จำนนรักชายาตัวร้าย 104.1-105.3

ตอนที่ 104-1 คนโกหก ลงโทษ!

 

 


 


เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากภายในห้องไม่ขาดสาย


 


 


ที่ด้านนอก เชียนเยี่ยเสวี่ยหรี่ตาลง เงยหน้าทอดมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


 


“ช่าช่า วันนี้อากาศไม่เลวทีเดียว!”


 


 


อากาศ…


 


 


กลุ่มคนผู้ที่ติดตามอยู่หลังเชียนเยี่ยเสวี่ยต่างพากันเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าที่มืดครึ้ม นี่มันอากาศฝนกำลังจะตกใหญ่ชัดๆ แต่เยี่ยนอ๋องกลับบอกว่าอากาศดีเสียนี่!


 


 


“ใช่ อากาศดีจริงๆ ด้วย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเข้ามายืนข้างกายเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


“ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ! หลังฝนตกใหญ่ อากาศจึงจะปลอดโปร่งที่สุด!”


 


 


“คงจะมีแต่ช่าช่าที่เข้าใจข้า!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยยิ้มออกมา นางยื่นมือออกไปจับที่บ่าของอวี้เฟยเยียน


 


 


“ข้าไม่เคยสบายใจมากเท่านี้มาก่อนเลย! ทุกอย่างจบลงแล้ว ดีจริงๆ!”


 


 


แม่ทัพใหญ่หูจื้อเหนิงไม่มีแก่ใจมาพินิจพิจารณาความนัยคำพูดนี้ของเชียนเยี่ยเสวี่ยแม้แต่น้อย ในตอนนี้จิตใจเขากำลังหวาดหวั่น หัวใจเต้นระส่ำเหงื่อออกทั่วร่าง


 


 


เดิมทีเขาคิดว่าเยี่ยนอ๋องจะเป็นอ๋องที่ดีคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่า น้ำมือของนางจะเ**้ยมโหดเพียงนี้!


 


 


           ได้ยินเพียงแค่เสียง เขาก็รู้ทันทีว่าเชียนลั่วเฉิงต้องพบกับความทรมานที่เลวร้ายเกินที่คนจะรับไหวเช่นไรบ้าง แต่เชียนเยี่ยเสวี่ยกลับยังคงไม่คิดที่จะช่วยเหลือด้วยซ้ำ คนที่อยู่ด้านในคือบิดาบังเกิดเกล้าของนางแท้ๆ!


 


 


เห็นที่ เชียนลั่วเฉิงจะเป็นเช่นเดียวกันกับเขา ถูกพฤติกรรมที่ผ่านมาของเยี่ยนอ๋องปิดหูปิดตาจนมืดบอด ทันใดนั้น หูจื้อเหนิงก็เริ่มเป็นกังวลอนาคตในภายภาคหน้าของตนเสียแล้ว


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยแก้แค้นแทนฉู่ฮองเฮา และตัวเขาคือพรรคพวกที่แสนซื่อสัตย์ของหลิวกุ้ยเฟย ซึ่งในอดีตก็ทำเรื่องเลวร้ายไว้ไม่น้อย ถึงแม้ว่าในคราวนี้ หูจื้อเหนิงจะมีผลงาน แต่ท่าทีของเยี่ยนอ๋องราวกับกำลังจะบอกกล่าวกับทุกคน ว่านางเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นกัน!


 


 


นางสามารถอดทนอดกลั้นความโกรธแค้นเอาไว้ในใจได้ และการที่ไปรับเชียนลั่วเฉิงกลับวัง มิใช่เพื่อรอคอยให้เชียนลั่วเฉิงและเชียนเจิ้นหยางเข่นฆ่ากันเองหรอกหรือ


 


 


แผนการที่ล้ำลึกเช่นนี้ ใครหนอจะคาดคิด!


 


 


“เชียนเยี่ยเสวี่ยเจ้าทำร้ายพ่อบังเกิดเกล้า เจ้าจะต้องไม่ตายดี!”


 


 


พลันก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังแว่วออกมา


 


 


หูจื้อเหนิงยังคิดเรื่องราวเหล่านี้ออก แน่นอนว่าเชียนลั่วเฉิงก็น่าจะเดาเรื่องออกตั้งนานแล้วเช่นกัน


 


 


ความฝันที่จะได้เป็นฮ่องเต้ของเขา ถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยดับฝันจนพังทลาย แม้แต่ชีวิตเขาก็ยังต้องเอามาทิ้งไว้ที่นี่!


 


 


เขาไม่ต้องตายเพราะถูกหมาป่าจับไปเป็นอาหาร แต่กลับต้องตายด้วยน้ำมือลูกชายแท้ๆ ของเขาเอง ทำให้เชียนลั่วเฉิงรู้สึกว่าตนช่างเหมือนกับโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าจริงๆ


 


 


ลูกชายสองคน คนหนึ่งใช้สมอง คนหนึ่งใช้กำลัง พวกเขาสมกับเป็นลูกชายคนดีของเขาจริงๆ เลย!


 


 


ในตอนนี้เชียนเจิ้นหยางเสียสติไปเสียแล้ว หากไม่สังหารเชียนลั่วเฉิง ไหนเลยจะดับความคั่งแค้นและความเสียใจของเขาลงได้


 


 


หลิวกุ้ยเฟยตายแล้ว ลูกของเขาก็ไม่เหลือ!


 


 


หนึ่งศพสองชีวิต ทำให้เชียนเจิ้นหยางเป็นบ้าไปในที่สุด!


 


 


“เชียนเจิ้นหยาง ข้าคือเสด็จพ่อเจ้า! ข้าคือเสด็จพ่อของเจ้า!”


 


 


เชียนลั่วเฉิงที่นอนจมกองเลือดอยู่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด ด้วยการปลุกความทรงจำที่มีความผูกพันอันลึกซึ้งของพ่อลูกระหว่างตนเองและเชียนเจิ้นหยางขึ้นมา


 


 


“เสด็จพ่อ พ่อหรือ ฮ่าๆ!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร วันนี้ท่านต้องตายอยู่ดี!”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ เชียนเจิ้นหยางก็ปล่อยกระบี่ร่วงลงที่พื้น หยิบไหสุรามากอดไว้ แล้วราดสุราลงบนร่างของเชียนลั่วเฉิง


 


 


“อ๊าก!”


 


 


สุราดีกรีร้อนแรงผสมรวมกับเลือดและเนื้อ อาการปวดแสบปวดร้อนทรมานจนเกือบเอาชีวิตเขา เจ็บปวดเสียจนเชียนลั่วเฉิงต้องนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น


 


 


“ช่วยด้วย! ใครมาช่วยข้า ข้าจะแต่งตั้งเป็นขุนนางขั้นหนึ่ง!”


 


 


ขุนนางขั้นหนึ่ง


 


 


ข้อเสนอนี้น่าสนใจยิ่งนัก แต่ทว่าใครเล่าจะกล้าล่วงเกินเชียนเยี่ยเสวี่ยเพียงเพราะเชียนลั่วเฉิงได้           ยิ่งกว่านั้นเรื่องทั้งหมดนี้ เชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นผู้วางแผนทั้งหมด หากเพียงเพื่อตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่ง ถึงกับกล้าต่อกรราชันจักรพรรดิ นั่นเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ!


 


 


“ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก ไม่มีใครมา!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางหัวเราะเยาะ แล้วทุ่มไหสุราอีกไหจนแตก จากนั้นราดสุราลงบนร่างของตนเองและหลิวกุ้ยเฟย


 


 


ราวกับล่วงรู้ว่าเชียนเจิ้นหยางต้องการจะทำอะไรต่อไป สองมือของเชียนลั่วเฉิงตะเกียกตะกายขึ้นมา


 


 


ไอ้คนบ้าคลั่งนี่ มันจะวางเพลิง


 


 


เขาเป็นบ้าไปแล้ว!


 


 


แต่ทว่า ไม่ว่าเชียนลั่วเฉิงจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหนีพ้นเพลิงมรณะไปได้


 


 


เชียนเจิ้นหยางหมุนปลอกตะกรันไฟไม้ไผ่ออกแล้วทิ้งลงบนพื้น


 


 


พรึบ…


 


 


ฉับพลัน เปลวเพลิงก็ติดขึ้นแล้วลามไปตามแนวสุราที่ราดรดอยู่บนพื้นราวกับกำแพงไฟ


 


 


เปลวเพลิงสีแดงฉานก็ลามมาถึงร่างเชียนลั่วเฉิงในเวลาไม่นาน ร่างเขาก็กลายเป็นมนุษย์อัคคีที่มีเปลวไฟแผดเผาทั่วร่าง


 


 


“อ๊าก! ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”


 


 


เชียนลั่วเฉิงที่ไร้ซึ่งขาซ้ายกระโดดไปมาด้วยขาเพียงขาเดียว เขาพยายามตะเกียกตะกายไปด้านนอก


 


 


เขาไม่อยากตาย และยังตายไม่ได้!


 


 


เขายังอยากเป็นฮ่องเต้!


 


 


“คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางเห็นดังนั้น ก็เดินเข้าไปกอดเชียนลั่วเฉิงเอาไว้ คนทั้งสองเกลือกกลิ้งไปมาท่ามกลางทะเลเพลิง


 


 


“ข้าจะฆ่าเจ้าแก้แค้นให้เสด็จแม่!”


 


 


ไฟบรรลัยกัลป์ โหมกระหน่ำ


 


 


ไม่นานเปลวเพลิงก็ลุกไหม้ ตำหนักจันทราทั้งตำหนัก


 


 


“เยี่ยนอ๋อง ไม่ช่วยดับไฟหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ควันกลุ่มใหญ่พวยพุ่งออกมาจากตำหนัก หูจื้อเหนิงเปียกปอนไปทั้งร่างกล่าวถามขึ้น


 


 


“สถานที่สกปรกโสโครกเช่นนั้น ไหม้ไปน่ะดีแล้ว!”


 


 


เมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวออกมาเช่นนั้น หูจื้อเหนิงจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ ฟังเสียงร้องโหยหวนของเชียนลั่วเฉิงที่เบาลง อ่อนลง จนเงียบลงไปในที่สุด พร้อมๆ กับหัวใจเขาที่หนาวเหน็บมากขึ้นไปด้วย


 


 


บึ้ม!


 


 


ในขณะที่เปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำเริ่มลามไปยังตำหนักข้างเคียงนั่นเอง จู่ก็มีฟ้าผ่าลงมาหลังจากนั้นฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว


 


 


ซ่า!


 


 


ซ่า!


 


 


ฝนเม็ดใหญ่เทลงมาที่ตำหนักจันทรา ทำให้เปลวไฟที่เดิมทีกำลังโหมกระหน่ำถูกดับลงด้วยห่าฝนขนาดใหญ่ที่ตกลงมาอย่างฉับพลันนี้


 


 


สิ่งที่บังเอิญนั่นก็คือ หลังจากที่ตำหนักจันทรามอดไหม้เป็นจุณแล้ว ฝนห่านั้นก็หยุดลงไปเสียเฉยๆ


 


 


“ช่างเป็นฝนที่ตกลงมาได้ทันเวลาพอดิบพอดี…”


 


 


อวี้เฟยเยียนเอ่ยขึ้น


 


 


เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงตะวันที่ส่องแสงร้อนแรงตรงกลางศีรษะ หาได้มีเงาแห่งความมืดดำและความขมขื่นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว


 


 


ขณะเดียวกันที่บนแผ่นฟ้า ยังปรากฏสายรุ้งที่แสนงดงามขึ้นมาด้วย


 


 


มีคนเข้าไปตรวจสอบศพที่อยู่ภายในตำหนักจันทรา ไม่นานก็วิ่งซอยเท้าลนลานออกมารายงานให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ยได้รู้


 


 


“ท่านอ๋อง มีศพเพียงศพเดียว!”


 


 


เห็นชัดๆ ว่าด้านในมีคนอยู่สามคน แล้วเหตุใดจึงมีศพเพียงศพเดียว


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยและอวี้เฟยเยียนเดินเข้าไปในตำหนัก หลังจากที่ตรวจสอบศพแล้ว อวี้เฟยเยียนจึงเงยหน้าขึ้น    


 


 


“เขาคือเชียนลั่วเฉิง”


 


 


เชียนลั่วเฉิงตายแล้ว ส่วนเชียนเจิ้นหยางนำศพของหลิวกุ้ยเฟยหนีไป


 


 


“ท่านอ๋อง ต้องตามไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หูจื้อเหนิงก้าวออกมาในทันที เพื่อแสดงความจงรักภักดี


 


 


“ช่างเถอะ…”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยโบกไม้โบกมือปฏิเสธ


 


 


“ต่อให้เขายังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่มีพิษมีภัยอะไรกับข้าได้อีกแล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ!”

 

 

 


ตอนที่ 104-2 คนโกหก ลงโทษ!

 

สำหรับความรู้สึกของเชียนเยี่ยเสวี่ยที่มีต่อเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยนั้นคือ โกรธเคือง


 


 


แต่หากเปรียบเทียบกับคนทั้งสองแล้ว คนที่เชียนเยี่ยเสวี่ยแค้นเคืองที่สุดนั่นก็คือเชียนลั่วเฉิง


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่หาเรื่อง คิดแค้นเคืองฉู่ฮองเฮานั่นก็คือเชียนลั่วเฉิง เย็นชา ละเลยฉู่ฮองเฮานั่นก็คือเขาอีก! หากไม่มีเชียนลั่วเฉิงคอยให้ท้ายและสนับสนุน หลิวกุ้ยเฟยไหนเลยจะบังอาจถึงเพียงนี้ได้ ที่นางกล้าถึงขนาดท้าทายฮองเฮา ก็มิใช่เพราะใช้อำนาจของเชียนลั่วเฉิงที่คอยให้ท้ายหรอกหรือ!


 


 


หากจะกล่าวให้ถูกต้องละก็ เชียนลั่วเฉิงต่างหากคือตัวการสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมที่แสนเลวร้ายในชีวิตฉู่ฮองเฮา


 


 


เขาต่างหากที่สมควรถูกสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น สมควรตายหมื่นครั้ง!


 


 


เมื่อออกมาจากตำหนักจันทรา ท่าทีเชียนเยี่ยเสวี่ยแลดูอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


เชียนลั่วเฉิงต้องมาตายแบบนี้ ตายด้วยน้ำมือของบุตรชายที่เขารักที่สุด ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นไปตามสิ่งที่เชียนเยี่ยเสวี่ยวางแผนเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน


 


 


ทว่าเมื่อหมดสิ้นซึ่งความแค้นที่มีต่อเชียนลั่วเฉิง จู่ๆ นางก็รู้สึกราวกับว่าสูญเสียจุดมุ่งหมายและแรงขับเคลื่อนในชีวิตไป!


 


 


“ช่าช่า ไปที่ตำหนักเย็นเป็นเพื่อนข้าที ข้าอยากจะไปดูสถานที่สุดท้ายก่อนเสด็จแม่จากไป!”


 


 


“ได้สิ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนไปที่ตำหนักเย็นเป็นเพื่อนเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


เมื่อได้มาเห็นอักษรเลือดที่หน้าประตูตำหนักเย็น ที่เขียนตัวโตว่า ‘ใส่ร้าย’ เข้า


 


 


ปึก!


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ถึงกับทรุดลงคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่ำไห้อย่างน่าเวทนา


 


 


“เสด็จแม่! เสด็จแม่…”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยโขกศีรษะลงกับพื้น ทำให้หินขรุขระบนพื้นเสียดสีกับผิวที่ขาวสว่างของนางจนเลือดอาบใบหน้า


 


 


อวี้เฟยเยียนที่อยู่เคียงข้างก็มิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด อดกลั้นเอาไว้มานาน เวลานี้เชียนเยี่ยเสวี่ยต้องการที่จะระบายมันออกมา


 


 


จวบจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงชันกายลุกขึ้นมาด้วยอาการซวนเซ


 


 


“ช่าช่า ข้าไม่เป็นไรแล้ว! พวกเราไปกันเถอะ!”


 


 


เหลือบมองตำหนักเย็นที่เงียบเหงาว้าเหว่อีกครั้ง เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงได้หมุนกายแล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย


 


 


เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในวังหลวง ไม่นานก็แพร่สะพัดออกไป


 


 


หลิวกุ้ยเฟยและเชียนเจิ้นหยางสังหารโหดเชียนลั่วเฉิง ทิ้งศพในป่าร้าง ยังดีเชียนลั่วเฉิงดวงแข็งถูกอวี้หลัวช่าช่วยชีวิตเอาไว้ได้ หลังจากเยี่ยนอ๋องรับเชียนลั่วเฉิงกลับวังนั่นเอง เยี่ยนอ๋องและเชียนลั่วเฉิงพบกับหลิวกุ้ยเฟยและเชียนเจิ้นหยางที่ลักลอบคบชู้สู่ชายเข้า ระหว่างที่ทะเลาะกันนั้น เยี่ยอ๋องสังหารเชียนลั่วเฉิง แล้วใช้โอกาสนั้นหลบหนีไป…


 


 


ความจริงย่อมยังพลิกผันเปลี่ยนแปลงมากกว่าในนิทานมากนัก


 


 


ที่หน้าประตูวังหลวงปิดประกาศตามจับที่ให้ราคานำจับสูงลิ่ว


 


 


จับเชียนเจิ้นหยางได้ ตกรางวัลหนึ่งพันตำลึงทอง เพื่อเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงทอง ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงก็เริ่มปฏิบัติการตามหาเชียนเจิ้นหยาง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่มีใครตามหาเยี่ยอ๋องที่หายสาบสูญไปเจอ


 


 


ในขณะที่ออกตามหาเยี่ยอ๋องนั่นเอง ก็มีผู้พบศพสองศพที่ใต้สะพานคูเมือง จึงรีบไปแจ้งทางการทันที


 


 


เพียงแต่ว่าศพทั้งสองศพนั้นถูกเผาจนไหม้เกรียมจำเค้าเดิมไม่ได้ แยกแยะได้แต่เพียงว่าเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายอุ้มผู้หญิงเอาไว้แน่น แม้แต่ตายก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องใช้เสื่อห่อทั้งคู่ขึ้นมา แล้วเอาไปทิ้งที่สุสานร้างนอกเมือง


 


 


รถม้าที่นำศพมาทิ้งเพิ่งจะแล่นออกไป บรรดาผึ้งและหมาป่าที่รอคอยอยู่ในสุสานร้างนั้นต่างก็พาเข้ามารุมทึ้งกัดกินศพทันทีจนเละเทะ


 


 


พวกมันหิวโซมาหลายวัน ในที่สุดครั้งนี้ก็ได้อิ่มท้องไปอีกมื้อ


 


 


ในขณะที่ทุกคนคิดไปว่าเชียนเยี่ยเสวี่ยจะขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นนั่นเอง เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ออกหนังสือ ‘ประกาศทั่วหล้า’


 


 


เนื้อหาใน ประกาศแห่งนี้เขียนไว้ว่า เชียนเยี่ยเสวี่ยสละตำแหน่งฮ่องเต้ ฉินจื้อจะยอมสวามิภักดิ์แก่ต้าโจว ขณะเดียวกันนางก็ขอให้สหายที่รักของนาง ปรมาจารย์อวี้หลัวช่าคุ้มครองฉินจื้อ เพื่อป้องกันมิให้ประชาชนชาวฉินจื้อต้องพบกับการปฏิบัติที่อยุติธรรมภายหลังจากยอมสวามิภักดิ์ให้แก่ต้าโจว


 


 


ขณะเดียวกันซย่าโหวจวินอวี่ก็แสดงการตอบรับด้วยการให้คำมั่นสัญญาว่า จะปฏิบัติต่อประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาค พร้อมกันนั้นเขายังแต่งตั้งอวี้หลัวช่าเป็นองค์หญิงหลิงอวี้ แล้วเปลี่ยนชื่อแคว้นฉินจื้อใหม่เป็นเขตปกครองปรมาจารย์ เพื่อให้เป็นเขตปกครองในอาณัติของอวี้หลัวช่า


 


 


คราวนี้ ประชาชนทั้งสองแคว้นถึงกับตกตะลึงไปตามๆ กัน


 


 


ที่แท้แล้วปรมาจารย์ที่ปรากฏบนแผ่นดินผู้นั้นก็คือ อวี้หลัวช่า!


 


 


มิน่าเล่าเยี่ยหงหน้าโง่หลังจากที่อวี้หลัวช่าปรากฏตัว นางก็กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


ที่แท้แล้วนางก็คือปรมาจารย์จอมปลอม เมื่อต้องมาเจอกับปรมาจารย์ตัวจริงเข้า แล้วจะไม่ให้นางเป็นวัวสันหลังหวะได้อย่างไรกัน!


 


 


ประชาชนชาวฉินจื้อไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรมากมายกับการที่แคว้นฉินจื้อต้องกลายเป็นเพียงเขตปกครอง การไม่มีศึกสงคราม ไม่ล้มตาย ดำรงชีวิตสงบสุขและร่มเย็นต่างหากจึงเป็นความปรารถนาสูงสุดของพวกเขา


 


 


ยิ่งกว่านั้นยังมีปรมาจารย์คอยคุ้มครองพวกเขา คิดไปแล้ว เขตปกครองปรมาจารย์ยังเหนือกว่าต้าโจวเสียอีก!


 


 


เพราะต้าโจวมีเพียงจอมเทวา แต่พวกเขามีปรมาจารย์!


 


 


องค์หญิงหลิงอวี้ เขตปกครองปรมาจารย์…


 


 


ฮ่องเต้และเชียนเยี่ยเสวี่ย ร่วมมือกัน ตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


พวกเขาจัดแจงทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยลับหลังนางเช่นนี้ มันจะดีหรือ


 


 


เมื่อเผชิญหน้ากับอวี้เฟยเยียน เชียนเยี่ยเสวี่ยถึงกับกระแอมในลำคอเพื่อทดสอบเสียงครั้งหนึ่งเรียกความมั่นใจ แล้วจึงกล่าวว่า


 


 


“ช่าช่า ข้าเป็นผู้หญิง เรื่องนี้ปกปิดเอาไว้ในช่วงหนึ่ง ปิดบังไม่ได้ตลอดไป อีกทั้งข้าไม่ชอบวังหลวง ยิ่งไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ”


 


 


“พวกเรามิใช่ตกลงกันเอาไว้แล้วหรือว่าจะท่องยุทธภพด้วยกัน หากไม่สลัดสถานะนี้ให้หลุดละก็ ข้าจะไปกับเจ้าได้อย่างไรกัน!”


 


 


“สำหรับเรื่องซย่าโหวจวินอวี่แต่งตั้งข้าเป็นอ๋อง เหตุใดข้าถึงไม่รับ คำตอบง่ายนิดเดียว ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวใดๆ กับสิ่งที่ผ่านมาอีก และไม่ต้องการถูกจำกัดเอาไว้ด้วยสิ่งของนอกกายเหล่านั้นด้วย ครั้งนี้ ข้าอยากเป็นตัวของตัวเอง”


 


 


“แต่เจ้าก็ไม่ควรผลักฉินจื้อมาให้ข้านี่นา!”


 


 


อวี้เฟยเยียนถึงกับพูดไม่ออก เมื่อได้ฟังคำตอบของเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


“ข้าก็รักในอิสรเสรี ไม่ชอบที่จะถูกจำกัด ยิ่งกว่านั้นเรื่องหยุมหยิมซับซ้อนวุ่นวายเหล่านั้น ข้าทำไม่เป็นสักอย่าง สิ่งที่ข้าศึกษาคือวิชาแพทย์ ไม่ใช่การปกครอง!”


 


 


“เจ้าทำเช่นนี้ พวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่หรือไม่”


 


 


“แน่นอนสิ ช่าช่า ยังมีซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ทั้งคนมิใช่หรือ! ทุกอย่างทิ้งให้ซย่าโหวฉิงเทียนจัดการ!”


 


 


พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา


 


 


เมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยกล่าวถึงซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวฉิงเทียนตัวจริงก็มายืนอยู่ที่หน้าประตู


 


 


“เอ่อ ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว!”


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าที่โหยหด้วยความคิดถึงมาหลายวันของซย่าโหวฉิงเทียน เชียนเยี่ยเสวี่ยก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้อวี้เฟยเยียนพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินออกจากห้องไป


 


 


ปัง…


 


 


หลังเชียนเยี่ยเสวี่ยกลับออกไป ประตูก็ถูกปิดโดยซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


วินาทีต่อมา อวี้เฟยเยียนก็ถูกรั้งเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น


 


 


“ออกไป เหม็นเหงื่อไปทั้งตัว”


 


 


ได้กลิ่นกายซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนก็มั่นใจในทันทีว่าเขาจะต้องเหนื่อยจากการเร่งรีบเดินทางมาอย่างแน่นอน


 


 


กลิ่นพลังหยางของบุรุษหนุ่มผสมรวมกับกลิ่นเหงื่อไคล กลิ่นความเป็นบุรุษทำเอาอวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงซ่าน


 


 


หากเป็นเมื่อก่อนอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องรีบไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเป็นอันดับแรก


 


 


แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน!


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองต้องห่างจากกันเป็นเวลานานหลายวันกว่าจะได้เจอหน้ากัน แล้วซย่าโหวฉิงเทียนจะปล่อยอวี้เฟยเยียนไปได้อย่างไร


 


 


“นี่ กำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ!”


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่เงียบไม่โต้ตอบสักคำราวกับท่อนไม้ก็ไม่ปาน อวี้เฟยเยียนก็ใช้มือจิ้มไปที่อกของเขาร้องขึ้น


 


 


“แมวน้อย เจ้าคิดถึงพี่หรือไม่”   


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหลับตาลง สูดดมเอากลิ่นอายความหอมหวานเฉพาะตัวของอวี้เฟยเยียนเข้าไปเต็มปอด แล้วใช้คางที่เริ่มมีหนวดหร็อมแหร็มทิ่มหน้าผากเกลี้ยงเกลาของนางอย่างแผ่วเบา


 


 


“เจ้าคิดถึงพี่มากใช่หรือไม่”

 

 

 


ตอนที่ 104-3 คนโกหก ลงโทษ!

 

ได้ยินดังนั้นอวี้เฟยเยียนก็หัวเราะเยาะนิดๆ กล่าวว่า


 


 


“จะมีใครหลงตัวเองเช่นท่านอีกหรือไม่นะ”


 


 


“รีบบอกพี่มาเร็วเข้า! ตกลงเจ้าคิดถึงพี่หรือไม่! หากเจ้าไม่พูดพี่จะใช้หนวดทิ่มเจ้า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนโอบกอดอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


 


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมาในหัวสมองเขาเต็มไปด้วยภาพของอวี้เฟยเยียน แม้กระทั่งในฝันก็ยังเป็นดวงหน้างดงามพริ้มเพรา รอยยิ้มและน้ำเสียงหวานใสไพเราะของนาง


 


 


จนซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนางมิใช่เพียงคำว่า ‘ชอบพอ’ ธรรมดาจะสามารถบรรยายได้ เขาขาดจากนางไม่ได้ เขาอยากที่จะอยู่กับนางไปชั่วนิจนิรันดร์!


 


 


เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าในใจของอวี้เฟยเยียนคิดอย่างไร


 


 


หากเป็นเขาที่หลงใหลโง่งมอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่นางมิได้รู้สึกแบบเดียวกันเลยแม้แต่น้อยล่ะก็ มันจะน่าเสียดายเพียงไหนกัน! เขาจะต้องผิดหวังและเสียใจมากเป็นแน่


 


 


มองดูซย่าโหวฉิงเทียนที่ทำท่าเอาแต่ใจราวกับเด็กน้อย อวี้เฟยเยียนก็เอื้อมมือไปโอบรอบคอเขาเอาไว้


 


 


“ฉิงเทียน ข้าคิดถึงเจ้า!”


 


 


ว่าแล้วอวี้เฟยเยียนก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


 


“ในสมอง ในหัวใจของข้าล้วนมีแต่เจ้า!”


 


 


“เจ้าคิดถึงพี่เช่นเดียวกับที่พี่คิดถึงเจ้าใช่หรือไม่” ซย่าโหวฉิงเทียนรุกถามต่อ เพียงประโยคเดียวก็แสดงออกความคิดอ่านที่แท้จริงของซย่าโหวฉิงเทียนออกมา


 


 


อวี้เฟยเยียนได้ยินก็ยิ้มล้อเลียนซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ที่แท้แล้วท่านคิดถึงข้ามากคิดถึงมากเลยสิท่า!”


 


 


ถูกแมวน้อยหัวเราะล้อเลียน ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับทำสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


“พี่คิดถึงเจ้ามาก มากถึงมากที่สุด! มากกว่ามากอีกเป็นร้อยเท่า! ไม่สิ เป็นพันเท่า!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวด้วยความมั่นใจ ความขึงขังจริงจังของเขาทำให้อวี้เฟยเยียนมีความสุขยิ่งนัก


 


 


เช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ


 


 


เมื่อได้รู้ว่าช่วงเวลาที่ห่างกันซย่าโหวฉิงเทียนคิดถึงคะนึงหานางอย่างมากเช่นเดียวกัน อวี้เฟยเยียนก็พึงพอใจยิ่งนัก มิใช่ว่าให้นางเอาแต่คิดคำนึงหาเขาเพียงฝ่ายเดียว แต่เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องฆ่าฟันเท่านั้น!


 


 


เรียนรู้ที่จะคิดถึง ครั้งนี้นับว่าซย่าโหวฉิงเทียนมีความก้าวหน้า!


 


 


การพบกันหลังจากห่างไกลกันในช่วงเวลาสั้นๆ นำมาซึ่งผลลัพธ์นั่นก็คือ ซย่าโหวฉิงเทียนหน้าด้านหน้าทนเอาแต่ร่ำร้องจะให้อวี้เฟยเยียนถูหลังให้เขาท่าเดียว


 


 


โดยซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับเอ่ยปากว่า หากอวี้เฟยเยียนไม่ช่วยถูหลังให้กับเขาละก็ เขาจะไม่อาบน้ำตลอดไป เขาจะทำให้กลิ่นอายความเป็นผู้ชายที่ติดตัวเขาเข้มข้นมากยิ่งขึ้น!


 


 


ซึ่งอวี้เฟยเยียนถึงกับพูดไม่ออก


 


 


แล้วไอ้ความรักสะอาดของท่านเล่า


 


 


ใครๆ ต่างก็บอกว่าหลินเจียงอ๋องรักความสะอาดอย่างยิ่งมิใช่หรือ


 


 


“อากาศร้อน หากไม่อาบน้ำล่ะก็ ท่านไม่ทรมานหรืออย่างไร”


 


 


ทว่าครั้งนี้ซย่าโหวฉิงเทียนกลับตัดสินใจแน่วแน่ หลังเขายืนหยัดมาหนึ่งวันเต็ม ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เป็นฝ่ายยกธงขาวยอมแพ้


 


 


ยังดีที่ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ในวังหลวงแห่งแคว้นฉินจื้อแล้ว ดังนั้นจึงมีทั้งห้องอาบน้ำขนาดมหึมาและน้ำที่พร้อมจะสนองให้ได้อย่างเต็มที่


 


 


กระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนโถมร่างเข้าใส่อ่างน้ำอุ่น อวี้เฟยเยียนถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ทั้งๆ ที่อายุอานามก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เหตุใดกลับทำตัวคล้ายเด็กน้อยขึ้นไปทุกวัน


 


 


ไม่ทันทีนางจะได้วิเคราะห์ว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนแสดงออกมานั้นว่าผิดแผกไปจากปกติหรือไม่ ร่างของนางก็ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลเหนี่ยวรั้งลงไปในน้ำเสียแล้ว


 


 


“แค่กๆ!”


 


 


สำลักน้ำเข้าไปอึกใหญ่ก่อนที่อวี้เฟยเยียนจะโผล่พ้นขึ้นเหนือน้ำ นางจึงถลึงตาจ้องหน้าตัวต้นเหตุอย่างซย่าโหวฉิงเทียนเขม็ง


 


 


ไม่ต้องรอให้นางเรียกขาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทำตัวราวกับปลาก็ไม่ปาน ว่ายน้ำเข้าไปหานางที่ข้างกายแล้วใช้จุมพิตลึกซึ้งปิดริมฝีปากนางเอาไว้


 


 


แม่เจ้า…


 


 


มิใช่พูดกันชัดเจนแล้วหรือว่าแค่ถูหลังเท่านั้น เหตุใดถึงกลายเป็นนกยวนยางเคียงคู่ไปได้นะ อวี้เฟยเยียนยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจก็ถูกจูบจนหูตาอื้ออึง หัวสมองว่างเปล่าไปหมด


 


 


จนในที่สุดเมื่อนางได้สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปนั่นเอง นางจึงเพิ่งค้นพบว่า หมอนี่ลอกคราบนางไปกว่าครึ่ง ตอนนี้บนร่างนางเหลือเพียงชุดชั้นในและกางเกงชั้นในเท่านั้นเอง


 


 


“เดี๋ยว! ท่านกำลังทำอะไร!”


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนใช้สายตาอยากรู้อยากเห็นมองสำรวจสิ่งที่นางสวมใส่อยู่ อวี้เฟยเยียนก็ตกใจจนถลึงตาโตแล้วกระเถิบถอยห่างออกไปไกล


 


 


“เจ้าสวมอะไรน่ะ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวตั้งคำถาม


 


 


เอี๊ยมตัวน้อยและกางเกงขายาวของอวี้เฟยเยียนไปอยู่เสียที่ไหนกัน


 


 


เหตุไฉนถึงได้กลายเป็นชุดที่แปลกประหลาดหายากเช่นนี้…


 


 


แต่มันก็ดูสวยดีทีเดียว!


 


 


ส่วนบนเศษผ้าสีชมพูสองชิ้นห่อหุ้มกระต่ายน้อยเอาไว้ ลวดลายจับจีบเป็นครึ่งวงกลมเว้าลงไป มองดูแล้วทำให้เลือดในกายของเขาสูบฉีดแล่นพล่าน


 


 


ยังมีส่วนล่างเศษผ้าสามเหลี่ยม ที่ปกปิดน้องสาวน้อยๆ ของนางเอาได้พอดิบพอดี


 


 


เรือนร่างที่เดิมทีซุกซ่อนความเปล่งปลั่งสาวสะพรั่งของนาง ถูกจ้องมองอย่างโจ่งแจ้ง ไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย วินาทีนั้นทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับรู้สึกว่าอากาศเร่าร้อนขึ้นมาฉับพลัน


 


 


แต่เขาหารู้ไม่ว่า เป็นเพราะว่าอากาศร้อนนี่แหละ อวี้เฟยเยียนถึงได้เชิญช่างมาตัดเย็บชุดชั้นในเอาไว้ตั้งหลายชุดโดยใช้ชุดบิกีนีในยุคสมัยของนางในชาติปางก่อนเป็นต้นแบบ


 


 


เพิ่งจะได้สวมใส่ ซย่าโหวฉิงเทียนก็กลับมาพอดี


 


 


มาเร็วยังมิสู้มาด้วยความบังเอิญจริงๆ นะ!


 


 


“ท่าน อย่าเข้ามานะ!”


 


 


จากสายตาที่ร้อนแรงของซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนถึงกับมองเห็นภาพจิ้งจอกผู้หิวโหยเลยทีเดียว


 


 


พี่ชายท่านนี้ ถึงแม้ว่าพี่สาวอยากกลืนกินเจ้าใจจะขาด แต่เหตุการณ์ฉับพลันทันด่วน ทั้งยังในน้ำอีกด้วย มันช่างไม่สวยงามเอาเสียเลย


 


 


อวี้เฟยเยียนรีบแหวกว่ายหนีไปที่บริเวณบันไดหยกในเร็วพลัน


 


 


หญิงสาวผิวขาวเนียนละเอียด เรียวขายาวกำลังตีขาแหวกว่ายในสายน้ำ หยาดน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้างราวกับมัจฉาสีเงิน ที่กำลังแหวกว่ายออกจากหัวใจของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


นางหลบหลีก เขาไล่ตาม!


 


 


ห่างจากบันไดหยกอีกเพียงขั้นเดียว ข้อเท้าของอวี้เฟยเยียนก็ถูกซย่าโหวฉิงเทียนคว้าเอาไว้ได้


 


 


“แมวน้อย อย่าเพิ่งไป…”


 


 


เสียงซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมทีจะต้องเสียงดังฟังชัด ทว่าในตอนนี้กลับเจือไว้ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


 


 


หากมองจากมุมของเขา ก็จะสามารถมองเห็นแก้มก้นน้อยๆ ที่โด่งขึ้นของอวี้เฟยเยียนได้อย่างชัดเจน วินาทีนั้น ไฟปรารถนาร้อนแรงลุกโชนอยู่ในร่างกายซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เสียงเรียกร้องสัตว์ร้ายในร่างเขาร้องตะโกนดังกึกก้อง


 


 


กินนางเข้าไปเสีย! กินนางเสียเถอะ!


 


 


ไม่ได้!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนสะบัดหัวไปมาอย่างรุนแรงเพื่อไล่ความคิดนั้น


 


 


ตอนนี้ไม่ได้!


 


 


แมวน้อยยังเป็นเพียงปรมาจารย์เท่านั้น ยังมิอาจฝึกร่วมได้!


 


 


อีกทั้งแมวน้อยยังเด็กเกินไปที่จะมีไอ้เด็กเปรต เด็กเปรตน้อยน่ารำคาญที่สุด!


 


 


ไม่เอาเด็กเปรต…


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหลับตาลงแล้วท่องเอาไว้ในใจคนเดียว


 


 


กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จนอวี้เฟยเยียนเริ่มที่จะเบื่อหน่าย นางจึงหันกลับไปมอง ก็พบว่าซย่าโหวฉิงเทียนยังอยู่ในน้ำเช่นเดิม เขากำลังหลับตาปากก็พร่ำสวดอะไรบางอย่างราวกับหลวงจีนที่กำลังสวดภาวนาอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ดีนี่นา!


 


 


เดินทีนางยังคิดว่าเกมไล่ล่าครั้งนี้ ภายหลังจะกลายเป็นหนังรักไปเสียแล้ว


 


 


สุดท้าย พระเอกของเรื่องดันไม่ให้ความร่วมมือเสียนี่!


 


 


สิ้นเปลืองชุดบิกินี่สีชมพูแสนสวยชุดนี้ของนางจริงๆ เลย!    


 


 


ผู้หญิงมักจะสับสนทั้งยังขัดแย้งในตัวเองเช่นนี้เสมอ อวี้เฟยเยียนก็เช่นเดียวกัน


 


 


หากซย่าโหวฉิงเทียนทำอะไรขึ้นมาจริงๆ นางก็คงตื่นกลัวราวกับกระต่ายน้อยก็ไม่ปานเป็นแน่ แต่หากรอจนกระทั่งเขามาเป็นสามีนางเสียก่อนละก็ นางกลับรู้สึกเสียใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น


 


 


กระทั่งอวี้เฟยเยียนกลับมาอยู่ที่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียน เขาลืมตาขึ้น แววตากลับแววใสเป็นประกาย


 


 


“มา ถูหลังให้พี่ที!”

 

 

 


ตอนที่ 104-4 คนโกหก ลงโทษ!

 

 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือออกมาแล้วโยนผ้าขนหนูผืนน้อยพาดปิดที่หน้าอกของอวี้เฟยเยียนเพื่อปกปิดความงดงามนั้นเอาไว้พอดิบพอดี ใจเขาจะได้ไม่กระเจิดกระเจิงฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก


 


 


“ถูหลัง!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหมุนกายหันหลังให้กับอวี้เฟยเยียน


 


 


ไร้อารมณ์สุนทรีย์!


 


 


อวี้เฟยเยียนทำหน้าบูดหน้างอขณะที่ถูหลังให้กับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างขะมักเขม้น


 


 


ในขณะที่ถูหลังให้เขานั่นเอง อวี้เฟยเยียนก็พบเข้ากับปัญหาคาใจ


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนกรำศึกผ่านสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเรือนร่างของเขากลับเนียนละเอียดราวกับแผ่นหยกไม่มีร่องรอยบาดแผลเลยแม้แต่น้อย


 


 


ทำร้ายคนอื่นไม่ทำร้ายตัวเอง! ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย!


 


 


สัมผัสที่อ่อนโยนนุ่มนวลที่แผ่นหลัง ทำให้ร่างกายที่ขัดเกร็งของซย่าโหวฉิงเทียนผ่อนคลายลง


 


 


สบายจริงเชียว!


 


 


ความผ่อนคลายสบายตัวเช่นนี้ มักจะมาจากใจที่สงบสุข


 


 


บ้านคือที่พักกายพักใจที่ทำให้เราสบายใจที่สุด


 


 


การได้อยู่ข้างกายอวี้เฟยเยียน ทำให้เขาจิตใจสงบลงทั้งยังรู้สึกเป็นสุข ความบ้าคลั่งร้อนรนในจิตใจถูกสยบลงด้วยความอ่อนโยนของนาง ต่อให้เขากลายเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แต่ต่อหน้านางเขาก็สามารถอ่อนโยนลงได้


 


 


คงจะเป็นความรู้สึกของครอบครัวนั่นเอง!


 


 


เขาหวังว่าสภาวะเช่นนี้จะดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน ชั่วนิจนิรันดร์ไม่สิ้นสุดลงเพียงแค่วันนี้…


 


 


เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่เหลียนจิ่นเคยกล่าวเอาไว้ ‘กลายเป็นเทพ’ จึงเป็นวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุด แววตาซย่าโหวฉิงเทียนก็มุ่งมั่นหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


ขั้นสูงสุดของเทพเจ้านั่นก็คือมหาเทพ


 


 


มหาเทพ จึงจะถือว่าเป็นเทพที่แท้จริง


 


 


แต่ในประวัติมวลมนุษยชาติที่ผ่านมาไม่เคยมีบันทึกว่าเคยบังเกิดมหาเทพขึ้นมาก่อน


 


 


บางทีคำตอบเหลียนจิ่นอาจเป็นเพียงแค่ความหวังเป็นความฝันที่ยากจะสำเร็จได้


 


 


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็จะสู้สุดกำลังสักครั้งเพื่อแมวน้อย!


 


 


“แมวน้อย”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเรียกขานนางเสียงแผ่วเบา


 


 


“หืม”


 


 


“แมวน้อย!”


 


 


“มีอะไรหรือ”


 


 


“แมวน้อย…”


 


 


“มีอะไรก็รีบพูดมา!”


 


 


มือที่กำลังถูหลังซย่าโหวฉิงเทียนอยู่ของอวี้เฟยเยียนชะงักงัน


 


 


“ไม่มีอะไร พี่เพียงแต่อยากได้ยินเสียงเจ้าเท่านั้น ให้แน่ใจว่าเจ้าอยู่ข้างกายพี่ พี่มีความสุขมาก จริงๆ นะ!”


 


 


หลังจากซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ที่เบื้องหลังของเขาก็ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ


 


 


จนกระทั่งเขาหมุนกายหันกลับไปมองจึงพบว่าอวี้เฟยเยียนตาแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้า ทำเอาเขาถึงกับร้อนรนรีบรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอดปลุกปลอบว่า


 


 


“เป็นอะไร ใครรังแกเจ้ากัน”


 


 


“มีแต่ท่านนั่นแหละที่รังแกข้าได้!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกัดริมฝีปากแน่น ตาก็จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนเขม็ง


 


 


“ท่านพูดคำหวานที่น่าขนลุกนั่นทำไมกัน! ทำให้คนเขาฟังแล้วอยากจะร้องไห้!”


 


 


“รีบสารภาพมาเสียดีๆ ท่านเคยมีคนรักมาแล้วกี่คน! เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าท่านพูดคำหวานได้คล่องแคล่วรื่นหูยิ่งนัก เคยพูดกับหญิงอื่นมาก่อนใช่หรือไม่!”


 


 


พูดคำหวานได้คล่องแคล่วลื่นไหลเช่นนี้ ยังมาแสร้งทำเป็นชายบริสุทธิ์ นั่นเท่ากับโกหกหลอกลวง!


 


 


“หากท่านโกหกหลอกลวงข้าล่ะก็ ข้าจะ…”


 


 


“จะอะไร” ซย่าโหวฉิงเทียนถามพร้อมรอยยิ้ม


 


 


“ข้าจะกัดท่าน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเอ่ยตอบพร้อมกับทำท่ากางกรงเล็บราวกับนางแมวน้อยก็ไม่ปาน แล้วกระโจนเข้าหาซย่าโหวฉิงเทียน ฝากรอยรักเอาไว้ที่บ่าเขาจนเป็นรอยฟันน้อยๆ


 


 


“เจ้าต่างหากที่เป็นเด็กโง่!”


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนเป็นเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับยิ้มกว้างออกมา


 


 


“ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขาร้องขึ้นมา


 


 


“รีบสารภาพมาเสียดีๆ ท่านเคยชอบหญิงสาวคนไหนมาก่อนหรือไม่ แล้วเคยมีอะไรกับนางหรือเปล่า!”


 


 


“ไม่มี ไม่มี ไม่เคยมีเลยด้วยซ้ำ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจดจำคำพูดของซย่าโหวจวินอวี่เอาไว้ได้ขึ้นใจ ชายและหญิงอย่าให้มีการเข้าใจผิด ระหว่างกัน จะต้องอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน


 


 


มาตอนนี้ อวี้เฟยเยียนออกอาการหึงหวงเสียงเขียว เขาจึงต้องรีบอธิบายยืนยันความบริสุทธิ์ของตนกับนางให้กระจ่างชัด


 


 


“จริงนะ” อวี้เฟยเยียนเลิกคิ้วถามซ้ำ


 


 


“ไม่มีคู่หมั้นคู่หมายอะไรทำนองนั้นเลยแม้แต่คนเดียว”


 


 


“ไม่มี”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายหน้าปฏิเสธ


 


 


“เมื่อครั้งที่ข้าอยู่ที่จวนตัวประกัน เคยดูแลบ่าวชราสองสามคน!”


 


 


ถึงแม้ว่านางจะรู้มาตั้งนานแล้วว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านั้นไร้เดียงสาในเรื่องของความรักและความรู้สึกอย่างยิ่ง การที่เขาสารภาพทุกสิ่งทุกอย่างออกมาตรงๆ เช่นนี้ มันกลับทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดแต่คราวนี้ก็นับว่าทำให้อวี้เฟยเยียนวางใจลงได้


 


 


ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เมื่อเห็นดังนั้นซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีใจยิ่งนัก เขาชอบที่จะเห็นแมวน้อยมีความสุข ไร้ซึ่งความวิตกกังวลใดๆ มีอิสรเสรี เช่นนี้แล้วเขาก็จะมีความสุขไปด้วย!


 


 


“ที่นี่!”  ซย่าโหวฉิงเทียนชี้ที่ใบหน้าของตนเอง


 


 


“อะไร”


 


 


อวี้เฟยเยียนอึ้งไปครู่หนึ่ง


 


 


“เมื่อครู่เจ้าใส่ร้ายพี่ หรือเจ้าไม่คิดที่จะชดเชยบ้างเลยหรือ”


 


 


วาจาซย่าโหวฉิงเทียนทำอวี้เฟยเยียนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่เจอหน้าแค่ไม่กี่วันมีพัฒนาการขึ้นมากทีเดียว ไม่เลว ตอนนี้เรียนรู้ที่จะลงทุนและถอนทุนคืนแล้ว!


 


 


คิดได้ดังนั้นอวี้เฟยเยียนก็หอมเข้าที่แก้มซย่าโหวฉิงเทียนฟอดใหญ่ จึงทำให้หัวใจของเขาสงบลงมาได้


 


 


และตอนที่อวี้เฟยเยียนเริ่มขัดถูแผ่นหลังให้กับซย่าโหวฉิงเทียนต่อนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็เอ่ยถามกลับขึ้นมา


 


 


“แล้วเจ้าล่ะ เมื่อครั้งที่อยู่ที่ประเทศจีนในยุคสมัยของเจ้าเคยมีคนที่ชอบหรือไม่”


 


 


ในขณะที่กล่าวถามออกมานั้น ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่าในใจเขาทรมานยิ่งนัก


 


 


ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าอวี้เฟยเยียนเป็นคนเก่ง ในอีกภพหนึ่งย่อมจะต้องมีผู้คนมากมายตามจีบนางกันเป็นแถว ซย่าโหวฉิงเทียนก็รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก


 


 


หากนางมีสัญญาอะไรไว้กับคนที่ประเทศจีน มาที่นี่อยู่เคียงข้างเขาเพียงชั่วคราวเท่านั้น เขาจะทำอย่างไรดี ส่งเสริม หรือกระทำในสิ่งที่เหลียนจิ่นกล่าวมา มุมานะพยายามที่จะบรรลุเป็นมหาเทพให้จงได้


 


 


ระทมทุกข์เพราะรัก กลัดกลุ้มก็เพราะรัก


 


 


“คนที่ชอบหรือ” อวี้เฟยเยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


“มีสิ”


 


 


นางมีคนที่ชอบ


 


 


เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรดี!


 


 


รู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกล อวี้เฟยเยียนจึงจงใจตอบคำถามอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง


 


 


“ข้าชอบท่านปู่ข้า ชอบพี่ชายข้า คนรักพี่ชายข้าก็ชอบเช่นกัน! ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง แต่งงานหรือยัง ข้าคงจะไปไม่ทันงานแต่งของพวกเขาเป็นแน่ น่าเสียดายยิ่งนัก…”


 


 


“เจ้าจงใจโกหก!”


 


 


ถึงตอนนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้เข้าใจ เขาเกือบถูกอวี้เฟยเยียนหลอกเข้าให้เสียแล้ว


 


 


“ฮ่าๆ! ก็จงใจน่ะสิ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนหัวเราะจนไหล่ทั้งสองนางก็สั่นไหวอย่างรุนแรง หน้าอกเอิบอิ่มทั้งสองข้างก็อวบนูนขึ้นมาตามแรงสั่นสะเทือนนั้น


 


 


นางสวมใส่สร้อยที่ซย่าโหวฉิงเทียนมอบให้ติดตัวตลอดเวลา จี้สีดำสนิทห้อยระย้าอยู่ที่หว่างอก ยิ่งขับให้ผิวของนางขาวสว่างมากยิ่งขึ้น


 


 


“หลอกลวงพี่ ต้องทำโทษ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนโน้มศีรษะลงมา กัดจมูกอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา ส่วนลิ้นเขาก็ละเลียดที่ปลายจมูกนาง


 


 


นี่มันเป็นวิธีการลงโทษแบบไหนกัน!


 


 


ความรู้สึกซาบซ่านจากปลายจมูกแผ่ซ่านลงมา นี่เป็นครั้งแรกที่การโดนกัดจมูกทำเอาอวี้เฟยเยียนถึงกับหน้าแดงซ่าน


 


 


นี่เขาจะทำให้นางกลายเป็นคนจมูกแดงอย่างนั้นหรือ


 


 


น่าเกลียดจะตายไป!


 


 


“อย่า! ข้าจะเสียโฉมไปนะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดจะผลักซย่าโหวฉิงเทียนออกไป ใครจะคาดคิดว่ามือใหญ่ของซย่าโหวฉิงเทียนราวกับกุญแจมือเหล็กกล้าก็ไม่ปานกักขังนางเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


“คนโกหก! ดูซิว่าคราวหน้ายังจะกล้าโกหกพี่อีกหรือไม่!”

 

 

 


ตอนที่ 105-1 อวี้เฟยเยียนมีแล้วหรือ

 

“อย่ายั่วข้าอีกเลย!”


 


 


มองรอยยิ้มที่หล่อเหลาราวเทพบุตรของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว อวี้เฟยเยียนถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่


 


 


พี่ชายท่านนี้ ท่านอย่ายั่วข้าอีกเลย! หญิงสาวช่วงวัยสาวปลายๆ เช่นนางแทบจะต้านทานแรงดึงดูดจากชายหนุ่มรูปงามไม่ไหวอยู่แล้ว! ไม่เช่นนั้นก็กินมันเสียตรงนี้เลยเป็นอย่างไร! เริ่มกินจากตรงไหนดี


 


 


ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังสับสนอลหม่านอยู่นั่นเอง พลันนางก็รู้สึกมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น


 


 


เมื่อคำนวณวันเวลาอีกครั้ง แย่แล้ว!


 


 


อวี้เฟยเยียนร้องคำรามอยู่ในใจแล้วผลักซย่าโหวฉิงเทียนออก แล้วมุ่งหน้าว่ายน้ำไปที่บันไดหยกอย่างไม่คิดชีวิต


 


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนแปลกใจ จนกระทั่งได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้เข้าใจไปว่า


 


 


เลือดกำเดาไหลอีกแล้วหรือ


 


 


ทว่า ครั้งนี้ซย่าโหวฉิงเทียนคาดเดาผิดเสียแล้ว เมื่ออวี้เฟยเยียนว่ายไปถึงบันไดหยกนั้นก็รีบนำเสื้อผ้าของเขามาห่อหุ้มร่างกายจนร่างนางกลายเป็นก้อนกลมๆ อะไรสักอย่าง


 


 


ระดูจอมทรยศ!


 


 


ทำลายการใหญ่ข้าเสียหมดสิ้น!


 


 


นั่นเองทำให้อวี้เฟยเยียนแน่ใจอย่างที่สุดว่านางและซย่าโหวฉิงเทียนนั้นคงไร้ซึ่งวาสนาต่อกัน


 


 


เพราะทุกครั้งมักจะจบลงด้วยการหลั่งเลือดเสมอ ไม่ใช่จมูก ก็ที่ท้อง น่าอนาถใจเสียเหลือเกิน! หรือว่า สวรรค์ใช้วิธีการเช่นนี้มาบอกโดยนัยว่า ที่เขาเรียกกันว่าเกิดมามีสิทธิ์แค่เพียงพานพบแต่มิอาจได้ครองคู่นั้นมันเป็นเช่นไร


 


 


“แมวน้อย แมวน้อย…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก้าวฉับๆ ตามขึ้นมา แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอวี้เฟยเยียน


 


 


“เจ้าเป็นอะไรไป”


 


 


มองดูเลือดที่ไหลหยดลงบนพื้นทีละหยดๆ ทว่ามองไปที่จมูกของอวี้เฟยเยียนแล้วพบว่ามันสะอาดสะอ้าน ไม่ได้มีเลือดไหลออกมาแต่อย่างใด ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตกอกตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


“เจ้าบาดเจ็บตรงไหน”


 


 


“ข้าเปล่า…”


 


 


อวี้เฟยเยียนยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดบังใบหน้า


 


 


“ฉิงเทียน เจ้าไปหาหลิงเอ๋อร์ บอกนางว่าข้าต้องการขนมปังน้อย ให้นางช่วยมาส่งให้ที! แล้วที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่หลิงเอ๋อร์ก็เพียงพอ!”


 


 


เดิมทีซย่าโหวฉิงเทียนคิดจะถามให้ละเอียดกว่านี้แต่ทว่ากลับถูกอวี้เฟยเยียนไล่ให้รีบไปเสียก่อน


 


 


จนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนมาหาหนานกงจื่อหลิง แล้วพูดซ้ำในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนพูดมาอีกครั้ง หลังจากนั้นหนานกงจื่อหลิงก็รีบกลับเข้าไปในห้องควานหาสิ่งนั้นทันที ไม่นานก็หยิบของที่ซย่าโหวฉิงเทียนดูไม่ออกว่าคืออะไรส่งให้ไป


 


 


เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดแมวน้อยถึงได้มีเลือดออก


 


 


เผชิญหน้ากับพี่ชายจอมบื้อ หนานกงจื่อหลิงถึงกับพูดไม่ออก นางกระดิกนิ้วน้อยๆ เป็นเชิงว่าให้เขาเงี่ยหูเข้ามาใกล้ๆ


 


 


“พี่อวี้มีระดู!”


 


 


“ระดู มันคือน้ำอะไร”


 


 


ได้ยินดังนั้น หนานกงจื่อหลิงก็แทบจะกระอักเลือดออกมา


 


 


พี่ชาย จะชั่วดีอย่างไรท่านก็เป็นชายวัยกลางคนกับเขาแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่เข้าใจเรื่องของสตรีเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


ไม่สมเหตุสมผลสักนิด


 


 


เมื่อก่อนท่านอยู่แต่กับบุรุษหรืออย่างไร


 


 


“พี่ชาย เรื่องนี้ท่านไปขอคำชี้แนะจากพี่เฮ่ออีเถอะ พี่อวี้กำลังรอข้าอยู่ ข้าไปก่อนล่ะ!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงแค่รู้สึกว่า เรื่องระดูของสตรีนี่ ไม่ควรจะเป็นนางที่เป็นน้องสาวจะมาสอนอะไรเช่นนี้ให้กับพี่ชายได้ จึงรีบไล่ซย่าโหวฉิงเทียนให้ไปหาตี้อู่เฮ่ออีในเร็วพลัน


 


 


เพราะอย่างไรเสีย ระหว่างบุรุษกับบุรุษคุยกันคงจะไม่มีความเคอะเขินใดๆ!


 


 


เมื่อได้ฟังคำจากหนานกงจื่อหลิง ซย่าโหวฉิงเทียนก็รีบไปขอคำชี้แนะตี้อู่เฮ่ออีทันทีด้วยท่าทีจริงจัง


 


 


ที่หายากยิ่งนักนั่นก็คือ ตี้อู่เฮ่ออีมิได้หัวเราะเยาะเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับตั้งใจสอนซย่าโหวฉิงเทียนครั้งใหญ่เรื่องธรรมชาติร่างกายสตรี


 


 


เริ่มจากที่สตรีถือกำเนิดขึ้นมาจนเจริญเติบโตมีระดู แล้วจึงค่อยตั้งครรภ์คลอดบุตร…


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีเริ่มให้ความรู้ทุกอย่างจากมุมมองในฐานะที่เป็นแพทย์ทั้งสิ้น เขาถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดในสิ่งที่เขารู้ตั้งแต่เรื่องการเจริญเติบโตของสตรีไปจนถึงความรู้เรื่องสุขลักษณะของสตรีให้กับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ยิ่งได้ฟัง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ่งนิ่งเงียบเคร่งขรึมลง


 


 


เขาไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก่อน ตอนนี้จึงเพิ่งจะรู้ว่าเมื่อเวลาที่สตรีมีประจำเดือนจะมีอาการปวดท้อง มีบางคนที่ปวดจนต้องลงไปดิ้นพล่านอยู่บนเตียง…


 


 


และเมื่อนึกถึงว่าอวี้เฟยเยียนที่เกรงกลัวความเจ็บปวดยิ่งนัก หากนางมีอาการตามที่ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวมาละก็จะต้องทรมานเป็นอันมากแน่ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนปวดหัวใจด้วยความสงสารนางไปก่อนล่วงหน้าเสียแล้ว


 


 


“ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องเจ็บปวด”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนตั้งใจอกตั้งใจเรียนรู้ราวเป็นนักเรียนก็ไม่ปาน


 


 


“อย่าให้เผชิญความหนาว ดื่มน้ำขิงใส่น้ำตาลแดง พักผ่อนให้มาก ทำจิตใจให้แจ่มใส กินอาหารที่มีรสจืด หากจำเป็นสามารถใช้ถุงร้อนประคบที่ท้องน้อย”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวออกมาข้อหนึ่ง ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะท่องจำอยู่ในใจหนึ่งรอบ


 


 


เขาจะไม่ให้แมวน้อยต้องแบกรับความเจ็บปวดใดๆ ข้อปฏิบัติเหล่านี้เขาจะต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ แล้วนำไปปฏิบัติตามที่ตี้อู่เฮ่ออีบอก!


 


 


ครั้นเมื่อตี้อู่เฮ่ออีกล่าวว่า สตรีมีประจำเดือน เท่ากับร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่สามารถมีทายาทได้นั้น เสียงซย่าโหวฉิงเทียนก็เข้มขึ้นมาทันที


 


 


“มีระดูแล้วก็สามารถให้กำเนิดเด็กเปรตได้”


 


 


นี่เป็นครั้งที่ตี้อู่เฮ่ออีได้ยินคนใช้คำเช่นนี้บรรยายลักษณะของเจ้าตัวน้อยที่แสนบอบบาง


 


 


เขาต้องยอมรับเลยว่าซย่าโหวฉิงเทียนช่างผิดแผกแปลกแยกไปจากคนอื่นเสียเหลือเกิน


 


 


คำที่ใช้เรียกลูกก็ยังต้องพิเศษถึงเพียงนี้!


 


 


แต่ทว่า คำพูดที่ทำให้ตี้อู่เฮ่ออีตกตะลึงยิ่งกว่านั้นอยู่หลังจากนี้ต่างหาก


 


 


“ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องมีเด็กเปรตออกมา”


 


 


“เหอะๆ …”


 


 


หากมิใช่ว่าหน้าตาท่าทางซย่าโหวฉิงเทียนจริงจังขึงขังละก็ ตี้อู่เฮ่ออียังคิดว่าตนเองฟังผิดไปเสียแล้ว


 


 


ในโลกนี้มีคนไม่ต้องการลูกด้วยหรือนี่


 


 


ในยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะบุรุษย่อมต้องมีความคิดอยากมีทายาทสืบตระกูลอยู่แล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องการมีลูก จะให้ดีที่สุดต้องเป็นลูกชายทั้งหมด มีลูกมากก็มีความสุขมาก นี่เป็นความคิดของคนปกติทั่วไป!


 


 


“ท่านพี่ซย่าโหว ท่านกำลังล้อเล่นใช่หรือไม่ ลูกคือผลผลิตแห่งความรักของคนสองคน หรือท่านไม่อยากมีลูกตัวน้อยๆ ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับท่านทุกประการหรอกหรือ เขาจะน่ารักเพียงไหนกันนะ!”


 


 


“ไม่อยาก! ไม่อยากแม้สักนิดเดียว!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนปฏิเสธอย่างเด็ดขาด


 


 


คราวนี้ในที่สุดตี้อู่เฮ่ออีก็เข้าใจสักที


 


 


หลิงเจียงอ๋องแตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง! ความคิดความอ่านอยู่กันคนละเส้นทางเชื่อมกันไม่ติดเลยสักนิด!


 


 


“ท่านพี่ซย่าโหว ขออภัยที่ข้าพูดมาก ความคิดของท่านเช่นนี้ แม่นางอวี้รับรู้หรือไม่ หรือท่านไม่คิดที่จะแต่งงานกับนาง”


 


 


ในตอนนี้ตี้อู่เฮ่ออีนับอวี้เฟยเยียนเป็นเพื่อนที่รู้ใจของเขาแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ฟังคำพูดซย่าโหวฉิงเทียนก็ทำให้เขาเป็นห่วงอวี้เฟยเยียนขึ้นมาในทันที


 


 


“แต่งงานกับการให้กำเนิดเด็กเปรตเกี่ยวข้องอะไรกัน”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนขมวดคิ้วขณะที่กล่าวถามขึ้น


 


 


“ข้าต้องการอยู่เคียงข้างนางชั่วนิจนิรันดร์อยู่แล้ว แต่เจ้าเด็กเปรตอะไรนั่น ข้าไม่ต้องการ!”


 


 


สุดท้ายตี้อู่เฮ่ออีถึงกับกุมขมับ


 


 


พี่ชาย ท่านช่างแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!


 


 


ท่านต้องการแต่งงานแต่ไม่ต้องการลูก นี่ท่านต้องการอยู่ในโลกที่มีเพียงสองเราเท่านั้นนะหรือ ความคิดของท่านจะล้ำหน้าเกินไปแล้ว!


 


 


“หากแม่นางอวี้ชอบเด็กเล่า”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีรู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่ดึงเอาความคิดของซย่าโหวฉิงเทียนกลับคืนมาอยู่ในทางที่ถูกต้อง


 


 


“ไม่จำเป็น แมวน้อยมีข้าก็เพียงพอแล้ว!”


 


 


อวดดี บ้าระห่ำ! ท่านคิดถึงเด็กน้อยที่ต้องการความอบอุ่น ความรักจากสตรีที่เป็นมารดา ที่ให้ความสุขแก่เขาอย่างที่ไม่มีใครให้ได้บ้างได้หรือไม่


 


 


ไม่ทันที่ตี้อู่เฮ่ออีจะเอ่ยปากขึ้นมาอีก ซย่าโหวฉิงเทียนก็กล่าวถามย้ำคำถามเมื่อครู่อีกครั้ง


 


 


“บอกข้ามา ทำอย่างไรจึงไม่ต้องก่อกำเนิดเด็กเปรต”


 


 


“สองทางเลือก อย่างแรก อย่าแตะต้องนาง อย่างที่สอง ข้าฝังเข็มให้ท่านสองจุด เพียงเท่านี้ท่านก็จะให้กำเนิดใครไม่ได้อีกต่อไป!”


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีกล่าวออกมาอมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหยิบเข็มขึ้นมาสองเล่ม เจตนาข่มขู่ซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


แมวน้อยมีระดู เขายังเตรียมที่จะประคบอุ่นให้กับท้องนางด้วยซ้ำ!


 


 


ในเมื่อข้อแรกทำไม่ได้ เช่นนั้นก็ข้อที่สองละกัน!


 


 


“เช่นนั้น! เจ้าฝังเข็มให้ข้าเถอะ!”

 

 

 


ตอนที่ 105-2 อวี้เฟยเยียนมีแล้วหรือ

 

 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนยืนขึ้นหลังตรงแน่ว ราวกับเนื้อปลาที่เตรียมให้เชือดอย่างไรอย่างนั้น ท่าทางว่านอนสอนง่ายโอนอ่อนผ่อนตาม


 


 


เห็นท่าทางจริงจังขึงขังของเขาแล้ว ตี้อู่เฮ่ออีถึงกับน้ำตานองหน้า


 


 


หากข้าฝังเข็มให้กับท่าน ทำให้ท่านมิอาจใช้ความเป็นชายได้อีกต่อไปละก็ ท่านมิฆ่าข้าหรอกหรือ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของแม่นางอวี้ ข้าไม่กล้าจริงๆ!


 


 


“ฝังเข้าสิ!”


 


 


เมื่อเห็นตี้อู่เฮ่ออีทำสีหน้าท่าทางราวกับจะร้องไห้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มขมวดคิ้ว


 


 


“อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่เลย รีบลงมือเร็วเข้า! ข้าไม่กลัวเจ็บหรอก!”


 


 


พี่ชาย นี่มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ็บหรือไม่เจ็บเลยสักนิด!


 


 


ตี้อู่เฮ่ออีถูกความไม่รู้ของซย่าโหวฉิงเทียนเล่นงานจนปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างที่สุด


 


 


เห็นทีว่าเขากับซย่าโหวฉิงเทียนคงจะพูดคนละภาษาเป็นแน่แท้!


 


 


“ข้านั้นเชี่ยวชาญการปรุงยา การฝังเข็มถือเป็นไม้เด็ดของแม่นางอวี้ เรื่องนี้ท่านไม่ถามเอากับแม่นางอวี้เองเถอะ!”


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้ ตี้อู่เฮ่ออีจึงทำได้เพียงแค่ใช้วิธีนี้มาปฏิเสธซย่าโหวฉิงเทียน!


 


 


ต้องมาเจอกันคนดื้อรั้นไม่รู้จักพลิกแพลงอะไรเลยเช่นนี้ น่าปวดหัวเสียจริงๆ! นี่เขายังเป็นห่วงกลัวว่า ซย่าโหวฉิงเทียนจะบังคับให้เขาฝังเข็มให้อีกด้วย


 


 


รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนจากไป ตี้อู่เฮ่ออีถึงได้ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมกับปาดเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ซึมออกมาบริเวณไรผม


 


 


เขาสงสัยจริงๆ ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะพูดเรื่องนี้กับอวี้เฟยเยียนอย่างไร


 


 


เท่าที่ตี้อู่เฮ่ออีสังเกต อวี้เฟยเยียนน่าจะชอบเด็ก


 


 


ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งที่พำนักอยู่ในเมือง บ้านข้างเคียงมีลูกสาวอายุราวสามสี่ขวบอยู่คนหนึ่ง ทุกครั้งที่อวี้เฟยเยียนได้เจอเด็กน้อยก็มักจะหยิบลูกอมออกมาหยอกล้อเล่นกับนางทุกครั้ง


 


 


แล้วจะให้สตรีคนหนึ่งที่รักเด็ก ละทิ้งซึ่งการมีลูก นางจะต้องไม่ยอมรับปากเป็นแน่!


 


 


ไม่รู้ว่าระหว่างซย่าโหวฉิงเทียนกับแม่นางอวี้ ใครจะชนะใครกันแน่


 


 


อีกด้านหนึ่ง อวี้เฟยเยียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังสวมใส่แผ่นรองรับระดูที่นางเย็บขึ้นเป็นพิเศษแล้วอีกด้วย


 


 


“พี่อวี้ โชคดีของพี่ใหญ่จังเลยที่ได้พบกับท่าน!”


 


 


“มิฉะนั้น คนทึ่มเช่นเขาจะต้องถูกเขาหลอกลวงเป็นแน่!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงเดินข้างกายอวี้เฟยเยียน ปากก็เอ่ยซุบซิบนินทาเรื่องซย่าโหวฉิงเทียนไปด้วย


 


 


“มีพี่ใหญ่ทึ่มๆ เช่นนี้ ทำให้ข้าอดห่วงไม่ได้จริงๆ! ยังดีที่สวรรค์คุ้มครอง ให้ท่านมาเป็นพี่สะใภ้ข้า ข้าจึงวางใจได้เกินร้อย!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงเพิ่งจะเอ่ยถึงไม่ทันไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็มาปรากฏตัวตรงหน้าของนางทั้งสอง


 


 


เมื่อมาถึงซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาตรงเข้าอุ้มอวี้เฟยเยียนเอาไว้ในอ้อมอกทันที จากนั้นก็สาวเท้าพานางกลับไปที่ห้องทันที


 


 


“เดี๋ยว พี่ชาย ช้าๆ หน่อยสิ! ระวังอย่าให้พี่อวี้ล้มไปเสียเล่า นางกำลังอยู่ในช่วงไม่ปกตินะ!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงรีบติดตามไปที่เบื้องหลัง เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนวางอวี้เฟยเยียนลงบนเตียง นางถึงได้เบาใจ


 


 


พี่ใหญ่นางอาจจะทึ่มไปบ้าง แต่ดีที่เขายังมีความอ่อนโยนอยู่!


 


 


“ข้าจะไปเตรียมต้มขิงน้ำตาลแดง!”


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนมองเห็นดวงหน้าน้อยที่ซีดขาวของอวี้เฟยเยียน หัวใจของเขาก็บีบรัดแน่น


 


 


จริงอย่างที่คิดเอาไว้ ระดูเป็นสิ่งน่ารังเกียจที่สุด มันทำร้ายแมวน้อยจนซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา!


 


 


หากมิใช่ตี้อู่เฮ่ออีบอกกับเขาว่า ระดูที่ต้องมาทุกเดือนคือลักษณะพิเศษของสตรี การที่ไม่มีระดูหรือระดูมาช้าตรงกันข้ามกลับถือเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับสตรีละก็ ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะถามเขาไปแล้วว่าทำอย่างไรไม่ให้มีระดู


 


 


เห็นซย่าโหวฉิงเทียนคอยเป็นธุระจัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้กับอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางจึงแอบพูดคุยกับอวี้เฟยเยียนตามภาษาลูกผู้หญิง


 


 


“พี่อวี้ จริงๆ แล้วพี่ชายข้าก็ไม่เลวเหมือนกันนะ! ท่านดูสิ เขาดีกับพี่มากจริงๆ!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงหาเสียงให้กับซย่าโหวฉิงเทียนไม่หยุด


 


 


“มีบุรุษไม่กี่คนหรอกนะที่จะทำได้เหมือนพี่ชายของข้า ต่อให้เป็นท่านพ่อและท่านแม่ของข้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยาตัวอย่างที่ทุกคนนับถือ แต่ในวันนั้นของทุกเดือน ท่านพ่อก็ยังไปที่เรือนอนุภรรยาอยู่ดี!”


 


 


มองดูใบหน้าน้อยที่งดงามของหนานกงจื่อหลิงแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา


 


 


นางเติบโตท่ามกลางครอบครัวเช่นนั้น ยังสามารถคงไว้ซึ่งจิตใจที่ใสซื่อดีงาม นับว่าไม่เลวทีเดียว! เพราะสำหรับอวี้เฟยเยียน นางได้บังเกิดความเกลียดชังซย่าจื่ออวี้ขึ้นมาเต็มหัวใจ


 


 


เพราะนางรู้สึกว่า ซย่าจื่ออวี้เป็นแม่ที่ไม่ได้ความ กระทั่งว่าไม่คู่ควรเป็นแม่คนด้วยซ้ำ


 


 


ฟังจากที่หนานกงจื่อหลิงเล่ามา พี่ชายคนรองของนาง หนานกงเช่อเป็นที่รักของทั้งหนานกงเอ๋าและ ซย่าจื่ออวี้มากที่สุด จึงคิดว่าสามีภรรยาคู่นี้คงจะไม่ได้ให้ความรักกับลูกสาวมากสักเท่าไหร่นัก กลับกลายเป็นว่าทำให้หนานกงจื่อหลิงเติบโตขึ้นมากลายเป็นหยกล้ำค่า


 


 


“หวังเพียงแต่ได้พานพบกับคู่ครองที่รักเดียว ยากเย็นเสียยิ่งกว่าแสวงหาของล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้เสียอีก ในโลกนี้ไม่มีสตรีคนใดที่จะไม่คาดหวังว่าจะได้เจอชายที่มีรักเดียวและได้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า!”


 


 


คำพูดของอวี้เฟยเยียนทำให้หนานกงจื่อหลิงถึงกับถอนหายใจออกมา


 


 


“ใช่น่ะสิ ท่านพ่อรักท่านแม่มากขนาดนี้ ยังไปหาหญิงอื่นได้ พี่อวี้ความรักของบุรุษจะมิอาจเป็นเช่นเดียวกับสตรีที่มีรักเดียวเลยหรือ หากพี่ใหญ่ข้าก็กระทำเช่นนี้ ท่านจะทำอย่างไร”


 


 


“ข้าก็จะเลิกกับเขาเสีย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเอ่ยด้วยความเด็ดเดี่ยว


 


 


“หากว่าเขานอกใจข้าล่ะก็ ข้าจะเลิกกับเขา แล้วไปหาหนุ่มหล่อสักสิบคนและใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี ใช้ชีวิตตามแต่ที่ใจข้าต้องการ”


 


 


คำพูดก่อนหน้าของอวี้เฟยเยียนซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้ยิน เขามาทันได้ยินประโยคที่ว่า ‘ไปหาหนุ่มหล่อสักสิบคน’ พอดิบพอดี ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป รังสีที่แผ่ออกมาจากเขาก็เปลี่ยนไปด้วย


 


 


“เจ้าว่าเจ้าหาใครนะ”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนเดินเข้ามา ในมือถือถ้วยขิงต้มน้ำตาลแดง


 


 


ซึ่งถึงแม้ว่าหน้าตาท่าทางของเขาจะมิได้แตกต่างจากในเวลาปกติมากนัก แต่ก็มีรังสีว่า ‘พี่ไม่ยินดีเลย’ แผ่ซ่านออกมาตลอดเวลา


 


 


“พี่ใหญ่ พี่อวี้ พวกท่านค่อยๆ คุยกันนะ ขอให้พวกท่านคุยกันให้สนุกล่ะ!”


 


 


ก่อนที่จะออกไป หนานกงจื่อหลิงยัง ‘หวังดี’ ปิดประตูลงกลอนให้อีกด้วย


 


 


“เอ่อ ท่านมาแล้วหรือ…”


 


 


อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมาอย่างคนมีชนักติดหลัง


 


 


“เจ้าไม่ดีใจที่พี่มาใช่หรือไม่ พี่มาขัดความสุขเจ้าที่กำลังหาชายหนุ่มรูปงาม ตั้งสิบคนอีกด้วยนี่นา ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนนั่งลงตรงหน้าอวี้เฟยเยียน พร้อมกับตักน้ำขิงขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากนาง


 


 


“ดื่มเสียก่อนเถอะ อีกสักครู่พี่ค่อยคิดบัญชีกับเจ้า!”


 


 


ใจนึกถึงเมื่อครั้งที่แล้วที่ซย่าโหวฉิงเทียนคิดบัญชีกับนาง เป็นการจุมพิตที่เร่าร้อนยาวนานจนแทบขาดใจ บวกกับปากที่บวมเจ่อให้นางเป็นของแถม ทำให้อวี้เฟยเยียนรีบดื่มน้ำขิงเข้าไปแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มแสร้งนอนตัวแข็งทื่อราวกับศพ


 


 


“แกล้งหลับก็ไร้ประโยชน์ ไหนลองพูดให้พี่ฟังสิว่า เจ้าเตรียมไปหาใครบ้าง”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนขยับกายเข้ามาใกล้ ลมหายใจเขาเป่ารดที่หน้าอวี้เฟยเยียน


 


 


“มีพี่แล้วเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ หรือยังมีใครที่รูปงามกว่าพี่อีก มันเป็นใคร บอกพี่มา พี่จะไปฆ่าพวกมัน!”


 


 


ในขณะที่พูด ไอสังหารแผ่ซ่านออกมาจากซย่าโหวฉิงเทียนอย่างหนักหน่วง


 


 


แม่ช่วยด้วย!


 


 


อวี้เฟยเยียนอยากให้ย้อนเวลากลับไปยิ่งนัก หากย้อนกลับไปได้ นางจะไม่กล่าวอะไรที่นางทำไม่ได้ออกไปอย่างเด็ดขาด


 


 


“ท่านเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่นี้น้องหลิงเอ๋อร์บอกว่า หากว่าท่านมีหญิงอื่นข้าจะ…”


 


 


“เป็นไปไม่ได้!” กล่าวจบซย่าโหวฉิงเทียนก็ขมวดคิ้ว


 


 


“พี่ชอบเจ้า ต้องการเพียงเจ้า!”


 


 


คำพูดของเขาทำให้หัวใจของอวี้เฟยเยียนพองโต แต่ปากของนางก็ช่างหาเรื่องนัก


 


 


“แต่เมียเอกเทียบไม่ได้อนุภรรยา อนุภรรยาเทียบไม่ได้กับลักกิน…หลายบ้านก็ล้วนแต่เมียใหญ่เมียรอง อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นการรับอนุภรรยาไม่ผิดกฎหมาย ทั้งยังกลายเป็นเรื่องปกติในยุคสมัยนี้ไปเสียแล้ว ต่อให้ท่านไม่สนใจหญิงอื่นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหญิงอื่นไม่ชื่นชมท่าน ไม่ตามตอแยท่านนี่นา!”


 


 


ความกังวลของอวี้เฟยเยียนซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยตอบได้อย่างชัดเจนเต็มปากเต็มคำ


 


 


“ใครที่ไร้ตา มาคนหนึ่ง ข้าก็ฆ่าคนหนึ่ง มาสองคนพี่ก็จะฆ่าทั้งสองคน!”


 


 


คำตอบนี้ทำเอาอวี้เฟยเยียนแทบกระอักเลือด


 


 


พี่ชาย ทำเช่นนี้มันจะโหดเ**้ยมเกินไปแล้วกระมัง!


 


 


ทว่า การกระทำนี้ก็ควรค่าแก่การยกย่องชื่นชม!


 


 


อวี้เฟยเยียนก็ใช้การกระทำเพื่อสนับสนุนประโยคเมื่อครู่นี้ นางเขย่งปลายเท้าขึ้นมอบจุมพิตที่หอมหวานให้กับเขา


 


 


“เฮอะ! ไม่มีประโยชน์เสียหรอก!”


 


 


ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่นัก


 


 


นี่แมวน้อยถึงกับไม่เชื่อใจเขา ทั้งยังเอ่ยวาจาเ**้ยมโหดว่าจะไปหาชายหนุ่มรูปงามอีกถึงสิบคน!


 


 


เขาจะต้องทำลายความคิดเช่นนี้ของนางให้สูญสิ้น จะได้ไม่ต้องให้ความคิดนี้ขึ้นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปในภายภาคหน้า!


 


 


“เอาน่า เสี่ยวฉิงฉิง อย่าโกรธเคืองอีกเลย! ข้าเพียงแค่สมมติ สมมติเท่านั้นเอง ใช่หรือไม่!”


 


 


ด้วยรู้ว่าหนุ่มหล่อตรงหน้านี้เริ่มที่จะโกรธเคืองน้อยใจ เพราะนางมิได้ง้องอนปลอบโยนเขาในทันที แต่กลับกล่าวความคิดของตนเองออกไปตรงๆ เสียนี่


 


 


“ที่ประเทศจีนของข้าเป็นระบบสังคมผัวเดียวเมียเดียว ข้าจึงไม่ยอมรับการมีอนุภรรยาหรือเมียสามเมียสี่ใดๆ ยิ่งมิอาจยอมรับประเภทร่วมเตียงกันแต่ต่างความคิด ข้างกายโอบกอดเมียเอาไว้แต่ในใจคิดถึงหญิงอื่น หากเป็นเช่นนี้มิสู้ไม่ต้องมาอยู่ด้วยกัน จากกันด้วยดีจะดีเสียกว่า!”


 


 


“หากมีวันใดวันหนึ่ง ท่านไม่รักข้าอีกต่อไปแล้ว ขอให้บอกข้ามาตรงๆ อย่าให้หญิงอื่นมาลบหลู่ข้าเด็ดขาด!”

 

 

 


ตอนที่ 105-3 อวี้เฟยเยียนมีแล้วหรือ

 

ซย่าโหวฉิงเทียนได้ฟังคำพูดนี้ อดนึกถึงเรื่องราวของเชียนลั่วเฉิงและฉู่ฮองเฮาขึ้นมาไม่ได้


 


 


“เรื่องเช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรั้งอวี้เฟยเยียนเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกล่าวคำสาบานเมื่อครั้งที่เขาใช้โลหิตตนตั้งสัตย์สาบานออกมา


 


 


“พี่จะปกป้องเจ้า ดูแลเจ้า ทะนุถนอมเจ้า รักเจ้า!”


 


 


“พี่จะไม่ยอมให้เจ้าต้องได้รับความทุกข์ใดๆ ยิ่งจะไม่มีวันทรยศเจ้า!”


 


 


คำสัตย์สาบานของเขา อวี้เฟยเยียนยังมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


 


 


ทุกครั้งที่ได้เห็นหญิงสาวรอบกายนางหลั่งน้ำตาอย่างซาบซึ้งในคำสัตย์สาบานบุรุษของตน อวี้เฟยเยียนก็ยังเคยหัวเราะเยาะคนเหล่านั้นด้วยคิดว่าตนเองมีสติปัญญาครบถ้วน


 


 


บัดนี้ ตัวนางได้พบกับเหตุการณ์เฉกเช่นเดียวกันกับเขาเหล่านั้น ทว่านางกลับซาบซึ้งใจ


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านอย่าได้ลืมสิ่งที่ท่านกล่าวมาในวันนี้! ข้าไม่ได้ใจกว้างอะไรมากมาย หากท่านทำเรื่องที่ผิดต่อข้า ไม่เพียงแต่จะเลิกกับท่านเท่านั้น ทั้งยังจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับท่านอีกด้วย ท่านก็รู้ดีว่าข้าเป็นหมอ วิธีการที่จะทรมานคนมีเยอะแยะถมเถไป! หากข้าท่านรังแกข้าล่ะก็ ข้าจะเอายาพิษทะลวงลำไส้ให้ท่านกิน ให้หัวใจท่านเน่าเฟะให้ปอดเน่าไม่เหลือ…”


 


 


อวี้เฟยเยียนก่นด่าออกมา


 


 


“แมวน้อยเด็กโง่!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลูบไล้เส้นผมที่ปรกลงมาบริเวณหน้าผากอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา


 


 


“พี่จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”


 


 


เจ้าต้องจากลาครอบครัว ลาจากบ้านเกิดเมืองนอนที่เจ้าเติบโตมาอยู่เคียงข้าพี่ แล้วพี่จะไม่ทะนุถนอมเจ้าได้อย่างไร! พี่จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร!


 


 


“เชื่อพี่!”


 


 


“อืม!”


 


 


อวี้เฟยเยียนพยักหน้าเบาๆ


 


 


ตอนนั้นเอง นางก็รู้สึกถึงความอุ่นร้อนบางอย่างกำลังวนเวียนอยู่ที่ท้องน้อยของนาง


 


 


เมื่อนางก้มหน้าลงไปดู อวี้เฟยเยียนก็พบว่าฝ่ามือใหญ่ของซย่าโหวฉิงเทียนวางอยู่บนท้องน้อยกับนางเขากำลังใช้พลังพิเศษโคจรพลังวัตร


 


 


หน้าร้อนอากาศร้อน แล้วคิดดูว่านำเตาร้อนมาวางบนท้องจะทรมานมากเพียงใดกันเล่า!


 


 


อวี้เฟยเยียนจับมือของซย่าโหวฉิงเทียนไปวางอีกด้าน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงรังเกียจ


 


 


“ร้อน!”


 


 


“ตี้อู่เฮ่ออีสอนพี่มาเช่นนี้!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหาได้สนใจไม่ เขายังคงวางมือบนท้องของนางต่อไป


 


 


ร้อน ร้อน…


 


 


อวี้เฟยเยียนทำเฉกเช่นเดียวกันอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มือนางกลับถูกพันธนาการไว้ จนขยับเขยื้อนไม่ได้


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าเป็นหมอ ข้ารู้ว่าร่างกายแข็งแรงดี! อีกอย่างในตอนนี้อากาศร้อนขนาดนี้ จึงไม่ต้องการเจ้านี่สักหน่อย!”


 


 


ท่าทางอวี้เฟยเยียน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนคิดไปว่าเป็นอาการเอาแต่ใจของเด็กหญิงตัวน้อย


 


 


เขาไม่อยากจะเห็นอวี้เฟยเยียนต้องเป็นเฉกเช่นที่ตี้อู่เฮ่ออีกล่าว ปวดจนต้องลงไปนอนกลิ้ง


 


 


สุดท้าย อวี้เฟยเยียนก็ยินยอมสงบลงภายใต้การบังคับขู่เข็ญของซย่าโหวฉิงเทียน ท้องน้อยถูกประคบร้อนมาทั้งบ่าย ร้อนจนเหงื่อโทรมกายราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ตี้อู่เฮ่ออี เจ้ากับข้าไม่จบกันเพียงแค่นี้แน่!


 


 


ก่อนนอนอวี้เฟยเยียนยังคาดโทษเขาไม่หยุด


 


 


เสียแรงที่ข้าคอยจับคู่เจ้าให้กับเชียนเยี่ยเสวี่ย เจ้ากลับสอนซย่าโหวฉิงเทียนจนเป็นเช่นนี้!


 


 


“เจ้าไม่ได้บอกเขาหรอกหรือว่า มีสตรีบางคนไม่ปวดท้องเมื่อมีระดู”


 


 


กระทั่งตี้อู่เฮ่ออีได้ล่วงรู้ชะตากรรมของอวี้เฟยเยียน ก็เอ่ยขอโทษไม่ขาดปาก


 


 


“ท่านพี่ซย่าโหว ข้าผิดเองที่บอกท่านไม่ชัดเจน สตรีบางคนที่ร่างกายแข็งแรงเพียงพอ จึงอาจจะไม่มีอาการปวดท้องเวลามีระดู”


 


 


“จริงหรือ”


 


 


ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


 


ยังดีที่แมวน้อยไม่ต้องปวดท้องเวลามีระดู ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น!


 


 


เพื่อที่จะไม่ให้ซย่าโหวฉิงเทียนกระทำการผิดพลาดซ้ำสอง ตี้อู่เฮ่ออีจึงเรียบเรียงหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนวิเคราะห์แต่ละสถานการณ์โดยละเอียดชื่อว่า ‘คู่มือธรรมชาติของสตรี’ มอบให้กับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


เมื่อได้รับของขวัญชิ้นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ถึงกับให้สัญญาว่าจะช่วยเหลืออย่างแน่นอนหากตี้อู่เฮ่ออีต้องการ


 


 


ความบ้าบิ่นเหนือธรรมดาวิสัยของซย่าโหวฉิงเทียน ทำให้ตี้อู่เฮ่ออีได้เปิดหูเปิดตา


 


 


เขาไม่รู้เลยว่าคำสัญญานี้ของซย่าโหวฉิงเทียน จะช่วยเหลือการใหญ่ของเขาในภายหลัง!


 


 


ขุนนางที่ซย่าโหวจวินอวี่ส่งมาให้รับช่วงดูแลฉินจื้อต่อ ไม่นานก็เดินทางมาถึง


 


 


ด้วยเกรงว่าลูกสะใภ้ตนจะต้องเหน็ดเหนื่อย ซย่าโหวจวินอวี่จึงคัดเลือกขุนนางที่เชื่อใจได้ส่งมาช่วยอวี้เฟยเยียนดูแลจัดการเขตปกครองปรมาจารย์


 


 


ครั้งนี้ซย่าโหวจวินอวี่ยิ่งโปรดปรานในตัวอวี้เฟยเยียนเข้าไปอีก


 


 


ไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่ปลายก้อยก็สามารถยึดครองฉินจื้อเอาไว้ได้ สมแล้วที่เป็นลูกสะใภ้ของข้า!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่คุยโวเรื่องนี้ต่อหน้าเซี่ยงจิ้นไม่ใช่เพียงครั้งเดียว


 


 


ก่อนหน้านี้เขายังเป็นกังวลในเรื่องระดับวรยุทธ์ของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนที่แตกต่างกันมากแล้วจะทำให้ลูกสะใภ้ของเขารังเกียจรังงอน


 


 


ใครจะคาดคิดว่านำทหารออกศึกในครั้งนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจะเผยฐานะจอมเทวาของตนออกมา


 


 


เจ้าลูกคนนี้ สร้างความประหลาดใจครั้งยิ่งใหญ่ให้กับซย่าโหวจวินอวี่นัก!


 


 


บุตรชายเขาคือจอมเทวาเชียวนะ!


 


 


คราวนี้ความกลัดกลุ้มกังวลใจของซย่าโหวจวินอวี่ก็คลายลงได้ในที่สุด


 


 


ลูกชายคือจอมเทวา ลูกสะใภ้คือปรมาจารย์ ถึงตอนนั้นเมื่อมีเจ้าตัวน้อย เขาจะต้องสืบทอดความเก่งกาจของพ่อแม่มา กลายเป็นยอดคนที่ไร้เทียมทานในใต้หล้าอย่างแน่นอน…


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่จินตนาการเอาไว้อย่างสวยงาม!


 


 


จนแทบจะรอซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนกลับมาปิดประตูทำลูกหลังกลับจากต้าโจวไม่ไหว


 


 


ภาพชุนกงถูของเหอหม่านเฉิงก็วาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่พึงพอใจเป็นอย่างมาก รอให้ลูกชายกลับมาเสียก่อนจะได้ใช้ชี้แนะเขาอย่างเต็มที่


 


 


ทางทิศใต้ พิชิตแคว้นซีเย่ว์เอาไว้ได้แล้ว!


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่วางแผนเอาไว้แล้วว่า รอให้ประมุขอวี้กลับมาก็จะไปสู่ขออวี้เฟยเยียนทันที


 


 


เพื่อแสดงความจริงใจ เขาจะต้องเดินทางไปยังจวนจงอี้กงด้วยตัวเองเพื่อตั้งใจดื่มกับประมุขแห่งตระกูลสักสองสามจอก


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่คิดเอาไว้อย่างสวยงาม ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนกลับเขียนจดหมายตอบกลับมา ความว่าอากาศร้อนระอุ หนทางยาวไกล ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกล รอให้อากาศเย็นสบายขึ้นสักหน่อยแล้วจึงจะเดินทางกลับต้าโจว จึงทำให้อารมณ์ฝ่าบาทดิ่งลงยังก้นเหว


 


 


ข้าคือพ่อแท้ๆ ของเขานะ! นี่ได้เมียแล้วลืมพ่อหรือนี่! คนหนึ่งจอมเทวา อีกคนปรมาจารย์ เดินทางกลับจากเขตปกครองปรมาจารย์ ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เหตุใดถึงไม่ยอมกลับมากันนะ!


 


 


เมื่อได้รับจดหมายจากซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับร่ำไห้คร่ำครวญอย่างไร้ซึ่งหนทาง แลดูเศร้าสร้อยทุกข์ระทมอย่างที่สุด


 


 


เซี่ยงจิ้นที่อยู่ด้านข้างพลอยคอหดไหล่ลู่ไปด้วย  ทว่าในใจกำลังพร่ำบอก


 


 


ว่าแต่ฝ่าบาท น้ำพระเนตรของพระองค์อยู่ที่ไหนกัน


 


 


เหตุใดหม่อมฉันถึงเห็นความสนุกสนานในแววพระเนตรพระองค์


 


 


พระองค์มิได้ทรงกำลังครุ่นคิดว่าท่านอ๋องและใต้เท้าอวี้หลัวช่าอยู่ทางโน้นกำลังบังเกิดเรื่องเกินเลยอยู่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ


 


 


ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงคาดหวังไว้มิใช่หรือ


 


 


จริงดังที่คาด ซย่าโหวจวินอวี่โศกเศร้าเสียใจเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้นดวงตาทั้งสองของเขาก็สว่างวาบ


 


 


“เซี่ยงจิ้น เจ้าว่าอวี้เฟยเยียนมีแล้วใช่หรือไม่ ตั้งครรภ์ในช่วงแรก ไม่เหมาะกับการนั่งรถม้าเดินทางไกล การหักโหมเกินไปไม่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์…”


 


 


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”


 


 


เซี่ยงจิ้นรู้ดีว่า การเป็นคนโปรดต่อหน้าพระพักตร์ เขาจะต้องยินดีในสิ่งที่ฝ่าบาททรงโปรดและเศร้าสร้อยเมื่อฝ่าบาททรงเป็นทุกข์


 


 


การคาดเดาที่อาจหาญของซย่าโหวจวินอวี่ เซี่ยงจิ้นที่รู้งานจึงรีบตามน้ำคล้อยตามในทันที


 


 


ดังนั้น ในสมองของทั้งนายและบ่าวเริ่มหยอกเย้าและจินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของเจ้าซาลาเปาน้อยทันที


 


 


เจ้าซาลาเปาน้อยที่นุ่มนิ่มไปทั้งตัวเอ๋ย…


 


 


“ไม่ได้! เช่นนี้ไม่ได้!”


 


 


ซย่าโหวจวินอวี่ลุกขึ้นยืนกำที่เคราของตนเองเดินวนไปวนมาที่ด้วยความร้อนใจอยู่ที่ห้องทรงอักษร


 


 


“ในเมื่อมีลูกมีแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ต้องตระเตรียมย่อมต้องมีมากมายทีเดียว! แม่นม หมัวมัวรับใช้ นางกำนัล เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็น! ยังมีเสื้อผ้าตัวน้อยๆ รองเท้าคู่น้อยๆ สร้อยทอง กำไลวงน้อย ล้วนแต่ต้องตระเตรียมให้พร้อม!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม