จำนนรักชายาตัวร้าย 108.1-109.3

ตอนที่ 108-1 ใต้เท้าซย่าโหว เด็ดขาด เ...

 

น้ำเสียงซย่าโหวจวินอวี่เจือเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ


 


 


ข้าพลาดโอกาสมากมายเหลือเกิน!


 


 


ไม่ว่าจะเป็นวัยทารกฟันน้ำนมของเขา หรือวัยหัดเดิน จนกระทั่งบุตรชายออกวิ่งได้ รอยยิ้มของเขา ประโยคแรกที่เอื้อนเอ่ยออกมาได้ อักษรตัวแรกที่บุตรชายได้เรียนรู้ เขาล้วนแต่พลาดไปหมด


 


 


เรื่องบางเรื่องหากพลาดไปแล้วอาจต้องเสียใจชั่วชีวิต!


 


 


ต่อให้ซย่าโหวจวินอวี่ต้องการชดเชยให้ภายหลัง แต่บุตรชายก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว เขาพลาดการสื่อสารระหว่างพ่อและลูก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างความผูกพัน


 


 


ท่าทางโศกเศร้าเสียใจซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนอดมิได้ที่จะต้องหวนนึกถึงในคืนหนึ่งที่แสนหนาวเหน็บของเมื่อหลายปีก่อน


 


 


เด็กชายตัวน้อยจับมือของเขาเอาไว้แน่นก่อนจะลาจากโลกนี้ไป ดวงหน้าน้อยๆ ของเขาซีดขาว


 


 


“เจ้ากับข้าต่างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งเหมือนกัน”


 


 


‘ทอดทิ้ง’


 


 


เด็กน้อยผู้นั้นคงจะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขานั้นโชคดีเพียงไหน


 


 


ถึงแม้ว่าเขาต้องมาเป็นตัวประกันที่ฉินจื้อ ก็ยังมีบิดาที่รักและคอยห่วงหาอาทรเขาเฉกเช่นซย่าโหวจวิน อวี่ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงความคิดถึงความรักจากผู้เป็นมารดาอย่างมู่หรงเยียนเลย นางคิดคร่ำครวญถึงแต่บุตรชายในทุกคืนวัน เศร้าซึมจนกลายเป็นล้มป่วย และด่วนจากไปตั้งแต่ยังสาว


 


 


ในวันนี้ ซย่าโหวจวินอวี่คิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง ความเสียใจที่ได้กระทำสิ่งผิดพลาดลงไปซึ่งสั่งสมมาหลายปีจึงต้องการที่จะชดเชยจึงพรั่งพรูออกมา


 


 


ความรู้สึกนี้เดิมทีต้องเป็นของเด็กชายตัวน้อยที่แสนเศร้าสร้อยแสนอ้างว้างผู้จากไปคนนั้น


 


 


เพียงแต่ว่าเขาคงไม่มีวันได้เห็นฉากนี้อีกตลอดกาล


 


 


“ท่านไม่ได้ติดค้างข้า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยออกมาในขณะที่มือก็เอื้อมไปลูบแผ่นหลังของซย่าโหวจวินอวี่แผ่วเบา


 


 


“ต่อไปข้าจะกตัญญูต่อท่านให้มาก อย่าเสียใจไปเลย!”


 


 


ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาเช่นนั้น ยิ่งทำให้น้ำตาซย่าโหวจวินอวี่ไหลออกมามากขึ้น


 


 


แต่ครั้งนี้ซย่าโหวจวินอวี่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ยอมให้น้ำตาของตนไหลออกมา ต่อหน้าบุตรชาย แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ!


 


 


เขายังต้องค้ำจุนต้าโจวเอาไว้เพื่อบุตรชาย แล้วจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน!


 


 


“ข้าจะกระตุ้นแมวน้อยให้นางสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโสภายในครึ่งปี! ท่านไม่ต้องกังวล!”


 


 


วิธีการปลอบโยนคนของซย่าโหวฉิงเทียนแลดูงุ่มง่าม แต่ทว่ากลับได้ผลชะงัดนัก


 


 


“จริงหรือ”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเขาเป็นประกายแวววาวจ้องมาที่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”


 


 


“ไม่หลอกท่านหรอก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเอื้อมมือออกมาลูบที่หางตาของซย่าโหวจวินอวี่ มีหยาดน้ำตาอยู่จริงๆ


 


 


หลายปีที่ผ่านมาสิ่งที่ซย่าโหวจวินอวี่ดีกับเขามาก เขาเองก็รู้ดี!


 


 


ถึงแม้ที่ฮ่องเต้ทรงดีกับเขาก็เพราะเข้าใจว่าเขาคือบุตรชายของพระองค์ แล้วพระองค์จึงทรงคิดไปว่ากำลังให้ความรักกับบุตรชายของตนเอง เขาใช้ชื่อซย่าโหวฉิงเทียน จึงได้ครอบครองในสิ่งดีๆ เหล่านี้ ดังนั้นจึงควรที่จะตอบแทนบุญคุณ นั่นก็เป็นเรื่องที่สมควร


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นของเล่นเด็กที่อยู่ที่จวนเหล่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้ว่า ซย่าโหวจวินอวี่ปฏิบัติกับเขาราวกับพ่อปฏิบัติต่อลูกอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ทั้งยังรอยคอยลูกของซย่าโหวฉิงเทียนด้วยใจจริง!


 


 


แม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของซย่าโหวจวินอวี่เองยังไม่เคยได้รับความรักจากบิดาที่ใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนที่เลยด้วยซ้ำ


 


 


ความรักนี้สำหรับซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง!


 


 


หากเป็นไปได้ละก็ เขาอยากให้ซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อของเขาตลอดไป ให้ความลับนี้เป็นความลับตลอดไปไม่ให้เขาต้องเจ็บปวด!


 


 


“ตกลงตามนี้!”


 


 


ด้วยเกรงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะแกล้งหลอกเขาให้ดีใจ ซย่าโหวจวินอวี่จึงยื่นมือออกมาจับมือของซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมาแปะมือเป็นสัญญาณสามครั้ง


 


 


เพี้ยะๆๆ


 


 


ฝ่ามือกระทบกันเสียงดังฟังชัด


 


 


ในเวลานั้นเองในดวงตาของซย่าโหวจวินอวี่กำลังยิ้ม


 


 


ช่วงเวลาครึ่งปีเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป รอให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้ร่วมหอ เด็กทั้งสองคนสุขภาพร่างกายแข็งแรง เขาเชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็คงต้องมีข่าวดีอย่างแน่นอน


 


 


เมื่อเห็นว่าวันนี้อารมณ์ของซย่าโหวจวินอวี่ค่อนข้างอ่อนไหว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงตั้งใจอยู่ทานมื้อกลางวันเป็นเพื่อนเขา


 


 


ใครจะคาดคิด ว่าฮ่องเต้เพียงแค่ได้ยินว่ามื้อกลางวันในวันนี้อวี้เฟยเยียนเข้าครัวด้วยตัวเอง ก็รีบไล่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับไปทันที


 


 


“รีบไปช่วยเข้าสิ อย่าให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย เป็นบุรุษจะต้องรู้จักสงสารเอาอกเอาใจสตรีของตนด้วย!”


 


 


เมื่อแน่ใจว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไปแล้วจริงๆ ฮ่องเต้ก็รีบปรับสีหน้าจากที่โศกเศร้าเมื่อครู่ ปาดน้ำตาออกไป กลายเป็นใบหน้าที่ผ่องแผ้วสดใสทันที


 


 


“ฮ่าๆ! สู้กับข้า! เจ้ายังอ่อนหัดนัก!”


 


 


เมื่อมองดูอีกครั้ง ซย่าโหวจวินอวี่เสียใจทุกข์ระทมตรงไหนกัน


 


 


ท่าทางสุขขีเปรมปรีดิ์ กระปรี้กระเปร่า ราวกับขุนศึกที่เพิ่งกำชัยชนะมาก็ไม่ปาน กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างที่สุด


 


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”


 


 


เซี่ยงจิ้นรีบเสนอหน้าเข้ามาประจบสอพลอทันที


 


 


“พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” ซย่าโหวจวินอวี่ลูบเครา ยักคิ้วหลิ่วตา


 


 


“ฉิงเทียนเด็กคนนี้ จิตใจดีงามใสซื่อบริสุทธิ์เกินไป ดังนั้นถึงได้ถูกข้ากล่อมเอาได้! ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็เตรียมตัวเป็นเสด็จปู่ได้แล้ว! ฮ่าๆ! “


 


 


“ฝ่าบาท แล้วหากหลังจากครึ่งปีผ่านไป ใต้เท้าอวี้ยังมิสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโสละพ่ะย่ะค่ะ จะทำเช่นไร”


 


 


เซี่ยงจิ้นกล่าวถามขึ้น


 


 


“ข้าไม่สน! ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าครึ่งปี หากทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่จะต้องร่วมหอ! ข้าได้แปะมือเป็นสัญญากับฉิงเทียนแล้ว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเชื่อในการรักษาสัจจะของซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก


 


 


อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่เคยโอ้อวดเกินจริง พูดได้ทำได้เสมอมา


 


 


เมื่อได้มีคำมั่นสัญญาของซย่าโหวฉิงเทียน ฮ่องเต้จึงทรงวางพระทัยได้


 


 


“จริงด้วย! เหตุใดบ่าวจึงคิดไม่ถึงนะ! ดังนั้น อย่างที่เขาว่าบ่าวก็คือบ่าว ติดตามฝ่าบาทมาเนิ่นนาน ยังเรียนรู้ได้ไม่ถึงครึ่งของพระปรีชาของฝ่าบาทเลย สติปัญญาบ่าวคงไม่มีทางพัฒนาได้แล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


การพูดว่ากล่าวตนเองของเซี่ยงจิ้น เรียกเสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆ ’ จากซย่าโหวจวินอวี่ได้มากทีเดียว


 


 


ผลจากการที่ซย่าโหวจวินอวี่ดีอกดีใจนั่นก็คือ ตกรางวัลให้กับเหอหม่านเฉิงกองใหญ่


 


 


ในเมื่อซย่าโหวฉิงเทียนชื่นชอบภาพวาดชุนกงถูของเหอหม่านเฉิง เท่ากับเหอหม่านเฉิงมีความชอบ ดังนั้นเขาจึงต้องตกรางวัลให้ชัดเจน


 


 


จนกระทั่งเซี่ยงจิ้นนำของรางวัลพระราชทานมาถึงที่จวนตระกูลเหอ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาจนเหอหม่านเฉิงทำหน้าไม่ถูก ความปลื้มปีติประเดประดังกันเข้ามา ทำให้เขาพูดไม่เป็นภาษา


 


 


ในตอนนี้เขามีหลานชายตัวน้อยแล้ว ด้วยเกรงว่าจะเป็นการชี้นำหลานชายในทางที่ผิด ดังนั้นภาพวาดชุนกงถูเหล่านั้นเขาจึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ แอบวาดในห้องหนังสือ ยังดีที่หลังจากส่งมอบภาพออกไปแล้วฝ่าบาททรงพอพระทัย!


 


 


เมื่อเห็นว่าสมาชิกในครอบครัวต่างก็ดีอกดีใจ เหอหม่านเฉิงก็รู้สึกหน้าบานอย่างเป็นเกียรติ


 


 


แต่ครั้นเมื่อนึกถึงที่มาของรางวัลเหล่านี้ ศิลปินเฒ่าก็ยังคงใบหน้าแดงซ่านจนกระทั่งถึงใบหู


 


 


ฝ่าบาท หากมีคราวหน้าเรื่องดีๆ เช่นนี้ ขอทรงมอบหมายให้คนอื่นจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ


 


 


กระหม่อมคงรับพระกรุณาเช่นนี้ไม่ไหวจริงๆ!


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกลับถึงจวนจงอี้กงก็ถึงเวลากินข้าวพอดิบพอดี อวี้เฟยเยียนทำกับข้าวจนเต็มโต๊ะ


 


 


คราวนี้มีแม่ครัวคอยช่วย อวี้เฟยเยียนจึงเพียงแต่นึ่งๆ ผัดๆ ดังนั้นงานจึงเบาลงมาก


 


 


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็นึกสงสารนางไม่น้อย ดังนั้นขณะที่รับประทานอาหารนั้นเขาจึงบอกกล่าวย้ำเตือนกับทุกคน ว่าการขอมาฝากท้องกินข้าวด้วยเช่นนี้ ให้ได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้อวี้เฟยเยียนเหน็ดเหนื่อย


 


 


พี่ใหญ่ ในตอนนี้ทำเอาข้าแทบจะไม่รู้จักท่านอยู่แล้ว!


 


 


หวังว่าท่านจะมีความสุขตลอดไป


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนรักทะนุถนอมอวี้เฟยเยียนเช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงก็ลอบถอนใจไม่ได้


 


 


พี่ชายต้องลำบากยากเข็ญตั้งแต่ยังเยาว์ จึงควรที่จะมีใครสักคนคอยใส่ใจดูแลเขาอยู่ข้างกาย


 


 


ซึ่งหนานกงจื่อหลิงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ในยามที่ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ต่อหน้าอวี้เฟยเยียนอารมณ์ของเขาจะสงบและคงที่ มิใช่ดั่งเช่นในเวลาปกติที่เย็นชาโหดร้าย มองดูแล้วไม่เงียบสงบอย่างไรอย่างนั้น!


 


 


สามารถพูดได้เต็มปากว่า อวี้เฟยเยียนมีผลต่อซย่าโหวฉิงเทียนเป็นยิ่งนัก!


 


 


นางหวังว่าพี่ใหญ่จะรีบแต่งงานกับพี่อวี้ให้เร็วที่สุด!


 


 


สวรรค์จะต้องคุ้มครองพวกเขาด้วยนะ!


 


 


หนานกงจื่อหลิงภาวนาอยู่ในใจ


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เซวียจื่ออี๋ให้ลองลิ้มกับข้าวฝีมืออวี้เฟยเยียน ซึ่งตลอดทางที่เดินทางมา หมอเทวดาฮั่วเอาแต่ร่ำร้องบ่นคิดถึงมาตลอดทาง จึงทำให้นางฉงนสงสัยยิ่งนัก


 


 


เพียงคำแรกที่คีบเข้าปาก ก็ทำให้เซวียจื่ออี๋เข้าใจขึ้นมาในทันที บนโลกใบนี้ยังมีคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้อยู่อีกหรือ


 


 


น่าเสียดายที่เซวียเฉียงไม่มีลาภปาก ต้องเก็บตัวเพื่อสำเร็จขั้นน่ะสิ!


 


 


เมื่อเห็นหมอเทวดาฮั่วยัดกับข้าวคำยักษ์เข้าปากแต่ละคำ ทุกคนก็เริ่มก้มหน้าก้มตากินโดยไม่สนใจใครอีก เซวียจื่ออี๋ถึงกับไม่สนใจภาพลักษณ์หญิงผู้เรียบร้อยอีกต่อไป นางใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างรวดเร็ว


 


 


หากช้าไปแม้เพียงนิดเดียว ของอร่อยพวกนี้ก็ไม่เหลือน่ะสิ!


 


 


ฮันจื่อเองก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะอวี้เฟยเยียนได้เตรียมเนื้อตุ๋น เนื้อพะโล้ เนื้อย่างชามใหญ่เอาไว้ให้ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นของโปรดของฮันจื่อทั้งสิ้น


 


 


ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนแต่กินด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนฮันจื่อที่อยู่ในเรือนก็กินอย่างสบายอกสบายใจ


 


 


มันกำลังกินไปพลางคาดการณ์ไปพลาง


 


 


หากติดตามเจ้านายคนอื่น ในบางทีบางครั้งก็อาจถูกเจ้านายรังเกียจหลงลืมทิ้งเอาไว้ที่ไหนสักที่โดยไม่สนใจ ไม่สู้หันไปสวามิภักดิ์แม่นางน้อยอวี้!


 


 


ดูสิ ติดตามแม่นางน้อยอวี้มีความสุขเพียงใดกัน!


 


 


มีเนื้อกิน! ได้ต่อสู้! แม่นางน้อยต่างหากคือดาวนำโชคของมันจริงๆ!


 


 


ต่อไปข้าขอติดตามแม่นางเพียงผู้เดียว

 

 

 


ตอนที่ 108-2 ใต้เท้าซย่าโหว เด็ดขาด เ...

 

เมื่อกินดื่มจนอิ่มหมีพีมันแล้ว หมอเทวดาฮั่วก็เอนกายพิงเก้าอี้สีหน้าสงบสุขอิ่มอกอิ่มใจ!


 


 


ในชีวิตนี้เขาชื่นชอบอยู่เพียงสองสิ่ง สิ่งหนึ่งคือวิชาแพทย์ อีกสิ่งก็คืออาหารรสเลิศ


 


 


สองสิ่งที่เขาชื่นชอบนี้ มีเพียงอวี้เฟยเยียนที่เพียงคนเดียวสามารถสนองเขาได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน เห็นทีว่าแม่นางน้อยอวี้คงจะเป็นนางฟ้าน้อยที่สวรรค์ส่งมาเป็นแน่!


 


 


“พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว…”


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมกลับไปเสียที ซย่าโหวฉิงเทียนจึงออกคำสั่งไล่แขกทันที


 


 


ถึงแม้ว่าการที่อวี้เฟยเยียนเป็นที่นิยมชมชอบจะนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็กำลังเบียดเบียนช่วงเวลาที่มีค่าที่เขาจะได้อยู่กับนางตามลำพังสองต่อสองอย่างร้ายแรง ทำให้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเช่นเดียวกัน


 


 


“เจ้าหนุ่มนี่ไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม!”


 


 


หมอเทวดาฮั่วสบถออกมาด้วยความไม่พอใจนัก


 


 


แต่ทว่าเขาก็เคยเป็นหนุ่มมาก่อน จึงรู้ดีว่าในตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกำลังอยู่ในสถานะคนรักกัน จึงไม่สะดวกที่จะรบกวน


 


 


ดังนั้นหมอเทวดาฮั่วและเซวียจื่ออี๋จึงขอลา ส่วนเหลียนจิ่นและมั่วซ่างก็ตามกลับไปด้วยกัน


 


 


ก่อนจะไป เหลียนจิ่นแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยบางประโยคกับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ช่วงนี้อากาศไม่เลวทีเดียว เหมาะสมยิ่งนักกับการออกท่องเที่ยว เหตุใดท่านไม่พานางออกไปท่องเที่ยวบ้าง!”


 


 


คำพูดเจ้าไม้เท้าเทพ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเก็บไปคิดไตร่ตรองได้


 


 


เพราะว่าเหลียนจิ่นป็นพวกแปลกประหลาด ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนต้องครุ่นคิดทุกครั้งไป


 


 


สัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของเหลียนจิ่น ซึ่งสิ่งที่เขากล่าวตรงกับสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกำลังคิดที่จะทำพอดี เขาจึงพยักหน้าแผ่วเบา


 


 


“เที่ยวให้สนุกนะ!”


 


 


เหลียนจิ่นฉีกยิ้ม คิ้วเขาราวกับภาพวาด ให้อารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ทว่าในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน เขากลับรู้สึกว่าเจ้าไม้เท้าเทพแลดูมีลับลมคมใน


 


 


“เจ้ายิ้มได้เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายจริงๆ! “


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยกล่าวออกไปตรงๆ


 


 


“หากมีเจตนาร้าย ก็จะพบแต่ความชั่วร้าย หากในใจชั่วร้าย ก็จะมองเห็นแต่เพียงสิ่งชั่วร้าย!”


 


 


เหลียนจิ่นโต้กลับเสียงเรียบ


 


 


“ในเมื่อท่านวิพากษ์วิจารณ์ข้าว่าเป็นเช่นนี้แล้ว จึงจำเป็นต้องนับข้าเพิ่มเข้าไปในการท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ด้วย มิเช่นนั้นจะเป็นการผิดต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ชั่วร้าย’ ของท่านเอาได้!”


 


 


“ไสหัวไป…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวลอดไรฟัน


 


 


หากมิใช่เห็นแกว่าร่างกายของเหลียนจิ่นอ่อนแอยิ่งนัก ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะจับเขาโยนออกไปแล้ว


 


 


“หึๆ…”


 


 


เหลียนจิ่นหัวเราะแล้วจากไป รอกระทั่งเขาออกไป หนานกงจื่อหลิงก็เดินเข้ามาหาซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“พี่ใหญ่ เขาเป็นใครกัน!”


