จำนนรักชายาตัวร้าย 110.1-111.2

ตอนที่ 110-1 เมืองหลวงเกิดเรื่อง

 

แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะปกปิดเอาไว้อย่างดี แต่อวี้เฟยเยียนก็ยังฟังออกถึงความเศร้าสร้อยจากน้ำเสียงเขา


 


 


นางไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยื่นมือออกไปโอบกอดซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ มือน้อยๆ ลูบหลังปลุกปลอบเขาแผ่วเบา แสดงความห่วงใยรักใคร่ผ่านการกระทำที่ไร้เสียงนี้


 


 


“หนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้ตามหาพวกเราได้รวดเร็วปานนี้ นี่พวกเขาอยากที่จะจัดการซย่าโหวฉิงเทียนให้ถึงที่ตายเพียงนี้เชียวหรือ”


 


 


ซึ่งถึงแม้ว่าอวี้เฟยเยียนจะไม่ได้เอ่ยวาจาทวงความยุติธรรมใดๆ ออกมา แต่บัญชีนี้นางได้จดจำเอาไว้แล้ว


 


 


อยากจะฆ่าผู้ชายของนางอย่างนั้นหรือ


 


 


ข้าไม่ขยี้พวกเจ้าให้แหลกคามือไม่ขอชื่ออวี้เฟยเยียน!


 


 


“พี่ไม่เป็นไร…”


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนใช้วิธีการราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยอยู่ปลอบประโลมเขา ซย่าโหวฉิงเทียนก็หัวเราะออกมา


 


 


“จริงนะ มีเรื่องไม่สบายอะไรต้องบอกข้านะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาที่แสนอ่อนโยนชุ่มชื่นคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา มันสุกใสแวววาวราวกับกับกวางน้อยก็ไม่ปาน


 


 


คราวนี้ ทำเอาหัวใจซย่าโหวฉิงเทียนอ่อนยวบ ราวกับว่าไม่ว่าในใจเขาจะมีเรื่องอะไรอยู่ก็ตามแต่ ทว่าเมื่อได้เห็นหน้าอวี้เฟยเยียนหัวใจเขาก็จะสงบลง แมวน้อยเขาทำไมถึงทำให้คนหลงรักได้มากถึงเพียงนี้นะ!


 


 


“พี่เป็นผู้ชาย!”


 


 


ด้วยรู้ว่านางเป็นห่วงเป็นใยเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตักด้วยท่าทีสบายๆ


 


 


“ผู้ชายนะ มีเรื่องอะไรก็ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะไม่ทำให้ผู้หญิงต้องเป็นห่วง!”


 


 


“เหลวไหลทั้งเพ!”


 


 


เมื่อเห็นท่าทีความเป็นผู้ใหญ่ของซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนั้น ก็ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง


 


 


“หัวใจคนมีเลือดเนื้อ รู้สึกรักและเจ็บเป็น! หัวใจท่านมิได้ทำจากหินเสียหน่อย!”


 


 


“ฉิงเทียน ท่านเป็นที่พึ่งพิงของข้า ขณะเดียวกันข้าก็เป็นที่พึ่งพิงของท่านเช่นเดียวกัน! หากว่าท่านเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า ขอให้ท่านพักเหนื่อยกับข้า! ถึงแม้บ่าของข้าจะไม่กว้างเท่าไร แต่ก็สามารถกำบังลมกำบังฝนให้ท่านได้นะ!”


 


 


กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็ใช้มือกุมศีรษะเขาเอาไว้รั้งเข้ามาใกล้ จุมพิตที่พวงแก้มเขาครั้งหนึ่ง


 


 


“ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่บอกคนอื่นเด็ดขาด! ต่อหน้าคนอื่น ข้าจะรักษาภาพลักษณ์นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ของท่านเอาไว้!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีจิตใจกำลังเศร้าหมองเมื่อได้ยินคำพูดนั้นเข้าไป ในที่สุดก็ยิ้มออกมา


 


 


“แมวน้อย เจ้าเป็นเสียอย่างนี้ แล้วจะให้พี่ตัดใจปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกอดอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่น กลิ่นหอมหวานลอยเข้ามาปะทะจมูกเขา


 


 


มีเจ้าอยู่ ช่างดีจริงๆ เลย!


 


 


อวี้เฟยเยียนตั้งใจที่จะเป็นที่พึ่งพิงให้กับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยใจจริง มิใช่เอ่ยไปเรื่อยแต่อย่างใด


 


 


เดิมทีนางตั้งใจที่จะออกมาท่องเที่ยวชมทิวทัศน์แห่งฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มที่ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจ ทำให้อวี้เฟยเยียนตัดสินใจใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกวิชา


 


 


เพราะหากว่า เอาแต่มีความคิดอย่างเดียวมิลงมือปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เท่ากับเปล่าประโยชน์!


 


 


ข้ารักท่าน จึงจะต้องใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์!


 


 


สกุลหนานกงสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตระกูลทั้งแปดแห่งอู่โยวได้ ย่อมต้องมีเหตุผล


 


 


ในตอนนี้นางเป็นเพียงปรมาจารย์เท่านั้น ถึงแม้ว่าบนแผ่นหลัวอวี่จะเก่งกาจสักเพียงใด แต่หากเป็นที่เมืองอู๋โยวแล้วถือว่ายังอ่อนหัดยิ่งนัก


 


 


ต้องการที่กำจัดสกุลหนานกงให้สิ้นซาก จึงจำเป็นจะต้องเพียรพยายามให้มากเสียแล้ว!


 


 


อวี้เฟยเยียนราวกับกินดีหมีหัวใจเสือมาอย่างไรอย่างนั้น นางเอาแต่ฝึกซ้อมวรยุทธ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งก็เป็นการกระตุ้นเชียนเยี่ยเสวี่ยอย่างแรงกล้า


 


 


นางและอวี้เฟยเยียนเป็นสหายที่สนิทสนมกันยิ่งนัก ซึ่งได้ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าจะท่องยุทธภพไปด้วยกัน แล้วนางจะเป็นตัวถ่วงของเพื่อนได้อย่างไร!


 


 


ดังนั้น การท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิก็เป็นอันต้องแปรเปลี่ยนไป


 


 


อวี้เฟยเยียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีหนานกงจื่อหลิงที่นั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังมองดูด้วยความอิจฉา ในใจก็ครุ่นคิด


 


 


ตัวนางเองสำเร็จเพียงขั้นอ๋อง เทียบกับหญิงสาวสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่แล้วยังห่างไกลกันมากนัก นางมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางเลยด้วยซ้ำ


 


 


“พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ท่านรู้สึกมีความกดดันบ้างไหม”


 


 


อวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นปรมาจารย์มาเป็นเวลานานแล้ว ฝ่ายหญิงวรยุทธ์สูงกว่าฝ่ายชายเสียอีก ไม่รู้ว่าพี่ชายที่แสนเย่อหยิ่งทนงตนของนางจะรับไหวหรือไม่!


 


 


“ไม่หรอก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหรี่ตาลงด้วยท่าทีเกียจคร้าน ในตอนนั้นเองพิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินเข้ามา มันบินวนอยู่บนท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วจึงบินลงมาเกาะที่บ่าของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ไปเถอะ ข้ารู้แล้ว!”


 


 


พิราบตัวนั้นราวกับฟังเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ย มันกางปีกบินออกไปทันที


 


 


“พิราบสื่อสาร! พี่ใหญ่ท่านเนี่ยอดเยี่ยมชะมัด นี่ท่านสามารถฝึกปรือพิราบสื่อสารได้ด้วยหรือนี่!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยสายตานับถือเทิดทูน


 


 


ได้ยินคำว่า ‘พิราบสื่อสาร’ คำนี้ขึ้นมา ฉับพลันก็ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยคิดถึงช่วงเวลาขณะที่อยู่ที่ฉินจื้อ ตี้อู่เฮ่ออีรบเร้าซย่าโหวฉิงเทียนหลายต่อหลายครั้งให้เขาช่วยฝึกฝนพิราบราบสื่อสารให้เขาสักตัว


 


 


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าทึ่มนั่นกำลังทำอะไรอยู่นะในตอนนี้!


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยเหม่อลอย จนถูกอวี้เฟยเยียนเล่นงานจนล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย


 


 


“เจ้าเหม่อลอย!”


 


 


ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปดึงเชียนเยี่ยเสวี่ยขึ้นมา จากนั้นอี้เฟยเยียนก็ฉีกยิ้ม


 


 


“เสวี่ย เมื่อครู่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ”


 


 


“ไม่มีอะไร!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยมีท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย


 


 


ให้ตายเถอะ ในเวลาเช่นนี้ไปคิดถึงหมอนั่นทำไมกัน!


 


 


“ข้อแก้มืออีกครั้ง!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวขึ้นอย่างไม่ยินยอม


 


 


“ไม่ดีกว่า…”


 


 


อวี้เฟยเยียนไม่ได้เอ่ยปากกล่าวแบไต๋เชียนเยี่ยเสวี่ยแต่อย่างใด


 


 


“ข้ารู้สึกใกล้สำเร็จขึ้นมาทุกที ข้าอยากจะไปทำสมาธิให้ตกผลึกเสียหน่อย”


 


 


กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็กลับเข้าห้องของตนเอง ราวกับพระเข้าฌานก็ไม่ปาน


 


 


ด้วยรู้ว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาสำคัญ เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงสงบสติอารมณ์ ทว่าในในใจก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา


 


 


เพราะอะไรต่างก็เป็นคนเหมือนกัน เหตุใดอวี้เฟยเยียนถึงได้สำเร็จขั้นได้รวดเร็วกว่านางมากมายมหาศาล


 


 


มีสหายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก!


 


 


ไม่พยายามไม่ได้แล้ว!


 


 


การเก็บตัวฝึกวิชาในครั้งนี้ของอวี้เฟยเยียน นั่งอยู่สองวันเต็มๆ


 


 


จนกระทั่งนางลืมตาตื่นขึ้น เวลาก็ล่วงเลยไปจนดึกสงัด นางมองเห็นซย่าโหวฉิงเทียนจุดตะเกียง นั่งอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงนางขยับเขยื้อน เขาก็หันมองมา


 


 


“หากให้พี่ทายละก็ เจ้าสำเร็จถึงปรมาจารย์ชั้นกลางแล้วใช่ไหม”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเขยิบมานั่งข้างเตียง กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มขณะที่มองมาที่อวี้เฟยเยียน


 


 


อวี้เฟยเยียนพึงพอใจกับการนั่งสมาธิเข้าฌานของตนเองเป็นอย่างมากจึงร้องขึ้น


 


 


“ทายผิดแล้ว ข้าสำเร็จถึงขั้นปลายของปรมาจารย์แล้วต่างหาก!”


 


 


“ขั้นปลายของปรมาจารย์!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะทำสีหน้าราวกำลังบ่งบอกว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว


 


 


นึกไม่ถึงว่าอวี้เฟยเยียนจะพัฒนาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!


 


 


เห็นทีเขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนางเสียแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 110-2 เมืองหลวงเกิดเรื่อง

 

 “เช่นนี้ อีกไม่นานเราสองคนก็สามารถฝึกร่วมได้แล้วนะสิ!”


 


 


ในขณะนั้นอวี้เฟยเยียนเชิดใบหน้าขึ้น รอคอยคำชมเชยจากเขา! ใครจะคาดคิดว่าที่ได้มาคือประโยคนี้!


 


 


ทันใดนั้นนางก็ผลักซย่าโหวฉิงเทียนออก ใบหน้าแดงซ่านรีบลงจากเตียงทันที


 


 


“ใครจะฝึกร่วมกับท่านกัน! คนลามก…”


 


 


อวี้เฟยเยียนบ่นกระปอดกระแปด แล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่เขากำลังอ่านอยู่เมื่อครู่


 


 


นี่มัน…‘ชุนกงถู’ !


 


 


ที่ซย่าโหวฉิงเทียนตั้งหน้าตั้งตาอ่านศึกษาอย่างตั้งใจ ที่แท้แล้วคือเจ้าสิ่งนี้นั่นหรอกหรือนี่


 


 


วินาทีนั้นอวี้เฟยเยียนถึงสมองมึนงงไปชั่วขณะ นี่จะรักและกระเ**้ยนกระหือรือที่จะเรียนรู้มากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง มิน่าแค่เอ่ยปากมาก็ฝึกร่วมทันที!


 


 


“ท่านไปเอาเจ้านี่มาจากไหนกัน”


 


 


อวี้เฟยเยียนชี้มือไปที่ ‘ชุนกงถู’ เพิ่งเอ่ยคำนั้นออกไป นางก็แทบอยากที่จะกัดลิ้นตัวเองนัก


 


 


นางลืมไปได้อย่างไรว่า ซย่าโหวฉิงเทียนมีบิดาที่แสนตลกขบขันเช่นฝ่าบาทนี่นา เรื่องที่ไม่มีสาระอย่างนี้ จะต้องเป็นฝีมือของซย่าโหวจวินอวี่เป็นแน่


 


 


“เสด็จพี่มอบให้มา แล้วพี่ก็คิดว่าภาพนี้งดงามที่สุด เลยนำมันมามอบให้เจ้า…”


 


 


“ข้าไม่ต้องการ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนไม่แม้แต่จะหยุดคิด นางก็เอ่ยปฏิเสธออกไปทันที


 


 


จะชั่วดีอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวจากโลกอนาคต ทั้งยังเป็นหมออีกด้วย ดังนั้นเรือนร่างสรีระของมนุษย์นางย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดีอยู่แล้ว อีกทั้งพวกสื่อการเรียนการสอนชั้นดีของญี่ปุ่นเหล่านั้น ก็เคยดูมาบ้าง จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพา ‘ชุนกงถู’ มาชี้แนะนำพาเลยสักนิด


 


 


“ของขวัญที่มอบให้ไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะรับกลับคืน”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่สนใจว่าอวี้เฟยเยียนจะรับหรือไม่ เขาจัดแจงหยิบภาพนั้นขึ้นมาแล้วยัดใส่มือของอวี้เฟยเยียนทันที


 


 


คนทั้งสองผักดันกันไปมา จนภาพวาดเหล่านั้นหล่นไปบนพื้น กลิ้งหลุนๆ จนคล้ายออกในที่สุด ภาพทั้งชุดกางแผ่หลาอยู่บนพื้น


 


 


โอว้!


 


 


เพียงแค่เหลือบสายตามองไป อวี้เฟยเยียนก็พบเข้ากับท่าทางที่มีความยากสูงเข้าทันที


 


 


พันเกี่ยวเลี้ยวรัดกันจนจะเป็นหมาฮวา[1]อยู่แล้ว เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ!


 


 


มองดูอยู่นานจนอวี้เฟยเยียนอดมิได้ที่จะต้องนับถือว่า ภาพอย่างว่าอย่างชุนกงถูในสมัยโบราณช่างมีความหมายลึกซึ้งกว้างใหญ่ไพศาลชะมัด หนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นถือว่าเด็กไปเลย เนื้อหาด้านในของชุนกงถูลึกล้ำชนิดที่ว่านางนึกไม่ถึงทีเดียว!


 


 


“แมวน้อย…”


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนจ้องมองชุนกงถูตาไม่กะพริบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็โอบกอดนางเอาไว้ แล้วชี้ไปที่หนึ่งในท่วงท่าเหล่านั้น


 


 


“พี่อยากจะทดลองท่านี้กับเจ้า!”


 


 


“ท่านี้นะหรือ”


 


 


อวี้เฟยเยียนจ้องมองชุนกงถูอย่างตั้งใจมากเกินไป จึงมิทันได้ระวังน้ำเสียงของตนเอง


 


 


แล้วก็เป็นจริงเช่นนั้น ได้ยินน้ำเสียงของนางที่เปล่งออกมาราวกับไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยิ้มออกมาเอ่ยว่า


 


 


“จริงๆ แล้ว พี่อยากจะทดลองกับเจ้าทุกท่าเลย! แต่อยากจะลองท่านี้ที่สุด!”


 


 


มองตามนิ้วที่ชี้ไปของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็พบว่าด้านข้างของภาพเขียนอักษรเอาไว้ว่า ‘กวนอิมนั่งดอกบัว’


 


 


วินาทีนั้นทำเอาหัวสมองของอวี้เฟยเยียนแทบจะระเบิดออกมา มันอื้ออึงมึนงงไปหมด


 


 


พี่ชายท่านนี้ ท่านอาศัยใบหน้าที่หล่อเหลาไรที่ติมาถกเรื่องท่วงท่าในการร่วมหอกับข้าด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน แบบนี้ก็ได้หรือ


 


 


อีกอย่างในฐานะชายบริสุทธิ์วัยกลางคน เมื่อได้เห็นภาพกระตุ้นอารมณ์ทุกสัดส่วนเช่นนี้ ท่านก็ควรที่จะเกิดอารมณ์ความต้องการอย่างท่วมท้นมิใช่หรือ


 


 


แล้วเหตุใดท่านถึงได้เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ เรียบเฉยเช่นนี้ ราวกับกำลังกล่าวถามข้าว่าวันนี้จะกินอะไรอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ในเวลาแบบนี้ท่านมิควรจะกลายร่างเป็นจิ้งจอก โผล่เข้าหาข้าแล้วผลักให้ล้มลงหรอกหรือ


 


 


ฉิงเทียน ท่านกำลังเหย้าข้าอยู่นะ


 


 


อวี้เฟยเยียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


มองดูใบหน้าน้อยๆ ของอวี้เฟยเยียนที่ราวกับกำลังคั่งแค้นโกรธเคืองเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบขยับเข้าไปใกล้ แล้วงับที่จมูกของนางแผ่วเบา


 


 


“เจ้าสำเร็จถึงขั้นปรมาจารย์ช่วงปลาย ห่างจากขั้นวีรชนอาวุโสไม่มากแล้ว พี่จะอดทนเอาไว้!”


 


 


“อย่ากัดจมูกของข้า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเอื้อมมือออกไปผลักซย่าโหวฉิงเทียนให้พ้นทาง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ตนเองหลงรักการกัดจมูกน้อยๆ ของอวี้เฟยเยียนเข้าให้แล้ว ทุกครั้งที่กัดใช้แรงเพียงน้อยนิด ทว่ากลับทำให้รู้สึกคันยุบยิบ น่ารำคาญเป็นที่สุด


 


 


“เด็กดี! อย่าขยับนะ!”


 


 


ถูกอวี้เฟยเยียนผลักไสเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนอารมณ์บูดเล็กน้อย น้ำเสียงเขาที่กล่าวออกมาทุ้มต่ำลง


 


 


ช่างสมกับเป็นชายบริสุทธิ์ที่ไม่เคยแตะต้องใกล้ชิดหญิงใดมาก่อนจริงๆ เลย


 


 


บัดนี้อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกับเขา ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเกิดความรู้สึกต้องการจะรุกเข้าหานางตั้งแต่แรก เพียงแต่ติดที่การสำเร็จขั้นเรื่องนี้เท่านั้น ดังนั้นจึงอดทนมาโดยตลอด


 


 


ในตอนที่อวี้เฟยเยียนยื้อยุดผลักไสเขาออกนั่นเอง มันเท่ากับเป็นการไปจุดไฟปรารถนาในใจเขาให้ลุกติดขึ้น ครานี้ทำให้เขาทรมานเหลือเกิน


 


 


มองเห็นจุดสีแดงสดที่หว่างคิ้วของอวี้เฟยเยียน ราวกับเมล็ดถั่วแดงที่กำลังเผาไหม้ก็ไม่ปาน ซึ่งอวี้เฟยเยียนเองก็เจตนาแกล้งเขา นางจงใจดิ้นขลุกขลักในอ้อมอกเขาสองสามครั้ง


 


 


จนกระทั่งรู้สึกว่าสัตว์ป่าในตัวเขากำลังที่จะปะทุออกมา อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะแล้วเบี่ยงหลบหนีออกจาก กรงเล็บปีศาจ ของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“เหอะ!”


 


 


ใครใช้ให้ท่านเชื่อคำของหลิวเซิ้งกันเล่า สมน้ำหน้า!


 


 


เขาเรียกว่ากรรมใดใครก่อผู้นั้นก็รับกรรมไป!


 


 


บัญชีนี้นางขอจดเอาไว้ก่อน ต่อไปค่อยไปคิดบัญชีกับหลิงเซิ่งทีหลัง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพยายามสะกดกลั้นอย่างหนัก จนใบหน้าเขาเป็นสีชมพูระเรื่อราวกับคนเมาสุราก็ไม่ปาน


 


 


เห็นเขาทรมานถึงเพียงนั้น อวี้เฟยเยียนก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง


 


 


“ให้ข้าช่วยท่านไหม”


 


 


คำพูดนี้เป็นดั่งน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


“ไม่ต้อง! พี่ไปอาบน้ำเสียหน่อย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลุกขึ้นยืนตรง อาวุธประจำกายในความเป็นชายเขาตั้งแข็งขึ้น


 


 


อวี้เฟยเยียนหากอาศัยการมองเห็นเพียงอย่างเดียว ก็รู้สึกว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


 


 


เห็นทีว่า จะต้องการเข้าหอจะต้องล่าช้าสักหน่อยแล้ว!


 


 


นางคิดว่านางยังเด็กเกินไป ถึงแม้ว่าความสูงจะอยู่ในเกณฑ์หญิงปกติ แต่ส่วนสูงของอีกฝ่ายกลับเกินความคาดหมายของนางเป็นอย่างมาก


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้สึกราวกับว่านางจะต้องตายอย่างไรอย่างนั้น เห็นทีว่าไม่ควรจะไปกระตุ้นซย่าโหวฉิงเทียนจะดีกว่า!


 


 


อีกอย่างซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งเป็นพวกหัวทึบ ไม่รู้จักพลิกแพลงเสียด้วยสิ


 


 


ในตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว น้ำในบ่อน้ำเย็นยะเยือกถึงกระดูก หนึ่งร้อนหนึ่งเย็น ตรงกันข้ามจะเป็นการไปกระตุ้นร่างกายจนเกินไป ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายเอาได้


 


 


แต่ว่า บางทีการที่นางกระทำเช่นนี้ อาจจะเปลี่ยนแปลงความคิดเขาได้ก็เป็นได้


 


 


อวี้เฟยเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ขยับเข้าไปใกล้ๆ ซย่าโหวฉิงเทียน กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขาประโยคหนึ่ง


 


 


“แมวน้อย เจ้าว่าอะไรนะ”


 


 


ได้ฟังในสิ่งที่นางกล่าวออกมา สายตาที่ซย่าโหวฉิงเทียนมองอวี้เฟยเยียนก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นเร่าร้อนและลึกซึ้ง


 


 


“โอ๊ย ท่านจะทำหรือไม่เล่า!”


 


 


อวี้เฟยเยียนออกอาการเขินอาย


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนก้มหน้าจนศีรษะแทบจะแตะถึงหน้าอกอยู่แล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกต้องการขึ้นมา!


 


 


คำแนะนำของนางทำให้จิตใจเขาเตลิดเปิดเปิงไปไกล


 


 


มือเล็กคู่นั้นของนางที่อ่อนนุ่ม ในเวลาปกติที่กุมเอาไว้นั้นก็ให้ความรู้สึกสบายยิ่งนักอยู่แล้ว หากยิ่งเป็นในเวลาเช่นนี้จะยิ่งงดงามเพียงไหนกันนะ


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมาฮวา(麻花) แป้งทำเป็นเกลียวๆ แล้วทอด คล้ายๆ ขนมกงของบ้านเรามีหลายรสชาติ

 

 

 


ตอนที่ 110-3 เมืองหลวงเกิดเรื่อง

 

“เอาเถอะ…”


 


 


ข้อเสนอของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็รอคอยด้วยหัวใจอย่างใจจดใจจ่อ


 


 


นางยินยอมชิดใกล้เขา นั่นเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายเขาอย่างแท้จริง ซึ่งมันทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก!


 


 


ถึงอย่างไรก็แล้วแต่อวี้เฟยเยียนก็ยังมีอาการเขินอายอยู่ดี เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้สัมผัสแฟนหนุ่มของนาง ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่กระทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงดับตะเกียง แล้วค่อยๆ คลำทางเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ถึงแม้อวี้เฟยเยียนตั้งมั่นแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดปิดกั้นของซย่าโหวฉิงเทียนให้จงได้ ทว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ก็ทำให้นางเสียใจอย่างที่สุดที่ตัดสินใจกระทำเช่นนั้นลงไป มันทรมานจนมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้


 


 


พี่ชายท่านนี้ แรงที่ท่านกักเก็บเอาไว้ไม่ต้องดีถึงเพียงนี้ได้ไหมเล่า


 


 


มือของข้าจะไม่ใช่มือของตัวเองอีกต่อไปนะ มันแทบจะหลุดอยู่แล้วด้วย!


 


 


รีบทำให้มันจบเร็วเข้าเถิด!


 


 


ข้าเสียใจภายหลังแล้ว พอใจหรือยัง!


 


 


จวบจนกระทั่งไฟในห้องสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนมีความสุขจนพูดไม่ออก หลังจากที่อวี้เฟยเยียนล้างมือทั้งสองข้างแล้วเสร็จ ก็คลานขึ้นไปบนเตียงทันที


 


 


“ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว อย่ามารบกวนข้า ข้าต้องการนอน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนคำรามใส่ซย่าโหวฉิงเทียน แล้วมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มทันที


 


 


“แมวน้อย อย่าเพิ่งหลับสิ อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนพี่ก่อน!”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนได้สัมผัสกับความสุขสมราวกับล่องลอยอยู่บนสรวงสวรรค์ แล้วจะยินยอมปล่อยนางไปได้อย่างไร


 


 


ด้วยรับรู้ว่ามือทั้งสองข้างของอวี้เฟยเยียนปวดเมื่อยอย่างหนัก เขาจึงรีบเกาะกุมมือน้อยนั้นเอาแล้ว แล้วบีบนวดคลายความเมื่อยล้าให้กับนาง


 


 


“อย่ามาแตะต้องข้านะ!”


 


 


ข้าอยากที่จะร้องไห้จริงๆ เลย!


 


 


ก่อนหน้านี้มองเห็นอาวุธเขาตั้งโด่ อวี้เฟยเยียนหลวงคิดไปว่าสัตว์ป่าเขาจะดุร้ายกว่าปกติเสียอีก


 


 


แต่หลังจากที่ได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว อวี้เฟยเยียนก็แทบน้ำตานองหน้า


 


 


ท่านเป็นผู้ชายจริงๆ หรือเปล่า


 


 


เช่นนั้นท่านก็ควรดุดันราวราชสีห์สิ!


 


 


“ฉิงเทียน รอให้ข้าสำเร็จขั้นจอมเทพอาวุโสก่อนแล้วเราสองคนค่อยฝึกร่วมกันเถอะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนรู้สึกอย่างชัดเจนว่า การร่วมหอของนางจะกลายเป็นคืนสีเลือดเอานะสิ แถมยังเลือดทะลักออกมากเสียด้วย!


 


 


เมื่อนึกถึงว่าตนเองอาจจะต้องกลายเป็นเจ้าสาวคนแรกที่ต้องตายในคืนเข้าหอในวันแต่งงาน อวี้เฟยเยียนก็อยากจะร้องไห้ยิ่งนัก


 


 


พระเจ้าช่วย!


 


 


ในตอนนี้นางไม่อยากที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนอีกแล้ว ให้เขาเป็นซย่าโหวฉิงเทียนที่น่ารักน่าทะนุถนอม ใสซื่อบริสุทธิ์เช่นเดิมนั่นแหละดีที่สุด!


 


 


ไม่อย่างนั้น พวกเราผูกพันกันด้วยสัญญาใจก็ได้นะ!


 


 


ความรักโดยไม่มีเรื่องเพศใดๆ มาปิดกั้นนั้นสวยงามที่สุดเลย!


 


 


“ไม่เอา!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกคับข้องใจยิ่งนักกับท่าทีก่อนและหลังของอวี้เฟยเยียนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว


 


 


เขาถือโอกาสเอนกายนอนลงเคียงข้างอวี้เฟยเยียน แล้วรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด


 


 


“เรื่องเมื่อครู่เจ้าไม่ชอบหรือ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนน้ำเสียงอู้อี้


 


 


จริงๆ แล้วเขาชื่นชอบความรู้สึกที่ได้หลั่งมันออกไปอย่างที่สุด เขาไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก่อน ลองปฏิบัติเป็นครั้งแรกก็หลงรักเสียแล้ว!


 


 


“หากว่าเจ้าไม่ชอบละก็ ต่อไปก็อย่าได้ฝืนใจตัวเองอีกเลย”


 


 


ร่างกายเขาถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนแอบเสียใจอยู่ไม่น้อย


 


 


จะทำอย่างไรดี แมวน้อยไม่ชอบเขา!


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ…”


 


 


เมื่อรู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนเข้าใจไม่ถ่องแท้ อาการเข้าใจครึ่งๆ กลางๆ เขามักจะทำให้เขาคิดเลยเถิดไปไกลเอาได้ง่ายๆ อวี้เฟยเยียนก็รู้ในทันทีว่าตนเองจะต้องมีความอดทนราวกับกำลังสอนเด็กน้อยเลยทีเดียว ห้ามชักนำเขาไปในทางที่ผิดเด็ดขาด


 


 


มิเช่นนั้น นางก็จะกลายเป็นหลิวเซิ้งคนที่สองทันที!


 


 


“แล้วคืออะไรกัน”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนฝังศีรษะลงที่ซอกคอของอวี้เฟยเยียน เขากำลังบอกนางว่าตนเองกำลังรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก


 


 


“บอกพี่มาเถอะ…”


 


 


จู่ๆ ชายหนุ่มผู้เย็นชาเย่อหยิ่งก็ออดอ้อนด้วยความน้อยอกน้อยใจ ทำให้ในใจของอวี้เฟยเยียนรู้สึกตั้งรับไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงเขาในตอนนี้


 


 


จนกระทั่งใบหูและแก้มทั้งสองข้างของซย่าโหวฉิงเทียนปรากฏแก่สายตา อวี้เฟยเยียนถึงได้รู้ว่า คราวนี้เขาได้เปิดใจแล้วจริงๆ


 


 


แต่ว่า…นางหวาดกลัวยิ่งนัก!


 


 


“แมวน้อย เด็กดี บอกเหตุผลพี่ที!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ดวงเรียวราวหงอันงดงามนั้นชม้ายชายตามองมาที่นาง มันให้ดูราวกับสุราชั้นเลิศแรมปี ทำให้อวี้เฟยเยียนเกือบหลวมตัวติดกับ


 


 


อิดออดเป็นเวลานานอวี้เฟยเยียนก็ติดกับแผนการชายหนุ่มรูปงามเข้าให้จนได้ นางโน้มเอวลงไป แล้วกระซิบที่ข้างหูซย่าโหวฉิงเทียนแผ่วเบาสองสามคำ


 


 


คราวนี้ทำเอาใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งแดงเถือกเข้าไปอีก


 


 


“ไม่ต้องกลัวนะ แมวน้อย! พี่ไม่มีวันทำร้ายเจ้า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลูบไล้แผ่นหลังอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา


 


 


“พี่ให้สัญญา เจ้าไม่อยากฝึกร่วม พี่ก็รอได้!”


 


 


“ฉิงเทียน เจ้าช่างดีจริงๆ เลย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนให้เกียรตินางถึงเพียงนี้ อวี้เฟยเยียนซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก


 


 


เพราะที่นี่คือสังคมที่ผู้ชายทรงอำนาจ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนดีกับนางถึงเพียงนี้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งแล้วสำหรับนาง


 


 


“เด็กโง่! เจ้าคือแมวน้อยของพี่! พี่ย่อมต้องดีกับเจ้าอยู่แล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนดีกับนางเช่นนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนเป็นฝ่ายที่รู้สึกผิดกับเขาขึ้นมาแทน


 


 


หากเปลี่ยนเป็นหญิงอื่น ได้พบกับชายที่มีอุดมการณ์และแข็งแกร่งเช่นนี้ จะต้องดีใจอย่างที่สุดเป็นแน่


 


 


แต่นางนั้นมีเหตุมีผล มีหลักการครบถ้วนโดยตลอด ทว่ากลับไม่เคยปฏิบัติได้จริงเลยสักครั้ง


 


 


ก่อนหน้านี้นางก็เคยพบกับกรณีของคนไข้ที่เป็นเจ้าสาวที่เจ็บตัวกับการร่วมรักในครั้งแรกหลายเคส ซึ่งยังหลงเหลือเป็นบาดแผลที่แสนเจ็บปวดฝังลึกเป็นเงาดำอยู่ในใจมาเป็นจำนวนไม่น้อย บวกกับนิสัยที่ออกจะ…แมนเกินไปสักหน่อยของซย่าโหวฉิงเทียนด้วยแล้ว นางจะถอยห่างออกมาก็นับเป็นเรื่องปกติ


 


 


เมื่อเห็นผู้ชายหล่อเหลาเข้าหน่อยก็พุ่งเข้าใส่ แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างพร้อมแล้วขึ้นมาจริงๆ นั้น นางกลับเป็นฝ่ายถอยร่นเสียเอง


 


 


ช่างเป็นมนุษย์ขี้ขลาดที่มีความต้องการแต่ดันไร้ซึ่งความกล้าหาญเสียนี่!


 


 


อวี้เฟยเยียนดูถูกตนเองอยู่ในใจอยู่ครู่ใหญ่


 


 


“จริงสิ เสวี่ยเยียนสืบหาพวกพ้องของคนผู้นั้นเจอแล้วหรือยัง”


 


 


หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว อวี้เฟยเยียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา


 


 


“ยังเลย พวกมันปลอมตัวได้อย่างแนบเนียน แต่ว่า หลิวเซิ้งส่งข่าวมาแจ้งว่า พวกมันที่มาในครั้งนี้มีทั้งหมดสามคน นอกเหนือจากเฉินเจินที่ตายด้วยน้ำมือของพี่แล้ว ยังมีเฉินฉู่และตี้อู่เฉิน”


 


 


เมื่ออวี้เฟยเยียนเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหนานกงขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“ในเมื่อเฉินเจินมาถึงที่นี่แล้ว เฉินฉู่และตี้อู่เฉินย่อมต้องมาถึงแผ่นดินต้าโจวแล้วเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาปิดบังซ่อนเร้นตัวเองไว้อย่างดี”


 


 


“ตี้อู่เฉิน คนของเผ่าตันก็เข้ามาร่วมวงด้วยหรือนี่”


 


 


เมื่อได้ยินชื่อของตี้อู่เฉิน อวี้เฟยเยียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


 


 


นางรู้สึกเป็นมิตรกับตี้อู่เฮ่ออียิ่งนัก แต่ว่าตี้อู่เฉินคนนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกันกับตี้อู่หงเยี่ย เขาจะต้องเป็นชาวตันขวาอย่างแน่นอน!


 


 


เขามาในครั้งนี้ ก็เพื่อแก้แค้นให้กับตี้อู่หงเยี่ย!

 

 

 


ตอนที่ 110-4 เมืองหลวงเกิดเรื่อง

 

 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกไป นิ้วเรียวยาวเขาลูบไล้เส้นผมดำขลับของอวี้เฟยเยียน


 


 


“ศัตรูอยู่ที่ลับ เราอยู่ที่แจ้ง ในตอนนี้พวกเราควรจะเฉยเอาไว้ก่อนจะดีกว่า! พี่ได้สั่งให้เสวี่ยเยียนคอยคุ้มกันหลิงเอ๋อร์อย่างลับๆ แล้ว! ในเมื่อพวกมันมารนหาที่ตาย พี่จะส่งเสริมพวกมันเอง!”


 


 


ในเวลาเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนยังคิดถึงเป็นห่วงเป็นใยหนานกงจื่อหลิง จึงเห็นได้ชัดเจนว่าเขารักน้องสาวคนนี้มากนัก!


 


 


แต่เขาและสกุลหนานกงถูกลิขิตให้ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเสียแล้ว ถึงตอนนั้นหนานกงจื่อหลิงที่เป็นคนกลาง จะทำอย่างไรกันนะ


 


 


“ฉิงเทียน ข้าเอ็นดูหลิงเอ๋อร์ยิ่งนัก ไม่อยากให้นางต้องถูกทำร้าย!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีงามยิ่งนัก จึงไม่ควรที่จะต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้เลย!


 


 


ได้ยินอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยื่นมือออกไปกุมมือนางเอาไว้


 


 


“พี่จะปกป้องนางอย่างดี!”


 


 


มีประโยคนี้จากซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้อวี้เฟยเยียนคลายความกังวลใจไปได้มากทีเดียว


 


 


ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างซย่าโหวฉิงเทียนและสกุลหนานกง หนานกงจื่อหลิงคงจะลำบากใจไม่น้อย


 


 


ด้านหนึ่งคือน้องสาว อีกด้านคือศัตรู ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็ใช่ว่าจะทำใจได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่


 


 


ลำบากเขาจริงๆ !


 


 


“ฉิงเทียน…”


 


 


อวี้เฟยเยียนโอบเอวของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา


 


 


“ข้าจะรักเจ้าให้มาก!”


 


 


จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็กล่าวเช่นนี้ออกมา ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับตัวแข็งทื่อหลังจากนั้นเขาก็พลิกกายขึ้นทาบทับร่างของอวี้เฟยเยียนเอาไว้


 


 


“แมวน้อย เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”


 


 


เขาจ้องมองดวงตาของอวี้เฟยเยียนเขม็งราวกับจะไม่ยอมคลาดกับอารมณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดจากดวงตาของนางแม้สักวินาที


 


 


“คำพูดๆ จะไม่พูดซ้ำสอง”


 


 


อวี้เฟยเยียนยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า แล้วลอบมองชายที่อยู่ตรงหน้าผ่านช่องระหว่างนิ้วมือ


 


 


“แมวน้อยเด็กดี พูดอีกครั้งสิ! นะ เด็กดี!”


 


 


เพื่อที่จะเอาอกเอาใจให้อวี้เฟยเยียนกล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงทั้งงับทั้งจักจี้ให้นางหัวเราะออกมา


 


 


สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมาจนแทบขาดใจ จนต้องขอร้องให้เขายอมปล่อยนาง!


 


 


“ข้ายอมแพ้แล้ว ฉิงเทียน อย่าจักจี้ข้าอีกเลย!”


 


 


“กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง แล้วพี่จะยอมปล่อยเจ้า!”


 


 


“ฉิงเทียน ข้ารักท่าน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนหัวเราะอย่างหนักแม้กระทั่งดวงตา นางจับคอเสื้อของซย่าโหวฉิงเทียนแล้วกระตุกเข้าหาตัว ประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากเขา


 


 


“ข้าจะตั้งใจรักท่านให้มาก!”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่คำว่า ‘รัก’ ออกจากปากอวี้เฟยเยียน ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับตกตะลึงไปห้าวินาทีเต็มๆ จึงจะได้สติกลับมา


 


 


“รักหรือ”


 


 


“แมวน้อยรักเขา!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้ว่าสรรหาคำพูดใดมาใช้มาบรรยายความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามาในหัวใจเขาในตอนนี้ นางรักเขา ไม่ใช่แค่ชอบ แต่นางรักเขา! มันล้ำลึกเสียยิ่งกว่าแค่ชอบหลายเท่านัก!


 


 


คำพูดที่นางเปล่งออกมานั้น ได้กล่าวความคิดสิ่งที่อยู่ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนออกมาเช่นกัน


 


 


เขารู้สึกมาตั้งนานแล้วว่าความรู้สึกเขาที่มีต่ออวี้เฟยเยียนไม่อาจใช้เพียงคำว่า ‘ชอบ’ คำนี้มาบรรยายได้


 


 


เพียงแต่ว่าเขาครุ่นคิดอยู่เป็นนานก็ไม่สามารถสรรหาคำที่เหมาะออกมาบรรยายความรู้สึกห่วงหาอาวรณ์เช่นนี้ได้


 


 


ตอนนี้อวี้เฟยเยียนกล่าวคำนั้นออกมา เขาก็เข้าใจในทันที


 


 


ที่แท้แล้ว เขารักนางมาตั้งนานแล้ว!


 


 


รักในทุกสิ่งที่เป็นของนาง!


 


 


“แมวน้อย…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตลึกซึ้งตอบกลับอวี้เฟยเยียน อวี้เฟยเยียนมาสารภาพรักกับเขา เขาไม่เคยดีใจมากเท่านี้มาก่อนเลย


 


 


ดีจริงๆ !


 


 


บังเอิญได้พบกับนาง


 


 


บังเอิญที่เขารักนาง และนางก็รักเขาเช่นกัน


 


 


พรหมลิขิตกำลังเบ่งบานระหว่างคนทั้งสอง ก่อกำเนิด ผลิดอก เติบโตขึ้น…


 


 


“พี่ก็รักเจ้า!”


 


 


พี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป ไม่แยกจากกัน จะติดตามเจ้าทุกชาติไป!


 


 


หลังจากที่คนทั้งสองได้เผยความรู้สึกของกันและกันออกไปแล้ว ความรักของพวกเขาก็ยิ่งอบอุ่นสุกงอมมากยิ่งขึ้น


 


 


พี่ชายและพี่อวี้รักและผูกพันกันถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าหนานกงจื่อหลิงย่อมต้องดีใจเป็นอย่างมาก ถึงกระทั่งว่าวิ่งไปที่เบื้องหน้าซย่าโหวฉิงเทียน เพื่อเอ่ยความปรารถนาของอวี้เฟยเยียนให้เขาได้รับรู้


 


 


“ขอแต่งงาน”


 


 


ศัพท์คำนี้ถือเป็นคำแปลกใหม่สำหรับเขา เพียงแค่ได้ฟังก็รู้ในทันทีว่าอวี้เฟยเยียนเป็นคนพูดมันออกมาแน่


 


 


“ใช่นะสิ! พี่ใหญ่ พี่อวี้เคยกล่าวเอาไว้ด้วยนะ ว่าหากไม่มีการขอแต่งงานก็จะไม่แต่งงานกับใครเด็ดขาด! ดังนั้นท่านต้องพยายามให้มากแล้วละ!”


 


 


มีหนานกงจื่อหลิงเป็นสายลับตัวน้อยให้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนพอจะเข้าใจแล้วว่าขอแต่งงานคืออะไร


 


 


ในเมื่อแมวน้อยชื่นชอบ เขาก็จะจัดการขอแต่งงานให้สวยงามน่าให้นางประทับใจจนจดจำเอาไว้ไม่ลืมเลือนทีเดียว เขาจะทำให้อวี้เฟยเยียนยินยอมแต่งงานกับเขาด้วยความยินดีและเต็มใจ


 


 


ทว่า ยังไม่ทันที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะคิดออกว่าจะขอนางแต่งงานอย่างไรดี ก็มีข่าวไม่ค่อยจะสู้ดีรายงานมาเสียก่อน


 


 


“อะไรนะ เมืองหลวงเกิดเรื่อง”


 


 


หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ อวี้เฟยเยียนถึงกับลุกขึ้นยืนทีเดียว


 


 


ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เมืองหลวงก็เกิดโรคประหลาดระบาดขึ้น ซึ่งติดต่อไปสู่ผู้คนมากมาย มีคนตายไปแล้วห้าคน ในตอนนี้หมอทั้งหมดในหอคืนชีพต่างก็ออกไปปฏิบัติหน้าที่ แม้กระทั่งหมอเทวดาฮั่วก็ถึงกับจนปัญญา


 


 


ตอนนี้ประชาชนชาวเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน ฮ่องเต้จึงทรงเรียกซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกลับเมืองหลวงโดยด่วน


 


 


ยังมีเรื่องที่ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกว่าเรื่องมันยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก นั่นก็คือ ตี้อู่เฮ่ออีหายสาบสูญไป!


 


 


ทั้งมีโรคประหลาด ทั้งคนก็หายตัวไป ชักจะได้กลิ่นเค้าลางไม่ดีที่ชัดเจนออกมาเสียแล้ว


 


 


“เจ้าทึ่มหายสาบสูญไปได้อย่างไรกัน!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้ก็ร้อนใจจนทนไม่ไหว แทบอยากที่จะควบม้ากลับเมืองหลวงเสียเดี๋ยวนั้น

 

 

 


ตอนที่ 111-1 องค์หญิงผู้เซ่อซ่า

 

สองสามวันมานี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยมีอาการหนังตากระตุกอย่างหนัก ใจคอไม่ค่อยดีตลอดเวลา นึกไม่ถึงเลยว่าข่าวที่ได้มาจะเป็นข่าวการหายตัวไปของตี้อู่เฮ่ออี


 


 


ข่าวที่วังหลวงส่งมา ทำให้อวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนตระหนักรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองหลวงทันที


 


 


“พี่ใหญ่ ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นการเพิ่มปัญหาให้กับพวกท่าน”


 


 


ถึงแม้ว่าหนานกงจื่อหลิงอยากที่จะไปด้วยกันกับพี่ชายเพื่อดูว่าสิ่งใดที่นางพอจะช่วยได้บ้าง แต่หลังจากที่ซย่าโหวฉิงเทียนได้เล่าเรื่องที่ฉู่เฉินและฉู่เจินมายังแผ่นดินต้าโจวแห่งนี้ให้นางได้รับรู้แล้ว หนานกงจื่อหลิงจึงคิดว่าตนเองควรจะอยู่ที่สวนชาแดงแห่งนี้ต่อไปจะดีเสียกว่า


 


 


เฉินฉู่คือลูกน้องคนสนิทของหนานกงเอ๋า ที่เขามาที่นี่จะต้องรับคำสั่งของหนานกงเอ๋า มาจับนางกลับไปที่เมืองอู๋โยวเป็นแน่!


 


 


จู่ๆ ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนกลัดกลุ้มเป็นกังวลใจมากพออยู่แล้ว นางจึงไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเขาอีก! หากว่าเฉินเจินล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางและซย่าโหวฉิงเทียนเข้า พี่ใหญ่ก็จะต้องมีอันตราย!


 


 


นางไม่อยากให้ซย่าโหวฉิงเทียนต้องคอยมานั่งเป็นกังวลนางเพิ่มขึ้นไปอีก


 


 


“ได้!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า


 


 


“เช่นนั้นพี่จะให้เสวี่ยเยี่ยนอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า!”


 


 


หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียน เชียนเยี่ยเสวี่ย หานจื่อ คนสามคนกับสุนัขหนึ่งตัวก็รีบเร่งเดินทางกลับเมืองหลวงในทันที


 


 


เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ทั้งสามคนก็หน้าที่กันไปทำ ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าวังเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อวี้เฟยเยียนและเชียนเยี่ยเสวี่ยไปที่หอคืนชีพ


 


 


เพิ่งจะก้าวเข้ามาถึงท้องพระโรง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ยินเสียงหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งดังขึ้น


 


 


“ฝ่าบาท ท่านนี้คือท่านราชครูของเรา เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ยิ่งนัก ต้าโจวเกิดโรคประหลาด ท่านราชครูของเรารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงอยากจะช่วยเหลือฝ่าบาทอีกแรง…”


 


 


เสียงหญิงผู้นี้ออกจะติดไปทางเย็นชาเย่อหยิ่ง ซึ่งเสียงเมื่อครู่ที่เปล่งออกมาเจตนาดัดเสียงให้นุ่มนวล จึงฟังออกชัดเจนว่าดัดจริตแสร้ง


 


 


“ไม่รู้ว่าท่านราชครูสำเร็จขั้นใด”


 


 


นี่คือเสียงซย่าโหวจวินอวี่


 


 


“ท่านราชครูของเราคือราชาโอสถ!”


 


 


ในขณะที่กล่าวประโยคนี้อูลู่ลู่ก็เชิดหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตามองไปที่ขุนนางน้อยใหญ่ด้วยสายตาดูแคลน


 


 


ราชาโอสถ ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหลัวอวี่ คนแรกกลับเป็นชาวเสวี่ย!


 


 


เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การชื่นชมยิ่งนัก!


 


 


“ราชาโอสถ”


 


 


เมื่อได้ยินคำนี้ พลันใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนก็ฉาบไว้ด้วยความเย็นชา


 


 


จู่ๆ ก็มีราชาโอสถโผล่มา จะเกี่ยวข้องกับตี้อู่เฉินหรือเปล่านะ


 


 


ถึงว่า ชาวอาณาจักรเสวี่ยเดินทางมาในครั้งนี้ถึงได้ยโสโอหังนัก ที่แท้แล้วก็มีราชาโอสถคอยให้ท้ายนี่เอง ดังนั้นถึงได้มั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้


 


 


แม้ว่าต้าโจวจะมีอวี้หลัวซ่า แต่นางก็เป็นเพียงจักรพรรดิโอสถเท่านั้น อูลู่ลู่คิดว่าเมื่อนางเอ่ยออกไปว่าราชครูเป็นถึงราชาโอสถ ซย่าโหวจวินอวี่จะต้องเชื้อเชิญให้เขาช่วยเหลือเป็นแน่ ทว่า ใครจะคาดคิดว่าซย่าโหวจวินอวี่เพียงแค่เงียบลงไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงส่ายหน้า


 


 


“ข้าได้ให้คนไปเชิญอวี้หลัวซ่ามาแล้ว! ข้าเชื่อใจนาง!”


 


 


ท่าทีซย่าโหวจวินอวี่แสดงออกชัดเจนว่าไว้เนื้อเชื่อใจในตัวอวี้หลัวซ่าเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้อูลู่ลู่ตกตะลึงพรึงเพริด


 


 


“ฝ่าบาท ท่านราชครูบอกว่าโรคประหลาดนี้คือโรคห่านะเพคะ หากว่าไม่รีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าจะนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่นะเพคะ!”


 


 


อูลู่ลู่รู้สึกว่าซย่าโหวจวินอวี่กำลังมองข้ามความหวังดีของนาง


 


 


โดยส่วนตัวแล้ว อูลู่ลู่คาดหวังยิ่งนักว่าซย่าโหวจวินอวี่จะเอ่ยปากให้ราชครูช่วยเหลือ เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะได้แสดงศักยภาพความแข็งแกร่งของอาณาจักรเสวี่ย มันยังจะนำมาซึ่งความนิยมชมชอบและพลังหนุนหลังมากมายมาสู่นาง


 


 


ซึ่งอูลู่ลู่ขอร้องอยู่ตั้งเป็นนาน ตี้อู่เฉินถึงได้ยินยอมออกหน้าช่วยเหลือ แต่ซย่าโหวจวินอวี่กลับไม่รับน้ำใจเสียนี่!


 


 


โง่เขลายิ่งนัก!


 


 


นี่คือโรคห่านะ ไม่ใช่โรคระบาดทั่วๆ ไป!


 


 


คำพูดของอูลู่ลู่ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก


 


 


โรคห่า การมีอยู่ของมันนับเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่งไม่ว่าในเวลาใด


 


 


มันสามารถทำลายทั้งเมือง แม่น้ำ หมู่บ้าน แม้แต่กระทั่งสามารถทำให้บ้านเมืองล่มสลายลงได้โดยไม่มีลางบอกเหตุใดๆ ล่วงหน้า


 


 


หากเป็นดั่งเช่นที่อูลู่ลู่กล่าวมาจริง ก็น่าหวาดกลัวยิ่งนัก


 


 


“เกรงว่าองค์หญิงจะทรงไม่รู้อะไร อวี้หลัวซ่าเคยหยุดยั้งโรคระบาดที่เกิดขึ้นในเขตปกครองปรมาจารย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาแล้ว ทั้งยังเคยหยุดยั้งการระบาดของโรคห่าในฉินจื้อได้เช่นกัน ในครั้งนี้ ข้าเชื่อใจนาง!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่คำก็อวี้หลัวซ่าสองคำก็อวี้หลัวซ่า อูลู่ลู่ได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็เค่นรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา


 


 


“ข้าเพียงแต่เจตนาดี แต่หากว่าฝ่าบาททรงมีแผนการรับมืออื่นก็ช่างเถอะเพคะ หวังก็แต่ว่าอวี้หลัวซ่าจะไม่ทำลายความไว้พระทัยของฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นมันจะจบลงยากนะเพคะ!”


 


 


“เพราะท่านราชครูของเราก็มีนิสัยส่วนตัว! หากว่าจัดการโรคห่าไม่ได้ แล้วจะขอให้เขาออกหน้าช่วยเหลือในภายหลังละก็ ไม่แน่ว่าเขาจะยินยอมช่วยเหลือนะเพคะ!”


 


 


“ก่อนที่ข้าจะมาที่ก็ได้ยินมาว่าหมอเทวดาฮั่วเก่งกาจนักหนา แต่สองสามวันมานี้เขาก็ทำผลงานออกมางั้นๆ นี่นา! เห็นทีว่า อวี้หลัวซ่าจะมีแต่ชื่อ เสียแล้วกระมัง…”


 


 


น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของอูลู่ลู่อยู่ในเชิงท้าทาย ซึ่งใครๆ ต่างก็ฟังออก ซึ่งซย่าโหวจวินอวี่ไม่ได้คิดที่จะถือสาเด็กน้อยคนนี้แต่อย่างใด


 


 


ทว่า ฮ่องเต้ไม่คิดที่จะถือสาก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรนะสิ


 


 


และคนผู้นั้นก็คือซย่าโหวฉิงเทียนผู้ที่โปรดปรานแมวน้อยเท่าชีวิตนั่นเอง


 


 


ทันใดนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงก้าวฉับๆ เข้ามาในท้องพระโรง


 


 


เขาพกพาเอาอารมณ์ที่ว่าพี่ไม่ชอบใจเข้ามาด้วยเต็มเปี่ยม ซึ่งทำเอาเหล่าขุนนางน้อยใหญ่หวาดผวาจนต้องรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว


 


 


พวกเขามิอยากซวยไปด้วยนะ!


 


 


“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ไหนพูดให้ข้าฟังอีกครั้งซิ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของอูลู่ลู่ เขาใช้สายตาเย็นชามองไปที่องค์หญิงแห่งอาณาจักรเสวี่ย


 


 


อูลู่ลู่รู้สึกเพียงว่ามีพลังอำมหิตที่แสนเย็นยะเยือกกำลังโจมตีมาที่นาง พลังนั้นหนักหน่วงราวกับของหนักเป็นพันกิโลก็ไม่ปาน ทำให้นางหายใจแทบไม่ออก


 


 


ยังมิทันที่จะมองเห็นรูปโฉมซย่าโหวฉิงเทียนได้ชัดเจน ขาทั้งสองข้างของนางก็สั่นเทา


 


 


แผละ!


 


 


จนอ่อนปวกเปียกทรุดนั่งลงไปบนพื้น

 

 

 


ตอนที่ 111-2 องค์หญิงผู้เซ่อซ่า

 

เพียงแค่คุกเข่าลงเท่านั้น มันยังไม่บรรลุถึงจุดประสงค์ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เขาตั้งใจที่จะทดสอบราชครูที่ยืนอยู่ข้างกายอูลู่ลู่เสียหน้อยว่าวิเศษวิโสมาจากไหนกัน ดังนั้นจึงใช้พลังวิเศษกดดันอูลู่ลู่มากขึ้นอีก


 


 


“ปล่อย…ปล่อยขะ…ข้า”


 


 


อูลู่ลู่ที่สวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวทั้งชุดทรุดลงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับสุนัขก็ไม่ปาน จนถึงตอนนี้นางยังไม่รู้ว่า ตนเองได้ไปล่วงเกินใครเข้า เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ลงมือกับนางรุนแรงถึงเพียงนี้!


 


 


ตี้อู่เฉินเองก็นึกไม่ถึงว่าผู้ที่มาใหม่จะไร้มารยาทเช่นนี้


 


 


เมื่อเห็นว่าอูลู่ลู่ร่างกายสั่นเทา คุกเข่ากองอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ ไม่มีมาดแห่งความเป็นองค์หญิงหลงเหลืออยู่เลยสักนิด เขาจึงจำเป็นต้องเอ่ยปาก


 


 


“ท่านนี้คือ…”


 


 


ตี้อู่เฉินมองสำรวจซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ครู่หนึ่ง ก็สามารถคาดเดาฐานะของเขาออกในทันที


 


 


สวมใส่ชุดสีม่วงอ่อนลวดลายดอกหยวนเหว่ยที่กำลังผลิบานแสนงดงาม ที่ตรงหว่างคิ้วมีจุดสีแดงราวกับโลหิต หน้าตาหล่อเหลากับท่าทางสง่างาม สูงส่งและเย่อหยิ่ง เขาก็คือซย่าโหวฉิงเทียนที่เขากำลังตามหาอยู่มิใช่หรือ!


 


 


ตี้อู่เฉินสีหน้ามั่นใจ


 


 


ในที่สุดก็ตามหาเป้าหมายจนเจอ!


 


 


นับตั้งแต่ที่เฉินเจินแยกตัวไปในวันนั้นกระทั่งถึงวันนี้ หกวันแล้วที่เขาไม่ได้ติดต่อกลับมา


 


 


ตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนยังปลอดภัยสบายดี ถือเป็นการบอกเป็นนัยว่าเฉินเจินคงจะพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้าเสียแล้ว


 


 


แต่ซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเพียงจอมเทวา ส่วนเฉินเจิ้นแม้จะถูกกฎแห่งฟ้าดินควบคุมไว้แต่ก็ยังเป็นถึงปรมาจารย์เชียวนะ! หรือว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรปิดบังไว้ เขาเป็นถึงปรมาจารย์แล้วเช่นกัน


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนั้น ตี้อู่เฉินก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะมาสามารถสังหารชาวอู๋โยวได้


 


 


สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจในตอนนี้นั่นก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการตายของตี้อู่หงเยี่ย


 


 


กลิ่นหอมดอกราตรีของตี้อู่หงเยี่ยรุนแรงยิ่งนัก แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับสะอาดสะอ้านปลอดโปร่ง ไร้กลิ่นหอมใดติดกาย


 


 


เมื่อตัดซย่าโหวฉิงเทียนออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ตี้อู่เฉินจึงลุกยืนขึ้น


 


 


“หลินเจียงอ๋อง ท่านกระทำเช่นนี้กับองค์หญิงของเรา หมายความว่าอย่างไร”


 


 


“ข้าไม่ชอบขี้หน้านาง…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนตอบเสียงเรียบพร้อมกับชายตามองตี้อู่เฉินและชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาที่กำลังสวมหน้ากากกับผมปลอมสีขาวโพลนปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้


 


 


“ท่าน!”


 


 


ที่เมืองอู๋โยว ตี้อู่เฉินพบเจอผู้ที่บ้าบิ่นอวดดีมามาก โดยเฉพาะลูกหลานของตระกูลระดับต้นๆ ในบรรดาตระกูลทั้งแปด ที่มักจะมีท่าทีอวดเก่งเย่อหยิ่ง ข้าแน่ เหล่านั้น


 


 


แต่พวกเขาต่างก็มีตระกูลที่ยิ่งใหญ่หนุนหลัง แล้วซย่าโหวฉิงเทียนเป็นตัวอะไร


 


 


อ๋องตัวเล็กๆ บนแผ่นดินหลัวอวี่เท่านั้น กลับเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ น่าโมโหยิ่งนัก!


 


 


เห็นที จะต้องสั่งสอนเขาให้ได้รับบทเรียนบ้างเสียแล้ว


 


 


เฮอะ!


 


 


ตี้อู่เฉินมีเจตนาจะสั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนรวมทั้งทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วย ดังนั้น ‘เฮอะ’ คำหนึ่งของเขาเป็นสัญญาที่บอกให้เฉินฉู่ลงมือ


 


 


วูบ…


 


 


เฉินฉู่เดินเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียน แล้วปล่อยหมัดออกไป


 


 


เพราะเขาเองก็ไม่ถูกชะตากับซย่าโหวฉิงเทียนสักเท่าไหร่นัก จองหองอวดดีๆ นัก คิดว่าผู้อื่นเป็นตัวประกอบไปแล้วหรืออย่างไรกัน!


 


 


เฉินฉู่มั่นอกมั่นใจในลูกหมัดของตนเองมาก เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีปล่อยหมัดออกไป


 


 


มุมปากของเฉินฉู่หยักยิ้มขึ้น เป็นรอยยิ้มที่กำลังสมเพช ราวกับสามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ว่าจุดจบซย่าโหวฉิงเทียนนั้นจะอเนจอนาถเพียงใด


 


 


เฉินเจินไม่ได้กลับมา ทำให้เฉินฉู่มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น


 


 


เดิมทีพวกเขามีความมั่นใจหนักหนาเมื่อเดินทางมายังแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้ เพราะคิดว่าตนเองมาที่นี่มีวรยุธ์เหนือกว่าใคร นึกไม่ถึงว่าเฉินเจินไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีกเลย


 


 


จะต้องเป็นคนผู้นี้แน่ที่สังหารเฉินเจิน เขาจะต้องแก้แค้นให้กับเฉินเจิน


 


 


ภาพที่เฉินฉู่จินตนาการเอาไว้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องกระดูกกระเดี้ยวหัก กระอักเลือดแล้วนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นไม่เกิดขึ้น หมัดของเขาถูกซย่าโหวฉิงเทียนกุมเอาไว้ด้วยมือเดียวด้วยท่าทีสบายๆ


 


 


“รนหาที่ตาย!”


 


 


เขาไม่สนว่าหมอนี่จะเป็นใคร เป็นตัวแทนของใคร แต่ที่นี่คือต้าโจว!


 


 


ไม่ว่าเบื้องหลังของเขาจะมีใครคอยสนับสนุนอยู่ก็ตาม แต่หากว่าเขาต้องการที่ฉีกหน้าต้าโจวบนแผ่นดินของต้าโจวละก็ เท่ากับรนหาที่ตาย!


 


 


ทุกคนได้ยินเพียงเสียงร้องครวญครางที่ดังลั่นสนั่นไปทั่ว คนที่เมื่อครู่พุ่งเข้าไปโจมตีหลินเจียงอ๋องบัดนี้กุมมือขวาที่หักนอนร้องครวญครางกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นอย่างหมดสภาพ


 


 


มือข้างขวาของเขา กล่าวให้ถูกต้องก็คือ เขาถูกหักกระดูกมือขวาสดๆ บัดนี้หมัดเมื่อครู่กลายเป็นเนื้อก้อนบดชุ่มเลือดที่ถูกบดจนแหลกเหลว!


 


 


แม่เจ้า ชายผู้นี้โหดเ**้ยมยิ่งนัก!


 


 


ในใจของทุกคนกำลังหวาดกลัวอย่างหนัก ราวกับว่าหลังจากที่กลับมาจากเขตปกครองปรมาจารย์ ความโหดเ**้ยมซย่าโหวฉิงเทียนก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว


 


 


สามารถบดมือของปรมาจารย์จนแหลกเหลวด้วยเดียวโดยที่ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย มือข้างนั้นซย่าโหวฉิงเทียนทำจากอะไรกันแน่


 


 


ขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงต่างก็คิดได้เพียงว่าซย่าโหวฉิงเทียนน่าหวาดกลัว โดยที่พวกเขามิได้ล่วงรู้ระดับขั้นของเฉินเจิน จึงไม่รู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนน่ากลัวเพียงไหน


 


 


แต่ตี้อู่เฉินกลับรู้ดี ดังนั้นเขาจึงเกิดอาการอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที


 


 


เฉินฉู่คือจอมราชาอาวุโส ถึงแม้จะถูกกฎฟ้าดินจำกัดเอาไว้เพียงแค่ปรมาจารย์ แต่พลังเพียงหมัดเดียวของเขาก็สามารถทำให้จอมเทวาบาดเจ็บได้เลยทีเดียว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนแทบไม่ได้ขยับเขยื้อน ทว่าตรงกันข้ามกลับเป็นฝ่ายทำร้ายเฉินฉู่จนบาดเจ็บ


 


 


เห็นทีซย่าโหวฉิงเทียนแห่งต้าโจวกำลังปกปิดระดับขั้นของวรยุทธ์ที่แท้จริงของตนเองอยู่ เขาจะต้องเป็นปรมาจารย์…หรือบางทีอาจจะเหนือกว่าปรมาจารย์


 


 


ในตอนท้ายเป็นเพียงแค่อาจจะ ตี้อู่เฉินจึงเพียงแต่ครุ่นคิด แล้วก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป


 


 


บนแผ่นดินหลัวอวี่ที่เป็นที่อาศัยของประชาชนผู้ต่ำต้อยแห่งนี้ จะบังเกิดนักรบผู้มีลำดับขึ้นสูงกว่าปรมาจารย์ได้อย่างไรกัน


 


 


กฎแห่งฟ้าดินใช้สำหรับมนุษย์ทุกคน เขาก็หาใช่เทพเซียนแต่อย่างใดไม่ จึงไม่น่าจะสามารถทลายกฎแห่งฟ้าดินลงได้!


 


 


เหลือบสายตามองไปที่มือกุดเละแหลกลาญของเฉินฉู่เพียงแวบเดียว ก็ทำให้ตี้อู่เฉินท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา


 


 


นี่เป็นวิธีการที่สยดสยองเ**้ยมโหดยิ่งนัก และเขาเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก


 


 


“ท่านราชครู คนของท่านลงไม้ลงมือกับข้า ท่านจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ”


 


 


เมื่อเห็นว่าตี้อู่เฉินเตรียมที่จะรักษาอาการบาดเจ็บให้เฉินฉู่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยวาจานี้ขึ้น ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากทันที


 


 


“ทางเราเสียมารยาทเอง!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม