ลิขิตกลกาล 105-111
ตอนที่ 105 องค์หญิง
ตอนนั้นเองที่สายตาของทุกคน ณ ที่นั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
องค์หญิงหย่วนเนี่ยนเคยเป็นแขกคนสำคัญให้ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! แค่ไปเข้าร่วมงานพิธีปักปิ่นก็ถือว่าน้อยมากเต็มทีอยู่แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าพวกที่แอบหัวเราะเยาะซูเหลียนอวิ้นในใจพวกนั้น ตอนนี้พอเห็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนความคิดของพวกนางก็เริ่มเปลี่ยนไป
ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังสตรีตรงหน้าที่กำลังยิ้มแย้มพูดคุยด้วยท่าทีเป็นกันเอง ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกซับซ้อนบางอย่างได้เกิดขึ้นในหัวของนาง
องค์หญิงหย่วนเนี่ยน… ในตอนนั้นอันเพ่ยอิงยอมตายแต่ไม่ยอมบอกเด็ดขาดว่าแขกคนสำคัญในงานคือผู้ใดและยังบอกว่าเก็บไว้ให้นางได้ตื่นเต้นทีเดียวในวันจริง แต่เดิมทีซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เนื่องจากสีหน้าสมความปรารถนาของอันเพ่ยอิงนั้นมีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ดูไม่ออก ดังนั้นเมื่อเห็นท่านแม่ของตนตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็พอเดาได้ว่า แขกคนสำคัญของงานจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่มาในงานจะเป็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยน?
“คารวะองค์หญิงหย่วนเนี่ยน” ซูเหลียนอวิ้นถอนสายบัวคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงหย่วนเนี่ยนพยุงซูเหลียนอวิ้นขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าเป็นคนสำคัญของงานนี้ต่างหาก ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ข้าก็เป็นเพียงแค่ผู้ที่มาประดับอาภรณ์ให้เจ้าเท่านั้น อีกอย่างเมื่อสองวันก่อนฮองเฮาได้บอกกล่าวกับข้าไว้แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กรู้กาลเทศะมากคนหนึ่ง แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนั้น เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของเจ้า หากเครียดเกินไปก็คงไม่ดีนัก” ระหว่างที่พูดองค์หญิงหย่วนเนี่ยนก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของซูเหลียนอวิ้นไปในตัวด้วย
อาจกล่าวได้ว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นเชื้อพระวงศ์ที่น่าใกล้ชิดเป็นกันเองมากคนหนึ่ง
ซึ่งแตกต่างจากหนานกงมู่เสวี่ยที่ให้ความรู้สึกเย็นชาและห่างเหิน ส่วนองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า
แม้อาจกล่าวได้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยปฏิบัติต่อทุกคนอย่างอ่อนโยน ทว่าความอ่อนโยนนั้นกลับถูกจำกัดอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น นั่นคือจำกัดอยู่ในระดับเชื้อพระวงศ์กับประชาชน
แม้ว่านางจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเป็นมิตร แต่ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเพียงตัวแทนของเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนกลับดึงตำแหน่งองค์หญิงของตัวเองลงมาและปฏิบัติพร้อมพูดคุยกับทุกคนราวกับมีศักดิ์เท่าเทียมกันและไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย
คนประเภทนี้ก็เปรียบเหมือนกับพี่สาวข้างบ้านคนสนิทของเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเขา แต่แน่นอนว่าเราไม่สามารถเหลียดคนประเภทนี้ได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ในหมู่ประชาชน องค์หญิงหย่วนเนี่ยนถือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง
แต่ว่าสาเหตุที่ทำให้ซูเหลียนอวิ้นจิตใจปั่นป่วนนั้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนปฏิบัติกับผู้คนอย่างไร แต่สิ่งที่นางกำลังนึกถึงอยู่ก็คือ เรื่องลับๆ ที่นางได้แอบสืบรู้มาเมื่อชาติที่แล้ว
เรื่องราวความรักขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน…
องค์หญิงหย่วนเนี่ยนผู้นี้แต่งงานกับลูกชายของอัครมหาเสนาบดีผู้หนึ่ง ทว่าไม่มีใครนึกถึงว่า หลังจากที่แต่งงานไปได้ไม่นาน ลูกชายของอัครมหาเสนาบดีผู้นั้นจะถูกตรวจพบว่าร่างกายของเขาติดเชื้อวัณโรค
โชคยังดีที่ในวันแต่งงานนั้นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นรอบเดือน ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่ได้ใกล้ชิดกับลูกชายของอัครมหาเสนาบดีผู้นี้มากนัก จึงถือได้ว่าหลบเลี่ยงไปได้ ทว่าโรควัณโรคนั้นถือว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทายาทของอัครมหาเสนาบดีผู้นั้น แม้ว่าจะพยายามรักษาโดยใช้ยาชั้นดีมากมายเพียงใด กลับต่อสู้อยู่ได้เพียงครึ่งปีก็มิอาจฝืนทนต่อไปได้อีก
หลังจากที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนต้องประสบกับเรื่องราวเช่นนี้ก็ได้รับการโจมตีอย่างหนัก เพราะแม้ว่าชื่อเสียงของนางจะดีมากเพียงใด แต่นางก็เป็นเพียงองค์หญิงจึงมิอาจควบคุมการวิพากวิจารณ์ของคนทุกคนได้
วันที่แต่งงานกลับตรวจเจอโรคร้ายอย่างวัณโรค? องค์หญิงหย่วนเนี่ยนคงจะเป็นตัวพาความอับโชคมาให้กับสามีของตนเอง…
แม้ว่าจะควบคุมข่าวลือดีเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องมีสักวันที่ข่าวลือเล็ดลอดออกไปถึงหูผู้อื่น
ทว่าลี่หยวนตี้มีพี่สาวแท้ๆ เพียงคนเดียว จะยอมให้ผู้อื่นมาใส่ความและว่ากล่าวเสียๆ หายๆ ได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้พวกที่พูดนินทาลับหลังให้เกิดความเสียหายทุกคนจะต้องโทษประหารชีวิต จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องนี้อีกเลย ทว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในใจของทุกคนจะมีใครเล่าที่รู้ได้
ด้วยเหตุนี้องค์หญิงหย่วนเนี่ยนจึงขอร้องลี่หยวนตี้ให้ประทานอนุญาตให้นางไม่ต้องแต่งงานกับใครอีกตลอดไปเป็นกรณีพิเศษ ลี่หยวนตี้เองก็เป็นห่วงน้องสาว แต่มิอาจขัดคำร้องขอนั้นได้ สุดท้ายจึงตบปากรับคำ เรื่องๆ นี้จึงจบลงแต่เพียงเท่านี้
อย่างน้อยในแบบฉบับที่คนทั่วไปรู้ จะเป็นเช่นนี้
แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับรู้ดีว่า ความจริงของเรื่องราวนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนี้
ตอนนั้นที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนแต่งงานกับผู้อื่น ตรงกับช่วงเวลาที่ราชสำนักกำลังสั่นคลอน ลี่หยวนตี้จึงต้องการรักษาอำนาจตำแหน่งของเขาเอาไว้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นจำต้องบังคับให้น้องสาวของตนแต่งงาน
ทว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนในตอนนั้น ไม่มีผู้ใดอยู่ในใจ ดังนั้นจะให้แต่งกับผู้ใด? แต่หากต้องการให้นางช่วยรักษาตำแหน่งฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ ตัวนางเองก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร
แต่ปัญหาเกิดขึ้นหลังจากที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนได้แต่งงานไปแล้ว ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่ผู้หญิงตัวคนเดียวต้องแต่งออกไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ความรู้สึกไม่มั่นคงที่ตัวเองต้องโดดเดี่ยวไร้คนสนับสนุน ทั้งยังมีคำติฉินนินทาที่ถาโถมมาเข้าหูนางก่อให้เกิดเป็นความรู้สึกต่างๆ มากมาย
ไม่เพียงความรู้สึกหวาดกลัวและเหนื่อยล้าของขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนเท่านั้น แต่การปรากฏตัวของคนผู้หนึ่งในเวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนไปตลอดกาล
เหิงชินอ๋อง
ชายผู้หนึ่งที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมและไม่ค่อยได้พบเจอกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนมากเท่าใดนัก ทว่าตอนที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนออกไปเที่ยวนอกจวนครั้งแรกหลังจากที่แต่งงานไปแล้ว คนสองคนที่เดิมทีไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก่อนกลับได้มาข้องเกี่ยวอยู่ด้วยกันอย่างไม่ยอมหลีกเลี่ยง
เหิงชินอ๋องถือว่าเป็นแบบอย่างของผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ อย่างน้อยที่สุดก็ในสายตาขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน การใส่ใจดูแล การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้หัวใจที่อ้างว้างไร้ความสุขในทุกๆ วันขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน ถูกกระทบจนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
ทว่าเหิงชินอ๋อง นอกจากเรื่องที่เขามีศักดิ์เป็นลุงขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนแล้ว ตัวเขาเองก็ได้แต่งงานมีภรรยาและลูกไปแล้ว ก่อนที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะแต่งงานด้วยซ้ำ ทั้งในตอนที่เขาเกี่ยวพันอยู่กับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนนั้น หนานกงมู่เสวี่ยก็เติบโตจนสูงเท่าเอวขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนแล้ว
ต่อมาแม้ว่าอัครมหาเสนาบดีผู้นี้จะลาโลกไปแล้ว สิ่งคับข้องใจเพียงสิ่งเดียวของทั้งสองคนนี้ดูเหมือนว่าจะหมดไปแล้ว ทว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนกลับสาบานกับลี่หยวนตี้ไปเสียแล้วว่าชาตินี้จะไม่ขอแต่งงานเป็นครั้งที่สอง
เนื่องจากนางเป็นถึงองค์หญิงของแผ่นดิน ศักดิ์ศรีขององค์หญิงยังคงค้ำคออยู่ นางเองจึงไม่มีทางใฝ่ต่ำไปเป็นอนุภรรยาของใคร แต่ก็ไม่มีทางแต่งงานอีกเป็นครั้งที่สอง
ลี่หยวนตี้รับรู้ถึงเรื่องราวของพวกเขาทั้งสองมาตั้งแต่แรก เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องราวนี้จะต้องยุ่งยาก ทว่ากลับไม่คิดเลยว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะตัดสินด้วยตัวเองไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้ลี่หยวนตี้จึงรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แม้ว่าเขาจะประทานอนุญาตตามคำขอนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในใจของลี่หยวนตี้กลับรู้สึกลำบากใจต่อองค์หญิงหย่วนเนี่ยน เขาได้แต่คิดว่าบางทีสักวันองค์หญิงหย่วนเนี่ยนอาจจะคิดได้เอง และบางทีอาจจะเลิกหมกมุ่นกับเรื่องนี้ได้
อีกอย่างเหิงชินอ๋องผู้นี้ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเป็นคนทีรักความเป็นส่วนตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด แต่หลังจากเรื่องราวระหว่างเขากับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเกิดขึ้น เขาจึงตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่างจึงหย่ากับอนุภรรยาในเรือนทั้งหมด เหลือไว้เพียงภรรยาหลวงคนเดียว หลังจากนั้นก็ไม่แต่งใครเข้ามาเพิ่มอีก
ด้วยเหตุนี้ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นครั้งแรก นางพลันนึกถึงเรื่องราวของนางกับเหิงชินอ๋องที่ผ่านมาในอดีต และนั่นทำให้นางนึกถึงคนอีกคนหนึ่งที่จะมาในงานพิธีปักปิ่นวันนี้ นั่นก็คือ หนานกงมู่เสวี่ย
ตอนที่สองคนนี้พบหน้ากัน คงจะไม่ทะเลาะกันกระมัง?
ตอนที่ 106 เหิงชินอ๋อง
ตอนนั้นเอง มีรถม้าคันหนึ่งหยุดช้าๆ ลงที่หน้าจวนตระกูลซู จากนั้นจึงมีดรุณีน้อยนางหนึ่งเดินลงมาช้าๆ จากบนรถม้าสีทองนั้น รถม้าคันนั้นมองเพียงคราแรกก็เห็นถึงการตกแต่งที่ไม่ธรรมดา เพียงมองก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านในรถม้านั้นมีฐานะไม่ธรรมดา
“หนานกงจวิ้นจู่…” ซูเหลียนอวิ้นมองเห็นคนที่เดินลงมาจากรถม้าอย่างชัดเจนจึงรีบก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตระหนก “เอ่อ จวิ้นจู่ เจ้าเหนื่อยหรือไม่? กระหายน้ำไหม? พวกเราเข้าไปดื่มชากันสักแก้วเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นเบี่ยงตัวไปบังสายตาของหนานกงมู่เสวี่ย อย่าได้มองไปด้านหลังของนางอย่างเด็ดขาด! หากเกิดเรื่องขึ้นจริง…ไม่ๆ เอาเป็นว่าวันนี้อย่าได้เกิดเรื่องจะดีที่สุด!
มิน่าเล่าจึงรู้สึกว่าวันนี้หนังตากระตุกตลอด จะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วย!
หนานกงมู่เสวี่ยเลิกคิ้ว สายตาของนางบังเกิดความสงสัยและไม่เข้าใจ เพราะท่าทางของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ หากผู้ใดไม่สงสัยก็คงเป็นคนผิดปกติเต็มที!
หนานกงมู่เสวี่ยยื่นมือออกมาแล้วลากซูเหลียนอวิ้นไป ตอนที่เห็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนยืนอยู่ด้านหลังซูเหลียนอวิ้น แม้ว่าจะประหลาดใจไปบ้าง แต่ก็ยังพยักหน้าให้กันอย่างเป็นมิตรเพื่อแสดงควาทักทาย จากนั้นก็คุยไปยิ้มไปพลางลากซูเหลียนอวิ้นไปยังอีกด้านหนึ่ง
หนานกงจวิ้นจู่เป็นฝ่ายลากไปเองเช่นนี้ คนรอบข้างย่อมมิกล้าปริปาก ทำได้เพียงถอยออกห่างไปยืนยังด้านข้าง ดังนั้นต่อให้เป็นอันเพ่ยอิง แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกว่ากระกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงจ้องมองซูเหลียนอวิ้นโดนลากออกไปแล้วหายลับไปในกลุ่มคน
ณ หัวโค้งตรงระเบียงทางเดิน
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้อะไรมา?” หนานกงมู่เสวี่ยหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวกลับมา ในสายตาของนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วเอ่ยปากเบาๆ ว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่อยากให้ข้ามองเห็นองค์หญิงหยวนเนี่ยนหรือ เพราะอะไรกัน?”
ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบบริเวณข้อมูลที่โดนคว้าไว้เมื่อครู่ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ “อะไร เปล่านะ! หนานกงจวิ้นจู่คิดมากเกินไปแล้ว…”
ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าในความเป็นจริงนั้น เป็นตนต่างหากที่คิดมากเกินไป! ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ ต่อให้เห็นอีกฝั่งแล้วไม่ชอบใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงอารมณ์กันออกมาต่อหน้าผู้อื่นแน่!
ผลสุดท้ายเป็นเพราะความจุ้นจ้านของนางที่มากเกินไป จึงลากตัวนางเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ช่างไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังเอาเสียเลย!
“เจ้ารู้เรื่องราวของพ่อข้ากับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนงั้นหรือ?” หนานกงมู่เสวี่ยไม่อยากจะอ้อมค้อมกับนางจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “ที่แท้เรื่องนี้มีคนรู้เรื่องมากขนาดนี้เชียวหรือ? คนพวกนั้นคงคิดว่าตัวเองปิดบังได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว สุดท้ายขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเจ้ายังรู้” น้ำเสียงขึ้นๆ ลงๆ ของหนานกงมู่เสวี่ย แสดงออกราวกับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังวิจารณ์กันอยู่นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตัวนางเลย
ซูเหลียนอวิ้นรีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ! ไม่ได้มีคนรู้มากขนาดนั้น!” ถ้าคนรู้มากขนาดนั้นคงไม่ดีกระมัง? เรื่องราวตื่นเต้นของเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ หากเผยแพร่ออกไปจนทุกคนรู้จริงๆ เกรงว่าคนในเมืองหลวงนี้คงจะพูดถึงกันทุกวันอย่างไม่จบไม่สิ้นกระมัง
เพราะเรื่องราวซุบซิบเช่นนี้ทุกคนต่างชอบทั้งนั้น เรื่องราวลับๆ ของเชื้อพระวงศ์? นั่นยิ่งเป็นความรักที่ยิ่งกว่ารักเสียอีก!
“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร?” หนานกงมู่เสวี่ยเอามือมาเล่นผม น้ำเสียงของนางแฝงแววเย้าแหย่ “อย่ามาบอกข้าว่าหรงซู่บอกเจ้านะ หรงซู่ไม่ได้เป็นคนน่าเบื่อขนาดนั้น อีกอย่างข้าเชื่อว่า เขาเองก็คงจะไม่รู้กระมัง?” เนื่องจากเรื่องนี้มีนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หรงซู่จะเสียเวลามาฟังเรื่องแบบนี้ทำไมกัน
“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ ปิดปากลง เอาล่ะ ความคิดของนางเมื่อครู่นี้ คือตั้งใจเอาเรื่องๆ นี้โยนไปให้ท่านอาจารย์
“เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ช่างบังเอิญจริงๆ…” ซูเหลียนอวิ้นเช็ดหน้าผากตัวเอง เพราะนางรู้สึกว่าตอนนี้หน้าผากของตนปรากฏเหงื่อแห้งๆ ขึ้นมาสองสามเม็ด
เวลาสนทนากับคนฉลาด มันช่างน่าเหนื่อยใจจริงๆ!
“เจ้ารู้ก็รู้ไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็เชื่อว่าเจ้าไม่มีทางเอาไปพูดต่อแน่ เพราะหากพูดกับคนอย่างหรงซู่ ข้าเองก็ควรวางใจ” หนานกงมู่เสวี่ยพูดไปพลางนั่งลงบนคานไม้ตรงระเบียงทางเดิน “อีกอย่างเจ้าไม่ต้องคิดมากเกินไป สำหรับองค์หญิงหย่วนเนี่ยน…ข้ารู้สึกว่าข้าต้องขอบคุณนาง ฮ่าๆ หากไม่มีนาง พ่อของข้าจะเลิกกับอนุภรรยาทั้งหมดในจวนแล้วเหลือเพียงแม่ข้าคนเดียวได้อย่างไร นางถือเป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วยซ้ำ”
ซูเหลียนอวิ้นมิได้เอ่ยอะไร เพราะว่านางไม่รู้ควรจะเอ่ยว่าอย่างไรดี…ปลอบใจหนานกงมู่เสวี่ยหรือ? นางคิดว่าไม่มีความจำเป็น เพราะว่าตัวนางเองดูท่าแล้วไม่ได้ถือสาอะไร แล้วเช่นนั้นตนจะพูดไรสาระแบบนั้นไปทำไมกัน
“จะว่าไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้สึกอย่างไรกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยน”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ ทำไมหัวข้อสนทนาถึงมาตกอยู่ที่นางได้?
“อืม…เพราะว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนถือเป็นผู้ที่ลุ่มหลงกับความรัก และข้าก็จำได้ว่าตอนนั้นตอนที่เจ้าวิ่งไล่ตามต้วนเฉินเซวียนต้อยๆ เช่นนั้น ดูท่าทางแล้วก็เป็นผู้ที่ลุ่มหลงในความรักเช่นกัน” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยปากราวกับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมีสิ่งใดผิด
“ข้าเปล่านะ!” ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงตรงหน้าหนานกงมู่เสวี่ยด้วยท่าทีโกรธขึงแล้วจ้องตาของหนานกงมู่เสวี่ย “ข้าเปล่านะ! ข้าไม่เคยวิ่งไล่ตามต้วนเฉินเซวียนต้อยๆ เข้าใจหรือไม่? อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนที่ลุ่มหลงในความรัก”
“อ้อ” หนานกงมู่เสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น “ไม่มีก็ไม่มี แต่ว่าท่าทางเจ้าเป็นแบบนี้ มันดูเหมือนอยากจะปิดแต่ปิดไม่มิด และไม่อยากจะอธิบายให้ข้าฟังมากกว่า”
ซูเหลียนอวิ้น “…” พอเถอะ พวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้วล่ะ!
“ข้าไม่มีความคิดเห็นอะไรกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนทั้งนั้น…นั่นเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจเอง คนรอบข้างไม่มีสิทธิ์แทรกแซง ทำได้มากสุดก็เพียงแนะนำเท่านั้น ในเมื่อตัวนางเองยืนยันจะทำแบบนั้น ก็เปรียบเสมือนปลูกอะไรก็ได้ผลเช่นนั้น ถึงเวลาก็อย่าโทษฟ้าโทษฝนก็พอ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ “อีกอย่างนางในตอนนี้ ก็ถือว่าไม่เลวเลย?” เพราะในตอนนี้องค์หญิงหย่วนเนี่ยนก็ไม่ได้มีพฤติกรรมลุ่มหลงในความรักราวกับสตรีแรกรุ่น หรือโทษฟ้าโทษดินอะไรเช่นนั้น”
ไม่ว่าจะตัดสินใจถูกหรือผิดก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจและปล่อยวางได้
หากสามารถยืนหยัดทำแบบนี้ต่อไปได้ ความประทับใจของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อนางก็ถือว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกดูถูกอะไร
แม้ว่าเรื่องราวขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะเป็นเรื่องราวความรักที่น่าประทับใจเพียงใด แต่ไม่ว่าจะทำให้คนประทับใจมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็คงเป็นเพียงเรื่องราวที่สวยงามแต่เพียงเปลือกนอก ใจความหลักของเรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องราวของฮูหยินที่ออกเรือนแล้วนางหนึ่งกับชายผู้เป็นพ่อที่แต่งงานมีลูกแล้วเท่านั้น
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะรู้สึกว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง แต่คนที่น่าสงสารจะต้องมีจุดที่น่ารังเกียจอยู่ด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นใจนางมากนัก
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนแล้ว คนที่น่ารังเกียจยิ่งกว่ากลับกลายเป็นเหิงชินอ๋อง! ทั้งๆ ที่ตัวเองก็แต่งงานไปแล้ว! ตัวเขาเองก็ได้กลายเป็นพ่อคนที่มีลูกแล้ว! ยังจะควบคุมตัวเองไม่ได้และไปก่อเรื่องเย้าแหย่คนอื่นอีก ผลสุดท้ายในตอนนี้องค์หญิงหย่วนเนี่ยนถึงขั้นสาบานไม่ขอแต่งงานรอบสอง แล้วเหิงชินอ๋องได้ทำอะไรบ้างเล่า?
แค่หย่ากับอนุภรรยาเท่านั้น!
ภาพลักษณ์ของเขาก็ยังคงเป็นท่านอ๋องผู้เป็นบิดาของลูกชายและลูกสาวทั้งสองคน พอเทียบกันเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร องค์หญิงหย่วนเนี่ยนก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายมากกว่าอยู่ดี?”
ตอนที่ 107 มอบกระบี่
“ข้ายังนึกว่าเจ้าจะตำหนิพ่อข้าหรือไม่ก็ด่าทอองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเสียอีก” หนานกงมู่เสวี่ยไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยาของซูเหลียนอวิ้นมากเท่าใดนักจึงเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ นี่มันยามใดแล้ว แขกคงมากันเยอะแล้ว อีกอย่างนึงเจ้าควรขอบคุณข้านะที่ลากเจ้ามาหลบในที่สงบๆ แบบนี้”
ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วเดินช้าๆ ตามหลังหนานกงมู่เสวี่ยไปเงียบๆ
เพราะความคิดของนางตอนนี้ยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนกับเหิงชินอ๋องอยู่
คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยว่าเหิงชินอ๋องนั้นน่ารังเกียจ แต่ยึดมั่นในความรัก? เพราะหากดูจากมุมมองภายนอกแล้ว องค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นเหตุให้เขาหย่าจากอนุภรรยาทั้งหมด แต่ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า หากเปรียบเทียบกับต้วนเฉินเซวียนแล้ว ต้วนเฉินเซวียนยิ่งเป็นตัวน่ารังเกียจกว่า!
เหตุผลนั้นไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพียงเพราะสำหรับซูเหลียนอวิ้น เหิงชินอ๋องแต่งงานแล้ว แต่ต้วนเฉินเซวียนในชาติที่แล้วยังไม่ได้แต่งงาน
ถ้าไม่ชอบนางก็แต่งงานกับคนอื่นไปซะ ทำไมจะต้องปล่อยตำแหน่งนั้นให้ว่างไว้ด้วย? จะเก็บไว้ให้ใครหรือ?
ทุกครั้งที่ซูเหลียนอวิ้นถามต้วนเฉินเซวียน เขาก็จะตอบแบบขอไปทีหรือไม่ก็หาเรื่องโมโหใส่ สรุปก็คือเขาไม่ยอมบอกว่าทำไมถึงไม่ยอมแต่งงาน แถมยังชอบพูดตัดบทอีกว่าตัวเองไม่มีคนในดวงใจอย่างแน่นอน เขาแค่ไม่อยากแต่งงานเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใด
แต่หากตอนนั้นต้วนเฉินเซวียนได้แต่งงาน ซูเหลียนอวิ้นสาบานว่า แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วนางจะรักเขาจนยอมตายแทนได้ แต่หากถึงเวลานั้นเข้าจริง นางคงตะลึงจนอ้าปากค้างและยอมวางมือจากเขาไปในที่สุด
เพราะตัวนางเองก็มีเกียรติ นางยอมเป็นฮูหยินของตระกูลยากจน แต่ไม่ยอมเป็นอนุของตระกูลร่ำรวย การที่ต้วนเฉินเซวียนไม่ยอมแต่งงานเสียทียิ่งทำให้นางมีพลังไม่จบไม่สิ้น ทนการกระทำของเขาได้ทุกอย่าง
พอนึกถึงต้วนเฉินเซวียนเข้า อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มไม่ดีขึ้นมาอีก
วันนี้อันเพ่ยอิงเชิญคนจากจวนจิ้งอันโหวมาเป็นแขกด้วยเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำสิ่งที่ช่วยรักษาหน้ารักษาตาของตนไว้ก่อน ส่วนเขาจะมาหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของเขา แต่เรื่องเชิญหรือไม่เชิญนั้น กลับเป็นเรื่องของพวกตนที่ต้องจัดการ
จวนจิ้งอันโหว…ซูเหลียนอวิ้นอดรู้สึกปวดหัวไม่ได้ วันนี้คงไม่มาด้วยกระมัง? เพราะในชาติที่แล้ว จวนจิ้งโหวอย่าว่าแต่ไม่ส่งคนมาเลย แม้แต่ของขวัญสักชิ้นเดียวก็ไม่มี!
“อวิ้นเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงรอแล้วรอเล่าจนเห็นซูเหลียนอวิ้นปรากฏตัวขึ้น ตอนนั้นตนคิดอยากจะตำหนินาง แต่เมื่อเห็นหนานกงมู่เสวี่ยอยู่ด้านข้างด้วย คำพูดเหล่านั้นจำต้องกล้ำกลืนลงไปแล้วเปลี่ยนคำพูดเป็น “พวกเรารอเจ้าอยู่ ตอนนี้พวกเราเริ่มกันได้แล้ว”
พิธีปักปิ่นเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เพลงพิธีเริ่มดังขึ้น
หวีผมปักปิ่น ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อในงาน
การวางตัวของซูเหลียนอวิ้นในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นในด้านงานพิธีหรือว่าการแสดงออกทางอารมณ์ล้วนไม่มีที่ติ อีกทั้งภายใต้การช่วยเหลือหลินเหวินเสี่ยวและหนานกงมู่เสวี่ย ทำให้พิธีปักปิ่นวันนี้จัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สุดท้ายจึงเข้าสู่ช่วงรินสุราให้แขก ซึ่งถือเป็นช่วงท้ายของงาน ซูเหลียนอวิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เดินไปยังส่วนจัดงานเลี้ยงเพื่อเตรียมตัวจะรินสุราให้กับบรรดาผู้อาวุโสทุกคน
“ท่านหญิงผู้นี้คือฮูหยินโหว นามเดิมว่าจางชื่อ จากจวนจิ้งอันโหว” ผู้เชิญแขกเอ่ยแนะนำ
มือของซูเหลียนอวิ้นที่กำลังรินสุราอยู่นั้นเริ่มสั่นไหว นางฟังผิดไปหรือไม่? จวนจิ้งอันโหว?
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง หากนี่ไม่ใช่มารดาของต้วนเฉินเซวียนแล้วจะเป็นใครกัน! พอกวาดตามองไปอีกรอบหนึ่งจึงเห็นว่าต้วนเฉินเซวียนก็นั่งอยู่ด้านหลังของนางด้วย
ขณะที่นางกำลังเงยหน้าขึ้นโดยที่ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเห็น ซูเหลียนอวิ้นก็สบตาเข้ากับต้วนเฉินเซวียนอย่างจัง
ซูเหลียนอวิ้นหลบเลี่ยงสายตานั้นด้วยความเคยชิน จากนั้นจึงก้มหน้าลงแล้วไม่หันไปมองอีก แต่พอคิดทบทวนดูแล้ว นี่มันไม่ถูก? นางไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมต้องประหม่าเช่นนี้ด้วย พอคิดถึงตรงนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกผ่อนคลายลงแล้วรินสุราให้กับคนด้านหลังต่อไป มือที่สั่นไหวเมื่อครู่ก็ดูคล้ายเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
อันที่จริงต้วนเฉินเซวียนไม่อยากมางานนี้เลย งานนี้มันมีอะไรน่าสนใจตรงไหน? เขาถอนใจ
ทว่าจางชื่อมารดาแท้ๆ ของเขากลับบอกว่า ในเมื่อตระกูลแม่ทัพส่งจดหมายเชิญมาถึงพวกเราแล้ว พวกเราก็ควรจะไป! อีกอย่างอย่าคิดว่าแม่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ในเมื่ออีกฝ่ายเขาไม่ถือสาเอาความเจ้าแล้ว เจ้าจะยังไม่ไปอีกรึ…
คำพูดที่เหลือจากนี้ ไม่ต้องบรรยายก็รับรู้ได้ว่าน่ากลัวขนาดไหน
ต้วนเฉินเซวียนไม่ต่อปากต่อคำ เพราะอาจเป็นการขัดคำสั่งแม่ได้และสุดท้ายเขาจึงมาถึงที่นี่วันนี้ นอกจากเหตุผลที่ว่าการขัดคำสั่งแม่เป็นเรื่องยากแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก
เดิมทีเขาเบื่อจนแทบจะหลับไปอยู่แล้ว แต่บังเอิญช่วงที่เงยหน้าขึ้นมานั้นกลับเห็นมือสั่นไหวของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงอดรู้สึกตลกไม่ได้ ทำไมต้องประหม่าขนาดนั้นเชียว?
แต่พอเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นรินสุราให้กับฮูหยินคนอื่นๆ ต่อนั้นกลับรินได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเป็นที่สุด ตอนนั้นเขาจึงเริ่มเข้าใจว่านางไม่ได้ประหม่าจนมือสั่น แต่ที่นางมือสั่นนั้นเป็นเพราะว่านางเห็นตนมากกว่า?
เขาจะกินนางหรือ?! ทำไมเห็นหน้าเขาแล้วต้องกลัวถึงขั้นนั้น? เป็นอย่างนี้แล้วยังอยากจะได้กระบี่อีกหรือแถมยังอยากได้กระบี่ชั้นยอดอีก? จะถือไว้รึ
ต้วนเฉินเซวียนแอบคิดในใจว่าที่เขาตัดสินใจไม่มอบกระบี่เล่มนั้นให้นางถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นแล้วคงเป็นการให้ที่เสียเปล่า!
“นายท่านขอรับ นายท่าน!” เมื่อหลิวจือเห็นสายตาเจ้านายตัวเองไม่ละออกจากซูเหลียนอวิ้นเช่นนั้นก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เขาคิดว่าอีกประเดี๋ยวเขาคงได้รับการตบรางวัลอย่างแน่นอน เพราะเมื่อดูเหตุการณ์จากตรงนี้ สิ่งที่ตนเดาไว้นั้นคงไม่ผิดแน่
“มีเรื่องอะไร?” ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“นายท่าน วันนี้ตอนที่นายท่านออกจากจวนมาลืมของอะไรไว้หรือไม่?”
“ลืมอะไร?” ต้วนเฉินเซวียนสับสน “ของอะไรหรือ?”
“ก็กระบี่เล่มนั้นที่ท่านนำกลับมาที่จวนไงขอรับ! นายท่านต้องการมอบให้คุณหนูซูใช่หรือไม่? เหตุใดนายท่านถึงลืมนำติดตัวมาได้!” หลิวจือส่ายศีรษะอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ข้าเปล่า…”
“แต่นายท่านไม่ต้องกังวล!” หลิวจือเอ่ยแทรกต้วนเฉินเซวียนขึ้น “บ่าวนำมันมาด้วย! แถมยังช่วยท่านมอบให้นางไปเรียบร้อยแล้วด้วย! เป็นอย่างไรเล่า เรื่องนี้บ่าวทำได้ดีมากเลยใช่หรือไม่?” เมื่อหลิวจือเอ่ยจบก็เชิดหน้าอย่างพออกพอใจ
นายท่านประมาทเกินไปซ้ำยังหน้าบางขี้อายอีกด้วย จะมอบของให้สตรีก็มอบสิ ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดเสียที่ไหน ในเมื่อลงแรงไปถึงเพียงนี้แล้ว? นายท่านเข้าใจยากเสียจริง แต่ว่าไม่เป็นไรเพราะมีบ่าวที่รู้ใจเช่นเขา รับประกันได้เลยว่าถึงตอนนั้นนายท่านจะ…
“นาย นายท่าน?” หลิวจือจ้องมองต้วนเฉินเซวียนที่ตอนนี้หน้าหมองคล้ำจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน “นายท่านข้าไม่ได้ตั้งใจจะเอาหน้านะขอรับ! จริงๆ” ทำไมเหตุการณ์ถึงไม่เป็นไปตามที่เขาคิดเอาไว้เลย? อ้อ เขารู้แล้ว นายท่านคงอายมากจนโมโห! ปากมาก ต้องโทษตัวเองที่ปากมาก!
“เจ้าบอกว่า เจ้านำกระบี่เล่มนั้นมอบให้นางไปแล้ว?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันแล้วจ้องไปยังหลิวจือ “ใครให้เจ้าทำแบบนี้!”
“นายท่านไม่ได้ตั้งใจจะมอบกระบี่เล่มนั้นให้คุณหนูซูหรอกหรือ?” สีหน้าของหลิวจือเริ่มฉายแววแห่งความกังวล “เช่นนั้นนายท่านจะให้ใครกัน? มองผ่านแวบแรกก็รู้แล้วว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นของสตรี อีกอย่างช่วงนี้ก็มีเพียงคุณหนูซูนางเดียวที่ต้องการของขวัญ เพราะคนอื่นๆ ในช่วงนี้ก็ไม่มีใครต้องการแล้ว?”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนเสียงแข็ง ตอนนั้นเขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะโต้ตอบหลิวจือไปว่าอย่างไรดี
ตอนที่ 108 บทเสริม
ในวันหนึ่งขณะที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังเดินทางอยู่นั้นได้พบกับไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง คงเป็นเพราะเมื่อวานมีลมพัดแรงจึงเป็นเหตุให้ใต้ต้นไม้มีกิ่งไม้มากมายร่วงหล่น กิ่งไม้เหล่านั้นร่วงลงมากองระเกะระกะอยู่บนพื้น
ต้วนเฉินเซวียนหยุดฝีเท้าลงแล้วเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาจากบนพื้น เขาหยิบขึ้นมาสำรวจดูจึงสังเกตเห็นว่ากิ่งไม้เหล่านี้คือต้นดอกสาลี่
“ต้นดอกสาลี่…” เขารำพึงกับตัวเอง
ต้นดอกสาลี่เป็นต้นไม้ที่เก็บความทรงจำเอาไว้มากมาย เมื่อก้มหน้าลง เขาก็ย้อนกลับเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำ
เมื่อกล่าวถึงครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนพบหน้าซูเหลียนอวิ้นเป็นครั้งแรก เขากำลังคิดว่าน่าจะเป็นช่วงที่เขาอายุได้เก้าขวบ
ในปีนั้นเขาเพิ่งจะเป็นลูกศิษย์ของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นได้ไม่นาน การบำเพ็ญเพียรบนภูเขานั้นลำบากยากแค้น สิ่งที่เขาต้องทำทุกวันไม่มีอะไรวนเวียนอยู่กับการท่องตำรา ฝึกวรยุทธ์ ท่องตำราและก็ฝึกวรยุทธ์ รวมถึงการต้องช่วยอาจารย์ทำธุระต่างๆ อีกด้วย
วันหนึ่ง ขณะที่เขาช่วยอาจารย์ลงเขาเพื่อไปซื้อเสบียงอาหารประจำวัน เขาก็บังเอิญได้ยินเข้ากับข่าวลือบางอย่าง
“ได้ข่าวรึยัง? งานเทศกาลโคมไฟครั้งนี้จะมีการตัดสินโคมไฟที่สวยที่สุด! เฮ้อ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับเกียรตินั้น เพราะผู้ชนะอันดับหนึ่งได้ยินว่าจะได้เงินรางวัลถึงหนึ่งร้อยตำลึงเชียวนะ! พระเจ้าเงินตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเชียวนะ ข้าใช้พอไปตลอดชีวิตเลยเชียว”
“คนหน้าเงิน!” เมื่อคนที่อยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้น ก็ถ่มน้ำลายออกมา “เงินหนึ่งร้อยตำลึงมันจะมีค่าอะไร! ได้ยินว่าการเลือกโคมไฟครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเลือกให้องค์หญิงในวังหลวงนางนั้น! หากองค์หญิงชื่นชอบ จะไปนับประสาอะไรก็เงินแค่หนึ่งร้อยตำลึง?”
“องค์หญิง? องค์หญิงคนไหน?” คนเมื่อครู่ที่อุทานถึงเงินหนึ่งร้อยตำลึงเอ่ยปากถาม “งานใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? สุรุ่ยสุร่ายโดยแท้”
“จะมีองค์หญิงคนไหนได้อีกเล่า! ก็คนนั้นไง…” ผู้ที่กำลังเอ่ยปากกวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีสายตาของผู้ใดสนใจมาทางนี้ ก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ก็คนนั้นไง องค์หญิงกินสามีที่เขาลือกัน! องค์หญิงหย่วนเนี่ยน!”
“ทำไมถึงเป็นนางไปได้? หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับคนทั่วไป คงจะไม่…ทำไมองค์หญิงผู้นี้ถึงได้เปิดเผยเช่นนี้?”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนี้เชียว! นั่นไม่ใช่ความต้องการขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน!” คนผู้นั้นกระซิบกระซาบ เมื่อได้ยินคนใส่ร้ายองค์หญิงหย่วนเนี่ยน เขาจึงทนไม่ไหวและแย้งออกไป “องค์หญิงหย่วนเนี่ยนเพียงแค่พูดลอยๆ เท่านั้น แต่ใครเลยจะคิดว่าจะมีคนเก็บเอาไปใส่ใจ เดิมทีคนผู้นั้นบอกว่าจะนำโคมไฟมามอบให้องค์หญิง แต่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนคิดว่าไม่ควรเอามาโดยไม่ตอบแทน นั่นจึงเป็นที่มาของเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เจ้าเอ่ยถึงในตอนแรก!”
“เช่นนั้นคนผู้นั้นคือ…ฮ่องเต้ของพวกเราหรือ?” คนผู้นี้ครุ่นคิด เนื่องจากองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปราณมากองค์หนึ่ง เรื่องที่ลี่หยวนตี้ทะนุถนอมน้องสาวผู้นี้มากเป็นเรื่องราวที่คนในแถบเหนือต่างรู้กันทั่ว
“ไม่ใช่ แต่เป็นเหิงชินอ๋อง!”
“เหิงชินอ๋อง? ทำไมถึงเป็นคนผู้นี้ได้? เขากับองค์หญิงหยวนเนี่ยน…มีความรู้สึกลึกซึ้งกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“ไม่รู้ แต่เขาว่ากันว่าทำไปเพื่อเอาใจฮ่องเต้ เรื่องของพระราชวงศ์ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ ช่างเถอะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ประเดี๋ยวต้องไปทำงานอีก เสียเวลากับเจ้ามามากพอแล้ว”
ต้วนเฉินเซวียนตัวน้อยฟังการสาธยายเรื่องราวนั้นอย่างตั้งใจ เหิงชินอ๋อง? องค์หญิงหย่วนเนี่ยน?
เหิงชินอ๋องผู้นี้คล้ายว่าจะเป็นบิดาของศิษย์พี่หญิงนี่นา แต่ทำไมถึงเกี่ยวพันกับองค์หญิงอีกคนหนึ่งได้? ไม่ว่าจะอย่างไรต้วนเฉินเซวียนเป็นคนหนึ่งที่เข้าออกวังหลวงบ่อย ด้วยเหตุนี้เหิงชินอ๋อง…ถือได้ว่าเป็นคนที่เขารังเกียจมากคนหนึ่ง
แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขากับหนานกงมู่เสวี่ย เขาจึงไม่อาจแสดงออกอย่างชัดเจนได้
“นี่ พี่ชาย เจ้ายืนอยู่ตรงหน้าร้านข้านมนามขนาดนี้ สรุปเจ้าจะซื้อของร้านข้าหรือไม่!” เจ้าของร้านเอ่ยปากเร่ง
เนื่องจากในตอนแรกเขาเห็นว่าเด็กผู้นี้หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจึงไม่อยากที่จะเอ่ยปากเร่ง แต่ตอนนี้เด็กคนนี้ยืนอยู่หน้าร้านเขามานานมากแล้ว สุดท้ายแล้วจะอุดหนุนร้านเขาบ้างหรือไม่?
อย่าบอกนะว่าไม่ได้พกเงินมาด้วย! ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองเท่านั้น แต่ไม่มีปัญญาซื้อ
แม้ว่าเจ้าจะน่ารักก็จริง แต่หากจะซื้อของก็จำเป็นต้องจ่านเงิน!
“อ้อ ซื้อสิ!” ต้วนเฉินเซวียนตัวน้อยเอามือควักเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบเศษสตางค์ออกมา “ข้าจะเอาอันนี้ อันนี้และก็อันนี้ด้วย! เงินเท่านี้คงพอกระมัง?”
เดิมทีเจ้าของร้านผู้นี้คิดว่าต้วนเฉินเซวียนไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียวเลยครุ่นคิดอยู่นานว่าจะไล่เขาไปอย่างไรดี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าต้วนเฉินเซวียนจะหยิบเศษเงินออกมาเป็นจำนวนมากจนทำให้เขาต้องตกตะลึงและตาพร่าไปหมด
“ได้ๆๆ คุณชายน้อยรอประเดี๋ยว ข้าจะเลือกของดีๆ ให้ท่านเลย ท่านถือกลับไปดีๆ นะ”
“อื้ม” ต้วนเฉินเซียนเท้าสะเอว แล้วใช้สายตาดูถูกมองไปยังเจ้าของร้านที่เพิ่งแสดงท่าทีดูถูกเขาอยู่เมื่อครู่ แต่พอตอนนี้เป็นเพราะว่าตนหยิบเศษเงินออกมา เจ้าของร้านผู้นี้จึงยอมก้มหัวให้ตนเช่นนี้
ตอนนั้นเองจึงนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาที่คนสองคนนั้นคุยกันเมื่อครู่ เงินเพียงแค่หนึ่งร้อยตำลึงเท่านั้น ทำอย่างกับเป็นเรื่องอะไร พวกหิวเงินแท้ๆ!
“คุณชายน้อยเดินระวังด้วย”
ต้วนเฉินเซวียนรับของมา จากนั้นจึงเดินช้าขึ้นเขากลับไป เทศกาลโคมไฟหรือ? ฟังดูน่าสนุกดีเช่นกัน เพราะตอนนี้ตัวเขาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน
…
“คนนี้แหละ คนนี้แหละ! ครั้งที่แล้วตอนที่มาซื้ออาหารที่ร้านข้านำเงินติดตัวมาตั้งมากมาย!” เวลานี้เจ้าของร้านอาหารคนนั้นชี้ไปที่ต้วนเฉินเซวียนอย่างสั่นเทา “ทุกท่าน ตัวข้าน้อยไม่มีเงินเลย! หากท่านต้องการเงินจริงๆ ไม่สู้ไปลองค้นตัวเขาจะดีกว่าหรือ!”
สายตาระแวดระวังของต้วนเฉินเซวียนตัวน้อยจ้องไปยังชายฉกรรจ์ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ กลางฝ่ามือของเขาจึงมีเหงื่อเคลือบเอาไว้เป็นชั้นบางๆ จะว่าไปแล้วในตอนนี้เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุเก้าขวบ เป็นเด็กน้อยที่มีวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่คนที่เขาเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ล้วนเป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำทั้งสิ้น
“เจ้าเด็กน้อย หากเจ้ารู้ความก็รีบส่งเงินออกมาซะ!” ผู้ที่กำลังเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงคุกคามนี้เตะเข้าที่ท้องของต้วนเฉินเซวียน
“ข้า ข้าไม่มีเงิน” ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้กำลังพูดปด ครั้งนี้เขาไม่ได้พกเงินมาจริงๆ สาเหตุเป็นเพราะว่าเขาแอบหนีออกมา เขาจึงต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดชาวบ้านเรียบง่ายไร้รสนิยมทั่วไป ด้านในชุดจึงไม่มีเงินแอบเอาไว้ด้านใน แน่นอนว่าเขาเพิ่งค้นพบตอนที่เขาตัดสินใจจะซื้อโคมไฟ
“ไม่มีเงิน?” ชายอีกคนหนึ่งโมโหขึ้นด้วยคำพูดของต้วนเฉินเซวียน “เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นคนโง่กันหมดเลยหรือไง? ไม่มีเงิน? ข้าอยากดูว่าเจ้าจะไม่มีเงินยังไง!” ระหว่างที่พูดไปนั้นก็ฉีกเสื้อผ้าของต้วนเฉินเซวียนเพื่อค้นตัวไปด้วย
“เจ้าหน้าที่ทางการมาตรวจถนน! ทุกท่านโปรดหลีกทางด้วย!” ไม่รู้ว่าเสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นนี้ต้นเสียงมาจากที่ใด
“เจ้าหน้าที่ทางการมารึ? ทำอย่างไรดี?” ชายผู้นั้นทีกำลังจะฉีกเสื้อผ้าออกพลันหยุดมือแล้วหันหลังไปมองด้านหลังด้วยความกังวล
“ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าก็แล้วกัน!” หัวหน้ากลุ่มทำเสียงอาฆาต “พวกเรารีบไปกันเถิด!”
เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นจากไปแล้ว เจ้าของร้านที่นั่งขดตัวอยู่ตรงมุมกำแพงก็ปีนออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณชายน้อย ท่าน ท่านอย่าโทษข้านะ! ข้าไม่สามารถห้ามตัวเองได้! คุณชายน้อยดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน!” เมื่อพูดจบก็รีบปีนออกมาและจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวมามองต้วนเฉินเซวียนอีก
ต้วนเฉินเซวียนหายใจแรงด้วยความสับสน เขากำลังพยายามข่มความเจ็บปวดนั้นให้หายไป เพราะเมื่อครู่เขาไม่ได้เพียงโดนเตะเพียงครั้งเดียว บนใบหน้ายังโดนต่อยปากไปอีกหลายที
“เจ้า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ครู่หนึ่ง ศรีษะของเด็กสาวคนหนึ่งก็โผล่ออกมาตรงหัวมุมถนน “ข้า…เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเขา…ไม่ถือว่าข้าตะโกนเรียกช้าไปใช่ไหม? เจ้า เจ้าลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”
ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตาบวมๆ ของเขาเพื่อมองไปยังหญิงสาวที่กำลังแสดงความกังวลอย่างมากตรงหน้าเขา เมื่อครู่เสียงตะโกนว่าเจ้าหน้าที่ทางการมา คือเสียงนางหรือ? หากเป็นเช่นนี้…คงต้องขอบคุณนางมาก
“ข้าไม่เป็นไร..แค่กๆ” พอเขาเริ่มพูดก็ส่งผลกระทบไปยังปอดของเขา ต้วนเฉินเซวียนน้อยจึงขมวดคิ้ว เนื่องจากรสชาติความเจ็บปวดที่เขากำลังสัมผัสอยู่นี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบทั่วๆ ไป
เขาถูกเด็กหญิงคนหนึ่งช่วยเอาไว้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ด้านที่น่าอับอายของเขาถูกเปิดเผยต่อสายตาคนอื่น…ความรู้สึกนี้ทรมานเสียยิ่งกว่าโดนทำร้ายร่างกายด้วยซ้ำ
“มา ข้าจะช่วยประคองเจ้า” เด็กหญิงกำลังจะยื่นมือออกมาเพื่อพยุงต้วนเฉินเซวียนให้ลุกขึ้น แต่เนื่องจากตัวนางเองมีแรงเพียงน้อยนิด แถมยังต้องคอยกังวลว่าการเคลื่อนไหวของตนเองจะกระทบกับบาดแผลของต้วนเฉินเซวียนหรือไม่ ดังนั้นจึงพยายามอยู่หลายครั้งจนเริ่มถอดใจในที่สุด
“ข้าลุกเองได้! เจ้าไม่ต้องพยุงข้า!” ต้วนเฉินเซวียนรีบเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเท้ากำแพงไว้แล้วยืนขึ้นมาได้ในที่สุด
“ก็ดี พวกเรารีบไปที่ร้านยากันเถอะ!”
“ตกลง…” ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า เขาต้องไปจริงๆ แล้ว หากยังไม่ไป เขาเกรงว่าตัวเองอาจตายได้
“เจ้าชื่ออะไร? บ่าวรับใช้ของเจ้าล่ะ? พวกเจ้าพลัดหลงกันหรือ?” ด้วยเพราะต้วนเฉินเซวียนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงเดินกันอย่างเชื่องช้า ระหว่างทางบรรยากาศจึงเงียบงันชวนอึดอัด ต้วนเฉินเซวียนจึงอยากหาหัวข้อพูดคุย
“อืม ข้าชื่อว่า…ไม่ได้ ท่าแม่ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าอยู่นอกบ้านห้ามบอกชื่อตัวเองแก่คนแปลกหน้า ส่วนบ่าวรับใช้และองครักษ์ของข้า…ข้ากับพวกเราคงพลัดหลงกันแล้วจริงๆ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของซูเหลียนอวิ้นน้อยเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ “ข้าเพียงดูโคมไฟอยู่ครู่เดียวเท่านั้น แต่ตอนที่ข้าหันตัวกลับมาก็พบว่าด้านหลังข้าไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว”
“ดังนั้นเจ้าจึงแอบอยู่ตรงนั้น?”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นน้อยพยักหน้า “แต่พี่ชายรู้ได้อย่างไรว่าข้าพลัดหลงกับบ่าวรับใช้? และชื่อของเจ้าคืออะไร?”
ต้วนเฉินเซวียนเหล่ตามอง เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยตอบ แต่ในตอนนั้นเขาก็เห็นเงาของตัวเองกลับด้านอยู่ในดวงตาของซูเหลียนอวิ้นน้อย หน้าตาฟกช้ำดำเขียว ใบหน้าและเส้นผมเต็มไปด้วยฝุ่น สภาพย่ำแย่อย่างยิ่ง! นี่คือสภาพที่แท้จริงของเขาในตอนนี้!
“ข้า…คุณหนูของข้าก็มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้าเช่นกัน แถมยังชอบใส่เสื้อผ้าลายเดียวกันแบบนี้ด้วย ดังนั้นพอข้าเห็นเสื้อผ้าชุดนี้จึงเดาออก ส่วนตัวเจ้ายังไม่ยอมบอกชื่อของเจ้ากับข้าเลยแล้วข้าจะบอกเจ้าได้อย่างไร?” ต้วนเฉินเซวียนพยายามหลบสายตาของซูเหลียนอวิ้นด้วยการก้มหน้า
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ แม้ว่าร่างกายของนางจะเปื้อนดินเช่นกัน แต่สำหรับต้วนเฉินเซวียนแล้ว ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย
นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกอับอายและหัวเสีย เขาหัวเสียที่ตัวเองตอนอยู่บนเขาไม่รู้จักตั้งใจเรียนวิชากับท่านอาจารย์ให้ดีตั้งแต่แรก เพราะหากเขาตั้งใจเรียน วันนี้ภาพที่จะปรากฏแก่สายตาของเด็กหญิงผู้นี้คงจะเป็นอีกด้านของตนที่แตกต่างออกไป?
ภาพของความองอาจดุดันจนสามารถล้มชายร่างสูงใหญ่พวกนั้นได้ ความสง่าผ่าเผยที่จะปรากฏออกมาของเขา ไม่ใช่ภาพเช่นในตอนนี้ที่โดนผู้อื่นรุมทำร้ายจนพูดจาแทบไม่เป็นภาษาแบบนี้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเหลียนอวิ้นน้อยยิ้ม “ถึงโรงหมอแล้ว รีบเข้าไปเถอะ”
“อ้อจริงสิ เจ้าไม่ได้พกเงินมานี่นา!” ซูเหลียนอวิ้นน้อยนึกปัญหานี้ขึ้นมาได้จึงเอามือไปสัมผัสบริเวณผมตัวเองแล้วดึงปิ่นปักผมออกมาส่งให้ต้วนเฉินเซวียนพร้อมเอ่ยว่า “เอาอันนี้ไปก็แล้วกัน สิ่งนี้คงมีมูลค่าไม่น้อย”
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!” เสียงเรียกที่ซูเหลียนอวิ้นคุ้นเคยแว่วขึ้นมาไกลๆ
“เอ่อ คนที่บ้านมาตามหาข้าแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นรีบยัดปิ่นปักผมใส่มือของต้วนเฉินเซวียน “ลาก่อน”
“เจ้ารอเดี๋ยว!” ต้วนเฉินเซวียนดึงแขนเสื้อของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ “ในเมื่อข้าเอาของของเจ้ามา ดังนั้นข้าต้องตอบแทนสิ่งของแก่เจ้าบ้าง” ต้วนเฉินเซวียนค้นตามตัวของตัวเอง แต่ก็พบว่าวันนี้ตอนออกจากเรือนเขาไม่ได้พกอะไรออกมาเลย! แต่เมื่อเขาก้มหน้าลงก็พบว่าบนพื้นมีกิ่งไม้ร่วงอยู่สองสามก้าน
เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งก้านแล้วยื่นออกไปด้านหน้า “อันนี้ข้าให้เจ้า! ปิ่นปักผมของเจ้าเป็นรูปดอกสาลี่ ข้าจึงขอมอบกิ่งดอกสาลี่ให้เจ้า ข้ารู้ดีว่าของทั้งสองสิ่งนี้มิอาจทดแทนกันได้ แต่เจ้ารอข้าก่อน ในวันหน้าข้าจะต้องคืนปิ่นปักผมดอกสาลี่ที่ดีกว่าอันนี้ให้เจ้า!”
ซูเหลียนอวิ้นมองต้วนเฉินเซวียนที่ถือกิ่งดอกสาลี่อยู่กิ่งหนึ่ง แถมยังพูดจาไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมา ตอนนั้นเองนางจึงรู้สึกว่าน่าขันยิ่ง “ตกลง ข้าจะนำมันกลับไปปลูก วันหน้าค่อยเจอกันใหม่”
“ลาก่อน…” ต้วนเฉินเซวียนโบกมือลา พลางเหม่อมองซูเหลียนอวิ้นเดินจากไปพลางโดนบิดามารดาของตัวเองตำหนิ
หากได้พบกันใหม่ เจ้าจะต้องเห็นข้าในอีกด้านที่ต่างไปจากตอนนี้!
แปดปีต่อมา ในงานเลี้ยงของวังหลวง
“พระเจ้า นั่นใช่คุณชายต้วนหรือไม่? หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก”
“อยู่ไหนๆ? ข้าขอดูบ้าง!”
“โธ่ อยู่ตรงนั้นไง เจ้าอย่าเบียดข้าสิ!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินเสียงซุบซิบของคนรอบข้างจึงหันหน้ามองตามไปยังต้นเสียงนั้น เขาเป็นคนที่…หน้าตาหล่อเหลามาก…
“คุณชายต้วน!” ซูเหลียนอวิ้นวิ่งเหยาะๆ ตามคนด้านหน้าผู้ที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วอยู่ตอนนั้นไป เมื่อเดินไปถึงข้างหน้าเขาก็เอ่ยว่า “คุณชายต้วน ท่าน ท่านหน้าตางดงามมาก ข้าเลย ข้าเลยรู้สึกว่าชอบท่าน…”
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว คนผู้นี้คือใครกัน? ใจกล้าขนาดนี้เลยหรือ? สารภาพรักต่อหน้าคนอื่นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้?
“คุณหนูคนนี้…เจ้าคือ…” เนื่องจากรอบด้านยังมีคนจำนวนไม่มากจ้องมองอยู่แถมยังอยู่ในวังหลวงอีกด้วย ต้วนเฉินเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจว่าระงับอารมณ์ของตนไว้หน่อยจะดีกว่าจึงถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“ข้า ข้าคือธิดาของแม่ทัพใหญ่ซูปั๋วชวน นามของข้าคือซูเหลียนอวิ้น”
“ซูเหลียนอวิ้น…?” ในหัวของต้วนเฉินเซวียนพลันปรากฏภาพของเด็กหญิงคนนั้นเมื่อหลายปีก่อน เพราะหากดูจากหน้าตาเพียงอย่างเดียว พวกนางทั้งสองมีหลายส่วนที่คล้ายกันมาก
แต่พอต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้งหนึ่ง หญิงสาวที่สายตาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความชื่นชมในตัวเขา เขาจึงส่ายหน้า ไม่ใช่ เขาคงคิดมากไปเองกระมัง
เด็กหญิงในอดีตตอนนั้นได้เห็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขา นางจะชอบเขาได้อย่างไร? เวลาคงผ่านไปนานเกินไปจนทำให้เขาจำผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้สลับกับอีกคน
“อ้อ คุณหนูซูหรือ แต่ว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า หากคุณหนูซูไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าขอตัวลาก่อน” ต้วนเฉินเซวียนเดินอ้อมตัวซูเหลียนอวิ้นไป “ลาก่อน”
ซูเหลียนอวิ้นเมื่อโดนปฏิเสธอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำเอานางไปต่อไม่ถูก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางสารภาพรัก! แต่กลับโดนปฏิเสธโดยไม่ได้คาดคิดเช่นนี้? เฮ้อ แต่นางยังไม่ยอมแพ้! เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พบกัน ต่อไปหากคุ้นเคยกันบ้างแล้วจะต้องดีขึ้นกว่านี้แน่!
ตอนที่ 109 เสียความมั่นใจ
“ข้าจะทำอะไร จำเป็นต้องตอบคำถามเจ้าด้วยรึ!” ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ากลับไปเอากระบี่เล่มนั้นคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! หากเอากลับไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมา!”
หลิวจือ ?
“นายท่าน อย่าขี้งกไปเลยขอรับ! ก็แค่กระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างต่อให้เป็นกระบี่ชั้นยอด แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีมันไม่ได้กระมัง? แถมยังมอบให้เขาไปแล้ว มีเหตุผลอะไรให้เอากลับคืนมาเล่า?” หลิวจือยังคงเถียงต่อไป “อีกอย่าง ข้าถือเป็นคนของท่าน หากท่านให้ข้าไปนำมันกลับมา นั่นจะไม่ยิ่งชัดเจนหรือว่าของสิ่งนี้เป็นของท่าน”
นี่ก็จริง…ต้วนเฉินเซวียนพยักหน้า แต่ก็มิถูกอยู่ดี นี่มิใช่ความหมายที่เขาจะสื่อ! อีกอย่างเขาดูเป็นคนที่ยอมสละกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ?
ทุกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนสัมผัสกระบี่เล่มนั้น เขาจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่าง แม้ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ไม่รุนแรงแต่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และถึงอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็เป็นสตรีนางหนึ่ง แม้เขาจะไม่ชอบนาง แต่ก็ไม่เคยคิดจะใช้เหตุผลนี้ทำร้ายนาง
ของมีปัญหาเช่นนั้น จะให้เขามอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะเอ่ยปากข่มขู่หลิวจือต่อ แต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยปากนั้นกลับมีอีกเสียงหนึ่งดึงดูดเขา
เป็นช่วงที่กำลังเตรียมจะประกาศว่าแขกเหรื่อแต่ละคนที่มางานวันนี้ได้มอบอะไรเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับพิธีปักปิ่น
เนื่องจากทุกคนย่อมอยากมีหน้ามีตา หากมีโอกาสให้แสดงออกย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสอย่างแน่นอน อีกทั้งการมอบของขวัญอย่างในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเอาใจจวนแม่ทัพแล้วยังจะทำให้ได้หน้าและมีชื่อเสียงในสังคมอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็เต็มใจจะทำทั้งนั้น
“นายท่าน!” เมื่อหลิวจือเห็นว่าต้วนเฉินเซวียนจ้องไปยังผู้ประกาศรายชื่อของขวัญโดยไม่ละสายตา ตอนนั้นเขาก็คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยปากออกไปอย่างไม่กลัวตายว่า “นายท่านโปรดวางใจ ข้าพอเดาได้ว่าท่านไม่อยากแสดงตน ดังนั้นที่กระบี่เล่มนั้น ข้าจึงมิได้เขียนชื่อเอาไว้”
อืม พอได้ อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องที่พอทำให้เขาฟังแล้วสบายใจขึ้นมาบ้าง ต้วนเฉินเซวียนคิดในใจ
หากผู้อื่นรู้ว่าเขามอบของขวัญให้ซูเหลียนอวิ้นล่ะก็…จะไม่มีวันเกิดเรื่องนั้นขึ้นอย่างแน่นอน!
ผู้ร่วมงานต่างกำลังฟังการประกาศรายชื่อของขวัญแต่ละชื่อ แม้ว่าตอนแรกจะมีเสียงของผู้ฟังดังขึ้นเป็นระยะว่า ว้าว ของใครกัน ตระกูลไหนกัน เป็นอย่างไรบ้าง แต่พอเข้าสู่ช่วงหลังทุกคนก็เริ่มเหนื่อยล้า เนื่องจากทุกคนล้วนต้องเคยผ่านโลกกันมาบ้าง ของเหล่านี้ล้วนเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครจะไปร่วมพิธีใดล้วนต้องมอบของประเภทนี้ให้กันทั้งนั้น
ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมอบภาพวาดธรรมชาติให้ตนทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นของที่ไม่เลวแต่พวกเราทุกคนล้วนดูกันจนเลี่ยน ทุกครั้งที่มีการจัดงานหากบ้านของเราล้วนมอบภาพวาดให้บ้านอื่นทุกครั้ง นั่นจะยังถือว่าเป็นการใช้โอกาสในการมอบของขวัญเพื่อเอาหน้าเอาตาได้อยู่หรือไม่?
และยังมีคนที่มาในงานอีกพวกหนึ่งที่มอบหมากล้อมให้เป็นของขวัญ แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการประลองหมากล้อมในงานฉลองวสันตฤดู แต่พวกเขาทุกคนไม่คิดเหมือนกันไปหน่อยหรือ?
ของขวัญจำพวกหมากล้อมและกระดานหมากล้อมจึงถูกประกาศขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
“หนานกงจวิ้นจู่มอบเครื่องประดับศีรษะไข่มุกสีม่วงหนึ่งชุด!” เมื่อผู้ประกาศรายการของขวัญอ่านจบก็รับของขวัญชิ้นนั้นมา ทว่าในช่วงที่กวาดตามองตอนรับของมานั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ
หนานกงจวิ้นจู่ใช้เงินมือเติบยิ่งนัก!
นี่เป็นความคิดในใจของทุกคนที่เริ่มมองเห็นของขวัญชิ้นนี้ชัดเจน
เนื่องจากอัญมณีสีม่วงถือว่าเป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก อีกทั้งเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ อัญมณีไม่เพียงแต่เม็ดเป้งเท่านั้น แต่ยังเป็นอัญมณีสีม่วงที่คุณภาพเยี่ยมอีกด้วย รวมถึงความครบชุดของเครื่องประดับศีรษะชิ้นนี้จึงนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง
สร้อยข้อมือ สร้อยคอ ตุ้มหู หรือแม้แต่สร้อยข้อเท้าก็ยังมี!
ไข่มุกสีม่วงแต่ละเม็ดของสร้อยคอกลมมนไร้ที่ติ เมื่อรวมกับสีของอัญมณีสีม่วงที่สุกใสก็สามารถบอกได้ว่านี่เป็นเครื่องประดับที่ราคาสูงยากจะเอื้อมถึง!
ในตอนนั้นสายตาของแขกเหรื่อในงานต่างมองหนานกงมู่เสวี่ยไม่เหมือนเดิมอีก เดิมทีต่างคิดว่าที่หนานกงจวิ้นจู่ยอมมาช่วยงานพิธีในวันนี้ก็ถือว่าเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงของซูเหลียนอวิ้นมากแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ให้ด้วย?
หนานกงมู่เสวี่ยทำเป็นไม่สนใจต่อเหตุการณ์รอบตัวด้วยการก้มหน้าดื่มชาต่อไป ราวกับไม่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบด้านและไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว
เมื่อเห็นว่าหนานกงมู่เสวี่ยไม่สนใจพวกเขา แขกในงานจึงเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าสนใจอีก จึงเบนสายตาไปยังผู้ที่นั่งอยู่ด้านบนอย่างซูเหลียนอวิ้นแทน
ไม่รู้ว่าไปโชคดีมาจากไหนกัน! ถึงได้รับความโปรดปราณจากหนานกงจวิ้นจู่เช่นนี้
แขกในงานต่างแอบคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่ยุติธรรม แต่กลับทำได้เพียงใช้สายตาสำรวจอยู่เงียบๆ เพื่อสังเกตว่าซูเหลียนอวิ้นมีตรงไหนต่างจากคนอื่น เมื่อกลับไปแล้วจะได้ให้ลูกสาวของตัวเองเอาอย่างบ้าง
ไม่แน่หากเอาอย่างนางได้ อาจจะมีโอกาสได้รับของขวัญจากองค์หญิงหรือจวิ้นจู่กับเขาบ้าง ไม่ว่าจะอย่างไรก็คงไม่มีข้อเสียอะไร
ซูเหลียนอวิ้นนั่งหลังตรงไม่ขยับเขยื้อน ต่อให้มีสายตาของผู้คนจับจ้องอยู่รอบด้าน นางก็ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมามอง ทำเอาคนที่จ้องมองนางมาตลอดต้องเกรงใจจนหันหน้าหนีไปแล้วไม่กล้าหันกลับมามองอีก
ตอนนี้สามารถกล่าวได้ว่าหากเปรียบซูเหลียนอวิ้นกับหนานกงมู่เสวี่ยที่เป็นเชื้อสายของพระราชวงศ์แล้ว ซูเหลียนอวิ้นถือว่าสงบนิ่งกว่ามากนัก!
เนื่องจากหนานกงมู่เสวี่ยในตอนนี้กำลังก้มหน้าดื่มชาอยู่เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้อื่น แต่ซูเหลียนอวิ้นไม่ใช่เพียงไม่ดื่มชา แต่ยังไม่ยอมก้มหน้าลงด้วยซ้ำ!
ต้วนเฉินเซวียนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จ้องมองไปยังสายตารอบด้านที่จับจ้องไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ใส่ใจ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก
ทว่าต้วนเฉินเซวียนเพียงคิดว่า เขาเพียงไม่สบายใจแทนซูเหลียนอวิ้นเท่านั้น! คนตั้งมากมายจับจ้องไปที่นาง แต่นางกลับไม่แม้แต่จะกระพริบตา แต่ตอนที่เขาสบตาเข้ากับนางเพียงครู่เดียว นางกลับมือสั่นจนแทบจะลืมไปว่าการรินสุราต้องรินอย่างไร?
พอนำมาเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง!
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดต้วนเฉินเซวียนก็เริ่มเงยหน้าขึ้นเพื่อสำรวจซูเหลียนอวิ้น แต่ในตอนนั้นสายตาทั้งคู่ของซูเหลียนอวิ้นกลับจ้องมองไปข้างหน้า โดยตัดสินใจว่าจะไม่หันไปมองทางอื่นอีก
ต้วนเฉินเซวียนมองอยู่พักหนึ่ง ก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา จากนั้นก็รู้สึกว่าน่าขันยิ่ง นี่ตัวเขากำลังทำอะไรอยู่? โมโหใส่ตัวเองอยู่หรือ? แต่เพราะการหันไปมองนางเมื่อครู่นี้จึงทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา
เอ๊ะ…? ทำไมถึงรู้สึกว่าซูเหลียนอวิ้นในวันนี้ต่างจากซูเหลียนอวิ้นในวันวาน
ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงจุดๆ หนึ่งบนตัวนาง
หน้าอกของซูเหลียนอวิ้น…
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว นางคงมิได้ยัดอะไรไว้ข้างในหรอกระมัง? เพราะครั้งก่อนตอนที่เขาเห็นนาง รูปร่างของนางเป็นอย่างไรเขายังคงจดจำอยู่ได้อย่างชัดเจน แม้จะไม่ถือว่าใหญ่มากนัก แต่ต้องไม่ใหญ่เท่านี้อย่างแน่นอน!
ด้วยเหตุนี้ต้วนเฉินเซวียนจึงแน่ใจว่า ตรงนั้นของนาง ต้องเป็นของปลอมสักแปดถึงเก้าในสิบส่วน!
หากไม่พูดถึงเลยคงไม่ได้ว่าจุดประสงค์ในตอนแรกของซูเหลียนอวิ้นนั้นประสบความสำเร็จแล้ว เพราะนางทำให้ต้วนเฉินเซวียนตกตะลึงได้จริงๆ แต่อีกครู่ต่อมาปฏิกิริยาของต้วนเฉินเซวียนก็ทำเอานางเสียความมั่นใจ เพราะนี่เป็นสิ่งที่นางไม่ได้คาดคิดเอาไว้เลย!
ตอนที่ 110 พระราชทาน
สุดท้ายเมื่อรายการของขวัญถูกอ่านจนครบ แขกในงานทุกคนล้วนมีสีหน้าท่าทางโล่งใจ เพราะไม่ต้องนั่งฟังเฉยๆ อีกต่อไป รวมทั้งจะได้ทานอาหารกลางวันเสียที
“คุณหนูใหญ่ซู ซูเหลียนอวิ้นรับราชโองการ!” เสียงเล็กแหลมดังก้องขึ้นในจวนตระกูลซู ทุกการเคลื่อนไหวของแขกในงานหยุดลงพร้อมหันไปมองบริเวณปากประตู
รับราชโองการ? ราชโองการอะไรกัน? ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นยังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเก้าอี้
“อวิ้นเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงคล้ายเพิ่งจะเข้าใจจึงสะกิดซูเหลียนอวิ้นเบาๆ แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “คงจะเป็นราชโองการมาจากในวังหลวง รีบไปรับราชโองการเร็วเข้า! อย่ามัวแต่นั่งเหม่ออยู่!”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้านหน้าแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้น “หม่อมฉันน้อมรับราชโองการ”
ขันทีผู้นั้นใช้สายตาสำรวจซูเหลียนอวิ้นแวบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อไปว่า ” เนื่องจากในวันนี้เป็นวันงานพิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ตระกูลซู ฮองเฮาทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงประทานแหวนหยกงามวิจิตรหนึ่งคู่! เครื่องประดับผมหินโมราและทับทิมหนึ่งชุด…”
ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าตั้งใจฟัง เนื่องจากฮองเฮาทรงประทานของขวัญให้นางไม่ต่ำกว่าสิบชิ้นโดยที่นางไม่คาดคิดมาก่อน! การลงมือเช่นนี้…คงมีฮองเฮาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้
“คุณหนูซูรับราชโองการ” ขันทีผู้นั้นยื่นราชโองการฉบับนั้นให้
“ขอบพระทัยในน้ำพระทัยฮองเฮาที่ทรงประทานของขวัญเหล่านี้” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แล้วรับราชโองการอย่างนอบน้อมมาถือไว้ที่อกของตนเอง
“ช้าก่อน คุณหนูซู” ขันทีผู้นั้นหัวเราะ จากนั้นจึงหยิบพระราชโองการสีทองออกมาจากแขนเสื้อด้านซ้าย
อืม…ท่านจะพูดให้จบทีเดียวไม่ได้หรืออย่างไร? ข้าเพิ่งจะลุกขึ้นมาแต่ท่านกลับจะประกาศต่อ? ซูเหลียนอวิ้นนึกในใจ
ซูเหลียนอวิ้นจึงคุกเข่าลงและก้มหน้าต่อไปพร้อมยกมือขึ้นสูง “หม่อมฉันน้อมรับพระราชโองการ…” ทว่าการกล่าวในครั้งนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้เต็มใจจะกล่าวนัก
แต่ขันทีผู้นี้กลับมิได้ใส่ใจนักเพียงยิ้มน้อยๆ ออกมา นั่นเป็นเพราะขันทีผู้นี้รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเช่นกัน! ฮ่องเต้และฮองเฮาต่างมอบของขวัญให้คุณหนูซูในงานพิธีปักปิ่นวันนี้ เขามิใช่คนโง่ที่จะหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัว!
“ข้าได้ยินว่าวันนี้เป็นงานพิธีปักปิ่นของธิดาแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดิน เพื่อตอบแทนความสามารถในการปกป้องแผ่นดินนี้จึงของพระราชทาน…” เนื้อหาต่อจากนี้แตกต่างจากฉบับแรกอยู่บ้าง ทว่าของที่พระราชทานกลับมิใช่ของใช้ที่ใช้ได้เพียงสตรีเท่านั้น ของส่วนใหญ่จะเป็นของใช้แบบกลางๆ แบบที่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างชื่นชมและใช้งานมันได้เป็นส่วนใหญ่
อืม ท้ายที่สุดแล้วพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นแตกต่างจากฮองเฮา ในความหมายของฮองเฮานั้นเป็นเพราะพระองค์โปรดปราณซูเหลียนอวิ้นจึงประทานสิ่งของให้มากมายเช่นนี้ แต่สำหรับลี่หยวนตี้นั้นต่างออกไป ของที่พระราชทานให้นั้นมอบให้ในฐานะของธิดาของซูปั๋วชวนเท่านั้น
เพื่อตอบแทนความสามารถในการปกป้องแผ่นดินงั้นหรือ? นั่นก็หมายความว่าต้องทำให้ดีถึงจะได้ของพระราชทานเท่านั้น แต่หากทำได้ไม่ดี…เหอะๆ
แสดงถึงความเมตตาและอำนาจพร้อมกัน ไม่เสียแรงที่เป็นฮ่องเต้จริงๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ” คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน เพราะหากขันทีผู้นี้เกิดหยิบราชโองการออกมาอีกฉบับหนึ่ง นางมิต้องลงไปนั่งคุกเข่าอีกรอบหนึ่งหรือ? ครั้งนี้ให้นางคุกเข่าจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อน หากมีอะไรจะพูดก็พูดให้จบทีเดียวเถิด!
ขันทีผู้นี้คล้ายรับรู้ได้ถึงความคิดของซูเหลียนอวิ้นจึงส่งสายตาไปที่นางในที่อยู่ด้านหลัง นางในผู้นี้เข้าใจความหมายได้ทันทีจึงเดินออกไปพยุงซูเหลียนอวิ้นขึ้นทันที
จากนั้นขันทีจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูซูโปรดวางใจ ไม่มีพระราชโองการต่ออีกแล้ว แต่ข้ายังมีของอีกสิ่งหนึ่ง เป็นของที่องค์ชายเก้าไหว้วานให้ข้านำมาให้” ขันทีผู้นี้กวักมือ จากนั้นขันทีอีกกลุ่มหนึ่งก็ยกลังที่ดูหนักอึ้งเข้ามาวางลงบนพื้นดัง “ปัง”
“คุณหนูซูนี่เป็นของที่องค์ชายเก้ามอบให้เจ้า ทว่าก่อนที่ข้าจะออกมาองค์ชายเก้ากลับไม่ได้บอกข้าว่ามีของอะไรอยู่ในนี้ ดังนั้นของสิ่งนี้คงต้องให้คุณหนูเป็นคนเปิดดูด้วยตัวเอง” ขันทีผู้นี้ยิ้มประจบพลางเอ่ยขึ้น “เด็กน้อยมักจะขี้อาย คุณหนูซูอย่าได้ถือสา”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าช้าๆ “ไม่ถือๆ…หากท่านกลับไปโปรดขอบคุณองค์ชายเก้าแทนข้าด้วยนะเจ้าคะ…”
นางต้องทบทวนดูสักหน่อย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ฮองเฮาประทานของขวัญให้นางนางยังพอเข้าใจได้ ส่วนองค์ชายเก้า…อย่างน้อยๆ ก็ยังเคยมีพรหมลิขิตต่อกัน!
ทว่าทำไมฮ่องเต้จู่ๆ ถึงโผล่ออกมาได้?!
อีกอย่างแม้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังนางจะพยายามพูดเบาแค่ไหนก็อย่าคิดว่านางไม่ได้ยิน! ฮ่องเต้คง…คงจะเมตตาตามคนที่ตนรักกระมัง? เพราะภรรยาและลูกชายของตัวเองต่างมอบของขวัญให้ หากตัวเองไม่มอบของขวัญด้วยมันจะเหมาะสมได้อย่างไร? อีกอย่างพระราชโองการก็เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเพื่อตอบแทนความสามารถในการปกป้องแผ่นดิน! หรือว่าจะรับนางเข้าวังหลวงถึงได้…ช่างน่าโมโหจริงๆ!
การวิจารณ์วังหลังของฮ่องเต้ต่อหน้าขันทีใหญ่ผู้นี้อย่างไม่ระมัดระวังเช่นนี้จะดีหรือ? รนหาที่ตายเสียจริง!
อันเพ่ยอิงเดินเข้ามาช้าๆแล้วเอ่ยว่า “กงกงจะอยู่ร่วมทานอาหารด้วยกันก่อนไปหรือไม่? ตอนนี้อาหารถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”
“มิต้องๆ” ขันทีโบกมือปฏิเสธ “ข้ายังมีงานกองโตรอข้ากลับไปจัดการที่วังหลวง ขอบคุณน้ำใจของฮูหยินมาก แต่ข้าต้องรีบกลับไปรายงานโดยเร็ว หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจ”
“เช่นนั้นข้าจะไม่รั้งกงกงไว้แล้ว” อันเพ่ยอิงก้มหน้า “ชือฉิงส่งกงกงแทนข้าด้วย”
ในที่สุดขันทีและนางในกลุ่มนี้ก็เดินเรียงแถวกันออกไปจากจวนตระกูลซู บรรดาผู้คนที่อยู่ในงานจากเดิมที่แอบวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างระมัดระวัง ตอนนี้กลับเริ่มกล้าที่จะเสียงดังกันมากขึ้น
“คุณหนูซูเปิดลังใบนี้ให้พวกเราดูหน่อยไม่ดีหรือ? ลึกลับเช่นนี้ เจ้าไม่อยากรู้เหรอ? พวกเราอยากรู้กันจะแย่แล้ว”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้า คนที่นางเห็นเป็นฮูหยินคนหนึ่งที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่กลับมาพูดจาเจื้อยแจ้วกับนาง
“ไม่ต้องหรอก” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ “ในเมื่อองค์ชายเก้าไม่อยากจะเปิดเผยตั้งแต่ตอนที่ฝากส่งของมา ตอนนี้หากเปิดดูต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่าไม่เคารพความตั้งใจขององค์ชายเก้าหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นตัวข้าเองมิได้อยากรู้เลย” นางมิใช่คนโง่ที่จะยอมตกลงตามคำร้องของคนผู้นี้ เมื่อครู่ตอนที่คนกลุ่มนี้ได้ยินว่าฮ่องเต้และฮองเฮาพระราชทานสิ่งของต่างๆ ให้นาง ความโลภในสายตาของคนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน! หากตอนนี้ของที่อยู่ในลังเป็นของไปทิ่มแทงลูกตาของพวกนางอีก ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าตอนนี้นางจะโดนสายตาที่เป็นดังเข็มแหลมเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ตัวนางจนนางกลายเป็นเม่นตัวหนึ่ง
ตอนนี้คนที่เอ่ยปากผู้นั้นมีสีหน้าอับอาย แต่ติดตรงที่ไม่แน่ใจในฐานะสูงต่ำอันคลุมเคลือของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ ดังนั้นต่อให้นางไม่ชอบใจในท่าทางการแสดงออกของซูเหลียนอวิ้นอย่างไร นางก็คงทำได้เพียงกัดฟันทนเท่านั้น ไม่กล้าที่จะเอ่ยซ้ำเป็นครั้งที่สอง
อันเพ่ยอิงพอเห็นรูปการณ์ที่น่าอึดอัดเช่นนี้ก็รีบเดินเข้ามาเพื่อประณีประนอม “ในจวนทางนั้นเครื่องดื่มและสุราเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากไม่รังเกียจ พวกเราย้ายไปที่เรือนด้านตะวันออกกันเถิด”
บรรดาแขกเหรื่อต่างยิ้มแย้มแล้วเอ่ยตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน หากตอนนี้นางไม่รีบเดินออกไป ในสายตาของคนขี้อิจฉาจะต้องคิดว่าจวนแม่ทัพไม่เต็มใจต้อนรับพวกเขาอีกแล้ว มิเช่นนั้นแล้วทำไมแม้แต่ข้าวสักมื้อหนึ่งก็ไม่เลี้ยง? ทั้งยังรีบไล่แขกกลับไปโดยเร็ว
ตอนนี้ดูละครจนเต็มอิ่มแล้ว ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าลำดับพิธีการกินข้าวต่อจากนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก เพราะพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นจบตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีกแล้ว
ตอนที่ 111 ความลับ
ขณะที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะก้าวขาเดินออกไปก็บังเอิญมีเงาคนสวมชุดขาวผ่านตรงหน้าของเขาพอดี
“ท่านแม่” ต้วนเฉินเซวียนรีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจางชื่อ “ท่านแม่ ท่านไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะกลับจวนเลย”
จางชื่อหันหน้ามาอย่างไม่พอใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?! อยู่มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ากลับมาบอกว่าจะไม่กินข้าวแล้วและจะกลับจวนเลยรึ?” เพราะหากเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งก็จะถึงเรือนด้านตะวันออกแล้ว
“ลูกมีเรื่องต้องกลับไปจัดการก่อน เชิญท่านแม่ตามสบาย” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเอ่ยจบก็เดินหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้จางชื่อได้พูดเกลี้ยกล่อมใดๆ
จางชื่อโมโหจนกระทืบเท้า ลูกชายของนางนี่นะ! นับวันนางก็ยิ่งควบคุมไม่อยู่!
“โอ้โฮ ศิษย์น้อง ว่าอย่างไร เจ้ามาร่วมพิธีปักปิ่นของอวิ้นเอ๋อร์ด้วยหรือ?” เมื่อหรงซู่หันตัวกลับมาเห็นต้วนเฉินซวียนอยู่ด้านหลังก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร “ศิษย์พี่แปลกใจยิ่ง”
“ท่านมาได้แล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้?” ต้วนเฉินเซวียนมองหรงซู่อย่างยั่วยุแล้วเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง…ท่านมาในวันนี้ ท่านไม่กลัว…?”
หรงซู่ยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า “ไม่กลัว อวิ้นเอ๋อร์กับหนานกงจวิ้นจู่ดูแล้วคงยังไม่สนิทสนมกันถึงขั้นนั้นกระมัง? ดังนั้นตอนนี้ข้าตั้งใจว่าจะไปหาอวิ้นเอ๋อร์ที่ห้อง ไม่ได้เจอกันนานแล้วพอดี ศิษย์น้องต้วน แล้วพบกันใหม่” หรงซู่หันตัวกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ และไม่สนใจอีกว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนจะหน้าบูดบึ้งขนาดไหน
ต้วนเฉินเซวียนเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงก้าวเท้าต่อ “ท่านไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ หากมีคนเห็นว่าท่านเข้าไปในห้องสตรีโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น! อีกอย่างมันเหมาะสมที่ท่านจะทำแล้วหรือ?”
“ข้ารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดมองเห็นแน่นอน อีกอย่างข้าไม่เหมาะแล้วเจ้าเหมาะงั้นหรือ? ศิษย์น้องต้วน เจ้าอย่าตามข้ามาอีกเลย”
“ข้าตามท่านซะที่ไหน! ข้าแค่ไม่ไว้ใจท่าน เลยเดินตามาด้านหลังก็เท่านั้น เรียกว่าข้ามาคอยจับตาดูท่านก็แล้วกัน!”
“อ้อ แล้วแต่ เอาที่ศิษย์น้องต้วนสบายใจก็พอ”
ณ สวนต้นสาลี่
เนื่องจากเช้าวันนี้หลินเหวินเสี่ยวตื่นเต้นที่จะได้มาบ้านซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นจึงยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา ถึงตอนนี้ท้องของนางหิวจนส่งเสียงร้องโครมคราม ดังนั้นนางจึงเดินตามฝูงชนไปยังเรือนด้านตะวันตกเพื่อกินข้าว โดยที่ไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นกล่าวเชิญ
ซูเหลียนอวิ้นเดินกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง นางรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงถังน้ำแข็ง จากนั้นจึงสูดเอาไอเย็นเข้าไป นางร้อนจะตายอยู่แล้ว! โชคดีที่ในห้องของตนไม่ร้อนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นนางคงร้อนตายแน่ๆ!
หนานกงมู่เสวี่ยเดินตามหลังมาช้าๆ นางจึงเงยหน้าขึ้นแล้วส่งสัญญานให้สาวรับใช้ไม่ต้องตามนางเข้ามาอีก สาวรับใช้เข้าใจท่าทางนี้เป็นอย่างดีจึงหันตัวกลับไปแล้วไปรออยู่ตรงทางเดินหน้าห้อง ไม่ตามเข้ามาอีก หลีมู่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก หลังจากที่หนานกงมู่เสวี่ยได้เข้าไปแล้วก็ปิดประตูให้ทั้งสองคนอย่างระมัดระวังและไม่ตามเข้าไปเช่นกัน นั่นเป็นเพราะในความรู้สึกของหลีมู่ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด เวลาที่นางเห็นหนานกงมู่เสวี่ยทีไรมักจะมีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทุกที
ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องจึงเหลือเพียงหนานกงมู่เสวี่ยและซูเหลียนอวิ้นเพียงสองคน
เมื่อซูเหลียนอวิ้นรู้สึกผ่อนคลายลงก็หันกลับมองหนานกงมู่เสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชาพลางมองมาทางนางแล้วยิ้มน้อยๆ ให้ นางจึงเริ่มแสดงอาการวางตัวไม่ถูก
เงียบเกินไปหรือเปล่า…ควรจะพูดอะไรกันหน่อยไหม?
“อื้ม” หนานกงมู่เสวี่ยกระแอมเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ “ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้จักกับหรงซู่ได้อย่างไร?” พอเอ่ยออกไปแล้ว หน้าของหนานกงมู่เสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง นางเป็นอะไรไปนะ ทำไมต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นก่อนด้วย?
“ห๊ะ? อ้อๆ” ซูเหลียนอวิ้นมีปฏิกิริยาตอบรับ จากนั้นจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้างหนานกงมู่เสวี่ย “ถึงอย่างไร…คงจะเป็นความบังเอิญของโชคชะตากระมัง คือว่าท่านอาจารย์เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ครั้งหนึ่ง จากนั้นข้าก็ตามอ้อนวอนให้เขามาเป็นอาจารย์ของข้า นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้จักกัน”
“อ้อ อย่างนี้เอง” พอหนานกงมู่เสวี่ยเห็นซูเหลียนอวิ้นพูดจาอย่างเปิดเผยก็รู้สึกเบาใจลงบ้างแล้วเอ่ยต่อว่า “อย่างนั้น ซูเหลียนอวิ้นเจ้ารู้ฐานะที่แท้จริงของหรงซู่หรือไม่?”
ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงเสื้อผ้าแล้วทำท่าฟังอย่างตั้งใจ นางหันทั้งตัวเข้าหาหนานกงมู่เสวี่ย “ไม่บอกข้าได้หรือไม่?”
นางไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย! เมื่อก่อนยังดีที่นางไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน แต่ตั้งวันนั้นที่หนานกงมู่เสวี่ยเริ่มพูดถึงเรื่องราวระหว่างหรงซู่ ต้วนเฉินเซวียนและตัวหนานกงมู่เสวี่ย ว่าพวกเขาทั้งสามคนเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ตัวนางก็เริ่มแอบคาดเดาว่าสถานะของหรงซู่จะต้องไม่ธรรมดา จากนั้นนางจึงครุ่นคิดถึงปัญหานี้ทุกวัน
นางอึดอัดจะตายอยู่แล้ว!
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ…” หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้านึกว่าเจ้ารู้เสียอีก เพราะว่าหรงซู่…”พูดได้เพียงครึ่งประโยค หนานกงมู่เสวี่ยก็ไม่เอ่ยอะไรต่ออีก
ท่านอาจารย์เป็นใครกันแน่! ซูเหลียนอวิ้นจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว! ทำไมถึงรู้สึกว่าคนรอบตัวนางชอบพูดจาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้? เป็นโรคอะไรกันไปหมด!
“ท่านอาจารย์เป็นใครแน่?” ซูเหลียนอวิ้นหันไปจ้องหนานกงมู่เสวี่ย “หนานกงจวิ้นจู่ เจ้าบอกข้าเถอะ!” อย่าปฏิเสธข้าเลย มิเช่นนั้นคืนนี้นางต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน
“แต่…หากข้าตอบคำถามของเจ้า ข้าจะได้อะไร?” หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้า แววตาปรากฏความสับสน “อีกอย่างหากข้าบอกความลับแก่เจ้าออกไปง่ายๆ แบบนี้ ข้ามิเสียเปรียบรึ?”
“ไม่เสียเปรียบ ไม่เสียเปรียบ!” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าราวป๋องแป๋ง “พวกเรามาแลกเปลี่ยนความลับกันดีหรือไม่? หากจวิ้นจู่มีคำถามอะไรที่อยากรู้ เจ้าถามข้าได้เลย ข้าจะต้อง…”
มิถูก เสียงของซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เบาลง หากเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าทรยศท่านอาจารย์? อีกอย่างนี่มันจะมีความหมายอะไร? ขายท่านอาจารย์เพื่อแลกข่าว? นี่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่…
เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เงียบไปก็ไม่รีบร้อนอะไร ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำ ปากแข็งดียิ่ง จุดๆ นี้เป็นเรื่องที่ต้องชื่นชม แต่…
“ตอนนี้หรงซู่ก็มิได้อยู่ตรงนี้ ที่นี่มีเพียงเราแค่สองคน บ่าวของเราก็ไม่อยู่ เจ้ายังกลัวว่าเรื่องจะหลุดลอดออกไปได้อีกหรือ?” หนานกงมู่เสวี่ยจัดแขนเสื้อของตัวเองพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ
จริงด้วย ท่านอาจารย์ก็มิได้อยู่ตรงนี้ ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นเริ่มได้สติ แล้วนางจะยังกลัวอะไรอีก!
“ก็ได้ อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็สามารถผลัดกันพูดได้แล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ ส่งสัญญาณให้หนานกงมู่เสวี่ยรีบพูดเรื่องหรงซู่ออกมา
“อืม แต่เจ้าต้องพูดก่อนถึงจะถูก เพราะเจ้าถามข้าก่อน ถูกหรือไม่?” หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้า สายตาของนางปรากฏความเจ้าเล่ห์ น่าเสียดายที่ซูเหลียนอวิ้นมิได้เห็นสายตานี้
เพราะหากเห็นสายตานี้แล้ว ซูเหลียนอวิ้นจะได้พึงระวังตัวเอาไว้บ้าง เพราะสายตาเช่นนี้ของหนานกงมู่เสวี่ย สำหรับหรงซู่กับต้วนเฉินเซวียนแล้วเห็นมาไม่น้อย นี่ถือเป็นสัญญานที่เผยออกมาก่อนที่นางจะจัดการใครสักคน!
“ได้! จวิ้นจู่ถามมาเลย ข้าจะต้องพูดทั้งหมดที่รู้ เรื่องไม่รู้จะไม่พูด” ซูเหลียนอวิ้นนั่งตัวตรงแล้วเอ่ยขึ้นเพื่อยืนยัน
“ตกลง” หนานกงมู่เสวี่ยเลิกคิ้ว “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่า เจ้าเคยเห็นผู้หญิงคนไหนเคยไปหาหรงซู่หรือไม่?”
“ไม่มี” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าหนักแน่น “อย่างน้อยๆ ข้าก็ไม่เคยสตรีนางใดปรากฏตัวอยู่กับท่านอาจารย์ ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวเลย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น