 


 


“ไม้เท้าเทพอันหนึ่ง!”


 


 


ด้วยเกรงว่าน้องสาวผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะถูกเหลียนจิ่นมอมเมา ซย่าโหวฉิงเทียนจึงกล่าวกับหนานกงจื่อ หลิงด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจังว่า


 


 


“เขาไม่ใช่คนดี!


 


 


“คิก…”


 


 


ได้ยินเช่นนั้นหนานกงจื่อหลิงก็หัวเราะออกมา


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านคิดมากเกินไปหรือไม่ ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้นเอง! ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเขาเหมือนกับพี่ใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาไม่เลว! แต่นอกเหนือจากนี้ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด ท่านอย่าได้เข้าใจผิดนะ!”


 


 


เพราะหนานกงจื่อหลิงรู้ดีว่า เรื่องการแต่งงานของนางเองนั้นนางไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรได้


 


 


การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของตระกูลทั้งแปดเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน


 


 


แล้วนางในฐานะที่เป็นบุตรสาวคนเดียวแห่งตระกูลหนานกง การแต่งงานของนางจึงถูกหนานกงเอ๋ากำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


เมื่อเห็นรอยยิ้มไร้ซึ่งทางเลือกของหนานกงจื่อหลิง ซย่าโหวฉิงเทียนเงียบลงไป


 


 


“หากพวกเขาบงการให้เจ้าแต่งงานกับคนที่ไม่ชอบละก็ ถอนตัวเสีย! พี่ใหญ่คนนี้จะสนับสนุนเจ้าเอง ไม่ต้องกลัว!”


 


 


คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้หนานกงจื่อหลิงรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก


 


 


หากเปรียบเทียบกัน ระหว่างหนานกงเช่อที่เอาแต่ห้ามปรามตักเตือนนางว่า นางในฐานะคนของตระกูลหนานกง จะต้องทำเพื่อตระกูลหนานกง บ้านนี้ให้กำเนิดเลี้ยงดูนางมาตั้งหลายปี นางจึงมิควรเนรคุณ


 


 


เหอะ…


 


 


พี่รองมักเอาแต่ถามนาง ว่าเพราะเหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้ดีกับนางยิ่งนัก นั่นก็เพราะว่าพี่ใหญ่เห็นนางเป็นน้องสาวอย่างไรเล่า!


 


 


ทุกคนย่อมมีเลือดเนื้อมีหัวใจ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา พี่ใหญ่รักแหละหวังดีกับนางด้วยใจจริง แน่นอนว่านางย่อมต้องดีกับพี่ใหญ่อยู่แล้ว!


 


 


“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงพยักหน้าอย่างหนักหน่วง


 


 


“พี่สมกับเป็นพี่ชายของน้องจริงๆ!”


 


 


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าเสมอ!”


 


 


เมื่อเห็นว่าความเศร้าหมองบนใบหน้าของหนานกงจื่อหลิงมลายหายไป กลายเป็นรอยยิ้มที่สดใสเข้ามาแทนที่ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้วางใจ


 


 


“การแต่งงานเกี่ยวกับความสุขชั่วชีวิต จึงต้องตามหาคนที่ชอบพอและคนคนนั้นก็ชอบเจ้าเช่นกัน เจ้าเป็นน้องสาวของพี่ อย่าทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจ ไม่ว่าจะอย่างไรพี่ชายก็ยังอยู่ตรงนี้!”


 


 


ความตรงไปตรงมาของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้หนานกงจื่อหลิงยิ่งนับถือมากขึ้นไปอีก


 


 


มีพี่ชายเช่นนี้คอยสนับสนุน ช่างดีเหลือเกิน!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเลือกไว้ว่าสองวันให้หลังพาอวี้เฟยเยียนออกไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ โดยมีผู้ที่ติดตามมาด้วยก็คือเชียนเยี่ยเสวี่ยและหนานกงจื่อหลิง


 


 


หลังจากที่ตี้อู่เฮ่ออีไปที่หอคืนชีพในวันนั้น ก็มิได้กลับมาอีกเลย


 


 


เขาและหมอเทวดาฮั่วเพียงได้พบหน้าก็ราวกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มที่ต่างก็คลั่งไคล้ในการแพทย์เช่นเดียวกันพากันอภิปรายปัญหาเกี่ยวกับการแพทย์ด้วยความสนุกสนาน ตี้อู่เฮ่ออีจึงปักหลักอยู่ที่นี่เสียเลยแล้วละทิ้งโอกาสในการไปท่องเที่ยวยามฤดูใบไม้ผลิไป


 


 


และเมื่ออวี้เฟยเยียนเอ่ยปากขอร้อง ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ยินยอมตอบตกลงที่จะพาฮันจื่อไปด้วย


 


 


อึดอัดมาหลายเดือน ในที่สุดก็ได้รับอิสรเสรีเสียทีทำให้ฮันจื่อรู้สึกดีใจเป็นที่สุด


 


 


รถม้าสองคันแล่นออกจากเมือง โดยมีฮันจื่อวิ่งนำหน้าด้วยอาการร่าเริงสุดๆ


 


 


เมื่อมาถึงที่ประตูเมืองพวกเขาก็ได้พบเข้ากับกองทัพทหารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ซึ่งทุกคนในกองทัพเดินเชิดหน้าขึ้น แลดูสง่างามยิ่งนัก


 


 


“หลีกไป! คนชั้นต่ำ อย่ามาแตะต้องรถม้าองค์หญิงของเรา!”


 


 


“รีบไสหัวไป! สกปรกที่สุด อย่ามาแตะต้องเสื้อผ้าของข้าเด็ดขาด!”


 


 


เมื่อเห็นว่าทหารแห่งกองทัพที่เกรียงไกรกลับถืออาวุธขับไล่ประชาชนด้วยท่าที่หยาบช้า ฮันจื่อก็ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก จึงกระโดดถลาเข้าไปที่เบื้องหน้าขบวนรถม้านั้น มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าคำรามเสียงดัง


 


 


“โฮ่ง…บรู๊ว…”


 


 


ทันใดนั้น ม้าทั้งหมดก็ค่อยๆ คุกเข่าลงทันที


 


 


ซึ่งมีม้าบางตัวที่ขี้ตกใจมากหน่อยจึงคุกเข่าพรวดลงอย่างรวดเร็วจนเทกระจาดคนในรถม้ากระเด็นออกมา


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”


 


 


เมื่อขบวนรถม้าที่โอ่อ่าได้ได้รับการกระทบกระเทือน น้ำเสียงที่เย่อหยิ่งเข้มงวดก็ดังออกมาจากในรถม้านั้น


 


 


“ทูลองค์หญิง จู่ๆ ก็มีเดรัจฉานปรากฏตัวทำให้ม้าตื่นพ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


พวกเจ้าต่างหากเดรัจฉาน พวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละคือเดรัจฉาน!


 


 


คนเลว!


 


 


ข้าไม่ได้กินเนื้อคนมาตั้งนานแล้ว วันนี้จะเอาเนื้อของพวกเจ้าแกล้มสุราเสียเลย!


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น ฮันจื่อจึงกระโจนเข้าใช้กรงเล็บของมันฟาดทหารผู้หนึ่งจนล้มลงที่พื้น หลังจากนั้นก็อ้าปากกว้างกัดเข้าไปที่ศีรษะของคนผู้นั้นทันที


 


 


“ใต้เท้าหลัว!”


 


 


ทหารเหล่านั้นไหนเลยจะเคยพบสุนัขตัวใหญ่กินคนเช่นนี้มาก่อน


 


 


กว่าที่พวกเขาจะได้สติ ทหารคนที่ร้องเรียกใต้เท้าหลัวเมื่อครู่ก็เหลือเพียงเศษเสื้อผ้าเสียแล้ว


 


 


“โฮ่ง…บรู๊ว…”


 


 


ฮันจื่อเลียลิ้นแผล็บๆ ด้วยความลำพองใจ


 


 


เนื้อมนุษย์ช่างเอร็ดอร่อยที่สุดจริงๆ ด้วย มันรสชาติหอมหวานยิ่งนัก!


 


 


แม่นางน้อย คราวหน้าเจ้าช่วยย่างมนุษย์เซ่นไหว้ข้าทุกต้นเดือนได้หรือไม่


 


 


“เจ้าเดรัจฉานตัวนี้สังหารใต้เท้าหลัว พวกเราฆ่ามันแก้แค้นให้กับใต้เท้าหลัว!”


 


 


ใต้เท้าหลัวถูกสุนัขกินเข้าไป เป็นการกระตุ้นคนเหล่านั้น ว่าแล้วพวกเขาก็ชักดาบออกมาฟันฉับไปทางฮันจื่อ


 


 


บังอาจ!


 


 


ฟังไม่เข้าใจภาษาสัตว์หรืออย่างไรกัน


 


 


ก็บอกไปแล้วว่าข้าไม่ใช่เดรัจฉาน!


 


 


แล้วยังรนหาที่ตายอีกหรือ!


 


 


ฮันจื่อโกรธเคืองเป็นอย่างมาก และผลของความโกรธนั้นก็คืออุ้งเท้ามันฟาดเข้าไปที่คนเมื่อครู่ที่เรียกมันว่าเดรัจฉานจนลอยกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร แล้วกระแทกเข้ากำแพงจนตายคาที่


 


 


พวกบัดซบ พวกเจ้าเป็นถึงทหารรังแกชาวบ้านตาดำๆ เช่นนี้ต่างหากถึงเรียกว่าเป็นเดรัจฉาน!


 


 


ไม่สิ พวกเจ้ายังสู้เดรัจฉานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!


 


 


ทหารที่ล้อมกรอบฮันจื่อเอาไว้มีทั้งหมดยี่สิบสามสิบคน หนึ่งในนั้นมีบางส่วนที่สำเร็จขั้นหลอมรวม


 


 


แต่ฮันจื่อก็ไม่มีมีความกดดันใดๆ เลยแม้แต่น้อย


 


 


มองดูภายนอกอาจจะคิดว่ามันโง่เขลางุ่มง่าม แต่แท้ที่จริงแล้วมันเฉลียวฉลาดเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก


 


 


กรงเล็บใหญ่ของมันตะปบลงไป ศีรษะคู่ต่อสู้แต่ละคนก็แตกกระจาย มันสมองมนุษย์สีขาวขุ่นสาดกระเซ็นออกมา มันสะบัดหางหนึ่งครั้ง หางมันก็ไปพันคอของคนหนึ่งในฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แน่น ไม่กี่วินาทีคนผู้นั้นก็หมดลมหายใจ มันก็นั่งลงไปกดทับคนเบื้องล่างจนแบนราบราวกับเนื้อแผ่น


 


 


สรุปก็คือ พลังในการทำลายล้างสูงลิบ ทั้งยังแข็งแกร่งอย่างที่สุด!


 


 


ไม่นาน เหล่าคนที่เมื่อสักครู่เรียกร้องร่ำๆ ให้เด็ดหัวฮันจื่อ มีทั้งบาดเจ็บมีทั้งล้มตาย


 


 


ส่วนคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าสุนัขสีดำตัวใหญ่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ต่างก็พากันหลบซ่อนตัวกันไปหมด


 


 


เฮอะ! รนหาที่ตาย!


 


 


ฮันจื่อชายตามองทหารที่นอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นด้วยสายตาดูแคลน ปากก็ยังคาบแขนที่ขนาดกำลังดีของใครบางคนอยู่คาปาก แล้วบดเคี้ยวโดยไร้ซึ่งความปรานี


 


 


“กร๊อบๆ กร๊วบ!”


 


 


ฉับพลันรอบกายก็เงียบงัน มีเพียงเสียงฟันใหญ่อันแหลมคมกำลังบดเคี้ยวกระดูกมนุษย์ดังกังวาน ทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนถึงกระดูก

 

 

 


ตอนที่ 108-3 ใต้เท้าซย่าโหว เด็ดขาด เ...

 

“อ้วก…”


 


 


ในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ไหวจนต้องวิ่งถลาออกไปอาเจียนที่ด้านข้าง


 


 


สุนัขใหญ่กินคน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!


 


 


“ทหาร หยิบคันธนูของข้ามา!”


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งดังออกมาจากในรถม้า ตามมาด้วยหญิงสาวที่สวมใส่ชุดสีขาวทั้งชุดเดินออกมาโดยมีคนประคองด้านข้าง


 


 


“ข้าจะยิงมันด้วยมือของข้าเอง!”


 


 


เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงงามเดินออกมา ฮันจื่อก็ ‘เฮอะ’ ขึ้นมาคำหนึ่ง


 


 


จะยิงอย่างไรกัน


 


 


ยิงข้าให้ติดกำแพงไปเลย


 


 


ลำพังเจ้านะหรือ มีปัญญาทำได้


 


 


ฮันจื่อหาได้สนใจไม่ ทว่าหนานกงจื่อหลิงกลับจดจำได้ทันทีว่าธนูในมือของหญิงผู้นั้นคือ ธนูผ่านเมฆา


 


 


เป็นไปได้อย่างไร


 


 


ธนูผ่านเมฆาตกทอดมาถึงแผ่นหลัวอวี่!


 


 


ธนูผ่านเมฆาคือผลงานของช่างหลอมและช่างเหล็ก คือของล้ำค่าประจำตระกูลสุ่ย


 


 


เมื่อหลายปีก่อนบ้านตระกูลสุ่ยมีขโมยเข้ามา ธนูผ่านเมฆาสูญหายไป หนานกงจื่อหลิงนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะปรากฎอีกครั้งบนแผ่นดินหลัวอวี่


 


 


หากมิใช่เพราะว่าตระกูลสุ่ยและตระกูลหนานกงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นอันมาก และหนานกงจื่อ หลิงจึงมีโอกาสเคยได้เห็นธนูผ่านเมฆาในระยะใกล้มาก่อนละก็ นางก็คงแทบไม่เชื่อสายตาเลยทีเดียว


 


 


ในตอนนั้น ฮันจื่อเองก็สัมผัสได้ว่าธนูในมือของนางมีความร้ายกาจอยู่ไม่น้อย


 


 


แต่ว่ามันหาได้กลัวไม่!


 


 


ให้เจ้าพวกคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือพวกได้เปิดโลกเสียบ้างเถอะ!


 


 


“เราจะไม่ออกไปจริงๆ หรือ”


 


 


อวี้เฟยเยียนเลิกม่านกั้นรถม้าขึ้นแล้วหันกลับมามองบุรุษข้างกาย


 


 


“ไม่ต้องหรอก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเอื้อมมือออกมาพันเส้นผมยาวสลวยของอวี้เฟยเยียนเล่นแล้วกล่าวต่ออีกว่า


 


 


“ให้ฮันจื่อสั่งสอนพวกมันบ้างก็ดี! ที่นี่คือต้าโจวไม่ใช่แคว้นเสวี่ย!”


 


 


“แคว้นเสวี่ย”


 


 


อวี้เฟยเยี่ยมองดูผู้คนด้านนอกด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้


 


 


จริงอย่างที่เขาว่า หญิงที่สวมชุดสีขาวนั้นมีความน่าสนใจอยู่บ้าง


 


 


“แคว้นเสวี่ยตั้งอยู่ที่ทางเหนือ ห่างจากต้าโจวอยู่มากทีเดียว แต่สองสามปีมานี้เริ่มส่งเครื่องบรรณาการเจริญสัมพันธไมตรีกับต้าโจว ได้ยินว่า ที่พวกเขาเดินทางมาในครั้ง เพื่อต้องการส่งองค์หญิงมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองแคว้น”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆ ให้อวี้เฟยเยียนฟัง


 


 


“แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์”


 


 


เมื่อได้เห็นองค์หญิงองค์นี้แล้ว อวี้เฟยเยียนก็มีความรู้สึกว่าท่าทางนางแลดูเย่อหยิ่ง แต่หน้าก็สะสวยดีอยู่หรอก


 


 


เพียงแต่วันนี้มาพบกับฮันจื่อ จึงเกรงว่าจะเจอตอเข้าให้แล้วกระมัง


 


 


ไม่รู้ว่าคนที่แคว้นเสวี่ยต้องการแต่งงานด้วยคือใครกัน


 


 


ดูท่าทางแล้วพวกเขาคงจะขาดการอบรมสั่งสอนเป็นแน่!


 


 


อยู่ที่ดินแดนถิ่นแคว้นอาณาเขตของต้าโจวแท้ๆ แต่ยังกล้าปฏิบัติต่อประชาชนของต้าโจวอย่างหยาบช้าเช่นนี้ คิดว่าที่นี่เป็นบ้านเมืองของตนเองไปแล้วหรืออย่างไรกัน!


 


 


ในตอนนั้นเองอูลู่ลู่ที่ยืนอยู่บนรถม้าเล็งธนูมาที่ฮันจื่อ


 


 


ในสายตานาง ยิงธนูสังหารสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ในระยะใกล้เช่นนี้ นางไม่มีทางพลาดเป้าอย่างแน่นอน


 


 


แต่น่าเสียดาย ผลที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับที่นางคิด วินาทีที่ลูกธนูกำลังจะถึงตัวของฮันจื่อนั่นเอง ฮันจื่อก็เอี้ยวศีรษะแล้วคาบลูกธนูนั้นเอาไว้ในปากแทน


 


 


“ดี!”


 


 


ประชาชนที่ถูกรังแกเมื่อครู่นี้ต่างก็โห่ร้องกึกก้องด้วยความดีใจ


 


 


คนบางคนที่เฉลียวฉลาดก็จดจำฮันจื่อขึ้นมาได้ มันได้แก้แค้นแทนชาวบ้านตาดำๆ เช่นนี้พวกเขาย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว!


 


 


ตั้งแต่ที่มีฮันจื่อคอยเฝ้าหอคืนชีพก็ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องหอคืนชีพอีกเลย


 


 


และฮันจื่อที่หน้าตาท่าทางโหดเ**้ยมน่าหวาดกลัวจึงเป็นทั้งสัตว์เลี้ยงของหลินเจียงอ๋องทั้งยังเป็นมูลเหตุที่ทำให้ชาวบ้านมักจะคอยแย่งกันไปสังเกตการณ์ที่หอคืนชีพมาแล้ว


 


 


ถึงแม้ว่าในตอนแรกทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์นี่คล้ายคลึงกับเสือก็ไม่ปานแลดูน่าหวาดกลัว แต่เมื่อมองนานไป มันก็ไม่ได้ทำร้ายผู้คนแต่อย่างใด ชาวบ้านจึงมีความกล้ามากยิ่งขึ้น


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ที่แลดูจะชื่นชอบหยอกล้อเล่นกับฮันจื่ออยู่เสมอ


 


 


ซึ่งฮันจื่อเองก็ยินดียิ่งนัก มันมักจะนอนขี้เกียจอยู่บนพื้นเพื่อให้เด็กๆ ลูบคลำขนของมัน


 


 


เพราะความ ใกล้ชิดเป็นกันเองกับชาวบ้าน ของฮันจื่อ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีๆ กับซย่าโหวฉิงเทียนมากยิ่งขึ้น บางทีหลินเจียงอ๋องอาจจะเหมือนกันเจ้าสุนัขดำตัวยักษ์นี้ ภายนอกอาจแลดูน่าหวาดกลัว แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นคนดีก็เป็นได้!


 


 


มาตอนนี้ ฮันจื่อออกหน้าสั่งสอนชาวเสวี่ยพวกนี้ ทำให้ประชาชนแอบปรบมือชื่นชมอยู่ในใจ


 


 


ได้ยินข่าวว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาแล้ว อีกทั้งจู่ๆ ฮันจื่อก็มาปรากฏตัวที่ประตูเมืองอีก ไม่แน่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนอาจจะอยู่ที่นี่ด้วยก็เป็นได้


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร!”


 


 


อูลู่ลู่มักจะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าคราวนี้แม้แต่สุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ใกล้ในรัศมีไม่เกินห้าเมตรด้วยซ้ำนางกลับยิงไม่โดน น่าโมโหจริงๆ เลย!


 


 


“เอาลูกธนูมาให้ข้าอีก!”


 


 


อูลู่ลู่ง้างคันธนูอีกครั้ง แล้วเล็งไปที่ฮันจื่อ


 


 


เพียงว่าคราวนี้กลับมิได้ราบรื่นเหมือนเมื่อสักครู่


 


 


เพราะซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ในรถม้าเห็นทีจะทนรอต่อไปไม่ไหว จึงออกคำสั่งเสียงเรียบ


 


 


“ฮันจื่อ มัวรีๆ รอๆ อะไรกัน”


 


 


เสียงนั้นดังกังวานชัดเจน ราวกับแว่วมาจากบนฟากฟ้าก็ไม่ปาน ทำเอาอูลู่ลู่ที่ได้ยินสั่นสะท้านขึ้นมาทันที


 


 


เสียงไพเราะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร


 


 


แต่ทว่า อูลู่ลู่ไม่มีเวลาจะมาไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้เพราะฮันจื่อกางกรงเล็บกระโจนเข้าหานางเสียแล้ว


 


 


“ไสหัวไป! ข้าคือองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ย!”


 


 


อูลู่ลู่นึกไม่ถึงว่าสุนัขตัวยักษ์จะกล้าทำร้ายคนต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์เมื่อครู่ที่มันฆ่าทหารแห่งแคว้นเสวี่ยยี่สิบกว่าคน แต่กลับไม่มีใครมาจัดการเลยสักคน ไร้กฎเกณฑ์เกินไปแล้ว


 


 


องค์หญิงแล้วอย่างไรเล่า แน่นักหรือ


 


 


ฮันจื่อหาได้สนใจอูลู่ลู่ไม่ มันกระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วยักย้ายส่ายก้นกระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้น


 


 


เอี๊ยด


 


 


ฮันจื่อกระโดดโลดเต้นเพียงสองสามครั้ง เสียงท่อนไม้กำลังแตกหักออกจากกันก็ดังขึ้น เพียงพริบตานั้นรถม้าทั้งคันก็แตกกระจาย


 


 


‘ปึ่ง’ กลายเป็นชิ้นๆ


 


 


แม้กระทั่งอูลู่ลู่ที่อยู่บนรถม้าก็ล้มตกลงมาที่พื้น เนื้อตัวมอมแมมสะบักสะบอมไม่น้อย


 


 


“ที่นี่คือแคว้นต้าโจว หากคราวหน้าเจ้าไม่ดูตาม้าตาเรือ ไร้ซึ่งมารยาทอีกล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย! ชีวิตประชาชนชาวต้าโจวสูงค่ากว่าศีรษะเจ้ามากนัก!”


 


 


เสียงซย่าโหวฉิงเทียนดังแว่วมา ประชาชนที่ห้อมล้อมอยู่ต่างก็จดจำได้อย่างชัดเจน จึงแน่ใจว่าหลินเจียงอ๋องอยู่ที่นี่จริงๆ ทำให้ทุกคนอดที่จะตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้


 


 


“ให้เท้าซย่าโหวเป็นคนดีจริงๆ!”


 


 


“ใช่น่ะสิ! ใต้เท้าซย่าโหวช่วยพวกเราระบายความอัปยศนี้!”


 


 


“โฮ่ง…บรู๊ว…”


 


 


ได้ยินประชาชนสรรเสริญชื่นชมซย่าโหวฉิงเทียน ฮันจื่อก็ดีใจเป็นอย่างมาก


 


 


“ไปเถอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกวักมือเรียก ฮันจื่อจึงรีบสิ่งเข้ามาหา รถม้าสองคันกับสุนัขหนึ่งตัวเดินทางผ่านหน้าอูลู่ลู่ออกไปอย่างสง่างาม


 


 


“เขาเป็นใครกัน”


 


 


อูลู่ลู่คลานขึ้นมา ผมเฝ้ายุ่งเหยิงชุดสีขาวสะอาดบัดนี้คลุกไปด้วยฝุ่นจนกลายเป็นสีเทาจำเค้าเดิมไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 109-1 สะกดรอยตามข้า? ช่างอาจหา...

 

“อ๋องแห่งต้าโจว จอมเทวา ซย่าโหวฉิงเทียน ซึ่งก็คือจุดหมายที่เจ้ามาในครั้งนี้”


 


 


คนผู้หนึ่งเดินมาจากด้านหลังของอูลู่ลู่แล้วกล่าวให้นางได้รับรู้


 


 


“ท่านราชครู ท่านเคยพบซย่าโหวฉิงเทียนมาก่อนหรือไม่”


 


 


“เหตุใดท่านจึงได้แน่ใจนักว่าคนในรถม้าคือเขา”


 


 


อูลู่ลู่เคารพราชครูคนใหม่ที่เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งยิ่งนัก


 


 


ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากว่า ราชครูผู้นี้คือราชาโอสถ ทั่วทั้งแผ่นดินมีเขาเป็นราชาโอสถเพียงคนเดียว ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเรื่องที่ข้างกายเขายังมียอดฝีมือวรยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดาอยู่อีกสองคน


 


 


ก่อนที่อูลู่ลู่จะออกเดินทางมานั้น เสด็จพ่อของนางอูเค่อตงกำชับนักกำชับหนาว่า หากเจอเรื่องอะไรจะต้องปรึกษาหารือกับท่านราชครูก่อน ห้ามบุ่มบ่ามกระทำใดๆ ก่อนเด็ดขาด


 


 


เห็นราชครูรู้จักซย่าโหวฉิงเทียนดีถึงเพียงนี้ ทำให้อูลู่ลู่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


 


 


“ข้าอ่านข้อมูลทุกอย่างที่เสด็จพ่อของพระองค์ส่งมาให้! สุนัขตัวเมื่อครู่เหมือนกับที่ข้อมูลบรรยายเอาไว้ทุกประการ”


 


 


ตี้อู่เฉินมองดูศพที่นอนตายเกลื่อนกลาด ก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมา


 


 


ระหว่างทางที่เดินทางมายังแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้ เขาและเฉินฉู่เฉินเจินสามคนแวะพักที่แคว้นเสวี่ย


 


 


พวกเขาสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่เมื่อสองสามเดือนก่อน จึงทำให้ตี้อู่เฉินแน่ใจว่าเยี่ยหงที่เคยปรากฏตัวบนแคว้นฉินจื้อนั้น คือตี้อู่หงเยี่ย


 


 


เพียงแต่ว่าตี้อู่หงเยี่ยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนหน้าจะประลองวิชาแพทย์กับอวี้หลัวช่า สุดท้ายยังมีข่าวลือว่านางเป็นพวกหลอกลวงทำให้ตี้อู่เฉินเพ่งเล็งความสงสัยไปที่อวี้หลัวช่า


 


 


ในวันที่อวี้หลัวช่าเดินทางมาถึงฉินจื้อนั้นได้เกิดความขัดแย้งกับตี้อู่หงเยี่ย หลังจากนั้นตี้อู่หงเยี่ยก็หายสาบสูญไป มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นอวี้หลัวช่าเป็นทั้งจักรพรรดิยาและปรมาจารย์ นั่นยิ่งดึงดูดความสนใจของตี้อู่เฉินเข้าไปใหญ่


 


 


จากข่าวที่สืบได้มา อวี้หลัวช่าเป็นเพียงสาวน้อยอายุสิบกว่าปีที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะเท่านั้น


 


 


สาวน้อยคนหนึ่งที่ใช้ความสามารถของตนก็ประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้


 


 


ตี้อู่เฉินแสดงท่าทางว่าตนเองไม่เชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย!


 


 


แผ่นดินที่ยากจนข้นแค้นต่ำต้อยเช่นหลัวอวี่จะปรากฏผู้ที่มีพรสวรรค์มากถึงเพียงนี้ หากพูดออกไปรังแต่จะทำให้คนหัวเราะจนฟันร่วง!


 


 


คนที่นี่ล้วนแต่เป็นพวกชั้นต่ำทั้งสิ้น!


 


 


พวกเขามียาวิเศษประจำตระกูล หรือมีสุดยอดเคล็ดวิชาประจำตระกูล หรือมีสายเลือดสูงส่ง


 


 


ไม่หรอก!


 


 


ไม่มีทางเป็นไปได้!


 


 


อวี้หลัวช่าประความสำเร็จทั้งที่อายุยังน้อยเช่นนี้ นอกเสียจากว่านางมีเส้นสายคอยหนุนอยู่เบื้องหลังหรือว่านางได้พบกับสมบัติวิเศษเข้า!


 


 


หากมีเส้นสายตี้อู่เฉินหาได้หวาดกลัวไม่!


 


 


ชนชั้นที่สูงที่สุดในแผ่นดินหลัวอวี่อย่างเก่งก็แค่ราชนิกุล ซึ่งในสายตาเขาแล้วคนพวกนี้ไม่ได้สูงส่งเลยแม้แต่น้อย


 


 


สองสามวันมานี้ตี้อู่เฉินได้ทำความเข้าใจราชนิกุลสองสามคนบนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้มาแล้ว


 


 


ในบรรดาราชนิกุลบนแผ่นดินแห่งนี้มีพวกเหยาะแหยะไม่เอาไหนอยู่มากมาย


 


 


ผู้ที่มีทั้งสายเลือดราชนิกุล และในด้านของวรยุทธ์ก็นับว่าไม่เลวมีเพียงสองคน คนหนึ่งคือซย่าโหวฉิงเทียน อีกคนคือเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


ในเมื่อไม่มีสิ่งใดมายืนยันว่าฐานะของอวี้เฟยเยียนสูงส่งหรือไม่ เช่นนั้นก็มีเพียงข้อสันนิษฐานเดียว


 


 


นั่นคือนางพบกับสมบัติวิเศษเข้า


 


 


ในประวัติศาสตร์มีจารึกเอาไว้เกี่ยวกับคนชั้นสูงเหล่านั้น จึงเป็นไปได้มากว่านางพบสมบัติวิเศษเข้าถึงได้ก้าวขึ้นมาเก่งกาจอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น


 


 


ปรมาจารย์ที่พ่วงตำแหน่งจักรพรรดิยาด้วยอายุเพียงสิบกว่าปี ผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นนี้หากอยู่ที่เมืองอู๋โยวก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่นี่นางกลับปรากฏตัวบนแผ่นดินหลัวอวี่ เรื่องนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน!


 


 


อวี้หลัวช่าก็เพิ่งจะมามีชื่อเสียงขึ้นเมื่อสองปีก่อนหน้านี้นี่เอง อีกทั้งการสำเร็จขั้นของนางก็ยังรวดเร็วอีกด้วย


 


 


ตี้อู่เฉินจึงมั่นใจว่า นางจะต้องพบกับสมบัติวิเศษเข้าอย่างแน่นอน


 


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง…


 


 


เขามายังแผ่นดินหลัวอวี่ในครั้งนี้นับเป็นประโยชน์ครั้งใหญ่ทีเดียว!


 


 


หากว่านางได้ดื่มกินยาวิเศษใดๆ เข้าไปละก็ เลือดของนางก็จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่งยวดอย่างแน่นอน!


 


 


หากต้องการจะพิสูจน์เรื่องนี้ อันดับแรกจะต้องตามหาอวี้เฟยเยียนให้เจอเสียก่อน


 


 


ข่าวที่ว่าเมื่อครั้งที่อยู่แคว้นฉินจื้อ อวี้หลัวช่าและซย่าโหวฉิงเทียนเป็นคนรักกันนั้นเล่าลือไปทั่ว ดังนั้นตี้อู่เฉินจึงคิดว่าหากต้องการตามหาอวี้หลัวช่าให้เจอจะต้องตามหาซย่าโหวฉิงเทียนให้ได้เสียก่อน


 


 


หลังจากมั่นใจในเป้าหมายแล้ว ตี้อู่เฉินจึงปลอมตัวเป็นราชครูแห่งแคว้นเสวี่ย ใช้โอกาสที่ฮ่องเต้แห่งแคว้นเสวี่ยต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต้าโจวในครั้งนี้เดินทางมายังแผ่นดินต้าโจว


 


 


ข้อมูลที่ได้มาบ่งบอกชัดเจน บุคคลที่ตี้อู่หงเยี่ยล่วงเกินมีเพียงซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้หลัวช่า


 


 


ดังนั้นความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะเป็นฆาตกรจึงมีสูงมาก!


 


 


เมื่อครู่ตี้อู่เฉิน เฉินฉู่และเฉินเจินแฝงตัวอยู่ในคณะทูตแต่มิได้ลงมือ ใครจะคาดคิดว่าสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียนจะมีพลังทำลายล้างมากมายถึงเพียงนี้


 


 


ทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอันมาก


 


 


ลูกหลานตระกูลทั้งแปดแห่งอู๋โยวก็ชื่นชอบการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงลักษณะนี้เช่นกัน แม้กระทั่งสัตว์ป่าดุร้ายจำพวกเสือหรือเสือดาว แต่ตี้อู่เฉินเห็นว่าสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นไม่มีตัวไหนที่จะเทียบเคียงสุนัขตัวเมื่อครู่ได้เลย


 


 


มันเป็นสุนัขแต่ศีรษะใหญ่กว่าเสือ ดุร้ายกว่าสัตว์ป่าเป็นไหนๆ


 


 


ดูจากเหตุการณ์ที่สุนัขสีดำตัวใหญ่กินคนเมื่อครู่นี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันทำกระทำ


 


 


ซึ่งเจ้านายของมันจะต้องใช้มนุษย์เป็นๆ ป้อนให้มันกินเป็นประจำ มันถึงได้กระทำได้เป็นปกติวิสัยเช่นนี้


 


 


ใช้มนุษย์เป็นๆ ป้อนเป็นอาหารให้สัตว์เลี้ยง เหล่าลูกหลานแห่งตระกูลทั้งแปดที่อู่โยวก็กระทำเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาจะดุร้ายเฉกเช่นสุนัขตัวนี้มาก่อน!


 


 


พลังทำลายของเจ้าสุนัขตัวนี้มากกว่าจอมยุทธ์ผู้สำเร็จขั้นอ๋องด้วยซ้ำไป!


 


 


พริบตาเดียวก็สามารถสังหารทหารได้กว่ายี่สิบคน ได้ครอบครองเป็นเจ้าของสัตว์ที่ดุร้ายเก่งกาจเพียงนี้ ช่างน่าอิจฉาเสียจริง!


 


 


มองตามรถม้าที่แล่นผ่านหน้าไป ตี้อู่เฉินก็ส่งสายตาให้กับเฉินเจิน


 


 


ทันใดนั้น เฉินเจินก็หายออกไปจากกลุ่มคณะทูตทันที


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ในรถม้า ไม่แน่ว่าอวี้หลัวช่าอาจจะอยู่ด้วยก็เป็นได้


 


 


ให้เฉินเจินไปสืบเสียหน่อยก็แล้วกัน!


 


 


ต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่าอวี้หลัวช่ามีสมบัติวิเศษอะไรอยู่ในมือ เขาจึงจะดำเนินการแผนขั้นต่อไป


 


 


“ท่านราชครู ซย่าโหวฉิงเทียนปล่อยปละละเลยให้สุนัขของตนกระทำการโหดเ**้ยม สังหารคนของเราไปตั้งมากมาย หรือว่าท่านจะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ”


 


 


มองดูรถม้าของตนเองถูกทำลายจนย่อยยับ ทหารผู้ติดตามก็บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทำให้อูลู่ลู่เจ็บแค้นเป็นอย่างมาก นางได้จดจำซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ในบัญชีแค้นของตนเอง


 


 


หลินเจียงอ๋องผู้นี้ยโสโอหังเกินไปแล้ว!


 


 


ถึงกับกล้าลั่นวาจาว่าชีวิตของนางที่เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยด้อยค่ากว่าชีวิตประชาชน นี่มันเป็นความคิดนอกรีตบ้าบออะไรกัน!


 


 


เมื่อครู่เขายังกล้าเอ่ยวาจายโสโอหังข่มขู่ว่าจะฆ่านาง เขากล้า!


 


 


นางเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองแคว้น หากเขาฆ่านาง มิกลัวว่าแคว้นเสวี่ยจะมาคิดบัญชีหรอกหรือ!


 


 


ในสายตาของอูลู่ลู่ หน้าตาและเกียรติยศสำคัญยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด!


 


 


ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของซย่าโหวฉิงเทียนจะไพเราะน่าฟัง แต่เขาทำให้นางอับอายขายหน้าตั้งแต่วันที่เดินทางถึงเมืองหลวง


 


 


แค้นนี้ นางจะจดจำไว้!

 

 

 


ตอนที่ 109-2 สะกดรอยตามข้า? ช่างอาจหา...

 

ถึงแม้ว่าอูเค่อตงจะคาดหวังให้นางแต่งงานกับซย่าโหวฉิงเทียน เพราะเขาเป็นถึงจอมเทวา วรยุทธ์ล้ำเลิศเหนือใคร แต่อูลู่ลู่กลับมิได้คิดเช่นนั้น


 


 


นางจะต้องแต่งงานทั้งที แล้วเพียงพระชายาจะมีความหมายอะไร


 


 


จะเป็นทั้งทีก็ต้องเป็นฮองเฮาไปเลย!


 


 


นางรู้มาว่าฮองเฮาของฮ่องเต้แห่งต้าโจว ซย่าโหวจวินอวี่สิ้นพระชนม์ไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจุดประสงค์ของนางก็คือเป็นฮองเฮาแห่งต้าโจว


 


 


“หากเรื่องเล็กน้อยยังไม่รู้จักอดทนจะทำให้เสียการใหญ่ ตอนนี้พวกเราอยู่บนแผ่นดินแห่งจักรต้าโจว! อีกอย่างซย่าโหวฉิงเทียนคือน้องชายที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวทรงโปรดปรานที่สุด แล้วองค์หญิงทรงคิดหรือว่าเขาจะลงโทษซย่าโหวฉิงเทียนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้”


 


 


มองดูใบหน้างดงามที่แสนเย่อหยิ่งของอูลู่ลู่แล้ว ตี้อู่เฉินก็แสยะยิ้มชั่วร้ายออกมา


 


 


หญิงที่ทั้งงดงาม เย็นชาและเย่อหยิ่ง สามารถดึงดูดผู้ชายได้ชะงัดนัก


 


 


ในสายตาเขา ขอเพียงหญิงผู้นั้นมีรูปโฉมที่ชวนให้หลงใหลและเรือนร่างที่สมบูรณ์พูนพร้อม เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ชายมีความสุขได้แล้ว


 


 


ดังนั้นสติปัญญาทั้งหลาย พวกนางไม่จำเป็นต้องมี


 


 


“ท่านราชครู ด้วยวรยุทธ์ของท่าน ไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นกับพวกเขาด้วยซ้ำไป!”


 


 


อูลู่ลู่คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าราชครูจะออกหน้าสั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนให้หนักสักครั้ง จะให้ดีควรถลกหนังเจ้าสุนัขสีดำตัวยักษ์นั่นแล้วนำมาตุ๋นเสีย จึงจะสามารถสลายความแค้นในหัวใจของนางลงได้


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคือจอมเทวา แล้วอย่างไรเล่า!


 


 


ตอนนี้แคว้นเสวี่ยมีราชาโอสถอยู่ทั้งคน!


 


 


อีกอย่าง อูเค่อตงแอบเปิดเผยกับอูลู่ลู่อย่างลับๆ ว่า องครักษ์สองคนข้างกายของราชครู อาจจะเป็นจอมเทวาเช่นกัน!


 


 


แคว้นเสวี่ยมีทั้งราชาโอสถและจอมเทวาสองคน จึงมิต้องเกรงกลัวต้าโจวเลยแม้แต่น้อย!


 


 


ตี้อู่เฉินล่วงรู้ถึงความคิดของอูลู่ลู่ดี ทว่าเขาจะมิยอมออกหน้าแทนนางเป็นแน่!


 


 


เขาเดินทางมาในครั้งนี้มีเรื่องสำคัญต้องทำ แล้วจะให้แผนการทั้งหมดพังเพียงเพราะผู้หญิงคนเดียวได้อย่างไรกัน


 


 


“องค์หญิง จอมยุทธ์สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย แล้วพระองค์จะต้องรีบร้อนไปทำไมกัน!”


 


 


ในรถม้า อวี้เฟยเยียนรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแคว้นเสวี่ยจากซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


แคว้นตั้งอยู่ทางเหนือสุดของแผ่นดินใหญ่ พวกเขาถือว่าหิมะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด ดังนั้นจึงใช้ชื่อของหิมะเป็นชื่อของแคว้น


 


 


สภาพอากาศของแคว้นเสวี่ยค่อนไปทางหนาวเย็น ในหนึ่งปีจะมีระยะเวลาราวครึ่งปีที่เป็นฤดูหนาว เมื่อย่างเข้าเดือนสิบ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน สภาพอากาศที่หนาวเหน็บตัดขาดแคว้นเสวี่ยและโลกภายนอกออกจากกัน ดังนั้นชาวเสวี่ยที่ได้ออกมาเผชิญโลกจึงมีจำนวนน้อยยิ่งนัก


 


 


เนื่องด้วยแคว้นเสวี่ยห่างไกลจากใจกลางของแผ่นดินใหญ่ นับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นจนถึงบัดนี้แคว้นเสวี่ยจึงแสดงท่าทีเป็นกลางมาโดยตลอด ดังนั้นความสัมพันธ์กับต้าโจวจึงถือว่าสงบราบรื่นดี


 


 


ครั้งนี้แคว้นเสวี่ยเป็นฝ่ายเสนอส่งองค์หญิงมาแต่งงาน จัดเจนว่ามีเจตนาเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับต้าโจว


 


 


“คู่หมายขององค์หญิงจากแค้วนเสวี่ยคนนั้นคงมิใช่ท่านใช่ไหม!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเหลือบมองใบหน้าอันหล่อเหลาของซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างกายพร้อมกับร้องขึ้น


 


 


น้ำเสียงเจือเอาไว้ด้วยแรงหึงหวงเต็มเปี่ยม หากมิใช่นางพบเจอคณะทูตของแคว้นเสวี่ยระหว่างทางละก็ นางก็คงไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ


 


 


โอรสของซย่าโหวจวินอวี่ในตอนนี้มีพระชายากันไปหมดแล้ว ที่ยังว่างอยู่ก็มีซย่าโหวฉิงเทียนเพียงคนเดียว


 


 


ผู้ชายของตนเองถูกคนอื่นคิดถึงคะนึงหาเข้า นางไม่ชอบใจเอาเสียเลย!


 


 


“คิดเหลวไหล!” ซย่าโหวฉิงเทียนแตะที่จมูกของอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา


 


 


“พี่ก็มีเจ้าแล้วอย่างไรเล่า!”


 


 


“แล้วหากว่าไม่มีข้าละ อวี้เฟยเยียนรุกถามต่อ


 


 


ใครๆ ต่างก็บอกว่าผู้หญิงที่กำลังมีความรัก สติปัญญาจะเป็นศูนย์ อวี้เฟยเยียนเองก็ไม่มียกเว้น คำพูดที่นางกล่าวออกมาจึงเริ่มโง่เขลาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว


 


 


“สายตาของพี่ไม่แย่ขนาดนั้นหรอก!”


 


 


รู้ดีว่าในใจของแมวน้อยกำลังหึงหวง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใช้การปฏิบัติจริงพิสูจน์ตัวเอง


 


 


หลังจากรสจูบที่เร่าร้อนลึกซึ้งผ่านไป อวี้เฟยเยียนถึงกับมึนงง


 


 


“แต่ว่าในตอนนี้เหลือเพียงท่านเท่านั้นที่ยังเป็นโสดอยู่!”


 


 


อวี้เฟยเยียนที่ซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของซย่าโหวฉิงเทียน เอื้อมมือออกมาลูบคลำหนวดเขาที่เพิ่งจะเริ่มงอกออกมารำไรเล่นไปด้วย


 


 


เหตุใดถึงได้มีคนหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ได้นะ


 


 


แม้กระทั่งไรหนวดเขายังน่ารักเลย!


 


 


“เจ้าลืมแล้วหรือ ฮ่องเต้ก็ยังทรงเป็นโสดอยู่นะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคว้ามือของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วกัดที่ข้อมือตรงตำแหน่งจุดชีพจรแผ่วเบาเป็นการลงโทษนาง ไม่มีเรื่องอะไรเลยคิดมากไปเอง! พี่ไม่ได้เป็นโสดมาตั้งนานแล้ว ก็มีเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า!


 


 


“ฮ่าๆ!”


 


 


ได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยกล่าวเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็หัวเราะออกมายกใหญ่


 


 


นี่เขากำลังช่วยฮ่องเต้ให้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มรอบสองหรืออย่างไรกัน


 


 


อายุของซย่าโหวจวินอวี่เป็นพ่อขององค์หญิงแคว้นเสวี่ยได้เลยนะ!


 


 


ยิ่งเมื่อนึกถึงฝ่าบาทที่แสนตลกขบขันกับขันทีคู่ใจจอมโปกฮาช่วยกันแสดงละครอย่างสุดชีวิตเมื่อตอนที่อยู่ในห้องทรงอักษรแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกตลกขบขันยิ่งนัก


 


 


ราวกับว่าทุกครั้งที่ซย่าโหวจวินอวี่ได้พบกับซย่าโหวฉิงเทียน เขาแทบไม่มีเค้าลางแห่งความเป็นนักปกครองอยู่เลย เขามักจะกลายร่างเป็นคุณพ่อจอมตลกสร้างเสียงหัวเราะเสียอย่างนั้น


 


 


เพียงแต่ หากว่าฮ่องเต้ทรงทราบว่าตนเองถูกบุตรชายแท้ๆ ขายพระองค์เช่นนี้ จะทรงกันแสงไหมนะ


 


 


กันแสงไหมนะ


 


 


ไม่นาน อวี้เฟยเยียนก็กลับไปมีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสอีกครั้ง


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยังไม่ถือสาหากว่าจะมีแม่เลี้ยงเพิ่มขึ้นมา แล้วนางจะร้อนใจไปทำไมกัน!


 


 


ขอเพียงแต่ชายผู้นี้เป็นของนางก็พอ!


 


 


หากว่าองค์หญิงผู้นั้นไม่ดูตาม้าตาเรือละก็ จะปล่อยหานจื่อไปกัดนางเสียเลย!


 


 


ริจะมาแย่งผู้ชายกับข้า คงจะเบื่อชีวิตแล้วกระมัง!


 


 


นั่งรถม้าเป็นเวลาชั่วยามกว่า ในที่สุดคณะของซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินทางมาถึงสวนชาแดงบนเขานอกเมืองเสียที


 


 


มองจากระยะไกล สวนชาแดงนี้เป็นทุ่งสีแดงฉาน ดูแลคล้ายกับกลุ่มเมฆาสีแดงเพลิงยามอาทิตย์อัสดง กระทั่งรถม้าวิ่งเข้ามาถึงในสวน หนานกงจื่อหลิงจึงเลิกผ้าม่านของรถม้าขึ้นอย่างรอคอยไม่ไหว แล้วเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถม้า


 


 


“สวยจังเลย!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงจ้องมองทุ่งสวนชาสีแดงเพลิงตรงหน้า แล้วก็รู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก


 


 


“พี่เสวี่ย ท่านดูสิ ลวดลายบนใบต้นเฟิงนั้นสวยงามยิ่งนัก!”


 


 


“จริงด้วย!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยมองดูหอศาลาและป่าต้นเฟิงตรงหน้าที่แทบจะกลืนเป็นผืนเดียวกันตรงหน้าด้วยอาการเหม่อลอย


 


 


เมื่อเห็นอาการของเชียนเยี่ยเสวี่ย หนานกงจื่อหลิงก็รีบเดินเข้าไปหา


 


 


“พี่เสวี่ย พี่เฮ่ออีไม่ได้มาด้วย ท่านกำลังรู้สึกเสียใจใช่ไหม”


 


 


หนานกงจื่อหลิงจับสังเกตอาการผิดปกติของเชียนเยี่ยเสวี่ยได้ตั้งแต่อยู่บนรถม้า


 


 


ในระยะนี้คนสองคนนี้มักเอาแต่หลบเลี่ยงซึ่งกันและกัน เห็นพวกเขาเอาแต่งอนกันไปมาเช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงก็ร้อนใจยิ่งนัก


 


 


ซึ่งนางกำลังสงสัยว่า ว่าตี้อู่เฮ่ออีถกเรื่องวิชาแพทย์กับหมอเทวดาฮั่วคือข้ออ้าง แท้ที่จริงแล้วเขากังวลว่าตนเองจะทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยอึดอัด จริงเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงไป


 


 


“สาวน้อย เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน!”

 

 

 


ตอนที่ 109-3 สะกดรอยตามข้า? ช่างอาจหา...

 

 


 


ถูกหนานกงจื่อหลิงพูดแทงใจดำเข้า เชียนเยี่ยเสวี่ยถึงกับหน้าแดง รีบเอ่ยปฏิเสธพัลวัน


 


 


ทิวทัศน์ที่นี่สวยงามยิ่งนัก นางจึงรู้สึกว่าน่าเสียดายแทนเจ้าทึ่มเท่านั้นเอง


 


 


“อธิบายก็คือปกปิด ปกปิดก็คือไม่ซื่อสัตย์!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงหยิบใบต้นเฟิงขึ้นมาใบหนึ่งพร้อมกับคืนคำพูดของเชียนเยี่ยเสวี่ยให้กับนาง


 


 


“จริงๆ ข้าคิดว่าพี่เฮ่ออีดีออกนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าจะซื่อบื้อไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลว พี่เสวี่ย ท่านอย่าทำเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียใจไปตลอดชีวิตเพียงเพราะความบุ่มบ่ามเพียงชั่วครู่นะเจ้าคะ!”


 


 


ในบรรดาพวกเขา หนานกงจื่อหลิงอายุน้อยที่สุด แต่ทุกครั้งที่นางเอ่ยปากราวกับผู้ใหญ่ก็อย่างไรอย่างนั้น ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยถึงกับยิ้มไม่ออก


 


 


“ไปทางโน้นเลย เป็นสาวเป็นนาง พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีเขินอายเลยทีเดียวเชียว!”


 


 


เมื่อเห็นว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยไม่อยากจะเอ่ยถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ หนานกงจื่อหลิงก็ไม่ได้เซ้าซี้ ตรงกันข้ามนางกลับกระโดดโลดเต้นไปหาอวี้เฟยเยียนแทนแล้วคล้องแขนของนางเอาไว้


 


 


“พี่อวี้ พี่เสวี่ยรังเกียจที่ข้าอายุน้อยเกินไป ท่านไม่รังเกียจใช่ไหม!”


 


 


จริงๆ แล้วอวี้เฟยเยียนอายุมากกว่าหนานกงจื่อหลิงเพียงสองเดือน แต่นางมีฐานะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ ดังนั้นจึงต้องเรียกว่าพี่สาว


 


 


“ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง!”


 


 


อวี้เฟยเยียนร้องขึ้นพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


“เราสองคนเป็นสาวน้อย จึงจะไม่พูดคุยเรื่องเช่นนั้นกับแม่สาวใหญ่!”


 


 


“พี่อวี้ดีที่สุดเลย! เรื่องที่ข้าคาดหวังมากที่สุดในตอนนี้นั่นก็คืออยากให้ท่านแต่งงานกับพี่ใหญ่ในเร็ววัน เช่นนี้แล้วข้าก็จะได้เรียกท่านว่าซ้อใหญ่ได้เสียที!”


 


 


คนหนึ่งคือหญิงที่เขารักสุดหัวใจ อีกคนคือน้องสาวที่เขารักและเอ็นดูที่สุด คนทั้งสองสนิทสนมรักใคร่กันถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนดีใจเป็นที่สุด


 


 


เฉินเจินที่สะกดรอยตามมา แฝงตัวลึกลับอยู่ในป่าต้นเฟิง ซึ่งถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันไกล แต่เฉินเจินก็จดจำหนานกงจื่อหลิงได้ดี


 


 


คุณหนูใหญ่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน!


 


 


ก่อนที่จะออกมานี้ หนานกงเอ๋ามอบหมายภารกิจให้เขาสองอย่าง อย่างแรกก็คือตามหาหนานกงจื่อหลิง แล้วพานางกลับไป อย่างที่สอง จับเจ้าปีศาจน้อยกลับไปด้วย


 


 


หนานกงเอ๋าบอกกับเขาอย่างชัดเจนว่า ขอเพียงตามหาหนานกงจื่อหลิงเจอก็จะหาเจ้าปีศาจน้อยเจอเอง


 


 


ตอนนี้หนานกงจื่อหลิงเรียกขานซย่าโหวฉิงอย่างสนิทสนมว่า ‘พี่ใหญ่’ ทำให้เฉินเจินอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย หรือว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือเจ้าปีศาจน้อยกันนะ


 


 


แต่มันก็ไม่ถูกต้องนี่นา!


 


 


รูปร่างหน้าตาเขา ต่างกันลิบลับ!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนคืออ๋องแห่งต้าโจว ดวงตาสีดำ แต่เจ้าปีศาจน้อยนั่นผมสีเงินดวงตาสีม่วง


 


 


หากจะบอกว่าพวกเขาคือคนคนเดียวกัน ให้ตายเฉินเจินก็ไม่มีทางเชื่อ


 


 


“แมวน้อย เจ้าไปเที่ยวเล่นตรงด้านนั้นกับพวกนางก่อน พี่มีเรื่องต้องจัดการเสียหน่อย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา รอยยิ้มเขาใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก


 


 


นางคบหากับซย่าโหวฉิงเทียนมาเป็นเวลานาน เมื่อเขามีอะไรผิดแผกไปจากปกติ อวี้เฟยเยียนก็จะสามารถสัมผัสได้ทันที


 


 


ออกมาท่องเที่ยวกัน เพิ่งจะมาถึงที่หมายแต่ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้ทำหน้าที่ของเจ้าบ้านอย่างสุดกำลัง กลับขอตัวออกไปก่อน ทำให้อวี้เฟยเยียนอดไม่ได้ที่ต้องเกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา


 


 


กระทั่งนางตั้งใจเงี่ยหูสดับฟังให้ดีอีกครั้ง ก็พบว่าเสียงเสียดสีกันของใบต้นเฟิงผิดปกติไป พริบตานั้นนางก็เข้าใจในทันที


 


 


มีคนหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าต้นเฟิง


 


 


คนผู้นี้มารนหาที่ตาย หรือถูกส่งมาตายกันแน่นะ


 


 


“ได้สิ! ข้าจะไปดูว่าเที่ยงนี้เราจะกินอะไรกันดี! หลิงเอ๋อร์ เสวี่ย พวกเจ้ามาช่วยข้าที! หานจื่อ เจ้านำทาง!”


 


 


รอจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนหายไปจากสายตาของซย่าโหวฉิงเทียน พลันเขาก็หายไปจากตรงนั้นทันที


 


 


คนเล่า


 


 


เฉินเจินยืดคอสอดส่องค้นหาอยู่นาน แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


หนานกงจื่อหลิงหายไปแล้ว ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ฉับพลัน ในใจของเฉินเจินก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา ผิดปกติ ต้องรีบถอยเดี๋ยวนี้!


 


 


ทว่า เขากลับช้าไปก้าวหนึ่ง


 


 


เมื่อเฉินเจินกระโดดข้ามกำแพงของสวนต้นเฟิงออกมาด้านนอก ก็พบว่าซย่าโหวฉิงเทียนมายืนอยู่ที่เบื้องหน้าเขา


 


 


“เหอะ ที่แท้ก็เจ้านั่นเองหรือ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเคยพบเฉินเจินมาก่อน จึงรู้ว่าเขาคือคนของหนานกงเอ๋า เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า เขาจะตามมาถึงที่นี่รวดเร็วถึงเพียงนี้


 


 


เห็นที หนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้คงจะต้องเอาหัวใจเขาให้ได้สินะ


 


 


“เจ้าเป็นใครกันแน่”


 


 


ด้วยรู้สึกคุ้นชินกับลักษณะการพูดจาของอีกฝ่ายยิ่งนัก เฉินเจินชักกระบี่คู่ของตนเองออกมา


 


 


“หน้าโง่! ข้าเป็นใครเจ้ายังไม่รู้ แล้วยังบังอาจกล้ามาสะกดรอยตามข้า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเยือกเย็นชั่วร้าย เขาลงมือทันทีและรวดเร็ว


 


 


ซย่าจื่ออวี้เจ้าสงสารลูกชายจนแทบจะรอให้ข้ารีบไปตายไม่ไหวเชียวหรือ เจ้าทำเช่นนี้ยังคู่ควรเป็นแม่คนได้อยู่อีกหรือ


 


 


ดวงไฟแห่งความแค้นเคืองกำลังลุกโชนอยู่ในหัวใจเขา ซึ่งมันแสดงออกมาผ่านทางการกระทำของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เฉินเจินกำลังเตรียมที่จะลงมือ ทว่าดาบคู่ในมือเขากลับหลุดลอยไปแล้วเข้าไปอยู่ในกำมือของซย่าโหวฉิงเทียนแทน


 


 


“ไปตายเสียเถอะ!”


 


 


ดวงตาทั้งสองข้างของซย่าโหวฉิงเทียนค่อยๆ ส่องแสงประกายที่ม่วงออกมา ดาบทั้งสองเล่มแทงทะลุเข้าที่หัวใจของเฉินเจินพร้อมๆ กัน ในขณะนั้นพลังแสงสีม่วงจากร่างของซย่าโหวฉิงเทียนลอยเข้าสู่ร่างของเฉินเจิน


 


 


บึ้ม!


 


 


เฉินเจินร่างระเบิด


 


 


ซ่าๆ


 


 


ห่าเลือดสาดกระเซ็นขึ้นกลางอากาศ ผสมรวมกับเนื้อสดๆ จนทำให้พื้นสกปรกเลอะเทอะ


 


 


เวลาผ่านไปอยู่เป็นนานกว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะสงบใจลงได้


 


 


เขาเอาความแค้นที่มีต่อซย่าจื่ออวี้ไปลงกับเฉินเจิน!!


 


 


นี่เขาลืมที่จะดูดกลืนความทรงจำของเฉินเจินออกมาหรือนี่ เสียแผนหมด!


 


 


ดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว เสวี่ยเยียนก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“จัดการเก็บกวาดที่นี่ที แล้วไปสืบมาด้วยมามันมาได้อย่างไรกัน…”


 


 


เฉินเจิ้นติดตามมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วเช่นนี้ นับเป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคราวนี้หนานกงเอ๋าส่งคนมาเท่าไหร่กัน


 


 


แต่ไม่ว่าจะส่งมากี่คน พวกมันก็จะได้เพียงมาไม่ได้กลับไปอีกเลย


 


 


กว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะอาบน้ำชำระกลิ่นคาวเลือดที่ติดตัวออกไปและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเสร็จ เวลาก็ปาเข้าไปถึงเที่ยงตรง


 


 


ในขณะที่กินข้าวเขามิได้แสดงอาการผิดปกติออกมาแต่อย่างใด จึงสามารถตบตาหนานกงจื่อหลิงและเชียนเยี่ยเสวี่ยได้ ยกเว้นแต่อวี้เฟยเยียน


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเองก็มิได้คิดที่จะปิดบังอวี้เฟยเยียนอยู่แล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาพักผ่อนตอนบ่าย เขาจึงเล่าเรื่องนี้ให้กับนางได้ฟัง


 


 


“หลิงเอ๋อร์จะไม่เป็นอันตรายใช่ไหม!”


 


 


ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น คนแรกที่อวี้เฟยเยียนเป็นห่วงก็คือหนานกงจื่อหลิง


 


 


หนานกงเอ๋าและซย่าจื่อสามารถหลอกใช้บุตรสาวแท้ๆ ของตนเองได้ ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะรักนางจริง!


 


 


หากว่าให้เลือกระหว่างหนานกงจื่อหลิงและหนานกงเช่อละก็ อวี้เฟยเยียนเชื่อแน่ว่า พวกเขาจะต้องละทิ้งหนานกงจื่อหลิง แล้วเลือกหนานกงเช่อ


 


 


“เจ้าวางใจเถอะ พี่ให้เสวี่ยเยียนคอยติดตามอยู่ข้างกายหลิงเอ๋อร์แล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม