จารใจรัก 110.1-113.1

ตอนที่ 110-1 ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้

 

        ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวา พลันหัวเราะออกมา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา 


 


 


           ความโกรธมลายหายไป เอ่ยขึ้นด้วยความอบอุ่น “มาหาเจ้าย่อมมีประโยชน์ เจ้าเอ่ยประโยคเดียว ข้าก็จะทำตามความคิดเห็นของเจ้า” 


 


 


           “หากขัดกับผลประโยชน์ของแผ่นดินหนานฉินเล่า” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว  


 


 


           “เจ้าจะทำหรือ” ฉินอวี้ชำเลืองมอง มิรอนางตอบก็แย้มยิ้มเอ่ย “ถึงแม้ขัดกับผลประโยชน์ของแผ่นดินหนานฉิน ข้าก็หาได้สนใจไม่” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           ด้านนอกหย่งคังโหวมาถึงหน้าทางเข้าแล้ว เห็นซื่อฮว่ากับซื่อม่อยืนเฝ้าอยู่ก็ประสานมือต่อทั้งสอง กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่นางทั้งสอง คุณหนูฟางหวาคงยังมิพักผ่อนกระมัง” 


 


 


           “ยังเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อส่ายหน้า 


 


 


           “ถ้าอย่างนั้น…” หย่งคังโหวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “รบกวนแม่นางทั้งสองเข้าไปรายงาน บอกว่าข้ามีเรื่องอยากขอร้อง” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากัน เห็นท่าท่าทางระมัดระวังของหย่งคังโหวแล้วจึงเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “ฝ่าบาทก็อยู่ด้วยนะเจ้าคะ” 


 


 


           “ฝ่า…ฝ่าบาท…ก็อยู่ด้วยหรือ” หย่งคังโหวผงะตกใจ 


 


 


           ทั้งสองพยักหน้าตอบ 


 


 


           เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของหย่งคังโหวกลิ้งตกลงมาทันใด มองไปด้านในแวบหนึ่ง พอเห็นเงาสองร่างที่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างเลือนรางจึงรีบก้มหน้าลง ชั่วเวลานั้นก็สองจิตสองใจมิรู้จะทำเช่นไรดี 


 


 


           “ท่านโหว ยังต้องรายงานอีกหรือไม่เจ้าคะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหย่งคังโหว  


 


 


           “นี่…” หย่งคังโหวมิทราบว่าสถานการณ์ด้านในเป็นเช่นไร และมิทราบว่าเพลิงโทสะของฉินอวี้คลายลงหรือยัง เขาเดิมทีมาเพื่อพบเซี่ยฟางหวา กลับนึกไม่ถึงว่าหลังกลับมาจากตำหนักขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าแล้ว ฉินอวี้จะมิได้กลับตำหนักของตน แต่ยังอยู่ที่ตำหนักของเซี่ยฟางหวา ชั่วขณะนั้นเกิดความลังเล หากรายงานก็ต้องพบฉินอวี้ แล้วตนจะขอความเมตตาอย่างไร แต่หากมิรายงาน อย่างไรคนด้านในก็ย่อมทราบแล้วว่าตนมาหา เหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นทั่วกายในชั่วเวลานั้น 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่าเขาดูน่าสงสาร อดมิได้ที่จะกล่าวเสียงเบา “เมื่อครู่ตอนท่านโหวมาถึง เราสองคนได้รายงานให้ฝ่าบาทและคุณหนูทราบแล้ว” 


 


 


           ดังที่คาดการณ์ไว้ ถึงเขาจะกลับตอนนี้ก็คงมิทันแล้ว 


 


 


           หย่งคังโหวได้ยินแบบนั้นก็สูดหายใจเย็นเยียบเข้าปอด กัดฟันกล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ประสาทการฟังของฉินอวี้ดีเยี่ยม ได้ยินบทสนทนาแผ่วกระซิบด้านนอกก่อนแล้ว เขามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง แย้มยิ้มเลือนราง ก่อนเอ่ยถามนางด้วยความอ่อนโยน “ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ทำให้หย่งคังโหวตกใจเสียจนมิกล้าพบ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าโทสะของฉินอวี้คลายลงไปมากแล้ว “ฝ่าบาทมีความน่าเกรงขาม มิใช่เรื่องแย่อันใด” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า มิได้ให้หย่งคังโหวเข้ามา หากแต่ถามด้านนอก “ท่านโหวมีเรื่องใด” 


 


 


           “กระหม่อม…กระหม่อมมาเพื่อ…” หย่งคังโหวฝืนกัดฟันเป็นนาน กว่าจะบอกถึงจุดประสงค์ที่มาหา “กระหม่อมคิดว่าตอนนี้เพิ่งฝังพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ ถึงแม้องค์ชายสามกับองค์ชายห้ามีความผิดฐานฝ่าฝืนจัดงานรื่นเริง อกตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้ เห็นแก่ที่…ฝ่าบาทท่านยังมิได้ราชาภิเษก ตอนนี้หนานฉินภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน เรื่องนี้…เรื่องนี้ต้องจัดการอย่างรอบคอบพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินมาที่ประตู เลิกม่านออก ยืนพิงกรอบประตูมองหย่งคังโหว 


 


 


           หย่งคังโหวเห็นฉินอวี้ออกมาก็รีบคุกเข่ากับพื้นทันที ก่อนกัดฟันกล่าวต่อ “อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ตระกูลหลิ่วกับตระกูลเฉินก็ย้ายออกจากเมืองไปก่อนหน้านี้แล้ว ไท่เฟยทั้งสองพระองค์ไร้ที่พึ่งในวังหลวง องค์ชายสามกับองค์ชายห้ามิดูสถานการณ์ นึกไม่ถึงว่าจะกระทำเรื่องแบบนี้ในเวลานี้ บ่งบอกได้ว่ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ ฝ่าบาททรงกตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้และให้การเคารพบรรพบุรุษในราชวงศ์ หากจะสังหารสองคนนั้นย่อมสมควร แต่ว่า…” 


 


 


           เขาพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าฉินอวี้แวบหนึ่ง 


 


 


           ใบหน้าของฉินอวี้เรียบเฉย เห็นเขาเงยหน้ามองก็ถามเสียงเรียบ “แต่อะไร พูดต่อ” 


 


 


           หย่งคังโหวรีบก้มหน้าลง ถ้อยคำข้างหลังไหลลื่นด้วยคารมคมคายของเขา “สังหารสองคนนั้นมิคุ้มค่านัก เกรงว่าจะกระทบต่อคุณธรรมและความเฉลียวฉลาดของฝ่าบาทในสายตาราษฎร เช่นนั้นแล้ว จิตใจราษฎรสั่นคลอน ระบบการปกครองสั่นคลอน หากระบบสั่นคลอนก็จะทำให้ใต้หล้าสั่นคลอนด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า “ตามที่เจ้าบอกมา สังหารพี่สามกับน้องห้ามิได้อย่างนั้นหรือ” 


 


 


           “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” หย่งคังโหวพูดจบก็รีบกล่าวเพิ่ม “อย่างน้อยก็สังหารตอนนี้มิได้” 


 


 


           “หรือเจ้าจะให้เราปล่อยพวกเขาที่มิเคารพต่ออดีตฮ่องเต้และบรรพบุรุษที่นอนแน่นิ่งในราชสุสานไปอย่างง่ายดายเช่นนี้” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           หย่งคังโหวก้มหน้าลง “ฝ่าบาททรงเห็นแก่ที่เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้และฐานะที่ยังมิมั่นคงได้ เว้นโทษตายให้พวกเขา แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทท่านทรงใจกว้างมีเมตตา เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง” 


 


 


           ฉินอวี้เงียบ 


 


 


           หลังหย่งคังโหวพูดจบก็ใจแกว่ง รอให้ฉินอวี้เอ่ยออกมา 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ท่านโหว เท่าที่เราทราบมา ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับหนานฉินแล้ว ท่านคงทราบข่าวแล้วใช่ไหม” 


 


 


           หย่งคังโหวชะงัก รีบพยักหน้าตอบ “กระหม่อมก็ทราบข่าวแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังกลับมามิถึง คนที่ส่งออกไปยังหาร่องรอยเขายังมิพบ มิทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับหนานฉินมาครั้งนี้ คงมิไปไหนแล้วกระมัง” ฉินอวี้เอ่ยอีก  


 


 


           “นี่…” หย่งคังโหวมิทราบเจตนาของฉินอวี้แน่ชัด จึงกล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “หากเขากลับมา กระหม่อมกับฮูหยินย่อมมิอยากให้เขาไปไหนอีกแล้ว แต่หากเขาตัดสินใจโดยพลการ กระหม่อมเกรงว่าจะห้ามเขาไม่อยู่ ถึงอย่างไรก็โตแล้ว” 


 


 


           “ท่านโหวน้อยเยี่ยนจากไปเกินครึ่งปีแล้ว ทัศนียภาพภายนอกคงได้เห็นมามิน้อยแล้วเช่นกัน ในเมื่อครั้งนี้กลับมา ก็มิน่าไปไหนแล้ว” ฉินอวี้แย้มสรวล  


 


 


           “ด้วยวาจามงคลของฝ่าบาท หากเขาจะหนีไปไหนอีก กระหม่อมจะหักขาเขาเสีย” หย่งคังโหวยืดอกอย่างมีศักดิ์ศรี ในเมื่ออ่านความคิดของฉินอวี้มิได้ จึงได้ตามคล้อยตามพระองค์ 


 


 


           ฉินอวี้ส่ายหน้า “ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในระหว่างการบริหารจัดการคน หากท่านโหวตัดขาเขา เรามิใช่ขาดแคลนอัจฉริยะบุคคลที่เพียบพร้อมทั้งด้านปกครองและทหารหรือ”  


 


 


           หย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเงยหน้ามองฉินอวี้ “ความหมายของฝ่าบาทคือ…” 


 


 


           “ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับมา เราเห็นถึงความสามารถเขาจึงอยากใช้งาน” ฉินอวี้มองหย่งคังโหว “ถึงตอนนั้นท่านโหวคงมิไล่เขาไปอีกกระมัง ทำให้เราขาดแคลนกำลังคน” 


 


 


           หย่งคังโหวดีใจ รีบกล่าวขึ้น “ในเมื่อฝ่าบาทอยากใช้งานเขา กระหม่อมมิกล้าขัดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “แผ่นดินมีทหารที่ใช้งานได้ ศัตรูถึงมิกล้าอวดเบ่ง ท่านโหวรู้สถานการณ์และมีคุณธรรม ขอทัดทานถูกเวลา แบ่งเบาภาระแทนเรา ยิ่งได้ใจเรามาก ส่วนเรื่องพี่สามกับน้องห้านั้น ยกให้ท่านโหวเป็นผู้พิจารณาแล้วกัน” ฉินอวี้เอ่ย 


 


 


           “ฝ่าบาท” หย่งคังโหวตกใจ มองฉินอวี้ด้วยความแปลกใจ  


 


 


           “ท่านโหวมิเข้าใจความหมายเราหรือ” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           หย่งคังโหวสบกับตาของฉินอวี้ก็รีบก้มหน้าลง ถึงอย่างไรเขาก็อายุปูนนี้แล้ว มีประสบการณ์สองรัชสมัย จึงเข้าใจความหมายของฉินอวี้ได้อย่างรวดเร็ว รีบกล่าวขึ้น “กระหม่อมน้อมรับพระประสงค์” 


 


 


           ฉินอวี้โบกมือ หย่งคังโหวรีบทูลลาแล้วออกไปจากตำหนัก 


 


 


           ฉินอวี้พิงกรอบประตูพลางหันกลับมา แย้มยิ้มเอ่ยกับเซี่ยฟางหวา “แบบนี้นับว่าเป็นการซื้อใจอย่างที่เจ้าบอกหรือไม่”  


 


 


           “บุญคุณคู่ความน่าเกรงขาม ต่อไปหย่งคังโหวคงยิ่งหวาดกลัวเจ้าจนหัวหด” เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างหมดคำพูด  


 


 


           ฉินอวี้พลันหัวเราะยกใหญ่ 


 


 


           “ฟ้ามืดแล้ว ในเมื่อเจ้าอารมณ์ดีแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นยืน  


 


 


           ฉินอวี้หยุดหัวเราะ เมื่อนึกถึงองค์ชายสามกับองค์ชายห้าก็พาลจะมีโทสะขึ้นมาอีก พยักหน้าแล้วออกไปจากห้อง กลับไปยังตำหนักของตน 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดินเข้ามา เอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู พักผ่อนเลยหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ทั้งสองรีบเดินไปปูเตียง หลังปูเสร็จก็รอเซี่ยฟางหวาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง ก่อนตวัดฝ่ามือดับตะเกียงแล้วกลับออกไป 


 


 


           หลังฉินอวี้กลับไปที่ห้อง เมื่อเห็นว่าตะเกียงในห้องของเซี่ยฟางหวาดับลงแล้ว เขาเองก็ดับตะเกียงแล้วพักผ่อนเช่นกัน  

 

 


ตอนที่ 110-2 ความน่าเกรงขามของฮ่องเต้

 

หย่งคังโหวออกมาจากเรือน ลมเย็นพัดผ่านจนรู้สึกหนาวเหน็บ เขายกมือลูบ พบว่าเสื้อผ้าทั้งด้วยหน้าและหลังที่เปียกชื้น จึงใช้แขนเสื้อซับเหงื่อผุดพราย ก่อนหามุมปลีกวิเวกเพื่อผ่อนลมหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ 


 


 


           “ท่านโหว เป็นเช่นไรบ้าง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโผล่ออกมาจากมุมด้านข้าง ยื่นมือแตะหย่งคังโหว  


 


 


           หย่งคังโหวหันไปมอง มิได้แปลกใจกับการที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายมารออยู่แถวนี้นัก มองเขาแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ 


 


 


           “คุณหนูฟางหวารับปากแล้วหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม 


 


 


           หย่งคังโหวส่ายหน้า “ตอนข้าไปถึง ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักคุณหนูฟางหวาด้วย ข้าจึงสู้ตาย” 


 


 


           “ต่อมาเล่า” เสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก 


 


 


           หย่งคังโหวเองก็มิปิดบัง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายฟังจบก็มิเอ่ยคำใดเวลาหนึ่ง 


 


 


           “ท่านว่าฝ่าบาททรงหมายความเช่นไร นึกไม่ถึงว่าจะมอบหมายให้ข้าพิจารณาจัดการเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าเอง” หย่งคังโหวมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย  


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายไตร่ตรองเป็นนาน ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา ตบบ่าหย่งคังโหว “ท่านมีวาสนาดี อธิบายได้ว่าขอเพียงจัดการงานที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้อย่างดี อนาคตจวนหย่งคังโหวของท่านก็นอนตาหลับแล้ว” 


 


 


           หย่งคังโหวไม่เข้าใจ 


 


 


           “ท่านฉลาดมาทั้งชีวิตแต่กลับเลอะเลือนในเวลานี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เท่าที่ข้ารู้จักฝ่าบาทคือตัดสินพระทัยที่จะมิสังหารองค์ชายสามกับองค์ชายห้าแล้ว เพียงแต่มิอาจลงโทษเบาด้วยเช่นกัน จึงมอบหมายเรื่องนี้ให้ท่าน หากท่านทำผลงานออกมาดี จัดการได้อย่างเหมาะสม รอท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับมาแล้ว จวนหย่งคังโหวของท่านย่อมได้รับบทบาทหน้าที่สำคัญจากฝ่าบาท” 


 


 


           หย่งคังโหวถอนหายใจยาวเหยียด มองเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านช่วยข้าหาวิธีหน่อย จะจัดการองค์ชายสามกับองค์ชายห้าอย่างไรดี” 


 


 


           “เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ ข่าวฉาวโฉ่ในราชวงศ์เรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้ามิอาจเผยแพร่เป็นวงกว้าง แต่ก็มิอาจมิให้ผู้ใดทราบเลยได้ เพื่อมิให้คนที่มิได้อยู่ในเหตุการณ์คิดว่าฝ่าบาททรงมีจิตใจคับแคบ เพิ่งฝังพระบรมศพฮ่องเต้มิทันไรก็ปล่อยองค์ชายทั้งสองไว้มิได้แล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายลูบเครา  


 


 


           “ที่พูดมามีเหตุผล” หย่งคังโหวพยักหน้า 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่า ท่านหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อนสองวันแล้วค่อยจัดการ ไท่เฟย 


 


 


สองพระองค์ในวังย่อมร้อนใจ ถึงเวลานั้นคงหาสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนเป็นแน่ ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นพระสนมคนโปรดของอดีตฮ่องเต้ ที่ผ่านมากอบกำบางสิ่งในมือไว้มากน้อย หากวันหนึ่งนำออกมาโจมตีฝ่าบาทก็คงสร้างความยุ่งยาก มิสู้ฉวยโอกาสนี้ ท่านช่วยฝ่าบาทจัดการไปพร้อมกันเลย มีหรือต้องกังวลว่าจะมิได้รับบทบาทสำคัญ” 


 


 


           หย่งคังโหวมองเสนาบดีฝ่ายซ้าย พูดไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง “ท่านเสนาบดี ท่านเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เสียจริง ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่น” 


 


 


           “ขุนนางดีเด่นที่แท้จริงต้องแบ่งเบาภาระขจัดขวากหนามให้ฝ่าบาท ข้าก็แค่หยุดยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ท่านลองคิดดูสิ ตอนนี้ฝ่าบาททรงมอบเรื่องนี้ให้ท่านจัดการ ไม่ว่าท่านจะตัดสินโทษเบาอย่างไร ไท่เฟยสองพระองค์ที่รักเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองย่อมไม่พอใจ ไม่แน่ว่าอาจโกรธแค้นท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะเป็นคนดีไปทำไมกัน มิสู้ขจัดความน่ารำคาญใจในอนาคตแทนฝ่าบาทเสีย” 


 


 


           หย่งคังโหวอึ้ง ยื่นมือไปตบบ่าเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านเสนาบดี ที่ผ่านมาท่านคาดคะเนจิตใจของฮ่องเต้ได้ลึกล้ำยิ่งนัก ข้าละอายเกินกว่าจะเทียบได้” 


 


 


           “ฟังข้าก็พอแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตบบ่าหย่งคังโหวกลับ 


 


 


           หย่งคังโหวพยักหน้าอย่างจนใจ 


 


 


           ทั้งสองสนทนาด้วยเสียงทุ้มต่ำอีกพักหนึ่ง ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน 


 


 


           หลังอิงชินอ๋องกับพระชายากลับมาถึงที่พัก ทั้งสองต่างมีโทสะเต็มท้อง เนิ่นนานกว่าจะอดกลั้นได้ 


 


 


           “หรือว่าฝ่าบาทจะสังหารสองคนนั้นจริง” อิงชินอ๋องกล่าวกับพระชายา  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิด ก่อนส่ายหน้า “ฝ่าบาทกำลังพิโรธ พอใจเย็นลงแล้วคงมิสังหารหรอก” 


 


 


           “ไฉนถึงคิดเช่นนี้” อิงชินอ๋องมองนาง 


 


 


           “เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ ยังมิทันได้พักผ่อน พรมแดนก็เปิดฉากรบ เรียกได้ว่าภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ฝ่าบาทยังมิได้ราชาภิเษก ยามนี้แม้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแม้ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่เขาก็มิอาจสังหารได้ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงว่ามีคุณธรรม ใจกว้างมีเมตตาแปดเปื้อน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “พูดมีเหตุผล” อิงชินอ๋องถอนหายใจ “อดีตฮ่องเต้ทรงทิ้งเรื่องยุ่งยากเอาไว้ เป็นฝ่าบาทก็มิง่ายเลย” 


 


 


           “นอนเถิด อย่าคิดอีกเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” พระชายาอิงชินอ๋องบอก 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           รุ่งสางวันที่สอง ฉินอวี้ได้รับรายงานสถานการณ์ทหารด่วนที่ส่งมาจากพรมแดนม่อเป่ย 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าหน้าของเขาเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก อดมิได้ที่จะถามขึ้น “เป็นจดหมายที่ท่านพี่ส่งมาหรือ” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “ท่านพี่ไปถึงค่ายทหารม่อเป่ยแล้วใช่หรือไม่ เป่ยฉียกทัพครั้งที่สอง ผลเป็นเช่นไรบ้าง หรือหนานฉินพ่ายแพ้อีกแล้ว” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว  


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้าและทั้งส่ายพระเศียร “พี่จื่อกุยไปถึงค่ายทหารม่อเป่ยเมื่อสามวันก่อน เป่ยฉียกทัพมาอีกครั้ง แต่มีจื่อกุยบัญชาการ ครั้งนี้เป่ยฉีคงมิได้ใจนัก” 


 


 


           “แล้วเจ้า…” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “พอพี่จื่อกุยไปถึงค่ายทหารม่อเป่ย วันที่สองก็แอบไปเมืองเสวี่ยเฉิง ทว่ามิได้พบเจ้าเมือง” ฉินอวี้เม้มปาก  


 


 


           “เจ้าเมืองไปไหน” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           ฉินอวี้ส่ายหน้า 


 


 


           “หรือทราบว่าท่านพี่จะไปขอให้ช่วยออกทัพ ดังนั้นจึงเลี่ยงมิพบ” เซี่ยฟางหวาคาดเดา  


 


 


           “ก็เป็นไปได้เช่นกัน” ฉินอวี้เอ่ย “ฟังว่าเจ้าเมืองออกไปต่างแดน มิอยู่ในเมือง มิทราบว่าไปที่ใด ตอนนี้เมืองเสวี่ยเฉิงมีผู้อาวุโสบัญชาการ ผู้อาวุโสมิกล้าตัดสินใจโดยพลการ” 


 


 


           “ไปต่างแดนมิทราบว่าจะกลับมาเมื่อไร” เซี่ยฟางหวากล่าว “แต่ค่ายทหารม่อเป่ยกับพรมแดนรอมิไหว” 


 


 


           “ใช่แล้ว พี่จื่อกุยบอกในจดหมายว่า จำต้องเข้มงวดกวดขันทัพม่อเป่ยให้มากกว่าที่เขาคิดไว้ตอนยังมิเดินทางไปถึง โดยเฉพาะหลายวันก่อน ในกองทัพไร้ผู้บัญชาการ ทำให้ทหารเกิดความหละหลวม เมื่อเป่ยฉีระดมกำลังกะทันหันจึงเตรียมรับมือไม่ทัน บาดเจ็บล้มตายนับหมื่น ขวัญกำลังใจทหารในค่ายตกต่ำมาก นึกไม่ถึงว่าจะถึงขั้นมีทหารหนีออกไปด้วย” ฉินอวี้เอ่ย “หากเป่ยฉีเสริมกำลังทหารให้แข็งแกร่งขึ้น ใช้อุบายโจมตีอย่างสมบูรณ์ หากไม่มีทัพเสริม เกรงว่าจะป้องกันไม่อยู่” 


 


 


           “ทหารของหวางกุ้ยจะไปถึงในเจ็ดวันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           “อาจไปถึงทัน แต่หวางกุ้ยเร่งกรีธาทัพ ถึงแม้ไปถึงในเจ็ดวันก็ต้องพักผ่อน มิอาจร่วมรบได้ในทันที” ฉินอวี้พยักหน้า  


 


 


           “ด้วยความสามารถของท่านพี่ ย่อมป้องกันได้เจ็ดวันโดยไม่มีปัญหา” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “ภายในเจ็ดวันนี้จะต้องคิดหาหนทางได้แน่” 


 


 


           ฉินอวี้ผงกพระเศียร 


 


 


           เมื่อทั้งสองพูดจบลง อู๋เฉวียนก็เข้ามาเตือน “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้ว ควรเดินทางกลับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป เตรียมออกเดินทาง” ฉินอวี้พยักหน้า  


 


 


           อู๋เฉวียนรับคำ และทั้งทูลกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมถวายการรับใช้อดีตฮ่องเต้มาตลอดชีวิต ยามนี้อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว กระหม่อมเองก็แก่แล้วเช่นกัน เดิมควรติดตามอดีตฮ่องเต้ไปด้วย แต่กระหม่อมอยากอยู่ดูบ้านเมืองหนานฉินในอนาคตแทนอดีตฮ่องเต้ วันข้างหน้าจะได้ไปทูลรายงานอดีตฮ่องเต้ได้จึงขอมีชีวิตอยู่ต่อ แต่กระหม่อมอยากขอพระราชโองการจากฝ่าบาท ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมอยู่เฝ้าและปัดกวาดราชสุสานให้ฝ่าบาทด้วยเถิด” 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้น เดินมาหน้าประตู มองอู๋เฉวียนแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “กงกงรับใช้เสด็จพ่อมาตลอดชีวิต เจ้าเห็นเราเติบโตมาตั้งแต่เด็ก และได้รับคำแนะนำจากเจ้ามามากเช่นกัน ตอนนี้เสด็จพ่อแม้จากไปแล้ว แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องติดตามไปด้วย และไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าที่นี่ มีความเคารพอยู่ในใจก็พอแล้ว เจ้าเองก็ควรใช้ชีวิตวัยชราอย่างสงบสุข กลับเมืองไปกับเราเถิด” 


 


 


           อู๋เฉวียนส่ายหน้า ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น “บ่าวแก่แล้ว ถวายการรับใช้ท่านต่อไปมิไหวแล้ว ถึงกลับไปก็เป็นคนว่างงานคนหนึ่ง มิสู้อยู่กับอดีตฮ่องเต้ที่นี่ บ่าวปรารถนาที่จะแก่ตายที่นี่ จะได้จุดธูปเซ่นไหว้อดีตฮ่องเต้เป็นประจำ และอธิษฐานให้ฝ่าบาทกับแผ่นดินหนานฉิน ขอฝ่าบาททรงอนุญาตกระหม่อมด้วยเถิด” 


 


 


           “เสด็จแม่คงมิอยากให้เจ้าอยู่ที่ราชสุสานแห่งนี้เช่นกัน พอกลับไปถึงวังหลวงแล้ว เจ้าค่อยไปรับใช้ข้างกายเสด็จแม่แทน” ฉินอวี้มองอู๋เฉวียน  


 


 


           “ข้างพระวรกายไทเฮามีหรูอี้อยู่แล้ว มิต้องการบ่าวหรอก ข้างพระวรกายฝ่าบาทเองก็มีเสี่ยวเฉวียนจื่อแล้ว มิต้องการบ่าวเช่นกัน พระองค์โปรดประทานพระกรุณาครั้งนี้ให้บ่าวด้วยเถิด” อู๋เฉวียนยังคงส่ายหน้า  


 


 


           “อย่างนั้นก็ได้ ถึงอย่างไรพี่สามกับน้องห้าก็มิอาจเฝ้าราชสุสานได้อีกแล้ว ยกให้กงกงดูแลแทนก็แล้วกัน หากเจ้าเบื่อเมื่อไรก็กลับมาได้ตลอดเวลา หากคิดถึงวังหลวงก็กลับวังได้ทุกเมื่อ” ฉินอวี้จนใจ  


 


 


           “บ่าวขอบพระทัยฝ่าบาท” อู๋เฉวียนรีบคำนับขอบคุณ 


 


 


           ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ ดึงประคองเขาขึ้นมาด้วยความถ่อมตัว 


 


 


           อู๋เฉวียนเพิ่งจะออกไปสั่งเตรียมออกเดินทาง หย่งคังโหวก็รีบร้อนมาหา ถวายบังคมต่อฉินอวี้ “ฝ่าบาท เมื่อวานกระหม่อมครุ่นคิดตลอดคืน คิดว่า…ควรหยุดเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าไว้ก่อนสองวัน พอครบกำหนดแล้ว เมื่อกระหม่อมคิดหาวิธีได้อย่างสมบูรณ์แบบค่อยจัดการพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ในเมื่อมอบให้ท่านจัดการก็แล้วแต่ท่าน” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเชื่อใจกระหม่อม” หย่งคังโหวขอพระประสงค์อีกครั้ง “กระหม่อมคิดว่าสองวันนี้จะอยู่ที่ราชสุสานก่อน เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับเมือง” 


 


 


           “อนุญาต” ฉินอวี้ผงกพระเศียร 


 


 


           หย่งคังโหวกล่าวอีก “กระหม่อมยังมีอีกเรื่อง…” 


 


 


           “พูดมา” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           หย่งคังโหวมองไปด้านในแวบหนึ่ง ก่อนขอร้องว่า “เมื่อกลับไปถึงเมืองแล้ว กระหม่อมอยากขอให้คุณหนูฟางหวาไปที่จวนของกระหม่อม เพื่อตรวจชีพจรให้ฮูหยินของกระหม่อม…” 


 


 


           “หืม” ฉินอวี้เลิกพระขนง 


 


 


           เหงื่อบนหน้าผากหย่งคังโหวผุดพรายขึ้นอีกครั้ง ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ยกพระหัตถ์เอ่ยขึ้น “หลังเรากลับถึงวังหลวงแล้วจะให้ฮูหยินเจ้ามาที่วัง หากให้นางไปตรวจชีพจรให้ฮูหยินเจ้าที่จวนโหวเอง ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เกรงว่าฮูหยินเจ้าจะอายุขัยสั้นลงเพราะสบายเกินไป” 


 


 


           หย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็อกสั่นขวัญหายในบัดดล รีบขอบคุณ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”  

 

 


ตอนที่ 111-1 ขัดขวางบนถนน

 

 


 


 


           ราชรถหยกเคลื่อนออกไป ขบวนเดินทางออกจากราชสุสานเพื่อกลับเมืองหลวง 


 


 


           ฉินอวี้ยังคงจูงมือเซี่ยฟางหวาไปนั่งบนราชรถหยกด้วยกัน นอกจากหย่งคังโหวที่อยู่จัดการเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าที่ราชสุสาน ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดก็ติดตามกลับเมืองหลวง 


 


 


           ขบวนเพิ่งมาถึงปากประตูเมืองก็ถูกเกี้ยวจากวังหลวงสองหลังล้อมไว้ 


 


 


           หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยลงมาจากเกี้ยว ก่อนคุกเข่าลงกับพื้นบนถนน ร้องไห้โวยวายด้วยความน่าสังเวช “ฝ่าบาท อดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต ทรงมิอาจมิแยแสสายสัมพันธ์พี่น้องแล้วนำความตายมาสู่องค์ชายสามกับองค์ชายห้า อดีตฮ่องเต้คงมิอาจบรรทมอย่างสงบบนสรวงสวรรค์” 


 


 


           เสียงร้องไห้ของทั้งสองดังมาก น่าสังเวชอย่างยิ่ง และกำลังขวางหน้าราชรถหยก 


 


 


           ราษฎรบนท้องถนนเดิมทราบว่าฮ่องเต้จะเสด็จกลับเมืองหลวงในวันนี้หลังฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ต่างพากันมาออริมถนน เมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้วก็เริ่มกระซิบกระซิบกัน 


 


 


           พระพักตร์ของฉินอวี้ในราชรถหยกเคร่งขรึมในทันที 


 


 


           เซี่ยฟางหวาลอบด่าหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยว่าฉลาดเกินไปก็โง่เขลาเช่นกัน การออกมาสกัดฉินอวี้บนถนนเช่นนี้ อ้างเรื่องเพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้เสร็จกล่าวหาว่าฉินอวี้ก็มิแยแสสายสัมพันธ์พี่น้องคิดจะสังหารองค์ชายสามกับองค์ชายห้า ทำให้ชื่อเสียงว่าใจกว้างมีเมตตาของฉินอวี้เสื่อมเสีย แม้ฉวยโอกาสเริ่มก่อนดูเป็นวิธีการยอดเยี่ยม แต่ไหนเลยจะรู้ว่า ขอเพียงฉินอวี้ประกาศเรื่องการกระทำขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าที่ราชสุสานออกไป จะเป็นการผลักพวกนางกับองค์ชายสามและองค์ชายห้าให้มิเหลือหนทางกู้สถานการณ์กลับได้อีก 


 


 


           “ฝ่าบาท องค์ชายสามกับองค์ชายห้าเฝ้าราชสุสานตลอดเวลา แม้ระหว่างพวกท่านมิได้ปรองดองกัน แต่ก็มิควรมิแยแสสายสัมพันธ์พี่น้อง นึกจะสังหารก็สังหาร หากราษฎรใต้หล้าทราบว่าพี่น้องสายเลือดเดียวกันเข่นฆ่าอย่างโหดเ**้ยม มีหรือยังจะบริหารบ้านเมืองได้อีก” หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยร้องกล่าวขึ้นอีก 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะ เลิกม่านออกอย่างแรง 


 


 


           หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยเห็นพระพักตร์ฉินอวี้ก็ยิ่งร้องไห้จนหมดสิ้นเรี่ยวแรง 


 


 


           ฉินอวี้ปรายตามองแวบหนึ่ง พบว่าราษฎรในเมืองต่างกำลังมองตนด้วยสายตาหลากหลาย เขาละสายตากลับมา ก่อนหยุดสายลงบนกายหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยที่กำลังร้องไห้แทบใจสลายคล้ายหายใจไม่ทัน พระพักตร์เคร่งขรึมขึ้น “บ่าวไพร่คนใดปากสว่างกับไท่เฟยกันแน่ ทำให้ไท่เฟยมิทราบเหตุผล มิถามเรื่องราวให้ชัด ก็มาขวางบนถนนเพื่อซักถามเราต่อหน้าสาธารณชน” 


 


 


           หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยเงยหน้าขึ้น ร้องไห้กล่าวอย่างกับหารือกันมาดีแล้ว “ฝ่าบาท หรือว่าท่านยังจะปิดบังเราสองคนเพื่อแอบสังหารองค์ชายสามกับองค์ชายห้า หากไม่มีคนมาบอกพวกเรา องค์ชายสามกับองค์ชายห้ามิใช่ถูกท่านสังหารหลังฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้แล้วหรือ” 


 


 


           “องค์ชายสามกับองค์ชายห้าสร้างเรื่องให้เราโกรธ ยิ่งไปกว่านั้นมิใช่แค่เราเท่านั้นที่โกรธ ยังมีอดีตฮ่องเต้กับบรรพบุรุษตระกูลฉินในราชสุสานด้วย” ใบหน้าฉินอวี้เยือกเย็นลง แต่ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านลุง เสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายขวา รวมไปถึงขุนนางทุกท่าน พวกท่านใครก็ได้ขึ้นมาอธิบายให้ 


 


 


ไท่เฟยทั้งสองฟังหน่อยว่าเหตุใดเราถึงลงโทษพี่สามกับน้องห้า” 


 


 


           อิงชินอ๋องกับพวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาติดตามหลังราชรถหยก ตอนที่เห็นหลิ่วไท่เฟยกับเฉิน 


 


 


ไท่เฟยคว้าโอกาสฉินอวี้เดินทางกลับมาก่อความวุ่นวายที่ประตูเมือง ทำให้ทุกคนส่ายหน้าเอือมระอาเช่นกัน 


 


 


           อิงชินอ๋องเป็นฝ่ายก้าวลงจากเกี้ยว เดินมาข้างหน้าแล้วมองสองไท่เฟย ตั้งใจไว้หน้าพวกนาง เอ่ยแนะขึ้น “ไท่เฟย ท่านสองคนมิถามเหตุผลให้แน่ชัดก็มาซักถามฝ่าบาทบนถนน เรื่องย่อมมีสาเหตุ บางอย่างเป็นองค์ชายสามกับองค์ชายห้าทำมิถูก ฝ่าบาททรงจัดการอย่างใจกว้างแล้ว…” 


 


 


           “สิ่งที่พวกเราได้ยินมาคือฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปิดตายปีกตำหนักภายในราชสุสาน งดน้ำงดอาหาร หมายจะทำให้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าตาย หรือว่านี่คือการจัดการอย่างใจกว้างของฝ่าบาทแล้ว” หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยขัดคำพูดอิงชินอ๋องด้วยการซักถามกลับ 


 


 


           อิงชินอ๋องมองทั้งสองแล้วส่ายหน้า “ฝ่าบาททรงให้หย่งคังโหวจัดการเรื่องนี้ที่ราชสุสานแล้ว…” 


 


 


           “จัดการอย่างไร ฝ่าบาทเห็นอดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้ว กลัวว่าพี่น้องจะช่วงชิงตำแหน่งจึงอยากกำจัดองค์ชายสามกับองค์ชายห้า อนาคตจะได้ไม่มีผู้ใดคุกคามอำนาจจักรพรรดิได้ เรื่องที่องค์ชายสามกับองค์ชายห้าทำมิถูกนั่นไม่มีอยู่จริง…” หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยตำหนิยกใหญ่  


 


 


           “ข้ากับใต้เท้าทุกท่านต่างเห็นเองกับตา ตอนที่เพิ่งฝังพระบรมศพ อดีตฮ่องเต้ยังมิทันได้บรรทมอย่างสงบดี องค์ชายสามกับองค์ชายห้าก็กระทำเรื่องอกตัญญู เพราะฝ่าบาททรงเห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้องจึงมิได้ตัดสินโทษหนักในทันที” อิงชินอ๋องได้ฟังเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที กล่าวด้วยโทสะ  


 


 


           สองไท่เฟยได้ยินเช่นนั้นก็ชี้นิ้วตำหนิอิงชินอ๋องอีกหน “ท่านอ๋อง ฝ่าบาทแม้เป็นหลานของท่าน แต่องค์ชายสามกับองค์ชายห้าก็เป็นหลานของท่านเหมือนกัน ท่านมิอาจเพราะฝ่าบาทได้สืบทอดตำแหน่ง องค์ชายสามกับองค์ชายห้ามิได้ให้ประโยชน์แก่ท่าน ท่านจึงช่วยฝ่าบาทหาที่ตายให้องค์ชายสามกับองค์ชายห้า…” 


 


 


           “บังอาจ!” ฉินอวี้ทุบราชรถหยกอย่างแรง ราชรถเกิดเสียง ‘ปึง’ พร้อมมีชิ้นส่วนหักลง เขาถือมุมที่หักชิ้นนั้นสะบัดไปยังเบื้องหน้าหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟย 


 


 


           หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยหยุดร้องไห้ทันทีด้วยความตกใจ 


 


 


           “อดีตฮ่องเต้สวรรคต เพิ่งฝังพระบรมศพในราชสุสาน ยังมิทันได้บรรทมอย่างสงบ คืนเดียวกันนั้นพี่สามกับน้องห้าก็จัดงานรื่นเริง ดื่มสุรามั่วนารีอย่างเต็มที่ในตำหนักปลีกวิเวกที่ราชสุสาน สร้างความแปดเปื้อนต่อราชสุสาน พวกท่านว่าการดูหมิ่นอดีตฮ่องเต้เช่นนี้ มิเคารพลูกหลานบรรพบุรุษในราชสำนัก ถึงแม้เราให้อภัยพวกเขา อดีตฮ่องเต้กับบรรพบุรุษที่อยู่บนสวรรค์จะอภัยได้หรือ” ฉินอวี้ตรัสอย่างมีโทสะด้วยความเคร่งขรึม  


 


 


           หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยรีบร้องไห้เสียงดัง “ต้องมีคนใส่ความแน่นอน มิใช่เจตนาเดิมขององค์ชายสามและองค์ชายห้า…” 


 


 


           “มิใช่เจตนาเดิมหรือ” ฉินอวี้ตรัสด้วยโทสะ “เราก็คิดว่ามิใช่เจตนาเดิมของพวกเขา จึงสั่งให้หย่งคังโหวอยู่ตรวจสอบเรื่องนี้ที่ราชสุสาน แต่พวกท่านมาขัดขวางหน้าราชรถเราเพื่อซักถาม มีเจตนาใดกันแน่ หรืออยากบีบให้เรามิต้องสืบสวนเรื่องนี้ เช่นนั้นเรากตัญญูต่อความรักของอดีตฮ่องเต้แล้วหรือ กตัญญูต่อบรรพบุรุษหรือไม่” 


 


 


           หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยอึ้ง 


 


 


           “ใครก็ได้ นำหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยไปส่งที่ราชสุสาน ให้พวกนางได้ดูเองกับตาว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าถูกใส่ความ หรือเดิมอกตัญญูและมิเคารพอดีตฮ่องเต้กับบรรพบุรุษกันแน่” ฉินอวี้ทรงกริ้ว 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” มีคนรีบก้าวขึ้นมา ดึงหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยที่คุกเข่าอยู่ขึ้น 


 


 


           “กลับวัง” ฉินอวี้สะบัดม่านลงอย่างแรง 


 


 


           เกี้ยววังหลวงสองหลังที่ขวางหน้าขบวนราชรถหยกถูกยกออกไปแล้ว ทหารกองเกียรติยศนำทาง มุ่งหน้ากลับไปยังวังหลวง 


 


 


           เหล่าประชาชนเห็นแบบนี้ก็กระจ่างแจ้ง ที่แท้องค์ชายสามกับองค์ชายห้ากระทำเรื่องมั่วสุรานารีในวันฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ คนโบราณถือเรื่องความกตัญญูเป็นที่สุด พวกเขาทำเช่นนี้ถือว่าเนรคุณ มีความผิดฐานอกตัญญู มิน่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่อ่อนโยนมีเมตตาต่อผู้อื่นถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ 


 


 


           ประชาชนกระซิบกระซาบกัน ก่อนถอนหายใจออกมา บ้างถึงขั้นพูดราวกับว่า คนอย่างองค์ชายสามกับองค์ชายห้าแม้สังหารไปก็มิคุ้มค่า ถึงตายก็ยังมิสาสมแก่บาปกรรม 


 


 


           ทั้งมีคนพูดว่าเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวหลุดแพร่งพรายออกมา บ่งบอกว่าฝ่าบาททรงกังวลเรื่องเกียรติของราชวงศ์ เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้อง ทว่าหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยทำเรื่องมิสมควร นึกไม่ถึงว่าจะมาขัดขวางบนถนนเพื่อบีบบังคับฮ่องเต้องค์ใหม่ 


 


 


           ขบวนจากไปไกล แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังคงหนาหู 


 


 


           หลังฉินอวี้ปล่อยม่านลงก็นวดหว่างคิ้ว “บางข่าวฉาวปิดมิอยู่ก็มิต้องปิดบัง พวกนางดูถูกเราไปแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง เดิมก็ยับเยินพอตัวแล้ว ทว่าไม่นึกว่าจะเกิดเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้า และหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยขึ้นมาอีก เขาซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่สืบทอดตำแหน่งใหม่นับว่าโชคร้ายอย่างพบได้น้อย ต้องเก็บกวาดเรื่องยุ่งยากที่อดีตฮ่องเต้เหลือทิ้งไว้ นางจึงพยักหน้า “จัดการเช่นนี้เหมาะสมแล้ว ไล่หลิ่ว 


 


 


ไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยไปราชสุสาน ต่อไปก็มิต้องกลับวังหลวงแล้ว” 


 


 


           “เสด็จแม่แค้นพวกนางมาเกินครึ่งชีวิต พวกนางมิกลับวังย่อมเป็นเรื่องดี” ฉินอวี้บอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวานึกถึงยุครุ่งเรืองของหลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟย ฮองเฮาล้วนไม่สู้รบปรบมือด้วย ปล่อยให้พวกนางได้แสดงความสามารถเต็มที่ ยามนี้ลูกชายของพวกนางไม่เป็นโล้เป็นพาย ฮองเฮาคงมีวิธีการจัดการพวกนางมิใช่แค่วิธีการเดียว 


 


 


           ขบวนมาถึงหน้าประตูวัง ฉินอวี้บอกให้หยุดราชรถหยก เขาบอกกับเซี่ยฟางหวาว่า “ข้าจะให้ราชรถหยกส่งเจ้ากลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อน ส่วนข้าจะไปจัดการงานราชสำนัก” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้ลงจากราชรถหยก กำชับเสียงหนึ่ง ก่อนที่ราชรถหยกจะตรงไปยังตำหนักของฉินอวี้ 


 


 


           บรรดาขุนนางมองหน้ากันแวบหนึ่งก่อนก้มหน้าลง ติดตามฉินอวี้ไปยังโถงหารือ  


 


 


           หลังเซี่ยฟางหวากลับมาถึงที่พำนักก็สั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “เมื่อก่อนตอนที่ข้าสมรส หลิ่วเฟยกับเฉินเฟยมอบของขวัญให้ถือว่าเป็นน้ำใจเช่นกัน พวกเจ้าจัดคนไปส่งข้อความแก่พวกนางลับๆ บอกว่าเมื่อไปถึงราชสุสานแล้ว อย่าสร้างความเดือดร้อนให้หย่งคังโหว จงฟังการจัดการของหย่งคังโหวทุกสิ่ง นั่นเป็นทางเดียวที่จะปกป้องชีวิตขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าได้ หลังจากนี้ให้พวกนางอยู่ที่ราชสุสานเถิด ไม่ต้องกลับมาแล้ว มิฉะนั้นพวกนางเคยขัดแย้งกับไทเฮา วันนี้ยังสร้างความลำบากใจให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ต่อหน้าประชาชน ด้วยความอาฆาตแค้นเดิม ถึงแม้ฝ่าบาทจะปล่อยพวกนางไป แต่ไทเฮามิแน่ว่าจะยอมปล่อยพวกนาง” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า ก่อนรับคำแล้วออกไปจัดการ  

 

 


ตอนที่ 111-2 ขัดขวางบนถนน

 

 


 


 


เซี่ยฟางหวาเข้ามาในห้อง พบเหยียนเฉินกำลังดื่มน้ำชาหน้าโต๊ะ นางก็แปลกใจ “หลายวันนี้เจ้าหายไปไหนมา ไฉนถึงไม่เห็นเจ้าเลย” 


 


 


           “คิดว่าหลายวันนี้สีหน้าเจ้าคงย่ำแย่ มิได้พักผ่อนอย่างดี ไม่นึกเลยว่าสีหน้าดีกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้เสียอีก” เหยียนเฉินพินิจมองนางตั้งแต่หัวจดเท้า  


 


 


           “อดีตฮ่องเต้สวรรคต ข้ามิใช่คนที่เสียใจ สีหน้าไฉนเลยจะย่ำแย่” เซี่ยฟางหวานั่งลง มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ตั้งแต่เข้าวังมาก็ไม่เห็นเจ้า มีเรื่องใดต้องไปจัดการหรือ” 


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า “ถือโอกาสนี้ ข้าแอบไปภูเขาลับที่ใกล้เมืองหลวงที่สุดรอบหนึ่ง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 


 


 


           “ภูเขาลับเปลี่ยนไปเป็นซากปรักหักพัง ไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว” เหยียนเฉินกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ 


 


 


           “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึงกลายเป็นซาก ไม่เหลือผู้ใดเลย” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง  


 


 


           “ข้าเดาว่าคงถูกใครลงมือไปแล้ว อีกทั้งช่วงเวลาที่ลงมือน่าจะเป็นยี่สิบกว่าวันก่อน แต่น่าจะมิได้กวาดล้างจนหมด คนที่เหลือรอดมิกล้าอยู่ที่ภูเขาลับแล้ว จึงอพยพหนีไป” เหยียนเฉินตอบ 


 


 


           “ใครเป็นคนลงมือ” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว 


 


 


           “ไม่มีร่องรอย สืบไม่เจอ” เหยียนเฉินส่ายหน้า  


 


 


           “ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบวันก่อน ฉินอวี้อยู่ที่เมืองหลินอันตลอดเวลา กำลังเผชิญหน้ากับโรคห่าแพร่ระบาด มิอาจแบ่งความสนใจไปที่ภูเขาลับได้” เซี่ยฟางหวาคาดเดา  


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           “คนที่มีความสามารถ มีกำลัง ยังมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีวิธีการเลือกภูเขาลับ…” เซี่ยฟางหวาพูดพลางก็เงียบเสียงลงไป 


 


 


           “ทั่วหนานฉิน มีแค่คนเดียว” เหยียนเฉินมองนาง  


 


 


           เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใดอีก ใบหน้ามืดครึ้มลงเล็กน้อย 


 


 


           “เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าว ฉินเจิงออกจากลำน้ำสวินสุ่ยแล้ว กำลังเร่งกลับเมืองมาพร้อมหลี่มู่ชิง ชุยอี้จือ และเยี่ยนถิง” เหยียนเฉินกล่าวเสียงต่ำ “เซี่ยอวิ๋นหลานมิได้กลับมาด้วย เจ้าต้องเตรียมตัว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เงียบไปพักหนึ่งก็ตวัดตามองเหยียนเฉิน “มีวิธีใดขัดขวางเขาได้บ้าง” 


 


 


           “ไม่มีวิธีใด เว้นเสียแต่ส่งนักรบเดนตายไปสกัด” เหยียนเฉินส่ายหน้า  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบลงอีกพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นส่งนักรบเดนตายไปสกัด” 


 


 


           เหยียนเฉินมองนางอย่างไม่เห็นด้วย 


 


 


           เซี่ยฟางหวายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาก่อนพลิกลง น้ำชาด้านในไหลตกบนพื้นตามถ้วยที่คว่ำลง หลังน้ำชาร้อนๆ สัมผัสพื้นก็เย็นลงทันทีเพราะถูกพื้นดูดซับไว้ นางค่อยๆ วางถ้วยชาลง กล่าวกับเหยียนเฉิน “ข้ากับฉินเจิงก็เหมือนกับชาถ้วยนี้ ต้องมีสักคนที่เป็นฝ่ายคุมหมาก หลายปีก่อนเป็นเขา ตอนนี้ถึงคราวข้าแล้ว” 


 


 


           เหยียนเฉินมองนางด้วยความไม่เข้าใจ 


 


 


           “ตอนนี้ข้าไม่อยากพบเขา” เซี่ยฟางหวากล่าว  


 


 


           เหยียนเฉินเห็นใบหน้ามุ่งมั่นของนาง หว่างคิ้วคล้ายกับมีไอหมอกหนาทึบ เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้า “ได้ ในเมื่อเจ้าไม่อยากพบเขา ข้าก็จะช่วยเจ้าสกัดไว้ มิให้เขากลับมา” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “แต่เกรงว่านักรบเดนตายจะสกัดไม่อยู่” เหยียนเฉินบอก “ถึงอย่างไรในมือท่านอ๋องน้อยเจิงก็มีอำนาจมากมาย หากสกัดได้อย่างง่ายดาย เขาก็มิใช่ฉินเจิงแล้ว” 


 


 


           “ไม่ต้องสกัดนาน ขอแค่จนกว่าฉินอวี้จะราชาภิเษกก็พอ” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           “ตอนนี้ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน เรื่องจุกจิกยิบย่อยทั้งหลายในแผ่นดินหนานฉิน ยามนี้เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ เหล่าขุนนางในราชสำนักจะต้องกล่าวทัดทานให้ฉินอวี้รีบจัดพิธีราชาภิเษกโดยเร็วที่สุดเป็นแน่” เหยียนเฉินมองนาง  


 


 


           “ถ้าเดาไม่ผิด นับจากอดีตฮ่องเต้สวรรคต หนึ่งเดือนให้หลังต้องราชาภิเษกแน่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า  


 


 


           “วันราชาภิเษกคงแต่งตั้งฮองเฮาด้วยกระมัง” เหยียนเฉินเอ่ยขึ้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบ 


 


 


           “ข้าจะทุ่มกำลังจากหอเทียนจีเก๋อสกัดไว้” เหยียนเฉินถอนหายใจ  


 


 


           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น “แค่หอเทียนจีเก๋อไม่แน่ว่าจะสกัดอยู่ ประเดี๋ยวเจ้าไปหาฉินอวี้ ทราบว่าฉินเจิงกลับมา ในยามนี้ฉินอวี้คงไม่อยากให้เขากลับมาเป็นแน่ น่าจะส่งคนไปขัดขวางด้วยเช่นกัน หากผนึกรวมกำลังกัน ถึงเขาอยากเหยียบเข้ามาในเมืองหลวงก็คงมิง่ายขนาดนั้น” 


 


 


           “ได้” เหยียนเฉินพยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก้มหน้ามองผิวโต๊ะ “เหยียนเฉิน เจ้าต้องไม่เข้าใจแน่ แต่ว่า…” 


 


 


           “คุณหนู ฮูหยินหย่งคังโหวกับท่านหญิงน้อยเยี่ยนเข้าวังมาแล้ว บอกว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท มาขอพบท่านเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบาจากข้างนอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยุดพูด 


 


 


           เหยียนเฉินมองไปด้านนอกแวบหนึ่ง พบว่าฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันมาถึงหน้าประตูตำหนักแล้ว เขาจึงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผลของตัวเองเป็นแน่ ไม่ว่าใครกี่คนวิจารณ์เจ้า แต่ข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าอยากทำสิ่งใด มอบหมายให้ข้าก็พอแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าเชื่องช้า ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เหยียนเฉิน ชีวิตนี้มีเจ้าเป็นสหายรู้ใจ นับเป็นวาสนาของข้า” 


 


 


           เหยียนเฉินแย้มยิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทางประตูหลัง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาออกมาจากข้างใน เดินมานั่งที่ห้องรับรอง ก่อนสั่งงานซื่อฮว่า “เชิญฮูหยินกับท่านหญิงน้อยเยี่ยนเข้ามาเถอะ” 


 


 


           ซื่อฮว่ารับคำ ก่อนออกไปเชิญพวกนางเข้ามา 


 


 


           ไม่นาน ฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันก็ค่อยๆ เดินมาถึงหน้าประตูโดยมีสาวใช้สี่คนประคอง ทั้งสองทำความเคารพผ่านม่านกั้นตามธรรมเนียม “คุณหนูฟางหวา ข้ามารบกวนแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเอ่ย “เชิญเข้ามา” สื่อให้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเชิญแขกเข้ามา 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันเข้ามาในห้องรับรองโดยมีคนประคอง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเชิญทั้งสองนั่งลง ก่อนกล่าวกับฮูหยินหย่งคังโหว “ฮูหยินมาพื่อตรวจชีพจรหรือ” 


 


 


           “ถูกต้อง” ฮูหยินหย่งคังโหวผงกศีรษะ “ท่านโหวขอพระราชานุญาตจากฝ่าบาทให้ข้า สภาพข้าในตอนนี้ ทั่วเมืองหลวงหนานฉินไม่มีผู้ใดช่วยได้ ไม่มีทางเลือกจึงได้แต่รบกวนท่านแล้ว” 


 


 


           “ก่อนหน้านี้ข้ารับปากเรื่องความปลอดภัยของฮูหยินกับลูกแล้ว ย่อมมินิ่งดูดาย” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็มองไปยังเยี่ยนหลันก่อนหัวเราะออกมา “เคยเรียกกันว่าพี่น้อง มิได้พบกันหลายวัน ไฉนถึงดูอึดอัดเช่นนี้” 


 


 


           เยี่ยนหลันฟังแล้วก็รีบเบะปากกล่าว “มิใช่เพราะเจ้าหรือ ตั้งแต่เจ้ากลับมาก็พำนักอยู่ที่นี่ นั่งราชรถหยกคันเดียวกันกับฉิน…ฝ่าบาท ข้าไหนเลยจะมิกล้าไม่สุภาพ” 


 


 


           “อย่าพูดเหลวไหล” ฮูหยินหย่งคังโหวรีบตำหนิ 


 


 


           “เจ้าดูสิๆ ข้าเพียงเอ่ยปาก ท่านแม่ก็ตำหนิแล้ว” เยี่ยนหลันรีบกล่าว  


 


 


           “ไม่ว่าอยู่ที่ใด ข้าก็คือเซี่ยฟางหวา” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ  


 


 


           “ประโยคนี้ข้าชอบ” เยี่ยนหลันพลันยิ้มออกมา  


 


 


           “อย่าได้คืบจะเอาศอก ระวังฝ่าบาททรงตำหนิ” ฮูหยินหย่งคังโหวตำหนิเยี่ยนหลันอีกหน 


 


 


           เยี่ยนหลันทำปากจู๋กับเซี่ยฟางหวาอย่างจนใจ มิเอ่ยคำใดอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็ทราบถึงความระแวงของฮูหยินหย่งคังโหวดี ยามนี้นางกลับเมืองหลวงมาย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความฉลาดของหย่งคังโหว แม้ขอพระประสงค์ต่อฉินอวี้ให้นางตรวจ 


 


 


ชีพจรให้ฮูหยินของเขา แต่แท้จริงแล้วอยากหยั่งเชิงความคิดของฉินอวี้ ฉินอวี้ไฉนเลยจะมิทราบ จงใจให้ 


 


 


ฮูหยินของเขาเข้าวังหลวง เพื่อมิให้อายุขัยสั้นเพราะสบายเกินไป เช่นนี้หย่งคังโหวย่อมมิกล้าปฏิบัติต่อนางแบบเมื่อก่อนแล้ว จึงส่งคนกลับไปบอกที่จวนแน่นอน 


 


 


           นางคิดได้เช่นนี้ก็ยิ้มออกมา ลุกขึ้นเดินไปตรวจชีพจรให้ฮูหยินหย่งคังโหว 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวเห็นนางลุกขึ้นเดินมา ก็รีบลุกขึ้นด้วยเช่นกัน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นแล้วก็มิได้แย้ง กดตรวจชีพจรบนข้อมืออีกฝ่ายอย่างแม่นยำ ฮูหยินหย่งคังโหวอกสั่นขวัญหายขึ้นมาพลางมองนาง กลัวว่านางจะเอ่ยถ้อยคำมิดีออกมา 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็ถอนมือออก “ฮูหยินบำรุงร่างกายได้ดีมาก ยังต้องทานอาหารบำรุงที่ข้าเขียนให้ก่อนหน้านี้ บำรุงครรภ์อย่างรอบคอบ เมื่อปลงตกถึงทำให้จิตใจสงบ เมื่อจิตใจสงบครรภ์ก็จะปลอดภัย” 


 


 


           “ขอบคุณคุณหนูฟางหวามาก ข้าจะจำให้ขึ้นใจ” ฮูหยินหย่งคังโหวดีใจ 


 


 


           “ข้าก็ตรวจชีพจรให้เจ้าด้วยดีกว่า” เซี่ยฟางหวายื่นมือไปหาเยี่ยนหลัน  


 


 


           “เช่นนั้นข้ามิเกรงใจแล้ว” เยี่ยนหลันรีบยื่นมือส่งให้นาง  


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม ตรวจชีพจรให้เยี่ยนหลันพักหนึ่ง ถอนมือออกแล้วขมวดคิ้วกล่าว “เทียบยาที่เจ้ากินอยู่มียาบำรุงในนั้นมากเกินไป ถ้าบำรุงมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการไฟกำเริบเพราะหยินพร่อง มิใช่เรื่องดีนัก ข้าจะเขียนเทียบยาให้ใหม่ เจ้ากินยาตามเทียบยาที่ข้าเขียนให้ ค่อยๆ บำรุงร่างกายไป” 


 


 


           เยี่ยนหลันพยักหน้า “มิน่าข้าถึงรู้สึกว่าช่วงนี้ร้อนในทรวงอก กดไว้จนรู้สึกแย่ เจ้ารีบเปลี่ยนเทียบยาให้ข้าเถอะ” พูดจบก็กล่าวเพิ่มเติม “หมอในเมืองใช้มิได้ดังคาด ตั้งแต่หมอหลวงซุนตาย หมอหลวงในสำนักหมอหลวงก็มิได้เรื่องเลย” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดินมาที่โต๊ะ หยิบพู่กันเขียนเทียบยา 


 


 


           “อย่าพูดเหลวไหล หากมิใช่หมอหลวงจากสำนักหมอหลวง คงรักษาชีวิตเจ้ากลับมามิได้แล้ว แม้วิชาแพทย์ของพวกเขาไม่เชี่ยวชาญ แต่ดีร้ายก็ตั้งอกตั้งใจ” ฮูหยินหย่งคังโหวกล่าว 


 


 


           “ท่านแม่ ท่านใจกว้างเหมือนพระโพธิสัตว์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่เอ่ยถ้อยคำแย่ๆ กับคนอื่นแล้วหรือ” เยี่ยนหลันไม่พอใจ 


 


 


           “แม่คิดว่านอกจากพี่ชายเจ้ากับเจ้า ข้ายังตั้งครรภ์เด็กคนนี้ได้อีก ถือเป็นวาสนาที่สวรรค์ประทานให้ ดังนั้นควรสุภาพอ่อนโยนกับผู้อื่น หมั่นทำแต่เรื่องดีงาม” ฮูหยินหย่งคังโหวลูบครรภ์  


 


 


           เยี่ยนหลันได้ยินเช่นนั้นก็รีบก้าวขึ้นมา ขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาแล้วถามขึ้น “ตอนนี้เด็กในครรภ์ท่านแม่อายุเจ็ดเดือนแล้ว อีกสามเดือนก็คลอด ด้วยวิชาแพทย์ของเจ้า มองออกหรือไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาชะงักปลายพู่กัน เงยหน้ามองเยี่ยนหลัน 


 


 


           “รีบบอกข้ามาเร็ว ชายหรือหญิง” เยี่ยนหลันมองนางด้วยความใคร่รู้  


 


 


           เซี่ยฟางหวามองไปยังฮูหยินหย่งคังโหว 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวด่าเยี่ยนหลันทันที “เจ้าเด็กบ้าคนนี้” พูดจบก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “คุณหนูฟางหวา เป็นชายหรือหญิงก็บอกมาเถิด ถึงเป็นเด็กผู้หญิงก็ไม่เป็นไร หลายวันมานี้ข้าคิดได้แล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “เป็นเด็กผู้ชาย ฮูหยินสบายใจได้” 


 


 


           “จริงหรือ” เยี่ยนหลันเบิกตากว้าง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวชะงักไปเช่นกัน “เป็นเด็กผู้ชายจริงหรือ คุณหนูฟางหวา ท่านมิได้โกหกข้าใช่ไหม” 


 


 


           “เปล่า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้าสัมผัสชีพจรของฮูหยิน เป็นไปได้สูงว่าเป็นเด็กผู้ชาย” 


 


 


           “อามิตาพุทธ” เยี่ยนหลันพนมมือ 


 


 


           “เจ้ามาสวดมนต์อันใด” ฮูหยินหย่งคังโหวปัดมือนางลง “บอกแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง แม่ก็ชอบทั้งนั้น” 


 


 


           “ข้าสวดมนต์ให้ท่านที่ไหนกัน ข้าสวดให้ท่านพี่ต่างหาก เด็กในครรภ์ของท่านหากเป็นเด็กผู้ชาย ท่านพี่ก็หลุดพ้นแล้ว มิต้องถูกขังในจวนหย่งคังโหวอีกต่อไป อนาคตจวนหย่งคังโหว ฝากให้เด็กในครรภ์ท่านดูแลแล้ว” เยี่ยนหลันบอก 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโกรธทั้งขำ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็ยิ้มขำตาม 


 


 


           เมื่อเขียนเทียบยาใหม่ให้เยี่ยนหลันเสร็จ ก็กำชับเรื่องที่สองแม่ลูกพึงระวังให้อีกเล็กน้อย ถึงอย่างไร 


 


 


ฮูหยินหย่งคังโหวก็ตั้งครรภ์มาเจ็ดเดือนแล้ว มิควรสนทนามากหรือทำงานหนัก เยี่ยนหลันแม้อาวรณ์เซี่ยฟางหวาอยู่บ้าง แต่ก็ขอตัวกลับไปพร้อมฮูหยินหย่งคังโหว ออกจากวังหลวงไป 


 


 


           สองแม่ลูกเพิ่งผ่านประตูจวนหย่งคังโหวเข้ามา เสี่ยวเฉวียนจื่อที่อยู่ข้างกายฉินอวี้และเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลวังหลวงก็นำยากองหนึ่งที่ฝ่าบาทประทานให้มายังจวนหย่งคังโหว 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวถูกเอาใจจนตื่นตระหนก การประทานอาหารบำรุงให้แม้เป็นเรื่องเล็ก แต่ก็สื่อถึงเจตนารมณ์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ ฮ่องเต้เพิ่งเสด็จกลับจากราชสุสาน กำลังยุ่งเรื่องงานราชสำนัก แต่ยังให้คนนำอาหารบำรุงมาส่ง แฝงความหมายลับๆ ว่า หลังฮ่องเต้องค์ใหม่ราชาภิเษกแล้ว จะมอบบทบาทหน้าที่สำคัญให้จวนหย่งคังโหวแน่นอน 


 


 


           ส่งเสี่ยวเฉวียนจื่อกลับไปแล้ว ฮูหยินหย่งคังโหวก็ทอดถอนใจกล่าวกับเยี่ยนหลัน “มนุษย์มิอาจเปรียบเทียบด้วยกันได้จริงๆ คุณหนูฟางหวาอายุไล่เลี่ยกับเจ้า แต่กลับพลิกไปพลิกมาในเมืองหลวงหนานฉินแห่งนี้ได้ ความรู้ความสามารถล้วนทำให้ขุนนางอาวุโสในราชสำนักอย่างบิดาเจ้ายังต้องยอมอ่อนข้อให้” 


 


 


           “ฟางหวาเดิมทีเก่งกาจ บางครั้งข้ารู้สึกว่านางมิได้เหมือนคนอายุไล่เลี่ยกับข้า เวลาอยู่กับนางมักรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุม ไม่มีเวลาใดที่สับสนลนลานเลย” เยี่ยนหลันกล่าว “ข้าเหมือนกับเด็กน้อย มิเข้าใจอันใดทั้งนั้น” 


 


 


           “ไม่เข้าใจก็มีข้อดีและวาสนาของมัน สวรรค์มอบหลายสิ่งให้กับเจ้า ขณะเดียวกันก็มิมอบหลายสิ่งให้เช่นกัน” ฮูหยินหย่งคังโหวลูบมือเยี่ยนหลัน “แม่เหนื่อยแล้ว เจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ” 


 


 


           เยี่ยนหลันพยักหน้า ประคองฮูหยินหย่งคังโหวกลับเรือนด้วยกัน  

 

 


ตอนที่ 112-1 ขอทัดทานแต่งตั้งฮองเฮา

 

 


 


 


           ฉินอวี้กลับเมืองหลวงวันเดียวกันนั้น ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก นำโดยอิงชินอ๋องและเหล่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา เนื่องด้วยภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน แผ่นดินมิอาจขาดจักรพรรดิได้แม้แต่วันเดียว จึงขอทัดทานให้รีบกำหนดฤกษ์งามยามดีเพื่อจัดพระราชพิธีราชาภิเษก 


 


 


           แม้ฉินอวี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่สถานการณ์ในหนานฉินตอนนี้ตึงเครียดมาก ทำให้ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ 


 


 


           ฉินอวี้รับฟังคำแนะนำจากทุกคน หารือได้ความว่า เลือกฤกษ์ดีในหนึ่งเดือนข้างหน้าเพื่อราชาภิเษก 


 


 


           หลังหารือกันลงตัวแล้ว ฉินอวี้ก็ปรายตามองเสนาบดีฝ่ายซ้าย 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายถูกสายตาของฉินอวี้ทำให้ตกใจ ทันใดนั้นก็เดาความคิดของพระองค์ได้ หลังฉินอวี้ 


 


 


มองเขาแวบหนึ่งแล้วก็มองไปยังทิศทางวังหลัง เสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าใจในทันใด กัดฟันแล้วก้าวออกจากแถว เอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อแผ่นดินมิอาจขาดจักรพรรดิแม้แต่วันเดียว ย่อมมิอาจขาดฮองเฮาด้วยเช่นกัน แม้อดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต มิควรจัดการมงคลรื่นเริง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างพิเศษ จำต้องทำนุบำรุงขวัญราษฎรให้มั่นคง กระหม่อมแนะนำว่า วันราชาภิเษกนั้นควรแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกันด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           กล่าวจบ เหล่าขุนนางก็พากันผงะ 


 


 


           อิงชินอ๋องตกใจมาก รีบก้าวขึ้นมาแล้วส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวเช่นนี้มิถูกต้อง ราชาภิเษกและแต่งตั้งฮองเฮาไฉนเลยจะกระทำในวันเดียวกันได้” 


 


 


           “ท่านอ๋อง ข้าบอกไปแล้วว่าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ ตอนนี้ฝ่าบาทถึงวัยที่ควรอภิเษกสมรสแล้ว วันราชาภิเษกย่อมแต่งตั้งฮองเฮาพร้อมกันได้ กำหนดผู้ได้รับเลือกให้เป็นฮองเฮาไว้ก่อน ส่วนการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสนั้นค่อยจัดหลังไว้ทุกข์ครบหนึ่งร้อยวันก็ย่อมได้ สร้างความมั่นคงต่อสถานการณ์ในราชสำนักและขวัญราษฎร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว 


 


 


           “ฝ่าบาทสืบทอดตำแหน่งเป็นพระประสงค์แต่งตั้งของอดีตฮ่องเต้ ส่วนการเลือกฮองเฮานั้น ไฉนเลยจะกระทำลวกๆ เช่นนี้ได้ ข้าคิดว่า สถานการณ์เร่งด่วนในยามนี้ควรจัดระเบียบกองทัพม่อเป่ยก่อน เมื่อม่อเป่ยสงบสุขแล้วหนานฉินจึงจะสงบด้วย ขอเพียงฝ่าบาทราชาภิเษก ถึงยังมิแต่งตั้งฮองเฮาก็ทำให้สถานการณ์มั่นคงแล้ว” อิงชินอ๋องยังคงส่ายหน้า  


 


 


           “ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ต่างหากที่มิถูกต้อง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายส่ายหน้า “สถานการณ์ทัพม่อเป่ยตึงเครียด มีเพียงท่านโหวเซี่ยเท่านั้นที่อยู่ประคับประคองม่อเป่ย กำลังสนับสนุนยังไปไม่ถึง ยามนี้ยิ่งควรเป็นเวลาที่จะปลุกขวัญกำลังใจทหารให้ค่ายทหารม่อเป่ย ส่วนการกระทำลวกๆ อย่างที่ท่านอ๋องบอก กระหม่อมคิดว่ามิได้ลวกๆ แต่อย่างใด คุณหนูฟางหวากลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท ได้ผ่านพระเนตรอดีตฮ่องเต้มาแล้วเช่นกัน คุณหนูฟางหวาช่วยประชาชนแสนกว่าชีวิตในเมืองหลินอันจากความทุกข์ยาก เหล่าราษฎรให้ความเคารพศรัทธาอย่างยิ่ง ฝ่าบาททรงเลื่อมใสคุณหนูฟางหวา อีกอย่างคุณหนูฟางหวาก็มีรูปลักษณ์และคุณธรรมเพียบพร้อม เหมาะแก่การเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ย่อมสามารถแต่งตั้งเป็นฮองเฮาพร้อมกับฝ่าบาททรงราชาภิเษกได้” 


 


 


           อิงชินอ๋องอึ้ง 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายตีเหล็กตอนกำลังร้อน มองไปยังเสนาบดีฝ่ายขวาและขุนนางที่เหลือ ก่อนใช้ฝีปากที่ตนมีกล่าวขึ้น “เสนาบดีฝ่ายขวา ใต้เท้าทุกท่าน พวกเจ้าคิดว่าคำพูดของข้ามีเหตุผลหรือไม่” 


 


 


           “นี่…” 


 


 


           ทุกคนต่างมองหน้ากัน หากเปลี่ยนเป็นสตรีอื่นที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน เสนาบดีฝ่ายซ้ายแนะนำอย่างเต็มที่แบบนี้ เหล่าขุนนางย่อมพยักหน้ารับมิกล้าล่วงเกินฝ่าบาทและเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่ทว่าสตรีคนนั้นคือ 


 


 


เซี่ยฟางหวา ซึ่งเทียบกับสตรีอื่นมิได้ เซี่ยฟางหวาเป็นลูกสะใภ้จวนอิงชินอ๋อง เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎในอดีตของท่านอ๋องน้อยเจิง แม้ถูกฝ่าบาทประกาศหย่าร้างต่อใต้หล้า แต่จวนอิงชินอ๋องกับท่านอ๋องน้อยเจิงก็มิเคยยอมรับ เรื่องภายในแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็มิทราบแน่ชัด มิกล้าที่จะตัดสินใจ 


 


 


           “คุณหนูฟางหวากลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท พำนักที่ตำหนกบูรพาของรัชทายาทในวันวาน ต่อมาก็นั่งราชรถหยกคันเดียวกับกันฝ่าบาทไปยังราชสุสาน สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่ามีนิสัยเข้ากันได้ อีกทั้งคุณหนูฟางหวาไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมหรือฐานะล้วนมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นพระมารดา มีสติปัญญาหลักแหลมกว่าสตรีทั่วไปมาก หนานฉินหากมีนางเป็นพระมารดาแห่งแผ่นดิน สถานการณ์บ้านเมืองสงบสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ย่อมเกิดขึ้นได้ในเวลาอันใกล้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวอีก 


 


 


           เหล่าขุนนางมองหน้ากัน คิดว่ามีเหตุผล จึงทยอยพยักหน้าเห็นด้วย 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายขวา ท่านรีบแสดงความเห็นออกมาเถิด แต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกของฝ่าบาท ใช่เป็นประโยชน์ต่อราชสำนัก พรมแดน และราษฎรหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นเค้าลางที่ดี จึงกล่าวกับเสนาบดีฝ่ายขวา  


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวามองฉินอวี้แวบหนึ่ง พบว่าฉินอวี้กำลังมองตนด้วยใบหน้าเรียบสงบ เขาจึงลอบมองไปยังอิงชินอ๋องอีกหน พบว่าอิงชินอ๋องกำลังแสดงสีหน้าทำอันใดมิได้ เขาใช้ดุลยพินิจไตร่ตรองดูทันที ก่อนผงกศีรษะ “แม้สิ่งที่ท่านอ๋องพูดมามิได้ไร้เหตุผล แต่ที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน เรื่องนี้…ยังต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน” 


 


 


           ถ้อยคำนี้เรียกได้ว่าเห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายหงุดหงิดจนกลอกตา อ้อนวอนอีกครั้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ารีบตัดสินพระทัยโดยเร็วที่สุดก็ดี จะได้เตรียมการให้พร้อม ถึงตอนนั้นจะได้ไม่วุ่นวายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           ใต้เท้ายืนแบ่งกลุ่มกัน พักหนึ่งก็มีคนก้าวออกมาจากแถว เห็นพ้องกับเสนาบดีฝ่ายซ้าย 


 


 


           มีคนแรกย่อมมีคนที่สอง เรือล้วนแล่นไปตามลม ทราบดีว่าฉินอวี้ชื่นชอบในตัวเซี่ยฟางหวา มิฉะนั้นคงไม่ถึงกับต้องนั่งราชรถหยกคันเดียวกัน ในเวลาไม่นานขุนนางครึ่งหนึ่งก็เห็นคล้อยตาม 


 


 


           ขุนนางอีกครึ่งหนึ่งยังสังเกตท่าที ถึงอย่างไรอำนาจของจวนอิงชินอ๋องก็มิอาจประมาทได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านอ๋องน้อยเจิงก็มิอยู่ในเมือง หากเขากลับมาแล้วทราบเรื่องนี้ มีหรือจะไม่พลิกเมืองหลวง 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็ยกพระหัตถ์ขึ้น “วันนี้ขุนนางทุกท่านเหนื่อยแล้ว เราเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน เตรียมพิธีราชาภิเษกก่อนเถิด ส่วนเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาไว้ค่อยหารือกันต่อพรุ่งนี้” กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน “เลิกประชุมได้” 


 


 


           “น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เหล่าขุนนางคุกเข่าส่งเสด็จ 


 


 


           ฉินอวี้ออกจากโถงหารือราชการกลับไปยังตำหนักของตนเอง 


 


 


           เขาเพิ่งเดินไปได้มิไกล หรูอี้ก็กุลีกุจอเดินมา เมื่อพบฉินอวี้ก็คุกเข่าถวายบังคม “ฝ่าบาท ไทเฮาทราบว่าทรงหารือราชการเสร็จแล้วจึงเชิญพระองค์ไปยังตำหนักเฟิ่งหลวนเพคะ” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า หมุนตัวเดินไปยังตำหนักเฟิ่งหลวน 


 


 


           ด้านในตำหนักเฟิ่งหลวน ไทเฮาซึ่งได้เลื่อนขั้นจากฮองเฮาสวมอาภรณ์สีเรียบ สีพระพักตร์มิค่อยดีนัก ดูแล้วคล้ายกับพระวรกายอ่อนแอยิ่ง ทรงพิงตั่งบุนวมพลางส่งเสียงไอทุ้มต่ำ 


 


 


           ฉินอวี้เข้ามาในตำหนักชั้นใน ทำความเคารพไทเฮา 


 


 


           ไทเฮาโบกพระหัตถ์ 


 


 


           ฉินอวี้ก้าวขึ้นมา หย่อนกายนั่งลงข้างพระวรกายไทเฮา มองนางด้วยความเป็นห่วง “เสด็จแม่ประชวรหรือ สีหน้าไฉนเลยถึงได้ย่ำแย่เพียงนี้” 


 


 


           “ตากลมหนาว มิได้เป็นอันใดมาก” ไทเฮาส่ายพระพักตร์ 


 


 


           “ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ไทเฮาอยู่เฝ้าโลงพระบรมศพติดต่อกันหลายวัน มิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่จึงโดนลมหนาวเข้า เชิญหมอหลวงมาถวายการรักษาแล้วเพคะ” หรูอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น  


 


 


           “หมอหลวงเขียนเทียบยาให้หรือไม่” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “เขียนเพคะ” หรูอี้ตอบ 


 


 


           “นำมาให้ข้าดู” ฉินอวี้บอก 


 


 


           หรูอี้หมุนตัวเดินไปหน้าโต๊ะ ก่อนหยิบเทียบยาในตลับมาส่งให้ฉินอวี้ 


 


 


           ฉินอวี้อ่านดูแวบหนึ่งแล้วตรัสขึ้น “ข้าจะนำเทียบยานี้ไปให้ฟางหวาดูก่อน นางมีวิชาแพทย์ขั้นสูง เมื่อนางอ่านดูแล้วข้าค่อยนำกลับมาให้เสด็จแม่อีกครั้ง” 


 


 


           “ลมหนาวเป็นเรื่องเล็ก มิต้องรบกวนนางหรอก ได้ยินว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเหตุการณ์ในเมืองหลินอัน ร่างกายยังมิดีขึ้นเลย” ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตรัสขึ้น 


 


 


           “บาดเจ็บสาหัสจริง จำต้องพักรักษาตัวอย่างเต็มที่ แต่แค่อ่านเทียบยาดูมิใช่ปัญหา มิถึงขั้นรบกวนใดๆ” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มิตรัสแย้ง ปล่อยให้เขาจัดการตามใจ ก่อนเปลี่ยนน้ำเสียงตรัสขึ้น “ข้าได้ยินว่าวันนี้ขุนนางราชสำนักหารือกันให้เจ้าราชาภิเษกในหนึ่งเดือน” 


 


 


           “แผ่นดินมิอาจขาดจักรพรรดิแม้แต่วันเดียว” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอให้แต่งตั้งฮองเฮาวันราชาภิเษกด้วยหรือ” ไทเฮาถามอีก 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็มองไทเฮาแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เสด็จแม่คิดเช่นไร” 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายเสนอให้แต่งตั้งคุณหนูฟางหวาเป็นฮองเฮา ข้าได้ยินแล้ว เดิมอยากไปช่วยสนับสนุนเจ้าที่ตำหนักหารือ แต่พวกเจ้าเลิกราชการกันไวนัก ในเมื่อเจ้ามีใจให้คุณหนูฟางหวา หากนางเองก็มีประสงค์เช่นกัน แม่ย่อมมิขัดขวาง ด้วยความสามารถของนางย่อมปกครองวังหลังในอนาคตได้ เป็นพระมารดาแห่งใต้หล้า” ไทเฮาแย้มสรวล  


 


 


           “ขอบพระทัยเสด็จแม่” ฉินอวี้แย้มยิ้ม 


 


 


           “เมื่อก่อนข้าเอาแต่เป็นห่วงเจ้า หวังว่าวันหนึ่งเมื่อเสด็จพ่อเจ้าจากไปแล้ว เจ้าจะได้ราชาภิเษกอย่างราบรื่น ยามนี้เจ้าได้สิ่งนั้นแล้ว แต่เรื่องยุ่งยากในหนานฉินสร้างความลำบากให้เจ้าแล้ว” ไทเฮาถอนหายใจออกมา  


 


 


           “เสด็จแม่มิต้องกังวล ตอนนี้ทุกสิ่งแม้ค่อนข้างยุ่งเหยิงแต่ยังรับมือได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้นเอง” ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           “ความสามารถของลูกชายข้า ข้าย่อมทราบดี เท่านี้ก็สบายใจแล้ว” ไทเฮาตรัสพลางก็เปลี่ยนน้ำเสียง ตรัสด้วยความกังวล “เพียงแต่ จวนอิงชินอ๋องกับฉินเจิง…” 


 


 


           ฉินอวี้เลิกคิ้ว 


 


 


           “ตอนนี้ฉินเจิงไม่อยู่ในเมือง หากเขากลับมา พบว่าคุณหนูฟางหวาอยู่ในวังหลวง ข้ากลัวว่าจะอยู่ร่วมกันมิได้” ไทเฮาตรัส 


 


 


           ฉินอวี้เงียบ 


 


 


           ไทเฮาเห็นเขามิตรัสคำใด ชั่วเวลานั้นก็มิทราบว่าควรตรัสเช่นไรดี ในหมู่คนที่เป็นแกนหลักในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีใครมิทราบถึงความยุ่งเหยิงระหว่างฉินเจิง เซี่ยฟางหวา และฉินอวี้ โดยเฉพาะฉินเจิงซึ่งเป็นคนที่คว้าสิ่งใดแล้วจะไม่ยอมปล่อยมือโดยเด็ดขาดด้วยแล้ว 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็พลันแย้มยิ้มออกมา “เสด็จแม่วางใจเถิด มีคนมิอยากให้เขากลับมายิ่งกว่าข้า ในเวลาอันสั้นนี้เขาคงกลับเมืองมามิได้” 


 


 


           “ผู้ใดกัน” ไทเฮาชะงัก 


 


 


           “ฟางหวา” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           ไทเฮายิ่งแปลกใจ “เหตุใดนางถึง…” นางมิเข้าใจอย่างยิ่ง 


 


 


           ฉินอวี้กลับลุกขึ้นยืน “ในเมื่อเสด็จแม่ตากลมหนาวมาก็พักผ่อนให้มากเถิด อย่าคิดมากเลย ตอนนี้เสด็จพ่อจากไปแล้ว หลิ่วไท่เฟยกับเฉินไท่เฟยถูกข้าส่งไปยังราชสุสานแล้ว น่าจะมิกลับมาอีก จากนี้ท่านก็เพลิดเพลินกับความสุขเถิด” 


 


 


           “องค์ชายสามกับองค์ชายห้าช่างไม่เป็นโล้เป็นพาย กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ ส่วนหลิ่วไท่เฟยกับเฉิน 


 


 


ไท่เฟยเป็นไม้เลื้อยที่ปีนไต่พึ่งพาอดีตฮ่องเต้ เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคต ข้าเองก็คร้านจะแยแสพวกนางแล้ว สตรีสร้างความลำบากให้แก่กันก็เพื่อบุรุษ ในเมื่อบุรุษตายไปแล้ว ยังลำบากใจไปอีกทำไมกัน” ไทเฮาโบกพระหัตถ์ “เจ้าไปเถอะ ดูแลร่างกายด้วย ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อถามไถ่เรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษก หากเจ้าจะแต่งตั้งคุณหนูฟางหวาเป็นฮองเฮาแล้วต้องการแม่ล่ะก็ แม่ก็ช่วยตัดสินใจให้เจ้าได้เหมือนกัน” 


 


 


           “ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่ หากต้องการเสด็จแม่เมื่อไร ถึงตอนนั้นจะมาเชิญท่านแน่” ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           ไทเฮาพยักพระพักตร์ 


 


 


           ฉินอวี้ออกจากตำหนักเฟิ่งหลวน  

 

 


ตอนที่ 112-2 ขอทัดทานแต่งตั้งฮองเฮา

 

หลังฉินอวี้ออกมา ไทเฮาก็กวักมือเรียกหรูอี้เข้ามาหา ก่อนที่จะตรัสเสียงทุ้มต่ำ “ไฉนข้าถึงรู้สึกว่า 


 


 


ฝ่าบาทค่อนข้างผิดแปลกไปจากเดิม” 


 


 


           “อย่างไรหรือเพคะ” หรูอี้ไม่เข้าใจ 


 


 


           “แรกเริ่ม เพื่อเซี่ยอวิ๋นหลาน เซี่ยฟางหวาจึงทอดทิ้งฉินเจิงที่ได้รับบาดเจ็บ ออกจากวังไปเพื่อรักษาเซี่ยอวิ๋นหลาน เมื่อฉินเจิงออกจากวังหลวงไปวันที่สองก็เกิดหึงหวงยกใหญ่ พาลเกิดโทสะหมายจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวาไปหาถึงเรือนลั่วเหมย ฉินเจิงก็ยิงธนูสามดอกใส่นางเพื่อตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด ต่อมาเซี่ยฟางหวาทอดทิ้งฉินเจิงมิได้ ต่อให้บาดเจ็บก็ดี ยังสาบานว่าจะออกเรือนกับเขา” ไทเฮาตรัส “เรื่องพวกนี้เราต่างทราบกันดี แต่ตอนนี้ เจ้าว่าความรักที่สลักลึกลงกระดูก หรือว่าจะกลายเป็นหมอกควันในชั่วพริบตาแล้ว นางไร้เยื่อใยต่อฉินเจิงแล้วจริงหรือ ยอมทิ้งเขาเพื่อออกเรือนกับ 


 


 


ฝ่าบาทแทน” 


 


 


           “คงเป็นท่านอ๋องน้อยเจิงทำบางสิ่งลงไป จนทำร้ายหัวใจของคุณหนูฟางหวาอย่างหนักกระมังเพคะ หัวใจของสตรีก็เหมือนกับน้ำ อ่อนไหวหลากความรู้สึก แต่ก็เหมือนก้อนหินเช่นกัน แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า” หรูอี้กล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทของเราหลงรักคุณหนูฟางหวา อดีตฮ่องเต้มีเจตนาอยากกำจัดตระกูลเซี่ย แต่ 


 


 


ฝ่าบาทของเรากลับใช้ตระกูลเซี่ยให้เป็นประโยชน์ ก่อนหน้านี้ก็มีเจตนาปล่อยเรือนใหญ่ไป ทั้งเหลือเซี่ยหลินซีไว้แล้วมอบให้คุณหนูฟางหวา ต่อมาก็มอบอำนาจการทหารให้ท่านโหวเซี่ยอีก คุณหนูฟางหวาแม้ใจแข็งดุจศิลา แต่ก็ถูกหลอมละลายได้เช่นกัน” 


 


 


           “ก็มีเหตุผลเหมือนกัน” ไทเฮาพยักพระพักตร์ 


 


 


           “ทรงอย่าคิดมากเลยเพคะ ฝ่าบาทให้พระองค์พักผ่อนให้เต็มที่ พระองค์ก็ควรพักผ่อนเถิด ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ประชวรหนักพระองค์ก็ทรงผอมลงไปเยอะมาก เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคตไปไม่กี่วันนี้ พระองค์ก็ยิ่งผอมมากขึ้นกว่าเดิม พระองค์ต้องรักษาสุขภาพให้ดี มิง่ายกว่าที่ฝ่าบาทของเราจะได้ราชาภิเษก ทรงเฝ้าคอยมาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็หมดห่วงเสียที” หรูอี้โน้มน้าวใจ 


 


 


           “ใช่แล้ว ต่อจากนี้ข้าไม่สนใจแล้ว ในที่สุดข้าก็คิดได้เสียที สนใจมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ หลายปีนี้ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อแย่งราชบัลลังก์มาให้อวี้เอ๋อร์ นานวันเข้าก็เห็นตำแหน่งจักรพรรดิสำคัญกว่าลูกชายและสุขภาพของตนเอง ในใจอวี้เอ๋อร์คิดมาตลอดว่าข้าเทียบพระชายาอิงชินอ๋องมิได้” ไทเฮาถอนหายใจออกมา “ข้าย่อมเทียบนางมิได้อยู่แล้ว ไม่ว่ายามใดก็ทำเพื่อลูกชายเสมอมา หลังจากนี้ข้าจะค่อยๆ ชดเชยให้เขา ขอเพียงเขาอยากทำสิ่งใด ข้าก็จะให้การสนับสนุน” 


 


 


           หรูอี้ยิ้มพลางพยักหน้า “ฝ่าบาทก็ทรงทราบถึงความลำบากของพระองค์ดี จึงกตัญญูต่อท่านเสมอมา หลังจากนี้ยิ่งมิต้องพูดถึง ต้องกตัญญูมากกว่าเดิมแน่นอนเพคะ” 


 


 


           ไทเฮาแย้มสรวลออกมาเช่นกัน 


 


 


           เมื่อฉินอวี้ออกจากตำหนักเฟิ่งหลวนก็ตรงกลับไปยังตำหนักของตนเอง มายังปีกตำหนักข้างเคียงของเซี่ยฟางหวาก่อน 


 


 


           หลังเซี่ยฟางหวาส่งฮูหยินหย่งคังโหวกับเยี่ยนหลันกลับก็มากึ่งนั่งกึ่งนอนพักสายตาบนเก้าอี้กุ้ยเฟย 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นฉินอวี้มาก็รีบจะเข้าไปรายงาน ทว่าฉินอวี้โบกมือก่อนถามเสียงต่ำ “คุณหนูพวกเจ้าเล่า” 


 


 


           “กำลังพักผ่อนอยู่เพคะ” ทั้งสองตอบเสียงต่ำเช่นกัน 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า เลิกม่านออกด้วยตัวเอง แล้วเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงฝีเท้าของฉินอวี้แล้ว ทราบว่าเขาจะเข้ามาในห้อง ทว่าก็มิได้ลืมตาในทันที ยังคงเอนกายนอนเหมือนเดิม 


 


 


           ฉินอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามารินน้ำชาให้เขาเงียบๆ 


 


 


           หลังเขาดื่มน้ำชาไปแก้วหนึ่ง เซี่ยฟางหวาถึงลืมตามองเขา 


 


 


           “ในเมื่อเหนื่อย ไฉนถึงไม่ไปนอนพักผ่อนบนเตียง” ฉินอวี้ตรัสถาม 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “นอนบนเตียงแล้วอยากหลับ ยามนี้ฟ้ายังสว่างอยู่มาก หากนอนกลางวันมากไป กลางคืนจะนอนไม่หลับเอา” พูดจบก็มองเขา “จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วหรือ” 


 


 


           ฉินอวี้ส่ายหน้า “กำหนดฤกษ์ราชาภิเษกแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วตรัสอีก “เสนาบดีฝ่ายซ้ายแนะนำว่าควรแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกด้วย” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 


 


 


           “เจ้าคิดเช่นไร” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ดีมาก” 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนหยิบเทียบยาใต้แขนเสื้อออกมา “เสด็จแม่ตากลมหนาว สำนักหมอหลวงเขียนเทียบยาให้ แต่ข้าไม่ค่อยวางใจนัก จึงนำมาให้เจ้าช่วยดูหน่อย” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยัดกายขึ้นเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อยื่นมือรับมาอ่านดูครู่หนึ่ง ก่อนถามขึ้น “พระพักตร์ของไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “สีหน้าเสด็จแม่แย่มาก ค่อนข้างซีดเซียว ข้าสังเกตว่าลมปราณนางค่อนข้างอ่อนแอ” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           เซี่ยฟางหวากล่าว “น่าจะเป็นเพราะอดีตฮ่องเต้สวรรคตกะทันหัน เกิดอาการร้อนในทรวงอก ผนวกกับโดนลมหนาวข้างนอกมา ทำให้ความหนาวเย็นซึมสู่ร่างกาย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เทียบยาที่หมอหลวงเขียนให้ก็รอบคอบอย่างมาก ไม่มีตรงไหนผิดแปลก ถึงอย่างไรพระวรกายของไทเฮาก็ล้ำค่า คงมิกล้าใช้ยาแรง ดังนั้นปริมาณยาจึงค่อนข้างน้อย ประสิทธิภาพย่อมช้าตาม” 


 


 


           “ถูกต้อง” ฉินอวี้แย้มยิ้มพลางพยักหน้า 


 


 


           “เจ้าส่งพู่กันมาให้ข้า ข้าจะเพิ่มยาให้อีกสองตัว สามวันก็หายดีแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนหยิบพู่กันบนโต๊ะส่งให้นาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเขียนยาเพิ่มลงไปสองตัวบนเทียบยาเดิม ก่อนยื่นเทียบยากับพู่กันคืนให้ฉินอวี้ 


 


 


           ฉินอวี้เก็บเทียบยาเข้าแขนเสื้อ ก่อนเอ่ยขึ้นอีก “พี่เหยียนเฉินกลับมาแล้วหรือ หลายวันนี้เขาหายไปไหนมา” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า มิได้ปิดบังเช่นกัน “เขาไปภูเขาลับใกล้ๆ นี้” 


 


 


           “มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง” ฉินอวี้ตวัดตามองนาง  


 


 


           “ยี่สิบกว่าวันก่อนภูเขาลับถูกคนโจมตี กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว คนที่เหลือรอดมิทราบจำนวนอพยพย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่มีร่องรอยให้ตามต่อ” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วไตร่ตรอง หลังจากนั้นพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ยี่สิบกว่าวันก่อน…” หยุดเว้นช่วงก่อนตรัสอย่างคลุมเครือ “ทั้งหนานฉินมีเพียงคนเดียว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           “พรุ่งนี้คงหารือกันได้ข้อสรุป หลังหารือเสร็จ ข้าจะให้คนจากกรมอาภรณ์หลวงมาวัดตัวเจ้าเพื่อตัดเย็บอาภรณ์ของฮองเฮา” ฉินอวี้เปลี่ยนเรื่อง  


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “เจ้าชอบอาภรณ์ฮองเฮาแบบใด” ฉินอวี้ถามอีก 


 


 


           “อาภรณ์ของฮองเฮามิใช่มีกฎเกณฑ์ของหนานฉินหรือ หรือว่าข้าอยากได้แบบใดก็ตัดเย็บแบบนั้นได้” เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา  


 


 


           “ทำได้” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “ไม่เป็นไร ข้าไม่อยากตกเป็นเป้าโจมตี ตอนนี้ที่เหล่าคนซึ่งถูกขัดเกลาด้วยจริยธรรมยังมิออกมาโจมตีด้วยวาจาและปลายพู่กัน เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังมีสิ่งที่น่าชมเชยอยู่ หากออกนอกลู่นอกทางมากไป เจ้าจะเดือดร้อนเปล่าๆ” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางส่ายหน้า  


 


 


           ฉินอวี้อดมิได้ที่จะแย้มยิ้มออกมา นวดคลึงหว่างคิ้ว “เจ้าพูดมีเหตุผล” 


 


 


           “เจ้าไปทำงานเถอะ ถ้ามิทำแล้วก็ไปพักผ่อนเสีย พิธีราชาภิเษกมิใช่เรื่องเล่นๆ คงเหนื่อยน่าดู ส่วนเรื่องที่ม่อเป่ยยามนี้ข้ายังคิดกลยุทธ์ที่สมบูรณ์ไม่ออก ข้าจะคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง” เซี่ยฟางหวาโบกมือไล่  


 


 


            ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนลุกขึ้นยืน “เจ้าก็อย่าฝืนเกินไป ควรคิดให้น้อยลง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้ออกมาจากห้อง มิได้กลับไปที่ตำหนักตนเอง หากแต่มุ่งไปยังห้องทรงอักษร ระหว่างทางเขาสั่งเสี่ยวเฉวียนจื่อให้นำเทียบยาที่แก้ไขแล้วไปส่งที่ตำหนักเฟิ่งหลวน 


 


 


           หลังไทเฮาได้รับเทียบยาใหม่ก็ประทานรางวัลให้เสี่ยวเฉวียนจื่ออย่างอ่อนโยน ตรัสกับเขาว่า “ลำบากเจ้าวิ่งงานอีกรอบ ไปขอบคุณคุณหนูฟางหวาแทนข้า บอกว่าหากข้าหายดีเมื่อไรจะเชิญนางไปชมดอกไม้ที่อุทยานหลวง” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อรับคำแล้วออกไป 


 


 


           หลังเสี่ยวเฉวียนจื่อออกไปแล้ว ไทเฮาก็มองลายมือบนเทียบยา พินิจเป็นนานก็ตรัสกับหรูอี้ “เจ้าดูลายมือนี่สิ เทียบกับลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทมิติดเลย เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่ามาก” 


 


 


           หรูอี้ขยับเข้ามาใกล้ๆ กล่าวด้วยความนับถือชื่นชม “ลายมือแบบนี้น่าจะฝึกคัดมาตั้งแต่เด็ก มิรู้ว่าใช้เวลามากน้อยเท่าไรเพคะ” 


 


 


           ไทเฮาพยักพระพักตร์ “น่าเสียดายที่เป็นสตรี หากเป็นบุรุษล่ะก็ หนานฉินแห่งนี้เกรงว่าจะปล่อยตระกูลเซี่ยไว้มิได้” 


 


 


           “ไทเฮาคิดมากอีกแล้วนะเพคะ” หรูอี้บอกทันที 


 


 


           ไทเฮาพลันแย้มสรวลแล้วส่งเทียบยาให้หรูอี้ ก่อนที่หรูอี้จะนำไปเก็บ 


 


 


           กลางดึก ระหว่างที่ฉินอวี้อ่านสาส์นกราบทูลข้อราชการในห้องทรงหนังสือ เหยียนเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องทรงหนังสืออย่างไร้สุ้มเสียง ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังฉินอวี้ 

 

 

 


ตอนที่ 113-1 ทะเลาะกันใหญ่โต

 

       ฉินอวี้วางฎีกาลงทันใด หันกลับไปมองเหยียนเฉิน


 


 


           เหยียนเฉิงเองก็มองเขาตอบ


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็แย้มยิ้มเอ่ยขึ้น “พี่เหยียนเฉินมีวิทยายุทธ์ร้ายกาจโดยแท้ ตรงเข้ามาในห้องทรงอักษรโดยที่ผู้คุ้มกันและสายลับด้านนอกยังไม่รู้สึกตัว กว่าข้าจะรู้ตัวท่านก็มายืนอยู่ข้างหลังแล้ว หากท่านมีเจตนาสังหารข้า ป่านนี้ข้าคงตายไม่ก็บาดเจ็บสาหัสไปแล้ว”


 


 


           “ฝ่าบาทลดการป้องกันกว่าตอนเป็นรัชทายาท” เหยียนเฉินบอก


 


 


           “ในเมืองหลวงรวมถึงวังหลวงตอนนี้ นอกจากพี่เหยียนเฉินแล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเหยียบเข้ามาในห้องทรงหนังสือได้ ข้าทราบว่าพี่เหยียนเฉินมาแล้วก็มิได้จะทำร้ายข้าจึงมิจำเป็นต้องป้องกันตัว” ฉินอวี้แย้มยิ้ม


 


 


           เหยียนเฉินมองเขา พลันกล่าวขึ้นด้วยด้วยความคลุมเครือ “บางคนอวดตนว่ารอบคอบ ทว่าก็ยังประมาทฟางหวา ดังนั้นระวังจะแพ้แล้วแพ้อีก”


 


 


           ฉินอวี้เลิกพระขนง


 


 


           “ฝ่าบาทแม้มิได้รู้จักฟางหวาดีเท่าข้า แต่นับว่ามีใจซื่อสัตย์” เหยียนเฉินกล่าวอีก “มิน่านางถึงเลือกท่าน”


 


 


           ฉินอวี้มองเขาพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “พี่เหยียนเฉินมาคืนนี้ เพื่อบอกสิ่งนี้กับข้าโดยเฉพาะหรือ”


 


 


           เหยียนเฉินส่ายศีรษะ ก่อนปรับสีหน้าจริงจัง “ฟางหวาไม่อยากพบฉินเจิง ถึงทุ่มกำลังจากหอเทียนจีเก๋อก็เกรงว่าจะขัดขวางเขามิได้ หากฝ่าบาทมีเจตนาเดียวกัน มิสู้ร่วมมือกันเป็นเช่นไร”


 


 


           “แน่นอน” ฉินอวี้ตอบโดยไม่ลังเล “ข้าก็มิอยากให้เขากลับเมือง”


 


 


           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราหารือกันสักครา ข้าจะเคลื่อนไหวคืนนี้” เหยียนเฉินบอก


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า


 


 


           ทั้งสองหารือกันราวสองชั่วยาม กระทั่งเวลาล่วงเลยถึงกลางดึก เหยียนเฉินก็ออกมาจากห้องทรงอักษร ก่อนมุ่งหน้าออกจากวังหลวง


 


 


           หลังเขาออกไป ฉินอวี้ก็ยืนริมหน้าต่างมองหมอกหนาทึบเบื้องหน้า ยืนนิ่งเป็นนาน


 


 


           “ฝ่าบาท ดึกมากแล้ว ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อก้าวขึ้นมายืนข้างหลังฉินอวี้ ก่อนแนะเสียงเบา


 


 


           “เสี่ยวเฉวียนจื่อ ช่วงนี้ไต้ซือผู่อวิ๋นแห่งวัดฝ่าฝอซื่อกำลังทำสิ่งใดอยู่” ฉินอวี้พลันเอ่ยถาม


 


 


           เสี่ยวเฉวียนจื่อชะงัก ก่อนรีบทูลกล่าว “ทูลฝ่าบาท อดีตฮ่องเต้สวรรคต วัดฝ่าฝอซื่อกำลังประกอบพิธีเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน*[1] เพื่อสวดส่งวิญญาณอดีตฮ่องเต้ ไต้ซือผู่อวิ๋นก็อยู่ในวัดด้วย หลังเหตุเพลิงไหม้ก็เก็บตัวตลอดเวลา หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคตถึงออกมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า


 


 


           “ไฉนจู่ๆ จึงทรงถามถึงไต้ซือผู่อวิ๋น อยากพบเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเฉวียนจื่อหยั่งเชิงถาม


 


 


           ฉินอวี้หัวเราะเสียงหนึ่ง “เรากำลังนึกถึงครั้งยังเป็นเด็ก ไต้ซือผู่อวิ๋นทำนายดวงชะตาให้ข้ากับฉินเจิง ผลทำนายบอกถึงเคราะห์รักของพวกเรา เราเคยคิดว่าไต้ซือผู่อวิ๋นนั้นแสวงหาลาภยศสักการ การทำนายมิน่าเชื่อถือ ไม่คิดเลยว่าเมื่อสถานการณ์ผันเปลี่ยน กลับกลายเป็นความจริง”


 


 


           “ทรงหมายถึงคุณหนูฟางหวา” เสี่ยวเฉวียนจื่อกล่าวเสียงเบา


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า แย้มยิ้มเอ่ย “ตอนกลับจากม่อเป่ยข้าถูกขัดขวางตลอดการเดินทาง ฟางหวาพบข้าก็ลงมือสังหารอย่างเลือดเย็น ยามนี้ถึงคราวที่เขาต้องลิ้มรสชาตินั้นบ้างแล้ว”


 


 


           เสี่ยวเฉวียนจื่อลอบทอดถอนใจ มิกล่าวคำใดอีก


 


 


           “กลับตำหนักเถิด” ฉินอวี้หมุนตัวเดินออกจากห้องทรงหนังสือ มุ่งไปยังตำหนักบรรทม


 


 


           เหยียนเฉินออกจากห้องทรงหนังสือแล้วก็ออกจากวังหลวงทันที เซี่ยฟางหวาทราบข่าวอย่างรวดเร็ว นางตวัดฝ่ามือดับตะเกียงแล้วเข้านอน


 


 


           วันที่สองของการว่าราชการยามเช้า ต้องหารือเรื่องแต่งตั้งฮองเฮาในวันราชาภิเษกอีกครั้ง


 


 


           ระหว่างที่ยังคงถกเถียงกันมิได้ข้อสรุป ไทเฮาก็เสด็จมา


 


 


           เหล่าขุนนางต่างผงะตกใจ ถึงอย่างไรวังหลังก็ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง ไทเฮาครั้งยังเป็นอดีตฮองเฮานั้นเคยเข้ามาในโถงราชสำนักครั้งหนึ่ง มาด้วยเรื่ององค์ชายสี่ฉินอวี้วางเพลิงเผาราชวัง ยามนี้นางในฐานะไทเฮาปรากฏตัวในโถงราชสำนักเป็นครั้งที่สองหลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต ทุกคนล้วนคาดเดา มิทราบว่ามาด้วยเรื่องใด


 


 


           ฉินอวี้หยุดเมื่อไทเฮาเสด็จมาถึง แววตาอ่อนโยนลงหลายส่วน ยกมือขึ้น “เชิญไทเฮา”


 


 


           ไม่นาน ไทเฮาก็ทรงก้าวเข้ามาในโถงราชสำนัก


 


 


           เหล่าขุนนางแบ่งเป็นสองแถว แม้การที่ไทเฮาเข้าว่าราชการมิเหมาะสมนัก แต่เหล่าขุนนางก็ยังคงทำความเคารพ “ถวายพระพรไทเฮา”


 


 


           “ทุกคนตามสบาย” ไทเฮายกพระหัตถ์ กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง “เมื่อวานข้าได้ยินว่าในราชสำนักหารือกันเรื่องฝ่าบาทราชาภิเษกควบคู่กับการแต่งตั้งฮองเฮา แต่ยังถกเถียงถึงเรื่องนี้กันมิยอมเลิกรา กับเรื่องราชาภิเษกนั้น ด้วยพระราชโองการสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ ย่อมไม่มีส่วนใดให้วิจารณ์ ข้าเป็นสตรีมิควรมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารราชสำนัก ดังนั้นจึงมิสอดปากกล่าวแล้ว แต่เรื่องแต่งตั้งฮองเฮานั้น เกี่ยวข้องกับราชสำนักและเกี่ยวพันไปถึงวังหลังด้วย ข้าคิดว่าจะวางตัวเฉยมิได้”


 


 


           เหล่าขุนนางฟังแล้วก็ทราบทันทีว่าไทเฮาเสด็จมาด้วยเรื่องแต่งตั้งฮองเฮา ต่างพากันเดาว่ามิรู้ว่าไทเฮาจะทรงเห็นด้วยหรือต่อต้านกันแน่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวว่าไทเฮาทรงมิโปรดเซี่ยฟางหวา แต่ทรงโปรดหลี่หรูปี้ยิ่ง ทว่าตอนนี้หลี่หรูปี้ถอนหมั้นกับฝ่าบาทแล้ว เช่นนั้นตอนนี้นางจะมีทัศนคติเช่นไร


 


 


           “ครั้นอดีตฮ่องเต้ประชวรหนัก ก็ทรงเป็นห่วงเรื่องการอภิเษกสมรสของฝ่าบาทตลอดมา ก่อนสวรรคตก็เห็นฝ่าบาทเสด็จกลับมาพร้อมคุณหนูฟางหวา จึงเบาพระทัยลงในที่สุด และจากไปอย่างสงบ” ไทเฮาเอ่ยค่อยๆ “ข้าคิดว่าเรื่องแต่งตั้งฮองเฮานั้นมิควรทะเลาะกันใหญ่โต ฮองเฮาของฝ่าบาทต้องเป็นเพียงเซี่ยฟางหวาเท่านั้น นางไปตามหาสมุนไพรดำม่วงโดยไม่กังวลว่าจะบาดเจ็บสาหัสระหว่างรอออกเรือน รับช่วงต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่เมืองหลินอัน ช่วยเหลือประชาชนแสนกว่าชีวิตที่นั่น ทั้งความสามารถและรูปลักษณ์เพียบพร้อม งดงามด้วยคุณธรรม เป็นแบบอย่างของพระมารดา”


 


 


           ทุกคนฟังแล้วก็มองหน้ากัน ก่อนมองไปยังฝ่าบาทที่ทรงกำลังนั่งอย่างสง่างาม คิดในใจว่าการกระทำของไทเฮานั้นเหนือความคาดหมายแต่ก็อยู่ในความคาดหมายเช่นกัน ไทเฮาแม้ปกป้องโอรสได้มิมากเท่าพระชายาอิงชินอ๋อง แต่ก็ทำเพื่อฝ่าบาทก่อนเสมอ ในอดีตเคยบุกโถงราชสำนักก็เพื่อพระองค์ วันนี้ก็เพื่อแต่งตั้งฮองเฮาให้พระองค์ เป็นสองครั้งที่เข้าราชสำนัก ท่าทีเช่นนี้ของไทเฮานับว่าอุดปากเหล่าขุนนางได้อยู่หมัด


 


 


           หลังไทเฮาเอ่ยจบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวขึ้นมาสมทบเมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดสิ่งใด “ฝ่าบาท ไทเฮาเอ่ยมีเหตุผล คุณหนูฟางหวามีคุณธรรมและรูปลักษณ์เพียบพร้อม เหมาะที่จะเป็นพระมารดาของแผ่นดินพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           เพียงเขาเอ่ยปากขึ้น ขุนนางครึ่งหนึ่งก็ก้าวออกจากแถวอย่างคล้อยตาม


 


 


           อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือล้วนหันไปมองอิงชินอ๋อง


 


 


           อิงชินอ๋องจนใจ เวลานี้มิอาจเอ่ยปากแย้งได้แล้วเช่นกัน เขาแอบคิดว่าถึงเขาต่อต้านเรื่องนี้ แต่เกรงว่าก็ไม่เป็นผลเช่นกัน วันนี้ไทเฮาเสด็จมาเอง อ้างถึงอดีตฮ่องเต้ แล้วเขาจะต่อต้านอีกได้อย่างไร ก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคต เซี่ยฟางหวากลับเมืองมาพร้อมฝ่าบาท เฝ้าด้านในตำหนักบรรทมฮ่องเต้ทั้งคืน เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคน


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่กล่าวขึ้นมา “ฝ่าบาท ในเมื่อ…”


 


 


           เขาเพิ่งอ้าปากกล่าว ด้านนอกพลันมาคนแล่นเข้ามา คุกเข่าทูลรายงาน “ฝ่าบาท พระชายาอิงชินอ๋องขออนุญาตเข้ามาในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ทุกคนตกตะลึง


 


 


           “วุ่นวาย โถงราชสำนักไฉนเลยจะอนุญาตให้สตรีเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำอีก เจ้าออกไปบอกนางว่าไม่อนุญาตให้เข้ามา หากมาหาข้า รอเลิกประชุมแล้วค่อยคุยกัน” อิงชินอ๋องเห็นท่าไม่ดีก็รีบกล่าวขึ้น


 


 


           “ท่านอ๋อง ในมือพระชายาถือกระบี่มาด้วย บอกว่าหากฝ่าบาทมิทรงอนุญาตให้นางเข้ามาในตำหนัก นางสาบานว่าจะบุกเข้ามาให้จงได้ขอรับ” คนนั้นรีบกล่าว


 


 


           “นางนี่ช่าง…” อิงชินอ๋องกล่าวไม่ออกชั่วขณะ หันหลังไปขออนุญาต “ฝ่าบาท ขอทรงอนุญาตให้กระหม่อมออกไปขวางนางด้วยเถิด”


 


 


           ฉินอวี้มิได้ตอบรับอิงชินอ๋อง แต่เอ่ยถามคนมารายงานที่คุกเข่าอยู่ “พระชายายังบอกอันใดอีก”


 


 


           “พระชายาบอกว่า นางได้รับความไม่เป็นธรรมครั้งใหญ่ อยากฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นกล่าวพลางก็ตัวสั่นระริกขึ้นมา “บอกว่าหาก…ฝ่าบาทมิทรงอนุญาตให้นางเข้ามาในตำหนัก นางก็จะสังหารแล้วเข้ามาให้ได้ หากเข้ามามิได้ ก็จะไปปลุกปั่นร้องทุกข์…”


 


 


           เหล่าขุนนางตะลึงอีกหน อดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องยังจะฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้ นี่…


 


 


           นี่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ มิเคยพบเห็น มิเคยได้ยิน


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ยังบอกอันใดอีกหรือไม่”


 


 


           คนนั้นส่ายหน้าตอบด้วยตัวสั่นเทา


 


 


           “ไป เชิญพระชายาเข้ามาในตำหนัก” ฉินอวี้ยกมือสั่ง


 


 


           คนผู้นั้นลุกขึ้น ก่อนถอยกลับออกไปนอกตำหนักใหญ่


 


 


           หัวใจของอิงชินอ๋องแกว่งขึ้นมาถึงลำคอและดวงตา จับจ้องไปยังตำหนักใหญ่ กลัวว่าพระชายาจะใช้นิสัยเดิมที่มิแยแสสิ่งใดทั้งนั้น ถึงตอนนั้นเรื่องราววุ่นวายจนจัดการมิได้ ราษฎรใต้หล้ามีหรือจะไม่หัวเราะเยาะราชวงศ์กับราชนิกุล


 


 


           ไม่นานพระชายาอิงชินอ๋องก็เข้ามาในตำหนัก ในมือนางมีกระบี่อยู่เล่มหนึ่งจริง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ นางที่ในเวลาปกติแลดูอ่อนโยน ตอนนี้มองแล้วมีแต่ความมุ่งมั่นตั้งใจหลายส่วน


 


 


           ขุนนางอาวุโสทั่วไปในราชสำนักล้วนจำท่วงท่าอันสง่างามของพระชายาอิงชินอ๋องและฮูหยินของซื่อจื่อจวนจงหย่งโหวในตอนนั้นได้ดี สองบุตรีของตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิงกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ เพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ เรื่องบุ๋นมิตกเป็นรองปัญญาชนตระกูลใหญ่ในตอนนั้น เรื่องบู๊มิได้ด้อยกว่าแม่ทัพใหญ่ในราชสำนักตอนนั้นด้วย สตรีมิได้ด้อยกว่าบุรุษ ตอนนั้นมิทราบว่าเป็นที่หมายปองของใครกี่คน ยามนี้พระชายาอิงชินอ๋องยังคงเสน่ห์ของหญิงสาวเหมือนเก่า


 


 


           หลังพระชายาอิงชินอ๋องเข้ามาในตำหนักก็มองไทเฮาแวบหนึ่ง ก่อนทิ้งกระบี่ในมือลง


 


 


           “ท่านป้า เรื่องใดทำให้ท่านโกรธจัดถึงเพียงนี้” ฉินอวี้มองพระชายาอิงชินอ๋องด้วยความอ่อนโยน


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังฉินอวี้ที่อยู่ด้านบนสุด บัลลังก์ทองคำประจำตำแหน่งจักรพรรดิขับรัศมีให้แก่พระองค์ โอรสสวรรค์วัยหนุ่ม กลับมีความน่าเกรงขามมิได้แพ้ฮ่องเต้ที่ปกครองแผ่นดินมาอย่างยาวนานแม้แต่น้อย นางระงับโทสะบนกาย แล้วกล่าวเสียงเรียบ “หม่อมฉันอยากฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้ ฉินเจิงลูกชายหม่อมฉันกับลูกสะใภ้เซี่ยฟางหวายังรักกันอยู่ดีๆ แท้ๆ สมรสกันอย่างถูกต้อง บุญคุณความรักมิขาด ทว่าพระราชโองการหย่าร้างขออดีตฮ่องเต้ทำให้สามีภรรยาต้องพรากจากกัน ท่านอ๋องใจอ่อนมีคุณธรรม มิเคยวิจารณ์อดีตฮ่องเต้ แต่หม่อมฉันเป็นสตรีคนหนึ่ง เห็นลูกชายมาก่อนสิ่งใด ต่อให้อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังอยู่ ขอฝ่าบาทตัดสินให้หม่อมฉัน เรียกพระราชโองการหย่าร้างกลับแทนอดีตฮ่องเต้ คืนความสุขให้แก่ลูกชายหม่อมฉันกับลูกสะใภ้ด้วยเถิด”


 


 


           เหล่าขุนนางต่างพากันสูดหายใจเอาอากาศเย็นเยียบเข้าไป


 


 


           อิงชินอ๋องถลึงตามองพระชายา คิดในใจว่านางไฉนเลยถึงคิดไม้ตายเช่นนี้ขึ้นมาได้ ฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้มิพอ นึกไม่ถึงว่ายังมีเหตุผลให้พิสูจน์ได้ นี่…มิเคยมีมานับแต่โบราณกาล


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายร้อนรนขึ้นมาทันที มองขึ้นไปแวบหนึ่ง พบว่าหน้าของฉินอวี้แม้เป็นปกติ ทว่าใต้พระเนตรนั้นดำคล้ำแล้ว เขารีบก้าวขึ้นมากล่าวเสียงดัง “พระชายา อดีตฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการตั้งหนึ่งเดือนก่อนแล้ว อดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคตได้ไม่เกินเจ็ดแปดวัน หลังประกาศพระราชโองการหย่าร้างออกไป เหตุใดท่านถึงมิเข้าตำหนักมาฟ้องร้องอดีตฮ่องเต้ตั้งแต่ตอนนั้น ยามนี้กลับให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันตัดสินให้ท่าน ท่านมีหรือจะไม่รู้ว่าบุตรมิอาจตำหนิบิดามารดาต่อหน้าผู้อื่น ท่านกระทำเช่นนี้ จะให้ฝ่าบาททรงอยู่ในตำแหน่งใด”


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องหันไปมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายโดยตรง “เวลานั้นท่านอ๋องเอาแต่ผูกมัดข้า มิอนุญาตให้ข้าเข้าราชสำนัก เพื่อมิให้อาการประชวรของอดีตฮ่องเต้สาหัสขึ้น เดิมทีข้าอยากค่อยๆ กล่าวถึงเรื่องนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แต่นึกไม่ถึงว่าอดีตฮ่องเต้จะด่วนจากไปไวเช่นนี้ ยามนี้ฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งหวาเอ๋อร์เป็นฮองเฮา ข้าทนมิไหวแล้วเช่นกัน”


 


 


           “แรกเริ่มคุณหนูฟางหวาออกจวนไปจากเมืองหลวงเอง อดีตฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการหย่าร้างตามมาทีหลัง ย่อมเป็นเพราะความรักระหว่างนางกับท่านอ๋องน้อยเจิงเกิดรอยร้าว มิฉะนั้นเหตุใดคุณหนูฟางหวาถึงออกจวนไปจากเมืองเพียงลำพังด้วย พระชายา นี่เป็นเรื่องของราชสำนัก ฝ่าบาทมีกิจบ้านเมืองรัดกาย ยามนี้ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ตลอดมาท่านเข้าใจทุกสิ่งชัดแจ้ง วันนี้อย่าได้มาก่อกวนราชสำนักเพียงเพราะเรื่องในบ้านตนเองที่ไม่ปรองดองกันเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว


 


 


           “ปากของเสนาบดีฝ่ายซ้ายนี่ช่างร้ายกาจนัก ท่านพูดว่ากิจบ้านเมือง ฝ่าบาทราชาภิเษกเป็นกิจบ้านเมืองมิผิด ข้าซึ่งเป็นสตรีย่อมมิอาจถกเถียง แต่ท่านชี้แนะให้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮาอย่างเต็มที่ สนับสนุนหวาเอ๋อร์ แต่นางเป็นลูกสะใภ้ของข้า ถูกอดีตฮ่องเต้ออกพระราชโองการหย่าร้างด้วยความคลุมเครือ นี่เป็นเรื่องในบ้านของข้า แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งฮองเฮากับเรื่องในบ้านข้าผสมเข้าด้วยกัน ข้าย่อมต้องมาต่อต้านสักครา” พระชายาอิงชินอ๋องพลันเกิดโทสะ มองเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยแววตาเย็นชา


 


 


 


 


 


 


[1] *พิธีเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน มีต้นกำเนิดมาจากพุทธศาสนา เชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับการพิพากษาภายในระยะเวลาสี่สิบเก้าวัน หากทำดีก็ได้ขึ้นสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรก หลายคนยังต้องชดใช้กรรมกว่าจะได้ไปเกิด พิธีนี้จึงจัดขึ้นเพื่อสวดมนต์ช่วยให้คนตายพ้นเคราะห์ในสี่สิบเก้าวันนี้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม