จารใจรัก 107.1-109.2

ตอนที่ 107-1 ฮ่องเต้สวรรคต

 

           “ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด พวกกระหม่อมจะอุทิศตัวเองตราบจนลมหายใจสุดท้าย ทุ่มเทกำลังช่วยเหลือรัชทายาทสืบทอดรากฐานหนานฉินต่อไปถึงพันปีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน ผู้ตรวจการและคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงรับรองด้วยความเศร้าใจ 


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ เลื่อนสายตาออกจากทุกคน ท้ายที่สุดแล้วก็หยุดลงบนกายพระชายาอิงชินอ๋อง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องขยับมุมปาก ม่านน้ำตาเอ่อคลอ บอกกับพระองค์อย่างไร้สุ้มเสียง “ข้ามิเคยโทษท่าน เพียงแต่เราไร้วาสนาต่อกันเท่านั้นเอง ท่าน…ไปดีเถิด” 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวล พระหัตถ์ตกลง เปลือกพระเนตรค่อยๆ ปิดลง มิส่งเสียงใดอีกเลย 


 


 


           ฉินอวี้เดินเข่าเข้ามา ยื่นมือเขย่าพระองค์ ตะโกนขึ้นด้วยความเสียใจ “เสด็จพ่อ!” 


 


 


           “เสด็จพ่อ!” ฉินชิงเองก็ตะโกนขึ้นตาม 


 


 


           “ฝ่าบาท!” ฮองเฮาโถมเข้าหาพระวรกายฮ่องเต้แล้วกรรแสงออกมา 


 


 


           ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน พบว่าพระพักตร์ฮ่องเต้สงบเยือกเย็นดุจกำลังบรรทมก็มิปาน ทว่าไร้ลมหายใจโดยสิ้นเชิง ต่างพากันหมอบกับพื้นแล้วร่ำไห้ 


 


 


           ตลอดชีวิตของฉินฉีมีหลายสิ่งที่น่าเสียดาย ทว่าต้องยอมรับว่า พระองค์นอกจากควบคุมตระกูลเซี่ยทุกย่างก้าวและแสวงหาลาภยศแล้ว ความจริงก็มิใช่จักรพรรดิธรรมดาเช่นกัน ช่วงแรกที่ราชาภิเษกก็ทรงผลักดันนโยบายมากมายอันเป็นประโยชน์ต่อราษฎร ทั้งรู้จักบริหารคนมีความสามารถจากหลายท้องที่ ยินดีรับฟังคำแนะนำติเตียนอย่างจงรักภักดี มิเคยบูรณะตำหนักราชนิเวศน์หรือก่อสร้างเป็นการใหญ่โต วัยชราแม้มีอารมณ์ฉุนเฉียวบ่อย ทว่าก็มิเคยลอบทำร้ายผู้ที่ซื่อสัตย์ ในราชสำนักไร้ซึ่งคนทรยศต่อแผ่นดินอย่างแท้จริง เป็นจักรพรรดิที่ในพระราชหฤทัยมีแต่ลูกหลานราษฎร 


 


 


           พระองค์ทรงมีชีวิตต่อไปได้นานกว่านี้แท้ๆ มิใช่ถูกโรคภัยโจมตี หากแต่ถูกภายในจิตใจตนเองโจมตี 


 


 


           เนิ่นนานจากนั้น ฉินอวี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงม 


 


 


           “กระหม่อมคารวะฮ่องเต้องค์ใหม่!” อิงชินอ๋องกับพวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาเป็นผู้นำ ต่างลุกขึ้นยืนแล้วหมอบตัวลงก้มกราบอีกครั้ง 


 


 


           ฉินอวี้มีนัยน์ตาแดงก่ำ มองทุกคนด้วยหน้าตาโศกเศร้า ก่อนยกมือบอกด้วยเสียงแหบพร่า “ใต้เท้าทุกท่านลุกขึ้นเถิด เสด็จพ่อจากไปแล้ว คำสั่งสุดท้ายของพระองค์เรามิกล้าฝ่าฝืน เราจะมุ่งมั่นสร้างสันติสุข ปกครองหนานฉินอย่างเต็มที่ นับจากนี้ต้องพึ่งพาใต้เท้าทุกท่านแล้ว” ตรัสจบก็ก้าวขึ้นมา ประคองอิงชินอ๋องขึ้น “ท่านลุง นับจากวันนี้ท่านเป็นอ๋องช่วยบริหารแผ่นดิน เมื่อพบเรา ละเว้นให้มิต้องคุกเข่า” 


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” อิงชินอ๋องลุกขึ้นด้วยความเศร้าใจ 


 


 


           “ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวคำนับ 


 


 


           ฉินอวี้มีคำสั่งให้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วเมือง ลั่นระฆังในหกตำหนัก เพื่อเป็นการแสดงความไว้อาลัยจึงสั่งให้สร้างศาลเซ่นไหว้นอกตำหนักบรรทม และเตรียมจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพ  


 


 


           เสียงระฆังบอกการสวรรคตของฮ่องเต้ดังขึ้น ความเศร้าโศกปกคลุมทุกหย่อมหญ้า 


 


 


           หลังเซี่ยฟางหวาออกจากตำหนักบรรทมฮ่องเต้โดยมีซื่อฮว่ากับซื่อม่อประคอง มาถึงตำหนักของฉินอวี้แล้วก็มิได้รีบพักผ่อนในทันที หากแต่จุดตะเกียงนั่งริมหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก 


 


 


           ภายในตำหนักของฉินอวี้มิได้มีพืชพรรณดอกไม้มากนัก มีเพียงต้นกุ้ย[1]*ไม่กี่ต้น เพราะยังไม่ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นจึงปราศจากกลิ่นหอมดอกไม้ 


 


 


           ต้นกุ้ยมิได้ถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อยแบบพืชพรรณดอกไม้ในวังหลวง แม้เจริญเติบโตตามใจชอบและยุ่งเหยิง แผ่กิ่งก้านอย่างไร้กฎเกณฑ์ ค่อนไปทางสะเปะสะปะ ทว่าดูแล้วกลับชวนสบายตาอย่างมาก 


 


 


           ห้องห้อองนี้มิใช่ตำหนักหลักที่ฉินอวี้พำนัก แต่เป็นปีกตำหนักในตำหนักบรรทมของเขา 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งในตำหนักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงลั่นระฆังหกตำหนักดังขึ้น 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองเซี่ยฟางหวาด้วยความตกใจ ก่อนกล่าวเสียงเบา “คุณหนู ระฆังดังขึ้นแล้ว หรือว่าเป็นฝ่าบาท…” 


 


 


           “ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “มิใช่บอกว่ายามอู่พรุ่งนี้หรือเจ้าคะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อสับสน 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองนอกหน้าต่างพลางเอ่ยขึ้น “คนจะตายเมื่อไรมีหรือจะกำหนดได้แม่นยำ เดิมพระองค์สามารถยื้อชีวิตไปถึงยามอู่พรุ่งนี้ ทว่าเมื่อจิตใจผ่อนคลาย โทสะมลายหาย ก็สามารถจากไปได้ตลอดเวลา” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า “เช่นนั้น…ท่านยังไปข้างหน้าหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           “ไม่ไป” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “คุณหนู ท่านเหนื่อยแล้ว มิเช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อถามเสียงเบา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “หากพวกเจ้าเหนื่อยแล้วก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” 


 


 


           “บ่าวสองคนมิเหนื่อย หากคุณหนูมิเหนื่อย พวกเราก็จะอยู่กับท่าน” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อส่ายหน้า ก่อนกล่าวขึ้นอีก “ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว จะต้องแต่งตั้งรัชทายาทเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่กระมัง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “หากรัชทายาทราชาภิเษก แล้วจากนี้ท่าน…” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อกัดริมฝีปาก ประโยคครึ่งหลังกลืนกลับลงไประหว่างที่เห็นสีหน้าเรียบเฉยของเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวามิได้ตอบทั้งสอง และมิได้เอ่ยคำใดคล้ายมิได้ยิน พลางมองไปนอกหน้าต่าง 


 


 


           เสียงระฆังดังทั่ววังหลวง แพร่ออกไปนอกวัง กระทั่งปกคลุมทั่วเมืองหลวง 


 


 


           บรรดาคนในครอบครัวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ ในเมืองหลวงที่มิได้เข้าวังหลวงไปด้วยทราบข่าวแล้ว ต่างตื่นขึ้นด้วยความตระหนกตกใจกลางดึก โคมไฟทุกจวนสว่างขึ้นชั่วพริบตา 


 


 


           จวนใหญ่อื่นๆ ส่งคนไปสืบข่าวในวังหลวงก่อน เมื่อทราบข่าวว่าฝ่าบาทสวรรคตและทรงแต่งตั้ง 


 


 


รัชทายาทเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ ขุนนางในราชสำนักต่างรีบร้อนเข้าวัง สตรีมียศเองก็เข้าวังด้วยเช่นกัน 


 


 


           ภายในจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบแต่งกายให้เรียบร้อย นางมีฐานะเป็นสตรีที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ดังนั้นย่อมต้องเข้าวังด้วย ขณะที่ข้ามธรณีประตูออกมาก็พบกับ 


 


 


หลูเสวี่ยอิ๋งพอดี  


 


 


           “อิ๋งเอ๋อร์” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก 


 


 


           หลังหลูเสวี่ยอิ๋งตกใจตื่นเพราะเสียงระฆังก็รีบลุกขึ้น หลังเหตุการณ์ที่นางถูกฉินอวี้ทรมานจนแท้งก็อยู่พักรักษาตัวที่จวนตลอดเวลา ยามนี้อาการบาดเจ็บได้รับการพักฟื้นแล้ว ดีขึ้นเจ็ดแปดส่วน เมื่อได้ยินเสียงระฆังก็ไตร่ตรองพักหนึ่ง ก่อนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว ทราบดีว่าฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้าวังด้วยจึงรีบมาหา กล่าวกับฮูหยินว่า “ท่านแม่ ข้าก็จะเข้าวังกับท่านด้วย” 


 


 


           “เจ้าจะเข้าวังด้วยหรือ” ฮูหยินมองนาง “ร่างกายเจ้า…” 


 


 


           “ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว เข้าวังได้มิเป็นปัญหา” หลูเสวี่ยอิ๋งตอบ 


 


 


           “แต่ว่า…หากพบฉินห้าวเล่า” ฮูหยินมองนาง 


 


 


           “พบก็พบเถิด ข้ามิอาจซ่อนตัวในจวนเสนาบดีเลี่ยงการพบเขาไปตลอดชีวิตได้ ตอนนี้ยังข้าเป็นสะใภ้คนโตของจวนอิงชินอ๋อง อดีตฮ่องเต้คือเสด็จอา ตอนนี้ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว หากมิไป วันข้างหน้าถ้ามีคนหยิบเอาเรื่องนี้มาประณามท่านพ่อ มีหรือจะมิทำให้ท่านพ่อลำบาก” หลูเสวี่ยอิ๋งตอบ  


 


 


           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าเข้าวังไปพร้อมข้าแล้วกัน เจ้าเป็นลูกสะใภ้จวนอิงชินอ๋อง ตามกฎราชนิกุลแล้ว ในเมื่อเข้าวัง เจ้าก็ต้องไว้ทุกข์เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ เพียงแต่หากเจ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาก็รีบบอกแม่ แม่ช่วยขอพระประสงค์ให้เจ้ากลับมาพักผ่อนก่อน สิ่งใดก็มิสำคัญเท่าร่างกาย” 


 


 


           “ลูกทราบแล้ว” หลูเสวี่ยอิ๋งพยักหน้า 


 


 


           สองแม่ลูกออกจากจวนเพื่อเข้าวังไปด้วยกัน 


 


 


           ภายในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ฮูหยินลุกขึ้นมาแต่งกายให้เรียบร้อยเมื่อได้ทราบข่าวด้วยเช่นกัน ขณะข้ามธรณีประตูออกมาก็พลันนึกถึงหลี่หรูปี้จึงรีบเดินไปยังเรือนของนางโดยด่วน 


 


 


           หลังหลี่หรูปี้ได้ยินเสียงระฆังก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน ทว่ายังมิได้แต่งตัว 


 


 


           เมื่อฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามาถึง ข้ามธรณีประตูเข้ามา พบว่าหลี่หรูปี้ยังนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าเหม่อลอย นางรีบขมวดคิ้วกล่าว “ปี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว เจ้าได้ยินเสียงระฆังหรือยัง รีบเข้าวังไปพร้อมข้าเร็ว” 


 


 


           “ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าเซี่ยฟางหวากลับมาถึงตอนค่ำเมื่อวาน ตอนนี้อยู่ในวังหลวง” หลี่หรูปี้เงยหน้าขึ้น  


 


 


           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาชะงัก “เจ้าคิดว่านางทำอันใด” 


 


 


           “ฟังว่านางกลับมาพร้อมรัชทายาท หลังเข้าวังไปก็ติดตามรัชทายาทไปยังตำหนักบรรทมของฝ่าบาทด้วยกัน” หลี่หรูปี้กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “กล่าวเช่นนี้ ระหว่างนางกับรัชทายาทเป็นความจริงหรือ” 


 


 


           “จนป่านนี้แล้ว ไฉนเจ้ายังคิดถึงเรื่องนี้อีก รีบออกไปพร้อมข้า” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาถลึงตามอง 


 


 


           หลี่หรูปี้ลุกขึ้นยืน แต่งกายอย่างเชื่องช้า “รัชทายาทอยากอภิเษกสมรสกับเซี่ยฟางหวาตลอดมา ตอนนี้เซี่ยฟางหวากลับมาแล้ว มิได้กลับจวนจงหย่งโหว และมิได้กลับจวนอิงชินอ๋อง หากแต่ตรงไปยังวังหลวง ใช่หมายความว่า บางทีหลังจากนี้นางจะไม่ออกจากวังหลวงแล้วหรือไม่” 


 


 


           “นางจะเป็นเช่นไรก็เรื่องของนาง ก่อนสวรรคตอดีตฮ่องเต้ทรงโปรดเจ้ามาก ด้วยเหตุผลนี้เจ้าก็ควรเข้าวังไปแสดงความไว้อาลัยด้วย ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นเลย อย่ามัวโอ้เอ้” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาจนปัญญา  


 


 


           “ฉินเจิงยังมิกลับมาใช่หรือไม่ เขามิได้พบพระพักตร์ฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้ายหรือ” หลี่หรูปี้ถามอีก 


 


 


           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเผยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนตำหนิด้วยโทสะ “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ยังคิดถึงเขาอยู่อีกใช่หรือไม่ หลายวันนี้ที่เจ้าสงบจิตไปก็เอาแค่คิดเรื่องนี้หรือ เจ้าขึ้นจากขุมนรกของเขามิได้ใช่ไหม เจ้าจะทำให้แม่โมโหจนตายเลยรึ” 


 


 


            หลี่หรูปี้ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงลง “ท่านแม่อย่าโกรธ ข้าจะตามท่านเข้าวัง” 


 


 


           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองนาง ยังเป็นบุตรีตระกูลใหญ่ที่มีอากัปกิริยาเพียบพร้อมแท้ๆ ทว่ากลับมิใช่บุตรีที่นางเคยโปรดปรานเมื่อก่อนอีกแล้ว มุ่งเข้าหาทางตันมิยอมออกมา ตนมิรู้ว่าจะช่วยนางอย่างไรดี ชั่วเวลานั้นทั้งโกรธทั้งโมโห ทว่าก็พาลออกมามิได้ นางจึงหันหลังเดินออกไป 


 


 


           หลังหลี่หรูปี้แต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ตามฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาออกมา สองแม่ลูกมิได้สนทนากันอีก ออกจากจวนมุ่งหน้าเข้าวังหลวงไปด้วยกัน 


 


 


           ทางจวนองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยนทราบข่าวก็รีบเข้าวังทันที 


 


 


 


 


 


[1] *ต้นกุ้ย ไม้ยืนต้นเขียวตลอดปี มีดอกสีเหลืองและขาวที่หอมมาก ตัวใบนำมาใช้ทำเป็นเครื่องหอมได้  

 

 


ตอนที่ 107-2 ฮ่องเต้สวรรคต

 

ฝั่งจวนหย่งคังโหว ฮูหยินหย่งคังโหวกำลังตั้งครรภ์อยู่ กลัวว่าหากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียวจะทำร้ายเด็กในครรภ์ แม้ทราบดีว่าด้วยฐานะสตรีที่รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ในราชสำนักนั้นควรรีบเข้าวังหลวง ทว่าก็ยังลังเล กลัวว่าครรภ์ที่ดูแลมาหลายวันนี้หากไม่ระวังก็จะแท้งหลุดไปอีก ร่างกายนางรับมิไหวอีกแล้ว ชั่วเวลานั้นจึงลังเลตัดสินใจมิได้ 


 


 


           ตั้งแต่เยี่ยนหลันได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างกลับจากอารามลี่อวิ๋นเมื่อหลายวันก่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังมิหายดี ทำได้เพียงฝืนลุกลงจากเตียงโดยมีสาวใช้ประคองเดิน เมื่อนางได้ยินเสียงระฆังก็ให้สาวใช้ประคองไปยังเรือนของฮูหยินหย่งคังโหว 


 


 


           สองแม่ลูกมองหน้ากัน ล้วนไม่เหมาะที่จะเข้าวังหลวงทั้งคู่ 


 


 


           ยังเป็นเยี่ยนหลันที่ฉลาดมีไหวพริบ กล่าวกับฮูหยินหย่งคังโหว “ท่านแม่ ส่งคนไปหาท่านพ่อที่วังเถิด ถามความเห็นท่านพ่อดีกว่า” 


 


 


           “ก็ได้” ฮูหยินหย่งคังโหวเองก็ไม่มีความคิดอื่นจึงพยักหน้ารับ ตั้งแต่ตั้งครรภ์มา นางที่ทรมานมาเกินครึ่งปีก็ไร้ซึ่งความเผด็จการและความไร้เหตุผลอย่างที่เคยมีมาหลายปีแล้ว ยามนี้เชื่อฟังหย่งคังโหวทุกเรื่อง 


 


 


           คนที่ส่งเข้าวังไปเพียงไม่นานก็ย้อนกลับมา บอกกับสองแม่ลูกว่า “ท่านโหวขอพระประสงค์จาก 


 


 


ฝ่าบาทแล้ว ฮูหยินกับคุณหนูร่างกายไม่สะดวก ไว้ค่อยไปที่ศาลเซ่นไหว้อดีตฮ่องเต้ มิจำเป็นต้องเข้าวังหลวง” 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวฉงนใจ “ฝ่าบาทหรือ” 


 


 


           “จักรพรรดิองค์ใหม่ อดีตฮ่องเต้ทรงสั่งเสียไว้ก่อนสวรรคต รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ขอรับ” คนผู้นั้นตอบ 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวกระจ่างแจ้ง พยักหน้ารับแล้วให้คนตกรางวัลให้คนผู้นี้ 


 


 


           หลังคนผู้นี้กลับออกไป ฮูหยินหย่งคังโหวก็ถอนหายใจออกมา “รัชทายาทราชาภิเษกแล้ว เวลานี้ผ่านไปเร็วยิ่งนัก ชั่วพริบตาก็ผ่านไปถึงยี่สิบกว่าปีแล้ว ข้ายังจำวันที่อดีตฮ่องเต้ราชาภิเษกเมื่อปีนั้นได้ หลังข้ากับพ่อเจ้าสมรสกันก็เข้าวังไปร่วมฉลองอวยพร” 


 


 


           “มิรู้ว่าท่านอ๋องน้อยเจิงกลับมาหรือยัง” เยี่ยนหลันกล่าว 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็รีบถาม “ลูกรัก เจ้าคงมิใช่ว่ายังคิดถึงฉินเจิงอยู่กระมัง” 


 


 


           เยี่ยนหลันส่ายหน้า “ท่านแม่ ข้ามิได้คิดถึงเขาแล้ว เพียงแต่ได้ยินว่าเมื่อวานฟางหวากับรัชทายาทกลับมาแล้วเข้าวังหลวงไปด้วยกัน จึงคิดว่าตอนนี้อดีตฮ่องเต้ทรงสั่งเสียให้รัชทายาทราชาภิเษก แล้วท่านอ๋องน้อยเจิงเล่า ด้วยความที่เขากับรัชทายาทต่อสู้กันมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้ผนวกกับฟางหวาอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง ข้ากลัวว่าหากเขายังไม่กลับมาตอนนี้ รอเวลาผ่านไปแล้วค่อยกลับมา เกรงว่าจะสายไปแล้ว” 


 


 


           “เจ้าหมายถึงสิ่งใดที่สายไป หมายถึงเซี่ยฟางหวา หรืออำนาจจักรพรรดิ” ฮูหยินหย่งคังโหวถามด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง 


 


 


           เปลือกตาของเยี่ยนหลันสั่นไหว “เกรงว่าจะสายไปทั้งหมด” 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวถอนหายใจออกมา “ท่านอ๋องน้อยเจิงมิได้ฝักใฝ่ในอำนาจจักรพรรดิ สายเกินไปก็ช่างเถอะ เพียงแต่เซี่ยฟางหวาคนนี้…” 


 


 


           “ลูกเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน” เยี่ยนหลันมองบาดแผลตนเอง กล่าวขึ้นอย่างทำอันใดมิได้ “หากมิใช่ว่าข้าอยู่ในสภาพนี้ จะต้องเข้าวังแล้วถือโอกาสไปพบนางให้ได้” 


 


 


           “เจ้านี่นะ ในเมื่อพ่อเจ้าขอพระประสงค์แล้ว ก็อยู่ในจวนกับแม่อย่างสงบเถอะ” ฮูหยินหย่งคังโหวกดศีรษะนางแผ่วเบา “อย่าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลย” พูดจบก็กล่าวเสริม “ได้ยินว่าพี่ชายเจ้ากลับมาจากเป่ยฉีแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใด กำลังมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงหรือไม่” 


 


 


           “ท่านแม่ ท่านเอาแต่บอกว่าไม่คิดถึงท่านพี่ ความจริงแล้วในใจก็คิดถึงใช่ไหม ตอนนี้ทราบว่าท่านพี่กลับมาแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยถึงเขาสักที” เยี่ยนหลันฟังแล้วก็ดีใจ  


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวมองค้อนเยี่ยนหลันแวบหนึ่ง “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายข้า อุตส่าห์ลำบากเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่มาขนาดนี้ ไฉนเลยจะไม่คิดถึงได้” พูดจบก็กล่าวอีก “เมื่อก่อน หลายสิ่งแม่คิดว่าตัวเองทำถูกแล้ว ไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ทุกสิ่งก็เพื่ออนาคตของเขา พอเขาหนีไปครั้งนี้ ด้วยเวลาอันยาวนาน ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ลูกชายแม้ข้าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่ก็มิอาจจับไว้แน่นเกินไปเช่นกัน เมื่อจับแน่นแล้วก็ดั่งเม็ดทรายก็มิปาน ยิ่งจับแน่นก็ยิ่งรั่วออกมา” 


 


 


           “ท่านเข้าใจแล้วก็ดี ท่านพี่กลับมาพบท่าน ไม่แน่ว่าจะดีใจอย่างไร” เยี่ยนหลันได้ยินแบบนั้นก็แอบโล่งใจ กล่าวด้วยความคิดถึงอยู่บ้าง “หายไปเกินครึ่งปี ไม่รู้ว่าท่านพี่กลับมาแล้วเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง” 


 


 


           “แค่ครึ่งปีเท่านั้น จะเปลี่ยนไปอย่างไรได้” ฮูหยินหย่งคังโหวแม้ปากว่าเช่นนี้ แต่ก็หยุดคิดมิได้ “แม้เขาหายไปแค่ครึ่งปี แต่ข้าคล้ายกับมิได้พบเขามาหลายปีแล้ว” 


 


 


           “นั่นเป็นเพราะท่านกำลังตั้งครรภ์” เยี่ยนหลันตอบ 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวลูบครรภ์ “โชคดีที่มีเด็กคนนี้ มิฉะนั้นพี่ชายเจ้าจากไป ครึ่งปีก่อนแม่คงเสียสติไปแล้ว” 


 


 


           “น้องชายมีวาสนากับครอบครัวเรา” เยี่ยนหลันยื่นมือไปลูบครรภ์มารดาเช่นกัน 


 


 


           “ยังมิเกิดมา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นน้องชาย” ฮูหยินหย่งคังโหวถลึงตามองเยี่ยนหลัน 


 


 


           “มิใช่ท่านเอาแต่พูดอยู่เสมอหรือ ท่านบอกว่าต้องเป็นลูกชายแน่นอน” เยี่ยนหลันมองนางอย่างหมดคำจะพูด  


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวอึ้ง ทั้งโมโหทั้งขำขัน “ตอนนั้นข้าแค่โกรธพี่ชายเจ้าจึงอยากได้ลูกชาย” 


 


 


           “ตอนนี้ท่านไม่โกรธท่านพี่แล้วหรือ” เยี่ยนหลันมองนาง 


 


 


           “ไม่โกรธแล้ว” ฮูหยินหย่งคังโหวส่ายหน้า “พ่อเจ้าปลอบข้า บอกว่าหากมิใช่ข้าบังคับพี่ชายเจ้าจนหนีไป วันข้างหน้าพี่ชายเจ้าอาจกลายเป็นคนแบบเขา ทั้งชีวิตผูกติดอยู่กับจวนโหว ตอนนั้นพ่อเจ้าเองก็มีความปรารถนาเช่นกัน คิดอยากไปพรมแดนเพื่อสร้างคุณูปการในกองทัพ ไม่อยากพึ่งพารากฐานของบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครอง อยากพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทว่าย่าเจ้าก็ไม่อนุญาต นานวันเข้าก็กลบปณิธานเขาจนเรียบ” 


 


 


           เยี่ยนหลันพยักหน้า “ท่านพี่เองก็มีปณิธานเช่นกัน เขาเชี่ยวชาญทั้งการปกครองและการทหาร เพียงแต่อยู่กับท่านอ๋องน้อยเจิงมาตั้งแต่เด็ก มีรัศมีเขาคอยขัดขวางจึงบดบังแสงในตัวท่านพี่” 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวพยักหน้า “พี่ชายเจ้าแข็งแกร่งกว่าพ่อเจ้านัก พ่อเจ้าเคยบอกข้าเป็นการส่วนตัวว่า ตอนนั้นเขาเองก็อยากหนีออกไปจากจวนเพื่อตัดปัญหาเช่นกัน เพียงแต่มิกล้าหาญพอ พี่ชายเจ้าหนีไปโดยไม่ลังเล จุดนี้เป็นข้อดีในภายภาคหน้าของเขา ลูกผู้ชายต้องเด็ดขาด เป็นมีนิสัยของชายชาตรีที่พึงมี” 


 


 


           เยี่ยนหลันอดมิได้ที่จะป้องปากหัวเราะ “เมื่อก่อนท่านมักพูดเสมอว่าท่านพี่อยู่กับท่านอ๋องน้อยเจิงจนติดนิสัยเขา เลียนแบบจนไม่เอาไหน ตอนนี้ไฉนในสายตาท่านถึงมีแต่ข้อดีแล้ว” 


 


 


           ฮูหยินหย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา ยื่นมือตีเยี่ยนหลัน “เจ้าเด็กบ้า” 


 


 


           เยี่ยนหลันหัวเราะชอบใจใหญ่ 


 


 


           หลังสองแม่ลูกหัวเราะจบลง ฟังเสียงระฆังดังขึ้นก็พากันหุบยิ้ม ฮ่องเต้สวรรคต สิ้นสุดอำนาจจักรพรรดิในยุคหนึ่ง อนาคตจะเป็นเช่นไรมิอาจทราบได้เลย 


 


 


           ขุนนางทั้งราชสำนักและสตรีมีบรรดาศักดิ์นำครอบครัวไปยังวังหลวงด้วยความรีบร้อน 


 


 


           องค์ชาย องค์หญิง ลูกท่านหลานเธอในราชวงศ์และราชนิกุล รวมถึงพระสนมในวังหลังต่างร้องไห้แสดงความอาลัย เสียงร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกดังระงมหลังกำแพงวังหลวงอันแข็งแกร่ง 


 


 


           หลังฟ้าสว่าง ผู้คนที่ร้องไห้มาหลายชั่วยามมีน้ำตาติดใบหน้าอยู่บ้าง เหลือเพียงสะอึกสะอื้น 


 


 


           “คุณหนู ท่านเหนื่อยแล้ว ต้องใส่ใจร่างกายให้มาก กลับไปนอนบนเตียงสักครู่เถิดเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อกล่าวเสียงเบา  


 


 


           เซี่ยฟางหวายังมิได้พูดคำใด ข้างนอกก็มีขันทีน้อยคนหนึ่งมาหา “บ่าวได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาท มาพบคุณหนูฟางหวาขอรับ” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบออกไปรับ ทั้งสองทราบดีว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ความคิดของคุณหนู เกรงว่าจะอยู่ในวังหลวงแล้ว จึงทำความเคารพอย่างนุ่มนวล “กงกงเป็นท่านใด ให้เรียกอย่างไรดีเจ้าคะ” 


 


 


           “บ่าวชื่อเสี่ยวเฉวียนจื่อ เมื่อก่อนเป็นคนรับใช้ประจำกายรัชทายาท แม่นางทั้งสองมิต้องมากพิธีหรอก ฝ่าบาททรงให้บ่าวมาถ่ายทอดข้อความ ให้บ่าวบอกคุณหนูฟางหวาว่า ฟ้าสว่างแล้ว คุณหนูฟางหวาร่างกายมิแข็งแรง ทานอาหารเช้าสักหน่อยแล้วพักผ่อนเถิดขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อกล่าว 


 


 


           “บ่าวสองคนจะไปบอกคุณหนูให้ ลำบากกงกงแล้ว” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า ก่อนให้รางวัลเขา 


 


 


           เสี่ยวเฉวียนจื่อทำภารกิจที่ฉินอวี้มอบให้ลุล่วงแล้วก็ส่ายหน้า มิรับรางวัล รีบกลับไปทันที 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อกลับมาที่ห้อง พบว่าเซี่ยฟางหวายังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง จึงเอ่ยถามเสียงต่ำ “คุณหนู ท่านคงได้ยินแล้วกระมัง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า นางเองก็เมื่อยล้าเต็มทีแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน  

 

 


ตอนที่ 108-1 มั่วสุรานารี

 

           เมื่ออดีตฮ่องเต้สวรรคตจะจัดพิธีศพขึ้น


 


 


           เซ่นไหว้ต่อฟ้า แผ่นดิน ศาลบรรพบุรุษ และบ้านเมือง


 


 


           เหล่าราชวงศ์และราชนิกุลเข้าร่วมงานพระราชพิธีพระบรมศพเพื่อไว้ทุกข์ เนื่องด้วยเป็นช่วงฤดูร้อนจึงมิควรวางโลงบรรจุพระบรมศพนานเกินไป ต้องใช้น้ำแข็งแช่ไว้ เจ็ดวันให้หลังค่อยเคลื่อนพระบรมศพไปดำเนินการฝังที่ราชสุสาน


 


 


           ในเจ็ดวันนี้ เมืองหลวงหนานฉินจมสู่บรรยากาศแห่งความเศร้าโศกอันหนักหน่วง ทั้งในและนอกเมืองมิอนุญาตให้จัดงานรื่นเริง จึงมิได้ยินเสียงบรรเลงใดใดทั้งนั้น


 


 


           ขุนนางบุ๋นบู๊ โอรสลูกท่านหลานเธอ พระสนมในวังหลัง และครอบครัวขุนนางในราชสำนักต่างพากันโศกเศร้าอาดูร


 


 


           เซี่ยฟางหวาพำนักในตำหนักของฉินอวี้ตลอดเวลา เจ็ดวันนี้ทุกหนแห่งหลังกำแพงวังหลวงมีแต่เสียงร่ำไห้ บ้างก็ร้องไห้จากใจจริง บ้างก็แสร้งร้องไห้ แผ่นดินยุคใหม่ผลัดเปลี่ยน ของใหม่แทนที่ของเก่า อนาคตของหญิงงามมากน้อยหลังกำแพงวังตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง บ้างคนอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น


 


 


           ไม่มีผู้ใดมารบกวนนางที่ตำหนักของฉินอวี้ ฉินอวี้ยุ่งตลอดเวลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับมาที่ตำหนัก


 


 


           นอกจากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่อยู่ข้างกาย นางก็มิได้พบผู้ใดทั้งนั้น


 


 


           แม้แต่เหยียนเฉินเองก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใดแล้ว


 


 


           สถานที่ที่สงบเพียงแห่งเดียวในวังหลัง ตอนนี้ก็คือตำหนักของอดีตรัชทายาท


 


 


           ทุกเช้าเที่ยงเย็นซื่อฮว่ากับซื่อม่อจะต้มยามาให้ เมื่อเซี่ยฟางหวาดื่มหมดก็มักนั่งเล่นริมหน้าต่างในห้อง


 


 


           นั่งไปตลอดทั้งวัน


 


 


           เจ็ดวันให้หลัง ถึงเวลาที่จะขนย้ายโลงพระบรมศพของฮ่องเต้ไปฝังที่ราชสุสาน


 


 


           ฉินอวี้กลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เช้าตรู่


 


 


           ตั้งแต่หลังจากที่เซี่ยฟางหวาออกจากตำหนักบรรทมอดีตฮ่องเต้วันนั้นก็มิได้พบฉินอวี้อีกเลย ยามนี้เมื่อได้พบเขาอีกครั้งก็แทบจะจำมิได้แล้ว


 


 


           เขาสวมอาภรณ์ไว้ทุกข์ ใบหน้าซีดเซียว กลิ่นอายความเสียใจสิ้นหวังอันเข้มข้นแผ่ปกคลุมรอบกาย เขาผอมลงไปมาก อาภรณ์ที่สวมใส่บนร่างเคยขับรูปกายท่วงท่าอันสง่างาม ให้ความรู้สึกอบอุ่นดุจหยก ยามนี้เห็นได้ชัดว่าตัวคนผอมกว่าอาภรณ์ ดูหลวมโคร่ง ผอมซูบอย่างยิ่ง


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อออกไปต้อนรับ พบว่าเป็นฉินอวี้ก็ตกใจโหยง รีบทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท”


 


 


           “ตามสบาย” ฉินอวี้โบกพระหัตถ์ “ฟางหวาเล่า กำลังทำอันใดอยู่”


 


 


           “เจ็ดวันนี้คุณหนูมิได้ออกไปไหน อยู่รักษาตัวเพคะ” ทั้งสองรีบตอบ


 


 


           ฉินอวี้พยักพระพักตร์ ก่อนเดินมาที่ประตู


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก้าวขึ้นมาเลิกม่านให้ก่อน ฉินอวี้ข้ามธรณีประตูเข้าไป เห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างพลางมองไปข้างนอก เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ ก้าวเข้ามา “ได้ยินว่าเจ็ดวันนี้เจ้าเอาแต่อยู่ในห้อง”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “เหนื่อยมากหรือไม่ ไฉนถึงอยู่ในสภาพนี้”


 


 


           ฉินอวี้เห็นว่าน้อยครั้งที่นางจะเป็นห่วงตนจึงแย้มยิ้มกว้างกว่าเก่าเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “ทุกคนไม่คาดคิดว่าเสด็จพ่อจะด่วนจากไปกะทันหันเช่นนี้ หลายสิ่งจึงมิได้จัดเตรียม ด้วยความคาดไม่ถึงจึงมีเรื่องต้องจัดการมากมาย ผนวกกับพรมแดนเปิดฉากรบขึ้นแล้ว ดังนั้น…” เขานวดคลึงหน้าผาก “จึงอยู่ในสภาพนี้ แย่มากหรือไม่”


 


 


           “มิได้แย่มากขนาดนั้น เพียงแต่น่าตกใจเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวายิ้ม เห็นว่าเขานั่งลงก็เอ่ยถาม “ยังมิได้ทานมื้อเช้ากระมัง”


 


 


           ฉินอวี้พยักพระพักตร์ “หนึ่งชั่วยามข้างหน้าเป็นฤกษ์ดี ต้องส่งโลงพระบรมศพของเสด็จพ่อไปยังราชสุสาน ข้าจึงมาลองถามเจ้าดูว่าจะไปส่งพระบรมศพกับข้าไหม”


 


 


           “ไปยกมื้อเช้ามา แล้วก็นำยาที่ข้าดื่มบำรุงร่างกายมาให้ฝ่าบาทด้วยถ้วยหนึ่ง” เซี่ยฟางหวาสั่งงาน


 


 


ซื่อฮว่ากับซื่อม่อ


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรับคำ แล้วรีบออกไป


 


 


           เซี่ยฟางหวารินน้ำชาส่งให้เขาด้วยตนเองอีกครั้ง


 


 


           ฉินอวี้มองนางด้วยแววตาอบอุ่น ความเหนื่อยล้าราวกับมลายหายไปในพริบตา ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง รอให้นางตอบกลับ


 


 


           “ข้าจะไปราชสุสานกับเจ้าเพื่อฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           ฉินอวี้วางถ้วยลง รอยยิ้มประดับใบหน้า ก่อนพยักหน้ารับ


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกอาหารเช้าเข้ามา หลังฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาทานอาหารร่วมกันแล้ว ฉินอวี้ก็ดื่มยาลงไป ส่วนเซี่ยฟางหวาลุกขึ้นไปเปลี่ยนชุด


 


 


           การส่งพระบรมศพฮ่องเต้เพื่อประกอบพิธีการฝัง ย่อมต้องสวมอาภรณ์สีเรียบไม่ฉูดฉาด


 


 


           เซี่ยฟางหวาเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงสีขาวไร้ลวดลาย ฉินอวี้มิได้แย้งอันใด ทั้งสองออกมาจากตำหนักด้วยกัน


 


 


           นอกตำหนักบรรทมอดีตฮ่องเต้ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหลือเพียงรอฤกษ์มาถึงค่อยส่งโลงพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ออกจากวังหลวงไปยังราชสุสาน


 


 


           ขุนนางบุ๋นบู๊ โอรสลูกท่านหลานเธอ ครอบครัวขุนนางในราชสำนัก และพระสนมในวังหลังแบ่งออกเป็นสองแถว ต่างก้มหน้าก้มตาเงียบสงบ รอจนถึงฤกษ์งามยามดี


 


 


           ราชรถหยกของฮ่องเต้ถูกเตรียมพร้อมแล้ว ขบวนหงส์ของไทเฮาก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน


 


 


           หลังฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวามาถึง ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเพรียง เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาที่อยู่ข้างกายพระองค์ก็รีบก้มหน้าลงอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”


 


 


           นอกจากไทเฮา อิงชินอ๋องและพระชายาแล้ว ทุกคนล้วนคุกเข่าก้มคำนับกับพื้น


 


 


           “ตามสบาย” ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ ก่อนยื่นมือให้เซี่ยฟางหวา บอกให้นางขึ้นราชรถหยก


 


 


           เซี่ยฟางหวามิได้ลังเลแต่อย่างใด วางมือทับบนมือเขา ก่อนขึ้นไปบนราชรถหยกด้วยกัน


 


 


           พระชายาเห็นเช่นนี้ก็ก้าวขึ้นมาคิดเอ่ยห้าม ทว่าอิงชินอ๋องรั้งมือนางไว้ สื่อทำนองว่ามิให้นางผลีผลาม พระชายาจึงหยุดเท้าโดยพลัน มองราชรถหยกที่ปิดม่านลงแล้ว ก่อนลอบถอนหายใจออกมา


 


 


           “ถึงฤกษ์แล้ว เดินขบวน” มีคนตะโกนขึ้นเสียงดัง


 


 


           ราชรถหยกของฮ่องเต้นำหน้า ตามมาด้วยโลงพระบรมศพ ขุนนางบุ๋นบู๊และคนอื่นๆ ตามหลังโลงพระบรมศพ เคลื่อนตัวออกจากประตูวังหลวง


 


 


           ประชาชนริมถนนต่างคุกเข่าลงกับพื้นตลอดสองข้างทาง ส่งขบวนขนพระบรมศพออกจากประตูเมืองด้วยความอึกทึกครึกโครม มุ่งหน้าไปยังราชสุสาน


 


 


           ม่านบนราชรถหยกถูกลมพัดไหว เผยให้เห็นใบหน้าของเซี่ยฟางหวาที่นั่งอยู่ข้างฉินอวี้เลือนราง


 


 


           ตั้งแต่รัชทายาทพาคุณหนูฟางหวากลับเมือง ทั้งราชสำนักและประชาชนแม้ไม่มีผู้ใดสอดปากกล่าว ทว่าก็พากันแอบคาดเดา ใช่รัชทายาทถอนหมั้นกับคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเพื่อคุณหนูฟางหวาหรือไม่ หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต คุณหนูฟางหวาแม้มิเคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่ทราบดีว่านางพักที่ตำหนักของอดีต


 


 


รัชทายาท ยามนี้ส่งพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์ใหม่เชิญขึ้นราชรถหยกเพื่อไปส่งอดีตฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง แม้มิได้ประกาศต่อใต้หล้า แต่ความหมายแฝงในจุดนี้นั้นชัดแจ้งดั่งได้ประกาศแล้ว


 


 


           คุณหนูฟางหวาเดิมเป็นพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง หลังป่าวประกาศทั่วใต้หล้าว่าหย่าร้างแล้วนั้น ยามนี้ก็นั่งราชรถหยกคันเดียวกับจักรพรรดิองค์ใหม่


 


 


           เรื่องแบบนี้ เรียกได้ว่ามิเคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์หนานฉิน


 


 


           นับแต่โบราณมามีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่จะนั่งราชรถไปด้วยกันได้


 


 


           ทว่าขุนนางที่เคร่งครัดจริยธรรมในราชสำนัก กลับไม่มีผู้ใดสอดปากวิจารณ์เรื่องนี้เลยแม้แต่คนเดียว หาได้ยากอย่างยิ่ง


 


 


           เนื่องด้วยรัชทายาทฉินอวี้คนนี้เป็นที่รักของราษฎรเสมอมา ผนวกกับคลี่คลายวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันได้ จึงได้รับการเทิดทูนสูงที่สุดในหมู่ประชาชน ราษฎรริมทางพากันตะโกนเสียงดังขึ้น “อดีตฮ่องเต้ไปสู่สุขคติ จักรพรรดิองค์ใหม่อายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”


 


 


           เสียงตะโกนทยอยดังขึ้นไม่ขาดสายตลอดทางออกจากเมือง


 


 


           ขบวนเคลื่อนตัวออกจากเมือง มุ่งหน้าไปยังราชสุสานฮ่องเต้ในภูเขาประจิมซึ่งเป็นทางทอดยาวคดเคี้ยวสิบกว่าลี้


 


 


           ราชสุสานห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก แต่ก็มิได้ใกล้เช่นกัน เดินทางกว่าครึ่งวันกว่าจะมาถึง


 


 


           เมื่อขบวนหยุดลง ฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาก็ลงจากราชรถหยก คนเฝ้าราชสุสานเปิดประตูให้ ฤกษ์งามยามดีมาถึงพอดี


 


 


           ฉินอวี้ออกคำสั่งเริ่มพระราชพิธีเฟิ่งอัน*[1]ทันที


 


 


           เมื่อพระราชพิธีเฟิ่งอันจบลง ฉินอวี้พร้อมด้วยฉินชิงและองค์ชายคนอื่นๆ ก็นำโลงพระบรมศพไปวางบนแท่นบรรทมในตำหนักใต้ดินของราชสุสาน จากนั้นก็ปิดประตูศิลา ก่ออิฐปิดผนึกอย่างว่องไว อุดทางออกตำหนักให้สนิท


 


 


           หลังจากนั้นก็พักผ่อนครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มพระราชพิธีอวี๋จี้**[2]


 


 


                       หลังพระราชพิธีอวี๋จี้จบลง ฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว


 


 


           “ฝ่าบาท พระราชพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว จะรีบเดินทางกลับเมืองเลย หรือว่าจะพักที่ตำหนักราชนิเวศน์นอกราชสุสานคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับพ่ะย่ะย่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมาเอ่ยถาม


 


 


           “ทุกคนต่างเหนื่อยล้ากันแล้วกระมัง คืนนี้พักที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับเมืองแล้วกัน” ฉินอวี้ตอบ


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายผงกศีรษะ ก่อนถอยกลับออกไป


 


 


 


 


 


 


[1] *พระราชพิธีเฟิ่งอัน ชื่อเรียกพิธีฝั่งพระบรมศพฮ่องเต้


 


 


[2] **พระราชพิธีอวี๋จี้ ชื่อเรียกพิธีเซ่นไหว้หลังฝังพระบรมศพเสร็จแล้ว 

 

 


ตอนที่ 108-2 มั่วสุรานารี

 

สถานที่ตั้งราชสุสานของหนานฉินเป็นบริเวณฮวงจุ้ยที่ติดภูเขาใกล้น้ำ ในรัศมีสิบลี้ไม่มีบ้านเรือนปลูกรบกวน เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


           ตำหนักราชนิเวศน์ใหญ่มาก ทุกคนรอการจัดแจงที่พัก


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงเข้าพักในปีกตำหนักที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักฉินอวี้ เป็นเรือนที่ตั้งอยู่อย่างอิสระ


 


 


           หลังจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว ฟ้าก็มืดสนิทลงโดยสิ้นเชิง


 


 


           ตั้งแต่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ไม่ว่าขุนนางราชสำนัก หรือโอรสลูกท่านหลานเธอ หรือแม้แต่ทุกคนที่อาศัยในวังหลวงต่างมิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลังผ่านความวุ่นวายในช่วงเวลาอันสั้นทั้งในและนอกราชสุสานก็เข้าสู่ความเงียบสงบ บ่งบอกว่าหลายคนทนมิไหวแล้ว เมื่อพิธีการจบลงก็รีบพักผ่อนทันที


 


 


           เซี่ยฟางหวาพักรักษาตัวในตำหนักตลอดเจ็ดวันก่อน วันนี้ถึงเดินทางมาตลอดทั้งวันก็มิได้รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่ออยู่กับนางตลอดเวลา มิได้เหนื่อยเช่นกัน


 


 


           เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางดึก เซี่ยฟางหวาก็ลุกขึ้นแล้วสั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “นำชุดพรางตอนกลางคืนมาให้ข้าชุดหนึ่ง”


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อชะงัก “คุณหนู ท่านจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ”


 


 


           “ออกไปเดินดูรอบราชสุสานหน่อย” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “บ่าวสองคนไปกับท่านด้วยเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบบอก


 


 


           เซี่ยฟางหวากำลังจะส่ายหน้า ภายนอกพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “เป็นฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนหย่อนกายนั่งลงใหม่ ทั้งสองออกไปต้อนรับ


 


 


           ไม่นานฉินอวี้ก็เข้ามาในตำหนัก เห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งดื่มชาหน้าโต๊ะก็เอ่ยขึ้น “กลางคืนมิควรดื่มชามาก มิฉะนั้นจะกระทบกับการนอน”


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา วันนี้เขานั่งอยู่ในราชรถหยกตลอดเวลา เทียบกับหลายวันก่อนที่ยุ่งตลอดเวลาแล้วนั้นผ่อนคลายลงเยอะมาก สีหน้าดีขึ้นแล้วหลายส่วน เอ่ยปากกล่าวขึ้น “ดึกขนาดนี้แล้วไฉนถึงยังออกมาอีก เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ควรพักผ่อนถึงจะถูก”


 


 


           ฉินอวี้นั่งลงตรงข้ามนาง แย้มยิ้มกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าเพิ่งมาราชสุสานครั้งแรกน่าจะอยากเดินดูรอบๆ จึงมาเป็นเพื่อนเจ้า ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางกลับแต่เช้า”


 


 


           “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าสนใจราชสุสาน อยากเดินดูรอบๆ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว


 


 


           ฉินอวี้หลุดยิ้ม “ด้วยนิสัยของเจ้า ในเมื่อมาถึงราชสุสานแล้ว ไฉนเลยจะไม่สนใจราชสุสาน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่า เจ้ามิได้สนใจราชสุสานฮ่องเต้แต่ละยุคสมัย สิ่งที่เจ้าสนใจน่าจะเป็นของที่วางไว้ในราชสุสานต่างหาก”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ราชสุสานของหนานฉินมีองครักษ์เงารักษาการอยู่ บางพื้นที่ติดตั้งกลไกลไว้อย่างแน่นหนา ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ภายในหนึ่งเดือนห้ามใช้พลังภายใน ภายในครึ่งปีห้ามใช้วิชาภูตผี ดังนั้นหากเกิดอันตรายจะทำเช่นไร ข้าไม่สบายใจ จึงอยากไปเดินดูกับเจ้าด้วย” ฉินอวี้กล่าวขึ้นอีก


 


 


           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “ก็ได้”


 


 


           ฉินอวี้ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไปกันเถอะ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ในเมื่อไปกับฉินอวี้ เขาในตอนนี้เป็นจักรพรรดิของแผ่นดินหนานฉินแล้ว ราชสุสานที่มีทหารเฝ้าอย่างแน่นหนาทั้งในและนอก ย่อมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพรางตัวแล้วเช่นกัน


 


 


           ทั้งสองออกจากห้อง เดินตรงไปยังด้านในราชสุสาน


 


 


           ระหว่างทางคนลาดตระเวนเห็นทั้งสองเข้า ขณะกำลังจะก้มกราบคารวะ ฉินอวี้ก็ยกมือปรามเสียก่อน คนลาดตระเวนเข้าใจในทันทีจึงเงียบเสียงลง รอให้ทั้งสองผ่านไปด้วยความเคารพ


 


 


           กระทั่งมาถึงราชสุสาน


 


 


           “เจ้าอยากดูราชสุสานของเสด็จปู่หรือไม่” ฉินอวี้ถามเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินอวี้มิได้เอ่ยคำใดอีก พานางไปยังหน้าตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง


 


 


           ทั้งสองเพิ่งมาถึงหน้าทางเข้า พลันมีบุรุษชุดดำปรากฏตัวขึ้นจากข้างในอย่างไร้สุ้มเสียง ก่อนทำความเคารพด้วยความนับถือ “ผู้ดูแลตำหนักใต้ดินรุ่นที่สิบห้าคารวะจักรพรรดิองค์ใหม่”


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า พินิจคนผู้นั้นแวบหนึ่ง อีกฝ่ายสวมอาภรณ์สีดำสนิท มิได้สวมผ้าปิดใบหน้า ทว่าใบหน้านั้นขาวซีดแบบคนที่มิได้เห็นแสงตะวันมาหลายปี หน้าตาธรรมดาอย่างยิ่ง แต่วิทยายุทธ์เกรงว่าจะฝีมือบรรลุขั้น อายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี


 


 


           เผชิญหน้ากับสายตาพินิจของเขา คนผู้นั้นยืนนิ่งอย่างสงบ


 


 


           สักพักถัดมา ฉินอวี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น “เปิดตำหนักใต้ดิน”


 


 


           “ขอถามว่าฝ่าบาทมีตราตำหนักใต้ดินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นประสานมือกล่าว


 


 


           “ตราตำหนักใต้ดินรึ” ฉินอวี้เลิกคิ้ว


 


 


           “เป็นตราที่ใช้เข้าออกตำหนักใต้ดิน และโยกย้ายสายลับตำหนักใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นตอบ


 


 


           “เราไม่มี” ฉินอวี้ตอบ


 


 


           คนผู้นั้นจึงเอ่ยขึ้น “ตำหนักใต้ดินมีกฎของตำหนักใต้ดิน หากไม่มีตราคำสั่ง ถึงแม้ฝ่าบาทเสด็จมาเอง ประตูตำหนักใต้ดินก็มิเปิดเช่นกัน”


 


 


           “ตราตำหนักใต้ดินควบคุมโดยผู้ใด” ฉินอวี้เลิกคิ้ว


 


 


           “ตราตำหนักใต้ดินถือโดยฮ่องเต้แต่ละรุ่นพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นตอบ


 


 


           “ก่อนอดีตฮ่องเต้สวรรคต นอกจากให้โองการสั่งเสียกับเราแล้ว ก็มิได้ให้ตราตำหนักใต้ดินกับเรา” ฉินอวี้บอก “แผ่นดินหนานฉิน นับจากนี้เราสูงศักดิ์ที่สุด ถึงแม้ไม่มีตราตำหนักใต้ดิน หรือว่าเราก็เข้าไปมิได้”


 


 


           “สายลับตำหนักใต้ดินรู้จักเพียงตราตำหนักใต้ดินเท่านั้น” คนผู้นั้นส่ายหน้า


 


 


           “เช่นนั้นเจ้าบอกเรามา อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ตอนนี้ตราตำหนักใต้ดินอยู่ไหน” ฉินอวี้เคร่งขรึมขึ้นมา


 


 


           “หลายวันก่อน ท่านอ๋องน้อยเจิงถือตราตำหนักใต้ดินมาที่นี่ครั้งหนึ่ง” คนผู้นั้นตอบด้วยความสงสบ


 


 


           ฉินอวี้ชะงัก ผินหน้ามองเซี่ยฟางหวา


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าให้เขา


 


 


           ฉินอวี้ตรัสถามคนผู้นั้น “หลายวันก่อนคือกี่วัน เจ้าบอกเราให้ชัด”


 


 


           “ประมาณยี่สิบวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นตอบ


 


 


           ฉินอวี้เม้มปาก ยี่สิบวันก่อนตนยังอยู่ที่เมืองหลินอัน เป็นช่วงที่เมืองหลินอันเผชิญหน้ากับโรคห่าระบาดพอดี และเป็นช่วงเวลาที่เซี่ยฟางหวาออกจากเมืองไปยังเมืองหลินอัน เขาเงียบลงพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เขามาตำหนักใต้ดินทำไม”


 


 


           “สายลับปฏิบัติตามคำสั่งผู้ถือตราตำหนักใต้ดิน ถึงแม้เป็นฝ่าบาทก็มิอาจบอกได้” คนผู้นั้นส่ายหน้า


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินแบบนั้นก็มิได้โมโห ตรัสกับเซี่ยฟางหวา “ดูท่าเราคงเข้าไปไม่ได้แล้ว”


 


 


           “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ความอยากรู้ ถึงเข้าไปมิได้ก็ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวากล่าว


 


 


           ฉินอวี้พยักพระพักตร์ ตวัดพระหัตถ์ไล่คนผู้นั้น แล้วออกจากตำหนักใต้ดินไปพร้อมเซี่ยฟางหวา ย้อนกลับไปยังตำหนักราชนิเวศน์


 


 


           ระหว่างเดินทั้งสองมิได้พูดคุยกัน เพียงเดินฝ่าแสงจันทร์กลับไป กระทั่งเดินมาได้ครึ่งทางก็พลันได้ยินเสียงรื่นเริงแว่วดังมาจากระยะไกล


 


 


           ฉินอวี้หยุดเท้า หันไปมองเซี่ยฟางหวา “เจ้าได้ยินเสียงอันใดหรือไม่”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนชี้ไปยังทิศตะวันออก “คล้ายดังมาจากทางนั้น”


 


 


           “ไปกันเถอะ เราเดินไปดูหน่อย” ฉินอวี้บอก


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะแล้วตามเขาไป


 


 


           ทั้งสองเดินมาได้เป็นเวลาราวหนึ่งถ้วยชา ก็มาถึงตำหนักหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษแต่รกชัฏ ได้ยินเพียงเสียงสนุกสนานดังออกมา มีเสียงหยอกล้อของบุรุษ เสียงครางออดอ้อนของสตรี บ่งบอกว่าข้างในกำลังมีการมั่วสุรานารีกันอยู่


 


 


           ใบหน้าของฉินอวี้เคร่งขรึมลงทันใด


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน อดีตฮ่องเต้สวรรคต เพิ่งจะฝังพระบรมศพไป นึกไม่ถึงว่าจะมีคนดื่มสุราสร้างความรื่นเริง มั่วโลกีย์อย่างไม่รู้จักกาลเทศะในราชสุสานเสียแล้ว ถึงแม้ที่ผ่านมานางมิได้รู้สึกดีต่ออดีตฮ่องเต้ แต่ด้วยเติบโตมาในตระกูลเซี่ยที่ยึดถือหกคัมภีร์ขงจื๊อมาหลายชั่วคน ด้วยฐานะคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว ย่อมไม่ชอบพฤติกรรมไร้ยางอายเช่นนี้เหมือนกัน


 


 


           ฉินอวี้มาถึงหน้าประตูตำหนัก คนเฝ้าประตูเห็นแล้วก็หน้าซีดลงถนัดตา มีคนจะวิ่งเข้าไปรายงานข้างใน ทว่าฉินอวี้ตวัดฝ่าพระหัตถ์ขัดขวาง คนผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้นทันที


 


 


           คนที่เหลือตกใจจนคุกเข่าตาม ขณะจะเอ่ยปากกล่าวฉินอวี้ก็ชำเลืองมอง คนเหล่านั้นเงียบเสียงลงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มิกล้าส่งเสียงใดขึ้นอีก


 


 


           ฉินอวี้สาวเท้าก้าวเข้าไปข้างใน


 


 


           คนในตำหนักเห็นแล้วก็ขาแข้งอ่อน รีบคุกเข่าทันที


 


 


           ฉินอวี้เดินมาถึงหน้าประตูตำหนักชั้นใน เสียงข้างในยิ่งไม่เข้าหู พระพักตร์เขาเยือกเย็นขึ้นมา ก่อนยกพระบาทถีบประตูตำหนักออก


 


 


           ประตูเกิดเสียง ‘ผัวะ’ แล้วเปิดออก ความสนุกสนานข้างในหยุดชะงักลง


 


 


           ฉินอวี้ข้ามธรณีประตูเข้ามา แวบแรกมองเห็นความระเกะระกะข้างในอันแปดเปื้อนลูกตา เขายกพระหัตถ์ห้ามเซี่ยฟางหวา “ไม่ต้องตามเข้ามา”


 


 


           เมื่อครู่เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงหยอกล้อขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าและสตรี ย่อมเดาสถานการณ์ข้างในได้ เดิมมิได้คิดจะเข้าไปอยู่แล้ว ตอนที่ฉินอวี้ยกพระหัตถ์ห้าม นางจึงหยุดเท้า


 


 


           ภายในตำหนัก องค์ชายสามกับองค์ชายห้า นอกจากนี้ยังมีคนที่ลักษณะคล้ายเป็นผู้คุ้มกันหลายคน รวมไปถึงสตรีอีกจำนวนหนึ่ง ถ้วยจานระเนระนาด บางคนสวมเพียงผ้าเนื้อบางชั้นเดียว กลิ่นเหล้าและนารีคลุ้งทั่วตำหนัก องค์ชายสามกับองค์ชายห้าต่างโอบสตรีไว้สองคน ผู้คุ้มกันเหล่านั้นเองก็กอดสตรีไว้เช่นเดียวกัน บ้างก็นึกไม่ถึงว่ากำลังทำเรื่องโสมมต่อหน้าผู้อื่น


 


 


           หลังฉินอวี้เปิดประตูออกก็มองคนข้างในด้วยพระพักตร์เยือกเย็น แววตาที่อบอุ่นดุจหยกราวกับกลายเป็นก้อนน้ำค้างแตกร้าวและดาบแหลมคมในทันที


 


 


           องค์ชายสามกับองค์ชายห้าดื่มไปหนักมาก ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิดก็หันมามอง พบว่าเป็นฉินอวี้


 


 


           องค์ชายสามแย้มยิ้มทันใด ก่อนกวักมือเรียก “น้องสี่ เจ้ามาแล้วหรือ ดีเลย รีบมาดื่มสักจอกเถิด”


 


 


           องค์ชายห้าเองก็ยิ้มตาม “เอ๋ ลมอันใดพัดพี่สี่มาถึงนี่ได้”


 


 


           ฉินอวี้ไม่พูดไม่จาสักคำ มองทั้งสองด้วยความเย็นชา


 


 


           ในหมู่ผู้คุ้มกันมีบางคนมิได้ดื่มหนัก รีบผลักสตรีในอ้อมกอดออกแล้วรีบคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย…”


 


 


           เวลานี้มีคนตกใจจนสร่างแล้วเช่นกัน รีบเอ่ยตามด้วยความเกรงกลัว “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต…”


 


 


           สตรีทั้งหมดมิดื่มหนัก ใบหน้าสะสวยถอดสี “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกบ่าวถูกบังคับ…”


 


 


           จากเสียงดนตรี นารี และสุราทั่วห้อง พลันเปลี่ยนเป็นเสียงร้องขอชีวิตทันที


 


 


           องค์ชายสามกับองค์ชายห้าตกใจจนตัวสั่นระริกทันที สร่างขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ชั่วเวลานั้นมือที่ถือจอกสุราป้อนเหล้าให้หญิงงามแบบปากต่อปากก็ปล่อยจอกตกลงพื้นคล้ายไม่รู้ตัว มือที่โอบหน้าอกหญิงงามอยู่ก็รีบผละออกทันที ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราเปลี่ยนเป็นซีดขาวในชั่วพริบตา


 


 


           ฉินอวี้มองพักหนึ่งก่อนหมุนตัวกลับออกไปนอกตำหนัก ตวัดฝ่าพระหัตถ์ปิดประตูตำหนัก ก่อนตรัสด้วยเสียงทุ้มต่ำอันแฝงไปด้วยจิตสังหารที่เยือกเย็น “ใครก็ได้”


 


 


           “ฝ่าบาท” มีคนรีบปรากฏตัวขึ้นด้านหน้า


 


 


           “ปิดตายสถานที่นี้ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ห้ามบินเข้าไป งดน้ำงดอาหาร หลังตายกันหมดแล้วค่อยฝังไปพร้อมกับอดีตฮ่องเต้” ฉินอวี้ออกคำสั่ง


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” คนนั้นขานรับ


 


 


           ฉินอวี้ดึงมือเซี่ยฟางหวาราวกับไม่อยากอยู่ต่อแม้สักวินาทีเดียว สาวเท้าออกไปจากตำหนักหลังนี้


 


 


           เสียงร้องไห้ระคนร้องขอชีวิตอย่างสะเทือนฟ้าดินดังออกมาจากข้างใน 

 

 


ตอนที่ 109-1 ขอร้องซื้อใจ

 

         การเคลื่อนไหวหลังฉินอวี้ออกมาจากงานดื่มฉลองรื่นเริงในปีกตำหนักปลีกวิเวก สร้างความตกใจให้


 


 


อิงชินอ๋อง และบรรดาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา


 


 


           ทุกคนเดิมทีเข้าพักผ่อนแล้วก็ลุกขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนรีบตามไปยังต้นตอของเสียง


 


 


           ใบหน้าของฉินอวี้เต็มไปด้วยโทสะ รอบกายราวกับถูกน้ำแข็งผนึก แผ่กลิ่นอายเยือกเย็นจนน่าตกใจท่ามกลางรัตติกาล


 


 


           “ถวายบังคมฝ่าบาท” ทุกคนสาวเท้าเข้ามาหา ก่อนถวายบังคมฉินอวี้


 


 


           ฉินอวี้ปรายตามองทุกคน ก่อนยกมือไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “ฝ่าบาท เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” อิงชินอ๋องก้าวขึ้นมาพร้อมมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง พบว่าใบหน้าของนางเองก็มิน่ามองเช่นเดียวกันจึงเอ่ยถามอย่างระวัง


 


 


           “ท่านลุงไปดูเอาเองเถิด” ฉินอวี้เดินอ้อมอิงชินอ๋อง พร้อมดึงเซี่ยฟางหวาเดินออกไป


 


 


           อิงชินอ๋องหันมองตาม พบว่าฉินอวี้เดินจากไปด้วยความโกรธแค้นจึงหันกลับไปมองพระชายา


 


 


           “มิเคยเห็นฝ่าบาททรงกริ้วหนักขนาดนี้มาก่อน เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” พระชายาอิงชินอ๋องไม่เข้าใจ


 


 


           “ไปเถอะ พวกเราไปดูกัน” อิงชินอ๋องบอก


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวามองหน้ากัน ก่อนรีบเดินไปยังตำหนักปลีกวิเวกแห่งนั้นพร้อมพวกหย่งคังโหว


 


 


           ระยะทางค่อนข้างใกล้ ได้ยินเพียงเสียงร้องขอชีวิตพร้อมร่ำไห้สะเทือนฟ้าดินดังออกมา


 


 


           เมื่อมาถึงหน้าประตู พบว่าตำหนักหลังนี้ถูกปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา


 


 


           “เกิดอันใดขึ้น” อิงชินอ๋องเดินเข้ามาใกล้ ก่อนเอ่ยถามคนหนึ่ง


 


 


           คนนั้นทำความเคารพพวกอิงชินอ๋อง ก่อนอธิบายให้ฟังคร่าวๆ


 


 


           “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!” อิงชินอ๋องฟังแล้วก็โกรธจัด


 


 


           “เพิ่งฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ ยังมิทันได้พักผ่อนอย่างสงบ ก็จัดงานรื่นเริงอย่างเต็มที่ มั่วสุรานารีในอาณาเขตราชสุสาน ช่าง…ช่างไม่รู้จักกาลเทศะยิ่งนัก” พระชายาอิงชินอ๋องเองก็โกรธเช่นกัน


 


 


           “มิน่าฝ่าบาทถึงทรงกริ้วถึงเพียงนี้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับเสนาบดีฝ่ายขวากลัดกลุ้ม


 


 


           หย่งคังโหวมองเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามคนนั้น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปิดตายที่นี่ แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ห้ามบินเข้าไป งดน้ำงดอาหาร หลังตายแล้วค่อยฝังศพไปพร้อมอดีตฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”


 


 


           “ฝ่าบาทรับสั่งเช่นนี้ขอรับ” คนนั้นพยักหน้า


 


 


           “เช่นนั้นองค์ชายสามกับองค์ชายห้า…” หย่งคังโหวหันไปมองอิงชินอ๋อง


 


 


           อิงชินอ๋องโกรธจัดจนระงับมิได้ ไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “ตายไปก็ดีแล้ว ถึงอยู่ไปก็สร้างความอับอายให้ราชวงศ์” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ


 


 


           หย่งคังโหวเงียบเสียง


 


 


           ทุกคนต่างพูดไม่ออก


 


 


           “ท่านลุง ท่านป้า ช่วยพวกเราด้วย!” องค์ชายสามกับองค์ชายห้าคงได้ยินเสียงจากด้านนอกจึงวิ่งออกมาจากตำหนักชั้นใน ฝ่าเหล่าทหารมาร้องขอความช่วยเหลือจากอิงชินอ๋องกับพระชายา


 


 


           ทหารองครักษ์ถือดาบและหอกตั้งตรง ขวางทั้งสองไว้ภายในตำหนัก


 


 


           อิงชินอ๋องเห็นทั้งสองแต่งกายมิเรียบร้อย ใบหน้าและลำคอมีรอยจ้ำสีกุหลาบ มิหนำซ้ำยังมีเสียงร้องไห้หนักของสตรีกลุ่มหนึ่งดังจากข้างใน ไหนเลยยังคงไว้ซึ่งความมีเกียรติสูงศักดิ์ขององค์ชาย เขาแค่นเสียงในลำคอด้วยความเยือกเย็น เมินเฉยทั้งสองคน ก่อนหมุนตัวเดินออกไปด้วยโทสะ


 


 


           พระชายาก็คร้านจะมองให้แปดเปื้อนลูกตาเช่นกัน หมุนตัวตามอิงชินอ๋องออกไป


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนของฉินอวี้ เมื่อก่อนก็มิชอบที่องค์ชายสามกับองค์ชายห้าอาศัยความโปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ มักลอบกัดฉินอวี้ผู้เป็นทายาทย่อมมิสนใจใยดี หมุนตัวตามออกไปเช่นกัน


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนเดินจากไปเช่นกัน


 


 


           หย่งคังโหวกำลังจะยกเท้าเดินตามออกไป ทว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าก็ตะโกนขึ้น “ท่านโหว ช่วยพวกเราด้วย!”


 


 


           หย่งคังโหวชะงักเท้า มองทั้งสองแล้วถอนหายใจออกมา “องค์ชายทั้งสอง อดีตฮ่องเต้สวรรคต เพิ่งจะฝังพระศพไป ยังมิครบกำหนดไว้ทุกข์ดี นึกไม่ถึงว่าพวกท่านสองคนจะดื่มฉลองรื่นเริงแล้ว โดยเฉพาะยังเกิดขึ้นในอาณาเขตราชสุสาน มิเคารพอดีตฮ่องเต้เลย สร้างมลทินให้แก่บรรพบุรุษนัก ฝ่าบาททรงกริ้วมาก แม้แต่ท่านอ๋องที่มีจิตใจเมตตายังโกรธจัด ข้าคงช่วยอันใดพวกท่านมิได้หรอก”


 


 


           “ขอร้องล่ะท่านโหว พวกเรามิกล้าทำอีกแล้ว ท่านช่วยไปขอความเมตตากับน้องสี่ให้หน่อยเถิด” องค์ชายสามกับองค์ชายห้าแทบจะร้องไห้รอมร่อ หวาดกลัวจากใจจริง เมื่อลมพัดผ่านก็สร่างเมาเต็มที่


 


 


           หย่งคังโหวส่ายหน้า


 


 


           ทั้งสองเห็นว่าหย่งคังโหวจะกลับไปแล้ว ทันใดนั้นก็ร้องตะโกนเสียงดัง “ท่านโหว ท่านโหว ท่านอย่าเพิ่งไป ที่ผ่านมาเสด็จแม่ของเราร่วมมือกับท่านไม่น้อย ขอร้อง…”


 


 


           ใบหน้าของหย่งคังโหวเปลี่ยนไปในทันที เฉินเฟยกับหลิ่วเฟยเคยเป็นที่โปรดปราน สองพระสนมตั้งป้อมประจันหน้ากับฮองเฮาในราชสำนัก เขาจึงมิกล้าล่วงเกินทั้งสอง ทำได้เพียงต้องก้มหน้าทำตาม ยามนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ยังมิได้ราชาภิเษก ทั้งสองก็กระทำเรื่องโสมมขึ้นแล้ว หากหลุดปากพูดออกไปเพราะความสิ้นหวัง ลากเขาติดร่างแหไปด้วย ถึงแม้จะไม่ลากตนลงน้ำ แต่อาจถูกถลกหนังชั้นหนึ่ง เขาสะดุ้งตกใจ รีบกล่าวขึ้นทันที “องค์ชายทั้งสองอย่าพูดจาเหลวไหล กระหม่อมทำตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัดตลอดมา ไท่เฟยทั้งสองพระองค์หากทรงทราบว่าท่านสองคนมิเคารพอดีตฮ่องเต้ เกรงว่าจะยิ่งปวดใจ”


 


 


           “จริงด้วย เสด็จแม่ เสด็จแม่ต้องช่วยเราได้แน่” องค์ชายสามได้ยินแล้วก็รีบกล่าวกับองค์ชายห้า “เร็วเข้า…ให้คนไปบอกข่าวกับเสด็จแม่”


 


 


           องค์ชายห้าได้ยินเช่นนั้นก็รีบมองหย่งคังโหวอย่างอ้อนวอน “ท่านโหว ขอร้องล่ะ เห็นแก่ไมตรีในวันวาน ท่านมิอาจเห็นคนตายมิช่วยเหลือได้นะ”


 


 


           หย่งคังโหวมองทั้งสองด้วยความว่างเปล่า พักต่อมาก็กัดฟันกล่าว “ข้าจะลองไปขอร้องฝ่าบาท ดูว่าพระองค์พอจะเมตตาได้หรือไม่ หากฝ่าบาทมิทรงเมตตา ข้าก็หมดหนทางแล้วเช่นกัน มากสุดคงช่วยส่งจดหมายไปบอกไท่เฟยที่วังหลวงแทนพวกท่าน”


 


 


           “ขอบคุณท่านโหวมาก บุญคุณของท่าน เราต้องตอบแทนแน่นอน” ทั้งสองรีบคว้าฟางช่วยชีวิตเอาไว้


 


 


           หย่งคังโหวกล่าวอย่างมีความหวัง “มิต้องให้ทั้งสองท่านตอบแทนหรอก ข้ายังอยากรักษาศีรษะของตนให้มั่น ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างสงบสุข ทั้งสองท่านอย่าปากโป้งทำร้ายข้าอีกก็พอแล้ว” พูดจบก็หมุนตัวรีบเดินออกไป


 


 


           องค์ชายสามกับองค์ชายห้ารอจนหย่งคังโหวออกไปก็ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างห่อเ**่ยว


 


 


           ระหว่างที่หย่งคังโหวเดินไปยังตำหนักที่ฉินอวี้ประทับก็ครุ่นคิดพลาง คิดว่าจะขอความเมตตาให้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าอย่างไรดี


 


 


           เขาเพิ่งเดินไปได้มิไกล พลันมีคนเดินออกมาหัวโค้ง ทำเอาเขาตกใจแทบแย่ ตะโกนขึ้น “ใครน่ะ”


 


 


           “ข้าเอง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ


 


 


           หย่งคังโหวถอนหายใจโล่งอก “โธ่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายนี่เอง ข้าตกใจแทบแย่ นึกว่าเป็นใครเสียอีก”


 


 


           “องค์ชายสามกับองค์ชายห้าขอความช่วยเหลือจากท่านหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองเขา ก่อนถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           หย่งคังโหวได้ยินแล้วก็ปวดหัวขึ้นมา “จะมิใช่ได้อย่างไร กุมจุดอ่อนของข้าดั่งบีบซี่โครง ตอนนั้นมิน่า…”


 


 


           “มิน่าไม่เข้าข้างระบบสืบทอดราชวงศ์ที่ถูกต้อง ดันไกล่เกลี่ยมั่วซั่ว ไม่เป็นผลดีทั้งสองฝ่าย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายแค่นเสียงในลำคอ เอ่ยขัดคำพูดเขา


 


 


           หย่งคังโหวอึ้ง มองเสนาบดีฝ่ายซ้ายพลางจนใจกล่าว “ท่านเสนาบดี ท่านอย่าเยาะเย้ยข้าเลย สถานการณ์ในจวนหย่งคังโหวของข้านั้นท่านเองก็ทราบดี พึ่งพาร่มเงาบารมีของบรรพบุรุษตลอดมา หากไม่ไหลตามน้ำในราชสำนักมีหรือจะยืนอย่างมั่นคง ตอนยังหนุ่มข้าเองก็อยากสร้างความชอบไว้เช่นกัน ต่อมามิใช่ว่าถูกขัดขวางจนสิ้นปณิธานหรือ ความทุกข์ของข้าปิดบังใครได้บ้าง”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายได้ยินเช่นนั้น เดิมอยากเยาะย้ายหย่งคังโหวอีกสองประโยค ทว่าก็เปลี่ยนคำพูด “ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ามิให้ท่านไปสร้างความชอบในกองทัพเพื่อถืออำนาจการทหาร นับว่าพิจารณาถี่ถ้วนแล้ว กลัวว่าจวนหย่งคังโหวจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนจวนจงหย่งโหวที่ราชสำนักหวาดระแวงเป็นอันดับสอง มีบรรดาศักดิ์สืบทอดต่อกันแล้ว หากมีความชอบด้านการทหารเพิ่มอีก ฮ่องเต้มีหรือจะยอมให้กดดันอำนาจจักรพรรดิ”


 


 


           “ตอนหนุ่มยังไม่เข้าใจ ต่อมาก็กระจ่างแจ้งแล้วเช่นกัน ฮ่องเต้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ ตระกูลสร้างผลงานเลื่องชื่อสืบทอดกันอย่างเราจำต้องหาวิธีการอยู่รอด ลูกหลานมิอาจโดดเด่นเกินหน้าเกินตา หากโดดเด่นขึ้นมาก็จะถูกราชสำนักหวาดระแวง หลายปีก่อนองค์ชายแย่งตำแหน่งรัชทายาท หากข้ามิตามน้ำไปอดีตฮ่องเต้คงมิปล่อยจวนหย่งคังโหวไปแล้ว” หย่งคังโหวพยักหน้า


 


 


           “อืม นับว่าท่านอ่านสถานการณ์ออก ที่ผ่านมาอดีตฮ่องเต้จึงสนับสนุนจวนหย่งคังโหวตลอดมา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้ารับ


 


 


           “แต่ยามนี้ สาเหตุในตอนนั้นทำให้กลายเป็นการกระทำในหนหลัง กลายเป็นผลลัพธ์ในวันนี้ องค์ชายสองพระองค์จึงกุมจุดอ่อนข้าไว้ได้” หย่งคังโหวขอร้องเสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านเสนาบดี โปรดชี้แนะหน่อยเถิด ช่วยข้าสักครั้ง”


 


 


           “ท่านอยากให้ข้าชี้แนะจริงหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเหลือบมอง


 


 


           “ข้ามิกล้าไปกระตุ้นโทสะฮ่องเต้ในยามนี้ ฮ่องเต้ไม่เหมือนกับอดีตฮ่องเต้ เดิมจวนหย่งคังโหวก็มิได้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์” หย่งคังโหวพยักหน้า


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายขยับเข้าใกล้ “เห็นแก่ที่เราเป็นขุนนางในราชสำนักร่วมกันมานาน แม้ก่อนหน้านี้ท่านไม่เคยขอพึ่งพาอาศัยรัชทายาท แต่ก็มิเคยพึ่งพาสองพระสนมเช่นกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมามิเคยสร้างความลำบากให้ฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางแม้คอยถ่วงความเจริญข้าตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรข้าก็เกิดมาในตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง เสวี่ยเหยียนผู้เป็นหลานสาวแม้มิได้ออกเรือนกับลูกชายท่าน แต่ไมตรีของเรายังคงอยู่ ข้าจะชี้ทางสว่างให้แล้วกัน”


 


 


           “ขอบคุณมาก” หย่งคังโหวดีใจใหญ่ รีบกล่าวขอบคุณ


 


 


           “ท่านอย่าเพิ่งรีบขอบคุณเร็วไปเลย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าใกล้เขา กระซิบกล่าวข้างหู “ท่านหญิงน้อยของท่านกับคุณหนูฟางหวามีไมตรีจิตต่อกัน ฮูหยินของเจ้าก็ได้วิชาแพทย์ของคุณหนูฟางหวาช่วยชีวิตไว้ ตั้งแต่คุณหนูฟางหวากลับเมืองมาพร้อมรัชทายาทก็อยู่แต่ในวังตลอดเวลา พิธีฝังพระบรมศพอดีตฮ่องเต้ก็นั่งราชรถหยกด้วยกัน นางมีที่ยืนในพระราชหฤทัยฮ่องเต้ของเรา มิต้องให้ข้าบอก ท่านก็น่าจะเข้าใจแล้วกระมัง”


 


 


           หย่งคังโหวชะงัก “ความหมายคือให้ข้าไปขอร้อง…”


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า “หากท่านอยากช่วยสององค์ชายจากใจจริง มีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ถ้าคุณหนูฟางหวายอมรับ ฝ่าบาทก็ต้องคล้อยตามด้วย”


 


 


           “ข้าไหนเลยจะอยากช่วยสองคนนั้นจากใจจริง เพียงถูกบังคับอย่างไม่มีทางเลือกเท่านั้นเอง แค่มิอยากให้พวกเขาพูดจาเหลวไหลก็เท่านั้น” หย่งคังโหวกล่าวอย่างจนใจ “หากเรื่องในตอนนั้นแดงขึ้นมาในยามนี้ จะส่งผลดีอันใดต่อข้า ข้ายังอยากใช้ชีวิตวัยชราอย่างสงบสุขนะ”


 


 


           “ไม่ว่าท่านจะอยากช่วยหรือไม่ แต่หากอยากปกป้องตัวเอง การไปหานางคือทางเลือกที่ดีที่สุด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าว 

 

 


ตอนที่ 109-2 ขอร้องซื้อใจ

 

หย่งคังโหวพยักหน้า “ที่ท่านพูดมามีเหตุผล ข้าจะไปหาคุณหนูฟางหวา” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป ทว่ารีบเดินไปได้เพียงสองก้าวก็คิดว่ามิถูกต้องจึงหันกลับไปคว้าตัวเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาถามเสียงเบา “ท่านเสนาบดี ท่านมีแผนการใดกันแน่ อยากให้ข้าไปหยั่งเชิงถามคุณหนูฟางหวาที่มีจุดยืนในพระราชหฤทัย 


 


 


ฝ่าบาท หรือว่า…” 


 


 


           “ข้ามิใช่ว่าชี้ทางสว่างให้ท่านโหวหรอกหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายปัดมือเขาออก  


 


 


           “แม้เรามีไมตรีจิตต่อกัน แต่ในใจเราต่างทราบดีว่าไมตรีจิตนั้นมิได้ยั่งยืน ท่านบอกความจริงกับข้ามาดีกว่า อย่าช่วยข้ามิได้แล้วลอบทำร้ายกันเลย” หย่งคังโหวถลึงตามอง  


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองหย่งคังโหว หย่งคังโหวเองก็จ้องมองเขา 


 


 


           ทั้งสองถลึงตาจ้องมองกันพักหนึ่ง ก่อนที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเป็นฝ่ายลากเขาไปยังที่ลับตาคนด้วยความจำใจ กล่าวเสียงเบา “ท่านนี่ช่างเล่ห์โดยแท้ ลื่นไหลราวกับปลาไหลก็มิปาน มิน่าจวนหย่งคังโหวถึงได้รับการดูแลจากอดีตฮ่องเต้อย่างดีตลอดมา มิใช่ไม่มีเหตุผล” 


 


 


           “ถึงพูดแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์” หย่งคังโหวปัดมือ “พูดเรื่องตอนนี้มา” 


 


 


           “ตอนนี้ก็คือ เมื่อก่อนคุณหนูฟางหวามิชอบฝ่าบาทอย่างยิ่ง เราต่างมองออก แต่ยามนี้หลังกลับมาจากเมืองหลินอันก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ดูปรองดองกับฝ่าบาทอย่างยิ่ง นั่งราชรถหยกคันเดียวกัน อย่างกับเป็นฮ่องเต้และฮองเฮา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกระซิบกล่าว “แม้แต่ข้ายังสับสน มิค่อยเข้าใจนัก หรือว่าฝ่าบาทจะทรงอภิเษกสมรสกับคุณหนูฟางหวา” 


 


 


           “เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นจริง” หย่งคังโหวกล่าว “ถึงอย่างไรตอนนี้คุณหนูฟางหวาก็มีอิสระ ออกเรือนกับผู้ใดก็ย่อมได้ ทั้งมีคุณูปการต่อแผ่นดินหนานฉิน ตั้งแต่ช่วยเมืองหลินอัน ประชาชนต่างยกย่องสรรเสริญ ต่างกล่าวว่านางกับฝ่าบาทช่างเหมาะสมกัน” 


 


 


           “แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ฝ่าบาทก็ต้องไว้ทุกข์แก่อดีตฮ่องเต้อย่างน้อยหนึ่งปี แต่ถ้าหากมีสิ่งใดเปลี่ยนไปอีกเล่า” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวขึ้นอีก 


 


 


           หย่งคังโหวมองเขา ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง “ข้าเข้าใจแล้ว คุณหนูฟางหวามิค่อยชอบท่านตลอดมา ท่านกลัวว่าเพราะมีนางอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาท ภายภาคหน้าหากฝ่าบาททรงแต่งตั้งเป็นฮองเฮาจริง เช่นนั้นขอเพียงนางเอ่ยประโยคเดียว ท่านก็จะเสียความน่าเชื่อถือและไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายหน้าแดงด้วยความอับอาย แต่ก็มิได้ปฏิเสธ “ท่านโหว ท่านก็ทราบว่าการเป็นขุนนางในราชสำนักนั้นไม่ง่ายเลย” พูดจบก็ตบบ่าเขา “ระหว่างเราเอื้อประโยชน์ต่อกัน ถ้าท่านพูดคุยกับคุณหนูฟางหวาได้ หยั่งเชิงถามนางดู เรื่ององค์ชายสามและองค์ชายห้าฝั่งนี้ ข้าจะช่วยคิดหาวิธีให้ท่านผ่านเรื่องในอดีตไปได้” 


 


 


           “เอาเถอะ ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน” หย่งคังโหวพยักหน้า “ข้าไปหาคุณหนูฟางหวาก่อน” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพยักหน้า 


 


 


           เมื่อทั้งสองตกลงร่วมกันได้ หย่งคังโหวก็รีบเดินไปยังที่พำนักของเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายรอจนอีกฝ่ายออกไป มองไปยังตำหนักปลีกวิเวกขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าที่ถูกทหารองครักษ์ปิดล้อมไว้แวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าเอือมระอา 


 


 


           หลังฉินอวี้กับเซี่ยฟางหวาออกมาก็กลับมาที่ตำหนัก 


 


 


           ฉินอวี้มิได้กลับไปที่ตำหนักตนเอง แต่เข้ามาในตำหนักของเซี่ยฟางหวาก่อน ตลอดทางที่เดินมา ใบหน้ายังคงนิ่งขรึมดั่งน้ำค้างแข็ง 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพอจะได้ยินเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้าจัดงานรื่นเริงมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองกลับมาก็รีบรินน้ำชามาให้ 


 


 


           ฉินอวี้ดื่มน้ำชารวดเดียวจนหมด วางถ้วยชาลง แล้วกล่าวด้วยโทสะ “พวกเขาเป็นถึงองค์ชาย นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำเรื่องแบบนี้ ราษฎรต่างแขวนธงขาวและสวมเสื้อผ้าสีเรียบเพื่อไว้อาลัยแก่เสด็จพ่อ ทั้งงดสุรานารี เลื่อนงานรื่นเริงออกไป แต่พวกเขาเป็นลูกชายของเสด็จพ่อแท้ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเพิ่งจะฝังศพของเสด็จพ่อก็กระทำเรื่องเช่นนี้แล้ว น่ารังเกียจยิ่งนัก” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็คิดว่าองค์ชายสามกับองค์ชายห้าไม่รู้จักกาลเทศะเช่นกัน มิน่าถึงเทียบฉินอวี้มิได้แม้แต่ปลายเล็บ 


 


 


           “เสียแรงที่เสด็จพ่อโปรดปรานพวกเขามาหลายปี เพื่อปกป้องพวกเขาถึงแค่เนรเทศมาที่ราชสุสาน” ฉินอวี้โกรธจัด “คนแบบนี้ถึงตายลงที่นี่ก็แปดเปื้อนอาณาเขตราชสุสานของราชวงศ์เสียเปล่าๆ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายกกามารินน้ำชาให้เขาอีกแก้วหนึ่ง มิได้เอ่ยคำใด 


 


 


           ฉินอวี้มองนางแวบหนึ่ง พบว่าใบหน้านางเรียบสงบ จึงค่อยๆ สะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ “โชคดีที่วันนี้ข้าไปตำหนักใต้ดินกับเจ้าด้วย มิฉะนั้นคงมิทราบว่าพวกเขากล้าทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้” 


 


 


           “อย่าโกรธเลย” เซี่ยฟางหวาสื่อทำนองให้เขาดื่มน้ำชา “นำความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเอง ไม่คุ้มค่ากัน” 


 


 


           “จะมิให้โกรธได้อย่างไร” ความโกรธของฉินอวี้ยังไม่คลายลง ทว่าสีหน้าดีขึ้นบ้างแล้ว ยกน้ำชาขึ้นมาดื่มเชื่องช้า “เดิมทีข้ามิอยากกำจัดพี่น้องหลังเสด็จพ่อจากไป อย่างไรก็มีรากเหง้าเดียวกัน แต่พวกเขากระทำเช่นนี้ จะให้ข้าอภัยให้พวกเขาได้อย่างไร” 


 


 


           “ตระกูลหลิ่วกับตระกูลเฉินย้ายออกจากเมืองหลวงแล้ว หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต หลิ่วเฟยกับ 


 


 


เฉินเฟยก็กลายเป็นไท่เฟยในวังหลวง มิอาจคุกคามหรือทำอันใดได้อีกแล้ว อำนาจราชสำนักขององค์ชายสามกับองค์ชายห้าถูกถอนรากถอนโคนไปก่อนแล้ว ยามนี้เหลือเพียงแค่ฐานะองค์ชายเท่านั้น พูดตามตรงแล้วเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์” เซี่ยฟางหวากล่าว “ถึงสังหารพวกเขาไปก็เป็นเพียงการระบายความโกรธชั่วคราว หากมิปิดบังเรื่องนี้ มีการเผยแพร่ออกไปก็จะทำให้ราชสำนักมีข่าวฉาวโฉ่ แต่หากปิดบัง มิเผยแพร่ออกไป ประชาชนใต้หล้าก็จะกล่าวกันว่าพระบรมอัฐิของอดีตฮ่องเต้ยังมิทันเย็น ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็สังหารพี่น้องร่วมสายเลือดเสียแล้ว คุณงามความดีที่เจ้าสั่งสมไว้อย่างยากลำบากตอนที่ยังเป็นรัชทายาทก็จะสูญเปล่า” 


 


 


           “ความหมายเจ้าคือ มิให้สังหารพวกเขาหรือ” ฉินอวี้ตวัดตามองเซี่ยฟางหวา  


 


 


           “สังหารคนไร้ประโยชน์ไปทำให้เจ้าติดกับดัก เดิมคนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า ภายในปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ชื่อเสียงของเจ้ามีหรือจะไม่สำคัญกว่าชีวิตของสองคนนั้น” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกเขาทำเมื่อครู่ ข้าก็แทบอยากสังหารพวกเขาให้จบๆ ไป หรือว่าคนไร้ประโยชน์แบบนี้ยังต้องเก็บไว้อีก” ฉินอวี้โมโห 


 


 


           “ดังนั้นน้ำทำให้เรือลอยได้ก็ย่อมทำให้จมได้เช่นกัน ราษฎรนับล้านในหนานฉินต่างเฝ้ามองบทบาทของจักรพรรดิองค์ใหม่หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคตไปอยู่ หากเจ้าเพิ่งฝังพระบรมศพของอดีตฮ่องเต้ก็สังหารพี่น้องแล้ว ใต้หล้าวิพากษ์วิจารณ์กันวงกว้าง อุดอย่างไรก็อุดไม่อยู่” เซี่ยฟางหวากล่าว “ผลดีผลเสีย เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจ” 


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ยกพระหัตถ์นวดหว่างคิ้ว หลับตาพิงพนักเก้าอี้อย่างท้อใจ 


 


 


           เซี่ยฟางหวามิเอ่ยคำใดอีก 


 


 


           ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเฝ้าอยู่หน้าประตู มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เมื่อเห็นคนที่มาเยือนชัดเจนก็บอกกับคนข้างในเสียงเบา “ฝ่าบาท คุณหนู หย่งคังโหวมาเจ้าค่ะ” 


 


 


           “เขามาทำไม” พระหัตถ์ที่นวดหว่างคิ้วอยู่ชะงัก 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ไตร่ตรองชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “น่าจะมาขอความเมตตาเรื่ององค์ชายสามกับองค์ชายห้า” 


 


 


           “ขอความเมตตาหรือ” ฉินอวี้ฟังแล้วก็โกรธอีก “ยังมีคนกล้ามาขอความเมตตาให้พวกเขาอีกรึ” 


 


 


           “หย่งคังโหวน่าจะไม่มีทางเลือกเช่นกัน” เซี่ยฟางหวามองหย่งคังโหวที่กำลังเดินพลางเช็ดเหงื่ออย่างระวัง ก่อนยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนข้าไม่ค่อยรู้จักหย่งคังโหวคนนี้มากนัก ต่อมาเมื่อได้คุยด้วยก็พบว่าปลิ้นปล้อนกว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเสียอีก หลายปีที่ผ่านมาช่วงที่อดีตฮ่องเต้กุมอำนาจก็ให้การสนับสนุนจวนหย่งโหว มิใช่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาคนนี้เสียทีเดียว” 


 


 


           ฉินอวี้ลืมตาขึ้น พยักพระพักตร์เห็นด้วย “ปลิ้นปล้อนเกินไปก็มิน่าชื่นชอบ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าไม่ชอบเขา เจ้าชอบประเภทเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่เชื่อฟัง เมื่ออยากให้เขาแสดงความสามารถ เขาก็จะแสดงความสามารถเต็มที่ แต่เมื่ออยากให้เขากระดิกหาง เขาก็จะกระดิกหางสินะ” 


 


 


           “ถูกเจ้ารู้เข้าแล้วสิ” ฉินอวี้หัวเราะ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นเขาหัวเราะแล้วก็ถือโอกาสกล่าวขึ้น “ตอนนี้ราชสำนักอยู่ในระหว่างบริหารจัดการคน ถึงแม้เจ้ามิชอบ แต่ก็มิอาจกำจัดทิ้งมิใช้ประโยชน์ตามใจชอบ คนแบบหย่งคังโหวหากใช้ให้ดี แท้จริงแล้วมีประโยชน์อย่างที่สุด ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเหลือเพียงจวนเปล่า ตระกูลสร้างผลงานเลื่องชื่อสืบทอดมามีจวนหย่งคังโหวเป็นหลักแล้ว ตามความเห็นข้า อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว เจ้าเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ อยู่ในระหว่างซื้อใจคน มิสู้ถือโอกาสนี้ไว้หน้าหย่งคังโหวสักครั้ง ทำให้หลังจากนี้เขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้าไปจนตาย” 


 


 


           ฉินอวี้มองไปด้านนอกแวบหนึ่ง ก่อนหันกลับมามองนางเชื่องช้า สติปัญญาความตื่นรู้ค่อยๆ กลับมา “เขามาเพื่อขอความเมตตากับเจ้าหรือ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวายกน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง ก่อนวางลงเชื่องช้า “ถึงมาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามิใช่เจ้าเป็นคนออกปากเองก็เท่านั้น”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม