ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 109-134

ตอนที่ 109

 

ปลาบปลื้มยินดี

[ระบบ : เจ้าหญิงน้อยผู้น่ารักของข้า ยินดีต้อนรับกลับบ้าน]


 


 


เมื่อได้ยินฉายาที่ 008 เรียกเธออย่างร่าเริงเบิกบาน ถังซีก็พูดไม่ออก เธอนั่งลงบนโถส้วมคุยกับ 008 ‘ศูนย์ ศูนย์ แปด คุณใจร้ายมากเลยนะ ทำไมไม่บอกให้ฉันรู้วิธีกลับมา ตอนที่ฉันแทบทนอยู่ที่ลองบีชไม่ไหวแล้ว คุณไม่เห็นหรือว่าฉันกลุ้มใจมากแค่ไหน แล้วฉันก็อยู่ในอาการโคม่าตั้งหลายวัน’


 


 


[ระบบ : ท่านจะโทษข้าอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าเตือนท่านแล้วว่าไม่ให้เปิดใช้งานทักษะอเนกประสงค์พร้อมกันทั้งหมด แต่ท่านไม่ฟัง โชคดีมากนะเจ้าหญิงน้อย ที่ท่านนอนหลับไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ หากนานไปกว่านี้อีกแค่นาทีหรือสองนาที ท่านอาจไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้ และจะลงเอยด้วยการกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน…]


 


 


ถังซีเม้มริมฝีปาก “แต่จะให้ฉันนั่งมองพี่ชายฉันตายไปเฉยๆ อย่างนั้นไม่ได้หรอก!”


 


 


008 โกรธมาก


 


 


[ระบบ : ทำไมท่านไม่เปิดใช้งานเฉพาะทักษะที่ต้องการ! เมื่อท่านเปิดใช้งานทักษะอเนกประสงค์ทั้งหมด แม้จะใช้เพียงสองทักษะ ทักษะอื่นๆ ก็จะดูดพลังงานของโฮสต์ไปด้วยตราบเท่าที่ยังเปิดใช้งานอยู่ แล้วท่านรู้ไหมว่าทำไมท่านถึงกลับไปที่มหาสมุทรแปซิฟิก แทนที่จะอยู่ในสถานที่ที่วิญญาณท่านออกจากร่าง]


 


 


ถังซีส่ายศีรษะตอบว่า “ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้”


 


 


และเธอก็บ่นในใจว่า ‘ถ้ารู้ฉันจะถามคุณทำไมเล่า’


 


 


008 รู้สึกขุ่นเคืองเมื่อได้ยินเธออุทธรณ์ในใจ


 


 


[ระบบ : เพราะในสถานที่ที่ท่านตายเท่านั้น ที่จะสามารถซ่อมแซมจิตวิญญาณของท่านได้ ท่านไม่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ หรืออ่อนเพลียเลยใช่ไหม ตอนอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิก]


 


 


ถังซีพยักหน้าตามทันที ไม่น่าแปลกใจที่เธอรู้สึกเหนื่อยอ่อนในเวลานั้น และวิญญาณของเธอก็โปร่งใส อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ที่ลองบีชสภาวะโดยรวมของเธอดีขึ้น แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอก็ตาม


 


 


008 นิ่งเงียบ


 


 


ถังซียิ้มแล้วกล่าวว่า “เพราะฉะนั้นคะแนนประสบการณ์ของฉันก็ไม่ลดลง ใช่ไหม”


 


 


[ระบบ : เจ้าหญิงน้อยที่น่ารักของข้า ท่านต้องการตรวจสอบคะแนนประสบการณ์ของท่านใช่ไหม]


 


 


ถังซีไม่ชอบวิธีการพูดแบบนี้เลยจริงๆ แต่เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจ 008 ได้ เธอจึงยื่นมือออกมาแตะที่คำว่า ‘ใช่’


 


 


[คะแนนประสบการณ์ของโฮสต์ :


 


 


คะแนนประสบการณ์ : 187/800


 


 


คะแนนการต่อสู้ : 2/100


 


 


คะแนนกายภาพ : 10/100


 


 


คะแนนหน้าตา : 50/100


 


 


คะแนนรูปร่าง : 15/100


 


 


คะแนนเสน่ห์ : 40/100


 


 


คะแนนการแก้แค้น : 20/100


 


 


คะแนนความร่ำรวย : 10/100


 


 


คะแนนการสั่งสอน : 40/100]


 


 


ถังซีมองดูคะแนนประสบการณ์ หางตาเธอหรี่ลง และเธออดถามไม่ได้ “ทำไมคะแนนเสน่ห์ถึงเพิ่มขึ้นสิบคะแนน ในขณะที่คะแนนกายภาพลดลงห้าคะแนน!”


 


 


[ระบบเหน็บแนม : ก็เจ้าหญิงเพิ่งตื่นจากการอยู่ในอาการโคม่ามานานหนึ่งสัปดาห์ ท่านควรดีใจด้วยซ้ำที่ยังสามารถลุกขึ้นจากเตียงและเดินได้ ยังจะคาดหวังให้คะแนนกายภาพเพิ่มขึ้นอีกหรือ! สำหรับคะแนนเสน่ห์นั้น เพิ่มขึ้นเพราะพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของท่านเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อท่าน…]


 


 


ถังซีอึ้งไป วิธีการของระบบเป็นแบบนี้นี่เอง… แล้วถ้าพี่ชายแท้ๆ ของเธอมาปฏิบัติดีๆ ต่อเธออีกนิด คะแนนเสน่ห์จะเพิ่มขึ้นอีกห้าคะแนนไหมนะ


 


 


เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น และเสียงหลินหรูดังผ่านเข้ามา “โหรวโหรว หนูอยู่ข้างในมาพักหนึ่งแล้วนะจ๊ะ นอนหลับหรือเปล่า แม่ขอเข้าไปได้ไหม”


 


 


ถังซีเอื้อมมือไปกดชักโครกอย่างรวดเร็ว ขณะร้องบอกออกไป “เข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ ไม่ได้หลับ เดี๋ยวล้างหน้าเสร็จจะออกไปนะคะ”


 


 


เมื่อถังซีออกมานั้นหยางจิ้งเสียนมาถึงแล้ว เธอรีบเข้าไปกอดถังซีแน่น น้ำตาไหลพรากขณะกล่าวว่า “ลูกรักของแม่ ในที่สุดหนูก็ฟื้น แม่เป็นห่วงหนูมากรู้ไหม”


 


 


ถังซียิ้ม ตบหลังหยางจิ้งเสียนเบาๆ “หนูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะคุณแม่ หนูสบายดีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะคะ”


 


 


เซียวหงลี่ก็มาแล้วเช่นกัน เขาเดินเข้าไปกอดถังซี และกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “ในที่สุดลูกก็ฟื้น ดูสิ ผมพ่อหงอกไปหมดทั้งหัวแล้วเพราะเป็นห่วงลูก”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหนูจะซื้อวอลนัทให้คุณพ่อทานนะคะ” ถังซีตอบอย่างน่ารัก


 


 


เซียวหงลี่หัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข “แล้วหนูต้องปอกเปลือกให้พ่อด้วยนะ”


 


 


ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม บอกว่า “ตกลงค่ะ”


 


 


เมื่อหลินหรูมองดูครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุข ร่องรอยความโศกเศร้าก็แวบผ่านดวงตาเธอ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เซียวโหรวน่าจะเป็นเธอกับเซียวหงอี้ แต่เพราะความผิดพลาดที่พวกเธอทำลงไป เธอจึงได้แต่นั่งมองภาพอันอบอุ่นเช่นนี้เท่านั้น แต่ไม่สามารถเข้าไปร่วมได้…


 


 


เมื่อเหลือบตามองเห็นสีหน้าหลินหรู ถังซีก็กะพริบตาปริบๆ ขณะจับมือหยางจิ้งเสียนแล้วถามว่า “คุณแม่คะ ทำอะไรมาให้หนูทานคะ”


 


 


“ซุปไก่จ้ะ แต่อย่าเพิ่งทานมากเกินไปนะจ๊ะ หนูเพิ่งฟื้น ท้องหนูอาจยังรับอะไรเยอะๆ ไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะกลับไปต้มโจ๊กให้หนูอีกที”


 


 


ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นั่งลงบนโซฟาและเริ่มทานซุป เมื่อเธอทานซุปไปได้สองสามคำ หลินหรูก็ส่งแอปเปิลที่เธอปอกเปลือกเสร็จแล้วให้ถังซี “หนูยังทานอาหารที่มีไขมันมากไม่ได้ ทานแอปเปิลก่อนนะจ๊ะ”


 


 


ถังซีกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มและรับมา หลังจากทานซุปเสร็จเธอก็เริ่มทานแอปเปิล เซียวหงลี่บอกว่าเขาต้องไปก่อน เพราะมีงานเร่งด่วนต้องไปจัดการ ถังซีจึงเดินไปส่งเขาที่ประตู


 


 


ขณะอยู่บนทางเดินจู่ๆ เซียวหงลี่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองถังซี เขายิ้มและกล่าวอย่างจริงจัง “ขอบคุณมากนะโหรวโหรว ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกชายพ่อไว้ หนูไม่ใช่แค่ลูกสาวของพ่อ แต่ยังเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเราอีกด้วย”


 


 


ถังซีชะงัก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ หนูควรขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มากกว่าที่ยอมรับหนูเป็นลูกสาว ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่รับหนูเข้ามาอยู่ในครอบครัว หนูก็ไม่สามารถช่วยพี่เหยาได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเองค่ะ”


 


 


เซียวหงลี่ยิ้ม เดินกลับไปโอบกอดถังซีแน่น “ไม่ว่าลูกจะเป็นใคร ลูกคือลูกสาวของพ่อเสมอ พ่อจะไม่ยอมให้ใครมารังแกหนูได้”


 


 


ถังซีกอดตอบเขาด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง เธอพยักหน้าอย่างหนักแน่นขณะกล่าวว่า “หนูรู้ค่ะ คุณพ่อ!”


 


 


เธอรู้ว่าเซียวหงลี่หมายถึงอะไร เขากำลังบอกเธอว่า ไม่ว่าเธอจะเป็นลูกสาวที่แท้จริงของเขาหรือไม่ก็ตาม เขาคิดว่าเธอคือลูกสาวของเขา และจะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ


 


 


แล้วขณะกำลังอยู่ในช่วงเวลาอันแสนซาบซึ้ง ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงเซียวจิ่งและเซียวส่า ตะโกนลั่น “คุณพ่อคุณแม่ ทำอย่างนี้ได้ยังไงครับ! ทำไมไม่มีใครบอกเราเลยว่าโหรวโหรวฟื้นแล้ว! เราไม่รู้เลยจนกระทั่งไปถึงบริษัท! เราควรเป็นคนแรกที่มาหาโหรวโหรว!”


 


 


เซียวหงลี่ปล่อยถังซี เธอก็ปล่อยแขนเขา หันไปมองพี่ชายทั้งสอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ส่า พี่จิ่ง ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เจอพี่ๆ อีก ฉันคิดว่าฉันจะไม่ได้เจอพี่ๆ ซะแล้ว”


 


 


เซียวส่ารีบวิ่งเข้ามาดึงตัวถังซีเข้าไปในอ้อมแขนและดุเธอ “นี่สาวน้อยตัวแสบ เธอรู้ไหมว่าเธอทำให้พี่กลัวมากแค่ไหน พี่กลัวแทบตาย! ถ้าทำแบบนี้อีกพี่จะตีเธอแน่นอน!”


 


 


เซียวจิ่งเข้ามาดึงเซียวส่าออกไป คว้ามือถังซีแล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด กล่าวว่า “โหรวโหรว เธอรู้ไหมว่าพี่คิดถึงเธอมากแค่ไหน รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเธอมากแค่ไหน จับหัวใจพี่ดูสิ หัวใจที่เต้นอยู่ในอกพี่นี่เป็นของปลอมนะ! หัวใจจริงๆ น่ะพี่ทำหายไปแล้ว เพราะเป็นห่วงเธอเหลือเกิน!”


 


 


เซียวหงลี่หลิ่วตาให้ลูกสาว และออกไปทำงานโดยไม่สนใจลูกชายทั้งสองที่กำลังมีอาการป่วยทางจิต

 

 

 


ตอนที่ 110

 

ลูกจะไม่ให้อภัยแม่เลยหรือ

หลังจากเซียวหงลี่ออกไปไม่นาน เซียวหงอี้กับเซียวเจี่ยนก็มา ถังซีทักทายคนทั้งสอง เซียวเจี่ยนมีงานต้องไปทำ เขาจึงรีบออกไปหลังจากถามถึงสุขภาพของเธอ เซียวหงอี้ไม่รู้จะพูดอะไรกับถังซี หลังจากนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องคนไข้มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาก็บอกให้ถังซีพักผ่อนให้เต็มที่ และบอกว่าเขาต้องไปทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในเครือบริษัทของเขา แล้วก็กลับไป


 


 


เซียวจิ่งกับเซียวส่ามองหน้าถังซี พร้อมกับหัวเราะอย่างมีความสุขขณะกล่าวว่า “เยี่ยมไปเลย”


 


 


ถังซีถามพร้อมหัวเราะเบาๆ “อะไรเยี่ยมเหรอ”


 


 


“เยี่ยมมากที่เธอฟื้นขึ้นมา” เซียวส่าส่งส้มให้ถังซี “เธอไม่รู้หรอกว่า กว่าพวกเราจะผ่านพ้นมาได้น่ะเป็นยังไงบ้าง ตอนที่เธอหมดสติพวกเราอารมณ์แย่มาก ยิ้มไม่ออกเลย แต่ตอนนี้เมื่อเธอฟื้นขึ้นมา พี่รู้สึกเหมือนกับว่าในที่สุดเราก็ได้เห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง”


 


 


ถังซียิ้ม พวกเขาได้เห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง แต่เฉียวเหลียงล่ะ ในโลกของเขาถังซีเสียชีวิตไปแล้ว แสงอาทิตย์ของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว


 


 


เธอต้องหาทางโทรศัพท์หาเฉียวเหลียง บอกให้เขารู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอจะปล่อยให้เขาจมอยู่ในความเศร้าโศกตลอดไปแบบนี้ไม่ได้


 


 


“ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลแล้วล่ะตอนนี้ ฉันฟื้นแล้ว ฉันอยากกลับบ้าน” เมื่อกลับไปอยู่บ้านเธอก็จะโทรศัพท์หาเฉียวเหลียงได้


 


 


เซียวเหยาก็กลับบ้านไปพักฟื้นได้แล้วเช่นกัน แต่ที่ยังอยู่ที่โรงพยาบาลก็เพราะเขาต้องการอยู่เฝ้าดูอาการเซียวโหรว และตอนนี้เธอฟื้นแล้ว เขาจึงอยากออกจากโรงพยาบาลด้วยเหมือนกัน


 


 


เมื่อได้ยินว่าเธอกำลังจะออกจากโรงพยาบาล เซี่ยวหงลี่และครอบครัวตื่นเต้นมาก ในขณะที่หลินหรูรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เธอมองดูลูกสาวซึ่งกระตือรือร้นขอกลับบ้านแล้วรู้สึกปวดใจ เธอมาเยี่ยมลูกสาวได้ทุกวันขณะที่ลูกสาวเธออยู่โรงพยาบาล แต่เมื่อกลับไปบ้านเซียวหงลี่แล้ว เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเยี่ยมได้บ่อยๆ เธอจะไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวของเธอทุกวันอีกต่อไปแล้ว!


 


 


ขณะมองดูลูกสาวที่ร่างกายยังอ่อนแอ หลินหรูก็รู้สึกเสียใจ ลูกสาวเธอผ่ายผอมและดูเหมือนขาดอาหาร ถ้าไม่ได้กินหรือนอนอย่างเพียงพอร่างกายจะได้รับผลกระทบอย่างมาก เธอจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร ถ้าเธอไม่ได้อยู่กับลูกสาว


 


 


สายตาหลินหรูนั้นกระวนกระวายเกินกว่าที่ถังซีจะเพิกเฉยได้ ถังซีจึงก้มหน้าลงทานส้ม เพื่อหลบเลี่ยงสายตาเธอ


 


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของถังซีหลินหรูรู้สึกเศร้ามาก แต่เธอต้องยอมรับความเจ็บปวดจากผลการกระทำของตนเอง ตำหนิใครไม่ได้ เธอโง่มาก ทำให้ลูกสาวต้องทนทุกข์ทรมานถึงขนาดนั้น ตอนนี้เธอทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือโทษตัวเอง


 


 


ถังซีเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยขึ้น “เอ้อ… ขอบคุณนะคะที่มาดูแลฉันทุกวัน ตอนนี้ฉันฟื้นแล้ว ฉันไม่ชินกับการอยู่โรงพยาบาล ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าคุณ…” ถังซีหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “คุณมาเยี่ยมฉันที่บ้านก็ได้นะคะ ถ้าคุณไม่ลำบาก”


 


 


หยางจิ้งเสียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ถังซี กล่าวว่า “ใช่จ้ะ ถ้าคิดถึงโหรวโหรวก็มาเยี่ยมที่บ้านเราได้ ถ้าโหรวโหรวไม่ว่าอะไร พวกเราก็ไม่ว่าอะไรเหมือนกัน เราก็เคยอยู่ด้วยกันที่คฤหาสน์ตระกูลเซียวไม่ใช่หรือ”


 


 


เซียวจิ่งกับเซียวส่าเม้มริมฝีปาก แต่ไม่พูดอะไร ในขณะที่เซียวเหยาลูบผมถังซีด้วยความรัก ถังซียิ้มให้เขาแล้วถามว่า “พี่เหยา พี่ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ”


 


 


“ใช่ ขอบใจนะโหรวโหรว พี่ฟื้นตัวเร็วมากและออกจากโรงพยาบาลได้แล้วตอนนี้” เซียวเหยาตอบด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยากจากเขา


 


 


หลินหรูพยักหน้าอย่างหนักแน่น พร้อมกับกล่าวว่า “ตกลงจ้ะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปส่งโหรวโหรวกลับบ้านด้วยได้ไหม”


 


 


ถังซีมองหน้าหยางจิ้งเสียน ซึ่งกำลังจะถามความเห็นเธอพอดี เมื่อเห็นถังซีมองมา หยางจิ้งเสียนก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ” จากนั้นเธอก็หันไปหาเซียวจิ่งกับเซียวส่าและบอกว่า “ไปจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้พี่ชายกับน้องสาวของลูกสิจ๊ะ เราจะได้กลับบ้านกัน”


 


 


ถังซียิ้ม ในที่สุดเธอก็ได้กลับบ้าน และจะได้โทรหาเฉียวเหลียงแล้ว เธอลองจินตนาการถึงสีหน้าเฉียวเหลียงเมื่อเขารับสาย เขาจะเชื่อเธอไหม ตัวเธอเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะคิดได้ ถึงเรื่องการโทรศัพท์หาเขา เมื่อกลับถึงบ้านถังซีก็รู้สึกว่าเธอได้กลับฟื้นคืนชีวิตแล้วอย่างแท้จริง เธอวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ทำให้อีกห้าคนเป็นห่วงขึ้นมาทันที โดยเฉพาะหลินหรู เธอคิดว่าลูกสาวอยู่ในอาการโคม่าเพราะตกบันไดเธอจึงกลัวมากว่าเซียวโหรวจะตกลงมาอีก เธอรีบเข้าไปประคองถังซี “โหรวโหรว ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวจะตกบันไดอีก”


 


 


จบคำพูดเธอก็รีบตามถังซีขึ้นบันไดไปชั้นบน และพาถังซีเข้าไปในห้อง


 


 


เมื่อเห็นห้องนอนที่ตกแต่งแบบเจ้าหญิงหลินรูก็พูดไม่ออก เธอรู้แล้วว่าทำไมโหรวโหรวจึงรักหยางจิ้งเสียนและครอบครัวของเธอมาก พวกเขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนเจ้าหญิงน้อย ดูได้จากการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ในห้อง สิ่งเหล่านี้มีไว้สำหรับเจ้าหญิงอย่างแท้จริง มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมในห้อง เธอเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวโดยไม่รู้ตัว เสื้อผ้าแขวนไว้อย่างสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ แบบต่างๆ เก็บเรียบร้อยใส่ไว้ในกล่องใส รองเท้าวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบสวยงาม


 


 


ในขณะที่เสื้อผ้าและกางเกงเป็นยี่ห้อธรรมดาทั่วไป แต่รองเท้าเป็นยี่ห้อที่มีชื่อเสียง บางส่วนก็เป็นรุ่นผลิตจำกัดทั่วโลก พวกเขารักใคร่เอาใจใส่โหรวโหรวจริงๆ


 


 


ถังซีเข้าไปในห้อง และเปิดคอมพิวเตอร์ โดยไม่ทันสังเกตเห็นหลินหรู


 


 


หลินรูออกมาจากห้องแต่งตัว เห็นถังซีนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับยิ้มให้ แล้วถามว่า “โหรวโหรว ลูกเป็นคนทำความสะอาดห้องแต่งตัวเองหรือจ๊ะ”


 


 


“คุณแม่เป็นคนทำความสะอาด…” ถังซีหยุดชะงักในฉับพลัน เงยหน้าขึ้นมองหลินหรูที่จู่ๆ ก็มาอยู่ในห้องของเธอ เมื่อเห็นหลินหรูหน้าซีดลงทันทีที่ได้ยินคำพูดของเธอ ถังซีก็ค่อยๆ ยิ้มออกมาและกล่าวต่อจนจบ “ฉันต้องไปโรงเรียนและทำการบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ค่ะ ไม่มีเวลาทำความสะอาด คุณแม่ก็เลย…”


 


 


หลินหรูยิ้ม “พวกเขาดีกับลูกมาก”


 


 


“ใช่ค่ะ พวกเขาดีกับฉันจริงๆ มีเพียง…สองคนในโลกนี้ที่ดีกว่าพวกเขา” ในขณะที่เธอยังเป็นถังซี คุณปู่ของเธอก็รักเธอมาก หามาให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ ท่านตามใจเธอจนเสียเด็กอย่างแท้จริง หลังจากนั้นเธอก็ได้พบกับเฉียวเหลียง แม้ทั้งสองจะไม่ได้คบกันนานนัก และเฉียวเหลียงไม่ใช่คนโรแมนติค แต่เขาดีกับเธอมาก ทว่าแล้วจากนั้น…


 


 


ดวงตาหลินหรูพร่ามัวลงตามคำพูดของถังซี เธอฝืนยิ้มขณะพาถังซีไปนั่งลงที่เตียง และกระซิบถาม “โหรวโหรว ให้โอกาสแม่ทำความสะอาดห้องให้ลูกได้ไหมจ๊ะ”


 


 


ถังซีรู้สึกประหลาดใจ ทำไมจู่ๆ หลินหรูถึงขอแบบนี้


 


 


แต่คนที่หลินหรูอยากทำให้คือเซียวโหรว เธอควรจะมีความสุขไปกับความรักของแม่ ที่ควรจะเป็นของเซียวโหรวหรือเปล่า


 


 


เธอโชคดีที่ได้รับความรักจากเซียวหงลี่และครอบครัว แต่เธอจะรับเอาความรักจากแม่ของเซียวโหรวได้อย่างไร


 


 


“เอ้อ ท่านประธานหลินคะ…”


 


 


“ลูกยังไม่ยอมเรียกแม่ว่าแม่อีกหรือ” ดวงตาหลินหรูแดงเรื่อขึ้นมา “แม่รู้ว่าเป็นความผิดของพ่อกับแม่ และแม่เกือบจะฆ่าลูก แต่ตอนนี้แม่รู้แล้วว่าแม่ผิด ลูกจะไม่ให้อภัยแม่เลยหรือ”

 

 

 


ตอนที่ 111

 

บางสิ่งบางอย่างที่นางฟ้าอย่างเธอเท่านั้นที่มี

ถังซีดึงมือกลับจากมือหลินหรู ฝืนยิ้มและกล่าวว่า “ฉัน… แต่ตอนนี้ฉันเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่”


 


 


“หนูมีพ่อแม่สองคนก็ได้นี่” หลินหรูกล่าวพร้อมกับคว้ามือถังซีด้วยท่าทางตื่นเต้น “จริงสิ หนูมีได้! จะดีกว่าไหม ถ้าหนูมีพ่อแม่จากสองครอบครัวที่รักหนู โหรวโหรว ได้โปรดเถอะ แม่ขอร้อง ขอโอกาสให้แม่ได้ทำให้ลูก”


 


 


ถังซีดึงมือกลับมาอีกครั้ง ผุดลุกขึ้นยืนแล้วตอบอย่างไม่แน่ใจ “ฉันอยากอยู่คนเดียวค่ะ คุณช่วยออกไปข้างนอกสักครู่ก่อนได้ไหม ฉันจะลองคิดเรื่องนี้ดู”


 


 


เมื่อเห็นความไม่สบายบนใบหน้าลูกสาว หลินหรูก็รู้ว่าเธอมาไกลเกินไป จึงพยักหน้า เดินไปที่ประตูแล้วกล่าวว่า “ได้จ้ะ แม่จะไม่บังคับลูก ตามสบายนะจ๊ะ อย่าเพิ่งเบื่อ…”


 


 


ถังซีเอื้อมมือไปปิดประตู ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลินหรูในฐานะคนเป็นแม่นั้น ดีต่อลูกของเธอจริงๆ


 


 


หลินรูยืนเศร้าอยู่หน้าประตูห้องถังซี ดวงตาแดงเรื่อ และนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ก่อนจะหันหลังกลับเดินลงมาข้างล่าง หยางจิ้งเสียนกำลังต้มซุปอยู่ในครัว เมื่อเห็นเธอลงมาจึงบอกให้ไปนั่งในห้องนั่งเล่น หลินหรูส่ายศีรษะแทนคำตอบ และเดินไปที่ประตูห้องครัว ถามหยางจิ้งเสียนว่า “เธอทำอาหารให้พวกเขาทุกมื้อเลยหรือ”


 


 


หลินหรูไม่ค่อยได้ทำอาหารตั้งแต่แต่งงาน เพราะเธอใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับงานในบริษัท ไม่เคยมีเวลาทำอาหารให้ครอบครัว


 


 


หยางจิ้งเสียนพยักหน้าตอบว่า “ทุกคนไม่คุ้นกับการซื้ออาหารจากข้างนอก และฉันไม่อยากจ้างคนรับใช้ ฉันก็เลยทำงานบ้านเอง” จากนั้นเธอก็หยิบผักออกมาจากตู้เย็น นำมาเตรียมเป็นส่วนผสม ก่อนจะกล่าวต่อไป “นั่งสิ อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว กุ้งซอสต้นหอมเป็นอาหารโปรดของโหรวโหรว จิ่งกับส่ากำลังออกไปซื้อกุ้ง หรือเธอจะไปนั่งดูทีวีรอในห้องนั่งเล่นก็ได้”


 


 


หลินหรูไม่อยากอยู่ต่อ ไม่อยากเห็นพวกเขามีช่วงเวลาแสนสุข แต่เธอก็ยังไม่อยากไปจากที่นี่ เธอยิ้มและกล่าวว่า “ให้ฉันช่วยเธอได้ไหม ถึงฉันจะไม่เก่งแต่ก็พอทำได้”


 


 


ความประหลาดใจฉายชัดในดวงตาหยางจิ้งเสียน ทุกๆ ปีครอบครัวเธอจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเซียวในวันตรุษจีน เธอจะไปถึงที่นั่นแต่เนิ่นๆ เพื่อคอยกำกับดูแลคนรับใช้ในการเตรียมอาหาร แต่หลินหรูจะไม่โผล่มาจนกว่าอาหารจะเสร็จ หลังจากทานเสร็จแล้วเธอก็จะรีบไป เธอดูงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา ว่าแต่เธอทำอาหารเป็นหรือเปล่า


 


 


เมื่อเห็นร่องรอยความประหลาดใจในสายตาหยางจิ้งเสียน หลินหรูก็ยิ้มและบอกว่า “ก่อนแต่งงานกับหงอี้ฉันก็ทำอาหารทานเอง ถึงจะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ฉันก็รู้วิธีปรุงอาหาร”


 


 


หยางจิ้งเสียนไม่พูดอะไรอีก และส่งผักให้หลินหรู “ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยฉันหั่นผักได้ไหม ฉันจะทำเนื้อผัดหน่อไม้ฝรั่ง โหรวโหรวชอบหน่อไม้ฝรั่งด้วย”


 


 


หลินหรูตอบด้วยรอยยิ้มและพยักหน้า


 


 


ในเวลานั้นถังซีนั่งหน้าเศร้าอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จ้องมองเพดานห้องอย่างสิ้นหวัง เธอเกาศีรษะด้วยความหงุดหงิดขณะบ่นอย่างไม่พอใจ “บ้าชะมัด ศูนย์ ศูนย์ แปด ทำไมฉันเปิดใช้งานทักษะอเนกประสงค์ไม่ได้”


 


 


[ระบบ : เจ้าหญิงน้อยผู้น่ารักของข้า นี่คือบทลงโทษที่ระบบกำหนดไว้ ท่านจะไม่สามารถใช้ทักษะเอนกประสงค์เป็นเวลาสามวันหลังจากฟื้นขึ้นมา]


 


 


“ทำไมล่ะ!”


 


 


[ระบบ : ทำไมข้าต้องบอกท่านด้วย] น้ำเสียงเขาฟังดูน่ารักแม้จะเป็นเสียงหุ่นยนต์


 


 


เมื่อถังซีได้ยินเสียงของระบบ ความรู้สึกหดหู่ในหัวใจก็หายไปทันที เธอหัวเราะกล่าวว่า “นี่คุณจงใจทำแบบนี้เหรอ จะแกล้งให้ฉันเสียใจว่าอย่างนั้นเถอะ”


 


 


[ระบบแจ้งด่วน : กำลังจะปิดการทำงานเนื่องจากขาดพลังงาน]


 


 


“บ้าไปแล้ว ศูนย์ ศูนย์ แปด ถ้าพลังงานคุณมีไม่พอ ฉันจะใช้พลังงานจากที่ไหนล่ะ คุณไม่ใช่หุ่นยนต์นะ! ทำไมต้องใช้พลังงานด้วย!”


 


 


[008 : ข้าคือหุ่นยนต์]


 


 


ถังซีไม่อยากทะเลาะกับ 008 อีกต่อไป เธอกำลังคิดว่าเฉียวเหลียงกับคนของเขาควรจะอยู่บนเครื่องบินตอนนี้ ถึงอย่างไรก็ไปหาเขาเวลานี้ไม่ได้


 


 


[008 : ตายไปแล้วหรือ]


 


 


ถังซีกลอกตา “คุณสิตาย! ฉันยังมีชีวิตอยู่!”


 


 


[008 : ท่านเป็นเพียงวิญญาณของคนตาย ที่ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในร่างของคนอื่น]


 


 


“ไอ้บ้าเอ๊ย ศูนย์ ศูนย์ แปด!” บัดซบที่สุด เขามาเยาะเย้ยเธอแบบนี้ได้อย่างไร ถึงสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง แต่เธอก็ไม่ชอบใจที่ได้ยินอย่างนี้


 


 


[008 : ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าเป็นหุ่นยนต์ จะมาด่าข้าอย่างนี้ไม่ได้ ข้าเป็นระบบอิสระ และเป็นระบบชั้นสูง!]


 


 


“ก็ได้ๆ ระบบชั้นสูง ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม” ถังซีพลิกตัวนอนลงบนเตียง “บอกฉันหน่อยว่าเฉียวเหลียงตรงมาที่เมือง A เลยหรือเปล่า”


 


 


ระบบตอบด้วยเสียงเย่อหยิ่ง


 


 


[008 : ไม่บอก!]


 


 


ถังซีโมโห “ศูนย์ ศูนย์ แปด ฉันอยากจะทำอะไรกับคุณจริงๆ!”


 


 


[008 : ถึงข้าจะเป็นระบบชั้นสูง แต่ข้าก็ยังคงเป็นหุ่นยนต์ ท่านจะมาทำอะไรกับข้าได้อย่างไร!]


 


 


ถังซีรู้สึกว่านี่เธอกำลังพูดกับวัวกับควายแท้ๆ เธอกลอกตาและถามว่า “ฉันต้องทำยังไงคุณถึงจะบอกฉัน”


 


 


[008 : ขอร้องข้าสิ]


 


 


ถังซีสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำตามคำตอบที่ได้ “ฉัน-ขอ-ร้อง” เธอกัดฟันเอ่ยออกมาทีละคำ


 


 


[008 : ได้สิ ดีมาก แต่ข้าจะยังไม่บอกท่าน]


 


 


ถังซีสบถ “ศูนย์ ศูนย์ แปด ไอ้… ให้ตายสิ!”


 


 


[008 : ระบบกำลังปิดตัวเองโดยอัตโนมัติ เนื่องจากโฮสต์ด่าระบบ คะแนนความสนิทสนมระหว่างระบบกับโฮสต์ลดลงครึ่งหนึ่ง เวลาเปิดระบบครั้งต่อไปจะถูกกำหนดอีกครั้ง!]


 


 


ถังซีเบิกตาโต “ศูนย์ ศูนย์ แปด อะไรคือคะแนนความสนิทสนม แล้วหมายความว่ายังไงที่ว่าเวลาเปิดระบบครั้งต่อไปจะถูกกำหนดอีกครั้ง”


 


 


ถังซีพยายามเปิดระบบอยู่เงียบๆ อีกหลายครั้ง แต่พบว่าเธอไม่มีทางเปิดใหม่ได้เลย… การเปิดระบบนี่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของ 008 อย่างนั้นหรือ


 


 


“โอ… ศูนย์ ศูนย์ แปด ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว! ออกมาเถอะ ได้โปรด ฉันคุกเข่าขอโทษแล้วนะ! อย่าล้อฉันเล่นแบบนี้! ถ้าคุณบอกฉันเรื่องคะแนนความสนิทสนมก่อนหน้านี้ ฉันจะไม่มีวันด่าคุณเลย ออกมาเถอะ ได้โปรด!”


 


 


ไม่มีคำตอบใดๆ


 


 


ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมรับความจริง ถังซีร้องครางเสียงดังแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ ทันทีที่เข้าไปในห้องน้ำเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอกลับออกมาแล้วไปเปิดประตูห้อง เห็นเซียวเหยายืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าตกใจ ริมฝีปากเธอเม้มแน่นทันที ตายละ! เมื่อกี้เธอไม่ได้พูดเสียงดังใช่ไหม ตอนที่คุยกับ 008 …


 


 


เซียวเหยามองหน้าถังซี ซึ่งดูเหมือนจะผอมมากและถามว่า “เมื่อกี้เธอร้องทำไม”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ ตอบว่า “พี่เหยา พี่ต้องหูฝาดแน่ๆ” ‘แน่นอน ฉันไม่ทีทางบอกพี่หรอกว่าฉันร้องเพราะเรื่องอะไร!’


 


 


เซียวเหยาถามอีก “ใครคือ ศูนย์ ศูนย์ แปด”


 


 


“ศูนย์ ศูนย์ แปดอะไร พี่หมายถึงศูนย์ ศูนย์ เจ็ดหรือเปล่า สายลับศูนย์ ศูนย์ เจ็ดเหรอ พี่เหยา พี่หูฝาดแล้วค่ะ” ถังซีอยากบีบคอตัวเองเหลือเกิน ‘ถังซี ระวังคำพูดหน่อยสิ! ’


 


 


เซียวเหยาขมวดคิ้ว “เป็นอะไรบางอย่างที่นางฟ้าอย่างเธอเท่านั้นที่มีใช่ไหม”


 


 


“พี่เหยา กำลังฝันอยู่หรือเปล่าคะเนี่ย” ถังซีหัวเราะเบาๆ ผลักเซียวเหยาออกไป “ฉันกำลังจะอาบน้ำ”


 


 


เซียวเหยายันบานประตูไว้ “โหรวโหรว เราต้องคุยกัน พี่อยากรู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงโผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มาช่วยพี่”


 


 


ถังซีชะงัก มองหน้าเซียวเหยาซึ่งสีหน้าดูจริงจังมาก เธอเม้มริมฝีปาก ใช่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วล่ะ ถึงอย่างไรตอนที่ตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปนั้น เธอก็คิดไว้แล้วถึงผลที่จะตามมา


 


 


แต่เธอควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี บอกเขาว่าเธอเป็นนางฟ้าอย่างนั้นหรือ เธอจะปล่อยให้ตัวเองโกหกต่อไปได้อย่างไร


 


 


โอ เธอไม่น่าโกหกตั้งแต่แรกเลยจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มโกหก คุณจะต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เพื่อปกปิดสิ่งที่คุณโกหกไว้

 

 

 


ตอนที่ 112

 

กลับประเทศจีน

ท้ายที่สุดถังซีต้องยอมให้เซียวเหยาเข้ามาในห้อง จากนั้นก็สร้างเรื่องโกหกเรื่องนางฟ้าน้อย ซึ่งบังเอิญร่วงลงมาบนโลกมนุษย์ ขณะลงมาสู่โลกมนุษย์เป็นช่วงเวลาที่เซียวโหรวเสียชีวิตพอดี เธอจึงยืมร่างเซียวโหรว และมีชีวิตขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างร่วงลงมาสู่โลกมนุษย์ พลังมหัศจรรย์ของเธอจึงไม่เสถียร แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเร็วๆ นี้เธอได้ฟื้นฟูพลังมหัศจรรย์สำเร็จในที่สุด แต่เมื่อเธอไปช่วยชีวิตเขา เธอสูญเสียพลังไปจนหมด ทำให้เธอเกือบตาย…


 


 


เซียวเหยาเป็นนายทหารกองกำลังพิเศษที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เขาตกตะลึงอย่างที่สุดกับเรื่องราวของเธอ หลังจากอึ้งอยู่ชั่วครู่เขาก็กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น นี่คือสาเหตุที่ทำให้เธอนอนหลับเป็นเวลานานขนาดนั้นใช่ไหม”


 


 


ถังซีพยักหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ ตอนนี้ฉันก็เลยไม่เหลือพลังมหัศจรรย์อยู่เลย เป็นแค่น้องสาวพี่ แค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง”


 


 


ถังซีแอบถอนหายใจ ใช่แล้ว ตอนนี้เธอเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ 008 ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ เพราะเขาโกรธ ก่อนจะเปิดเขาขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เธอก็เป็นคนธรรมดาโดยสมบูรณ์คนหนึ่ง ใช่ แค่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเพียงเล็กน้อย


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ถังซีก็อดถอนหายใจไม่ได้ เธอเสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตคนอื่น ทำไม 008 จึงลดคะแนนประสบการณ์ แทนที่จะเพิ่มให้!


 


 


เซียวเหยามองดูหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาอันลึกซึ้ง ปรากฏว่าเธอคือนางฟ้าจริงๆ มีนางฟ้ามาอยู่ในบ้านของพวกเขา!


 


 


ถังซีสังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของเซียวเหยา ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งไม่ควรมีประกายตาแบบนี้ ทำไมเขาถึงมองเธอด้วยความรักใคร่บูชา


 


 


เซียวเหยาดูเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมาเช่นกัน เขายกกำปั้นขึ้นมาปิดปากกระแอม กลับสู่ท่าทีสงบนิ่งตามปกติ จากนั้นก็เดินไปที่ระเบียง นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมถามว่า “เธอหมายความว่าเซียวโหรวตัวจริงเสียชีวิตแล้ว อย่างนั้นหรือ”


 


 


ถังซีพยักหน้า เธอไม่อยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสำหรับเซียวเหยาอีกต่อไป “นั่นเป็นสาเหตุให้ฉันปฏิบัติต่อเซียวจิ้นหนิงอย่างที่ฉันทำ เธอฆ่าเด็กสาวคนหนึ่ง แม้ฉันจะสามารถมาอยู่ในร่างเซียวโหรวได้เพราะเธอถูกฆาตกรรม แต่ฉันไม่อาจให้อภัยเซียวจิ้นหนิงได้ เธอต้องถูกลงโทษ”


 


 


สีหน้าเซียวเหยาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “เธอคนนั้นไม่ใช่เซียวจิ้นหนิงอีกต่อไปแล้ว เธอคือเหยาจิ้นหนิง เธอไม่สมควรได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อสกุลของตระกูลเซียว”


 


 


ถังซียิ้ม กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าเซียวโหรวยังมีชีวิตอยู่ เธอคงจะมีความสุขมากที่รู้ว่าพี่เหยาใจดีกับเธออย่างนี้” ขณะเอ่ยคำพูดนี้ออกมาถังซีรู้สึกใจหาย เธออดคิดไม่ได้ว่าที่พวกเขาใจดีกับเธอมากเหลือเกินเช่นนี้ เพียงเพราะเธอเป็นเซียวโหรว แล้วเมื่อรู้ว่าเธอไม่ใช่เซียวโหรวตัวจริง พวกเขาจะยังใจดีกับเธออยู่อีกไหม


 


 


เซียวเหยาขมวดคิ้วกล่าวว่า “เธอพูดอะไร เธอคือเซียวโหรว คือเซียวโหรวของเรา ไม่มีใครมาแทนที่เธอได้หรอก เราใจดีกับเซียวโหวก็เพราะเซียวโหรวคือเธอ”


 


 


เซียวเหยาไม่รู้ว่าเธอเข้าใจในสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดหรือเปล่า แต่เขาอยากบอกเธอว่า ไม่ว่าเธอจะเป็นใครพวกเขาก็จะใจดีกับเธอ


 


 


ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะ พี่เหยา”


 


 


“ไม่ พี่สิควรขอบคุณเธอ ถ้าเธอไม่มาอยู่บ้านเรา พี่คงตายไปแล้ว”


 


 


ในขณะนั้นหลินหรูก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องถังซี และถามว่า “กำลังคุยกันเรื่องอะไรหรือจ๊ะ นางฟ้าอะไรหรือ”


 


 


“ไม่มีอะไรค่ะ แค่เรื่องในเทพนิยาย” ถังซีตอบแล้วยิ้มให้หลินหรู “มีอะไรเหรอคะ”


 


 


หลินหรูบอกว่า “คุณแม่ของหนูทำซุปเสร็จแล้วจ้ะ เลยบอกให้ฉันขึ้นมาตามหนูไปทาน หนูไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า ทานซุปสักหน่อย จะดีสำหรับท้องหนูนะจ๊ะ”


 


 


ถังซีพยักหน้า ยิ้มให้เซียวเหยา แล้วตามหลินหรูลงบันไดไป เซียวเหยามองตามหลังถังซี ขณะเดินตามมา อันที่จริงเขาอยากถามเธอว่าชื่อเดิมของเธอคืออะไร เกี่ยวข้องกับชื่อที่เธอใช้ในอินเตอร์เน็ทไหม หรือใครๆ เรียกเธอว่าถังเซียวเซียวมาก่อน


 


 


หรือที่เธอใช้เซียวเซียวในชื่อบนอินเตอร์เน็ทด้วย เพียงเพราะตอนนี้ชื่อสกุลของเธอคือเซียว


 


 


ช่างเป็นนางฟ้าน้อยแห่งความรักและความยุติธรรมเสียจริง


 


 


หลินหรูลงมาข้างล่างและตักซุปให้ทุกคน ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลังจากรับสายเธอก็หน้าซีด กล่าวว่า “รอสักครู่นะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”


 


 


หลินหรูดูท่าทางตกใจ ขณะรีบคว้ากระเป๋าแล้วออกไป “เอ้อ แม่มีบางอย่างต้องไปจัดการ ทานอาหารให้อร่อยนะจ๊ะ โหรวโหรว พรุ่งนี้แม่จะมาใหม่นะจ๊ะ”


 


 


หยางจิ้งเสียนออกมาจากครัวถามว่า “อ้าว เธอไม่ทานข้าวกับเราที่นี่เหรอ”


 


 


หลินหรูยิ้มด้วยท่าทางขอโทษ “พ่อแม่ฉันมาที่บ้าน และกำลังสร้างความสับสนวุ่นวาย ฉันต้องกลับบ้านไปจัดการก่อน แล้วเจอกันนะจ๊ะ”


 


 


หยางจิ้งเสียนพยักหน้า หลังจากหลินหรูออกไปแล้วเธอก็เลิกคิ้ว ถอนหายใจกล่าวว่า “ทำไมพวกเขาถึงมาในช่วงวิกฤติแบบนี้นะ”


 


 


ถังซีทานซุปอึกใหญ่ แล้วถามว่า “เรื่องอะไรกันเหรอคะ”


 


 


หยางจิ้งเสียนยิ้มและบอกให้เธอทานต่อไป “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ทานซุปมากๆ เอาอีกถ้วยไหมจ๊ะ”


 


 


ถังซีพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก เธอรู้สึกไม่สะดวกเลยเมื่อไม่มี 008 เธอเป็นเหมือนแผ่นกระดาษเปล่า ไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย…


 


 


ศูนย์ ศูนย์ แปด ฉันคิดถึงคุณมาก


 


 


ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อฉันสามารถเรียกหาคุณได้ทันที และถามคุณทุกเรื่องที่ฉันอยากรู้!


 


 


ขณะที่ถังซีทานซุปอยู่เงียบๆ หลินหรูนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ด้วยความวิตกกังวล


 


 



 


 


ที่ทะเลสาบส่วนตัวในลองบีช


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้าให้กับประธานสาขาลองบีชที่มาส่งเขา และขอบคุณสำหรับการดูแลในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ประธานสาขารู้สึกภาคภูมิใจ รีบส่ายศีรษะกล่าวว่า “เป็นเกียรติที่ได้รับใช้ครับ เจ้านาย เครื่องบินพร้อมแล้ว เชิญครับ”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า บอกกับอาห้าให้มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง และหันหลังไปขึ้นเครื่องบิน


 


 


หลังจากรอดูจนเฉียวเหลียงขึ้นเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว ประธานสาขาลองบีชก็เช็ดเหงื่อ หันหลังกลับแล้วเดินออกไป แต่จู่ๆ หญิงสาวชาวตะวันออกหน้าตาสวยท่าทางบอบบางคนหนึ่งก็วิ่งมาทางเขา ดวงตาเขาเป็นประกาย เดินเข้าไปหาเธอถามว่า “เฮ้ คุณ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”


 


 


ฉินซินหยิ่งมองดูชายหนุ่มตรงหน้า เธอยิ้มแล้วถามว่า “สวัสดีค่ะ บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าตอนนี้เฉียวเหลียงอยู่ที่ไหน”


 


 


คราวก่อนนั้นเธอคิดว่าเฉียวเหลียงกลับประเทศจีน เธอจึงบินกลับไปตามหาเขาที่เมือง A แต่คนที่นั่นบอกว่าเขาไม่ได้กลับมา หลังจากนั้นเธอก็ลองไปที่เมืองหลวง รวมถึงสถานที่อื่นๆ ที่เขาและถังซีเคยไป แต่เธอหาเขาไม่พบ จากนั้นเธอก็ได้รู้โดยบังเอิญว่าเขาไปลองบีช สถานที่พักผ่อนในวันหยุดที่ถังซีชื่นชอบ เธอไปตามหาเขาทุกแห่งที่ถังซีชอบไปในลองบีช แต่ก็ยังไม่พบเฉียวเหลียง มีคนบอกว่าเฉียวเหลียงมีสำนักงานสาขาที่นี่ เธอจึงไปที่สำนักงานนั้น เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามเธอได้ยินว่าประธานสำนักงานสาขาไปที่สนามบินวันนี้ เธอคิดว่าเฉียวเหลียงต้องอยู่กับเขาแน่ๆ!


 


 


เมื่อประธานสาขาได้ยินเธอถามเกี่ยวกับเฉียวเหลียง ความประหลาดใจก็ปรากฏในสายตา เขาคิดว่าหรือเธอจะเป็นผู้หญิงที่เจ้านายกำลังตามหา


 


 


พระเจ้า ดูเหมือนเขาได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่


 


 


เขาชี้ไปที่เครื่องบินซึ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว และกล่าวว่า “ท่านประธานบินไปแล้วครับ ผมได้ยินว่าพวกเขากำลังจะไปเมืองหลวง”


 


 


ฉินซินหยิ่งมองตามเครื่องบินที่บินหายไปท่ามกลางหมู่เมฆ จนลับสายตา…

 

 

 


ตอนที่ 113

 

ความทรงจำของฉินซินหยิ่ง

ฉินซินหยิ่งหันหลังกลับและเริ่มออกวิ่ง เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาขณะวิ่ง โทรหาผู้ช่วยของเธอบอกให้จองตั๋วเครื่องบิน “ฉันต้องการเที่ยวบินเที่ยวแรกสุด ไปเมืองหลวง”


 


 


เธอหลงรักเฉียวเหลียงมาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย แต่เขามองเห็นแต่ถังซีผู้หยิ่งยโส ถังซีมีอะไรดีหรือ ก็แค่เจ้าหญิงเอาแต่ใจตัวเองที่อาศัยอยู่ในปราสาท ไม่รับรู้วิถีชีวิตของโลกมนุษย์ เวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันเฉียวเหลียงจะยอมสยบอยู่แทบเท้าเธอ ในฐานะผู้เฝ้าดู ฉินซินหยิ่งรู้สึกว่าเฉียวเหลียงเหนื่อยหน่ายมาก ต่อมาเมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เธอก็ได้ยินว่าในที่สุดทั้งสองก็เลิกกันตามความต้องการของเฉียวเหลียง เธอดีใจมากที่ได้ยินเรื่องนี้ ในที่สุดพระเจ้าก็ได้ยินเสียงวิงวอนของเธอ และแยกทั้งสองออกจากกัน


 


 


ฉินซินหยิ่งแทบรอไม่ไหวที่จะตามหาเฉียวเหลียงและสารภาพรักกับเขา แต่เมื่อเธอไปถึงเมือง A และพบว่าวิกฤติที่เขากำลังเผชิญในชีวิตนั้นหนักหนาแค่ไหน แม้จะรักเฉียวเหลียง แต่เธอก็ไม่สามารถสารภาพกับเขาได้ในเวลาเช่นนั้น


 


 


อย่างไรก็ตาม ภายในหนึ่งปีเขากลับมามีชื่ออยู่ในพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เขากลายเป็นผู้นำทางธุรกิจของจีน และยังได้นำเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป ซึ่งก่อนหน้านี้ล้มละลาย ก้าวสู่หน้าประวัติศาสตร์ใหม่อีกด้วย เธอตื่นเต้นมาก เขาเป็นคนรักที่คู่ควรกับเธอจริงๆ ผู้ชายที่เธอรักนั้นยอดเยี่ยมมาก เธอแทบรอไม่ไหวที่จะบินไปอยู่เคียงข้างเขา


 


 


แต่ในเวลานั้นจู่ๆ คนของเขาก็มาหาเธอ ขอให้เธอช่วยติดต่อถังซี บอกเธอว่าเขาต้องการพบถังซี


 


 


เขาต้องการพบถังซีอย่างนั้นหรือ


 


 


พบทำไม ฉินซินหยิ่งถามพวกเขา


 


 


คนเหล่านั้นบอกเธอว่า เหตุที่นายน้อยของพวกเขาเลิกกับถังซีในเวลานั้น เพียงเพราะเขาไม่ต้องการให้ถังซีมีปัญหา แต่ตอนนี้เขาคิดว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะยืนเคียงข้างถังซี และจับมือไปกับถังซีได้แล้ว


 


 


จับมือไปกับถังซีหรือ นั่นจะไม่มีวันเกิดขึ้น! เธอจะปล่อยให้ถังซีกับเฉียวเหลียงอยู่ด้วยกันได้อย่างไร!


 


 


เธอตกลงจะช่วยให้เขาได้พบถังซี เธอรู้ว่าถ้าเธอตกลงช่วยเขา เธอจะได้เข้าใกล้เฉียวเหลียง


 


 


แต่ฉินซินหยิ่งไม่เคยได้พบเขาเลย จนกระทั่งเฉียวเหลียงมาหาถังซีที่หน้าปราสาทตระกูลถัง เธอแอบออกมาบอกเฉียวเหลียงว่าถังซีไม่ต้องการพบเขา แม้เธอจะพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นเวลานานก็ตาม เธอเห็นสีหน้าเขาซีดเผือดลงทันที และเห็นความขุ่นเคืองในสายตาเขา เธอรู้ว่าเธอกำลังจะประสบความสำเร็จ ตราบใดที่เฉียวเหลียงไม่รักถังซีอีกต่อไปแล้ว ถังซีผู้หยิ่งยโสก็จะไม่มีวันได้พบเจอเฉียวเหลียง บางทีถังซีอาจไม่อยากได้ยินข่าวเฉียวเหลียงอีกเลยก็เป็นได้


 


 


ขณะที่เธอคิดว่าเฉียวเหลียงจะยอมแพ้ เขาก็พูดขึ้นว่า “ได้โปรดบอกให้เธออ่านอีเมล์ของผมด้วย”


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเหลียงพูดกับเธอเป็นเวลานาน น้ำเสียงเขามีอำนาจและเด็ดขาดมาก


 


 


ในเวลานั้นเธอรู้ว่าเฉียวเหลียงส่งอีเมล์ถึงถังซีมากมาย แต่ถังซีไม่เคยอ่านเลย เธอให้สัญญากับเฉียวเหลียงว่าจะทำตามที่เขาขอ แต่เธอไม่ได้บอกถังซี ตราบใดที่ถังซีไม่สนใจเขา เขาก็จะลืมถังซีไปโดยปริยายในที่สุด


 


 


ท่ามกลางความประหลาดใจของฉินซินหยิ่ง เฉียวเหลียงมีความมั่นคงอย่างมาก แม้จะไม่ค่อยมาปรากฏตัวในบริเวณปราสาทตระกูลถัง หรือแม้แต่ในเมืองหลวง เขาก็ยังคงส่งคนมาฟังข่าวถังซีจากเธอเสมอ


 


 


เขาโหดร้ายกับเธออย่างนี้ได้อย่างไร!


 


 


เขาก็รู้ว่าเธอชอบเขา


 


 


เธอไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้ เขาแค่เมินเฉยต่อความรักของเธอ


 


 


หลายปีผ่านไปในระหว่างที่เขาพยายามหาวิธีพบกับถังซี ฉินซินหยิ่งรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อถังซี เช่น เมื่อรู้ว่าถังซีจะเดินทาง เขาจะจัดเตรียมสถานการณ์ให้ทั้งสองได้พบกันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด แต่เธอก็จงใจจัดการให้ทั้งสองได้คลาดกันอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน


 


 


อย่างเช่นตอนที่เขาไปร่วมงานเลี้ยงที่เมืองหลวง ซึ่งเป็นงานที่ถังซีไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เขาสวมชุดสูทแบบที่เขารู้ว่าถังซีชอบ และเธอก็ทำให้รถถังซีเสียกลางทาง เป็นเหตุให้เขาคิดว่าถังซีรู้ว่าเขาจะมางาน และจงใจหลีกเลี่ยงไม่อยากเจอเขา


 


 


เธอทำหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย แต่เขาไม่รู้ และถังซีก็ไม่รู้เช่นกัน


 


 


เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะยังคงปฏิเสธไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นถังซีจึงต้องตาย เมื่อถังซีตายเท่านั้นสถานการณ์เช่นนี้จึงจะเปลี่ยนไป!


 


 


ฉินซินหยิ่งนั่งอยู่ในรถด้วยใบหน้าซีดเผือด ถังซี เธอมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ใครต่อใครประเคนทุกอย่างให้ตามที่เธอต้องการ ทำไมเธอถึงยังเอาเฉียวเหลียงไปจากฉันอีก ถ้าเธอไม่ทำแบบนี้เธอก็ไม่ต้องตาย เพราะฉันจะเห็นเธอเป็นเพื่อน และไม่ปล่อยให้คนเหล่านั้นลงมือตามแผนการของพวกเขา แต่เธอต้องตายเพราะเธอมาขวางทางฉัน ฉันจึงต้องยืมมือพวกเขา


 


 


เมื่อรู้ว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งต้องการฆ่าถังซี เธอตื่นเต้นมาก เพราะเธอไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว และจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ช่างสมบูรณ์แบบอะไรเช่นนี้! เธอเพียงแค่โหมไฟขณะที่ไฟลุกโพลงก็พอ หลังจากนั้นถังซีก็จะถูกรายงานว่าเสียชีวิต เธอคิดว่าเรื่องจะจบลงง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยที่เธอไม่คาดคิด เฉียวเหลียงปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้น เขาปิดล้อมพื้นที่ทั้งหมดในทะเลแปซิฟิกบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ และซื้อเกาะใกล้เคียง ไม่อนุญาตให้ใครค้นหาร่างถังซี ตลอดจนปิดกั้นไม่ให้ข่าวการเสียชีวิตของถังซีรั่วไหล


 


 


ไม่ยุติธรรมเลยสำหรับเธอ แต่เธอไม่สามารถเปิดเผยตัวเองต่อหน้าเฉียวเหลียงได้


 


 


เมื่อรถมาถึงสนามบินฉินซินหยิ่งนำพาสปอร์ตไปรับตั๋วเครื่องบิน ขณะเดินเข้าไปในห้องรับรองของสนามบินเธอกำมือแน่น ตราบใดที่… ตราบใดที่เธอยังคงรอคอย เธอก็จะได้ครอบครองเฉียวเหลียง ถึงอย่างไรถังซีก็ตายไปแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของถังซี เธอเพียงแต่ต้องรอเวลา เมื่อเฉียวเหลียงอยู่ในความโศกเศร้าเธอจะไปปลอบใจเขา ใช้ประโยชน์จากความทรงจำของเฉียวเหลียงเกี่ยวกับถังซี จากนั้นโอกาสก็จะเป็นของเธอ


 


 


เฉียวเหลียง รอฉันอยู่ที่เมืองหลวงนะ ฉันกำลังจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้


 


 


หลังจากสิบชั่วโมงบนเครื่องบิน ฉินซินหยิ่งก็มาถึงสนามบินนานาชาติของเมืองหลวง เธอลากกระเป๋าเดินทางออกมา แต่ก่อนจะถึงด่านศุลกากรเธอก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์สวมสูทสีดำเข้าคุมตัว


 


 


ฉินซินหยิ่งดิ้นรนอย่างหนักให้ตัวเองเป็นอิสระ ขณะจ้องมองผู้ชายเหล่านั้นด้วยความสะพรึงกลัว และร้องออกมาเสียงดัง “พวกแกเป็นใคร จะทำอะไร!”


 


 


เสียงตะโกนของเธอดึงดูดผู้คนจำนวนมากจากบริเวณใกล้เคียงให้หันมามอง แต่ผู้ชายเหล่านั้นกล่าวโดยไม่สนใจ “คุณฉิน นายน้อยให้เรามารับคุณ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”


 


 


“เฉียวเหลียงหรือ” ฉินซินหยิ่งถาม พร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์


 


 


หนึ่งในชายชุดดำพยักหน้า “ใช่ นายน้อยรออยู่ชั้นบน โปรดมากับพวกเรา”


 


 


ขณะนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา มีคนไม่มากนักในสนามบิน การที่คนเหล่านี้กล้าคุมตัวใครสักคนเดินไปอย่างโจ่งแจ้งในสนามบิน แสดงว่าพวกเขามีอิทธิพลไม่น้อย ผู้โดยสารทั้งหลายจึงได้แต่มองดู ก่อนจะรีบไปให้พ้นอย่างรวดเร็ว ฉินซินหยิ่งเดินตามชายชุดดำขึ้นบันไดไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในหัวใจ


 


 


‘เฉียวเหลียงมารอฉันอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าฉันกำลังกลับมาเมืองจีนอย่างนั้นหรือ’ ฉินซินหยิ่งคิดในใจ


 


 


เมื่อคิดอย่างนี้ฉินซินหยิ่งก็แอบยิ้ม เธอรู้ว่าเฉียวเหลียงจะยอมรับความตั้งใจดีของเธอที่มีต่อเขาสักวันหนึ่ง


 


 


ทั้งหมดขึ้นไปชั้นบน ไปที่ห้องรับรองวีไอพี กลุ่มชายชุดดำหยุดที่หน้าห้องและเคาะประตู ใครคนหนึ่งที่อยู่ข้างในตอบรับ ชายสวมแว่นดำคนหนึ่งเปิดประตูแล้วผลักฉินซินหยิ่งเข้าไป และตอนนี้เธอก็เข้ามาอยู่ในห้องรับรอง

 

 

 


ตอนที่ 114

 

เขารู้

ฉินซินหยิ่งเกือบสะดุดล้มลงกับพื้น เธอพยายามทรงตัว และก่อนจะสบถออกมาเธอก็เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างฝรั่งเศสของห้องรับรอง มือทั้งสองประสานกันไว้ด้านหลัง เขาดูโดดเดี่ยวและเยือกเย็น เหมือนสุนัขป่าในยามค่ำคืน อันตรายแต่ก็มีเสน่ห์เร้าใจ


 


 


ฉินซินหยิ่งลืมความโกรธไปสนิท เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ขณะมองด้านหลังของชายหนุ่มเธอก็ร้องออกมาเบาๆ “เฉียวเหลียงหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงหันกลับมามองเธอ ชี้ไปที่โซฟาข้างๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำ “คุณฉิน เชิญนั่ง”


 


 


ฉินซินหยิ่งปลาบปลื้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเหลียงพูดกับเธออย่างสุภาพมาก


 


 


ช่วงเวลาที่เฉียวเหลียงกับถังซีคบกัน เธอเคยออกไปเที่ยวกับพวกเขาด้วย แต่เฉียวเหลียงไม่เคยมองเธอ เพราะความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ที่ถังซี แม้แต่ซื้อไอศครีมเขาก็ซื้อให้เฉพาะถังซี ไม่เคยสนใจเธอเลย เขาเป็นคนโหดเ**้ยมและเลือดเย็น แต่เขาก็ยังขโมยหัวใจเธอไปได้


 


 


บางครั้งเธอถึงกับแอบจินตนาการว่าเธอเป็นคนรักของเขา


 


 


ในที่สุดคราวนี้เธอก็ได้นั่งอยู่กับเขาสองต่อสอง


 


 


ฉินซินหยิ่งนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า และมองเฉียวเหลียงด้วยสายตาอ่อนโยน ถามเขาว่า “เฉียวเหลียงคุณต้องการให้ฉันทำอะไรหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น “คุณฉิน ผมประหลาดใจมากที่พบคุณบนเกาะเล็กๆ เกาะนั้นกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ผมอยากถามว่าคุณไปทำอะไรที่นั่นในเวลานั้น”


 


 


ฉินซินหยิ่งใจหายวาบ เธอคิดว่าเฉียวเหลียงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะกังวลอยู่กับเรื่องของถังซี แต่เขาคือเฉียวเหลียง เขาจะลืมได้อย่างไร


 


 


“เสี่ยวซีเคยบอกฉันว่าเธออยากไปเที่ยวเกาะใกล้ๆ แถวนั้น ฉันติดต่อเธอไม่ได้จึงตั้งใจจะไปดูว่าเธออยู่ที่นั่นหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินว่าเธอเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก ฉันเป็นห่วงมากก็เลยไปที่นั่น” ฉินซินหยิ่งกะพริบตาขณะพูดประโยคนี้ น้ำตาเธอไหลริน เธอรีบเช็ดแล้วพูดต่อ “จากนั้นฉันก็เจอคนของคุณ และแอบได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน ทำให้ฉันรู้ว่าคุณกำลังตามหาเสี่ยวซี ฉันรู้ว่าคุณก็เป็นห่วงเธอเหมือนกัน ฉันเลยอยากตามหาเธอร่วมกับคุณ”


 


 


“แล้วคุณพบอะไรไหม” เฉียวเหลียงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ประสานมือไว้บนตัก จ้องมองฉินซินหยิ่งด้วยรัศมีของความมีอำนาจ “อีกอย่างหนึ่ง หลังจากผมออกจากที่นั่น ทำไมคุณถึงไปที่เมือง A และคนของผมบอกว่า คุณตามผมไปที่ลองบีชอีกด้วย”


 


 


ฉินซินหยิ่งพยักหน้ารับ ดวงตาเธอแดงเรื่อเมื่อตอบว่า “ใช่ ฉันไปตามหาคุณ เพราะคุณมีข่าวเสี่ยวซี ใช่ คุณมีอำนาจมากมาย แต่ทำไมเมื่อคุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวซี คุณจึงไม่บอกเรา คุณจะปิดบังข่าวการตายของเธอไม่ให้เรารู้ได้อย่างไร! ฉันไปหาคุณเพราะฉันต้องการให้คุณมอบร่างของเธอให้ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ส่งร่างเธอให้คุณปู่ถัง”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มอย่างเยือกเย็น “โอ คุณช่างเป็นเพื่อนที่แสนดีของถังซี แต่น่าเสียดายที่คนที่ผมตามหาไม่ใช่ถังซี และถังซียังไม่ตาย คุณไม่ได้รับอีเมล์จากเธอเลยหรือ เธอยังมีชีวิตอยู่และส่งอีเมล์ให้ใครหลายคน คุณพูดเต็มปากได้อย่างไรว่าเธอตายแล้ว คุณยังคิดว่าคนใจดำอย่างถังซีเป็นเพื่อนคุณอีกหรือ”


 


 


ฉินซินหยิ่งตกตะลึง ร้องตะโกนออกมา “เป็นไปไม่ได้!” ‘ถังซีจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร! ต้องมีใครสักคนส่งจดหมายพวกนั้นจากอีเมล์ของถังซี ใครบางคนที่ต้องการหลอกลวงพวกเขา! ’


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วถาม “อะไรที่เป็นไปไม่ได้”


 


 


ฉินซินหยิ่งจ้องมองเฉียวเหลียง มือทั้งสองข้างจับกันแน่น เขาสงสัยเธอ! เขาพยายามหลอกล่อให้เธอบอกความจริง!


 


 


“เสี่ยวซีไม่มีวันเลิกคบฉัน และเธอไม่ใช่คน ‘ใจดำ’ อย่างที่คุณพูด คุณบอกเลิกเธอเอง ผู้หญิงเย่อหยิ่งอย่างเธอจะให้อภัยคนที่ทิ้งเธอได้อย่างไร ทำไมคุณพูดถึงเธออย่างนั้น! ถ้าคุณไม่บอกเลิกเธอ เธอก็จะไม่ไปเที่ยวพักผ่อนให้สบายใจในฤดูแบบนี้ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ!” ฉินซินหยิ่งเม้มริมฝีปาก เธอไม่ได้โกหก หลังจากเฉียวเหลียงขอเลิก ถังซีเสียใจมาก หลายคนแนะนำให้เธอเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน เธอทำตามคำแนะนำ และสุดท้ายต้องลงเอยแบบนี้


 


 


จากจุดนั้น ถังซีเริ่มติดนิสัยออกท่องเที่ยวในฤดูกาลนี้ของปี ในปีนี้ถังซีต้องเดินทางไปทำธุรกิจในต่างประเทศ เธอจึงวางแผนจะแวะไปพักผ่อนยังสถานที่แห่งหนึ่งแถบมหาสมุทรแปซิฟิก แต่สุดท้ายก็ถูกฝังร่างไว้ที่นั่น


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “คุณฉิน ดูเหมือนคุณจะรู้สึกเสียใจไปกับถังซี”


 


 


“ใช่ ฉันเสียใจกับเสี่ยวซี เธอคงไม่ประสบอุบัติเหตุ ถ้าเธอไม่บินไปเที่ยว!” ฉินซินหยิ่งตอบด้วยท่าทีขุ่นเคือง


 


 


เฉียวเหลียงหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ แล้วถามว่า “คุณฉิน ทำไมคุณถึงแน่ใจว่าถังซีประสบอุบัติเหตุ”


 


 


หัวใจฉินซินหยิ่งกระตุกอย่างแรง เธอกำลังจะพูด แต่จู่ๆ อาหกก็วิ่งเข้ามาบอกว่า “นายน้อย ผมหาตำแหน่งที่อยู่ของพื้นที่สัญญาณได้แล้วครับ”


 


 


เฉียวเหลียงพรวดพราดลุกขึ้นทันที เขาพยักหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจ และบอกให้อาหกออกไปก่อน จากนั้นเขาก็จ้องมองฉินซินหยิ่งที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ผมไม่สนใจสิ่งที่คุณคิดหรือสิ่งที่คุณพูด อยู่ให้ห่างจากถังซี อย่าให้ผมเห็นคุณเข้าใกล้เธออีก!”


 


 


“คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!” ฉินซินหยิ่งผุดลุกขึ้นยืน “ฉันเป็นเพื่อนเสี่ยวซี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ขึ้นอยู่กับฉัน ว่าฉันจะเข้าใกล้เธอได้หรือเปล่า!”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู” เฉียวเหลียงโต้กลับ ขณะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง


 


 


เขาประมาทจริงๆ ครั้งนี้ หากอาห้าไม่เตือน เขาคงไม่สังเกตเห็นผู้หญิงคนนี้ และคงไม่สงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงมาปรากฏตัวบนเกาะแห่งนั้น


 


 


เฉียวเหลียงเดินออกไปและสั่งว่า “สืบหาคนที่ทำข้อมูลสถานที่อยู่ของฉันรั่วไหล!”


 


 


อาหกตอบรับ “ครับ”


 


 


ฉินซินหยิ่งยืนอยู่ในห้องรับรอง ได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไป เธอเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟบนโต๊ะ แล้วขว้างลงกับพื้นอย่างแรง


 


 


ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ถังซีมีอะไรดี คุณทำกับฉันแบบนี้เพื่อเธอได้อย่างไร!


 


 



 


 


“นายน้อยครับ ผมพบว่ามีการส่งอีเมล์จากบ้านพักของครอบครัวเซียว และพื้นที่สัญญาณเครือข่ายก็ดูเหมือนว่ามาจากที่นั่นเหมือนกัน” อาหกคิดว่าสมเหตุผลที่อีเมล์ฉบับนี้มาจะมาจากบ้านครอบครัวเซียว เนื่องจากลูกชายคนที่สองของครอบครัวเซียว เคยอยู่ในสิบอันดับแรกของการแข่งขันแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ แม้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันดังกล่าวอีกแล้ว และข้อมูลของเขาจะเป็นที่รู้จักน้อยมากก็ตาม… และเนื่องจากอาหกยืนยันว่าอีเมล์นั้นถูกส่งมาจากบ้านครอบครัวเซียว ผู้ส่งจึงต้องเป็นลูกชายคนรองของครอบครัวอย่างแน่นอน


 


 


แต่คนๆ นั้นไม่น่ามีเหตุผลอะไรเลยที่จะแฮ็กกล่องอีเมล์ของถังซี และส่งอีเมล์มาถึงนายน้อย… เรื่องนี้ช่างยุ่งยากซับซ้อน…


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วถามว่า “ครอบครัวเซียวหรือ”


 


 


อาหกพยักหน้า “ครับ คือที่บ้านของคุณเซียวจิ่ง ผมเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังอีเมล์น่าจะเป็นคุณเซียวส่า เขามีความสามารถในการแฮ็คข้อมูลสูงกว่าผมมาก”


 


 


ทันใดนั้นภาพของร่างบางร่างก็ผุดขึ้นมาในความคิดเฉียวเหลียง เขาตัวแข็งทันที เขาบอกว่า “เตรียมเครื่องบิน เราจะกลับเมือง A!”

  

 

 


ตอนที่ 115

 

เธอเป็นใคร ทำไมเธอถึงชอบทานอาหารที่ถังซีชอบ และทำไมเธอถึงพูดเหมือนที่ถังซีเคยพูด ตอนที่เขาพบเธอที่โรงเรียนในวันนั้น


 


 


เธอรู้จักอีเมล์และรหัสผ่านของถังซีได้อย่างไร และเธอมีความตั้งใจอย่างไร ที่ส่งอีเมล์นั้นให้เขา!


 


 


ทำไม


 


 



 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง ผู้กระตุ้นความสงสัยของเฉียวเหลียงกำลังถูกพี่ชายพาไปที่ห้องพิเศษของสโมสร เมื่อถังซีเห็นผู้คนในห้อง ดวงตาเธอก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ขณะถามว่า “ทุกคนมาทำอะไรกันที่นี่คะ”


 


 


เฮ่อหว่านอีวิ่งเข้ามากอดถังซี ตอบอย่างอ่อนหวานว่า “เราต้องมาสิจ๊ะ เพื่อฉลองที่เธอกับเซียวเหยาออกจากโรงพยาบาลไงล่ะ เราต้องมาเมากันวันนี้ จริงไหม”


 


 


ถังซียิ้มน้อยๆ มองดูเหล้าบนโต๊ะ แล้วพยักหน้า “ตกลงค่ะ เรามาเมากันค่ะคืนนี้”


 


 


ถึงอย่างไรเธอก็ยังกังวลถึงเฉียวเหลียง ถ้าอยู่บ้านคงนอนไม่หลับ จะเป็นการดีกว่าถ้าเธอมาดื่มและพูดคุยกับคนเหล่านี้ที่นี่ ทำแบบนี้เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเธออาจนอนหลับได้สนิท ถ้าเธอเมา


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ถังซีก็ยกแก้วไวน์ขึ้น และกล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนนะคะ ที่ห่วงใยเรา”


 


 


ในขณะที่ทุกคนยกแก้วขึ้นชน หนิงเหยี่ยนก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “เฮ้ นางฟ้าน้อย ฉันขอดื่มให้เธอ ขอแสดงความยินดีที่เธอฟื้นขึ้นมาแล้ว”


 


 


ถังซีเลิกคิ้วถาม “นี่คือชื่อเล่นใหม่ของฉันเหรอคะ”


 


 


หนิงเหยี่ยนเบ้ปาก “ถึงจะไม่ชอบชื่อเล่นหวานแหววเพ้อเจ้อที่พี่ๆ เธอตั้งให้เธอชื่อนี้ แต่ฉันต้องยอมรับว่าเธอเหมือนนางฟ้าจริงๆ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงยอมรับอย่างไม่เต็มใจ มาเลยน้องนางฟ้าน้อย ดื่ม!”


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว ชนแก้วกับหนิงเหยี่ยนพร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับหนิง สำหรับคำชมและความห่วงใย ตอนนี้คุณเรียกฉันว่านางฟ้าน้อยแล้ว ก็แปลว่าฉันเหมาะสมที่สุดสำหรับเมจิกบัตเตอร์ฟลายแล้วใช่ไหมคะ ลองจินตนาการดูสิ จะเหมือนอยู่ในความฝันแค่ไหน เมื่อมีนางฟ้าน้อยย่างฉันอยู่ในโฆษณาทีวี จริงไหมคะ”


 


 


เมื่อพูดถึงโฆษณาทีวีเฮ่อหว่านหนิงก็ยืนขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่ครับ ผมถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว ผมแน่ใจว่าการตัดต่อพิเศษจะเป็นที่น่าพอใจมาก และคุณจะไม่ทำให้พวกเราทุกคนผิดหวังอย่างแน่นนอน”


 


 


เฮ่อหว่านอีแกล้งทำเป็นโกรธ ทำปากยื่นพูดอย่างไม่พอใจ “พี่รอง พี่เคยบอกว่าฉันไม่เหมาะกับโฆษณาทีวีชิ้นนี้เพราะฉันไม่สวยพอ แล้วตอนนี้ยังมาพูดต่อหน้าฉันว่าผู้หญิงอีกคนหนึ่งสมบูรณ์แบบสำหรับโฆษณานี้อีกเหรอ ฉันเป็นน้องสาวพี่จริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”


 


 


เฮ่อหว่านหนิงขมวดคิ้วขณะตอบ “ก็เพราะเธอเป็นน้องสาวพี่น่ะสิ พี่ถึงได้บอกความจริงกับเธอ แล้วรู้ไหมว่าคำพูดแบบที่เธออยากได้น่ะจะส่งผลยังไง ฆ่าผู้ชายคนหนึ่งได้เลยเพราะคำชมเชยเกินจริง แต่แบบที่พี่พูดนี้จะเป็นผลดีต่อเธอ รู้ไหม”


 


 


ถังซีถามพร้อมกับหัวเราะ “แล้วนี่ผู้อำนวยการเฮ่อพยายามฆ่าฉันด้วยคำชมเชยเกินจริงหรือเปล่าคะ เรายังไม่ได้เริ่มถ่ายโฆษณากันเลย คุณเริ่มคิดหาวิธีสกัดกั้นฉันแล้วเหรอ”


 


 


เฮ่อหว่านหนิงอึ้ง หน้าแดงก่ำ “ผมไม่เคยโกหกนะครับ เซียวโหรว คุณสวยมากจริงๆ คุณเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา”


 


 


ด้วยความดีใจที่ได้ยินเช่นนี้ ถังซีจึงยกแก้วขึ้น “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอขอบคุณผู้อำนวยการเฮ่อค่ะ”


 


 


เซียวเหยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โดยไม่ดื่ม เอื้อมมือไปห้ามถังซี และกล่าวว่า “ดื่มให้น้อยๆ หน่อย เธอดื่มมากเกินไปแล้ว”


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ หลบมือเซียวเหยา นั่งลงระหว่างเซียวจิ่งกับเซียวส่าแล้วยกแก้วขึ้นดื่ม พร้อมกับบอกว่า “พี่เหยา ฉันเพิ่งเริ่มดื่มเอง พี่อย่ามาห้ามไม่ให้ฉันดื่มสิคะ ไม่อย่างนั้นเราจะมาที่นี่กันทำไมล่ะ”


 


 


“ใช่ เซียวเหยา” เฮ่อหว่านโจวพยักหน้าเห็นด้วย “อย่าจริงจังนักเลย ตอนนี้นายไม่ได้อยู่ในกองทัพนะ มาถึงที่นี่แล้วทำตัวให้สนุกสนานหน่อย อย่าสนใจกับอะไรมากมาย” ขณะกล่าวว่าเขาเทเหล้าให้เซียวเหยาแก้วหนึ่ง “มาเร็ว ดื่ม ถ้าเมานายก็ขึ้นไปนอนที่ห้องรับรองชั้นบนได้น่า”


 


 


เซียวเหยายังคงนิ่งเฉยไม่รับแก้วเหล้าที่เฮ่อหว่านโจวส่งให้ เฮ่อหว่านโจวเบ้ปาก วางแก้วลงบนโต๊ะ และคุยกับถังซีต่อไป


 


 


ในเวลานั้นหยางมู่คุนซึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ทางด้านข้าง ก็เดินเข้ามาหยิบแก้วใบนั้น แล้วนั่งลงข้างเซียวเหยา จากนั้นก็เริ่มบ่น “ญาติเหยา นายต้องร่วมดื่มกับฉัน! พี่น้องฉันทุกคนทั้งผู้หญิงผู้ชายเป็นทหารกันหมด มีแต่ฉันที่ไม่ได้เป็น เมื่อก่อนถึงแม้ฉันจะไม่เคยมีความสำคัญในครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆ ชีวิตฉันก็ไม่ถึงกับเลวร้าย แต่นับจากวันนั้น วันที่คุณพ่อไปเยี่ยมนายที่โรงพยาบาล ชีวิตฉันถึงขั้นหายนะ! นายรู้ไหมว่าทุกวันนี้ฉันอยู่ที่บ้านด้วยความทุกข์ระทมแสนสาหัสแค่ไหน”


 


 


เซียวเหยารับแก้วมาจิบแล้วพยักหน้า หยางมู่คุนกล่าวต่อไป “เมื่อฉันกลับถึงบ้านในวันนั้น คุณพ่อขังฉันไว้ในห้องกักบริเวณ ให้ฉันสำนึกถึงการกระทำผิด ใช่ ฉันไม่ได้เข้าร่วมกองทัพ! แต่นั่นเป็นความผิดตรงไหนหรือ ทุกคนในครอบครัวฉันเป็นทหาร แล้วฉันไม่เป็นไม่ได้หรือ” จบคำพูดเขาก็ยกแก้วขึ้นชนกับเซียวเหยา


 


 


เซียวเหยาชนแก้วกับเขา หยางมู่คุนมีท่าทางพอใจในทันที เขาจิบเหล้าแล้วกล่าวว่า “นายรู้อะไรไหม หลังจากนั้นฉันถามคุณพ่อว่า การเป็นทหารนี่มันดีอะไรมากมายขนาดไหนหรือ ฉันบอกท่านว่า ลูกชายท่านเป็นแค่ร้อยเอก ทั้งที่ท่านคอยสนับสนุนในอาชีพการงานของพวกเขาตลอดมา ในขณะที่ญาติเหยาเป็นพันโทแล้ว!”


 


 


ทันใดนั้นถังซีก็หันมาถามด้วยเสียงหัวเราะ “ลูกผู้พี่คะ จากนั้นพี่ก็ถูกพวกเขารุมประชาทัณฑ์เลยใช่ไหม”


 


 


“ฉันถูกลงโทษด้วยไม้เรียว” หยางมู่คุนตอบอย่างเศร้าใจ “ฉันแค่พูดความจริง แต่คุณพ่อลงโทษฉันด้วยไม้เรียว! ฉันไม่ใช่ทหารของท่าน! ท่านทำอย่างนั้นกับฉันได้อย่างไร”


 


 


ทุกคนไม่ได้อยู่ในสังคมที่ปกครองโดยกฎหมายหรอกหรือ!


 


 


ถังซียกแก้วขึ้น กล่าวด้วยความเห็นอกเห็นใจ “ฉันเสียใจด้วยนะคะ ที่พี่มีพี่เหยา อัจฉริยะที่หาใครเปรียบไม่ได้เป็นญาติ”


 


 


“นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด!” หยางมู่คุนครวญคราง “หลังจากพี่น้องของฉันกลับมา และได้ยินว่าฉันดูหมิ่นพวกเขา ทุกคนก็ผลัดกันตีฉัน และตีจนฉันเกือบตาย!”


 


 


หางตาข้างหนึ่งของเฮ่อหว่านโจวหรี่ลงเมื่อได้ฟัง ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น “มู่คุน ฉันคิดว่านายน่าจะมาอยู่บ้านฉันดีกว่า ฉันจะเลี้ยงดูนายเอง สัญญาว่าจะไม่ตีหรือดุด่านายเลย”


 


 


ถังซีเอนพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับอ้าปากค้าง ขณะที่เฮ่อหว่านอีกล่าวเสียงดัง “พี่ใหญ่คะ นี่พี่ตกหลุมรักหยางมู่คุนตั้งแต่เมื่อไร โอ… คือแบบ…น่ากลัวสุดๆ!”


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้หยางมู่คุนก็โถมเข้ากอดเซียวเหยาทันที และตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ญาติเหยา ดูสิ เป็นเพราะนายคนเดียว! ตอนนี้แม้แต่เฮ่อหว่านโจวก็กล้ารังแกฉัน! นายต้องปกป้องฉัน!”


 


 


เซียวเหยาแงะนิ้วหยางมู่คุนออกทีละนิ้ว กล่าวอย่างเยือกเย็น “นายอยากให้ฉันตีนายด้วยอย่างนั้นหรือ นายอาจเจ็บหนักเลยนะ”


 


 


หยางมู่คุนคำรามลั่น “ทำไมทุกคนถึงใจร้ายกับฉันอย่างนี้”


 


 


“อ้าว มู่คุน ฉันก็เสียใจกับนายอยู่นี่ไงล่ะ ถึงได้เสนอจะเลี้ยงดูนายเอง นายยังไม่เห็นบุญคุณอีกหรือ” เฮ่อหว่านโจวกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างชั่วร้าย


 


 


หยางมู่คุนวิ่งไปหาเฮ่อหว่านโจวอย่างน่าสงสาร เหมือนสุนัขเลี้ยงแกะตัวน้อย “นายมีอาหารและที่อยู่ให้ฉันฟรีใช่ไหม”


 


 


“โอ๊ย ออกไปให้พ้นจากหน้าฉัน” เฮ่อหว่านโจวตอบกลับ พร้อมกับผลักหยางมู่คุนออกไป “ฉันจะไม่พานายไปอยู่ด้วย นอกจากนายจะยอมเป็นเครื่องทำความร้อนให้เตียงฉัน” 

 

 


ตอนที่ 116

 

ตอนที่ 116 ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีก

 


ทุกคนมีความสุขสนุกสนานมากในคืนนี้ ยกเว้นหยางมู่คุน ถังซีดื่มเหล้าเข้าไปมากมายและเริ่มรู้สึกมึน เฮ่อหว่านอีเมาเล็กน้อย รีบขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ถังซีนั่งเท้าคางอยู่ที่โซฟา ดูเฮ่อหว่านอีร้องเพลง ‘My Darling’ (ที่รักของฉัน) อยู่บนเวที


 


 


ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนเธอเหมาะที่จะร้องเพลงนี้ ถังซีชอบเพลงนี้มาก แม้เธอจะขึ้นบัญชีดำไว้เมื่อหลายปีก่อน ใช่แล้ว เฉียวเหลียงเป็นคนแนะนำให้เธอฟังเพลงนี้


 


 


เธอเคยมีความสุขกับการฟังเฉียวเหลียงร้องเพลงนี้ด้วยเสียงทุ้มแต่อ่อนหวาน ถังซีส่ายแก้วในมือเบาๆ ฟังเสียงนุ่มนวลของเฮ่อหว่านอี แต่ภายในใจเธอได้ยินเป็นเสียงทุ้มของใครอีกคนหนึ่ง กำลังร้องเนื้อเพลงท่อนโปรดของเธอ ‘ความเสน่หาที่ฉันมีต่อเธอนั้นชัดเจนมิอาจซ่อนเร้น เปี่ยมล้นเกินจะหักห้าม ด้วยหัวใจดื้อรั้น อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ’


 


 


เมื่อจบเพลงทุกคนปรบมือ ถังซีกล่าวว่า “เพราะจังเลยค่ะ ฉันอยากร้องบ้าง”


 


 


เฮ่อหว่านอีเปิดเพลงให้เธอด้วยรอยยิ้ม และส่งไมโครโฟนให้ ถังซีเข้ามาแทนที่ แล้วเพลงก็เริ่มขึ้น เธอนั่งลงบนเก้าอี้บนเวที หลับตาลง ซาบซึ้งไปกับถ้อยคำของเนื้อเพลง ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก


 


 


หนิงเหยี่ยนทอดสายตามองถังซีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับสงสัย “ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเป็นเหมือนบุคคลปริศนา เธออายุยี่สิบสามปีและมาจากชนบท แต่ฉันมักจะรู้สึกว่าเธอมีเรื่องราวมากมายที่จะบอกเล่า”


 


 


เฮ่อหว่านอีนั่งอยู่ที่โซฟา รินเหล้าให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วมองไปที่ถังซีซึ่งกำลังหลับตาพริ้มร้องเพลง แม้ท่วงทำนองจะร้องยากและเนื้อเพลงก็ไม่ง่ายที่จะจดจำ แต่เธอร้องได้ไพเราะจนเฮ่อหว่านอีอดอุทานออกมาไม่ได้ “เพราะจัง ฉันชอบฟังเธอร้องเพลง”


 


 


เซียวเหยายิ้ม มองตรงไปที่ถังซีโดยไม่พูดอะไร


 


 


เซียวจิ่งกับเซียวส่าก็ภาคภูมิใจในตัวน้องสาวคนเล็กเช่นกัน


 


 


เมื่อถังซีมาถึงท่อน “ความเสน่หาที่ฉันมีต่อเธอนั้นชัดเจนมิอาจซ่อนเร้น เปี่ยมล้นเกินจะหักห้าม ด้วยหัวใจดื้อรั้น อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ” เธอใส่อารมณ์ทั้งหมดลงในบทเพลง ราวกับกำลังร้องให้เฉียวเหลียงฟัง แล้วทันใดนั้นประตูห้องพิเศษก็ถูกผลักเข้ามา ทุกคนในห้องหันขวับไปมอง เห็นคนสองสามคนยืนอยู่ที่ประตู เฮ่อหว่านโจวหน้านิ่วคิ้วขมวดผลุดลุกขึ้นยืน กำลังจะพูดอะไรออกมา ขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาจนต้องตกตะลึงของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า


 


 


ทุกคนตะลึงงัน และเงียบกริบ


 


 


มีเสียงสิ่งของกระทบกัน… เสียงคลื่นแทรก… เสียงไมโครโฟนหอน… แล้วไมโครโฟนก็ร่วงลงกับพื้น และเงียบไป


 


 


ถังซีจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ทำไมชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในห้วงคำนึงของเธอจึงมาปรากฏตัวขึ้นได้ในฉับพลัน น้ำตาเธอเริ่มพร่างพรู


 


 


เฉียวเหลียงได้ยินเสียงเพลงอันคุ้นเคยแต่มีท่วงทำนองแปลกไป เพลงซึ่งเขาไม่ได้ฟังมานาน เพราะหัวใจเขารู้สึกเหมือนจะแหลกสลายทุกครั้งที่ได้ฟัง


 


 


เซียวจิ่งเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยา เขาลุกขึ้นทักทายเฉียวเหลียง “นี่นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกฉัน”


 


 


เฉียวเหลียงสีหน้านิ่ง กวาดสายตาไปตามผู้คนในห้อง ก่อนจะหยุดที่ถังซี ซึ่งยังคงยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางเลื่อนลอย จากนั้นเขาก็ผลักเซียวจิ่งที่ยืนขวางหน้าอยู่ เดินเข้าไปหาที่ถังซีทีละก้าวๆ


 


 


ทุกคนรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่เห็น สายตาของพวกเขามองตามเฉียวเหลียง


 


 


เซียวจิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ขณะที่เซียวเหยาขมวดคิ้ว เขาสังเกตเห็นว่าโหรวโหรวตกใจและสับสนเมื่อเห็นเฉียวเหลียง ไมโครโฟนที่ลื่นไหลหล่นจากมือแสดงให้เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของเธอ


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เฉียวเหลียงดูเหมือนเป็นบุคคลอันตรายมากในตอนนี้


 


 


ทั้งสองคนรู้จักกันหรือเปล่า


 


 


เฉียวเหลียงหยุดอยู่ตรงหน้าถังซี จ้องมองใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาอย่างพินิจพิจารณา ทันใดนั้นเขาก็คว้ามือเธอพาเดินออกไปข้างนอก ถังซีซึ่งยังมีสติไม่ครบถ้วนเกือบจะล้มลงเมื่อถูกเขาดึง การกระทำของเฉียวเหลียงสร้างความโมโหให้เซียวเหยาในทันที เขาผลุดลุกขึ้นพุ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่ เอื้อมมือไปคว้ามือเฉียวเหลียงไว้ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ปล่อยเธอ!”


 


 


ดวงตาเฉียวเหลียงเข้มขึ้น เขาจ้องหน้าเซียวเหยาอย่างเย็นชาและตะคอก “หลีกไปให้พ้น!”


 


 


ถังซีเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่แวววาวด้วยหยาดน้ำตา พยามยามจ้องมองหน้าเฉียวเหลียงให้ชัดเจน แต่ก็ต้องพบว่าน้ำตาทำให้ดวงตาเธอพร่ามัว เห็นเขาไม่ชัด


 


 


เซียวเหยากล่าวเสียงแข็ง “ปล่อยน้องสาวผม!”


 


 


เฉียวเหลียงมองกลับไปที่ถังซี แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ!”


 


 


“นายมาทำอะไรที่นี่ เฉียวเหลียง!” เซียวจิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเดินออกมาจับมือเฉียวเหลียงไว้ และกล่าวอย่างจริงจัง “ใจเย็นๆ ปล่อยโหรวโหรวก่อน”


 


 


เฉียวเหลียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “อาห้า นายตายไปแล้วหรือ!”


 


 


อาห้าและอาหกรีบเข้ามาทันทีพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น ในห้องจึงก็มีคนเต็มไปหมด อาห้ากล่าวกับเซียวจิ่งอย่างไม่มีทางเลือก “คุณเซียวจิ่งครับ ผมขอโทษจริงๆ แต่คุณก็รู้ว่านายน้อยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณถัง” น้ำเสียงเขาแผ่วเบามาก มีเพียงเซียวเหยากับเซียวจิ่งที่อยู่ใกล้เขาเท่านั้นที่ได้ยิน


 


 


เซียวจิ่งขมวดคิ้วและกำลังจะพูด เมื่อถังซีเอ่ยขึ้น “พี่ๆ คะ คุณเฉียวอาจมีบางอย่างพูดกับฉัน ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวฉันกลับมา”


 


 


หลังจากกล่าวเช่นนั้นถังซีก็หันไปมองเฉียวเหลียง เขาปล่อยมือเธอ แล้วเดินออกไปก่อน พร้อมกับกล่าวอย่างเยือกเย็น “อาห้าเฝ้าดูพวกเขาให้ดี อย่าให้ใครออกมาแม้แต่คนเดียว”


 


 


“มากเกินไปแล้ว คุณเฉียว!” เฮ่อหว่านโจวลุกขึ้น “พวกเราไม่ใช่คนของคุณ จะมาสั่งพวกเราแบบนี้ไม่ได้!”


 


 


ใบหน้าเฉียวเหลียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทันใดนั้นถังซีก็ดึงเขาออกมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “ไปได้แล้ว”


 


 


เฉียวเหลียงเพ่งมองถังซี แต่ไม่พูดอะไร แล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอก


 


 


ทุกคนตะลึง หางตาข้างหนึ่งของอาห้าหรี่ลง ขณะที่เขาขอให้คนอื่นๆ ถอยกลับเข้าไปในห้องและกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะครับทุกท่าน กลับไปสังสรรค์กันต่อเถอะครับ พวกเราจะออกไปอยู่ข้างนอก ถ้าต้องการอะไรก็เรียกพวกเราได้นะครับ”


 


 


หนิงเหยี่ยนกล่าวประชด “พวกเราเป็นนักโทษ ใครจะกล้ารบกวนผู้คุมอย่างคุณห้าล่ะครับ”


 


 


อาห้าปาดเหงื่อที่หน้าผาก นึกตำหนินายน้อยอยู่ในใจเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนจะถอยออกไป


 


 


เฮ่อหว่านโจวหรี่ตามองเซียวจิ่งขณะถามว่า “นายกล้าพูดกับเฉียวเหลียงแบบนี้ด้วยหรือ”


 


 


เซียวจิ่งขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ในที่สุดเขาก็คิดออกว่ามีอะไรผิดปกติ ปฏิกิริยาของน้องสาวเขาแปลกไป และเฉียวเหลียงเป็นแค่คนแปลกหน้า นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบกับโหรวโหรว แต่ทำไมเขาถึงเชื่อฟังคำพูดเธอ และเซียวจิ่งจำได้ว่าโหรวโหรวเคยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวของเฉียวเหลียง แต่ทำไมตอนนี้จึงเหมือนกับว่าเธอคุ้นเคยกับเฉียวเหลียง


 


 


ที่ระเบียงโล่งเปิดออกสู่สายลมยามเที่ยงคืน ถังซีหายมึนงงแล้ว เธอกอดอก ยิ้มให้เฉียวเหลียงขณะกล่าวว่า “ฉันคิดว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าคุณจะหาฉันเจอ คิดไม่ถึงว่าคุณจะหาเจอเร็วมากขนาดนี้”


 


 


ใบหน้าเฉียวเหลียงเยือกเย็น ขณะมองหน้าหญิงสาวแสนสวยเบื้องหน้าเขาท่ามกลางแสงจันทร์ เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “คุณเป็นใคร”


 


 


เขาตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดของเธอ พบเพียงว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับถังซี แล้วเธอเข้าไปในกล่องอีเมล์ของถังซีได้อย่างไร หรือนี่เป็นเพราะ…




ตอนที่ 117 เธอคือซีซี

 


“อาเหลียง อย่าพูดกับฉันแบบนี้สิ” ถังซีกล่าว น้ำตาไหลรินจากดวงตา ทันใดนั้นหัวใจเย็นชาของเฉียวเหลียงก็หวั่นไหวขึ้นมาเพราะน้ำตาของเธอ เขาคว้าไหล่ถังซี ถามด้วยความโมโห “คุณเป็นใครกันแน่ รู้อีเมล์แอดเดรสและรหัสผ่านของซีซีได้ยังไง! ทำไมแกล้งสวมรอยเป็นเธอ ส่งอีเมล์ในชื่อเธอ”


 


 


ถังซียิ้มอย่างขมขื่น “ฉันคิดว่าคุณจะจำฉันได้เสมอ ไม่ว่าฉันจะเป็นใคร” เธอกระซิบ ขณะมองหน้าเฉียวเหลียงซึ่งนิ่งแข็งไปทันที “อาเหลียง ฉันคือซีซี”


 


 


เฉียวเหลียงรู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ เขาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาถังซี และกล่าวอย่างเยือกเย็น “อย่าให้ผมต้องถามซ้ำเป็นครั้งที่สาม!”


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม!” ถังซีร้องออกมา เธอกัดริมฝีปากขณะมองหน้าชายหนุ่มผู้ไม่ยอมเชื่อเธอ แล้วกล่าวต่อไป “จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนอย่างแรง แล้วฉันก็ร่วงลงไปในทะเล ก่อนจะทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็เห็นตัวเองระเบิดออกเป็นชิ้นๆ และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีฉันก็กลายเป็นเซียวโหรว”


 


 


“คุณคือซีซีจริงๆ หรือ” ดูเหมือนเฉียวเหลียงจะเริ่มเชื่อเธอแล้ว


 


 


ถังซีหยุดไปชั่วครู่ เธอคิดว่าคงเป็นการยากที่จะโน้มน้าวเฉียวเหลียง


 


 


ถังซีถลามาข้างหน้าโอบกอดเฉียวเหลียง น้ำตาเธอเปียกเสื้อเขา เธอพยักหน้าอย่างแรงกล่าวว่า “ใช่ ใช่ ใช่ ฉันคือซีซี หลังจากตื่นขึ้นมาไม่นานฉันก็ยอมรับความจริงว่าฉันกลายเป็นเซียวโหรวไปแล้ว ในเมื่อฉันยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยฉันก็จะสามารถกลับไปหาคุณปู่ อย่างน้อยคนที่ต้องการฆ่าฉันก็ทำไม่สำเร็จ”


 


 


“ทำไมคุณไม่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังตั้งแต่ที่ผมเจอคุณที่โรงพยาบาล” น้ำเสียงเฉียวเหลียงแหบต่ำ เขาจำได้ว่าเธอดูแปลกๆ ตอนเห็นเขาที่โรงพยาบาลในวันนั้น แต่เขาไม่ได้สนใจ เขาเดินห่างออกไปเพื่อไป โทรศัพท์ แล้วเมื่อเดินกลับมาเขาเห็นเธอพูดคุยอยู่กับมารดาเขา


 


 


จากนั้นเขาก็ได้ยินเธอพูดว่า ‘คุณป้าเฉียวคะ ลูกชายคุณป้าหล่อมากเลยค่ะ’


 


 


“ใช่สิ ก็เพราะตอนนั้นฉันยังโกรธคุณอยู่” ถังซีปล่อยมือเฉียวเหลียง ยิ้มเศร้า “คุณไม่มาหาฉันเลยนี่ตลอดเวลาหลายปี ฉันก็ต้องโกรธสิ แล้วตอนนั้นจู่ๆ ฉันก็กลายเป็นเซียวโหรวไปอีก ถ้าฉันรีบเข้าไปหาคุณ บอกคุณว่าฉันคือถังซี คุณอาจทำให้ฉันถูกจับไปขังในโรงพยาบาลบ้า”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าหญิงสาวที่กำลังเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และประกายความเจ็บปวดเต็มเปี่ยมในดวงตา ถังซีนั่งลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงขณะกล่าวว่า “เพราะพี่จิ่งเล่าให้ฉันฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันจึงได้รู้ว่าคุณต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน คุณพยายามติดต่อฉันหนักแค่ไหน”


 


 


“ไม่มีใครบอกคุณเลยหรือว่าผมอยากพบคุณ” เฉียวเหลียงนิ่วหน้าถาม “ฉินซินหยิ่งไม่ได้บอกคุณหรือ เรื่องที่ผมไปหาคุณที่บ้านไปขอพบคุณ และส่งอีเมล์มากมายถึงคุณ”


 


 


หัวใจถังซีวูบลง ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์นับไม่ถ้วนก็แทรกผ่านเข้ามาในจิตใจ เธอส่ายศีรษะและยิ้มก่อนจะตอบว่า “ซินหยิ่งรักคุณ แต่พวกเราไม่ได้สังเกต จะเป็นไปได้ยังไงที่เธอจะบอกเรื่องพวกนี้กับฉัน”


 


 


เฉียวเหลียงหรี่ตาลง เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ผู้หญิงคนนั้นใช่เล่ห์เพทุบายกับเขาทั้งสองคน!


 


 


ถังซีเอื้อมมือไปหาเฉียวเหลียงซึ่งก้าวเข้ามาหาเธอ จับมือเธอ แล้วดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขน จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ “คุณก็เลยโทรหาผม เมื่อคุณรู้ว่าผมทำอะไรเพื่อคุณบ้าง แต่คุณไม่กล้าพูด คุณก็เลยส่งอีเมล์ถึงผม”


 


 


ถังซีพยักหน้า “ฉันกลัวว่าคุณจะไม่เชื่อเรื่องราวที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้ แม้แต่ที่คุณถามฉันเมื่อกี้ ฉันก็ยังกลัวว่าคุณจะไม่เชื่อ คุณอาจผลักฉันตกลงไปจากระเบียงนี่ก็ได้”


 


 


“ถ้าคุณไม่บอกว่าคุณคือซีซี ผมก็อาจผลักคุณตกลงไปจริงๆ” เฉียวเหลียงกอดถังซีแน่น ราวกับกลัวเธอจะหายตัวไปถ้าเขาปล่อยเธอ “ไม่ว่าคุณจะเป็นใครในตอนนี้ ขอแค่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็พอ”


 


 


“คุณรู้แล้วว่าฉันคือถังซี ก่อนที่ฉันจะบอกคุณใช่ไหม” ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง ซึ่งไม่ใช่คนที่จะเชื่อคนอื่นง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้าตอบว่า “ผมเพียงแค่สงสัย แต่เป็นเพราะอาหกสืบหาพื้นที่สัญญาณของคุณพบ ผมจึงเริ่มนึกอะไรบางอย่างออก นึกถึงวิธีที่คุณพูดกับผมที่โรงเรียน และในอีเมล์…” เมื่อถึงตอนนี้สายตาเฉียวเหลียงก็พร่ามัวขณะพูดต่อไป “และผมรู้สึกเหมือนผมเห็นคุณอย่างที่เป็นในปัจจุบัน ตอนอยู่ที่ลองบีช…”


 


 


ขณะที่ถังซีกำลังตกตะลึง เฉียวเหลียงก็กล่าวเสริม “ผมตรวจสอบอดีตของเซียวโหรว รวมทั้งตอนที่เธออยู่ที่โรงเรียนมัธยมต้นเหิงซาน ผลการเรียนของเธอไม่ค่อยดีนัก และเธอเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลย แต่เซียวโหรวที่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายตี้อีเหมือนเป็นคนละคน ผลการเรียนของเธอดีมาก เธอมั่นใจในตัวเอง และเข้มแข็ง”


 


 


เขาไม่รู้จักเซียวโหรวคนเก่าเลย แต่เขาคุ้นเคยกับเซียวโหรวคนใหม่มาก


 


 


ถังซีกอดเฉียวเหลียงแน่น “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่คุณรักฉันมากขนาดนี้”


 


 



 


 


เมื่อถึงจุดนี้ทั้งเจ็ดคนในห้องพิเศษก็หมดความอดทน เกือบชั่วโมงแล้วที่ทั้งสองออกไปด้วยกัน! เซียวเหยาผลุดลุกขึ้นและเปิดประตูออกไป อาห้าลุกขึ้นมาห้ามเขาทันที พยายามหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวว่า “คุณเซียวครับ กรุณารอซักครู่ เดี๋ยวนายน้อยก็พาน้องสาวของคุณกลับมาครับ ได้โปรดเถอะครับ ช่วยผมหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งรบกวนพวกเขาเลย”


 


 


เซียวเหยามองหน้าอาห้าอย่างเย็นชา กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หลีกไป!”


 


 


แทนที่จะถอยกลับ อาห้ากลับมองไปที่เซียวจิ่งด้วยสายตาอ้อนวอน “คุณเซียวจิ่งครับ ได้โปรดบอกคุณเซียวเหยาด้วยเถอะครับ คุณก็รู้อารมณ์นายน้อยดี เขาจะโกรธมากถ้าไม่บรรลุเป้าหมาย และคนที่จะเดือดร้อนคือพวกเรานะครับ!”


 


 


เฮ่อหว่านโจวเดินเข้ามาพูดกับอาห้าด้วยความโมโห “เรารู้ดีว่านายน้อยของนายเป็นมนุษย์ประหลาด พวกเราเริ่มคุ้นเคยกับอารมณ์แปลกประหลาดของเขามาหลายปีแล้ว แต่โหรวโหรวเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หัวใจนายน้อยของนายไม่เคยอ่อนโยนกับสตรีเพศอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาทำร้ายโหรวโหรว”


 


 


อาห้ายิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณเฮ่อครับ คุณเข้าใจนายน้อยของเราผิดแล้ว เขารู้วิธีปฏิบัติต่อผู้หญิงเป็นอย่างดีครับ”


 


 


หนิงเหยี่ยนเลิกคิ้วถาม “นายน้อยของคุณไม่ได้ไปสร้างโรงงานแถวทะเลแปซิฟิกหรอกหรือ ทำไมเขาถึงรีบกลับมากะทันหันอย่างนี้ล่ะ ไม่ใช่เพราะได้ยินข่าวว่าลูกสาวตระกูลเซียวสวยมาก ก็เลยรีบกลับมาจีบเธอใช่ไหม”


 


 


คำพูดของเขาทำให้พี่น้องตระกูลเซียวฉุนกึกขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าตัวเองประสบความสำเร็จในการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมาง หนิงเหยี่ยนก็ยิ้มอย่างมีชัย และไม่พูดอะไรต่อไปอีก


 


 


เฮ่อหว่านอีก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เธอไม่คิดว่าโหรวโหรวจะสามารถทนต่อความ ‘เกรี้ยวกราด’ ของเฉียวเหลียงได้ แม้เขาจะดูไม่ได้มีอารมณ์โกรธสักเท่าไรตอนออกไปกับเซียวโหรว


 


 


แต่ด้วยความเอาแต่ใจตัวเอง เขาอาจหยาบคายกับโหรวโหรว…


 


 


ทุกคนกำลังวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อถังซีกับเฉียวเหลียงเดินเคียงข้างกันกลับมา แม้ทั้งสองจะไม่พูดอะไร แต่ทุกคนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเฉียวเหลียงได้ชัดเจน ในขณะที่ถังซีก็ดูท่าทางมีความสุขไม่แพ้กัน


 


 


เมื่อเห็นทุกคนกำลังมองมาที่เขา เฉียวเหลียงก็เดินเข้ามาและส่งสัญญาณให้อาห้าออกไป หลังจาก อาห้าออกไปแล้วเขาก็กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ผมมีบางอย่างจะถามเซียวโหรว ขอโทษที่ผมหยาบคายไปสักหน่อย เดี๋ยวผมจะจ่ายบิลคืนนี้ให้ทั้งหมดเอง”


 


 


“มีอะไรสำคัญ ทำให้คุณเฉียวของเราถึงกับต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองอย่างนี้หรือ” หนิงเหยี่ยนถามด้วยรอยยิ้มกริ่ม “และยังรีบร้อนขนาดนั้น”


 


 


เฉียวเหลียงหันไปมองถังซี แล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ผมแค่มาถามเซียวโหรวว่า เธอจะเป็นแฟนผมได้ไหม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังพูดถึงสภาพลมฟ้าอากาศที่ดีในวันนี้




ตอนที่ 118 ปล่อยน้องสาวผม

 


ถังซีเบิกตาโต ไม่คาดคิดว่าเฉียวเหลียงจะพูดอย่างที่พูดออกไป เขาทำแบบนี้มีแต่จะสร้างความปั่นป่วยให้ยุ่งยากหนักขึ้น!


 


 


แน่นอนเลยที่เซียวเหยาจะเหวี่ยงหมัดเข้าใส่เขา เฉียวเหลียงหลบการจู่โจมได้อย่างง่ายดาย เขาจ้องหน้าเซียวเหยากลับแล้วกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “คุณเซียวเหยา ถ้าอยากต่อยกับผม ไปหาที่กว้างๆ กว่านี้จะดีกว่า”


 


 


เซียวจิ่งคว้ามือพี่ชายไว้ ก้าวไปขวางหน้า และมองเฉียวเหลียงอย่างเคร่งเครียด “นี่นายหมายความว่าอย่างไร เฉียวเหลียง!” เขาถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเซียวจิ่ง แล้วหันไปกวาดตามองทุกคนรอบตัว พร้อมกับตอบว่า “ฉันหมายความอย่างที่ฉันพูด”


 


 


เซียวส่าหน้าเข้มมองเฉียวเหลียง แล้วหันไปมองถังซี ถามอย่างเย็นชา “โหรวโหรว บอกพี่มาซิว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรู้จักกับเฉียวเหลียงตั้งแต่เมื่อไหร่”


 


 


ทุกคนมองมาที่ถังซี ถามเธอน่าจะง่ายกว่าถามเฉียวเหลียง


 


 


เฉียวเหลียงก็จ้องมองถังซีไม่วางตาเช่นกัน ถังซีฝืนยิ้ม ตอบออกมาอย่างเคอะเขิน “ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร คุณเฉียวนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณถามฉันเมื่อกี้”


 


 


“แล้วเขาถามอะไรเธอ” ทุกคนถามพร้อมกัน


 


 


ถังซีกุมขมับ แน่นอน เมื่อคุณพูดโกหกครั้งหนึ่งแล้ว คุณจะต้องพูดโกหกอีกเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่โกหกไว้ นี่เป็นสถานการณ์ที่ทำให้เหนื่อยใจจริงๆ!


 


 


“เพราะว่าฉันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณป้าเฉียว ฉันให้สัญญาไว้ว่าจะไปหาท่านทุกวันเสาร์ และอาการของท่านก็ดีขึ้น แต่เพราะฉันต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลนานถึงหนึ่งสัปดาห์ คุณป้าเฉียวเลยไม่อยากทานอาหารหลังจากไปเยี่ยมฉัน…” ถังซีกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อไป “แล้วคุณเฉียวก็ทราบว่าแม่เขาไม่ยอมทานอาหาร เขาก็เลย…” ถังซีพยายามจะพูดต่อไป แต่กลับพบว่าเธอพูดไม่ได้


 


 


“เธอหมายถึงตอนที่เธออยู่ในอาการโคม่าหรือ” เฮ่อหว่านอีถาม


 


 


ขณะมองหน้าเฮ่อหว่านอีด้วยความซาบซึ้ง ราวกับว่าเฮ่อหว่านอีคือผู้ช่วยชีวิตเธอไว้ ถังซีพยักหน้าอย่างหนักแน่นและตอบว่า “ใช่ค่ะ ใช่ เมื่อกี้ฉันอธิบายให้คุณเฉียวฟังแล้ว ตอนนี้เราก็แก้ไขความเข้าใจผิดกันเรียบร้อยแล้ว”


 


 


“เฉียวเหลียงคุณสร้างความยุ่งยากทั้งหมดนี้ เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้น่ะหรือ” หยางมู่คุนกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ทำให้พวกเราตกใจกันหมด”


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณหมายความว่า สุขภาพแม่ผมเป็นเรื่องไม่สำคัญ อย่างนั้นหรือ”


 


 


หยางมู่คุนรีบขอโทษทันที “เฮ้ย ขอโทษ ฉันพูดผิดไป!”


 


 


ทำไมเขาถึงทำอะไรก็ผิดไปหมด นี่เขาถูกสาปใช่ไหม


 


 


ในขณะที่คนอื่นๆ เชื่อคำพูดของถังซี แต่พี่น้องตระกูลเซียวไม่เชื่อ อาห้าบอกว่าเฉียวเหลียงคุยกับโหรวโหรวเรื่องถังซี และเมื่อกี้โหรวโหรวก็ดูท่าทางแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังพยายามสร้างเรื่องขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดก็โกหกไม่สำเร็จ


 


 


เซียวจิ่งกล่าวว่า “ตอนนี้ตีสองแล้ว โหรวโหรวเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ไม่ควรกลับบ้านดึกเกินไป เรากลับกันเถอะ” เขามองเฉียวเหลียงแล้วกล่าวต่อไป “คืนนี้พวกเราดื่มกันทุกคน นายช่วยไปส่งพวกเรากลับบ้านหน่อยได้ไหม” จากนั้นเขาก็หันไปมองอาห้าและคนของเฉียวเหลียง แล้วพูดต่อจนจบว่า “ส่วนพวกนายไปส่งคนอื่นๆ กลับบ้าน”


 


 


อาห้ามองหน้าเฉียวเหลียง ซึ่งพยักหน้าให้เป็นคำตอบ


 


 


อาห้าคิดว่านายน้อยต้องได้รับการคลี่คลายข้อสงสัยที่ต้องการแล้ว เพราะถ้าไม่เช่นนั้นนายน้อยจะไม่สงบนิ่งอย่างนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นรอยยิ้มของนายน้อยอีกด้วย!


 


 


อาห้ามองถังซีด้วยท่าทางไม่แน่ใจ และขมวดคิ้วขณะคิดอยู่คนเดียว ‘นี่คือคุณถังใช่ไหม แต่เธอดูไม่เหมือนคุณถังเลย! ’


 


 


ในขณะที่คนอื่นๆ แยกย้ายกันไป พี่น้องตระกูลเซียวก็ไปขึ้นรถของพวกเขาพร้อมกับเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงขับรถให้ ขณะที่ถังซีนั่งในที่นั่งข้างคนขับ คนที่เหลือหรี่ตามอง ขณะขึ้นไปนั่งด้านหลังโดยไม่พูดอะไร ทันทีที่ประตูปิดลง เซียวจิ่งก็ถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เฉียวเหลียง นายควรอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ว่าเกิดอะไรขึ้น นายกำลังตามหาถังซีอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับโหรวโหรว”


 


 


เฉียวเหลียงหันมามองถังซีด้วยประกายตาลึกซึ้ง แต่เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอคิดว่าเธอควรนิ่งเงียบไว้จะดีกว่า


 


 


เฉียวเหลียงหันกลับมามองสามพี่น้อง ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมกับกล่าวว่า “พวกคุณอยากรู้อะไร”


 


 


เซียวเหยาถามว่า “ทำไมอาห้าถึงบอกว่าคุณไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ ถ้าเป็นเรื่องของคุณถัง แล้วทำไมคุณถึงปฏิบัติต่อโหรวโหรวแปลกไป”


 


 


ถังซีใจหายวาบ เซียวเหยาเป็นคนมองอะไรออกได้โดยง่าย ดูเหมือนพวกเขากำลังจะรู้แล้วว่าเธอไม่ใช่นางฟ้าน้อย…


 


 


เฮ้อ… ช่างยากลำบากเหลือเกินกว่าจะสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาได้ แต่แล้วเรื่องเหล่านั้นกลับกำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า


 


 


เฉียวเหลียงหันไปมองด้านข้างของถังซี เลี้ยวรถ และขับตรงไปยังทางเข้าสวนสาธารณะกลางเมือง จอดรถตรงหัวมุมแล้วกล่าวว่า “ลงมาก่อนครับ”


 


 


ทุกคนลงจากรถ ถังซีก็เช่นกัน เธอเดินเข้าไปหาเฉียวเหลียงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเซียวเหยาคว้าปกเสื้อเธอไว้ และดึงเธอเข้ามาหาเขา ถังซีจึงหยุดเดินทันที หันมามอง แล้วยิ้มให้เซียวเหยา “พี่เหยา…”


 


 


เซียวเหยาส่งเสียงคำรามในลำคอแทนคำตอบ ก่อนจะหันไปมองเฉียวเหลียงซึ่งเอื้อมมือมาคว้ามือถังซี และเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจพี่น้องตระกูลเซียว เซียวจิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันขณะกล่าวว่า “เฉียวเหลียง อย่าให้ฉันต้องจัดการกับนาย ปล่อยน้องสาวฉันเดี๋ยวนี้!”


 


 


เฉียวเหลียงจับมือถังซีไว้ มองดูสามพี่น้อง “ถามเธอก่อน ว่าอยากให้ฉันปล่อยเธอไหม”


 


 


จริงๆ แล้วถังซีหวั่นไหวไปกับการกระทำของเขา แต่เธอแกล้งทำเป็นโกรธ และตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “ปล่อยฉัน!”


 


 


เฉียวเหลียงนิ่งขึง มองถังซีด้วยสายตาสุดเศร้า ทำให้เธอรู้สึกปวดร้าวหัวใจ เธอจึงกล่าวเสียงแผ่ว “ก็ได้ คุณจับมือฉันไว้ก็ได้” ให้ตายเถอะ… ดูเหมือนชายหนุ่มจะเรียนรู้ที่เรียกร้องประโยชน์จากความผิดของเธอเสียจริง รวมทั้งยังคงทำตัวน่าสงสารและใสซื่อตลอดเวลาต่อหน้าเธอ ตั้งแต่ที่ระเบียง เมื่อเขารู้เรื่องความผิดของเธอที่ทำกับเขา… ผู้ชายคนนี้คือเฉียวเหลียงที่เธอรู้จักจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย


 


 


ความหยิ่งทะนงของคุณอยู่ที่ไหน ความนับถือตัวเองของคุณหายไปไหนหมด!


 


 


รอยยิ้มที่ซ่อนอยู่สั่นไหวเบาๆ บนริมฝีปากเฉียวเหลียง ประกายวาววับพาดผ่านดวงตาเขา เซียวเหยาทนไม่ไหวอีกต่อไป เหวี่ยงหมัดเข้าใส่เขา เฉียวเหลียงตอบโต้ด้วยการดึงถังซีไปหลบข้างหลัง และก้าวออกมาต่อสู้กับเซียวเหยา สิบนาทีต่อมาทั้งคู่ไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ถังซีสะกิดเซียวจิ่งถามว่า “อาเหลียงไปเรียนกังฟูมาตั้งแต่เมื่อไรคะ”


 


 


“โหรวโหรว!” เซียวจิ่งเบิกตาโตด้วยความตกใจ ‘สองคนนี้ไปสนิทสนมกันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร จนถึงขั้นเธอเรียกเฉียวเหลียงว่า ‘อาเหลียง’ ! ’


 


 


ถังซีรู้สึกตัวว่าเธอหลุดปากออกไปจึงหัวเราะกลบเกลื่อน และกล่าวต่อไปว่า “ก็พี่เหยาเป็นปรมาจารย์กังฟูไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าทั้งสองคนฝีมืออยู่ในระดับเดียวกันเลยล่ะ”


 


 


หลังจากยี่สิบนาทีของการต่อสู้ผ่านไป ชายหนุ่มทั้งสองก็มาถึงจุดสิ้นสุด เพราะทั้งคู่ไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ เฉียวเหลียงกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “คุณเซียวเหยาเป็นทหารกองกำลังพิเศษที่คู่ควรจริงๆ คุณเก่งศิลปะการต่อสู้มากๆ”


 


 


เซียวเหยาตอบด้วยเสียงคำราม “ประธานเฉียวก็ไม่เลวเหมือนกัน”


 


 


เซียวจิ่งจ้องมองเฉียวเหลียง ขณะถามว่า “นายรู้จักตัวตนที่แท้จริงของพี่ชายฉันได้ยังไง”


 


 


เฉียวเหลียงกลอกตาไปมา “นายคิดว่าทุกคนโง่เหมือนนายหมดหรือ ไม่รู้แม้แต่หน้าที่การงานของพี่ชายตัวเอง ทั้งๆ ที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน”


 


 


เซียวส่ากล่าวว่า “เฉียวเหลียง คุณอย่าให้พวกเราคาดเดาเอาเอง พูดออกมา เกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับโหรวโหรว”


 


 


เฉียวเหลียงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ซีซีประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกในวันที่เก้า กรกฎาคม”


 


 


เซียวเหยาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับโหรวโหรว”


 


 


เซียวจิ่งกล่าวว่า “ในวันนั้นโหรวโหรวก็เข้าโรงพยาบาลเพราะถูกรถชน พี่จำได้ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า “ทีนี้พวกคุณอยากจะถามอะไรอีก”


 


 


ทันใดนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้นในความคิดของสามพี่น้อง ทั้งสามหันไปมองถังซีด้วยความประหลาดใจ ถังซีทำปากยื่น แล้วยิ้มออกมาพร้อมกับกล่าวขอโทษ “ขอโทษนะคะพี่ๆ จริงๆ แล้วฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกพวกพี่เลย แต่เรื่องที่ฉันกลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังความตาย เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไป ฉันก็เลยไม่รู้จะบอกพวกพี่เรื่องนี้อย่างไร”


 


 


“แต่ว่าเธอ…”


 


 


“ฉันได้รับความสามารถเหล่านั้น หลังจากฟื้นขึ้นมาในร่างของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดขึ้นแบบนี้”




ตอนที่ 119 กลับบ้าน

 


ถังซีเล่าให้ทุกคนฟังเรื่องความสามารถที่เธอได้รับมาอย่างฉับพลัน ขณะฟังเธอเล่าเซียวจิ่งกับเซียวส่าถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว แล้วจู่ๆ เซียวเหยาก็เงยหน้าขึ้นมองถังซี น้ำเสียงเขาแหบห้าวอย่างมากขณะถามว่า “เธอหมายความว่า เธอคือถังซีอย่างนั้นหรือ”


 


 


ถังซีนิ่งขึงไปทันที เธอหันมามองเซียวเหยาซึ่งดูน่ากลัวภายใต้ไฟถนน ราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมาจากการตกน้ำ แต่เธอก็ยอมรับกับเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเธอต้องบอกความจริงอันโหดร้ายนี้แก่เซียวเหยา เธอจึงพยักหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ พี่ใหญ่ จริงๆ แล้วฉันคือถังซี ฉันขอโทษที่โกหกพี่ๆ ทุกคนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา”


 


 


เมื่อได้ยินเธอเรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ เซียวเหยาก็แทบอดกลั้นความเจ็บปวดในหัวใจไม่ไหว เขานิ่งขึงไปทันทีและจ้องมองถังซี ใช่ ถึงแม้ว่าเธอคือถังซี แต่ตอนนี้เธอเป็นเซียวโหรวน้องสาวเขา ในชีวิตนี้เขาเป็นได้แค่พี่ชายเธอ หัวใจเขาเจ็บปวด แต่ไม่นานเขาก็บอกกับตัวเองว่า โชคดีแล้วที่เธอยังมีชีวิตอยู่ แม้เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ในฐานะเซียวโหรวก็ตาม


 


 


ส่วนปฏิกิริยาของเซียวจิ่งนั้นเป็นอยู่ค่อนข้างนาน ใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะชี้หน้าถังซีด้วยความประหลาดใจและอุทานออกมา “ถ้าอย่างนั้นที่เธอมีความสามารถพิเศษมากมาย ก็ไม่ใช่เพราะเธอฉลาดหรือเป็นอัจฉริยะน่ะสิ แต่เป็นเพราะเธอคือถังซี!”


 


 


ถังซีตอบด้วยการยักไหล่ “พี่จิ่งคะ ถึงฉันจะเป็นถังซี แต่ฉันก็ยังคงเป็นอัจฉริยะนะ” จากนั้นเธอก็ยิ้มกว้าง กล่าวต่อไปจนจบ “ฉันฉลาดกว่าพี่ก็แล้วกัน เรื่องนี้พี่ปฏิเสธไม่ได้หรอก”


 


 


อ๊าก… เซียวจิ่งแทบกระอักเลือด นี่เขามีน้องสาวแบบไหนกัน แล้วทำไมเขาถึงต้องมีน้องสาวแบบนี้!


 


 


เซียวส่าเม้มริมฝีปากมองหน้าถังซี จากนั้นก็เลื่อนไปที่เฉียวเหลียง และในที่สุดก็เปลี่ยนมาที่พี่น้องทั้งสองของเขาแล้วถามว่า “แล้วอย่างนี้ เธอจะทำยังไงต่อไป”


 


 


ในที่สุดเซียวส่าก็รู้แล้วว่า ทำไมเซียวโหรวจึงพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องแคล่วในร้านอาหารฝรั่งเศสวันนั้น และทำไมเธอจึงมั่นใจว่าจะสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งเมือง A ได้ภายในหนึ่งปี เท่าที่เขารู้ ถังซีคือความภาคภูมิใจสูงสุดของเอ็มไพร์กรุป เธอได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พร้อมๆ กับสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง และมีความเชี่ยวชาญภาษาต่างๆ นับสิบภาษา…


 


 


เฉียวเหลียงถามอย่างเย็นชา “พวกคุณอยากให้ซีซีกลับบ้านกับผมตอนนี้เลยไหม”


 


 


แม้เขาจะปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอยู่กับเธอ แต่เขารู้ว่าถังซีจะไม่เห็นด้วย เธอเข้ากันได้ดีกับคนตระกูลเซียว และเขาบอกได้เลยว่าเธอรักครอบครัวนี้ของเธอมาก แต่ถ้าคนเหล่านี้เปลี่ยนไปเป็นห่างเหินกับเธอ เพราะตัวตนที่แท้จริงของเธอคือถังซี เขาจะ…


 


 


“ไม่อย่างแน่นอน!” พี่น้องตระกูลเซียวร้องออกมาเป็นเสียงเดียว เซียวจิ่งจ้องหน้าเฉียวเหลียงขณะกล่าวตามตรงว่า “โหรวโหรวเป็นน้องสาวเรา ทำไมเธอต้องกลับไปกับนายด้วย”


 


 


ถังซียิ้ม ด้วยปฏิกิริยานี้ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในหัวใจเซียวเหยา เธอซาบซึ้งจริงๆ ที่เซียวเหยาไม่ได้พูดอะไรที่แสดงว่ายอมรับไม่ได้ออกมาเลยในเรื่องนี้ และรู้สึกขอบคุณมากยิ่งขึ้นที่พวกเขาทุกคนยังเชื่อถือเธอย่างมาก แม้จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม


 


 


ทั้งหมดนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำสองชั่วโมง ซึ่งหลังจากนั้นทุกคนก็หายมึนเมาแล้ว เฉียวเหลียงมองดูนาฬิกาแล้วไปส่งพวกเขากลับบ้าน เซียวจิ่งหัวเราะไปตลอดทาง และกล่าวว่า “โอย เฉียวเหลียง ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะมาถึงจุดที่นายต้องเรียกฉันว่าพี่สาม นี่เป็นกรรมของนายอย่างแท้จริง!”


 


 


เซียวจิ่งแสดงท่าทางพึงพอใจไม่หยุด ตั้งแต่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของถังซี เขาอยากหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยความคิดที่ว่า เฉียวเหลียงจะต้องได้รับความยินยอมจากพวกเขาก่อน จึงจะแต่งงานกับถังซีได้


 


 


เฉียวเหลียงหน้าบึ้ง จ้องมองถังซีซึ่งยักไหล่ด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้แทนคำตอบ เธอถามว่า “คุณอยากให้ฉันตายมากกว่าเหรอ” เธอคิดว่าเธออาจต้องเลือก ระหว่างความตายกับการเกิดใหม่ในร่างเซียวโหรว


 


 


เฉียวเหลียงนิ่งเงียบ หากเขาต้องเลือกระหว่างการประจบประแจงเซียวจิ่ง กับให้ถังซีตาย เขาเลือกอย่างแรกแน่นอน เขามองเซียวจิ่งจากกระจกมองหลัง กัดฟันแน่น และเตือนว่า “นายระวังตัวให้ดี! คอยดูก็แล้วกัน”


 


 


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เซียวจิ่งส่ายศีรษะพร้อมกับหัวเราะ “ได้เลย ฉันจะคอยดู!”


 


 


เขานั่งอยู่ระหว่างเซียวเหยากับเซียวส่า เมื่อเห็นรอยยิ้มอย่างสบายอกสบายใจของเขาจากกระจกมองหลัง เฉียวเหลียงก็ส่งเสียงคำรามพร้อมกับเหยียบคันเร่งและหมุนพวงมาลัยทันที เซียวเหยารีบจับราวจับทันทีเช่นเดียวกับเซียวส่า ถังซีก็คว้าราวจับเช่นกัน พร้อมกับส่งสายตาดุดันให้เฉียวเหลียง เมื่อไม่ทันระวังตัวและไม่มีราวจับเพราะเขานั่งตรงกลาง เซียวจิ่งก็ล้มไปทับเซียวส่า เมื่อเฉียวเหลียงหักพวงมาลัยอีกครั้งเขาก็ถูกเหวี่ยงกลับไปทางเซียวเหยา เขาสบถออกมา เฉียวเหลียงหัวเราะเยาะ และหักพวงมาลัยหนักขึ้น หลังจากหักกลับไปกลับมานับครั้งไม่ถ้วน เฉียวเหลียงก็เบรกกะทันหัน เซียวจิ่งตาเบิกโพลงจ้องไปข้างหน้า ถลาพุ่งออกจากที่นั่งตรงกลางไปด้านหน้าด้วยเสียงดังปัง และเกือบจะกระแทกเข้ากับคอนโซลรถ


 


 


เซียวจิ่งกำลังจะด่าเฉียวเหลียง แต่ทันทีนั้นเขาก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง เขารีบเปิดประตูรถอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถรอให้เซียวเหยาลงจากรถก่อน เขากระโดดข้ามพี่ชาย ลงจากรถรีบวิ่งไปข้างถนน และเริ่มอาเจียนใต้ต้นไม้ทันที


 


 


เฉียวเหลียงเปิดประตูลงจากรถ เอนตัวพิงฝากระโปรงหน้ารถมองดูเซียวจิ่ง แล้วสบประมาทอย่างสะใจ “พอใจหรือยัง”


 


 


เซียวจิ่งกอดต้นไม้ที่เขาอาเจียนไปทั่ว ขณะเงยหน้าขึ้นมองและชี้หน้าเฉียวเหลียงด้วยความโกรธ ตะคอกว่า “เฉียวเหลียง นายรู้อะไรไหม นายจะไม่มีวันได้แต่งงานกับน้องสาวฉัน!”


 


 


เฉียวเหลียงยักไหล่อย่างเฉยเมย ตอบว่า “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาย”


 


 


พวกเขาดื่มกันจนถึงเที่ยงคืน แล้วมานั่งเล่นกันในสวนสารธารณะกลางเมืองอีกสองชั่วโมง และยังเสียเวลาทำเรื่องบ้าๆ บอๆ อยู่บนถนนอีก ดังนั้นเมื่อเฉียวเหลียงมาส่งพวกเขาถึงบ้านก็เป็นเวลาหกโมงเช้า ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เซียวหงลี่กำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่ในสวน เมื่อเห็นพวกเขากลับมา เขาก็หยุดวิ่งและหน้านิ่วขมวดคิ้วดุพวกเขา “เซียวส่า เซียวจิ่ง ลูกสองคนไม่รู้หรือว่าพี่ชายกับน้องสาวของลูกเพิ่งออกจากโรงพยาบาล และต้องการการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ลูกพาทั้งสองคนออกไปเที่ยวตลอดทั้งคืนอย่างนี้ได้ยังไง!”


 


 


เฉียวเหลียงลงจากรถและกล่าวทักทายเซียวหงลี่ เมื่อฝ่ายหลังเห็นเฉียวเหลียงก็ชะงัก ยิ้มให้ แล้วเดินเข้าไปหาพร้อมกับกล่าวทักทาย “อ้าว เฉียวเหลียง มาที่นี่ได้ยังไง ได้ยินว่าเธอไปต่างประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ไม่ใช่หรือ”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้มตอบ “ผมได้รับโทรศัพท์จากเซียวจิ่งครับ เขาบอกว่าพวกเขาขับรถไม่ได้เพราะดื่มเหล้ากัน ผมก็เลยแวะไปรับมาส่งบ้าน”


 


 


เซียวจิ่งจ้องหน้าเฉียวเหลียง คิดในใจว่าทำไมเขาถึงหน้าด้านอย่างนี้! นี่เขากำลังโกหกหน้าตาเฉย! จากนั้นเขาก็จ้องมองถังซีซึ่งหลอกลวงพวกเขามาหลายเดือน เขาเม้มริมฝีปากขณะคิดว่า สองคนนี้ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน สร้างเรื่องโกหกเก่งทั้งคู่


 


 


ถังซีทักทายเซียวหงลี่พร้อมกับหาว แล้วกล่าวว่า “คุณพ่อคะ หนูขึ้นไปนอนก่อนนะคะ อย่าเพิ่งถามอะไรหนูเลย”


 


 


ขณะเธอเดินผ่านเซียวหงหลี่ก็ลูบศีรษะเธอ และกล่าวด้วยความรักว่า “ไปนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแล้ว”


 


 


ถังซียิ้มหวานให้เซียวหงลี่ โดยไม่หันกลับไปมองเฉียวเหลียง เฉียวเหลียงไม่อยากแยกจากเธอ เขาเฝ้ามองเธอเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ผู้หญิงคนนี้จะจากไปโดยไม่บอกลาเขาอย่างนี้ได้อย่างไร


 


 


เซียวจิ่งกล่าวขึ้นอย่างผู้มีชัยว่า “ฉันก็ต้องขึ้นไปนอนด้วยเหมือนกัน”


 


 


เซียวเหยากล่าวกับเฉียวเหลียง “ขอบคุณมาก ประธานเฉียว แล้วเจอกัน”


 


 


เซียวส่าก็โบกมือลาเฉียวเหลียงด้วยเช่นกัน



ตอนที่ 120 เซียวจิ่งจอมฉุนเฉียว

 


เฉียวเหลียงหรี่ตาลง แล้วหันมาคุยกับเซียวหงลี่อีกครั้ง “ท่านเลขาฯ เซียว ออกมาจ๊อกกิ้งตอนเช้าหรือครับ”


 


 


เซียวหงลี่ตอบพร้อมกับพยักหน้า “ใช่แล้ว ครอบครัวเราชอบตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย เพราะว่าดีต่อสุขภาพ”


 


 


เฉียวเหลียงก็พยักหน้า พร้อมกับมองไปที่บ้านหลังข้างๆ บ้านเซียวหงลี่ และยิ้มขณะถามว่า “คนที่อยู่บ้านหลังถัดไปเป็นใครหรือครับ พวกเขาไม่ออกมาจ๊อกกิ้งตอนเช้าบ้างหรือ”


 


 


“เป็นครอบครัวชาวจีนที่อยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่พวกเขาอยู่ต่างประเทศกัน ไม่ค่อยกลับมาหรอก ฉันแทบไม่ได้เจอพวกเขา” เซียวหงลี่ตอบ “ประธานเฉียว ทำไมไม่ทานอาหารเช้ากับเราล่ะ”


 


 


เฉียวเหลียงส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรครับ ผมมีงานบางอย่างต้องไปจัดการ ผมลาแล้วนะครับ” เขาหันหลังกลับ แต่แล้วก็หันกลับมาพร้อมกับบอกว่า “ท่านเลขาฯ เซียวครับ ช่วยบอกเซียวจิ่งด้วยนะครับว่าไม่ต้องขับรถไปทำงาน ผมจะขับรถเขาไปจอดไว้ที่บริษัท เขาจะได้ขับกลับบ้านตอนบ่ายหลังเลิกงาน”


 


 


เซียวหงลี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแทนการตอบรับ แล้วหันกลับไปวิ่งต่อ เฉียวเหลียงเข้าไปนั่งในรถ หยิบโทรศัพท์มาโทรออก ไม่นานก็มีคนรับสาย เฉียวเหลียงสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เตรียมบันทึกเวลาตอกบัตรของเซียวจิ่งในสองสามปีที่ผ่านมาให้ฉันด้วย”


 


 


“ท่านต้องการไปทำอะไรหรือครับ ท่านประธานเฉียว”


 


 


“แค่เอามาให้ฉันก็พอ” เฉียวเหลียงกล่าวอย่างเยือกเย็นแล้ววางสาย


 


 



 


 


เซียวจิ่งตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนหวานด้วยเสียงโทรศัพท์ เขารับสายอย่างหัวเสีย และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “มีเรื่องสำคัญอะไรจะบอกฉันอีก ฮึ!”


 


 


“เซียวจิ่ง ฉันแค่อยากบอกนายว่า ถ้าวันนี้นายมาทำงานสายอีกวันเดียว โบนัสสามสิบล้านหยวนในปีนี้จะไม่มีเหลือ และเงินเดือนนายก็จะถูกหักด้วย” เสียงเย็นเยือกของเฉียวเหลียงดังผ่านมาในโทรศัพท์ “ฉันจ้างนายมาทำงาน ไม่ได้ให้มานอนเล่น”


 


 


ตึ๊ด… เขาวางสาย


 


 


เซียวจิ่งนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้างุนงงสับสนและผมเผ้ายุ่งเหยิง หากไม่ใช่เพราะถือโทรศัพท์อยู่ในมือเขาคงคิดว่าฝันไป ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงตะโกนเสียงดังขณะยังนั่งอยู่บนเตียง “เฉียวเหลียง ฉันจะฆ่านาย!”


 


 


เฉียวเหลียงใช้อำนาจในทางที่ผิดเพื่อแก้แค้นเขา!


 


 


บัดซบ เฉียวเหลียงบอกว่าจะยึดโบนัสเขา! นอกจากโบนัสสามสิบล้านหยวนแล้วยังจะหักเงินเดือนเขาด้วย!


 


 


ฉันจะลอยแพนาย!


 


 


จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากผนังอีกด้านหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงคำรามจากเซียวส่า “หุบปาก! ฉันจะนอน!”


 


 


เซียวจิ่งยิ่งโกรธมากขึ้น เขากระโดดลงจากเตียง และเตะฝาผนังอย่างบ้าคลั่ง ‘ในเมื่อฉันไม่ได้นอน พี่ก็ไม่ต้องนอนเหมือนกัน’ ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเขาก็เปิดประตูห้อง พรวดพราดไปที่ห้องเซียวส่า ตะโกนว่า “ทำไมฉันต้องไปทำงาน ในขณะที่พี่ได้นอน!”


 


 


“ก็เพราะบริษัทเป็นของฉัน และฉันใหญ่ที่สุดไง” เซียวส่าเหลือบมองเซียวจิ่งด้วยสายตาง่วงงุน และรู้สึกถือไพ่เหนือกว่า “พนักงานอย่างนายไม่เข้าใจนายจ้างอย่างเราหรอก” แล้วเขาก็หัวเราะถามว่า “ทำไมนายถึงกล้าหาเรื่องเฉียวเหลียง นายควรจะคิดว่าตัวเองโชคดีแล้ว ที่เขาไม่มาลากนายลงจากเตียง แล้วโยนนายเข้าบริษัท”


 


 


การถูกทำร้ายจิตใจโดยพี่ชายหลังจากถูกเจ้านายคาดโทษ ทำให้เซียวจิ่งกำลังจะสติแตก เขารีบวิ่งเข้าไปหาเซียวส่า พุ่งเข้าใส่ ใช้ทั้งมือและเท้ากอดเซียวส่าแน่น แล้วกล่าวอย่างน่าสงสาร “ฉันเป็นน้องชายพี่ใช่ไหม”


 


 


เซียวส่าพยายามเตะเขาออกไปให้พ้นตัว พร้อมกับตะโกนว่า” นายต้องการอะไร”


 


 


เซียวจิ่งกอดเขาแน่นยิ่งขึ้น “พี่ส่า ให้ฉันไปทำงานที่บริษัทพี่ดีไหม ตอนนี้ฉันเป็นผู้ทดสอบเกมได้แล้วนะ ฉันจะไปบริษัทเฉียวเหลียงเดี๋ยวนี้ ไปยื่นใบลาออก”


 


 


เซียวส่าผลักเขาอย่างแรง กล่าวว่า “ไปให้พ้นเลย ฉันไม่ต้องการนาย” ด้วยความพยายามอย่างหนักเขาผลักเซียวจิ่งลงไปจากเตียง เซียวจิ่งกระเด็นลงไปนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทางตกตะลึง จ้องมองเซียวส่าพร้อมกับถามว่า “พี่กล้าถีบฉันตกเตียงได้ยังไงเนี่ย”


 


 


เซียวส่าหรี่ตามองเขา “กรุณาอย่ามาอาละวาดในห้องฉัน ตกลงไหม ไปล้างหน้าล้างตา แล้วไปทำงาน”


 


 


เซียวจิ่งยังคงนั่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน “ทำไมพวกพี่ไม่ไปทำงาน ในขณะที่ฉันต้องไป”


 


 


“เพราะพี่เหยายังอยู่ในช่วงลาพัก ส่วนพี่เป็นเจ้านายใหญ่ จะไปตอนไหนก็ได้ และโหรวโหรวลาป่วย เพื่อพักฟื้น…” เซียวส่าตอบ ขณะมองหน้าเซียวจิ่งราวกับมองเด็กน้อยที่น่าสงสาร เขากล่าวต่อไปว่า “สำหรับนาย นายไปหาเรื่องเฉียวเหลียงไว้ ทั้งๆ ที่นายเป็นลูกน้องเขา เพราะฉะนั้นยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ไปคุกเข่าต่อหน้าบอสของนายเถอะ น้องชาย”


 


 


เซียวจิ่งผลุดลุกขึ้นจากพื้น ตะโกนใส่เซียวส่าด้วยท่าทางตื่นเต้น “พี่ส่า ถ้าอย่างนั้นเราพาโหรวโหรวย้ายไปอยู่ต่างประเทศกัน เฉียวเหลียงจะได้หาพวกเราไม่เจอไปตลอดชีวิต เป็นการแก้แค้นเขาให้ผม!” เฉียวเหลียงกล้าใช้อำนาจมาคาดโทษเขาอย่างนี้ได้ยังไง! บัดซบที่สุด!


 


 


หางตาเซียวส่าหรี่ลง “น้องชาย อย่าทำตัวเหมือนเด็กได้ไหม บริษัทพี่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง พี่ยังไม่อยากล้มละลาย” เขาลุกขึ้นยืน ตบไหล่เซียวจิ่งและเสริมว่า “นายคิดว่าเฉียวเหลียงจะไม่มีทางหาเราเจอหรือ และนายคิดว่าจะหลอกโหรวโหรวได้ง่ายๆ หรือ ทำตัวดีๆ ไอ้น้องชาย ฟังพี่นะ อย่าโง่ อย่าวิ่งหาความตาย”


 


 


เซียวจิ่งคอตกกลับไปที่ห้องของตัวเอง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และไปทำงาน


 


 


เซียวหงลี่นั่งอยู่ในห้องอาหารกำลังทานอาหารเช้า เมื่อเห็นเซียวจิ่งเดินลงมาเขาก็กล่าวกับลูกชายว่า “ไปเรียกพี่ชายกับน้องสาวของลูกลงมาทานอาหารเช้าก่อน แล้วค่อยกลับไปนอน”


 


 


เซียวจิ่งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเดินลงมาทานอาหารเช้า “พวกนั้นเขาไม่ต้องไปทำงาน ทำไมต้องทานอาหารเช้าด้วย ทำไมไม่เก็บอาหารไว้ล่ะครับ จะได้ประหยัด”


 


 


เซียวหงลี่หัวเราะ “ลูกก็กินให้น้อยลงสิ จะได้เป็นการประหยัดอาหาร”


 


 


หยางจิ้งเสียนขึ้นไปเรียกคนอื่นๆ ลงมาทานอาหารเช้า


 


 


เซียวจิ่งจ้องหน้าบิดาพร้อมกับร้องออกมาว่า “คุณพ่อทำไมลำเอียงอย่างนี้! ผมกำลังจะออกไปทำงาน ผมกำลังจะออกไปหาเงิน ทำไมถึงจะไม่ให้ทานอาหารเช้า! บ้าไปแล้ว!”


 


 


“โหรวโหรวกำลังอยู่ในวัยเรียน เหยาอุทิศตนเพื่อประเทศชาติของเรา และส่าก็เป็นเจ้าของบริษัท ทุกคนมีดีกว่าลูกทั้งนั้น!”


 


 


เซียวจิ่งเดือดดาลขึ้นมาทันที ราวกับถูกจี้ใจดำ เขาคว้าปาท่องโก๋จากชามของบิดา ขณะกล่าวว่า “ผมจะกิน ผมจะผลาญเงินคุณพ่อให้หมด! คุณพ่อจะทำอะไรผมได้”


 


 


เซียวหงลี่หัวเราะเสียงดัง พร้อมกับกล่าวว่า “ลูกทรพี กล้าพูดแบบนี้กับพ่อได้ยังไง นี่พ่อเป็นพ่อแกนะ! ไม่กลัวไม้เท้าคุณปู่หรือ”


 


 


“ทิ้งผมไปเลย” เซียวจิ่งกัดปาท่องโก๋อย่างแรง ขณะคิดว่าต้องพยายามหาทางให้เฉียวเหลียงอยู่ห่างจากโหรวโหรว เขาสาบานว่าจะทำให้เฉียวเหลียงเสียใจที่ทำกับเขาแบบนี้!


 


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนการซ่อมแซมบ้านดังขึ้น เซียวจิ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ใครกำลังซ่อมบ้านหรือครับ ผมจำได้ว่าบ้านแถวนี้ขายหมดแล้วนี่ ใครมาซ่อมแซมหรือ”


 


 


เซียวหงลี่ดื่มนมอีกแก้วหนึ่งและขนมปังหนึ่งชิ้นก่อนจะตอบว่า “ไม่รู้สิ บางทีบ้านข้างๆ เราอาจมีคนมาซื้อต่อ และเจ้าของใหม่กำลังปรับปรุงซ่อมแซม”


 


 


พี่ชายและน้องสาวเดินลงมาชั้นล่างทีละคน เซียวจิ่งขมวดคิ้วถาม “ไม่ใช่บ้านถัดจากบ้านเราหรือครับ ที่มีคนมาซื้อ”


 


 


“บางทีเจ้าของเขาอาจกำลังซ่อมแซม เพราะกลับมาจากต่างประเทศก็ได้” เซียวหงลี่ทานขนมปังเสร็จก็ดื่มนมอีกเล็กน้อย แล้วเดินไปจูบหยางจิ้งเสียนที่เพิ่งเดินลงมาชั้นล่าง “ที่รัก ผมไปทำงานแล้วนะ”


 


 


ทั้งสี่พี่น้องต่างตกตะลึง นี่คุณพ่อคุณแม่กำลังแสดงความรักต่อหน้าพวกเขาหรือ




ตอนที่ 121 เซียวจิ่งช่างประจบ

 


เซียวจิ่งถูกเรียกไปที่ห้องทำงานท่านประธานทันทีที่มาถึงบริษัท เมื่อเข้าไปในห้องเขาเห็นเฉียวเหลียงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ขะมักเขม้นอ่านเอกสารและเขียนคำแนะนำแก้ไขลงไปในนั้น


 


 


เขาเดินหน้าเข้มไปนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ ถามอย่างเย็นชา “มีอะไร”


 


 


เฉียวเหลียงโยนเอกสารในมือให้เซียวจิ่ง และถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “นายจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง”


 


 


เซียวจิ่งหยิบเอกสารขึ้นมา พลิกดูหลายหน้า แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา ฮ่าๆ ในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีตอบโต้เฉียวเหลียง! เขากล่าวว่า “ฮื่อ นายก็รู้นี่ ไม่ว่ายังไงโหรวโหรวก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ฉัน พ่อแม่แท้ๆ ของเธอหมั้นเธอไว้กับหลิวเฉิงอวี่ และฉันก็เห็นแล้วว่าหลิวเฉิงอวี่ชอบโหรวโหรวจริงๆ เขาถึงกับเปิดโปงการกระทำชั่วร้ายของเหยาจิ้นหนิงเพื่อเธอเลยนะ ตอนนี้เหยาจิ้นหนิงก็เหมือนหนูท่อข้างถนนดีๆ นี่เอง”


 


 


“ฉันหมายถึง ทำไมหลิวเฉิงอวี่ถึงรู้เรื่องนี้” เฉียวเหลียงเห็นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้วว่า หลิวเฉิงอวี่มองตามถังซีตอนเธอเดินไปที่ประตูโรงเรียน และยังเฝ้ามองเธอจากระยะไกลด้วยท่าทางหลงใหล ซึ่งทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก


 


 


เซียวจิ่งหายจากความรู้สึกทุกข์ระทมเป็นปลิดทิ้ง เขานั่งเอนหลังสบายๆ พิงเก้าอี้ จ้องมองหน้าเฉียวเหลียงขณะตอบว่า “อ๋อ หลิวเฉิงอวี่แอบได้ยินเรื่องนี้ตอนที่เราทะเลาะกับเหยาจิ้นหนิง” จากนั้นเขาก็ยิ้มกริ่มกล่าวต่อไป “ฉันเห็นแล้วว่าหลิวเฉิงอวี่เป็นคนดีจริงๆ เมื่อเขารู้ว่าคู่หมั้นที่แท้จริงของเขาได้รับความทุกข์ทรมานมาก เขาก็เลิกกับเหยาจิ้นหนิงทันที เพราะความคิดของเขา คุณลุงคุณป้าถึงได้เปลี่ยนทัศนคติไปด้วย! ฉันได้ยินมาว่าพวกเขากระตือรือร้นรีบโอนอ่อนเข้าหาคุณพ่อคุณแม่เลยล่ะ”


 


 


เฉียวเหลียงจ้องหน้าเซียวจิ่งที่มีท่าทางตื่นเต้นอย่างใคร่ครวญ แล้วก้มลงอ่านเอกสารต่อไป เซียวจิ่งไม่พอใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเฉียวเหลียงจึงถามว่า “นายคิดยังไงกับเรื่องนี้”


 


 


เฉียวเหลียงเบ้ปาก แล้วถามเซียวจิ่ง “ทำไมคุณลุงคุณป้านายถึงอยากเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลหลิวด้วยการแต่งงานมากขนาดนั้น”


 


 


“แน่นอน ก็เพราะ…” เซียวจิ่งเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียง แล้วรีบกลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกไปทันที โดยเปลี่ยนคำตอบเป็นเหตุผลอื่นแทน “แน่นอน ก็เพราะคุณป้ากับแม่ของหลิวเฉิงอวี่เป็นเพื่อนสนิทกันน่ะสิ ทั้งสองคนหมั้นหมายทั้งคู่ไว้ตั้งแต่โหรวโหรวยังอยู่ในท้องคุณป้าแน่ะ”


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว “จริงหรือ”


 


 


“แน่นอน!” เซียวจิ่งตอบทันที “ตอนที่คุณป้ายังนิสัยไม่ดีเธอมุ่งมั่นกับเรื่องนี้มาก แล้วตอนนี้เธอก็พยายามเข้ามาเชื่อมความสัมพันธ์กับคุณพ่อคุณแม่และโหรวโหรวด้วย ใช่แล้ว ถ้าโหรวโหรวย้ายไปอยู่กับคุณป้า กลับไปอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ เมื่อไร หลิวเฉิงอวี่ก็จะกลายเป็นคู่หมั้นโหรวโหรวในทันที จริงไหม” เขามองเฉียวเหลียงด้วยสายตาเวทนาสงสาร และเสริมว่า “แต่นายอย่าเศร้าไปเลย ถึงยังไงนายก็จะเป็นคนที่โหรวโหรวรักตลอดไป”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้าและตอบว่า “ฉันไม่เศร้าหรอก ฉันคิดว่านายต่างหากที่น่าจะเศร้า”


 


 


เซียวจิ่งร้องออกมาเสียงดัง “ทำไม!”


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาวาเชอรอง คอนสแตนติน “ตอนนี้เก้าโมงสิบห้า นายไปตอกบัตรไม่ทันแล้ว วันนี้นายมาสายสิบห้านาที ประธานเซียว ฉันขอเตือนนายว่า นายกล่าวอำลาโบนัสสามสิบล้านหยวนของปีนี้ได้เลย”


 


 


เสียงคำรามดังก้องห้องทำงานเฉียวเหลียง “เฉียวเหลียง!”


 


 


เฉียวเหลียงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองดูเซียวจิ่งด้วยรอยยิ้มบางๆ ส่งเสียงเป็นเชิงถาม “หือ”


 


 


เซียวจิ่งโน้มตัวลงเท้าโต๊ะ ยิ้มหวานด้วยท่าทางประจบเต็มที่ พร้อมกับกล่าวว่า “ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดจริงๆ ฉันไม่ควรหัวเราะเยาะนาย ฉันควรช่วยนายสิ อย่าหักโบนัสฉันเลยนะ อยากให้ฉันช่วยอะไรนายบอกฉันได้เลย! ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ยอมให้คนอื่นมาเข้าใกล้น้องสาวฉันเด็ดขาด รวมทั้งหลิวเฉิงอวี่ด้วย! ฉันจะเตะเขาให้กระเด็นไปถึงแอฟริกาเลย ถ้าเขาบังอาจมาเข้าใกล้น้องสาวฉัน! ขอโบนัสให้ฉันคืนเถอะนะ”


 


 


“ไม่ได้ ฉันบอกให้พนักงานจัดการไปแล้ว ถึงฉันจะเป็นเจ้านาย แต่ก็ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎระเบียบได้” เฉียวเหลียงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


เซียวจิ่งใกล้จะร้องไห้อยู่แล้วเมื่อเฉียวเหลียงกล่าวขึ้นมาอีกในทันทีว่า “แต่ฉันให้รางวัลพิเศษสามสิบล้านหยวนแก่นายได้ นายจะเอาไหม”


 


 


ดวงตาเซียวจิ่งเปล่งประกายขึ้นตามคำพูดเฉียวเหลียง เขาถามว่า “ต้องทำยังไง ฉันถึงจะได้”


 


 


“ฉันอยากดื่มน้ำชากับซีซีบ่ายวันนี้” เฉียวเหลียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายช่วยจัดการเรื่องนี้ทางซีซี ได้ไหม”


 


 


เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง “ง่ายมาก”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้ารับ “ถ้านายจัดการเรื่องนี้ให้ฉันสำเร็จ ฉันจะให้เงินนายสามสิบล้านหยวน…”


 


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบ เซียวจิ่งก็ตะโกนว่า “ตกลง!”


 


 


เฉียวเหลียงแอบยิ้ม ขณะอ่านเอกสารในมือต่อไปเขาก็โยนแฟ้มปึกหนึ่งลงบนโต๊ะให้เซียวจิ่ง พร้อมกับกล่าวว่า “ทำงานนี้ให้เสร็จก่อน”


 


 


เซียวจิ่งเปิดแฟ้มอ่านไปหลายหน้า แล้วหรี่ตาลงถามเฉียวเหลียง “สุดท้ายแล้วนายก็จะกำจัดคนพวกนี้ออกไปหรือ”


 


 


“ถึงเวลาที่ต้องลงมือแล้ว” เฉียวเหลียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่แตะต้องพวกเขาเพราะไม่อยากให้พวกเขากวนใจฉันในตอนนั้น แต่ตอนนี้สถานการณ์แตกต่างกัน ถึงเวลาแล้ว”


 


 


เซียวจิ่งไม่พูดอะไร ใช่… ก่อนหน้านี้จิตใจเขาอยู่ที่ถังซี เขาจึงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะจัดการกับแมลงเม่าพวกนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าถังซียังมีชีวิตอยู่และรักเขามาก เขาจึงมีเวลาและมีพลังที่จะจัดการกับคนเหล่านั้น


 


 


ขณะที่เซียวจิ่งกำลังจะเดินออกจากห้องทำงานพร้อมกับแฟ้มเหล่านั้น เฉียวเหลียงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ฉันจะคิดบัญชีพวกเขาครั้งนี้ครั้งเดียว เป็นครั้งสุดท้าย เฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปไม่ต้องการหมาป่าลอบกัด ในเมื่อพวกเขาจงรักภักดีต่อคนคนนั้นเหลือเกิน ก็ควรปล่อยให้คนคนนั้นให้อาหารพวกเขา”


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้าเดินออกไป และปิดประตู


 


 


เฉียวเหลียงลูบหัวคิ้ว หลับตาลง แล้วลืมตาอ่านเอกสารต่อไป


 


 


หลังจากนั้นไม่นานอาห้าก็เข้ามา เห็นเฉียวเหลียงกำลังยุ่งอยู่กับงานไม่วางมือ เขาก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “นายน้อย ได้โปรดพักผ่อนบ้างเถอะครับ นายน้อยอดนอนติดๆ กันมานานแล้วนะครับ”


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงคำรามเบาๆ แต่ไม่ขยับเขยื้อน เวลาที่เขาล้มตัวลงนอนลงบนเตียงแล้วนอนไม่หลับ เขารู้สึกว่าน่าจะลุกขึ้นทำงานจะดีกว่า


 


 


อาห้ากล่าวด้วยความสงสารว่า “นายน้อยครับ จะอดนอนอยู่แบบนี้ตลอดเวลาไม่ได้นะครับ”


 


 


เฉียวเหลียงคำรามเบาๆ อีกครั้ง “ฉันรู้แล้ว นายมีงานอะไรก็ไปทำ”


 


 


อาห้าถอนหายใจหันหลังกลับ และไปที่ห้องทำงานเซียวจิ่ง ความประหลาดใจฉายแวบผ่านดวงตาเซียวจิ่งเมื่อเขาเห็นอาห้า เขาเลิกคิ้วกล่าวว่า “อาห้า นายดูหล่อขึ้นนะ ตั้งแต่กลับมาจากทะเลแปซิฟิกกับนายน้อยของนาย ดูผิวนายสิ เข้มดีจริงๆ”


 


 


อาห้าเม้มปากแล้วถามว่า “คุณเซียวจิ่งครับ ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหมครับ”


 


 


เซียวจิ่งมองดูอาห้าอย่างระแวดระวัง “ฉันไม่มีเงินให้ยืมนะ นายน้อยของนายเพิ่งหักโบนัสฉันสามสิบล้านหยวน ฉันหมดตัวแล้ว…” และดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็ยังเป็นหนี้น้องสาวสุดหวงของเขาอยู่ด้วย!


 


 


โอ! เขาช่างน่าสงสาร!


 


 


อาห้าหน้าตาบูดบึ้งและกล่าวอย่างจริงจังที่สุด “คุณเซียวจิ่งครับ ผมไม่ได้มาล้อเล่นกับคุณนะครับ นายน้อยไม่ได้นอนมาสิบกว่าวันแล้ว ถ้าเขายังไม่นอนอีก เขาอาจตายได้ทุกนาทีนะครับ คุณก็รู้ว่าเขาไม่ฟังพวกเราหรอก คุณช่วยพูดโน้มน้าวให้เขานอนหน่อยได้ไหมครับ” 

 

 


ตอนที่ 122 เซียวจิ่งโกรธจัด

 

ปฏิกิริยาตอบสนองของเซียวจิ่งต่อคำพูดของอาห้าคือพรวดพราดลุกขึ้นในทันที และโยนแฟ้มกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาจ้องหน้าอาห้าด้วยความตกใจ ขณะถามว่า “เขาไม่ได้นอนมาสิบกว่าวันหรือ เกิดอะไรขึ้นกับเขา”


 


 


คนปกติคงไม่สามารถลุกขึ้นเดินไปเดินมาได้อย่างนี้ และสติต้องเลื่อนลอย ถ้าอดนอนสักสามวัน แต่นี่เฉียวเหลียงไม่ได้นอนนานสิบกว่าวัน เขาอยากตายหรือไง


 


 


“นายน้อยนอนประมาณวันละสามชั่วโมงทุกวันตอนที่เราอยู่บนเกาะ เพราะเขากังวลเรื่องคุณถังครับ เขาออกค้นหาเธอกับพวกเรา เพราะฉะนั้นบางครั้งเขาก็นอนน้อยกว่าสามชั่วโมง และแค่งีบหลับ…” อาห้าดูท่าทางวิตกกังวลขณะพูด “ที่ลองบีชยิ่งแย่ลงไปอีกครับ เขาไม่ได้นอนเลย เขามีแต่ภาพหลอนตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนอยู่บนเตียงเขาก็นอนไม่หลับ…


 


 


…เราแอบใส่ยานอนหลับลงไปในน้ำที่เขาดื่ม แต่ยาทำอะไรนายน้อยไม่ได้เลย” อาห้าดูท่าทางเครียดจัดขณะมองหน้าเซียวจิ่ง “นายน้อยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่เขารับมือกับลู่กวงสยงเมื่อห้าปีที่แล้ว ผมเป็นห่วงจริงๆ ว่าร่างกายเขาอาจพังได้ครับ”


 


 


“ร่างกายเขาพังมานานแล้ว!” เซียวจิ่งออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่น่าแปลกใจที่เฉียวเหลียงมาทำงานทันทีหลังจากเดินทางมาบนเครื่องบินทั้งคืน ก็เพราะเขาไม่ยอมหลับยอมนอนนี่เอง ถ้าเขาทำอย่างนี้ต่อไป เขาจะตายทันทีเมื่อร่างกายเขาถึงขีดสุด!


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้เซียวจิ่งก็เร่งฝีเท้า เขาผลักประตูห้องทำงานเฉียวเหลียงเข้าไป เฉียวเหลียงเงยหน้าขึ้นมองเขา ขมวดคิ้วถามเสียงเรียบ “นายอ่านเอกสารเสร็จแล้วหรือ”


 


 


เซียวจิ่งเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับกล่าวขึ้นตรงๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ฉันเกรงว่านายอาจตายได้ทุกนาที ก่อนที่ฉันจะอ่านเอกสารเสร็จ!” เฉียวเหลียงไม่พูดอะไร เซียวจิ่งจ้องหน้าเขา แล้วออกคำสั่ง “ไปนอน!”


 


 


เฉียวเหลียงไม่สนใจการเร่งเร้า ยังคงอ่านเอกสารต่อไปต่อหน้าเขา “ฉันนอนไม่หลับ”


 


 


เซียวจิ่งมองเฉียวเหลียงอย่างพิจารณา ขมวดคิ้วแบบไม่รู้จะทำอย่างไร “นายไม่อยากนอน หรือนอนไม่หลับ”


 


 


เฉียวเหลียงวางปากกาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่ง สีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “ฉันไม่อยากนอน และนอนไม่หลับด้วย”


 


 


เซียวจิ่งหยุดพูด เมื่อไม่อยากนอนเขาก็ต้องนอนไม่หลับเป็นธรรมดา แม้จะเข้านอนแล้วก็ตาม แต่ทำไมเฉียวเหลียงถึงนอนไม่หลับ เป็นเพราะเขากลัวว่าถังซีจะหายไปเมื่อเขาตื่นขึ้นมาใช่ไหม


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้เซียวจิ่งก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับเฉียวเหลียงขึ้นมาอีก ถ้าถังซีไม่ได้กลายเป็นเซียวโหรว เขาคงได้เข้าร่วมพิธีรำลึกถึงเฉียวเหลียงในอีกไม่กี่วันนี้ใช่ไหม


 


 


“เป็นเพราะถังซีหรือ” เซียวจิ่งถาม มองเฉียวเหลียงอย่างพิจารณา “ตอนนี้นายก็รู้แล้วว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และจะไม่จากไปไหน เพราะฉะนั้นนายก็นอนหลับได้อย่างสบายใจแล้ว”


 


 


“แต่นั่นยังไม่ใช่” เฉียวเหลียงมองหน้าเซียวจิ่ง ก่อนจะหยิบกล่องน้ำแข็งกล่องเล็กๆ ออกมาจากลิ้นชัก แล้วกล่าวเสียงแหบห้าว “นี่คือนิ้วของเธอ ถึงแม้เธอจะยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอไม่ใช่คนเดิมอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว เป็นเพราะฉัน เธอถึงต้องมาเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าแบบนี้ เธอเหลือเพียงแค่นิ้วนิ้วเดียว”


 


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย!” เซียวจิ่งร้องออกมา “ไม่มีใครคาดคิดว่าเธอจะประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก นี่เป็นแค่อุบัติเหตุ!”


 


 


“ไม่ใช่อุบัติเหตุ!” เฉียวเหลียงตอบอย่างจริงจัง “นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ มีการวางแผนอย่างรอบคอบ ฉันให้คนของฉันตรวจสอบแล้ว! มีคนแอบเข้าไปทำอะไรบางอย่างกับถังน้ำมันและเครื่องยนต์ของเครื่องบิน ทำให้เครื่องบินขัดข้อง ฉันไม่ได้ดูแลปกป้องซีซีให้ดี ทุกครั้งที่ฉันหลับตาลง ฉันเห็นร่างกายเธอแหลกเป็นเสี่ยงๆ” จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำรามเบาๆ “ฉันจะนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ยังไง กับภาพนั้นในใจฉัน!”


 


 


เซียวจิ่งตัวแข็ง อึ้งมองเฉียวเหลียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เธอแค่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาภายนอก นายไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ไปนอนเถอะ เมื่อตื่นขึ้นมานายจะพบว่าโลกนี้สวยงามมากแค่ไหน…


 


 


…นายมีถังซีอยู่เคียงข้าง และมีพวกเราอยู่เคียงข้างนายด้วย”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเซียวจิ่งที่กำลงพยายามให้กำลังใจเขาด้วยสายตาลึกล้ำ และยิ้มขณะตอบว่า “นายกลัวว่าฉันจะตายหรือ” แม้ใบหน้าจะยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาดูเศร้ามาก


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ!” เซียวจิ่งคำราม “ฉันกลัวว่านายจะตาย! ไปเลย ไปนอน!”


 


 


“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะไม่ตายเร็วๆ นี้” เฉียวเหลียงก้มศีรษะลงจัดการกับเอกสารต่อไป เซียวจิ่งโมโหมาก เขากระแทกประตูและจากไป เมื่อได้ยินเสียงกระแทกเฉียวเหลียงก็เงยหน้าขึ้นมองประตู ก่อนจะเรียกเลขานุการ พร้อมกับทำงานต่อไป “ขอกาแฟให้ฉันถ้วยหนึ่ง”


 


 


เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ผู้ที่ปรากฏตัวไม่ใช่เลขานุการ แต่เป็นเซียวจิ่งซึ่งเพิ่งจากไปด้วยความโกรธ เฉียวเหลียงรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย และขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไปทำงาน ตอนนี้ฉันยุ่งอยู่”


 


 


เซียวจิ่งไม่สนใจคำพูดเขา ตรงเข้ามานั่งตรงกันข้ามเขา เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว บรรยากาศรอบตัวตึงเขม็งเมื่อเขากล่าวว่า “ฉันบอกให้ไปทำงาน อย่ารบกวนฉัน!”


 


 


บรรยากาศอันตึงเครียดทำให้เลขานุการซึ่งยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับถ้วยกาแฟ ไม่กล้าก้าวเข้าไปในห้อง


 


 


เซียวจิ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับไขว่ห้างจ้องมองเฉียวเหลียงและกล่าวว่า “ถ้านายยอมนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนี้ มองมาที่ฉันครึ่งชั่วโมงโดยไม่ทำอะไรเลย ฉันจะกลับไปทำงานทันที”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเซียวจิ่งอย่างงุนงง ก่อนจะถอนหายใจส่งเสียงดังและกล่าวว่า “ไม่” จากนั้นเขาก็อ่านเอกสารบนโต๊ะต่อไป


 


 


เซียวจิ่งเฝ้ามองนาฬิกาปาเต็ก ฟิลิปป์ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ ไม่สนใจสายตาจ้องเขม็งอย่างดุดันของเฉียวเหลียง ในที่สุดเฉียวเหลียงก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงเรียกอาห้า เมื่ออาห้าเข้ามาเขาก็ชี้ไปที่เซียวจิ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “โยนเขาออกไป”


 


 


เซียวจิ่งโกรธจัด “เฉียวเหลียง ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อสิ่งที่ดีต่อตัวนายเองนะ นายมันก็แค่คนขี้ขลาดที่ไม่กล้านอนหลับเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียว แล้วนายจะทำอะไรได้ในโลกนี้!” เซียวจิ่งดิ้นรนต่อสู้อย่างหนักขณะถูกลากออกไปข้างนอกโดยอาห้า พร้อมกับด่าว่าเฉียวเหลียง “มีใครที่นายกล้าทำกับเขาแบบนี้ นอกจากฉัน นายกล้าทำแบบนี้กับถังซีไหมล่ะ!”


 


 


เฉียวเหลียงผลุดลุกขึ้นทันที มองหน้าอาห้าด้วยสายตาเยือกเย็น ฝ่ายหลังตอบรับด้วยการปล่อยตัวเซียวจิ่ง และออกไปจากห้องทำงานทันที เฉียวเหลียงเดินเข้าไปหาเซียวจิ่งทีละก้าว ทั้งคู่สูงร้อยแปดสิบแปดเซนติเมตรเท่ากัน แม้ว่ารังสีอำมหิตที่ปล่อยออกมาจากเฉียวเหลียงจะรุนแรงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเซียวจิ่ง แต่ฝ่ายหลังก็ยังจ้องมองเฉียวเหลียงอย่างท้าทาย และกล่าวเสียงดังลั่น “ทำไม นายจะทำอะไรฉัน อยากชกกับฉันหรือไง!”


 


 


“เซียวจิ่ง นายควรกลับไปทำงานในขณะที่ฉันยังพูดกับนายด้วยความอดทน” น้ำเสียงเฉียวเหลียงทุ้มต่ำขณะเอ่ยออกมา “แทนที่จะเสียเวลากับเรื่องโง่เง่า อย่างการพยายามทำให้ฉันนอนหลับ นายควรกลับไปนั่งคิดหาวิธีจัดการกับคนพวกนั้นแต่ละคนโดยเร็วที่สุด ฉันไม่อยากเห็นคนพวกนั้นอยู่ในเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปอีกต่อไป เข้าใจไหม”


 


 


“แล้วนายล่ะ นายทำอะไรอยู่” เซียวจิ่งหัวเราะเยาะ “นายเกือบจะฆ่าตัวตายเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง แม้แต่ตอนนี้นายก็ยังไม่หยุดทรมานตัวเองเพื่อเธอ แล้วนายมาต้องการให้ฉันทำอย่างอื่นเพื่อความยิ่งใหญ่ของนาย นายคิดว่านายยิ่งใหญ่จริงหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วด้วยความเดือดดาล ขณะโต้ตอบ “พูดอีกครั้งสิ!”


 


 


เซียวจิ่งเริ่มกลัวเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะจี้ใจดำเฉียวเหลียงเข้าให้แล้ว… เขามองดูนาฬิกาโดยคิดในใจว่า ถ้ารถไม่ติด เธอควรมาถึงที่นี่ได้แล้วตอนนี้! 

 

 


ตอนที่ 123 ซีซี ผมกลัว

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง ประตูห้องทำงานเฉียวเหลียงก็ถูกผลักออกอย่างแรงในฉับพลัน ตามมาด้วยเสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา “ฉันมาช้าหรือเปล่า”


 


 


เซียวจิ่งถลาเข้าไปหาราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต เขาเข้าไปกอดถังซีพร้อมกับฟ้องว่า “โหรวโหรว มาถึงสักที รู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้บ้าขนาดไหน เขาไม่ได้นอนมานานสิบกว่าวัน พี่กลัวว่าเขาอาจตายได้ในนาทีใดนาทีหนึ่ง พี่พยายามทำให้เขาหลับ แต่เขาจะชกพี่! พี่เสียใจเหลือเกิน!”


 


 


ถังซีมองหน้าเฉียวเหลียง เห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดเจน ไม่ต้องสงสัยว่าเขาไม่ได้นอนหลับเลย เธอรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเมื่อมองดูเฉียวเหลียง ซึ่งยืนนิ่งจ้องมองเธอไม่วางตาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จากนั้นเธอก็พูดกับเซียวจิ่ง “พี่จิ่ง พี่ช่วยออกไปก่อนได้ไหม ให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง”


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้า กล่าวกับถังซีเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกดดันเขามากนัก แค่ขอให้เขาหลับก็พอ”


 


 


ถังซียิ้ม ขณะคิดว่าบางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เฉียวเหลียงเป็นคนที่ไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้ บางทีเธออาจต้องใช้กับดักน้ำผึ้งทำให้เขาหลับ


 


 


อย่างไรก็ตามเธอก็ยังพยักหน้า กล่าวว่า “ตกลงค่ะ ให้เราอยู่ด้วยกันตามลำพังก่อนนะคะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าน้องสาวยอมช่วย เซียวจิ่งก็ออกไปทำงานได้อย่างอารมณ์ดี ตราบใดที่เจ้านายเขายังไม่ตาย เขาก็ยังคงเบิกบานสำราญใจกับเงินเดือนปึกหนาได้ ทันทีที่โหรวโหรวทำให้ชายหนุ่มหลับ เขาจะรักษาสัญญา พาเธอไปเลือกรถสปอร์ต


 


 


หลังจากเซียวจิ่งออกไป ถังซีก็ก้าวเข้าไปหาเฉียวเหลียง ฝ่ายหลังมองถังซี นิ่วหน้าเล็กน้อย ขณะถังซีก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว เฉียวเหลียงก็ก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว แต่ถังซีก้าวเข้าหาเขาอีก เป็นภาพซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเฉียวเหลียงถอยไปยืนพิงติดโต๊ะทำงาน ไม่สามารถถอยไปได้อีก


 


 


ถังซียิ้ม โอบแขนรอบคอเขา ถามเสียงเบาว่า “คุณคิดว่าคุณกำลังฝันอยู่หรือเปล่า”


 


 


ดวงตาเฉียวเหลียงแดงเรื่อขึ้น เขาจ้องมองถังซีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง แล้วพยักหน้า เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบห้าว “ไม่เหมือนว่าเป็นความจริงเลย”


 


 


ถังซีพูดไม่ออก นึกถึงภาพที่เธอเห็นที่ลองบีช เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เขย่งขึ้นจูบเฉียวเหลียง แล้วถามว่า “ตอนนี้เหมือนจริงหรือยังคะ”


 


 


ริมฝีปากอบอุ่นและนุ่มนวลของเธอสัมผัสเขา เขารู้สึกว่าริมฝีปากนี้อบอุ่น ไม่เยือกเย็น


 


 


เฉียวเหลียงเอื้อมมือไปประคองศีรษะถังซีในทันที แล้วจูบเธออย่างหนักหน่วง แต่ฝ่ายหลังหลบเขา เขามองหน้าถังซีด้วยดวงตาแดงเรื่อ ถังซียิ้ม ก่อนจะโอบกอดเขาและกระซิบข้างหู “ไปนอนก่อนค่ะ เมื่อตื่นขึ้นมาคุณจะได้จูบฉัน”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วขณะตอบ “ผมนอนไม่หลับ”


 


 


“คุณกลัวจะฝันร้ายใช่ไหม” ถังซีรู้สึกอัดอั้นในใจ เธอรู้ว่าเฉียวเหลียงกำลังมีปัญหานอนไม่หลับ แต่ไม่คิดว่าเขาจะนอนไม่หลับเลยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าเขาทำอย่างนี้ต่อไป ร่างกายเขาจะแย่ลงไม่ช้าก็เร็ว


 


 



 


 


ด้านนอกประตู เซียวจิ่งมองดูหน้ากากและหมวกที่ถูกโยนทิ้งไว้ที่พื้น หางตาเขาหรี่ลง เด็กคนนี้ทิ้งขว้างอาวุธของเธอไว้บนพื้นแบบนี้ได้ยังไง สกปรกจะตาย!


 


 


เขาถอนหายใจขณะหยิบหมวกกับหน้ากากขึ้นมา แล้วเดินไปที่ห้องทำงาน


 


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนจะได้เข้าห้องก็มีคนมาขวางเขาไว้ เลขานุการตัวเล็กจ้องหน้าเซียวจิ่งด้วยดวงตาเปล่งประกายแวววาวถามว่า “ประธานเซียวคะ ผู้หญิงที่สวมหน้ากากกับหมวก ที่เข้ามาเมื่อกี้เป็นใครเหรอคะ”


 


 


นี่คือข่าวใหญ่ ท่านประธานผู้มักรักษาระยะห่างจากผู้หญิง มีหญิงสาวมาหา และหลังจากที่เธอเข้าไปในห้อง ประธานเซียวก็ถูกไล่ออกมา! นี่เป็นเรื่องผิดปกติจริงๆ!


 


 


ขณะมองหน้าเลขานุการผู้ตื่นเต้นมากมาย เซียวจิ่งก็กล่าวว่า “คุณคิดมากเกินไป เธอเป็นเพียงนักสะกดจิตชื่อดัง”


 


 


“ทำไมท่านประธานถึงต้องการการสะกดจิตละคะ” เลขานุการถามต่อไป


 


 


เซียวจิ่งจ้องหน้าเลขานุการเขม็ง และกล่าวประชดประชัน “คุณเป็นเลขานุการของท่านประธานเฉียวไม่ใช่หรือ คุณไม่รู้หรอกหรือว่าท่านประธานเฉียวต้องการพัฒนาธุรกิจด้านการแพทย์ หรือคุณไม่รู้จักการสะกดจิตที่เป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้” จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้น และยิ้มเมื่อพูดต่อไป “ผมจะบอกคุณให้นะ ท่านประธานเฉียวกำลังเรียนรู้วิธีสะกดจิต และผมเกรงว่าต่อไปนี้คุณจะไม่สามารถเก็บความลับใดๆ ไว้จากเขาได้ หลังจากที่เขาเชี่ยวชาญการสะกดจิตแล้ว” จากนั้นเขาก็เข้าห้องทำงาน และล็อกประตู ปล่อยเลขานุการไว้ข้างนอก


 


 


เลขานุการตกตะลึง ท่านประธานเฉียวทำงานหนักจริงๆ!


 


 



 


 


ถังซีมองดูเฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาของห้องทำงาน และไม่ยอมนอน เธอถอนหายใจ “เป็นเพราะนิ้วนิ้วนั้นเหรอคะ”


 


 


เฉียวเหลียงตกตะลึงถามว่า “คุณรู้ได้ยังไง”


 


 


ถังซีพาเฉียวเหลียงไปที่ห้องพักผ่อนเล็กๆ ในห้องทำงาน ห้องทำงานเฉียวเหลียงตกแต่งเหมือนห้องทำงานของเธอทุกประการ เธอสังเกตเห็นทันทีที่เข้ามา เธอเกิดความรู้สึกวาบหวามทว่าขมขื่นขึ้นในใจ เขารักเธอมาก แต่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย


 


 


“อาเหลียง คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้ฉันอยู่ในอาการโคม่านานสัปดาห์กว่า” ถังซีพาเฉียวเหลียงไปนั่งบนเตียง ให้เขานอนหนุนตัก นวดศีรษะให้เขาเบาๆ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณรู้ไหมว่าฉันไปอยู่ที่ไหน ในช่วงสัปดาห์นั้น”


 


 


เฉียวเหลียงเงยหน้าขึ้นมอง เธอยิ้มตอบ ลูบดวงตาเขาเบาๆ ให้เขาหลับตาลง แล้วกระซิบ “ทีแรกฉันไปที่มหาสมุทรแปซิฟิก และเห็นคุณหัวใจแตกสลาย จากนั้นฉันก็ไปที่ลองบีช เห็นคุณสิ้นหวัง และจะฆ่าตัวตาย” มือเธอขยับด้วยความนุ่มนวลยิ่งขึ้นเมื่อกล่าวต่อไป “คุณรู้ไหมว่าฉันเศร้าแค่ไหน ตอนที่เห็นคุณเดินลงทะเล ฉันพยายามห้ามคุณ แต่ฉันทำไม่ได้ แต่แล้วท้ายที่สุดฉันก็ทำได้ ฉันไม่รู้ว่าทำไม บางทีพระเจ้าอาจได้ยินคำวิงวอนของฉัน”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น คุณก็อยู่ที่นั่นจริงๆ น่ะสิ” เฉียวเหลียงลืมตาขึ้นมองถังซี จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองถังซี “นั่นคือคุณจริงๆ ใช่ไหม ผมถูกใครบางคนรั้งตัวไว้ที่ชายหาดนั้น และผมเห็นว่าเป็นคุณ นั่นไม่ใช่ภาพหลอนของผมใช่ไหม”


 


 


ถังซีพยักหน้า นัยน์ตาแดงเรื่อ “ใช่ค่ะ นั่นคือฉัน คุณไม่ได้เห็นภาพหลอน ฉันอยู่กับคุณจริงๆ คุณรู้ไหมว่าฉันเศร้าแค่ไหน และฉันเกลียดตัวเองมากแค่ไหนเมื่อเห็นคุณทรมานตัวเอง ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่อยู่เคียงข้างคุณเมื่อคุณต้องการฉันมากที่สุด อาเหลียง จากนี้ไปฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคุณต้องดูแลตัวเองให้ดี ตกลงไหมคะ”


 


 


เฉียวเหลียงดึงถังซีเข้ามาในอ้อมแขน แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แต่ผมกลัวว่าคุณจะหายไปเมื่อผมลืมตาขึ้นมา ครั้งหนึ่งผมเคยฝันถึงคุณ คุณอยู่กับผม เรามีความสุขกันมากในความฝัน แต่ผมกลัวว่าเมื่อผมลืมตาขึ้น ผมจะได้ยินใครคนหนึ่งบอกผมว่า พวกเขาเจอนิ้วของคุณ ผมรับไม่ได้ ซีซีผมกลัว”


 


 


น้ำเสียงเขาฟังดูสิ้นหวังอย่างที่สุด ถังซีไม่อยากเชื่อว่าเฉียวเหลียงจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนไหว เปราะบาง และน่าสงสารได้ขนาดนี้


 


 


“ฉันจะอยู่กับคุณตลอดเวลาค่ะ ฉันสัญญาว่าเมื่อคุณลืมตาขึ้นมา คนแรกที่คุณเห็นจะเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันจากคุณไปไหน ได้โปรดนอนหลับก่อนได้ไหมคะ” ถังซีลูบหลังเฉียวเหลียงเบาๆ “จากนี้ไป ไม่ว่าจะในความฝันหรือเมื่อคุณตื่นขึ้นมา ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ” 

 

 


ตอนที่ 124 ฉันตีตราจองเฉียวเหลียงไว้แล้ว

 

เฉียวเหลียงหลับตาลง ถังซีนวดศีรษะให้เขาเบาๆ แต่เฉียวเหลียงก็ยังนอนหลับไม่สนิท เขาขมวดคิ้วราวกับมองเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวในความฝัน ทันใดนั้นเขาก็ลืมตามองถังซี จับมือเธอไว้แน่น


 


 


ถังซีมองเขาด้วยความรู้สึกเศร้าและกล่าวอย่างขมขื่น “ฉันอยู่นี่ค่ะ ฉันจะไม่ไปไหน หลับให้สนิทนะคะ เดี๋ยวคุณตื่นขึ้นมาเราจะไปดื่มน้ำชาตอนบ่ายกัน หรือจะไปเยี่ยมคุณป้าเฉียวก็ได้ ไปดื่มน้ำชากับท่าน สนามหญ้าบ้านคุณสวยมาก เหมาะมากเลยที่จะดื่มน้ำชา เราไปดื่มกันที่นั่นก็ได้”


 


 


เฉียวเหลียงส่ายศีรษะ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง


 


 


ถังซีนอนลงกับเขาพร้อมกับฮัมเพลง ‘My Darling’ เบาๆ ให้เขาเอนศีรษะพิงเธอ เฉียวเหลียงจับมือเธอไว้ข้างหนึ่ง ขณะที่มือเธออีกข้างลูบหลังเขาเบาๆ


 


 


คราวนี้เฉียวเหลียงไม่ขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหลังจากหลับตาเขาก็ลืมตาขึ้นมามองเธออีก ถังซีรู้ว่าเขายังไม่อยากนอน แต่เขาทำแบบนี้ไม่ได้ เขาต้องนอน เธอจึงเอามือปิดตาเขาแล้วบอกว่า “นอนหลับก่อนเถอะนะคะ ถ้าคุณนอนหลับฉันจะอยู่ที่นี่ตลอดเวลาจนกว่าคุณจะตื่น แต่ถ้าคุณไม่หลับฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


เฉียวเหลียงกระชับมือที่จับมือเธอไว้แน่น น้ำเสียงเขาเครียดมากเมื่อตอบว่า “ไม่ ผมไม่ยอมให้คุณไปไหน”


 


 


“ตกลงค่ะ นอนหลับซะ ฉันจะอยู่กับคุณตอนคุณหลับ” ถังซีกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “ฉันจะเป็นห่วงคุณมากถ้าคุณยังนอนไม่หลับอีก ถ้าฉันไม่ได้นอนมานานสิบวัน คุณจะไม่เป็นห่วงฉันเลยเหรอ”


 


 


เฉียวเหลียงพูดไม่ออกได้แต่จ้องมองเธอ ถังซีจ้องเขากลับ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว เฉียวเหลียงก็ยังไม่ยอมหลับตา ถังซีโน้มตัวลงกอดเขาไว้แน่น “ขอร้องนะคะ” เธออ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “ฉันจะรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าคุณไม่ได้นอนหลับพักผ่อน คุณบอกไม่ใช่เหรอคะ ว่าจะปกป้องดูแลฉันตลอดเวลา ถ้าคุณตายไป ใครจะปกป้องดูแลฉันล่ะ อาเหลียง คุณอยากให้ฉันอยู่โดยไม่มีคุณ หลังจากที่ฉันได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในที่สุด อย่างนั้นหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เขากอดถังซีแน่นและหลับตาลง ถังซียิ้ม กอดเขาแน่น และนอนอยู่ในอ้อมแขนเขา


 


 


เธอยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และควรนอนพักอยู่บนเตียงเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ แต่เพราะเป็นห่วงเฉียวเหลียง เมื่อวานนี้เธอจึงยืนยันว่าจะออกจากโรงพยาบาล โดยไม่คาดคิดว่าจะไม่สามารถเปิดระบบได้ หลังจากนั้นเฮ่อหว่านอีก็ชวนเธอกับพี่ๆ ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แล้วเธอก็เมาเล็กน้อย หลังจากกลับถึงบ้านเมื่อเช้านี้เธอเหนื่อยมากจนหลับไปทันที แต่แล้วเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเซียวจิ่ง บอกว่าเฉียวเหลียงไม่ได้นอนมาสิบกว่าวัน


 


 


เฉียวเหลียงลืมตาขึ้นมองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขน เขาก้มลงประทับจูบที่หน้าผากเธอ และค่อยๆ หลับตาลงขณะพึมพำว่า “ผมจะอยู่เคียงข้างคุณและปกป้องคุณตลอดไป”


 


 


หญิงสาวที่หลับอยู่มีรอยยิ้มบางๆ ขณะซุกหน้ากับอกเขา


 


 


เฉียวเหลียงเอื้อมมือไปหยิบรีโมตคอนโทรลบนโต๊ะข้างเตียงแล้วกดปุ่ม กระจกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีดำในทันที ห้องทั้งห้องมืดลง เขากดรีโมตคอนโทรลอีกครั้ง อากาศในห้องค่อยๆ คลายความร้อน และเริ่มเย็นขึ้น


 


 


เมื่อถังซีตื่นขึ้นหลังจากนั้น เธอเห็นว่าเฉียวเหลียงนอนหลับสนิทและกอดเธอไว้ ทันใดนั้นเสียงเคาะก็ดังขึ้นที่ประตูห้องพักผ่อนในห้องทำงาน เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียง ถังซีตบหลังเขาเบาๆ และกระซิบว่า “ไม่มีอะไรค่ะ หลับต่อเถอะนะคะ”


 


 


เฉียวเหลียงหลับไปอีกครั้งขณะจับมือถังซีไว้


 


 


มืออีกข้างของถังซีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้บ่ายสามโมงแล้ว เธออยากให้เฉียวเหลียงนอนหลับสนิทในเวลากลางคืน ถ้านอนนานเกินไปตอนกลางวัน เขาอาจนอนไม่หลับตอนกลางคืน มีเสียงเคาะประตูห้องพักผ่อนดังขึ้นอีก ถังซีขมวดคิ้ว มองดูเฉียวเหลียงก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตู


 


 


เมื่อประตูเปิดออก น้ำเสียงแสดงความห่วงใยก็ดังขึ้น “เฉียวเหลียง คุณ…” หญิงสาวคนหนึ่งมองมาที่ถังซีด้วยความตกใจ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เธอเป็นใคร”


 


 


ถังซีมองบุคคลตรงหน้าและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอเลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “มีอะไรหรือ”


 


 


“ฉันอยากพบเฉียวเหลียง เขาอยู่ที่ไหน” ฉินซินหยิ่งมองเข้าไปในห้องพักผ่อน


 


 


ถังซีขมวดคิ้วและปิดประตูห้องพักผ่อน น้ำเสียงเธอเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อเอ่ยถามอีกครั้ง “นี่คุณ ใครอนุญาตให้คุณเข้ามา”


 


 


ความหงุดหงิดระบายไปทั่วดวงตาฉินซินหยิ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็จ้องมองถังซีด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ขณะย้อนถาม “เธอแอบเข้ามาทำอะไรในห้องทำงานเฉียวเหลียง เธอไม่รู้หรือว่าเธอไม่ควรมาอยู่ที่นี่”


 


 


เมื่อเห็นว่าฉินซินหยิ่งแสดงออกต่อเธออย่างโจ่งแจ้งในความเป็นเจ้าเฉียวเหลียง ถังซีก็ประหลาดใจว่าก่อนหน้านี้เธอตาบอดมาตลอดใช่ไหม เธอยอมให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ข้างตัวเธอ ปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้หลงใหลใฝ่ฝันในตัวเฉียวเหลียงอยู่ทุกคืนทุกวัน!


 


 


ถังซีเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางสบายๆ มองหน้าฉินซินหยิ่งด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และกล่าวว่า “ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่? เธอหมายความว่าเธอควรอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ เฮ้… นี่เธอ เพิ่งสร่างเมาหรือเปล่า”


 


 


“คุณหนูเซียวครับ…” ในขณะนั้นนั่นเองอาห้าก็เข้ามา เมื่อเห็นฉินซินหยิ่งอยู่ในห้องเขาก็ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา “คุณฉิน คุณมาที่นี่ทำไม ผมจำได้ว่าท่านประธานบอกคุณแล้วว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ!”


 


 


“ไม่ต้อนรับหรือ” ฉินซินหยิ่งทำเสียงเย้ยหยัน ส่งเอกสารการจ้างงานให้อาห้าและกล่าวต่อไป “นี่คือจดหมายการจ้างงานจากแผนกออกแบบเครื่องแต่งกาย ของเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป ฉันมาที่นี่เพื่อมาทำงาน”


 


 


อาห้ามองฉินซินหยิ่งพร้อมกับขมวดคิ้วอีก “คุณฉิน นี่น่าจะเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากฝ่ายบุคคล เราจะรีบแจ้งฝ่ายบุคคลเพื่อยกเลิกการจ้างงานเดี๋ยวนี้ กรุณาออกไปจากที่นี่”


 


 


“ฉันเป็นเพื่อนกับท่านประธานของคุณ! คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง!” ฉินซินหยิ่งคิดไม่ถึงว่าอาห้าจะไม่ไว้หน้าเธอต่อหน้าผู้หญิงแปลกหน้า ใบหน้าเธอเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ขณะชี้ไปที่ถังซีและถามว่า “เธอเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในห้องทำงานเฉียวเหลียง!”


 


 


ถังซีเลิกคิ้วแล้วหันไปมองอาห้า อาห้าเคาะจมูกตัวเองเบาๆ ขณะมองถังซีและคิดในใจ นั่นสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอเป็นใคร คุณเซียวโหรว หรืออาจเป็นคุณถังซี หรืออาจไม่ใช่ทั้งสองคน…


 


 


“นั่นไม่ใช่ธุระของคุณ” อาห้าตอบ หลังจากเถียงกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง “เนื่องจากคุณเป็นลูกจ้างของแผนกออกแบบ กรุณาไปที่แผนกออกแบบ ตอนนี้ท่านประธานกำลังพักผ่อน ไม่ต้องการถูกรบกวน กรุณาออกไปจากห้องนี้”


 


 


เมื่อฉินซินหยิ่งได้ยินคำว่า ‘พักผ่อน’ เธอก็นึกออกว่าตอนที่ผู้หญิงคนนี้เดินออกมาจากห้องพักผ่อน ผมเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทันใดนั้นดวงตาฉินซินหยิ่งก็จ้องเขม็งอย่างน่ากลัว เธอหรี่ตามองถังซี และถามอย่างเยือกเย็น “เธอรู้ไหมว่าผู้ชายที่อยู่ข้างในนั้นเป็นแฟนใคร”


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว มองฉินซินหยิ่งด้วยรอยยิ้มพร้อมกับถามกลับ “โอ… เขาเป็นแฟนใครเหรอ”


 


 


“เขาเป็นแฟนถังซี เจ้าหญิงแห่งเอ็มไพร์กรุป เธอคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอ ถ้าเธอแย่งแฟนถังซี” ฉินซินหยิ่งยังคงกล่าวต่อไปอย่างเย็นชา “ฉันขอแนะนำให้เธอตั้งสติและไปจากเขาโดยเร็วที่สุด ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เธอจะแตะต้องได้!”


 


 


ถังซียิ้มเยาะ เอนกายลงบนโซฟา เงยหน้ามองฉินซินหยิ่งด้วยสายตาเหยียดหยาม และถามว่า “ฉันแตะต้องเขาไม่ได้ เธอหมายความว่าเธอแตะต้องเขาได้เหรอ”


 


 


ฉินซินหยิ่งหน้าชา ตัวแข็ง ถังซียิ้มขณะกล่าวต่อไป “นี่เธอ ฉันเห็นความเป็นเจ้าของเขาในสายตาเธอนะ น่าเสียดายที่ฉันแตะต้องเฉียวเหลียงไปแล้ว และตีตราจองไว้แล้วว่าเขาเป็นของฉัน ถ้าใครอยากได้เขา คนคนนั้นต้องถามฉันก่อน ว่าฉันจะยอมไหม” 

 

 


ตอนที่ 125 รักเพียงเธอ

 

“เธอ…” ฉินซินหยิ่งหน้าบึ้ง แล้วเลิกคิ้วพยายามระงับความโกรธ เธอยิ้ม มองถังซีขณะกล่าวว่า “เร็วเกินไปไหม ที่เธอจะพูดแบบนี้ ยังไม่แน่เลยว่าใครจะเป็นคนหัวเราะคนสุดท้าย”


 


 


ถังซียักไหล่ แต่ในนาทีนั้นนั่นเองน้ำเสียงเย็นชาของเฉียวเหลียงก็ดังออกมาจากห้องพักผ่อน “ถึงอย่างไรคุณก็จะไม่ใช่คนหัวเราะคนสุดท้ายแน่นอน”


 


 


เมื่ออาห้าได้ยินเสียงทรงอำนาจของเจ้านาย เขาเกือบจะกระโดดตัวลอย เขายกนิ้วให้เจ้านาย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ชอบคุณฉินคนนี้เลย


 


 


ถังซีหันไปมอง เธอเห็นเฉียวเหลียงซึ่งในที่สุดก็หลับลงได้ แต่ถูกฉินซินหยิ่งปลุกให้ตื่น กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่หน้าห้องพักผ่อน


 


 


ฉินซินหยิ่งหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอไม่คิดว่าเฉียวเหลียงจะอยู่ในห้องพักผ่อนจริงๆ เฉียวเหลียงไม่ชอบให้ใครใกล้ชิดเขา ยกเว้นคนที่สนิทจริงๆ เขาไม่เคยยอมให้ใครรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเขาเด็ดขาด เท่าที่เธอรู้บุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถนอนเคียงข้างเขาได้คือถังซี แต่เธอไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว


 


 


ดวงตาเธอเต็มไปด้วยน้ำตาขณะมองหน้าเฉียวเหลียง เธอจ้องมองเฉียวเหลียงด้วยท่าทางน่าสงสาร และพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “เฉียวเหลียงฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ เรายังไม่รู้เลยว่าเสี่ยวซียังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว แต่คุณกับผู้หญิงคนนี้… ในห้องทำงาน” แทนที่จะพูดต่อไป เธอใช้เพียงสายตากล่าวหาเฉียวเหลียง


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว นั่งเท้าคางมองฉินซินหยิ่ง เธอไม่เคยรู้เลยว่าฉินซินหยิ่งนั้นเก่งมากในเรื่องการแสดง เธอไม่เคยตระหนักเลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ว่า ผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นนักแสดงที่ได้รับรางวัลออสการ์ได้ในชีวิตจริง ทำไมผู้หญิงคนนี้ช่างเสแสร้งว่าไม่รู้สึกอะไรต่อเฉียวเหลียงได้ขนาดนี้ต่อหน้าเธอ


 


 


เฉียวเหลียงมองฉินซินหยิ่งด้วยสายตาเยือกเย็น และกล่าวอย่างเฉยเมย “ผมจะเป็นคนแบบไหน ก็ไม่ใช่ธุระอะไรของคุณ”


 


 


จากนั้นสายตาเขาก็อ่อนโยนลงเมื่อมองถังซี ซึ่งกวักมือเรียกเขาและกล่าวว่า “มานั่งนี่สิคะ คุณรู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เดินไปนั่งข้างๆ เธอ และจับผมเธอให้เข้าที่อย่างเบามือ โดยไม่สนใจฉินซินหยิ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยสิ้นเชิง “ผมนอนไม่หลับหรอก ถ้าคุณไม่นอนอยู่ข้างๆ ผม”


 


 


ถังซียิ้ม และเมินเฉยต่อการปรากฏตัวของฉินซินหยิ่งเช่นกัน เธอกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพยายามนอนให้หลับแล้วล่ะค่ะ เราออกไปดื่มน้ำชากันดีกว่า แล้วคืนนี้ค่อยเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาทำงานได้อย่างกระปรี้กระเปร่า”


 


 


ถังซีสาบานได้ว่านี่เป็นน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดที่เธอพูดกับเฉียวเหลียง ตั้งแต่คบกันมา


 


 


เฉียวเหลียงมองตาถังซีอย่างลึกซึ้ง แม้เธอจะพูดด้วยถ้อยคำธรรมดาที่สุด แต่เขาเห็นได้ถึงความอ่อนโยนมากมายในสายตาเธอ เขาพยักหน้าแล้วจับมือเธอขณะถามว่า “คุณอยากทานอาหารค่ำกับผมไหม”


 


 


ถังซีส่ายศีรษะ “ฉันสัญญากับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะกลับไปทานอาหารค่ำที่บ้านค่ะ”


 


 


ฉินซินหยิ่งกำมือแน่นขณะจ้องมองถังซี จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป อาห้ารีบตามเธอไปอย่างรวดเร็ว ถังซีเหลือบเห็นฉินซินหยิ่งเดินออกไป เธอตีเบาๆ ที่มือเฉียวเหลียงซึ่งจับมือเธอไว้และเล่นนิ้วเธอ พร้อมกับถามว่า “คุณรู้ไหมว่าซินหยิ่งชอบคุณ”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเธอและตอบว่า “ทำไมผมต้องรู้ด้วยล่ะ”


 


 


ถังซีอึ้ง นี่คือแบบที่เขาเป็น หากไม่สนใจใครคนใด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามทำให้เขาประทับใจแค่ไหน เขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย หรือแม้จะรู้สึก เขาก็ยังคงรักษาระยะห่างจากคนคนนั้นไว้นอกโลกของเขา ไม่น่าแปลกใจเลย…


 


 


ถังซีถอนใจยาวแล้วลุกขึ้น “เอาละค่ะ เราออกไปดื่มน้ำชากันเถอะ”


 


 


“รอผมในห้องทำงานสักครู่ ผมมีงานต้องจัดการนิดหน่อยก่อน” เฉียวเหลียงกล่าวอย่างอ่อนโยน ลุกขึ้นทั้งที่ยังจับมือถังซี


 


 


ถังซีมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วบอกว่า “ฉันไม่เข้าใจงานของคุณหรอก” แล้วโบกโทรศัพท์ในมือไปมา กล่าวต่อไปว่า “ฉันจะเล่นเกมรอนะคะ คุณไปทำงานของคุณ ฉันจะรอคุณครึ่งชั่วโมง”


 


 


เฉียวเหลียงมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง จูบเธอที่หน้าผาก ก่อนจะปล่อยเธออย่างไม่เต็มใจ “ผมจะทำให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมง”


 


 


ถังซีพยักหน้าและเริ่มเล่นเกมบนโทรศัพท์ แต่แล้วเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากเฮ่อหว่านหนิง เขาขอให้เธอมาทดลองบทในวันศุกร์ จากนั้นก็แจ้งให้เธอทราบว่าการถ่ายทำจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ เธอลืมไปเลยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ว่าเธอไม่ได้บอกเฉียวเหลียงเรื่องจะไปถ่ายโฆษณาโทรทัศน์ เธอเงยหน้าขึ้นและบังเอิญสบสายตาเฉียวเหลียง เขาวางปากกาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ ถามว่า “มีอะไรหรือ คุณรู้จักสนิทสนมกับเฮ่อหว่านหนิงหรือ”


 


 


ถังซีไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบว่า “ค่ะ ฉันคิดว่าอย่างนั้น”


 


 


เฉียวเหลียงรู้สึกหึงขึ้นมาเล็กน้อย “เฮ้อ… คุณนี่มีเพื่อนเยอะจริงๆ”


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ ขณะปิดเกม จากนั้นก็เดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะทำงานเฉียวเหลียง เท้าคางจ้องมองเขาและเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องตามติดฉัน ฉันแน่ใจว่าคุณจะมีเพื่อนเยอะแยะเหมือนกัน”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว คิดในใจว่า ‘แล้วนั่นจะดีสำหรับผมหรือ’


 


 


“คุณจะได้อยู่กับฉันตลอดเวลา” ถังซีพูดต่อไปด้วยท่าทางน่ารัก “และฉันก็สวยมาก คุณไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งฉันไปหรือ ถ้าคุณตามติดฉัน คุณจะได้ไล่คนพวกนั้นให้ไปไกลๆ ฉันได้”


 


 


เฉียวเหลียงเคาะศีรษะเธอเบาๆ ด้วยปากกา แล้วกล่าวว่า “ก็จริงนะ แต่งานของผมล่ะ”


 


 


“ทุกคนจำเป็นต้องมีพื้นที่ส่วนตัว ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณ เวลาที่คุณต้องทำงาน และขึ้นอยู่กับเวลาเรียนของฉัน เมื่อฉันต้องไปโรงเรียน ตกลงไหมคะ” เธอรู้ว่าเธอกับเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เธอคือเซียวโหรวที่กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม เนื่องจากเรื่องลูกสาวตัวจริงตัวปลอม หากมีรายงานข่าวว่าเธอกับเฉียวเหลียงเป็นคู่รักกันขึ้นมาอีก เธอไม่รู้ว่าจะทนกับการโจมตีของสื่อได้หรือเปล่า


 


 


เฉียวเหลียงรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในใจถังซี แต่เขาไม่พูดถึง เขาเอื้อมมือไปประคองใบหน้าเธอ มองเธอด้วยรอยยิ้มขณะกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง เราจะได้เจอกันทุกวันแน่นอน”


 


 


หัวใจถังซีหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขา เธอถามว่า “คุณจะทำอะไรเหรอ”


 


 


เมื่อย้อนกลับไปสมัยเด็กๆ เธอจำได้ว่าเธอเคยทะเลาะกับเขา เธอสาบานว่าจะไม่พูดกับเขาอีก แต่เขาบอกเธอในลักษณะเดียวกับที่กำลังพูดในตอนนี้ว่า ไม่ต้องห่วง เธอจะพูดกับเขาภายในหนึ่งชั่วโมงเรียน


 


 


เธอไม่เชื่อเขาในเวลานั้น ถ้าเธอตั้งใจฟังครูในชั้นเรียนและไม่หันไปมองเขา เธอจะพูดกับเขาได้อย่างไร เพราะเขานั่งห่างจากเธอมาก อย่างไรก็ตามเขาแลกเปลี่ยนที่นั่งกับเพื่อนร่วมห้อง และนั่งเท้าคางจ้องมองเธอตลอดเวลา จนกระทั่งเธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อการจ้องมองของเขาได้ เธอส่งสายตาดุดันไปให้เขาและบอกว่า “เลิกมองฉันได้แล้ว!” และเขาก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เมื่อนึกถึงภาพนั้น ถังซีอดยิ้มไม่ได้ เขาน่ารักจริงๆ ในเวลานั้น


 


 


“อีกไม่นานคุณก็จะรู้” เฉียวเหลียงปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินมาดึงเธอลุกขึ้น “ไปดื่มน้ำชากัน”


 


 


ถังซีจับมือเขาด้วยรอยยิ้มขณะพูดเล่นว่า “คุณจะทำแบบที่เคยทำตอนเราอยู่มหาวิทยาลัยอีกเหรอ” ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นกับเธอ และเธอรีบกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “คุณจะไม่ไปเรียนที่โรงเรียนฉันใช่ไหม” จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขณะพูดต่อไป “โอ ได้โปรดอย่าไปนะ เพื่อนร่วมชั้นต้องหัวเราะฉันแน่ๆ ถึงฉันจะเป็นน้องใหม่ แต่ฉันดูเด็กมาก เพื่อนร่วมชั้นจึงไม่รู้อายุที่แท้จริงของฉัน ถ้าคุณไปที่โรงเรียนพวกเขาต้องรู้อายุจริงของฉันแน่ๆ”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าหญิงสาวจอมจินตนาการตรงหน้า และกล่าวอย่างคิดไม่ถึงว่า “นี่คุณคิดอะไรของคุณน่ะ” 

 

 


ตอนที่ 126 เซียวจิ่งผู้เยือกเย็น

 

ถังซีหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ฉันคาดเดาอย่างมีเหตุผลต่างหาก” ทันใดนั้นเธอก็หยุดชะงักและร้องอุทาน “โอ ฉันทิ้งหมวกกับหน้ากากไว้ข้างนอก!”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว มองดูหญิงสาวแสนสวยตรงหน้าถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องใช้สองอย่างนั้นด้วยล่ะ”


 


 


เป็นเรื่องน่าอายหรือ ที่จะออกไปเที่ยวกับเขา


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วอีกเมื่อคิดเช่นนั้น เขาหยุดและมองเธออย่างจริงจัง “คุณอับอายหรือ ที่จะอยู่กับผม”


 


 


ถังซีทำปากยื่นขณะมองหน้าเฉียวเหลียง พร้อมกับส่ายศีรษะ ตอบว่า “ไม่เลยค่ะ ฉันจะรู้สึกอย่างนั้นได้ยังไง” แต่แล้วเธอก็ลังเล และเหลือบมองเฉียวเหลียงก่อนจะพูดต่อ “คือ ฉันไม่รู้… ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าฉัน บางครั้งใบหน้าฉันชอบเปลี่ยน ตอนนี้ฉันก็เลยไม่กล้าให้คนเห็นหน้าในที่สาธารณะโดยไม่ระมัดระวัง”


 


 


เมื่อเห็นเฉียวเหลียงยังคงทำหน้าบึ้งใส่ ถังซีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอมองหน้าเฉียวเหลียงขณะร้องออกมาเสียงดัง “อย่าบอกนะ ว่าคุณไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยในตัวฉัน!”


 


 


ถ้าเขาไม่สังเกตเห็นจริงๆ เธอจะโกรธมาก! โกรธมาก…มาก!


 


 


เฉียวเหลียงย้อนนึกถึงรูปร่างหน้าตาเธอที่เขาเห็นครั้งแรก แล้วก็ครั้งที่สอง แม้เวลาจะผ่านไปเพียงเดือนเดียวเธอก็สวยขึ้นกว่าตอนที่เขาเห็นเธอที่โรงเรียนมาก เขาลูบศีรษะเธอแล้วตอบว่า “ผมไม่เห็นความแตกต่างเลย ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คุณก็คือซีซีของผมเสมอ”


 


 


ถังซีอยากจะโกรธ แต่ความโกรธทั้งหมดหายไปโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอกอดแขนเขาด้วยความรัก และกระซิบว่า “แต่คนอื่นไม่คิดแบบนี้นี่นา คุณเข้าใจนะ…นะคะ”


 


 


เฉียวเหลียงต้องเห็นด้วยกับคำขอของเธออย่างแน่นอน เขาพยักหน้า บอกให้เธอรออยู่ในห้องทำงานเขาสักครู่ ขณะเขาออกไปหาหมวกกับหน้ากากมาให้เธอ จากนั้นก็เปิดประตูออกไป และเห็นเซียวจิ่งยืนถือหน้ากากกับหมวกอยู่หน้าประตู เซียวจิ่งเลิกคิ้วถามว่า “น้องสาวฉันไปแล้วหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาเรียกถังซีว่าน้องสาว นี่หลังจากที่เขาแต่งงานกับซีซีแล้ว เขาจะต้องเรียกผู้ชายคนนี้ว่าพี่หรือ


 


 


สมองของเฉียวเหลียงเริ่มค้นหาข้อมูลของตระกูลเฉียว ดูว่าเขามีญาติผู้น้องเป็นผู้หญิงบ้างไหม ถ้ามีเขาจะแนะนำน้องสาวคนหนึ่งให้กับเซียวจิ่ง ผู้ชายคนนี้จะได้เรียกเขาว่าพี่ชาย… อย่างไรก็ตามเมื่อนึกดูแล้วพบว่าเขามีญาติผู้น้องเป็นผู้ชายสองคน เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก


 


 


“ยัง นี่หมวกกับหน้ากากของเธอหรือ” เฉียวเหลียงตัดสินใจเลิกคิดถึงเรื่องที่รบกวนจิตใจนี้ แม้ว่าตอนนี้ซีซีจะเป็นน้องสาวของพวกเขา แต่เธอจะเป็นภรรยาเขาหลังจากแต่งงานกับเขาแล้ว และเขาสามารถปฏิเสธ ไม่เรียกเซียวจิ่งว่า ‘พี่ชาย’ ได้เสมอ


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้า กำลังจะเดินเข้าไปในห้องทำงานเฉียวเหลียง พร้อมด้วยหมวกกับหน้ากาก เมื่อเฉียวเหลียงคว้าของทั้งสองอย่างจากมือเขา และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ไปทำงาน เอาแฟ้มพวกนั้นมาส่งให้ฉันแต่เช้าพรุ่งนี้”


 


 


“เฉียวเหลียง!” เซียวจิ่งอุทานพร้อมกับจ้องหน้าเขา “นายจะเผาสะพานหลังจากข้ามไปถึงฝั่งอย่างนี้ได้ยังไง!”


 


 


“นายเป็นได้มากที่สุดแค่ไม้กระดานแผ่นหนึ่งบนสะพานเท่านั้นแหละ” เฉียวเหลียงกล่าวพร้อมกับหัวเราะเยาะ จากนั้นก็เข้าห้องทำงานและปิดประตู


 


 


เซียวจิ่งเบิกตากว้าง เหวี่ยงกำปั้นกระแทกประตูห้องทำงานเฉียวเหลียงหลายครั้ง ก่อนจะหันไปสบถอยู่คนเดียว


 


 


เฉียวเหลียงวางหมวกลงบนศีรษะถังซี และออกไปด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งสองจับมือกันเดินผ่านฝ่ายเลขานุการ บรรดาเลขานุการต่างมองคนทั้งสอง ดวงตาทุกคู่เปล่งประกายด้วยความอยากซุบซิบนินทา ถังซีทนสายตาจ้องมองเหล่านั้นไม่ไหว พยายามดึงมือออก แต่กลับถูกเฉียวเหลียงจับไว้แน่นยิ่งขึ้น ถังซีกระซิบด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย “นี่คุณกำลังทำอะไร คนเยอะแยะมากมายมองเรากันใหญ่แล้ว!”


 


 


เฉียวเหลียงโอบแขนรอบไหล่เธอ ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีใครเห็นหน้าคุณเลย คุณจะห่วงอะไร”


 


 


ถังซีจ้องมองเขา “คุณตั้งใจจะทำแบบนี้ใช่ไหม”


 


 


เซียวจิ่งเคยบอกเธอว่า ในสายตาผู้คนทั่วไปเฉียวเหลียงเป็นคนบ้างาน ไม่ชอบสุงสิงกับใคร หลายคนบอกว่าน่าเสียดาย ที่เขาไม่ใช้หน้าตาอันหล่อเหลาและหุ่นเหมือนนายแบบ รวมทั้งเงินทองและอำนาจที่มีให้เป็นประโยชน์ ถ้าเขาต้องการผู้หญิงคนไหน ผู้หญิงคนนั้นจะตกอยู่ในอ้อมแขนเขาโดยง่าย น่าเสียดายที่เขาไม่ชอบผู้หญิง


 


 


แต่วันนี้เหล่าเลขานุการได้เห็นภาพอันน่าทึ่งนี้…


 


 


เลขานุการหญิงคนหนึ่งรีบเข้าไปในห้องทำงานเซียวจิ่ง และกล่าวว่า “ประธานเซียว คุณบอกว่าผู้หญิงในห้องทำงานท่านประธานเฉียวเป็นนักสะกดจิตไม่ใช่หรือคะ ทำไมเธอกับท่านประธานเฉียวถึงได้…” คำพูดของเธอขาดหายไป เมื่อเห็นสายตาเซียวจิ่งที่จ้องมา เธอก้าวถอยหลัง แล้วกล่าวจบประโยค “ท่านประธานเซียว ขอโทษค่ะที่รบกวน… ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้…”


 


 


“เดี๋ยว” เซียวจิ่งร้องเรียก ด้วยสายตาจับจ้องเลขานุการอย่างเยือกเย็น “คุณมีเวลาว่างมากนักหรือไง”


 


 


เลขานุการหญิงตัวเล็กเริ่มเหงื่อออก แม้ว่าประธานเซียวจะเข้ากับคนง่าย และมักพูดคุยกับคนอื่นอย่างไม่ถือตัว แต่เขาก็น่ากลัวเมื่อเอาจริง! เขาไม่ค่อยอยู่ในอารมณ์เอาจริงบ่อยนัก แต่เธอรู้สึกว่าชีวิตเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายในขณะนี้! เธออยากหารูมุดเข้าไปซ่อนตัวเหลือเกิน…


 


 


เธอเกือบจะร้องไห้ “ท่านประธานเซียวคะ ฉันไม่ว่างค่ะ…”


 


 


“จริงหรือ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ!” เซียวจิ่งลุกขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา โยนกองแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ “ใครเป็นคนจัดทำแบบสอบถามทางการตลาดพวกนี้ เป็นแบบสอบถามที่แย่มาก! คุณไม่ได้ตรวจสอบก่อนส่งมาให้ผมใช่ไหม บริษัทจ่ายเงินเดือนจ้างคุณมาซุบซิบนินทา แทนที่จะทำงานอย่างนั้นหรือ…


 


 


…ถ้าชอบนินทามากนัก ก็ไปเป็นปาปารัสซี่ มาอยู่ที่นี่ทำไม!” เขาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มสีน้ำเงินบนโต๊ะขึ้นมา แล้วกล่าวต่อไป “ดูแบบสอบถามนี้สิ! เราจ้างคุณให้มาชงชากาแฟและนินทาหรือ คุณไม่รู้หรือไงว่าพวกคุณควรตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบ ก่อนจะส่งมาให้เรา ถ้าผมมีเวลาอ่านขยะพวกนี้ ทำไมผมถึงยังต้องจ้างพวกคุณ”


 


 


ขณะชี้ไปที่แบบสอบถามบนโต๊ะทำงาน เขาตะคอกเสียงดัง “เอาแฟ้มพวกนี้ออกไป และส่งกลับมาให้ผมหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว! อย่าเอาเวลาไปทิ้งกับเรื่องไร้สาระอีก ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกไล่ออก!”


 


 


เลขานุการตัวเล็กยืนนิ่งด้วยดวงตาแดงเรื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อน


 


 


เซียวจิ่งขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ไม่ได้ยินหรือไง!”


 


 


เลขานุการรีบวิ่งไปรับแฟ้ม และกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ได้ยินค่ะ”


 


 


“คุณรู้สึกผิดบ้างไหม” เซียวจิ่งถาม ขณะจ้องมองเลขานุการอย่างพินิจพิจารณา


 


 


เลขานุการรีบส่ายศีรษะแล้ววิ่งออกไป เซียวจิ่งขมวดคิ้วขณะมองเธอปิดประตู เขาเม้มริมฝีปาก ‘ฉันเป็นคนหนึ่งที่ควรร้องไห้ใช่ไหม ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้น เฉียวเหลียงออกไปเที่ยวกับน้องสาวฉัน ให้ฉันทำงานและติดแหง็กอยู่ที่นี่ ไอ้บ้าเอ๊ย! แม่เลขาฯ คนนี้ตั้งใจจะกวนน้ำให้ขุ่น เธอสมควรโดน!’


 


 


ทำไมไม่คิด! ผู้ชายปกติคนไหนอยากจะซุบซิบนินทาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างน้องสาวกับเพื่อนของเขาบ้างล่ะ


 


 


เลขานุการพวกนี้บ้าไปแล้วหรือ จะเข้ามาหาเขาเพื่อถามคำถามโง่ๆ นี้โดยเฉพาะได้อย่างไร เธอจะพยายามสร้างความไม่สบายใจให้เขาใช่ไหม


 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง เมื่อถังซีกับเฉียวเหลียงลงมาชั้นล่าง ทั้งสองเจอฉินซินหยิ่งโดยบังเอิญ เฉียวเหลียงขมวดคิ้วและเดินต่อไปโดยไม่สนใจ แต่ฉินซินหยิ่งวิ่งไปยืนขวางทางพวกเขา และกล่าวว่า “เฉียวเหลียง เราต้องคุยกันก่อน”


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว ขยับมือออกจากเฉียวเหลียงเล็กน้อย แต่เฉียวเหลียงตอบกลับด้วยการจ้องตาเธอ และดึงเธอเข้ามาใกล้ ก่อนจะมองไปที่ฉินซินหยิ่ง กล่าวว่า “ผมกำลังยุ่ง” 

 

 


ตอนที่ 127 คู่รักแสนหวาน

 

ฉินซินหยิ่งหน้าชา ขณะเฉียวเหลียงกำลังเดินจูงมือถังซีผ่านไป จู่ๆ เธอก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ซีซีโทรหาฉัน!”


 


 


ประกายแห่งชัยชนะพาดผ่านดวงตาฉินซินหยิ่ง เมื่อเห็นเฉียวเหลียงหยุดเธอก็พูดต่อไปอีก “ฉันได้รับโทรศัพท์จากซีซี คุณไม่อยากรู้สถานการณ์ของเธอหรือ คุณไม่อยากรู้หรือว่าตอนนี้ซีซีอยู่ที่ไหน”


 


 


เฉียวเหลียงจับมือถังซีแน่นยิ่งขึ้น ถังซีมองเขาจากทางด้านข้าง สีหน้าเขาบ่งบอกอารมณ์อันซับซ้อน ถังซีแตะหลังมือเขาเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ เฉียวเหลียงหันมามองฉินซินหยิ่งด้วยท่าทางขึงขัง กล่าวชัดๆ ทีละคำ “ผมเลิกกับเธอเมื่อหลายปีก่อน เธอจะอยู่ที่ไหนเกี่ยวอะไรกับผม หวังว่าคุณฉินคงไม่คิดว่าคุณจะได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเพียงเพราะคุณเป็นเพื่อนแฟนเก่าผม ถ้าคุณอยากทำงานที่นี่กรุณาทำงานให้ดี แต่ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อจะได้ใกล้ชิดผม คุณออกไปจากเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปเดี๋ยวนี้ได้เลย”


 


 


ฉินซินหยิ่งหน้าซีดเผือดอย่างน่ากลัว เธอมองเฉียวเหลียงด้วยสายตาเกลียดชัง และกล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน “คุณโกหก คุณไปที่ทะเลแปซิฟิกเพื่อตามหาถังซี แต่ตอนนี้คุณไม่กล้ายอมรับต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ คุณไม่กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายหัวใจซีซีหรือ!”


 


 


ตอนนี้เป็นเวลาทำงาน ไม่มีผู้คนพลุกพล่านที่ห้องโถงชั้นล่าง จึงไม่มีใครหันมาสนใจแม้ฉินซินหยิ่งจะตะโกนเสียงดัง ถังซีมองหน้าฉินซินหยิ่งและขมวดคิ้ว ทันใดนั้นความทรงจำในใจก็ค่อยๆ แจ่มชัด ถังซีจำได้ว่าฉินซินหยิ่งเอ่ยอ้างถึงตนอย่างไรบ้าง เมื่อฉินซินหยิ่งคิดว่าเฉียวเหลียงใกล้ชิดกับผู้หญิงคนอื่น เธอบอกถังซีว่าเธอต้องจับตาดูเขา มิฉะนั้นวันหนึ่งเขาจะถูกคนอื่นฉกไป


 


 


ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรี ถังซีไม่เคยอยากถามเฉียวเหลียงว่าเขาแอบไปชอบคนอื่นบ้างหรือเปล่า เวลาอยู่กับเฉียวเหลียงเธอจะสังเกตสายตาเขา และพบว่าเขาดูมีความสุขเสมอเมื่ออยู่กับเธอ เธอจึงเชื่อว่าเขารักเธอ จนกระทั่งจู่ๆ เขาก็มาขอเลิกกับเธอ


 


 


สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เธอไม่ต้องการคบกับเขาต่อไปเพราะคำพูดของฉินซินหยิ่งที่บอกว่า ‘เธอต้องรักษาศักดิ์ศรีของเธอใน ‘รักสามเส้า’ นี้’ อย่างไรก็ตามไม่มีบุคคลที่สามระหว่างเธอกับเฉียวเหลียง มีแต่คนที่เล่นละครตบตาเธอ แล้วเธอก็เชื่อการแสดงของผู้หญิงคนนี้ และถูกหลอกโดยผู้หญิงคนนี้


 


 


ถังซียิ้ม ขณะหันไปมองหน้าเฉียวเหลียง และถามเขาด้วยท่าทางน่ารัก “ใครคือถังซีที่เธอพูดถึงเหรอคะ สวยเหมือนฉันไหม น่ารักเท่าฉันไหม”


 


 


เฉียวเหลียงอดยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นรอยยิ้มซุกซนบนริมฝีปากถังซี เขาลูบศีรษะเธอแล้วบอกว่า “คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักและสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น”


 


 


ถังซีดูท่าทางค่อนข้างพอใจกับคำตอบ เธอจับมือเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาถามว่า “แล้วคุณรักใครมากที่สุด”


 


 


“คุณไง” เฉียวเหลียงตอบ แล้วจ้องมองถังซีด้วยสายตาอ่อนโยนแสนจะรักใคร่ “ผมรักเพียงคุณคนเดียวมาตั้งแต่แรก”


 


 


เฉียวเหลียงไม่ได้เอ่ยชื่อเซียวโหรว หรือถังซี แต่ใช้คำว่า ‘คุณ’ และ ‘คุณ’ นี้หมายถึง ‘ถังซี’ …เพียงถังซีคนเดียวเท่านั้น


 


 


ถังซีซาบซึ้งในคำพูดของเฉียวเหลียงจนดวงตาแดงเรื่อ ขณะที่ฉินซินหยิ่งตัวสั่นด้วยความโกรธ ทำไมเธอถึงต้องเป็นผู้พิทักษ์ให้ถังซีมานานหลายปี แต่ในที่สุดก็ต้องปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีตัวตน มีโอกาสได้ความรักจากเขาไป แบบนี้แปลว่าสิ่งที่เธอทำให้ถังซีก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ คนเดียวที่เฉียวเหลียงรักจริงๆ คือผู้หญิงคนนี้


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าดุดันของฉินซินหยิ่ง เฉียวเหลียงก็กล่าวกับเธอด้วยน้ำเสียงในเชิงเตือน “คุณฉิน ผมหวังว่าคุณจะไม่พูดอะไรที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าคนรักของผมอีก ไม่อย่างนั้นผมจะไปจากเมือง A ไม่สิ ไปจากประเทศจีน! งานของคุณจะได้รับความนิยมหรือกลายเป็นเศษขยะที่ไม่มีใครต้องการ ก็คิดดูเอาเอง” จบคำพูดเขาก็จูงมือถังซีเดินจากไป


 


 


ฉินซินหยิ่งรู้สึกโกรธมาก แต่เธอตกใจกับสิ่งที่เฉียวเหลียงเพิ่งพูดไปเมื่อกี้มากกว่า เธอกล้าปฏิบัติกับเฉียวเหลียงอย่างที่เคยทำ เพราะเธอเชื่อว่าเฉียวเหลียงอยากได้ข่าวถังซีจากเธอ แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้ว


 


 


เฉียวเหลียงแทบไม่เคยพูดกับเธอเวลาอยู่กับถังซี ถ้าหากเธอยังคงระรานผู้หญิงที่เขาชอบอยู่ เขาจะทำในสิ่งที่เขาพูด!


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้เธอก็กำมือแน่น ขณะมองตามร่างเฉียวเหลียงกับถังซีที่เดินห่างออกไป เธอเอ่ยออกมาทีละคำว่า “เฉียวเหลียง สักวันหนึ่งคุณจะรู้ว่า ฉัน คือคนที่รักคุณมากที่สุด และ ฉัน คือคนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด”


 


 


เฉียวเหลียงพาถังซีออกจากบริษัทไปขึ้นรถ พาเธอไปดื่มน้ำชาแถวริมแม่น้ำ ถังซีมองเขาจากทางด้านข้างแล้วสะกิดมือเขาถามว่า “นี่คุณจะรับฉินซินหยิ่งเข้าทำงานที่บริษัทของคุณเหรอ”


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วแล้วถามกลับ “คุณไม่ชอบหรือ” น้ำเสียงเขาเยือกเย็น แต่มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนริมฝีปาก


 


 


ถังซีพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันไม่ชอบ อาเหลียง ฉันอยากจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่ต้องการให้คุณเข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาของฉัน ฉันจะสืบหาให้รู้ว่าใครคือต้นเหตุของอุบัติเหตุเครื่องบินตก และฉินซินหยิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องยังไง ฉันไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้…” เธอมองเฉียวเหลียงตรงๆ และกล่าวประโยคที่เหลืออย่างชัดเจน “รวมทั้งคุณด้วย”


 


 


เฉียวเหลียงจอดรถเมื่อถึงทางแยกไฟจราจร แล้วหันมามองถังซี หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น “ตกลง แต่คุณต้องสัญญาอะไรกับผมอย่างหนึ่ง”


 


 


ถังซีถามว่า “อะไรคะ”


 


 


ตราบใดที่เฉียวเหลียงไม่ยุ่งเกี่ยวกับแผนการแก้แค้นของเธอ เธอจะตอบตกลงอะไรก็ได้ทั้งนั้น


 


 


“ไม่ว่าคุณจะทำอะไร คุณต้องบอกให้ผมรู้ก่อนล่วงหน้า และคุณต้องไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย อย่าให้ผมได้ยินว่าคุณได้รับบาดเจ็บหรือ… ตาย” หัวใจเฉียวเหลียงยังคงหวาดหวั่นด้วยความกลัวเมื่อเอ่ยคำว่า ‘ตาย’ ออกมา หากเธอไม่โชคดีได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างเซียวโหรว เขาก็คงยังเฝ้าแต่คิดถึงเธอ ถือกล่องนิ้วเธอไว้อย่างนั้น! ด้วยความคิดนี้ในใจ เฉียวเหลียงจึงขึงขังมากยิ่งขึ้น “สัญญากับผม”


 


 


ถังซีพยักหน้า นัยน์ตาเธอแดงเรื่อ เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น เธอตอบว่า “ฉันให้สัญญากับคุณค่ะ ต่อจากนี้ไปฉันจะรักษาตัวเองให้ปลอดภัย และไม่ว่าจะทำอะไร ฉันจะบอกคุณก่อนล่วงหน้า”


 


 


รถที่ติดอยู่ข้างหลังบีบแตร พอดีกับที่เฉียวเหลียงเหยียบคันเร่ง และมุ่งหน้าไปยังริมแม่น้ำเพื่อไปดื่มน้ำชา


 


 


เวลานี้เป็นช่วงเดือนกันยายน อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว แต่ยังคงร้อนมากในเวลาบ่ายสามสี่โมง ทั้งสองเดินเข้าไปในสวนสาธารณะริมแม่น้ำท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ถังซีกอดแขนเฉียวเหลียงไว้ขณะเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของแม่น้ำ และพึมพำว่า “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกขึ้นมาว่าทิวทัศน์เมือง A นั้นสวยงามเหลือเกิน”


 


 


“ใช่ ผมก็เพิ่งรู้สึกว่าทิวทัศน์ในสวนริมแม่น้ำนั้นสวยงามมากเหลือเกิน” เฉียวเหลียงเดินช้าลงขณะจับมือเธอไว้ ถังซียิ้มอย่างพึงพอใจ แม้แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เธอก็ไม่เคยจินตนาการว่าเธอจะได้จูงมือกันเดินเล่นในสวนกับเฉียวเหลียง และได้ดื่มน้ำชายามบ่ายด้วยกัน 

 

 


ตอนที่ 128 เสือกระดาษ

 

ที่ร้านกาแฟ เฉียวเหลียงไปล้างมือ ขณะถังซีนั่งสบายๆ อยู่ที่โต๊ะ หยิบช้อนคนกาแฟ ในโทรทัศน์กำลังมีโฆษณา แล้วทันใดนั้นก็เป็นโฆษณาน้ำหอมชาแนล ที่มีเฮ่อหย่าเฉียนดาราดังเป็นนางแบบโฆษณา เธอจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเธอลืมบอกเฉียวเหลียง เรื่องการเซ็นสัญญาเป็นนางแบบโฆษณาน้ำหอมเมจิกบัตเตอร์ฟลายของ OLS


 


 


ทันทีที่เฉียวเหลียงกลับมา เธอก็บอกเขาเรื่องนี้กับเขา เฉียวเหลียงขมวดคิ้วมองเธอและกล่าวว่า “ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนคุณไม่ชอบอยู่ในความสนใจของผู้คน ทำไมคุณถึงอยากทำงานโฆษณานี้”


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ ตอบว่า “ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาเลือกเซียวจิ้นหนิงเป็นนางแบบโฆษณา เพื่อแก้แค้นให้เซียวโหรว ฉันเลยยอมรับข้อเสนอของเฮ่อหว่านหนิง แล้วอีกอย่างฉันก็อยากซื้อรถสปอร์ต และคิดว่าฉันน่าจะซื้อรถดีๆ ได้สักคันจากค่าจ้างสามล้านหยวน ฉันจึงตอบตกลง”


 


 


เธอไม่ชอบปรากฏตัวต่อหน้ากล้อง เอ็มไพร์กรุปมีการถ่ายทำโฆษณาโทรทัศน์ทุกปี แต่โดยทั่วไปผู้ที่จะมาเป็นแบบในโฆษณามักเป็นนักแสดง นักร้อง หรือนางแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลก คุณปู่เคยขอให้เธอแสดงในโฆษณา เพื่อประโยชน์ทางการค้าของเอ็มไพร์กรุปอยู่หลายครั้ง โดยบอกว่าเธอคือตัวแทนที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดสำหรับเอ็มไพร์กรุป แต่เธอไม่เห็นด้วย และคุณปู่ก็ไม่บังคับเธอ


 


 


เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตอนนี้เธอจะต้องมาถ่ายโฆษณา…


 


 


หากคุณปู่รู้ว่าเธอกำลังจะถ่ายโฆษณาน้ำหอม ทั้งๆ ที่เธอเคยปฏิเสธการเป็นตัวแทนโฆษณาให้แก่ เอ็มไพร์กรุป ท่านจะเอาไม้เท้าตีเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้


 


 


“คุณอยากได้รถสปอร์ตหรือ” เฉียวเหลียงหยิบจานเปล่าตรงหน้าเธอมา ตักของหวานตรงหน้าเขาให้เธอ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอถามว่า “ให้ผมซื้อให้คุณได้ไหม”


 


 


ถังซีส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่ะ”


 


 


เธอชอบที่เฉียวเหลียงเคารพความคิดเธอแบบนี้ เป็นความหวานสำหรับคนรัก ที่จะให้ของขวัญแก่กันและกัน แต่ต้องขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาส ถ้าเฉียวเหลียงส่งดอกกุหลาบให้เธอในวันเกิดหรือวันวาเลนไทน์เธอก็ยินดีรับ หรือหลังจากที่เธอแต่งงานกับเฉียวเหลียงแล้ว เธอจะไม่ลังเลที่จะยอมรับสิ่งที่เขามอบให้ แม้เขาจะซื้อเมืองทั้งเมืองให้เธอก็ตาม แต่ไม่ใช่ตอนนี้…


 


 


อะไรก็ตามที่แพงเกินไปที่เฉียวเหลียงจะให้เธอเป็นของขวัญในตอนนี้ จะนำปัญหามาให้


 


 


เฉียวเหลียงยักไหล่แล้วกล่าวว่า “ตกลง ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน” จากนั้นเขาก็กล่าวต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็กำลังจะถ่ายโฆษณานี้ แล้วหลังนั้นคุณจะเข้าสู่วงการบันเทิงหรือเปล่า”


 


 


ถังซีส่ายศีรษะแทนคำตอบ เธอไม่ต้องการเข้าสู่วงการบันเทิง เพราะไม่ชอบวิธีการเอาตัวรอดในวงการนี้ อยู่ให้ห่างๆ จะดีกว่า เธอแค่อยากถ่ายโฆษณาน้ำหอมนี้ ได้ค่าจ้างสามล้านหยวน และสำเร็จการศึกษาระดับสูงสุดภายในระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในฐานะเซียวโหรว และจากนั้นจะไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเซียวโหรว


 


 


เฉียวเหลียงถามว่า “แล้วหลังจากนี้คุณต้องทำยังไงต่อไป”


 


 


“ฉันจะไปถ่ายทำโฆษณาที่เขาหงสือ คุณอยากไปดูด้วยไหม” ถังซียิ้ม กล่าวต่อไปว่า “ฉันได้ยินมาว่าน้ำพุร้อนของเขาหงสือมีชื่อเสียงมาก คุณพาฉันไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน ดีไหมคะ”


 


 


เฉียวเหลียงซึ่งทีแรกอยากปฏิเสธ มองหน้าถังซีด้วยความสนใจเมื่อได้ยินคำว่า ‘น้ำพุร้อน’ “วันเสาร์นี้ ที่บ่อน้ำพุร้อนบนเขาหงสือหรือ”


 


 


“คุณไม่อยากไปเหรอ”


 


 


“อยากสิ ผมอยากไป” เฉียวเหลียงมองถังซีด้วยรอยยิ้มของสุนัขป่ามองเหยื่ออันโอชะ “ผมได้ยินมาว่าน้ำพุร้อนบนเขาหงสือมีแร่ธาตุบางอย่างที่ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้ดี ผมคิดว่าผมน่าจะไปแช่น้ำ”


 


 


เมื่อสังเกตเห็นดวงตาเจิดจ้าเป็นประกายของเขา ถังซีก็รู้สึกว่าเธอขุดหลุมพรางขนาดใหญ่สำหรับตัวเองเสียแล้ว แต่เมื่อคิดถึงอะไรบางอย่างเธอก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “โอเคค่ะ ตกลงตามนั้น”


 


 



 


 


พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์ ถังซีไม่ได้ไปโรงเรียนหลายวันแล้ว คุณครูเหอมู่อันจึงโทรมาที่บ้านเพื่อสอบถามอาการเธอ บังเอิญถังซีเป็นคนรับโทรศัพท์ เธอทั้งรู้สึกขำและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน เมื่อวันก่อนเธอโกหกเหอมู่อันว่าจะไปโรงพยาบาล แต่โดยไม่คาดคิดเธอต้องเข้าโรงพยาบาลจริงๆ และเพิ่งได้ออกมาเมื่อวานนี้… นี่เป็นผลกรรมที่เธอได้รับจากการโกหกหรือเปล่า


 


 


“คุณครูเหอ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะคะ หนูเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ วันนี้หนูนอนพักอยู่ที่บ้าน และจะไปโรงเรียนพรุ่งนี้ค่ะ”


 


 


ในช่วงที่ถังซีอยู่ในอาการโคม่าเหอมู่อันโทรมาที่บ้านถังซี และหยางจิ้งเสียนเป็นคนรับโทรศัพท์ เธอบอกเขาว่าถังซีป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล หลังจากนั้นเขาก็ไปเยี่ยมถังซีที่โรงพยาบาล เขาจึงรู้ว่าเธอไม่ได้โกหก และดีใจที่ได้ยินว่าถังซีพูดคุยได้แล้ว เขารีบบอกว่า “ถ้าเธอยังรู้สึกไม่ดี จะหยุดพักอีกวันแล้วมาโรงเรียนวันจันทร์หน้าเลยก็ได้นะ”


 


 


ถังซีขอบคุณเขาและตอบกลับว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะคุณครู หนูขาดเรียนมาสัปดาห์กว่าแล้ว หนูจะไปโรงเรียนพรุ่งนี้ค่ะ”


 


 


วันรุ่งขึ้นถังซีสวมชุดนักเรียนน่ารักอีกครั้ง เมื่อมองตัวเองในกระจกเธอรู้สึกพึงพอใจมาก แม้จะได้รับบาดเจ็บโดยระบบในครั้งนี้ แต่เธอก็ยังสวยงามอยู่เหมือนเดิม หลังจากทาครีมบำรุงปรับสภาพผิวหน้าแล้ว เธอก็กระโดดลงบันไดอย่างร่าเริง เซียวส่านั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟา เขาหยุดอ่านเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นถังซี แต่ครู่เดียวเขาก็หายจากอาการงุนงง และถามอย่างอ่อนโยน “วันนี้จะไปโรงเรียนแล้วเหรอ”


 


 


ถังซีพยักหน้า โยนกระเป๋านักเรียนลงบนโซฟาแล้วไปที่ห้องทานอาหาร เพื่อรับประทานอาหารเช้า เธอกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ไปโรงเรียนมานานสัปดาห์กว่าแล้ว คุณครูเหอโทรหาฉันเมื่อวาน ถามฉันเรื่องนี้ แต่ฉันกำลังจะไปโรงเรียนวันนี้อยู่แล้วค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งกัดปาท่องโก๋อย่างแรงพร้อมกับทำเสียงฮึดฮัด “ดีแล้วล่ะที่เธอไปโรงเรียน ไม่อย่างนั้น…” เขากลืนปาท่องโก๋แล้วพูดต่อจนจบ “ไม่อย่างนั้นเธอจะเบื่อ ถ้าต้องอยู่บ้านนานๆ”


 


 


เขาถูกเฉียวเหลียงทรมานอย่างหนักโดยการให้อยู่เฝ้าบริษัท เขาจะยอมให้เฉียวเหลียงกับโหรวโหรวแสดงความรักต่อหน้าต่อหน้าที่บริษัทได้อย่างไร! ถ้าโหรวโหรวไม่ไปโรงเรียน เฉียวเหลียงก็จะโทรหาเธอ ให้เธอไปที่บริษัทอีกด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา และจากนั้นเขาก็จะต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นการแสดงความรักของคนทั้งสอง จึงเป็นเรื่องดีที่โหรวโหรวจะไปโรงเรียน!


 


 


ถังซีรู้ว่าจริงๆ แล้วเซียวจิ่งคิดอย่างไร แต่เธอไม่พูด เธอหันไปทางเซียวส่าและถามว่า “แล้วพี่ส่าล่ะคะ พี่ได้กลับไปทำงานที่บริษัทหรือยัง”


 


 


เซียวส่ายิ้มในความห่วงใยของน้องสาว และตอบว่า “ไปแล้ว เดี๋ยวพี่ส่งเธอที่โรงเรียนก่อน แล้วก็จะไปทำงาน”


 


 


ถังซีพยักหน้ารับทราบ เซียวจิ่งต้องขับรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโรงเรียนของถังซี นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาไม่แย่งชิงกับเซียวส่าในเรื่องนี้ หยางจิ้งเสียนดีใจมากที่เห็นลูกๆ ทุกคนเข้ากันได้ดี ขอบคุณพระเจ้า ถึงแม้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของโหรวโหรวจะต้องการรับเธอกลับไป แต่เธอก็ยังคงสนิทสนมกับพวกเขามากเหมือนเดิม


 


 


เซียวหงลี่ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปหาถังซี ตบไหล่เธอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ตั้งใจเรียนให้เก่งๆ นะลูก ถ้าใครมารังแกหนู บอกพ่อ พ่อจะจัดการให้เอง พี่ๆ ของหนูน่ะแค่เสือกระดาษ ทำได้มากที่สุดก็แค่ข่มขู่คนพวกนั้น แต่ถ้าพ่อไปถึงโรงเรียน แม้แต่คนของสำนักการศึกษาก็จะต้องหวาดกลัว เพราะฉะนั้นลูกต้องเรียนรู้ที่จะใช้ทรัพยากรของลูกให้ได้ประโยชน์สูงสุด เข้าใจไหม”


 


 


ถังซีก้มศีรษะรับ พร้อมกับตอบว่า “ค่ะคุณพ่อ หนูเข้าใจแล้วค่ะ!”


ตอนที่ 129 เร่งเร้าให้เขาแต่งงาน

 

เซียวหงลี่รักใคร่เอ็นดูลูกสาวในแบบของเขา สมาชิกตระกูลเซียวเข้มงวดกับลูกๆ ทุกคน โดยเฉพาะเซียวหงลี่ที่ไม่ยอมให้ลูกชายโตขึ้นมาเป็นคนเสเพล แต่เขาก็รู้ว่าถังซีไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ เซียวหงลี่ยิ้มให้ถังซี จากนั้นก็กล่าวกับเซียวส่าว่า “ขับรถดีๆ ระมัดระวัง อย่าขับเหมือนอยู่ในสนามแข่งรถ เข้าใจไหม”


 


 


“ครับ คุณพ่อ ผมก็ขับรถอย่างระมัดระวังเสมอไม่ใช่หรือครับ” เซียวส่าตอบ พร้อมกับมองบิดาด้วยสายตาไม่พอใจ “คุณพ่อเลิกทำเหมือนพวกเราเป็นเด็กๆ สักทีได้ไหมครับ”


 


 


เซียวหงลี่ตอบด้วยเสียงกระแอม แล้วหันหลังเดินออกจากห้องทานอาหาร ถังซีกล่าวอำลาเซียวหงลี่ด้วยรอยยิ้ม และอวยพรให้เขาโชคดี เซียวหงลี่จึงเดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม


 


 


หลังจากถังซีทานอาหารเสร็จ เซียวเหยาก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายหลัง และส่งให้เธอ น้ำเสียงเขาฟังดูมีเสน่ห์ตามปกติ แต่คราวนี้เจือด้วยความอ่อนโยน “อีกครึ่งชั่วโมงโรงเรียนก็จะเข้าแล้ว เร็วๆ หน่อย”


 


 


ถังซียิ้ม รับกระเป๋ามาแล้วร้องเรียกเซียวส่าให้ไปได้แล้ว เซียวส่าหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งแล้วเดินออกมา พร้อมกับบอกว่า “ไปรอพี่ที่ประตู เดี๋ยวพี่ไปส่ง”


 


 


ถังซีพยักหน้า กล่าวลาพี่ๆ และคุณแม่ แล้วหันหลังเดินออกไป หลังจากออกไปพ้นประตูเธอก็หันกลับไปมองด้วยสายตาสับสน เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับความรู้สึกที่เธอเห็นในดวงตาเซียวเหยาเมื่อกี้ เธอแค่มองเขาในฐานะพี่ชาย ไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเธอคือถังซี แต่เธอต้องอธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับเฉียวเหลียงให้พี่ๆ ทุกคนรู้


 


 


เอาเถอะ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป


 


 


เซียวเหยายืนอยู่ที่ทางเข้าห้องโถง มองตามร่างถังซีด้วยสายตาอ่อนโยน เธอกลายเป็นน้องสาวของเขาโดยไม่คาดคิด ในอดีตเขามักจะรอเธอที่ประตูโรงเรียน แต่ตอนนี้เขาต้องส่งเธอออกจากประตูบ้าน หรือไม่ก็พาเธอไปส่งที่โรงเรียน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะมาเป็นน้องสาวเขา


 


 


เมื่อเห็นว่าเซียวเหยายังคงจ้องมองไปที่ประตูไม่ละสายตา หยางจิ้งเสียนก็เลิกคิ้ว หันไปมองเซียวจิ่งแล้วถามเบาๆ “พี่ชายของลูกเขามองอะไรอยู่”


 


 


เซียวจิ่งหันไปมองเซียวเหยา เม้มปากแล้วกล่าวว่า “อาจเป็นเพราะวันนี้ท้องฟ้าสีฟ้าสดมากๆ มั๊งครับ” จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว ถามออกมาดังๆ ด้วยความประหลาดใจ “เพื่อนบ้านของเราเกิดอะไรขึ้นมาหรือครับ ผมได้ยินเสียงพวกเขาซ่อมแซมบ้านดังอึกทึกไปหมด แม้แต่ตอนเที่ยงคืนก็ไม่หยุด ผมจะร้องเรียนสำนักงานหมู่บ้าน ผมนอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน!”


 


 


เขาถูกเฉียวเหลียงทรมานใช้งานอย่างหนักทั้งวันเมื่อวานนี้ กว่าจะกลับจากทำงานถึงบ้านก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาอยากนอนหลับพักผ่อนให้สบาย แต่กลับต้องถูกรบกวนจากเสียงซ่อมแซมบ้านของเพื่อนบ้านหลังถัดไปทั้งคืน บ้าที่สุด!


 


 


หยางจิ้งเสียนดื่มนมอึกหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจขณะกล่าวว่า “แม่ไม่ได้ยินเลยนะ แม่กับคุณพ่อไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเมื่อคืนนี้ ลูกได้ยินได้ยังไง” จากนั้นเธอก็กล่าวต่อไป “แต่ว่าบ้านหลังที่อยู่ติดเรากำลังซ่อมแซมอยู่จริงๆ ดูเหมือนเจ้าของคนใหม่กำลังจะย้ายเข้ามา”


 


 


เซียวจิ่งขมวดคิ้ว “บ้านหลังนั้นเจ้าของเขาไม่ได้ขายไม่ใช่หรือครับ”


 


 


เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ บ้านของพวกเขาเก็บเสียงได้ดีมาก จะไม่มีใครได้ยินเสียงจากภายนอก หากไม่เปิดประตู… หรือว่าเมื่อคืนเขาลืมปิดหน้าต่าง


 


 


หยางจิ้งเสียนส่ายศีรษะมองดูนาฬิกา แล้วตอบว่า “ไม่รู้สิ ไม่ใช่บ้านของแม่ซะด้วย” เธอลุกขึ้นเก็บโต๊ะ “ไปทำงานได้แล้ว ลูกกำลังจะไปสายแล้วนะ” จากนั้นเธอก็เรียกเซียวเหยา “เซียวเหยา มาทานอาหารเช้า แม่ทำให้โจ๊กรังนกให้ลูกแน่ะ”


 


 


เซียวเหยาร่างกายยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และอ่อนแอเกินกว่าจะทานขนมปังเย็นๆ หรือปาท่องโก๋เหมือนคนอื่น เธอจึงทำโจ๊กทำรังนกให้เขาเป็นพิเศษ


 


 


เซียวจิ่งตะโกนเสียงดัง “คุณแม่ครับ ทำไมทำอาหารเช้าให้เราต่างกันอย่างนี้ล่ะครับ”


 


 


หยางจิ้งเสียนเมินเฉยต่อคำอุทธรณ์ของเขา เธอเดินไปห้องครัวพร้อมกับส่งสัญญาณบอกเขาว่า ‘ไปทำงาน!’


 


 


“ดูสิ!” เซียวจิ่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ มองมารดาด้วยสายตาน้อยใจและร้องออกมา “พวกเราได้ทานแค่นมกับขนมปัง หรือไม่ก็น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เท่านั้น ในขณะที่พี่เหยาได้อร่อยกับโจ๊กรังนก! ไม่ยุติธรรมเลย! แล้วคุณแม่ยังมาบอกให้ผมออกไปอีก! คุณแม่ไล่ผมออกไป!”


 


 


หยางจิ้งเสียนลูบระหว่างหัวคิ้วแล้วหัวเราะขณะกล่าวว่า “แม่ไม่มีเวลาคุยกับลูกหรอก ไปให้พ้นหน้าแม่ซักที” เธอมักปฏิบัติต่อลูกๆ ทุกคนเหมือนกันหมด คือทำเหมือนไม่ชอบลูกคนไหนเลยตั้งแต่พวกเขาเป็นเด็กแล้ว แต่เธอจะดูแลพวกเขาอย่างดีด้วยตัวเองเมื่อพวกเขาป่วย เธอรู้ว่าเซียวจิ่งกำลังแหย่เธอเล่นเพื่อให้เธอสนุก ด้วยการต่อปากต่อคำแบบที่เขาทำอยู่ตอนนี้ และเธอก็สนุกจริงๆ


 


 


“ไม่ ผมไม่ไป! คุณแม่ทำแบบนี้กับผมไม่ได้!” เซียวจิ่งตะโกน “ทุกคนรังแกผม! เฉียวเหลียงก็ให้ผมทำงานอย่างกับทาส คุณแม่ก็รังเกียจผม ผมเสียใจมาก!”


 


 


เซียวเหยาเดินเข้าไปเตะเขา เซียวจิ่งเบิกตาโตจ้องมองเซียวเหยา แล้วเซียวเหยาก็ดึงเก้าอี้ตัวใกล้ๆ ออกมานั่ง เซียวจิ่งกรีดร้องเสียงดัง “พี่เหยา ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจ พี่มาเตะผมทำไม”


 


 


เซียวเหยาส่งสายตาเฉยเมยให้เขา แล้วขมวดคิ้วกล่าวอย่างเย็นชา “นายส่งเสียงดังหนวกหู”


 


 


“คุณแม่!” เซียวจิ่งตะโกน หยางจิ้งเสียนเดินออกมาพร้อมกับโจ๊กรังนกสองชาม กล่าวว่า “พอแล้ว พอแล้ว แม้แต่น้องก็ไม่ทำตัวเป็นเด็กอย่างลูกเลยนะ ดูสิ ลูกทำตัวเหมือนเด็กสามขวบ ไม่อายบ้างหรือไง”


 


 


เซียวจิ่งเบ้ปาก “ถึงยังไง โหรวโหรวก็ไม่ได้กินโจ๊กรังนกอย่างผม” เขารับชามโจ๊กรังนกจากมือหยางจิ้งเสียนและเริ่มตักทานทันที


 


 


เซียวเหยาก็เริ่มทานเหมือนกัน หยางจิ้งเสียนมองดูลูกชายทั้งสองทานโจ๊ก เธอยิ้มขณะกล่าวว่า “แม่ไม่รู้ว่าโหรวโหรวจะไปโรงเรียนวันนี้ ไม่ได้เตรียมอาหารกลางวันให้น้องเอาไปด้วย แม่ก็เลยจะเอาอาหารไปส่งให้น้องตอนเที่ยง”


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้า และเริ่มยกโจ๊กรังนกขึ้นซด หลังจากทานเสร็จ เขาก็เตรียมตัวออกไปทำงานอย่างมีความสุข หยางจิ้งเสียนส่ายศีรษะ “ลูกบอกแม่ดีๆ ก็ได้ว่าอยากทานโจ๊กรังนกด้วยเหมือนกัน ลูกนี่เหมือนเด็กจริงๆ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”


 


 


เซียวจิ่งเชิดหน้าขึ้นอย่างอวดดี และพูดออกมาลอยๆ “พี่เหยาไม่ใช่คนที่ได้รับสิทธิพิเศษ!” จากนั้นเขาก็เดินขย่มตัวออกไป พร้อมจะไปทำงาน


 


 


หยางจิ้งเซียนนั่งเท้าคางอยู่ตรงกันข้ามกับเซียวเหยา มองดูเซียวเหยาทานโจ๊กรังนกด้วยท่าทางสุขุมเรียบร้อย เธอมีรอยยิ้มนิดๆ บนใบหน้า เซียวเหยารู้สึกดีในทีแรก แต่เมื่อรู้สึกว่าสายตามารดาดูร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองแล้วกล่าวว่า “คุณแม่ครับ อาหารผมจะไม่ย่อยนะครับ ถ้าคุณแม่จ้องมองผมอย่างนั้น”


 


 


หยางจิ้งเสียนยิ้มให้เซียวเหยาและกล่าวว่า “แม่ดีใจที่เห็นลูกชายแม่เอร็ดอร่อยกับอาหารที่แม่ทำ แม่ชอบมองดูลูกทานอาหารเมื่อตอนลูกยังเด็ก” จากนั้นเธอก็หยุด ก่อนจะกล่าวต่อไป “คุณตาของลูกขอให้ลูกไปหาท่านที่ตระกูลหยางในสองสามวันนี้ ลูกอยากไปไหม”


 


 


เซียวเหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเขานิ่งสงบขณะกล่าวว่า “ผมจะพาโหรวโหรวไปหาคุณตา และพี่ๆ น้องๆ ทางโน้นด้วยครับ ถ้าไม่ใช่เพราะโหรวโหรว ผมคงตายไปแล้ว”


 


 


เมื่อนึกถึงปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับเซียวเหยา หยางจิ้งเสียนก็พยักหน้าตอบว่า “ตกลง แม่จะบอกคุณตาตามที่ลูกบอก โหรวโหรวเป็นลูกสาวของแม่ แน่นอนว่าเธอควรไปเยี่ยมคุณตาของลูกด้วย” จากนั้นเธอก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ในกองกำลังของลูกมีทหารหญิงบ้างไหม”


 


 


เซียวเหยามองมารดาด้วยสายตางุนงง หยางจิ้งเสียนยิ้ม “ลูกก็รู้ว่าวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของคุณตากำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้ และในงานวันเกิดของท่าน ท่านจะต้องเร่งเร้าให้ลูกแต่งงานอย่างแน่นอน ลูกจะไม่พาใครสักคนมาที่บ้านบ้างเหรอ” 

 

 


ตอนที่ 130 กลับไปเรียนหนังสือ

 

เซียวส่าไปส่งถังซีที่ประตูโรงเรียน เขาคิดว่าเรื่องลูกสาวตัวจริงตัวปลอมผ่านมาหลายวันแล้ว ผู้คนคงลืมกันไปหมดแล้ว แต่ท่ามกลางความประหลาดใจของเขา ทันทีที่รถจอดที่หน้าประตูโรงเรียน นักข่าวกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา เมื่อเห็นนักข่าวจำนวนมากถังซีก็ขมวดคิ้ว หยิบหน้ากากกับหมวกออกมาสวม และบ่นอย่างหงุดหงิดว่า “ปาปารัสซี่พวกนี้ทำงานกันหนักจริงๆ”


 


 


เซียวส่าก็ดูท่าทางหัวเสียเล็กน้อย แต่นักข่าวเหล่านี้กรูกันเข้ามาแล้ว เขาไม่สามารถไล่คนเหล่านี้ออกไปได้ เพราะอาจดูเป็นการหยาบคาย เขาเปิดประตูลงจากรถ จากนั้นนักข่าวก็เข้ารุมล้อมเขาทันที และยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเซียวส่าไม่ยั้ง “คุณเซียวส่า คุณมาส่งเซียวโหรวมาโรงเรียนใช่ไหม”


 


 


“คุณเซียวส่า ตอนนี้เซียวโหรวยังคงพักอยู่ที่บ้านของคุณหรือเปล่า”


 


 


เซียวส่าขมวดคิ้ว จ้องหน้านักข่าวที่ถามคำถามนั้น จากนั้นเขาก็ยิ้มเยือกเย็น บอกให้ฝูงชนเงียบ และกล่าวอย่างจริงจัง “เซียวโหรวเป็นน้องสาวผม เช่นเดียวกับเป็นลูกสาวของคุณพ่อคุณแม่ผม แน่นอนว่าเธอต้องอยู่ที่บ้านผมตั้งแต่ที่เรารับเธอเข้ามา ผมคิดว่าผมให้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว เราจะไม่ตอบคำถามนี้อีก”


 


 


“มีรายงานข่าวอื้อฉาวของเซียวจิ้นหนิงออกมา ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเซียวโหรวเป็นลูกของคุณลุงและคุณป้าของคุณ แต่พวกคุณจะไม่คืนเธอให้กับพวกเขาใช่ไหม”


 


 


เซียวส่ามองหน้านักข่าวด้วยคิ้วที่ขมวดลึกและตอบว่า “เซียวโหรวเป็นคนไม่ใช่วัตถุ พวกเขาไม่สามารถจะมาเอาตัวเธอไปเมื่อพวกเขาต้องการ และทอดทิ้งเธอเมื่อพวกเขาไม่ต้องการ! เป็นไปไม่ได้ ขอทางด้วยครับ เธอกำลังจะไปเรียนหนังสือ”


 


 


ถังซีลงจากรถทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับโดยการปกป้องจากเซียวส่า ขณะที่เธอก้มศีรษะลงนักข่าวก็ยังคงถ่ายรูปถังซี เซียวส่าพยายามปิดบังใบหน้าเธอ ทันใดนั้นนักข่าวคนหนึ่งก็ตะโกนว่า “คุณเซียวโหรว ทำไมคุณถึงต้องสวมหน้ากากและหมวกด้วย”


 


 


“คุณเซียวโหรว คุณคิดอย่างไรกับเซียวจิ้นหนิง”


 


 


“คุณเซียวโหรว เป็นเพราะเซียวหงลี่และครอบครัวมีอิทธิพลมากว่าพ่อและแม่แท้ๆ ของคุณ คุณจึงไม่ต้องการกลับไปหาพวกเขาใช่ไหม”


 


 


เซียวส่าหยุดกึกทันที เขาหันกลับมามองนักข่าวที่ถามคำถามนี้ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “นี่ฟังนะ ไม่ว่าครอบครัวผม หรือคุณลุงคุณป้าของผม ก็เป็นบุคคลที่คุณไม่ควรพาดพิงถึง ถ้าคุณกล้าพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ต่อไปอีก บริษัทของคุณจะต้องปิดตัวลง!”


 


 


รัศมีความทรงพลังของเขาแผ่ท่วมท้น


 


 


ถังซีหันไปมองเซียวส่าและยิ้มให้เขา จากนั้นเธอก็มองกลับไปที่นักข่าว ดึงหมวกลงเพื่อปกปิดใบหน้า เหลือเพียงดวงตาที่เป็นประกายเจิดจ้า และกล่าวออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ฉันเติบโตขึ้นมาบนภูเขา เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร สิ่งที่ฉันรู้มีเพียงว่า ฉันต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ฉันพอใจ ตราบใดที่คุณปู่ยังมีชีวิตอยู่ สมาชิกครอบครัวเซียวทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน โดยไม่คำนึงว่าใครมาจากครอบครัวของฉัน หรือของคุณลุงคุณป้าของเรา พวกเราคือสายเลือดเดียวกัน ตอนนี้คนที่ใส่ร้ายฉันถูกขับไล่ออกไปแล้ว ฉันสามารถกลับไปหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉันได้ แต่ฉันไม่ใช่คนอกตัญญู ในขณะที่ฉันสิ้นหวัง คุณพ่อคุณแม่ยื่นมือออกมาหาฉันและช่วยฉัน ดังนั้นฉันคือลูกสาวของพวกท่านเสมอ ขณะที่ฉันถูกเซียวจิ้นหนิงใส่ร้าย และพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทอดทิ้งฉัน พ่อแม่ในปัจจุบันของฉันจับมือฉันไว้ ให้ความหวังฉัน ฉันจะไม่กัดมือผู้ที่เลี้ยงดูฉัน ถ้าฉันทำอย่างนั้น จะมีอะไรแตกต่างกันระหว่างฉันกับเซียวจิ้นหนิง ฉัน…เซียวโหรว จะไม่เป็นงูเห่าที่ได้รับการช่วยเหลือจากชาวนา แล้วแว้งกัดชาวนา”


 


 


“คุณเซียวโหรว คุณหมายความว่าเซียวจิ้นหนิงเป็นงูเห่าที่แว้งกัดชาวนาใช่ไหม”


 


 


ถังซียิ้ม มองหน้านักข่าวคนที่พูดและถามกลับว่า “แล้วจะให้ฉันเรียกเธอว่าสโนไวท์หรือ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ใช่คนที่มีความอดทนสักเท่าไร ถึงฉันจะเติบโตมาในชนบท แต่ฉันก็ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีแรก แม้จะอายุยี่สิบสามแล้วก็ตาม ฉันไม่ใช่คนซับซ้อน ฉันจะไม่เสแสร้งพูดว่าเธอไม่เป็นอย่างนั้น หรือบอกว่าฉันจะยกโทษให้เธอ หรืออะไรทำนองนั้น สิ่งที่เซียวจิ้นหนิงทำกับฉันและพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉัน คือสิ่งที่งูพิษตัวนั้นทำ”


 


 


“ถ้าอย่างนั้น คุณเซียวโหรวจะให้อภัยพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของคุณไหมคะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งถาม “ฉันได้เห็นว่าท่านประธานเซียวและท่านประธานหลินรู้สึกผิดมากมายเพียงใดในงานแถลงข่าว คุณจะเลือกที่จะให้อภัยหรือยอมรับพวกเขาไหมคะ”


 


 


“สองกรณีนี้แตกต่างกัน พวกท่านถูกหลอกถึงได้กระทำผิด แต่พวกท่านกลับใจและแก้ไขความผิดพลาดหลังจากรู้ว่ากระทำผิด ฉันไม่มีเหตุผลที่จะเกลียดพวกท่านอีกต่อไป ดังนั้นฉันจึงไม่ถือโทษพวกท่าน” ถังซีตอบ จ้องเขม็งที่นักข่าวหญิง “แต่ฉันไม่คิดว่าฉันจะยอมรับพวกท่าน”


 


 


เซียวส่าก้มดูนาฬิกาข้อมือและกล่าวว่า “พี่น้องสื่อมวลชนที่รัก ผมต้องขอโทษด้วย แต่ชั้นเรียนของน้องสาวผมกำลังจะเริ่มแล้ว โปรดปล่อยเธอไปเรียน ขอบคุณครับ”


 


 


นักข่าวคนหนึ่งถามขึ้นอีกว่า “คุณเซียวโหรว คุณดูดีมากจนไม่เหมือนเด็กที่เติบโตขึ้นมาบนภูเขาในชนบท ฉันขอถามว่าเพราะคุณได้รับการอบรมจากคุณหยางจิ้งเสียนใช่ไหมคะ”


 


 


ถังซีพยักหน้า “แน่นอนค่ะ คุณแม่สอนฉันเยอะมาก”


 


 


“คุณแสดงออกต่อหน้าสาธารณะได้อย่างสมบูรณ์แบบในงานแถลงข่าวเมื่อเดือนกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามมีรายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า คุณกับพี่ๆ ของคุณไปดูหนัง แต่คุณ…”


 


 


ถังซีขัดจังหวะนักข่าวทันที “ถ้าฉันจำไม่ผิดคุณหมายถึงเหตุการณ์ที่พี่ๆ กับฉันไปดูหนังกัน แต่มีนักข่าวคนหนึ่งเข้ามาสร้างปัญหาให้พวกเราใช่ไหม”


 


 


ขณะที่นักข่าวคนนั้นชะงัก และกำลังจะพูดต่อ ถังซีก็เสริมว่า “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายในวันนั้น พี่ชายของฉันจึงเป็นห่วงฉัน นักข่าวพวกนั้นพรวดพราดเข้ามาดึงหน้ากากฉันออก ทำให้พี่ๆ โกรธมาก เพราะอย่างนั้นหงกวงเอ็นเตอร์เทนเมนต์… โอ ใช่แล้ว หงกวงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วใช่ไหมคะ” จากนั้นเธอก็กล่าวต่อไปว่า “แล้วพวกคุณรู้ไหมว่า วันถัดมาฉันเข้าโรงพยาบาล”


 


 


“ผมขอถามเกี่ยวกับหงกวงเอ็นเตอร์เทนเมนต์…”


 


 


“ไม่มีอะไรจะตอบค่ะ” ถังซีตอบ เริ่มเดินไปยังทางเข้าโรงเรียน “ฉันต้องไปเรียนแล้ว ฉันไม่ได้เข้าชั้นเรียนมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ฉันกลัวว่าจะตามเพื่อนร่วมชั้นไม่ทันแล้วตอนนี้”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาวเซียวส่าก็อึ้ง ‘พูดไปเรื่อยนะน้องสาว เธอคือถังซี! ทายาทเอ็มไพร์กรุป! เอ็มไพร์กรุปลงทุนทรัพยากรมากมายใส่มาในตัวเธอ เธอจะตามเพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ทันได้อย่างไร’


 


 


แน่นอนว่าเซียวส่าจะไม่พูดความคิดของเขาออกมาดังๆ เขาเดินคุมหลังพาถังซีไปที่ห้องเรียน พร้อมกับสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ทำหน้าที่ และไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้ามา


 


 


ทันทีที่ถังซีนั่งลงที่เก้าอี้ของเธอ หยิงเคอก็เดินเข้ามาหา หลังจากยืนอยู่ตรงหน้าเธอสักพัก ด้วยร่องรอยความเคอะเขินบนใบหน้าที่ดูดี เขาก็ถามว่า “นักเรียนเซียวโหรว ผมได้ยินมาว่าเธอป่วย ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง”


 


 


ถังซีเงยหน้าขึ้นมองหนิงเคอ และคิดว่าเป็นเรื่องตลกมากเลย เป็นไปได้อย่างไรที่หนิงเหยี่ยน ผู้ชายที่พูดจาเฉียบคมขนาดนั้น จะมีน้องชายขี้อายแบบนี้! 

 

 


ตอนที่ 131 เพื่อนร่วมชั้นเรียน

 

“ฉันหายแล้ว ถึงได้กลับมาเรียน” ถังซีตอบ พร้อมกับยิ้มให้หนิงเคอ “ขอบใจนะ ที่เป็นห่วง”


 


 


หนิงเคอเกาศีรษะ ยิ้มและกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับกลับสู่ชั้นเรียน” จากนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวต่อไปว่า “ผมจดบันทึกบทเรียนล่าสุดไว้ให้เธอด้วย อยากดูไหม”


 


 


อันที่จริงวิชาเหล่านี้ไม่ยากเลยสำหรับถังซีในตอนนี้ เธอเพียงแค่ต้องทบทวน โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ เธอเก่งคณิตศาสตร์มาก เธอจึงไม่ต้องการจดบันทึกใดๆ อย่างไรก็ตาม… เมื่อถังซีมองหน้าหนิงเคอ เห็นสายตาเคอะเขินและคาดหวัง เธอก็ไม่ใจร้ายพอที่จะปฏิเสธความใจดีของเด็กชายอายุสิบสาม เธอคงรู้สึกผิดถ้าทำอย่างนั้น!


 


 


เธอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจนะ นักเรียนหนิง”


 


 


แสงระยิบระยับส่องประกายในดวงตาดำขลับของหนิงเคอ เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “รอแป๊บหนึ่งนะ ผมจะไปหยิบมาให้”


 


 


หางตาถังซีหรี่ลงขณะมองตามท่าทางร่าเริงของหนิงเคอ เขาจะไม่กลายเป็นแฟนคลับของเธอหรอกหรือ


 


 


แต่ก่อนที่ถังซีจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด เธอก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยนักเรียนหญิงจำนวนมาก รวมทั้งนักเรียนชายด้วย ประกายความประหลาดใจปรากฏในดวงตาเธอ ขณะมองบรรดานักเรียนที่เข้ามาห้อมล้อม เธอเอ่ยถามขึ้นว่า “เอ้อ… มีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ ทุกคน”


 


 


“เธออายุยี่สิบสามจริงๆ หรือ” เด็กชายคนหนึ่งถามอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ แต่บ่นอยู่ในใจ ศูนย์ ศูนย์ แปด ทำไมคุณถึงให้ประกาศนียบัตรมัธยมต้นแก่ฉัน! ขอบคุณมากเลยนะ ที่ทำให้ฉันต้องมาเรียนในโรงเรียนมัธยมปลาย และถูกจ้องมองเหมือนสัตว์ในสวนสัตว์แบบนี้!


 


 


หากใครสักคนได้มาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย หรือนักศึกษาในวิทยาลัยตอนอายุสิบสาม ทุกคนจะเรียกเขาว่า ‘เด็กอัจฉริยะ’ แต่หากคุณยังเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งของโรงเรียนมัธยมปลายตอนอายุยี่สิบสาม ทุกคนจะคิดว่าคุณแปลกประหลาดและโง่เง่า โชคดีที่เธอไม่ได้แสดงความโง่ออกมาในชั้นเรียน ไม่อย่างนั้นคนอื่นต้องดูถูกเธอแน่ๆ


 


 


“ใช่” ถังซีตอบพร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อน “ฉันดูไม่ ‘แก่’ ขนาดนั้นใช่ไหม”


 


 


ทุกคนพยักหน้า ถังซีเลิกคิ้วคิดกับตัวเองว่า คนพวกนี้ถามฉัน เพราะฉันดูไม่เหมือนหญิงสาวอายุยี่สิบสามใช่ไหม


 


 


“ใช่ ถึงแม้เธอจะสวยมาก แต่ก็ดูเหมือนเด็กวัยรุ่น ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะอายุยี่สิบสามแล้ว!” เด็กหญิงคนหนึ่งอุทานออกมา จากนั้นเธอก็ถามว่า “ผิวพรรณเธอดีอย่างนี้เพราะอากาศบนภูเขาดีมากใช่ไหม”


 


 


ผิวเธอนุ่มนวลและอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเด็กทารกเสียอีก และเธอขาวมาก เด็กหญิงคนนี้คงอิจฉาถังซี!


 


 


อากาศบนภูเขาดีมากอย่างนั้นเหรอ


 


 


ถังซีย้อนนึกถึงสภาพเธอตอนกลายเป็นเซียวโหรวใหม่ๆ เธอหัวเราะ ส่ายศีรษะก่อนตอบว่า “ไม่ใช่หรอก บางทีที่ผิวฉันดีอาจเป็นเพราะคุณแม่ชอบหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมาให้ใช้น่ะ”


 


 


เมื่อหนิงเคอกลับมาพร้อมกับสมุดจดบันทึก ก็เห็นเธอถูกห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนนักเรียน เขาจึงยืนอยู่รอบนอก มองดูถังซีตอบคำถามนักเรียนทีละคนด้วยรอยยิ้ม เขาก้มมองสมุดบันทึกในมือและรอต่อไป


 


 


“เซียวโหรว ที่เธอได้เกรดดีอย่างนี้เป็นเพราะเธอเคยเรียนบทเรียนพวกนี้มาก่อนแล้วใช่ไหม” เด็กชายคนหนึ่งถาม “เป็นเพราะครูคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนในชนบทเก่งกว่าครูของเราใช่หรือเปล่า”


 


 


สีหน้าถังซีเปลี่ยนไป เธอไม่แน่ใจว่าเด็กชายคนนี้ไร้เดียงสาจริงๆ หรือจงใจจี้จุดอ่อนเซียวโหรว เธอยิ้มและตอบว่า “เป็นเพราะคุณแม่สอนพิเศษให้ฉัน คุณแม่ของฉันวิเศษมาก!”


 


 


“ว้าว… เซียวโหรว คุณแม่เธอยอดเยี่ยมจังเลย!” นักเรียนหญิงหลายคนอุทาน “ท่านทำซุปบำรุงความงามให้เธอ แล้วยังสอนหนังสือให้เธออีก!”


 


 


ถังซียิ้ม และคุยโม้ถึงคุณแม่ของเธอ “ใช่แล้ว คุณแม่ฉันยอดเยี่ยมมาก ทุกคนดูได้จากพี่ๆ ของฉัน”


 


 


“นี่เซียวโหรว คุณครูบอกไว้เมื่อตอนเริ่มเปิดภาคเรียนว่า เราจะเลือกหัวหน้าชั้นกันปลายเดือนกันยา เธอทำคะแนนสอบได้ดีและอายุมากกว่าพวกเรา เธอต้องเป็นผู้ใหญ่กว่าเรามากแน่ๆ เธอเป็นหัวหน้าชั้นเรียนของเราได้ไหม” เด็กหญิงคนหนึ่งมองหน้าถังซีด้วยความคาดหวังเล็กน้อย ขณะถามเรื่องนี้


 


 


เนื่องจากหัวหน้าชั้นเรียนต้องช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นโดยไม่มีเงื่อนไข เธอจึงสามารถขอให้เซียวโหรวช่วยติวคณิตศาสตร์ให้ได้ เธอไม่เก่งคณิตศาสตร์ แต่ได้เข้าเรียนในชั้นเรียนพิเศษเพราะเกรดวิชาอื่นของเธอดี หากเธอสามารถพัฒนาผลการเรียนคณิตศาสตร์ได้ เธอจะติดอันดับหนึ่งในสิบอันดับแรกตลอดทั้งปี


 


 


“ต้องขอโทษด้วยนะ ฉันอาจสอบข้ามชั้นในเดือนตุลา” ถังซีตอบ พร้อมกับมองเหล่านักเรียนที่อยู่ล้อมรอบด้วยรอยยิ้ม “ขอบใจมากนะ แต่ฉันแก่กว่าพวกเธอทุกคน ฉันเลยจำเป็นต้องข้ามเกรด”


 


 


นักเรียนทุกคนดูผิดหวัง ถังซียิ้มและให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่า พวกเรายังเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ดีและสามารถเป็นเพื่อนกันได้ แม้เธอจะข้ามเกรดไปแล้ว หลังจากนักเรียนแยกย้ายกันออกไปหนิงเคอก็เข้ามาพร้อมกับสมุดจดบันทึก เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดมองถังซีและถามว่า “เธอกำลังจะสอบข้ามเกรดหรือ”


 


 


ถังซีพยักหน้า “ใช่ จริงๆ แล้วฉันอายุมากพอที่จะเป็นน้าเธอได้เลยนะ แต่เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ฉันเลยไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายตามที่หวังไว้ ตอนนี้เมื่อฉันได้เข้าเรียนแล้ว และเกรดของฉันก็ใช้ได้ ฉันจึงอยากได้รับประกาศนียบัตรโดยเร็วที่สุด จะได้หางานทำ”


 


 


หนิงเคอขมวดคิ้ว น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”


 


 


ถังซีรู้ว่าเขากำลังพูดถึงเซียวจิ้นหนิง แต่ในตอนแรกเซียวจิ้นหนิงก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วตนเองไม่ใช่ลูกสาวตระกูลเซียว เธอจึงยิ้มและตอบว่า “ไม่ใช่หรอก ไปโทษเธอไม่ได้ในเรื่องนี้ แม่ผู้ให้กำเนิดฉันเข้าใจผิดสลับตัวฉันกับเธอ เซียวจิ้นหนิงไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเธอ”


 


 


ใบหน้าหนิงเคอเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมยิ่งขึ้น “เธอสมควรถูกกล่าวโทษอย่างยิ่ง เพราะเธอขโมยสิ่งที่ควรเป็นของเซียวโหรวไป”


 


 


ถังซีส่ายศีรษะขณะมองหน้าเด็กชายผู้ดื้อรั้นตรงหน้า จากนั้นก็รับสมุดจดบันทึกมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะ นี่ถ้าเธอมีเวลาก็ออกไปเที่ยวกับพี่ชายเธอและเพื่อนๆ เขาบ้างสิ จะได้พักผ่อนบ้าง ฉันออกไปสังสรรค์กับพวกเขาบ่อยๆ เหมือนกัน”


 


 


“พี่ชายผมหรือ” หนิงเคอขมวดคิ้ว “เธอรู้จักพี่ชายผมด้วยหรือ”


 


 


ถังซีแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าหนิงเคอ และยิ้มเมื่อตอบว่า “ใช่ หนิงเหยี่ยนกับฉันเป็นเพื่อนกัน เราออกไปสังสรรค์กันบ่อยๆ เธอไปร่วมกับพวกเราได้นะ”


 


 


หนิงเคอมองหน้าถังซีแล้วถามด้วยความประหลาดใจ “เธอไม่ต้องทบทวนบทเรียนหรอกหรือ”


 


 


ถังซีนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “…ทุกคนต้องได้พักผ่อนหย่อนใจบ้าง หลังจากพักผ่อนเพียงพอแล้ว เราจะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพสมองได้ดีขึ้น ดูฉันสิ ฉันเก่งคณิตศาสตร์กว่าเธอ เพราะฉันไม่ได้เรียนอย่างเครื่องจักร ฉันมักจะเรียนสลับกับพักผ่อน ซึ่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนได้ดี”


 


 


หนิงเคอทำปากยื่น แล้วตอบว่า “ผมจะลองดู” จากนั้นเขาก็ผละไป


 


 


ถังซีมองตามร่างหนิงเคอที่กำลังเดินห่างออกไป ดวงตาเธอฉายแวววิตกกังวล เธอเพิ่งจะแนะนำเด็กดีให้เหลวไหลหรือเปล่า


 


 


แต่หนิงเหยี่ยนเคยบอกนี่นาว่าหนิงเคอเป็นเด็กอัจฉริยะ เขาคงไม่คะแนนตกเพียงเพราะเอาเวลาไปพักผ่อนหย่อนใจบ้างหรอกจริงไหม อย่างไรก็ตามเมื่อคิดเช่นนี้ถังซีก็ตะโกนไล่หลังหนิงเคอ “เฮ้ นักเรียนหนิง จริงๆ แล้วการเรียนหนักก็เป็นสิ่งที่ดีนะ เธออาจเอาเวลาไปเล่นหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วก็ได้” 

 

 


ตอนที่ 132 สองคุณแม่

 

ถังซีรู้สึกสดชื่นหลังเลิกเรียนช่วงเช้า เธอพบว่าเธอรู้สึกมีพลังเมื่อรายล้อมไปด้วยเด็กๆ เหล่านี้ แม้พวกเขาจะมีท่าทางสนใจเหมือนแอบชอบเธอ และมีการทะเลาะวิวาทกันเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไร้เดียงสาและเธอไม่ถือแต่อย่างใด


 


 


ทันใดนั้นเด็กชายคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวออกจากห้องเรียนก็หันหลังกลับมา และตะโกนบอกถังซี “เซียวโหรว แม่เธอเอาอาหารกลางวันมาให้แน่ะ!”


 


 


ถังซีมองไปที่ประตูห้องเรียน เห็นหยางจิ้งเสียนเดินหิ้วกล่องอาหารกลางวันเก็บความร้อนเข้ามา ดวงตาถังซีเป็นประกายสดใสขึ้นทันที เธอลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหยางจิ้งเสียน ท่ามกลางสายอิจฉาของเพื่อนร่วมชั้น เธอถามว่า “คุณแม่ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะคะ”


 


 


“แม่เอาซุปที่แม่ทำมาให้หนูไงจ๊ะ หนูเพิ่งฟื้นจากอาการป่วย ทานอาหารกลางวันทั่วไปในโรงเรียนไม่ได้หรอก เราไปที่ห้องกรรมการโรงเรียนกันเถอะ พี่จิ่งมีห้องทำงานอยู่ที่นี่ หนูไปทานอาหารกลางวันที่นั่นได้” เธอเดินออกไปพร้อมกับมือหนึ่งหิ้วกล่องอาหารกลางวันเก็บความร้อน อีกมือหนึ่งจูงมือถังซี


 


 


ถังซีเดินไปที่ห้องกรรมการโรงเรียน ภายใต้สายตาอิจฉาของนักเรียนคนอื่นๆ


 


 


นักเรียนในโรงเรียนนี้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยหรือมีอำนาจทั้งนั้น แม้ทุกคนจะมีชีวิตที่ดี แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยู่บ้านทบทวนบทเรียน สอนการบ้านให้ลูกๆ หรือทำอาหารกลางวันมาส่งให้ลูกๆ ที่โรงเรียนด้วยตัวเอง


 


 


ถังซีสัมผัสได้ถึงสายตาอิจฉาของเพื่อนร่วมชั้นเรียน ระหว่างทางเธอกระซิบกับหยางจิ้งเสียนด้วยความเขินอายเล็กน้อย “คุณแม่คะ คุณแม่ไม่ต้องเอาอาหารกลางวันมาส่งให้หนูก็ได้ค่ะ อาหารกลางวันที่โรงเรียนเราจัดเตรียมไว้ก็มีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอนะคะ คุณแม่จะลำบากเกินไปถ้าต้องเอาอาหารมาส่งให้หนูแบบนี้”


 


 


หยางจิ้งเสียนแตะปลายจมูกถังซีอย่างรักใคร่และตอบว่า “ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลยสำหรับแม่ การนำอาหารกลางวันมาให้ลูก เป็นสิ่งที่ทำให้แม่มีความสุขที่สุดในทุกสิ่งที่แม่เคยทำมา แม่อยากนำอาหารกลางวันมาให้พี่ๆ ของลูก แต่พวกเขาไม่ชอบให้แม่ทำอย่างนั้น แม่รู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว ลูกไม่อยากให้แม่มาหาลูกเหรอจ๊ะ โหรวโหรว”


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ หนูอยากให้คุณแม่มาหาหนูค่ะ คุณแม่คะ…”


 


 


“เซียวโหรว…” เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งมาหา และชี้ไปที่ประตูทางเข้าโรงเรียน พร้อมกับตะโกนบอกเธอ “ผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นแม่ของเธอเอาอาหารกลางวันมาให้เธอ ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ประตูโรงเรียน…” เธอมองหน้าหยางจิ้งเสียน ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวต่อไปจนจบ “เอ้อ… หนูอาจเข้าใจผิดไปค่ะ”


 


 


ถังซีมองหยางจิ้งเสียนซึ่งยิ้มตอบพร้อมกับกล่าวเบาๆ “อาจเป็นแม่แท้ๆ ของหนู ให้เธอเข้ามาเถอะ เธอคงนำอาหารกลางวันมาให้หนูเหมือนกัน จะเสียมารยาทนะจ๊ะ ถ้าบอกให้เธอนำกลับไป” จากนั้นเธอก็หยุด ก่อนจะกล่าวต่อไป “เธอไม่เคยนำอาหารกลางวันมาให้ผู้หญิงคนนั้นมาก่อนเลย”


 


 


ถังซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองหน้าหยางจิ้งเสียนแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเราไปหาเธอกันค่ะ”


 


 


ที่ประตูโรงเรียน เมื่อหลินหรูเห็นหยางจิ้งเสียน ความประหลาดใจก็แวบเข้ามาในดวงตา เธอยิ้มให้ หยางจิ้งเสียน ก่อนจะหันไปมองถังซี ยิ้มออกมาอย่างเคอะเขินนิดๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงปิติยินดี “โหรวโหรว นี่เป็นซุปไก่ใส่ตังกุยจ้ะ แม่ทำให้หนู แม่ตั้งใจเอาไปให้ที่บ้าน แต่ไม่เจอหนู เลยลองมาที่นี่ดู” เธอหันไปหาหยางจิ้งเสียน แล้วมองไปที่กล่องอาหารกลางวันในมือหยางจิ้งเสียน “ฉันไม่คิดว่าเธอก็จะมาที่นี่เหมือนกัน”


 


 


หยางจิ้งเสียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “โหรวโหรวร่างกายยังอ่อนแอ แต่ยืนกรานว่าจะมาเรียน ฉันก็เลยเอาอาหารกลางวันมาให้” จากนั้นเธอก็กล่าวเสริม “ฉันทำซุปซี่โครงวัวกับอาหารทอดสองสามอย่างมา ไม่ได้ทำซุปไก่ใส่ตังกุย เราไปที่ห้องกรรมการโรงเรียนกันเถอะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าหยางจิ้งเสียนอยู่ที่นี่แล้ว หลินหรูจึงคิดว่าเธอน่าจะกลับไปหลังจากส่งซุปที่เธอทำให้เซียวโหรว แต่เมื่อได้ยินหยางจิ้งเสียนขอให้เธอไปทานอาหารกลางวันกับเซียวโหรว นัยน์ตาเธอก็สดใสขึ้นทันที เธอรีบพยักหน้าแล้วตอบว่า “ตกลง ฉันว่างบ่ายวันนี้”


 


 


ถังซีมองหน้าหลินหรูและเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


 


 


แม้ถังซีจะปฏิบัติต่อเธออย่างสุภาพมาสักพักแล้ว แต่หลินหรูก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ เมื่อได้ยินถังซีกล่าวขอบคุณเธอ ดวงตาเธอแดงเรื่อขณะพยักหน้ารับและกล่าวว่า “เด็กดี นี่คือสิ่งที่แม่ควรทำให้หนู”


 


 


หยางจิ้งเสียนมองหน้าหลินหรู ถังซียิ้มอย่างเคอะเขินขณะเดินไปข้างๆ หยางจิ้งเสียน


 


 


เธอไม่ใช่เซียวโหรวตัวจริง จึงไม่รู้ว่าเซียวโหรวตัวจริงจะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ เธอคือถังซี และได้ใกล้ชิดกับหยางจิ้งเสียนมาตั้งแต่ต้น เธอจึงไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรดี


 


 


เมื่อทั้งสามมาถึงห้องทำงานกรรมการของเซียวจิ่ง หลินหรูก็เริ่มหาหัวข้อสนทนา “เซียวจิ่งเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป แต่ยังเป็นกรรมการบริหารโรงเรียนมัธยมตี้อีตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะแบบนี้เราจึงไม่ต้องเป็นห่วงโหรวโหรว ที่เธอมาเรียนที่โรงเรียนนี้”


 


 


หยางจิ้งเสียนหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “โหรวโหรวเข้าเรียนที่นี่ได้ เพราะความสามารถของเธอเองจ้ะ”


 


 


ทั้งสองจัดอาหารให้ถังซีไปพลางขณะพูดคุยกัน พวกเธอจัดวางชามซุปและอาหารอื่นๆ อีกหลายจาน ซึ่งมีทั้งหมดแปดหรือเก้าจาน ถังซีมองดูอาหารบนโต๊ะ แล้วหันไปมองคุณแม่ทั้งสองที่นั่งอยู่ที่โซฟา เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หนูทานคนเดียวไม่หมดหรอกค่ะ ทำไมคุณแม่ไม่มาทานกับหนูล่ะคะ”


 


 


หลินหรูชะงัก …เธอจะได้ทานอาหารกับโหรวโหรวหรือ


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ทานอาหารกับลูกสาว


 


 


โอ… ทำไมจู่ๆ เธอถึงรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา


 


 


หยางจิ้งเสียนมองดูจานอาหารบนโต๊ะแล้วยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วย “ตกลงจ้ะ”


 


 


หยางจิ้งเสียนหยิบช้อนส้อมและตะเกียบที่เธอนำมาขึ้นมา หลินหรูก็ทำอย่างนั้นเช่นกัน ถังซีฉีกถุงเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่หยางจิ้งเสียนนำมา ส่งตะเกียบให้คุณแม่ และตัวเธอเองใช้ช้อนส้อม จากนั้นหญิงสาวก็เห็นหลินหรูฉีกซองตะเกียบของตนเอง ถังซียิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะค่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”


 


 


ถังซีแบ่งอาหารของเธอออกเป็นสองส่วน ตักส่วนหนึ่งให้หยางจิ้งเสียน ขณะที่หลินหรูตักอาหารในกล่องของตนให้ถังซี ถังซีมองหน้าหลินหรูแล้วขอบคุณ ก่อนจะเริ่มรับประทานกัน


 


 


ในการทานอาหารมื้อนี้กับคุณแม่ทั้งสอง ถังซีรู้สึกเขินเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจในเวลาเดียวกัน ทุกครั้งที่หยางจิ้งเสียนคีบอาหารทาน เธอจะใช้ตะเกียบของเธอคีบให้ถังซีด้วย เพราะกลัวว่าถังซีจะตักด้วยช้อนไม่สะดวก ขณะที่หลินหรูน้ำตาไหลรินเมื่อคีบหารเข้าปาก เป็นความรู้สึกอบอุ่นหัวใจเหลือเกินที่ได้ทานอาหารกับลูกสาว เธอสะอื้นเมื่อหยางจิ้งเสียนคีบตับหมูชิ้นหนึ่งวางลงในกล่องของเธอ และกระซิบว่า “นี่เป็นเวลาที่มีความสุขนะอาหรู อย่าร้องไห้สิ โหรวโหรวกำลังมองเธออยู่”


 


 


หลินหรูยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขอโทษถังซี ถังซียิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะที่เอาอาหารกลางวันมาให้หนู แต่พรุ่งนี้ได้โปรดอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ”


 


 


“ไม่ หนูยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และไม่ดีต่อสุขภาพที่จะทานอาหารจานด่วนที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้ให้” คุณแม่ทั้งสองกล่าวเกือบจะพร้อมกัน


 


 


ทั้งสองชะงัก มองหน้ากันและกัน เมื่อมาถึงจุดนี้หยางจิ้งเสียนก็รู้สึกว่า พี่สะใภ้ของเธอไม่ได้น่ารำคาญเหมือนเมื่อก่อนนี้เลย


 


 


และหลินรูก็รู้สึกว่าน้องสะใภ้ของเธอไม่ได้เย่อหยิ่งอย่างที่เธอคิด ในความเป็นจริงหยางจิ้งเสียนค่อนข้างเข้ากับคนง่ายด้วยซ้ำ


 


 


ถังซียิ้ม “ตกลงค่ะ คุณแม่นำอาหารกลางวันมาให้หนูก็ได้ค่ะ ถ้าอยากมา” 

 

 


ตอนที่ 133 ฉินซินหยิ่ง

 

ขณะที่ถังซีกำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลาแสนอบอุ่นกับคุณแม่ทั้งสองภายในโรงเรียน ด้านนอกโรงเรียนเซียวจิ้นหนิงนั่งอยู่ในรถ กำพวงมาลัยรถแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำไม! ทำไมคุณแม่ถึงทำอย่างนี้กับฉัน! คุณแม่พูดไม่ใช่หรือว่าถึงแม้เซียวโหรวจะกลับมา คุณแม่ก็จะยังคงปฏิบัติต่อฉันในฐานะลูกสาวแท้ๆ คุณแม่บอกฉันไม่ใช่หรือว่าฉันจะยังคงเป็นลูกสาวตระกูลเซียว ถึงแม้มันจะกลับมา! ทำไมตอนนี้คุณแม่ถึงทำกับฉันแบบนี้! ทำไมถึงสนใจแต่เซียวโหรวแบบนี้ ทำไม!


 


 


เซียวโหรว! เซียวโหรว! แกมาปรากฏตัวทำไม! แกมาปรากฏตัวทั้งๆ ที่มีฉันอยู่ทำไม! ทำไมแกถึงมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของฉันไป!


 


 


เซียวจิ้นหนิงมองไปที่นักข่าวรอบๆ ประตูโรงเรียน คนพวกนี้กำลังรอให้เซียวโหรวออกมาเพื่อจะสัมภาษณ์ แล้วเขียนข่าวตามที่เซียวโหรวบอก ทำให้เธอเสียชื่อเสียง!


 


 


นักข่าวที่เคยไล่ล่าและบูชาเธอทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว รออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนทั้งวันเพื่อรวบรวมเนื้อหาข่าว และเขียนบทความเพื่อทำลายชื่อเสียงเธอ มีอะไรดีหรือในตัวเซียวโหรว ที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายทั้งๆ ที่อายุยี่สิบสาม เซียวโหรวเป็นเพียงความอับอายของตระกูลเซียว! ทำไมคนตระกูลเซียวถึงตาบอดยอมรับผู้หญิงคนนี้เข้ามาในตระกูล เธอต่างหากที่เป็นลูกสาวตระกูลเซียวผู้นำความภาคภูมิใจมาสู่ตระกูล และมีเพียงเธอเท่านั้นที่ควรได้รับเกียรติจากพวกเขา ทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าใจในเรื่องนี้…


 


 


เซียวโหรว… เซียวโหรว! ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่! ฉันไม่มีวันปล่อยแกไป!


 


 


เซียวจิ้นหนิงเหยียบคันเร่งอย่างแรง รถพุ่งออกไปข้างหน้า นักข่าวที่ประตูโรงเรียนรู้สึกได้ถึงแรงลมที่พัดกระโชก และเห็นเพียงท้ายรถยนต์คันหนึ่งขับออกไป พวกเขารีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แต่รถหายลับสายตาไปแล้ว


 


 


นักข่าวสาวคนหนึ่งมองไปที่ถนนซึ่งมีรอยยางรถยนต์ทิ้งไว้ และกล่าวพึมพำว่า “เมื่อกี้ฉันเห็น… เซียวจิ้นหนิง…”


 


 


นักข่าวที่รวมกลุ่มกันอยู่เริ่มถกเถียงถึงเหตุการณ์นี้ทันที “เซียวจิ้นหนิงหรือ”


 


 


“คุณเห็นไม่ผิดใช่ไหม”


 


 


“ไม่ผิดหรอก!”


 


 


“มาเลย ถ่ายรูปและเขียนบทความเลย เซียวจิ้นหนิง ลูกสาวตัวปลอม ไปที่ประตูโรงเรียนเพื่อหาเรื่องเซียวโหรว ลูกสาวตัวจริง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปด้วยความโกรธ”


 


 


“เธอต้องมาที่นี่เพื่อข่มเหงรังแกเซียวโหรวแน่ๆ แต่เป็นเพราะมีพวกเรารออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน เธอเลยต้องหลบไป มาเร็ว ถ่ายภาพรอยล้อรถนี่แหละ”


 


 


“แต่ถึงยังไงก็มีกล้องวงจรปิดที่ประตูโรงเรียนไม่ใช่หรือ โทรหาตำรวจ แจ้งตำรวจว่ามีการชนแล้วหนีที่นี่สิ!”


 


 


นักข่าวพยายามทุกวิถีทางที่จะทำได้ เพื่อช่วยกันจับตัวเซียวจิ้นหนิง


 


 


ตำรวจในพื้นที่และตำรวจจราจรมาถึงในไม่ช้า นักข่าวรีบกรูเข้าไปหาพวกเขา “คุณตำรวจตรวจดูกล้องวงจรปิดหรือยังครับ”


 


 


“คุณตำรวจ ระบุตัวผู้กระทำผิดจากกล้องวงจรปิดได้หรือยังครับ”


 


 


“คุณตำรวจ คนๆ นั้นขับรถชนเด็กนักเรียนหรือเปล่า”


 


 


“คุณตำรวจ…”


 


 


ตำรวจหน้าบึ้ง ท่าทางโกรธเล็กน้อยเมื่อถามว่า “พวกคุณใช่ไหมที่แจ้งตำรวจ ใครเป็นคนแจ้ง”


 


 


ตำรวจไม่รู้จะพูดอย่างไรดี พวกเขาตรวจดูวิดีโอของกล้องวงจรปิดหลังจากได้รับโทรศัพท์ พบแค่ผู้หญิงคนหนึ่งขับรถพุ่งออกไป แต่ไม่มีเหตุการณ์ชนแล้วหนีแต่อย่างใด มีนักข่าวมากมายอยู่ที่นี่ ต้องเป็นหนึ่งในพวกเขาที่แจ้งความเท็จ!


 


 


“ไม่มีนี่คะ พวกเรามาที่นี่หลังจากได้ยินข่าว เราแค่ต้องการสัมภาษณ์เพื่อพาดหัวข่าวสังคม” นักข่าวสาวคนหนึ่งตะโกนบอก


 


 


นักข่าวคนอื่นๆ พูดเป็นเสียงเดียวกับเธอ


 


 


พวกตำรวจต่างกลอกตา นักข่าวเหล่านี้ตะโกนกันไปมาข้ามหัวพวกเขา ตำรวจเห็นจากวิดีโอแล้วว่าพวกนักข่าวมารออยู่ที่นี่… แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นปาปารัสซี่มาสัมภาษณ์หัวข้อข่าวสังคม ใครจะเชื่อ!


 


 


“อย่ามารวมตัวกันที่นี่ โรงเรียนเป็นสถานที่สอนหนังสือแก่เด็กๆ ไม่ใช่สถานที่หาข่าว อย่ามารบกวนเด็กนักเรียนที่นี่ ถ้าพวกคุณต้องการทำข่าวก็ไปที่สนามบิน หรือตามกองถ่ายหนังโน่น อย่ามาออกันอยู่หน้าประตูโรงเรียนแบบนี้!”


 


 


นักข่าว “…” คุณตำรวจนี่ช่างรู้ไปหมดเสียจริงๆ !


 


 


นักข่าวคนหนึ่งยังดื้อด้าน “คุณตำรวจ ช่วยกรุณาตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเราได้ไหมครับ มีการชนแล้วหนีเกิดขึ้นที่นี่จริงๆ หรือเปล่า มีนักเรียนบาดเจ็บไหม”


 


 


“ไม่มี! ไม่มีใครถูกรถชนทั้งนั้น มีแต่คนขับรถผิดกฎหมาย กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว!” คราวนี้คุณตำรวจดูโกรธจริงๆ


 


 


หลังจากนักข่าวแยกย้ายกันไป ตำรวจจราจรก็โทรหาเซียวจิ้นหนิง…


 


 



 


 


ที่แผนกออกแบบเสื้อผ้า เฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป


 


 


ในฐานะนักออกแบบแฟชั่น ฉินซินหยิ่งได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่บุคคลที่เป็นผู้นำทางแฟชั่นในต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป จึงขอให้ฉินซินหยิ่งมาเป็นนักออกแบบพิเศษให้กับบริษัท เธอไม่ยอมรับในทีแรก แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าไม่มีโอกาสใดที่เธอจะได้เข้าร่วมงานกับเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป ถ้าเธอไม่รับตำแหน่งนี้ เธอจึงต้องทำงานที่แผนกออกแบบเสื้อผ้าของบริษัท เธอต้องอยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะเข้าใกล้เฉียวเหลียงได้


 


 


ด้วยตำแหน่งนักออกแบบพิเศษที่ได้รับเชิญมา เธอไม่สามารถบริหารจัดการแผนกออกแบบของเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปได้ แต่เธอก็พอใจที่ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับนักออกแบบแถวหน้า เธอมีห้องทำงานส่วนตัว และมีผู้ช่วยออกแบบด้วย


 


 


ตอนนี้ฉินซินหยิ่งนั่งอยู่ในห้องทำงานของเธอ หน้านิ่วคิ้วขมวดอ่านข่าวบนอินเตอร์เน็ทอยู่ที่โซฟา ผู้หญิงที่เธอพบเมื่อวานนี้สวยมากจนเธอรู้สึกกลัว เหมือนกับที่เธอรู้สึกเวลาเฉียวเหลียงกับถังซีอยู่ด้วยกัน และเธอรู้สึกว่าเธอกำลังจะเสียเฉียวเหลียงไป…


 


 


ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร…


 


 


เซียวโหรว…


 


 


เมื่อวานนี้อาห้าเรียกเธอว่าคุณเซียวโหรว เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนั้นต้องชื่อ เซียวโหรว!


 


 


เธอได้เห็นข่าวอื้อฉาวของเซียวจิ้นหนิงดาราดังในข่าววันนี้ ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเซียวโหรว…


 


 


ฉินซินหยิ่งลุกขึ้นนั่งตัวตรง แล้วพิมพ์ชื่อเซียวโหรวกับเซียวจิ้นหนิงในคอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นข่าวเรื่องลูกสาวตัวจริงลูกสาวตัวปลอมก็โผล่ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


 


สิบห้านาทีต่อมาประกายเยือกเย็นก็วาววับในดวงตาฉินซินหยิ่ง เธอยิ้มออกมาอย่างเย็นชา คว้าโทรศัพท์มือถือมาโทรหาใครบางคน “ค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของเซียวจิ้นหนิง”


 


 


เซียวจิ้นหนิงสวมหน้ากากและหมวก นั่งอยู่ในร้านกาแฟบนหลังคาตึกสปริงออฟปารีส เธอมองหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งแต่งหน้าจัดและมีรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ฉันไม่รู้จักคุณ คุณต้องการอะไรจากฉัน”


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม ตอบว่า “คุณเซียว… โอ! ไม่ใช่สิ คุณเหยา ถึงคุณจะไม่รู้จักฉัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่รู้จักคุณ”


 


 


เมื่อเซียวจิ้นหนิงได้ยินฉินซินหยิ่งเรียกเธอว่าคุณเหยา ประกายเยือกเย็นก็วาววับผ่านดวงตาเธอ และเธอกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง “คนทั่วไปมากมายรู้จักฉัน!”


 


 


ฉินซินหยิ่งจิบกาแฟ ยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ “แต่ไม่มีใครช่วยคุณ”


 


 


เซียวจิ้นหนิงขมวดคิ้ว หรี่ตาลงเมื่อถามว่า “คุณหมายความว่ายังไง”


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม วางถ้วยกาแฟในมือลง แล้วมองหน้าเซียวจิ้นหนิง “คุณเซียว คุณเกลียดเซียวโหรวใช่ไหม คุณต้องการแทนที่เธอใช่ไหม ฉันช่วยคุณได้”


 


 


“คุณต้องการทำอะไร”


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้มและตอบว่า “ฉันไม่ได้ต้องการทำอะไรเลย ฉันแค่เห็นว่าคุณน่าเวทนา และอยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิต ฉันก็เลยอยากช่วยคุณ” 

 

 


ตอนที่ 134 นัดพบ

 

การที่เซียวจิ้นหนิงประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงมาเป็นเวลาหลายปี เธอไม่ใช่แค่พึ่งอิทธิพลของตระกูลหลิวและตระกูลเซียวเท่านั้น เธอเองก็มีความสามารถทางนี้อยู่บ้างเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซินหยิ่งเธอก็ลุกขึ้นยืนหัวเราะเยาะ พร้อมกับกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”


 


 


เธอรู้ว่าไม่มีอาหารกลางวันมื้อไหนฟรี แม้ผู้หญิงคนนี้จะพูดเพียงไม่กี่คำ เธอก็บอกได้เลยว่าหล่อนไม่ชอบเซียวโหรว และเกลียดเซียวโหรวมากเท่าๆ กับที่เธอเกลียด ฉินซินหยิ่งกล้าดียังไงมาวางท่าเหนือเธอบอกว่าจะช่วยเธออย่างนี้


 


 


แม้เธอจะไม่ค่อยฉลาด แต่เธอก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้พยายามใช้เธอเป็นเครื่องมือ ใช่… เธอต้องการจัดการเซียวโหรว แต่นั่นเป็นเรื่องของเธอ และเธอจะไม่ทำตามคำสั่งของผู้หญิงคนนี้


 


 


เมื่อเห็นเซียวจิ้นหนิงลุกขึ้น ฉินซินหยิ่งก็ยิ้ม พร้อมกับเปลี่ยนท่านั่ง หันไปมองตามหลังเซียวจิ้นหนิง และขยับริมฝีปากแดงฉ่ำกล่าวว่า “คุณเหยา การยอมรับข้อเสนอของฉัน ไม่กระทบอะไรต่อวิธีของคุณที่จะจัดการกับเซียวโหรวไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับล่ะ เพราะถึงยังไงคุณก็จะจัดการกับเธออยู่ดี”


 


 


เสียงฝีเท้าเซียวจิ้นหนิงหยุดลง เธอหันกลับมามองฉินซินหยิ่งอย่างพิจารณา และขมวดคิ้วถาม “คุณเป็นใคร ต้องการจะทำอะไร”


 


 


ฉินซินหยิ่งมองไปยังที่นั่งตรงกันข้ามกับเธอ หยิบนามบัตรออกจากกระเป๋าถือ พร้อมกับบอกให้เซียวจิ้นหนิงนั่งลง เซียวจิ้นหนิงมองหน้าฉินซินหยิ่ง ก่อนจะเดินกลับไปดึงเก้าอี้แล้วนั่งลงอีกครั้ง ฉินซินหยิ่งยื่นนามบัตรของเธอให้เซียวจิ้นหนิง และกล่าวว่า “นี่นามบัตรฉัน คุณดูก่อนก็ได้”


 


 


เซียวจิ้นหนิงหยิบนามบัตรจากโต๊ะขึ้นมาดูด้วยท่าทางลังเล หลังจากความประหลาดใจไหวระริกไปทั่วดวงตา เธอก็เงยหน้าขึ้นมองฉินซินหยิ่งและถามว่า “เฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปหรือ”


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้มและไม่พูดอะไร เป็นการยอมรับตัวตนของเธอ เซียวจิ้นหนิงยังคงมองดูนามบัตรต่อไป เมื่อเห็นชื่อ ‘ฉินซินหยิ่ง’ ดวงตาเธอก็เบิกกว้าง เธอเงยหน้ามองฉินซินหยิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณคือดีไซเนอร์ฉินหรือ”


 


 


ทุกวันนี้ไม่มีนักออกแบบในประเทศที่มีชื่อเสียงมากมายนัก แต่ชื่อของฉินซินหยิ่งเป็นที่กล่าวขานในหมู่นักแสดงหญิงในประเทศส่วนใหญ่ เพราะเธอมีชื่อเสียงระดับนานาชาติจากรองเท้าที่เธอออกแบบ เธอไม่มียี่ห้อของตัวเองเพราะเธอบอกว่า เธอเป็นแค่นักออกแบบเสื้อผ้า ไม่ใช่ผู้ก่อตั้งแบรนด์ สิ่งที่เธออยากทำคือการออกแบบ มากกว่าการทำงานด้านบริหารจัดการ คำพูดของเธอดึงดูดความสนใจของนักออกแบบจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ นักออกแบบต่างประเทศจำนวนมากจึงเรียกเธอว่าดีไซเนอร์ฉิน แทนที่จะเรียกชื่อเมื่อพบเจอกับเธอ


 


 


ฉินซินหยิ่งเคยทำงานให้กับแผนกออกแบบเสื้อผ้าของเอ็มไพร์กรุป และออกแบบเสื้อผ้ายอดนิยมหลายชุด ในช่วงเวลานั้นเธอยังได้ออกแบบเครื่องประดับ ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นทั่วโลกอีกด้วย


 


 


ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเซียวจิ้นหนิงไม่ได้ยินข่าวฉินซินหยิ่งเลย เธอคิดว่าแรงบันดาลใจของนักออกแบบที่มีพรสวรรค์คงมีเวลาแห้งเหือด แต่ท่ามกลางความประหลาดใจของเธอ ฉินซินหยิ่งได้ออกจากเอ็มไพร์กรุป มาทำงานให้เฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุป ซึ่งมีศักยภาพมากโดยเฉพาะในเมือง A …


 


 


เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา ประกายตาเซียวจิ้นหนิงกลับกระตือรือร้นขึ้นเมื่อจ้องมองฉินซินหยิ่ง เธอกล่าวว่า “คุณฉิน ฉันชอบเสื้อผ้าที่คุณออกแบบมาก ฉันซื้อเสื้อผ้าของคุณหลายชุด และเก็บไว้ในกลุ่มเสื้อผ้าชุดโปรดของฉัน ฉันชอบเสื้อผ้าพวกนั้นมาก จนฉันเก็บไว้อย่างดีในตู้เสื้อผ้า และไม่ยอมหยิบมาใส่”


 


 


ฉินซินหยิ่งยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นถามว่า “จริงเหรอคะ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ร่องรอยการดูถูกแวบผ่านดวงตาเธอ


 


 


เซียวจิ้นหนิงมองฉินซินหยิ่งด้วยสายตาชื่นชม “ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้พบคุณในเมือง A” เธอมองดูนามบัตรของฉินซินหยิ่ง “คุณจะอยู่ในเมือง A นานแค่ไหน”


 


 


ท้ายที่สุดแล้วนักออกแบบพิเศษที่ได้รับเชิญมา มักจะไม่ใช่พนักงานประจำ…


 


 


แสงแวววาวเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตาฉินซินหยิ่ง เธอกล่าวด้วยสำเนียงเยาะหยัน “คุณเหยา คุณคิดว่าฉันไม่สามารถมีอิทธิพลต่อผู้คนที่นี่ ถ้าฉันไม่ได้อยู่ในเมือง A อย่างนั้นหรือ”


 


 


เซียวจิ้นหนิงยิ้มในเชิงขอโทษและตอบว่า “ไม่เลย…”


 


 


ฉินซินหยิ่งเป็นลูกสาวตระกูลฉินในเมืองหลวง ถึงแม้ครอบครัวฉินจะไม่ทรงอิทธิพล แต่ฉินซินหยิ่งก็เป็นเพื่อนสนิทของถังซี ทายาทเอ็มไพร์กรุป ทุกคนรู้ดีว่าเอ็มไพร์กรุปทรงอิทธิพลเพียงไร! เอ็มไพร์กรุปเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติ ซึ่งแม้แต่เฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปก็สู้ไม่ได้ เอ็มไพร์กรุปมีสาขาอยู่ทั่วทุกมุมโลก ถังเจิ้นหวา ประธานเอ็มไพร์กรุปเป็นตำนานแห่งโลกธุรกิจ ไม่เพียงแต่นิตยสารเดอะนิวยอร์กเกอร์จะตีพิมพ์เรื่องราวของเขาเป็นฉบับพิเศษเท่านั้น นิตยสารเดอะไทมส์ก็ตีพิมพ์ด้วยเช่นกัน


 


 


และบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้มีหลานสาวเพียงคนเดียว เขารักหลานสาวอย่างยิ่ง และปรนเปรอให้ทุกสิ่งที่เธอต้องการ ทุกคนมักจะแสดงความตื่นตาตื่นใจเมื่อพูดถึงอาณาจักรความบันเทิงที่เขาสร้างขึ้นให้หลานสาว หลายคนอยากมีโอกาสไปเห็นด้วยตาตัวเอง


 


 


บังเอิญว่าฉินซินหยิ่งเป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวผู้เติบโตขึ้นมาในปราสาท และได้รับการยกย่องจากวงสังคมให้อยู่ในฐานะเสมือนเจ้าหญิง ที่สำคัญกว่านั้นคือ ถังซีจะให้ทุกอย่างที่ฉินซินหยิ่งร้องขอจากเธอ


 


 


ฉินซินหยิ่งพอใจมากกับปฏิกิริยาของเซียวจิ้นหนิง เธอยิ้มและคิดว่าการเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนั้นช่างเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ตัวตนของเธอยังสามารถใช้ข่มขวัญคนที่กลัวเอ็มไพร์กรุปได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อเธอเลยก็ตาม ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเธอ รวมถึงผู้คนในแผนกออกแบบของเฉียวอินเตอร์เนชันแนลกรุปเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุด


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ ฉินซินหยิ่งก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่า เป็นการดีกว่าที่จะไม่เปิดเผยข่าวการเสียชีวิตของถังซี หากเป็นที่รู้กันว่าถังซีเสียชีวิตไปแล้ว เธอจะกลายเป็นคนที่ไม่มีผู้อุปถัมภ์ในสายตาคนภายนอก แล้วจากนั้นอะไรต่ออะไรสำหรับเธอ ก็จะทำให้สำเร็จได้โดยยากกว่าที่เป็นอยู่


 


 


และ…


 


 


เมื่อฉินซินหยิ่งนึกย้อนไปว่า เฉียวเหลียงกับถังซีนั้นหวานต่อกันเพียงใดเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ประกายความอิจฉาก็วาววับขึ้นในดวงตาเธอ เวลานี้สิ่งเดียวที่เธอจะเอาชนะเฉียวเหลียงได้ก็คือ ต้องรู้ว่าถังซีอยู่ที่ไหน เธอไม่เชื่อหรอกว่าเฉียวเหลียงจะไม่สนใจเรื่องของถังซีจริงๆ เขาแค่ต้องการบังคับให้ถังซีปรากฏตัวออกมา โดยแกล้งแสดงออกว่าคบหากับเซียวโหรว แต่ในเมื่อถังซีเสียชีวิตไปแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะปรากฏตัว ดังนั้นเธอจึงต้องสร้างถังซีขึ้นมา!


 


 


เนื่องจากเขารักถังซี ดังนั้น…


 


 


“ดี” ฉินซินหยิ่งมองลึกลงไปในตัวตนของเซียวจิ้นหนิง และยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ฉันกำลังสงสัยอยู่ว่าคุณเหยาคิดจะทำอย่างไรกับเด็กบ้านนอกที่ชื่อเซียวโหรวคนนั้น”


 


 


หลังจากตรวจสอบข้อมูลของเซียวโหรวแล้ว เธอมั่นใจมากขึ้นว่าเฉียวเหลียงเพียงแค่แกล้งคบกับเซียวโหรว แม้ว่าเธอจะสวยมาก แต่ตระกูลเซียวก็ยอมรับว่าเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่เติบโตขึ้นมาบนภูเขา ด้วยสถานะทางสังคมของตระกูลเฉียว พวกเขาจะยอมรับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร


 


 


นอกจากนี้เธอเชื่อว่า คนอย่างเฉียวเหลียงจะไม่ทำสิ่งใดให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูล


 


 



 


 


ถังซีเห็นรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน แล้วก็เห็น ‘แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ’ นั่งอยู่ในรถ เธอมองหานักข่าวที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ประตูโรงเรียน ขมวดคิ้ว หยิบหนังสือออกมาถือบังใบหน้าไว้ แล้วรีบไปที่รถคันนั้น ทันทีที่เธอเข้าไปในรถ ประตูรถก็ปิด และรถพุ่งตัวออกไป


 


 


ถังซีร้องตะโกน “นี่เราอยู่หน้าโรงเรียนนะ ช้าๆ หน่อยสิ! “


 


 


ชายหนุ่มในที่นั่งคนขับเหลือบมองเธอด้านข้างด้วยรอยยิ้ม ชะลอรถลงถามว่า “คุณแน่ใจหรือ”


 


 


ถังซีวางหมวกของเธอลงบนศีรษะเขา สวมหน้ากากของเธอบนใบหน้าเขา และส่งเสียงจากลำคอ “ฮื่อ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม