วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ ตอนพิเศษ 1.1-1.4

 ตอนพิเศษ 1 ฮาแบค 


 


“เฮ้อ” 


 


 


ฮาแบคกุมหน้าผากพลางมองกองเอกสารที่ยังเหลือเกินกว่าครึ่งภายในห้องทำงานไร้ผู้คน อยากกลับจวนจัง อยากกลับไปนอนแล้ว ภาพชายฉลองพระองค์มังกรสะบัดหายวับหลังทำงานส่วนของตนเสร็จยังติดตาเขาอยู่ ตอนนั้นไม่น่าช่วยชีวิตเลย ถ้าผู้อื่นล่วงรู้ความคิดนี้เข้าคงตกตะลึงเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้พระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังแข็งแรงกว่าเขาด้วยซ้ำ 


 


 


“ท่านพ่ออดทนทำอะไรเช่นนี้มานานขนาดนั้นได้อย่างไรขอรับ” 


 


 


การคร่ำครวญที่ไม่มีผู้ใดดังผ่านอากาศยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บ แต่จะมัวเสียเวลาอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ฮาแบคสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะคลี่ม้วนกระดาษอันใหม่ และเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่างานจะเยอะเพียงใด แต่ทั้งหมดก็คืองานหลวง ดังนั้นจึงต้องเหนื่อยมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว 


 


 


กว่าจะจัดการม้วนกระดาษทั้งหมดและนำมารวมไว้ที่เดียวกันเสร็จ ก็ล่วงเลยจนเข้ายามจา[1]แล้ว หากต้องออกมาทำงานตอนเช้ามืดก็ควรต้องรีบเข้านอนสักหน่อย ทว่าอีกไม่กี่ก้าวจะพ้นประตูวัง ฝีเท้าเร่งรีบของฮาแบคก็ต้องชะงักกึก 


 


 


สิ่งที่ทำให้เขาต้องหยุดก็คือสตรีนางหนึ่ง สตรีตัวเล็กๆ นั่งพิงอยู่ใต้กำแพงประตูวัง แม้จะไม่รู้ว่าหลับหรือสลบอยู่กันแน่ แต่เขาก็ไม่อาจเมินเฉยมองข้ามได้ เนื่องจากเป็นฤดูที่มีน้ำค้างแข็งหนาวเย็นเกาะผืนนาว่างเปล่าหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อยแล้ว อย่างไรสตรีผู้นี้ก็เป็นราษฎร ส่วนตนก็เป็นมหาเสนาบดีที่มีหน้าที่ดูแลราษฎร นั่นหมายความว่าเขาต้องช่วยเหลือนาง 


 


 


“นี่ แม่นางเป็นอะไรหรือไม่” 


 


 


ฮาแบคเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ ดูเหมือนว่าจะต้องปลุกให้ตื่นเสียก่อน 


 


 


“ขอเสียมารยาทหน่อยแล้วกัน” 


 


 


แม้จะไม่มีผู้ใดว่าอะไร แต่เขาก็กล่าวขอโทษเบาๆ ก่อนจะแตะมือลงบนลาดไหล่บาง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะแค่เพียงสัมผัสผ่านเนื้อผ้าเก่าๆ ยังรับรู้ได้ว่าไหล่ผอมบางเย็นเฉียบเพียงใด จนพานสงสัยว่านางอยู่ตรงนี้มานานเท่าใดแล้ว เขารีบตรวจวัดชีพจรทันที ถึงมันจะยังคงเต้นเบาๆ อยู่ แต่ไม่มีเวลาให้เถลไถลแล้ว ฮาแบคถอดเสื้อนอกออกคลุมตัวให้ จากนั้นก็อุ้มนางขึ้นพร้อมเร่งฝีเท้า 


 


 


“กลับมาแล้วหรือ… ตายจริง นายน้อย!” 


 


 


คนรีบใช้ผู้เปิดประตูให้ตื่นตระหนกตกใจจนถอยกรูดไปด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของนายน้อยฮาแบค บุรุษผู้ไร้ความสนใจในสตรี 


 


 


“ก่อไฟในห้องของข้าไว้แล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“ขะ ขอรับ” 


 


 


ร่างสูงอุ้มสตรีแปลกหน้าตรงเข้าห้องตนทันที หลังจากวางตัวลงบนเตียงถึงสังเกตเห็นว่านางยังเยาว์อยู่ น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าเด็กสาวมากกว่าหญิงสาว 


 


 


แม้ตัวจะเย็นเหมือนแผ่นน้ำแข็ง ทว่าหน้าผากกลับร้อนระอุราวกับลูกไฟ เขาห่มผ้าให้นางก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะเดินไปที่ห้องยาและกลับมาพร้อมกับสมุนไพรลดไข้ด้วยความเร่งรีบ จะดีกว่าหากเคี่ยวให้ดีแล้วป้อนให้ดื่ม แต่เวลาเร่งด่วนเช่นนี้เพียงนำแช่น้ำป้อนเข้าปากน่าจะเหมาะสมกว่า 


 


 


“เกิดเสียงเอะอะอะไรหรือ” 


 


 


นายหญิงของตระกูลเอ่ยถามมาด้านนอกประตู หลังได้รับการรายงานจากคนรับใช้ 


 


 


“นางสลบอยู่หน้าประตูวัง ลูกเลยพากลับมาด้วยขอรับ แถมยังดึกมากแล้วจึงไม่มีหมอพอจะฝากรักษาได้ด้วย” 


 


 


“งั้นหรือ ทำแต่พอดี แล้วก็เข้านอนนะลูก” 


 


 


“ขอรับท่านแม่” 


 


 


ฮาแบคตอบพลางโขลกสมุนไพรอย่างขยันขันแข็ง จากนั้นก็ตัดใส่ปากคนป่วยทีละนิดและป้อนน้ำอุ่นตาม ผ่านไปไม่นานนัก ลมหายใจไม่มั่นคงก็ค่อยๆ ดีขึ้น พิษไข้ก็เริ่มลดลงเช่นกัน 


 


 


ผ่านจุดวิกฤติแล้ว เราเองก็นอนสักหน่อยดีกว่า คิดพร้อมนวดต้นคอคลายความเมื่อยล้า แต่แล้วก็พบเจอกับอุปสรรคจนได้ เนื่องจากสตรีนางนั้นนอนอยู่บนเตียงของตน ส่งผลให้เขาไม่มีที่นอนนั่นเอง ฮาแบคมองประตูสักพักด้วยความลังเลบางอย่าง ต่อมาก็จัดการเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกจากห้อง ตรงไปยังห้องฮาโด ซึ่งเป็นห้องนอนสำหรับเหล่าคนรับใช้ชาย 


 


 


“เขยิบไปหน่อย” 


 


 


“โอ๊ย อะไรวะ… นายน้อย?” 


 


 


คนรับใช้ผู้หนึ่งที่โดนดันตัวออกบ่นพึมพำและลุกพรวดขึ้นมา ฮาแบคไม่พลาดโอกาสนั้นรีบแทรกตัวนอนลงและห่มผ้าคลุมกาย 


 


 


“ขอยืมที่หน่อยแล้วกัน” 


 


 


หลังเอ่ยขออนุญาตก็ผล็อยหลับทันที ก่อนคนรับใช้จะตั้งสติได้จากอาการตกใจเสียอีก 


 


 


 


 


 


เช้ามืดของวันถัดมา ร่างสูงก็ตื่นมาล้างหน้าล้างตาและกลับไปที่ห้องของตนอีกครั้ง สตรีแปลกหน้าเองก็ตื่นขึ้นมาพอดี นางนั่งอยู่บนเตียงพลางกวาดตามองรอบๆ ด้วยความมึนงง 


 


 


“ตื่นแล้วหรือขอรับ” 


 


 


“ที่นี่…?” 


 


 


อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง ฟังจากเสียงแผ่วเบาแล้วดูเหมือนจะยังขยับตัวได้ลำบากอยู่ 


 


 


“จวนของข้าเอง” 


 


 


ฮาแบคกล่าวพร้อมขยับเข้าหาคนป่วย ก่อนจะโค้งคำนับให้เล็กน้อย ดวงตาของนางเบิกโตเท่าไข่ห่านอย่างตกตะลึง 


 


 


“ขอเสียมารยาทหน่อยนะขอรับ” 


 


 


ไข้ลดลงแล้ว… หลังลองแตะหน้าผาก เขาก็จับข้อมือผอมแห้งเพื่อวัดชีพจรต่อ แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าแข็งแรงดีแล้ว แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเยอะทีเดียว ระหว่างนั้นนางยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ ได้แต่กะพริบดวงตากลมโตจ้องมองบุรุษตรงหน้า 


 


 


“เกือบจะเป็นอันตรายเสียแล้ว เดี๋ยวข้าจะเคี่ยวสมุนไพรให้ ไว้ทานหลังอาหารนะขอรับ อ้อ ช่วยหันหลังไปสักครู่ได้หรือไม่” 


 


 


“ขะ ข้า?” 


 


 


“เร็วสิขอรับ อย่างที่ท่านเห็น ข้างานยุ่งมาก” 


 


 


สตรีผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ และกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นนั่งหันหลังแต่โดยดีเมื่อโดนเร่ง ซวบซาบ เสียงผ้าสีกันทำเอาใบหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ทว่าฮาแบคไม่รับรู้ใดๆ เพราะกำลังสนใจอยู่กับการเปลี่ยนชุดขุนนางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะรับร้อน แต่เสื้อผ้าของเขาก็เรียบร้อยไร้รอยยับ กระทั่งชุดนอนก็ถอดพับอย่างเรียบร้อยเป๊ะทุกมุม เหมือนเช่นรูปลักษณ์ภายนอกของเขาที่ดูเย็นชาแต่ก็สุภาพเรียบร้อย 


 


 


“พักผ่อนให้สบายนะขอรับ” 


 


 


คำเอ่ยลาอย่างไม่ใส่ใจและเสียงปิดประตู ทำให้คนป่วยหันหลังกลับมาพร้อมอาการใจหายใจคว่ำ ทว่าสิ่งที่มองเห็นก็มีเพียงแค่ชายชุดสีน้ำเงินพลิ้วประตูเท่านั้น 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ท่านดูเหนื่อยนะ ท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


หลังจากจบงานช่วงเช้าแล้ว ฮาแบคก็ยังถูกลากมากักตัวในห้องทำงานเช่นเดิม คำถามด้วยความเป็นห่วงเพียงเล็กน้อยจากฮอน ก็ไม่มีทางได้รับคำตอบดีๆ กลับไปแน่นอน 


 


 


“หากทรงเห็นเช่นนั้น ก็โปรดให้กระหม่อมเลิกงานเร็วหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ถ้าเสร็จงานนี้แล้วล่ะก็…” 


 


 


“…นั่นมัน ทรงตรัสเมื่อครั้งก่อนมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ข้าเคยบอกด้วยหรือ ฮอนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางประทับตราพระราชาลงบนม้วนกระดาษเสียงดังปึงปัง 


 


 


“…ฝ่าบาท” 


 


 


“ว่ามาสิท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


“วันนี้กระหม่อมต้องเลิกงานเร็วขึ้นจริงๆ ดังนั้นโปรดทรงแบ่งงานอย่างเป็นธรรมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เดี๋ยวนะ ข้าเคยแบ่งไม่เป็นธรรมเมื่อใดกัน” 


 


 


เรียกว่ากินปูนร้องท้องใช่หรือไม่ คนโดนกล่าวหาสะดุ้งและขึ้นเสียงสูงไม่รู้ตัว มันเป็นความจริงที่เขาแบ่งงานไม่ยุติธรรมนิดหน่อย แต่หากยอมรับ ครั้งต่อๆ ไปก็จะต้องแบ่งงานให้เป็นธรรมจริงๆ นี่นา  


 


 


“ทรงไม่เป็นธรรมเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ทูลขอให้พระองค์ทรงทำเยอะกว่าเลย ขอแค่ให้มันเท่าเทียมก็พอ ทรงยังไม่ลืมใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ว่าท่านพ่อของกระหม่อมวางจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วหนีหายไป” 


 


 


“เช่นนั้น ท่านมหาเสนาบดีก็จะส่งจดหมายลาออกเหมือนกันงั้นหรือ” 


 


 


“กระหม่อมเขียนไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จากตั้งใจจะพยายามดุดันขึ้นอีกนิดกลับต้องเปลี่ยนทิศทางเป็นประนีประนอม เพราะหากฮาแบคแอบวางจดหมายลาออกแล้วหนีจริงๆ คนซวยก็คือตัวฮอนเอง 


 


 


“อะแฮ่มๆ สีหน้าของท่านก็ดูไม่ค่อยดีนัก เห็นเพียงเท่านั้นข้าก็คิดจะให้ท่านเลิกงานก่อนเวลาอยู่แล้วน่า” 


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


 


 


 


[1] ยามจา เวลาประมาณห้าทุ่ม-ตีหนึ่ง 


 

 

 


ตอนพิเศษ 1-2 ฮาแบค

 

นึกว่าจะปฏิเสธตามมารยาท กลับผิดคาดเสียอย่างนั้น รู้เช่นนี้น่าจะบอกให้ช่วยทำงานช่วงเย็นก่อนแล้วค่อยเลิก ระหว่างฮอนกำลังเสียดาย ฮาแบคก็พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการขอบคุณแล้วรีบจัดการงานให้เสร็จด้วยความรวดเร็วจนน่าทึ่ง ก่อนสำรับของว่างจะถูกยกเข้ามา เขาก็ปิดกระดาษม้วนสุดท้ายแล้วลุกขึ้น 


 


 


“เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เสร็จแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้นอันนี้…” 


 


 


“กระหม่อมขอตัวก่อน เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


หลังจากเบือนหน้าหนีพระราชาที่ยื่นกระดาษม้วนมาให้อีกอันและก้าวออกจากห้องทำงาน ถึงได้รู้ว่าสายลมอันหนาวเย็นช่างสดชื่นเหลือเกิน แม้จะสั่งคนรับใช้ให้เคี่ยวสมุนไพรแล้ว แต่ก็คงสู้เขาเคี่ยวเองไม่ได้ หลังจากตรงกลับมาถึงจวน ฮาแบคจึงก้าวเข้าไปในห้องยาทันทีโดยที่ไม่เปลี่ยนชุดก่อน 


 


 


“นายน้อย เหตุใดถึงกลับจวนแล้วล่ะขอรับ” 


 


 


คนรับใช้ยื่นหัวเข้ามาจากช่องระหว่างประตูพลางเอ่ยถาม 


 


 


“ก็แค่ได้กลับเร็ว แล้วแขกเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“คือว่า เรื่องนั้น…” 


 


 


อีกฝ่ายค่อยๆ แผ่วเสียงลง แต่กลับมีเสียงไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังประตูแทน 


 


 


“ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าเจ้าค่ะ” 


 


 


เหมือนจะเคยได้ยินเมื่อเช้า ฮาแบคขมวดคิ้วเล็กน้อยและวางสมุนไพรที่กำลังเลือกลง ก่อนจะเปิดประตูออกกว้าง จริงๆ ด้วย คนที่ยืนอยู่ข้างนอกคือสตรีผู้นั้น เจ้าของใบหน้าซีดเซียวและลาดไหล่บางจนคล้ายจะหักง่ายๆ ยังคงอยู่ในชุดบางๆ ทว่าแววตากลับสดใสเหมือนเรี่ยวแรงกลับคืนมาแล้ว 


 


 


“เข้าไปข้างในเถอะขอรับ ใช้เวลาอีกนานกว่าจะเคี่ยวสมุนไพรเสร็จ ทานยาตอนเช้าแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่ต้องพูดจาสุภาพหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่สมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากท่าน” 


 


 


“ทานยาตอนเช้าแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” 


 


 


ร่างสูงไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายและถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง เมื่อนางพยักหน้าตอบ เขาจึงหันมองคนรับใช้ของตนด้วยความพึงพอใจ 


 


 


“พาคนป่วยเข้าไปข้างในก่อน ลมมันหนาว” 


 


 


“ที่ว่าข้างใน นายน้อยหมายถึง…” 


 


 


ทว่าเจ้าคนรับใช้ดูจะไม่พอใจกับการให้สตรีแปลกหน้าเข้าห้องนอนนายน้อยของตนจึงย้อนถามให้แน่ชัดอีกครา จังหวะที่ฮาแบคกำลังจะเปิดปากตอบ คนป่วยก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องยาอย่างเด็ดเดี่ยว 


 


 


“ข้ามาเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลเจ้าค่ะ แต่ว่า…กรี๊ด!” 


 


 


กำลังพูดจาฉะฉานอยู่ดีๆ นางก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศกะทันหันก่อนจะพูดจบประโยค ก็นับถือว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะสมแล้ว 


 


 


“ขออภัยขอรับ” 


 


 


แม้แต่คำกล่าวขอโทษท่ามกลางความโกลาหลก็ยังคงสุภาพนอบน้อมเช่นเดิม 


 


 


“ตายแล้ว นายน้อย!” 


 


 


คนรับใช้หน้าซีดเผือดพร้อมกระทืบเท้าไปมาอย่างตื่นตระหนก เสียงเอะอะโวยวายทำเอาคนใช้คนอื่นๆ กรูกันมาที่ห้องยาและตะโกนเรียกนายน้อยกันทุกคน ทว่าสีหน้าของฮาแบคที่ก้าวออกมาพร้อมสตรีบนไหล่ยังคงสงบนิ่งเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป 


 


 


“ถ้ามองไม่เห็น หรือไม่รู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อข้าพาท่านมาแล้ว ก็มีหน้าที่ต้องดูแลจนกว่าคนป่วยจะหายดีขอรับ เดี๋ยวข้าจะเตรียมห้องให้ โปรดพักอยู่ที่นี่สักระยะเถิด” 


 


 


ร่างสูงเดินเข้าห้องแล้ววางอีกฝ่ายลงบนเตียง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมกายให้ สายตานางจับจ้องชุดขุนนางตรงหน้า เนื้อผ้าทำมาจากผ้าไหมสีน้ำเงิน การตัดเย็บอันประณีตงดงามและกลิ่นหมึกตลบอบอวลทำให้รู้ไม่ยากว่าบุรุษผู้นี้มีหน้าที่ดูแลงานกิจการแผ่นดินแน่นอน 


 


 


“ที่นี่คือที่ไหน แล้วท่านผู้มีพระคุณมีนามว่ากระไรหรือเจ้าคะ” 


 


 


ระหว่างหันหลังกลับไปตรวจดูสมุนไพร ฮาแบคก็ต้องหันกลับมาอีกรอบเมื่อได้ยินคำถามจากสตรีบนเตียง แต่ภาพนางห่มผ้าจนถึงคางและโผล่มาแต่ดวงตาสีดำราวกับลูกองุ่นป่า ทำให้เขานึกถึงน้องสาวตนตอนเด็กๆ ขึ้นมา ความคิดนั้นก็ทำเอาริมฝีปากของฮาแบคผู้ยิ้มยากวาดเส้นเป็นโค้งอ่อนโยน 


 


 


“ข้าไม่ใช่คนน่ารู้จักขนาดนั้นหรอกขอรับ พักผ่อนเถิด” 


 


 


นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก จำได้ว่าตนสลบอยู่ที่ใดสักแห่งระหว่างเดินเตร่อยู่ถนนยามราตรี แต่พอลืมตาขึ้นมากลับมาอยู่ใรห้องหับอันอบอุ่นเสียอย่างนั้น แถมยังเป็นห้องของบุรุษอีกด้วย ทันทีที่ตั้งสติได้ในยามเช้าก็มีชายผู้หนึ่งเข้ามาอังมือแตะหน้าผากและวัดชีพจร จากนั้นก็กล่าวเพียงแค่ให้กินยาสมุนไพร ส่วนเขาก็รีบเปลี่ยนชุดออกจากห้องไป 


 


 


แม้จะอาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้หลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับบรรยากาศเสียที อย่างไรก็ตามเมื่อสังเกตจากขนาดของจวน เหล่าคนรับใช้และบุรุษที่ทุกคนพากันเรียกว่านายน้อยแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นบ้านของผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน 


 


 


ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือไม่มีผู้ใดในจวนนี้เอ่ยถามถึงคนต่างถิ่นอย่างตนเลย ตั้งแต่นายหญิงของตระกูลซึ่งเป็นผู้ตระเตรียมห้องค่อนข้างกว้างและสะอาดสะอ้านเรียบร้อยให้ จนถึงสาวใช้อายุน้อยที่มาคอยดูแล ไม่มีใครสงสัยใคร่รู้แม้กระทั่งนามของนางด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะนำอาหารและยาสมุนไพรมาส่ง ส่วนบุรุษผู้นั้นก็มักจะพรวดพราดเข้ามากลางดึกเพื่อวัดชีพจรแล้วกลับออกไป 


 


 


“คือว่า นายท่าน” 


 


 


และเมื่อเข้าสู่วันที่สี่ นางก็ดึงรั้งชายเสื้อผู้มีพระคุณขณะอีกฝ่ายเข้ามาวัดชีพจรเฉกเช่นทุกคืนเอาไว้ 


 


 


“รู้สึกไม่สบายที่ใดหรือขอรับ” 


 


 


ถึงจะเอ่ยถามอย่างสุภาพด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่น้ำเสียงของเขาก็นุ่มนวล เข้ากันกับกลิ่นหมึก กระดาษและยาสมุนไพรผสมอบอวลจากร่างกายสูงใหญ่ 


 


 


“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าอยู่อย่างสะดวกสบายมากๆ เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะฉะนั้น…” 


 


 


“มีที่ไปหรือไม่ขอรับ” 


 


 


คำถามนั้นจับจุดสำคัญได้พอดิบพอดี ข้ามีที่ไปหรือไม่นะ ของมีค่าที่นำติดตัวมาก็ใช้ไปหมดแล้ว ไม่มีเรือนให้กลับแล้วด้วย 


 


 


“จะลองหาดูเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากที่ท่านช่วยชีวิต แต่ข้าไม่อาจรบกวนท่านเช่นนี้ต่อไปได้แล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“เช่นนั้น หากไม่เป็นการรบกวน ก็ไม่เป็นอันใดสินะ” 


 


 


มันตีความเช่นนั้นได้ด้วยหรือ ระหว่างนางกำลังมึนงงไม่รู้ต้องตอบกลับอย่างไร บุรุษตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นช้าๆ 


 


 


“ช่วยงานในจวนพวกเราสิขอรับ กำลังขาดคนช่วยงานอยู่พอดี ได้จังหวะเลย” 


 


 


“งานหรือเจ้าคะ?” 


 


 


“หากพักอยู่ที่นี่และช่วยงานในจวนด้วย ข้าจะมอบค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสมขอรับ” 


 


 


“ขอถามได้หรือไม่เจ้าคะว่าเป็นงานอะไร” 


 


 


“ไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้นะขอรับ ข้ายุ่งมาก คงต้องขอตัวก่อน” 


 


 


ใต้ตาของชายผู้โค้งศีรษะให้เล็กน้อยแล้วหันหลังออกจากห้องเริ่มเป็นสีดำแล้ว 


 


 


เขาทำงานอะไรกัน ถึงต้องกลับดึกดื่นและออกแต่เช้าตรู่เป็นประจำ หากอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ก็ต้องมีคนให้สั่งใช้งานเยอะ เพราะฉะนั้นก็น่าจะไม่ยุ่งถึงเพียงนี้ อายุยังน้อยและมีความรู้เรื่องการแพทย์ แสดงว่าน่าจะเป็นหมอสินะ นางสรุปเองโดยไม่คาดคิดเลยว่าบุรุษยังหนุ่มยังแน่นอย่างฮาแบคจะดำรงตำแหน่งเป็นถึงมหาเสนาบดี จากนั้นก็เอนตัวนอนลงแล้วผล็อยหลับไป และไม่รู้ตัวด้วยว่ายามเช้ามืดฮาแบคจะเข้ามาแตะอังหน้าผากแล้วออกไปทำงานก่อนไก่จะขันเสียอีก 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


ตอนพิเศษ 1-3 ฮาแบค

 

“เอาล่ะ ของเจ้าเท่านี้ ส่วนข้าเท่านี้” 


 


 


ฮอนวางกองเอกสารลงตรงหน้าด้วยความลังเล ก่อนจะเหลือบมองฮาแบคพร้อมแบ่งมันออกเป็นสองส่วน แต่มันไม่ได้เรียกว่าครึ่งนัก เพราะตรงหน้าตนมีเพียงสิบสามสิบสี่ม้วน ส่วนฮาแบคมีราวๆ สามสิบสองม้วน แม้จะเป็นการแบ่งที่ค่อนข้างยุติธรรมแล้วเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ทว่าไม่ใช่สำหรับฮาแบค 


 


 


“ทรงเพิ่มส่วนของพระองค์อีกห้าม้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แต่ข้าคัดเลือกจากปัญหาที่เจ้าต้องเป็นคนดูแลนะ” 


 


 


“เช่นนั้นกระหม่อมจะเลือกจากงานที่ฝ่าบาทจะต้องทรงดูแลจากกองนี้ แล้วจะถวายคืนให้อีกรอบพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮอนต้องจำใจเอื้อมมือไปหยิบม้วนกระดาษมาเพิ่มอีกห้าอัน ฮาแบคจึงพยักหน้าและคลี่กระดาษม้วนอันแรกออก 


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี หมู่นี้มีเจ้าเรื่องอะไรหรือเปล่า” 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ดูแปลกไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่อยากทำงานหรือบ่นอิดออดเล็กน้อยมาตลอด แต่ก็เป็นคนใช้ เอ๊ย มหาเสนาบดีที่ไม่เคยขอลดงานแน่วแน่ถึงเพียงนี้ ฮอนเอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความเป็นกังวลผสมกับความสงสัยใคร่รู้ 


 


 


“ไม่มีเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


และตามคาด ฮาแบคตอบอย่างไม่ใส่ใจนักโดยไม่เงยหน้ามาด้วยซ้ำ พลางลากเส้นตัวอักษรลงบนกระดาษม้วนด้วยหมึกสีเข้ม ซึ่งหมายความว่าไม่มีประโยชน์ใดจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด 


 


 


“อ้อ ฝ่าบาท” 


 


 


แต่แล้วจู่ๆ คนไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสักนิดก็เลื่อนสายตามามองเขา 


 


 


“กระหม่อมขอประทานอนุญาตหยิบสมุนไพรจากสำนักหมอหลวงเล็กน้อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก จวนเจ้ามีคนป่วยหรืออย่างไร” 


 


 


จวนของฮาแบคก็คือจวนของภรรยาตน ดังนั้นฮอนจึงไม่ปล่อยผ่านคำขออนุญาตนำสมุนไพรไปใช้ง่ายๆ แต่เท่าที่รู้ ภายในจวนหลังนั้นไม่น่ามีผู้ใดป่วยมิใช่หรือ ก็ไม่แปลกหากเขาจะเกิดความสงสัย 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ใช่ครอบครัวของกระหม่อม เป็นเพียงแขกผู้หนึ่ง” 


 


 


“เจ้าจึงหมายจะนำสมุนไพรจากวังหลวงไปใช้กับแขกผู้นั้นใช่หรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ความสนใจปรากฏพาดผ่านสีหน้าของฮอนทันที เขารู้ดีว่าฮาแบคมักจะใช้ยาและสมุนไพรที่ดีที่สุดเท่านั้น คราวนี้อีกฝ่ายถึงขั้นขอประทานสมุนไพรจากวังหลวงไปใช้ด้วย แสดงว่าคนป่วยผู้นั้นคงจะสำคัญมากทีเดียว 


 


 


“แม้แต่ต้นหญ้าเพียงต้นเดียวในวังหลวงก็มาจากภาษีขูดเลือด ดังนั้นข้าก็จำเป็นต้องรู้ว่าจะใช้มันกับผู้ใดก่อน ว่าอย่างไรคนผู้นั้นเป็นใครหรือ” 


 


 


“กระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ทั้งๆ ที่เป็นแขก? นี่เจ้าให้คนแปลกหน้าเข้าจวนอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮาแบคไม่ใช่คนชอบพูดเล่น คำตอบของอีกฝ่ายดึงความสนใจฮอนมากขึ้นกว่าเดิม 


 


 


“ไยต้องทำเช่นนั้น” 


 


 


“หากมีเวลา กระหม่อมจะทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หากมีเวลาอย่างนั้นหรือ แต่ข้าอยากฟังตอนนี้นี่ ฮอนทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวและไม่สามารถรั้งรอจนถึงตอนนั้นได้ เกิดความขัดแย้งระหว่างความสงสัยใคร่รู้กับสติสัมปชัญญะ และแน่นอนว่าเป็นชัยชนะของความสงสัยใคร่รู้โดยไม่ต้องคาดเดาให้มากความ 


 


 


“ห้าม้วน ข้าจะช่วยเพิ่มแล้วกัน” 


 


 


“สิบม้วน น้อยกว่านั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“…เจ็ด” 


 


 


“สิบ” 


 


 


“แปดม้วน มากกว่านี้มันเยอะเกิน” 


 


 


“สิบม้วนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


สุดท้ายม้วนกระดาษม้วนก็ย้ายไปอยู่ฝั่งฮอนพร้อมเสียงถอนหายใจหนัก หากอิงจากความทรงจำของฮาแบคแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่งานต่างๆ ถูกแบ่งได้ใกล้เคียงกับคำว่ายุติธรรมมากที่สุด  


 


 


“เช่นนั้นก็เล่ามาได้แล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกพ่ะย่ะค่ะ กลางดึกเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนกระหม่อมกำลังจะออกจากวัง บังเอิญเจอสตรีนางหนึ่งหมดสติอยู่หน้าประตูวัง ด้วยไม่อาจทิ้งนางไว้เช่นนั้นได้จึงต้องพากลับจวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่านางประสบพบเจอเรื่องอะไรมา ชีพจรถึงอ่อนแรงเป็นอย่างมาก กระหม่อมต้มยาสมุนไพรบำรุงร่างกายให้อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาดูแลห้องยาจึงไม่ค่อยเหลือสมุนไพรสำคัญเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จากคำกล่าวทั้งหมดนั่น มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ฮอนสนใจ… สตรี 


 


 


“แขกของเจ้าเป็นสตรีอย่างนั้นหรือ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 


 


 


หลังจากตอบกลับ ฮาแบคก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ จนต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงพร้อมถอยกรูดไปด้านหลัง เหมือนมีอาการปฏิเสธฉายชัดบนหน้าผากอีกด้วย 


 


 


“ฝ่าบาท จำได้ว่าครั้งก่อนกระหม่อมกราบทูลแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าอย่าทรงทอดพระเนตรกระหม่อมเช่นนั้น” 


 


 


“ข้าก็แค่จะมองข้าหลวงของตนสักหน่อย เหตุใดถึงไม่ได้เล่า” 


 


 


เจ้าของรอยยิ้มแปลกๆ ชอบกลค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนั้นฮาแบคเองก็ค่อยๆ ถอยหลังเช่นกัน และอาการปฏิเสธเมื่อครู่นี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดใจแทน 


 


 


“กระหม่อมไม่มีปัญหาหากจะทรงทอดพระเนตรเฉยๆ แต่กระหม่อมไม่อยากได้รับสายตาเช่นนั้นจากบุรุษด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แม้จะไม่ได้แสดงออกว่าเห็นด้วยยามโฮจินชี้ไปทางพระราชาและล้อว่าเป็นบุรุษหน้าสวย หรือไม่ก็เด็กคงแก่เรียนแห่งวังหลวงเป็นประจำ แต่ฮาแบคก็พยักหน้าตามอยู่ในใจ ทว่าพอบุรุษผู้นั้นขยับเข้ามาอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก จนแทบจะคิดว่าตนกลายเป็นคนประหลาดไปแล้วจริงๆ แต่ไม่ว่าฮาแบคจะพูดหรือส่ายหน้าเพียงใด ฮอนก็ดูไม่คิดจะขยับใบหน้างดงามออกห่างเลย 


 


 


“สวยหรือไม่” 


 


 


“หา? เดี๋ยว ก่อนอื่นช่วยนำพระพักตร์…” 


 


 


“ข้าถามว่าสตรีผู้นั้นสวยหรือไม่” 


 


 


การตรัสถามอย่างกะทันหันทำให้เขาต้องนึกถึงสตรีผู้ตกเป็นประเด็น หน้าตานางเป็นเช่นไรนะ แต่ไม่ว่าจะลองนึกเท่าไร สิ่งที่ปรากฏในหัวก็มีเพียงดวงตาเป็นประกายระยิบระยับเป็นพิเศษเท่านั้น รูปร่างหน้าตาสูบผอมจนเห็นกระดูกและองุ่นป่าสองลูกที่มีประกายชัดเจน 


 


 


“จำมิได้ ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่อาจตอบคำถามของพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮาแบคตัดความคาดหวังของฮอนทิ้งในคราเดียว ก่อนจะลุกหนีย้ายที่นั่งไปยังตรงปลายสุดของโต๊ะยาว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงถอยห่างไกลถึงเพียงนั้น ฮอนหัวเราะคิกคักพร้อมจ้องมองฮาแบค 


 


 


“อ้อ ท่านมหาเสนาบดี” 


 


 


ผ่านไปสักพัก หลังจากมองเอกสารทีหนึ่ง มองฮาแบคอีกทีหนึ่ง คนกำลังตรวจเอกสารช้าๆ ก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายขึ้นมา 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เลิกงานเร็วหน่อยแล้วกัน ไหนดูสิ อย่างน้อยก็สักยามซุล[1]ดีหรือไม่” 


 


 


“หากทรงมอบงานให้กระหม่อมน้อยลงด้วยก็น่าจะดีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอกน่า คิดว่าคนทำงานในท้องพระโรงมีแค่มหาเสนาบดีอย่างเจ้าเพียงผู้เดียวหรืออย่างไร” 


 


 


“แต่ทรงเคยตรัสว่าไม่ไว้ใจผู้ใดนอกจากกระหม่อมไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ตอนนี้ข้าเชื่อใจทุกคนแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้เจ้าก็กลับได้แล้ว ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง” 


 


 


“อ๋อ งั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน” 


 


 


ฮาแบคลุกพรวดโดยไม่ปฏิเสธสักคำ เดิมทีฮอนควรรู้สึกผิดหวัง แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย ท่านพี่ทั้งหลายผู้ให้ความสนใจกับงานที่ตนถนัดเพียงอย่างเดียว ควรต้องรีบสร้างครอบครัวและมีหลานให้ท่านพ่อตาอุ้มเล่นไม่ใช่หรืออย่างไร นับเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่งอีกด้วย เพราะฉะนั้นในเมื่อยามนี้มีสตรีเข้ามาแล้ว เขาก็ต้องช่วยผลักดันอย่างเต็มที่สิ 


 


 


หากทำให้พี่ชายของภรรยาทยอยแต่งงานทีละคนได้สำเร็จ รยูฮาก็คงจะชื่นชมเขาว่าทำได้ดีมากและมอบรางวัลให้แน่นอน เลือกไว้ล่วงหน้าก่อนเลยดีกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องคงขอให้ใส่ชุดซับในสีครีมอมส้มตัวบางนั่นเสียแล้ว จินตนาการอันแสนสุขใจวาดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ฮอนจัดการงานทั้งหมดรวมถึงส่วนของฮาแบคด้วยจนกระทั่งดึกดื่น โดยไม่รู้สึกเลยว่ามันเหน็ดเหนื่อยเพียงใด  

 

 


ตอนพิเศษ 1-4 ฮาแบค

 

“อยู่ข้างในหรือไม่ขอรับ”


 


 


เมื่ออยู่ๆ ก็มีเสียงเอ่ยถามดังขึ้น สตรีที่กำลังนั่งกอดเข่าจมอยู่กับความคิดของตนสะดุ้งตกใจและรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทันที


 


 


“เจ้าค่ะ นายท่าน”


 


 


“รบกวนแม่นางออกมาสักครู่”


 


 


นางชำเลืองมองโต๊ะเครื่องแป้งแวบหนึ่งระหว่างรีบร้อนจัดแจงตัวเอง รู้สึกรำคาญทรงผมที่เอนเอียงนิดหน่อย ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่ารำคาญผมที่ม้วนขึ้นต่างหากถึงจะถูก วาดยิ้มขมขื่นพลางใช้มือจัดทรงผมเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูออกไปเงียบๆ


 


 


“เหมือนว่าวันนี้จะเลิกงานเร็วนะเจ้าคะ”


 


 


“หากฝ่าบาททรงไม่เปลี่ยนพระทัยอีก ก็คงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ขอรับ เชิญตามข้ามาทางนี้”


 


 


แม้จะกลับมาเร็วกว่าปกติ แต่ท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดสลัวมาสักพักแล้ว นางเดินตามอีกฝ่ายผ่านสวนหน้าบ้านมืดสนิทพร้อมนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่


 


 


ฝ่าบาทงั้นหรือ เขาอยู่ในสำนักหมอหลวงทั้งๆ ที่อายุยังน้อยถึงเพียงนี้เลยหรือเนี่ย ช่างน่าทึ่งเสียจริง หลังจากอุทานในใจก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเขาส่องโคมไฟมาทางข้างตัว มิใช่ด้านหน้าของตัวเขาเอง เพื่อให้นางเดินสะดวกขึ้น นับเป็นการเอาใจใส่จากผู้อื่นเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่เกิดมา แต่ดูเหมือนผู้กระทำจะไม่ได้คิดอะไร


 


 


“เข้ามาสิขอรับ ระวังเท้าด้วย”


 


 


เขากล่าวเช่นนั้นขณะเดินนำ สถานที่ที่เดินเข้ามาคือห้องยาหรือโรงเก็บสมุนไพรนั่นเอง แม้จะเปิดประตูทิ้งไว้ กลิ่นสมุนไพรก็อบอวลทั่วบริเวณจนฟุ้งกระจายเข้ามาในจมูก แต่เนื่องจากมันเป็นกลิ่นที่มักจะสัมผัสได้จากเสื้อผ้าของบุรุษตรงหน้าเป็นประจำ นางจึงไม่รู้สึกเหม็นหรือต่อต้านใดๆ


 


 


“พวกนี้เป็นพวกสมุนไพรที่ข้ามีครอบครองเป็นของส่วนตัวขอรับ ปกติแล้วข้าจะเป็นคนจัดการดูแลด้วยตนเอง แต่ช่วงนี้งานเยอะมากจึงแทบไม่มีเวลาเลย ไม่ทราบว่าแม่นางพอรู้หนังสือหรือไม่”


 


 


“แม้จะไม่ลึกมาก แต่ก็พออ่านออกเขียนได้เจ้าค่ะ”


 


 


“เท่านั้นก็เพียงพอแล้วขอรับ ทุกๆ เย็นข้าจะแจ้งว่าต้องทำอะไรบ้าง แม่นางเพียงแค่นำสมุนไพรที่ว่าออกมาช่วงกลางวันและคอยดูแลมัน แต่บางอันมีพิษร้ายแรง เพราะฉะนั้นนอกเหนือจากตัวที่ข้าสั่งแล้ว ห้ามแตะต้องตัวอื่นนะขอรับ สมุนไพรเป็นสิ่งละเอียดอ่อนมาก ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดที่ข้าไว้ใจว่าสามารถฝากพวกมันไว้ได้ แต่ในเมื่อมีแม่นางแล้ว ทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปได้ด้วยดีขอรับ”


 


 


ไว้ใจและฝากดูแล คำอธิบายไหลผ่านอย่างสงบนิ่งราวกับสายน้ำ ทว่ามีเพียงส่วนนี้เท่านั้นที่คล้ายจะกระโดดพรวดขึ้นมาราวกับปลาเล่นน้ำ


 


 


“เหตุใดท่านถึงฝากพวกสมุนไพรละเอียดอ่อนเหล่านี้ไว้กับข้าหรือเจ้าคะ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็ไม่รู้จักข้าเลยสักนิดเดียว”


 


 


“ดูจากมือน่ะขอรับ”


 


 


ฮาแบคยกโคมไฟขึ้นสูงเพื่อตรวจดูสมุนไพรที่แขวนอยู่ พลางเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก


 


 


“นิ้วมือเรียวยาวและเหยียดตรงแสดงว่ามีฝีมือและความประณีต ฝ่ามือด้านแสดงว่ามีความขยันขันแข็ง เพียงแค่ให้คำตอบกับข้าก็เพียงพอขอรับ ว่าอย่างไร แม่นางพอจะช่วยงานข้าได้หรือไม่”


 


 


น้ำเสียงอีกฝ่ายช่างเข้ากับสถานที่แห่งนี้เสียเหลือเกิน แม้จะมืดแต่ก็มีแสงรำไร แม้จะมีกลิ่นผสมปนเปกัน แต่หากลองดมดีๆ ก็จะสัมผัสถึงแต่ละกลิ่นได้อย่างชัดเจน นางคิดไตร่ตรองตามคำกล่าวก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แต่ก็สะดุ้งตกใจจนถอยหลังหนึ่งก้าว เพราะอยู่ๆ บุรุษที่หันหลังให้ก็หันหน้ากลับมาแล้วนำโคมไฟส่องสำรวจใบหน้านาง


 


 


“ยะ ไยทำเช่นนี้หรือเจ้าคะ”


 


 


เอ่ยถามและพยายามทำให้หัวใจเต้นแรงสงบลง แต่คนตรงหน้าก็ไม่ตอบ เขาก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมขยับใบหน้าเข้าใกล้มากเสียจนไม่อาจหายใจเป็นปกติได้ ดวงตาคู่คมไม่ทราบความคิดค่อยๆ ไล่จากหน้าผากลงมาอย่างช้าๆ และจ้องมองภาพตนที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตากระจ่างใส ก่อนจะผ่านสันจมูกมีเสน่ห์และหยุดอยู่ตรงริมฝีปากเผยอเล็กน้อยด้วยความประหม่า กลิ่นหมึกจากตัวฮาแบคทั้งเบาบางและนุ่มนวล แต่ก็สามารถทะลุผ่านกลิ่นสมุนไพรแรงๆ จนลอยมาถึงนางได้


 


 


“ข้าเสียมารยาทสินะขอรับ”


 


 


หลังจากละสายตาและใบหน้าออก เจ้าตัวก็โค้งตัวพร้อมกล่าวขอโทษอย่างสุภาพ แม้จะพ่นลมหายใจที่กักเก็บไว้ออกมาดังฟู่ แต่หัวใจของนางก็ไม่ยอมสงบลงง่ายๆ


 


 


“เมื่อฝ่าบาทตรัสถาม ก็เป็นหน้าที่ของข้าหลวงที่ต้องหาคำตอบให้พระองค์ โปรดให้อภัยกับการเสียมารยาทของข้าด้วยขอรับ”


 


 


“ตรัสถามว่าอะไรหรือ…”


 


 


“ขออภัยขอรับ แต่ข้าไม่อาจกล่าวคำตรัสของฝ่าบาทให้ผู้ใดฟังได้”


 


 


คำพูดเฉียบขาดแต่ก็สุภาพอ่อนน้อม เขาเดินวนรอบโรงเก็บสมุนไพรอย่างช้าๆ หนึ่งรอบ จากนั้นจึงนำลังที่เต็มไปด้วยสมุนไพรแห้งออกมาจากมุมหนึ่งแล้ววางลงบนม้านั่ง


 


 


“สิ่งนี้คือชะเอม เป็นพื้นฐานของยาสมุนไพรแทบทั้งหมด สามารถนำไปผสมกับความเป็นพิษของยาชนิดอื่นเพื่อกระตุ้นฤทธิ์มันหรือจะใช้เดี่ยวๆ ก็ได้ขอรับ ถ้าเป็นกรณีหลังจะเห็นผลลัพธ์จากการถอนพิษ โรคตับอักเสบและโรคทางผิวหนัง พรุ่งนี้ตอนสายๆ แดดน่าจะดี เพราะฉะนั้นแม่นางช่วยนำพวกมันไปตากแห้งที่ลานบ้าน ปัดฝุ่นและเก็บเข้ามาใหม่ ทำได้หรือไม่ขอรับ”


 


 


“ชะเอมเป็นพื้นฐานของยาสมุนไพรเกือบทั้งหมด สามารถผสมกับความเป็นพิษเพื่อเพิ่มฤทธิ์ยาหรือแยกใช้เดี่ยวๆ ได้ จะเป็นผลกับการถอนพิษ โรคตับอักเสบและโรคทางผิวหนัง นำไปตากให้แห้งกับแดดช่วงสายๆ ปัดฝุ่นออกแล้วเอามาเก็บอีกรอบ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะนายท่าน”


 


 


นางกลัวว่าจะลืมคำที่ได้รับฟังเมื่อครู่จึงทวนท่องจำให้ขึ้นใจ และจบด้วยการพยักหน้าตอบรับด้วยเสียงดังขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าฮาแบคยามก้มมองสตรีตรงหน้า แต่คนกำลังจดจ่อกับสมุนไพรไม่ทันสังเกตเห็น


 


 


“เช่นนั้นข้าฝากด้วย ตอนนี้แม่นางกลายเป็นผู้ช่วยของข้าแล้ว ดังนั้นอย่าคิดว่ามารบกวนอีกเลยขอรับ”


 


 


พูดจบก็ออกแรงเปิดประตูไม้หนักๆ หลีกทางให้อีกฝ่ายเดินนำก่อนถึงเดินตามออกมา จัดการลงกลอนประตูและกลับหลังหัน


 


 


“ขอมือหน่อยได้หรือไม่”


 


 


มือที่ยื่นมาให้อย่างลังเลมีนิ้วเรียวยาวและงดงามเหมือนคำกล่าวก่อนหน้านี้ของเขา แต่หนังด้านทั่วฝ่ามือก็แสดงให้เห็นว่าชีวิตของสตรีผู้นี้มิได้ราบรื่นนัก ฮาแบควางกุญแจที่เพิ่งใช้ลงกลอนประตูไปเมื่อสักครู่ลงบนมือนั้น ปลายนิ้วค่อนข้างหยาบกร้านผิดกับรูปโฉมสง่างามภายนอกเฉียดฝ่ามือเล็กเบาๆ และผละห่างออกไปในที่สุด


 


 


“ต้องพกมันติดตัวไว้เสมอนะขอรับ นอกจากแม่นางแล้ว ก็อย่าให้ผู้ใดเข้าไปในนั้นได้”


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


วันรุ่งขึ้นทันทีที่ตื่นนอน นางก็ตรวจดูสภาพอากาศด้านนอกเป็นอย่างแรก อากาศหนาวแต่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไม่มีเมฆสักจุด ส่วนที่มีแสงแดดส่องสว่างลงมาก็อบอุ่น รู้สึกสนุกเมื่อมีงานให้ทำ หลังจากจัดการอาหารเช้าและยาสมุนไพรที่สาวใช้จัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็มุ่งตรงไปยังห้องยาทันที


 


 


“คุณหนู เข้าไปในนั้นไม่ได้นะขอรับ”


 


 


คนรับใช้ที่กำลังกวาดลานบ้านอยู่รีบวิ่งเข้ามาห้ามอย่างว่องไว ถึงแม้ว่าประตูจะลงกลอนอยู่ แต่ก็เผื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้


 


 


“นายท่านมอบหมายให้ข้ามาดูแลห้องยาแทนเจ้าค่ะ”


 


 


“ขอรับ? แต่ว่าที่นี่ลงกลอนไว้…”


 


 


“นี่เจ้าค่ะ ท่านให้กุญแจมาด้วย”


 


 


นางแบมือออกให้เห็นกุญแจ ดวงตาของคนรับใช้เบิกโพลงขึ้น ตอนนี้ข้าได้ยินได้เห็นอะไรอยู่กันล่ะเนี่ย ได้แต่ยืนสับสนมึนงงจนต้องกะพริบตาปริบๆ กับสถานการณ์เข้าใจยากตรงหน้า นางเอียงคอมองอย่างสงสัยก่อนจะกลับหันไปเสียบลูกกุญแจไขแม่กุญแจขนาดใหญ่ แกร๊ก แม่กุญแจลงกลอนแน่นหนาคลายออกอย่างง่ายดายพร้อมเสียงโลหะกระทบกัน


 


 


“ตายแล้ว มันหนักนะขอรับ ส่งมาทางนี้เถิด”


 


 


แต่เมื่อเห็นสตรีผู้นี้ส่งเสียงโอดโอยยกลังสมุนไพรออกมาจากด้านใน คนรับใช้จึงรีบยื่นแขนออกมาช่วยเหลือ ทว่านางกลับส่ายหน้าอย่างดื้อรั้นและวางกล่องลงด้วยตนเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กางเสื่อฟางข้าวสะอาดๆ ออกมาปูข้างๆ


 


 


“ขอบพระคุณสำหรับน้ำใจเจ้าค่ะ แต่นี่เป็นงานที่นายท่านมอบหมายให้กับข้า เพราะฉะนั้นข้าก็ต้องทำเองทั้งหมดถึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”


 


 


ไม่น่าเชื่อ คนรับใช้เหลียวหลังมองสตรีแปลกหน้าตากชะเอมลงบนเสื่อฟางข้าวอย่างขยันขันแข็งอยู่หลายรอบ ก่อนจะวิ่งข้ามประตูตรงไปยังห้องนอนของนายหญิงตระกูล ตัดสินใจว่าถึงอย่างไรก็ต้องรายงานเรื่องนี้ให้ท่านรับรู้


 


 


“นายหญิง อยู่ด้านในหรือไม่ขอรับ”


 


 


นายหญิงตระกูลจองเปิดประตูออกมาเองแทนคำตอบ


 


 


“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”


 


 


“ระ เรื่องแขกที่นายน้อยพามาขอรับ”


 


 


ซุบซิบๆ เมื่อคนรับใช้เล่าจบ ริมฝีปากเหยียดตรงปิดสนิทจนดูเยือกเย็นของผู้สูงศักดิ์กว่าก็ยกขึ้นเล็กน้อยทันที


 


 


“เข้าใจแล้ว เจ้าคอยสังเกตดูให้ดีว่าแม่นางผู้นั้นไม่สะดวกสบายตรงไหนหรือไม่ บอกให้คนครัวใส่ใจกับอาหารของนางมากขึ้นอีกหน่อยด้วย หากใต้เท้ากลับจวนแล้วก็พาเขามาพบข้าที”


 


 


“ขอรับ นายหญิง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม