข้า เว่ยจยาซือ หลัวเฟิงเสวี่ย และโม่เทียนเกอ”  


 


 


“สหายนักพรตหัน สหายนักพรตเว่ย สหายนักพรตหลัว และสหายนักพรตโม่นี่เอง สหายทั้งหลายพวกท่านทุกคนยังอายุไม่มากแต่ระดับการฝึกตนของท่านล้วนสูง สมควรแก่การได้รับความเคารพและชื่นชมโดยแท้”  


 


 


หันชิงอวี้ยิ้มอย่างนุ่มนวลและพูดว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ไม่จำเป็นต้องนอบน้อมมากนักหรอก ในหมู่พวกเรา ศิษย์น้องของข้าทั้งสองคนสมควรได้รับคำชมนี้ อย่างไรก็ตาม ตัวข้าและศิษย์น้องเว่ยอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีแล้ว พวกเราไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น”  


 


 


วิชาการฝึกตนส่วนใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนหญิงช่วยสงวนรูปลักษณ์ของพวกนางไว้ ต่อให้วิชาการฝึกตนของพวกนางไม่ได้ผลเยี่ยงนั้น พวกนางก็ยังสามารถใช้ยาคงรูปได้ เพราะฉะนั้นทั้งหันชิงอวี้และเว่ยจยาซือจึงยังดูเหมือนอยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี อีกอย่าง ในพวกนางทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่ในขั้นกลางและอีกคนอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถ้าว่ากันตามอายุขัยของพวกนาง พวกนางควรจะดูเหมือนอายุสามสิบปีเป็นอย่างมาก หันชิงอวี้กำลังถ่อมตัวอย่างแรง 


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋เป็นคนหัวไว หลังจากเขาได้ยินคำพูดของหันชิงอวี้ เขาก็โบกมือและพูดว่า “เอ… ท่านสหายหานแห่งเต๋าก็ถ่อมตนเกินไป ต่อให้ท่านและสหายเว่ยแห่งเต๋าจะอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี แต่ความก้าวหน้าของพวกท่านนั้นไร้ที่สิ้นสุด สหายหานแห่งเต๋าอยู่ในขั้นท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังเป็นศิษย์ของโรงเรียนที่มีชื่อเสียง เพราะอย่างนั้นบางทีในสักวันหนึ่ง ท่านจะต้องสร้างขุมพลังของท่านและกลายเป็นศิษย์อายุน้อยที่มีความสามารถอย่างแท้จริงได้แน่”  


 


 


“ข้าไม่สมควรได้รับคำชมเช่นนี้เลย”  


 


 


ทั้งสองคนยังคงพูดกันต่อไป คนหนึ่งพูดชมไม่ขาดปากในขณะที่อีกคนทำเป็นถ่อมตน ทำให้โม่เทียนเกอที่เป็นผู้ฟังรู้สึกสลดมาก โชคดีมากแล้วที่ศิษย์พี่หันมีความอดทนขนาดนี้ ถ้าเป็นนางล่ะก็ แม้ว่าโม่เทียนเกอเองก็พยายามจะสุภาพ แต่นางคงจบบทสนทนาหยอกเย้าเช่นนี้ในทันทีที่ทำได้แน่นอน 


 


 


พวกเขาใช้เวลาอีกสิบห้านาทีพูดคุยเช่นนั้นกันต่อไป พวกผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังในกลุ่มลาดตระเวนออกไปทำหน้าที่ตรวจตราต่อ แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังพูดชมกันไม่เสร็จ โชคดีที่ฮูหยินอวี๋ที่อยู่ข้างๆ หัวหน้าตระกูลอวี๋ได้โอกาสและพูดขัดขึ้น นางกล่าว “ท่านพี่ ท่านสหายนักพรตเพิ่งจะมาถึง ทำไมท่านไม่เชิญพวกนางเข้ามานั่งข้างในก่อนล่ะ”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋ดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้ขึ้นมาทันที เขาพูดอย่างเสียใจว่า “จริงด้วยสิ ข้าลืมตัวไปหน่อย โชคดีจริงที่เจ้าเตือนข้า ท่านสหายนักพรต ข้าต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อน”  


 


 


หันชิงอวี้ยิ้ม ภายใต้การนำของหัวหน้าตระกูลอวี๋ กลุ่มคนทั้งหมดจึงเข้าไปที่สนามของตระกูลอวี๋ 


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋นำทางทั้งสี่คนเข้าไปในห้องโถง หลังจากทั้งฝ่ายเจ้าบ้านและฝ่ายแขกได้นั่งลงตามที่ของตัวเองและมีน้ำชามาบริการ ในที่สุดพวกเขาจึงได้ถกปัญหาที่แท้จริงเสียที 


 


 


“ข้าจะขอพูดตรงๆ กับท่านสหายนักพรต ตอนนี้สภาพของตระกูลอวี๋ของข้าไม่สู้ดีนัก ในฐานะศิษย์ของโรงเรียนชื่อดัง ท่านคงจะได้เห็นด้วยตัวเองแล้ว ม่านพลังป้องกันที่คอยปกป้องตระกูลอวี๋ไม่ได้ดีเลิศที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ในตระกูลเรามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังสี่คน เราเป็นแค่ตระกูลเล็กๆ เครื่องมือเวทและยาวิเศษของเราก็ไม่ได้มีคุณภาพดีที่สุด ครั้งสุดท้ายที่พวกสัตว์ปีศาจโจมตี พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บ และทั้งตัวข้าและภรรยาต้องเสียเครื่องมือเวทไป โดยไม่มีทางเลือกอื่น พวกเราทำได้แค่ต้องขอความช่วยเหลือจากทางโรงเรียน โชคดีที่พวกท่านมาได้ทันเวลา”  


 


 


ครั้งนี้หันชิงอวี้ไม่ได้เอ่ยคำพูดถ่อมตัวอะไรอีก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงถามว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ พละกำลังของท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สหายนักพรตไห่เทาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นในช่วงนี้พละกำลังของเขาจึงไม่ควรจะเอามาพิจารณาด้วย ตัวท่านและภรรยายังมีวิธีการอื่นในการรับมือกับศัตรูอีกหรือไม่”  


 


 


หัวหน้าตระกูลอวี๋พยักหน้า เขาลูบเคราพร้อมพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “ถึงแม้ว่าเครื่องมือเวทที่ใช้ได้ของเราจะถูกทำลายไป แต่เรายังมีของอย่างอื่นอีก ดังนั้นเราคงไม่มีปัญหาอะไรกับการต่อสู้สัตว์ปีศาจที่อยู่ในดินแดนเดียวกับเรา พี่ชายของข้าอายุมากแล้วและยังบาดเจ็บ ดังนั้นเขาคงไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ได้ทันที เรายังมีหลานชายที่ประจำการอยู่ด้านนอก ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะต่ำกว่าข้า แต่เขาก็มีฝีมือมากในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ต่อให้เขาต้องต่อสู้กับสัตว์ปีศาจที่อยู่ในดินแดนสูงกว่าเขา โอกาสในการชนะของเขาก็มีค่อนข้างสูง”  


 


 


“เข้าใจแล้ว…” หันชิงอวี้ไม่ได้คาดหวังมากนักจากตระกูลอวี๋ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ผิดหวัง นางเพียงแค่เหลือบมองมาทางทั้งสามคนและถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”  


 


 


ในหมู่พวกนางสามคน เว่ยจยาซืออายุมากที่สุดและอาวุโสที่สุด ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่พูด “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าไม่มีปัญหา พวกเราสองคนสู้ด้วยกันได้และเฟิงเสวี่ยกับเทียนเกอก็มีวิธีการบางอย่างเหมือนกัน พวกนางไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการต่อสู้สัตว์ปีศาจที่อยู่ดินแดนเดียวกับพวกนาง”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เราทำการจัดระเบียบใหม่กับผู้ฝึกตนจากตระกูลอวี๋ได้ บางทีอาจให้ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมีบทบาทมากขึ้นได้เช่นกัน”  


 


 


โม่เทียนเกอไตร่ตรองอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าสามารถแก้ไขม่านพลังป้องกันของตระกูลอวี๋ได้ ด้วยวิธีนั้น พลังป้องกันของพวกเขาก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีกครึ่งหนึ่งและเพิ่มวิธีโจมตีบางอย่างเข้าไปด้วย”  


 


 


หันชิงอวี้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม นางก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เว่ยจยาซือมักจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการต่อสู้ด้วยพลังเวทเสมอ หลัวเฟิงเสวี่ยเก่งในด้านการจัดการ ขณะที่จุดแข็งของโม่เทียนเกอคือด้านม่านพลัง ทั้งสามคนต่างมุ่งมั่นอยู่กับเรื่องที่แตกต่างกัน ส่วนสำหรับตัวนางเองนั้น หันชิงอวี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่มาโดยตลอด นางเก่งในด้านการนำทุกคนและทำการตัดสินใจสุดท้าย ทั้งสี่คนมีลักษณะนิสัยแตกต่างกันแต่พวกนางก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินถึงส่งพวกนางออกมาด้วยกัน 


 


 


สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลอวี๋ทั้งประหลาดใจและสุขใจที่ได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด ในกรณีนี้ การมาถึงของกลุ่มโม่เทียนเกอจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมาอีกสี่คนเท่านั้น ครั้งนี้ตระกูลอวี๋ของเขาอาจจะได้รับการช่วยให้อยู่รอดปลอดภัยได้  

 

 


ตอนที่ 120 การเตรียมตัวก่อนสงคราม

 

ณ ตระกูลอวี๋ ในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้อยู่ห้องแยกกัน ตอนนี้ไม่มีเวลาเพื่อฝึกปรุงยาหรือฝึกตน ดังนั้นเมื่อโม่เทียนเกอเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง นางจึงอยู่เพียงครู่เดียวและเอาหนังสือออกมาหลายเล่ม 


 


 


ด้วยว่านางมีความทรงจำของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเข้าใจว่าเหตุใดนางถึงสามารถเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้อย่างง่ายดาย จนกว่าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจะมาเจอนาง มันได้ท่องเที่ยวไปรอบโลก คงจะมีคนมากมายที่พยายามหลั่งเลือดพวกเขาลงไป ทำให้มันรู้จักพวกเขาในฐานะเจ้าของของมัน แต่มีเพียงแค่โม่เทียนเกอที่ทำสำเร็จ สาเหตุก็คงเป็นเพราะรากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดของนางนั่นเอง 


 


 


โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนี้มาจากยุคอดีตอันไกลโพ้น วิชาการฝึกตนจากยุคนั้นแตกต่างกับวิชาสมัยใหม่โดยสิ้นเชิง ถึงแม้ว่ารากวิญญาณแห่งต้นกำเนิดจะหายากมากและปรากฏขึ้นเพียงแค่ทุกหลายพันปี แต่ทุกคนในยุคนั้นล้วนฝึกตนด้วยศาสตร์แห่งต้นกำเนิด เพราะฉะนั้นคนที่มีพลังจิตจะต้องมีความโกลาหลแรกเริ่มอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาเป็นแน่ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนถูกสร้างขึ้นมาในยุคนั้น ดังนั้นแก่นของมันจึงเชื่อมโยงกับความโกลาหลแรกเริ่ม เพราะว่าศาสตร์แห่งต้นกำเนิดได้หายสาบสูญไปแล้ว คนหลายคนในยุคปัจจุบันที่หลั่งเลือดของพวกเขาลงบนไข่มุก จึงไม่สามารถปลุกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนให้ตื่นขึ้นได้ โม่เทียนเกอเดาว่าเทพผู้ฝึกตนอีกคนที่ครอบครองโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนอกเหนือจากจงมู่หลิงคงจะใช้วิชาพิเศษอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความโกลาหลแรกเริ่มและทำให้โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนรู้จักเขาในฐานะเจ้าของของมัน 


 


 


ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มีร่องรอยของผู้ครอบครองคนก่อนหน้าอยู่ นางไม่รู้ว่าผู้ครอบครองคนก่อนหน้าเป็นคนสูงส่งเพียงไหน ทว่าพวกเขาได้ทิ้งหนังสือเอาไว้มากมาย โชคร้ายที่พวกเขาไม่ได้ทิ้งอาวุธวิเศษใดไว้ คาดว่ามันคงจะถูกพกไปด้วยพร้อมกับกายหยาบของผู้ครอบครองคนก่อนและสูญหายไปเมื่อพวกเขาตาย 


 


 


อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นคงจะฝึกตนด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ โม่เทียนเกอพบบันทึกที่เป็นของผู้ครอบครองคนก่อนซึ่งมีการเขียนถึงความคิดเห็นบางอย่างของพวกเขาเกี่ยวกับการฝึกตนอยู่ด้วย นางไม่เข้าใจมันแต่นางก็รู้ว่าเป็นเพราะระดับการฝึกตนของนางยังต่ำเกินไป 


 


 


จากที่หยวนเป่าบอกนาง คนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ในยุคอดีตอันไกลโพ้นยังไม่เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ทั่วไปในยุคปัจจุบันนี้ หากจะพูดให้ถูก พวกเขาอยู่ในดินแดนที่เหนือกว่าดินแดนแห่งเทพที่ยังไม่มีใครรู้ สาเหตุที่เขาพูดเรื่องนี้เพราะงานเขียนพวกนี้ก็มีอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิงเช่นกัน แต่ในดินแดนปัจจุบันพวกเขาก็ไม่สามารถจะเข้าใจมันได้ 


 


 


แม้กระนั้น นอกจากบันทึกก็ยังมีหนังสือเรียบๆ ที่ทำให้นางตกใจจนสามารถส่งนางไปสวรรค์ได้เลย หนังสือที่บรรยายวิชาปรุงยา วิชาทำเครื่องราง วิชาขัดเกลาเครื่องมือ วิชาม่านพลัง และแม้แต่วิชาควบคุมอุปกรณ์ซึ่งมีมากมาย เพราะว่านางเชี่ยวชาญในด้านม่านพลังมากที่สุด สิ่งแรกที่นางเรียนรู้จึงเป็นวิชาม่านพลัง 


 


 


มีการบรรยายถึงชนิดของม่านพลังมายานภา บางทีมันอาจจะเป็นม่านพลังแบบเดียวกับที่จงมู่หลิงวางไว้ด้านนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของเขา หนังสือนี้กล่าวว่าม่านพลังนี้เมื่อถูกวางสามารถแสดงปรากฏการณ์ธรรมชาติบนโลกมนุษย์ทุกประเภทได้ ที่นางเจอมาเป็นเพียงแค่ม่านพลังมายานภาสองประเภทที่มีปริมาณพลังน้อยที่สุด 


 


 


ความเข้าใจปัจจุบันของนางถูกจำกัดอยู่แค่นี้ ระดับการฝึกตนของคนผู้หนึ่งยังมีผลต่อความสามารถของพวกเขาในการทำความเข้าใจลัทธิเต๋าด้วยเช่นกัน ในขณะเดียวกัน หยินหยางและธาตุทั้งห้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิเต๋าล้วนเป็นรากฐานของม่านพลัง หากดินแดนของโม่เทียนเกอไม่สูงพอ นางคงไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้แน่ 


 


 


ต่อให้นางมองข้ามม่านพลังมายานภาไป ม่านพลังที่ง่ายและพอใช้งานได้ที่บันทึกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ม่านพลังยุคปัจจุบันจะสามารถเทียบเท่าได้เลย 


 


 


ม่านพลังป้องกันตัวของตระกูลอวี๋รู้จักกันในนามว่าม่านพลังสัตว์จตุรเทพ ถึงแม้จะไม่ใช่ม่านพลังทั่วไปแต่ก็ไม่ใช่ม่านพลังระดับสูงเช่นกัน โดยทั่วไปมีเพียงตระกูลผู้ฝึกตนขนาดกลางไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่ใช้ โม่เทียนเกอเจอม่านพลังสัตว์จตุรเทพในหนังสือเหมือนกัน แต่วิธีที่ใช้วางม่านพลังนั้นแตกต่างจากวิธีที่ใช้ในปัจจุบันและพลังของมันก็ยิ่งใหญ่กว่ามาก 


 


 


นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่รู้จักกันในนามม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผา ซึ่งเป็นรูปแบบที่ปรับแก้แล้วของม่านพลังสัตว์จตุรเทพ วิชาที่ใช้ในการวางม่านพลังลดทอนความรุ่งเรือง ผสมผสานเข้ากับม่านพลังสัตว์จตุรเทพ เปลี่ยนให้เป็นม่านพลังผสมชนิดหนึ่ง มันเป็นทั้งม่านพลังสัตว์จตุรเทพและม่านพลังร้อยบุปผาในเวลาเดียวกัน ม่านพลังทั้งสองชนิดไม่เกี่ยวข้องกับอีกอันโดยสิ้นเชิงแต่ก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้ วิชาทำลายม่านพลังเพียงวิชาเดียวไม่เพียงพอที่จะทำลายมันได้ 


 


 


เมื่อนางเห็นวิธีการวางม่านพลังแบบนี้ ความรู้สึกทึ่งและยำเกรงที่โม่เทียนเกอมีต่อเจ้าของคนก่อนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น หลักการนั้นเห็นชัดอยู่แล้ว แต่นางกลับไม่เคยคิดถึงการใช้วิธีนี้มาก่อนเลย 


 


 


เมื่อสัตว์ปีศาจฝึกตนกลายเป็นสัตว์ปีศาจระดับสูง ก็จะพัฒนาความฉลาดไปด้วย แต่สัตว์ปีศาจระดับสามและสี่ยังไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งและไม่มีรากวิญญาณมาคอยจำกัด ดังนั้นทั้งการฝึกตนและพลังจิตของพวกมันจึงบริสุทธิ์มากกว่าของมนุษย์ บริสุทธิ์มากเสียจนพวกมันเป็นฝ่ายมีอำนาจเหนือกว่ามนุษย์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท กระนั้นก็ตาม จากการพึ่งพาสิ่งของนอกกายที่เกิดจากสติปัญญาของพวกเขา มนุษย์ผู้ฝึกตนก็มักจะสามารถเอาชนะสัตว์ปีศาจเหล่านั้นได้เสมอ สิ่งของเหล่านี้รวมไปถึงอาวุธวิเศษ เครื่องราง ม่านพลัง และอื่นๆ  


 


 


ท่ามกลางสิ่งของเหล่านี้ ม่านพลังคือของที่ราคาย่อมเยาที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุด หัวหน้าตระกูลอวี๋เป็นคนหลักแหลม หลังจากโม่เทียนเกอสัญญาว่าจะวางม่านพลังอื่นให้ตระกูลอวี๋ เขาก็ยิ่งแสดงไมตรีจิตกับนางมากกว่าเดิม เขาถึงกับส่งผู้ฝึกตนหลายคนมาช่วยนางเลยทีเดียว 


 


 


อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอส่งพวกเขาทั้งหมดกลับไป ไม่ใช่เพราะนางเกรงว่าความลับของนางจะถูกคนอื่นรู้ แต่เพราะผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณพวกนั้นเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์ นางยอมทำทุกอย่างด้วยตัวเองดีกว่า 


 


 


นอกเหนือจากแผ่นม่านพลัง ธงม่านพลัง และศิลาวิญญาณ ของที่จำเป็นสำหรับวางม่านพลังยังรวมไปด้วยสัตว์วิเศษ พืชวิญญาณ และวัตถุวิญญาณอื่นๆ มีสองเหตุผลว่าทำไมโม่เทียนเกอถึงเลือกปรับแก้ม่านพลังสัตว์จตุรเทพโดยตรง ข้อแรก ม่านพลังดั้งเดิมของตระกูลอวี๋คือม่านพลังสัตว์จตุรเทพอันนี้ ดังนั้นการแก้ไขมันจึงสะดวกกว่า ส่วนเหตุผลข้อที่สองเป็นเพราะของที่จำเป็นต้องใช้นั้นธรรมดาไม่ซับซ้อน ต้องการแค่ไม้วิญญาณชนิดหนึ่งที่นางบังเอิญมีอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง 


 


 


หลังจากใช้เวลาทั้งวันเพื่อทำความเข้าใจม่านพลังสัตว์จตุรเทพนี้อย่างลึกซึ้ง โม่เทียนเกอก็ต้องใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวเพื่อวางม่านพลังและเสร็จงานของนางอย่างง่ายดาย 


 


 


ว่ากันว่าตระกูลอวี๋มีผู้ฝึกตนอายุยังน้อยอีกสองคนอยู่ในโรงเรียนตานติ่ง สำหรับหัวหน้าตระกูลอวี๋ ที่จริงแล้วเขาใช้ยาคงรูปซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดูยังหนุ่มเช่นนั้น ส่วนฮูหยินอวี๋ก็ไม่ได้อายุน้อยเช่นกัน ในหมู่พวกเขาทั้งสี่คน คนที่อายุน้อยที่สุดอายุประมาณหนึ่งร้อยปีแต่ยังไม่มีใครเลยที่เข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะกลับมาและอบรมเลี้ยงดูคนรุ่นใหม่ด้วยความเต็มใจ 


 


 


ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนตระกูลอวี๋ทั้งสี่คนจะค่อนข้างต่ำ แต่พวกเขาก็มีความเข้าใจเชิงลึกที่ดีและผู้ฝึกตนตระกูลอวี๋คนอื่นก็มีความรู้พื้นฐานที่มากเพียงพอ 


 


 


โชคไม่ดีที่พวกเขาไม่อาจเทียบได้เลยกับศิษย์ระดับหัวกะทิจากโรงเรียนเสวียนชิงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังไม่เก่งเท่าศิษย์ธรรมดาในยอดเขาวสันต์กระจ่างด้วยซ้ำไป สถานการณ์นี้ทำให้หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกทั้งโมโหและวิตกกังวล 


 


 


โม่เทียนเกอกำลังนั่งอย่างสบายๆ อยู่ด้านข้าง อ่านหนังสือเกี่ยวกับม่านพลังและดูหลัวเฟิงเสวี่ยสั่งสอนคนรุ่นใหม่ของตระกูลอวี๋อย่างฉุนเฉียวไปด้วยพร้อมๆ กัน 


 


 


“นี่ เจ้าน่ะ! เจ้าใช้เครื่องรางได้หรือไม่ได้”  


 


 


“ศิษย์พี่… ขะ-ข้าเพิ่งอยู่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ…”  


 


 


“ต่อให้เจ้าอยู่แค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเจ้าก็ยังเป็นผู้ฝึกตน! เจ้าเป็นผู้ฝึกตนแต่เจ้าใช้เครื่องรางไม่เป็นอย่างนั้นรึ น่าอับอายจริงๆ! ไปอยู่ข้างๆ และดูให้ดี!” จากนั้นนางยืนประจำตำแหน่ง หยิบเครื่องรางออกมาและสาธิตให้ดูสั้นๆ ด้วยความมั่นใจ 


 


 


“ทีนี้ทำได้หรือยัง”  


 


 


“…” เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าจ้องหลัวเฟิงเสวี่ยด้วยความหวาดกลัว 


 


 


ด้วยความโกรธที่เขาจ้อง หลัวเฟิงเสวี่ยจึงดุว่า “เจ้ายังทำไม่ได้งั้นรึ!”  


 


 


“ศิษย์พี่…” เด็กคนนั้นร้องเรียกทั้งน้ำตา “ขะ-ข้าจะหัดช้าๆ ได้โปรดอย่าให้ข้าเคลื่อนย้ายของเลย คนอื่นจะหัวเราะเยาะข้า”  


 


 


การเคลื่อนย้ายของเป็นงานของพวกมนุษย์ธรรมดา ในสองวันที่ผ่านมา หลัวเฟิงเสวี่ยจัดระบบสมาชิกของตระกูลอวี๋ใหม่ พวกมนุษย์ได้รับมอบหมายงานจิปาถะทั่วไป ขณะที่พวกผู้ฝึกตนได้ฝึกม่านพลังง่ายๆ หลายแบบ เช่นเดียวกับวิชาต่างๆ สำหรับการต่อสู้ด้วยพลังเวท 


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยชินแล้วกับการทำสิ่งเหล่านี้ นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาแค่วันเดียว นางก็มอบหมายงานที่เหมาะสมให้กับคนที่สมควร 


 


 


ขณะที่นางมองเด็กคนนั้นร้องไห้ ความโกรธบางส่วนที่หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกได้เบาบางลง นางเป็นคนดังที่โรงเรียนมาโดยตลอด นอกจากมีสถานะสูงแล้ว นางยังมีนิสัยดีอีกด้วย แม้แต่เมื่อศิษย์ธรรมดาขอร้องให้นางช่วย นางก็มักจะช่วยเหลือเท่าที่นางทำได้เสมอ ดังนั้นพอเห็นว่าเด็กคนนั้นจ้องมองนางอย่างน่าเวทนา นางจึงใจอ่อน 


 


 


“เจ้า มานี่สิ!” หลัวเฟิงเสวี่ยเรียกผู้ฝึกตนระดับสามของการหลอมรวมพลังวิญญาณผู้ที่ดูเหมือนจะอายุประมาณสามสิบปีแล้วนางก็ชี้ไปที่เด็กคนนั้น “สอนเขาใช้เครื่องรางหน่อย”  


 


 


แม้ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะเข้ามาหาอย่างว่าง่าย แต่เขาก็ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวเช่นกัน เขาตอบอย่างระมัดระวังว่า “ขอรับ”  


 


 


และเป็นเช่นนั้นเอง ผู้ฝึกตนที่อาวุโสกว่าจึงสอนวิธีใช้เครื่องรางให้เขาอย่างละเอียดพร้อมกับหลัวเฟิงเสวี่ยที่คอยแนะนำพวกเขาเป็นครั้งคราว หนึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กคนนั้นก็ร้องฟูมฟายอีกครั้งหนึ่ง “ศิษย์พี่ ท่านน่าจะให้ข้าไปเคลื่อนย้ายของ!”  


 


 


ในชั่วพริบตา ความโกรธของหลัวเฟิงเสวี่ยเพิ่มสูงขึ้น นางโกรธหน้ามืดตามัวจนแทบไม่เห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


ขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอทนต่อไปไม่ไหว ก็หัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลังพวกเขา 


 


 


เสียงกลั้นหัวเราะของนางดังเข้าหูหลัวเฟิงเสวี่ย ผู้ซึ่งหันกลับมามองอย่างดุร้าย พอเห็นว่าเป็นโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยจึงหายโกรธและสั่งผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่ค่อนข้างโดดเด่นให้สอนคนอื่นๆ ต่อไป นางมานั่งอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างๆ โม่เทียนเกอ 


 


 


โม่เทียนเกอหยุดยิ้มและปลอบหลัวเฟิงเสวี่ยอย่างจริงจัง “ช่างมันเถอะ พอเห็นว่าผู้ฝึกตนพวกนี้ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะเข้ากลุ่มการฝึกตน นั่นก็แสดงให้เจ้าเห็นแล้วว่าทักษะของพวกเขาเป็นเช่นไร การไปสั่งให้พวกเขาทำตามมาตรฐานของศิษย์พวกเรานั้นเป็นการเรียกร้องมากเกินไป”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยแผดเสียง “สั่งพวกเขารึ! ข้าไม่ได้สั่งพวกเขา เข้าใจไหม! สำหรับศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณธรรมดาหลายๆ คนที่ร่วมมือกันวางม่านพลังอันเดียวคงไม่มีปัญหาอะไรกับการต่อสู้สัตว์ปีศาจระดับสอง ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ระดับหัวกะทิเลย แต่ดูพวกเขาสิ! ข้ากำลังสั่งอะไรงั้นรึ สั่งให้พวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองและใช้สิ่งที่ต้องใช้ แต่ไม่น่าเชื่อ พวกเขาใช้เครื่องรางไม่ได้ด้วยซ้ำไป!” นางหยุดพูด หันหน้ามาอย่างเกรี้ยวกราดและพูดต่อ “บอกข้าสิ เจ้าเคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนที่ไม่สามารถใช้เครื่องรางได้อย่างนั้นหรือ นั่นมันไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลย!”  


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจและพูดว่า “ข้าเคยเจอผู้ฝึกตนประเภทนั้นมาก่อน”  


 


 


ก่อนหน้านี้หลัวเฟิงเสวี่ยพูดเช่นนั้นก็เพื่อระบายอารมณ์โกรธของนาง แต่เมื่อนางได้ยินคำตอบที่จริงจังของโม่เทียนเกอ นางก็อึ้งไปและพูดว่า “มีจริงๆ หรือ”  


 


 


“อืม” โม่เทียนเกอพยักหน้าและบอกว่า “ย้อนไปตอนที่ข้าเคยท่องไปทั่วโลกกับท่านอารองของข้า มีอะไรที่ข้ายังไม่เคยเห็นอีกงั้นหรือ มีตระกูลผู้ฝึกตนมากมายที่เสื่อมลงไปตามรุ่น คนรุ่นใหม่บางคนในตระกูลผู้ฝึกตนมีรากวิญญาณผสมซึ่งอ่อนด้อยมากในบางกรณี การยอมให้พวกเขาฝึกตนก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไร บางคนก็ติดอยู่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณมาทั้งชีวิต และบางคนก็มีความฉลาดเทียบเท่าหรือแย่กว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีก ตระกูลเย่ของข้าก็เสื่อมสลายไปเช่นนั้นล่ะ”  


 


 


หลัวเฟิงเสวี่ยนิ่งเงียบ นางถูกพาเข้ามาโดยท่านอาจารย์เสวียนอินจากโลกมนุษย์ เพราะรากวิญญาณของนางดีเยี่ยม จึงถูกพาไปที่เขาไท่กังโดยตรงและถูกรับเข้าเป็นศิษย์ภายใน ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับรู้เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับตระกูลผู้ฝึกตนมากนัก 


 


 


“ช่างมันเถอะ เมื่อถึงเวลา ให้พวกเขาสู้กับสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งและพวกเราจัดการกับที่เหลือเอง เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไปหรอก ศิษย์พี่หันจะต้องมีแผนบางอย่างแน่ ในท้ายที่สุดเราก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ หากผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณสามารถปกป้องตัวเองได้ก็ดีมากเกินพอแล้ว”  


 


 


“ข้าแค่หวังว่าเราจะไม่เสียสมาธิเพราะเราต้องคอยปกป้องพวกเขา แต่พวกเขา– ก็ได้ ข้ายอมรับว่าเรื่องนี้มันอยู่เหนือความสามารถของข้า”  


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยหมดหวัง นางพูดว่า “เจ้าก็เข้าใจเรื่องนี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อด้อย การต่อสู้ไม่เคยเป็นจุดแข็งของเจ้า ดังนั้นเจ้าควรจะปล่อยให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้กันเองและเตรียมความพร้อมเพื่อตัวเจ้าเองดีกว่า”  


 


 


“อืม เจ้าพูดถูก” หลัวเฟิงเสวี่ยครุ่นคิด ปล่อยอารมณ์ไม่ดีทิ้งไปและพูดว่า “จริงสิ เจ้ายังมีเครื่องรางเหลืออยู่บ้างไหม ข้าใช้ของข้าไปเกือบหมดแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้ามาบางส่วนแต่ก็ยังไม่พอ”  


 


 


โม่เทียนเกอรู้ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยไม่ถนัดการใช้เครื่องมือเวท นางจึงต้องการเครื่องรางมากกว่าพวกนางคนที่เหลือ หลังจากนับคร่าวๆ อยู่ในใจ นางก็หยิบเอาเครื่องรางออกมาปึกหนึ่งและพูดว่า “ข้ายังมีอีกมาก นี่เป็นพวกที่ท่านอาจารย์ลุงให้ข้ามาและก็มีพวกนี้…”  


 


 


เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเอาเครื่องรางของนางออกมาจนหมด หลัวเฟิงเสวี่ยร้องดีใจอย่างดัง ทั้งสองคนตรวจดูและแบ่งเครื่องรางกัน 


 


 


“เอ๋! เทียนเกอ เครื่องรางพวกนี้แปลกจริง มันดูไม่เหมือนท่านอาจารย์เป็นคนทำขึ้นและดูมีพลังมาก… ไม่มีทางที่เจ้าจะได้ของพวกนี้มาจากการซื้อข้างนอกแน่ เจ้าไปได้มาจากที่ไหนรึ”  


 


 


โม่เทียนเกอดูเครื่องรางที่หลัวเฟิงเสวี่ยพูดถึง พวกนั้นเป็นอันที่จงมู่หลิงมอบให้นาง เครื่องรางที่ทำโดยเทพผู้ฝึกตน ต่อให้จงใจลดระดับของเครื่องรางลงมาแล้วมันก็ยังไม่ใช่สินค้าธรรมดาอยู่ดี”  


 


 


“เอ่อ…”  


 


 


“ไม่สะดวกใจที่จะบอกหรือ”  


 


 


“ไม่ใช่” โม่เทียนเกอกล่าว “มันเป็นของที่อาจารย์ลุงโส่วจิ้งให้ข้ามา”  


 


 


“เช่นนั้นหรือ” หลัวเฟิงเสวี่ยที่กำลังสำรวจเครื่องรางต่างๆ ถึงกับตะลึง จากนั้นนางเงยหน้าและจ้องมองโม่เทียนเกอ 


 


 


สีหน้าโม่เทียนเกอยังคงเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่างที่ปิดบังไว้ซ่อนอยู่ในสายตานา  

 

 


ตอนที่ 121 พลังวิญญาณของปีศาจ

 

โม่เทียนเกอยืนอยู่บนยอดเขา กำลังจ้องมองไปที่ป่าหนาทึบเบื้องล่างหน้าผาพร้อมกับใบหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย 


 


 


เรื่องนี้ค่อนข้างจะเป็นปัญหา วันที่พวกนางมาถึง ตระกูลอวี๋ได้บอกแล้วว่ามีสัตว์ปีศาจอยู่ใกล้ๆ หลายวันต่อมา สัตว์ตัวนั้นสู้กับตระกูลอวี๋และเกือบจะทำลายม่านพลังป้องกันของพวกเขาได้ คาดว่ามันคงจะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งภายในรอบหลายวันนี้แน่ 


 


 


ตั้งแต่นั้นมา นางและหลัวเฟิงเสวี่ยต้องอยู่กับตระกูลอวี๋ คอยเตรียมการสำหรับการต่อสู้ในอนาคต ขณะที่หันชิงอวี้และเว่ยจยาซือแลกเปลี่ยนข่าวสารกับตระกูลอวี๋เพื่อสืบสวนถึงสถานการณ์สัตว์ปีศาจ 


 


 


สัตว์ปีศาจกลุ่มนี้ดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหวตามความคาดหมายของตระกูลอวี๋ เหมือนกำลังเฝ้าสังเกตอาณาเขตของตระกูลอวี๋แต่ยังรักษาระยะห่างเอาไว้ บางครั้งก็ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะเข้ามาจู่โจม และบางครั้งก็ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะล่าถอยกลับไป 


 


 


ตระกูลอวี๋มีมนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนระดับต่ำอยู่มากเกินไป หันชิงอวี้คิดว่าพวกเขาไม่ควรเป็นฝ่ายจู่โจมก่อนเพื่อเลี่ยงการแตกกลุ่มและถูกเอาชนะ พวกเขาไม่อยากให้พวกคนที่รับหน้าที่จู่โจมต้องขาดกองหนุนในขณะที่ทำให้พวกคนที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ อยู่ที่บ้านต้องขาดกำลังที่เพียงพอ 


 


 


ในทางตรงกันข้าม เว่ยจยาซือคิดว่าสัตว์ปีศาจระดับต่ำคงไม่มีสติปัญญาเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม หันชิงอวี้กล่าวว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าต้องมาเสียใจทีหลัง 


 


 


จุดประสงค์ดั้งเดิมของพวกนางคือเพื่อปกป้อง ถึงแม้ว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกนางสามารถฆ่าทำลายล้างสัตว์ปีศาจพวกนั้นได้ แต่ความปลอดภัยของตระกูลอวี๋ยังคงสำคัญกว่า 


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ตาม สัตว์ปีศาจพวกนั้นไม่ได้จู่โจมในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา 


 


 


โม่เทียนเกอปรับแก้ม่านพลังป้องกันของตระกูลอวี๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว นางไม่คิดว่าสัตว์ปีศาจพวกนั้นจะบุกฝ่าเข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาตอนนี้คือสัตว์ปีศาจพวกนั้นกำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ แต่พวกนางอยู่ห่างออกไป ความรู้สึกนี้ช่างสุดทนเสียจริง อีกอย่าง พวกนางมาเพราะถูกสั่งให้มาช่วย แล้วพวกนางจะถูกรั้งตัวให้อยู่ที่นั่นต่อไปได้อย่างไร 


 


 


วันนี้เป็นตาของนางในการลาดตระเวน ขณะที่นางยืนอยู่บนยอดเขานี้ นางสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกสัตว์ปีศาจอีกครั้ง แรงเคลื่อนไหวไม่แรงเท่าไรนักแต่ก็หนาแน่นมาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันดูเหมือนจะเข้ามาใกล้นาง หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ นางคว้าเครื่องรางเรียกขานออกมา ท่องอะไรบางอย่างแล้วจึงโบกมือ เครื่องรางนั้นลอยลงไปสู่สนามของตระกูลอวี๋ 


 


 


ไม่นานนัก ลำแสงก็ฉายขึ้นมาจากตระกูลอวี๋ เว่ยจยาซือเหาะขึ้นมาบนกระบี่บิน ถามอย่างนิ่งเฉย “มีอะไรหรือ”  


 


 


เว่ยจยาซือไม่เคยมีทัศนคติที่ดีต่อนาง โม่เทียนเกอชินกับมันนานแล้วและนางก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องพัฒนาความสัมพันธ์ของนางกับเว่ยจยาซือให้ดีขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนางจึงพูดอย่างแผ่วเบา “ศิษย์พี่เว่ย ดูทางทิศนั้นสิ พวกมันโผล่มาอีกแล้ว”  


 


 


เว่ยจยาซือหันเหสายตาไปมอง นางจ้องอยู่สักพักก่อนที่นางจะหลับตาและขยายจิตสัมผัสของนางออกไป หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็ลืมตา สีหน้านางเคร่งเครียด 


 


 


“ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างศิษย์พี่เว่ย”  


 


 


สืบเนื่องจากจิตสัมผัสของโม่เทียนเกอ มีสัตว์ปีศาจอย่างน้อยห้าถึงหกตัวที่อยู่ในระดับสองและสาม 


 


 


เว่ยจยาซือนิ่วหน้าและกล่าวว่า “ไปดูกัน” แทนที่จะลงจากกระบี่บินของนาง นางเปลี่ยนมันเป็นลำแสง บินตรงไปยังจุดที่มีพลังวิญญาณของปีศาจออกมาทันที 


 


 


พอเห็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมา ก้าวขึ้นไปบนนั้นและไล่ตามเว่ยจยาซือไป 


 


 


โม่เทียนเกอเหาะลงจากเขาและเข้าไปในป่า ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางเป็นของที่จงมู่หลิงมอบให้ มันทั้งเป็นอาวุธป้องกันตัวและอาวุธวิเศษบินได้ นางยังไม่ได้ทดลองหน้าที่ป้องกันตัวของมันแต่ความสามารถในการบินของมันนั้นดีเยี่ยมอย่างแท้จริง มันไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณมาก อีกทั้งยังรวดเร็วและมั่นคง จากประสบการณ์ของนาง หากนางพยายามจะหนีด้วยของสิ่งนี้ บางทีอาจจะมีเพียงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถตามนางทันได้ 


 


 


นอกจากนี้ เป็นเวลาสักพักแล้วตั้งแต่ที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง นางได้ใช้เวลาขัดเกลาเครื่องมือเวทและอาวุธวิเศษของนาง โดยเฉพาะหลังจากที่พวกนางออกสู่สนามรบ ท่ามกลางของเหล่านั้นคือไม้หลบลี้หนีหล้าที่แม้แต่จงมู่หลิงยังชื่นชมว่าเป็นของที่ดี ต่อให้นางต้องเจอกับอะไร นางก็สามารถหนีได้เป็นพันลี้ในเวลาชั่วพริบตา นางไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่ 


 


 


แต่ ณ ขณะนี้ สีหน้าเว่ยจยาซือดูน่าเกลียดเอามากๆ เครื่องมือเวทบินได้ของนางเป็นเพียงกระบี่บิน แม้ว่ามันจะถูกมอบให้โดยท่านอาจารย์ของนางและยังดีกว่ากระบี่บินทั่วไปมากนัก แต่มันก็ไม่มีอะไรพิเศษ หลังจากเข้าไปในป่า มันก็ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม และความเร็วในการบินของมันลดลงอย่างมาก ในทางกลับกัน โม่เทียนเกอนั้นเหาะอย่างมั่นคงตลอดทางและว่องไวมาก 


 


 


ในจิตใจของเว่ยจยาซือ เป็นเวลามากกว่าแปดสิบปีแล้วตั้งแต่ที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ถึงแม้ว่าตอนนี้นางกำลังติดอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง แต่ความเข้าใจในพลังวิญญาณและวิชาฝึกตนของนางไม่ธรรมดาเลย แต่กระนั้น โม่เทียนเกอกลับเอาชนะนางได้! แม้ว่านางจะเหนือกว่าแค่ในด้านเครื่องมือเวทก็เถอะ เว่ยจยาซือก็ยังคิดว่ามันทนไม่ได้อยู่ดี 


 


 


ภายในป่าเป็นเขตแดนของสัตว์ปีศาจ นานมาแล้ว มีเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้บางครั้งก็จะมีทั้งสัตว์ปีศาจระดับสองและสามปรากฏตัวขึ้น น่าประหลาดใจที่พวกนางไม่เห็นสัตว์ปีศาจแม้แต่ตัวเดียวในทางขามา ไม่มีแม้แต่ตัวที่อยู่ระดับต่ำด้วยซ้ำ 


 


 


“เอ๋ ศิษย์พี่เว่ย!” ทันใดนั้นโม่เทียนเกอก็หยุดและร้องเรียก 


 


 


เว่ยจยาซือรู้สึกค่อนข้างไม่พอใจ ตะโกนอย่างหัวเสีย “มีอะไร”  


 


 


“พลังวิญญาณของปีศาจหายไปแล้ว”  


 


 


เว่ยจยาซือตกตะลึง แต่ไม่ช้าก็รีบแผ่จิตสัมผัสของนางออกไป ความปรารถนาที่จะแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในจิตใจนาง ตอนนี้ที่นางต้องถูกโม่เทียนเกอเตือนเรื่องเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกโกรธและขายหน้ายิ่งขึ้น 


 


 


“ถึงมันจะหายไป เราก็ยังต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”  


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดเจ้ากี้เจ้าการเช่นนี้ โม่เทียนเกอแอบส่ายหัวอยู่ลับๆ นางตามหลังเว่ยจยาซือ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางเดิมของพวกนาง 


 


 


นางรู้มาจากหลัวเฟิงเสวี่ยว่าทำไมเว่ยจยาซือถึงเกลียดนาง แต่นางก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ขณะที่นางครุ่นคิด นางก็รู้สึกค่อนข้างผิดหวังในตัวเว่ยจยาซือ ศิษย์พี่เว่ยคนนี้หมกมุ่นกับความรู้สึกของนางมากจนไม่สามารถแยกแยะเหตุผลได้ ถึงแม้หลัวเฟิงเสวี่ยจะพูดกับนางแล้ว แต่คงยังยากสำหรับเว่ยจยาซืออยู่ดีที่จะพัฒนาได้ในอนาคต นี่คือข้อเสียของอารมณ์ความรู้สึก 


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ทั้งสองคนมาถึงจุดหมายในที่สุด 


 


 


ขณะที่นางตามหลังเว่ยจยาซือไปช้าๆ โม่เทียนเกอเอากระสวยอัปสราของนางออกมาเงียบๆ ลงจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกำของทั้งสองสิ่งไว้ในมือ นางเหยียบอย่างแผ่วเบาไปบนกิ่งไม้แห้งขณะที่นางก้าวไปข้างหน้า 


 


 


ทันใดนั้น นางก้าวผิดไปหนึ่งก้าว รู้สึกว่าตัวกำลังลอยก่อนนางจะตกลงมาแล้วกลิ้งไปทางด้านข้าง 


 


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง เว่ยจยาซือกระโดดขึ้นสูงกลางอากาศ 


 


 


สายฟ้าฟาดลงตรงจุดที่พวกนางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ 


 


 


โม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือเหลือบมองหน้ากันและเห็นความตกใจในสายตาของอีกฝ่าย 


 


 


ด้วยเวทมนตร์ที่น่าสะพรึงเช่นนั้นและความสามารถในการซ่อนตัวตนของศัตรู ทั้งสองคนไม่สามารถจะหาตำแหน่งที่คาถาถูกเสกออกมาได้เลย ศัตรูของพวกนางไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่เหมือนกับสัตว์ปีศาจระดับสองและสามทั่วไป 


 


 


ทั้งสองคนระวังตัวขณะที่พวกนางยืนหลังชนกันและเรียกเครื่องมือเวทของตัวเองออกมา 


 


 


โม่เทียนเกอเอาผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและกระสวยอัปสราออกมา อันหนึ่งสำหรับการป้องกันตัวและอีกอันสำหรับการโจมตี เว่ยจยาซือคว้าเครื่องรางวิญญาณหลายอันและแหวนสีเงินวงเล็กออกมา ถึงแม้ว่าธงวิญญาณน้ำของนางจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอิน นางจะขาดแคลนของได้อย่างไร แหวนอธิษฐานวงนี้ก็เป็นเครื่องมือเวทที่ค่อนข้างทรงพลังเช่นกัน 


 


 


ทั้งสองคนแผ่จิตสัมผัสของตัวเองขยายไปเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็ขยับตัวอย่างฉับพลันในเวลาเดียวกัน เว่ยจยาซือขว้างแหวนอธิษฐานของนางออกไปชนปะทะเข้ากับสายฟ้า ขณะที่โม่เทียนเกอโยนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนางซึ่งเปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศเป็นก้อนอิฐที่ตกลงตรงหน้านางทันที สร้างเป็นกำแพงขึ้นมาขวางสายฟ้าฟาดอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


ความแตกต่างระหว่างพวกนางก็คือเว่ยจยาซือถูกโจมตีถอยไปหนึ่งก้าวขณะที่โม่เทียนเกอยังคงอยู่กับที่ 


 


 


เว่ยจยาซือเหลือบมองโม่เทียนเกออีกครั้งพร้อมกับความประหลาดใจที่ปรากฏขึ้นในสายตานาง นางเห็นได้ว่าโม่เทียนเกอมีทั้งเครื่องมือเวทและอาวุธวิเศษ ด้วยวิธีที่เครื่องมือเวทของโม่เทียนเกอทำงาน อาวุธวิเศษของโม่เทียนเกอจึงต้องดีกว่าของนางแน่ แค่เว่ยจยาซือไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีความสามารถแบบนี้ ตามการคาดการณ์ของนาง สายฟ้าพวกนั้นต้องมีพลังมากกว่าพลังเวทของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังแน่นอน ทั้งที่ของของนางทรงพลัง แต่นางก็ยังถูกโจมตีให้ต้องถอยไปหนึ่งก้าว อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่าโม่เทียนเกอนั้นกลับไม่ต้องลำบากอะไรมากมายเลย!  


 


 


ไม่กี่วันก่อน เมื่อโม่เทียนเกอกลับมาหลังจากหายตัวไปหลายวัน พวกเขาได้รู้ว่าโม่เทียนเกอผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังได้ก้าวเข้าสู่ขั้นกลางภายในเวลาแค่ไม่นาน เรื่องนี้ทำให้พวกคนที่รู้จักนางต่างสงสัย กระนั้นก็ตาม ท่านอาจารย์ของพวกเขาตัดสินว่าห้ามให้พวกเขาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่มีใครถามอะไรต่อไปอีก ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็รู้ว่านางต้องได้เจอเข้ากับชะตาลิขิตบางอย่างแน่ สิ่งนี้กระตุ้นให้เว่ยจยาซือยิ่งขยันกว่าเดิม 


 


 


อย่างไรก็ตาม การศึกษาเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเว่ยจยาซือค่อนข้างลึกซึ้ง ดังนั้นนางจึงไม่เคยคาดคิดว่าไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอจะก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้ แต่โม่เทียนเกอยังแข็งแกร่งกว่านางในการต่อสู้ด้วยพลังเวทอีกด้วย  

 

 


ตอนที่ 122 แดนแห่งความฝัน

 

โม่เทียนเกอไม่มีเวลามานึกถึงมุมมองของเว่ยจยาซือเพราะนางพอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าสายฟ้าผ่ามาจากที่ใด 


 


 


นางยื่นมือขวาออกไป เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวซึ่งได้กลายร่างเป็นกำแพงอิฐกลับมาสู่มือนาง ขณะที่ดูเหมือนว่านางกำลังมุ่งความสนใจไปกับการกวาดตามองรอบๆ ตัว กระสวยอัปสราในมืออีกข้างก็เคลื่อนไหวอย่างลับๆ  


 


 


แสงสีทองสว่างวาบ เว่ยจยาซือได้ยินเสียงดังกระหึ่มกะทันหันและหันกลับไปมองทันที นางได้ยินโม่เทียนเกอผู้ที่ถอนกระสวยอัปสราออกพร้อมกับรอยยิ้มเยาะกำลังพูดอย่างดูถูกว่า “ช่างเป็นม่านพลังชั้นต่ำ แต่เจ้ากล้าอวดมันต่อหน้าข้าอย่างนั้นรึ!”  


 


 


โดยไม่มีเวลาจะพูดอะไร เว่ยจยาซือเห็นกระสวยอัปสราเคลื่อนไหวอีกครั้ง ปะทะเข้ากับหลายๆ จุด ทีละจุดๆ ในพริบตา ในไม่ช้า สายฟ้าที่มีความเดือดดาลมหาศาลพร้อมด้วยแรงเคลื่อนไหวน่าทึ่งก็ปรากฏขึ้น 


 


 


โม่เทียนเกอโบกมือ ปล่อยผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกไปอีกครั้ง เว่ยจยาซือหันไปด้านข้างเช่นกันและปล่อยทั้งเครื่องรางและเครื่องมือเวทของนางออกไป 


 


 


ในทั้งสองคน คนหนึ่งกำลังตั้งรับและอีกคนหนึ่งกำลังจู่โจม 


 


 


เสียงดังครืนกึกก้องขณะที่ม่านพลังถูกทำลาย 


 


 


เมื่อพวกนางเห็นว่าอะไรอยู่ในม่านพลัง โม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือก็เหลือบมองกัน ทั้งคู่เห็นความกังขาในสายตาของอีกฝ่าย 


 


 


พวกนางจับจุดของศัตรูได้แล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจ ศัตรูรายนี้… เป็นแค่สัตว์ปีศาจสองตน!  


 


 


สัตว์ปีศาจพวกนี้มีรูปร่างเหมือนหมาป่าทั้งคู่ ตัวหนึ่งกำลังแบกอีกตัวอยู่บนหลัง ตัวที่ยืนอยู่ที่พื้นคือสัตว์ปีศาจระดับสี่ที่มีสายตาดุร้าย ตัวที่ขี่อยู่บนหลังของตัวแรกมีขาหน้าสั้นและเดินไม่ได้แต่มีสายตาที่เจ้าเล่ห์ 


 


 


หมาป่าสองตัวกับคนสองคน ทันใดนั้นโม่เทียนเกอได้ยินเว่ยจยาซือกระซิบ “นี่คือปีศาจสองโสมม”  


 


 


โม่เทียนเกอถึงกับตกใจ ปีศาจสองโสมมว่ากันว่าเป็นสัตว์ปีศาจสองตัวที่ลงมือร่วมกัน มีคำกล่าวในโลกมนุษย์ว่า “พวกวายร้ายรวมหัวกันเพื่อทำสิ่งชั่วร้าย” ที่มาจากเรื่องเล่าของหมาป่าและหมาป่าขาสั้น สัตว์ทั้งสองตัวร่วมมือกันทำสิ่งไม่ดี ปีศาจสองโสมมพวกนี้ก็เป็นคู่หมาป่าและหมาป่าขาสั้นเช่นกัน ความแตกต่างคือสองตัวนี้เป็นสัตว์ปีศาจ 


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจได้ทันที โดยปกติมีเพียงแค่สัตว์ระดับแปดและสูงกว่าเท่านั้นที่จะมีความฉลาดพอใช้ม่านพลัง แต่เจ้าหมาป่าขาสั้นนี้แตกต่างไป มันฉลาดตั้งแต่กำเนิด พึ่งพาพละกำลังของหมาป่าขณะที่ตัวมันทำหน้าที่คิด ปีศาจทั้งสองตัวต้องพึ่งพากันและกันในการล่าอาหารและฝึกตนเพื่อเพิ่มระดับของพวกมัน 


 


 


ในสัตว์ปีศาจทั้งสองตัวที่อยู่ด้านหน้าพวกนาง ตัวหมาป่าอยู่ในระดับสี่แต่หมาป่าขาสั้นอยู่แค่ระดับสอง ถึงอย่างนั้น ปีศาจสองโสมมพวกนี้กลับสามารถใช้ม่านพลังได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงม่านพลังอำพรางวิญญาณที่ธรรมดามากก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่สัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ สามารถใช้ได้เมื่อพวกมันเข้าถึงระดับแปดแล้วเท่านั้น 


 


 


ถ้าเป็นเช่นนั้น ม่านพลังคุ้มกันสวรรค์เหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นโดยปีศาจสองโสมมพวกนี้งั้นหรือ แต่เมื่อพิจารณาถึงกำลังที่มี มันไม่น่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้… 


 


 


พวกนางไม่มีเวลาคิดขณะที่หมาป่าตรงหน้ากระโดดขึ้นในทันใด ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือขว้างเครื่องมือเวทของแต่ละคนออกไปทางหมาป่า 


 


 


กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทอง ส่วนแหวนอธิษฐานปล่อยรังสีสีเงินเย็นเยือกออกมา ในชั่วพริบตา แสงทั้งสองชนปะทะรวมกันเข้ากับสายฟ้า 


 


 


ลำแสงสีทอง รังสีสีเงิน และสายฟ้า แสงสามประเภทผสมผสานรวมเข้าด้วยกันก่อเกิดเป็นแสงเจิดจ้าบาดตาที่เกือบทำให้พวกเขาไม่สามารถลืมตาได้ 


 


 


ปีศาจหมาป่าอยู่แค่ในระดับสี่ซึ่งเทียบเท่ากับขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือก็อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังเช่นกัน เมื่อพิจารณาถึงเครื่องมือเวทอันโดดเด่นที่พวกนางมี โอกาสชนะของพวกนางจึงไม่ได้น้อยเลย 


 


 


ขณะนั้นเอง เว่ยจยาซือพลิกข้อมือปล่อยเครื่องรางจำนวนหนึ่งออกไปข้างหน้า 


 


 


ปีศาจหมาป่าจ้องนางอย่างเ**้ยมโหดขณะที่ปีศาจหมาป่าขาสั้นกระโดดจากหลังของมันและขยับหนีไป แสงสีทองและเงินระเบิดขึ้นกะทันหันทำให้สายฟ้าอ่อนกำลังลงทีละน้อยจนกระทั่งมันหายไปในที่สุด 


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจยาว ถึงแม้ว่าปีศาจหมาป่าขาสั้นจะไม่ใช่สิ่งที่นางต้องกังวล แต่พละกำลังของปีศาจหมาป่านั้นคนละเรื่องกันเลย 


 


 


จู่ๆ หมาป่าขาสั้นก็ส่งเสียงร้องคราง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังพูดกับหมาป่า แต่ทั้งโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันกำลังพูดอะไร พวกนางทำได้เพียงคอยระวังตัวเอาไว้เท่านั้น 


 


 


“ศิษย์พี่เว่ย”  


 


 


เว่ยจยาซือดูขัดแย้งในตัวเองแต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจและพูดว่า “โจมตีก่อนเถอะจะได้ได้เปรียบ!”  


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจเจตนาของเว่ยจยาซือ ดังนั้นนางจึงยกมือขึ้นเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมา ขณะเดียวกันเว่ยจยาซือก็เอาเครื่องรางและเครื่องมือเวทหลายอย่างออกมา ซึ่งลอยขนาบไปพร้อมๆ กับกระสวยอัปสราของโม่เทียนเกอพุ่งไปยังปีศาจหมาป่าและปีศาจหมาป่าขาสั้น 


 


 


ทันใดนั้นเอง ปีศาจหมาป่าส่งเสียงหอนและปล่อยสายฟ้ามากมายออกมาจากกรามที่อ้าค้างของมัน 


 


 


เมื่อความผันผวนของพลังวิญญาณทั้งหมดเริ่มจะสงบลงในที่สุด พวกนางถึงรู้ว่าปีศาจทั้งสองตนทรุดลงที่พื้น 


 


 


โม่เทียนเกอปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวนางออก จากนั้นเดินไปทางซากของมัน “เอ!”  


 


 


เว่ยจยาซือที่บาดเจ็บเล็กน้อยถามว่า “มีอะไร”  


 


 


โม่เทียนเกอพลิกซากสัตว์ทั้งสองตัวดูและพูดว่า “กลายเป็นว่าพวกมันบาดเจ็บ” ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองตัวถึงอยู่ในม่านพลังคุ้มกันนี้ พวกมันคงจะถูกสัตว์ปีศาจตัวอื่นๆ ทิ้งไว้ ดังนั้นมันจึงสร้างภาพลวงตาขึ้นมาว่ามีสัตว์ปีศาจหลายตัวอยู่ที่นี่ขณะที่พวกมันแอบฟื้นตัวอยู่ลับๆ  


 


 


ขณะที่เว่ยจยาซือสำรวจบาดแผลของนาง นางกล่าวว่า “ค้นร่างมันดู ปีศาจขาสั้นตัวนี้ไม่เหมือนกับสัตว์ปีศาจตัวอื่น ในเมื่อมันสามารถใช้ม่านพลังได้ มันอาจจะมีสมบัติบางอย่างอยู่ในตัว”  


 


 


“อืม”  


 


 


แน่นอนว่าโม่เทียนเกอเจอสิ่งของรูปร่างเหมือนท่อนไม้หลายอันซึ่งใช้ในการวางม่านพลังโดยปีศาจหมาป่าขาสั้น โม่เทียนเกอสงสัยว่าของพวกนี้คืออะไร เพราะมันใช้แทนแผ่นและธงม่านพลังที่ปกติจะใช้ในการวางม่านพลัง ยังมีผลึกแก้วใสเล็กๆ สินแร่ และพืชวิญญาณอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีหยกชิ้นบางขนาดเท่าฝ่ามือที่ดูเหมือนกระจก มันใสและโปร่งแสง นางไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เมื่อนางถือมันขึ้นมา มันก็ก่อให้เกิดเงาสะท้อนที่ดูเหมือนมีชีวิต 


 


 


“ศิษย์พี่เว่ยดูของพวกนี้สิ” โม่เทียนเกอเอาของทั้งหมดออกมาและส่งให้เว่ยจยาซือ  


 


 


เว่ยจยาซือมีชีวิตอยู่มานานกว่าโม่เทียนเกอเกือบหนึ่งร้อยปี ดังนั้นความรู้ของนางต้องเหนือกว่าโม่เทียนเกออยู่แล้ว หลังจากนางรับของไปและตรวจดู นางก็พูดว่า “นี่คือไม้แห่งหงส์ทั้งเจ็ด นี่คือหยกจันทรา พืชวิญญาณพวกนี้มีคุณสมบัติในการรักษา และส่วนอันนี้…” นางยกแผ่นหยกชิ้นบางและพูดอย่างสงสัย “ข้าไม่รู้ว่าอันนี้คืออะไร”  


 


 


“โอ้…” ในโลกนี้มีวัตถุวิญญาณมากมาย เพราะอย่างนั้นใครจะรู้จักและจำของทั้งหมดได้ เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย โม่เทียนเกอพูด “ศิษย์พี่เว่ย ไม้แห่งหงส์ทั้งเจ็ดเหล่านี้สามารถใช้วางม่านพลังได้ ข้าขอได้หรือไม่ ส่วนของอย่างอื่นท่านเอาไปได้เลย” จากการระบุสิ่งของพวกนี้ของเว่ยจยาซือ ผลึกแก้ว สินแร่ และพืชวิญญาณอื่นๆ ถือว่าค่อนข้างมีค่าทีเดียว แต่ไม้แห่งหงส์ทั้งเจ็ดนั้นจัดว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงสำหรับคนที่ไม่สามารถวางม่านพลังได้ 


 


 


เว่ยจยาซือไม่ได้ปฏิเสธ นางพยักหน้าและพูดว่า “เอาไปสิ”  


 


 


โม่เทียนเกอจึงรับมันมาด้วยความยินดี 


 


 


“อันนี้…” เว่ยจยาซือยกแผ่นหยกชิ้นบางและพูดพร้อมขมวดคิ้ว “อันนี้ดูไม่เหมือนเป็นของธรรมดานะ เราน่าจะเอากลับไปและให้ท่านอาจารย์พิสูจน์ดู”  


 


 


“อืม”  


 


 


ทันทีที่ทั้งสองคนกำลังจะออกไป จู่ๆ แผ่นหยกก็ปล่อยแสงส่องวาบขึ้นมาทันใด 


 


 


ด้วยความตกตะลึง เว่ยจยาซือยกแผ่นหยกอีกครั้งอย่างสงสัย แต่นางก็ไม่เห็นแสงอะไรจากมันเลยแม้แต่น้อย นางพูดพึมพำ “เกิดอะไรขึ้น”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่มีคำตอบเพราะนางไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่ามันคืออะไร 


 


 


ทั้งสองคนต่างเห็นความสับสนในดวงตาของอีกฝ่าย 


 


 


ทันใดนั้นเอง แสงสว่างจ้าก็ระเบิดพุ่งออกจากแผ่นหยก ไม่ปล่อยโอกาสให้พวกนางได้ตอบสนองและดูดกลืนทั้งสองคนเข้าไปข้างในทันที 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนนางกำลังฝันอยู่ แต่นางไม่สามารถจำได้เลยว่านางฝันเกี่ยวกับอะไร ในสภาวะมึนงง นางได้ยินเสียงใครบางคนพูดอยู่อย่างเลือนราง 


 


 


“ท่านพี่ เทียนเกอเป็นอะไร” มันคือเสียงอ่อนโยนของผู้หญิง ในขณะเดียวกันนั้นเอง มือคู่หนึ่งก็ลูบหน้าผากโม่เทียนเกออย่างนุ่มนวล 


 


 


“ไม่เป็นอะไรหรอก” เสียงผู้ชายก็ฟังดูอ่อนโยนเช่นกัน เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “เทียนเกอแค่เหนื่อยเกินไป นางจะดีขึ้นเองเมื่อนางตื่นขึ้น”  


 


 


“อืม”  


 


 


มันคือแดนแห่งความฝันที่เลือนรางอีกอันหนึ่ง ความคิดประหลาดมากมายปรากฏขึ้นในจิตใจโม่เทียนเกอ บางครั้งความคิดก็ล่องลอยอยู่ในจิตใจของนาง ในขณะที่บางครั้งนางก็จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


ท้ายที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นจนได้ 


 


 


“เทียนเกอ เจ้าตื่นแล้ว!” แม่นางยังสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงของนางด้วยรอยยิ้มสุขใจและเรียกสั้นๆ ว่า “ท่านพี่! ท่านพี่!”  


 


 


ชายที่ดูคงแก่เรียนในวัยสามสิบเดินเข้ามาในห้อง เขายิ้มและพูดว่า “ที่รัก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเทียนเกอจะไม่เป็นอะไรเมื่อนางตื่นขึ้น เห็นไหม เจ้าจะกังวลอะไรกัน”  


 


 


โม่เทียนเกอจ้องคู่รักที่อยู่ตรงหน้านาง ดูเหมือนจะยังครึ่งหลับครึ่งตื่น อย่างไรก็ตาม นางเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”  


 


 


แม่นางจับมือนางและพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ช่างมันเถอะ เจ้าเด็กคนนี้! ในอนาคตเจ้าจะซุกซนเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะ! เหลือเชื่อจริงๆ เจ้าปีนขึ้นต้นไม้เพื่อจับนก! ถ้าเจ้าเป็นเด็กผู้ชายก็คงไม่เป็นปัญหา แต่เจ้าทำตามเทียนจวิ้นและทำตัวดื้อรั้นอย่างเขาได้อย่างไรกัน”  


 


 


“ท่านแม่อย่าโกรธนะ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”  


 


 


แม่นางเคาะหน้าผากโม่เทียนเกอและดุว่า “ก็ได้ แม่จะไปทำก๋วยเตี๋ยวมาให้เจ้าอิ่มท้อง ข้าจะปล่อยหน้าที่การสั่งสอนให้พ่อของเจ้า!”  


 


 


ขณะที่แม่ของนางออกไปพร้อมกับยิ้มไปด้วย พ่อของนางก็เข้ามาหา เขาอุ้มโม่เทียนเกออยู่ในอ้อมแขนและเอาหน้าผากเขาชนหน้าผากนางพร้อมพูดว่า “อืม ไข้เจ้าลดลงแล้ว ตอนนี้เจ้าน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว”  


 


 


โม่เทียนเกอก้มลงดูและสำรวจร่างกายของนาง ร่างกายนางดูผอมแห้งแรงน้อยและแขนของนางก็เล็ก ต่อให้นางยืนอยู่บนที่นอน นางก็ยังตัวเตี้ยกว่าพ่อของนางมาก 


 


 


“ท่านพ่อ ท่านจะดุข้าหรือ”  


 


 


“ไม่หรอก” พ่อของนางพูดพร้อมกับลูบหัวนาง จากนั้นเขาหันไป หมอบลงและพูดว่า “มานี่สิ พ่อจะอุ้มเจ้าออกไป การปีนต้นไม้นี่มันสนุกอย่างไรกันนะ ถ้าเจ้าอยากได้เจ้านกน้อย พ่อจะจับให้เจ้าเอง!”  


 


 


“อืม อืม! ท่านพ่อเยี่ยมที่สุดเลย ดีกว่าอากู๋ใหญ่และคนอื่นๆ ตั้งเยอะ!”  


 


 


“แน่นอน! นั่งดีๆ ล่ะ! มอ~ มอ~” พ่อของนางเลียนเสียงร้องมอของวัวและวิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับอุ้มนางขี่หลังไปด้วย 


 


 


ก่อนที่พวกเขาจะออกจากประตู นางก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนว่า “ทั้งสองคน! อย่าวิ่งไปทั่ว!”  


 


 


พ่อนางมองกลับมาและทำเสียง “มอ” เป็นคำตอบก่อนเขาจะวิ่งออกไปนอกสนามราวกับกลุ่มควันโดยมีโม่เทียนเกอยังขี่หลังเขาอยู่ 


 


 


โม่เทียนเกอตบมือชอบใจขณะที่ส่งเสียงร้องร่าเริงอย่างดังว่า “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”  


 


 


เขาวิ่งเหยาะๆ จนกระทั่งพวกเขามาถึงด้านหลังของลำน้ำเล็กๆ ในฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน พ่อของนางวางนางลงและพูดว่า “เทียนเกอ รอตรงนี้นะ”  


 


 


“อืม!” นางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น 


 


 


จากนั้นพ่อของนางโหนตัวขึ้นไปบนต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดและต้นใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน และปีนอย่างคล่องแคล่วจนในที่สุดเขาก็เจอนกตัวน้อยอยู่บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง 


 


 


“เทียนเกอ!”  


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้าและเห็นพ่อของนางยกนกตัวน้อยที่เขาถือไว้ในมือมาทางนาง 


 


 


ใบหน้าเล็กๆ แดงขึ้นด้วยความตื่นเต้น นางตะโกน “ท่านพ่อ! ข้าอยากได้! ข้าอยากได้!”  


 


 


หลังจากค่อยๆ ลงจากต้นไม้ เขาวางนกน้อยลงบนมือนางและบอกว่า “เจ้าต้องระวังนะ อย่าทำมันตายเพราะกำแน่นเกินไป เจ้าต้องดูแลมันให้ดี ในเมื่อมันถูกเราจับแล้ว แม่นกจะไม่เอาตัวมันกลับไปอีกแล้ว”  


 


 


“ทำไมล่ะ” นางถาม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความสับสน 


 


 


“เพราะตอนนี้เจ้านกน้อยมีกลิ่นของมนุษย์อยู่บนตัวมัน แม่นกจำมันไม่ได้แล้ว”  


 


 


“หา!” ด้วยความตกใจโม่เทียนเกอร้อง “ท่านพ่อ เอามันกลับไป! ข้าไม่อยากได้เจ้านกน้อยแล้ว…”  


 


 


“ไม่ได้หรอก” พ่อนางพูดพร้อมกับลูบหัว สีหน้าเขาแสดงให้เห็นความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด แต่มันทำให้นางรู้สึกกลัว “เจ้าจับมันได้แล้ว เพราะฉะนั้นแม่นกจึงไม่ต้องการมันอีกแล้ว…”  


 


 


“จิ๊บ! จิ๊บ!” พอได้ยินเสียงนกร้องดัง โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นก็เห็นนกตัวใหญ่สองตัวกำลังร้องอย่างโกรธจัดมาทางนาง ราวกับพวกมันรู้ว่านางเป็นคนฉกลูกของมันไป 


 


 


“ไม่! มันไม่ใช่อย่างที่เห็น!” นางตะโกนบอก จากนั้นนางแบมือเพื่อเสนอนกน้อยที่นางถืออยู่ให้กับพวกมัน “ขะ-ข้าจะคืนมันให้เจ้า…”  


 


 


แม่นกยังคงร้องอย่างดุเดือดแต่ไม่ได้ดูเหมือนว่าพวกมันจะบินลงมา พวกมันยังคงกระพือปีกต่อไปจนในที่สุดพวกมันก็บินหนีไป 


 


 


นางถือนกตัวน้อยไว้ในมือขณะที่ทั้งร่างสั่นสะท้าน เมื่อนางหันกลับไป พ่อของนางก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว 


 


 


หมู่บ้านตระกูลโม่ทั้งหมู่บ้านว่างเปล่าไร้ผู้คน รู้สึกราวกับว่าสายลมก็ยังหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว 


 


 


นางก้มลงและจ้องมองนกตัวน้อย ทั้งสองต่างถูกทิ้ง 


 


 


นกน้อยไม่สามารถส่งเสียงร้องใดๆ ได้ มันแค่อ้าจะงอยปากและพยายามยืนตัวสั่นบนฝ่ามือนางก่อนที่จะหันมามองนาง 


 


 


มีความอ่อนแอ ความสงสาร ความโกรธ และความดุร้ายอยู่ในสายตาของมัน 


 


 


ทันใดนั้นเอง นกน้อยที่เมื่อครู่นี้ยังไม่สามารถสยายปีกได้ จู่ๆ ก็บินขึ้นมาจิกตาของนางอย่างโหดเ**้ยม​​​​​​​ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม