จำนนรักชายาตัวร้าย 106.1-107.5
ตอนที่ 106-1 ยิ่งคาดหวังมาก ก็ยิ่งผิด...
“ฝ่าบาท รถเข็นน้อย เปลโยกน้อย ป๋องแป๋งน้อย…สิ่งที่ต้องเตรียมมีมากมายนักนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เซี่ยงจิ้นสอดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“หากเป็นท่านอ๋องน้อยขึ้นมาละก็ยังจะต้องเตรียมม้าโยกน้อย กระบี่น้อย คันธนูน้อย เหล่านี้ล้วนแต่ขาดมิได้เลยสักอย่าง ทรงลองคิดดูนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องน้อยจะต้องสืบทอดความเก่งกาจของบิดามารดาเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ เฉลียวฉลาดเกินใคร!”
“ใช่ๆ!”
โดนเซี่ยงจิ้น ‘ริเริ่มนำทาง’ เช่นนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งคิดขึ้นมาได้อีกหลายสิ่งหลายอย่าง!
“เพื่อนเล่น เพื่อนเรียนหนังสือก็ขาดไม่ได้! รอจนอายุได้สามขวบก็ให้เริ่มศึกษาเล่าเรียน ข้าจะต้องเชิญท่านปราชญ์แห่งขงจื้อที่มีชื่อเสียงที่สุดมาเป็นอาจารย์ให้กับหลานชายข้า ถ่ายทอดคุณธรรมในการปกครองแผ่นดินให้กับเขา!”
เพราะซย่าโหวจวินอวี่รู้สึก ‘ผิดหวัง’ กับซย่าโหวฉิงเทียนเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าเขามีความคิดว่าตั้งใจจะยกต้าโจวให้กับซย่าโหวฉิงเทียน แต่ก็ยังมิใช่ตอนนี้
นิสัยชื่นชอบตีรันฟันแทง เอะอะก็ใช้กำลังแก้ไขปัญหาของบุตรชายนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ไร้ซึ่งหนทางแก้ไข
หากจะบอกว่าตอนนี้เป็นกลียุค ซึ่งกลียุคก่อเกิดวีรบุรุษละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องเป็นจอมยุทธที่สำเร็จการใหญ่แห่งยุคอย่างแน่นอน
บัดนี้ ซีเย่ว์ถูกบุตรชายเขาเล่นงานเสียจนราบคาบ ฉินจื้อก็กลายเป็นสมบัติในกำมือลูกสะใภ้ ทำให้ต้าโจวกลายเป็นแคว้นที่มีอาณาเขตมากที่สุดบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้
รักษาไว้ซึ่งความสงบร่มเย็น เพิ่มพูนอำนาจต่างจึงจะเป็นทิศทางในภายภาคหน้าของต้าโจว
หากว่ามอบต้าโจวให้กับซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้ ซย่าโหวจวินอวี่คงมิอาจวางใจได้ ด้วยเกรงว่าแคว้นที่สมบูรณ์พูนพร้อม จะถูกซย่าโหวฉิงเทียนละเลงจนย่อยยับ
เพราะอย่างไรเสียนิสัยของซย่าโหวฉิงเทียนก็แข็งกระด้างเกินไป ไม่รู้จักโอนอ่อนผ่อนตามเสียบ้าง
เป็นฮ่องเต้ที่ดี จะใช้เพียงวรยุทธ์ที่สูงส่งมันไม่เพียงพอหรอก…
ในขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่กำลังกังวลนั่นเอง เซี่ยงจิ้นก็กล่าวคำพูดไม่เหมาะสมแก่เวลาขึ้นมา
“หากวเป็นองค์หญิงน้อยขึ้นมาละพ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับเต้นเร่าๆ ราวกับแมวที่ขนลุกขนพอง เถียงหน้าดำหน้าแดงคอเป็นเอ็น
“จะต้องเป็นลูกชายอย่างแน่นอน! ท้องแรกจะต้องเป็นผู้ชาย!”
เรื่องนี้เซี่ยงจิ้นก็แสดงท่าทีสงสัยต้องการคำชี้แจงออกมาอย่างชัดเจน
“ฝ่าบาท เหตุไฉนจะต้องเป็นท่านอ๋องน้อยละพ่ะย่ะค่ะ ชาวบ้านว่า มีลูกสาวก่อนค่อยมีลูกชาย คล้องกับอักษรที่แปลว่า ‘ดี’ พอดิบพอดี นี่ต่างหากจึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุด!”
“เหลวไหล! ข้ารอถึงตอนนั้นไม่ไหวหรอก!”
ซย่าโหวจวินอวี่ คาดคะเนตนเอง
โบราณว่าไว้สันดานของคนเปลี่ยนยากเสียยิ่งกว่าเปลี่ยนแผ่นดินเสียอีก
หากนิสัยโหดเ**้ยมมุทะลุของบุตรชายเขาถลำไปไกลจนกู่ไม่กลับ เขาก็ทำได้เพียงแต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หลานชายแล้ว
หล่อหลอมหลานปู่ที่สมบูรณ์แบบสักคนต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงสิบห้าปี!
เมื่อมานั่งนับอายุอานามของตนเอง ซย่าโหวจวินอวี่ก็รู้สึกว่าเขาอาจจะรอไม่ได้นานขนาดนั้น
เดิมทีแล้ววรยุทธ์ของเขาก็มีเท่าหางอึ่ง บวกกับหลายปีมานี้ใช้ชีวิตกินดีอยู่ดีอยู่อย่างสุขสบายมากไปเสียหน่อย จนขาดการออกกำลังกาย ร่างกายอวบอ้วน จึงมีภาวะอาการหอบหายใจ แน่นหน้าอกอะไรพวกนี้มาตั้งนานนมแล้ว
เมื่อก่อน ซย่าโหวจวินอวี่มักจะคิดว่า ลูกหลานล้วนมีบุญวาสนาเป็นของพวกเขาเอง แต่เรื่องนี้คงใช้ได้แต่กับลูกๆ คนอื่นเท่านั้น!
ซย่าโหวฉิงเทียนคือเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขากับมู่หรงเยียน เขาจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไรกัน!
และลูกคนนี้ต้องลำบากยากเข็ญมาหลายปี ทั้งขาดมารดา เขาผู้ซึ่งเป็นบิดาซย่าโหวฉิงเทียน จึงมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบบุตรชายของเขา! นี่คือลูกชายแท้ๆ ของเขาเชียวนะ!
“ไม่มีคำว่าสมมติ! ข้าดูโหงวเฮ้งหน้าตาอวี้เฟยเยียน นางจะต้องตั้งครรภ์ลูกชายได้ในครั้งแรกอย่างแน่นอน! เพราะร่างกายสมบูรณ์พร้อม!”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งแล้ว!”
เซี่ยงจิ้นเคารพบูชาในซย่าโหวจวินอวี่ยิ่งนัก
“ฝ่าบาททรงดูโหงวเฮ้งให้กระหม่อมสักหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เหลือบสายตามองไปที่เซี่ยงจิ้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่ง
“อย่างเจ้าที่เก่งกาจเรื่องประจบสอพลอน่ะหรือ จะต้องมีอายุยืนยาวเป็นแน่! วางใจเถอะ เจ้าเป็นผู้มีวาสนาคนหนึ่ง!”
ใครๆ ต่างก็บอกว่า ‘วาจาของฮ่องเต้หนักแน่นดั่งทอง’ เซี่ยงจิ้นได้ยินคำพยากรณ์เช่นนั้นถึงกับนั่งลงคุกเข่าเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
มีวาสนาได้ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายที่ใหญ่ที่สุดในต้าโจว มิเท่ากับมีวาสนาอีกหรือ!
เมื่อคิดว่า ตนเองจะได้เป็นเสด็จปู่ในภายหน้าไม่ช้านี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มจนตาหยีมือก็ลูบที่ท้องของตนเองแผ่วเบา ข้าก็รอเพียงจะได้อุ้มหลานเท่านั้นเอง!
โดยที่ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมิได้ล่วงรู้เลยว่า ความสามารถในการคิดละเมอเพ้อฝันของฝ่าบาทจะก้าวรุดหน้าไปไกลแสนไกลเสียแล้ว
พวกเขายิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซย่าโหวจวินอวี่เป็นพวกลงมือกระทำจริง
หลังจากที่คิดว่ากำลังจะมีหลาน ซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มที่จะตระเตรียมหลายสิ่งหลายอย่าง
เมื่อฤดูร้อนกำลังจะสิ้นสุด อวี้เฟยเยียนและคณะจึงเตรียมตัวออกเดินทางกลับมาตุภูมิ
หลายสิ่งหลายอย่างที่คงเหลือจากฉินจื้อก็ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยใช้วิธีการบังคับขู่เข็ญจัดการไปจนเรียบร้อย
ยกตัวอย่างเช่นหูจื้อเหนิง ที่เขาลักลอบสนับสนุนให้ราชนิกุลเก่าเดิมของฉินจื้อตั้งตัวเป็นศัตรูกับซย่าโหวจวินอวี่ ผลลัพธ์ก็คือ เชียนเยี่ยเสวี่ยฆ่าเขาทิ้งเสียเลย
เมื่อมีหูจื้อเหนิงให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็มิกล้าเหิมเกริมขึ้นอีก
เมื่อไม่ต้องสวมหัวโขนฐานะเยี่ยนอ๋องอีกต่อไป เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ และนางจึงค่อยๆ ละวางความเจ็บปวดจากเรื่องราวในอดีตของฉู่ฮองเฮาได้ในที่สุด เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเดินทางกลับต้าโจว เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาพร้อมกับพวกเขา โดยมีตี้อู่เฮ่ออีและหนานกงจื่อ หลิงร่วมทางมาด้วย
คนทั้งสองกว่าจะแอบย่องออกจากเมืองอู๋โยวมานั้นไม่ง่าย จึงคิดว่าจะอยู่เที่ยวเล่นต่ออีกสักหน่อย
ซึ่งกว่าที่คนทั้งห้าจะเดินทางถึงต้าโจว เวลาก็ล่วงเลยไปถึงปลายเดือนเก้า
และแม้ฮ่องเต้ตัวอ้วนคาดหวังว่าจะได้พบลูกชาย ลูกสะใภ้และว่าที่หลานปู่ในเวลาอันใกล้ แต่เมื่อไตร่ตรองว่านี่เป็นครรภ์แรกของอวี้เฟยเยียน จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษแล้วก็เข้าใจ
ดังนั้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงเขียนจดหมายถึงซย่าโหวฉิงเทียนไม่หยุดหย่อน โดยคอยย้ำเตือนผ่านจดหมายซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเดินทาง เพราะอย่างไรเสียในตอนนี้ราชสำนักก็สงบสุข ขอให้พวกเขาค่อยๆ เดินทางมาพร้อมทั้งดื่มด่ำความสวยงามของบรรยากาศโดยรอบตลอดการเดินทาง ที่สำคัญที่สุดจะต้องคอยดูแลอวี้เฟยเยียนให้ดี
ในจดหมายทุกฉบับของที่ซย่าโหวจวินอวี่เขียนถึงซย่าโหวฉิงเทียนนั้นก็จะเน้นย้ำเสมอว่าให้ดูแลอวี้เฟยเยียนให้ดี ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่เขาสมควรทำอยู่แล้ว
มีเขาอยู่ เขาจะไม่ปล่อยให้อวี้เฟยเยียนต้องได้รับความทุกข์ร้อนใดๆ เป็นแน่
อีกทั้งซย่าโหวจวินอวี่ยังเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงสุขภาพร่างกายอวี้เฟยเยียนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ปากท้องเป็นอย่างไรนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตวัดพู่กันตอบกลับเพียงสองคำสั้นๆ ว่า ‘ดีมาก’
ดังนั้น ความเข้าใจผิดที่งดงามจึงเริ่มต้นขึ้น!
ฮ่องเต้ทรงปีติยินดีเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนคาดเดานั้นเป็นความจริง จึงยิ่งตระเตรียมทุกอย่างให้กับหลานชายไว้พร้อมสรรพ
โดยที่เขาหารู้ไม่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเพียงจินตนาการของเขาเองทั้งนั้น!
ขณะเดียวกันในเวลานี้ ตระกูลหนานกง ณ เมืองอู่โยวที่แสนไกลก็ได้ทำการต้อนรับแขกเผ่าตานผู้หนึ่ง
“น้องสะใภ้ตายแล้ว!”
เมื่อได้ฟังคำพูดผู้อาวุโสฝ่ายตานขวาตี้อู่เฉิน ก็ทำให้หนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้ตระหนกเป็นอย่างมาก
หนานกงเอ๋ายังเล่าเรื่องที่ตนเองได้เชื้อเชิญตี้อู่หงเยี่ยให้สะกดรอยตามหนานกงจื่อหลิง จะได้เข้าถึงตัวเจ้าปีศาจน้อยผ่านทางหนานกงจื่อหลิง จุดประสงค์เพื่อนำหัวใจมาเปลี่ยนให้กับหนานกงเช่อนั้นให้กับตี้อู่เฉินได้ฟังโดยละเอียด
“อู่เม่ยเป็นถึงวีรชนอาวุโส ซึ่งแผ่นดินหลัวอวี่มีกฎแห่งฟ้าดินจำกัดเอาไว้ แต่เขาก็ยังอยู่ในขั้นปรมาจารย์อยู่ดี ซึ่งแผ่นดินหลัวอวี่ไม่เคยมีปรมาจารย์มาก่อน จึงน่าจะอยู่ได้อย่างราบรื่นสงบสุขนี่นา!”
หนานกงเอ๋าขมวดคิ้ว แล้วสั่งการให้คนไปตรวจสอบหยกสถิตวิญญาณของอู่เม่ยทันที
เวลาผ่านไปชั่วครู่ คนผู้นั้นก็กลับมารายงานบอกว่าหยกวิญญาณของอู่เม่ยแหลกเหลวกลายเป็นผุยผง
“ใช่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
ตี้อู่เฉินถึงกับผุดลุกขึ้น “หยกสถิตวิญญาณหงเยี่ยก็แหลกเหลวเป็นผุยผงเช่นกัน!”
เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั้งสามเงียบนิ่งลงไป
คนอยู่ หยกอยู่ คนตาย หยกแหลกเหลว
ระดับความแหลกเหลวของหยกสถิตวิญญาณจะแสดงถึงสภาพการตายเจ้าของหยกเอาไว้อย่างชัดเจน
หากเจ้าของแก่ตาย หยกจะหักเป็นสองท่อน หากถูกสังหาร หยกจะสูญสลายเป็นชิ้นเล็กๆ ตามแต่ระดับความหนักหนาสาหัสขณะที่ตาย
แต่หยกสถิตวิญญาณแหลกเป็นผุยผงเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
หรือว่าขณะที่ตายคนทั้งสองถูกกระทำให้แหลกเหลวอย่างนั้นหรือ
ตี้อู่หงเยี่ยคือปรมาจารย์ อู่เม่ยอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่ก็เป็นถึงปรมาจารย์ ด้วยวรยุทธ์ของคนทั้งสองแล้วอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่แทบจะนอนกินด้วยซ้ำไป ไม่น่าจะมีสิ่งใต่อกรกับพวกเขาเอาไว้ได้นี่นา!
หรือพวกเขาพบเจอกับใครเข้ากันแน่ แล้วพบเจอกับอะไรมาบ้าง
ตอนที่ 106-2 ยิ่งคาดหวังมาก ก็ยิ่งผิด...
“ประมุขหนานกง ข้าขอถามสักนิด หยกสถิตวิญญาณของบุตรสาวของท่านยังอยู่หรือไม่”
ตี้อู่เฉินกล่าวถามขึ้น
ในตอนนั้นเอง หนานกงเอ๋าและซย่าจื่ออวี้ถึงคิดถึงหนานกงจื่อหลิงขึ้นมา
“หลิงเอ๋อร์คงไม่จะมิได้พบกับเหตุการณ์ร้ายใช่หรือไม่!”
ซย่าจื่ออวี้เป็นกังวลขึ้นมา นางจึงไปที่หอบรรพชนของตระกูลหนานกงด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าหยกสถิตวิญญาณของหนานกงจื่อหลิงยังอยู่ดีไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ในใจของนางก็คลายกังวลได้ในที่สุด
“ไม่ถูกนี่นา!”
ตี้อู่เฉินขมวดคิ้ว
“หงเยี่ยและหนานกงจื่อหลิงอยู่ด้วยกัน เหตุใดบุตรีท่านถึงสบายดี แต่หงเยี่ยกลับต้องมีอันเป็นไป”
“ผู้เฒ่าเฉิน ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะ!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเคลือบแคลงสงสัยในตัวบุตรสาว ซย่าจื่ออวี้ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า ในตอนที่หงเยี่ยเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้น นางตามหาหลิงเอ๋อร์เจอแล้วน่ะ”
ตี้อู่หงเยี่ยคือบุตรีท่านแท้ๆ ของตี้อู่เฉิน นางเกิดเรื่อง แน่นอนว่าตี้อู่เฉินย่อมต้องเสียใจ
ก่อนที่นางจะไปนั้น เคยบอกกล่าวเกี่ยวกับข้อแลกเปลี่ยนระหว่างนางกับหนานกงเอ๋าให้กับคนในตระกูลได้รู้ ว่านางจะช่วยสองสามีภรรยาแห่งตระกูลหนานกงตามหาเจ้าปีศาจน้อย เพื่อแลกกับการที่หนานกงเอ๋าจะได้สนับสนุนชาวตานฝ่ายขวา
เดิมทีนับเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทว่าผลลัพธ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ ทำให้ตี้อู่เฉินอยากรู้จริงๆ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“หนานกงฮูหยิน ท่านเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว!”
“เพียงแต่บุตรีท่านมีกลิ่นของผงหอมหมื่นลี้ติดกาย หงเยี่ยต้องตามหานางเจออย่างแน่นอน”
“หากตามที่พวกท่านพูดมา บุตรีท่านและหงเยี่ยออกไปในเวลาที่ต่างกันเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ด้วยวรยุทธ์หงเยี่ย เวลาหนึ่งวันเพียงพอที่จะให้นางตามหาหนานกงจื่อหลิงจนเจอ แม้พวกนางจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็แน่ใจได้เลยว่าหงเยี่ยจะต้องตามหาบุตรีท่านจนเจอแล้วและสะกดรอยตามนางไปด้านหลังเป็นแน่”
“หากว่าหงเยี่ยและอู่เม่ยต่างก็ประสบเหตุร้ายละก็ เช่นนั้นสถานการณ์บุตรีท่านในตอนนี้ ก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!”
ได้ยินตี้อู่เฉินกล่าวเช่นนี้ หัวใจซย่าจื่ออวี้ก็บีบรัดอย่างหนัก
“ท่านพี่ หลิงเอ๋อร์มิได้กำลังตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“หลิงเอ๋อร์ไม่เคยจากบ้านไปไกลมาก่อน แล้วตอนนี้ก็ไม่มีข่าวคราวของนางเลย นางคงจะไม่…”
ซย่าจื่ออวี้นึกถึงบุตรสาวที่น่ารักไร้เดียงสา หากนางต้องพบกับคนชั่วช้ามักมากในกาม นางแทบไม่กล้าจะคิดเลย!
“ไม่หรอก! หลิงเอ๋อร์เฉลียวฉลาด จะต้องเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย!”
เห็นสีหน้าซย่าจื่ออวี้ราวกับเตรียมจะร่ำไห้ หนานกงเอ๋าก็รีบลูบหลังปลอบโยนเพื่อให้นางสงบลง
“ผู้เฒ่าเฉิน หงเยี่ยเกิดเรื่องขึ้น ข้าต้องขออภัยด้วย! อย่างไรเสียนางก็ต้องตายเพราะช่วยงานของข้า ไม่รู้ว่าท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรล่ะก็ เชิญสั่งการมาได้เลย!”
หนานกงเอ๋ากล่าวได้น่าฟัง ตี้อู่เฉินรีบจับไม้จับมือเขาทันที
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว คงมิบังอาจสั่งการ แต่ในครั้งนี้ ข้ามีเรื่องจะขอร้องให้ท่านช่วยจริงๆ !”
“หัวหน้าเผ่าเรามีคำสั่งให้ข้าไปที่แผ่นดินหลัวอวี่ ตามหาฆาตกรที่ฆ่าหงเยี่ย แล้วฆ่ามันเพื่อแก้แค้นให้กับหงเยี่ย”
“ถึงแม้ว่าหงเยี่ยจะแต่งเข้าตระกูลหนานกงแล้ว แต่นางก็ยังเป็นเผ่าตาน ไม่มีใครที่ฆ่าสายเลือดของชนเผ่าตานแล้ว ยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างลอยนวลโดยที่ไม่ถูกลงโทษ!”
“เพียงแต่ ท่านก็รู้ดีว่าพวกเรานั้นเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยา แต่เรื่องวรยุทธ์กลับอ่อนด้อยยิ่งนัก ข้าจึงอยากหยิบยืมยอดฝีมือจากท่านสักคน เพื่อไปเป็นเพื่อนข้าเดินทางไปยังแผ่นดินหลัวอวี่!”
เผ่าตานขึ้นชื่อเรื่องรักพวกพ้อง เรื่องนี้หนานกงเอ๋ารู้ดี
เขายังรู้อีกว่า พวกเขามีกรรมวิธีในการตามล่าฆาตกรเป็นของตัวเอง
ถึงแม้ว่าตี้อู่เฉินจะกล่าววกไปวนมาไปสักนิดแต่ก็แสดงถึงความเกรงอกเกรงใจออกมา ดังนั้นธุระนี้ หนานกงเอ๋าจึงต้องช่วย
ข้อแรก หงเยี่ยต้องประสบเหตุร้ายก็เพราะเป็นธุระให้กับหนานกงเอ๋า ว่าตามหลักคุณธรรมแล้ว จะทำเป็นไม่สนใจมิได้
ข้อสอง ตี้อู่หงเยี่ยคือสะใภ้ตระกูลหนานกง จึงถือเป็นคนตระกูลหนานกง เขาจึงยิ่งมิอาจนิ่งดูดายได้
ข้อสาม อู่เม่ยที่ตายไป คือลูกน้องหนานกงเอ๋า ซึ่งเขารู้ดีถึงวรยุทธ์อู่เม่ย ดังนั้นจึงสงสัยใครรู้ยิ่งนักว่าใครกันแน่ที่ฆ่าอู่เม่ย
ส่วนข้อสี่ แน่นอนว่าเพื่อตามหาหนานกงจื่อหลิงกลับมา หากว่าสามารถจับตัวเจ้าปีศาจน้อยนั่นมาได้ด้วย ก็นับเป็นเรื่องที่ดีมากที่สุดเลย
ดังนั้น หนานกงเอ๋าจึงได้ตอบตกลงตี้อู่เฉินไป
เพียงแต่ว่าจะส่งใครไปกับตี้อู่เฉินนั้นนี่ต่างหากคือปัญหา
แผ่นดินหลัวอวี่ในสายตาของชาวอู๋โยวนั้นนับเป็นสถานที่ที่ชนชั้นต่ำอาศัยอยู่มาโดยตลอด
ลำดับขั้นที่สูงสุดของที่นั่นก็มีเพียงจอมเทวาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าอู่เม่ยจะไม่ใช่ลูกน้องที่เก่งกาจที่สุดของหนานกงเอ๋า แต่เขาคือวีรชนอาวุโส ดังนั้นวรยุทธ์เขาจึงมิอาจมองข้ามได้
สามารถทำให้หยกสถิตวิญญาณอู่เม่ยแหลกเป็นผงได้ คนผู้นั้นเก่งกล้าสามารถมาจากไหนกันแน่
นี่คือสิ่งที่หนานกงเอ๋าอยากรู้มากที่สุด
หากคนผู้นั้นคือชาวอู๋โยวเช่นกัน เขาอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่มิต้องถูกจำกัดด้วยกฎแห่งฟ้าดินหรอกหรือ
หรือหากเขาคือชาวหลัวอวี่ บนแผ่นดินคนชั้นต่ำเช่นนั้นบังเกิด ‘หงส์ทองในหมู่คน’ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วคนผู้นั้นกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้สำเร็จได้อย่างไร
คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวสมองของหนานกงเอ๋า
หากคนผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงนั้นจริง หนานกงเอ๋าจึงคิดว่าเรื่องที่จะแก้แค้นให้กับหงเยี่ยก็ควรที่จะพักเอาไว้ก่อน
หากเป็นไปได้ หนานกงเอ๋าอยากที่จะชักชวนคนผู้นี้มาเป็นพวกยิ่งนัก!
บัดนี้ก็ใกล้ถึงวันล้างไพ่จัดอันดับตระกูลทั้งแปดเข้ามาทุกที ทายาทตระกูลหนานกงกลับไร้ผู้ที่โดดเด่น เรื่องนี้ทำให้หนานกงเอ๋าหวาดหวั่นในใจยิ่งนัก
หากว่าสามารถดึงยอดฝีมือที่วรยุทธ์สูงส่งเช่นนี้มาเป็นพวกได้ละก็ ไม่แน่ว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือตระกูลหนานกงได้…
ครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่นาน ในที่สุดหนานกงเอ๋าก็ตัดสินใจส่งเฉินฉู่ออกไป
เฉินฉู่คือหนึ่งในลูกน้องที่ฝีมือดีที่สุดของหนานกงเอ๋า เขาอยู่ในขั้นจักรพรรดิอาวุโส
หนานกงเอ๋าคิดการณ์เอาไว้อย่างดี
หากคนผู้นั้นสามารถเอาชนะเฉินฉู่ได้ เขาจะต้องหาวิธีดึงเขามาเป็นพวกให้จงได้ หากยอดฝีมือคนนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ของเฉินฉู่ละก็ ข่มขู่สักหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายยอมทำงานถวายชีวิตเพื่อตระกูลหนานกง ก็ไม่เลวเช่นกัน
การตัดสินใจของหนานกงเอ๋า ทำให้ตี้อู่เฉินพึงพอใจยิ่งนัก
จักรพรรดิอาวุโส!
เห็นอย่างชัดเจนว่าหนานกงเอ๋าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หนานกงเอ๋าสั่งการเฉินฉู่โดยละเอียดอีกครั้ง ซึ่งในตอนนั้นเอง สาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามารายงานว่าอนุภรรยาของหนานกงเอ๋า จิ่นซิ่วเป็นลมล้มพับไป
หนานกงเอ๋าจึงรีบให้ตี้อู่เฉินจับชีพจรตรวจอาการให้กับนางทันที
ผลตรวจนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก เพราะจิ่นซิ่วกำลังตั้งครรภ์
“ยินดีกับประมุขหนานกงด้วย!”
ตี้อู่เฉินจ่ายยาบำรุงครรภ์ให้ขนาดหนึ่ง ทั้งยังมอบยาอีกขวดให้เอาไว้
“เด็กในครรภ์เป็นชาย แข็งแรงดี ตอนนี้อายุครรภ์สามเดือนแล้ว!”
“สามเดือนแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้น ซย่าจื่ออวี้ก็หน้าซีดเผือด
นังชั้นต่ำ!
ตั้งครรภ์ตั้งสามเดือนกว่ากลับปิดบังมิยอมปริปากบอก ทุกคนพลอยคิดว่านางที่เป็นแม่ใหญ่ของบ้านที่ร้ายกาจเพียงไหนกันจึงทำให้เมียรองหวาดกลัวถึงเพียงนี้
นางมีลูก ทั้งยังเป็นผู้ชาย ข่าวนี้ทำให้หนานกงเอ๋าทั้งดีใจและเป็นกังวล
ลูกสาวคนลูกชายอย่างละคนของเขาในตอนนี้ล้วนเกิดกับซย่าจื่ออวี้ทั้งสิ้น และข้างกายเขาก็มีอนุภรรยาเพียงสองคน ในเวลาปกติหนานกงเอ๋าก็จะอยู่กับซย่าจื่ออวี้ มีเพียงแค่ในตอนที่นางไม่สะดวกเท่านั้น เขาถึงได้ไปที่เรือนอนุภรรยา
ปีก่อน อนุภรรยาอีกคนของเขาตั้งครรภ์ แต่นางผู้นั้นกลับไร้วาสนา ตั้งครรภ์ย่างเข้าเดือนที่เจ็ดจู่ๆ ก็คลอดก่อนกำหนด สุดท้ายก็ตายไป หนึ่งศพสองชีวิต
จิ่นซิ่วคืออนุภรรยาที่เพิ่งมาในปีนี้ เพิ่งจะเข้าจวนมาก็ตั้งครรภ์ แน่นอนว่าหนานกงเอ๋าย่อมดีใจเป็นอย่างมาก
ทว่า สิ่งที่ทำให้หนานกงเอ๋าดีใจยิ่งกว่าอยู่หลังจากนี้ต่างหาก
อนุภรรยาอีกคนที่มาเยี่ยมจิ่นซิ่วจู่ๆ ก็หน้าซีดขาว ทั้งยังอาเจียนไม่หยุด
ตี้อู่เฉินตรวจอาการแล้วก็แจ้งว่านางตั้งครรภ์สองเดือนกว่า และเป็นเด็กผู้ชายเช่นกัน
จู่ๆ ก็มีลูกเพิ่มขึ้นมาสองคนพร้อมๆ กัน ทั้งยังเป็นลูกชายทั้งคู่อีกด้วย นี่เองทำให้หนานกงเอ๋าดีใจจนแทบบ้า
ตรงกันข้ามกลับเป็นซย่าจื่ออวี้ที่ในใจกำลังขยะแขยงราวกับกับกินแมลงวันเข้าไปทั้งฝูงก็ไม่ปาน
เมื่อครั้งที่ซย่าจื่ออวี้ให้กำเนิดหนานกงจื่อหลิงนั้นร่างกายบอบช้ำ จึงมิอาจมีลูกได้อีกต่อไป
หนานกงจื่อหลิงเป็นหญิง หนานกงเช่อก็ป่วยกระเสาะกระแสะ ถึงแม้ว่าหนานกงเอ๋าจะไม่เคยพูดอะไรทั้งยังดีกับนางเช่นเดิมมาตลอด แต่ซย่าจื่ออวี้รู้ดีว่าในใจของสามีรู้สึกเสียดายยิ่งนัก
เพราะอย่างไรเสีย ผู้สืบทอดของตระกูลยังต้องพึ่งพาลูกลูกหลานที่เก่งกาจ
ถึงแม้ว่าความสามารถหนานกงเช่อจะไม่เลวนัก แต่ร่างกายเขาเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนอดเป็นห่วงไม่ได้
มีครั้งหนึ่งหนานกงเอ๋าเคยทอดถอนใจแล้วเอ่ยปากว่า หากหนานกงเช่อมีน้องชายก็คงดีจะได้คอยช่วยเหลือเขา เขาก็จะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้
ในตอนนั้นซย่าจื่ออวี้มิได้เก็บเอามาใส่ใจ
ในตอนนี้ดูแล้ว แม้ที่จริงแล้วสามีคาดหวังมาตลอดว่าจะมีใครให้กำเนิดลูกชายให้เขาสักคน!
เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าสามีแล้ว ปากซย่าจื่ออวี้ก็กำชับในเมียรองทั้งสองคนบำรุงรักษาครรภ์ให้ดี ต้องการสิ่งใดก็ให้บอกนางโดยตรงได้เลย ทว่าในใจนางกำลังหลั่งเลือด
หากว่าหนานกงเช่อมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงจะดีสักเพียงใดกัน!
ยิ่งคิดเช่นนี้ ในใจซย่าจื่ออวี้ก็ยิ่งต้องการตามหาเจ้าปีศาจน้อยให้พบ
มีเพียงแต่ควักหัวใจเจ้าปีศาจน้อยเปลี่ยนให้กับหนานกงเช่อ หนานกงเช่อจึงจะกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงอีกครั้ง และก็คงมิต้องการน้องชายส่วนเกินสองคนนี้อีกต่อไป!
ตอนที่ 106-3 ยิ่งคาดหวังมาก ก็ยิ่งผิด...
ในคืนนั้นเอง ถือโอกาสในขณะที่หนานกงเอ๋ากำลังอารมณ์ดี ซย่าจื่ออวี้จึงเสนอให้หนานกงเอ๋าส่งยอดฝีมือไปที่หลัวอวี่ให้มากขึ้น
“เมื่อนึกถึงสภาพร่างกายเช่อเอ๋อร์แล้ว ข้าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ หากไม่ตามหาเจ้าปีศาจน้อยให้เจอ ร่างเช่อเอ๋อร์ก็ไม่มีวันแข็งแรง ข้าในฐานะที่เป็นแม่ ก็ให้รู้สึกเจ็บปวดทรมานใจยิ่งนัก!”
ซึ่งหนานกงเอ๋ารับปากข้อเสนอของซย่าจื่ออวี้อย่างรวดเร็ว
เขาไหนเลยจะไม่คาดหวังให้เจ้าปีศาจตายได้เล่า!
ดังนั้น ในตอนที่ตี้อู่เฉินเดินทางออกไปจากตระกูลหนานกงนั้นข้างกายจึงมียอดฝีมือไปด้วยอีกสองคน คนหนึ่งคือเฉินฉู่ อีกคนคือเฉินเจิน
ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะแซ่เดียวกัน แต่กลับมิใช่พี่น้องกันแต่อย่างใด
เฉินฉู่คือจักรพรรดิอาวุโส เฉินเจินคือวีรชนอาวุโส
ตี้อู่เฉินจึงเชื่อแน่ว่าเมื่อไปถึงแผ่นดินหลัวอวี่แล้ว ภายใต้การช่วยเหลือของยอดฝีมือทั้งสองคน เขาจะต้องตามหาฆาตกรที่ฆ่าตี้อู่หงเยี่ยได้อย่างแน่นอน!
ปลายเดือนเก้า ในที่สุดคณะของซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินทางถึงเมืองหลวงต้าโจว
ตลอดทางพวกเขาก็เที่ยวเล่นด้วยความสนุกสนาน สำราญใจเป็นที่สุด
การท่องเที่ยวในครั้งนี้ทำให้เชียนเยี่ยเสวี่ยสลัดทิ้งความทุกข์ระทมที่ผ่านมาได้ และนางยังกลับไปสวมใส่ชุดสตรีอีกครั้ง
ในตอนที่เชียนเยี่ยเสวี่ยสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนเดินออกมาจากห้อง ทำเอาตี้อู่เฮ่ออีถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
เมื่อเห็นท่วงท่าองอาจผ่าเผยของนางเสียจนเคยชิน ฉับพลันนางก็กลับกลายเป็นหญิงสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอม จึงทำให้ตี้อู่เฮ่ออียังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางทัดปอยผมเอาไว้ที่ข้างหู ท่วงท่านั้น ช่างงดงามเป็นที่สุด
“พี่เฮ่ออี พี่เสวี่ยกลายเป็นสาวงามไปแล้วท่านว่าหรือไม่”
หนานกงจื่อหลิงกล่าวถามขึ้น
“ใช่!”
ตี้อู่เฮ่ออีตอบอย่างซื่อสัตย์
เมื่อเห็นตี้อู่เฮ่ออีถึงกับตกตะลึง เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ ‘กระะแอม’ หัวเราะเยาะออกมา แล้วด่าเขาอีกคำว่า เจ้าทึ่ม จากนั้นก็สะบัดกระโปรงเดินอาดๆ ออกไป
“พี่เสวี่ย สตรีเขาไม่เดินกันแบบนี้นะคะ!”
เห็นท่าทางการเดินเฉกเช่นหญิงแกร่งของนาง หนานกงจื่อหลิงก็รีบเดินให้ดูเป็นตัวอย่างทันที
ถึงแม้ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรเสียนางก็รับบทเป็นผู้ชายมาตั้งหลายปี ความเคยชินหลายอย่างในแบบผู้ชายจึงมิอาจแก้ไขปรับเปลี่ยนได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ในขณะที่นางกำลังเรียนรู้ท่าทางการเดินของหนานกงจื่อหลิงอยู่นั่นเอง เดินไปได้เพียงสองก้าว เชียนเยี่ยเสวี่ยก้าวพลาดเหยียบกระโปรงตนเองจนสะดุดล้ม
“ว้าย…”
อีกครั้งที่ตี้อู่เฮ่ออีกลายมาเป็นเบาะรองมนุษย์ให้กับนาง
ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างจากคราวที่แล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยนอนทับอยู่บนร่างของตี้อู่เฮ่ออี ริมฝีปากของคนทั้งสองประกบเข้าด้วยกันอย่างแนบชิด
“โอ้โห! จุมพิตกันแล้ว!”
หนานกงจื่อหลิงยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับร้องขึ้น
แม้กระทั่งอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างเคียงก็รีบเข้ามาดู
ชายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นั้นอย่างตี้อู่เฮ่ออีถูกจุมพิตนั้นเล่นงานเสียจนสมองเบลอ เขาถลึงตาโตจ้องมองเชียนเยี่ยเสวี่ยที่แนบชิดกับตนเอง ขณะที่หัวใจเขาก็เต้น ‘ตึกตัก’ ระส่ำอย่างบ้าคลั่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจูบกับหญิงสาว!
ที่แท้แล้ว ริมฝีปากสตรีก็อ่อนนุ่มเช่นนี้นี่เอง มันอ่อนนุ่มราวกับปุยเมฆอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังหอมหวาน…
เทียบกับตี้อู่เฮ่ออีที่เหนียมอายแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยกลับมีท่าทีที่เปิดเผยมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
นางทำราวกับเป็นปลาก็ไม่ปาน พลิกกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเอื้อมมือไปดึงตี้อู่เฮ่ออีขึ้นมา หลังจากนั้นเรื่องแรกที่นางกระทำนั่นก็คือตรวจสอบพื้นว่ามีหินหรือไม่ แล้วตี้อู่เฮ่ออีบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
กระทั่งแน่ใจว่าตี้อู่เฮ่ออีปลอดภัยดี นางถึงได้ตบที่อกพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ยังดีที่เจ้าไม่เป็นไร มิเช่นนั้นข้าคงต้องโทษตัวเองอีกเป็นแน่!”
เรื่องที่เดิมทีควรจะเป็นเรื่องรักแสนหวาน ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยขัดคอเช่นนี้ หัวใจสีชมพูดวงน้อยที่กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางแผ่นฟ้าของตี้อู่เฮ่ออีกต้องมีอันร่วงลงมายังโลกมนุษย์ดังเดิม
“ข้าจูบเจ้า!”
ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวขึ้น
คำพูดเขาออกจะผิดแผกไปจากความเป็นจริงไปสักหน่อย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นฝ่ายจูบเขาต่างหาก!
เมื่อเห็นท่าทีตี้อู่เฮ่ออีที่เอาความรับผิดชอบไปแขวนไว้กับตนเอง พร้อมกับท่าทางทำนองว่า ‘ข้าต้องรับผิดชอบ’ ของตี้อู่เฮ่ออีแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงอดมิได้ที่จะต้องพยักหน้ารับเบาๆ
“ต้องอย่างนี้สิ!”
ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้กล้ารับผิดชอบ กล้าที่จะสารภาพออกไป!
ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของตี้อู่เฮ่ออีจะไม่สูงเท่าไรนัก แต่เขาก็มีความรับผิดชอบสูงส่ง!
“เจ้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ! อีกอย่างหนึ่งคราวนี้เจ้าก็ช่วยข้าเอาไว้อีกแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำไป!”
ว่าแล้วเชียนเยี่ยเสวี่ยก็สะบัดมือ เอ่ยวาจาที่ตกผลึกได้ของตนเองออกมา
อวี้เฟยเยียนและหนานกงจื่อหลิงพากันสำลักความเบื่อหน่ายออกมา เมื่อเห็นท่าทีสบายๆ ไม่คิดมากของเชียนเยี่ยเสวี่ยเข้า
ความหมายอีกฝ่ายก็ชัดเจนว่าต้องการเพิ่มสถานะให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น!
นางไม่ต้องทำตัวเป็นหญิงแกร่งใจกว้างมากนักก็ได้!
เมื่อได้ยินในสิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวมา ตี้อู่เฮ่ออีก็เงียบขรึมลงไปแล้วค่อยๆ กลับที่รถม้าอย่างเงียบๆ
“เจ้าทึ่ม เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
แต่อย่างน้อยเชียนเยี่ยเสวี่ยก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย นางจึงรีบตามเขาไป
“บาดแผลเมื่อคราวที่แล้วเจ็บขึ้นมาอีกใช่หรือไม่”
เห็นใบหน้าที่แสนใสซื่อบริสุทธิ์ของเชียนเยี่ยเสวี่ย ฉับพลันใจตี้อู่เฮ่ออีก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“ตรงนี้ของข้าบาดเจ็บ”
ตี้อู่เฮ่ออีชี้ที่ตำแหน่งหัวใจของตนทั้งยังสำทับอีกว่า
“มันกำลังรู้สึกแย่ยิ่งนัก!”
เมื่อเห็นว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยเริ่มเลอะเลือน ซย่าโหวฉิงเทียนในฐานะที่เป็นคนที่สังเกตการณ์อยู่ด้านนอกจึงออกโรงด้วยความทนดูเจ้าคนโง่สองคนนี้ต่อไปไม่ไหว เขาพ่นออกมาตรงๆ ว่า
“เชียนเยี่ยเสวี่ย ตี้อู่เฮ่ออีชอบเจ้า!”
“พรวด…”
ทำเอาอวี้เฟยเยียนที่กำลังดื่มน้ำอยู่เกือบพ่นน้ำออกมา
เห็นอวี้เฟยเยียนสำลักน้ำ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงยื่นมือออกมาลูบหลังให้กับแผ่วเบา ในขณะที่ปากก็เอ่ยชมเชยตนเองไปด้วย
“แมวน้อย พี่กล่าวได้งดงามยิ่งนักใช่หรือไม่”
“งดงาม…”
อวี้เฟยเยียนกล่าวตอบขึ้นราวกับขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียง
คนผู้นี้ เหตุใดบางทีก็ทั้งโง่และทึ่ม ทว่าในบางเวลากลับชาญฉลาดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ซย่าโหวฉิงเทียนขอให้ตี้อู่เฮ่ออีฝังเข็มเพื่อให้เป็นหมันนั้น อวี้เฟยเยียนรู้เรื่องทั้งหมดมาจากตี้อู่เฮ่ออีแล้ว
ตอนนั้นนางแทบจะพังฝาบ้านด้วยซ้ำ!
นางไม่เคยพบชายที่ไร้ซึ่งอารมณ์สุนทรีย์เช่นเขามาก่อนเลยในชีวิต!
ฝังเข็มหรือ
เขาอยากเป็นขันที แต่นางยังต้องการที่จะมีความสุขอยู่นะ!
ชายที่หล่อเหลาราวเทพบุตรเช่นเขากลับต้องไปเป็นขันที เสียดายทรัพยากรอันล้ำค่ายิ่งนัก!
ถึงแม้ในตอนสุดท้ายความเห็นของคนทั้งสองจะไม่ลงรอยกันในเรื่องของลูก แต่เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนได้ยินว่าหลังจากฝังเข็มแล้วเขาจะต้องกลายเป็นขันที ก็รีบตัดขาดหยุดความคิดนั้นเอาไว้ทันที
ขันทีมิอาจฝึกร่วมได้ ข้อควรรู้พื้นฐานนี้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้ดี
จริงดั่งที่คาด เชียนเยี่ยเสวี่ยในที่สุดก็ฉลาดขึ้นมาเสียที หลังจากที่ถูกประโยคเดียวของซย่าโหวฉิงเทียนร้องบอกเช่นนี้
มองใบหน้าที่แดงซ่านของตี้อู่เฮ่ออี เชียนเยี่ยเสวี่ยก็หัวเราะออกมา ตบที่บ่าของเขาแล้วกล่าวว่า
“เจ้าทึ่ม เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ! เจ้าชอบข้าจริงๆ เหรอ”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไป
ใบหน้านางใกล้กับตี้อู่เฮ่ออียิ่งนัก กระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจ ทำเอาตี้อู่เฮ่ออีร้อนระอุไปทั้งร่าง
“เจ้าไม่พูด เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องเท็จกระมัง!”
เมื่อครั้งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยยังเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งฉินจื้อนั้น ด้วยความที่มีรูปร่างหน้าตาที่หมดจดงดงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา จึงทำให้มีหญิงสาวหรือแม้กระทั่งชายหนุ่มมากมายเข้ามาสารภาพรัก ทว่าในครั้งนี้กลับแตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา
ตาตี้อู่เฮ่ออีมิใช่สีดำสนิททั้งหมด เพราะมีสีน้ำตาลอ่อนเจือปน จุดนี้เชียนเยี่ยเสวี่ยสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว
ในตอนนี้ ถูกจ้องด้วยดวงตาที่สุกใสแน่วแน่จ้องมองมา จู่ๆ เชียนเยี่ยเสวี่ยก็อยากที่จะหลบหลีกสายตานั้นขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เจ้าชอบข้าที่ตรงไหนกัน”
เชียนเยี่ยเสวี่ยเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
ตี้อู่เฮ่ออีฉีกยิ้มออกมาด้วยความขัดเขิน
“เพียงแค่ได้เห็นเจ้า ในใจข้าก็มีความสุข!”
“เจ้าทึ่ม!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยยื่นมือออกไป ตบที่ไหล่ของตี้อู่เฮ่ออีเล็กน้อย
“เจ้าทึ่ม เจ้ามีสิทธิ์ที่จะชอบข้า แต่ข้าก็ต้องบอกเจ้าว่าข้าชอบผู้ชายที่แข็งแกร่งสักหน่อย! ในตอนนี้ข้าคือราชันจักรพรรดิ รอเจ้านำหน้าข้าได้แล้ว พวกเราค่อยมาลองคบหากันนะ!”
กล่าวจบเชียนเยี่ยเสวี่ยก็เดินจากไปโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย
มองตามแผ่นหลังของนาง ตี้อู่เฮ่ออีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ราชันจักรพรรดิ…
นางรู้ทั้งรู้ว่าข้าไม่ค่อยสันทัดเรื่องวรยุทธ์อะไรพวกนั้น ในตอนนี้มากล่าวเช่นนี้ นี่นางต้องการให้เขาล้มเลิกความคิดใช่หรือไม่
ตอนที่ 106-4 ยิ่งคาดหวังมาก ก็ยิ่งผิด...
ตี้อู่เฮ่ออียังรับรู้ได้ แล้วอวี้เฟยเยียนไหนเลยจะไม่รู้
เมื่ออยู่กันสองคน นางจึงพูดคุยกับเชียนเยี่ยเสวี่ยตามลำพังตามประสาทพี่น้อง
“เพราะเหตุใดถึงได้ตั้งกฎเกณฑ์ที่สูงส่งเช่นนั้นด้วยเล่า หรือเจ้าไม่ชอบเขาจริงๆ”
ในฐานะเพื่อนสนิท อวี้เฟยเยียนจึงมักเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาเสมอ เพราะนางอยากจะรู้ความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของเชียนเยี่ยเสวี่ย
“ช่าช่า หากไม่คาดหวัง ก็ไม่ต้องเจ็บปวด! ยิ่งคาดหวังมาก ก็ยิ่งผิดหวังมาก ข้าไม่อยากซ้ำรอยเสด็จแม่ของข้า…”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวในขณะที่กำลังขี่ม้า มือก็ลูบสร้อยที่ศีรษะของมันไปด้วย
“เฮ่ออีไม่ใช่คนเช่นนั้น ทุกคนอยู่ด้วยกันทำความรู้จักมาตั้งนาน นิสัยของเขาเจ้าน่าจะรู้ดี”
อวี้เฟยเยียนกล่าว
“แต่ข้าไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น ช่าช่า ที่จริงแล้วข้าเป็นเพียงคนขี้ขลาดคนหนึ่ง!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้ทำให้อวี้เฟยเยียนไม่กล้าบังคับอะไรนางอีก
อุปสรรคที่ขวางกั้นอยู่ในใจ อย่างไรเสียก็ต้องก้าวข้ามมันไปด้วยตัวเอง ไม่มีใครทำให้ตัวเราก้าวออกมาจากความเจ็บปวดนั้นได้ นอกเสียจากว่าใจเราแข็งแกร่งขึ้นเอง
หลังจากที่ความรู้สึกคนทั้งสองถูกเปิดเผยออกมา เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงเริ่มที่จะรักษาระยะห่างระหว่างตี้อู่เฮ่ออีกับนาง
เห็นพวกเขาเป็นเช่นนั้น ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ทนไม่ไหวกล่าวถามอวี้เฟยเยียนว่า
“แมวน้อย พี่ทำเรื่องราวให้มันแย่ใช่หรือไม่”
เพราะสำหรับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ชอบก็คือชอบ เกลียดก็คือเกลียด
ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียนบุคคลบนโลกใบนี้มีเพียงสองประเภท
นั่นคือประเภทที่เขาชอบ กับประเภทที่เขาไม่สนใจ
สำหรับประเภทที่เขารังเกียจนั้นแน่นอนว่าย่อมต้องกลายเป็นคนตาย
คนตาย ย่อมไม่นับว่าเป็นคน!
ทว่าเฉกเช่นตี้อู่เฮ่ออีและเชียนเยี่ยเสวี่ยในตอนนี้นั้น ทั้งๆ ที่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันแต่กลับไม่ยอมใกล้ชิดกัน ทั้งสองคนยังมีพฤติกรรมที่เจตนาหลบหลีกจากอีกฝ่ายให้ไกลที่สุด ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนมิอาจเข้าใจได้
“ท่านไม่ได้ทำผิดเลย!”
อวี้เฟยเยียนเอนกายอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดซย่าโหวฉิงเทียน
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีและความสุขได้เช่นข้าและท่าน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนชอบประโยคนี้ที่สุด เขาได้มาพบกับแมวน้อย ได้อยู่เคียงข้างนาง นับว่าเป็นความสุขบนความสุขยิ่งแล้วนี่นา!
ซย่าโหวจวินอวี่ตั้งหน้าตั้งตารอคอย จนในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนก็เดินทางกลับมา
เมื่อคนทั้งสองเข้าวัง ซย่าโหวจวินอวี่ที่อยู่ในห้องหนังสือก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมายกใหญ่
“เซี่ยงจิ้น ดูซิว่าเสื้อผ้าของข้าเป็นระเบียบเรียบร้อยดีหรือไม่ หนวดเคราเรียบร้อยดีหรือเปล่า มงกุฎล่ะ เข้ากันกับชุดที่ข้าสวมใส่แล้วหรือยัง ยังมีอีก หน้าตาข้าเป็นอย่างไรบ้าง ฉิงเทียนพวกเขาถึงไหนกันแล้ว”
ท่าทางเช่นนี้ของซย่าโหวจวินอวี่ เซี่ยงจิ้นเพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก เขารีบจัดแจงช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้กับซย่าโหวจวินอวี่โดยละเอียดอีกครั้ง จนกระทั่งเขาบอกว่าพระองค์สิริโฉมงดงามเป็นที่สุดนั่นแหละ ฮ่องเต้จึงได้พึงพอใจ
ดูออกถึงความสงสัยของเซี่ยงจิ้น ซย่าโหวจวินอวี่จึงค่อยๆ อธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน
“เขาว่ากันว่าเด็กน่ะเห็นใครบ่อยๆ เข้าก็จะหน้าตาเหมือนคนคนนั้น”
“ดังนั้น ข้าถึงได้ระมัดระวังรูปลักษณ์ข้ายิ่งนัก! หลานชายข้าจะได้เติบโตขึ้นมารูปร่างหน้าตาดี!”
ได้ยินเช่นนั้น เซี่ยงจิ้นก็แทบจะทรุดลงทีเดียว
เด็กยังอยู่ในท้องอยู่เลย! แล้วก็ไม่ได้มีสายตากว้างไกลขนาดที่จะมองทะลุออกมาจากท้อง มองเห็นเสด็จปู่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!
“ฝ่าบาท นี่พระองค์ทรงวิตกกังวลเกินเหตุไปหรือไม่”
เซี่ยงจิ้นยังมิทันทรุดลงคุกเข่า ซย่าโหวจวินอวี่ก็มองดูเขาอยู่เป็นนานแล้วออกคำสั่งให้เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองด้วย
รูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงาม นับเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาของซย่าโหวจวินอวี่!
“ฝ่าบาท ทรงวิตกกังวลเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ! จากรูปร่างหน้าตาหลินเจียงอ๋องและใต้เท้าอวี้หลัวช่าแล้ว ท่านอ๋องน้อยที่เกิดมาจะต้องรูปงามน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดเป็นแน่!”
ทว่าภายใต้การบีบบังคับของซย่าโหวจวินอวี่ ทำให้เซี่ยงจิ้นต้องจัดระเบียบชุดตนให้เรียบร้อย
“มันก็ไม่แน่นะ!”
“แม่ของฉิงเทียนมีนิสัยอ่อนโยนเรียบร้อย นิสัยข้าก็ยังรู้จักเห็นอกเห็นใจมีเหตุมีผล แล้วเจ้าดูนิสัยเขาสิ มีส่วนไหนที่คล้ายกับแม่ของเขา แล้วมีส่วนไหนที่คล้ายคลึงกับข้าบ้าง!”
“สิ่งที่สวรรค์ประทานให้แต่กำเนิดมีเพียงส่วนเดียว ต่อมาต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ”
เปรียบเทียบจริงเท็จกับฮ่องเต้ที่วิตกกังวลบ้าคลั่ง จึงมีเพียงผลลัพธ์เดียวนั้นก็คือพ่ายแพ้!
สำหรับการที่ซย่าโหวจวินอวี่นำรูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัยมารวมเป็นเรื่องเดียวกันจนวุ่นวายมั่วซั่วเช่นนี้ เซี่ยงจิ้นรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นกังวลยิ่งนัก
เขาไม่เห็นด้วยกับกล่าวของฮ่องเต้เลยสักนิด โดยเฉพาะประโยคที่ว่า ‘นิสัยของข้าคือรู้จักเห็นอกเห็นใจมีเหตุมีผล’ เซี่ยงจิ้นได้ยินก็แทบอยากจะร้องไห้
เชื้อพระวงศ์และราชนิกุลแอบวิพากษ์วิจารณ์กันลับหลังว่าซย่าโหวจวินอวี่เป็นดั่งจิ้งจอก เมื่อครั้งที่เป็นอ๋องก็มากเล่ห์เพทุบาย มิเช่นนั้นในอดีตในบรรดาพี่น้องมากมายแต่เขากลับโดดเด่นกว่าใครและได้ครองบัลลังก์อย่างมั่นคงได้อย่างไร
ทว่าเรื่องนี้เซี่ยงจิ้นไม่กล้าที่จะพูดออกไป และพูดออกไปไม่ได้ด้วย
อย่างน้อยที่สุดในฐานะที่เป็นนายเหนือหัว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยังนับว่าปฏิบัติได้อย่างมีเหตุมีผล
กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเข้ามาในห้องทรงอักษร ซย่าโหวจวินอวี่ก็เอาแต่จ้องมองหน้าที่ท้องที่แบนราบของนางโดยตลอด
ซาลาเปาน้อยของข้า!
ที่ในนั้นมีหลานคนดีของข้าอยู่!
รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของฮ่องเต้ อวี้เฟยเยียนจึงลูบที่ท้องของตนเองเบาๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอ้วนขึ้นใช่หรือไม่เพคะ พระองค์ถึงได้เอาแต่จ้องมองท้องหม่อมฉันตลอด”
“อ้วนขึ้นนะดีแล้ว! เจ้าน่ะผอมเกินไปแล้ว! มีน้ำมีนวลขึ้นหน่อยจะยิ่งสวยขึ้น!”
ซย่าโหวจวินอวี่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับกลัดกลุ้มเป็นกังวล
หน้าท้องที่แบนราบ เอวที่คอดเล็กเช่นนี้ ดูไม่ออกเลยว่ากำลังตั้งครรภ์!
หรือเป็นเพราะเจ้าซาลาเปาน้อยยังอายุเพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นจึงมองออกไม่ชัดเจนว่าตั้งท้อง
ในฐานะที่เป็นว่าที่พ่อสามีในอนาคต ซย่าโหวจวินอวี่จึงมิกล้าเอ่ยถามเรื่องส่วนตัวที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ออกมาได้
ทว่าฮ่องเต้ก็ทรงเตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้รับรู้ความเป็นไปของลูกสะใภ้และหลานชายในท้อง ฮ่องเต้จึงได้ทรงเรียกหมอหลวงเข้าวังมาเรียบร้อยแล้ว
“ครั้งนี้พวกเจ้าออกไปตั้งนาน ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก ไม่สู้เชิญหมอหลวงมาจับชีพจรเสียหน่อย เผื่อว่ามีตรงไหนไม่สบาย จะได้รีบทำการรักษาได้ทันท่วงที!”
คำพูดขซย่าโหวจวินอวี่ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยยิ่งนัก ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ร่างกายของนาง นางย่อมรู้ดี!
ยิ่งกว่านั้นตลอดทางที่ผ่านมายังมีตี้อู่เฮ่ออีเจ้าทึ่มเป็นหมออีกคน ซึ่งทั้งนางและเขาก็มักจะถกเรื่องเกี่ยวกับยาและการแพทย์รวมทั้งผลัดกันจับชีพจรอยู่เป็นประจำ
หากมีตรงไหนไม่สบาย ก็คงจะเจอตั้งนานแล้ว
สำหรับซย่าโหวฉิงเทียน เขาก็แข็งแรงราวกับวัวป่าก็ไม่ปาน แล้วจะไม่สบายไปได้อย่างไรกัน!
ด้วยมิอยากขัดขวางความปรารถนาดีของซย่าโหวจวินอวี่ อวี้เฟยเยียนจึงนั่งลงยินยอมให้หมอหลวงตรวจแต่โดยดี
จู่ๆ ก็ถูกฝ่าบาทเรียกเข้าวัง ทั้งยังให้ตรวจชีพจรให้กับจักรพรรดิโอสถอีกด้วย ทำเอาหมอหลวงหวังรู้สึกกดดันไม่น้อย
ฝ่าบาท หากพระองค์จะล้อหม่อมฉันเล่นก็ไม่ควรเล่นเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ!
อีกฝ่ายเป็นถึงจักรพรรดิโอสถนะพ่ะย่ะค่ะ นางเจ็บป่วยอะไรหรือไม่ตัวนางเองก็คงรู้ดี
ทว่ารับสั่งของฮ่องเต้ยากจะขัดขืน หมอหลงหวังรวบรวมความกล้ายื่นมือออกไปวางลงบนข้อมืออวี้เฟยเยียน
“หมอหลวงหวัง ท่านไม่ต้องตื่นตระหนก!”
เห็นเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาที่ศีรษะของหมอหลวงหวังมากมาย อวี้เฟยเยียนจึงเผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา ซึ่งการกระทำเช่นนี้กลับทำให้หมอหลวงหวังคลายความกดดันลงไปมาก
“ร่างกายท่านแข็งแรงดี ไม่มีเจ็บป่วยแต่อย่างใด!”
เมื่อจับชีพจรตรวจอาการแล้วเสร็จ ยังหันไปรายงานผลให้กับซย่าโหวจวินอวี่ซ้ำอีกครั้ง
คราวนี้ เป็นฮ่องเต้ต่างหากที่เริ่มร้อนพระทัย เขาลากหมอหลวงหวังไปอีกด้าน แล้วแอบกล่าวถามว่า
“ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้วหรือ”
เรื่องนอกเหนือจากนี้
หมอหลวงหวังไม่เข้าใจในความหายของซย่าโหวจวินอวี่เท่าไหร่นัก
“ฝ่าบาท ทรงตรัสถึงเรื่องอะไรกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ความหมายของข้าคือเจ้าตรวจพบอะไรที่น่ายินดีอีกหรือไม่”
“ดีใจ” หมอหลวงหวังยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก
เห็นหมอหลวงประจำตัวของตัวเอง จู่ๆ ก็โง่เขลาดักดานถึงเพียงนี้ ฮ่องเต้ทรงเกือบจะทรงพิโรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่
“ข้าหมายความว่า มีเรื่องน่ายินดีบ้างหรือไม่!”
ซย่าโหวจวินอวี่พูดถึงขนาดนี้แล้ว หมอหลวงหวังก็ยังคงไม่เข้าใจอีกล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็สมควรเป็นไอ้โง่จริงๆ เสียแล้ว
หรือว่าฝ่าบาททรงต้องการที่จะอุ้มพระนัดดา นี่ทรงพระทัยร้อนเกินไปหรือไม่! ยังมิทันแต่งงาน! ตั้งท้องก่อนแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะขัดเขินเพียงไหนกัน!
หมอหลวงหวังส่ายหน้าไปมา แล้วรายงานผลตรวจของตนเองให้กับซย่าโหวจวินอวี่ไปตามความจริง
“ฝ่าบาท ขอแสดงความเสียพระทัยด้วย เรื่องที่พระองค์ทรงคาดหวังยังมิเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่มีหรือ อ๊าก ซาลาเปาน้อยเนื้อตัวจ้ำม้ำ ไปเสียแล้ว…”
ซย่าโหวจวินอวี่ส่ายหน้า เอนหลังลงพิงกับเก้าอี้
ไม่มีซาลาเปาน้อย
เช่นนั้นเสื้อผ้าของเล่นต่างๆ ที่เขาตระเตรียมไว้ ก็ไม่ได้ใช้เลยนะสิ
นี่เขายังมีคำสั่งให้สร้างสวนสนุกเด็กขึ้นในวังหลวง เพื่อเตรียมที่จะเล่นสนุกเป็นเพื่อนหลานชาย คราวนี้ไม่มีโอกาสได้ใช้แล้วหรือ
ก่อนหน้านี้ซย่าโหวจวินอวี่ยังตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดอยู่เลย ใครจะคาดคิดว่าฟ้าจะผ่าลงมากลางวันแสกๆ ปลุกเขาให้ตื่นจากความฝันอันสวยงามที่จะได้อุ้มหลานกลับมาโดยไม่มีหวนกลับ
ซึ่งอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ข้างๆ ก็หูดีอย่างกับอะไร ถึงแม้ว่าซย่าโหวจวินอวี่จะกระซิบกระซาบกับหมอหลวงหวังลับหลัง ด้วยเสียงที่แผ่วเบา ทว่าคนทั้งสองกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ฝ่าบาท พระองค์ช่างสมกับเป็น…พ่อตัวอย่างดีเด่นจริงๆ !
อวี้เฟยเยียนรู้สึกนับถือยิ่งนักในความคิดที่ทันสมัยของซย่าโหวจวินอวี่
ถึงตอนนี้อวี้เฟยเยียนพอจะเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดในจดหมายที่ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทส่งเขียนไปถึง เอาแต่กำชับเรื่องราวมากมายกับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ตอนนั้นนางยังรู้สึกแปลกใจ เพียงแต่ว่ามิได้คิดมาในทางนี้เท่านั้นเอง
อยากอุ้มหลาน
แต่ลูกชายพระองค์กลับยังไม่เปิดโลกทัศน์เลยด้วยซ้ำ!
อย่าว่าแต่อุ้มหลานเลย ทำเจ้าซาลาเปาขึ้นมาอย่างไรเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ!
พระองค์ควรจะต้องเชิญอาจารย์มาสอนเขาจริงจังเสียแล้ว
ซย่าโหวฉิงเทียน เพียงแค่ได้ยินว่าเจ้าเด็กเปรต หัวคิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากันขึ้นมาทันที
“เสด็จพี่ ท่านมีหลานอยู่แล้ว! ทั้งยังมีตั้งหลายคน!”
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวขึ้น
ได้ยินเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มมีอารมณ์ขึ้นมา
“นั่นมันไม่เหมือนกันเสียหน่อย! ลูกของเจ้า จะเหมือนกับลูกของคนอื่นได้อย่างไร!”
จากความคาดหวังที่อยู่บนฟากฟ้าร่วงล้นลงมาที่ก้นเหว สภาพจิตใจซย่าโหวจวินอวี่ราวกับเพิ่งนั่งรถไต่ถังก็ไม่ปาน พลิกกลับตาลปัตร
“ฝ่าบาท ขออย่าได้ทรงกริ้วไปเลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามตัวยงผู้ซื่อสัตย์ของฮ่องเต้ เซี่ยงจิ้นรีบรินน้ำชาเข้ามา
“เรื่องนี้ จะรีบร้อนไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนที่ 107-1 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลื...
ถึงแม้ว่าเรื่องการมีลูกจะเป็นดั่งเช่นที่เซี่ยงจิ้นกล่าวมา มิอาจใจร้อนได้ แต่ในใจซย่าโหวจวินอวี่ก็ยังคงขมขื่นทุกข์ระทมยิ่งนัก
คงเพราะเดิมทีเขาคาดหวังมากไว้มากสินะ…
ในตอนนั้นเองซย่าโหวฉิงเทียนยังเสริมเข้าให้อีกประโยคหนึ่ง
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!”
คราวนี้ ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่พิโรธอย่างหนัก!
นี่ใช่ลูกบังเกิดเกล้าของเขาหรือเปล่า
ในขณะที่พ่อเขากำลังหมดหวัง เขากลับกระหน่ำซ้ำเติมเช่นนี้หรือ นี่เขาไม่เห็นเรื่องการสร้างเจ้าซาลาเปาน้อยอยู่ในสายตาเลยนี่นา ดีนี่!
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนเคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า “เจ้าเด็กเปรตคืออะไร น่ารำคาญที่สุด!”
ฮ่องเต้ก็ทรงเข้าพระทัยอะไรขึ้นมาบ้าง! ซย่าโหวฉิงเทียนไม่คิดที่จะมีลูกด้วยซ้ำ
แล้วตำแหน่งฮ่องเต้ของเขาจะยกให้ใครกัน!
น่าโมโหจริงๆ น่าโมโหที่สุด!
ซย่าโหวจวินอวี่ผลักหมอหลวงหวังออกไป แล้วควานหาอะไรบางอย่างเพื่อที่จะใช้สั่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนสักครั้ง
ใครจะคาดคิด ซย่าโหวฉิงเทียนยังเอ่ยออกมาตรงๆ อีกประโยคว่า
“วรยุทธ์ท่านอ่อนหัดเกินไป ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก…”
“แค่กๆ!”
หมอหลวงหวังถึงกับถอยออกไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเซี่ยงจิ้นยังทำหัวหดราวกับว่าตนเองไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
“เจ้า…”
ซย่าโหวจวินอวี่ชี้ไม้ชี้มือ ปากก็เกือบจะตะโกนออกไปว่า
เจ้าลูกทรพี!
เมื่อเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ฮ่องเต้ก็ทรงเข่าอ่อนล้มลงบนพื้น เริ่มเสแสร้งแกล้งตายเสียอย่างนั้น
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
เซี่ยงจิ้นรีบวิ่งเข้ามาประคองซย่าโหวจวินอวี่
ซย่าโหวจวินอวี่แน่ใจยิ่งนักว่าวิธีนี้จะต้องลากเอาซย่าโหวฉิงเทียนคนที่ปกติกลับคืนมาได้
ไม่ต้องการลูก
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
ดังนั้นฮ่องเต้จึงแสร้งนอนนิ่งอยู่บนพื้น หลับพระเนตร ไม่ว่าเซี่ยงจิ้นจะเรียกอย่างไรก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
เซี่ยงจิ้นติดตามซย่าโหวจวินอวี่มาหลายปี จึงรู้ว่าครานี้ฝ่าบาทและหลินเจียงอ๋องงัดข้อกันเข้าให้แล้ว ในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้ดูแล เซี่ยงจิ้นก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จึงร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลออกมาหมด
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องโกรธฝ่าบาทลงได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! หลายปีมานี้ผ่าบาททรงเป็นทุกข์ร้อน กลัดกลุ้มกังวลพระทัยก็เพื่อท่านอ๋อง!”
อดพูดไม่ได้ว่า เซี่ยงจิ้นช่างเป็นนักแสดงที่มีจิตวิญญาณแห่งความเป็นนักแสดงอยู่เต็มเปี่ยมทีเดียว
เขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เมื่อเอ่ยถึงช่วงที่ซาบซึ้งสะเทือนอารมณ์ยังมีสะอึกสะอื้นมาประกอบ รูจมูกทั้งสองรูมีทั้งน้ำมูกทั้งฟองไหลออกมาเป็นทาง ทั้งยังเหนียวข้นอีกด้วย
การแสดงของนายและบ่าวสองคนนี้ ทำให้อวี้เฟยเยียนได้เปิดหูเปิดตาเสียแล้ว นางจดจำขันทีผู้มีอารมณ์ขันได้อย่างแม่นยำ
ในขณะที่เซี่ยงจิ้นกำลังแสดงบทบาทอยู่นั้น อวี้เฟยเยียนยังแอบเห็นมุมปากฮ่องเต้ทรงยกขึ้นแอบลืมพระเนตรลอบมองซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว หลังจากนั้นจึงแกล้งหมดสติต่อ เม้มพระโอษฐ์อย่างแน่นหนาอีกด้วย
พวกเขาสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยรับส่งกันได้สมบูรณ์แบบชนิดไร้ข้อบกพร่อง แค่มองดูก็รู้ว่าทั้งสองคนร่วมมือกันหลอกลวงคน ทั้งสองล้วนแต่เป็นปลาไหลตัวฉกาจ และยังพิสูจน์ประโยคหนึ่งได้อย่างชัดเจน
นายว่าขี้ข้าพลอย
เห็นที คงจะมีเพียงซย่าโหวจวินอวี่เท่านั้นจึงจะสามารถ ‘ฝึกฝน’ บุคคลเช่นเซี่ยงจิ้นออกมาได้
น่าขบขันจริงๆ เลย!
เซี่ยงจิ้นอยู่ด้านข้างแสดงละครด้วยความสมจริง ส่วนซย่าโหวจวินอวี่ก็แกล้งหมดสติด้วยความตั้งอกตั้งใจ
“เสด็จพ่อ พื้นไม่เย็นหรือ”
“ไม่เย็น…”
เฮอะ!
อย่าคิดว่าเจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพ่อ แล้วข้าจะไม่เอาความเจ้าอีกต่อไป
อย่างไรเจ้าก็ต้องผลิตเจ้าซาลาเปาน้อย!
คำว่าเสด็จพ่อเพียงคำเดียวคิดว่าจะสามารถซื้อข้าได้อย่างนั้นหรือ
ความเกรียงไกรของข้าจะมิยอมหักมิยอมงอ ความสูงส่งมิอาจแปดเปื้อน
เดี๋ยวก่อน!
ซย่าโหวจวินอวี่ลืมตาโพลง ลุกขึ้นนั่ง จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนด้วยอาการตกตะลึง
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ เจ้าเรียกอีกครั้งสิ!”
ดวงตาซย่าโหวจวินอวี่เป็นประกาย หากมองดูให้ดีละก็จะเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาเบาบาง
ฝ่าบาททรงรอคอยมาตั้งหลายปี รอคอยด้วยความหวังว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเรียกพระองค์ว่า ‘เสด็จพ่อ’ สักคำ เดิมทีคิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะยอมยกโทษให้เขา นึกไม่ถึงว่าเขากลับเลือกในเวลานี้
“เสด็จพ่อ พื้นเย็นนัก ข้าจะดึงเสด็จพ่อลุกขึ้น!”
ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกมา
เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าเสียงที่เอ่ยเรียกว่า ‘เสด็จพ่อ’ นั้นเรียกซย่าโหวจวินอวี่จริงๆ พลันซย่าโหวจวิน อวี่ก็แสบจมูกน้ำตาพานจะไหล ส่วนมืออีกข้างก็จับมือของซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้แล้วใช้แรงเขาชันกายลุกขึ้น
“เย็นจริงๆ นั่นแหละ! จริงๆ แล้วข้าคิดจะลุกขึ้นตั้งนานแล้ว…”
ฮ่องเต้ดีพระทัยถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร
ในขณะที่ทรงพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหลออกมานั้น ทว่าหยาดน้ำตาคนแก่เจ้ากรรมดันไหลออกมาเป็นสายอย่างไม่รู้ฟัง
ต่อหน้าต่อตาซย่าโหวฉิงเทียนเช่นนี้ ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกเขินอายไม่น้อย
ใช้ชีวิตต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานอยู่ท่ามกลางการเมืองการปกครองที่โหดร้ายทารุณมาตั้งหลายปี ทำให้ ซย่าโหวจวินอวี่คิดไปว่าตนเองได้ฝึกฝนหัวใจจนแข็งแกร่งราวหินผาแล้ว
นึกไม่ถึงว่าคำเรียก ‘เสด็จพ่อ’ เพียงคำเดียวของบุตรชายจะทำให้หัวใจดั่งหินผาของเขานั้นพังทลายลง
“เจ้าลูกชายตัวดี จู่ๆ มาทำซาบซึ้งทำไมกัน!”
“เซี่ยงจิ้น ไปเอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาสิ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ซย่าโหวจวินอวี่ล้างหน้าล้างตา พยายามทำให้อารมณ์สงบลง
“เอ่อ พวกเจ้าเดินทางกันมาไกล คงจะเหน็ดเหนื่อย กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ! รอให้พวกเจ้าหายเหน็ดเหนื่อยแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนข้า!”
ดวงพระเนตรของฝ่าบาทราวกับลูกท้อสีแดงสด ซึ่งเขาไม่อยากให้ลูกชายและลูกสะใภ้ต้องมาเห็นเขาในสภาพเช่นนี้ จึงโบกไม้โบกมือไล่พวกเขากลับไปเสีย
กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกลับออกไปกันหมด และเวลาผ่านไปชั่วครู่ ซย่าโหวจวินอวี่ถึงตบที่หน้าขานึกขึ้นมาได้
“แย่แล้ว ลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท!”
เหตุใดเขาถึงติดกับระเบิดแสนหวานของซย่าโหวฉิงเทียนได้นะ!
เพียงแค่คำว่า ‘เสด็จพ่อ’ เพียงคำเดียวก็ทำให้เจ้าซาลาเปาน้อยที่แสนร่าเริงน่ารักของข้าหายไปในพริบตา ช่างเป็นการค้าขายที่ขาดทุนย่อยยับเลยทีเดียว!
ซย่าโหวจวินอวี่เสียใจยิ่งนัก อยากที่จะเรียกซย่าโหวฉิงเทียนกลับมาใจจะขาด
ซึ่งในอีกด้าน ซย่าโหวฉิงเทียนพาอวี้เฟยเยียนไปที่จวนหลินเจียงอ๋อง ซึ่งจวนของเขาเหมือนกันกับตัวเขายิ่งนัก เป็นระเบียบเรียบร้อยและเงียบสงบ ไร้ซึ่งดอกไม้ใบหญ้าหรือสิ่งสวยงามใดๆ
แม้แต่บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ก็มีจำนวนน้อยนิด ทำให้จวนหลินเจียงอ๋องออกจะว่างเปล่าอย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าซย่าโหวจวินอวี่จะพระราชทานพื้นที่ที่ดีที่สุดของเมืองหลวงให้กับซย่าโหวฉิงเทียนสร้างเป็นจวนหลินเจียงอ๋อง แต่สถานที่ที่เขาได้ใช้จริงๆ มีเพียงห้องหนังสือ ห้องนอนและห้องสำหรับฝึกวรยุทธ์เท่านั้น
“ของพวกนี้มาจากไหนกัน”
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนเห็นม้าโยกสลัก ชิงช้าน้อย คันธนูน้อย โต๊ะเล็กสำหรับเด็กน้อยนั่งเล่นนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย
นี่ไม่ใช่ของของเขา!
“ท่านอ๋อง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงพระราชทาน บอกว่าเตรียมไว้ให้ท่านอ๋องน้อย”
ในฐานะที่เป็นหน้าห้องคนสนิทของซย่าโหวฉิงเทียน ชิงหงจึงคอยจัดการดูแลเรื่องทุกอย่างในจวนหลินเจียงอ๋อง
ได้ยินเช่นนั้นมุมปากของอวี้เฟยเยียนก็ถึงกับขัดเกร็ง
ฝ่าบาท…นี่พระองค์ทรงแทบจะรอไม่ไหวแล้วจริงๆ สินะ!
“เก็บออกไปให้หมด ข้าไม่อยากเห็น!”
หากของพวกนี้มิใช่ซย่าโหวจวินอวี่ส่งมาละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องสั่งการให้คนเอาของทั้งหมดนี่ไปเผาทิ้งให้เรียบ
ความเอื้ออาทรของซย่าโหวจวินอวี่ทำให้เขาหมดคำพูดจริงๆ
เด็กเปรต…
ซย่าโหวฉิงเทียนก้มลงมองรูปร่างของอ้อนแอ้นอรชรของอวี้เฟยเยียน แล้วนึกถึงคำพูดของตี้อู่เฮ่ออี
หญิงสาวคลอดบุตรนั้นเฉกเช่นเดียวกับการไปเยือนประตูผีอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นช่วงอายุที่ดีที่สุดในการคลอดบุตรครั้งแรกนั่นก็คือสิบแปดปี หลังจากที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่
หลายวันที่ผ่านมานี้ซย่าโหวฉิงเทียนก็พอจะดูออกว่าอวี้เฟยเยียนชอบเด็กมากเพียงไหน
ถึงแม้ว่าในใจเขาจะตีกรอบให้ห่างจากเด็กเปรตเอาไว้แสนไกล แต่สำหรับแมวน้อยแล้วเขากลับปฏิเสธไม่ลง
หากว่าอวี้เฟยเยียนเอ่ยปากขอร้องเขาขึ้นมาจริงๆ ใช้สายตาที่สุกใสแวววาวคู่นั้นจ้องมองเขา ซย่าโหวฉิงเทียนเชื่อแน่ว่าไม่นานตนเองจะต้องยอมจำนนให้กับนาง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาอีกข้อ
อวี้เฟยเยียนเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ อนาคตสำหรับพวกเขาแล้ว มิอาจล่วงรู้ได้
ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าในอนาคตสักวันหนึ่ง จู่ๆ อวี้เฟยเยียนก็หายสาบสูญไป เหลือทิ้งเอาไว้เพียงเด็กเปรตที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับนาง เขาคงจะเป็นบ้าเป็นแน่
หากเทียบกับการมากังวลเรื่องการให้กำเนิดเด็กเปรตในอนาคตละก็ ไม่สู้เอาเวลาไปพยายามฝึกฝนให้สำเร็จเป็นมหาเทพโดยเร็วเพื่อรั้งนางเอาไว้เสียดีกว่า
แน่นอนว่านางต้องยินยอมพร้อมใจอยู่ที่กับเขา ยินยอมให้กำเนิดเด็กเปรตน้อยให้กับเขา
ตอนที่ 107-2 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลื...
“เป็นอะไรไป”
รู้สึกได้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนกำลังจ้องมองตนเองอยู่ อวี้เฟยเยียนจึงเงยหน้าขึ้น
“ไม่มีอะไร…พี่ไม่ได้ทดสอบวรยุทธ์ของเจ้าตั้งนานแล้ว ไปเถอะ ไปที่ลานฝึกกัน!”
เดิมทีอวี้เฟยเยียนคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนพานางมาที่จวน มาต้มสุราร้อนๆ สักกาท่ามกลางบรรยากาศที่แสนหวานของยามแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ พร้อมทั้งชื่นชมดื่มด่ำบรรยากาศที่สวยงามด้วย
กว่าที่ทั้งสองจะประลองกันจนจบ เวลาก็ล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงช่วงหัวค่ำ
“เชยชมทิวทัศน์ป่าต้นเฟิง[1] แดงเพลิงเสียยิ่งกว่าดอกไม้ยามเดือนยี่”!
เหลือบมองไปเห็นท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง อวี้เฟยเยียนจึงท่องกลอนออกมาบทหนึ่ง
“ต้นเฟิง”
ซย่าโหวฉิงเทียนโอบอวี้เฟยเยียนเอาไว้
“เจ้าอยากชมต้นเฟิงหรือ พี่มีสวนอยู่ที่นอกเมือง ต้นเฟิงกำลังงอกงามทีเดียว อีกสักสองสามวันจะพาเจ้าไปเที่ยว!”
“ดี!”
อวี้เฟยเยียนสายตาวาววับ ราวกับแมวน้อยก็ไม่ปาน
ในระยะนี้นางใช้ชีวิตออกจะสบายไปเสียหน่อย ได้ฝึกปรือฝีมือกับซย่าโหวฉิงเทียนมาครึ่งค่อนวัน แต่เขาไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเป็นอวี้เฟยเยียนเสียอีกที่เหน็ดเหนื่อยจนแทบสลบ
ตอนนี้ไม่เพียงแค่เสื้อผ้านางเปียกชื้นไปทั้งตัวเท่านั้น ตอนนี้นางรู้สึกราวกับว่ากระดูกทั่วร่างแทบจะแหลกเหลวเลยทีเดียว ปวดระบมไปหมด
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเป็นเช่นนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอุ้มนางไปที่ห้องอาบน้ำ
น้ำอุ่นคือวิธีที่ช่วยขจัดความเหนื่อยล้าได้ดีที่สุด!
“ท่านใส่อะไรลงไปในน้ำ เนื้อตัวอ่อนนุ่มของอวี้เฟยเยียนเอนซบลงในอ้อมกอดซย่าโหวฉิงเทียน ไม่อยากที่จะขยับเขยื้อนร่างกาย
ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้ซึ่งอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งนัก!
ถึงได้ลงมือเ**้ยมโหดกับผู้หญิงเช่นนี้
หากมิใช่ว่าในตอนนี้นางและเขามีสัมพันธ์ฉันคนรักกันละก็ อวี้เฟยเยียนคงจะเกิดความสงสัยเป็นแน่ว่าเมื่อครู่ตอนที่ประลองฝึกฝีมือกัน ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นนางเป็นศัตรูจริงๆ ไปแล้วเป็นแน่แท้
แต่เช่นนี้ก็ดี!
ทุกครั้งที่นางประมือกับซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็จะได้เรียนรู้และมีพัฒนาก้าวให้หน้าขึ้น
หากกล่าวด้วยภาษาของซย่าโหวฉิงเทียนนั่นก็คือ
“คนอื่นแทบจะร้องไห้กราบกรานขอร้องให้พี่ช่วยชี้แนะ พี่ยังไม่เคยสนใจคนพวกนั้นเลย! การที่พี่มาฝึกฝนชี้แนะให้เจ้า นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว!”
มีจอมยุทธ์ที่ฝีมือสูงส่งคอยชี้แนะให้กับนาง ก็นับเป็นวาสนาของนางจริงๆ นั่นแหละ!
แต่ว่าท่านช่วยอย่าทำท่าเย่อหยิ่งเวลาเอ่ยมันออกมาได้หรือไม่เล่า
มันทำให้คนเขามองมาแล้วเกิดความขุ่นเคืองเอา!
เทพจักรพรรดิแน่นักหรืออย่างไร
รอให้ต่อไปข้าสำเร็จขั้นเทพจักรพรรดิก่อนเถอะแล้วข้าจะทรมานท่านให้หนักเลย!
ข้าจะต้องมีแส้หนังด้วย!
ยังมีเทียน!
“มันดีกับตัวเจ้าเอง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รู้เลยว่าในใจอวี้เฟยเยียนกำลังคิดการว่าจะเอาคืนเขาอย่างไรอยู่ ในตอนนี้เขากำลังนวดที่แผ่นหลังนางในตำแหน่งที่เหมาะสม
“สบายจังเลย!”
อวี้เฟยเยียนหลับตาลง ดื่มด่ำกับบริการของหนุ่มคนรักอย่างเต็มที่ ทำให้อวี้เฟยเยียนแลดูจะอ่อนโยนเรียบร้อยน่ารักว่าง่ายเป็นพิเศษ
อุณหภูมิน้ำกำลังพอดี พึงพอใจมาก!
วิธีการที่ใช้นวดคลึง พึงพอใจมาก!
อีกฝ่ายคือคนที่นางชอบ พึงพอใจมาก!
หากสามารถทำกิจกรรมที่มีความสุขด้วยกันอีกสักหน่อย นางจะยิ่งพึงพอใจมากกว่านี้…น่าเสียดาย ในตอนนี้นางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งนัก จนแม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะยั่วยวนเขายังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ถูกโอบล้อมด้วยความสบาย จนในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็หลับไป
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังแว่วมา ซึ่งแม้ว่าคนในอ้อมอกจะหลับไปเสียแล้ว แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังมิได้หยุดมือ ยังคงนวดผ่อนคลายให้กับนางต่อไป
วันนี้คงจะเล่นเสียจนนางเหน็ดเหนื่อยจริงๆ !
ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนก็ได้ค้นพบเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือยิ่งมีความกดดันมากเท่าไหร่ แรงตอบกลับของอวี้เฟยเยียนก็จะมากขึ้นเท่านั้นและพัฒนาการของนางก็จะยิ่งเพิ่มได้รวดเร็วขึ้น
เห็นที ร่างกายแมวน้อยจะเป็นพวกชอบได้รับการทรมานกระมัง!
มือซย่าโหวฉิงเทียนไล่จากหัวไหล่มนที่หอมกรุ่นของนางลงมาที่แผ่นหลังที่เนียนละเอียด
วันนี้นางสวมใส่ชุดชั้นในตัวน้อยสีชมพูแนบเนื้อนาง
สำหรับสิ่งต่างๆ ที่เขาไม่เคยเห็น ซย่าโหวฉิงเทียนสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก ใช้โอกาสตอนที่อวี้เฟยเยียนหลับอยู่ เขาจึงถือโอกาสสำรวจสิ่งใหม่ๆ เสียเลย
เริ่มเปิดฉากด้านหลัง
สิ่งที่เป็นลวดลายดอกไม้และปุยเมฆนี่คืออะไรกันนะ ว่าแล้วซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือออกไปดึงมันขึ้นมา
เปรี้ยะ!
เสียงแผ่วเบา เจ้าสิ่งนั้นก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนปลดออก
สายสีน้ำเงินเส้นเล็กคลายปมออกจากกันขณะที่ห้อยอยู่บนบ่าของอวี้เฟยเยียน เศษผ้าสีชมพูบนผิวด้านหน้าของนางก็ร่นลงมาเช่นกัน
เสียมารยาทอย่ามอง!
แก้มซย่าโหวฉิงเทียนแดงซ่าน แล้วก็ค่อยๆ ลูบน้ำลงบนผิวของอวี้เฟยเยียนแล้วโกยเอาก้อนเนื้อทั้งสองข้างของนางห่อหุ้มเอาไว้ดังเดิมในครั้งเดียว จากนั้นอุ้มนางขึ้นตรงกลับไปที่ห้องของเขาเอง
“ท่านอ๋อง…”
เห็นแก้มทั้งสองข้างของซย่าโหวฉิงเทียนแดงซ่านราวกับจะลมจับ ชิงหงจึงถอยหลีกไปอีกด้าน
ท่านอ๋อง นี่ท่านอ๋องบุกเข้าโจมตีในจังหวะที่นางเพลี่ยงพล้ำ
มันจะไม่ไร้คุณธรรมไปเสียหน่อยหรือ!
ทว่าลงมือในขณะที่ควรลงมือจึงสมกับเป็นวิสัยของท่านอ๋อง!
หากอวี้เฟยเยียนมาเป็นพระชายา ชิงหงก็ดีใจยิ่งนัก
ชิงหงติดตามซย่าโหวฉิงเทียนมาเป็นเวลานาน จึงคุ้นชินกับนิสัยนายท่านเสียแล้ว มีเพียงแต่หลังจากที่ได้พบกับอวี้เฟยเยียนกระมัง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงค่อยๆ ‘เป็นผู้เป็นคน’ ขึ้นมาบ้าง
นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทีเดียว!
ท่านอ๋อง ทรงลงมือเถอะพ่ะย่ะค่ะ!
รอกระทั่งถึงปีหน้า สิ่งของเหล่านี้ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานมาไม่แน่ว่าจะได้ใช้ประโยชน์แล้ว!
ชิงหงกำลังชื่นชมการกระทำของนายท่านตนเอยู่ในใจ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินออกมาจากห้อง
ในเวลาเช่นนี้มิใช่สมควรพลิกไปพลิกมาบนเตียงหรอกหรือ
อย่างน้อยที่สุดก็ควรอยู่เป็นเพื่อนคนงามนี่นา!
ชิงหงเกิดคำถามอยู่ในใจทว่ากลับมิได้เอ่ยออกมา เขาทำได้แต่เพียงตามซย่าโหวฉิงเทียนไปที่ห้องหนังสือ
“นี่คืออะไร”
เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือแล้วเหลือบไปเห็นม้วนภาพวาดวางอยู่บนโต๊ะ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หยุดชะงักในทันที เขาไม่ชอบเห็นสิ่งของที่ไม่ใช่ของตนวางอยู่ในห้องซึ่งถือเป็นพื้นที่ส่วนตัว
เมื่อเห็นว่านายท่านเริ่มไม่สบอารมณ์ ชิงหงก็รีบกล่าวอธิบายทันที
“ภาพวาดนี้ฝ่าบาททรงให้คนนำมาให้ เป็นผลงานใหม่ของอาจารย์เหอ ฝ่าบาททรงตรัสว่าให้ท่านอ๋องพยายามเรียนรู้ศึกษาให้มาก กล่อมเกลานิสัยความคิดและการกระทำ จะให้ดีที่สุดจะต้องทดลองปฏิบัติจริงพ่ะย่ะค่ะ!”
ชิงหงบรรยายตามที่ขันทีที่นำภาพนี้มาให้กล่าวมา ซึ่งในตอนนั้นที่ได้ฟังเขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย
มาตอนนี้เป็นคนพูดเสียเอง เขายิ่งรู้สึกแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
“รู้แล้ว เจ้าถอยไปได้!”
รอจนกระทั่งชิงหงออกไป ซย่าโหวฉิงเทียนจึงนั่งลง แล้วสุ่มหยิบเอาภาพออกมาภาพหนึ่งแล้วเปิดออก
ภาพวาดนี้ เพียงแค่มองเห็นรูปขุนเขาสายน้ำก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นฝีมือการวาดของเหอหม่านเฉิง
เพียงแต่ว่า ใต้ต้นไม่นั้นคนสองคนกำลังทำอะไรกันนะ
ฝึกร่วมกันในป่าใหญ่ มิเกรงว่าจะมีใครเข้ามาเห็นหรอกหรือ
เมื่อเกิดคำถามขึ้นเช่นนี้ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตั้งใจดูขึ้นมา
รับคำสั่งมาจากซย่าโหวจวินอวี่ เหอหม่านเฉิงวาดภาพต่อเนื่องเพื่อสื่อความหมายถึงภาพในชุนกงถูออกมา
ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่ง เดินทางมาท่องเที่ยวในป่าช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถูกตาต้องใจซึ่งกันและกันเป็นรักแรกพบ ชายมีรักหญิงมีใจ จึงทำกิจกรรมที่ให้ความสุขขึ้นภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สวยงาม
และเพื่อที่จะให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งของฝ่าบาท ต้องสวยงาม ดังนั้นเหอหม่านเฉิงจึงตั้งใจวาดให้พระเอกและนางเอกของภาพให้ชายรูปงามกับหญิงสาวสวย
โดยวาดตั้งแต่ขั้นตอนแรกที่กำลังเริ่มต้นพูดคุยเรื่องความรัก จนถึงขั้นตอนในปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์เตรียมตัวผลิดอกออกผล หรือแม้กระทั่งในขั้นตอนที่ทางน้ำหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวจนได้พบความสุขที่ปลายอุโมงค์ ทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนแต่บรรยายได้สวยงามอย่างที่สุด
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจซย่าโหวฉิงเทียน ไม่ใช่ภาพวาดที่สวยงาม หรือตัวละครที่งดงาม แต่เป็นท่วงท่าในการหลอมรวมต่างหาก
เหอหม่านเฉิงเอาภาพหลายภาพในชุนกงถูรวมกับท่าทางที่เขาสามารถคิดขึ้นมาได้มาสรุปรวมกันแล้ววาดออกมาเป็นภาพ
“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…”
คราวนี้ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่
ในแต่ละภาพก็จะทำสัญลักษณ์และเขียนชื่อท่าทางต่างๆ กำกับเอาไว้โดยละเอียดชัดเจน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกนับถือจิตวิญญาณในความเคารพรักในหน้าที่อาชีพของเหอหม่านเฉิงยิ่งนัก และซย่าโหวฉิงเทียนจดจำเนื้อหาเหล่านี้โดยละเอียดเอาไว้ในใจเรียบร้อย
ในวันนี้ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้แล้วการฝึกร่วมล้ำลึกและกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้!
เขาจะตั้งใจเรียนรู้ให้มาก!
เวลาล่วงเลยไปจวบจนกระทั่งตะวันขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงอ่านดูทุกภาพจนแล้วเสร็จ
ความจำเขายอดเยี่ยมยิ่งนัก เพียงแค่กวาดสายตาก็สามารถจดจำได้อย่างไม่ลืม
เมื่อมีความรู้ทางวิชาการแล้ว ที่ยังขาดก็คือการนำไปปฏิบัติจริง!
ซย่าโหวฉิงเทียนเลือกภาพที่ตนเองชอบที่สุดหนึ่งภาพม้วนเก็บแล้วถือเอาไว้ตั้งใจจะนำกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อมอบให้กับอวี้เฟยเยียน
——
[1] ต้นเมเปิล
ตอนที่ 107-3 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลื...
ครั้นเมื่อเขาเข้าไปในห้อง อวี้เฟยเยียนยังคงกำลังหลับสนิท
ท่าทางการนอนนางช่างสนุกยิ่งนัก นางม้วนผ้าห่มพันรอบตัวราวกับเจ้าตัวไหมดักแด้ก็ไม่ปาน เหลือไว้เพียงใบหน้าดวงน้อยเท่านั้น
“แมวน้อย…”
วางภาพวาดลง ซย่าโหวฉิงเทียนเดินไปข้างเตียง โน้มศีรษะลงจุมพิตที่ปลายจมูกอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา
“อื้อ…”
ความรู้สึกคันยุบยิบที่ปลายจมูก ทำให้อวี้เฟยเยียนขยับตัวเล็กน้อยภายใต้ผ้าห่มจากนั้นจึงพลิกตัวเป็นนอนตะแคง เผยลำคอระหงที่ขาวเนียนและเส้นผมสีดำขลับยาวสยาย
ท่าทางราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปานของอวี้เฟยเยียนนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นแล้วหัวใจอ่อนยวบ
เด็กโง่ แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่เจ้าจะสำเร็จวีรชนอาวุโสได้นะ!
ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าภายหลังจากที่อวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นแล้ว เขาและนางก็จะได้ฝึกร่วมกัน ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนก็รอคอยด้วยความหวัง
วันนี้เขาได้เรียนรู้มาตั้งหลายท่วงท่า วันหน้าจะได้ลองปฏิบัติกับแมวน้อยดูบ้าง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่า ‘กวนอิมนั่งดอกบัว’ นั้น ชื่อช่างสวยงาม ภาพก็งดงาม คิดแล้วจะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน!
อวี้เฟยเยียนไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนได้ถูก ‘ชักจูง’ ไปในทางที่ผิดเสียแล้ว นางยังคงคิดสับสนอยู่ในความฝันอยู่เลยว่าจะชี้แนะเจ้าจอมบื้อคนนี้อย่างไรดี
มีของอร่อยอยู่กับตัวกลับกินไม่ได้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
มองดูนางนอนสบาย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงถือโอกาสนอนลงเคียงข้างนาง กกกอดนางจนหลับไปด้วยกัน
กว่าที่อวี้เฟยเยียนจะตื่นขึ้น ก็ปาเข้าไปเช้าของวันรุ่งขึ้นเสียแล้ว
ที่นี่ไม่ใช่หอซงเฮ่อ…
ลุกขึ้นนั่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ นางถึงรำลึกเรื่องราวเมื่อวานนี้ขึ้นมาได้
นี่คือห้องของซย่าโหวฉิงเทียน!
แล้วคนเล่า
อวี้เฟยเยียนลุกขึ้นจากเตียง จึงได้พบว่าเสื้อผ้าตนเป็นระเบียบเรียบร้อยดี อีกทั้งยังสวมเสื้อไหมพรมสีขาวอีกชั้นหนึ่งด้วย
เห็นที คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสินะ!
ในใจอวี้เฟยเยียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“มีใครอยู่หรือไม่”
อวี้เฟยเยียนร้องเรียก เสวี่ยเยี่ยนได้ยินเสียงเรียกนั้นจึงเดินเข้ามา
“แม่นางอวี้ ท่านตื่นแล้วหรือ! นายท่านไปฝึกวรยุทธ์ที่ลานฝึกตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ!”
เสวี่ยเยี่ยนยิ้มหวาน
“ให้ข้าน้อยปรนนิบัตินะเจ้าคะ!”
“ไม่ต้อง…”
ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังจะพยักหน้ารับปากนั่นเอง เสียงซย่าโหวฉิงเทียนก็ดังแทรกเข้ามาก่อนที่ตัวเขาจะเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ
มองดูซย่าโหวฉิงเทียนเกล้าผมแต่งตัวให้กับอวี้เฟยเยียนอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ดวงตาเสวี่ยเยี่ยนก็แทบถลนออกมาจากเบ้า
มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ที่นายท่านให้ตนมาสอนเรื่องเหล่านี้ ที่แท้ก็นำไปใช้กับแม่นางอวี้นี่เอง!
นายท่านปรนนิบัติด้วยตัวเอง นี่นับเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว!
และเมื่อสังเกตอากัปกิริยาของอวี้เฟยเยียนก็พบว่านางเองก็ไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับเคยชินมาตั้งนานแล้วอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นทำให้เสวี่ยเยี่ยนยิ่งมั่นใจ
คราวนี้นายท่านคงรักจริงเข้าให้แล้ว!
เห็นทีอีกไม่นาน พวกเราก็คงจะมีนายหญิงแล้วกระมัง!
หลังรับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ซย่าโหวฉิงเทียนก็ส่งอวี้เฟยเยียนกลับจวนจงอี้กง ซึ่งเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปก็พบกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคยทันที
นอกจากชาวคณะที่เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ประกอบด้วยเชียนเยี่ยเสวี่ย ตี้อู่เฮ่ออีและหนานกงจื่อหลิงแล้วยังมีเหลียนจิ่น มั่วซาง หมอเทวดาฮั่ว เซวียจื่ออี๋ก็อยู่พร้อมหน้า รวมทั้งฮันจื่อที่กำลังแกว่งหางและส่ายหัวไปมาอย่างแรงเพื่อประจบสอพลอด้วยอาการร่าเริง
เมื่อเห็นหน้าอวี้เฟยเยียนหมอเทวดาฮั่วก็ร้องตะโกนทักทายเสียงดังสนั่น
“แม่นางน้อยอวี้ เจ้านี่ไม่จริงใจเอาเสียเลย! กลับมาเมืองหลวงทั้งที ไม่มาหากันสักนิด เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหนกัน!”
เทียบกับเมื่อครั้งที่พบกันครั้งล่าสุด หมอเทวดาฮั่วอ้วนท้วนขึ้นมากทีเดียว
ก็เพราะคราวที่แล้วเขาเอาแต่ตามติดนางและร่ำร้องไม่หยุด อวี้เฟยเยียนจึงต้องรวบรวมรายการอาหารเท่าที่ตนเองจำได้จดบันทึกลงไปทั้งหมดแล้วมอบให้กับหมอเทวดาฮั่ว
ในตอนนี้ดูจากรูปร่างแล้ว เห็นทีช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาคงจะใช้ชีวิตอย่างอิ่มหมีพีมันไม่น้อย
“รบกวนด้วย พวกเรามาขอฝากท้องอีกแล้ว!”
เหลียนจิ่นส่งรอยยิ้มที่แสนงามสง่า
เมื่อเอ่ยถึงอาหารจานเด็ด สีหน้ามั่วซางที่เงียบขรึมก็แปรเปลี่ยนเป็นรอคอยขึ้นมา
“ไม่เจอกันตั้งนานนะ! ข้ามาขอเรียนรู้งานที่หอคืนชีพ!”
เซวียจื่ออี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มให้พร้อมกับทักทายอวี้เฟยเยียน
“อาจารย์ให้ข้าติดตามท่านเรียนรู้จากท่านให้ ขอท่านชี้แนะให้มาก!”
“บ๊อก…บรู๊ว…”
ในตอนนั้นเองฮันจื่อก็เดินออกมาหยุดที่เบื้องหน้าของอวี้เฟยเยียน โดยมองข้ามซย่าโหวฉิงเทียนโดยสิ้นเชิง มันพยายามที่ใช้หัวมันแตะไปที่ฝ่ามือน้อยของอวี้เฟยเยียนให้จงได้
หลายเดือนที่ผ่านมานี้ทำเอามันเบื่อหน่ายจนแทบบ้า!
แม่นางน้อย ข้าคิดถึงแม่นางน้อยเหลือเกิน!
ออดอ้อนออเซาะอวี้เฟยเยียนไม่หยุด แต่กับซย่าโหวฉิงเทียนฮันจื่อกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น
ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากเมื่อครั้งก่อนที่ฮันจื่อขอติดตามอวี้เฟยเยียนไปที่ฉินจื้ออวดความแข็งแกร่งนั้น กลับถูกซย่าโหวฉิงเทียนใช้วาจาดุดันปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน หายากนักที่เขาจะได้มีโลกส่วนตัวกับแมวน้อยสองต่อสอง แล้วจะให้สุนัขตัวหนึ่งมาแย่งบทได้อย่างไรกัน
ดังนั้น จึงมีคำสั่งให้ฮันจื่ออยู่เฝ้าหอคืนชีพเอาไว้
ไปคราวนี้ กินเวลาไปกว่าสามเดือน…
วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับพวกหมอๆ ทั้งวัน ลำบากยากเข็ญเหลือเกิน ว่าหรือไม่เล่า!
แม่นางน้อย เจ้าจะต้องชดเชยข้าให้มากนะ!
“ลำบากเจ้าแล้ว!”
มองดูฮันจื่อเอาแต่ออดอ้อนออเซาะทำตัวประจบประแจง อวี้เฟยเยียนจึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมันด้วยแรงที่ไม่เบานัก
“มื้อเที่ยงนี้ข้าจะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง มีส่วนของเจ้าด้วยนะ!”
ยอดเยี่ยมไปเลย!
ฮันจื่อซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้า
สหายมารวมตัวพบหน้ากันทั้งที แน่นอนว่าอวี้เฟยเยียนจะต้องต้อนรับขับสู้สุดกำลัง
ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะห่างจากมื้อเที่ยงอยู่พอสมควร แต่ดูจากท่าทางหมอเทวดาฮั่วแล้ว มาเพื่อกินโดยเฉพาะ ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงรีบจัดแจงให้พ่อบ้านเซี่ยงไปซื้อของสดที่ตลาดทันที
“แม่นางน้อยอวี้ เมื่อคืนวานนี้เจ้าคงมิได้อยู่กับเขาทั้งคืนจนมิได้กลับบ้านใช่หรือไม่!”
หมอเทวดาฮั่วกล่าวถามขึ้น
พวกเขายกโขยงพากันมาที่บ้านตระกูลอวี้แต่เช้าตรู่ ก็พบว่าอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนกลับเข้ามาด้วยกัน ทำให้ในใจหมอเทวดาฮั่วจึงอดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมาไม่ได้
ที่เขาเรียกว่าอยู่ก่อนแต่งอะไรนั่นใช่หรือไม่
ก้าวหน้าเกินไปแล้วกระมัง!
“ใช่แล้วเป็นอย่างไร”
ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนเอ่ยปากตอบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ชิงเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเสียเอง ท่าทางหน้าตาที่สื่อไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นนั้นมองดูแล้วช่างกวนอารมณ์เหลือเกิน
“ท่านนี่มัน…”
เมื่อเห็นสีหน้าบ้าอำนาจของซย่าโหวฉิงเทียน หมอเทวดาฮั่วก็ถึงกับสรรหาคำมาบรรยายไม่ได้
พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันนะ เขาไม่รู้จักรักษาหน้าฝ่ายหญิงบ้างเลยหรืออย่างไร
หมอเทวดาฮั่วไม่มีลูกสาว ดังนั้นหลังจากที่ได้รู้จักกับอวี้เฟยเยียนแล้วจึงเห็นนางเป็นดั่งสหายสนิทข้ามรุ่นไปเสียแล้ว
ตอนนี้ ยังได้มาเห็นสีหน้าขาดการอบรมสั่งสอนของซย่าโหวฉิงเทียนอีก และตอนนี้ตระกูลอวี้ก็ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เลย ในบรรดาผู้คนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ หมอเทวดาฮั่วอาวุโสที่สุด เขาจึงคิดว่าตนเองมีหน้าที่จะต้องพูดแทนอวี้เฟยเยียน
“หลินเจียงอ๋อง ท่านคิดว่าจะมาสู่ขอแม่นางน้อยอวี้เมื่อไหร่กัน”
“แม่สื่อสามคนสินสอดทองหมั้นหกหาบ ท่านตระเตรียมแล้วหรือยัง”
“แม่นางน้อยอวี้เป็นถึงปรมาจารย์ทั้งยังเป็นจักรพรรดิโอสถ สินสอดทองหมั้นยิ่งมิอาจน้อยหน้าใครได้! ประเพณีตามขนบธรรมเนียนที่พึงมีก็ควรที่จะมี! อีกอย่าง ยังต้องมีอีกเป็นเท่าตัว!”
แต่งงาน…
เป็นความคิดที่ดีทีเดียว!
เช่นนี้แล้วแมวน้อยก็จะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์!
ตอนที่ 107-4 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลื...
“พี่มีธุระ ต้องเข้าวังสักครั้ง อีกเดี๋ยวจะกลับมา…”
คิดได้ดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่าตนรอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว หลังจากที่บอกลาอวี้เฟยเยียนแล้วก็รีบผลุนผลันออกไปทันที
“เขาเป็นอะไรไป”
หมอเทวดาฮั่วรู้สึกงงงวยเป็นการใหญ่ หรือคำพูดเขาเพียงไม่กี่ประโยคทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนตกใจจนเตลิดไป
หากเป็นเช่นนี้ ขัดขวางบุพเพสันนิวาสอวี้เฟยเยียนให้ขาดสะบั้นลง มิเท่ากับเขากระทำผิดหรือนี่
“ข้าว่า หลินเจียงอ๋องไปเชิญเสด็จฮ่องเต้ให้ทรงออกหน้า”
เหลียนจิ่นมอมยิ้มเล็กน้อย ในใจกลับกำลังขมขื่น
ซย่าโหวฉิงเทียนจะไปเชิญฝ่าบาทมาเป็นแม่สื่อ
จุดนี้ทำให้หมอเทวดาฮั่วพึงพอใจ
เขาเห็นอวี้เฟยเยียนเป็นดั่งลูกสาวตนก็ไม่ปาน ดังนั้นเรื่องนี้หลินเจียงอ๋องจะเอาเปรียบอวี้เฟยเยียนไม่ได้!
ในวังหลวง กำลังเป็นเวลาว่าราชการช่วงเช้าพอดิบพอดี ซย่าโหวจวินอวี่ออกอาการง่วงงุนเพราะเรื่องเมื่อคืนวานทำให้นอนหลับไม่สนิท แม้กระทั่งเหล่าขุนนางพูดอะไรเขายังได้ยินไม่ถนัดด้วยซ้ำไป
ในตอนนั้นเอง ชายในชุดสีม่วงก็จ้ำอ้าวเข้ามาด้วยอาการรีบร้อน
“ฝ่าบาท หลินเจียงอ๋องมาพ่ะย่ะค่ะ!”
มองเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เซี่ยงจิ้นก็รีบมารายงานซย่าโหวจวินอวี่ให้ได้รู้ทันที
“ฉิงเทียนมาแล้วหรือ…”
ในที่สุดซย่าโหวจวินอวี่ก็ตาสว่าง เมื่อมองเห็นซย่าโหวฉิงเทียนที่อยู่ตรงหน้า จึงรีบเอ่ยถามขึ้นทันที
“เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ”
“เสด็จพี่ ข้าต้องการแต่งงาน!”
คำพูดซย่าโหวฉิงเทียนปลุกให้ฮ่องเต้ตาสว่างเต็มที่
โอ้โห ลูกชายจอมบื้อของข้า ในที่สุดเจ้าก็คิดได้เสียที!
ยอดเยี่ยมไปเลย!
“เลิกประชุม!”
ไม่สนใจเรื่องตรงหน้าอีกต่อไป ซย่าโหวจวินอวี่โบกไม้โบกมือ แล้วลากมือซย่าโหวฉิงเทียนไปที่ห้องทรงอักษร
เหล่าขุนนางทั้งหลายทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็อึ้งกันไปพักใหญ่กว่าจะได้สติ
“หลินเจียงอ๋องจะแต่งงาน”
“กับใครกันเล่า!”
หลังจากเรื่องที่ว่าซย่าโหวฉิงเทียนคือจอมเทวาเปิดเผยออกไป ความนิยมชมชอบในตัวเขาบนแผ่นดินต้าโจวก็เพิ่มสูงขึ้นมากมาย
ก่อนหน้านี้เหล่าขุนนางทั้งหลายที่คิดว่านิสัยซย่าโหวฉิงเทียนโหดเ**้ยมมุทะลุดุดันนั้น ก็เริ่มคาดการณ์ ทั้งเคยมีความคิดว่าจะแนะนำบุตรสาวของตนเองให้เป็นพระชายาแห่งหลินอ๋องดีหรือไม่นะ
เพียงแต่ว่าพวกเขายังมิทันได้ลงมือ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
หรือว่าหลินเจียงอ๋องมีคู่หมายที่ถูกตาต้องใจมานานตั้งนานแล้วนะ
ในเวลานี้ซย่าโหวจวินอวี่ตื่นเต้นจนแทบระงับอาการไม่อยู่ เขาตบไหล่ของซย่าโหวฉิงเทียนอย่างแรง
คิดได้เสียที คิดได้เสียทีนะ!
ข้ารอจนผมแทบจะร่วงหมดหัวอยู่แล้ว!
“ภาพเหล่านั้นที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าดูแล้วหรือยัง”
“ดูแล้ว!”
ซย่าโหวฉิงเทียนตอบคำถามฮ่องเต้ไปตามความจริง
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีทีเดียว! เหอหม่านเฉิงมีใส่ใจยิ่งนัก สมควรให้รางวัล!”
ครานี้ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่วางใจได้
เห็นทีว่าซย่าโหวฉิงเทียนคงจะพึงพอใจในภาพวาดชุนกงถูขุนเขาสายน้ำของเหอหม่านเฉิงมากถึงมากที่สุดทีเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงบุตรชายได้สำเร็จภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ จะต้องให้รางวัล!
“ได้ๆ เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น!”
ซย่าโหวจวินอวี่เรียกซย่าโหวฉิงเทียนให้มานั่งลง แล้วยื่นรายงานทางการทหารจากซีเย่ว์ใส่มือเขา
อาณาจักรซีเย่ว์ตกอยู่ในกำมือของซย่าโหวฉิงเทียนกำลังบอบช้ำอย่างหนัก ตอนนี้ต้องมาพบกับกองทัพต้าโจวอีก ผู้คนมากมายจึงยอมละทิ้งการต่อต้าน ศึกสงครามใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“อวี้จิงเหลยอยู่ระหว่างเดินทางกลับแล้ว รอให้เขากลับมาถึงเมืองหลวง ข้าจะไปสู่ขอนางด้วยตัวเอง เจ้าว่าดีหรือไม่”
“ดี!”
ซย่าโหวฉิงเทียนพึงพอใจยิ่งนัก
แม้ในตอนนี้ยังมิอาจฝึกร่วมกับแมวน้อยได้ แต่การฝึกร่วมและการแต่งงานมิได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด!
หลังจากแต่งงาน ในทุกวันเขาจะได้เห็นอวี้เฟยเยียน ในทุกวันได้นอนหลับพร้อมกับนาง จึงมิต้องเป็นกังวลอีกต่อไปว่าเมื่อตอนที่ปีนกำแพงแอบเข้าจะถูกอวี้จิงเหลยพบเข้า!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบกำชับอีกประโยคว่า
“ยิ่งเร็วยิ่งดี!”
ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่ตื้นตันจนน้ำตารื้น
สิ่งที่จำเป็นต้องตระเตรียมเขาได้ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว รอเพียงแค่บุตรชายเปิดใจ ประมุขตระกูลอวี้พยักหน้า รับเจ้าสาวเข้าจวนก็เพียงพอ!
เขารอเช้ารอเย็น แม้กระทั่งในความฝันซย่าโหวจวินอวี่ก็ยังฝันที่จะได้เป็นประธานจัดงานแต่งงานให้กับซย่าโหวฉิงเทียน
มาตอนนี้จู่ๆ ซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยวาจาว่าอยากที่แต่งงาน ทำให้เขาดีใจยิ่งนัก!
“เอ่อ ฉิงเทียนลูก…”
ซย่าโหวจวินอวี่ตบที่หลังมือซย่าโหวฉิงเทียนเบาๆ แล้วเอ่ยกล่าวชี้แนะเขาอย่างลึกซึ้งว่า
“เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องแต่งงานก็สามารถทำได้ จริงๆ นะ!”
เด็กโง่ ข้าจะไม่ให้ใครเข้าไปตรวจสอบร่องรอยเลือดแห่งความบริสุทธิ์หรอกน่า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้แต่อย่างใด!
เมื่อต้องการแล้ว ก็วางใจ กระโจนเข้าหานางได้เลย!
เพราะอย่างไรเสียในด้านความรู้สึกก็ผูกพันถึงเพียงนี้แล้ว จะเหลือก็เพียงแค่พิธีการเท่านั้น
ใช่หรือไม่เล่า!
หากซย่าโหวจวินอวี่ยังกล่าววาจาคลุมเครือเช่นนี้ต่อไปอีกละก็ จะต้องต้อนให้ซย่าโหวฉิงเทียนให้จนมุมอย่างแน่นอน
“เสด็จพี่มีอะไรก็ทรงตรัสออกมาตรงๆ เถิด!”
“ข้าคือเสด็จพ่อของเจ้า คือเสด็จพ่อ!”
ได้ยินคำเรียกขานเช่นนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมา เมื่อวานยังเป็นพ่อลูกกันดีๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้ถึงกลายเป็นพี่น้องไปได้!
“คนอื่นเรียกท่านว่า ‘เสด็จพ่อ’ เยอะแล้ว เรียก ‘เสด็จพี่’ มีข้าเพียงคนเดียว”
ฮ่องเต้ถึงกับปวดพระเศียรกับคำอธิบายของซย่าโหวฉิงเทียน
หากรู้เช่นนี้ละก็ไม่ควรฆ่าพวกพี่น้องเขาไปตั้งแต่ตอนนั้น! ไม่น่าเลย! หากว่าพี่น้องพวกนั้นยังอยู่ ในวันนี้ซย่าโหวฉิงเทียนคงใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างไม่ได้!
“ฉิงเทียน เอาเป็นแบบนี้ดีหรือไม่! หากเราอยู่ตามลำพังด้วยกันสองคนไม่มีคนอื่น ข้าคือเสด็จพ่อ”
ซย่าโหวจวินอวี่เริ่มเจรจาต่อรองกับซย่าโหวฉิงเทียน
ขอเพียงแค่ซย่าโหวจวินอวี่รับปากว่าจะตระเตรียมสินสอดทองหมั้นของขวัญแต่งงานให้เร็วที่สุด ซย่าโหวฉิงเทียนจึงจะยอมพยักหน้าและถือว่ารับปากเงื่อนไขของเขา
ซึ่งเรื่องนี้ ทำให้ซย่าโหวจวินอวี่แทบอยากจะร้องไห้
ที่ลูกที่ไหนกันเจรจาต่อรองกับบิดาเช่นนี้ พ่อก็ลำบากเช่นกันเจ้ารู้บ้างหรือไม่
ตอนที่ 107-5 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลื...
ทว่าเรื่องซย่าโหวฉิงเทียนอยากแต่งงานกับอวี้เฟยเยียนนี้ ซย่าโหวจวินอวี่นั้นไม่ต่อต้านทั้งยังเห็นด้วย
ซย่าโหวจวินอวี่เองอยากจะดื่มชาจากลูกสะใภ้มาตั้งนานแล้ว!
ซย่าโหวฉิงเทียนเพิ่งจะเปิดใจก็รีบร้อนจะแต่งงาน มาดว่าความคิดที่ว่าต้องการปลดปล่อยและมีลูกคงจะไม่ไกลอีกแล้ว คิดได้ดังนั้นซย่าโหวจวินอวี่ก็แอบดีใจ
“ความหมายของข้าเมื่อครู่ก็คือ ภาพวาดเหอหม่านเฉิงเจ้าดูแล้วหรือยัง เรื่องอย่างว่านั้น ไม่จำเป็นต้องรอหลังแต่งงานจึงค่อยกระทำ!”
ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวออกมาอย่างหน้าไม่อาย
ไม่กระโจนเข้าใส่นาง ข้าจะได้อุ้มหลานได้อย่างไรกันเล่า!
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี!
เห็นว่าฝ่าบาททรงตั้งหน้าตั้งตารอให้หลินเจียงอ๋อง ‘กระทำผิด’ ก่อนแต่งงานอย่างใจจดใจจ่อแล้ว เซี่ยงจิ้นก็แทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
ยังดีที่ประมุขตระกูลอวี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากว่าท่านได้ยินคำพูดเหล่านี้ละก็ การแต่งงานในครั้งคงไม่มีวันได้แต่งอย่างแน่นอน
ดูจากความหัวโบราณของอวี้จิงเหลยแล้ว จะต้องไม่ยอมรับความคิดวิธีการที่ล้ำสมัยเช่นนี้เป็นแน่
“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ฝึกร่วมกับการแต่งงานไม่เกี่ยวข้องกัน! ข้าเพียงแต่อยากจะแต่งงานกับแมวน้อยในเร็ววัน เช่นนี้แล้วในทุกวันข้าก็ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาจวนจงอี้กงอีกต่อไป!”
ประโยคหลังของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ฟังไม่ถนัดนัก
เขาจดจำได้เพียงแค่คำว่า ‘ฝึกร่วม’ เท่านั้น
นั่นไม่ใช่การฝึกร่วม!
ซย่าโหวจวินอวี่ที่เดิมทีอารมณ์กำลังเบิกบานพลันก็ร้องเสียงหลง
สวรรค์เอ๋ย!
ฟ้าดินเอ๋ย!
เขายังคิดว่าซย่าโหวฉิงเทียนเข้าใจถ่องแท้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ใครจะคาดคิดว่าในใจของบุตรชายจะคิดถึงเพียงแต่วรยุทธ์เท่านั้น สามารถมองภาพชุนกงถูเป็นเคล็ดวิชาฝึกวรยุทธ์ไปได้ เห็นทีจะมีเพียงแค่ซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นที่ทำได้!
ฝึกร่วม นั่นคือการฝึกวรยุทธ์เป็นคู่ เข้าใจหรือไม่!
และมันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างชายหญิงแม้สักเพียงนิดเดียว!
“หากมิใช่ฝึกร่วม เช่นนั้นมันคืออะไร”
เห็นสีหน้าท่าทางของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถึงกับร้องไห้โดยไร้น้ำตา
เอาเถอะ ในเมื่อเขาเข้าใจว่าเป็นการฝึกร่วม เช่นนั้นก็ให้เข้าใจว่าเป็นการฝึกร่วมต่อไปนั่นแหละ
ขอเพียงแค่บุตรชายยินยอมเข้าหอก็พอ!
ซย่าโหวจวินอวี่เชื่อแน่ว่า หากซย่าโหวฉิงเทียนได้ลิ้มรสความสุขสมที่แสนมหัศจรรย์ของมันล่ะก็ จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน
“นั่นคือการฝึกร่วมนั่นแหละ! ข้าพูดผิดไป!”
ซย่าโหวจวินอวี่โบกไม้โบกมือปฏิเสธอย่างไม่มีทางเลือก หมดสิ้นซึ่งคำพูดทุกอย่างกับซย่าโหวฉิงเทียน
“แล้วเจ้าคิดว่าจะฝึกร่วมเมื่อไหร่กัน”
“หลังจากที่แมวน้อยสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโส…”
คราวนี้ทำเอาซย่าโหวจวินอวี่แทบจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ เสียแล้ว
วีรชนอาวุโส!
ความหมายของซย่าโหวฉิงเทียนก็คือหากไม่สำเร็จขั้นก็ไม่จะฝึกร่วม
ซย่าโหวจวินอวี่ได้ยินดังนั้นก็แทบอยากงัดหัวสมองบุตรชายออกมาดูยิ่งนักว่าข้างในบรรจุอะไรเอาไว้
อวี้เฟยเยียนนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งก็จริง แต่จากปรมาจารย์จนถึงวีรชนอาวุโส นับเป็นการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ บางทีอาจใช้เวลาสองปี บางทีอาจจะสามปีห้าปี บางที…สิบปีก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้!
ซย่าโหวจวินอวี่รู้ซึ้งแล้วว่าต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียน สติปัญญาของเขากลับใช้การไม่ได้แม้แต่น้อย
ตอนนี้พวกเรากำลังพูดคุยในเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่
เหตุใดฮ่องเต้จึงทรงมีความรู้สึกว่า ความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์กันนะ
ซย่าโหวจวินอวี่ยังสามารถคาดหวังที่จะได้อุ้มหลานชายอยู่หรือไม่!
ในตอนนี้ ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียน ราวกับไอ้โง่ ไอ้โง่คนหนึ่งจริงๆ !
ทว่า เมื่อนึกถึงว่าซย่าโหวฉิงเทียนเติบโตอยู่ในจวนตัวประกัน ไม่มีใครคอยสั่งสอนเขาในเรื่องเหล่านี้ ในใจของซย่าโหวจวินอวี่ก็เริ่มเจ็บปวด คำพูดที่มาจุกอยู่ที่ปากแล้วก็ถูกกลืนลงไปอีกครั้ง
หากซย่าโหวฉิงเทียนมิได้เติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ไหนเลยเขาจะกลายเป็นคนเลวร้าย ความคิดเหลวไหลไปได้ถึงเพียงนี้!
ให้กำเนิดแต่มิได้สั่งสอน เป็นความผิดของพ่อ!
เป็นเพราะเขาที่เป็นพ่อที่ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อให้ดี!
ฮ่องเต้เริ่มต้นอภิปรายปัญหาที่มีความหมายลึกล้ำกับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความใจเย็น
“ฉิงเทียน การฝึกร่วมกับลำดับขั้นของวรยุทธ์ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด! การฝึกร่วมเป็นเรื่องที่สามีภรรยาเท่านั้นที่จะกระทำ! มีเพียงผู้ที่ผูกพันกันที่สุด รักกันที่สุดจึงจะสามารถฝึกร่วมได้ !”
“ข้ารู้”
“เช่นนั้นไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ ว่าเพราะเหตุใดถึงจะต้องรอให้นางสำเร็จขั้นวีรชนอาวุโส! มันเกี่ยวข้องอะไรกับลำดับขั้นของวรยุทธ์!”
“ผู้ที่ลำดับขั้นของวรยุทธ์ต่ำเกินไปหากทำการฝึกร่วม จะไม่เป็นผลดีต่อการสำเร็จขั้น”
คำพูดซย่าโหวฉิงเทียนยากต่อการเข้าใจ ทำให้ฮ่องเต้ประมวลผลอยู่นานจนในที่สุดก็ทรงเข้าพระทัย
นี่เขากำลังเกรงว่าหญิงงามจะทำให้เสียการใหญ่!
เขาเกรงว่าหากได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความสุขสมแล้ว ก็จะล้มเลิกการพากเพียรในการฝึกวรยุทธ์ไป
อย่าเอาแต่ใฝ่รู้ใฝ่เรียนอะไรเช่นนี้ได้หรือไม่เล่า
เจ้าไม่ควรคิดแต่จะสำเร็จขั้นตลอดเวลานี่นา!
ตอนนี้พวกเจ้าคือสามีภรรยาที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้แล้วนะ แล้วยังจะมุ่งมานะพยายามให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกทำไมกัน แล้วคนอื่นเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร!
“จริงๆ แล้วพวกเจ้าคนหนึ่งปรมาจารย์ คนหนึ่งจอมเทวา ข้าก็พอใจมากแล้ว จริงๆ นะ ฝึกร่วมเถิด ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก การฝึกร่วมต่างหากจึงจะทำให้จิตวิญญาณและร่างกายของสามีและภรรยาของทั้งสองคนหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่าจุดสูงสุด! เจ้าจะต้องชื่นชอบการฝึกร่วมอย่างแน่นอน!”
ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวชี้นำตักเตือนซย่าโหวฉิงเทียนด้วยความยากลำบากอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่สามารถชักนำความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนให้กลับมาได้
ในตอนสุดท้าย ฮ่องเต้เกือบจะคุกเข่าศิโรราบให้กับความคิดที่ลึกล้ำแปลกประหลาดของเขาเสียแล้ว
หรือนี่จะเป็นบทลงโทษจากสวรรค์!
“เสด็จพี่ ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจในสิ่งที่ตัดสินใจลงไปแล้วหรอก! ท่านวางใจได้เลย แมวน้อยมีพรสวรรค์สูงส่ง การที่จะสำเร็จเป็นวีรชนอาวุโสได้นั้นก็มีเพียงแค่ปัญหาเรื่องระยะเวลาเท่านั้น!”
เวลาๆ ข้าแก่ปูนนี้แล้ว รอต่อไปไม่ไหว!
เขาเกลี้ยกล่อมซย่าโหวฉิงเทียนไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงรอคอยอย่างนั้นหรือ
รอให้อวี้เฟยเยียนสำเร็จถึงขั้นวีรชนอาวุโส พวกเขาจึงจะฝึกร่วมกันและหลังจากนั้นไม่รู้ว่ายังต้องรอผลอีกนานเท่าไหร่ ซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้อุ้มหลาน
เขาเพียงแค่อยากจะอุ้มหลานเท่านั้น เหตุใดมันถึงได้ยากเย็นเพียงนี้!
“เสด็จพี่ ท่านยังไม่แก่! จริงๆ นะ!”
เมื่อมองเห็นเส้นผมขาวโพลนที่ริมใบหูของซย่าโหวจวินอวี่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ถึงกับเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ข้าจะบอกกับแมวน้อยให้ปรุงยาอายุวัฒนะยืดอายุของท่านให้นานขึ้น รับรองว่าท่านจะต้องมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี!”
“ข้าไม่ต้องการอายุยืนยาวเป็นร้อยปี ข้าต้องการอุ้มหลาน!” ซย่าโหวจวินอวี่น้ำตาคลอเบ้า เขาก้มหน้าลงต่ำจิตใจเศร้าหมองอย่างที่สุด
“เมื่อครั้งที่เจ้ายังเยาว์วัย ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ข้าคลาดกับช่วงเวลาในวัยเด็กของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด”
“จวบจนกระทั่งข้ามีกำลังเพียงพอ เจ้าก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว ไม่ต้องการข้าอีกต่อไป…”
“ดังนั้น ข้าจึงทำได้เพียงแต่ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ลูกของเจ้า ข้าต้องการเห็นเขากำเนิดขึ้น เติบโตขึ้น ชดใช้ในสิ่งที่ข้าติดค้างเจ้าเอาไว้ให้กับเขา! นี่คือความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของข้า!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น