เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 104-110

ตอนที่ 104 ฉันยังจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนั้น

 

“คุณ…” หลินเช่อยกมือขึ้นฟาดไปที่ไหล่เขาโดยแรง “ยังจะกล้าพูดขึ้นมาอีกนะ”


 


 


“จะเป็นไรไปเล่า”


 


 


“ก็คืนนั้นคุณไม่ได้เห็นแค่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ!” หลินเช่อจำได้ชัดเจน เขาเหมือนกับปีศาจที่บุกตะลุยเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ยอมหยุด


 


 


ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาบขณะมองเธออย่างเจ้าเล่ห์ “เธอจำได้แม่นเลยนี่”


 


 


หญิงสาวเพิ่งรู้สึกตัวว่าพลาดไปเสียแล้ว นี่เธอเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาจนใกล้ “แล้วยังจำอะไรได้อีก ไหนบอกฉันหน่อยซิ”


 


 


“คะ คะ คุณ… ฉันจำอย่างอื่นไม่ได้แล้วละ” หลินเช่อหลบสายตาคมที่จ้องมาไปมองทางอื่น พร้อมเอนตัวหนีสุดชีวิต


 


 


แต่เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้


 


 


ชายหนุ่มเคลื่อนเข้ามาจนใกล้ พินิจดูทุกความรู้สึกที่ระบายออกมาบนดวงหน้าเล็กๆ นั่น “บอกฉันมา ว่ายังจำอะไรได้อีก เธอจำได้รึเปล่าว่าฉันถอดเสื้อผ้าเธอ ว่าฉันกดเธอลงกับเตียง”


 


 


“ไม่…ฉันจำไม่ได้” หลินเช่อบอกอย่างกระอักกระอ่วน


 


 


“จำไม่ได้จริงๆ เหรอ”


 


 


เขายิ้ม “แต่ฉันยังจำได้นะ”


 


 


“คุณ…”


 


 


ชายหนุ่มหัวเราะแล้วบอกว่า “แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้เห็นอะไรสักเท่าไหร่หรอกเพราะทุกอย่างมันเบลอไปหมด ต้องอาศัยใช้มือคอยคลำเอาน่ะ ก็เลยจำไม่ค่อยได้ว่ารูปร่างของเธอเป็นยังไงและตัวฉันเองทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมเธอไม่ให้ฉันลองดูอีกสักทีล่ะ”


 


 


“ทะลึ่ง! คนอันธพาล! ฉันไม่เชื่อคุณหรอก” หลินเช่อรีบหลบฉากออกมา แต่เมื่อหันกลับไปมองข้างหลัง เธอก็ได้เห็นว่าคนยั่วโมโหกำลังหัวเราะลั่น ท่าทางมีความสุขเป็นที่สุด


 


 


หญิงสาวอดถามขึ้นไม่ได้ “นี่ลืมไปแล้วหรือไงคะว่าตัวเองป่วยอยู่น่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้นนั่นแหละ คนป่วยถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังมีไข้อยู่


 


 


เขายกมือขึ้นแตะหน้าผาก ปกติแล้วเขาจะรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวหลังจากรับประทานยา แต่ครั้งนี้น่าประหลาดที่เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับการแกล้งหลินเช่ออยู่ก็ได้ เลยไม่ได้รู้สึกถึงอาการอึดอัดอะไร


 


 


เมื่อก้มลงดูก็พบว่าผื่นแดงทั้งหลายจางหายไปมากแล้ว เขาจึงตัดสินใจกลับบ้าน


 


 


เฉินอวี่เฉิงจัดยาให้คนป่วยและกำชับว่า “คุณยังต้องกินยานี่ทุกวันนะครับ ที่วันนี้อาการของคุณกำเริบหนักขนาดนี้น่าจะเป็นเพราะคุณลืมกินยา”


 


 


เขาสูดหายใจลึกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร


 


 


หลินเช่อแทรกขึ้นว่า “จริงๆ เลยนะ กู้จิ้งเจ๋อ ทำไมไม่กินยาให้สม่ำเสมอละคะ”


 


 


เขาตวัดสายตามองเธอ


 


 


นายแพทย์ยิ้มก่อนจะเสริมอีกว่า “ยานี่ยังมีประโยชน์อยู่ ถึงมันจะทำให้รู้สึกปั่นป่วนอยู่บ้างหลังกินเข้าไป แต่กู้จิ้งเจ๋อก็ชินแล้ว คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขาหรอกครับ แต่การกลับมาเริ่มกินใหม่อีกครั้งก็คงจะมีอาการอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”


 


 


หลินเช่อมองดูขวดยาแล้วก็รู้สึกได้ว่า กู้จิ้งเจ๋อเองก็คงจะต้องอดทนกับปัญหานี้ไม่น้อยเลยทีเดียว อาการป่วยด้วยโรคพิเศษเช่นนี้ก็คงจะต้องใช้ยาชนิดพิเศษเพื่อช่วยเยียวยาด้วยเช่นกัน เพราะหน้าตาของยาในขวดนั้นไม่เหมือนกับยาอื่นๆ ที่เธอเคยเห็นมาก่อนเลย


 


 


เฉินอวี่เฉิงยิ้มให้ “ครั้งล่าสุดที่คุณมาที่นี่คุณเอาแต่แปรงฟัน แต่ผมไม่คิดว่าน้ำลายของคุณหนูโม่จะเข้าไปในปากคุณหรอกนะครับ ผมเชื่อว่าริมฝีปากเธอแค่แตะโดนปากคุณเบาๆ เท่านั้น แต่คุณก็ยังออกอาการเสียใหญ่โตถึงขั้นตั้งหน้าตั้งตาแปรงฟันอยู่เป็นชั่วโมงๆ เลยทีเดียว ถ้าน้ำลายของเธอเข้าปากคุณไปละก็คงได้แปรงจนฟันหลุดออกมาแน่ๆ”


 


 


“…” ชายหนุ่มตวัดสายตาคมปลาบไปยังคนพูดทันที


 


 


แววตาสุดคุกคามนั้นทำเอาคนเป็นหมอถึงกับตัวแข็ง เขารีบหันไปมองหลินเช่อด้วยความตกใจ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะเอาคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา


 


 


หลินเช่อได้ยินเข้าเต็มๆ เธอยืนนิ่งงันไป คำพูดเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว อะไรสักอย่างเกี่ยวกับริมฝีปากแตะกัน อะไรสักอย่างเกี่ยวกับน้ำลายนี่แหละ แล้วก็อะไรสักอย่างเกี่ยวกับโม่ฮุ่ยหลิง…


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าพวกเขาคงกำลังพูดถึงโม่ฮุ่ยหลิงอยู่แน่ๆ


 


 


ก็ในเมื่อเธอกับเขา…ใกล้ชิดกันออกขนาดนั้น


 


 


หลินเช่อสะบัดหน้า ที่จริงก็เป็นเรื่องปกติออกจะตาย ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นคู่รักกันนี่นา ถึงจะจูบกันก็ไม่แปลกอะไรสักหน่อย


 


 


การลืมนึกถึงอาการป่วยของตัวเองไปในช่วงเวลาแบบนั้นก็เป็นเรื่องปกตินี่นะ


 


 


เฉินอวี่เฉิงพยายามที่จะรีบกลบเกลื่อนสถานการณ์ด้วยการพูดว่า “แต่ว่าเรื่องนี้น่ะ คุณผู้หญิง คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป คุณกู้ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น”


 


 


หลินเช่อโบกมือ “ไม่เป็นไรนี่คะ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เป็นเรื่องธรรมดาออก อ๊ะ ฉันจะออกไปดูหน่อยนะว่ารถจอดอยู่ตรงไหน แล้วจะเรียกคนขับรถให้มารับนะคะ”


 


 


ขณะมองหลินเช่อรีบผลุนผลันออกไป เฉินอวี่เฉิงก็อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมามองด้วยสีหน้าดุดัน


 


 


นายแพทย์รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “คุณกู้ครับ ผมไม่ได้พูดอะไรนะครับ”


 


 


“ฉันรู้”


 


 


“คุณกู้ครับ แล้วทำไมถึงทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นล่ะครับ คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ”


 


 


“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่กำลังคิดอยู่ว่านายก็ทำงานให้ฉันมานานมากแล้วนะ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีความคืบหน้าเรื่องการรักษาอาการป่วยของฉันสักเท่าไหร่ บางทีอาจจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนหมอแล้วละมั้ง”


 


 


“…”


 


 


 


 


วันต่อมา


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอกหลินเช่อว่าทางบริษัทกำลังเตรียมฉลองให้กับการคว้ารางวัลของเธอ เพราะนี่นับเป็นวาระพิเศษที่มีการชนะรางวัลแพนด้าอวอร์ดของนักแสดงในสังกัด แม้ว่าจะเป็นเพียงรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ก็ตามแต่ก็สร้างความยินดีให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก


 


 


นอกจากนี้ บรรดาพาดหัวข่าวทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นข่าวเกี่ยวกับหลินเช่อทั้งสิ้น พวกเขาพูดถึงการเดินพรมแดงของเธอและกู้จิ้งอวี่ การเคลื่อนไหวต่างๆ ของเธอภายในงาน ช่วงเวลาที่เธอได้รับรางวัล รวมถึงการให้สัมภาษณ์นักข่าวหลังจากนั้น ภาพของหลินเช่อปรากฏอยู่เต็มไปหมดทั่วทุกสื่อจนทำให้บริษัทรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตัดสินใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับเธอ


 


 


หลินเช่อร้องถามขึ้นว่า “พี่อวี๋คะ มันจะไม่ดูเป็นเรื่องใหญ่เกินไปหน่อยเหรอคะ”


 


 


ผู้จัดการสาวหัวเราะแล้วพูดว่า “เธอสมควรที่จะได้รับมันแล้วนี่จ๊ะ รีบกลับไปเตรียมตัวเถอะนะ แล้วกลับมาร่วมงานเลี้ยงฉลองคืนนี้กัน ฉันจะส่งรถไปรับเธอเอง แค่บอกเวลามาก็พอ”


 


 


“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะพี่อวี๋”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเดินมาส่งหลินเช่อข้างนอกแล้วกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง แต่จู่ๆ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น


 


 


เมื่อเห็นหมายเลขโทรเข้า เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงคะพ่อ”


 


 


[นี่แกบอกตระกูลลู่ว่าไม่ให้ฉันเข้าไปที่บ่อนอีกอย่างงั้นเหรอ] เสียงนายอวี๋หัวฟัดหัวเหวี่ยงดังมาตามสาย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นถามกลับไปว่า “ก็ไหนพ่อบอกว่าจะเลิกแล้วไม่ใช่เหรอคะ แต่หนูเดาว่าคงจะเป็นเรื่องยากสินะคะที่จะเลิกนิสัยเดิมแบบปุบปับ ก็เลยไปขอร้องทางบ่อนพนันให้ช่วยในเรื่องนี้ ไม่ดีเหรอคะ”


 


 


บ่อนการพนันของตระกูลลู่นั้นจัดว่าใหญ่ที่สุดในตลาด B เรียกว่าผูกขาดธุรกิจบ่อนพนันทั้งหมดในย่านนี้เอาไว้เลยทีเดียว


 


 


หนำซ้ำที่นี่ยังเป็นบ่อนโปรดของนายอวี๋อีกต่างหาก


 


 


นายอวี๋ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโมโห เขาตะเบ็งเสียงดังยิ่งขึ้นไปอีก [นี่แกทำแบบนี้ได้ยังไง แก! หมินหมิ่น ไปบอกพวกเขานะว่าให้เลิกกีดกันฉันได้แล้ว ฉันจะเข้าไปแต่พวกนั้นก็พากันไล่ตะเพิดฉันออกมา ทุกบ่อนเลยด้วย ถ้าแกทำแบบนี้แล้วฉันจะเอาคืนไอ้ที่เสียไปแล้วได้ยังไงกันล่ะ]


 


 


“ไอ้ที่พ่อเสียไปน่ะเหรอคะ พ่อคงหมายถึงเงินที่หนูหามาได้อย่างยากลำบากสินะ แล้วพ่อจะเอาคืนอะไรล่ะ หนูยังไม่เห็นสนใจอยากได้คืนเลย แล้วพ่อจะสนใจไปทำไมกันคะ” หญิงสาวท้าทาย


 


 


[แก…ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกจะทำยังไง แต่แกต้องทำให้ฉันเข้าไปในนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปที่บริษัทแกแล้วก่อเรื่องให้แกอีก!]


 


 


“อยากมาก็มาสิคะ คราวนี้รปภ.ไม่มีทางยอมให้พ่อเข้ามาแน่”


 


 


[แก… นี่แกไม่กลัวตัวเองจะเสียชื่อบ้างเลยหรือไง ฉันไปแน่ แล้วจะไปทำให้งามหน้าเลยทีเดียว ฉันจะแฉให้ทุกคนรู้ว่าแกมันเป็นนังลูกอกตัญญู]


 


 


อวี๋หมินหมิ่นหัวเราะเสียงเย็น “เชิญเลยค่ะ ยังไงชื่อเสียงหนูมันก็ไม่มีอะไรเหลือดีอยู่แล้ว ถึงพ่อจะทำอะไร มันก็ไม่ได้ยิ่งลงไปยิ่งกว่านี้อีกแล้วละ เจอมาขนาดนี้แล้วจะกลัวอะไรอีกละคะ”


 


 


เมื่อพูดจบเธอก็วางสายทันที


 


 


ในขณะเดียวกัน


 


 


หลินเช่อกลับมาถึงบ้าน แต่ก่อนที่จะทันเดินเข้าประตูไป เธอก็หันไปเห็นโม่ฮุ่ยหลิงกำลังเดินตรงเข้ามาหาแต่ไกลเสียก่อน

 

 

 


ตอนที่ 105 ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว เธอจะทำอะไรได้

 

โม่ฮุ่ยหลิงส่งยิ้มให้หลินเช่อก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ


 


 


“คุณหลิน” ยิ่งหล่อนพยายามยิ้มให้อย่างอ่อนหวานเท่าไหร่ หลินเช่อก็นึกเกลียดกลัวเธอมากขึ้นเท่านั้น


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงคนนี้เป็นคนที่คาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ


 


 


“คุณโม่ มาหากู้จิ้งเจ๋อเหรอคะ คุณเข้าไปข้างในบ้านได้เลยนะคะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มและบอกว่า “เปล่าหรอก ฉันมาซื้อบ้านหลังใกล้ๆ กันนี่ แล้วก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่วันนี้เอง ฉันก็เลยอยากจะมาทักทายเพื่อนบ้านสักหน่อยน่ะ”


 


 


หลินเช่อตัวแข็งทื่อ


 


 


นี่หล่อนมาซื้อบ้านอยู่ใกล้ๆ กันน่ะนะ


 


 


งั้นก็หมายความว่าตั้งแต่นี้ต่อไปเธอจะได้เจอหน้าโม่ฮุ่ยหลิงบ่อยขึ้นงั้นหรือ


 


 


หลินเช่อเริ่มไม่สบอารมณ์ อยากจะต่อว่ากลับไปที่หล่อนคอยตามติดกู้จิ้งเจ๋อเป็นเงาชนิดไม่ยอมห่างแบบนี้


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงชี้ไปที่ตึกหลังเล็กๆ ห่างออกไปไม่ไกลนักแล้วพูดว่า “นั่นบ้านใหม่ฉันเอง ถ้าว่างก็แวะมาเยี่ยมได้นะ”


 


 


หลินเช่อหันไปมองตาม มันเป็นวิลล่าหลังเล็กกว่าบ้านหลังนี้มากนัก


 


 


ความจริงแล้วบ้านตระกูลกู้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่พิเศษ ตัวบ้านนั้นมีขนาดมหึมามากเสียจนทำเอาบ้านหลังอื่นที่อยู่ใกล้เคียงดูเล็กไปถนัดตา


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเองก็อยากจะซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ อยู่เหมือนกัน แต่เธอร้อนใจอยากรีบซื้อมาก อีกทั้งวิลล่าหลังนี้ก็เป็นหลังที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ใกล้บ้านตระกูลกู้แล้ว


 


 


ตอนที่กู้จิ้งเจ๋อซื้อบ้านหลังนี้ เขาเป็นคนควบคุมการก่อสร้างทั้งหมดด้วยตัวเอง เขาว่าจ้างสถาปนิกชาวฝรั่งเศสมาออกแบบ ตัวบ้านจึงออกมาโอ่อ่า หรูหรา งดงามและอยู่สบายราวกับพระราชวัง และแน่นอนว่าราคาของมันก็สูงลิบลับด้วยเช่นกัน


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น เธอซื้อได้เพียงวิลล่าหลังน้อยตรงนี้


 


 


หล่อนพูดกับหลินเช่ออย่างภาคภูมิว่า “น่าเสียดายที่ไม่มีบ้านหลังใหญ่กว่านี้ จิ้งเจ๋ออุตส่าห์อยากให้ฉันย้ายมาอยู่ด้วยใกล้ๆ ฉันก็เลยซื้อวิลล่าหลังเล็กนี่แทน แค่สี่ล้านเท่านั้นเอง แต่ก็ดีพอแล้วแหละสำหรับจิ้งเจ๋อกับฉันน่ะนะ ที่เล็กกว่า นั่นก็แปลว่ามันก็จะอบอุ่นน่าอยู่กว่า จริงมั้ยล่ะจ๊ะ ฉันคิดว่าการมีคนใช้เดินขวักไขว่กันไปมามากมายแบบในบ้านของจิ้งเจ๋อไม่น่าเป็นการดีสำหรับการใช้ชีวิตคู่สักเท่าไหร่ เพราะแบบนี้ฉันก็เลยไม่ค่อยชอบมาที่นี่ไงละจ๊ะ เธอเองก็คงรู้ดีแหละเนอะ ใช่มั้ยหลินเช่อ เธอกับจิ้งเจ๋อเองก็คงไม่ได้อยู่กันอย่างสงบตามลำพังเท่าไหร่ ในเมื่อคนพลุกพล่านเต็มบ้านแบบนี้”


 


 


หลินเช่อไม่ได้สนใจฟังคำโอ้อวดของอีกฝ่าย เธอเพียงแต่ยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “มันก็ดีอยู่นะคะ พวกสาวใช้ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คุณคิด พวกเขาได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีไม่ให้เดินไปเดินมาเป็นที่วุ่นวาย แล้วก็จะออกมาเฉพาะเวลาที่มีงานต้องทำเท่านั้น”


 


 


“โอ้ จริงเหรอจ๊ะ ฉันไม่รู้เลย เพราะทุกครั้งที่ฉันมาหาจิ้งเจ๋อ เขาจะไม่ยอมให้พวกคนใช้เข้ามาขัดจังหวะเราเลยสักครั้ง”


 


 


หลินเช่อตอบ “แต่ก็แย่หน่อยนะคะ เพราะขนาดได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนแล้ว เขาก็ยังแตะต้องคุณไม่ได้อยู่ดี ฉันเข้าใจคุณค่ะ ไม่อย่างนั้นอาการป่วยของเขาคงยิ่งกำเริบหนักขึ้นไปอีก”


 


 


“แก…” โม่ฮุ่ยหลิงเจ็บใจแต่ก็ทำได้เพียงถลึงตามองหลินเช่อ “เขาก็แตะต้องเราไม่ได้ทั้งสองคนนั่นแหละ แล้วแกจะมาดีใจอะไรไม่ทราบ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่รู้เลยสักนิดว่ากู้จิ้งเจ๋อกับหลินเช่ออาศัยอยู่ด้วยกันแบบไหน หล่อนจึงไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ชายหนุ่มอยู่กับหลินเช่อ เขาไม่เคยมีอาการใดๆ เกิดขึ้นเลย


 


 


หลินเช่อเลิกต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายแล้วมองเข้าไปภายในตัวบ้าน จากนั้นก็หันไปบอกโม่ฮุ่ยหลิงว่า “ถ้างั้นก็ขอให้มีความสุขกับการแวะมาหาเขานะคะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงทำหน้าเยาะๆ แล้วมองดูหลินเช่อปลีกตัวเดินเข้าบ้านไป


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ประตูทักทายเธออย่างสุภาพและประตูก็ปิดลง โม่ฮุ่ยหลิงมองดูแนวรั้วสูงด้วยสายตาเจ็บช้ำ


 


 


ที่นี่มันควรจะเป็นของเธอไม่ใช่เหรอ


 


 


ฮึ ฉันยอมให้แกอยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ นังหลินเช่อ ไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะไล่ตะเพิดแกออกไปเอง!


 


 


 


 


หลินเช่อเดินเข้าบ้านมาพลางครุ่นคิดถึงการที่มีโม่ฮุ่ยหลิงอยู่ใกล้ๆ ซึ่งทำให้เธออดรู้สึกไม่เป็นสุขขึ้นมาไม่ได้


 


 


เธอปล่อยให้สาวใช้เลือกเสื้อผ้าให้และแต่งตัวอย่างใจลอย เตรียมที่จะขับรถไปยังบริษัท


 


 


การขับรถช่วยบรรเทาความหงุดหงิดในใจลงได้บ้าง


 


 


แม้หลินเช่อจะสมัครเรียนสอนขับรถกับมืออาชีพและสอบได้ใบขับขี่มาในที่สุด แต่เธอก็ยังไม่เคยขับรถออกมาข้างนอกด้วยตัวเองมาก่อน


 


 


เมื่อสาวใช้มองเห็นเธอเดินไปที่รถ หล่อนก็อดเตือนขึ้นเบาๆ อย่างเป็นห่วงไม่ได้ว่า “คุณผู้หญิงคะ ทำไมไม่เรียกคนขับรถละคะ”


 


 


หญิงสาวตอบไปว่า “ฉันซื้อรถมาเพื่อความสะดวกของตัวเองนะจ๊ะ ถ้าเรียกคนขับรถก็เท่ากับผิดวัตถุประสงค์น่ะสิ ไม่ช้าก็เร็วฉันต้องหัดขับรถเองอยู่ดีนั่นแหละ งั้นฉันไปก่อนนะ”


 


 


เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหลินเช่อแล้ว สาวใช้ก็เข้าใจ จึงปล่อยให้หลินเช่อขับรถเองแต่โดยดีแม้จะยังเป็นห่วงไม่น้อยก็ตาม


 


 


มีรถก็ต้องขับสิ ไม่ใช่จอดทิ้งไว้ที่บ้านทุกวี่วันแบบนี้


 


 


 


 


ในขณะเดียวกัน


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงที่ยังคงยืนรอกู้จิ้งเจ๋อกลับบ้านอยู่ด้านนอกก็มองเห็นจากหางตาว่าหลินเช่อกำลังขับรถออกไป


 


 


รถคันนั้นสะดุดตาไม่น้อยทีเดียว เธอบอกได้เลยว่ามันเป็นรถสำหรับผู้หญิง


 


 


หล่อนตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับหลินเช่อแล้ว รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีทรัพย์สินใดๆ เป็นเพียงลูกนอกสมรสที่มีสถานะต่ำต้อยอยู่ภายในบ้านตระกูลหลินเท่านั้น


 


 


แล้วทำไมนังผู้หญิงยากจนนั่นถึงมีปัญญาซื้อรถได้ล่ะเนี่ย


 


 


มันจะต้องหาทางออดอ้อนกู้จิ้งเจ๋อให้ซื้อให้แน่ๆ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเดือดพล่านอยู่ในใจ นังนั่นเป็นผู้หญิงร้ายกาจแต่กลับชอบทำตัวใสซื่อ แล้วดูสิ สุดท้ายก็หางโผล่ออกมาอยู่ดี


 


 


แต่ที่น่าโมโหยิ่งกว่านั้นก็คือกู้จิ้งเจ๋อก็กลับซื้อรถให้มันเสียด้วยนี่แหละ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงทนไม่ไหวจนต้องก้าวออกไปขวาง


 


 


“หลินเช่อ หยุดเดี๋ยวนี้!” หล่อนตะโกนก่อนจะรีบวิ่งจี๋มาที่รถ


 


 


หลินเช่อนั้นยังเป็นมือใหม่หัดขับ แต่โชคดีที่บริเวณนี้เป็นแถบที่อยู่ของผู้มีอันจะกิน ทำให้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นนัก เธอจึงอยากลองหัดขับบนถนนแถวนี้ดูสักเล็กน้อยก่อน แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็เห็นโม่ฮุ่ยหลิงตรงดิ่งเข้ามาหาเธอ


 


 


“โอ๊ย! หลบไป โม่ฮุ่ยหลิง! หลบไปสิ!” ด้วยความเป็นมือใหม่ เธอจึงละล้าละลังแม้กระทั่งเห็นคนยืนอยู่บนถนน ไม่ต้องพูดถึงคนที่กำลังวิ่งตรงเข้าใส่แบบนี้เลย


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงวิ่งชนิดที่แทบจะเอาศีรษะนำหน้า หลินเช่อไม่อาจหักหลบได้ทัน จึงชนเข้าไปที่ร่างเธอ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงล้มลงบนพื้น หลินเช่อตกใจสุดขีดเมื่อเห็นอีกฝ่ายผุดลุกขึ้นมาและตะโกนใส่หน้าเธอต่อ “หลินเช่อ นี่แก…พยายามจะฆ่าฉันหรือยังไงยะ ลงมาซะดีๆ เลยนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการกับแกเอง อย่าคิดหนีเชียวนะ! วันนี้ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่!”


 


 


หล่อนลุกขึ้นยืนได้ทันที เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย


 


 


หลินเช่อมองอีกฝ่ายอย่างโกรธจัด “คุณไม่สนใจชีวิตเองแถมยังวิ่งเข้าใส่ฉันแบบนี้ แล้วคุณยังจะมาโทษคนอื่นอีกเหรอ คุณไม่ตายก็ดีเท่าไหร่แล้วน่ะ ฉันไม่เสียเวลาเล่นกับคุณแล้วนะ”


 


 


เธอยังต้องรีบไปที่บริษัท ไม่ได้ว่างเหมือนโม่ฮุ่ยหลิง


 


 


หลินเช่อกลับไปขึ้นรถและขับออกไปทันที


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงทำได้แต่เพียงตะโกนลั่นตามหลังไปว่า “หลินเช่อ กลับมานี่นะ! แก…เดี๋ยวก่อนเถอะ กู้จิ้งเจ๋อไม่ปล่อยแกไว้แน่”


 


 


หล่อนนั่งลงกับพื้นแล้วโทรศัพท์หากู้จิ้งเจ๋อ


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ ฉันเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ คุณรีบมาทีนะคะ”


 


 


“อะไรนะ เกิดเรื่องขึ้นที่ไหน”


 


 


“ที่…นอกบ้านคุณน่ะค่ะ”


 


 


“อะไรนะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อประหลาดใจอย่างยิ่ง ปกติแล้วรถบริเวณนี้จะขับกันค่อนข้างช้าเพราะถนนนั้นเต็มไปด้วยป้ายเตือนเต็มพรืดไปหมด ทุกคนเคารพกฎการควบคุมความเร็วเป็นอันดี แล้วนี่โม่ฮุ่ยหลิงจะเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไรกัน


 


 


เขารีบมาในทันทีและได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงนั่งอยู่ที่พื้น


 


 


เขารีบตามคนมาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น ขาของเธอได้รับบาดเจ็บ จนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ คุณต้องช่วยฉันนะคะ หลินเช่อพยายามจะฆ่าฉันด้วยการขับรถชน เธอชนเข้าที่ขาฉันเต็มๆ เลย”


 


 


พูดพลางยกกระโปรงขึ้นให้ดูร่องรอยถูกกระแทกที่ข้อเท้าและหัวเข่า


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับถามว่า “นี่หลินเช่อขับรถออกไปเองงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่อ…ไม่เคยขับรถเองมาก่อนเลย แล้วทำไมถึงจะมาขับเอาวันนี้นะ… 

 

 


ตอนที่ 106 เธอจะมาตายตรงนี้ไม่ได้นะ

 

กู้จิ้งเจ๋อปล่อยให้คนช่วยพยุงโม่ฮุ่ยหลิงขึ้นรถ จากนั้นเขาจึงขับรถพาเธอไปยังโรงพยาบาล


 


 


เมื่อถึงโรงพยาบาล หมอก็รีบตรวจเช็กร่างกายของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว โม่ฮุ่ยหลิงเอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา พร่ำบอกแต่ว่าเธอแทบจะตายด้วยความเจ็บอยู่แล้ว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก็ทำได้แค่ปลอบใจเธออยู่ข้างๆ เท่านั้น


 


 


ไม่ช้าผลการตรวจก็ออกมา แพทย์แจ้งแก่ชายหนุ่มว่า “คุณกู้ครับ หัวเข่าคุณโม่มีรอยถลอกนิดหน่อย ส่วนข้อเท้าของเธอก็บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรร้ายแรง เพียงแค่ต้องพักสักสองสามวันและระวังไม่ให้หัวเข่าเปียกน้ำ แล้วก็อย่าให้เธอเดินมากเกินไปนัก เพียงเท่านี้ก็จะหายดีภายในเวลาไม่นานครับ”


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงได้ยินก็ไม่พอใจ เธอเงยหน้าขึ้นและรีบพูดทันทีว่า “หมายความว่ายังไงที่บอกว่า ‘ไม่มีอะไรร้ายแรง’ น่ะ นี่คุณเป็นหมอจริงหรือเปล่า ไปตามตัวหมอที่ดีที่สุดในโรงพยาบาลนี้มาให้ฉันเดี๋ยวนี้ นี่ฉันเจ็บจะตายอยู่แล้วนะ จะบอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรงได้ยังไงกัน”


 


 


คนเป็นหมอมองหน้าโม่ฮุ่ยหลิงด้วยความลังเล “คุณโม่ครับ หากคุณไม่เชื่อใจการรักษาของผม ถ้าอย่างนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ผลการเอกซเรย์บอกว่ากระดูกของคุณไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็ไม่ได้มีอะไรบาดเจ็บร้ายแรงจริงๆ นะครับ”


 


 


“เฮอะ ฉันไม่สนหรอกว่าจะพูดยังไง นี่ฉันเจ็บจนจะแย่ คุณต้องทำให้ฉันหายเจ็บให้ได้สิ อย่ามาปล่อยไว้เฉยๆ แบบนี้ฉันไม่ยอมหรอกนะ”


 


 


ได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้น กู้จิ้งเจ๋อก็หันมามองหน้าเธอแล้วพูดว่า “ฮุ่ยหลิง พอทีเถอะ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงหันมา “ทำไมคะ นี่คุณจะไม่เอาเรื่องแม่หลินเช่อนั่นเหรอคะ หล่อนตั้งใจขับรถชนฉันเลยนะ ฉันไม่ปล่อยแม่นั่นไปง่ายๆ แน่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกยุ่งยากใจขึ้นมาทันทีที่หันไปมองหน้าโม่ฮุ่ยหลิง “หลินเช่อเพิ่งจะหัดขับรถเท่านั้น เขายังขับไม่เก่งเท่าไหร่ ต่อให้เขาขับรถชนเธอโดยอุบัติเหตุ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจทำอย่างแน่นอน น่าจะเป็นเพราะยังคุมรถได้ไม่คล่องมากกว่า”


 


 


“อะไรนะคะ” โม่ฮุ่ยหลิงร้องเสียงดังอย่างคาดไม่ถึง “คุณจะบอกว่าเพราะหล่อนยังควบคุมรถได้ไม่ดีพอก็เลยขับรถชนฉันแบบนี้ได้งั้นเหรอคะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหล่อนมองเห็นฉัน นั่นแปลว่าหล่อนต้องตั้งใจที่จะขับชนแน่ๆ”


 


 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้ว “ถ้าขนาดเห็นเธอแล้วแต่ก็ยังคุมรถไม่อยู่ นั่นก็แปลว่าฝีมือการขับรถของเขายังไม่ดีพอไงล่ะ ทำให้แม้จะเห็นคนเดินมาก็ยังหักพวงมาลัยหลบไม่ได้ หลินเช่อยังเป็นมือใหม่เพิ่งหัดขับรถเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจชนหรอก ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”


 


 


“นี่คุณ…” โม่ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปาก น้ำตาเริ่มที่จะเอ่อขึ้นมาคลอเบ้า เธอมองกู้จิ้งเจ๋อด้วยความเสียใจ


 


 


“ก็เพราะคุณเข้าข้างเธอแบบนี้ไงละคะ ต่อให้หล่อนตั้งใจยังไง คุณก็จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจอยู่ดีนั่นแหละ ใช่ไหมละคะ”


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก” กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาวน้ำตาไหลพรากด้วยความอึดอัดใจพลางนึกสงสัยว่าหลินเช่อขับรถไปถึงไหนกันแน่นะ ตอนนี้เขาชักเป็นห่วงเสียแล้วสิ


 


 


เขาเริ่มละล้าละลังที่จะอยู่คอยดูแลเอาใจโม่ฮุ่ยหลิงเพราะอยากแล่นกลับออกไปข้างนอกเต็มที


 


 


“ฮุ่ยหลิง ฉันต้องไปตามหาหลินเช่อก่อน แล้วฉันจะถามเขาต่อหน้าเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอต้องอยู่ที่นี่ ข้อเท้าของเธอยังต้องให้หมอรักษา เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากเรื่องดูแลตัวเองให้หายดีเลยนะ”


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็ก้มลงมองที่ข้อเท้า บางทีกู้จิ้งเจ๋ออาจจะแคร์เธอจริงๆ ก็ได้และอยากให้เธอหายดีซะก่อน บางทีเขาอาจไม่อยากให้เธอต้องเจ็บแผลมากไปกว่านี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าแต่โดยดีและบอกเขาว่า “งั้นฉันจะบอกหมอให้จัดการรักษาให้ดีที่สุดก็แล้วกันค่ะ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่อยู่แล้ว”


 


 


“โอเค”


 


 


ชายหนุ่มพยักพเยิดเรียกตัวหมอที่รักษาเธอให้เดินตามเขาออกมาด้านนอก


 


 


เขาถามย้ำอีกครั้งถึงอาการบาดเจ็บของโม่ฮุ่ยหลิงว่ามีอะไรร้ายแรงหรือไม่และขอร้องให้ช่วยรักษาเธออย่างดีที่สุด


 


 


ซึ่งนายแพทย์ก็รับรองเป็นอย่างดีว่าไม่มีปัญหาใดๆ ร้ายแรง แผลที่พบเป็นเพียงอาการฟกช้ำดำเขียวและบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนความเจ็บที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงอาการชั่วคราว อันที่จริง จากลักษณะของอดการบาดเจ็บแล้ว โม่ฮุ่ยหลิงไม่น่าจะรู้สึกเจ็บใดๆ ด้วยซ้ำ บางทีอาจจะเป็นเพราะเธอบอบบางเกินไปหรือไม่ก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลย แต่อย่างไรก็ตามเขาจะรักษาเธออย่างดีที่สุด


 


 


ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ


 


 


เขาเหลือบดูเวลาและคาดคะเนว่าจนถึงตอนนี้หลินเช่อน่าจะขับรถออกไปได้ราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังจะไปไหนในเวลาแบบนี้


 


 


เขาหันกลับไปมองโม่ฮุ่ยหลิงที่อยู่ด้านในห้องและเห็นว่านางพยาบาลกำลังฉีดยาให้ โดยที่หญิงสาวตะคอกกลับเสียงดังว่า “เจ็บนะ นี่หล่อนฉีดยาไม่เป็นหรือไง เบามือหน่อยสิ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ โม่ฮุ่ยหลิงคงไม่เคยบาดเจ็บมาก่อนเลยจริงๆ ในฐานะลูกสาวคนเล็กของตระกูลโม่ หญิงสาวจึงได้รับการประคบประหงมดูแลเป็นอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตามชายหนุ่มนึกเลยไปถึงตอนที่หลินเช่อได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ ทว่าฝ่ายนั้นกลับทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่ได้กรีดร้องใดๆ ด้วยความเจ็บปวดเลยด้วยซ้ำ


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะหลินเช่อไม่มีใครที่คอยเอาใจใส่เธอตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กก็เป็นได้


 


 


เขาโบกมือให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยติดตาม “ลงมือค้นหาทั่วทั้งเมืองซิ หาตัวภรรยาของฉันให้เจอแล้วพาเธอกลับมา”


 


 


หลินเช่อนี่นะ มีแต่จะทำให้เขาต้องคอยกังวลเพราะนิสัยทำอะไรไม่ค่อยคิดอยู่เรื่อย


 


 


 


 


ขณะที่ขับรถจากมา หลินเช่อยังคงโกรธจัด โม่ฮุ่ยหลิงนี่สร้างปัญหาให้ตั้งแต่ในวันแรกที่หล่อนย้ายมาอยู่เลยทีเดียว ซึ่งแปลในอนาคตข้างหน้าก็อย่าหวังว่าเธอจะได้อยู่อย่างสงบเลย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ หรือบางทีเธอย้ายหนีไปเสียให้ไกลเลยจะดีมั้ยนะ พอไม่เห็นหน้าด็จะได้ไม่ต้องหัวเสีย หญิงสาวคิดในใจ


 


 


ฝีมือการขับรถของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังไม่มั่นใจมากเท่าไหร่นัก ทันใดนั้นก็มีสายเรียกเข้ามาจากอวี๋หมินหมิ่น เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ทั้งที่กำลังขับรถอยู่ และในชั่วขณะที่เธอละสายตาจากถนนไปเพียงแวบเดียวนั่นเอง รถก็ไถลออกนอกเส้นทาง


 


 


หลินเช่อขว้างโทรศัพท์ทิ้งแล้วรีบหันกลับมาคว้าพวงมาลัยรถเอาไว้


 


 


ทว่ารถก็ยังคงพุ่งออกนอกเส้นทางต่อไปอยู่ดี


 


 


หลินเช่อร้องเสียงหลง กว่าจะรู้สึกตัว รถก็พุ่งกระแทกเข้ากับแนวกำแพงเตี้ยๆ ที่กั้นอยู่ขอบถนนไปแล้ว จากนั้นรถทั้งคันก็หมุนคว้าง


 


 


หลินเช่อตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วเธอก็รู้สึกตัวว่ารถของเธอกำลังอยู่บนสะพาน ครึ่งหนึ่งของตัวรถไถลเลยออกไปนอกถนนทำให้ตัวรถกำลังกระดกหน้ากระดกหลังอย่างน่าหวาดเสียว เรียกว่าหากขยับตัวเพียงนิดเดียวก็อาจส่งผลให้รถหล่นออกไปนอกสะพานได้โดยง่ายดาย


 


 


หญิงสาวเพิ่งได้สติว่าเธอขับรถขึ้นสะพานมา และตอนนี้ตัวรถก็ชนเข้ากับตอม่อสะพานโดยมีราวเหล็กที่อยู่เหนือขึ้นไปด้านบนขวางตัวรถเอาไว้ไม่ให้หล่นลงไปในตอนนี้ ทว่าตัวราวเหล็กนั้นก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย และถึงแม้ว่ารถจะยังค้างเติ่งอยู่ได้ไม่ร่วงหล่นลงไปแต่ก็ดูเหมือนว่าจะรั้งเอาไว้ได้อีกไม่นานนัก


 


 


เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในรถที่ห้อยต่องแต่ง หญิงสาวก็กลัวแทบสิ้นสติ หัวใจของเธอเต้นแรงเสียจนต้องยกมือขึ้นมากุมอก “ตายแน่ ฉันต้องตายแน่ๆ นี่ฉันจะต้องมาตายที่นี่เหรอเนี่ย ฉันยังมีอะไรที่อยากทำอีกตั้งหลายอย่างนะ”


 


 


ที่ด้านล่าง ใครบางคนเริ่มโทรเรียกตำรวจ ซึ่งพวกเขาก็มาถึงที่เกิดเหตุในเวลาอันรวดเร็ว แต่พวกเขาก็กลับเอาแต่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ลงมือทำอะไร


 


 


“ใครอยู่ในนั้นล่ะนั่น แล้วขับรถยังไงถึงได้ไปลงเอยอีท่านั้นได้นี่ เอ้า ไปกั้นถนนเข้าสิอย่าให้รถขึ้นสะพานได้”


 


 


“ดูเหมือนจะเป็นรถหรูเสียด้วย”


 


 


“ท่าทางจะเป็นผู้หญิงขับนะ”


 


 


“ผู้หญิงขับรถนี่อันตรายเป็นบ้า”


 


 


“ให้ผู้หญิงขับรถนี่เหมือนเอาเงินไปทิ้งจริงๆ สมควรแล้วล่ะที่ชนเข้าขนาดนี้น่ะ”


 


 


ผู้คนที่อยู่ด้านล่างพากันถกเถียงแสดงความเห็นว่าจะหาทางยับยั้งไม่ให้รถหล่นลงมาและช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ข้างในได้อย่างไร


 


 


แต่เมื่อรถเริ่มโคลงเคลงหนักขึ้นก็ไม่มีใครกล้าก้าวเข้ามาใกล้ เพราะหากไปแตะต้องอะไรจนรถหล่นลงจากสะพานเข้าแล้วละก็อาจกลายเป็นความผิดของตัวเองได้ แถมคนที่อยู่ในรถก็ดูท่าทางไม่น่าจะเป็นคนธรรมดาด้วย พวกเขาจึงนึกกลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินหรือเปล่า และหากคนในรถออกตามหาตัวพวกเขาขึ้นมาก็อาจกลายเป็นปัญหาในภายหลังได้


 


 


ด้วยเหตุนี้ จึงยังไม่มีใครรีบร้อนเข้าไปช่วยหลินเช่อ ทุกคนเอาแต่ถกเถียงกันว่าใครที่ควรเข้าไปจัดการกับปัญหานี้


 


 


ในระหว่างนั้น หลินเช่อก็กลัวจนใกล้สติแตกเต็มที


 


 


เธอได้ยินเสียงรถตำรวจและรถพยาบาลแล่นมาใกล้แต่กลับไม่เห็นใครมีท่าทีว่าจะเข้ามาช่วยเลย


 


 


โทรศัพท์ของเธอถูกเหวี่ยงลงกับพื้นรถจนเธอไม่อาจเอื้อมไปหยิบถึง และเมื่อมองดูโดยรอบแล้ว หลินเช่อก็รู้ดีว่าการตะโกนร้องขอความช่วยเหลือนั้นเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์


 


 


ถ้าเธอต้องตายที่นี่จริงๆ ก็คงเป็นเพราะโชคชะตาของเธอเองนั่นแหละ


 


 


แต่อย่างน้อย…คงทำให้กู้จิ้งเจ๋อหมดกังวลใจไปได้เรื่องหนึ่งละนะ ถ้าเธอตาย เขาก็จะเป็นอิสระ…

 

 

 


ตอนที่ 107 เธอพูดแบบนี้กับเรื่องชีวิตได้ยังไง

 

โม่ฮุ่ยหลิงกรีดร้องเสียงดังและมองหน้ากู้จิ้งเจ๋ออย่างคับแค้นใจ “จิ้งเจ๋อคะ นี่มันเจ็บมากนะ คุณเห็นมั้ยว่าแผลฉันมันใหญ่ขึ้นน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมอง เขาเห็นเพียงรอยถลอกเล็กน้อยเท่านั้น จึงพูดกับเธอว่า “มันไม่ใหญ่สักหน่อย เธอไม่เห็นต้องกลัวขนาดนี้เลย”


 


 


หญิงสาวทำปากยื่น “แล้วถ้ามันทิ้งรอยแผลเป็นไว้ละคะ ดูสิคะ ขาฉันน่ะไม่มีรอยแผลเป็นเลยสักรอยเดียวนะ แล้วถ้าครั้งนี้เกิดเป็นแผลเป็นขึ้นมาละก็ ฉันจะขอชังน้ำหน้านังหลินเช่อนั่นไปจนตายเลยเชียว”


 


 


“พอที มันก็แค่รอยถลอกเท่านั้น มันไม่เป็นแผลเป็นหรอกน่า” เขาว่า “หลินเช่อเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่ควรไปเกลียดเขา”


 


 


“คุณก็คิดเอาเองฝ่ายเดียวนั่นแหละว่าหล่อนไม่ตั้งใจน่ะ แต่ฉันบอกได้เลยค่ะว่าหล่อนจงใจแน่ๆ ไม่อย่างนั้นทำไมหล่อนถึงจงใจชนฉันล่ะค่ะ ทั้งที่ชนคนอื่นก็ได้น่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้ดีว่าเขาไม่มีทางพูดกับเธอให้เข้าใจได้ เขาจึงไม่ต่อปากต่อคำอีก ทำเพียงแค่บอกว่า “นั่งดูทีวีสักพักเถอะ จะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านอีก”


 


 


เขายื่นรีโมตส่งให้เธอแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ผ่านไปได้ครู่ใหญ่แล้วแต่ยังไม่มีวี่แววของหลินเช่อให้เห็นเลย


 


 


ยัยโง่เอ๊ย หายไปไหนกันนะ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรับรีโมตมาอย่างไม่ใส่ใจและเริ่มกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ


 


 


ระหว่างนั้นก็มีภาพข่าวด่วนโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์


 


 


“เราเพิ่งได้รับแจ้งมาว่ามีรถปอร์เช่ที่ประสบอุบัติเหตุและกำลังห้อยอยู่บนสะพานนะครับ ตอนนี้ได้ดำเนินการปิดการจราจรในบริเวณนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่ทราบว่าบุคคลที่อยู่ภายในรถเป็นใคร ได้รับรายงานมาเพียงแค่ว่าเป็นหญิงสาวที่ขับรถมาลำพังคนเดียว และยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นการเมาแล้วขับหรือเปล่า ตอนนี้ทางหน่วยกู้ภัยเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุแล้วนะครับ แต่เพราะว่าตัวรถนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอันตราย ทำให้ทางทีมกู้ภัยยังคงประสบปัญหาในการ…”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงนั้นไม่ได้สนใจข่าวและกำลังทำท่าจะเปลี่ยนช่อง แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับห้ามเธอเอาไว้ เขาเงยหน้ามองโทรทัศน์เงียบๆ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอ


 


 


แล้วภาพของรถปอร์เช่ที่เหลืองที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนสะพานก็ปรากฏขึ้นมา


 


 


หลินเช่อ…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาเผลอพูดชื่อของเธอออกมาดังลั่นด้วยความตกใจ


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงได้ยินชื่อหลินเช่อ เธอจึงเขม่นมองเข้าไปใกล้ๆ หน้าจอ ดูเหมือนจะเป็นรถคันที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อก่อนหน้านี้จริงๆ เสียด้วย นี่นังหลินเช่อประสบอุบัติเหตุงั้นรึ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงนึกดีใจเสียจนแทบลืมความเจ็บที่เท้าไปเสียถนัด หญิงสาวปรบมือรัวๆ ด้วยความรู้สึกว่าความยุติธรรมได้บังเกิดแล้ว “สมควรแล้วล่ะ นี่สิคะที่เขาเรียกว่ากรรมตามสนองน่ะ ถ้าหล่อนไม่ได้ขับรถชนฉันจนล้มละก็ สวรรค์คงไม่ลงโทษหล่อนแบบนี้หรอก”


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้ยินคำพูดของเธอ เขาก็นิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ


 


 


แต่โม่ฮุ่ยหลิงไม่สังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม เธอยังดีอกดีใจได้เห็นหลินเช่อตกอยู่ในอันตรายและสุ่มเสี่ยงที่จะถึงแก่ชีวิตเช่นนี้


 


 


ถ้ามันตายๆ ไปซะได้ก็คงจะดีไม่น้อย กู้จิ้งเจ๋อจะได้กลับมาเป็นของเธออีกครั้ง


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดว่า “เฮอะ เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่าแพ้ภัยตัวเองไงล่ะ สมควรแล้วจริงๆ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปัดมือเธออย่างแรง


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชาที่จ้องมองมาของอีกฝ่าย


 


 


ทีแรกเธอแปลกใจและนึกสงสัยว่าตัวเองเผลอพูดหรือทำกิริยาไม่เรียบร้อยอะไรออกไปหรือเปล่า


 


 


แต่ในเมื่อเธอเกลียดหลินเช่อ และหลินเช่อก็เกิดอุบัติเหตุเพราะตัวของหล่อนเองแบบนี้ ที่เธอพูดไปก็ไม่มีอะไรผิดสักหน่อยนี่นะ


 


 


“เป็นอะไรไปคะจิ้งเจ๋อ” หญิงสาวถามด้วยความฉงน


 


 


สายตาของชายหนุ่มจ้องถมึงทึงกลับมา “ฮุ่ยหลิง เธอพูดออกมาแบบนี้ได้ยังไงกันน่ะ ต่อให้เขาเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก แต่นี่ก็เป็นเรื่องความเป็นความตาย เป็นเรื่องของชีวิตคนคนหนึ่งนะ มีคนกำลังจะตายเพราะอุบัติเหตุแล้วเธอยังมาทำหน้าระรื่นอยู่อีกได้ยังไง จะมาพูดว่าเขาสมควรที่จะตายแล้วแบบนี้ได้ยังไง ทำไมเธอถึงได้ร้ายกาจแบบนี้”


 


 


“ฉัน…ไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะคะ…” โม่ฮุ่ยหลิงรีบแก้ “ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง คุณก็รู้จักฉันนี่คะ ฉันคิดอะไรก็พูดออกไปแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรร้ายกาจสักหน่อย…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนึกผิดหวังในตัวหญิงสาว เขาสูดลมหายใจแล้วเงยหน้าขึ้น ขบฟันแน่นจนเห็นเป็นแนวสันกราม จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป


 


 


“เอ้อ จิ้งเจ๋อคะ แล้วคุณจะออกไปทำไมคะนั่น…” เธอร้องถามไล่หลังอย่างหัวเสียพลางมองไปรอบๆ แต่ในใจยังคงนึกถึงหลินเช่ออย่างเกลียดชัง แกสมควรโดนแล้วล่ะ ต้องมาตายแบบนี้ก็เหมาะที่สุดแล้ว จงตกลงไปจนหน้าตาเสียโฉมจนจิ้งเจ๋อไม่อยากที่จะเห็นหน้าแกอีก


 


 


 


 


บนสะพาน


 


 


บริเวณที่เกิดเหตุ ผู้คนมากมายยังคงเฝ้าดูอยู่รอบนอก


 


 


สารวัตรยังคงสั่งการอย่างเรื่อยเฉื่อยไร้ความกระตือรือร้น เขายกขวดน้ำขึ้นดื่มพลางมองไปที่รถด้วยสายตาแปลกๆ “แล้วนี่รถใครกันล่ะนั่น ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”


 


 


“เป็นรถใหม่เอี่ยมทีเดียวละครับ อย่าบอกนะว่าเป็นรถคนใหญ่คนโตที่ไหนน่ะ”


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก เรามีบันทึกป้ายทะเบียนรถของบุคคลสำคัญเอาไว้ทั้งหมด ถ้าใช่จริงก็คงจำได้ไปแล้วละ น่าจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่มากกว่า เราถึงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”


 


 


และแล้วใครบางคนก็เดินตรงเข้ามาพร้อมข้อมูลล่าสุด


 


 


“ผู้กองครับ ผู้กอง แย่แล้วละครับ คนที่มุงอยู่ด้านนอกนั่นบอกว่าคนที่อยู่ในรถคือคุณผู้หญิงตระกูลกู้ครับ พวกเขาถามกันใหญ่ว่าทำไมเราถึงยังไม่ช่วยเธออีก”


 


 


“ตระกูลกู้ไหนล่ะ”


 


 


“ตระกูลไหนหมายความว่ายังไง ก็ตระกูลกู้ของประเทศเราสิครับ!”


 


 


“โอ ให้ตายเถอะ…” สารวัตรทิ้งขวดน้ำแล้วรีบคว้ากล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องไปยังจุดเกิดเหตุ


 


 


“แล้วทีนี้…จะเอายังไงกันดีละครับผู้กอง” คนที่ยืนข้างตัวถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ


 


 


“เราจะทำอะไรได้อีกล่ะ” นายตำรวจรีบหันหน้าหันหลังอย่างกระตือรือร้นขึ้นมาทันตา “เร็วเข้า รีบไปช่วยหล่อนเดี๋ยวนี้ เว้นเสียแต่ว่าพวกแกอยากตาย ถ้าใครอยากตายก็รออยู่แถวนี้แหละ เอ้า รีบขยับก้นกันเร็วๆ เลย ใครยังอยากยืนคุยอยู่ ฉันจะจับโยนทิ้งสะพานให้หมด”


 


 


ที่บริเวณรอบนอก บรรดานักข่าวเริ่มถูกไล่


 


 


“ถอยไปๆ ห้ามถ่ายภาพ ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ”


 


 


“อ้าว เมื่อกี้นี้ยังอนุญาตให้ถ่ายได้อยู่เลย! แล้วทำไมอยู่ๆ มาเปลี่ยนกันแบบนี้ล่ะ” นักข่าวคนหนึ่งถามอย่างงุนงง


 


 


คนทำข่าวนั้นกระหายจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนขับผู้หญิงเพราะคำพาดหัวอย่างรถหรูและอุบัติเหตุนั้นย่อมเรียกความสนใจจากคนที่อยากรู้อยากเห็นได้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงอยากได้ข้อมูลเพื่อไปเขียนข่าวฉบับเต็ม


 


 


“ไม่ว่าจะด้วยกรณีไหนก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปอีกแล้ว และก็ไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดการรายงานข่าวด้วย ถ้าใครยังกล้าเผยแพร่อะไรออกไปอีกละก็รับผิดชอบเองนะ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ”


 


 


นักข่าวเริ่มถูกไล่ออกจากบริเวณ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลองดี จากนั้นทีมกู้ภัยก็ใช้อุปกรณ์อย่างดีดึงรถขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว


 


 


กลุ่มคนที่มุงดูอยู่รอบนอกต่างพากันกรูเข้าไปที่รถและดึงร่างหลินเช่อออกมา


 


 


สารวัตรก็ถึงกับเดินเข้าไปซักถามด้วยตัวเองเลยทีเดียว “โอ้ คุณนายกู้ครับ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เอ้า รีบเอาเปลมาเร็วเข้าสิ รีบช่วยเธอก่อน”


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ…ฉันไม่เป็นไร แค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้นเอง” หลินเช่อรีบบอก


 


 


ทุกคนต่างพากันมองมาด้วยสายตาประหลาด ทั้งที่เมื่อกี้ยังดูวุ่นวายปั่นป่วนเสียแทบแย่ แต่ทุกอย่างกลับจบลงอย่างง่ายดายแบบนี้งั้นหรือ


 


 


ใครบางคนพูดขึ้น “ฉันได้ยินมาว่าคนที่อยู่ในรถเป็นคนใหญ่คนโตทีเดียว พวกกู้ภัยก็เลยเลิกโยกโย้แล้วก็รีบช่วยดึงเอารถขึ้นมากันใหญ่เลย”


 


 


“พวกเขาไล่นักข่าวออกไปแถมยังห้ามถ่ายภาพอีกต่างหาก”


 


 


“เป็นคนสำคัญขนาดไหนกันนะ ถึงได้ทำให้พวกตำรวจกลัวกันจนหัวหดแบบนี้”


 


 


แต่เมือง B นั้นเป็นย่านของผู้มีอันจะกิน เมืองเต็มไปด้วยดารานักร้องดังๆ มากมาย สารวัตรเองก็คงจะเคยชินแล้วกับเรื่องนี้ คนที่จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขนาดนี้ได้ต้องเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอย่างแท้จริงและไม่มีใครกล้าหือด้วย 

 

 


ตอนที่ 108 ไม่ต้องขับรถอีกแล้วนะ

 

ขณะถูกนำตัวลงจากรถ หลินเช่อก็แอบสังเกตเห็นกู้จิ้งเจ๋อแวบๆ ทางหางตาว่าเขากำลังขับรถใกล้เข้ามา ชายหนุ่มเปิดประตูและก้าวลงจากรถ ลมบริเวณสะพานนั้นพัดแรงมากเสียจนเสื้อโค้ตของเขาปลิวเปิดออกเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อนอกสีกรมท่าที่ชายหนุ่มสวมอยู่สะบัดไปมาด้วยแรงลม ท่าทางของเขาดูสุขุมและเรียบเฉยปราศจากความตื่นตระหนกใดๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาใกล้


 


 


บางคนที่เห็นเขาต่างก็รีบพากันกรูเข้าไปหา


 


 


ไม่ช้าชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ข้างตัวหลินเช่อ


 


 


ด้วยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหมาดๆ เธอคิดว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกแล้วด้วยซ้ำ


 


 


ความตื่นตระหนกหวาดกลัวที่ล้นปรี่ในตอนแรกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความผ่อนคลายเมื่อได้เห็นเขา แต่ร่างของเธอยังคงสั่นเทา


 


 


เกือบไปแล้ว เธอเกือบไม่ได้พบเขาอีกแล้ว เกือบจะตายไปแล้ว


 


 


หลินเช่อมองเขาแล้วเอื้อมมือออกไป “กู้จิ้งเจ๋อ ฉัน…”


 


 


ใบหน้าของเธอซีดเผือด ริมฝีปากเขียว ทำเอาชายหนุ่มทั้งนึกโกรธทั้งเป็นห่วงไปพร้อมกัน


 


 


เขาอยากตะคอกเธอเพราะความฉุนเฉียว แต่เมื่อมองหน้าหลินเช่อแล้ว เขาก็ทำได้เพียงคว้าข้อมือเธอไว้แล้วรั้งร่างนั้นเข้ามาสู่อ้อมแขน เขากอดเธอ ความวิตกหวาดหวั่นพรั่นพรึงในหัวใจค่อยๆ มลายหายไปช้าๆ


 


 


แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่มันก็ให้ความรู้สึกราวกับชั่วนิรันดร์สำหรับคนทั้งสอง


 


 


ตอนที่เห็นข่าว เขาแทบทนดูภาพรถที่กำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนสะพานนั่นไม่ได้ เขาอยากกระโจนมาที่นี่แล้วช่วยเธอด้วยตัวเอง


 


 


แต่เขาไม่ใช่ซูเปอร์แมน เขาบินไม่ได้ จึงทำได้เพียงโทรศัพท์ตามหน่วยกู้ภัยและพยายามสงบจิตใจตัวเองให้ได้โดยไม่สติแตกไปเสียก่อน


 


 


ไม่มีเวลาจะมากังวลหรือหวาดกลัว ในชั่วขณะนั้นเขามีเพียงความคิดเดียวในหัว นั่นคือต้องทำให้เธอปลอดภัยให้ได้


 


 


จนถึงตอนนี้ที่เธอปลอดภัยแล้ว ความกลัวที่มีอยู่แต่เดิมก็เริ่มคืบคลานกลับเข้ามา


 


 


ถ้าเธอเกิดตกลงไปจากตรงนั้นละก็ ไม่มีทางเลยที่จะรอดชีวิตมาได้


 


 


ยัยผู้หญิงคนนี้ ช่างไม่รู้เสียบ้างเลยว่าตัวเองเกือบต้องเจอกับอะไร


 


 


เธอกล้าที่จะขับรถออกมาเองแบบนี้ นั่นแปลว่าเธอไม่ได้แคร์ชีวิตของตัวเองเลยสักนิด


 


 


ถ้าเธอตายไปละก็…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่อาจจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากเธอได้ เขานึกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร


 


 


เมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ นั่น เขาก็ทำใจดุด่าเธอไม่ลง ได้แต่กอดเธอเอาไว้และรีบพาไปยังโรงพยาบาลทันที


 


 


ขณะที่อยู่บนรถนั้นเอง หลินเช่อก็ได้รู้ว่าเธอกลัวมากแค่ไหน เธอเกาะเอวเขาไว้ไม่ยอมปล่อย นั่งอยู่บนตักเขา กอดเขาแน่น สิ่งนี้ทำให้ความขุ่นข้องหมองใจของกู้จิ้งเจ๋อหายวับไปเกือบหมด เขาก้มลงมองมือของเธอที่กุมมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ศีรษะของเธอพิงซบลงมาบนอก อ่อนแอและหวาดกลัวเหมือนลูกกวางน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ


 


 


ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดก่อนจะยิ้มและมองตรงไปข้างหน้า มันเป็นความรู้สึกมั่นคงที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย


 


 


ไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงโรงพยาบาล


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจัดแจงตามหมอมาตรวจดูอาการของเธออย่างเร่งด่วน


 


 


หมอเข้ามาหาหลินเช่อ บนร่างกายเธอมีรอยถลอกหลายแห่ง แต่ก็เป็นรอยถลอกที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเฝ้ามองอย่างใกล้ชิดก่อนจะนิ่วหน้า เขาก้มลงไปพิจารณาดูรอยแผลและบอกกับหมอว่า “ฉันไม่ต้องการให้มีรอยแผลเป็นใดๆ หลงเหลืออยู่นะ”


 


 


คุณหมอสาวเงยหน้าขึ้นตอบว่า “ไม่ต้องห่วงค่ะคุณกู้ นี่เป็นเพียงรอยแผลตื้นๆ เท่านั้น มันน่าจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ เราจะรักษาอย่างระมัดระวังค่ะ”


 


 


ขณะที่พูด ผู้เป็นหมอก็ดูจะมีท่าทางเคร่งเครียดและเป็นกังวล จนเธอเผลอกดต้นขาของหลินเช่อเข้าเต็มแรง แพทย์สาวตกใจอย่างยิ่ง เธอรีบละล่ำละลักกล่าวว่า “ขอโทษทีค่ะ ขอโทษ ฉันจับแรงเกินไปหรือเปล่าคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก “ระวังหน่อยสิ”


 


 


หลินเช่อจึงรีบบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไร คุณจะดุทำไมนักละคะ” หลินเช่อว่าพลางหันกลับมาที่คุณหมอ “ค่อยๆ ตรวจเถอะค่ะ ไม่เป็นไรหรอก แค่แผลเล็กๆ เท่านั้น ไม่ได้เจ็บอะไร ยิ่งคุณประหม่าก็จะยิ่งทำงานได้ไม่ดีใช่มั้ยคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตามองคนพูด นี่น่ะรึแผลเล็กๆ


 


 


หลินเช่อยังพูดต่อไป “เห็นมั้ยคะ แรงกดตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลย แผลเล็กๆ แบบนี้เหมือนตอนที่ฉันหัดขี่จักรยานตอนเด็กๆ เลยค่ะ ตอนนั้นก็ถลอกปอกเปิกแบบนี้แหละ แต่ไม่เป็นไรหรอกนะคะ อีกสองสามวันมันก็ตกสะเก็ดเอง แล้วเดี๋ยวอีกสักปีรอยแผลก็หายไป”


 


 


“ปีหนึ่ง…” กู้จิ้งเจ๋อหน้าเสีย “หมอ ฉันไม่ต้องการให้ใช้เวลาถึงปีกว่าจะหายนะ”


 


 


คนเป็นหมอมองหน้าชายหนุ่มด้วยสีหน้าทำใจลำบาก “แผลนี่…เป็นไปไม่ได้หรอกนะคะที่จะไม่ให้มันเหลือร่องรอยอะไรเลย อย่างน้อยๆ ก็คงเห็นว่าสีผิวไม่เสมอกันรอบๆ บริเวณรอยแผล แต่มันจะไม่ใหญ่ไปกว่านี้หรอกค่ะ”


 


 


หลินเช่อรีบผสมโรงว่า “ฉันเอารองพื้นโบกปิดเอาก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก โอเคค่ะคุณหมอ ค่อยๆ ดูไปเถอะค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถลึงตาใส่คนพูดมาก


 


 


แม้แต่เวลาแบบนี้ก็ยังไม่รู้จักหุบปากอีกนะ


 


 


เขามองเธอก่อนพูดต่อไปว่า “เราจะไม่เอารถนั่นกลับมาใช้อีกแล้วนะ”


 


 


“…”


 


 


เธอมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมละคะ!”


 


 


เขามองหน้าเธอ “ยังจะกล้ามาถามอีกว่าทำไม เธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถอีกต่อไปแล้วน่ะสิ”


 


 


“ฉะ…ฉัน…” คราวนี้เธอแค่ประมาทไปหน่อยเท่านั้นเองนะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนึกแปลกใจอยู่ลึกๆ ข้างใน หลินเช่อช่างแตกต่างจากโม่ฮุ่ยหลิงอย่างสิ้นเชิง แค่เป็นแผลเล็กน้อยแต่โม่ฮุ่ยหลิงกลับกรีดร้องโหวกเหวกโวยวาย ในขณะที่หลินเช่อเพิ่งผ่านเหตุเฉียดตายมาแต่กลับทำหน้าไม่อนาทรร้อนใจใดๆ


 


 


เขาไม่รู้เลยว่าหัวใจของเธอทำด้วยอะไร


 


 


หลินเช่อร้องลั่น “แต่คุณซื้อมันให้ฉันนะคะ ถ้าฉันไม่ได้ขับมันแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ!”


 


 


คนโดนยึดรถกระตุกแขนเสื้ออีกฝ่ายอย่างร้อนรน “คราวหน้าฉันจะระวังให้ดีค่ะ…นั่นมันเป็นของขวัญที่คุณให้ฉันเลยนะคะ แล้วฉันจะปล่อยมันไว้ให้จอดคาอยู่ที่บ้านเฉยๆ ได้ยังไงกันล่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนตัวโตก็ชักใจอ่อน


 


 


ทว่าเมื่อย้อนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ยังยืนกรานหนักแน่น “ฉันจะหาคนขับรถให้เธอ ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ อย่าหวังว่าจะได้ขับรถอีกเลยไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”


 


 


“…” หลินเช่อบุ้ยปาก “จอมบงการชัดๆ”


 


 


ชายหนุ่มตวัดสายตามอง “ฉันไม่ควรซื้อรถให้เธอเลย”


 


 


บางทีของขวัญชิ้นต่อไปน่าจะเป็นอะไรที่นุ่มนวลกว่านี้สักหน่อย


 


 


ไม่อย่างนั้นยัยผู้หญิงคนนี้คงจะหาเรื่องทำอะไรให้ตัวเองเสี่ยงตายอีกตามเคย


 


 


“คุณเป็นคนยอมซื้อให้ฉันเองนะ” หลินเช่อยังประท้วง


 


 


“ตอนนั้นฉันคำนวณผิดไปหน่อย ฉันประเมินความสามารถของเธอสูงเกินไป ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอไม่ใช่แค่ฆาตกรแห่งท้องถนนธรรมดา แต่เป็นระดับฆาตกรโรคจิตเลยทีเดียว”


 


 


“…” หลินเช่อร้อง “ฉันไม่ได้อันตรายขนาดนั้นสักหน่อย”


 


 


“ไม่อันตรายงั้นเหรอ!”


 


 


ก็ได้! หลินเช่ออุบอิบในใจ บางทีก็อาจจะอันตรายอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่เห็นจะต้องเข้มงวดกันขนาดนี้เลยนี่นา


 


 


“ฉันตื่นเต้นไปหน่อยจนลืมไปว่าไม่ควรรับโทรศัพท์ขณะขับรถน่ะค่ะ”


 


 


“…” เขาคงต้องหาผู้ช่วยส่วนตัวให้เธอด้วยอีกคนละนะ ใครก็ได้ที่จะคอยพูดกรอกหูเตือนเธออยู่ตลอดเวลาน่ะ ด้วยสมองทึบๆ แบบนี้ ประเดี๋ยวเธอก็คงจะลืมอีกอยู่ดีนั่นแหละ


 


 


หลินเช่อนึกขึ้นได้ “ฉันต้องโทรบอกพี่อวี๋ค่ะ อ้าว แล้วนี่โทรศัพท์ฉันหายไปไหนล่ะ”


 


 


ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งให้ “ใช้ของฉันก่อนก็ได้”


 


 


“อ้อ โอเคค่ะ” เธอมองโทรศัพท์แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่รู้เบอร์


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธออย่างพูดไม่ออก ก่อนจะหันไปถามฉินเฮ่าที่ยืนอยู่ด้านนอก “นายมีเบอร์โทรของอวี๋หมินหมิ่นใช่มั้ย”


 


 


ฉินเฮ่าผู้นี้นับเป็นบุคคลอเนกประสงค์จริงๆ หลินเช่อชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าพวกเธอจะต้องการอะไร เขาก็จะจัดหามาหให้จนได้ทั้งสิ้น


 


 


เมื่อได้ยินกู้จิ้งเจ๋อถาม ฉินเฮ่าก็รีบส่งหมายเลขให้ในทันที


 


 


หลินเช่อใช้โทรศัพท์ของกู้จิ้งเจ๋อต่อสายถึงอวี๋หมินหมิ่น


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรับสายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า [ฮัลโหล]

 

 

 


ตอนที่ 109 เธอไม่ได้ตั้งใจขับรถชนเขาใช่มั้ย

 

“ฉันเองค่ะพี่อวี๋” หลินเช่อร้องบอก


 


 


เมื่อได้ยินเสียงหลินเช่อ ผู้จัดการสาวก็ใส่ไม่ยั้งเลยทีเดียว [นี่ เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะหลินเช่อ นี่ถ้าฉันหาตัวเธอเจอละก็ฉันจะฆ่าเธอซะ ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันล่ะ ที่บริษัทจะฆ่าฉันตายอยู่แล้วนะ ฉันเที่ยวตามหาเธอไปทั่วทุกที่เลย แทบจะพลิกเมือง B หาอยู่แล้วเนี่ย]


 


 


เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพ่นคำถามรัวๆ ไม่หยุด หลินเช่อก็ได้แต่หลับตารอจนอวี๋หมินหมิ่นพูดจบแล้วจึงตอบไปว่า “ฉันเกือบตายก็เพราะพี่นี่แหละค่ะ”


 


 


[หา] อวี๋หมินหมิ่นชะงัก


 


 


หลินเช่อเล่าต่อ “ก็เพราะสายเรียกเข้าของพี่นี่แหละ ตอนนั้นฉันกำลังขับอยู่พอดีแล้วฉันก็…”


 


 


หลินเช่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังสั้นๆ


 


 


ผู้จัดการสาวถึงกับช็อก [นี่เธอพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย]


 


 


เธอถามต่อไปด้วยความเห็นใจ [นี่เธอไปหัดขับรถมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันไม่ยักรู้ว่าเธอขับรถเป็นด้วย ฉันขอโทษด้วยนะ แล้วนี่เธอเป็นยังไงบ้างละเนี่ย ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ ฉันจะไปเยี่ยมนะ ถ้าที่บริษัทจะตำหนิอะไร ฉันจะรับไว้เอง ลืมเรื่องงานฉลองไปซะ แล้วเดี๋ยวฉันจะจัดการเรื่องเงินค่าทำขวัญ…]


 


 


หลินเช่อขัดขึ้น “โอเคค่ะ โอเค ฉันไม่ได้จะตำหนิอะไรพี่หรอกค่ะ พี่ไม่ได้มีพลังจิตนี่นาจะได้รู้ว่าฉันกำลังขับรถอยู่น่ะ ฉันต่างหากที่ทั้งๆ ที่กำลังขับรถอยู่แท้ๆ แต่พอได้ยินเสียงโทรศัพท์เท่านั้น ฉันก็ยังอยากจะรับสายทั้งๆ ที่ไม่ควรทำน่ะค่ะ”


 


 


[ก็ได้ แหม ก็เธอพูดไม่ชัดเจนนี่นา เอ้า ว่าแต่โทรศัพท์เธอไปไหนล่ะ นี่เบอร์ใครกัน]


 


 


“ฉันใช้โทรศัพท์ของกู้จิ้งเจ๋อน่ะค่ะ” หลินเช่อตอบ


 


 


ที่ปลายสาย อวี๋หมินหมิ่นจับโทรศัพท์ของตัวเองแน่นด้วยสีหน้าช็อกสนิท หล่อนร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ


 


 


[ไม่มีทาง นี่…นี่คือเบอร์ของกู้จิ้งเจ๋อเหรอ]


 


 


“เฮ้ พี่จะตะโกนทำไมคะ หูฉันแทบดับแน่ะ” หลินเช่อถูใบหูตัวเองไปมา


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ [นี่ฉันมีเบอร์โทรของกู้จิ้งเจ๋อแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่มีทาง ฉันมีเบอร์กู้จิ้งเจ๋อแล้วจริงๆ ด้วย…เธอคิดบ้างมั้ยว่าเบอร์นี่เอาไปขายได้ตั้งสองแสนหยวนเชียวนะ จะมีใครซื้อมั้ยเนี่ย อันที่จริงก็ต้องมีแน่นอนอยู่แล้วละนะ คงมีคนมาต่อคิวรอซื้อเลยด้วยซ้ำ] อวี๋หมินหมิ่นกรี๊ดกร๊าดใหญ่โต


 


 


หลินเช่อถามเบาๆ ว่า “พี่อยากจะขาย…อะไรนะคะ”


 


 


[แหม ล้อเล่นหรอกน่า เธอไม่รู้ละสิว่าเบอร์โทรศัพท์ของกู้จิ้งเจ๋อน่ะมีค่าขนาดไหน เดี๋ยวฉันจะเซฟเก็บไว้ด้วยละ]


 


 


“อ่า…” หลินเช่อชักไม่แน่ใจ “พี่ไม่ได้จะขายมันจริงๆ ใช่มั้ยคะ”


 


 


[ไม่ขายสิ] อวี๋หมินหมิ่นว่า [ต่อให้อยากขาย ฉันก็ต้องทำให้คนเชื่อก่อนว่านี่เป็นเบอร์ของเขาจริงๆ ถ้าพวกเขาเห็นแค่ชื่อกู้จิ้งเจ๋อ พวกเขาก็อาจจะคิดว่าฉันมั่วเอาเบอร์ที่ไหนมาย้อมแมวขายก็ได้]


 


 


“ดีแล้วละค่ะ” หลินเช่ออธิบายต่อไปถึงอาการบาดเจ็บของเธอว่ามีเพียงเล็กน้อย และเธอก็สามารถกลับบ้านได้ทันที ส่วนอวี๋หมินหมิ่นก็แจกแจงถึงแผนการและนัดหมายของวันรุ่งขึ้น ก่อนที่จะบอกหลินเช่อให้พักผ่อนให้สบายและไม่ต้องรีบร้อนอะไร


 


 


หลินเช่อยังคงตกใจ เธออยากกลับบ้านเพื่อพักผ่อนเต็มทีแล้ว


 


 


เมื่อเธอวางสาย เธอก็ได้เห็นว่าเจ้าของโทรศัพท์กำลังจ้องเขม็งตรงมา


 


 


เมื่อเห็นว่าเธอดูเป็นปกติดี เขาก็พูดว่า “คืนนี้นอนค้างที่โรงพยาบาลนะ”


 


 


“ไม่เอาค่ะ ฉันตรวจเสร็จแล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรนี่ ฉันอยากกลับบ้าน ที่นี่หนวกหูออกจะตาย ฉันนอนไม่หลับหรอกค่ะ”


 


 


“เราจองห้องพิเศษก็ได้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอกลางดึกขึ้นมาล่ะ…”


 


 


“ฉันก็แค่กลับมาที่นี่ไงคะ กู้จิ้งเจ๋อ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่จริงๆ นะคะ ฉันอยากกลับบ้าน! นะ ฉันอยากกลับบ้าน…”


 


 


ชายหนุ่มพยายามไตร่ตรองอีกครั้ง เพราะอุบัติเหตุของหลินเช่อนั้นไม่ใช่เล็กๆ เลย


 


 


แต่คนป่วยนั้นพยายามยื้ดยุดและยืนกรานเต็มที่ว่า “ฉันอยากกลับบ้านของเรา นะคะ กู้จิ้งเจ๋อ ได้อยู่บ้านน่ะดีออกจะตาย เราทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ที่นี่มันน่าเบื่อออกค่ะ”


 


 


บ้านของเรา…


 


 


คำพูดนี้เองที่ทำให้หัวใจเขาสะดุดน้อยๆ


 


 


บ้านเป็นของแปลกสำหรับเขา


 


 


สำหรับเขาแล้ว บ้านหมายถึงความอบอุ่นเคยคุ้นกันของคนในครอบครัว


 


 


แต่บ้านหลังเล็กๆ สำหรับสองคนนั้น…เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน


 


 


เขาหันไปมองหลินเช่อที่กำลังวิงวอนด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะตัดสินใจว่า “ก็ได้ กลับบ้าน เราจะกลับบ้านไปพักกัน เพราะฉะนั้นเลิกทำตัวงอแงได้แล้ว”


 


 


“เย้ๆ สุดยอดเลยค่ะ” หลินเช่อทำท่าตะเบ๊ะให้ แล้วสีหน้าเคร่งเครียดของคนตัวใหญ่ก็คลายลง จนกระทั่งหลุดหัวเราะออกมา


 


 


เขากำลังเดินออกจากโรงพยาบาลพร้อมหลินเช่อพอดี แต่แล้วสายโทรเข้าจากโม่ฮุ่ยหลิงก็ดังขึ้น


 


 


หลินเช่อมองเห็นเบอร์โทรแวบหนึ่งบนหน้าจอโทรศัพท์ กู้จิ้งเจ๋อจ้องมองมัน ท่าทางไม่อยากจะรับสาย แต่แล้วหลินเช่อก็เลิกคิ้วและถามว่า “คุณจะไม่รับเหรอคะ คุณหนูโม่ต้องโกรธแย่แน่เลย”


 


 


แถมตอนนี้เธอย้ายมาอยู่ใกล้ๆ อีกต่างหาก ถ้าเกิดเธอปึงปังเข้ามาในบ้านเพราะความโกรธจะว่ายังไงล่ะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหญิงสาว การไม่รับสายนั้นดูเหมือนพยายามปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ เพราะฉะนั้นเขาควรที่จะรับโทรศัพท์เสีย ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรที่เขาพูดต่อหน้าเธอไม่ได้อยู่แล้วนี่นา


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงกดรับ


 


 


เสียงโม่ฮุ่ยหลิงถามขึ้นทันทีว่า [เกิดอะไรขึ้นคะจิ้งเจ๋อ ฉันเห็นพวกเขาดึงรถขึ้นมาได้ในข่าว แล้วก็ไม่เห็นอะไรอีก คุณหลินโอเคหรือเปล่าคะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบไปว่า “ไม่เป็นไรแล้ว หลินเช่อกำลังกลับมาพร้อมกับฉัน เธอปลอดภัยดี”


 


 


[อา… จริงเหรอคะ ดีจังเลย พอไม่ได้ยินข่าวคุณหลินฉันก็กังวลใจไปหมดเลย]


 


 


แม้น้ำเสียงของหญิงสาวจะฟังดูโล่งอก แต่กู้จิ้งเจ๋อก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีความผิดหวังแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอเองก็พูดจาแย่ๆ ออกมามากมาย


 


 


เขารู้ดีว่าเธอไม่ชอบหลินเช่อ แต่เธอก็ไม่ควรจะล้ำเส้นถึงขนาดนั้น ต่อให้ไม่ชอบหลินเช่อ เธอก็ไม่ควรสาปแช่งหรือหวังที่จะให้ใครต้องตาย


 


 


ชายหนุ่มจึงตัดบทว่า “โอเค งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะวางสายละนะ”


 


 


[นี่ จิ้งเจ๋อคะ แล้วคุณจะไม่มาที่โรงพยาบาลเหรอคะ…] โม่ฮุ่ยหลิงรีบถาม


 


 


เขาถามด้วยความงุนงง “นี่เธอยังอยู่ที่โรงพยาบาลอีกเหรอ”


 


 


หญิงสาวทำเสียงชวนสงสาร [ฉันประสบอุบัติเหตุนะคะ ฉันก็ควรที่จะต้องอยู่ให้พวกเขาคอยดูอาการสิ ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงถ้ามีอะไรเกิดขึ้นคืนนี้ละคะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก “โอเค ถ้างั้นก็พักผ่อนซะที่โรงพยาบาลนั่นแหละ หลินเช่ออาการหนักกว่า เพราะฉะนั้นฉันคงไม่ไปที่โรงพยาบาลหรอกนะ”


 


 


[อะไรนะคะ] ปลายสายร้องเสียงดังอย่างประหลาดใจ


 


 


ชายหนุ่มจึงอธิบายต่อว่า “หลินเช่อประสบอุบัติเหตุใหญ่จนเกือบตาย โอเคมั้ย ฉันจะวางละนะ”


 


 


แล้วเขาก็ตัดสายไปทันที


 


 


หลินเช่อไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดแบบนี้ จึงหันไปหาชายหนุ่ม “แล้วนี่คุณหนูโม่จะไม่โกรธแย่เหรอคะถ้าคุณไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอน่ะ”


 


 


เขาตอบว่า “ไม่มีอะไรที่จะต้องโกรธนี่ เขาแค่มีแผลถลอกที่ข้อเท้านิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง”


 


 


“รอยถลอกที่ข้อเท้าเหรอคะ เป็นเพราะฉันหรือเปล่าคะ”


 


 


“ใช่”


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขา “ตอนนี้คุณหนูโม่จะต้องเกลียดฉันจนเข้าไส้แล้วแน่เลย”


 


 


เธอคิด หล่อนคงจะโกรธมาก และต้องใส่ความเธอเสียๆ หายๆ มากมาย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าหญิงสาว “ใช่ เขาบอกว่าเธอตั้งใจขับรถชนเขาน่ะ”


 


 


หลินเช่อตอบเบาๆ ว่า “ฉัน…เธอวิ่งเข้ามาใส่ฉันน่ะค่ะ ฉันตกใจ”


 


 


เขากวาดตามองรอยแผลบนเนื้อตัวเธอแล้วก็ถอนใจ “ตอนแรกฉันอยากจะถามเธอว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พอได้เห็นทักษะการขับรถแล้วก็สภาพที่เธอทำให้ตัวเองเจ็บตัวแบบนี้แล้ว ฉันก็คงไม่ต้องถามอะไรแล้วล่ะ”


 


 


หญิงสาวชะงัก “คุณหมายความว่ายังไงคะ”


 


 


คนตัวใหญ่ยกมือลูบหัวอีกฝ่าย “ก็ถ้าทักษะการขับรถของเธอเป็นแบบนี้ละก็ เธอก็จะต้องชนเขาเพราะอุบัติเหตุอย่างแน่นอนน่ะสิ!” 

 

 


ตอนที่ 110 ฉันคือสามีสุดที่รัก

 

หลินเช่อพูดเบาๆ “เธอเอะอะโวยวายเสียงดังแล้วก็วิ่งตรงเข้ามาหาฉัน ฉันก็เลยขับรถชนเธอเข้าน่ะค่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอก่อนหน้านี้ กุลสตรีผู้สมบูรณ์แบบของทุกคนทำไมถึงได้ทำตัวแบบนั้น…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ช่วงนี้เขา…ออกจะทำตัวไม่ค่อยมีเหตุผลอยู่สักหน่อยน่ะ”


 


 


หลินเช่อบอก “โอเคค่ะ ถึงยังไงฉันคิดว่าฉันควรจะอยู่ให้ห่างจากเธอเอาไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นต้องมีปัญหากันอีกแน่ๆ เลย”


 


 


ชายหนุ่มเห็นด้วย “อืม ถ้าอย่างนั้นพอเรากลับถึงบ้าน เธอก็จะไม่มีโอกาสได้ขับรถอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็สบายใจได้ เพราะเรื่องแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก”


 


 


“…”


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเช่ออาบน้ำอย่างรวดเร็วและเอนตัวลงบนเตียงเตรียมที่จะเข้านอน กู้จิ้งเจ๋อทำท่าจะขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกันด้วย


 


 


เธอจึงมองเขาแล้วพูดว่า “นี่ คืนนี้คุณช่วยไปนอนข้างนอกได้ไหมคะ ก่อนหน้านี้ฉันเกือบตายเลยนะ คุณจะไม่ให้พื้นที่ส่วนตัวฉันสักหน่อยเหรอ”


 


 


ชายหนุ่มยกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้ามา เขาใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะแล้วหันข้างมาหาเธอ “เธอเพิ่งเจอเรื่องร้ายแรงมา ถ้าปล่อยให้นอนคนเดียวเดี๋ยวต้องฝันร้ายแน่”


 


 


“ไม่มีทางหรอกค่ะ ฉันโชคดีออกขนาดนี้ อุตส่าห์หนีความตายมาได้ ฉันดีใจออกจะตาย แล้วจะฝันร้ายได้ยังไงกัน”


 


 


“นี่เขาเรียกว่าปฏิกิริยาตอบรับความเครียดหลังเกิดเหตุรุนแรง ด้วยระดับสติปัญญาอย่างเธออาจจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่เธอเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเธอก็ได้ เพราะอะดรีนาลีนในร่างกายเธอยังคงหลั่งอยู่แต่เธอไม่รู้สึกถึงมัน แต่พอเธอรู้สึกสงบและผ่อนคลายขึ้นนั่นแหละ เธอจะได้รู้”


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่าย ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เขาพูดซะทีเดียว


 


 


นี่เขาพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย ไม่ค่อยอยากเชื่อเพราะเขาชอบหลอกเธออยู่เรื่อย แต่เธอก็อดรู้สึกไม่ได้เหมือนกันว่ามีบางอย่างผิดปกติ


 


 


แล้วทันใดนั้นเอง กู้จิ้งเจ๋อก็กอดเธอ


 


 


หลินเช่อร้องด้วยความตกใจ ตอนนี้เธอนอนอยู่เคียงข้างเขา


 


 


เขากอดเธอแน่นทีเดียว


 


 


หลินเช่อพยายามดิ้นรนอย่างตื่นตระหนก “นี่คุณจะทำอะไรน่ะ กู้จิ้งเจ๋อ คนพาล! ปล่อยฉันนะ ไม่งั้นฉันร้องจริงๆ ด้วย!”


 


 


เขากระชับอ้อมกอดเธอให้แน่นขึ้นไปอีกพลางกระซิบเข้าที่ข้างหู “จุ๊ๆ อย่าขยับสิ ถ้าฉันกอดเธอเอาไว้แน่นๆ แบบนี้มันจะช่วยลดระดับความเครียดลงได้นะ ฉันได้ยินว่าเวลาที่เขาอยากให้พวกวัวในฟาร์มเนื้อนุ่มๆ น่ะ ก่อนที่จะเชือดวัว พวกเขาจะส่งวัวเข้าไปในเครื่องที่ช่วยบีบรัดตัวพวกวัว พอวัวรู้สึกปลอดภัยก็จะไม่ดิ้นรน เพราะฉะนั้นการกอดแน่นๆ แบบนี้จะช่วยให้เราปลดปล่อยความเครียด เลิกดิ้นได้แล้ว ฉันจะกอดเธอไว้แบบนี้จนกว่าจะหลับ รับรองว่าเธอไม่ฝันร้ายแน่”


 


 


“จริงเหรอคะ” หลินเช่อหยุดดิ้น


 


 


เขาตอบ “ก็จริงน่ะสิ นี่เรื่องจริงนะ ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อตัวเธอเอง”


 


 


“…” หลินเช่อเริ่มผ่อนคลาย อ้อมกอดแน่นหนาของชายหนุ่มทำให้รู้สึกราวกับว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายกำลังผ่อนคลาย เธอรู้สึกสบายขึ้นมากทีเดียว


 


 


บางทีเขาอาจจะทำแบบนี้เพื่อเธอจริงๆ ก็ได้


 


 


บางทีเธออาจจะตีความเจตนาของเขาผิดไป


 


 


หญิงสาวคิดพลางนอนแอบอิงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนและค่อยๆ ผล็อยหลับไปในที่สุด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มพลางมองดูผู้หญิงซื่อบื้อในอ้อมกอด เขาค่อยๆ ขยับตัวจนกระทั่งได้ท่านอนที่สบาย และหลับไปด้วยเช่นกัน


 


 


 


 


วันต่อมา


 


 


หลินเช่อตื่นขึ้นขณะกู้จิ้งเจ๋อกำลังเดินเข้ามาในห้อง


 


 


“เมื่อคืนฉันฝันร้ายหรือเปล่าคะ” เธอถามพลางเกาหัวแกร่กๆ


 


 


เขาตอบ “ฝันสิ”


 


 


“จริงเหรอคะ ทำไมฉันจำไม่ยักได้” หลินเช่อรู้สึกว่าเมื่อคืนเธอนอนหลับสบายทีเดียว แถมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองฝันร้ายอะไร


 


 


“คนเราจะฝันอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เพียงแต่คนเรามักจะลืมเก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของเรื่องที่เป็นฝันร้ายไปแล้วเท่านั้นเอง”


 


 


“แบบนั้นเหรอคะ” หลินเช่อจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจะจับพิรุธ แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติใด


 


 


เขาพูดต่อไป “ก็ใช่น่ะสิ ฝันร้ายของเธอเมื่อคืนน่ะรวมถึงการเตะฉันแล้วก็ตะคอกใส่ฉัน กว่าจะจัดการเธอให้สงบได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


 


 


“ฉัน…”


 


 


“เอาล่ะๆ ฉันซื้อโทรศัพท์ใหม่มาให้เธอแน่ะ” กู้จิ้งเจ๋อรีบกลบเกลื่อนด้วยการยื่นโทรศัพท์ให้หลินเช่อ


 


 


หญิงสาวมองโทรศัพท์ใหม่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเธอทำโทรศัพท์เครื่องเก่าหายไป


 


 


ความตระหนกทำให้เธอรีบยื่นมือออกมารับในทันที


 


 


เธอมองใบหน้าเฉยเมยของเขา


 


 


ไม่คิดเลยว่ากู้จิ้งเจ๋อจะช่างคิดขนาดนี้ เขาจำได้แม้กระทั่งสิ่งที่เธอเพียงแค่พูดออกไปอย่างนั้นเอง


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นอย่างรู้สึกขอบคุณ “ขอบคุณนะคะ”


 


 


ชายหนุ่มมองที่โทรศัพท์ “มา ฉันจะเซ็ตเครื่องให้เธอ”


 


 


เขานั่งลงข้างเธอ เฝ้ามองเจ้าของโทรศัพท์ที่กำลังกดดูโน่นนี่


 


 


“กู้เมมโมรีจากโทรศัพท์เครื่องเก่าคืนเรียบร้อยแล้วนะ แต่รายชื่อผู้ติดต่อของเธอกู้คืนมาได้บางส่วนเท่านั้น”


 


 


“หมายความว่ายังไงคะ กู้คืนมาได้บางส่วน” เธอมองเห็นรายชื่อผู้ติดต่อหายไปอย่างผิดตา


 


 


ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉยว่า “อ้อ ฉันเห็นว่ามีเบอร์บางคนที่ไม่เป็นประโยชน์น่ะ ก็เลยช่วยเธอลบทิ้งไปแล้ว”


 


 


“…” หลินเช่อนิ่งอึ้ง เธอเงยหน้าขึ้นและเริ่มแหวใส่ “กู้จิ้งเจ๋อ หมายความว่ายังไงคะที่บอกว่าคุณลบทิ้งน่ะ…คุณลบใครทิ้งไปบ้างคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งตัวตรงแน่ว ตามองตรงไปข้างหน้าและไม่ตอบอะไร สีหน้าเขาเหมือนกำลังพูดเรื่องธรรมดาสามัญทั่วไปอยู่


 


 


หลินเช่อไล่ดูรายชื่อผู้ติดต่อของเธอ แล้วก็ได้รู้ว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลบคนออกจากรายชื่อผู้ติดต่อของเธอไปมากมายทีเดียว ในโทรศัพท์ของเธอตอนนี้ไม่มีชื่อของฉินชิง ผู้กำกับและนักแสดงชายอีกหลายคนที่เธอรู้จักด้วย แม้แต่เบอร์ของกู้จิ้งอวี่ก็ยังถูกลบทิ้ง


 


 


“กู้ จิ้ง เจ๋อ นี่คุณมีปัญหาอะไรน่ะ” เธอแว้ดใส่อย่างโกรธจัด “นั่นมันรายชื่อคนที่ฉันต้องติดต่อด้วยเรื่องงานนะคะ คุณลบทิ้งไปทำไมกัน”


 


 


ชายหนุ่มตอบว่า “ให้ตัวแทนของเธอเป็นคนจัดการเรื่องติดต่องานแทนสิ เธอควรทำข้อตกลงเรื่องการรับงานผ่านตัวแทนซะ จะได้ไม่ต้องมาสนใจรายชื่อพวกนั้น เอาไว้เมื่อไหร่ตัวแทนของเธอไม่ได้หางานให้เธอแล้วค่อยเอาเบอร์พวกนี้กลับมา แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องเที่ยวหางานเองสักหน่อย ลบทิ้งไปน่ะดีแล้ว”


 


 


“…” หลินเช่อยังไม่หมดคำถาม “แล้วฉินชิงล่ะคะ…”


 


 


สายตาของเขากร้าวขึ้น “แล้วเธอจะเก็บเบอร์ของคนที่เป็นคู่หมั้นคนอื่นเอาไว้ทำไม”


 


 


“…”


 


 


“โอเคๆ ฉันจะเมมเบอร์ฉันไว้ให้เธอเอง ตั้งเป็นเบอร์โทรด่วนด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็แค่กดโทรเท่านั้น”


 


 


“ก็ได้…” เธอมองเขาอย่างอับจนคำพูด


 


 


ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่อีกครั้งก่อนจะบอกว่า “จะให้เมมเบอร์ฉันไว้ว่ากู้จิ้งเจ๋อคงไม่ดีแน่ ถ้ามีใครเห็นเข้า ความสัมพันธ์ของเราคงถูกเปิดเผย”


 


 


“อ่า ถ้างั้นฉันควรเมมชื่อไว้ว่าอะไรดีคะ” หลินเช่อเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ถ้ามีใครเห็นชื่อเข้าละก็ พวกเขาก็จะดูน่าสงสัย


 


 


เขาคว้าโทรศัพท์เธอไป “ฉันจะเปลี่ยนชื่อให้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกดเปลี่ยนชื่อรวดเร็วทันใจ เขามองดูชื่อใหม่แล้วพยักหน้าอย่างพอใจก่อนส่งโทรศัพท์คืนให้หลินเช่อ


 


 


หญิงสาวก้มลงมอง


 


 


ตัวหนังสือนั้นชัดเจนแจ่มแจ๋วทีเดียว เขาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สามีสุดที่รัก’


 


 


“…”


 


 


เจ้าของโทรศัพท์เงยหน้าขึ้น แล้วร้องเสียงลั่น “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณจะบ้าหรือไงคะ นี่มันไม่ยิ่งโจ่งแจ้งเข้าไปใหญ่เหรอ”


 


 


หลินเช่ออยากแก้ชื่อใหม่แต่เขาคว้าโทรศัพท์ไว้เสียก่อน “ไม่มีใครรู้ว่านี่เป็นเบอร์ฉัน อย่างมากพวกเขาก็จะรู้ว่าเธอมีแฟนแล้วเท่านั้น เดี๋ยวนี้คนเขาเรียกแฟนหนุ่มว่าสามีกันไม่ใช่เหรอ”


 


 


“ไม่ใช่สักหน่อย อี๋ จะบ้าเหรอ!”


 


 


ชายหนุ่มหน้าตึง “อี๋อะไรกัน แล้วฉันไม่ใช่สามีเธอหรือไง”


 


 


“ฉัน…ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่เราก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น…”


 


 


“แบบนั้นน่ะแบบไหน ชื่อของเธอก็โชว์หราอยู่ในใบทะเบียนสมรสของฉันออกอย่างนั้น ไม่งั้นจะให้ฉันเป็นสามีแบบไหน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม