โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 115-121

 โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.115 – กำจัดแม่พันธุ์แมงมุม


 


กระบวนท่ามีดผลาญสวรรค์ เป็นกระบวนท่าวรยุทธที่ถูกประเมินว่าอยู่ในระดับ A แต่มันพิเศษตรงที่ยิ่งกำลังภายในแข็งแกร่งเท่าใด ก็ยิ่งระเบิดพลังได้มากเท่านั้น


 


ว่ากันว่าหากกระบวนท่านี้ถูกใช้ออกโดยผู้ที่ครอบครองกำลังภายในอันทรงพลัง มันจะสามารถระเบิดอำนาจออกไปได้ถึงระดับ S เลยทีเดียว


 


ฉินเฟิงตอนนี้แม้จะเรียนรู้กระบวนท่ามีดผลาญสวรรค์แล้วก็จริง แต่กำลังภายในของเขาก็ยังไม่มากพอ สามารถระเบิดอำนาจที่แท้จริงของมันออกมาได้เพียง 1 % จากทั้งหมดเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามกระบวนท่าพื้นฐานที่สามของมีดผลาญสวรรค์ : พลุไฟสงครามที่ปะทุขึ้นไปถึงชั้นฟ้าในปัจจุบัน แม้จะสำแดงพลังออกมาได้เพียง 1 % แต่มันก็ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจ


 


วิซ!


 


ร่างสองร่างปรากฏขึ้นอีกครั้งในสถานที่ห่างไกล —เป็นฉินเฟิงกับไป๋หลี


 


ส่วนแม่พันธุ์แมงมุมซวนเซไปข้างหน้าหลายก้าว ช่วงเวลาต่อมา มันก็เกิดความรู้สึกล่องลอย คล้ายกับช่วงลำตัวส่วนหลังของมันเบาขึ้น


 


นั่นเพราะก่อนจะเทเลพอร์ตจากไป ฉินเฟิงอาศัยช่วงที่พลุไฟพวยพุ่งออกจากมีด ตัดสะบั้น ช่วงหลังแมงมุมแม่พันธุ์กลายเป็นขาดครึ่ง!


 


อย่างไรก็ตาม เผ่าพันธุ์แมลงเป็นตัวตนที่ครอบครองพลังชีวิตสูงมหาศาล ดังนั้นแม่พันธุ์แมงมุมเลยไม่ตายทันที


 


ทางฝั่งฉินเฟิง เวลานี้ใบหน้าของเขาซีดเผือด ในตันเถียนว่างเปล่า แม้ปริมาณกลุ่มหมอกกำลังภายในของเขาจะมีอยู่กว่า 40 ก้อน มากกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F9 ถึง 4 เท่า แต่ปัจจุบัน มันถูกสูบไปจนเกลี้ยง เท่านี้ก็พอจะบอกได้ว่าพลุไฟสงครามทรงพลังขนาดไหน


 


โชคยังดี ที่ฉินเฟิงยังคงเหลือพลังสมาธิ!


 


“ลำแสงแห่งความมืด!”


 


เส้นแสงสีดำพลันตกลงบนหัวของแม่พันธุ์แมงมุม พรากพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายไปจากมัน


 


โครม!


 


ร่างใหญ่ร่วงแน่นิ่งลงกับพื้น แม่พันธุ์แมงมุมเลือดแขนเหล็ก — จบชีวิตลงแล้ว!


 


แก่นอบิลิตี้ของฉินเฟิงเริ่มโคจรโดยอัตโนมัติ พลังที่มองไม่เห็นถูกถ่ายเทออกมาจากภายในศพของแมงมุมระดับราชันย์


 


ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของแมงมุมระดับราชันย์ตัวนี้คือการสืบพันธุ์ แม้ฉินเฟิงจะดูดกลืนมา ใช่ว่ามันจะช่วยให้เขาสืบพันธุ์อึดทนแต่อย่างใด หากแต่ความสามารถนี้คือตัวแทนของพลังชีวิตอันแข็งแกร่งต่างหาก


 


ฉินเฟิงรู้สึกได้เพียงเลือดในกายของเขากำลังเดือดพล่าน ความยืดหยุ่นว่องไวเพิ่มขึ้นมหาศาล เพิ่มขึ้นไปจนถึงจุดที่น่าเหลือเชื่อ


 


อาการบาดเจ็บที่ได้รับก่อนหน้านี้ของฉินเฟิงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่นั้น ถึงแม้ว่ากำลังภายในของเขาตอนนี้จะว่างเปล่า แต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิงได้กลับคืนมาสู่สภาวะสูงสุดอีกครั้ง กลับมาไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของความเหนื่อยล้า!


 


“ยอดเยี่ยม!”


 


ฉินเฟิงทดลองบีบคลายกำปั้นของเขา ตนสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพได้พัฒนาไปถึงเลเวล F5


 


แต่ในตอนนั้นเอง ก็เริ่มปรากฏเสียงดังกรอบแกรบขึ้นโดยรอบ ท่ามกลางความมืดมิด ในสถานที่ซึ่งไกลออกไปจนมิอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า พวกแมลงสัตว์ร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา


 


ระหว่างที่ราชันย์สัตว์ร้ายกำลังต่อสู้ พวกแมลงตนอื่นๆจะไม่คิดเข้าร่วม เพราะจะเป็นการขัดแข้งขัดขา และเป็นเหตุผลมากพอให้ราชันย์สัตว์ร้ายจะตัดสินใจลงมือสังหารพวกมัน


 


พวกมันเลยจำต้องยับยั้งชั่งใจด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแย่งอาหารไปจากราชันย์สัตว์ร้ายได้


 


แต่ตอนนี้ เนื่องจากความตายของราชันย์สัตว์ร้าย ทำให้ความหวาดกลัวในตัวแม่พันธุ์แมงมุมมลายไปสิ้น และเป้าหมายอาหารของพวกมันก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน


 


จากเดิมเป้าหมายคือฉินเฟิง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นซากศพของแม่พันธุ์แมงมุม –สำหรับเผ่าพันธุ์แมลงแล้ว เนื้อของสัตว์ร้ายระดับสูงกว่า นับเป็นยาบำรุงกำลังชั้นยอด!


 


“ความมืดเอ๋ย จงช่วยฉันบดบังทุกสรรพสิ่ง โอบกอดทมิฬ!”


 


ศิลานรกเริ่มสำแดงพลังอีกครั้ง หมอกมืดพลันปรากฏขึ้น หมอกนี้ปกคลุมฉินเฟิง , ไป๋หลี และซากศพของแม่พันธุ์แมงมุม คล้ายเป็นโลกใบเล็กๆที่ถูกแยกออกมา


 


ส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งพวกแมลง หรือกระทั่งผู้ใช้พลังบางคนที่สังเกตการณ์อยู่ ไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้


 


“เร่งมือเลยเสี่ยวไป๋ รีบเก็บรวบรวมพวกสินสงครามอย่างกรงเล็บตรงปลายเท้าแมงมุม และแก่นพลังงานของมันเร็วเข้า”


 


ที่ฉินเฟิงใช้ความมืดบดบังทุกสายตาแบบนี้ แน่นอนว่าย่อมเพราะไม่ต้องการหลบหนีโดยทิ้งสินสงครามไปอย่างเปล่าประโยชน์


 


นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยอบิลิตี้ของไป๋หลีอีกด้วย กล่าวได้ว่าแม้การต่อสู้ในครั้งนี้จะกินพื้นที่เป็นวงกว้าง แต่คนอื่นๆก็ไม่ได้เห็นไป๋หลีลงมือเลย ดังนั้นหากจู่ๆซากแมงมุมยักษ์หายไป ทั้งหมดคงได้แต่สันนิษฐานว่า อาจเป็นฝีมือของอุปกรณ์มิติขนาดใหญ่เท่านั้น


 


ไป๋หลีเริ่มทำหน้าที่ของตนอย่างรวดเร็ว ใบมีดมิติปะทุขึ้นในอากาศ ขาทั้งแปดข้างของแม่พันธุ์แมงมุมถูกตัดขาดทันที และมีอยู่สามขาในนั้นที่ขาดครึ่งไปก่อนแล้ว เนื่องจากฝีมือของฉินเฟิง


 


ไป๋หลีเก็บรวบรวมพวกมันลงในพื้นที่มิติทันที จากนั้น เธอก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ช่องว่างมิติผุดออกมา และแก่นพลังงานขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลก็ปรากฏขึ้นในมือเธอ


—เป็นแก่นพลังงานของแม่พันธุ์แมงมุม


 


ตรงในส่วนบริเวณที่ฉินเฟิงใช้เปลวเพลิงสงครามพวยพุ่งไปสู่ชั้นฟ้า ถูกแผดเผาจนเปลี่ยนเป็นสีโค้ก ฉินเฟิงมองหาตำแหน่งดีๆสักพักหนึ่ง ก่อนจะใช้มีดกษัตริย์ครามเฉือนเนื้อของมัน


 


ปุด …


 


เลือดสีเขียวเข้มไหลทะลักออกมา ส่วนฉินเฟิงยังคงหั่นลึกเข้าไป


 


ไม่นานนัก เขาก็ค้นพบถุงกักเก็บเส้นใยของแม่พันธุ์แมงมุม


 


ถุงเก็บใยมีขนาดใหญ่ทีเดียว มันยาวกว่า 3 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 1 เมตร


 


“ช่วยเก็บเจ้านี่ด้วยนะ”


 


ฉินเฟิงโยนถุงเก็บใยไปทางไป๋หลี


 


ไป๋หลีเก็บมันลงในพื้นที่มิติอย่างรวดเร็ว จากนั้น ฉินเฟิงก็เริ่มปลดปล่อยเพลิงโลกันต์อีกครั้ง


 


เปลวเพลิงโถมปกคลุมร่างมหึมาของแม่พันธุ์แมงมุม เริ่มแผดเผามัน


 


เมื่อไร้ซึ่งแก่นพลังงานคอยสนับสนุน ซากศพของแม่พันธุ์แมงมุมก็กลายเป็นอ่อนแอ และถูกเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าอย่างรวดเร็วโดยฉินเฟิง


 


ถึงเวลานี้ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นดิน ปัดเป่าความมืดมิดให้จางหายไป


 


ฉินเฟิงกระโดดขึ้นไปควบม้าศึก เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นตาม พากันวิ่งออกจากหมอกมืดไป


 


“ความมืดเอ๋ย จงกลับคืน!”


 


รูนจำนวนมากสลายไป เปิดเผยถึงฉากภายใน ซากศพแม่พันธุ์แมงมุมได้หายไปแล้ว หลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง


 


กองทัพแมลงเมื่อเข้ามาประชิดถึงจุดที่แม่พันธุ์แมงมุมเสียชีวิต ก็พบว่ามันหลงเหลือเพียงกองขี้เถ้าบนพื้นเท่านั้น พวกมันไม่อาจตามหาสิ่งที่ตนต้องการได้


 


แต่ก็ยังมีฝูงแมลงกลุ่มหนึ่งพบเจอฉินเฟิงกับไป๋หลีระหว่างทางพอดีเหมือนกัน


 


แต่นี่ไม่นับเป็นอุปสรรคแต่อย่างใดสำหรับม้าศึก มันยังคงควบทะยานต่อไป เหยียบย่ำพุ่งชนฝูงแมลง แหวกเปิดเส้นทางด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ


 


พริบตาเดียว ฉินเฟิงก็สามารถออกจากย่านการค้าของเมืองหาน มุ่งหน้าขึ้นสู่ถนนหลัก


 


พวกแมลงที่ยังไม่ตาย และบางส่วนที่บริเวณใกล้เคียงเริ่มไล่ตามล่าเขา จำนวนเริ่มมากขึ้นจนท้องถนนยุบยับ ปกคลุมไปด้วยพวกมัน


 


หึ่ง หึ่ง


 


ด้วงกระหายเลือดที่ครอบครองความรวดเร็วเป็นพิเศษ บินไล่ล่าฉินเฟิง


 


วิซ!


 


มีดกษัตริย์ครามถูกกวัดแกว่งออกไป สะบั้นหัวด้วงสองตัวที่ตามมาจนขาดเป็นสองท่อน


 


แม้กระดองภายนอกของพวกมันจะแข็งทนทาน แต่ก็ไม่อาจเทียบเปรียบกับคมกล้าของมีดกษัตริย์ครามได้


 


อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังยังคงคราคร่ำไปด้วยกองทัพแมลงที่ไล่ตามมา


 


“หาที่ตาย!”


 


ฉินเฟิงเหลียวหลัง สบถโกรธเกรี้ยว กระตุ้นพลังสมาธิอย่างเดือดพาล


 


“เพลิงโลกันต์!”


 


รูนไฟพรั่งพรูออกมาในพริบตา ตามเส้นถนนที่ฉินเฟิงใช้หลบหนี เกิดการปะทุของเปลวเพลิงทรงอำนาจขึ้นทันที


 


ตูม ตูม ตูมมมม!


 


ท่ามกลางเปลวเพลิง ถังน้ำมันในรถยนต์หลายคันถูกจุดชนวน เกิดการระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน


 


ถนนเป็นเส้นยาวกว่า 50 เมตร และกองทัพแมลงอีกกว่าหลายพันตัวที่ออกไล่ล่า ถูกระเบิดไฟสังหารตกตายโดยสิ้นเชิง!


 


ถนนหลักได้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หากไม่นับเสียงปะทุของเปลวเพลิง


 


“ไปเถอะ”


 


ฉินเฟิงกระตุ้นม้าศึกอีกคราว ควบไปข้างหน้า เนื่องจากเพลิงโลกันต์ยังไม่มอดดับลง พวกแมลงที่ยังไม่ตาย และไล่ตามมาจากเบื้องหลังเลยไม่สามารถติดตามเขาต่อได้ ถูกสลัดหลุดโดยฉินเฟิง


 


ตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ตลอดทั้งเมืองหานถูกปกคลุมด้วยกองทัพแมลง ไม่มีผู้คนอยู่ตามท้องถนน แต่ฉินเฟิงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขาควบม้าศึกไปตามถนน จนมาถึงอาคารหลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว


 


และบนตึกของอาคารที่ว่า มันก็คือรังแมงมุมที่แม่พันธุ์ถักทอใยสร้างเอาไว้นั่นเอง


 


“อ๊า!”


 


“ฆ่าฉันเถอะ ฆ่าฉันที”


 


“มันเจ็บ! ปวดเหลือเกิน!”


 


เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


ทั้งหมดล้วนดังออกมาจากรังไหม —ใช่แล้ว มนุษย์ที่อยู่ในรังไหมยังไม่ตาย!


 


แม่พันธุ์แมงมุมเลือดแขนเหล็กยังไม่ปล่อยให้พวกเขาตายลงในทันที แต่มันฉีดไข่เข้าไปในร่างของมนุษย์เหล่านี้ เพื่อใช้เลือดและเนื้อของพวกเขา เป็นสารอาหารในการฟักไข่ลูกแมงมุม หลังจากลูกแมงมุมฟักเป็นตัวแล้ว ก็จะได้กลืนกินเนื้อสดๆของมนุษย์ นั่นแหละถึงจะเป็นเวลาตายของพวกเขา


 


ปัจจุบัน ทั้งหมดกำลังถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม!


 


“เพลิงโลกันต์!”


 


สะเก็ดเปลวไฟกระจายออกไป เริ่มเผาไหม้ตามใยแมงมุม


 


แม้จะเป็นใยระดับราชันย์ แต่ก็เกรงกลัวไฟเหมือนกัน ยิ่งเป็นไฟของฉินเฟิงที่ได้รับการกลายพันธุ์จากศิลานรก คงไม่ต้องกล่าวถึง


 


เปลวไฟยังคงแผดเผาไม่หยุดยั้ง ลุกลามไปทั่วรังแมงมุม มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ


 


ใยแมงมุมเริ่มร่วงหล่น มนุษย์ในรังไหมก็เริ่มถูกกลืนกินโดยเปลวเพลิง


 


ฉินเฟิงยืนอยู่ใต้อาคาร เฝ้ามองดูทุกคนในใยแมงมุมถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าด้วยสีหน้าเย็นชาและแข็งกระด้าง


 


ช่วงสิบปีก่อนที่เขาจะถือกำเนิดใหม่ เจ้าตัวผ่านเรื่องราวมามากมายเกินไป ดังนั้นย่อมไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ แล้วอีกอย่าง การทำเช่นนี้ ถือเป็นการมอบจุดจบที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาแล้ว …


Ep.116 – เรื่องที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง


 


หลังจากเผารังแมงมุม ฉินเฟิงก็เดินทางกลับโรงแรม นอกจากนี้ ระหว่างทางเขายังได้กวาดล้างกองทัพแมลงไปเป็นจำนวนมาก


 


เมื่อเขากลับมาถึง ก็พบว่าเหอหลิงกับคนอื่นๆออกมารออยู่ด้านหน้าโรงแรมแล้ว ทั้งหมดต่างมองไปทางฉินเฟิงด้วยความเคารพ แต่ก็ยังมีร่องรอยของความสับสนอยู่เช่นกัน


 


แม้ว่าตลอดทั้งเมืองหานจะตกอยู่ท่ามกลางดงศัตรู แต่อุปกรณ์สื่อสารของผู้คนก็ยังคงใช้งานได้  ฉินเฟิงทำอะไรบ้างข้างนอกนั่น ไม่มีใครไม่รับรู้ บางคนถึงขั้นสามารถถ่ายเหตุการณ์บางส่วนที่เกิดขึ้นเอาไว้ได้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เขากำลังหลบหนีการไล่ล่าของกองทัพแมลง ช่างเป็นอะไรที่น่าประทับใจ


 


ฉินเฟิงกำลังควบขี่ม้า โดยมีกองทัพแมลงไล่ล่าอยู่เบื้องหลัง ช่างภาพสามารถซูมจับสีหน้าของฉินเฟิงได้อย่างชัดเจนในเวลานั้น และพบว่าฉินเฟิงหาได้แสดงออกถึงความหวาดกลัวไม่ แต่มันคือสีหน้าที่กำลังโกรธจัด!


 


และเพราะความโกรธนี้ ฉินเฟิงเลยระเบิดเปลวเพลิงสูงตระหง่าน ปกคลุมไปตลอดทั้งถนนกว่า 50 เมตร เกิดระเบิดและแรงปะทะสนั่นหวั่นไหว ช่างภาพคนนั้นเลยไม่สามารถถ่ายต่อ ทำได้เพียงหลบอยู่หลังกำแพงที่ห่างออกไป จนกระทั่งฉินเฟิงจากไป เขาจึงค่อยๆผุดลุกขึ้น มองผ่านหน้าต่าง และเห็นถึงฉากที่กลายเป็นซากปรักหักพังเบื้องหน้า


 


‘ต้องครอบครองอำนาจเพียงใดกัน จึงจะสามารถระเบิดอบิลิตี้ที่รุนแรงได้ถึงขนาดนี้?’


 


—-


 


ช่วงเวลาเดียวกัน นอกเหนือไปจากเหอหลิงคนอื่นๆในทีมของเขาแล้ว หลิวซู หลิวเซินซานเองก็ได้รับชมมันเช่นกัน


 


กระทั่งพวกที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้และยึดครองห้องใต้ดินอยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดล้วนได้รับชม


 


พวกเขาไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าฉินเฟิงจะแข็งแกร่งอย่างที่ลั่นวาจาเอาไว้ หากพวกเขารู้ พวกเขาคงตามฉินเฟิงออกมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว


 


“ฉินเฟิง ฉันขอถามอะไรนายหน่อยจะได้ไหม … ” หลิวซูลังเลอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเอ่ยปาก


 


สายตาของคนอื่นๆต่างจับจ้องไปทางฉินเฟิงที่กำลังกัดเนื้อแห้งอยู่ แม้รสชาติจะดี แต่ให้พลังงานน้อย มันถูกใช้เพื่อลดทอนความหิวโหยเท่านั้น


 


“ว่าไง?” ฉินเฟิงตอบกลับ และฉีกเนื้อส่วนหนึ่งมอบให้แก่ไป๋หลี


 


ไป๋หลีกัดไปคำหนึ่ง แต่ก็เร่งคายมันออกมา แลบลิ้นถ่มน้ำลายทันที


 


“เผ็ดจัง!”


 


ฉินเฟิงยิ้ม และยื่นมือไปค่อยๆลูบหัวของอีกฝ่าย


 


หลิวซูพอเห็นฉากนี้ เธอรู้สึกราวกับว่าไม่สามารถถามสิ่งที่เธออยากจะพูดออกมาได้


 


อย่างไรก็ตาม เธอมีข้อสงสัยในหัวใจ ฉะนั้นกัดฟันพูดออกไป


 


“ฉินเฟิง ด้วยความแข็งแกร่งของนาย คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะออกไปจากที่นี่ใช่ไหม? แล้วทำไมจนถึงตอนนี้ นายยังไม่จากไปอีก?”


 


เมื่อวานนี้ฉินเฟิงออกไปสู้ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืน ใช้เทคนิคอันลึกล้ำยิงกระสุนปืนใหญ่ไปนับสิบลูก กดดันราชันย์สัตว์ร้ายจนล่าถอยได้ ฉากดังกล่าวสะท้อนเข้ามาในจิตใจของวังเฉินและคนอื่นๆ


 


หลังจากนั้นพอรุ่งเช้า บางคนถึงสามารถบันทึกวิดีโอของฉินเฟิงเอาไว้ได้


 


พวกเขาเองก็คิดเช่นกัน ว่าหากฉินเฟิงต้องการจะออกไป ย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับไม่ทำเช่นนั้น


 


เดิมทีพวกเขาสงสัยว่าฉินเฟิงคงจะชอบหลิวซู เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลิวซูนับว่าเป็นหญิงงามของเมืองนี้เช่นกัน แต่ลองดูฉากที่เขาลูบหัวแฟนตัวเองตอนนี้สิ มองยังไงข้อนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้!


 


สายตาของฉินเฟิงเบนมองแต่ละคน


 


ฝูงชนทั้งหมดเฝ้าดูฉินเฟิงอย่างระมัดระวัง


 


ฉินเฟิงแข็งแกร่ง พวกเขาชื่นชม แต่ก็ยังหวาดกลัวเช่นกัน


 


หวาดกลัวว่าฉินเฟิงจะจากไปเพียงลำพัง! แล้วทิ้งพวกเขาไว้กับความสิ้นหวัง!


 


ฉินเฟิงนึกคำตอบหนึ่งขึ้นได้ในหัวใจ


 


“ถือว่านี่เป็นของขวัญตอบแทนลุงหลิว ที่ยอมเสี่ยงชีวิตสร้างมีดกษัตริย์ครามโฉมใหม่ให้กับฉันก็แล้วกัน” ฉินเฟิงกล่าว


 


เพราะเงินค่าจ้างในการสร้างมีดกษัตริย์ครามโฉมใหม่ ลุงหลิวไม่ได้ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีลุงหลิวสามารถตัดสินใจอยู่ในห้องใต้ดิน และรอคอยการช่วยเหลืออย่างเงียบๆก็ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกมาพร้อมกับฉินเฟิง ยอมรับความเสี่ยงนี้


 


หลิวเซินซานเองก็ไม่คาดฝันว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้เหมือนกัน ใบหน้าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย


 


“ไม่หรอกฉินเฟิง เป็นเพราะเธอต่างหาก ลูกสาวฉันถึงรอดชีวิตกลับมาได้ ตรงส่วนนี้ฉันยังไม่ได้ตอบแทนเธอเลย” หลิวเซินซานกล่าว


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่อาจทนรับต่อคำสำนึกคุณของหลิวเซินซานได้ เขาขบคิดพักหนึ่ง และเอ่ยต่อ “ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือผมมีสถานที่ชุมชนเป็นของตัวเอง และกำลังต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคอันหลากหลาย และผมคิดว่าลุงหลิวน่ะครอบครองเทคนิคในการสร้างอุปกรณ์รูนชั้นยอด เลยอยากที่จะชักชวนลุง!”


 


ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่หลิวเซินซานที่ตกตะลึง แต่กระทั่งคนอื่นๆก็กลายเป็นโง่งม!


 


มีสถานที่ชุมชนเป็นของตัวเองอย่างงั้นหรอ?


 


นี่มันเทียบเท่ากับการดำรงอยู่ระดับชิเทียนไห่เลยไม่ใช่รึไง?


 


อันที่จริงแล้ว การไปเกลี้ยกล่อมคนจากสถานชุมชนแห่งอื่นให้มาอยู่กับตนเองแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องดี ใครๆก็รู้ แต่หลิวเซินซานเป็นเพียงช่างเทคนิคที่มีฝีมือทั่วๆไป นั่นไม่น่าจะมีปัญหา ตรงกันข้ามกับหลิวซู แบบนั้นคงมีปัญหาตามมาเพราะเธอเป็นคนมีตำแหน่ง


 


นี่จริงๆแล้วฉินเฟิงคิดจะมาชักชวนหลิวเซินซานตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรอ?


 


เรื่องนี้ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจจริงๆ


 


แต่คนอย่างฉินเฟิง มีหรือจะคาดคำนวณความคิดของตนเองผิดไป?


 


คนอย่างหลิวเซินซานน่ะหรือครอบครองเทคนิคในระดับทั่วๆไป?


 


มันไม่ใช่แบบนั้นเลย อันที่จริงแล้ว ในอนาคตของชีวิตก่อน หลังจากหลิวเซินซานเดินทางออกจากเมืองหาน เมื่อต้องสูญเสียลูกสาวไป อาการของเฉียวหยานก็ไม่ค่อยจะสู้ดี พอถูกสถานการณ์บีบบังคับ หลิวเซินซานเลยกลายเป็นฮึดสู้! เขาทุ่มเทกับงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จนสุดท้ายสามารถกลายเป็นปรมาจารย์ในด้านผลิตอุปกรณ์รูนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง!


 


เพียงแต่หลิวเซินซานในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีแรงกระตุ้นให้ได้รับโอกาสที่ว่าก็เท่านั้นเอง


 


“นี่ … ” จู่ๆหลิวเซินซานก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี


 


“ลุงหลิวครับ เมืองหานตอนนี้ได้ล่มสลายลงแล้ว ต่อให้จะสามารถหาอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติมาแทนอันเก่าได้อีกครั้ง ก็น่ากลัวว่าเมืองจะไม่เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการพัฒนา  ด้วยข้อจำกัดมากมายถึงขนาดนี้ ทำไมลุงถึงไม่ออกไปกับผมล่ะ? ถ้ามากับผม สิ่งใดที่ลุงต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง , เกียรติยศ หรือชีวิตอันสงบสุข ผมสัญญาว่าจะมอบที่พูดมาทั้งหมดให้กับลุงเอง!”


คำกล่าวนี้ของฉินเฟิง ราวกับเวทมนต์ที่ทำให้หลิวเซินซานรู้สึกเหม่อลอย


 


ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตั้งแต่ที่ได้พบกับฉินเฟิง หลิวเซินซานก็รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ ดูจะสนทนาและมีความคิดอ่านที่คล้ายกับตนเอง เหมือนว่าทั้งสองรู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว — พูดอะไรออกมาก็ดูน่าเชื่อถือ


 


“ตาแก่หลิว มัวลังเลอะไรอยู่อีก? ฉันเห็นด้วยกับความคิดของน้องฉินนะ” เฉียวหยานเร่งกล่าว


 


เพราะตอนนี้หากไม่เออออกับฉินเฟิง แล้วฉินเฟิงโกรธเดินจากไป ใครกันจะคอยปกป้องพวกเธอ?


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องคำพูดของฉินเฟิง ที่ไม่มีอะไรฟังดูน่าสงสัยเลย


 


หลิวเซินซานพยักหน้าเด็ดเดี่ยว “ขอบคุณน้องฉินที่เลือกฉัน เป็นหนี้เธอซะแล้ว หลังจากนี้ไปฉันสัญญาว่าจะช่วยเธอทำงานอย่างเต็มความสามารถ!”


 


ฉินเฟิงยิ้มและกล่าว “ลุงหลิว ลุงจริงจังเกินไปแล้ว ขอแค่ลุงยอมมาผมก็ดีใจแล้ว”


 


หลังจากเกิดใหม่ และได้รับหุ้นส่วนที่สามารถไว้วางใจได้ ฉินเฟิงก็รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก


 


ในชีวิตใหม่ มันมีอยู่สองสามอย่าง ที่ฉินเฟิงต้องการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรมของโจวฮ่าว


 


แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่าง ที่ฉินเฟิงไม่ยินดีให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือในเรื่องมิตรภาพที่ไม่ทอดทิ้งกัน อย่างเช่นของตนกับหลิวเซินซาน


 


และตอนนี้ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี


 


“ถ้าอย่างงั้นฉินเฟิง นายต้องการจะพาพวกเราไปตอนนี้เลยรึเปล่า?” หลิวซูเอ่ยปากอีกครั้ง


 


ฉินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย “นั่นขึ้นอยู่กับลุงหลิว!”


 


หลิวเซินซานตอบกลับไป “ฉินเฟิง เธอเพิ่งต่อสู้มาตลอดทั้งคืน ตอนนี้พักผ่อนก่อนดีกว่า เรื่องที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง”


 


ต้องทราบนะว่า ศัตรูของฉินเฟิงน่ะคือราชันย์สัตว์ร้าย ดังนั้นเวลานี้เขาย่อมเหนื่อยล้า


 


ปัจจุบันฉินเฟิงไม่ใช่ผู้ใช้พลังเลเวล A เหมือนกับในชีวิตก่อน พลังงานของเขาอยู่ในเลเวล F เท่านั้น ไม่ต้องกล่าวถึงการท้าทายราชันย์สัตว์ร้าย ตอนนี้ต่อให้สู้กับนายพลสัตว์ร้ายระดับสูงบางตัวยังยากเลย


 


“ตกลงตามนั้นครับ”


 


ฉินเฟิงพยักหน้า หลังจากกินอีกเล็กๆน้อยๆ เขาก็หาสถานที่เหมาะๆในการนอน โชคดีที่สถานที่แห่งนี้คือโรงแรม และก่อนหน้านี้ก็มีใครบางคนเอาฟูกบางส่วนมาวางบนพื้น เหมาะที่จะใช้พักผ่อนพอดี


 


เสี่ยวไป๋เป็นธรรมดาที่จะเลือกนอนลงข้างๆฉินเฟิง เธอโน้มตัวลง ซุกเข้าไปในอ้อมแขนเขา และหลับตาม


 


ทั้งสองนอนกอดกันและกัน ผล็อยหลับไป ฉากนี้ทำให้คนอื่นๆรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เลยพากันแยกย้ายไปอีกห้องหนึ่ง


 


แต่ฉินเฟิงนอนได้เพียงไม่นาน น่าจะราวๆ 2 ชั่วโมง เขาก็ถูกปลุกด้วยเสียงกรีดร้อง!


 


ฉินเฟิงลืมตาขึ้น กวาดมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง เมื่อไม่พบสิ่งใด ก็ปลดปล่อยพลังสมาธิอย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจสอบอันตราย


 


และเมื่อพบกับตัวต้นเหตุ ฉินเฟิงก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.117 – นายมันไม่ใช่มนุษย์!


 


ภายใต้พลังสมาธิ ฉินเฟิงสัมผัสได้ว่าเสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นใต้ดิน


 


มันเป็นของพวกคนที่หลิวซูพามาตั้งแต่ตอนแรก


 


เวลานี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ทั้งหมดตัดสินใจวิ่งออกมาจากห้องใต้ดิน  เมื่อฉินเฟิงรับรู้ได้ถึงหลิวซู เขาก็สัมผัสได้ถึงมังกรดินที่เพิ่งสังหารใครบางคนไป เห็นได้ชัดในตอนนั้นที่ฉินเฟิงสังหารไป ไม่ใช่พวกมันทั้งหมด


 


หากจะให้อธิบายโดยละเอียดก็คือ คนเหล่านั้น หลังจากออกมาแล้ว เป็นธรรมดาที่จะถูกดึงดูดความสนใจโดยซากของมังกรดิน และบังเอิญโชคร้ายถูกมังกรดินตัวอื่นที่ซุ่มอยู่กลืนกินเข้าไป!


 


ระหว่างคนเหล่านั้นกรีดร้อง ภายใต้พลังสมาธิ ฉินเฟิงยังรับรู้ได้ถึงอีกการดำรงอยู่หนึ่ง


 


เป็นหลิวซู!


 


หลิวซูมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล F ดังนั้นความผันผวนของพลังจึงแตกต่างจากคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เอง ฉินเฟิงเลยสามารถรับรู้ถึงฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว


 


ใบหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นน่าเกลียดทันที


 


เพราะในพลังสมาธิ นอกเหนือไปจากหลิวซูแล้ว มันยังมีมังกรดินระดับนายพลสัตว์ร้ายอยู่อีกตัว!


 


“ผู้หญิงคนนี้ พลาดเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอจริงๆ!”


 


ฉินเฟิงผลักประตูเปิดออกโดยตรง


 


ในเวลาเดียวกัน เหอหลิงกับคนอื่นๆก็บังเอิญอยู่นอกประตูก่อนแล้ว เหมือนกับว่าพวกเขาลังเลที่จะเคาะประตูเรียกฉินเฟิง


 


“มิสเตอร์ฉิน!” เหอหลิงมองไปทางฉินเฟิงด้วยความกังวลใจ “คือว่าหลิวซู เธอ … ”


 


“ฉันรู้แล้ว!” ฉินเฟิงขมวดคิ้ว เอ่ยถามด้วยความไม่สบอารมณ์ “ทำไมเธอถึงไปอยู่ที่นั่น?”


 


วังเฉินเร่งอธิบาย “จำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้พวกเราคุยกันว่าถ้าคุณตื่นขึ้นค่อยมาหารือกันว่าจะจากไป แต่หลิวซูเหมือนจะนำข่าวนี้ไปบอกกับคนอื่นๆด้วย ดังนั้นเวลานี้เลยมีผู้รอดชีวิตมากมายที่อยู่ใกล้ๆกำลังมาหาเรา เพราะต้องการที่จะฝ่าวงล้อมเมืองนี้ออกไป แต่ในบรรดาคนพวกนั้นก็มีหลายคนที่แข็งแกร่งรวมอยู่ด้วยเช่นกัน”


 


ฉินเฟิงแสยะยิ้มหยัน


 


“หลายคนที่แข็งแกร่ง? แล้วมันยังไง? เรียกคนมาเยอะๆแบบนี้น่ากลัวว่ามันจะเป็นการล่อเป้า หยิบยื่นอาหารให้กับพวกแมลงซะมากกว่า”


 


แม้บางคนที่มาสมทบจะเป็นผู้ใช้พลัง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป


 


ฉินเฟิงไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา และไม่ชอบยิ่งกว่าถ้าจะต้องถูกบังคับให้ช่วยเหลือคนเหล่านี้


 


“เพราะงั้นหลิวซูเลยลงไปที่นั่น? เพราะความยุติธรรมในหัวใจของเธอใช่ไหม?”


 


พอถูกฉินเฟิงเอ่ยถามเช่นนี้ เหอหลิงกับเซ่าเซี่ยงก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี อันที่จริงทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับการที่หลิวซูจะลงไปช่วยเหลือคนข้างล่าง ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ไปด้วย แต่พอเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยหลิวซูเหมือนกัน


 


มีแค่วังเฉินเท่านั้นที่เร่งกล่าว “ใช่ และฉันยังได้ยินพนักงานโรงแรมพูดว่า คนพวกนั้นเลวร้ายมาก เดิมทีพวกเขาเป็นคนที่มาทีหลัง แต่กลับยึดห้องใต้ดิน และทอดทิ้งครอบครัวหลิว ไม่สนด้วยซ้ำว่าใครเป็นเจ้าของสถานที่ แต่ตอนนี้พวกเขากลับร้องขอให้หลิวซูช่วยเหลือ ทำไมถึงได้หน้าด้านแบบนี้!”


 


“ก็คงไม่พ้นเป็นพวกคนรวยอีกนั่นแหละ”


 


ฉินเฟิงกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


ย้อนกลับไปตอนช่วงแรก ช่วงที่หลิวซูกำลังล่าถอยจากจตุรัสใจกลางเมือง ผู้คนที่กำลังหลบหนีในตอนนั้น ต่างเป็นคนที่มั่งคั่งไปด้วยเงินตรา เพราะหากเป็นคนจน คงไม่มีใครกล้าพูดสั่งหลิวซูซึ่งเป็นถึงหัวหน้าสาขาแบบนั้น


 


ทางหลิวซูเองก็อีกคน ดันทำตัวเป็นแม่พระไร้สมอง ไม่คิดเลยว่าจริงๆแล้วท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น ตนเองต่างหากที่มีอำนาจสั่งการ ผลสุดท้ายเลยเป็นเช่นนี้ คนพวกนั้นจึงติดตามหลิวซูเป็นปลิง จนมาถึงโรงแรม


 


“มิสเตอร์ฉิน พวกเราจะช่วยหลิวซูไหม?” เหอหลิงถาม


 


แต่วังเฉินชิงกล่าวตัดหน้า “ไม่ต้องไปที่นั่นหรอก หลิวซูสมควรจะรับมือได้ และการต่อสู้ของพวกข้างล่าง ถ้ามีตายไปบ้างก็ดี จะได้ไม่เป็นภาระต่อพวกเรา!”


 


ความคิดของวังเฉินเห็นแก่ตัวก็จริง แต่นี่ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว


 


เพราะปัจจุบันเมืองหานน่ะอยู่ท่ามกลางดงศัตรู เวลานี้ขนาดคิดจะปกป้องตัวเองยังยากเลย แล้วจะให้ไปช่วยคนอื่นอีกได้ยังไง


 


ต่อให้ฉินเฟิงแข็งแกร่งมากก็จริง แต่เขาเป็นมนุษย์เหล็กเหนื่อยไม่เป็นหรืออย่างไร? หากมีคนให้ต้องปกป้องน้อยลง มันก็ช่วยประหยัดแรงเขาได้มากกว่าไม่ใช่หรือ? ตรงกันข้าม ถ้าคนเยอะเกินไป ในเวลานั้นน่ากลัวว่าต่อให้เป็นฉินเฟิง ก็คงไม่สามารถดูแลอย่างทั่วถึง!


 


“ไม่ได้หรอก เพราะถ้าฉันไม่ไป หลิวซูอาจจะตาย ถึงจะโง่ แต่ผู้คนน่ะมักจะชอบคนที่นิสัยเหมือนกับเธอ สรุปง่ายๆว่าคนแบบเธอมีความจำเป็นต่อสถานชุมชนของฉันในอนาคต”


 


แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่เวลานี้ฉินเฟิงก็โกรธมากเช่นกัน


 


เขาเดินลงไปตามทางลงสู่ชั้นใต้ดิน ขณะนี้ผู้คนกว่า 20 ชีวิตกำลังตกอยู่ในความโกลาหล และมังกรดินอีกกว่า 3 ตัว กำลังดีดดิ้นคลุ้มคลั่ง ไล่ล่าสังหารกลางดงฝูงชน


 


อันที่จริงแล้วมังกรดินพวกนี้มีเลเวลอยู่แค่ G5 มันแข็งแกร่งแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


อย่างในช่วงที่ฉินเฟิงเพิ่งปลุกพลังขึ้นมาได้ในตอนแรกๆ ช่วงที่พลังโจมตีของเขายังต่ำมาก หากตัดสินใจอย่างเยือกเย็น เขายังสังหารเขี้ยวทารกเลเวล G3 ได้เลย


 


แม้ว่าสาเหตุนั้นจะเป็นเพราะฉินเฟิงได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมนะว่าเวลานั้นเขาสู้เพียงลำพัง แต่คนในที่นี้มีจำนวนเยอะมาก ขอแค่ช่วยกันสัก 5 คนก็น่าจะจัดการมังกรดินเลเวล G5 ตัวหนึ่งได้แล้ว ไหนจะมีหลิวซูที่ลงมาเสริมอีก เดิมทีโอกาสชนะมีความเป็นไปได้สูงแท้ๆ


 


แต่น่าเสียดาย ที่พวกเขามีกันตั้งมากมาย แต่กลับสามารถทำได้แค่วิ่งหนี!


 


หนึ่งในนั้นกำลังถูกมังกรดินไล่ตาม เขาไม่รอช้าพุ่งเข้าหาหลิวซูทันที คล้ายกับว่าต้องการให้มังกรดินหันไปเล่นงานหลิวซูแทน


 


ซึ่งขณะนี้ หลิวซูกำลังรับมือกับนายพลสัตว์ร้ายเลเวล G8 อยู่ ยากที่จะแยกสมาธิจากสถานการณ์ดังกล่าว


 


แน่นอน ว่าสัตว์ร้ายนายพลตัวนี้ไม่สามารถสังหารเธอได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลิวซูมีเลเวลที่สูงกว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายขั้น และขอเวลาอีกแค่ไม่นาน เธอก็จะสามารถสังหารคู่ต่อสู้ตรงหน้าลงได้ … แต่นั่นคือในกรณีที่ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายน่ะนะ


 


สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา เขายืนอยู่หน้าทางเข้า ยกปืนพลังงานในมือขึ้นทันใด


 


ปุด!


 


แสงสีฟ้าระเบิดออก ยิงเข้าใส่ขาของคนที่กำลังวิ่งหนีไปทางหลิวซู


 


“อ๊า!”


 


ชายคนนั้นกรีดร้องน่าสังเวช ล้มลงกับพื้น


 


มังกรดินที่กำลังไล่ตามมากระโจนไปข้างหน้าทันที มันอ้าปากใหญ่ และกลืนกินมนุษย์คนนั้นลงกระเพาะโดยตรง!


 


จากนั้น มันก็พลิกตัว และมุดกลับลงไปใต้ดิน


 


มนุษย์หนึ่งคนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มังกรดินอิ่มท้องได้ เมื่อได้รับอาหาร พวกมันก็จะกลับลงไปย่อยในสถานที่ปลอดภัย


 


ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายบนร่างกายของฉินเฟิงยังทำให้พวกสัตว์ร้ายรู้สึกหวาดกลัว พวกมังกรดินตัวอื่นๆจึงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป เร่งพากันหลบหนี


 


ทางฝั่งหลิวซู แม้เธอจะกำลังต่อสู้อยู่ แต่ก็เห็นถึงการกระทำของฉินเฟิง เธอเบิกตาค้างไปชั่วขณะคล้ายกับจะใช้สายตาในการกล่าวโทษ


 


แตเธอยังไม่มีเวลาด่าฉินเฟิง ทำได้เพียงเร่งเร้าฝ่ามือเข้าโจมตีเท่านั้น


 


“ฝ่ามือเยือกแข็ง!”


 


ฝ่ามือที่สาดไอเย็นจากน้ำแข็งปะทะเข้าใส่ร่างของมังกรดินในกระบวนท่าเดียว กำลังภายในของหลิวซูพลันระเบิดออกมา


 


“จงเยือกแข็ง!”


 


น้ำค้างแข็งสีขาวขนาดใหญ่ แช่ทั้งร่างของมังกรดินในฉับพลัน!


 


“และแหลกสลาย!” อีกฝ่ามือหนึ่งตบลงไป ร่างของมังกรดินที่เป็นก้อนน้ำแข็ง ถูกทุบจนแหลกทันที


 


—-มังกรดินระดับนายพลสัตว์ร้าย จบชีวิตลงแล้ว!


 


แต่หลิวซูกลับไม่สนใจที่จะหยิบสินสงคราม เธอหันไปมองฉินเฟิง ในแววตาฟุ้งไปด้วยความโกรธ


 


“นายทำอะไรลงไป? ทำไมถึงต้องทำร้ายเขา!”


 


“ทำไมฉันถึงต้องทำร้ายเขาน่ะหรือ?” ฉินเฟิงมองไปทางหลิวซู “เธอไม่รู้รึไงว่าเขาต้องการจะทำอะไร?”


 


แน่นอนว่าหลิวซูรู้!


 


แม้เขาจะทำแบบนั้น แต่ชายคนนั้นก็เป็นแค่คนธรรมดา เขาเพียงต้องการรักษาชีวิตของตัวเองก็เท่านั้นเอง!


 


“ความผิดของเขาไม่ถึงกับต้องชดใช้ด้วยความตาย ถ้านายต้องการช่วยฉัน ก็ควรที่จะยิงใส่มังกรดินตัวนั้นตรงๆ แค่ฆ่ามันก็จบแล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมต้องฆ่ามนุษย์ด้วย นายรู้รึเปล่า ว่าการฆ่าคนบริสุทธิ์ นายจะต้องเข้าไปรับโทษที่ศาล!”


 


ฉินเฟิงกล่าวเย้ยหยัน “ไปที่ศาล? ใครจะกล้าจับฉันไปศาล เธอน่ะหรอ? เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนรุ่นเยาว์? หรือว่าหัวหน้าแห่งหน่วยลาดตระเวนที่ล่มสลายไปแล้ว? นี่เรากำลังอยู่ท่ามกลางภัยพิบัตินะ! รู้จักผ่อนปรนซะบ้าง!!”


 


หลิวซูถูกฉินเฟิงตะคอกประชดประชัน เธอรู้สึกเพียงว่าแก้มของตัวเองเริ่มแดงเรื่อด้วยความโกรธ


 


“นายมันไร้คุณธรรม ไม่มีความเป็นมนุษย์!”


 


ฉินเฟิงมองไปยังหลิวซูด้วยความดูถูก


 


“งั้นความเป็นมนุษย์ของเธอ คือการช่วยผู้คน แล้วโยนตัวเองลงสู่ความตายสินะ?”


 


ช่วงเวลานี้ ฝูงชนที่วิ่งหนีพากันเดินกลับมาแล้ว หลังจบการต่อสู้ มีคนตายไปทั้งสิ้น 5 คน ส่วนที่เหลือโชคดีรอดมาได้ แต่ทั้งหมดต่างกำลังมองฉินเฟิงด้วยความหวาดกลัว


 


เพราะฉากเมื่อครู่ … พวกเขาเองก็เห็นมันเช่นกัน!


 


ฉินเฟิงมองคนเหล่านั้นด้วยความเย็นชา พลางยกปืนพลังงานขึ้น ชี้ไปทางพวกเขา!!


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.118 – เชือดไก่ให้ลิงดู


 


“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณบังคับให้หลิวซูกลับมารับได้ยังไง แต่การกระทำของพวกคุณ มันทำให้ผมย้อนนึกไปว่า การเรียนการศึกษาในสถาบันระดับกลาง ที่สอนสั่งการต่อสู้เบื้องต้นและการเอาชีวิตรอด มันช่างเปล่าประโยชน์!”


 


“จริงอยู่ว่าถ้าสู้ไม่ได้ก็แค่หนี แต่ไม่ใช่หนีโดนโยนภาระให้คนอื่นแบบนี้ ไม่งั้นผลลัพธ์จะเป็นเหมือนกับไอ้คนที่เพิ่งตายไป”


 


ปลายปืนพลังงานในมือของฉินเฟิง ชี้ไปทางหลุมขนาดใหญ่ที่มังกรดินขุดหนีไป


 


“ผมไม่ใช่ผู้ใช้พลังในเมืองของพวกคุณ ดังนั้นผมไม่มีภาระหน้าที่ต้องปกป้องคุณเช่นกัน ครั้งต่อไปถ้าผมยังเห็นใครทำตัวแบบเศษสวะ หวาดกลัวความตายถึงขั้นคิดจะหยิบยื่นมันให้คนอื่นแทนแล้วล่ะก็ … ”


 


“ผมจะจับมันคนนั้นโยนไปเลี้ยงเป็นอาหารแมลง โยนไปเรื่อยๆจนกว่าพวกมันทุกตัวจะอิ่ม!”


 


น้ำเสียงของฉินเฟิงดุดันมาก


 


การยิงปืนเมื่อครู่นี้ อันที่จริงมันคือการเชือดไก่ให้ลิงดู!


 


และพวกลิงทุกตัวที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ต่างกำลังสั่นสะท้าน


 


ทั้งหมดทราบแล้วว่า ฉินเฟิงนั้นแตกต่างกับหลิวซู เขาโหดร้ายกว่ามาก


 


อย่างไรก็ตาม ความหวังเดียวผู้คนก็คือฉินเฟิง หากอยากจะรอดชีวิตมันต้องอาศัยความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น


 


หลิวซูคล้ายต้องการจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง ในเบ้าตาของเธอรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งคนทั้งร่างสั่นเทา


 


แต่ฉินเฟิงกลับไม่แสดงถึงความเมตตาใดๆเลย


 


“ส่วนเธอ คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใช้พลังคงกระพันรึไง? อย่าคิดโยนตัวเองไปสู่ความตายแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่สามารถช่วยเธอได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าลุงหลิว ฉันจะไม่มีวันเจียดเวลาลงมาพล่ามอะไรแบบนี้!”


 


ว่าจบ ฉินเฟิงก็หันหลังและจากไปทันที


 


คนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ ไม่รั้งรออยู่เฉย ทั้งหมดเร่งวิ่งตามฉินเฟิงไป โดยไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คิดก้าวเข้ามาปลอบหลิวซู!


 


หลิวซูแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน แต่ยังคงปรากฏหยดน้ำใสๆที่มุมหางตา ในแววตาฟุ้งไปด้วยความสับสนไม่เข้าใจ


 


‘ที่ฉันทำมันผิดอย่างงงั้นหรอ?’


 


เธอผิดตรงไหนกัน? ทั้งๆที่เธอแค่ต้องการช่วยผู้คนแท้ๆ แต่ทำไมเขาถึงปฏิบัติตัวกับเธอแบบนี้?


 


“ยังอยากตายอยู่หรอ? ทำไมยังชักช้าไม่ขึ้นมาอีก!” ฉินเฟิงตะโกนอีกครั้งจากอีกฝั่งหนึ่ง


 


ทว่าในเวลานี้ หลิวซูกลับเพิกเฉยต่อคำเรียกขานของเขา เธอจมอยู่กับความรู้สึกโศกเศร้า


 


ฉินเฟิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ


 


“ช่างไม่มีหัวคิด จำไว้ด้วยล่ะ ว่าเธอยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องเรียนรู้!”


 


ฉินเฟิงคร้านจะให้ความสนใจใดๆกับหลิวซูอีก เขาเดินจากไป ตรงเข้าสู่ห้องหลอมด้วยใบหน้าถมึงทึง


 


กว่า15-16คนวิ่งตามฉินเฟิงมา  หลิวเซินซานกับพนักงานโรงแรมเมื่อเห็นคนเหล่านั้น ก็แสดงสีหน้ารังเกียจทันที


 


ฉินเฟิงพอมาถึงก็กล่าวว่า “ลุงหลิวครับ ช่วยมอบอาวุธให้กับพวกเขาด้วย แต่อย่าลืมสอบถามทุกคน ว่าใช้ปืนเป็นรึเปล่า ถ้าไม่เป็น ก็ให้พวกมีดพวกดาบไปแทน”


 


หลิวเซินซานรีบพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว วางใจได้เลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”


 


ในบรรดาคนเหล่านั้น สุดท้ายมีเพียงสามคนที่ได้รับอาวุธปืนเบาจากหลิวเซินซาน ส่วนพนักงานของร้านจะได้รับอาวุธหนักไป แน่นอนว่าหากเป็นเวลาปกติ ทุกคนคงไม่มีโอกาสได้ใช้มัน


 


ไม่รอให้ฉินเฟิงได้พักหายใจ เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


ทว่าคราวนี้เสียงมันดังมาจากทางหน้าร้านขายอุปกรณ์


 


เห็นได้ชัดว่าเจ้าของกลุ่มที่ทำให้เกิดเสียง คงไม่พ้นพวกที่วังเฉินและคนอื่นๆอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ —เป็นพวกที่ต้องการให้เขาพาหลบหนีไปด้วย


 


“พวกนายช่วยปกป้องที่นี่เอาไว้ก่อน ส่วนฉันจะออกไปดูเอง”


 


“ทราบแล้ว”


 


“มิสเตอร์ฉิน ระวังตัวด้วยนะ”


 


“ไป๋หลี เธอเองก็คอยอยู่ที่นี่ ส่วนหลิวซู มากับฉัน” ฉินเฟิงกล่าว


 


“เอ๋? ฉันหรอ เข้าใจแล้ว” หลิวซูที่เพิ่งตามขึ้นมาทีหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉินเฟิงถึงเลือกเธอ แต่ก็ติดตามฉินเฟิงไป


 


ไป๋หลีพยักหน้า เชยคางมองเหล่าผู้มาใหม่และกล่าว “กลิ่นตัวพวกคุณแรงเกินไป มันจะโชยไปแตะจมูกพวกแมลงได้ ควรจะรีบล้างมันออก ไม่งั้นก็ทาผงขับไล่สัตว์ร้ายซะ”


 


กลิ่นของคนเหล่านี้ไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นกลิ่นของเสียจากร่างกาย ระหว่างที่ผ่านไปค่ำคืนหนึ่ง คนพวกนี้ไม่ได้ทำตามกฏเกณฑ์หรือข้อบังคับใดๆที่บัญญัติเอาไว้ยามเกิดวิกฤต ส่งผลให้ห้องใต้ดินเละเทะจนแทบอยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวจากหลิวซู จึงตัดสินใจพากันหนีออกมา


 


แต่เมื่อลองย้อนคิดดู ห้องใต้ดินของตระกูลหลิวก็ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ร่วมกันหลายคนจริงๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันไม่ใช่ที่หลบภัยสาธารณะ เหมือนกับชั้นใต้ดินของห้องสรรพสินค้าหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต


 


พอถูกจี้ใจดำเรื่องกลิ่นและความสกปรก คนพวกนี้ก็รู้สึกอับอาย ปรากฏให้เห็นถึงความโกรธและความอัปยศอดสูในสายตาที่มองไปทางไป๋หลี แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าเถียงเธอ


 


เพราะในวิดีโอเมื่อวานนี้ แม้ไป๋หลีจะไม่ได้ทำอะไร แต่ระหว่างต่อสู้และหลบหนี เธอไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกใดๆเลย แม้จะเผชิญหน้ากับหายนะถึงตายก็ตาม เหมือนกับว่าจะชาชินกับมัน


 


ยิ่งไปกว่านั้น เธอคนนี้ยังเป็นแฟนของฉินเฟิง คนเหล่านี้เลยไม่กล้าทำอะไรกับไป๋หลี ทำได้แค่ปฏิบัติตาม ไม่ไปล้างตัวก็เอาผงขับไล่มาโปะเท่านั้น


 


……


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ฉินเฟิงเดินนำหลิวซูไปตามทางเดิน มุ่งต่อไปเรื่อยๆ


 


ปรากฏกลุ่มคนมากกว่า 10 คนหน้าร้านอุปกรณ์ ในบรรดาคนเหล่านั้น มีห้าคนเป็นผู้ใช้พลัง สองคนเป็นเลเวล F อีกสามเลเวล G ส่วนคนอื่นๆถ้าในมือไม่กุมขวาน ก็กุมอาวุธมีด ดาบ หรือปืน


 


ในระหว่างที่พวกเขากำลังจะเข้าไปในร้านอุปกรณ์ ก็ถูกพวกแมลงบุกจู่โจมซะก่อน ด้วยเหตุนี้เอง การต่อสู้รุนแรงจึงปะทุขึ้น ห้ำหั่นกันชนิดที่ว่าหากเจ้าไม่ตาย ก็ข้าสิ้น!


 


เมื่อฉินเฟิงปรากฏตัว ด้วงกระหายเลือดก็บินโฉบผ่านไปพอดี


 


โผล๊ะ!


 


ปืนในมือของฉินเฟิงปะทุออก รังสีแสงเข้มข้นสีฟ้า เจาะทะลุกะโหลกของด้วงกระหายเลือดตัวนั้นทันที จบชีวิตมันกลางอากาศก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีใส่ฝ่ายตรงข้าม


 


เวลานั้นเอง คนอื่นๆถึงได้เห็นฉินเฟิง ทั้งหมดจ้องมองเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ


 


“นั่นแหละเขา!”


 


“เป็นฉินเฟิง!”


 


“ขอบคุณข่าวของหัวหน้าหลิว รอดไปที!”


 


ฝูงชนราวกับว่าได้เห็นพระผู้ช่วยชีวิต


 


ฉินเฟิงไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงวาดมือขึ้น ระเบิดบอลไฟพุ่งออกไป ในพริบตา แมลงที่บุกโจมตีร้านอุปกรณ์ก็ถูกเก็บกวาดจนเกลี้ยง


 


คนอื่นๆก็พลอยตกใจไปกับพลังพิเศษของฉินเฟิง แม้ว่าจะเคยได้เห็นเมื่อช่วงดึกเมื่อวานนี้มาแล้วก็ตาม แต่พอได้มาเห็นกับตาตัวเอง มันเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย


 


“ฉินเฟิ- อ่า ไม่สิมิสเตอร์ฉิน เวลานี้เมืองหานได้ถูกล้อมโดยศัตรู ดังนั้นทุกคนเลยตัดสินใจว่าจะทะลวงฝ่ามันไปด้วยกัน ยิ่งร่วมมือกัน พวกเราก็ยิ่งแข็งแกร่ง!” เลเวล F ก้าวออกมาข้างหน้า มองไปยังฉินเฟิงด้วยความสุขยิ่ง เพียงแต่ความสุขที่ว่า เป็นความสุขที่แฝงจุดประสงค์บางอย่าง


 


ฉินเฟิงไม่ให้ความสนใจกับคนเหล่านั้น เขาหันมามองหลิวซู


 


“ทำไมคนพวกนี้ถึงได้รู้ชื่อของฉัน?”


 


สีหน้าของหลิวซูกลายเป็นซีดขาว


 


ที่พวกเขารู้ ก็เพราะเธอเป็นคนบอกออกไปนั่นเอง


 


ก่อนหน้านี้ ช่วงที่ฉินเฟิงหลับไปแล้ว ในฐานะหัวหน้าสาขาหน่วยลาดตระเวน แม้ว่าเมืองหานจะล่มสลายลง แต่เธอก็ยังยึดติดกับมัน จึงติดต่อกับผู้คนในเมืองและกองกำลังหลิงหาน ว่าเธอกำลังจะทะลวงฝ่าอุปสรรคออกไปในเวลาอันสั้นนี้


 


เมื่อคิดตามตรรกะข้างบน เธอจึงเรียกคนพวกนี้มาเป็นธรรมดา


 


ไม่อย่างนั้น คนพวกนี้จะทราบชื่อของฉินเฟิงได้อย่างไร


 


เมื่อครู่นี้ เธอก็เพิ่งถูกฉินเฟิงดุไป ดังนั้นหลิวซูเลยรู้สึกผิดอีกครั้ง


 


เพราะฉินเฟิงจะจากไปโดยลำพังก็ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเลือกพาครอบครัวของเธอไปด้วย และนั่นไม่ใช่ปัญหา


 


แต่หากมีคนติดตามไปเป็นจำนวนมาก … เขาจะปกป้องได้ไหวหรือ?


 


ฉินเฟิงพอเห็นสีหน้าของหลิวซู เขาก็ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปากแสยะยิ้มเย็น “ฉันแข็งแกร่ง แต่นั่นมันก็เรื่องของฉัน มันไม่ใช่หมากที่เธอจะนำไปใช้กับความยุติธรรม หวังว่าเธอจะจำเอาไว้ให้ดี ว่าการฝ่าวงล้อมในครั้งนี้ ฉันจะสู้เพื่อเปิดทางเท่านั้น และที่ฉันทำ ก็เพื่อตัวฉันเอง ไม่มีใครสามารถร้องขอให้ฉันทำอะไรได้ ฉันไม่ใช่พระผู้ช่วย หรือฮีโร่ของใครทั้งนั้น เข้าใจไหม?”


 


แม้นี่จะฟังดูเป็นคำเตือนจากฉินเฟิง แต่อันที่จริงแล้วมันคือการแสดงอำนาจข่มหลิวซูต่างหาก


 


เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนเหล่านี้รู้จักหลิวซู และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเคารพหลิวซูมากกว่าฉินเฟิง


 


ฉินเฟิงไม่อยากให้พวกเขาคิดไปว่า ตนคือปราการยักษ์ ที่สามารถช่วยต่อสู้หรือฆ่าสังหารได้ตามคำสั่งใคร


 


หลิวซุก้มหน้างุดและกล่าว “ฉันเข้าใจแล้ว”


 


ประเด็นแรกจบไป ฉินเฟิงกวาดตามองหน้าใหม่ที่ต้องการรับความช่วยเหลือ


 


เดิมทีสีหน้าของคนเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่พอได้ยินถึงบทสนทนาดังกล่าว ทั้งหมดก็กลายเป็นเงียบงัน พวกเขาเข้าใจได้ในทันที ว่าอันที่จริง ฉินเฟิงไม่ได้มีความคิดใดๆที่จะช่วยเหลือพวกเขาเลย!


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.119 – ฝ่าวงล้อม


 


ฉินเฟิงกล่าวออกไปตามตรง


 


“ฉันต้องการที่จะฝ่าวงล้อมออกไปก็จริง แต่ไม่ได้ตั้งใจจะพาคนจำนวนมากติดตามไปด้วย ตอนนี้พวกคุณก็ได้เห็นกับตาแล้วว่ากองทัพแมลงมันยังไม่ได้รับอาหารเพียงพอเลยออกมาล่าแบบนี้ ดังนั้นหากมี ‘กลุ่มอาหาร’ จำนวนมากออกเคลื่อนไหว นี่ย่อมเป็นการดึงดูดพวกแมลงจำนวนมาก”


 


“ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ อีกอย่างกองกำลังหลิงหานข้างนอกก็เตรียมการจะบุกเข้ามายึดเมืองคืนอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ฉันขอแนะนำว่าควรจะอยู่รอการช่วยเหลือดีกว่า”


 


“ถ้าพวกเราอยากอยู่รอการช่วยเหลือ แล้วพวกเราจะมาที่นี่ทำไม ฉิน …ไม่สิ มิสเตอร์ฉิน คุณคือความหวังเดียว! ฉันหวังว่าคุณจะสามารถพาพวกเราไปด้วย!”


 


หนึ่งในผู้ใช้พลังเลเวล F เปลี่ยนคำเรียกขานกระทันหัน ไม่กล้าเอ่ยชื่อฉินเฟิงตรงๆ


 


ฉินเฟิงกวาดตามอง และพบว่าคนอื่นๆต่างกำลังแสดงสีหน้าวิงวอนเช่นกัน


 


“ถ้าอยากไป งั้นก็รอฟังคำสั่งจากฉัน!”


 


อันดับแรก ฉินเฟิงบอกให้พวกเขาไปรอด้านโรงแรมหลังก่อน เผื่อว่าจะมีใครมาอีก


 


“ส่งข้อความหาคนที่เธอรู้จักซะ บอกไปว่าอีกหนึ่งชั่วโมงฉันจะเริ่มฝ่าวงล้อมออกไปตามเส้นทางนี้” ฉินเฟิงยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมา แล้วเปิดแผนที่เมืองหาน ลากเส้นไปตามทิศทางหนึ่ง และส่งต่อให้หลิวซู


 


หลิวซูก้มลงมองเส้นทางลากยาวบนแผนที่ บังเกิดความสับสนเล็กน้อย แต่แล้วในหัวใจก็คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก


 


“เส้นทางนี้ … นายต้องการจะไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างงั้นหรอ? นี่นายคิดจะช่วยเหลือพวกเด็กๆ?”


 


ฉินเฟิงกล่าวเสียงเย็นชา “ก็ใช่ไง ไม่งั้นฉันจะเลือกเดินทางเส้นนี้ทำไม?”


 


สถานะของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองหาน ไม่ได้ดีไปกว่าสถานเลี้ยงเด็กในชุมชนเฉิงเป่ย บางทีอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสถานเลี้ยงเด็กตั้งอยู่ในพื้นที่คับแคบ และยังห่างไกลกับประตูเมืองทั้งสอง


 


มันไม่สะดวกต่อการฝ่าวงล้อมเป็นอย่างยิ่ง หากไปตามทิศทางนี้ จะเทียบเท่ากับว่าฉินเฟิงกำลังเดินอ้อมเป็นวงกลม


 


อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงก็ยังตั้งใจที่จะไป


 


เพราะเด็กๆคืออนาคตของโลก ตัวฉินเฟิงเองก็เป็นเด็กกำพร้า ฉะนั้นเขาทราบดีถึงความไร้กำลังของพวกเด็กๆ ในเวลานี้ หากฉินเฟิงไม่ช่วยเหลือพวกเขา ก็คงไม่มีใครคิดช่วยอีกแล้ว


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกเขาเป็นกลุ่มที่อ่อนแอ และเปราะบางที่สุดในเมืองหานตอนนี้


 


จู่ๆหลิวซูก็คล้ายรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ


 


“ฉันคิดว่านายไม่ชอบช่วยชีวิตคน เพราะเกลียดการให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นภาระซะอีก” หลิวซูกล่าว


 


“เธอคิดไม่ผิดนะ พวกเขาเป็นภาระจริงๆ!”


 


ในกรณีนี้ ฉินเฟิงหมายถึงพวกคนที่อยู่ในห้องใต้ดิน


 


อย่างไรก็ตาม หลิวซูเข้าใจผิดอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่หวาดกลัวฉินเฟิงอีกต่อไป เจ้าตัวพาลคิดไปว่าความโหดร้ายที่ฉินเฟิงแสดงออกมา มันเป็นเพียงหน้ากากที่เขามีไว้เพื่อเก็บซ่อนความดีงามจากภายในไม่ให้ใครเห็นก็เท่านั้น


 


“ขอบคุณนะฉินเฟิง!” หลิวซูกล่าวด้วยความซาบซึ้ง


 


ฉินเฟิงรู้สึกเหมือนหลิวซูน่าจะเข้าใจอะไรผิดไป แต่เขาก็คร้านเกินกว่าจะพูดอธิบาย


 


หนึ่งชั่วโมงต่อมา คนอื่นๆเริ่มมาสมทบอย่างต่อเนื่อง


 


นอกจากนี้ ยังมีกระทั่งบางคนที่ส่งข้อความผ่านอุปกรณ์สื่อสาร ว่าจะรอสมทบกับกลุ่มของฉินเฟิงระหว่างเส้นทาง


 


ในทำนองเดียวกัน คนที่อยู่ห่างไกลจากเส้นทางหลบหนี เห็นได้ชัดว่าเริ่มคร่ำครวญ พวกเขาส่งข้อความกลับมา หวังว่าฉินเฟิงและคนอื่นๆจะมารับตนเองที่ตำแหน่งนี้เช่นกัน แต่ฉินเฟิงไม่สนใจเลย


 


โชคดีที่หลิวซูไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอเพียงประกาศคำสั่งขอฉินเฟิงแต่ไม่ได้ตอบกลับข้อความใดๆ มิฉะนั้นน่ากลัวว่าฉินเฟิงคงบีบคอเธอจนตาย


 


แน่นอน ว่าการยอมกัดฟันละทิ้งคนอื่นๆแบบนี้ ทำให้หลิวซูรู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมาก


 


“หมดเวลาแล้ว! เตรียมตัวออกเดินทางได้!” ฉินเฟิงประกาศคำสั่งออกไป


 


ในหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา มีผู้คนมาสมทบกับทางฉินเฟิงถึง 200 คนเต็ม ทั้งหมดเป็นคนจากพื้นที่ใกล้เคียง และมีแม้กระทั่งคนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องพักของโรงแรมตั้งแต่เมื่อวานนี้


 


ปัจจุบัน ผู้ที่สามารถต่อสู้ได้ จริงๆแล้วมีจำนวนค่อนข้างเยอะ ในกลุ่มของฉินเฟิงตอนนี้ มีผู้ใช้พลังเลเวล F มากถึง 13 คน และผู้ใช้พลังเลเวล G อีกมากกว่า 30 คน ที่เหลือเป็นคนธรรมดา


 


อย่างไรก็ตาม เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว!


 


“แบ่งกันเป็นทีมละ 10 คน ผู้ใช้พลังเลเวล Fเป็นผู้นำแต่ละทีม แต่ละทีมจะมีผู้ใช้พลังเลเวล G 3 คน ส่วนอีก 7 คนเป็นคนธรรมดา”


 


ฉินเฟิงประกาศคำสั่ง


 


เนื่องจากปัจจุบันเป็นช่วงเวลาวิกฤต ดังนั้นฝูงชนจึงปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว เลเวล F ทั้ง 13 คนปฏิบัติตามคำสั่งของฉินเฟิงทันที เลือกคนในทีมของตัวเอง


 


นี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะถึงเวลาต่อสู้จริงๆ ฉินเฟิงไม่สามารถดูแลคนธรรมดาอย่างทั่วถึงได้ จึงต้องเป็นหน้าที่ของคนเหล่านี้ สำหรับคนธรรมดาที่ติดตามมาได้ นับว่าเป็นวาสนาของพวกเขาแล้ว


 


“ฉันจะพูดประโยคนี้แค่เพียงครั้งเดียว หากใครก็ตามที่เข้าร่วมกับกลุ่มฝ่าวงล้อมของเรา ขอให้เตรียมใจว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นตามมา รูปแบบกระบวนทัพจะเป็นผู้ใช้อบิลิตี้อยู่ภายนอก คนธรรมดาอยู่ภายใน”


 


“ส่วนฉันจะอยู่หน้าสุด และจะลงมือล่าทหารสัตว์ร้าย , นายพลสัตว์ร้าย หรือกองทัพแมลงเลเวล F จำนวนมากเท่านั้น ห้ามสั่งฉัน หุบปากให้สนิท อย่าตะโกนใส่ฉัน ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็ไปหาเทปกาวมาปิดปากซะ!”


 


แม้ว่าคำประกาศของฉินเฟิงจะดูรุนแรง แต่มันก็เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยของทุกคน


 


มีแม่คนหนึ่งถึงขั้นเกิดความคิดลงมือทำจริงๆ เธอเอาเทปกาวออกมา และปิดปากลูกสาวตัวเองเอาไว้ นอกจากนี้ยังปิดปากของตัวเอง ในแววตาฉายถึงความตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า–


 


–อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จะต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้!


 


ฉินเฟิงมองไปทางแม่คนนั้น เขาพยักหน้าให้เธอและกล่าวว่า “คุณมาอยู่ทีมเดียวกันกับผม”


 


เห็นได้ชัดว่าแม่ไม่คาดคิดว่าฉินเฟิงจะเลือกเธอ เจ้าตัวรู้สึกปลาบปลื้มมาก เพราะยังไงซะ ฉินเฟิงคือหัวใจสำคัญของกลุ่มฝ่าวงล้อมนี้ เป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุด


 


นอกเหนือไปจากฉินเฟิง ยังมีวังเฉินอีกคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มของพวกเขา ที่เหลือจะเป็นลุงหลิว , ภรรยาลุง , พนักงานสี่คน , แม่และลูกสาว ทั้งสิ้นสิบคน


 


แล้วเหตุใดทีมย่อยของฉินเฟิงถึงมีเลเวล F ตั้ง2 คน? แน่นอน นั่นก็เพราะฉินเฟิงไม่ต้องการให้ลุงหลิวกับภรรยาเขาได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย เลยต้องป้องกันไว้ก่อน


 


“เริ่มออกเดินทางได้”


 


ฉินเฟิงชูมือขึ้น และเดินนำออกจากโรงแรม


 


กลุ่มแมลงโดยรอบถูกเก็บกวาดหมดแล้วโดยฉินเฟิง หลังจากออกมาข้างนอก สถานการณ์เลยยังดูปลอดภัยมาก


 


มีแมลง 1 – 2 ตัวโผล่มาบ้างตามรายทาง แต่ทั้งหมดก็ถูกคนอื่นๆกำจัดอย่างรวดเร็ว


 


ในความเป็นจริงแล้ว ตราบใดที่สถานการณ์ไม่ร้ายแรงจนเกินไป ผู้ใช้พลังอย่างไรเสียก็คือผู้ใช้พลัง พวกเขาทำหน้าที่ได้ดี และน่าประทับใจมาก นี่นับว่าเพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน!


 


แต่แน่นอน ว่าระหว่างการฝ่าวงล้อม ยังไงก็ต้องมีอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเสมอ ความตายและการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


 


หึ่ง หึ่ง!


 


จู่ๆก็มีแมลงสีดำจำนวนมากบินออกมาจากมุมตึกอย่างกระทันหัน พวกมันคือหนึ่งในแมลงที่น่าหวาดกลัวที่สุด —ด้วงกระหายเลือด!


 


และด้วงกระหายเลือด คือสัตว์ร้ายเลเวล F! ไม่เพียงบินได้ แต่ยังครอบครองความสามารถในการรับรู้กลิ่นเลือดในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งเลือดที่ว่าเกิดจากมีผู้ได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ระหว่างทาง กลิ่นอาหารที่หอมหวลเลยโชยไปแตะจมูกพวกมัน


ด้วงกระหายเลือดทำการปิดล้อมกลุ่มของฉินเฟิงทันที!


 


มีมากกว่า 30 ตัวในฝูงของพวกมัน หัวหน้าฝูงคือด้วงกระหายเลือดที่มีขนาดตัวใหญ่หว่า 2 เมตร เป็นนายพลสัตว์ร้าย นอกจากนี้ยังมีด้วงระดับทหาร ขนาดตัวราวๆ 1.5 เมตร !


 


สำหรับพวกสัตว์ร้าย ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ตาม หลังจากที่ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความแข็งแกร่งของมันย่อมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้!


 


ด้วงกระหายเลือดขนาด 1.5 เมตรแทบจะมีขนาดตัวเกือบเท่ากับมนุษย์ และในแง่ของความแข็งแกร่งที่พัฒนาตามขนาดตัว มันสามารถสังหารผู้ใช้พลังเลเวล F ได้ในเวลาไม่กี่วินาที


 


ฉินเฟิงกระโดดขึ้นควบม้าศึกทันใด มือฉกคว้าด้ามจับที่แขวนไว้ตรงเอว –มีดกษัตริย์ครามเผยโฉมออกจากฝักในทันใด


 


แสงสีทองพร่างพราวทำให้ผู้คนรู้สึกดวงตาพร่ามัว ตามต่อด้วยเปลวเพลิงที่พวยพุ่ง


 


ม้าศึกดีดตัวขึ้น ควบทะยานไปในอากาศ ต้อนรับการมาเยือนของด้วงกระหายเลือด


 


“จงสะบั้น!”


 


ยามเมื่อมีดกษัตริย์ครามที่มิอาจทำลายได้ ผสานรวมกับท่ามีดเปลวเพลิงและสับลง นายพลสัตว์ร้ายยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกผ่าเป็นสองซีกไปแล้วโดยฉินเฟิง


 


มีดกษัตริย์ครามวาดออกไปในแนวนอนอีกครั้ง


 


“ระบำดอกไม้ไฟ!”


 


เปลวเพลิงรูปพัดปะทุโหม กวาดผ่านด้วงกระหายเลือดในอากาศ


 


กลุ่มด้วงกระหายเลือดพลันถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิง ส่งเสียงกรีดร้องลั่นน่าหวาดกลัว แต่ในพริบตามันก็กลายเป็นสีโค้ก ร่วงตกลงกับพื้น


 


ฉินเฟิงโจมตีอีกครั้ง และอีกครั้ง ไม่นาน ด้วงกระหายเลือดส่วนใหญ่ที่บุกเข้ามาก็ถูกเก็บจนแทบเกลี้ยง!


 


เหลือเพียงด้วงกระหายเลือดอีก 2 – 3 ตัวที่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของฉินเฟิงได้ มันพุ่งเข้าไปในฝูงชนทันที ทันใดนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง แต่โชคยังดี ที่มันถูกสังหารลงอย่างรวดเร็วโดยผู้ใช้พลังเลเวล F


 


นี่เองคือข้อดีของการซอยทีมย่อย แล้วกระจายกำลังกัน —การฝ่าวงล้อมยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง


 


ทว่าพวกแมลงมีจำนวนมากเกินไป ในเวลาหนึ่งชั่วโมง พวกเขาสามารถเดินไปได้แค่ 3 ช่วงตึกเท่านั้น ซึ่งหากเป็นในเวลาปกติ มันอาจจะใช้เวลาเดินแค่ไม่ถึง 10 นาที …


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.120 – สู้ตาย


 


ฉินเฟิงมุ่งไปข้างหน้าตลอดเส้นทาง บางคนที่เฝ้ารอขบวนของเขาก็ตามลงมาสมทบเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม บนตึกชั้นสูงของทั้งสองฟากถนน ยังคงปรากฏผู้คนโบกไม้โบกมือ ใช้พวกผ้าขาว หรืออะไรต่างๆที่สังเกตได้ง่ายๆมาทางพวกเขา


 


“ช่วยฉัน! ช่วยฉันด้วย! ตามระเบียงทางเดินมีเพียงแมลงสัตว์ร้ายอยู่ ฉันลงไปไม่ได้!”


 


“ไม่นะ อย่าไป! พวกคุณจะทิ้งฉันไว้แบบนี้ไม่ได้!”


 


“ไอ้สารเลว! เห็นคนกำลังจะตาย แต่พวกแกยังนิ่งเฉย ไม่คิดทำอะไรเลยรึไง?”


 


เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่ากลุ่มของฉินเฟิงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดรอ เอาแต่มุ่งตรงไปข้างหน้า ในสายตาของทั้งหมดฉายถึงความหมดหวัง บังเกิดความไม่พอใจและโกรธเกรี้ยว เริ่มขว้างปาสิ่งของต่างๆลงมา


 


ขณะเดียวกัน อุปกรณ์สื่อสารของหลิวซูก็เต็มไปด้วยข้อความถูกส่งมา มันสั่นอย่างต่อเนื่องจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว


 


แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี


 


วังเฉินที่เดินนำหน้าลุงหลิวและภรรยา และอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กันกับหลิวซู เดินเข้าไปใกล้เธอและกล่าว


 


“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะทุบอุปกรณ์สื่อสารนั่นทิ้งซะ จดจำเอาไว้ให้ดี ว่าหากฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ จะเป็นการลดทอนโอกาสรอดชีวิต ตัวฉันเองเคยถูกรอดตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะงั้นนะสาวสวย อย่าให้ฉันต้องตายอีกรอบเพราะความประมาทของเธอเลย … ” วังเฉินบ่นเชิงตักเตือน


 


สีหน้าของหลิวซูซีดขาว แต่ก็ฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณที่เตือน”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ฉันแค่หวังว่าเธอจะหายสับสนซักที อย่าลืมสิว่าคนในกลุ่มเราเองก็ต้องการให้เธอคอยปกป้องเหมือนกัน ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะบุกเข้าไปกวาดล้างในตัวอาคารระหว่างทาง ถ้าพวกเขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะวิ่งลงมาด้วยตัวเอง พวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้!”


 


ระหว่างกล่าว หางตาของวังเฉินบังเอิญไปเห็นว่ามีเด็กบางคนกำลังโยนสิ่งของลงจากตัวอาคาร และการกระทำนี้ดันไปกระตุ้นความสนใจจากด้วงกระหายเลือดที่บินผ่านมาพอดี


 


ด้วงกระหายเลือดโฉบขึ้นไปตามทิศทางของเหล่าเด็กๆอย่างรวดเร็ว หมายจะสูบกินเนื้อนุ่มๆสดๆ


 


ปัง ปัง ปัง!


 


ปืนในมือวังเฉินสาดกระสุนออก สังหารด้วงกระหายเลือด ช่วยชีวิตเจ้าหนูพวกนั้นเอาไว้ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้


 


เพราะปัจจุบันเมืองตกอยู่ภายใต้ดงศัตรู มีเพียงความกล้าเท่านั้น ถึงจะอยู่รอดต่อไปได้ หากพวกเด็กๆไม่คิดลงมา วังเฉินก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไปตามชะตากรรม


 


—-


 


ฉินเฟิงคอยเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่หลังจากเดินมาได้อีกถนนหนึ่ง จู่ๆเขาก็ต้องขมวดคิ้ว


 


“พวกเราจะอ้อมไป”


 


ฉินเฟิงกล่าวเสียงหม่น


 


สถานที่ตรงหน้าคือตลาดของเมืองหาน มันมีทั้งเนื้อสัตว์และผักทุกฤดูกาล กล่าวได้ว่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารมากมาย


 


ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากเมืองหานถูกยึดครองโดยศัตรู มันเลยกลายเป็นสถานที่รวมตัวของพวกแมลงสัตว์ร้าย … ชัดเจนว่าที่นี่กลายเป็นรังของพวกแมลงไปแล้ว


 


และดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นรังของพวกมด


 


–เป็นมดเหล็กดำ แต่ละตัวมีความยาว 20 ซม. มีผิวชั้นนอกคล้ายกับเหล็กตามชื่อของมัน และสุดท้าย อยู่รวมกันเป็นฝูงนับหมื่นตัว


 


ฉินเฟิงไม่มีความตั้งใจที่จะกระตุ้นพวกแมลงเหล่านั้น


 


ฉินเฟิงนำกลุ่มของเขาเดินเลี่ยงรังนี้ อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่าอาหารมีค่ามากสำหรับมดเหล็กดำ เมื่อมันเห็นเนื้อสดๆจำนวนมากกำลังอ้อมผ่าน พวกมันก็ไม่คิดจะปล่อยให้ฉินเฟิงและคนอื่นๆจากไป


 


“วิ่งฝ่าไปเร็ว! ส่วนไป๋หลี เธอช่วยออกไปเคลียร์ทางข้างหน้าให้ที” ฉินเฟิงตะโกนสั่งให้ทุกคนหนีก่อนเป็นอันดับแรก


 


“เข้าใจแล้ว! ทุกคน รีบตามฉันมา!” ไป๋หลีราวกับราชินีนักรบ โจนทะยานออกไป มดเหล็กดำหลายตัวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไป๋หลีอย่างไม่กลัวตาย


 


ไป๋หลีวาดมือ ผู้คนไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนคล้ายจะปรากฏแสงสีขาววาบขึ้นรางๆ และพวกแมลงสัตว์ร้ายก็นิ่งงันไป ก่อนจะถูกผ่าแยกออกเป็นสองซีก!


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแมลงสัตว์ร้ายธรรมดา ไป๋หลีเพียงสะบัดเล็บของเธอ ก็สามารถฆ่าพวกมันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นใช้ใบมีดมิติ


 


กระทั่งผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล F ก็ยังพาลคิดไปว่าไป๋หลีใช้กระบวนท่าวรยุทธประเภทกรงเล็บอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นท่าที่พบเจอได้ยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครใช้มัน


 


ไป๋หลีบุกตะลุยกรุยทางในแนวหน้า คนกลุ่มใหญ่วิ่งตามหลังเธอ ระหว่างนั้น ฉินเฟิงก็ควบม้าศึก กระโจนข้ามผ่านศีรษะของผู้คน ไปอยู่ในแนวหลัง ในจุดที่กองทัพมดกำลังไล่ตามมา


 


คนที่วิ่งช้าเริ่มถูกพวกมันจับตัวได้


 


ง่ำ!


 


มดเหล็กดำอ้าปากเผยให้เห็นถึงฟันที่แหลมคม และงับเข้าใส่เท้าของมนุษย์คนหนึ่ง


 


“อ๊าาาากกก!”


 


ชายคนนั้นกรีดร้องลั่น เนื่องจากเขาใส่รองเท้าแตะ ยามก้มมอง เลยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเนื้อส่วนหนึ่งขนาดเท่ากับเล็บนิ้วมือได้หายไป!


 


เลือดไหลทะลัก ความเร็วของเขาเริ่มเชื่องช้าลงเพราะความเจ็บปวด มดเหล็กดำที่อยู่รอบๆเริ่มดาหน้ากันเข้ามารุมล้อม


 


ฉากนี้มองดูคล้ายกับคลื่นสีดำสนิทที่ขยุกขยิกได้ ชายคนนั้นล้มลง ดิ้นทุรนทุราย สุดท้ายก็จมหายไปในคลื่นสีดำ และ—


 


–โผล่มาในสายตาอีกที ทั้งตัวเขาก็เหลือแค่กระดูกขาวๆเท่านั้น!


 


ถูกกัดกินไม่เหลือซากในพริบตา กองทัพมด … ช่างน่าสยองเกล้าอะไรขนาดนี้!


 


ฉินเฟิงสูดหายใจลึก ระดมพลังสมาธิอย่างดุเดือด


 


“พรมโลกันต์!”


 


ฟุ่ม!


 


เบื้องหน้าฉินเฟิง เปลวเพลิงสีดำแดงก่อตัวขึ้นทันใด มันแผ่ขยายออกไปราวกับคลื่นทะเล ไม่ว่าจะเป็นการเผาแมลงในโรงแรมก่อนหน้านี้ หรือกระทั่งการเผาถนนเมื่อคืน ก็เป็นเพราะท่านี้เช่นกัน


 


กล่าวได้ว่า การที่เพลิงโลกันต์สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้เช่นนี้ นั่นหมายความว่าฉินเฟิงเชี่ยวชาญมันมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนพลังพิเศษเพลิงโลกันต์ให้ออกมาในรูปโฉมใหม่ และฉินเฟิงเพิ่งจะตั้งชื่อให้มันอย่างเป็นทางการว่า


 


พรมโลกันต์


 


ก็เป็นพรมดั่งชื่อ เปลวเพลิงกระจายเป็นวงกว้าง โถมเข้าใส่มดเหล็กดำ กวาดเป็นผืนโลกันต์ เผาผลาญทุกสิ่งเบื้องหน้ามันอย่างไร้ความเมตตา


 


มดเหล็กดำทั้งหมดที่ไล่ตามมาจบชีวิตลงในพริบตา


 


พรมโลกันต์นี้กินวงกว้างถึงเต็ม 50 เมตร และห่างออกไปหลังจาก 50 เมตร กองทัพมดพลันหยุดชะงัก ไม่กล้าที่จะไล่ตามมา


 


ฉินเฟิงมองไปยังทะเลเพลิงที่ลุกท่วม เฝ้ามองเปลวเพลิงเผาไหม้วัสดุบางอย่างรอบๆ ในสมองขบคิด : หากเขาไม่เก็บรูนไฟพวกนี้กลับคืน มันน่าจะยังคงเผาไหม้ต่อไปได้อีกราวๆ 5 นาที เท่านี้ก็เพียงพอที่จะถ่วงเวลาจนหลุดพ้นจากกองทัพมดเหล็กดำได้


 


ฉินเฟิงกระตุ้นม้าศึก ควบติดตามกลุ่มที่ล่วงหน้าไปก่อนอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อมาถึง เขาก็พบว่าด้านหน้าถูกหยุดเอาไว้อีกครั้ง โดยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่


 


มันคือตัวเดียวกันกับที่ฉินเฟิงเคยพบเจอมาแล้ว —หอยทากเหล็กดำสองหัว!


 


เนื่องจากขนาดใหญ่โตของมัน ความหวาดกลัวของผู้คนเลยเริ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด


 


กระทั่งผู้ใช้พลังในเลเวล F ก็ยังไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ในแววตาฉายถึงความวิตกกังวล คล้ายกับว่ากำลังเฝ้ารอให้ฉินเฟิงกลับมา


 


ซุ่ม!


 


จู่ๆก็เกิดคลื่นน้ำซัดสาดปิดกั้นถนนโดยตรง


 


ทุกคนถอยหนีอย่างบ้าคลั่ง


 


คลื่นที่ว่านี้ไม่ใช่ใดอื่น แต่เป็นอบิลิตี้ของหอยทากเหล็กดำ ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากกรดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนร้ายแรง!


 


มีเพียงไป๋หลีเท่านั้นที่ไม่หวั่นไหว


 


ตรงกันข้าม ตอนนี้สมควรจะเป็นหอยทากเหล็กดำมากกว่าที่ต้องหวาดกลัว เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไป๋หลีน่ะคือราชันย์สัตว์ร้ายที่แท้จริง!


 


อย่างไรก็ตาม หอยทากเหล็กดำสองหัวคือเผ่าแมลง มันครอบครองสติปัญญาระดับต่ำ ทุกสิ่งแค่ทำไปตามสัญชาตญาณ มันเลยไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายน่าสยองขวัญที่ซ่อนอยู่ของไป๋หลี


 


ไป๋หลีก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง เหยียบย่ำลงบนกระแสน้ำกรด มุ่งหน้าไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


 


หลายคนที่อยู่หน้าสุดมองไป๋หลีด้วยความตื่นตระหนก


 


“ระวังนะ! มันคือนายพลสัตว์ร้าย!”


 


“แย่ล่ะสิ พวกเราต้องไปช่วยเธอ!”


 


“นั่นแฟนของมิสเตอร์ฉิน!”


 


ระหว่างที่ทุกคนกำลังร้องตะโกน ไป๋หลีก็ยกสองมือขึ้น และสะบัดลง


 


ประกายแสงสีขาววาบผ่านอีกครั้ง


 


ตุบ … พรวดดด!


 


เลือดพุ่งกระฉูดออกมา สองหัวของหอยทากเหล็กดำกลิ้งตกลง


 


ไป๋หลียืดนิ้วออกไป กรีดลงบนสมองของสองหัว เก็บแก่นอบิลิตี้ธาตุน้ำ แล้วเริ่มเดินนำหน้าต่อไป


 


สำหรับผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ ดวงตาทุกคู่ต่างเบิกกว้าง อ้าค้างปากไม่อาจหุบลงโดยสิ้นเชิง


 


ปัจจุบัน ปรากฏเงาหนึ่งวูบผ่านมาจากเบื้องหลัง ฉินเฟิงกลับมาข้างกายพวกเขาอีกครั้ง


 


“มัวมองอะไรกันอยู่? รีบไปเร็วเข้า! จะยืนอยู่เฉยๆให้เป็นอาหารแมลงรึไง?”


 


ภายใต้เสียงดุของฉินเฟิง ทั้งกลุ่มกลับมาได้สติ และเริ่มวิ่งอีกครั้ง


 


ในอดีต พวกเขาเคยรู้สึกว่าเมืองหานเป็นแค่เมืองเล็กๆ เพียงฝ่ามือใหญ่ฝ่ามือเดียวก็บดบังทั้งเมืองได้แล้ว ผู้คนก็พลุกพล่านแออัด เบียดกันเต็มถนน


 


ทว่าในวันนี้ พอบนถนนว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน พวกเขากลับรู้สึกว่าเมืองหานช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน!


 


เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงเต็ม แต่พวกเขาเพิ่งจะเดินได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น และเนื่องจากฉินเฟิงออกเดินทางในช่วงเวลาบ่ายโมง ปัจจุบันจึงเป็นเวลาใกล้ตกเย็น คนในกลุ่มต่างหิวโหยและเหนื่อยล้า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากขึ้น


 


“งั้นไปพักกันที่นั่น ในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า!”


 


ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ คือซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในย่านสลัม และปัจจุบัน คนในกลุ่มของฉินเฟิง ไม่ใช่ 200 คนเหมือนในตอนแรกอีกต่อไป แต่เพิ่มขึ้นมามากถึง 500 – 600 คน!


โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.121 – ความลับในห้องใต้ดิน


 


เมื่อกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ความสับสนและวุ่นวายก็เริ่มควบคุมไม่อยู่ บังเกิดเสียงกรีดร้องโวยวายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงจุดนี้จะเป็นการดึงดูดพวกแมลงเข้ามา


 


ดังนั้นต้องปรับข้อตกลงกันใหม่!


 


ฉินเฟิงเป็นผู้เบิกทาง บุกพังประตูเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต


 


ภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตตกอยู่ในสภาพเละเทะ เห็นได้ชัดว่าพวกแมลงเองก็ยึดครองสถานที่แห่งนี้


 


และนี่คือถิ่นของพวกตั๊กแตนใบมีด!


 


ตั๊กแตนใบมีดน่ะครอบครองอาวุธที่เปรียบดั่งเคียวแหลม ดังนั้นประตูเหล็ก หรือกระจกหนาจึงไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ อย่างไรก็ตาม ตั๊กแตนใบมีดไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม นั่นหมายความว่าการเก็บกวาดมันเลยเป็นเรื่องง่าย


 


กลุ่มขนาดใหญ่ทยอยกันเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ต ทั้งหมดเริ่มปฏิหน้าที่ทันที ช่วยกันปิดกั้นช่องระบายอากาศ และหน้าต่างเพื่อสร้างบังเกอร์ป้องกันอย่างรวดเร็ว


 


ในที่สุด ทุกคนก็มีโอกาสได้พักหายใจเสียที!


 


และภายในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีอาหารมากมาย ดังนั้นพวกเขาเลยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งหมดเริ่มเสาะแสวงหาของกินกันอย่างเต็มที่


 


แม้เมืองเพิ่งจะล่มสลายได้แค่วันที่ 2 แต่คนเหล่านี้กินมูมมามราวกับว่าไม่ได้รับประทานอาหารมานานกว่า 7 – 8 วัน


 


ความเครียดเองก็ยิ่งสะสมมากขึ้น บางคนเริ่มร้องไห้ บางคนเริ่มบ่นสาปแช่ง และแล้วในซุปเปอร์มาร์เก็ตเริ่มเกิดความโกลาหล


 


เปรี้ยง!


 


เสียงปืนของฉินเฟิงดังขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ปืนพลังงาน แต่มันคือปืนพก


 


“ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีคนอยู่เยอะเกินไปนะ มีใครต้องการจะลิ้มรสชาติวันสุดท้ายของชีวิตไหม?” ฉินเฟิงกวาดสายตามองผู้คนด้วยความเย็นชา


 


ฝูงชนกลายเป็นเงียบงัน


 


ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบ “ถ้าจำเป็นต้องพูดคุยกันจริงๆ ก็ขอให้ใช้อุปกรณ์สื่อสารส่งข้อความหากันซะ ถ้ายังไม่อยากตาย! ”


 


“หลิวซู เธอช่วยไปนับจำนวนอีกรอบ และจัดตั้งทีมให้พวกเขาด้วย”


 


“รับทราบ!” หลิวซูผุดเดินอย่างลุกลี้ลุกลน และเริ่มนับจำนวนกลุ่มคนทั้งเก่าและใหม่


 


อันที่จริงจำนวน 500 คนนี่อาจพูดได้ว่าค่อนข้างน้อย สมมติหากเทียบกับในสถาบันระดับกลางสักแห่งหนึ่ง ซึ่งห้องเรียนนึงจะมีนักเรียนราวๆ 30 คน เท่ากับว่าปัจจุบันมีนักเรียนอยู่ทั้งสิ้น 18 ห้อง ก็เท่านั้นเอง


 


อย่างไรก็ตาม 18 ห้องที่ว่ากำลังตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมศัตรู  และสิ่งที่กำลังเฝ้ารอคอยพวกเขาเบื้องหน้าก็คือการถูกทยอยจับไปกินทีละคน ทีละคน ทั้งหมดเลยตกอยู่ในความอลหม่าน


 


ฉินเฟิงไม่ได้สั่งให้พวกเขาหยุดการกระทำของตน แค่หวังว่าคนพวกนั้นจะไม่สร้างปัญหาเพิ่มขึ้นก็พอ


 


เมื่อความวุ่นวายสงบลง ฉินเฟิงก็ไปที่ด้านบนของซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้ง


 


วังเฉินได้มารออยู่ที่นี่ล่วงหน้าแล้ว


 


“ลูกพี่!”


 


วังเฉินร้องเรียก หลังจากที่กำหนดทีมย่อย วังเฉินก็ติดตามอยู่ข้างกายฉินเฟิง ทั้งสองเลยสนิทกันมากขึ้น วังเฉินเปลี่ยนแปลงคำเรียกขาน ไม่เรียกฉินเฟิงว่ามิสเตอร์ฉินอีกต่อไป


 


“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”


 


“พวกแมลงสัตว์ร้ายบางตัวดูเหมือนจะได้ยินเสียง หรือไม่ก็ได้กลิ่นของพวกเรา พวกมันเรากำลังรวมกลุ่มกัน ค่อยๆตรงเข้ามาที่นี่อย่างช้าๆ ถ้าเราไม่รีบเก็บกวาด น่ากลัวว่าพวกมันจะมารวมตัวกันมากขึ้นจนบุกเข้ามา” วังเฉินกล่าว


 


ในฐานะมือปืน ทำให้นอกเหนือไปจากการสนับสนุนโจมตีในระยะไกลแล้ว วังเฉินยังสามารถรับหน้าที่ในการตรวจตรา , สังเกตการณ์ หรืออะไรทำนองนั้นได้เป็นอย่างดี


 


ตอนนี้วังเฉินจึงขึ้นมาในชั้นบนสุด เพื่อสำรวจสภาพการณ์โดยรอบ


 


ฉินเฟิงพยักหน้า ตรงไปทางหน้าต่าง มองสำรวจรอบๆผ่านสโคปไรเฟิล จากนั้นเขาก็มองเข้าไปในรอยแยกมิติอีกครั้ง และพบว่ารอยแยกยังไม่ปิดลง ภาพของมันดูราวกับปากใหญ่อันน่าสยดสยองของสัตว์ร้าย ที่สามารถกลืนกินเมืองหานได้ทุกเวลาหากต้องการ


 


ฉินเฟิงตระหนักดี ว่าสัตว์ร้ายที่เล็ดลอดออกมาจากรอยแยกนี้ จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มากจนสุดท้ายไม่อาจควบคุมได้


 


“เอาเถอะ ตอนนี้อย่าเพิ่งกังวลไปเลย”


 


ฉินเฟิงกล่าว


 


“รับทราบ แต่ว่านะลูกพี่ ตอนนี้คนที่จะฝ่าวงล้อมไปกับเรามีมากเกินไป  ถ้าคุณยังต้องการจะช่วยพวกเด็กๆหลังจากนี้ สมควรรีบเตรียมตัวล่วงหน้าจะดีกว่านะ”


 


พวกเด็กๆในสถานเล็กเด็กกำพร้าน่ะแตกต่างจากผู้ใหญ่ในที่นี่ พวกเขาเป็นการดำรงอยู่ที่อ่อนแอ และไร้กำลัง เรียกว่าไม่มีความสามารถใดๆในการเอาตัวรอดเลย


 


“ฉันรู้แล้ว ถึงกลางคืนเมื่อไหร่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”


 


วังเฉินพยักหน้า ไม่ได้ขัดอะไร


 


แต่เป็นธรรมดาที่เรื่องวุ่นๆจะไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าวันนี้จะมีคนมากมายเข้าร่วมการฝ่าวงล้อม และมาเพิ่มเติมจนมากกว่า 500 คน แต่ก็ยังมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตระหว่างทาง คนธรรมดาพอเห็นฉากนี้เข้าก็ตื่นตระหนกในจิตใจ


 


เมื่อฉินเฟิงกลับมาชั้นล่าง หลิวซูก็ตรงเข้าหาเขา


 


“ฉินเฟิง มีพลเรือนจำนวนหนึ่งไม่ยินดีที่จะฝ่าวงล้อมไปกับพวกเราอีกแล้ว และบังเอิญว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ก็มีชั้นใต้ดินที่สามารถรองรับคนได้มากกว่า 2,000 คนอยู่พอดี พวกเขาเลยอยากจะเข้าไปหลบภัยที่นั่น และรอคอยกองกำลังหลิงหานเข้ามายึดพื้นที่คืน จากนั้นค่อยกลับขึ้นมา และขอให้ทางกองกำลังนำตัวออกไป”


 


ก่อนหน้านี้ คนพวกนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะบุกฝ่าวงล้อม แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็กลัวความตายเช่นกัน นี่เป็นความจริงที่เรียกกันว่าหากไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา


 


แต่เมื่อได้ยินถึงคำขอ ฉินเฟิงก็ไม่คิดปฏิเสธ


 


“งั้นตามที่เธอพูด มีคนต้องการจะรั้งอยู่ที่นี่กี่คน? ช่วยนับจำนวนพวกเขาด้วยนะ ตอนนี้เลยยิ่งดี นี่ก็จะมืดแล้ว ถ้าชักช้าเดี๋ยวจะทำอะไรได้ยุ่งยากกว่าเดิม”


 


“อ่า ฉันนับเรียบร้อยแล้ว มีประมาณ 200 คน!”


 


“ไปบอกให้พวกเขาเตรียมตัว ฉันจะเดินไปส่งพวกเขาที่ชั้นใต้ดินในอีกสิบนาที”


 


“รับทราบ!”


 


หลิวซูตอบอย่างรวดเร็ว และบางคนพวกเขาเก็บข้าวของ


 


แม้ชั้นใต้ดินจะมีเสบียงสำรองกักตุนไว้อยู่ก็ตาม แต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่วายนำขโมยกระเป๋าในห้าง ยัดอาหารและน้ำจากซุปเปอร์มาร์เก็ตจนเต็ม กระเป๋าสะพายหลังปูดบวมเกือบจะรูดซิบไม่ได้


 


ฉินเฟิงรับตัวคนเหล่านั้น นำทางไปตามอุโมงค์ลี้ภัยสู่ลานจอดรถใต้ดิน และก็พบกับประตูเหล็กอีกครั้ง


 


“ได้โปรดเปิดประตูด้วย ข้างนอกไม่มีพวกแมลงอีกแล้ว พวกเราจำเป็นต้องเข้าไปหลบภัยข้างใน”


 


หลิวซูตะโกน


 


เนื่องจากที่นี่เป็นที่หลบภัยขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงมีลำโพงติดตั้งอยู่ภายนอก


 


ไม่นานนัก เหนือประตูเหล็กก็มีเสียงตอบรับกลับมา


 


“ข้างในไม่มีที่ว่างแล้ว พวกคุณไปที่อื่นเถอะ!”


 


คนที่ติดตามฉินเฟิงกับหลิวซูมา สบถด้วยความโกรธแค้นทันที


 


“ทำไมต้องไปที่อื่นด้วย? นี่มันพื้นที่สาธารณะของเมืองหานนะ! แล้วทำไมพวกเราถึงเข้าไปไม่ได้”


 


“มันจะมีคนกระจุกกันอยู่ข้างในถึงตั้ง 2000 คนได้ยังไง? อย่ามาโกหกกันดีกว่า!”


 


“ทำไมถึงไปเปิดล่ะ?”


 


เวลานี้ หลิวซูก็เริ่มโกรธบ้างแล้วเช่นกัน


 


“ทำไมพวกคุณถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ คิดจริงๆหรือว่าฉันไม่สามารถเข้าไปได้?” หลิวซูประกาศกร้าว และแน่นอนว่าเธอสามารถทำได้จริงๆ


 


เพราะยังไงก็ตาม สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะแห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เข้าไปก่อน ละเลยคนอื่นๆจากภายนอก ฉะนั้นมันจึงมีระบบฉุกเฉินติดตั้งเอาไว้


 


แต่แน่นอนว่าระบบดังกล่าว ไม่ใช่ว่าใครก็เปิดใช้งานมันได้ ไม่อย่างงั้นคงเกิดกรณีที่คนภายนอกสิ้นหวัง และชักนำความตายเข้าสู่พวกคนภายใน


 


หลิวซูกระแทกฝ่ามือเข้าใส่ประตู แผงหน้าจอก็ปรากฏขึ้นมาทันใด หลิวซูชักฝ่ามือออก โผเข้าป้อนชุดตัวเลขลงไปอย่างไม่ลังเล


 


แต่เธอก็ถูกฉินเฟิงขัดเอาไว้ซะก่อน


 


“ข่าวของพวกเราก่อนหน้านี้ เธอได้ส่งมันมาที่ห้างด้วยรึเปล่า?” ฉินเฟิงถาม


 


หลิวซูพยักหน้าด้วยความสำนึกผิดอีกครั้ง “เนื่องจากพวกเราเปลี่ยนกำหนดการใหม่ ตัดสินใจมาพักกันที่นี่ ดังนั้นอาจจะมีบางคนอยู่ใกล้ๆ แล้วมาสมทบกับพวกเราก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดเสียงต่อสู้ดังขึ้นตลอดทาง พวกเขาน่าจะได้ยินมัน”


 


“แล้วคนที่อยู่ในห้องใต้ดินนี้ ไม่มีใครต้องการไปกับพวกเราซักคนเลยหรอ?”


 


“เอ่อ .. คิดว่าไม่มี แต่ฉันส่งข่าวกระจายไปแล้วนะ ที่นี่ก็น่าจะได้รับเหมือนกัน … ”


 


“ไม่มีเลยซักคน?” ฉินเฟิงแสยะยิ้ม งั้นมันต้องมีความลับหรือเรื่องน่ากลัวบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่แล้วล่ะ “เอาเลย เธอเปิดประตูได้”


 


เลขรหัสของหลิวซูถูกขัดจังหวะโดยฉินเฟิง ดังนั้นเธอต้องป้อนมันใหม่ แต่โชคยังดี ที่มีโอกาสสามครั้งในการป้อนมัน


 


หลิวซูป้อนรหัสอีกครั้ง และสุดท้ายก็กดปุ่ม OK


 


ครืน …


 


เสียงประตูดังขึ้น


 


“หลบไปให้พ้น!”


 


ฉินเฟิงสะบัดมือ ส่งสัญญาณให้คนที่ติดตามเขาถอยออกไป


 


คำถามก่อนหน้านี้ของฉินเฟิง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าถึงภยันตราย แต่ถ้าจะพูดให้ถูก สมควรบอกว่าหลังจากเกิดการล่มสลายของเมือง มันเลยทำให้พวกเขารู้จักระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นเมื่อฉินเฟิงเอ่ยปาก ทั้งหมดก็หลบออกไปทันที —หลบให้พ้นจากประตู!


 


ประตูถูกเปิดออก และห่างออกไปครึ่งเมตร ภายใต้แสงสลัว ปืนสีดำสนิทพลันระเบิดสะเก็ดไฟอย่างกระทันหัน


 


ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง-


 


ห่ากระสุนสาดยิงออกมาจากภายในห้องใต้ดิน!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม