ลิขิตกลกาล 112-118

ตอนที่ 112 เพลิงไหม้ใหญ่

 

“อย่างนั้นหรือ” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้ม แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพอใจกับคำตอบนี้ จึงถามต่อไปว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหรงซู่อยู่ที่ไหน? บอกข้าเรื่องนี้ด้วยได้หรือไม่?”


 


 


“เอ่อ ท่านอาจารย์อันที่จริงอยู่ที่…” ซูเหลียนอวิ้นกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มของหนานกงมู่เสวี่ยนี้จะคุ้นตามากคุ้นตาเสียจนทำให้นางเริ่มตัวสั่น จากนั้นจึงได้สติกลับมาแล้วแย้งกลับไปว่า “จวิ้นจู่นี่ไม่ถูกต้องแล้ว เจ้าถามข้าไปหนึ่งคำถามแล้ว ดังนั้นถึงคราวเจ้าตอบคำถามข้าแล้ว!” 


 


 


ยังดี ยังดี ที่ห้ามตัวเองไว้ทัน! มิเช่นนั้นแล้วจะต้องหลุดปากและพูดเรื่องนี้ออกไปแน่!


 


 


  “ฮ่าๆ…” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มแห้งๆ แล้วแอบวิจารณ์ในใจว่า เจ้าเด็กโง่นี่ทำไมถึงรู้ตัวขึ้นมาได้? นางยังคิดว่าจะสามารถเค้นคำตอบออกมาได้มากกว่านี้เสียอีก!


 


 


“เช่นนั้นก็ได้ อันที่จริงสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าก็ไม่มีอะไรมากนัก” บรรยากาศรอบตัวของหนานกงมู่เสวี่ยคล้ายจะเริ่มหนาวขึ้น “เจ้ารู้จักอันผิงอ๋องหรือไม่?”


 


 


   “อันผิงอ๋อง?” ซูเหลียนอวิ้นเอนกายไปข้างหลังเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ ตัวของนางพิงอยู่บนพนักเก้าอี้ ครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “อันผิงอ๋อง…เป็นชื่อที่คุ้นหูมากเลย…”


 


 


“ใช่ คุ้นหูมาก” รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของหนานกงมู่เสวี่ย “เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ ข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องนึกออกอย่างแน่นอน”


 


 


“อันผิงอ๋อง?” ไม่นานนัก เสียงดังราวกับสายฟ้าฝาดของซูเหลียนอวิ้นก็ดังก้องขึ้นไปทั่วทั้งห้อง “หนาน หนานกงจวิ้นจู่ เจ้าหมายถึงผู้ที่ช่วยลี่หยวนตี้ทำให้บ้านเมืองสงบลง แต่สุดท้ายกลับ…คืออันผิงอ๋องผู้นั้นหรือ?”


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้ามองใบชาที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ ในถ้วยน้ำชาที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายรอจนแน่ใจว่าใบชาไม่ร่วงลงสู่ก้นถ้วยจึงเอ่ยขึ้นว่า “มิผิด เป็นอันผิงอ๋องผู้นั้น หรงซู่เป็นบุตรของเขา”


 


 


“แต่จะเป็นไปได้อย่างไร…” ซูเหลียนอวิ้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปาก “ตอนนั้นอันผิงอ๋อง ทั้งจวนของอันผิงอ๋องมิได้ถูก…”


 


 


  “หรงซู่เป็นคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ในตอนนั้น” อันผิงอ๋อง เป็นบุคคลที่คนในสมัยราชวงศ์ต้าชั่วล้วนจำได้


 


 


เพราะหากไม่มีเขาก็ไม่มีลี่หยวนตี้ หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีราชวงศ์ต้าชั่วด้วยเช่นกัน


 


 


ในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ในบรรดาพระโอรสทั้งหมดลี่หยวนตี้ถือเป็นผู้ที่โดดเด่นน้อยที่สุด และเป็นโอรสที่ดูอ่อนแอไร้ราศีที่สุด แต่แม้ว่าจะโชคร้ายอย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีวันที่เขาไปได้ไกลอยู่ดี


 


 


ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนอายุก็มากแล้ว ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ยังคงมีลมหายใจอยู่ต่อ แม้ว่าร่างกายจะอ่อนล้า ทว่าจิตวิญญาณของเขากลับมิได้ลดลงไปกว่าเมื่อก่อนเลย ความคิดของเขายังคงเฉียบแหลมว่องไว เขายังคงพยายามที่จะเป็นฮ่องเต้ที่กุมชะตาชีวิตของทุกคนเอาไว้


 


 


   ทว่าโดยรวมตอนนี้ความตายได้เข้ามาใกล้เขาทุกที ด้วยเหตุนี้ความปรารถนาในอำนาจก็ยิ่งเป็นความต้องการอันแรงกล้าของเขามากขึ้น เนื่องจากเขาเห็นการเติบโตอย่างช้าๆ ของลูกชายตัวเองที่นับวันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ส่วนตัวเขากลับอ่อนแอลงและเข้าใกล้ประตูมรณะมากขึ้นเต็มที เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น


 


 


  บรรดาโอรสของเขานับวันก็ดูเหมือนไม่ใช่โอรสของเขาอีกต่อไป แต่กลับเป็นดั่งปีศาจร้ายที่จ้องจะกินเลือดกินเนื้อ และหากกำจัดเขาให้สิ้นซากไม่ได้ก็คงจะไม่มีวันลามือ


 


 


องค์รัชทายาทเป็นคนที่ไม่พอใจฮ่องเต้องค์ก่อนที่สุด เห็นชัดๆ ว่าใกล้จะลาโลกไปเต็มทีแล้ว แต่กลับไม่ยอมอยู่อย่างสงบ จนถึงตอนนี้ยังคงพยายามที่จะลดอำนาจในมือของเขาอยู่


 


 


   องค์รัชทายาทเข้าใจดีว่าบิดาของเขายังคงไม่ยอมแพ้ หรือบางทีตัวเขาอาจจะทำอะไรให้ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ไม่พอใจเข้า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านพ่อต้องการจะกำจัดเขาทิ้งไปเสีย


 


 


   แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาต่างหากที่กำลังจะเป็นฮ่องเต้ของแผ่นดินคนต่อไป! ส่วนอีกคนเป็นเพียงคนที่นอนพะงาบๆ อยู่บนเตียงเท่านั้น รีบพักผ่อนไปจะดีกว่า และจะได้ถือว่าเป็นการหลุดพ้นด้วย


 


 


   ไม่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่นัก สุดท้ายแล้วองค์รัชทายาทก็ลงมือก่อกบฏ


 


 


   มิถูก หากจะพูดให้ถูกต้อง ต้องไม่ใช้คำว่ากบฏ แต่เป็นการตั้งใจจะสังหารบิดาของเขามากกว่า


 


 


   แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปี หลายสิบปีแห่งการเป็นฮ่องเต้ เขาจะไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเลยได้อย่างไร? หากแม้แต่ผู้เป็นองค์รัชทายาทมาแค่ไม่กี่ปียังควบคุมไม่ได้ เขาก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปพักผ่อนอย่างสงบ


 


 


สุดท้ายองค์รัชทายาทก็ถูกเนรเทศออกไป


 


 


  และผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสในศึกแห่งการแย่งชิงเก้าอี้องค์รัชทายาทนี้อย่างลี่หยวนตี้กลับมีความสามารถโดดเด่นออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย


 


 


   ฮ่องเต้ทรงมี พระราชดำรัสว่า องค์ชายสิบสาม หนานกงจิ่น มีจิตใจบริสุทธิ์สัตย์ซื่อ เคารพพี่น้อง ให้เกียรติผู้คน ดังนั้นจึงขอแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทต่อไป


 


 


   ทุกคนที่ได้ฟังล้วนตื่นตระหนก เป็นหนานกงจิ่นไปได้อย่างไร? คนที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด องค์ชายสิบสามผู้ที่ไร้ปากไร้เสียง? นี่มันเป็นไปไม่ได้!


 


 


   ทว่าในพระราชโองการแต่งตั้งไว้เช่นนี้ แถมพระราชโองการยังถูกประกาศออกจากปากขันทีใหญ่ผู้เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะแอบคิดในใจอย่างไรก็คงทำได้เพียงแอบเอาไว้ในใจ และคุกเข่าลงบนพื้นอย่างจงรักภักดีก้มหัวให้กับคนที่พวกเขาดูถูกที่สุดแล้วเรียกเป็นเสียงเดียวกันว่าฮ่องเต้!


 


 


   อดีตองค์รัชทายาทแม้ว่าจะถูกเนรเทศไปแล้ว ทว่าพรรคพวกในเมืองหลวงกลับมิได้ลดลงเลย หลังจากที่ทราบข่าวว่าบิดาของตนสวรรคตแล้ว แถมยังยกบัลลังก์ให้กับฮ่องเต้ที่ไร้ความสามารถที่ตนเคยดูถูกมาตลอด เขาจึงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด


 


 


   นี่ต้องการจะตบหน้าเขาใช่หรือไม่? หาว่าเขาสู้ไม่ได้แม้แต่คนไร้ค่าเช่นนี้? จึงปลดเขาออกจากตำแหน่งแล้วแต่งตั้งคนแบบนี้ขึ้นเป็นฮ่องเต้


 


 


  กล่าวได้ว่าตอนนี้อดีตองค์รัชทายาทได้ลืมไปสนิทแล้วว่าเป็นเพราะตนเคยวางแผนปลงพระชนม์บิดา เขารู้เพียงว่าบิดาของเราเลอะเลือนไปแล้ว! แต่ไม่เป็นไรของที่เป็นของเขาอย่างไรก็เป็นของของเขา


 


 


  แค่มีผู้อื่นแย่งชิงไปชั่วคราวจะเป็นไรไป? ทั้งหมดก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น


 


 


  ผ่านไปครึ่งปี อดีตองค์รัชทายาทก็เตรียมทุกอย่างจนพร้อมแล้วไล่ตะลุยก่อสงครามจนเขยิบเข้ามาใกล้เมืองหลวง


 


 


  ไม่นานนักสภาพจิตใจของคนในเมืองก็เริ่มตกอยู่ในสภาวะหวาดวิตก แม้แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็เริ่มแบ่งพวกออกเป็นสองกลุ่ม มีทั้งที่เป็นพรรคพวกของอดีตฮ่องเต้และก็มีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นพรรคพวกของลี่หยวนตี้ แน่นอนว่าพรรคพวกของลี่หยวนตี้เมื่อเทียบกับอดีตองค์รัชทายาทแล้วถือว่ามีน้อยกว่ามากนัก


 


 


  นั่นเป็นเพราะว่า เวลาครึ่งปีถือเป็นเวลาที่สั้นนัก ความศรัทธาในตัวของลี่หยวนตี้ยังไม่ทันจะแข็งแรงขึ้นมา ขณะที่ความปรีชาสามารถของอดีตรัชทายาทยังคงไม่ถูกลืมเลือน


 


 


  และในเวลานั้นเองที่อันผิงอ๋องอาสาออกรบเพื่อปราบอดีตรัชทายาท แล้วคืนความสงบสุขให้กับแผ่นดิน


 


 


อันผิงอ๋องเป็นพี่ชายแท้ๆ ของลี่หยวนตี้ แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากมารดาเดียวกันแต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากเสียยิ่งกว่าพี่น้องท้องเดียวกันเสียอีก อีกทั้งในตอนนั้นลี่หยวนตี้อ่อนแอกว่าผู้อื่น ขณะที่อันผิงอ๋องเชี่ยวชาญการทำศึกมากเสียจนถือได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นผู้บัญชาการศึกโดยเฉพาะ


 


 


ในเมื่อมีผู้อาสา ลี่หยวนตี้ย่อมพอใจอย่างแน่นอน ในตอนนั้นจึงตอบรับความต้องการของอันผิงอ๋องส่งเขาออกสู่สนามรบ


 


 


    ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการบัญชาการศึกอย่างเขาไม่ทำให้เสียชื่อ ผ่านไปเพียงสี่เดือน กองกำลังของอดีตรัชทายาทก็ค่อยๆ ถูกตีจนแตกพ่ายไปราวกับกำลังจะโดนกำจัดอย่างถอนรากถอนโคน เมื่อขุนนางในราชสำนักเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็เริ่มตัดสินใจเปลี่ยนข้างกลับมาอยู่ข้างเดียวกับลี่หยวนตี้ดังเดิม


 


 


   เมื่อกำแพงจะล้มคนก็ยิ่งช่วยกันผลัก ในที่สุดอดีตรัชทายาทก็พ่ายแพ้ แถมการพ่ายแพ้ครั้งนี้ยังแพ้แบบถอนรากถอนโคนไม่มีทางฟื้นอำนาจกลับขึ้นมาได้อีก


 


 


   ทว่าตัวร้อยขาตายแล้วก็ยังเคลื่อนที่ต่อได้[1] กองกำลังเก่าของอดีตรัชทายาทยังคงหาทางคอยแก้แค้นอยู่เสมอ ทว่าการจะปลงพระชนม์ลี่หยวนตี้นั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินเอื้อม ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเล็งมายังอันผิงอ๋อง


 


 


เวลาโบยบินพ้นผ่าน เรื่องราวของอดีตรัชทายาทค่อยๆ ถูกลืมเลือน สุดท้ายประชาชนใช้ชีวิตกันอย่างสุขสงบ และในตอนนี้เองที่อุบัติไฟไหม้ครั้งใหญ่ เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ทุกคนหวนรำลึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง 


 


 


ไฟไหม้อยู่ทั้งวันทั้งคืน กว่าจะสามารถบุกเข้าไปถึงจวนของอันผิงอ๋องได้ ตอนนั้นแม้แต่กระดูกสักชิ้นก็ยังหาไม่เจอ เรือนทั้งหลังมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้อีกเลย


 


 


 


 


——


 


 


[1] ตัวร้อยขาตายแล้วก็ยังเคลื่อนที่ต่อได้ หมายความว่ากลุ่มคนที่มีอำนาจมาก แม้พ่ายแพ้ไปแล้วแต่ก็ยังคงเหลือกองกำลังเก่าอยู่ 

 

 


ตอนที่ 113 คราบน้ำตา

 

“แต่หรงซู่เป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นเรียบๆ 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นฟังจนสติหลุดลอย นางก้มหน้าแล้วพึมพัมกับตัวเอง “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีก่อน นั่นก็หมายความว่า ท่านอาจารย์ในตอนนั้น…อายุเพียงห้าขวบ…” 


 


 


เด็กน้อยอายุห้าขวบสูญเสียคนในครอบครัวทั้งหมดไปภายในคืนเดียว ความเจ็บปวดขนาดนั้น ท่านอาจารย์ผ่านมันมาได้อย่างไร? 


 


 


“เฮ้อ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนเขาอายุได้เพียงห้าขวบ” หนานกงมู่เสวี่ยลุกขึ้นยืนพิงหน้าต่างโดยไม่สนใจสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นอีก “แต่ก็ยังดีที่เขารู้เรื่องราวนี้หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปสิบปีให้หลัง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด” 


 


 


“ตอนที่เขาอายุได้ห้าขวบ เขาถูกส่งตัวมาอยู่กับท่านอาจารย์หลิงอวิ๋นนักบวชเต๋าของพวกเราเพื่อเรียนศิลปะต่างๆ และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขารอดพ้นจากหายนะครั้งนั้น” หนานกงมู่เสวี่ยหัวเราะเบาๆ 


 


 


“แต่ว่า…” ซูเหลียนอวิ้นตั้งท่าจะเอ่ยปากจากนั้นก็หุบปากลงอย่างเงียบๆ อีกครั้ง ทำไมนางถึงมีความรู้สึกว่าหนานกงมู่เสวี่ยเล่าเรื่องราวเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น? เหมือนนางพยายามตัดเรื่องบางอย่างที่สำคัญออกไป ไม่ยอมเล่าให้นางฟัง 


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยเอามือสัมผัสแจกันดอกไม้บนโต๊ะแล้วมองลวดลายที่สลับซับซ้อนของมัน แววตาของนางค่อยๆ ล้ำลึกมากขึ้น 


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์!” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านนอกประตู 


 


 


“ท่านอาจารย์! เขามาแล้วจริงๆ!” ซูเหลียนอวิ้นลุกพรวดขึ้นแล้วเดินไปยังประตูอย่างรวดเร็ว “ซูเหลียนอวิ้น!” หนานกงมู่เสวี่ยย่อมได้ยินเสียงเรียกนั้นด้วยอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังจะทะยานออกจากห้องไปทันทีก็รีบรั้งนางเอาไว้อย่างทันท่วงทีแล้วส่ายหน้าแล้วเอ่ยๆ เบาๆ ว่า “เจ้าอย่าเพิ่ง…บอกหรงซู่ว่าข้าอยู่ที่นี่” 


 


 


“ตกลง…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ข้าไม่พูดหรอก” 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเดินออกจากห้องไปแล้วมองไปยังหรงซู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ในตอนนั้นเองจึงรู้สึกว่าดวงตาของตนมีบางสิ่งที่อุ่นๆ ไหลออกมา 


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ โตเป็นสาวแล้วนะ” หรงซู่ยืนอยู่ใต้ต้นสาลี่พลางยิ้มให้ซูเหลียนอวิ้นที่ยังอยู่ใต้ชายคาบ้าน สายตาของเขาเปี่ยมความเอ็นดู 


 


 


“ท่านอาจารย์…” เสียงของซูเหลียนอวิ้นสั่นเครือ เนื่องจากหลังจากที่นางเห็นหรงซู่แล้ว คำพูดต่างๆ ที่หนานกงมู่เสวี่ยเล่าให้นางฟังคล้ายดังลอยขึ้นมาที่หูนางอีกครั้ง 


 


 


ท่านอาจารย์ ความทุกข์สาหัสใหญ่หลวงเช่นนั้น ทำไมท่านถึง… 


 


 


“ท่านอาจารย์!” ซูเหลียนอวิ้นรีบโผเข้าหาหรงซู่แล้วจ้องหน้าของเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนเข้าอกหรงซู่แล้วร้องไห้ 


 


 


ด้านในห้อง หนานกงมู่เสวี่ยยืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูซูเหลียนอวิ้นโผเข้าสู่อกของหรงซู่ ในใจจึงเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น จากนั้นจึงกำมือของตัวเองแน่น 


 


 


ทว่าเมื่อสังเกตดูดีๆ อีกครั้ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเมตตา ความเอ็นดู ทว่าความรู้สึกเดียวที่ไม่เห็นคือความรัก ดังนั้นความรู้สึกกังวลในใจของหนานกงมู่เสวี่ยจึงค่อยๆ คลายลงได้บ้าง 


 


 


ยังดีๆ … 


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์?” เมื่อหรงซู่โดนซูเหลียนอวิ้นวิ่งเข้าใส่เต็มแรงเช่นนั้นทำให้ถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นจึงมองหญิงสาวที่กำลังกอดตนอยู่แถมยังซุกหน้าร้องไห้อยู่ตรงอกก็ไม่ทั้งนึกโมโหและอยากขำ แต่เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นร้องไห้อย่างเศร้าสลดเช่นนั้น ความรู้สึกที่อยากจะหัวเราะนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป 


 


 


หรงซู่จึงยื่นมือออกไปลูบผมของซูเหลียนอวิ้น “เป็นอะไรไปหรือ? โตเป็นสาวขึ้นอีกปี มันน่าเศร้าขนาดนั้นเชียวหรือ?” 


 


 


“ไม่ใช่สักหน่อย!” ซูเหลียนอวิ้นซุกหน้าเข้าไปในอกของหรงซู่แล้วพูดเสียงอู้อี้ขึ้นว่า “ข้าแค่…รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมาบ้างไม่ได้เลยหรือ?” 


 


 


“ได้สิๆ จะอ่อนไหวก็แล้วแต่เจ้าเถิด” เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นพุ่งเข้าใส่อย่างกะทันหันเช่นนั้น รอยยิ้มที่มุมปากก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น “แต่อวิ้นเอ๋อร์ ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกเศร้าหรือว่าอะไรก็ตาม อันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า แต่น้ำตาของเจ้า…หากเจ้ายังไม่ยอมเอาหน้าออกไป อาจารย์เกรงว่าชุดสองพันตำลึงของข้าชุดนี้จะเปื้อนเอาได้ อวิ้นเอ๋อร์หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะช่วยชดใช้ให้ข้าด้วยหรือไม่?” 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ท่านอาจารย์ ฝันไปเถอะ! ข้าว่าท่านต้องการขูดรีดเอาชุดใหม่จากข้ามากกว่ากระมัง! เพ้อเจ้อ!” ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด จะไม่ให้ซูเหลียนอวิ้นไม่ใจเย็นคงไม่ได้ 


 


 


เนื่องจากต้วนเฉินเซวียนเดินไปพลางครุ่นคิดไปที่อยู่ด้านหน้าเรือน เพียงครู่เดียวเขาก็เดินเข้ามาภายในเรือนของซูเหลียนอวิ้น เขาจะหาเหตุผลอะไรที่น่าเชื่อถือได้ เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยชอบซูเหลียนอวิ้นมากนัก ดังนั้นฝีก้าวของเขาจึงช้ากว่าหรงซู่อยู่หลายก้าว 


 


 


แต่เนื่องเพราะเขาเดินช้ากว่าอยู่สองสามก้าวนั้น เป็นเหตุให้เขาเห็นภาพของซูเหลียนอวิ้นซุกอยู่ในอกของหรงซู่เมื่อเขาเดินถึงกลางเรือน 


 


 


“ซู เหลียน อวิ้น!” ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันเอ่ยปากขึ้น แล้วรีบก้าวเข้ามาพร้อมเอ่ยขึ้น “ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้สึกละอายบ้างหรือไม่? ลากผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้มากอด? เจ้า…” 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นตัวแข็งทื่อ เพราะนางได้ยินเสียงของต้วนเฉินเซวียนอย่างมิได้คาดคิดมาก่อน นางตกใจจนแทบจะลืมร้องไห้ไปเลยด้วยซ้ำ! 


 


 


แต่แม้ว่านางจะกำลังตื่นตระหนก แต่ท่าทางของนางยังคงเดิมแล้วกล่าวออกไปว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย! ข้าจะกอดใครแล้วมันเรื่องอะไรของเจ้า! ข้าไม่ได้กอดท่านสักหน่อย! อีกอย่าง นี่ใช่คนแปลกหน้าเสียที่ไหน? ท่านเป็นใครถึงมาตำหนิข้า!” นางจะยอมเขาทำไมกัน ตอนนี้ท่านอาจารย์ยังอยู่ตรงนี้ทั้งคน สองต่อหนึ่ง นางจะต้องกลัวอะไรอีก 


 


 


อีกอย่าง ที่นี่คือเรือนของนาง บ้านของนาง! 


 


 


“ซูเหลียนอวิ้นเจ้ากล้ามากเกินไปแล้ว!” กล้าไม่ฟังคำพูดของเขาแล้วหรือ? แถมยังกล้าตำหนิเขาว่ายุ่งเรื่องคนอื่นต่อหน้าต่อหน้าต่อตาอีก? 


 


 


ดูท่าแล้วช่วงนี้ความกล้าหาญของนางพัฒนาขึ้นมาก ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเข้าลึก ซูเหลียนอวิ้นที่ปกติเพียงเห็นหน้าเขาก็ยอมว่าง่ายทุกอย่างเป็นการเสแสร้งหรือ? เพราะเขาไม่เคยเห็นว่านิสัยของใครจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้! ไม่เพียงกล้าตีกล้าต่อยกับคนอื่นแต่ยังกล้าหาเรื่องคนอื่นด้วย 


 


 


ต้วนเฉินเซวียนมองอยู่เป็นเวลาพักหนึ่งแล้ว แต่ซูเหลียนอวิ้นก็ยังคงไม่ยอมผละออกจากหรงซู่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นอีก ทว่าความโกรธเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เขายิ้มพลางยื่นมือออกมาเพื่อจะดึงพวกเขาทั้งสองคนแยกออกจากกัน้ 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ไม่เต็มใจผละออกจากหรงซู่ แต่เพียงเพราะ…สภาพของนางในตอนนี้ นางสามารถจินตนาการออกได้ว่าเป็นอย่างไร! 


 


 


หน้าตาของนางคงมีน้ำมูกและน้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งหน้า สภาพของนางเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นคิดว่านางยอมตายเสียดีกว่าให้ต้วนเฉินเซวียนมองเห็น! 


 


 


น่าอายเกินไปถูกหรือไม่? อีกอย่างสภาพเช่นนี้จะทำให้เสียภาพลักษณ์จนหมดสิ้น! 


 


 


หรงซู่โอบซูเหลียนอวิ้นเบี่ยงตัวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบมือของต้วนเฉินเซวียนคู่นั้น “ศิษย์น้อง ควาเกรี้ยวกราดของเจ้าตอนนี้ทำไมถึงมากนัก? หรือเป็นเพราะว่าอากาศร้อนเกินไป? เรื่องนี้ศิษย์พี่คงต้องสั่งสอนเจ้าบ้างแล้ว เจ้าควรจะรู้…” 


 


 


หรงซู่เริ่มบ่นเขาเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน พลางเอามืออีกข้างสะกิดซูเหลียนอวิ้นเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้นางลุกออกไปได้แล้ว เพราะจากมุมนี้ต้วนเฉินเซวียนไม่สามารถมองเห็นนางได้แล้ว 


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจอย่างรวดเร็วจึงรีบผละออกจากหรงซู่ จากนั้นจึงรีบดึงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาเช็ดคราบน้ำตาจนสะอาด เมื่อลองเอามือสัมผัสจนพบว่าไม่มีคราบลื่นอยู่บนใบหน้าแล้วก็ค่อยๆ หันตัวกลับไปเงียบๆ 


 


 


ตอนนี้สายตาของนางที่มองไปยังต้วนเฉินเซวียนเต็มไปด้วยความเย็นชา  

 

 


ตอนที่ 114 หวาดกลัว

 

“หุบปาก!” ต้วนเฉินเซวียนกดเสียงต่ำ “หรงซู่หากเจ้ายังกล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียวล่ะก็…”


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนสบตากับซูเหลียนอวิ้น จิตใจของเขาก็ยิ่งห่อเ**่ยว ทว่าเขายังคงมาดเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง แล้วเพ่งสายตาจ้องไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ลดละ ทว่าเพียงครู่เดียว สายตาของต้วนเฉินเซวียนก็หันกลับไปจ้องที่หรงซู่อีกครั้ง


 


 


เนื่องจากตอนนี้ไฟโทสะที่อยู่ในร่างของเขายังหาทางระบายออกไปไม่ได้ และหรงซู่ก็เหมาะที่จะเป็นที่ระบายอารมณ์ได้ดียิ่ง   


 


 


“ศิษย์น้อง อย่าโกรธไปเลย” หรงซู่ยิ้มขึ้นแล้วค่อยๆ ดันซูเหลียนอวิ้นมาอยู่ด้นหน้าของตน “เจ้าดูตัวเจ้าสิ ดุร้ายขนาดนั้น แล้วจะมีผู้หญิงคนไหนชอบเจ้าล่ะ ถูกไหม อีกอย่างหากเจ้าทำให้ซูเหลียนอวิ้นเสียขวัญไปจะทำอย่างไร?”


 


 


เมื่อหรงซู่ออกแรงผลักซูเหลียนอวิ้นออกไปด้านหน้าแบบนั้น นางก็เกิดความคิดอยากจะเอาหรงซู่ไปประหารแบบพันมีดหมื่นแร่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


 


เนื่องจากนางมองออกอย่างแน่นอนว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่ว่านี่เป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมิใช่หรือ? ทำไมต้องดึงนางเข้าไปเกี่ยว? ทำไมต้องดึงนางเข้าไปเกี่ยวด้วย!


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น…” ท้ายที่สุดต้วนเฉินเซวียนก็ไม่ได้จ้องไปยังหรงซู่อีกต่อไป สายตาของเขาเคลื่อนไหวมาตกอยู่ที่ซูเหลียนอวิ้น “การกระทำทั้งหมดของเจ้าเมื่อครู่นี้ เจ้าจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ?”


 


 


ครั้งนี้ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ กล่าวย้ำคำพูดแต่ละคำช้าๆ น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินก็รู้สึกราวกับโดนเอามีดทื่อๆ ไร้รูปร่างเฉือนเข้าเนื้อของนางทีละน้อย


 


 


โรคประสาทของต้วนเฉินเซวียนกำเริบขึ้นอีกแล้ว! นางจะทำอะไร…นางจะทำอะไรมันเกี่ยวกับเขาตรงไหน? หรือว่าเป็นเพราะหรงซู่เป็นศิษย์พี่ของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบเห็นหรงซู่อยู่ใกล้ชิดกับนาง?เนื่องจากเมื่อเกลียดสิ่งใดแล้ว เวลาที่คนผู้นั้นข้องเกี่ยวกับสิ่งใดก็จะต้องก็จะพาลเกลียดสิ่งนั้นไปด้วย    


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นสบตากับต้วนเฉินเซวียน แข่งขาและท้องน้อยของนางพลันสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


ตอนนี้เขาอยู่ที่เรือนของนางนะ! เขาคงจะไม่ฆ่าคนตายแถวนี้กระมัง? แต่เมื่อนึกถึงเวลาปกติที่เขาแสดงอารมณ์อย่างไม่สนใจใครหน้าไหนเทียบกับสายตาของเขาในตอนนี้…ต้วนเฉินเซวียนคงไม่ได้อยากจะฆ่านางอย่างเ**้ยมโหดจริงๆ กระมัง!


 


 


เนื่องจากแววตาของเขามีความเดือดดาลอยู่อย่างเข้มข้น ทั้งความอาฆาตก็ชัดเจน


 


 


“ท่านอาจารย์…” ซูเหลียนอวิ้นก้าวถอยหลังแล้วกระตุกเสื้อของหรงซู่ นางกลัวตายจะแย่! ท่านอาจารย์อย่ามัวแต่หลบอยู่หลังนางสิ!


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์…”เมื่อหรงซู่เห็นท่าทางของต้วนเฉินเซวียนแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าศิษย์น้องของเขาตอนนี้กำลังโกรธอย่างมาก ด้วยเหตุนี้หรงซู่จึงไร้หนทางอื่นแลไม่รู้จะเลือกทำสิ่งอื่นใดได้อีก


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์” หรงซู่แกะมือของซูเหลียนอวิ้นที่เกาะเกี่ยวอยู่ที่เสื้อของเขาออกแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์เองก็เห็นใจเจ้าแต่ไร้หนทางจะช่วย ดังนั้นเจ้าช่วยตัวเองจะดีที่สุด! มียาอีกมากมายที่อาจารย์ต้องรีบกลับไปจัดการ ดังนั้นอาจารย์ต้องขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


ไม่เอาศิษย์น้องอันตรพาลของท่านไปด้วยเล่า! หรงซู่ท่านกลับมาก่อน!


 


 


ตอนนี้บรรยากาศตึงเครียดหาใดเปรียบ อีกทั้งในขณะนี้ที่หรงซู่ก็กำลังจะปลีกตัวหนีไปนั้น หนานกงมู่เสวี่ยก็ผลักประตูเปิดและเดินออกมาในเวลานั้น


 


 


ทั้งสามคนจึงมองไปยังหนานกงมู่เสวี่ยเป็นตาเดียวและได้ยินหนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นเพียงว่า “หรงซู่”


 


 


ในตอนนั้นหรงซู่ยังคงใช้สายตาขบขันหันไปมองหนานกงมู่เสวี่ย จากนั้นสายตาจึงเริ่มปรากฏความหนาวยะเยือก หรงซู่จึงยื่นมือปล่อยซูเหลียนอวิ้นออกไป จากนั้นจึงทำความเคารพหนานกงมู่เสวี่ยแล้วเอ่ยว่า “จวิ้นจู่”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดสองคำนี้ มือของหนานกงมู่เสวี่ยที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อพลันกำแน่นขึ้น


 


 


จวิ้นจู่…คำสองคำที่หนานกงมู่เสวี่ยได้ยินอยู่ทุกวัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่า คำสองคำนี้สามารถทำร้ายคนได้มากถึงขั้นนี้


 


 


“หรงซู่” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยขึ้น ระหว่างที่ค่อยๆ ก้าวลงมาจากระเบียงทางเดิน “ท่าน…มาตรงนี้ก่อนได้หรือไม่? ข้ามีเรื่องจะต้องพูดกับท่าน”


 


 


หรงซู่ไม่คล้อยตามแต่อย่างใด “มีเรื่องอะไร จวิ้นจู่ก็พูดออกมาได้เลย ข้าน้อยอยู่ตรงนี้ได้ยินทุกอย่าง”


 


 


“หรงซู่” ดวงตาคู่งามของหนานกงมู่เสวี่ยเบิกกว้างแล้วเดินออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “จวิ้นจู่บอกให้เจ้ามาทางนี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง?!”


 


 


หรงซู่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รอยยิ้มเริ่มกลับมาปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ทว่าแม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ยิ้มออกมาจากดวงตา เขาเอ่ยขึ้นว่า “ดูแล้วจวิ้นจู่คงไม่อยากจะคุยกันดีๆ แล้ว ช่างเถิด ข้าน้อยเองก็คิดว่าไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับจวิ้นจู่แล้วเช่นกัน” เมื่อพูดจบเขาก็เตรียมตัวหันจะเดินจากไป


 


 


“หรงซู่เจ้าลองเดินหนีอีกก้าวหนึ่งต่อหน้าข้าดูสิ!” ไม่รู้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยโศกเศร้าหรือว่าโมโห ขณะที่นางกำลังเอ่ยปากอยู่นั้นร่างกายของนางพลางสั่นเทา


 


 


เท้าขวาของหรงซู่ที่กำลังจะก้าวหยุดชะงัก จากนั้นจึงวางเท้าลง เขาหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อจวิ้นจู่ไม่ให้ข้าน้อยเดิน ข้าก็จะไม่เดิน”


 


 


จากนั้นร่างของหรงซู่ก็กระโดดลอยขึ้นแล้วบินจากไป


 


 


เอ่อ เขาไม่ได้เดินสักก้าวเลยจริงๆ เพราะว่าเขาเลือกที่จะบินจากไป


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยเฝ้ามองเงาร่างสีขาวที่ค่อยๆ เล็กลงและห่างไกลออกไป ร่างกายของนางยิ่งสั่นเทามากขึ้น ท้ายที่สุดของเหลวบางอย่างก็เอ่อทะลักออกมาจากดวงตาของนางอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


“ศิษย์พี่หญิง” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นหรงซู่ใช้วิชาตัวเบาจากไปเช่นนั้น เขาก็อดแอบทอดถอนใจไม่ได้ เขาก้าวไปข้างหน้าเพราะอยากจะเอ่ยปากปลอบใจ ทว่าพอครุ่นคิดดูแล้วกลับเลือกที่จะปล่อยวาง


 


 


ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำปลอบใจของผู้ใดก็คงจะเป็นเพียงเกลือที่โรยลงไปบนบาดแผลเสียมากกว่า…


 


 


ร้อยถ้อยคำหมื่นคำพูดก็มิสู้คำพูดของคนผู้นั้นเพียงประโยคเดียว


 


 


นี่คือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น” หนานกงมู่เสวี่ยทำจมูกฟึดฟัด ทว่าเพียงครู่เดียวนางก็ยืดตัวตรงแล้วเชิดหน้าขึ้นกลับคืนสู่จวิ้นจู่ที่มีความสูงส่งสง่างามเช่นเดิมตามปกติ นางเอ่ยต่อว่า “จวิ้นจู่ขอตัวก่อน วันหน้าหากมีเรื่องอะไร ข้าจะส่งจดหมายมาเชิญเจ้าไป ถึงตอนนั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีก็แล้วกัน” เมื่อเอ่ยจบหนานกงมู่เสวี่ยก็จากไปโดยไม่หันหน้ากลับมามอง


 


 


“ตกลง…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าเกร็งๆ


 


 


เอ๊ะ มิถูก


 


 


หนานกงมู่เสวี่ยเจ้ากลับมาก่อน! เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย ขอร้องล่ะ! เพราะในลานบ้านของนางตอนนี้เหลือเพียงซูเหลียนอวิ้นกับต้วนเฉินเซวียนเท่านั้น


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น” หลังจากที่เงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง ความโกรธของต้วนเฉินเซวียนก็มิได้รุนแรงอย่างเดิมอีก แต่เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นมองตามหลังหนานกงมู่เสวี่ยไปอย่างคาดหวัง แต่สายตาเมื่อมองกลับมาที่ตน กลับเป็นสายตาของความหวาดกลัวและอยากหลีกเลี่ยง


 


 


โทสะของต้วนเฉินเซวียนเดิมทีที่ลดลงไปแล้วเกือบครึ่ง ตอนนี้กลับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ากลัวข้ามากเลยหรือ?” ต้วนเฉินเซวียนก้าวเข้าไปช้าๆ พลางเอ่ยขึ้น ทว่าเสียงของเขาในตอนนี้กลับแหบแห้งชวนฝัน หากไม่ทันระวังตัวให้ดีก็คงจะถูกเสียงนี้ดึงดูดให้ตกลงไปในวังวนที่กำลังหมุนวน


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้างึกหงักราวกับไก่จิกข้าวเปลือก แต่เมื่อมองไปยังสายตาของต้วนเฉินเซวียนที่ยิ่งมืดดำขึ้นเรื่อยๆ ในหัวของนางก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง จากนั้นก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“ข้า ข้า ข้า…” ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นเอามือกุมศีรษะของตนเอาไว้แล้วนั่งยองๆ ลงบนพื้น


 


 


“เอ๊ะ? เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มพลางเอ่ยถาม 

 

 


ตอนที่ 115 รักแท้

 

“ท่านอย่าเข้ามานะ!” ในขณะที่ฝีเท้าของต้วนเฉินเซวียนมาหยุดลงตรงหน้าซูเหลียนอวิ้นนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ตะโกนประโยคนี้ออกมา


 


 


ตอนนี้นางรู้สึกกลัวอย่างยิ่ง! ไม่ว่าร่างกายของนางจะพยายามปกปิดเพียงใด แต่ในใจของนางกำลังรู้สึกหวาดกลัวต้วนเฉินเซวียน


 


 


ความทรงจำต่อฝ่ามือปลิดชีพนางของเขา เป็นความเจ็บปวดที่รวดร้าวฝังลึกอยู่ในหัวใจของนาง ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไป นางไม่เคยลืมมันได้เลย


 


 


ความตายไม่น่ากลัว แต่ความน่ากลัวอยู่ที่ระยะเวลาก่อนความตายจะมาถึงต่างหาก


 


 


“เจ้า!” เดิมทีต้วนเฉินเซวียนกะจะสั่งสอนซูเหลียนอวิ้นสักปะโยคสองประโยคให้นางรีบลุกขึ้นมา เพราะว่าชุดพิธีการที่นางใส่อยู่ตอนนี้เป็นแบบที่คอเสื้อค่อนข้างจะกว้าง


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นนั่งยองๆ แถมยังขดตัวเช่นนี้ ทำให้เขาสามารถเห็นบางสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว


 


 


ทว่าก็เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้ ต้วนเฉินเซวียนเหลือบมองดูผ้าที่พันซ้อนทับกันไว้หลายๆ ชั้นแล้วพยักหน้า เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด ตรงนั้นของนางคือของปลอม!


 


 


“ข้ากลัวท่านมากจริงๆ ท่านอย่าเข้ามาจะได้ไหม” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าพูดเสียงอู้อี้


 


 


แม้ว่าการร้องไห้เมื่อครู่นี้จะหยุดได้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือบางทีอาจจะเกิดจากความกลัวเป็นเหตุ น้ำตาของนางจึงไหลออกมาอีกครั้ง


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่เอ่ยสิ่งใดในตอนนั้น


 


 


เมื่อครู่นี้ตัวเขาหงุดหงิดและโกรธเกรี้ยวราวกับฟ้าพิโรธ ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นขอบตาคู่นั้นของซูเหลียนอวิ้นแดงก่ำ น้ำตาของนางเอ่อล้นเต็มดวงตาแต่ยังพยายามฝืนกลั้นสุดชีวิตเพื่อไม่ให้มันไหลออกมา  จิตใจของเขาในตอนนี้ราวกับกำลังถูกบางสิ่งลูบผ่านเบาๆ อย่างอ่อนโยน


 


 


ความรู้สึกอันแปรปรวนของเขา ทำเอาความรู้สึกโกรธเกรี้ยวนี้ค่อยๆ สงบลงอย่างว่าง่าย


 


 


ต้วนเฉินเซวียนจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นก็พบว่าดวงตาของนางแดงก่ำ ฟันของนางกัดริมฝีปากล่างไว้เบาๆ รวมทั้งสองมือของนางกำลังโอบกอดตัวเองเอาไว้


 


 


ตอนนั้นเองเขาจึงรู้สึกว่าซูเหลียนอวิ้นแบบในตอนนี้ไม่เลวทีเดียว? ไม่ได้มีทีท่าอย่างลูกแมวขนฟูอีกต่อไป แต่เป็นกระต่ายตื่นตูมตัวหนึ่งเท่านั้น


 


 


เป็นภาพที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกว่าอยากที่จะอุ้มนางมากอดเอาไว้ตรงอก


 


 


ต้วนเฉินเซวียนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง น้ำเสียงของเขาในตอนนี้เริ่มอ่อนโยนขึ้น “ข้า ข้าไม่รังแกผู้หญิงหรอก ข้าเพียง…คนผู้นั้นคือศิษย์พี่ของข้า ข้าก็เลย ก็เลย…” เขาคนเดิมที่พูดจาฉะฉานหายไปไหนแล้ว? เหตุใดตอนนี้จึงพูดกระตุกกระตักเช่นนี้?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตามองปริบๆ เมื่อเห็นว่าตอนนี้อารมณ์โกรธของต้วนเฉินเซวียนคลายลงจนหมดแล้วก็ถอนหายใจจากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลัง จากนั้นเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ต่อไปข้าจะ…ไม่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์แบบนั้นแล้ว? ดังนั้นท่าน ท่านอย่าโกรธอีกได้ไหม?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาแล้วกระพริบตาอีก นางรู้สึกสำนึกผิดมากเพียงใด แววตาคู่นั้นของก็ยิ่งแสดงความสำนึกผิดออกมามากเท่านั้น


 


 


เฮ้อ นางผิดไปแล้วจริงๆ มิน่าเล่าชาติที่แล้วต้วนเฉินเซวียนถึงไม่ชอบขี้หน้านางและเกลียดนางมากขนาดนั้น?


 


 


เหตุผลของเรื่องทั้งหมด ตอนนี้นางหาพบแล้ว


 


 


ที่แท้แล้วรักแท้เพียงหนึ่งเดียวในใจของต้วนเฉินเซวียนคือท่านอาจารย์! มิน่าแปลกใจเลยจริงๆ…ที่ต้วนเฉินเซวียนไม่เคยมีข่าวข้องเกี่ยวกับสตรีนางใดเลยแถมยังไม่เคยรับมิตรไมตรีจากสตรีนางใดเลย


 


 


ที่แท้แล้วคนที่เขาชอบ เป็นบุรุษนั่นเอง!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นแอบครุ่นคิดอยู่ในใจ เรื่องนี้…ท่านอาจารย์รู้ตัวหรือไม่? เขารู้ไหมว่าต้วนเฉินเซวียนรักเขาจนถึงขั้นน่าเวทนาขนาดนี้? ไม่ว่าผู้ใดจะเข้าใกล้เขาสักคนก็ไม่ยอม! ความขี้หึงนี้ของเขาเป็นครั้งแรกที่นางเคยเห็น


 


 


เฮ้อ แต่พอนึกถึงหนานกงมู่เสวี่ย


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเหลียนอวิ้นเข้าใจความรู้สึกของคนหัวอกเดียวกัน หนานกงมู่เสวี่ยเองก็คงจะรู้เรื่องราวของพวกเขาเช่นกันกระมัง? แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้นางก็ยังคงรักท่านอาจารย์อย่างสุดหัวใจหรือ?


 


 


นี่เป็นจิตใจของผู้รู้จักให้อภัยที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง! แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ยังทนรับไหว!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่ทันได้สังเกตแววตาของซูเหลียนอวิ้น เพราะเขากำลังครุ่นคิดถึงคำพูดที่ซูเหลียนอวิ้นพูดออกมาเมื่อครู่นี้อยู่


 


 


เฮ้อ ในที่สุดนางก็เข้าใจเสียทีว่าอะไรที่เขาเรียกว่าหญิงชายมิควรใกล้ชิดสนิทสนมกัน ท่านอาจารย์น่ะหรือ? เขาเป็นใครกัน?


 


 


ต้วนเฉินเซวียนรู้เพียงว่าคนผู้นั้นที่ซูเหลียนอวิ้นเรียกว่าท่านอาจารย์อายุมากกว่านางเพียงไม่กี่ปีทั้งยังเป็นบุรุษอีกด้วย!


 


 


“อืม” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มกลับมาวางสีหน้าเย็นชาอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักกาลเทศะก็ดีแล้ว อะไรทำได้ อะไรทำมิได้ คงไม่ต้องให้ข้าคอยสอนเจ้าอีกกระมัง?”


 


 


“มิต้อง…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าตอบรับ


 


 


นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่ว่านางจะต้องหาเวลาไปถามหรงซู่ด้วยตัวเองให้ได้ถึงจะถูกต้อง! หากพวกท่านรักกันจริงๆ นางก็คง…คงทำได้เพียงอวยพรให้ทั้งสองคนมีความสุข!


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ต่อไปเจ้าก็ปฏิบัติตัวให้ดีๆ หน่อยก็พอ” ต้วนเฉินเซวียนหันไปมองซูเหลียนอวิ้นเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นก็ตัดสินใจจากไป


 


 


“เดินระวังด้วย…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าเอ่ย


 


 


ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้กล่าวตอบอะไรอีก เมื่อซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าคนตรงหน้านางไม่รู้ว่าหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “…”


 


 


จะไปไม่คิดจะบอกกันสักคำเลยหรือ? นางก้มหน้าจนปวดคอไปหมดแล้ว!


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ!”


 


 


ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังบีบนวดคอของตัวเองอยู่นั้นและกำลังวางแผนว่าจะกลับจวนไปนอนกลางวันสักหน่อยนั้นก็มีเงาร่างสะโอดสะองกระโดดออกมาโผล่อยู่ตรงหน้านาง


 


 


“คุณหนู คุณหนู! บ่ายวันนี้บ่าวได้เงินมามากมายเลยเชียวเจ้าค่ะ” เนี่ยนเอ๋อร์เขย่าถุงเงินในมือ เศษเงินที่อยู่ในกระเป๋าเงินกระทบกันส่งเสียงดังแก๊กๆ


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นดวงตาของเนี่ยนเอ๋อร์ยิ้มจนแทบจะปิดไปเช่นนี้ก็เริ่มเอามือลูบหน้าผากตัวเองแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปเล่นกับใครมา?” เล่นการพนันอย่างเปิดเผยเช่นนี้เลยหรือ! แถมยังเป็นฝ่ายเริ่มบอกตนอีกต่างหาก…ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้จะบอกว่าเนี่ยนเอ๋อร์นั้นใสซื่อเกินไปหรือว่าโง่เกินไปดี


 


 


เนี่ยนเอ๋อร์ยิ้ม “เล่นกับพี่หลีมู่ หลานเย่ว์และก็สาวใช้ของจวิ้นจู่ พวกเราเล่นไผ่ใบไม่ด้วยกัน ส่วนข้าเป็นผู้ชนะมากที่สุด!”


 


 


“เนี่ยนเอ๋อร์!” หลีมู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกมา “เนี่ยนเอ๋อร์ เจ้า…”


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ…” เมื่อหลีมู่มองเห็นซูเหลียนอวิ้น ตอนนั้นนางก็ก้มหน้างุดจนไม่สามารถจะก้มลงไปได้อีก “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวสำนึกผิดแล้ว…”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยิ้มกว้าง “หลีมู่ เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้าทำผิดอะไร?” ช่างน่าโมโหจริงๆ! เมื่อครู่นี้นางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เป็นตายเท่ากัน! อีกนิดเดียวนางอาจไม่ได้กลับมาอีก และพวกเขาจะไม่ได้พบนางอีกแล้ว?


 


 


แต่คนรับใช้และองครักษ์ตัวดีของนาง กลับนั่งเล่นไพ่ใบไม้กันอยู่?


 


 


เสียงเมื่อครู่นี้ดังขนาดนั้น…เอาล่ะ แม้ว่าจะไม่ดังมากก็ตาม แต่ก็คงจะไม่เบาขนาดนั้น ไม่มีคนได้ยินสักคนเลยหรือ!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นiรู้สึกว่าตัวเองโมโหจนตัวแทบจะลอยขึ้นไปบนฟ้าอยู่แล้ว


 


 


“บ่าว…” เมื่อหลีมู่เห็นรอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้น เสียงของนางก็ยิ่งเบาลง “บ่าวมิควรชวนเนี่ยนเอ๋อร์เล่นไผ่…แถมยังเล่นแบบเอาเงิน คุณหนูบ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูโปรดลงโทษ”


 


 


เมื่อเนี่ยนเอ๋อร์เห็นสีหน้าเศร้าโศกอัดอั้นของหลีมู่ดังนั้นจึงเข้าใจว่าเรื่องเมื่อครู่ที่พวกนางทำเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหน! ตอนนั้นนางจึงไม่อยากถือถุงเงินไว้อีกต่อไปแล้วยื่นถุงเงินออกไปให้ซูเหลียนอวิ้นแล้วกล่าว่า “คุณหนู! เมื่อครู่พวกบ่าวเพียงต้องการเล่นสนุกกันเท่านั้น…เรื่องนั้น คุณหนูเจ้าคะเอาเงินพวกนี้คืนไปเถิดเจ้าค่ะ! เนี่ยนเอ๋อร์ไม่อยากได้แล้ว!”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นผลักถุงเงินคืนกลับไปเงียบๆ “ข้ามาเพื่อต้องการจะบอกพวกเจ้าว่า ครั้งหน้าเวลาที่พวกเจ้าจะทำอะไรช่วยหูไวตาไว และตั้งใจฟังเสียงรอบๆ ด้านบ้าง!” 

 

 


ตอนที่ 116 ของขวัญ

 

 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู” เนี่ยนเอ่อร์ยกนิ้วขึ้นสาบาน “ต่อไปพวกบ่าวจะไม่เล่นการพนันแลกเงินอีกแล้วเจ้าค่ะ! “


 


 


นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้สักหน่อย เข้าใจหรือไม่? ประเด็นสำคัญคือ…


 


 


ช่างเถอะๆ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์คงร้อนแรงเกินไปกระมัง ตอนนี้ตาทั้งสองข้างของนางจึงพร่ามัวไปหมด เรื่องเมื่อครู่นี้…เงียบปากเอาไว้ดีกว่า เพราะเมื่อครู่นี้ท่าทางของตนก็น่ากลัวเสียขนาดนั้น…


 


 


คิดเสียว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


 


 


“พวกเจ้ารู้ด้วยตัวเองก็ดีแล้ว” เสียงของซูเหลียนอวิ้นคล้ายคนหมดแรง “จริงสิ หญิงรับใช้ของหนานกงมู่เสวี่ยผู้นั้น พวกเจ้าบอกนางทีซิว่า เจ้านายของนางกลับไปแล้ว! ให้นางคิดเอาเองก็แล้วกันว่าจะทำอย่างไรต่อ จะค้างคืนกับพวกเราที่นี่ หรือว่าจะรีบตามกลับไปตอนนี้เลย บางทีอาจจะตามทัน”


 


 


“คุณหนูซูว่าอะไรนะเจ้าคะ จวิ้นจู่ของบ่าวกลับไปแล้ว” หญิงรับใช้ของหนานกงมู่เสวี่ยอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เป็นไปได้อย่างไร! บ่าว บ่าวไม่เห็นได้ยินเสียงคุณหนูเดินออกไปเลย! “


 


 


“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าเล่นกันจนไม่ลืมหูลืมตา…หนานกงจวิ้นจู่กลับไปตั้งนานแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นก้าวเท้าเดินไปทางห้องนอนของตัวเองแล้วเอ่ยต่อว่า “เนี่ยนเอ๋อร์ เจ้าคืนเงินให้หญิงรับใช้นางนี้ได้แล้ว จากนั้นให้นางรีบนั่งรถม้าตามกลับไป มิเช่นนั้นขืนยังช้าอยู่พระอาทิตย์คงจะตกดินเสียก่อน! “


 


 


ณ จวนจิ้งอันโหว


 


 


ต้วนเฉินเซวียนกำลังนอนอยู่บนเตียง เขานอนพลิกตัวกลับไปมา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็หลับไม่ลง


 


 


ตอนนี้ในหัวของเขา เมื่อใดก็ตามที่ปล่อยให้สมองโล่งก็จะมีภาพของซูเหลียนอวิ้นที่กำลังตาแดงก่ำพร้อมอาการหวาดกลัวแทรกเข้ามา…ความรู้สึกที่ตนมิอาจควบคุมได้เช่นนี้ทำเอาเขาอึดอัดจนหัวแทบจะระเบิด!


 


 


ตอนนั้นเขาเพียงคิดจะ…ข่มขู่นางก็เท่านั้น…เขาไม่ได้คิดจะ…!


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเตะผ้าห่มออก แล้วขยี้ผมตัวเองอย่างคลุ้มคลั่ง


 


 


อีกทั้งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมเขาจึงมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างในตอนสุดท้ายที่เขากำลังจะออกจากเรือนของซูเหลียนอวิ้น สายตาของซูเหลียนอวิ้นที่มองเขาทำไมถึงพิลึกแบบนั้น?


 


 


แต่สายตานั้นเป็นสายตาของการสำนึกผิดอย่างแท้จริงและเป็นสายตาที่บ่งบอกว่าตนรู้ตัวแล้วว่าทำผิด แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่า…มีบางอย่างไม่ถูกต้อง?


 


 


ไม่ได้ พรุ่งนี้เขาจะต้องกลับไปหาหรงซู่อีกรอบหนึ่ง เรื่องนี้จะต้องข้องเกี่ยวกับเขาไม่มากก็น้อย


 


 


บางทีอาจเป็นไปได้ว่าหรงซู่พูดเรื่องเหลวไหลให้ซูเหลียนอวิ้นฟังลับหลังเขา! หากเป็นเช่นนี้จริง…เขาสาบานเลยว่าจะไม่ยอมปล่อยหรงซู่ไปแน่!


 


 


……


 


 


“คุณหนู? ” หลีมู่เคาะประตูสองสามที “คุณหนูนอนหรือยังเจ้าคะ? “


 


 


“ยัง มีเรื่องอะไรเข้ามาคุยกันข้างในก่อนสิ” ซูเหลียนอวิ้นคว่ำหน้าปกหนังสือที่อยู่ในมือลงอย่างระมัดระวัง “มีอะไรหรือ ถึงได้มาหาข้าเอาดึกดื่นป่านนี้”


 


 


หลีมู่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงวางกล่องรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าไว้บนโต๊ะยาวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้บ่าวเจอสิ่งนี้เข้า ตอนที่กำลังจัดการของขวัญจากงานพิธีปักปิ่นอยู่”


 


 


“ทำไมหรือ”


 


 


“ของสิ่งนี้ไม่ได้ถูกเขียนเอาไว้ว่าผู้ใดเป็นคนให้ อีกทั้งยังไม่ได้บอกด้วยว่าของข้างในคืออะไร ดังนั้นบ่าวจึงเอามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”


 


 


“ขอข้าดูหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวลงมาจากเตียง นางใส่รองเท้าอย่างลวกๆ แล้วเดินลงมา


 


 


ซูเหลียนอวิ้นยกกล่องใบนั้นขึ้น แล้วชั่งน้ำหนักอยู่ในมือ น้ำหนักไม่เบาเลยทีเดียว? แถมกล่องยังเป็นรูปทรงนี้อีก? กล่องที่มีรูปทรงยาวเช่นนี้…ข้างในจะต้องมี…


 


 


หรือว่าจะเป็น


 


 


ในหัวของซูเหลียนอวิ้นปรากฏภาพความคิดที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด


 


 


“หลีมู่ข้ารับรู้แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นวางกล่องใบนั้นลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด เผื่อพรุ่งนี้จะต้องตื่นเช้าขึ้นมาทำอะไร เจ้ารีบไปนอนเถอะ! “


 


 


เป็นไปได้หรือไม่ที่ของด้านในนี้จะเป็นกระบี่ชั้นยอดที่ท่านอาจารย์รับปากเอาไว้ เพราะนางแกะของขวัญดูหมดแล้วยังไม่เจอสิ่งนั้นเลย!


 


 


แม้แต่ของที่เด็กเมื่อวานซืนอย่างองค์ชายเก้ามอบให้ นางก็แกะดูหมดแล้ว


 


 


ทว่าเมื่อคิดถึงองค์ชายเก้าขึ้นมา ซูเหลียนอวิ้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึก…อึดอัดและเจ็บใจ!


 


 


รู้หรือไม่ว่าเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นมอบอะไรให้นาง ของที่เขามอบให้นางคือแบบฝึกคัดลายมือหลายเล่มและยังมีคัมภีร์ชือจิง[1]อีกด้วย!


 


 


สุดท้ายด้านบนยังแนบจดหมายมาให้อีกหนึ่งฉบับ เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เมื่อพิจารณาจากในงานฉลองวสันตฤดูแล้ว บทกลอนที่ซูเหลียนอวิ้นเขียนในงานเขามีโอกาสได้เห็นแล้ว ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำดังนี้


 


 


หนึ่ง หวังว่านางจะขยันฝึกคัดลายมือ เพราะหากลายมือของนางน่าเกลียดเช่นนี้จะทำให้เขาขายหน้าเอาได้! (เพราะว่ามีหลายคนรับรู้แล้วว่าเขากับนางมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน)


 


 


สอง หวังว่านางจะเรียนรู้บทกลอนให้มากกว่านี้ เพราะกลอนที่นางเขียนบทนั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าเด็กเป็นผู้เขียนและราบเรียบจนเกินไป สู้เด็กอายุห้าขวบอย่างเขายังมิได้! (ถือเป็นการเยาะเย้ยซูเหลียนอวิ้นไปด้วยว่าโตกว่าเขาตั้งหลายปี แต่กลับสู้เขาไม่ได้)


 


 


สุดท้าย หวังว่าซูเหลียนอวิ้นจะมีอารมณ์และนิสัยที่สุภาพและอ่อนโยนกว่านี้สักหน่อย การแสดงออกอย่างฉุนเฉียวขนาดนั้นในงานวสันตฤดูทำให้ผู้อื่นต้องขายหน้า ยังดีที่คนผู้นั้นใจดีจึงไม่ทะเลาะกับนาง มิเช่นนั้นแล้วหากคนผู้นั้นขายหน้าจนหัวเสียขึ้นมา ซูเหลียนอวิ้นคงจะเดือดร้อน


 


 


ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่องค์ชายเก้ามอบให้นางทั้งหมดในกล่องใบนั้น


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นก็อยากจะเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อนำตัวเจ้าเด็กหน้าเหม็นจอมหยิ่งผยองนั่นตีสั่งสอนสักยก!


 


 


นางลายมือน่าเกลียดหรือ?! น่าเกลียดตรงไหน! แม้แต่คนลายมือสวยอย่างหนานกงมู่เสวี่ยยังไม่รังเกียจนาง! แล้วทำไมเจ้าเด็กเมื่อวานซืนผู้นี้ต้องมาคอยจับผิดนางด้วย?


 


 


อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องบทกลอน ก่อนหน้าวันงานฉลองวสันตฤดูนางต้องรีบยัดบทกลอนตั้งมากมาย นางอ่านจนแทบจะอาเจียนออกมา! ชีวิตนี้ของนางต่อจากนี้…อย่างน้อยก็ภายในเดือนนี้ นางไม่อยากจะแตะต้องหนังสือพวกนี้อีกแล้ว


 


 


อีกอย่างหนึ่งในเมื่อรู้ว่านางขี้โมโห ยังจะกล้าเขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงนางอีกหรือ ไม่กลัวว่านางจะบุกเข้าวังหลวงไปตีก้นของเขาสักยกเลยหรอ! มันน่าจริงๆ …


 


 


อย่างไรก็ตามตอนที่ซูเหลียนอวิ้นอ่านจดหมายฉบับนั้นจบ นางก็ได้ขยำจดหมายฉบับนั้นเป็นก้อนแล้วโยนทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนของนั้น…ของมิอาจโยนทิ้งได้ ดังนั้นนางจึงเอาของทั้งหมดนั้นรวมทั้งกล่องย้ายไปวางที่ห้องเก็บของของนางในจุดที่ลึกที่สุดของห้อง


 


 


“คุณหนู ของชิ้นนี้ล่ะเจ้าคะ ให้บ่าวเอาออกไปด้วยไหม” หลีมู่เอ่ยปากหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อดูท่าทางของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ทำไมถึงดูเหมือนอยากจะกอดของสิ่งนี้ไว้โดยไม่อยากวางมือ?


 


 


“อ๋อ” ซูเหลียนอวิ้นหลุดจากภวังค์แล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องๆ เอาไว้ที่ข้าก่อนเถิด ของชิ้นนี้ค่อนข้างหนักทีเดียว หากให้หลีมู่ย้ายไปย้ายมาคงลำบากแย่ เอาวางไว้ห้องของข้านี่ล่ะ”


 


 


“เจ้าค่ะ…” หลีมู่ยังมีคำพูดอยากจะพูดต่อ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเองช่วงบ่ายวันนี้ เรื่องที่นางแอบเล่นไพ่ใบไม้โดยไม่รู้สึกผิดต่อซูเหลียนอวิ้น….ตอนนี้นางจึงรู้สึกว่านางมีความมั่นใจไม่พอ ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้เพียงพยักหน้าจากนั้นก็ถอยหลังออกไป


 


 


ตอนที่หลีมู่เพิ่งจะเดินออกไป ซูเหลียนอวิ้นก็รีบพุ่งตัวไปที่ประตูเพื่อปิดให้แน่น ไม่แน่หากจู่ๆ หลีมู่เกิดมีเรื่องอะไรแล้ววกกลับเข้ามาอีกจะทำอย่างไร


 


 


เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ซูเหลียนอวิ้นก็ได้โอกาสเปิดกล่องใบนั้นดูสักที นางค่อยๆ เปิดออกจากรอยแยกเล็กๆ ด้านในคล้ายมีแสงสว่างส่องประกายวับไหว


 


 


“คุณพระช่วย! ” ซูเหลียนอวิ้นเปิดฝากล่องทั้งหมดออก ในตอนที่นางเห็นกระบี่เล่มนั้นวางอยู่ในกล่อง นางก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้อย่างยากจะควบคุม


 


 


นางเกรงว่าตัวเองจะตื่นเต้นมากเกินไปจนส่งเสียงร้องและหากเสียงนั้นดึงดูดผู้คนเข้ามาที่ห้องของนาง นั่นคงจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน


 


 


 


 


——


 


 


[1] คัมภีร์ชือจิง คือคัมภีร์กวี เป็นหนังสือรวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน 

 

 


ตอนที่ 117 ความฝัน

 

“กรี๊ดดดด! ” ซูเหลียนอวิ้นหวีดร้องเบาๆ จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาปิดใบหน้าตัวเองไว้แล้วก็บิดตัวไปมาเป็นวงกลม


 


 


นางมิได้เดาผิดตามที่คาดเอาไว้! ข้างในนี้เป็นกระบี่ชั้นยอด! แถมกระบี่เล่มนี้ยังสวยมากอีกด้วย!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพยายามที่จะควบคุมมือของตัวเองที่กำลังสั่นเทา จากนั้นหยิบกระบี่ชั้นยอดเล่มนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง เพียงเห็นแค่ปลอกกระบี่ยังสวยงามขนาดนี้!


 


 


เอ๊ะ? ” ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นสัมผัสโดนกระบี่ นางพลันขมวดคิ้ว “ทำไมถึงรู้สึกว่า…”


 


 


ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติสัมผัสโดนมือของนาง? เพราะความรู้สึกที่มือนางเมื่อครู่นี้ ไม่เหมือนสัมผัสโดนโลหะ แต่คล้ายว่า…สัมผัสโดนของลื่นๆ บางอย่าง?


 


 


แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะรู้สึกสงสัยและประหลาดใจ ทว่านางยังคงจับด้ามกระบี่เอาไว้แล้วดึงกระบี่ออกมา


 


 


คมกระบี่เป็นประกายมันขลับราวกระจกเงา ตอนที่ชักกระบี่ออกมาทั้งเล่มแล้วนั้น ตัวกระบี่ต้องกับแสงเทียนบนเชิงเทียนส่องประกายสว่างไสว ดวงตาของซูเหลียนอวิ้นโดนประกายของแสงสว่างนี้จนต้องหรี่ตาลง


 


 


แต่ในชั่วขณะที่นางหรี่ตาเป็นเวลาสั้นๆ นั้น นางจึงพลาดโอกาสเห็นบางอย่างในช่วงที่แสงส่องประกายออกมา


 


 


รอจนสายตาของนางเริ่มปรับตัวได้ตามปกติแล้ว ซูเหลียนอวิ้นจึงก้มหน้ามองดูใบหน้าของตนที่สะท้อนอยู่ในกระบี่ ตอนนั้นนางรู้สึกว่าตัวเองอยากจะหัวเราะ


 


 


โอ้โห งามยิ่ง กระบี่เล่มนี้งามมาก เงาของสตรีที่สะท้อนอยู่ในกระบี่ก็งามเช่นกัน


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลองกวัดแกว่งกระบี่ดูครั้งสองครั้ง ตอนนั้นเองนางจึงคิดว่าบางทีการกวัดแกว่งกระบี่ครั้งสองครั้งของนางสามารถทำให้กระบี่เกิดพลังขึ้นได้?


 


 


เกิดความคิดบางอย่างขึ้นภายในก้นบึ้งของจิตใจของนาง นางจะลองดูดีหรือไม่ ลองดูว่าตัวเองจะควบคุมพลังของกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่? หากนางทำได้ล่ะก็ คงต้องเรียกนางว่าอัจฉริยะเสียแล้ว! เพราะตำราทั้งสองเล่มที่หรงซู่มอบให้นางล้วนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้!


 


 


“ลองกับโต๊ะตัวนี้ก็แล้วกัน…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพัม จากนั้นนางจึงถอยหลังไปสองสามก้าว มือทั้งสองของนางกุมด้ามกระบี่ไว้ นางหลับตารวบรวมพลังพุ่งตรงไปยังโต๊ะตัวนั้น


 


 


“เอ๊ะ? ” ผ่านไปครู่ใหญ่ เนื่องจากนางไม่ได้ยินเสียงใดๆ ดังขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจึงแอบหรี่ตาขึ้นมามองข้างหนึ่ง ทุกอย่างยังคงมีสภาพดังเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร! ” ครั้งแรกตอนที่นางเริ่มกวัดแกว่งมัน ทั้งๆ ที่นางรู้สึกอย่างชัดเจนว่าตัวเองควบคุมพลังของกระบี่ได้! ทำไมตอนนี้ถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นเลย?


 


 


มิได้ นางต้องลองดูอีกครั้ง!


 


 


ด้วยเหตุนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงพุ่งความสนใจของตัวเองไปยังโต๊ะตัวนั้นอีกกว่าสิบรอบ สุดท้ายทั้งแขนซ้ายและแขนขวาของนางก็เริ่มเหนื่อยล้าจนมิอาจยกขึ้นได้อีก พอยกกระบี่ขึ้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงมองไปข้างหน้าแล้วยอมแพ้ชั่วคราวก่อน


 


 


“เฮ้อ แต่ก็ยังดี” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ นำกระบี่เก็บเข้าไปในปลอกกระบี่อย่างระมัดระวัง แล้วพูดปลอบใจตัวเองเบาๆ “จะดีจะร้ายอย่างไรเจ้าก็นำพลังกระบี่ออกมาได้หนหนึ่งแล้ว! แม้ว่าครั้งนั้นอาจจะเหมือนแมวตาบอดจับหนูตาย[1]ได้ก็ตาม…แต่นั้นก็สามารถกล่าวได้ว่าโชคของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว! “


 


 


เมื่อเก็บกระบี่เสร็จแล้ว แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับพบอีกปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือนางจะเก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ที่ใด?


 


 


ขืนวางไว้บนโต๊ะเช่นนี้ เช้าวันต่อมานางมั่นใจแปด เก้าจากสิบส่วนว่าของชิ้นนี้จะถูกนำออกไป…


 


 


นั่นเป็นเพราะซูปั๋วชวนและซูมั่วเยี่ยไม่ชอบอย่างยิ่งที่นางจะไปข้องเกี่ยวกับสิ่งของประเภทนี้! ส่วนหลีมู่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เกรงว่าหลังจากนั้นนางจะต้องเป็นคนแรกที่วิ่งไปรายงานเรื่องของนาง จากนั้นก็จะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วยให้นางเก็บของแบบนี้ไว้


 


 


“มิถูกสิ รู้สึกว่ามีบางที่ที่เราสามารถแอบเอาไว้ได้” ในตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นพลันนึกขึ้นได้ว่าจะต้องมีที่ไหนสักแห่งที่สามารถซ่อนของเอาไว้ได้


 


 


ที่นั้นก็คือใต้เตียงของนางนั่งเอง!


 


 


ใต้เตียงของนางมีที่ที่สามารถสอดของซ่อนไว้ตรงกลางได้ ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่ฟูกที่นอนปูทับอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อนอนลงบนฟูกจะทำให้มันห้อยลงด้านล่าง จากนั้นก็จะบังจุดๆ นั้นเอาไว้ได้ ดังนั้นต่อให้เป็นหลีมู่ก็ไม่มีทางรู้ว่าด้านในมีของซ่อนอยู่


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เมื่อชาติที่แล้ว สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ใช้แอบนิยายเช่นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าชาตินี้แม้นางจะไม่ได้ใช้มันไว้แอบนิยายแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงไม่ว่าง เฮ้อ มันคงเหนื่อยมากทีเดียว


 


 


กระบี่ซ่อนไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กล่องยังคงตั้งอยู่ ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิด จากนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงหันไปหยิบสร้อยคอเส้นยาวออกมาแล้ววางไว้ในกล่องนั้นแทน


 


 


สร้อยคอเส้นนี้ก็เป็นของที่ใช้ในแสดงความยินดีในงานพิธีปักปิ่นวันนี้เช่นกัน แต่ซูเหลียนอวิ้นเชื่อว่าหลีมู่ต้องจำไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะของในงานวันนี้มีจำนวนเยอะมาก หากหลีมู่จำทั้งหมดได้…คงจะน่ากลัวเกินไปสักหน่อย!


 


 


จากนั้นนางจึงกะเวลาดู คาดว่าตอนนี้คงดึกมากแล้ว เพราะซูเหลียนอวิ้นเริ่มหาวแล้ว


 


 


ง่วงจัง วันนี้นางเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ นางคงต้องพักผ่อนสักหน่อยแล้ว อีกอย่างวันพรุ่งนี้นางยังตั้งใจไว้ว่านางจะไปหาหรงซู่ด้วยเพราะนางมีคำถามอีกตั้งมากมายที่อยากจะถามเขา


 


 


ส่วนตอนนี้ นอนก่อนจะดีกว่า…


 


 


“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ? ” เสียงตะโกนเรียกของหลีมู่ดังขึ้นข้างหูของนาง


 


 


“มีอะไรหรือ? ” ซูเหลียนอวิ้นปัดผมของตัวเองที่ร่วงลงมาปกหน้าผาก และฝืนตัวเองจนลุกขึ้นมานั่งแล้วเอ่ยถามขึ้น


 


 


“คุณหนูฝันร้ายหรือเปล่าเจ้าคะ? ” หลีมู่นั่งอยู่ด้านข้างซูเหลียนอวิ้นแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้วยื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก “บ่าวเห็นว่าเมื่อครู่นี้คุณหนูเอาแต่ขมวดคิ้ว อีกอย่าง…คุณหนูดูสิ เหงื่อของคุณหนูออกมาเยอะมาก”


 


 


“คงจะร้อนกระมัง…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าพึมพำ “ตอนนี้ยามใดแล้ว? “


 


 


“ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ ตอนนี้เพิ่งจะยามเฉิน[2]เท่านั้น บ่าวแค่เห็นว่าคุณหนู…คุณหนูจะนอนต่อหรือไม่เจ้าคะ” ระหว่างที่หลีมู่พูดก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของห้อง ในตอนที่นางกลับมาในมือของนางมีพัดกลมเล่มหนึ่งกลับมาด้วย


 


 


“ไม่แล้วล่ะ” ซูเหลียนอวิ้นดึงผ้าห่มออกแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าตื่นแล้ว คงนอนไม่หลับแล้วล่ะ เจ้าไปเตรียมเครื่องอาบน้ำให้ข้าก็แล้วกัน แล้วก็รีบทำข้าวเช้า เพราะวันนี้ข้ากะว่าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย”


 


 


นางหลับไม่สนิทจริงๆ และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมื่อคืนความฝันของนางถึงแปลกประหลาดนัก ทว่าความรู้สึกในความฝัน โดยภาพรวมค่อนข้างขาดๆ หายๆ นางคล้ายเป็นผู้ชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันที่คอยแอบดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆ


 


 


ความทรงจำในความฝันคล้ายว่าวินาทีหนึ่งเป็นช่วงเวลากลางวัน ทว่าเพียงครู่เดียวกลับกลายเป็นช่วงเวลากลางคืน อีกทั้งเสียงที่ผู้หญิงเอ่ยขึ้นในความฝัน นางได้ยินไม่ชัดเจนนัก ราวกับว่าเป็นเสียงหัวเราะ ร้องไห้และยังมี…เสียงกรีดร้องอีกด้วย?


 


 


ซูเหลียนอวิ้นนวดไปที่ขมับของตัวเองพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองระลึกถึงความฝันนั้นขึ้นมาอีก เนื่องจากตอนที่นางหลับอยู่นั้น นางรู้สึกว่าทั้งหมดล้วนเลือนราง แต่ตอนนี้เมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้ว ความทรงจำที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่ายิ่งเลือนรางลงไปเต็มที


 


 


เมื่อนางยิ่งครุ่นคิด และยิ่งระลึกถึงมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกปวกหัวมากขึ้นเท่านั้น


 


 


“คุณหนู มาเจ้าค่ะ” หลีมู่เดินถืออ่างน้ำเข้ามาแล้วมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ราวกับเด็กคนหนึ่ง ตอนนั้นนางจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก “คุณหนู ฝันร้ายอะไรนั่น อย่าได้เก็บมาคิดอีกเลยเจ้าค่ะ เพราะยิ่งคิดถึงมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกหวาดผวามากขึ้นเท่านั้น อีกอย่างมันยังเป็นเพียงความฝันอีกด้วย คุณหนูเจ้าคะ ตอนนี้คุณหนูตื่นขึ้นมาแล้ว เรื่องราวในความฝันเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไม่จริงแล้วเจ้าค่ะ! “


 


 


“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไร หลีมู่ไม่ต้องกังวล อีกอย่างพอข้ามานั่งนึกย้อนเอาตอนนี้ ข้ากลับนึกอะไรไม่ออกเลยแม้แต่อย่างเดียว”


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] แมวตาบอดจับหนูตาย ตัวเองไม่ได้มีความสามารถอย่างแท้จริง แต่บังเอิญประสบความสำเร็จ


 


 


[2] ยามเฉิน ช่วงเวลาประมาณ 7:00น. – 9:00น. 

 

 


ตอนที่ 118 มีเกิดและมีดับ

 

“หลีมู่ เดี๋ยวอีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอก คงไม่พาเจ้าไปด้วยนะ…”เมื่อซูเหลียนอวิ้นกินข้าวเช้าเสร็จก็เอ่ยปากขึ้นอย่างลังเล


 


 


มือของหลีมู่ที่กำลังเก็บกวาดโต๊ะอยู่พลันหยุดชะงัก “แล้วคุณหนูจะกลับมาตอนไหนเจ้าคะ?” จากนั้นจึงหันหน้ามามองตาของซูเหลียนอวิ้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เชื่อใจและไม่เห็นด้วย


 


 


“เรื่องนี้…” มือของซูเหลียนอวิ้นจับอยู่ที่บริเวณใบหู “คงจะเป็นช่วงบ่ายกระมัง? วันนี้ข้าจะต้องรีบกลับอย่างแน่นอน!”


 


 


“แต่ครั้งที่แล้วที่คุณหนูบอกว่าจะไปไหว้พระแก้บนที่วัดฝ่าฝัว คุณหนูก็พูดแบบนี้…” หลีมู่มองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างเชื่องช่า “คุณหนูบอกว่าแค่ไปแก้บนเท่านั้น แต่สุดท้าย…”


 


 


“ครั้งที่แล้วมันเป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม!” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้เพราะไม่อยากจะได้ยินอีก นางรู้ดีว่าหลีมู่จะต้องเอาเรื่องนี้มาพนันกับนาง! แต่ครั้งนั้นก็…


 


 


“หลีมู่ถึงอย่างไรเจ้าก็วางใจได้ ตอนบ่ายวันนี้ข้าต้องกลับมาอย่างแน่นอน”


 


 


“แต่ว่า…”


 


 


“หลีมู่หากเจ้ายังพูดอีก ครั้งหน้าเวลาข้าจะออกไปไหน ข้าคงจะไม่บอกเจ้าก่อนแล้ว เพราะพอข้าบอกเจ้าเจ้าก็ไม่ให้ข้าไป เช่นนั้นสู้ข้าไม่บอกเจ้าแล้วออกไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องฟังเจ้าบ่น ดียิ่ง!” ซูเหลียนอวิ้นนวดหูตัวเองด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว


 


 


“…เจ้าค่ะคุณหนู แต่คุณหนูบอกว่าจะกลับมาตอนบ่ายก็ต้องกลับมานะเจ้าคะ! ก่อนตะวันตกดินคุณหนูจะต้องกลับมาแล้ว! มิฉะนั้น มิฉะนั้นบ่าวจะไปบอกนายท่านกับฮูหยินว่าคุณหนูแอย่องออกไปข้างนอกอีกแล้ว!”


 


 


เป็นอย่างที่คิดไว้เลย แม่หลีมู่คนนี้…


 


 


“อ่าๆ ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้แล้ว เอาล่ะ เก็บโต๊ะเสร็จแล้วกระมัง ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หลีมู่เจ้าออกไปก่อนเถิด”


 


 


“เจ้าค่ะ…” หลีมู่ที่กำลังหอบถ้วยและตะเกียบอยู่ สุดท้ายจึงเดินพลางกล้ำกลืนคำพูดออกไป


 


 


ซูเหลียนอวิ้นแต่งตัวเป็นผู้ชายอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงส่องกระจกดู อื้ม หล่อยิ่ง เนื่องจากเมื่อชาติที่แล้วนางมักจะแอบย่องออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ดังนั้นการปลอมตัวเป็ยบุรุษสำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วถือเป็นเรื่องที่นางจัดการได้อย่างถนัดมือมาก


 


 


เฮ้อ แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า…มันสมบูรณ์แบบมากเกินไปหน่อย ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่กลัวว่าตรงนั้นจะเผยออกมาและมัวแต่กังวลจนทำให้เสียความมั่นใจไป!


 


 


บนเขาวัดฝ่าฝัว


 


 


“โอ้โฮ ศิษย์น้องต้วนนี่เอง มาทำไมอีกแล้ว?” เมื่อหรงซู่เห็นต้วนเฉินเซวียนที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะหินตัวนั้นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เชิญมาก็เริ่มรู้สึกปวดหัว “ศิษย์น้องต้วน ศิษย์พี่คิดว่าเจ้าต้องจ่ายค่าน้ำชาให้ข้าแล้วล่ะ เพราะชาของข้าราคาแพงทีเดียว ข้าจะไปต้อนรับให้เจ้ามาดื่มไหวได้อย่างไร?”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้น เมื่อเขาเห็นหรงซู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังส่งเสียงถอนใจ เขาก็ส่งสายตาอาฆาตให้


 


 


“เรื่องเมื่อวานนี้ยังไม่จบ” เมื่อวางถ้วยน้ำชาลง ต้วนเฉินเซวียนก็เอ่ยปากขึ้นอย่างเย็นชา


 


 


“เรื่องอะไรหรือ?” หรงซู่เอ่ยปากขึ้นพร้อมทำหน้าตานึกอะไรไม่ออก “ศิษย์น้อง เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”


 


 


“ท่านอย่ามาทำไขสือ! ท่านพูดอะไรกับซูเหลียนอวิ้นไปบ้าง?” ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นยืน “ทำไมจู่ๆ นางถึงสนิทกับศิษย์พี่หญิงหนานกงได้? ยังมีอีกเรื่องคือทำไมนางถึงเรียกท่านว่าท่านอาจารย์? พวกท่านทั้งสองคนตามที่ข้าเคยเข้าใจคือไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อน”


 


 


“หรงซู่ เรื่องราวทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่าท่านจะยังติดคำอธิบายกับข้าเอาไว้”


 


 


หรงซู่หันไปจัดยาสมุนไพรในมือของเขาเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่รู้สึกเสียใจมาก เจ้าลองบอกข้ามาซิ เจ้าเรียกหนานกงมู่เสวี่ยว่าศิษย์พี่หญิงได้แล้วทำไมเจ้าถึงเรียกข้าว่าศิษย์พี่ไม่ได้? พวกเราสองคนมีอะไรแตกต่างกันหรือ? ศิษย์น้อง การที่เจ้าทำเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกเสียใจมาก”


 


 


“และเนื่องจากว่าข้าเสียใจมาก ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าข้าคงบอกเจ้าไม่ได้”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนตั้งท่าจะพูดต่อ แต่ในตอนนั้นเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหันไปส่งสัญญาณให้หรงซู่ เพราะสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ นอกจากเขาแล้วจะยังมีใครอยากมาอีก?


 


 


หรงซู่ชี้ไปในห้องเพื่อบอกให้ต้วนเฉินเซวียนเข้าไปหลบก่อน จากนั้นค่อยอธิบายให้เขาฟังทีหลัง


 


 


“ท่านอาจารย์! ข้ามาแล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นอุ้มดาบมาด้วยมือทั้งสองข้างแล้วมองไปยังหรงซู่ “ท่านอาจารย์ที่นี่ไม่เห็นมีคนอยู่เลย? เมื่อกี้เหมือนข้าได้ยินท่านกำลังพูดอยู่กับผู้ใด”


 


 


หรงซู่ทำหน้าตาย “อวิ้นเอ๋อร์ อาจารย์กำลังคุยอยู่กับยาสมุนไพรที่อยู่ในมือของข้านี่ไง ข้าจะพูดเองเออเองบ้างไม่ได้หรือ?”


 


 


“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้สงสัยต่อ เนื่องจากนอกจากนางแล้วก็ไม่เคยเห็นผู้อื่นมาหาหรงซู่ที่นี่อีก


 


 


“อ้อจริงด้วย ท่านอาจารย์ดูนี่สิ ในวันงานพิธีปักปิ่นของข้า มีคนมอบกระบี่ชั้นยอดให้ข้าจริงๆ ด้วย!” ซูเหลียนอวิ้นแกว่งกระบี่ตรงหน้าหรงซู่ด้วยความภาคภูมิใจกับของตรงหน้า “แต่หลีมู่บอกข้าว่า คนที่มอบกระบี่เล่มนี้ให้ข้าไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้…ดังนั้นข้าเลยไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนมอบให้ข้า” คนผู้นี้แปลกประหลาดนัก จะให้ของผู้อื่นทั้งที่กลับไม่ยอมบอกว่าตัวเองคือใคร


 


 


“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นคนมอบให้ข้าใช่หรือไม่?” ซูเหลียนหน้าเงยหน้ามองไปยังหรงซู่ “ท่านอาจารย์คงมิได้รู้สึกอายจนตั้งใจหลอกข้าว่าผู้อื่นจะมอบให้ข้ากระมัง? แต่ความจริงแล้วท่านเป็นผู้มอบให้ข้าเอง ฮ่าๆ  เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”


 


 


ภายในห้อง ต้วนเฉินเซวียนที่กำลังฟังซูเหลียนอวิ้นวิเคราะห์อย่างมั่นอกมั่นใจอยู่นั้นเกือบจะพุ่งตัวออกมาแล้วหยิกหูของนางเพื่อที่จะบอกนางว่า กระบี่เล่มนี้เขาเป็นผู้ซื้อมันมาเอง เขาเป็นคนมอบให้นางเองเข้าใจหรือไม่? หรงซู่ขี้งกเสียขนาดนั้นจะยอมเสียเงินหรือ? อีกอย่างเขาจะตาถึงเช่นนี้เลยรึ?


 


 


“ฮ่าๆ…” หรงซู่วางของในมือของตัวเองลง จากนั้นจึงลากซูเหลียนอวิ้นไปเดินเล่นที่อื่น คำพูดที่อวิ้นเอ๋อร์เอ่ยขึ้นเมื่อครู่นี้คงไม่ถึงหูคนที่อยู่ในห้องผู้นั้นกระมัง? หากบอกว่าเขาได้ยินไปแล้วล่ะก็…ช่างเถิด คำพูดต่อจากนี้คงต้องหลบออกไปไกลๆ หน่อย


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ของอาจารย์จริงๆ แม้ว่าอาจารย์จะรู้ว่าผู้ใดเป็นคนมอบให้เจ้า แต่ว่าคนผู้นั้น…เขาเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายมาก! เขาไม่ยอมให้ข้าพูด ดังนั้นข้าจึงต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ อวิ้นเอ๋อร์จำไว้พียงอย่างเดียวว่ากระบี่เล่มนี้ ไม่ใช่ของอาจารย์แน่นอน!”


 


 


เขาไม่อยากจะเอาความดีเข้าตัวเลยสักนิด !


 


 


“อย่างนี้เอง” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “จริงสิ ยังมีอีกเรื่อง ท่านอาจารย์ ทำไมข้าถึงมักจะรู้สึกว่า กระบี่เล่มนี้…มีบางอย่างผิดปกติ? มันให้ความรู้สึกแปลกพิกลอย่างไรก็ไม่รู้…แต่ว่าข้าชอบมันมากเลย!”


 


 


หรงซู่ไม่ได้ตอบอะไร ทว่าตอนที่เขาสัมผัสโดนตอนที่รับมันมานั้น สีหน้าของเขาพลันกลัดกลุ้ม


 


 


“ท่านอาจารย์เจ้าคะ?” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เอ่ยขึ้น “กระบี่เล่มนี้มีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ?”


 


 


หรงซู่มิได้สนใจนาง เขาเพียงค่อยๆ ดึงดาบออกมาเล็กน้อย แล้วมองไปยังตัวอักษรสองตัวที่สลักเอาไว้ว่าจิ้งหว่าน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


“ไม่มีอะไร” หรงซู่ยิ้มแล้วส่งกระบี่เล่มนี้คืนให้ซูเหลียนอวิ้น “กระบี่เล่มนี้…คงจะเป็นคู่กายที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าแล้ว”


 


 


“เอ๊ะ?”


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ารู้จักองค์หญิงจิ้งหว่านหรือไม่?”


 


 


“จิ้งหว่าน?” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดจากนั้นจึงส่ายหน้า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย”


 


 


หรงซู่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เขาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวโดยย่อขององค์หญิงจิ้งหว่านให้นางฟัง จากนั้นจึงยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วเอ่ยว่า “หลังจากนั้นนะอวิ้นเอ๋อร์ กระบี่เล่มนี้อาจจะมีจิตวิญญาณขององค์หญิงจิ้งหว่านอยู่ในนั้นด้วย เจ้ากลัวหรือไม่?”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าลงมองกระบี่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบว่า “ไม่กลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ข้ากลับไม่รู้สึกกลัว”


 


 


“เช่นนั้นก็ดี มีด้านมืดจึงมีด้านสว่าง มีเกิดจึงมีดับ หากเจ้าไม่กลัว อย่างนั้นกระบี่เล่มนี้ก็ถือว่าเป็นของเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม