จารใจรัก 113.2-115.2

ตอนที่ 113-2 ทะเลาะกันใหญ่โต

 

“พระชายา ท่านอย่าก่อกวนโดยไร้เหตุผล เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ยังมีสิ่งใดคลุมเครืออีก ยามนี้คุณหนูฟางหวาเป็นอิสระ กลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาทด้วยความสมัครใจ นั่งบนราชรถหยกคันเดียวกัน ทั้งตอนนี้ยังพำนักในวังหลวงแห่งนี้ หลายวันนี้ท่านได้พบคุณหนูฟางหวาหลายครั้ง นางมีความคิดจะกลับไปคืนดีกับจวนอิงชินอ๋องบ้างหรือไม่ ไม่มีกระมัง ดังนั้น กิจบ้านเมืองของฝ่าบาทกับเรื่องในบ้านของท่านย่อมไม่เกี่ยวข้องกัน” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว


 


 


           “ท่านเอาแต่พูดว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เหตุใดถึงรีบร้อนขอให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาเช่นนี้ ก่อนที่พระราชโองการหย่าร้างจะประกาศต่อใต้หล้า ลูกชายข้าเดิมทีมิเคยทราบเรื่องพระราชโองการหย่าร้างมาก่อน ตอนนี้เขาอยู่ห่างไกล จนป่านนี้ยังมิกลับมา หลายวันนี้จึงไม่มีโอกาสได้จัดการเรื่องนี้ หรือว่ายังไม่ถือเป็นการเสียภรรยาไปอย่างคลุมเครืออีกรึ” พระชายาอิงชินอ๋องมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความโกรธ


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายอึ้ง


 


 


           “ลูกชายข้าถูกพวกท่านร้องขอให้ออกจากเมืองด้วยวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอัน ทว่าตอนนี้วิกฤตการณ์คลี่คลายแล้ว แต่ลูกชายข้าอยู่ที่ใด เสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าใช่ควรเอาความกับท่านหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องมิรอให้เขาอ้าปากแย้งก็กล่าวต่อ


 


 


           ใบหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายทั้งเขียวคล้ำทั้งซีดขาว “ข้าเองก็อยากทราบ เห็นชัดว่าท่านอ๋องน้อยเจิงกับรองราชเลขาชุยไปแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอัน ออกตามหาสมุนไพรดำม่วง ทว่าจนป่านนี้ยังไร้ข่าวคราว เท่าที่ข้าทราบข่าวมา พวกเขาเดิมทีมิได้ไปยังเมืองหลินอัน” พูดจบก็กล่าวอีก “ตอนนี้พรมแดนเปิดฉากรบ ภายในวุ่นวายภายนอกถูกรุกราน ฝ่าบาทย่อมควรราชาภิเษกโดยเร็ว และควรแต่งตั้งฮองเฮาโดยเร็วด้วย เช่นนี้ถึงจะสร้างความมั่นคงให้ระบอบการปกครอง ปลุกขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารที่พรมแดน ทำให้จิตใจของราษฎรสงบสุข พวกข้าแบ่งเบาภาระให้บ้านเมือง ย่อมต้องรีบร้อนเป็นธรรมดา”


 


 


           “ท่านเอาแต่พูดว่าแบ่งเบาภาระบ้านเมือง แบ่งเบาภาระให้ฝ่าบาท ไฉนถึงมิไปรบที่พรมแดนเองเลยเล่า  เมื่อใดที่ราชสำนักเกิดเรื่องก็มาหาลูกชายข้า เมื่อคลี่คลายปัญหาได้แล้วก็หาได้ไยดีลูกชายข้าไม่” พระชายาอิงชินอ๋อกล่าวด้วยโทสะ “เดือนก่อน ทั้งในและนอกเมืองหลวงเกิดคดีสังหารติดต่อกัน ไหนจะคดีสังหารคนในค่ายทหาร ล้วนเป็นลูกชายข้าที่ยุ่งไม่มีที่สิ้นสุด พอเมืองหลินอันประสบเคราะห์ สถานการณ์คับขันจวนตัว ก็มาขอร้องลูกชายข้าอีก เมื่อปัญหาคลี่คลายแล้วกลับลืมเขา ตอนนี้ยังช่วงชิงภรรยาเขาไปอีก เห็นว่าจวนอิงชินอ๋องของข้าไม่มีคนอยู่หรืออย่างไร ถึงได้รังแกกันเยี่ยงนี้”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายตกตะลึงอีกหน


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก “แม้แต่ข้าที่เป็นสตรียังทราบว่าในเวลาแบบนี้ควรยุติความขัดแย้งที่พรมแดนก่อน แก้ไขเหตุคับขันที่พรมแดนให้สงบ ท่านเป็นขุนนางอาวุโสมาสองรัชสมัยแล้ว กลับรู้เพียงแค่ให้


 


 


ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮา ถ้าราษฎรใต้หล้ายังมิปลอดภัย ฝ่าบาทจะต้องการแผ่นดินไปอีกทำไมกัน เรียกได้ว่าจิตใจของประชาชนมุ่งไปทางใด นั่นคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าว่าท่านเองก็แก่แล้ว ไร้ประโยชน์แถมยังเลอะเลือน นึกแต่วิธีการที่โง่เขลาออกมา มีท่านคอยช่วยเหลือฝ่าบาท ใต้หล้าก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้น ไม่แน่ว่าแผ่นดินหนานฉินจะเป็นเช่นไร”


 


 


           “ท่าน…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายทั้งโกรธทั้งลนลาน “ท่านโหวเซี่ยยืนหยัดต่อสู้ที่พรมแดน ท่านอ๋องน้อยเจิงกับคุณหนูฟางหวามิเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ฝ่าบาททรงแต่งตั้งคุณหนูฟางหวาเป็นฮองเฮาไม่พอ ยังเป็นการให้กำลังใจสวมมงกุฎให้ท่านโหวเซี่ย หากท่านโหวเซี่ยขัดขวางกองทัพเป่ยฉีที่รุกรานแนวต้านทานได้สำเร็จ เช่นนั้นตระกูลเซี่ยยังต้องกังวลว่าจะไม่เจริญรุ่งเรืองอีกหรือ”


 


 


           “ตระกูลเซี่ยยังต้องการความเจริญรุ่งเรืองใดอีก คนที่เกิดมาในตระกูลเซี่ยย่อมเห็นความหรูหราฟุ้งเฟ้อมาจนเคยชินตั้งแต่เกิดแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องราวกับพูดจนเหนื่อยแล้ว คร้านที่จะถกเถียงด้วยอีก จึงลั่นวาจาดุดันออกมา “ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นฮองเฮาก็ได้ แต่มิอาจแต่งตั้งเซี่ยฟางหวา นางเป็นลูกสะใภ้ของจวนอิงชินอ๋องของข้า พระราชโองการหย่าร้างของอดีตฮ่องเต้นั้น จวนอิงชินอ๋องของเราไม่รับ ข้าจะบอกพวกท่านให้ อย่าได้หวังว่าจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาอีก เว้นเสียแต่จะสังหารข้าทิ้ง”


 


 


           “ท่าน…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง


 


 


           เหล่าขุนนางกลัดกลุ้มล้วนรู้สึกอกสั่นขวัญหาย


 


 


           การกระทำของพระชายาอิงชินอ๋องเรียกได้ว่ากบฎ ทว่านางดันยืนอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ด้วยสองขาของนางเอง นางเกิดมาในตระกูลชุยแห่งชิงเหอ เป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน สามีของนางคืออิงชินอ๋องที่อยู่ในโถงราชสำนักตอนนี้ และมีตำแหน่งเป็นอ๋องช่วยบริหารบ้านเมืองที่อดีตฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเอง ลูกชายของนางคือท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋อง ตั้งแต่เกิดมาก็สามารถเดินกร่างในเมืองหลวงหนานฉินได้ ตัวนางเองยิ่งมีวาจารุนแรงมีอำนาจ สตรีมิได้ด้อยกว่าบุรุษ ทั้งยังมีฐานะเป็นป้าสะใภ้ของ


 


 


ฝ่าบาท และลูกสะใภ้ที่นางเอาแต่พูดถึง ในวันวานเคยเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง ราวกับเป็นแม่ลูกกันแท้ๆ


 


 


           นางในตอนนี้ ขนาดเสนาบดีฝ่ายซ้ายยังแย้งมิได้ นับประสาอันใดกับผู้อื่น


 


 


           นางให้ฝ่าบาททรงสังหาร ใช้ความตายมาบีบบังคับ ฝ่าบาทจะทรงสังหารนางจริงหรือ


 


 


           นั่นเป็นไปมิได้


 


 


           การสังหารนางจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ตามมา เดิมทีภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ราชสำนักและราษฎรในเมืองหลวงมิอาจรับคลื่นยักษ์ลูกใดได้อีกแล้ว


 


 


           ขุนนางราชสำนักที่พอจะกระจ่างแจ้งล้วนรู้สึกว่า พระชายาอิงชินอ๋องผู้นี้เฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ฉวยโอกาสอันดีแบบนี้ชักนำสาธารณชน อ้างเรื่องฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้เพื่อขัดขวางฝ่าบาทมิให้ทรงแต่งตั้งเซี่ยฟางหวาเป็นฮองเฮา


 


 


           ไทเฮาแม้กำลังสวมเครื่องแต่งกายไทเฮา แต่ยามนี้เห็นพระชายาอิงชินอ๋องยืนอยู่ตรงข้ามกัน แม้สวมเพียงอาภรณ์สีเรียบ กลับยืนอยู่อย่างสง่างามด้วยท่าทางมิกลัวฟ้าดิน นางพลันรู้สึกว่า ชาตินี้ไม่ว่าเวลาใด เกรงว่าล้วนมิอาจต้านพระชายาอิงชินอ๋องได้เลย


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเทหมดหน้าตักยิ่งกว่านาง


 


 


           นางอยู่ในวังหลวงมาหลายปี แม้บอกว่าหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยเป็นไม้เลื้อยที่คอยพึ่งพาอดีตฮ่องเต้ นางไหนเลยจะมิใช่ด้วย ตอนนี้อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว นางก็แค่วาสนาดีกว่าพระสนมสองคนนั้น ลูกชายของนางได้เป็นฮ่องเต้ นางก็เป็นเพียงไม้เลื้อยที่พึ่งพาลูกชายด้วยเช่นกัน


 


 


           นางตวัดพระเนตรมองฉินอวี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำ ยามนี้เกรงว่าในใจเขาคงทำอันใดมิได้แล้วเช่นกัน ในใจทุกคนต่างทราบดี ความคิดของเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็คือเจตนาของเขา ตอนนี้แม้พระชายาอิงชินอ๋องคุมเชิงเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่คุมเชิงด้วยคือเขา


 


 


           สุดท้ายจะได้แต่งตั้งฮองเฮาหรือไม่ก็ลำบากแล้ว


 


 


           วันนี้หากถอยก้าวหนึ่ง เช่นนั้นเกรงว่าหากเอ่ยถึงเรื่องนี้ในภายหลังจะยิ่งยากกว่าเดิม


 


 


           นางพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง เอ่ยกับพระชายาอิงชินอ๋อง “ท่านพี่ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล แต่ที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดมาก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ถ้าเรายังถกเถียงกันต่อไปก็ยิ่งยากจะได้ข้อสรุป และยิ่งมิอาจผลักคุณหนูฟางหวากับท่านอ๋องน้อยเจิงออกไปได้ ถึงอย่างไรไม่ว่าเรื่องในวันวานหรือวันนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา ทั้งเจ้าและข้าล้วนเป็นผู้ใหญ่ มิสู้ให้เด็กๆ ตัดสินใจกันเอาเอง”


 


 


           “ตัดสินใจอย่างไร ตอนนี้เจิงเอ๋อร์ของข้าไม่อยู่ในเมือง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ


 


 


           “เช่นนั้นเชิญคุณหนูฟางหวามาที่ตำหนักก่อน” ไทเฮาเอ่ยจบ มองไปยังฉินอวี้พบว่าใบหน้าเขามิแสดงอารมณ์ใด นางเป็นมารดาย่อมรู้จักลูกชายดี ทราบดีว่าเขาน่าจะไม่ชอบใจที่จะให้นางมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนคำพูด “หากนางมิอยากเข้าตำหนัก ก็ส่งคนไปถามความเห็นนาง”


 


 


           “หากนางมีความลำบากใจอันใดที่ถูกบีบบังคับเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องรีบกล่าว “ข้าไม่เชื่อคำพูดที่ออกจากปาก ข้าเชื่อเพียงจิตใจของคนเท่านั้น หวาเอ๋อร์รักเจิงเอ๋อร์ของข้าอย่างลึกซึ้ง เป็นไปได้อย่างไรที่จะทิ้งเขาไปออกเรือนกับผู้อื่น”


 


 


           “ท่านพี่ ท่านพูดแบบนี้ก็มิถูกต้อง คำพูดที่ออกมาจากปากฟางหวาท่านยังไม่เชื่อ เช่นนั้นท่านเชื่อในสิ่งใด หรือว่าจะขัดขวางบุพเพสันนิวาสของฝ่าบาทจริงๆ แม้ท่านเป็นพี่สะใภ้ ใครก็ทำอันใดท่านมิได้ แต่ก็ควรเคารพความรู้สึกของพวกลูกๆ ด้วย” ไทเฮาเอ่ย


 


 


           “รอเจิงเอ๋อร์กลับมาก่อน หากเขากลับมาแล้วมิได้สอดปากเรื่องฝ่าบาททรงแต่งตั้งหวาเอ๋อร์เป็นฮองเฮาแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าถึงจะเชื่อว่าพวกเขาหมดเยื่อใยต่อกันแล้ว ไร้วาสนาต่อกันตลอดกาล ข้าก็จะไม่พูดอันใดอีก” พระชายาอิงชินอ๋องกัดฟัน เอ่ยปากกล่าว “ถึงตอนนั้น ข้าจะเป็นคนแรกที่มอบของขวัญอวยพรเอง”


 


 


           ด้วยความนุ่มนวลหายากของไทเฮา นางย่อมไม่อยากบีบบังคับจนเกินไปเช่นกัน หากมิใช่ว่าวันนี้ได้ยินว่าแม้แต่ไทเฮายังเข้ามาในตำหนักได้ ตนเดาว่าต้องมาเพื่อเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาเป็นแน่ นางต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่นนั้นอิงชินอ๋องก็ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป มิอาจกล่าวคำใดได้ ดังนั้นนางที่ทนไม่ไหวแล้วก็ต้องมาเอง


 


 


           สิ่งที่นางต้องการมีเพียงฝ่าบาททรงรับปากว่าจะรอฉินเจิงกลับมาก่อน


 


 


           เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็มองฝ่าบาท


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ลอบตวัดตามองไปยังฝ่าบาทซึ่งอยู่ข้างบน ความร้ายกาจของพระชายาอิงชินอ๋องเขามิได้รู้ซึ้งเป็นครั้งแรก แท้จริงแล้วไม่เข้าใจนัก คนผู้หนึ่งที่โดยปกติแลดูอ่อนโยนนั้น เมื่อถึงคราวต้องปกป้องลูกชายขึ้นมา ไฉนถึงได้ยอมเทหมดหน้าตักเช่นนี้ สตรีทั่วไปย่อมทำมิได้แน่นอน


 


 


           หลังการถกเถียงอันดุเดือดจบลง ตำหนักใหญ่ก็ตกอยู่ในความเงียบอันน่าประหลาด


 


 


           ทุกคนล้วนรอให้ฝ่าบาทเปล่งวาจาแสดงความเห็น


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ค่อยๆ เอ่ยกับพระชายาอิงชินอ๋อง “สิ่งที่ท่านป้าพูดมานั้นมีเหตุผล เดิมทีเราก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดอดีตฮ่องเต้ถึงทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง แต่เราก็ขอพูดโดยมิปิดบังเช่นกัน เรามีใจชอบฟางหวาตลอดมา ท่านป้าเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ยามนี้นางไร้พันธะ เมื่อเราราชาภิเษก ย่อมอยากแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา”


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็หนักใจ ฉินอวี้กล้าเอ่ยเรื่องชอบพอต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก นับว่าบริสุทธิ์ใจเทหมดหน้าตักแล้วเช่นกัน เพราะความบริสุทธิ์ใจนี้เองที่ทำให้ไม่มีใครกล้ากล่าวประณาม อีกอย่างฟางหวาก็ไร้พันธะจึงมิอาจถูกกล่าวหาว่าเขาแย่งภรรยาของพี่น้องได้


 


 


           ฉินอวี้หยุดเว้นช่วงแล้วเอ่ยต่อ “เรารับปากท่านป้าก็ได้ว่าจะพักเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว โดยมีวันราชาภิเษกของเราเป็นกำหนดเวลา หากถึงวันราชาภิเษกแล้วแต่ฉินเจิงยังไม่กลับมาสอดปากกล่าวต่อเรื่องนี้ เราจะแต่งตั้งฟางหวาเป็นฮองเฮา เวลาเท่านี้คงเพียงพอแล้วกระมัง”


 


 


           พระชายาได้ยินเช่นนี้ก็มองไปยังอิงชินอ๋อง


 


 


           อิงชินอ๋องถอนหายใจใส่นาง คิดเช่นกันว่าวันนี้นางก่อความวุ่นวายระหว่างว่าราชสำนักยามเช้า ฉินอวี้มิเพียงแต่ไม่ตำหนิ กลับยังกำหนดเวลา นับว่าไว้หน้ามากแล้วเช่นกัน


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องคำนวณวันในใจ แม้มีเวลาไม่มาก แต่หากฉินเจิงทราบข่าวแล้วรีบกลับเมือง ด้วยความสามารถของเขาก็น่าจะเหลือเฟือ แต่หากเขากลับมามิได้ นางซึ่งเป็นมารดาก็ทำเต็มที่แล้ว มิอาจกล่าวคำใดได้อีก นางกัดฟันตอบ “ตกลง ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันรับปากว่า หากถึงวันราชาภิเษกแล้วเขายังมิกลับมา หม่อมฉันจะเตรียมของขวัญล้ำค่าเพื่อแสดงความยินดีที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาแน่นอน” 

 

 


ตอนที่ 114-1 โชคดีที่มีเจ้า

 

           การถกเถียงเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในการว่าราชสำนักยามเช้าปิดม่านลงด้วยข้อตกลงระหว่างฉินอวี้กับพระชายาอิงชินอ๋อง


 


 


           เมื่อเลิกว่าราชการ ฉินอวี้ก็เสด็จกลับไปยังตำหนักของตนเอง


 


 


           เซี่ยฟางหวาทราบข่าวเรื่องพระชายาอิงชินอ๋องเข้ามาสร้างความวุ่นวายในตำหนักจินหลวนขณะว่าราชการยามเช้าแล้ว ประจวบเหมาะที่ดื่มยาขมเฝื่อนหมดถ้วยพอดี นางส่งถ้วยเปล่าให้ซื่อฮว่า ก่อนยกมือนวดหว่างคิ้ว


 


 


           เมื่อฉินอวี้มาถึง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็รีบออกไปต้อนรับ


 


 


           ฉินอวี้ยกมือก่อนข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง เห็นสีหน้าเซี่ยฟางหวาไม่ค่อยดีนักจึงเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้าคงได้ยินเรื่องว่าราชการยามเช้าแล้ว”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินอวี้นั่งลงตรงข้ามนาง ฝืนหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านป้าฟ้องร้องต่ออดีตฮ่องเต้ นับว่ามิเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติการณ์ ตั้งแต่เด็กข้านึกอิจฉาฉินเจิงที่ได้เกิดมาในจวนอิงชินอ๋อง”


 


 


           เซี่ยฟางหวามิแสดงความเห็น


 


 


           “เมื่อคืนเหยียนเฉินกับข้าเตรียมการไว้แล้ว แต่จะขัดขวางเขาได้หรือไม่นั้นมิอาจบอกได้” ฉินอวี้มองนาง “แต่ไม่ว่าอย่างไร ให้กรมอาภรณ์หลวงมาวัดตัวเจ้าเพื่อตัดชุดก่อนดีกว่า”


 


 


           “เจ้าเตรียมพร้อมก็ดีแล้ว” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า นั่งต่ออีกพักใหญ่ ก่อนลุกขึ้นไปยังห้องทรงอักษร


 


 


           เมื่ออิงชินอ๋องเลิกว่าราชการแล้วก็พาพระชายากลับจวน หลังกลับมาถึงก็ปิดปะตูห้อง กล่าวขึ้นอย่างทำอันใดมิได้ “ไฉนเจ้าถึงเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้”


 


 


           “นอกจากวิธีการนี้ ข้าก็นึกวิธีการอื่นไม่ออกแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องรีบตอบ


 


 


           “ไฉนเจ้าถึงทำให้ตัวเองต้องลำบาก ข้าว่าหวาเอ๋อร์ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะออกเรือนกับฝ่าบาท ฝ่ายหนึ่งสมัครใจแต่ง อีกฝ่ายก็ยอมออกเรือนด้วย ถึงขวางได้เวลาหนึ่ง แต่จะขวางได้นานเท่าไร” อิงชินอ๋องมองนาง


 


 


           “แม้ข้ากับหวาเอ๋อร์มิใช่แม่ลูกกัน แต่จากที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดหลายวันนั้น ข้าก็เกือบจะรู้จักนิสัยนางดี เมื่อประสบปัญหานางก็กล้ำกลืนฝืนทน มีความอดทนเป็นที่ตั้ง ข้าเชื่อว่านางจะต้องมีความลำบากใจที่ไม่มีทางเลือกเป็นแน่” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ


 


 


           “จะมีความลำบากใจใดได้ เจ้าหมายถึงเพื่อจวนจงหย่งโหว ตระกูลเซี่ยหรือ” อิงชินอ๋องมองนาง


 


 


           “จนป่านนี้ยังมิทราบที่อยู่ของโหวเหยียผู้เฒ่าแน่ชัด มิรู้ว่าไปที่ใดแล้ว ข้าเคยลอบส่งคนไปสืบข่าว ได้ความว่าเดิมทีมิได้ไปทะเลบูรพา หลังออกจากเมืองไปได้สิบวัน ร่องรอยก็หายไป” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “น่าจะเป็นการจัดการของหวาเอ๋อร์ นางให้จวนจงหย่งโหวหายไปจากใต้หล้าอย่างแท้จริง ซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีใครหาพบ ตอนนี้ในเมืองเหลือเพียงแค่เรือนหก พรมแดนม่อเป่ยเหลือแค่เซี่ยม่อหานคนเดียว หากบอกว่าเพื่อตระกูลเซี่ย คงมิต้องทำถึงขนาดนี้ ถึงอย่างไรอดีตฮ่องเต้ก็สวรรคตไปแล้ว ฝ่าบาทมิได้มีเจตนากำจัดตระกูลเซี่ยอีก ตระกูลเซี่ยไม่ว่าจะในภาคราชสำนักหรือภาคประชาชนล้วนสงบมั่นคงแล้ว”


 


 


           “ใช่แล้ว ตระกูลเซี่ยแม้เสียหายไปมิน้อยในหลายปีนี้ แต่ตอนนี้ถือว่าถอนตัวออกไปอย่างสงบ นางแยกตระกูลและบรรพบุรุษออกก่อน ตามมาด้วยย้ายพวกโหวเหยียผู้เฒ่าในจวนจงหย่งโหวออกจากเมือง จวนจงหย่งโหวแม้ดูแล้วกลายเป็นเพียงจวนเปล่า แต่พวกเราต่างทราบดีว่าอำนาจจากที่แจ้งนั้นได้ซ่อนเข้าสู่ที่ลับแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้เรียกได้ว่าจวนจงหย่งโหวสงบมั่นคงแล้ว นางยังมีความลำบากใจหรือความกังวลใดอีก”


 


 


           “บางทีอาจยังมีส่วนที่เราคาดมิถึง” พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิด


 


 


           “ส่วนใด” อิงชินอ๋องคิดไม่ออก


 


 


           “ท่านลองคิดดูสิ หลังนางกับเจิงเอ๋อร์สมรสกัน ทั้งในและนอกเมืองเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากเท่าไร แต่ตอนนี้เล่า ตั้งแต่นางออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังเมืองหลินอัน หลังคลี่คลายวิกฤตการณ์ที่เมืองหลินอันได้ นอกจากการระดมกำลังที่พรมแดนม่อเป่ย หลายวันนี้ในเมืองหลวงมิใช่ว่าสงบมากหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องถาม


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า “ช่วงนี้ไม่เกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีกเลย” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “แต่ข้าได้ยินว่าเพราะฝ่าบาทกับหวาเอ๋อร์ร่วมมือกันกำจัดคนกลุ่มหนึ่งที่ภูผาวกวน ความสงบในเมืองกับผู้อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่”


 


 


           “นี่ต้องใช่แน่” พระชายาอิงชินอ๋องไตร่ตรองกล่าว “พอหวาเอ๋อร์ออกจากเมือง ในเมืองก็สงบสุขทันใด ใช่อธิบายได้ว่าคนเหล่านั้นพุ่งเป้ามาที่นางหรือไม่ นางไม่อยากให้พัวพันมาถึงจวนอ๋องของเรา จึงจำใจบีบบังคับให้ฝ่าบาทออกพระราชโองการหย่าร้าง ตอนนี้คงเป็นเพราะอำนาจเบื้องหลังมิอาจกำจัดได้หมด นางจึงกลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท…”


 


 


           “สิ่งที่เจ้าคาดการณ์ก็ค่อนข้างมีเหตุผล แต่สักแค่เดาคงมิได้” อิงชินอ๋องนวดหน้าผาก “สิ่งที่ควรกังวลตอนนี้คือเจิงเอ๋อร์จะกลับมาทันวันราชาภิเษกของฝ่าบาทหรือไม่”


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็กลุ้มใจ “พวกเราเห็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเติบโตมาตั้งแต่เด็ก นิสัยของพระองค์ทั้งท่านและข้าต่างรู้จักดี ต้องมีการเตรียมการไว้แล้วเป็นแน่ มิฉะนั้นคงไม่ตกปากรับคำข้อตกลงที่รอเจิงเอ๋อร์กลับมาก่อนวันราชาภิเษกกับข้าอย่างง่ายดาย”


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า “ก่อนฝ่าบาทจะราชาภิเษก เกรงว่าคงไม่อยากให้เจิงเอ๋อร์กลับมาก่อกวน”


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะ “หากพระองค์จะอภิเษกสมรสกับสตรีคนใดในเมืองหลวงหนานฉินข้าก็มิก้าวก่าย เจิงเอ๋อร์จะกลับมาทันหรือไม่ก็ย่อมได้ แต่คนที่พระองค์จะแต่งตั้งเป็นฮองเฮาคือหวาเอ๋อร์ หากเรื่องนี้ไม่กระจ่าง ข้าก็ไม่ยอมให้พระองค์อภิเษกสมรสเด็ดขาด”


 


 


           อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา


 


 


           “ฝ่าบาทต้องเตรียมการขัดขวางเจิงเอ๋อร์กลับมา เราต้องส่งคนออกไปรับมือ” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว


 


 


           อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ถลึงตาใส่ “เจ้าจะให้คนของจวนอ๋องไปต่อต้านกับคนของฝ่าบาทรึ” พูดจบ เขาก็ส่ายหน้า “มิได้ ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก จวนอ๋องกับฝ่าบาทมิอาจขัดแย้งกันภายในได้”


 


 


           “ท่านรู้จักเพียงปกป้องแผ่นดินหนานฉิน แต่สิ่งที่ฝ่าบาทจะช่วงชิงไปคือลูกสะใภ้ของท่าน พระองค์ยังพะว้าพะวงเรื่องระดมกำลังที่พรมแดนอีกหรือ ยังพะว้าพะวงเรื่องมิอาจขัดแย้งกันภายในหรือไม่” พระชายาถลึงตามองกลับ


 


 


           “เจ้า…” อิงชินอ๋องตะลึง “ฝ่าบาทก็ไม่แน่ว่าจะขวางเจิงเอ๋อร์ได้”


 


 


           “ไฉนถึงขวางมิได้ พระองค์ต้องขวางได้เป็นแน่” พระชายาอิงชินอ๋องมั่นใจ


 


 


           “อำนาจในมือฝ่าบาทหากจะต่อกรกับอำนาจในมือเจิงเอ๋อร์ ด้วยสถานการณ์ในหนานฉินของเราตอนนี้จะเกิดความเสียหายอย่างแท้จริง ฝ่าบาทจะมิปราดเปรื่องแบบนี้มิได้” อิงชินอ๋องมองนาง


 


 


           “ในสายตากับพระราชหฤทัยของพระองค์มีเพียงหวาเอ๋อร์ เพื่อนางแม้แต่ตำแหน่งจักรพรรดิก็เกือบจะไม่ต้องการแล้ว ความปราดเปรื่องของพระองค์เมื่อเป็นเรื่องหวาเอ๋อร์แล้วเป็นเพียงการคุยโวเท่านั้น” พระชายาอิงชินอ๋องเอ่ยเด็ดขาด “ท่านไม่เห็นด้วยมิได้ แค่ข้าไม่ใช้กำลังจวนอ๋องก็พอแล้วใช่ไหม เช่นนั้นข้าจะใช้กำลังของตระกูล”


 


 


           อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็จนปัญญา “เช่นนั้นก็ได้”


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องแค่นเสียงในลำคอ ก่อนหมุนตัวออกไปสั่งงานเป็นการส่วนตัว


 


 


           อิงชินอ๋องนั่งหน้าโต๊ะ ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา


 


 


           วันเดียวกันนั้นเอง กรมพิธีการก็เริ่มจัดเตรียมพระราชพิธีราชาภิเษกของฝ่าบาท ฉินอวี้มีคำสั่งให้กรมพิธีการจัดเตรียมพิธีแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกับราชาภิเษกด้วย กรมพิธีการได้แต่รับปากอย่างเดียว ทั้งยังมีคำสั่งให้กรมอาภรณ์หลวงทำการตัดเย็บชุดพิธีการสำหรับฮองเฮาด้วย


 


 


           สี่วันให้หลัง พรมแดนส่งข่าวกลับมาว่า หวางกุ้ยนำทหารสองแสนนายไปถึงม่อเป่ยและเข้าสมทบกับเซี่ยม่อหานแล้ว


 


 


           ทหารสองแสนนายแม้เดินทางมาอย่างยากลำบาก ทว่ามิได้ท้อแท้แต่อย่างใด ขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม


 


 


           คืนนั้นทัพเป่ยฉียกทัพมาโจมตีทัพม่อเป่ยอีกครั้ง มีทหารสองแสนนายของหวางกุ้ยคอยสนับสนุนนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทัพเป่ยฉีมิอาจได้เปรียบอีก


 


 


           เมื่อข่าวส่งกลับมา ทุกคนต่างพากันชื่นชมว่าตระกูลหวางเป็นอูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า แม้มิได้อยู่ในราชสำนักมาหลายปี แต่เมื่อถึงเวลาต้องใช้งานอย่างจริงจัง ก็ยังคงแสดงความสามารถอย่างเมื่อสองร้อยปีก่อนได้


 


 


           ในระหว่างนั้น ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาหารือกันเรื่องโยกย้ายทหาร เพื่อเดินทางไปสนับสนุนที่พรมแดนม่อเป่ยอีกครั้ง ทว่าใครจะเป็นผู้นำทัพนั้น จำต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน


 


 


           ผู้ที่เหมาะสมในราชสำนักตอนนี้ ไม่มีผู้ใดพร้อมที่จะบัญชาการ


 


 


           ฉินอวี้จึงนำเรื่องนี้ไปหารือกับเหล่าขุนนางตอนว่าราชการยามเช้า ดูว่าเหล่าขุนนางจะแนะนำใครบ้าง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวออกจากแถว “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าหลี่มู่ชิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเหมาะที่จะรับหน้าที่นี้ เขามีพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ บุ๋นทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง บู๊ทำให้บ้านเมืองสงบสุข เป็นคนมีพรสวรรค์ซึ่งหาได้ยาก อีกอย่างเขามีนิสัยใจเย็นสุขุม มีความสันพันธ์อันดีกับท่านโหวเซี่ยแห่งจวนจงหย่งโหว หากส่งเขาไปนำทัพต้องต้านทัพเป่ยฉีได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวามองเสนาบดีฝ่ายซ้าย นึกไม่ถึงว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะแนะนำบุตรชายของตน ค่อนข้างเหนือความคาดหมายยิ่ง เขาเดิมทีอยากให้บุตรชายเป็นขุนนางบุ๋น อนาคตจะได้สืบทอดตำแหน่งของตน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทก็ทรงรับปากไว้ตอนถอนหมั้นแล้ว แต่หากนำทัพ บุตรชายตนเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ สนิทสนมกับเซี่ยม่อหาน อย่างไรก็ได้รับหน้าที่สำคัญเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนกำลังมองตน จึงก้าวออกจากแถว “ฝ่าบาท บุตรชายกระหม่อมไม่อยู่ในเมืองมาเดือนเศษแล้ว จนป่านนี้ยังมิกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ข้าได้ยินว่าหลี่มู่ชิงกำลังเดินทางกลับมา อีกไม่นานคงมาถึง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้น “หากเขาใกล้กลับมาถึงแล้ว ได้รับหน้าที่อันสำคัญนี้ กระหม่อมก็ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           “ฝ่าบาททรงคิดว่าหลี่มู่ชิงเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองไปยังฉินอวี้


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า “หลี่มู่ชิงเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊ หากเขาใกล้กลับมาถึงแล้ว มีเขานำทัพไปม่อเป่ยย่อมดียิ่ง” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “เราได้ยินว่าท่านโหวน้อยเยี่ยนก็กลับมาพร้อมหลี่มู่ชิงด้วย”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าใจ รีบกล่าวคล้อยตาม “ทูลฝ่าบาท ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านโหวน้อยเยี่ยนแห่งจวนหย่งคังโหวก็กลับมาพร้อมกันด้วย”


 


 


           “หากเราให้หลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงไปสนับสนุนทัพม่อเป่ยด้วยกัน มิรู้ว่าหย่งคังโหวกับฮูหยินจะอาวรณ์หรือไม่” ฉินอวี้เอ่ย


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับเสนาบดีฝ่ายขวามองหน้ากัน แล้วมองไปยังตำแหน่งที่หย่งคังโหวยืนในเวลาปกติ ตอนนี้เขายังอยู่จัดการเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าที่ราชสุสาน ยังมิได้กลับมา


 


 


           ราชเลขากรมกลาโหมก้าวออกจากแถว โน้มตัวทูลกล่าว “กระหม่อมได้ยินว่าหลังท่านโหวน้อยเยี่ยน


 


 


ออกจากเมืองหลวงก็ไปยังเป่ยฉี และพักที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีตลอดมา เขาเพิ่งกลับมาเป่ยฉีก็มีการระดมกำลัง ท่านโหวน้อยเยี่ยนเกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”


 


 


           “ท่านมิต้องกังวลเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเยี่ยนถึงแม้เคยไปอยู่เป่ยฉีเวลาหนึ่ง แต่ก็มีไมตรีกับพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีเช่นกัน มิฝักใฝ่ในเรื่องการเมือง เราเชื่อจวนหย่งคังโหว เชื่อใจท่านโหวน้อยเยี่ยน” ฉินอวี้พลันแย้มสรวล


 


 


           ราชเลขากรมกลาโหมได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว “เป็นกระหม่อมกังวลเกินไป”


 


 


           “เช่นนี้แล้วกัน จัดการแบบนี้ไปก่อน ที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกก็ตรวจสอบทหารให้พร้อม รอหลี่มู่ชิงกับเยี่ยนถิงกลับมาค่อยตัดสินใจอีกครั้ง” ฉินอวี้เอ่ยอีก


 


 


           เหล่าขุนนางผงกศีรษะพร้อมเพรียงกัน 

 

 


ตอนที่ 114-2 โชคดีที่มีเจ้า

 

เมื่อเลิกว่าราชการ ฉินอวี้ก็ตรงไปยังตำหนักที่เซี่ยฟางหวาพำนักอยู่ 


 


 


           เซี่ยฟางหวากำลังขมวดคิ้วจ้องถ้วยยาเขม็ง 


 


 


           ฉินอวี้ข้ามธรณีประตูเข้ามา จึงเห็นว่านางกำลังนั่งเท้าคางหน้าโต๊ะพลางขมวดคิ้วมองถ้วยยาเบื้องหน้า อากัปกิริยานี้ช่างดูสมกับเป็นบุตรีในตระกูลยิ่ง ชวนให้เขาค่อนข้างแปลกใจ อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา “ยาถ้วยนี้มีอันใดหรือ ถึงทำให้เจ้าอยู่ในสภาพนี้” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นเขามาก็ลดมือลง กล่าวอย่างจนใจ “ก่อนเหยียนเฉินไปได้คำนวณวันไว้แล้ว วันนี้จึงเปลี่ยนเทียบยาให้ข้า ยานี้เป็นยาที่ข้าเกลียดที่สุด” 


 


 


           “ทุกครั้งข้าเห็นเจ้าดื่มยาเหมือนดื่มน้ำ นึกไม่ถึงว่ามียาที่เจ้าไม่ชอบด้วย” ฉินอวี้หลุดแย้มสรวล  


 


 


           “แน่นอนว่ามี” เซี่ยฟางหวาถลึงตาใส่ 


 


 


           ฉินอวี้ยกยาถ้วยนั้นขึ้นมาดม ก่อนวางลงตรงหน้านางใหม่ “ข้ามิอาจดื่มแทนเจ้าได้ หากดื่มแทนได้ก็ดี” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองด้วยสายตารังเกียจ ก่อนดันถ้วยยาออกห่างเล็กน้อยอีกหน 


 


 


           “ถ้าไม่ดื่มประเดี๋ยวก็เย็นเสียก่อน” ฉินอวี้มองนางด้วยความขำขัน  


 


 


           เวลานี้ซื่อฮว่าที่อยู่หน้าประตูก็กล่าวเสียงเบา “ฝ่าบาท ท่านมีวิธีทำให้คุณหนูยอมดื่มยาถ้วยนี้หรือไม่ 


 


 


เพคะ ยาถ้วยนี้ถูกอุ่นมาสามครั้งแล้ว หากยังมิดื่มก็ต้องนำไปอุ่นใหม่อีกหน คุณชายเหยียนเฉินกำชับไว้ว่าต้องดื่ม ไม่ดื่มมิได้ หากคุณหนูนำไปเททิ้งก็ให้พวกเราต้มมาใหม่ ทำเช่นนี้จนกว่านางจะดื่มเพคะ” 


 


 


           “ถ้าเจ้าไม่พูด ช่วยข้าเปลี่ยนยาสักตัว เขาไหนเลยจะรู้” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองซื่อฮว่า  


 


 


           “คุณชายเหยียนเฉินบอกไว้แล้ว ยาตัวนี้จำเป็นต้องมี ถึงท่านเปลี่ยนเป็นตัวใดก็มิได้ผลเท่าตัวนี้”  


 


 


ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวาด้วยความลำบากใจ นางคิดมาตลอดว่าการรับใช้คุณหนูนั้นง่ายมาก มิเคยปฏิเสธสิ่งใด แต่ไม่นึกเลยว่าอย่างไรก็ไม่ยอมดื่มยานี้ 


 


 


           “ในเมื่อเป็นยาจำเป็นก็ดื่มเถิด” ฉินอวี้ยกถ้วยยายื่นให้นาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนี 


 


 


           ฉินอวี้มองนางด้วยความขำขันยิ่งกว่าเดิม ครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมา “ถ้าเจ้ารีบดื่มยาถ้วยนี้ ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” 


 


 


           “เจ้าพูดมาเสียตอนนี้” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “ก่อนเหยียนเฉินไปย้ำกับข้าว่ามิให้นำเรื่องมาสร้างความกังวลให้เจ้ามากเกินไป ถ้าเจ้าไม่ยอมดื่ม ข้าก็จะไม่พูด” ฉินอวี้ส่ายหน้า  


 


 


           เซี่ยฟางหวามองค้อนเขา ยกถ้วยยาขึ้นมาแล้วใช้มืออีกข้างบีบจมูกแน่น ก่อนดื่มยาถ้วยนี้ลงไปราวกับใช้พละกำลังมาก เมื่อยาลงสู่ท้อง นางก็ผละออกจากที่นั่ง วิ่งไปยังหน้ากระโถนแล้วเกิดคลื่นไส้ขึ้นมา 


 


 


           ฉินอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาอาเจียนเป็นนานจนน้ำตาไหล หลังจากนั้นก็หมุนตัวกลับมา กล่าวด้วยความแค้นเคือง “ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสัมผัสยาตัวนี้ก็เกิดอาเจียน เหยียนเฉินรู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังให้ข้าดื่มอีก” 


 


 


           “อาเจียนตลอดเลยหรือ” ฉินอวี้ยืนขึ้น เดินมาหานาง  


 


 


           “ไม่ตลอด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           ฉินอวี้โล่งใจ “มิได้อาเจียนตลอดก็ดีแล้ว มิฉะนั้นยาตัวนี้คงดื่มมิได้จริงๆ” เอ่ยจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามายื่นให้นาง “เช็ดน้ำตาเสีย” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่รับ แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าจากอกเสื้อตนเองมาซับน้ำตา ก่อนกล่าวกับเขา “พูดมาเถิด มีเรื่องใดหรือ” 


 


 


           ฉินอวี้ดึงมือกลับ เก็บผ้าเช็ดหน้าแล้วเดินกลับไปนั่งใหม่ ก่อนเอ่ยกับนาง “ว่าราชการยามเช้าวันนี้ เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอว่า ราชสำนักควรรีบส่งทัพเดินทางไปม่อเป่ย หากเป่ยฉีมีการโยกย้ายทหารเพิ่มอีก ทหารสองแสนนายของหวางกุ้ยคงต้านได้เพียงเวลาหนึ่งเท่านั้น เขาบอกว่าหลี่มู่ชิงใกล้กลับมาแล้ว ควรส่งเขานำทัพเดินทางไปม่อเป่ย” 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอหรือ” เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว  


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เงียบลงพักหนึ่งแล้วถามขึ้น “โดยใช้ทหารจากค่ายใหญ่เขาตะวันตก” 


 


 


           “นอกจากค่ายใหญ่เขาตะวันตก ใกล้เมืองหลวงก็ไม่มีทหารอื่นที่ใช้การได้แล้ว” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “มิได้ ห้ามใช้ทหารค่ายใหญ่เขาตะวันตก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า  


 


 


           ฉินอวี้มองนาง เห็นว่านางยืนหยัดเช่นนี้ จึงอดมิได้ที่จะถามขึ้น “เพราะเหตุใด เจ้าคิดว่ามีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือ” 


 


 


           “ไม่เหมาะสม” เซี่ยฟางหวาตอบ “เป่ยฉีระดมกำลังเป็นเวลา ทหารสามแสนนายในม่อเป่ย ผนวกกับทหารอีกสองแสนนายที่โยกย้ายจากละแวกเมืองหลินอัน ห้าแสนนายแม้ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย มีท่านพี่กับ 


 


 


หวางกุ้ยอยู่ย่อมเพียงพอที่จะต้านเป่ยฉีได้เวลาหนึ่งแล้ว หากโยกย้ายทหารในแถบชานเมืองใกล้เมืองหลวงตอนนี้ หากมีคนฉวยโอกาสนี้ก่อความไม่สงบในเมืองหลวงจะรับมือเช่นไร” 


 


 


           ฉินอวี้ชะงักไป ไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดว่าจะมีคนฉวยโอกาสโจมตีเมืองหลวง” 


 


 


           “ตอบยาก” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           หน้าของฉินอวี้นิ่งขรึมลงทันใด “เจ้า ข้า เหยียนเฉิน และเซี่ยอวิ๋นจี้ได้สังหารคนไปจำนวนหนึ่งที่ช่องแคบในภูผาวกวน หรือว่ายังมีผู้เก่งกาจคนใดยังไม่ออกมาอีก” 


 


 


           “อย่างไรก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือในกรณีฉุกเฉิน มิอาจโยกย้ายทหารในค่ายใหญ่เขาตะวันตกออกจากเมืองหลวงได้ ทหารเหล่านี้ประจำการที่ชานเมือง สิ่งที่ยึดมั่นระหว่างฝึกฝนตลอดมาคือการปกป้องเมืองหลวง ไม่เหมาะกับการเดินทางลุยน้ำข้ามเขาไปร่วมรบที่ม่อเป่ย” เซี่ยฟางหวามองเขา  


 


 


           “มีเหตุผลเช่นกัน” ฉินอวี้พยักหน้า “แต่จะมีทหารส่วนใดที่โยกย้ายได้อีก” 


 


 


           “เหตุใดถึงต้องโยกทหารไปรับมือ ใช้วิธีการอื่นมิได้หรือ” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง  


 


 


           “เจ้าคิดกลยุทธ์ดีๆ ได้แล้วหรือ” ฉินอวี้มองนาง  


 


 


           “หายนะที่พรมแดนเกิดจากเป่ยฉี หากเมืองหลวงเป่ยฉีปั่นป่วน เจ้าคิดว่าฉีเหยียนชิงจะยังมีใจระดมกำลังอีกหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา  


 


 


           “ความหมายเจ้าคือจะปลุกปั่นเมืองหลวงเป่ยฉี…” ฉินอวี้มองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เกรงว่ามิง่ายขนาดนั้น ถึงอย่างไรก็ห่างกันไกลนัก” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “หากจะปลุกปั่นจริง ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้” 


 


 


           “ตอนเจ้าถูกเนรเทศไปม่อเป่ย เคยลอบไปเป่ยฉีแล้วมิใช่หรือ นอกจากนี้หลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักหนานฉินก็วางสายสอดแนมไว้ที่เป่ยฉีไม่น้อยกระมัง จนป่านนี้แล้วลองใช้ดูก็ไม่เสียดาย” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           ฉินอวี้พักหน้า “นำมาใช้ได้ก็จริง แต่เกรงว่าจะปลุกปั่นอันใดมิได้ สายสอดแนมมีไว้เพื่อส่งข่าวอย่างเดียวเท่านั้น” 


 


 


           “แค่ส่งข่าวก็เพียงพอแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก “ตอนนี้หากฉีเหยียนชิงทราบข่าวบางอย่าง เช่นว่าฮ่องเต้เป่ยฉีเกิดเปลี่ยนพระทัย อาจจะมอบตำแหน่งจักรพรรดิให้พี่อวิ๋นจี้เล่า เขาจะร้อนรนหรือไม่ ยังมีใจจะระดมกำลังที่พรมแดนอีกไหม” 


 


 


           “เกรงว่าจะรีบกลับเมืองหลวงเป่ยฉี” ฉินอวี้พลันแย้มสรวล  


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ถูกต้อง สิ่งที่ต้องการคือให้เขาปลีกตัวออกจากค่ายทหารเป่ยฉี จะได้ยืดเวลาเตรียมพร้อมให้หนานฉินได้เวลาหนึ่ง มิต้องโยกย้ายทหารที่ชานเมืองใกล้เมืองหลวง ระหว่างนี้ก็เกณฑ์ทหารจากที่อื่น ถึงอย่างไรเป่ยฉีระดมกำลังโจมตีหนานฉินอย่างกะทันหันเกินไป ขณะที่ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ถึงมีแม่ทัพและทหารที่ยอดเยี่ยมจำนวนมากก็อาจจะเสียเปรียบได้ ระดับเดียวกับทหารอารักขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ หนานฉินต้องการเวลาที่มากพอ” 


 


 


           ฉินอวี้แย้มสรวลแล้วพยักหน้า “ฟางหวา เจ้านี่ช่าง…” ยังเอ่ยไม่ทันจบก็หยุดชะงัก แล้วเอ่ยต่อ “โชคดีที่มีเจ้า” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม มิได้แสดงความเห็นใด กล่าวกับเขาว่า “ตั้งแต่อวี้เชียนอ๋องกลับเมืองมาเพื่อฉลองวันเกิดอิงชินอ๋อง อดีตฮ่องเต้ก็มิเคยใช้งาน ตอนนี้เจ้าใกล้จะราชาภิเษกแล้ว ช่วงนี้อวี้เชียนอ๋องว่างอยู่ตลอดเวลา เจ้าคงมิได้ลืมเขาไปแล้วหรอกกระมัง คิดไว้หรือยังว่าจะใช้งานอย่างไร” 


 


 


           ฉินอวี้หรี่พระเนตรลง “ท่านอาอวี้เชียนอ๋องใช้งานได้หรือไม่นั้นยังต้องดูอีกที ถึงอย่างไรตั้งแต่คนของจวนอวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมา เรื่องที่กระทำนั้นห่างไกลกับที่ข้าคาดไว้มาก ท่านอาอวี้เชียนอ๋องผู้นี้เทียบกับท่านลุงอิงชินอ๋องมิได้ ความจงรักภักดีของจวนอิงชินอ๋องมิเคยต้องสงสัยแม้แต่น้อย”  


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วเอ่ยแนะ “มิสู้โยกทหารจากหลิงหนาน ถือโอกาสนี้ทดสอบอวี้เชียนอ๋องไปในตัว ข้าได้ยินว่าจวนหลิงหนานมีการฝึกทหารเป็นการส่วนตัว แม้ไม่มาก แต่ก็เอาชนะหนึ่งต่อร้อยได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นมิอาจมองแต่ภายนอกได้” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปห้องทรงอักษร เรียกอวี้เชียนอ๋องเข้าวัง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า  

 

 


ตอนที่ 115-1 ทหารส่วนตัวห้าหมื่นนาย

 

    ฉินอวี้เรียกอวี้เชียนอ๋องเข้าเฝ้า เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบไปยังจวนอวี้เชียนอ๋องทันที 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องทราบว่าฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้า ก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อหาเข้าวังหลวง 


 


 


           หลังฉินอวี้พบอวี้เชียนอ๋อง ได้เอ่ยถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอดหลายวันนี้อย่างอ่อนโยน อวี้เชียนอ๋องก็ตอบทีละคำถามโดยไม่ขาดตกบกพร่อง 


 


 


           หลังสนทนาพอหอมปากหอมคอ ฉินอวี้ก็เอ่ยถามเขา “พบที่อยู่หลานของท่านอาหรือยัง” 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องตัวแข็งโดยพลัน 


 


 


           “ตอนที่เด็กหายไป เสด็จพ่อทรงกำลังประชวรอยู่ ทั้งในเมืองยังเกิดเรื่องติดต่อกัน ทำให้ไม่มีเวลาพอจะแบ่งความสนใจมาได้ ตอนนี้เสด็จพ่อจากไปแล้วเราถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ หากยังมิทราบที่อยู่ของเด็ก เราจะจัดกำลังคนออกไปตามหา ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาให้เจอ” ฉินอวี้มองเขาแล้วเอ่ยต่อ  


 


 


           อวี้เชียนอ๋องตวัดตามองฉินอวี้ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมองตนด้วยใบหน้าปกติ เทียบกับตอนเป็น 


 


 


รัชทายาทที่เหยียบบนบันไดแห่งตำแหน่งจักรพรรดิ ดูแล้วแม้ยังคงความอ่อนโยน ทว่ามีความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สร้างความรู้สึกมิอาจหยั่งถึงให้แก่ผู้คน เขารีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “กระหม่อมมีความผิด” 


 


 


           “ท่านอาหมายความว่าอย่างไร มีความผิดอันใดกัน” ฉินอวี้เลิกคิ้ว เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ  


 


 


           “หลานชายกระหม่อมมิได้หายไป” อวี้เชียนอ๋องรีบตอบ  


 


 


           “หืม” ฉินอวี้ย่นคิ้ว ใบหน้าเคร่งขรึมลง “แรกเริ่มท่านอาสะใภ้เข้าเมืองมา ร้องห่มร้องไห้บอกว่าเด็กหายตัวไป หาตรงนั้นทีตรงนี้ที แทบจะทำให้จวนครึ่งหนึ่งในเมืองตกใจเพราะจวนของท่านตามหาตัวเด็กพัลวัน ตอนนี้ท่านบอกเราว่าเด็กมิได้หายตัวไปหรือ ท่านอา จวนอวี้เชียนอ๋องของท่านกำลังทำสิ่งใดกันแน่” 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องก้มหน้าลง ทั้งโกรธทั้งโมโห “ฝ่าบาท มีคนขู่ภรรยากระหม่อม บอกว่าหากมิทำเช่นนี้จะสังหารครอบครัวกระหม่อมทิ้ง บอกว่าอย่าคิดว่าจะได้อยู่ในเมืองหลวงอีกเลยตลอดชีพ พระองค์ก็ทราบดี หลายปีนี้กระหม่อมคิดถึงบ้าน ภรรยากระหม่อมเองก็อยากกลับเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้จึงยอมถูกขู่บังคับ ทำอันใดมิได้…” 


 


 


           “ทำอันใดมิได้จึงโกหกว่าเด็กหายไป” ฉินอวี้โกรธเกรี้ยว ผุดลุกขึ้นยืนทันที 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องรีบส่ายหน้า “เด็กหายไปคนหนึ่งจริง แต่เป็นลูกของแม่นม อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานชายกระหม่อม…” 


 


 


           “ท่านอาอวี้เชียนอ๋อง ท่านช่างกล้าดีนัก” ฉินอวี้จ้องเขา “ตอนที่เรายังเป็นรัชทายาท ท่านไปมาหาสู่กับเราเป็นการส่วนตัว เรารับปากว่าหลังราชาภิเษกจะมิให้ท่านต้องกลับหลิงหนานอีกแล้ว แต่จะให้ท่านอยู่ในเมืองหลวงแทน ทว่าท่านเล่า เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะปิดบังเรา หากเราไม่ถาม ท่านก็คิดจะปกปิดไปตลอดชีวิตเลยใช่หรือไม่” 


 


 


           “ฝ่าบาท ตอนนั้นหลังฮูหยินเข้าเมืองมาก็มิได้บอกความจริงกับกระหม่อม กระหม่อมเองก็ร้อนใจอยู่ไม่เป็นสุข ขอร้องผู้อื่นไปทั่ว และออกไปตามหากับบุตรชายทุกหนแห่ง ฮูหยินเห็นพวกเราร้อนใจเกินเหตุ ผ่านไปหลายวันถึงได้บอกความจริงกับกระหม่อม ตอนนั้นฝ่าบาทท่านก็ออกไปขุดลอกคูคลองแล้ว” อวี้เชียนอ๋องตัวสั่น รีบแก้ตัวทันที  


 


 


           “ท่านอาอวี้เชียนอ๋องกำลังบอกเราว่าท่านดูแลครอบครัวผิดวิธีหรือ ต้องให้เราออกคำสั่งให้ท่านหย่ากับท่านอาสะใภ้หรือไม่” ฉินอวี้แย้มสรวลเยือกเย็น  


 


 


           “ฝ่าบาท…” อวี้เชียนอ๋องตกตะลึง 


 


 


           “ท่านทราบนานแล้วหรือมิทราบอันใดเลยกันแน่ หรือว่าท่านยังวางแผนการลับหลังใดอีก ต้องให้เราส่งท่านกับท่านอาสะใภ้ไปให้กรมอาญากับศาลต้าหลี่สืบสวนหรือไม่” ฉินอวี้เอ่ยอีก 


 


 


           เหงื่อบนหน้าผากอวี้เชียนอ๋องไหลลงมาทันใด พลันคุกเข่ากับพื้น จับแขนเสื้อของฉินอวี้แล้วร่ำไห้กล่าว “ฝ่าบาท ความจงรักภักดีที่กระหม่อมมีต่อพระองค์นั้นพิสูจน์ได้ กระหม่อมมิทราบจริงๆ เพื่อเข้ามาในเมืองและอาศัยที่นี่ได้ อาสะใภ้ของพระองค์จึงเลอะเลือน แม้แต่กระหม่อมยังยอมปิดบัง เมื่อกระหม่อมทราบเรื่องก็เกิดเหตุการณ์ติดต่อกันในเมืองหลวงแล้ว อีกทั้งตัวพระองค์เองก็ไปเมืองหลินอันแล้ว รอจนเสด็จกลับมา อดีตฮ่องเต้ก็ทรงพระอาการทรุดลง พระองค์ทรงยุ่งอยู่กับการจัดงานพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ และยังต้องทุ่มเทแรงกายและใจเรื่องระดมกำลังในพรมแดนม่อเป่ย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ในเมืองก็สงบสุขมาก กระหม่อมจึงเก็บเรื่องนี้ไว้…” 


 


 


           ฉินอวี้มองอวี้เชียนอ๋อง ขณะกำลังคุกเข่าร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลบนพื้น ช่างขัดกับฐานะอวี้เชียนอ๋องของเขาเหลือเกิน หากเป็นอิงชินอ๋องกับอดีตฮ่องเต้ย่อมมิทำเช่นนี้ เขาเงียบไม่พูดไม่จา 


 


 


           “ฝ่าบาท หลิงหนานแม้ดียิ่งแต่ก็มิสู้เมืองหลวง กระหม่อมเติบโตมาในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก มิอยากแก่และตายไปในหลิงหนาน รากฐานของกระหม่อมอยู่ในเมืองหลวง กระหม่อมได้สั่งสอนภรรยาในบ้านแล้ว เห็นแก่ที่กระหม่อมบอกความจริง ทรงอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิด” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าวต่อ  


 


 


           “เช่นนั้นท่านบอกมา ผู้ใดขู่ท่านอาสะใภ้” ฉินอวี้แค่นเสียงเย็น  


 


 


           “กระหม่อมเค้นถามนางหลายครั้ง นางล้วนบอกว่าเป็นบุรุษชุดดำ แต่มิทราบว่าเป็นใคร…” อวี้เชียนอ๋องร่ำไห้ตอบ  


 


 


           “มิทราบว่าเป็นใครก็ยอมให้เขาบังคับรึ” ฉินอวี้มองเขาด้วยหน้าเย็นชา 


 


 


           “แม้เขามิได้แย่งหลานชายกระหม่อมไป หลานชายกระหม่อมมิได้หายไปไหนเช่นกัน แต่ร่างกายกลับต้องคำสาป ผู้นั้นบอกว่า หากกระหม่อมมิเชื่อฟัง ชีวิตของหลานชายก็หาไม่แล้ว” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าว  


 


 


           “หืม” ฉินอวี้เลิกคิ้ว “คำสาปใด” 


 


 


           “เป็นหนอนจง” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า “กระหม่อมเองก็มิทราบ จนป่านนี้ยังไม่เจอตัวเด็กเลย” 


 


 


           “ตอนนี้เด็กอยู่ที่ใด” ฉินอวี้ถามอีก 


 


 


           “เมืองเหยี่ยนเฉิงพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เชียนอ๋องตอบ 


 


 


           ฉินอวี้ขมวดคิ้ว 


 


 


           “ฝ่าบาท ด้วยความสัตย์จริง กระหม่อมมิกล้าโกหกพระองค์แล้ว” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้ขึ้นมาอีกหน “ใครจะรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคนนี้ใจคอโหดเ**้ยมเยี่ยงนี้ ก่อเหตุทั้งในและนอกเมืองมากมายติดต่อกัน จนป่านนี้กระหม่อมก็ยังมิเข้าใจว่าเขาจับตัวหลานชายกระหม่อมไปทำไมกันแน่” 


 


 


           “ตั้งแต่ท่านเข้าเมืองมา เมืองหลวงก็ไม่สงบตลอดมา” ฉินอวี้มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านแน่ใจหรือว่าบอกเราหมดแล้ว ไม่มีปิดบังอีกแม้แต่เรื่องเดียว” 


 


 


           “กระหม่อมมิกล้า หากกระหม่อมยังกล้าปิดบัง ขอให้ฟ้าผ่าตาย” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า  


 


 


           คนโบราณให้ความสำคัญเรื่องสัตย์สาบานที่สุด 


 


 


           “เช่นนั้นเราถามท่าน จวนหลิงหนานฝึกทหารส่วนตัวไว้เท่าไร” ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถาม  


 


 


           “ห้าหมื่นนายพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เชียนอ๋องรีบตอบ 


 


 


           “มีแค่ห้าหมื่นรึ” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           “ฝ่าบาท มีแค่ห้าหมื่นนายเท่านั้น หลายปีมานี้อดีตฮ่องเต้เฝ้าติดตามหลิงหนานโดยมิยอมลดละ หากไม่มีตระกูลเซี่ย พระองค์เอ่ยว่าไม่แน่คงจัดการหลิงนานไปนานแล้ว กระหม่อมฝึกทหารส่วนตัวก็เพื่อป้องกันว่าวันหนึ่งอดีตฮ่องเต้จะโจมตีกระหม่อม กระหม่อมมิกล้าปิดบังฝ่าบาท” อวี้เชียนอ๋องรีบพยักหน้ารัว  


 


 


           “ข่าวที่เราได้รับมามิใช่จำนวนนี้” ฉินอวี้บอก 


 


 


           “ฝ่าบาท ต้องทรงเชื่อกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ ในมือกระหม่อมมีทหารส่วนตัวเพียงห้าหมื่นนายเท่านั้น ส่วนผู้อื่นฝึกทหารในหลิงหนาน มิอาจนับเป็นของกระหม่อมได้” อวี้เชียนอ๋องรีบกล่าว  


 


 


           “อ้อ” ฉินอวี้มองเขา “มีผู้ใดฝึกทหารที่หลิงหนานอีกรึ” 


 


 


           “มิทราบว่าเป็นใคร ทหารซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาลึกที่หลิงหนาน กระหม่อมเคยส่งคนไปสืบข่าวครั้งหนึ่ง ทว่าคนที่ถูกส่งไปล้วนมิได้กลับมา…” อวี้เชียนอ๋องแทบจะร้องไห้  


 


 


           “กี่ปีแล้ว” หน้าฉินอวี้เคร่งขรึมลง 


 


 


           “ประมาณแปดเก้าปีแล้วกระมัง” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก 


 


 


           “แปดเก้าปีแล้ว?” ฉินอวี้ขึ้นเสียงสูง 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องรีบกล่าว “ก่อนหน้านี้กระหม่อมมิทราบ สองปีก่อนถึงเพิ่งบังเอิญทราบข่าว ทว่าหลังจากคนที่กระหม่อมส่งไปแล้วมิกลับมา กระหม่อมคิดจะส่งคนไปอีก พลันมีคนนำจดหมายลับมาวางในห้องหนังสือกระหม่อม ในจดหมายความว่า หากกระหม่อมยังว่างแส่หาเรื่องอีกก็จะทำให้กระหม่อมพบกับความสิ้นหวัง ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึง…” 


 


 


           “ด้วยเหตุนี้ท่านจึงมิกล้าแล้ว” ฉินอวี้ขมวดคิ้วตั้งตรง 


 


 


           “ฝ่าบาท มิปิดบังพระองค์ เขาลึกป่าทึบที่หลิงหนานนั้น เท่าที่กระหม่อมคาดคงฝึกทหารราวหนึ่งแสนนาย อีกทั้งกระหม่อมเองก็ฝึกทหารส่วนตัวเช่นกันจึงมิกล้าเปิดโปงเรื่องนี้ออกไป หากแพร่ออกไปในวันหนึ่ง อดีตฮ่องเต้จำต้องตรวจสอบหลิงหนานแน่นอน เช่นนั้นแล้วทหารส่วนตัวของกระหม่อมมิอาจหนีพ้น” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าว “ฝึกทหารส่วนตัวเป็นความผิดร้ายแรง…” 


 


 


           “หลิงหนานเป็นอาณาเขตพระราชทานของท่าน ฟังท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว หลิงหนานภายใต้การปกครองของท่านนั้นกลายเป็นแหล่งซ่อนคนและสิ่งชั่วร้ายไปแล้วรึ” ฉินอวี้มองเขา โทสะรวมกันอยู่บนหน้า  


 


 


           “กระหม่อมไร้ความสามารถ…” อวี้เชียนอ๋องขอความเมตตา  


 


 


           “ท่านมิได้ไร้ความสามารถ แต่ท่านไม่แยแส” ฉินอวี้มองเขาด้วยความโกรธ “ท่านเองก็ใช้แซ่ฉิน เป็นลูกหลานตระกูลฉินเช่นกัน ท่านทนมองดูผู้อื่นเข้ามากระทำความชั่วในแผ่นดินหนานฉินได้อย่างไร” 


 


 


           “กระหม่อมคิดว่าชาตินี้จะมิได้กลับเมืองหลวงแล้ว ดังนั้น…” อวี้เชียนอ๋องร้องไห้กล่าว  


 


 


           ฉินอวี้ยกมือ ขัดคำพูดเขา “ลุกขึ้นเถิด” 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องหยุดร้องไห้ เหลือบตามองฉินอวี้ 


 


 


           หน้าฉินอวี้แม้นิ่งขรึมด้วยโทสะ ทว่าไร้จิตสังหาร เขาจึงหยั่งเชิงถาม “ฝ่าบาท จะมิทรงลงโทษกระหม่อมหรือ” 


 


 


           “ท่านอา ท่านเองก็อายุปูนนี้แล้ว เราโน้มน้าวอดีตฮ่องเต้ อาศัยเรื่องฉลองวันเกิดให้ท่านลุงเพื่อดึงตัวท่านกลับเมืองหลวง มิได้อยากให้ท่านวิ่งมาร้องไห้ต่อหน้าเรา” ฉินอวี้โกรธจัดแต่แย้มยิ้ม 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน แสดงความซื่อสัตย์ภักดี “ฝ่าบาท ทรงเอ่ยมาเถิด ทรงมีรับสั่งใด ถึงตายหมื่นครั้งกระหม่อมก็มิปฏิเสธแน่นอน” 


 


 


           “ตายหมื่นครั้งก็มิปฏิเสธหรือ” ฉินอวี้มองเขา “ตอนนี้ท่านอาไม่กลัวตายแล้วหรือ” 


 


 


           “หลังกลับเมืองมาก็อกสั่นขวัญหายทุกวัน มิได้สงบใจเลย” อวี้เชียนอ๋องตอบ 


 


 


           “ดูท่าหลายปีนี้ที่หลิงหนาน ท่านอาคงสบายเกินไปแล้วจึงทนรับเหตุการณ์มิไหว” ฉินอวี้เหลือบมองเขา “ตอนนี้ทหารในป่าเขาลึกที่หลิงหนานยังอยู่หรือไม่” 


 


 


           “ตอนกระหม่อมออกจากหลิงหนานมายังอยู่ ตอนนี้มิทราบพ่ะย่ะค่ะ” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “ท่านอาสร้างคุณงามความดีระหว่างต้องโทษแล้วกัน” ฉินอวี้มองเขาด้วยหน้ามิได้ดีนัก  


 


 


           อวี้เชียนอ๋องรีบมองฉินอวี้ ก่อนถามอย่างระวัง “ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมกำจัดทหารในป่าเขาลึกที่หลิงหนานหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ทหารในป่าเขาลึกที่หลิงหนานเราย่อมหาทางจัดการเอง ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง อยู่ในระหว่างบริหารจัดการคน ท่านอานำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายออกมาเถิด หากสร้างคุณงามความดีที่พรมแดนได้ เรื่องทุกอย่างที่ท่านทำมาเราจะไม่ถือสาเอาความ” ฉินอวี้ส่ายหน้า  


 


 


           “ฝ่าบาทจะให้ทหารส่วนตัวของกระหม่อมไปยังพรมแดนม่อเป่ยหรือ” อวี้เชียนอ๋องเบิกตากว้าง  


 


 


           “ท่านอามิเห็นด้วยหรือ” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           “กระหม่อมมิได้ไม่เห็นด้วย เพียงแต่…ผู้ใดจะนำทัพ ฝ่าบาทคงมิได้ให้กระหม่อมนำทัพไปม่อเป่ยเองกระมัง” อวี้เชียนอ๋องส่ายหน้า  


 


 


           “ฉินอี้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเองก็ศึกษาตำราพิชัยสงคราม มีเขานำทัพ ท่านคิดว่าอย่างไร” ฉินอวี้มองเขา “หากสร้างคุณูปการทางทหารที่ม่อเป่ยได้ อนาคตเราจะมอบตำแหน่งสำคัญให้เขา” 


 


 


           อวี้เชียนอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท” 


 


 


           “ท่านกลับไปได้แล้ว รีบให้ฉินอี้เข้าวัง” ฉินอวี้หันหลัง มิสนใจเขาอีก  


 


 


           อวี้เชียนอ๋องลุกขึ้นยืน มิได้รีบกลับไปทันที หากแต่มองฉินอวี้แล้วถามเสียงเบา “ฝ่าบาท แล้วหนอนจงในตัวหลานชายกระหม่อม…” 


 


 


           “เราจะส่งคนไปเมืองเหยี่ยนเฉิง นำตัวเขากลับเมืองหลวงอย่างลับๆ แล้วให้ฟางหวาดูว่าเขาถูกหนอนจงชนิดใดกันแน่” ฉินอวี้เอ่ย 


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” อวี้เชียนอ๋องดีใจใหญ่ 


 


 


           ฉินอวี้โบกมือไล่  

 

 


ตอนที่ 115-2 ทหารส่วนตัวห้าหมื่นนาย

 

อวี้เชียนอ๋องออกจากห้องทรงอักษร เมื่อข้ามธรณีประตูออกมา ลมวูบหนึ่งพัดผ่านทำเอาแผ่นหลังของเขาเย็นเยียบ ลองยกมือลูบแผ่นหลังพบว่าเหงื่อโทรมกาย เขาลอบทอดถอนใจ มิน่าหลายวันก่อนได้ยินว่าหย่งคังโหวมีสภาพย่ำแย่เพราะถูกฝ่าบาทกดดันที่ราชสุสาน ตอนนี้เขาออกจากห้องทรงอักษรได้ เพราะอาศัยทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายในกำมือตนแล้ว 


 


 


           ยามนี้ทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายถูกส่งออกไป ความทุกข์ยากหลายปีนับว่าสูญเปล่า 


 


 


           ทว่าก็คุ้มค่าเช่นกัน ผู้นำทัพบัญชาการคือฉินอี้บุตรชายคนโตของตน ถึงอย่างไรเขาก็แก่แล้ว หากฉินอี้ยืนหยัดตั้งมั่นท่ามกลางคนรุ่นใหม่ได้ เช่นนั้นอนาคตจวนอวี้เชียนอ๋องก็สืบทอดต่อไปได้แล้ว 


 


 


           เขาสะบัดเหงื่อบนกาย ก่อนออกไปจากวังหลวง 


 


 


           หลังอวี้เชียนอ๋องกลับถึงจวนก็รีบเรียกฉินอี้ไปที่ห้องหนังสือ สองพ่อลูกหารือกันพักหนึ่ง ก่อนที่ฉินอี้จะรีบร้อนออกจากจวนอวี้เชียนอ๋อง มุ่งหน้าไปยังวังหลวง 


 


 


           หลายวันนี้พระชายาอิงชินอ๋องกำลังเฝ้ารอข่าวจากคนที่ส่งออกไปรับฉินเจิงกลับเมือง ทว่าข่าวที่ได้รับกลับมาคือท่านอ๋องน้อยเจิงมิได้กลับมาพร้อมกับคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ท่านโหวน้อยเยี่ยนแห่งจวนหย่งคังโหว และรองราชเลขาชุยอี้จือ สามคนนั้นจะกลับมาถึงเมืองในวันพรุ่งนี้ ส่วนตัวเขานั้นมิทราบที่อยู่ 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องอดมิได้ที่จะร้อนรนจนเดินวนไปวนมา แทบจะออกไปจากจวน 


 


 


           “เจ้ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ พรุ่งนี้พอเจ้าเด็กสกุลหลี่กับเจ้าเด็กจวนหย่งคังโหว รวมถึงอี้จือกลับมาแล้วค่อยลองถามพวกเขาดูว่า เหตุใดเจิงเอ๋อร์ถึงมิกลับมาด้วย” อิงชินอ๋องถูกนางเดินไปมาเบื้องหน้าจนปวดหัว จึงคว้ากายนางแล้วปลอบประโลม  


 


 


           “ข้าทราบว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็อดกังวลมิได้” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจ 


 


 


           อิงชินอ๋องเองก็ถอนหายใจตาม หลายวันนี้สิ่งที่ทั้งคู่ทำมากที่สุดคือการถอนหายใจใส่กัน 


 


 


           สี่ซุ่นเป็นหัวหน้าพ่อบ้านในจวนอิงชินอ๋องมาหลายปี มักสังเกตฟังสิ่งรอบตัวทั้งเรื่องใหญ่เล็กที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกเมืองหลวง เขาซึ่งเป็นหัวหน้าพ่อบ้านนั้นถูกฝึกฝนจนมีหูตาว่องไว ทันทีที่อวี้เชียนอ๋องถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวัง เขาก็มารายงานอิงชินอ๋องทันที 


 


 


           “ตั้งแต่น้องอวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมาเพื่อฉลองวันเกิดข้า จนตอนนี้ก็ว่างมาหลายเดือนแล้ว ฝ่าบาทคงนึกอยากใช้งานอวี้เชียนอ๋องแล้ว” อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้น  


 


 


           “เรื่องเด็กหายแม้แต่ข้ายังมองออก ฝ่าบาทมีหรือจะมองไม่ออกด้วย” พระชายาอิงชินอ๋องย่นหัวคิ้ว  


 


 


           “ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง หนานฉินอยู่ในช่วงบริหารจัดการคน จวนอวี้เชียนอ๋องที่หลิงหนานมีทหารส่วนตัว หากฝ่าบาทมิใช้งานตอนนี้จะใช้ตอนไหน” อิงชินอ๋องไตร่ตรองพักหนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องเด็กหาย หากฝ่าบาททรงทราบอยู่แล้ว คงบีบคั้นถามเขาจนกระจ่าง” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           “ถึงอย่างไรน้องอวี้เชียนอ๋องก็สกุลฉิน เป็นลูกหลานของตระกูลฉิน อดีตฮ่องเต้แม้มิทรงให้ค่าเขา แต่ก็ปล่อยให้เขาอยู่ที่หลิงหนานอย่างสงบสุขมาหลายปี เรื่องที่ออกนอกกรอบเกินไปเขาคงมิกล้าทำ” อิงชินอ๋องกล่าวอีก 


 


 


           “ไฉนฝ่าบาทถึงอยากใช้ทหารส่วนตัวจวนอวี้เชียนอ๋องเล่า ไฉนถึงไม่ใช้ทหารสามแสนนายในค่ายใหญ่เขาตะวันตก” พระชายาอิงชินอ๋องสงสัย  


 


 


           “ทหารสามแสนนายในค่ายใหญ่เขาตะวันตก หากพรมแดนไม่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างแท้จริง ย่อมมิอาจโยกย้ายได้ ถึงอย่างไรก็เป็นทหารรักษาเมืองหลวง ตอนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอแนะยามว่าราชการยามเช้า ข้าก็คิดว่ามิค่อยเหมาะสมนัก เพียงแต่คิดว่าไม่มีทหารที่ไหนให้ใช้งานแล้ว เผลอลืมทหารส่วนตัวที่จวนอวี้เชียนอ๋องฝึกไว้หลายปีไปเสียสนิท” อิงชินอ๋องตอบเสียงเข้ม  


 


 


           “ทหารส่วนตัวจวนอวี้เชียนอ๋องที่เล่าลือว่าชนะหนึ่งต่อร้อยได้ใช่ไหม” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “กล่าวกันเช่นนี้” อิงชินอ๋องพยักหน้า “หลายปีก่อน ฝ่าบาททรงทราบข่าวว่าจวนอวี้เชียนอ๋องที่หลิงหนานฝึกทหารส่วนตัวจึงส่งสายลับไปตรวจสอบครั้งหนึ่ง บอกว่ามีไม่ถึงหมื่นนาย ฝ่าบาททรงส่งจดหมายลับไปเตือนน้องอวี้เชียนอ๋องครั้งหนึ่ง แต่ก็พุ่งเป้าไปที่ตระกูลเซี่ยจึงมิได้สนใจอีกต่อไป” 


 


 


           “ตอนนี้จวนอวี้เชียนอ๋องมีทหารส่วนตัวกี่นายแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องถาม 


 


 


           “มิทราบ น้องแม้ค่อนข้างฉลาดแต่ก็ขาดความกล้าหาญ คงฝึกไว้ไม่เยอะนัก” อิงชินอ๋องส่ายหน้า  


 


 


           ขณะทั้งคู่กำลังสนทนากัน สี่ซุ่นก็สืบข่าวมาได้อีกว่า อวี้เชียนอ๋องออกจากวังหลวงมาแล้ว ระหว่างกลับก็แอบเช็ดเหงื่อ หลังกลับถึงจวนไม่นาน ฉินอี้ก็รีบร้อนเข้าวังไป 


 


 


           “ดูท่าทางเป็นไปได้สูงว่าฉินอี้จะนำทหารหลิงหนานไปม่อเป่ย” อิงชินอ๋องกล่าวขึ้น  


 


 


           “ฝ่าบาททรงแข็งแกร่งกว่าอดีตฮ่องเต้ ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ คิดใช้คนโดยมิเลี่ยงราชนิกุล ประยุกต์ใช้ตามความสามารถและเวลา” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ดังนั้นบางการกระทำของพระองค์ เห็นชัดว่าอดีตฮ่องเต้ทรงกริ้ว ทว่ายังยกตำแหน่งจักรพรรดิให้พระองค์ หากดูจากเรื่องนี้ อดีตฮ่องเต้ก็มิได้ทรงเลอะเลือน” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้รอพบฉินอี้ที่ห้องทรงอักษร หนึ่งชั่วยามให้หลัง ฉินอี้ก็ออกจากวังหลวง แล้วรีบกลับไปยังจวน 


 


 


อวี้เชียนอ๋องอีกหน 


 


 


           ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ฉินอี้เก็บสัมภาระพร้อมเดินทาง นำเด็กรับใช้สองคนและผู้คุ้มกันไม่กี่คนออกจากเมืองหลวง 


 


 


           ก่อนที่อวี้เชียนอ๋องจะเข้าเมืองหลวงย่อมมิได้นำทหารส่วนตัวจวนอวี้เชียนอ๋องที่หลิงนานมาด้วย หลังรับพระบัญชาของฉินอวี้แล้ว อวี้เชียนอ๋องก็ให้เหยี่ยวนำจดหมายไปส่งที่หลิงหนาน หลังคนสนิทของตนได้รับจดหมายก็รีบเตรียมออกเดินทางไปม่อเป่ย ทหารห้าหมื่นนายกับฉินอี้มาสมทบกันระหว่างทาง หากเป็นเช่นนี้ย่อมไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย 


 


 


           หลังฉินอวี้กลับมาที่ตำหนักบรรทมก็นำบทสนทนากับอวี้เชียนอ๋อง รวมถึงคำสั่งให้ฉินอี้นำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายเดินทางไปม่อเป่ยเล่าให้เซี่ยฟางหวาฟัง 


 


 


           “อวี้เชียนอ๋องบอกว่ามีคนวางหนอนจงกับหลานชายเขาหรือ” เซี่ยฟางหวาฟังจบก็เอ่ยถาม  


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง มิเอ่ยคำใด 


 


 


           “ข้าว่าท่านอาอวี้เชียนอ๋องมิคล้ายโกหก แท้จริงแล้วเขาขี้ขลาด อดมิได้ที่จะตกใจกลัว” ฉินอวี้เอ่ย “แต่ก็มิอาจเมินเฉยเรื่องที่หลานชายเขาถูกคนวางหนอนจง วิธีการลงมือคล้ายกับการคุกคามตระกูลหลูแห่ง 


 


 


ฟ่านหยาง เป็นฝีมือของผู้อยู่เบื้องหลัง” 


 


 


           “เจ้าเตรียมจะส่งคนไปพาตัวเด็กคนนั้นออกจากเมืองเหยี่ยนฉิงเมื่อไร” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           “คิดไว้ว่าคืนนี้” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น “หากอวี้เชียนอ๋องมิได้โกหก เช่นนั้นที่อยู่ของหลานชายเขาในตอนนี้น่าจะมีคนเฝ้าดูอยู่ อย่างนี้แล้วกัน เจ้ามิต้องส่งคนไป ข้าจัดการเองดีกว่า ให้คนที่อยู่ในเมืองเหยี่ยนเฉิงแอบหาที่อยู่ของเด็กคนนั้น หลังจากนั้นก็สับเปลี่ยนเอาตัวเด็กออกมา มิให้ผู้ใดไหวตัวทัน” 


 


 


           ฉินอวี้เม้มปาก ก่อนพยักหน้าด้วยความเคร่งขรึม 


 


 


           หลังทั้งสองตกลงกันได้แล้ว ฉินอวี้ก็มอบเรื่องนี้ให้เซี่ยฟางหวาจัดการ 


 


 


           วันเดียวกันนั้นเซี่ยฟางหวาสั่งการคน แล้วนำตัวเด็กคนนั้นที่อยู่ในเมืองเหยี่ยนเฉิงเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างลับๆ โดยไม่มีผู้ใดไหวตัวทัน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม