วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 10.4-10.10

ตอนที่ 10-4

 

ต่วันถัดมาและวันถัดถัดมาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของมินอา 


 


 


เมื่อมินอาไม่มาทั้งกลางคืนและกลางวัน ชานจึงจับจองที่นั่งในห้องเล็กๆ นั้นและเริ่มรอ ภายในห้องนั้นมีแค่เพียงเตียงนอนกับตู้เอกสาร ไม่มีสิ่งของฟุ่มเฟือยหรือของตกแต่งอะไรอย่างอื่นเว้นแต่โต๊ะกับเก้าอี้เล็กๆ อย่างละอันเท่านั้น แต่กลับทำให้ชานรู้สึกสบายใจ วันนั้นเขาเฝ้ารอทั้งวัน แต่จนถึงดึกดื่นแล้วก็ยังไม่เห็นทีท่าว่ามินอาจะปรากฏตัวออกมา 


 


 


“นิสัยนี่ก็จริงๆ เลย” 


 


 


หากเกิดมาเป็นผู้ชาย แม้ว่าจะสร้างเรื่องใหญ่ก็คงจะรอดตัวไปได้หลายครั้งอย่างแน่นอน และคงจะเป็นมิตรสหายที่ดีทีเดียว ชานยิ้มอย่างขมขื่นและเอนตัวนอนลงไปบนเตียงขนาดเล็กที่นอนได้สองคนก่อนจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพราะสิ่งแปลกปลอมที่รู้สึกได้จากใต้หมอน พรึ่บ พอยกดูจึงเห็นมีดสั้นที่ถูกลับไว้อย่างดีวางอยู่สมกับเป็นมินอา ชานเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงเริ่มค้นหาอาวุธทั่วห้อง 


 


 


หัวลูกศรในลิ้นชักที่ติดอยู่เหนือเตียง ยาหลายชนิดและผ้าฝ้ายในลิ้นชักข้างๆ เขาพึมพำว่าขอเสียมารยาทหน่อยแล้วจึงค้นพบชุดสีดำหลายชุดกับธนูในตู้เอกสารที่เปิดดู หากไม่มีกลิ่นเฉพาะของหญิงสาวที่ส่งกลิ่นออกมาจางๆ ผสมกับกลิ่นสมุนไพร แม้จะบอกว่าเป็นห้องของเพชฌฆาต เขาก็เชื่อ 


 


 


“ทำอะไรเพคะ” 


 


 


ในตอนนั้นเอง เสียงเย็นวาบดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปด้วยความตกใจจึงเห็นมินอาที่มีสีหน้าไร้อารมณ์กำลังจ้องมองเขาอยู่ เห็นได้ชัดว่านางเปิดประตูเข้ามา แต่ไม่มีสัญญาณของการมาถึงขนาดนี้ได้อย่างไร ชานลูบหน้าอกที่ตกอกตกใจก่อนจะกลับไปนั่งหมิ่นเหม่บนเตียงอีกครั้ง 


 


 


“ขอโทษที เจ้าไม่มาสักทีข้าก็เลยเบื่อ” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าบาทจะต้องขอโทษหรอกเพคะ หม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยจึงมาพักสักหน่อยก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ดังนั้นโปรดเสด็จออกไปด้วยเพคะ” 


 


 


“พักไปสิ ข้าจะนั่งอยู่เฉยๆ” 


 


 


“…ฝ่าบาท” 


 


 


ใบหน้าของมินอาที่ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ซูบซีดเป็นพิเศษ ถึงกระนั้นก็ตามดวงตาก็ยังคงไม่วอกแวกแม้แต่น้อย มินอาจ้องมองราวกับจะเจาะทะลุชานด้วยดวงตาคู่นั้นก่อนจะพูดต่อ 


 


 


“เป็นความจริงที่หม่อมฉันบังอาจไปมีใจให้ฝ่าบาทครู่หนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วเพคะ ดังนั้นโปรดทรงเลิกพูดและทำในสิ่งที่ใจไม่ต้องการ และโปรดทูลหม่อมฉันมาเถอะว่าต้องการสิ่งใด” 


 


 


“ถ้าข้าบอก เจ้าจะยอมรับฟังงั้นหรือ” 


 


 


“ตราบใดที่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พระชายาเจ็บปวดมากไปกว่านี้” 


 


 


ดูเหมือนว่าสถานที่ที่มีดถูกซ่อนไว้จะไม่ได้มีเพียงแค่ใต้หมอนเท่านั้น แววตาแหลมคมจ้องชานเขม็งโดยไม่ถอยหลังไปแม้แต่ก้าวเดียว แววตานั้น สีหน้านั้น เมื่อใดที่มินอาจ้องมองชานด้วยสายตาแบบนั้น ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกพบเห็นหัวใจที่ดำปี๋มักจะทำให้เขารู้สึกสับสนไปโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะศีลธรรมที่คอยรบกวนเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายได้หายไปแล้วนับตั้งแต่กลืนยาเม็ดรสขมอย่างรุนแรงลงไป หากไม่กำจัดผู้หญิงที่แม้จะแทงเลือดก็ไม่ออกสักหยดแล้วล่ะก็ อย่าว่าแต่ครอบครองพระชายาเลย เขาน่าจะออกไปข้างนอกไมได้ด้วยซ้ำ 


 


 


“ข้าต้องการเจ้า” 


 


 


“โปรดตรัสอะไรที่เป็นรูปธรรมด้วยเพคะ” 


 


 


“ร่างกายของเจ้า หัวใจของเจ้า ทุกอย่างของเจ้า” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


มินอาเลื่อนเก้าอี้ไปข้างหลังแล้วยืนขึ้น ก่อนจะดึงปิ่นปักผมออกจากผมที่เกล้าขึ้นไปแล้ววางไว้ข้างๆ ปล่อยเส้นผมสีดำขลับที่ยาวลงมาเป็นคลื่นจนถึงเอวไปข้างหลังและดึงปมเสื้อออก ผ้าฝ้ายที่พันไว้ที่แขนถูกเอาออกนานแล้ว แต่รอยแผลที่เป็นทางยาวยังคงหลงเหลืออยู่ 


 


 


ถอดชุดซับในตัวบางและปล่อยมันตกพื้น หลังจากคลายผ้าพันแผลที่พันท่อนบนไว้อย่างแน่นออกก็ดึงมีดสั้นที่เหน็บอยู่ตรงต้นขาตลอดเวลาออกและวางไว้ข้างๆ กับปิ่นปักผม ร่างกายที่มีความยืดหยุ่นต่างจากสตรีอื่นอย่างเห็นได้ชัดปรากฏอยู่ตรงหน้าของชาน มินอาเดินเข้ามาหาชานและดันเขาให้นอนลงบนเตียงอย่างช้าๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย 


 


 


“ครั้งเดียวก็ได้ใช่ไหมเพคะ” 


 


 


“…ลองดูก่อนแล้วกัน” 


 


 


“หม่อมฉันไม่เคยทำก็เลยไม่รู้น่ะเพคะ” 


 


 


มินอาถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายของชานออกทีละชิ้น ต่อมาจึงถอดกางเกงซับในสีขาวที่เหลือเป็นชิ้นสุดท้ายออก สีหน้าของมินอาเกิดการสะดุ้งเล็กน้อยเป็นครั้งแรก ชานยิ้มเบาๆ พร้อมกับยื่นแขนออกมาดึงใบหน้าของมินอาเข้าหาตัว 


 


 


“ต้องจูบกันก่อนสิ” 


 


 


ริมฝีปากที่แห้งผากเพราะไม่ค่อยดูแลสุขภาพแตะกับริมฝีปากของชานอย่างเก้ๆ กังๆ รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่พยายามควบคุมเหมือนกับกำลังทำให้จิตใจสงบลง เพราะว่าบาดเจ็บที่หลังหนักพอสมควรก็คงจะให้นอนลงไม่ได้สินะ ชานคิดเช่นนั้นพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นให้มินอานั่งบนตักและโอบรอบเอวคอด จากนั้นจึงใช้ลิ้นสะกิดยอดอกที่ตั้งตรงขึ้นมาด้วยความประหม่า 


 


 


ฮึก มินอาสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่และก้มหน้ามุดในกลุ่มผมของชาน ชานรู้สึกถึงลมหายใจที่ค่อยๆ แตกกระเจิงจั๊กจี้อยู่รอบๆ ใบหูพร้อมทั้งดูดเม้มหน้าอกแรงขึ้น เอวที่ถูกโอบด้วยมือข้างหนึ่งตอบสนองด้วยการสะดุ้ง ไล่เลียหน้าอกอีกข้างหนึ่งพร้อมกับบีบเฟ้นหน้าอกที่ชุ่มโชกด้วยน้ำลายเต็มฝ่ามือ 


 


 


แม้กระทั่งในช่วงเวลาเช่นนี้ มินอาก็ยังคงไม่ส่งเสียงร้องออกมา ซึ่งชานไม่พอใจเอาเสียเลย เขาอยากเห็นการตอบสนองที่มีชีวิตชีวา ความปรารถนาของเขาย้ายไปอยู่ที่ฟันขาวและขบกัดหน้าอกที่ดูดเลียอย่างนุ่มนวลเมื่อสักครู่ 


 


 


“อื้อ” 


 


 


เสียงครางสั้นๆ เล็ดลอดออกมาในชั่วขณะแต่ก็มีแค่นั้น มือของชานที่โอบรอบเอวคว้าสะโพกรูปร่างดีก่อนจะปล่อยและขยับเข้าไปหว่างขาอย่างไม่ลังเล 


 


 


“ตรงนี้แฉะแล้วนะ ทำไมถึงไม่ส่งเสียงร้องออกมาล่ะ” 


 


 


ไม่ได้คาดหวังจะเอาคำตอบอยู่แล้วแต่แรก ชานล้วงมือเข้าไปลึกอีกและสำรวจเนินนูน ลมหายใจของมินอาสูญเสียความมั่นคงและสั้นลงทุกครั้งที่ส่วนชื้นแฉะถูกถูไถอย่างหยาบคาย และหยุดลงชั่วขณะเมื่อนิ้วสอดเข้าไปในปากทางเข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แค่การตอบสนองเช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่สิ มันเร้าใจกว่าเสียงออดอ้อนของผู้หญิงที่เคยนอนด้วยเสียอีก ชานใช้นิ้วรูดไปตามผนังด้านในพร้อมกับขยายปากทางให้กว้างขึ้นพอสมควร ยิ่งการกระทำของเขารุนแรงมากขึ้น ความเจ็บแปลบที่รู้สึกได้ตรงไหล่ที่มินอาจิกอยู่ก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น 


 


 


มือที่เอาออกมาเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวไปจนถึงข้อมือ ในตอนนั้นมินอาพ่นลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมาเฮือกใหญ่และเงยหน้าขึ้น ชานมองเข้าไปในดวงตาของนางพร้อมกับแลบลิ้นออกมาเลียนิ้ว ดวงตาที่เย็นชาอยู่เสมอสั่นระริกด้วยความรู้สึกงงงัน ซึ่งนั่นคือการตอบสนองที่เขาต้องการ ชานใช้มือทั้งสองข้างจับเอวของมินอาและค่อยๆ เอนตัวลงบนเตียงอย่างช้าๆ 


 


 


“ผ่อนแรงนะ มันเจ็บ” 


 


 


อึก เสียงครางต่ำดังออกมาจากปากของชานที่ดันความต้องการเข้าไป ไม่ใช่เสียงของมินอาที่ได้เผชิญกับความเจ็บปวดราวกับร่างกายฉีกขาดไปทั้งตัวตั้งแต่ด้านล่าง 


 


 


เมื่อหลับตาลงท่ามกลางความเร้าใจที่กระหน่ำเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้หญิงที่สั่นเทาเบาๆ อยู่บนตัวของเขาในตอนนี้จึงกลายเป็นรยูฮา ใบหน้าของรยูฮาบูดเบี้ยว เมื่อแขนที่เป็นสีแทนจับเอวและเคลื่อนไหวไปตามที่ต้องการ มือของรยูฮายันบนหน้าอกของชานที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเพื่อประคองตัวไว้ การเคลื่อนไหวที่รุนแรงยิ่งขึ้นทำให้รยูฮาร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด 


 


 


เขาโอบกอดมินอาที่ไม่ใช่มินอา อารมรณ์ทั้งหมดพลุ่งพล่านและบิดเบี้ยวภายในห้องเล็กๆ สะอาดสะอ้าน ความโศกเศร้ารินไหลลงบนหน้าอกของเขาที่ขยับขึ้นลงด้วยความอิ่มเอมใจ 


 


 


“ตอนนี้เสด็จกลับไปได้แล้วเพคะ หม่อมฉันอยากพักผ่อนสักหน่อยเพคะ” 


 


 


คมมีดที่อยู่ในดวงตาของมินอาถูกหักครึ่งและติดอยู่ข้างในหัวใจ ชานกอดนางและให้นางนอนลงข้างๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดต้นขาของมินอาที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยของเหลว หลังจากใส่เสื้อผ้าและห่มผ้าให้อย่างเรียบร้อยแล้วก็กดจูบลงบนหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อเบาๆ พลางลุกขึ้นยืน 


 


 


“หลับให้สบายนะ แล้วข้าจะมาใหม่” 


 


 


ประตูถูกเปิดออกและถูกปิดลง พอเสียงฝีเท้าค่อยๆ ห่างไกลออกไป มินอาจึงลืมตาแล้วลุกขึ้น ปิดหน้าด้วยมือด้าน แม้จะไม่มีเสียงออกมาและไหล่ก็ไม่ได้สั่นไหว แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำตาของนางรินไหลออกมาจากระหว่างนิ้วมือ ทำให้เกิดรอยเปื้อนที่ไม่ลบเลือนบนแก้มขาว 


 


 


 


 


 


* * *  

 

 


ตอนที่ 10-5

 

“เข้ามาได้” 


 


 


เสียงอันหนักแน่นของพระราชาดังผ่าอากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและลำบากแม้กระทั่งการหายใจ 


 


 


“หากองค์รัชทายาทอีฮอนสูญเสียความแข็งแรงของพระวรกายจนยากที่จะปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญยิ่งเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ จะต้องถูกปลดให้เป็นองค์ชายและแต่งตั้งให้เป็นจูชินวัง” 


 


 


ลายมือของตนเองที่ถูกบันทึกลงบนกระดาษม้วนสีแดงดูไม่คุ้นตา พระราชาหยุดพูดสักพักแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ 


 


 


“และแต่งตั้งองค์ชายสอง อีชานให้เป็นองค์รัชทายาท รวมถึงยกเลิกสมญา มูยองวัง ซึ่งจะต้องตระเตรียมพิธีอภิเษกโดยเร็วที่สุด แต่เนื่องจากในตอนนี้ราชวงศ์กำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก ให้ตัดทอนพิธีการและขั้นตอนให้ได้มากที่สุด รวมถึงเลื่อนตำแหน่งพระสนมเอกมุนผู้เป็นผู้ให้กำเนิดขึ้นไปหนึ่งขั้น และแต่งตั้งให้เป็นฮวังควีบี[1]” 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


องค์รัชทายาทถูกเปลี่ยน เจ้ากรมการคลัง จอนจูฮโยพยายามควมคุมริมฝีปากที่ยกขึ้นกระตุกยิกๆ และนึกชมตัวเองที่ไปยืนอยู่ฝั่งพระสนมเอกมุนอย่างว่องไว 


 


 


ที่กลายเป็นเช่นนี้ได้คงต้องขอบคุณสวรรค์ที่คอยช่วยเหลือ หากปราศจากเงินทองของพระพันปีที่มอบให้เพื่อช่วยเหลือประชาชน เขาก็คงจะไม่เหลือหนทางในการตระเตรียมทรัพย์สินที่จะมอบให้พระสนมเอกมุน และคงจะจมอยู่ในกองเอกสารในฐานะเจ้ากรมการคลังไปตลอดกาลจนแก่เฒ่า 


 


 


ทว่าถ้าหากองค์ชายสองได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ล่ะก็ ตนก็จะได้ตำแหน่งมหาเสนาบดีที่พระสนมเอกมุนเคยสัญญาไว้อย่างแน่นอน รวมถึงยังสามารถยกบุตรสาวที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีให้ได้นั่งในตำแหน่งพระมเหสีได้อีกด้วย ในตอนนี้เพียงแค่คำพูดคำเดียว ตำแหน่งมหาเสนาบดีซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการเคลื่อนไหวแม้กระทั่งพระราชานั้นก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม 


 


 


“ยินดีด้วย ท่านและองค์รัชทายาทจะเป็นความผาสุกของประเทศนี้” 


 


 


พระมเหสีที่ได้รับราชโองการกล่าวอวยพรด้วยความมีน้ำใจแต่น้ำเสียงนั้นกลับสั่นเครือเล็กน้อย พระสนมเอกมุนที่หมอบคำนับอยู่ตรงหน้าเพื่อรับตำแหน่งใหม่ดูสงบนิ่ง แต่แววตาของนางกำลังหัวเราะอยู่อย่างแน่นอน วังซูอันมีขนาดเล็กและอยู่ในหลืบเกินกว่าที่จะเป็นวังของสนมที่ให้กำเนิดองค์ชาย หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นอย่างเงียบๆ มาเกินกว่าสิบปี ในที่สุดสถานการณ์ก็พลิกผัน 


 


 


ตอนนี้ไม่มีองค์ชายที่จะมาแทนชานแล้ว ชานซึ่งนั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างมั่นคงปราศจากการสั่นคลอนจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่ว่าพระมเหสีจะพูดอะไรก็ตาม และในตอนนั้นพระมเหสีก็จะเป็นพระพันปีเพียงแค่ในนามและกลายเป็นหญิงชราในห้องด้านหลังที่มีไว้เพื่อประดับสวนหลังบ้านเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของพระมเหสีซึ่งดูน่าสะอิดสะเอียนตลอดเวลาน่ามองถึงเพียงนี้ 


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ หม่อมฉันจะพยายามช่วยเหลือพระมเหสีเพื่อทำให้หมู่นางในมีความมั่นคงเพคะ” 


 


 


กล่องที่บรรจุเพชรพลอยสมกับยศตำแหน่งและกระดาษม้วนที่บันทึกการแต่งตั้งถูกส่งมอบจากมือของพระมเหสีไปยังมือของฮวังควีบี ฮวังควีบีรับสิ่งนั้นด้วยท่าทางสง่างามก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้งและหันหลังกลับไป พระมเหสีที่มองดูด้านหลังของนางค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ จากนั้นสักพักจึงลืมตาขึ้นมาใหม่ 


 


 


“พระมเหสี ตรงนี้ลมแรงนะเพคะ ทรงเสด็จเข้าด้านในเถิดเพคะ” 


 


 


“นั่นสินะ” 


 


 


พระมเหสีกำลังจะก้าวเท้าตรงไปยังตำหนักในที่อยู่ลึกที่สุด แต่แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองด้านหลัง ซังกุงและนางในทั้งหลายที่ตามอยู่ด้านหลังจึงหยุดชะงักและก้มศีรษะลง 


 


 


“ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก ให้ทุกคนถอยไปอยู่ห่างๆ ก่อน” 


 


 


“เพคะ พระมเหสี” 


 


 


พระมเหสีให้ทุกคนถอยไปอยู่ห่างๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังตำหนักในหลังจากตรวจสอบแล้วว่าทุกคนยืนอยู่ตรงปลายสุดของโถงทางเดิน ห้องที่มีความหรูหราและสง่างามซึ่งปรากฏอยู่ด้านหลังของประตูสามชั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่นางสั่งสมมาจนถึงตอนนี้ กรอด เสียงขบฟันดังไปทั่วห้อง 


 


 


“นังน่าสมเพช นังสนมชั้นต่ำที่หมอบกราบเหมือนกับหมา…” 


 


 


หาความสง่างามหรือความมีเกียรติไม่เจอเลยจากท่าทางของนางที่บ่นพึมพำราวกับคนเสียสติ พระมเหสีลากตู้ที่ประดับด้วยมุกสีสันงดงามออกมา ด้านล่างนั้นคือพื้นห้องที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อกดพื้นตรงนั้นแล้วหงายขึ้น พื้นที่ว่างก็จะปรากฏออกมา สิ่งที่ซ่อนไว้ข้างในนั้นคือถุงที่มีขนาดเล็กจิ๋ว มันคือถุงผ้าไหมสีดำไร้ลวดลายถุงหนึ่ง 


 


 


พระมเหสีเผยสีหน้าที่ดูบ้าคลั่งจนน่าขนลุกออกมาบนใบหน้าที่มีความรักและความเมตตาอยู่เสมอพร้อมกับพลิกกลับด้านถุงนั้นบนฝ่ามือ ขวดขนาดเล็กกว่านิ้วหัวแม่มือขวดหนึ่งถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนาและส่องประกายเลือนรางบนฝ่ามือขาว 


 


 


แน่นอนว่าทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของครอบครัวที่รวบรวมมาได้ แต่ปลาใต้น้ำสองขวดที่หามาได้นั้นได้มาจากการดึงทรัพย์สินของวังจานยองมาใช้ ขวดหนึ่งได้มอบให้พระสนมเอกมุนไปแล้ว ส่วนอีกขวดเก็บสำรองไว้เผื่อใช้และซุกซ่อนไว้ในที่ที่ไม่มีใครรู้ 


 


 


“ไม่ต้องห่วงนะ แม่คนนี้จะล้างแค้นให้เอง” 


 


 


เสียงของพระมเหสีที่พูดพึมพำเบาๆ นุ่มนวลราวกับวันฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งขวด คือปริมาณที่เพียงพอในการตัดสายสัมพันธ์ที่เลวร้ายอันยาวนาน นางใช้ปลายนิ้วลูบยาพิษด้วยความรักใคร่ 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาท?” 


 


 


รยูฮาที่นอนฟุบอยู่ข้างๆ ฮอนสะดุ้งตื่นขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เหมือนกับการเคลื่อนไหว แต่นางกลับเข้าใจผิด แสงแดดสว่างที่สาดส่องรางๆ บนใบหน้าของฮอนที่ยังคงหลับตาสนิทบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว รยูฮาใช้นิ้วคว้าแสงนั้นราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะลดมือลงไปลูบใบหน้าของฮอน 


 


 


“พระชายา สำรับเช้าเพคะ” 


 


 


“เข้ามาสิ” 


 


 


เหล่านางในของวังจงซูเรียงแถวถือสำรับอาหารเข้ามาทางประตูที่ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มินอาที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายมองดูสำรับอาหารที่ถูกวางลงบนโต๊ะเสวยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถือจานใบเล็กพร้อมกับช้อนตะเกียบขึ้นมาและหยิบไปอย่างละชิ้นอย่างสุขุม 


 


 


“เสวยได้เลยเพคะ” 


 


 


“เจ้ากินอีกนิดสิ” 


 


 


รยูฮาบังคับมินอาที่ส่ายหัวและกำลังจะลุกออกไปให้นั่งลง คีบเนื้อมาหนึ่งชิ้นและยัดมันใส่ปากของมินอา เพราะถ้าไม่ให้กินตอนนี้ก็จะต้องอดไปจนถึงมื้อกลางวันอีก รยูฮาคีบเครื่องเคียงผักขึ้นมาเพื่อที่จะป้อนให้มินอาอีก แต่แล้วก็หยุดชะงักไป มีหยดน้ำค้างคลออยู่บนหางตาของมินอาที่กำลังเคี้ยวเนื้อที่ป้อนให้อย่างฝืนใจอยู่แน่นอน 


 


 


“ร้องไห้ทำไม” 


 


 


ขออภัยเพคะ มินอากลืนคำขอโทษลงไปแล้วพิงศีรษะลงบนไหล่ของรยูฮา เพราะรู้ว่าตราบใดที่ตนเองปิดปากสนิท รยูฮาก็จะไม่ถามอะไรต่อจึงสามารถสัมผัสไออุ่นแบบนี้ไปได้อีกสักพัก มินอาหลับตาลงและพิงอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะลุกหายไปโดยไม่ร่ำลา รยูฮาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และกินอาหารที่ไม่ได้อยากจนหมด 


 


 


โดยปกติแล้วพระมเหสีจะมาหาในเวลาประมาณนี้ แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่มาอีกแล้ว เนื่องจากหมดเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น เพราะฮอนไม่ใช่องค์รัชทายาทที่จะทำให้นางได้เป็นพระพันปีอีกต่อไป แต่แบบนี้กลับดีกว่าเสียอีก เพราะสามารถใช้เวลาที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยกันเพียงแค่สองคนได้อย่างเต็มที่ 


 


 


“เอาออกไปได้” 


 


 


“เพคะ พระชายาในองค์ชาย” 


 


 


การที่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับคำเรียกที่ว่า พระชายาในองค์ชาย นั่นแสดงว่าคุ้นชินกับตำแหน่งพระชายาในองค์รัชทายาทเป็นอย่างมากแล้ว เสียงของเสด็จย่าที่เคยเรียกว่า พระชายาของพวกเรา ยังคงดังก้องอยู่ในหู ได้ยินมาว่าท่านประชวร เห็นทีควรจะต้องไปเยี่ยมสักหน่อย แต่แล้วเบื้องหน้าของรยูฮาที่ครุ่นคิดพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่งหมุนติ้วและล้มลงไปกับพื้นในชั่วพริบตา 


 


 


“กรี๊ด!” 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


สติดับลงราวกับแสงเทียนท่ามกล่างเสียงร้องของเหล่านางในและเสียงของมินอาที่ร้องหาหมอหลวงอย่างรีบร้อน มินอาให้รยูฮานอนลงบนเตียงนอนขนาดเล็กที่นางเป็นคนใช้และห่มผ้าให้แทนที่จะย้ายไปห้องอื่น 


 


 


“ไหนๆ ก็เป็นลมแล้ว ทรงพักสักหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ข้างๆ เพคะ” 


 


 


อีกด้านหนึ่ง ชานที่ได้ยินข่าวว่ารยูฮาเป็นลมจึงลุกพรวดขึ้นและมุ่งตรงไปยังวังจงซู ประตูหน้าที่ถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาทำให้ชานไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ แต่นับตั้งแต่วันนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะวังนี้คือวังของชาน แม้ว่าจะยังไม่ได้จัดพิธีอภิเษกก็ตาม ถ้าเจ้าของบอกว่าจะเข้า แล้วใครกันเล่าจะมาห้ามได้ 


 


 


“เปิด” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำทำให้เหล่าทหารที่ยืนล้อมประตูเป็นชั้นๆ ถอยออกไปด้านข้าง ประตูที่ดูเหมือนจะไม่มีวันเปิดออกส่งเสียงดังออกมาพร้อมกับถูกเปิดออกไปทั้งสองข้าง ชานเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเลและเดินไปตามโถงทางเดินผ่านห้องมากมาย ต่อมาเท้าของเขาก็มาหยุดอยู่ตรงประตูห้องที่มินอาเฝ้าอยู่ 


 


 


“พระชายาล่ะ” 


 


 


“ประทับอยู่ด้านในเพคะ” 


 


 


“เปิดประตูสิ” 


 


 


“บรรทมอยู่เพคะ ทรงต้องพักผ่อนเพคะ” 


 


 


คนที่ใจหายใจคว่ำกับท่าทางของมินอาที่ประจันหน้ากับองค์รัชทายาทโดยไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวคือพวกนางในคนอื่นๆ ที่ยืนห้อมล้อมอยู่ ถ้าถูกโบยจะทำอย่างไรเล่า มินอาที่ไม่กินไม่นอนและเอาแต่เฝ้าอยู่หน้าห้องเหมือนกับรูปปั้นหินจนไม่อยากจะเชื่อว่านางเป็นผู้หญิง ไม่สิ ไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่านางคือมนุษย์นั้นไม่สะทกสะท้านและตกเป็นเป้าของของความเกรงกลัว ชานสัมผัสได้ถึงบรรยากาศนั้น จึงขำพรืดออกมาพร้อมกับก้มศีรษะมองเข้าไปในดวงตาของนาง 


 


 


“เพราะว่าเจ้าอยู่ข้างนอกแล้วก็คงจะไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าขอตัวก่อน ตอนเย็นมาที่ตำหนักของข้าด้วย” 


 


 


เสียงของชานแม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจนพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน ทั้งเหล่านางในแห่งวังจงซูที่ชอบพูดซุบซิบนินทา รวมถึงเหล่านางในแห่งวังซึงกอนที่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของรยูฮากับมินอาเป็นอย่างดีต่างได้ยินกันหมด 


 


 


 


 


 


[1] ฮวังควีบี หนึ่งในตำแหน่งสนมของพระราชาในสมัยโครยอและสมัยโชซอน  

 

 


ตอนที่ 10-6

 

นับตั้งแต่ตอนนั้น สายตาที่มองตรงมายังมินอาก็เปลี่ยนไป บ้างก็อิจฉา บ้างก็ด่าทอ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่พูดว่าเป็นแค่สาวรับใช้จะไปมีอำนาจอะไร แต่มินอาซึ่งเป็นคู่กรณีก็ยังคงรักษาตำแหน่งของตนเองไว้อย่างเด็ดเดี่ยวท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของทุกคน จนกระทั่งรยูฮาที่สลบไปได้สติขึ้นมาดื่มยาสมุนไพร 


 


 


“หม่อมฉันขอตัวสักครู่นะเพคะ” 


 


 


มินอาที่ป้อนพุทราชิ้นหนึ่งใส่ปากของรยูฮาหลังจากทานยาสมุนไพรหมดแล้วพูดขึ้นพร้อมกับเก็บถ้วยเปล่า หมอหลวงบอกว่าเกิดอาการเวียนศีรษะขึ้นเพราะเลือดลมไม่ไหลเวียน ดังนั้นนอนพักสักเดี๋ยวอาการก็จะดีขึ้น ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เสียงของรยูฮาที่อ่อนแรงเรียกมินอาที่ลุกขึ้นจากที่นั่งให้หยุด 


 


 


“มินอา” 


 


 


“เพคะ” 


 


 


“ขอบใจนะ ทุกอย่างเลย” 


 


 


มินอายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหายตัวออกไปข้างนอก เป็นเพราะฤทธิ์ของยาหรือเปล่า ตาถึงค่อยๆ ปรือลงอีกครั้ง รยูฮาที่ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้สึกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกตรงท้ายทอย นางรีบตรงไปที่เตียงที่ฮอนนอนอยู่เหมือนเป็นความเคยชิน เลื่อนผ้าห่มออกแล้วเอาหูไปแนบตรงหน้าอก หัวใจของเขากำลังเต้นอยู่อย่างแน่นอนแม้จะเพียงเบาๆ ก็ตาม รยูฮารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับหยิบหม้อน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แต่ในนั้นกลับว่างเปล่า 


 


 


“มินอา” 


 


 


“คือว่า นางยังไม่กลับมาเลยเพคะ” 


 


 


คงจะพักผ่อนอยู่ที่ที่พักสินะ สายตาของรยูฮาที่กำลังคิดเช่นนั้นมองดูเงาจันทร์ที่วาดลวดลายงดงามบนท้องฟ้า ไม่สิ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มินอาจะพักผ่อน น้ำเสียงที่ซ่อนความกังวลเอาไว้เอ่ยถามออกไปยังนางในที่อยู่นอกประตูอีกครั้ง 


 


 


“มินอาไปที่ใดงั้นหรือ” 


 


 


“คือว่า หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจนักเพคะ แต่น่าจะเป็นตำหนักขององค์รัชทายาท…” 


 


 


ข่าวลือที่องค์รัชทายาทเรียกมินอาให้ไปหาที่ตำหนักด้วยตัวเองแพร่สะพัดไปเป็นเรื่องราวใหญ่โตภายในวันเดียว แต่มีเพียงแค่รยูฮาเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนั้น ตามข่าวลือนั้น ตอนนี้มินอากำลังนั่งอยู่ในห้องอาบน้ำอันหรูหราในวังมูยอง และกำลังทอดสายตามองมือของตัวเองที่ลอยอยู่ในน้ำอย่างเหม่อลอย ในขณะที่ฝากร่างกายไว้ในมือของเหล่านางในจำนวนมาก 


 


 


“ชิ” 


 


 


ซังกุงสูงอายุจิ๊ปากไม่พอใจหลังจากเห็นบาดแผลเต็มตัวของมินอา หากมีรอยแผลแม้แต่นิดเดียวก็ไม่สามารถเข้ามาในพระราชวังได้ ได้ยินข่าวลือที่ว่าเป็นสาวรับใช้ที่พระชายาในองค์ชายซึ่งเคยเป็นพระชายาในองค์รัชทายาทพาเข้ามา แต่ไม่เคยได้ยินว่านางเป็นสตรีที่หยาบกระด้างแบบนี้ ด้วยสภาพแบบนี้ที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องถูกไล่ออกจากวังแน่นอน แต่กลับบอกให้เข้าไปที่ตำหนักบรรทมเนี่ยนะ ส่วนนางเองก็ไม่ได้เต็มใจเช่นกัน 


 


 


“ออกมาสิ” 


 


 


ซังกุงสูงอายุจับมินอาให้นั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้งประหนึ่งตุ๊กตา ผงแป้งทาหน้าสีขาวที่ไม่คุ้นเคยถูกทาลงบนใบหน้าใสที่ส่องอยู่บนคันฉ่องบานเล็ก ผมที่มักจะรวบขึ้นไปอยู่เสมอ ถูกหวีลงไปถึงเอว ริมฝีปากซีดเซียวถูกอำพรางด้วยชาดสีแดง 


 


 


ในระหว่างนั้น มินอาแย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงรยูฮาที่เกลียดชังการแต่งตัวหรูหราขึ้นมา เพราะว่าต้องนั่งอยู่อย่างนี้คงจะรู้สึกเบื่อและหงุดหงิดมากเลยสินะ จากนั้นจึงใส่ชุดซับในเนื้อบางไปบนกระโปรงตัวบางที่ผูกไว้เหนือหน้าอกเป็นอย่างสุดท้าย หลังจากนั้นการแต่งตัวจึงเสร็จสิ้น มินอาปฏิเสธมือของเหล่านางในที่กำลังจะยกตัวนางขึ้น จากนั้นจึงเดินผ่านโถงทางเดินอันมืดมิดเพียงลำพังและหยุดยืนตรงด้านหน้าห้องบรรทม  


 


 


“ถวายบังคมองค์รัชทายาท หม่อมฉันมารอพระบรมราชโองการเพคะ” 


 


 


“เข้ามา และบอกให้ทุกคนถอยออกไปให้หมด” 


 


 


ยิ่งก้าวเข้าไปแต่ละก้าว ใบหน้าของชานที่ส่องสว่างด้วยแสงไฟตะเกียงรำไรก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น ไม่มีคำเชื้อเชิญให้นั่งลง แต่มินอาก็ดึงเก้าอี้เปล่าที่ถูกวางอยู่ตรงข้ามกับชานมานั่ง ถือขวดเหล้าขึ้นมาและรินใส่แก้วอย่างเงียบๆ 


 


 


“แต่งตัวแบบนี้ เจ้าก็ดูงามดีนะ” 


 


 


ไม่ใช่คำพูดที่ไร้สาระ เพราะใบหน้าเย็นชาที่มักจะจ้องมองด้านหลังของรยูฮาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลานั้นดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด เนื่องจากเป็นคนใกล้ชิดของพระชายาจึงไม่กล้าแตะต้อง ชานยังคงจำสายตาคลุมเครือของเหล่าทหารที่น่าสมเพชซึ่งมองตามมินอา ตอนที่นางขึ้นไปบนม้าและยิงธนูในชุดสีดำตอนอยู่ที่ชายแดนได้อยู่เลย 


 


 


“เพคะ” 


 


 


ท่าทางการตอบรับคำชมซึ่งหากเป็นสตรีทั่วไปคงหน้าแดง แต่กลับนางนั้นช่างแข็งกระด้างนั้นก็น่าสนใจเช่นกัน ชานถือขวดเหล้าขึ้นมาและรินใส่แก้วที่วางอยู่ตรงหน้ามินอา 


 


 


“หม่อมฉันไม่ดื่มเหล้าเพคะ” 


 


 


“ดื่มสักแก้วเถอะ” 


 


 


“ไม่เพคะ” 


 


 


ชานลุกขึ้นเดินไปหามินอา เหล้ารินไหลออกมาจากระหว่างริมฝีปากที่ประกบกันจนทำให้ชุดสีขาวเปียกชุ่ม มินอาที่ดื่มเหล้าครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ด้วยปากและทำหกอีกครึ่งหนึ่งโอบแขนรอบคอของชานก่อนจะดูดเม้มริมฝีปากอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ ชานที่หยุดชะงักไป ผละริมฝีปากออกและพานางไปที่เตียง แต่มินอาสะบัดมือของเขาออกและยังคงหมกมุ่นอยู่กับการสำรวจภายในปากต่อไป 


 


 


“เดี๋ยวก่อน…” 


 


 


เหล้านี่อ่อนจริงๆ หรือ นางกดชานลงบนเตียงและสูดกลิ่นกายตั้งแต่กลางกระหม่อมลงมา มือที่ปัดป่ายไปมาอย่างรีบร้อน ในไม่ช้าก็ถูกจับตรึงกับไว้เตียง 


 


 


เลื่อนผ่านต้นคอลงมาเหนือกระดูกไหปลาร้า มินอาลิ้มรสและสูดดมกลิ่นไปจนถึงปลายนิ้วที่จับประสานไว้แน่น จากนั้นจึงประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง ใช้ลิ้นแทรกไประหว่างช่องฟันและสำรวจความหวานภายในนั้น รู้สึกได้อย่างชัดเจน กลิ่นของสมุนไพรที่ไม่คุ้นเคย 


 


 


กลิ่นที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างน่าประหลาดตั้งแต่ชานมาหาที่ที่พักครั้งแรก จมูกที่มีความรู้สึกไวของนางซึ่งผ่อนคลายจากการดื่มเหล้าหนึ่งแก้วนั้นได้กลิ่นนั้นอย่างแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน ฮอนกับชานกินยาพิษชนิดเดียวกันเข้าไป ดังนั้นยาก็จะต้องเหมือนกัน แต่ทำไมมันถึงมีกลิ่นที่ต่างกันล่ะ มินอาผละริมฝีปากออกและมองชานด้วยสายตาที่ระคนไปด้วยความไม่พอใจอย่างสุดขีด 


 


 


“เจ้าดูไม่เหมือนคนดื่มเหล้าไม่เก่งเลยนะ จะทำอะไรน่ะ ยั่วยวนข้ารึ” 


 


 


มินอาวุ่นอยู่กับการเรียบเรียงความคิดในหัวโดยไม่ขยับเขยื้อน ในระหว่างที่ชานกำลังคลายปมผูกเสื้อออกพร้อมกับกระซิบกระซาบ ชานอาจจะได้เปรียบทางด้านพละกำลัง แต่ทั้งคู่ต่างแข็งแรงและมีสภาพร่างกายที่เหมือนกัน รวมถึงหมอหลวงที่มาตรวจชีพจรก็คนเดียวกัน ยาที่ได้ก็ตัวเดียวกัน 


 


 


แต่ทว่าชานฟื้นขึ้นมา ส่วนฮอนยังไม่ฟื้น ไม่มีกลิ่นยาซึ่งได้กลิ่นจากชานออกมาจากฮอน พระสนมเอกมุน คนที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ ในขณะที่ชานไม่ได้สติ นางเคยใช้ยาพิษผ่านทางแชยอนมาแล้วครั้งหนึ่ง บทสรุปที่ได้หลังจากคิดเสร็จนั้นช่างโหดร้ายและอำมหิตจนน่าขนลุก 


 


 


“…ฝ่าบาท” 


 


 


“ว่ามาสิ” 


 


 


ชานตอบพลางขบไหล่มนที่มีรอยแผลเป็นเล็กๆ เบาๆ 


 


 


“เอามาให้หม่อมฉันเพคะ” 


 


 


“อะไรรึ” 


 


 


“ยานั่น” 


 


 


ใจร่วงหล่นลงไปถึงตาตุ่ม ชานจงใจทำเป็นไม่มีอะไรและโอบเอวของมินอาอีกครั้งก่อนจะมุดหน้าลงไปในอ้อมอก แต่ไม่สามารถซ่อนหัวใจที่เต้นเร็วไปได้ การเต้นของชีพจรที่รุนแรงถูกส่งไปหามินอาที่ตัวแนบชิดติดกันอยู่ ทำให้นางมั่นใจในการคาดเดามากขึ้น 


 


 


“ได้โปรดเพคะ อย่างน้อยก็ขอแค่ให้องค์ชายสามยังทรงหายใจต่อได้ก็ได้เพคะ” 


 


 


“แล้วถ้าข้าไม่ให้ล่ะ” 


 


 


มินอากัดริมฝีปากแน่น มันเป็นเพียงการคาดเดาของสาวรับใช้ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ แต่นอกจากมันจะจบลงด้วยความคลุมเครือแล้ว หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้รยูฮาผู้เป็นนายตกอยู่ในความลำบากได้ ถึงแม้จะลองไปขอความช่วยเหลือจากท่านมหาเสนาบดีก็ไม่มีหนทางใดที่จะสามารถจัดการเรื่องผู้สืบราชบัลลังก์ที่เหลือเพียงคนเดียวได้ ถ้าเช่นนั้นก็จะมีเพียงแค่กลอุบายเดียวเท่านั้นที่มินอาจะสามารถจัดการกับชานได้ 


 


 


“หม่อมฉันจะจบชีวิตลงตรงนี้เพคะ หากหม่อมฉันตายบนเตียงของฝ่าบาท ฝ่าบาทก็จะไม่มีทางได้ครอบครองพระชายาเด็ดขาดเพคะ” 


 


 


คิก ชานเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมาและหมุนตัวให้มินอานอนลงบนเตียง ยิ่งมอง ยิ่งกอด ความปรารถนาก็ยิ่งมากขึ้น จิตที่หาญกล้ากว่าผู้ชายทั่วไป ศิลปะการต่อสู้ที่โดดเด่น นิสัยดั่งไฟท่ามกลางความเยือกเย็น สมองที่ไม่เคยสูญเสียความสุขุมเยือกเย็นไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม 


 


 


“นั่นสินะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปพาพระชายาในองค์ชายมาสิ แล้วข้าจะมอบยาให้ และให้เจ้าเข้ามาเป็นสนมของข้าด้วย”  

 

 


ตอนที่ 10-7

 

เมื่อเสียงกระซิบแสนหวานใกล้เข้ามา มินอาจึงหลับตาลง เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากผู้ชายที่ไม่ได้มองมาที่ตนเองแม้ตนจะอยู่ตรงหน้าก็ตาม ชานค้นหารยูฮาจากตัวนางที่นอนลงเหมือนตุ๊กตา รยูฮา รยูฮา เขาที่โหยหารยูฮาพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงลงบนไออุ่นของร่างกาย 


 


 


“อยู่อย่างนี้สักพักเถอะนะ” 


 


 


ชานจับมือของมินอาที่แตะไหล่เหมือนกับจะผลักออกลง 


 


 


“เตียงจะสกปรกเอานะเพคะ” 


 


 


ชานไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าอย่างไรจึงอยู่อย่างนั้นสักพัก แต่แล้วก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ จากที่ไหนสักแห่งจึงลุกพรวดขึ้นและจับให้มินอาลุกขึ้น หลังที่แผลยังไม่ปิดสนิทถูกลากไปกับเตียงจึงทำให้แผลเปิดออกและมีเลือดไหลซึมออกมา 


 


 


“ทำไมไม่บอกเล่า” 


 


 


“ไม่เป็นไรเพคะ” 


 


 


รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าภายในดวงตาที่พูดอย่างแข็งกระด้างเหมือนเดิม ชานจ้องมองสักพักก่อนจะหันหน้าไปออกคำสั่งนางในที่อยู่ด้านนอก 


 


 


“ไปเอายาทาแผลและผ้าพันแผลมาซะ” 


 


 


“เดี๋ยวหม่อมฉันกลับไปทำแผลเองเพคะ” 


 


 


คำพูดของมินอาถูกเมินไป จากนั้นสักพักนางในก็โค้งคำนับและเข้ามาวางถาดที่ด้านบนมียา ผ้าพันแผลและผ้าขนหนูชุบน้ำไว้ก่อนจะหายตัวไป ชานเช็ดแผลด้วยผ้าขนหนูและทายาอย่างระมัดระวังเหมือนค่ำคืนที่ไปที่ที่พักของมินอาเป็นครั้งแรก จากนั้นจึงพันผ้าพันแผลและผูกจนแน่น พอเขาเช็ดมือ มินอาจึงโค้งศีรษะให้เล็กน้อยและหยิบชุดที่ถูกโยนสะเปะสะปะอยู่บนเตียงขึ้นมา 


 


 


“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” 


 


 


ชานไม่ตอบและโอบกอดมินอาจากทางด้านหลัง ให้นางนอนตะแคงลงบนเตียงโดยระวังไม่ให้โดนแผล จากนั้นตนเองจึงนอนลงไปด้วยและดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม กลิ่นหอมละมุนลอยขึ้นมาจากกลุ่มผมสีดำขลับในอ้อมกอดจั๊กจี้จมูก 


 


 


“…อย่าเพิ่งไปเลยนะ” 


 


 


“ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ” 


 


 


“ถ้าไปตอนนี้ ข้าก็จะไม่ให้ยา” 


 


 


พรุ่งนี้ก็จะได้เจอรยูฮาแล้ว หัวใจของชานเต็มไปด้วยความดีใจอันดำมืด แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เขาถึงไม่อยากอยู่คนเดียว ความเหนื่อยอ่อนลากชานลงไปยังห้วงแห่งนิทราอย่างช้าๆ มินเอาเองก็ถูกซัดด้วยความอ่อนเพลียราวกับกระแสน้ำขึ้นและผล็อยหลับลึกไปเช่นกัน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“มินอา มาแล้วหรือ” 


 


 


รยูฮาเอ่ยถามเบาๆ หลังจากรับรู้ได้ว่ามีคนยืนอยู่หน้าประตูแม้จะไม่มีเสียงก็ตาม 


 


 


“เพคะ พระชายา” 


 


 


“เข้ามาสักครู่สิ” 


 


 


รยูฮาซึ่งซูบผอมลงไปกว่าเมื่อวานนั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เป็นท่าทางที่ดูเหมือนจะทรุดลงได้ทุกเมื่อ จู่ๆ มินอาก็คิดขึ้นได้ การที่ฮอนนอนไร้ชีวิตราวกับตายไปแล้วนั้น นั่นคือผลของยาพิษที่ถูกปรับใช้อย่างเชี่ยวชาญเพื่อไม่ให้รยูฮาตายตามไปด้วย เสียงที่สงบนิ่งเคลื่อนเข้าไปหามินอาที่กะพริบตาอย่างเหม่อลอย 


 


 


“ท่านพ่อท่านแม่ตัดสินใจจะรับเจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมน่ะ” 


 


 


เป็นคำพูดที่ช่างไม่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่มินอาต้องการอีกด้วย 


 


 


“เพคะ?” 


 


 


“ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของตระกูลขุนนางอันสูงศักดิ์แล้วนะ” 


 


 


“ที่เป็นอยู่ตอนนี้หม่อมฉันก็สบายดีนะเพคะ หม่อมฉันเป็นหนี้บุญคุณท่านมากแล้วเพคะ” 


 


 


แม้จะได้เป็นคนสูงศักดิ์ แต่โชคชะตาของเด็กผู้หญิงที่ไม่มีทั้งทรัพย์สมบัติทั้งพ่อแม่คอยเลี้ยงดูก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงราวกับถูกประทับตรา และไม่สามารถปิดซ่อนสถานภาพนั้นได้ ซึ่งอาจจะได้กลายเป็นนางบำเรอของชายชราหื่มกามหรือไม่ก็ไปขายตัวในหอนางโลม มันคือชีวิตอันน่าสังเวชที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง 


 


 


แต่โชคดีที่ได้เข้ามายังบ้านของท่านมหาเสนาบดีจึงได้กินอาหารดีๆ ได้นอนในห้องอันอบอุ่น รวมถึงได้เรียนหนังสือและดาบอีกด้วย แม้แต่ตัวนางเองยังคิดว่าการหวังอะไรจากที่นั่นอีกคือเรื่องที่น่าละอายใจเป็นอย่างยิ่ง รยูฮากุมมือมินอาที่ส่ายหัวและบอกว่าไม่เป็นไร 


 


 


“รู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


เห็นเพียงแค่แววตาก็รู้ได้ พึ่งพาและอยู่เคียงข้างกันและกันมาตั้งหลายปีจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้การแสร้งทำเป็นไม่รู้ในสิ่งที่รยูฮากำลังจะพูดเป็นเรื่องที่ดีกว่า 


 


 


“ไม่เพคะ หม่อมฉันจะไม่ไปที่ไหนทั้งนั้นเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ดูแลเคียงข้างพระชายาเช่นนี้ต่อไปเพคะ” 


 


 


“ข้าขอตัวสักเดี๋ยว ฝากดูฝ่าบาทด้วยนะ” 


 


 


รยูฮาลูบศีรษะมินอาหนึ่งทีด้วยรอยยิ้มและลุกขึ้นจากที่นั่ง จิตใจที่ไม่สามารถจับชายเสื้อสีขาวที่เฉียดผ่านไปได้ถูกฉีกออกเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น รยูฮาตรงไปยังวังมูยองเพียงลำพังไม่ให้ข้าราชบริพารคนหนึ่งที่ตามหลังตามมา แต่ท่วงท่าการเดินของนางก็ไม่สูญเสียความสง่างามเฉพาะตัวไปเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“เสด็จมาด้วยเหตุอันใดเพคะ” 


 


 


ท่าทางของซังกุงสูงอายุที่โค้งให้แต่ไม่แม้แต่จะทำความเคารพนั้นช่างโอหังยิ่งนัก รยูฮวายกมือขึ้นโดยไม่พูดอะไร เหล่าข้าราชบริพารต่างสะดุ้งตกใจพร้อมกับเสียงดังเพียะ และกลืนลมหายใจลงไปตามๆ กัน พระชายาที่ควรจะมีจิตใจห่อเ**่ยวเพราะได้เป็นพระชายาในองค์ชายเพียงแค่ในนามกลับดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ 


 


 


“อีกครั้ง” 


 


 


“เพคะ?” 


 


 


เพียะ รยูฮาฟาดมือลงมาอีกครั้ง 


 


 


“อีกรอบ” 


 


 


ใบหน้าของซังกุงที่ถูกตบด้วยข้อมือบางสองรอบบวมแดงขึ้นมาราวกับเลือดจะพุ่งออกมาในทันที รยูฮายกมือขวาขึ้นมาอีกรอบ ซังกุงสูงอายุที่เห็นเช่นนั้นทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างไปจนหมดและรีบโค้งคำนับอย่างว่องไวด้วยความกลัว 


 


 


“ถะ ถวายบังคมพระชายาในองค์ชายเพคะ” 


 


 


“ไปทูลให้ฝ่าบาททรงทราบซะ” 


 


 


“เพคะ พระชายา” 


 


 


การแสดงเป็นพระชายาที่เอวบางร่างน้อยและฉลาดหลักแหลมได้จบลงแล้ว เพราะที่เริ่มทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดข้อครหาได้เมื่ออยู่เคียงข้างฮอน รยูฮาก้าวเท้าเข้าไปด้านในตามซังกุงเข้ามาในวังที่ไม่คุ้นเคยและไม่เคยมาสักครั้งด้วยสีหน้าเยือกเย็น 


 


 


“พระชายาในองค์ชายเสด็จเพคะ” 


 


 


“พาเข้ามาด้านใน และให้ทุกคนถอยออกไปห่างๆ ซะ” 


 


 


เกรงว่าจะตกเป็นที่ซุบซิบนินทาสินะ ความวิตกกังวลปรากฏบนสีหน้าของเหล่าข้าราชบริพารที่ถอยออกไป รยูฮาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องบรรทมที่มืดสนิทแม้ในตอนกลางวันพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะร่องรอยของยามค่ำคืนที่อบอวลภายในห้องสะกิดที่ปลายจมูกและยังคงไม่ลบเลือนออกไป 


 


 


“พระชายาในองค์ชายถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ” 


 


 


ท่าทางของรยูฮาที่โค้งตัวลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาทพร้อมกับการทักทายที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกถึงตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมายิ่งกว่าตอนที่ได้รับราชโองการจากพระราชาเสียอีก ถึงจะพอใจ แต่ก็รู้สึกอะไรบางอย่างแปลกๆ เช่นกัน ชานพยายามสลัดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจนั้นออกไป พร้อมกับลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้ออกให้ด้วยตัวเอง 


 


 


“เชิญนั่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“มันผิดธรรมเนียมเพคะ เลิกพูดให้เกียรติและโปรดเอามือนั่นออกไปด้วยเพคะ” 


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไม่ได้เป็นคนที่รักษาธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แล้ว” 


 


 


รยูฮานั่งลงบนเก้าอี้ตามการชักชวนของชานและตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา 


 


 


“แม้หม่อมฉันจะไม่ค่อยรักษาธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ก็ใช่ว่าใครจะสามารถทำอะไรก็ได้เพคะ” 


 


 


เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ชานเชิญชวนให้ดื่มเหล้า แต่รยูฮาปฏิเสธอย่างหนักแน่นด้วยการส่ายหน้าเล็กน้อย นางอยากเฝ้าสังเกตท่าทางขององค์รัชทายาทคนใหม่ที่อยู่ตรงหน้าโดยละเอียดมากกว่า 


 


 


“ทำไมมองเช่นนั้นล่ะ” 


 


 


“หม่อมฉันบอกแล้วไงเพคะว่ามันผิดธรรมเนียม” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เป็นพระชายาของข้าแล้ว” 


 


 


ฮ่าๆ เสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของรยูฮา คนละคนกันเลย ไม่สามารถคิดได้เลยว่าชานในตอนนี้คือคนเดียวกันกับที่นางเคยขัดขาให้ล้มลงในวันฤดูใบไม้ร่วงวันหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ชุดนอนที่ยับยู่ยี่และผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง รวมถึงใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าแทนที่จะแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนบ่งบอกเช่นนั้น 


 


 


“องค์ชายยังคงมีชีวิตอยู่เพคะ” 


 


 


“และจะเป็นเช่นนั้นต่อไป หากเจ้าขึ้นมายังตำแหน่งพระชายาในองค์รัชทายาทแต่โดยดี” 


 


 


การสมรสกับภรรยาของคนอื่นอีกครั้งเมื่อพี่น้องตายไปไม่ใช่เรื่องที่จะถูกตำหนิ แต่กลับได้รับคำชมเชยด้วยซ้ำว่ามีน้ำใจในการช่วยเหลือหญิงสาวที่ไม่มีที่จะไป ทว่าภรรยาของน้องที่มีชีวิตอยู่นั้นไม่เหมือนคนอื่น ไม่เหมือนเป็นอย่างมากทีเดียว  


 


 


“หมายความว่าฝ่าบาทจะทรงแย่งภรรยาของน้องชายหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะเป็นตำแหน่งที่จะทำอะไรมั่วซั่วเช่นนั้นได้”  

 

 


ตอนที่ 10-8

 

แม้จะเป็นการตอบโต้ที่ประชด แต่ชานก็ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าและยักไหล่พร้อมกับจับแก้วเหล้าที่วางตรงหน้า


 


 


“แน่นอนว่าต้องไม่ได้สิ ข้าแย่งภรรยาของน้องชายไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นภรรยาของน้องชายที่ตายไปแล้ว มันก็คนละเรื่องกันมิใช่หรือ”


 


 


ทันทีที่เขาพูดจบ แก้วเหล้าที่รยูฮาไม่ได้แตะต้องก็ลอยไปกลางอากาศและแตกละเอียดตรงกลางหน้าผากของชาน เลือดและเหล้าไหลลงมาผสมปนเปกัน ชานยังคงยิ้มและกรอกเหล้าที่กำลังจะดื่มเข้าปากไปก่อนจะเช็ดหน้าผากด้วยแขนเสื้อ


 


 


“จะบ้าหรือ ข้าเนี่ยนะ จะฆ่าน้องชายเพียงคนเดียวเพื่อแย่งภรรยา? ข้าก็แค่…บอกว่าเขาตายแล้ว หากดูจากภายนอกน่ะนะ”


 


 


“แม้ว่าฝ่าบาทจะสิ้นพระชนม์จริงๆ หม่อมฉันก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นเพคะ แม้จะทรงข่มขู่ว่าจะปลิดลมหายใจของฝ่าบาท หากหม่อมฉันไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น คำตอบของหม่อมฉันยังคงเหมือนเดิม ก็แค่ตายตามฝ่าบาทไป”


 


 


รยูฮามองถึงข้างในจิตใจของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ชานเปลี่ยนทิศทางอย่างสบายๆ กับการตอบสนองที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว ไม่สามารถแตะต้องครอบครัวหรือท่านมหาเสนาบดีได้ แต่นางยังมีครอบครัวคนละสายเลือดอยู่อีกนี่


 


 


“ข้ามีอะไรกับมินอาแล้ว ตั้งหลายครั้ง เมื่อคืนก็ด้วยนะ มินอาก็นั่งตรงที่เจ้านั่งอยู่นั่นแหละ”


 


 


“หากฝ่าบาททรงดูถูกเด็กคนนั้นอีกเพียงครั้งเดียว สิ่งที่จะเสียบบนหน้าผากของฝ่าบาทจะไม่ใช่แค่แก้วเหล้านะเพคะ”


 


 


“หากเจ้ามาเป็นพระชายาของข้า ข้าก็จะรับมินอาเข้ามาเป็นนางสนมในตำแหน่งที่สูงที่สุด แต่ถ้าหากเจ้าไม่ยอมรับล่ะก็…”


 


 


ดวงตาของชานที่อบอุ่นแต่ก็สุขุมแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว


 


 


“ถ้าหากหม่อมฉันทำร้ายองค์รัชทายาทที่ห้องบรรทม… จะเป็นอย่างไรเล่าเพคะ อย่างไรเสียหม่อมฉันก็เป็นเพียงลูกนกลูกตาตัวหนึ่งเท่านั้น”


 


 


การประนีประนอมอันหอมหวานที่หยิบยื่นให้พร้อมกันกับการข่มขู่ที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ คือวิธีที่รยูฮาโปรดปราน รยูฮาที่ดูเขาออกหมดแล้วสบสายตากับชานที่ยังคงยิ้มอย่างน่าขนลุกพร้อมกับแสร้งหัวเราะ


 


 


“เจ้าเปลี่ยนไปมากนะ”


 


 


“เพคะ เป็นเพราะใครกันล่ะ”


 


 


“ข้าจะเป็นคนตัดสินชะตากรรมขององค์ชายเอง”


 


 


“ตามแต่ที่ทรงประสงค์”


 


 


มือใหญ่แตะลงบนไหล่ของรยูฮาที่ลุกขึ้นและหันหลังกลับไป แต่แขนของชานถูกหักและกดไปข้างหลังก่อนที่จะได้ดึงไหล่ของนางเข้ามา เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นข้างใบหูท่ามกลางความเจ็บปวดที่รู้สึกดี


 


 


“หม่อมฉันคือคนที่ฝ่าบาทไม่สามารถแตะต้องได้เพคะ โปรดทรงระมัดระวังเรื่องนี้ด้วยขณะที่องค์ชายยังทรงอยู่ในวัง”


 


 


พึงพอใจกับเบื้องหลังของรยูฮาที่สลัดแขนของเขาทิ้งไปก่อนจะหายลับไปด้านนอก ชานที่ยืนนิ่งราวกับถูกตอกตะปูติดไว้ใช้มือลูบไปบนเก้าอี้ที่รยูฮานั่งก่อนหน้านี้ ก่อนจะรินเหล้าแล้วกระดกเข้าไปรวดเดียว เสียงหัวเราะที่อดกลั้นไว้ระเบิดออกมาจากปากที่ใช้ฝ่ามือถูไปมา


 


 


“ฮ่า… ฮ่าๆ! ฮ่าๆๆ!”


 


 


เสียงหัวเราะคล้ายคนเสียสติทะลุประตูออกมาและเข้าไปในหูของเหล่าข้าราชบริพารที่ยืนสงบนิ่งอยู่ด้านนอก เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะหรือเสียงร้องไห้ พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดห้องบรรทมที่เพิ่งมีแขกออกมาเลยสักคน


 


 


รยูฮาที่หลุดพ้นจากชานตรงไปยังวังซึงกอนซึ่งไม่ได้แวะไปนานแทนที่จะกลับไปที่วังจงซู ภายในวังยังคงสะอาดสะอ้านเรียบร้อยแม้เจ้าของจะไม่ได้กลับมาเป็นเวลานานก็ตาม ใบหน้าของเหล่าลูกเจี๊ยบเต็มไปด้วยน้ำตาหลังจากได้พบกับนางซึ่งปรากฏตัวออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว


 


 


“พระชายา!”


 


 


“ตอนนี้ข้าไม่ใช่พระชายาในองค์รัชทายาทแล้วนะ”


 


 


“ฮึก ฮืออ…”


 


 


คำพูดของรยูฮาทำให้วังซึงกอนกลายเป็นทะเลน้ำตาในพริบตา สายตาของรยูฮาที่มองดูยอนฮวาซึ่งทรุดลงไปกับพื้นและร้องไห้ราวกับจะขาดใจตายนั้นลึกซึ้งกว่าเก่า คนที่รู้เรื่องในพระราชวังอย่างถ่องแท้และสามารถดูแลฮอนด้วยความเอาใจใส่ได้มากกว่าใคร


 


 


“ยอนฮวาตามข้ามา ส่วนที่เหลือถอยออกไปก่อน”


 


 


“ฮึก เพคะ พระชายา”


 


 


ยอนฮาที่ยังคงไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เข้ามาด้านในห้อง รยูฮานั่งลงพร้อมกับกวักมือ


 


 


“เจ้าก็นั่งลงสิ”


 


 


“เพคะ ฮึก”


 


 


รยูฮามองยอนฮวาสักพักและรอให้นางหยุดร้องไห้ก่อน พอเสียงสะอึกสะอื้นค่อยๆ เบาลงจึงส่งผ้าเช็ดหน้าให้พร้อมกับตบเบาๆ เพื่อปลอบใจ


 


 


“ข้ารับรู้ถึงความรู้สึกของเจ้ามานานแล้ว ขอโทษด้วย”


 


 


“เพคะ? หมายถึงสิ่งใด…?”


 


 


ดวงตาที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตาเบิกโพลงในขณะที่มองรยูฮา


 


 


“ก็ที่เจ้ามีใจให้ฝ่าบาทอย่างไรเล่า แม้ข้าจะรู้แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้”


 


 


“มะ…หม่อมฉันทำความผิดที่สมควรตายเพคะ!”


 


 


ทันทีที่รยูฮาพูดจบ ยอนฮวาก็เลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างแรงก่อนจะหมอบกราบติดกับพื้น เป็นความรู้สึกที่อยากจะมุดเข้าไปในรูหนู นังเนรคุณ กล้าดีอย่างไรถึงคิดเช่นนั้นกับสามีของเจ้านาย! เสียงของจิตใจที่รบกวนยอนฮวานับไม่ถ้วนดูเหมือนจะออกมาจากปากของรยูฮาอย่างไงอย่างนั้น ทั้งสกปรก ละอายใจและรู้สึกผิด


 


 


“ลุกขึ้นซะ ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าเสียหน่อย”


 


 


น้ำเสียงของรยูฮานุ่มนวลไม่มีความโกรธเกรี้ยวหรือความรู้สึกถูกทรยศแม้แต่น้อย ยอนฮวารวบรวมความกล้า กัดปากที่ยังคงสั่นเทาและเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอันสง่างามที่มักจะคิดอยู่เสมอว่าช่างงดงามเหลือเกินปรากฏอยู่ตรงหน้า


 


 


“หม่อมฉันไม่เคยทำอะไรเลยเพคะ เพียงแค่มองดูอยู่คนเดียวเท่านั้น จริงๆ นะเพคะพระชายา!”


 


 


“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ ลุกขึ้นมานั่งซะ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะขอร้องเจ้า”


 


 


เพราะว่าเป็นคำขอร้องจากพระชายา ดังนั้นจะให้ตัดแขนตัดขาก็ยอม ยอนฮวาคิดเช่นนั้นพร้อมกับลุกขึ้นมานั่ง รยูฮายิ้มให้กับแววตาอันมุ่งมั่นคู่นั้นพลางลูบหัวกลมที่เปียกเหงื่อ แม้จะไม่ค่อยชำนาญงานและร้องไห้เก่ง แต่นั่นแหละที่ทำให้นางผูกพันกับเด็กคนนี้มากเหลือเกิน


 


 


“สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ เจ้าห้ามแพร่งพรายออกมาจากปากเด็ดจากแม้ว่าจะถูกฆ่าตายก็ตาม เข้าใจหรือไม่”


 


 


“เพคะ พระชายา”


 


 


รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่ง เปิดตู้เอกสารและนำกล่องเครื่องประดับออกมา ท่ามกลางสิ่งของล้ำค่าที่หรูหราและมีราคาแพง นางหยิบแหวนคู่ซึ่งทำมาจากทองคำขาวที่ไม่สะดุดตาออกมาเท่านั้น แต่ด้านล่างนั้นมีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ถูกสลักไว้อย่างแน่นอน เพื่อรับรองสถานภาพของผู้ที่ครอบครอง รยูฮาใส่สิ่งนั้นลงไปในถุงเล็กๆ ก่อนจะยื่นให้ยอนฮวา


 


 


“หากเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นให้ส่งกระดาษสีขาวที่ไม่มีการเขียนใดๆ ส่วนถ้าหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาให้ส่งกระดาษสีน้ำเงิน หากชีวิตของฝ่าบาทตกอยู่ในอันตรายให้ส่งกระดาษสีแดง และ…”


 


 


รยูฮาหลุบตาต่ำลงและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


 


“หากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ให้ส่งกระดาษสีดำ ข้าจะฝากคยอกรังไว้กับเจ้า เพราะฉะนั้นผูกกระดาษไว้ที่ขาของมัน สั่งให้มันไปหาข้าแล้วก็ปล่อยให้มันบินไป จงเก็บแหวนคู่วงนี้ติดตัวไว้เสมอ เอาล่ะ ไหนลองทวนสิ่งที่ข้าบอกไปเมื่อครู่อีกรอบสิ”


 


 


“เรื่องด่วน…สีขาว ถ้าฟื้นสีน้ำเงิน ถ้ามีอันตรายสีแดง ถ้าสิ้นพระชนม์สีดำ ผูกไว้ที่ขาของคยอกรัง…”


 


 


“ดีมาก”


 


 


รยูฮาพูดชมพลางตบบ่าของยอนฮวาเบาๆ และจ้องมองดวงตากลมอย่างเงียบๆ


 


 


“พระชายา ทั้งหมดนี้มันคืออะไรกันเพคะ…?”


 


 


“ฝ่าบาทจะต้องออกไปจากพระราชวัง แต่ข้ากับมินอาไม่สามารถตามไปได้ ดังนั้นเจ้าจะต้องไปดูแลฝ่าบาท”


 


 


“ทรงมอบหมายงานใหญ่ขนาดนั้นให้หม่อมฉันหรือเพคะ”


 


 


“หากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา ข้าจะให้เจ้าเข้ามาเป็นพระสนมอย่างแน่นอน ดังนั้นจงดูแลฝ่าบาทด้วยความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ รู้ใช่ไหมว่าจากบรรดาเหล่านางในทั้งหมด ข้าเชื่อใจและโปรดปรานเจ้าที่สุด”


 


 


ถ้าเป็นยอนฮวา จะเชื่อใจและฝากดูแลได้ใช่ไหมนะ คนเรามักจะแสดงพลังที่แกร่งกล้ากว่าเดิม หากมีสิ่งตอบแทน รยูฮารู้เรื่องนั้นเป็นอย่างดีจึงจับมือของยอนฮวาไว้พร้อมกับสัญญาว่าจะตอบแทนอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะสามารถมอบให้ได้


 


 


“หม่อมฉันไม่ได้หวังสิ่งเหล่านั้นเลยเพคะ เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณของพระชายา หม่อมฉันจะอุทิศชีวิตเพื่อดูแลฝ่าบาท อย่าได้ทรงกังวลไปเลยเพคะ”


 


 


“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าออกไปเก็บข้าวของเถอะ จะได้ออกจากวังได้ทุกเมื่อ”


 


 


ความเปล่าเปลี่ยวมาเยือนภายในห้องนอนทันทีที่ยอนฮวาออกไป รยูฮาเดินตรงไปที่เตียงนอน ห่มผ้าและหลับตาลง รู้สึกเหมือนกับว่าฮอนจะปรากฏตัวขึ้นและมุดเข้ามาในผ้าห่ม


 


 


ค่ำคืนแห่งความสุขนั้น นางไม่น่าปล่อยให้ฮอนออกไปเลย ควรจะรั้งเขาไว้ไม่ให้ไปและอ้อนให้อยู่ข้างๆ ไม่ว่าใครจะมาเรียกก็ตาม ทำไมถึงเชื่อใจเขาล่ะ คนที่ทำร้ายฮอนได้ง่ายยิ่งกว่าพระมเหสี ยิ่งกว่าพระสนมเอกมุนก็คือชาน


 


 


 


 


* * * 

 

 


ตอนที่ 10-9

 

นานพอสมควรแล้วที่ชานกับพระราชาไม่ได้พบปะหารือกันสองคน ครั้งสุดท้ายที่ทำเช่นนั้นก็คือในห้องทำงาน ตอนนั้นชานคือชายหนุ่มที่เผยให้เห็นไหวพริบและความกล้าหาญบนใบหน้าที่หยาบกร้านจากการเดินทางอันยาวนาน ในระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สาเหตุของช่องว่างที่ไหลวนระหว่างทั้งสองคงจะไม่ใช่เพียงแค่ชุดสีน้ำเงินเข้มขององค์รัชทายาทที่ดูแปลกตาไป


 


 


“มีอะไรจะบอกอย่างนั้นหรือ”


 


 


ชานรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่สดใสเอาเสียเลยของพระราชาผู้เป็นบิดา ชานหลบตามองต่ำสักพักก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องพระราชาตรงๆ อีกครั้งราวกับตัดสินใจได้แล้ว


 


 


“เรื่องเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“พิธีอภิเษกสมรส?”


 


 


ปลายเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยเพราะเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด คนที่รำคาญใจทุกครั้งที่เรื่องอภิเษกสมรสถูกพูดขึ้นมาและหลบเลี่ยงไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างชาน ทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีที่ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เพราะว่าตอนนี้กระหม่อมได้รับหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่จะต้องสืบเชื้อสายราชวงศ์ต่อไป จึงเห็นควรที่จะต้องรับหญิงสาวที่เหมาะสมเข้ามาเป็นพระชายาเพื่อให้กำเนิดทายาทของราชวงศ์ในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่อย่างที่เจ้ารู้ ช่วงนี้พระวรกายของพระพันปีไม่ค่อยสู้ดีนัก เราไม่สามารถจัดพิธีการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสโดยที่ขาดผู้อาวุโสที่สุดของพระราชวงศ์ได้หรอกนะ”


 


 


“กระหม่อมมีสตรีในใจอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เราสามารถให้นางเข้ามาเป็นพระชายาได้โดยไม่ต้องมีพิธีการคัดเลือกคู่อภิเษกให้วุ่นวายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


สีหน้าของชานที่พูดเช่นนั้นไม่มีความสดใสเลยแม้แต่น้อย พระราชาพยายามข่มความไม่สบายใจที่กำลังไต่ขึ้นมาอย่างช้าๆ จากปลายหน้าอกลงไป แทนที่จะเบาใจกับเรื่องที่จะรับพระชายาเข้ามา


 


 


“ถ้าหากวงศ์ตระกูลมีความเหมาะสมและมีบุคลิกสง่างาม…ก็ไม่เป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติหรอก เป็นบุตรีของบ้านไหนล่ะ”


 


 


“บุตรีของท่านมหาเสนาบดีซอดู ซอรยูฮาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


แม้จะพูดด้วยความสุขุม แต่ก็พอที่จะทำให้ความโกรธเกรี้ยวของพระราชาผู้เป็นบิดาเดือดพล่านขึ้นมาได้ กระดาษม้วนมากมายที่วางกองกันเป็นภูเขากระจัดกระจายไปทั่ว บ้างก็กระแทกเข้ากับใบหน้าและหัวไหล่ของชาน บ้างก็กลิ้งตกลงไปที่พื้น ทว่าสีหน้าของชานก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง


 


 


“เจ้าบ้า กล้าดีอย่างไรถึงอยากได้ภรรยาของน้องชาย เจ้าใจร้ายใจดำทำอย่างนั้นได้เช่นไร!”


 


 


“กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ คนที่ใส่ยาพิษลงในเหล้า”


 


 


กระดาษม้วนที่บินออกมาไม่หยุดหย่อนหยุดลงหลังจากอันสุดท้ายร่วงหล่นดังตุ้บ


 


 


“เจ้าว่าอย่างไรนะ”


 


 


“กระหม่อมกินยาพิษไปทีละนิดเพื่อให้ดื้อยา จากนั้นจึงใส่ยาพิษลงไปในขวดเหล้าพ่ะย่ะค่ะ เพื่อที่จะได้ตัวพระชายาในองค์รัชทายาท ไม่ใช่สิ พระชายาในองค์ชายมาพ่ะย่ะค่ะ หากไม่ได้ตัวนาง กระหม่อมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะมาอยู่ในตำแหน่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นโปรดทรงปลดหม่อมฉันและตัดสินโทษตามกฎหมายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


นี่เป็นการขู่อย่างชัดเจน เพราะชานรู้อยู่แล้วว่าในบรรดาองค์ชายทั้งสามพระองค์ มีเพียงตนผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปได้ จึงนำชีวิตมาเป็นหลักประกันในการข่มขู่ ภาพของชานข่มขู่พระราชาผู้เป็นบิดาอย่างห้าวหาญโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้เพียงสักนิด ซ้อนทับกับฮอนที่เปลี่ยนไปเป็นคนหัวแข็งและขอให้สามัญชนเข้ามาเป็นนางสนมเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้จะสายเลือดเดียวกันต่างกันแค่แม่ผู้ให้กำเนิด แต่ทำไมถึงได้ต่างกันราวฟ้ากับดินแบบนี้ ความเสียใจปรากฏขึ้นในดวงตาของพระราชา แทนความแก่ชรา


 


 


“รู้หรือไม่ว่ารยูฮาเป็นเด็กแบบไหนสำหรับข้า”


 


 


นั่นอ่อนโยนเกินไปสำหรับชื่อที่เรียกลูกสะใภ้ ชานเกิดความสงสัยเล็กๆ ขึ้น แต่ก็ลบมันทิ้งไปจนเกลี้ยงในทันที เพราะสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่คำเรียกที่พระราชาใช้เรียกรยูฮา


 


 


“…จะพูดอย่างไรดี แต่เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ รับภรรยาของน้องชายที่ยังมีชีวิตอยู่เข้ามาเป็นพระชายาเนี่ยนะ เจ้าอยากจะเปลี่ยนข้าราชบริพารและราษฎรทั้งหมดให้กลายเป็นปรปักษ์อย่างนั้นหรือ”


 


 


ชานลงมาจานเก้าอี้แล้วหมอบกราบลงติดพื้นที่เย็นเฉียบ แผ่นหลังกว้างหมอบติดกับพื้น นั่นฉีกหัวใจของบิดาออกเป็นชิ้นๆ พระราชาที่ไม่กล้ามองเขาเอามือก่ายหน้าผากและเบนสายตาไปทางอื่น


 


 


“ได้โปรดช่วยเหลือกระหม่อมสักครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ กระหม่อมจะเป็นกษัตริย์ผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถต่อจากเสด็จพ่อโดยไม่ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่นิดเดียว เพื่อฟื้นฟูประเทศชาติพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


อีทัน เขาคือบิดาของบุตรชายทั้งสามคน ทั้งยังเป็นบิดาของเหล่าราษฎรจำนวนมากอีกด้วย น้ำหนักของราชบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่นั้น ในบางครั้งก็กดทับลงมาจนบดละเอียดเจ้าของอย่างแรง ดั่งเช่นตอนนี้ที่จะต้องผลักบุตรชายคนสุดท้องที่รักสุดหัวใจกับบุตรีของหญิงผู้เป็นที่รักลึกลงไปในขุมนรก เพื่อกษัตริย์แห่งรัชกาลถัดไป


 


 


“ไปซะ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ใช่บุตรชายของข้าอีก การมีอยู่ของเจ้าจะหลงเหลือเพียงแค่ในฐานะองค์รัชทายาทของประเทศเท่านั้น”


 


 


ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชายขาดสะบั้นด้วยเสียงของพระราชาที่คมดั่งมีด ชานรู้ว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ที่เคยพึ่งพาอาศัยไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ได้ตัวหญิงสาวที่หมายจะครอบครองอย่างบ้าคลั่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา


 


 


“กระหม่อมจะจดจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ชานลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะค่อยๆ โค้งตัวลงอย่างมีมารยาท ฝีเท้าของเขาที่มุ่งตรงไปยังห้องบรรทมทันทีที่ออกมาจากห้องทำงานเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วนและไม่ได้มีอะไรไล่ตามมา แต่สุดท้ายเขาก็รีบวิ่งไปเปิดประตูห้องบรรทม


 


 


“เหล้า! เอาเหล้ามาให้ข้า!”


 


 


เหล่าข้าราชบริพารพากันตื่นตระหนกตกใจ ก่อนจะรีบนำเหล้ามาถวายอย่างรีบร้อน ชานฉวยมันมาไว้ก่อนที่จะถูกวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงกระดกเข้าปากดังอึกๆ ไม่ว่าจะดื่มเยอะเท่าไหร่ ความกระหายน้ำก็ยังคงไม่หายไป ใครบางคนโผล่เข้ามาในหัวของชานที่กำลังนั่งเหม่อบนเก้าอี้มองดูข้าราชบริพารที่หวาดกลัวกำลังวางกับแกล้ม


 


 


“มินอา ไปพามินอามา”


 


 


ตอนนี้เขาทั้งมีความสุขและดีใจ รวมถึงโศกเศร้าและเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน คนที่สามารถรับอารมณ์อันน่ากลัวนี้ได้ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น จากนั้นไม่นาน มินอาก็เข้ามาในห้อง ซึ่งในตอนนั้นเหล้าสองขวดได้หมดลงไปแล้ว ส่วนขวดที่สามก็เหลือแค่ก้นขวด


 


 


ติ๋ง เหล้าหยดสุดท้ายร่วงหล่นลงในแก้วเหล้าพร้อมกับเกิดเป็นระลอกคลื่นเบาๆ ชานมองดูสิ่งนั้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำแล้วจึงเปิดขวดใหม่ มินอาเข้ามาหยุดมือของเขาที่ยกขวดเหล้าขึ้นมาและเอียงไปทางแก้วเหล้า


 


 


“ทรงดื่มเยอะไปแล้วเพคะ”


 


 


“เจ้านี่ยุ่มย่ามเสียจริง”


 


 


“หากทรงดื่มอีก หม่อมฉันก็คงต้องขอตัวก่อนเพคะ”


 


 


“ยา”


 


 


มินอาที่กำลังก้าวเท้าออกไปข้างนอกหันกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินคำนั้น ชานจึงหัวเราะคิกคัก


 


 


“เจ้านี่ช่างอวดดีและทำตามใจชอบเสมอเลยนะ เหมือนกับเจ้านายของเจ้า น่าตลกเสียจริง ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ หลังจากทำให้พวกเจ้าตกอยู่ในกำมือได้ง่ายๆ แบบนี้ก็คงจะดี”


 


 


มือที่ล้วงเข้าไปลึกในแขนเสื้อออกมาพร้อมกับถุงขนาดเล็กจิ๋วอันหนึ่ง ข้อมือของมินอาที่ยื่นออกไปเพื่อจับถุงนั้นถูกชานรั้งเอาไว้ หลังจากนั้นริมฝีปากก็บรรจบกัน ในระหว่างที่ลมหายใจของกันและกันกำลังพันกันยุ่งเหยิงอยู่นั้น มือซ้ายของมินอาก็ขยับอย่างว่องไวไปทางนู้นทางนี้เพื่อจับถุงที่บรรจุยาเอาไว้


 


 


“หากทรงคิดที่จะล้อหม่อมฉันเล่น โปรดหยุดทำเช่นนั้นด้วยเพคะ”


 


 


เสียงของมินอาที่กำลังพูดโดยไม่ผละริมฝีปากออกทำให้ชานหัวเราะออกมาอีกครั้ง ชานเม้มริมฝีปากล่างปิดท้ายก่อนจะปล่อยมือ จากนั้นเดินโซเซตรงไปยังเตียงนอนหลังจากยัดถุงใส่ในมือของนาง


 


 


“เอาไปสิ สิ่งนี้คงจะทำให้หายใจต่อไปได้อีกสองสามเดือน”


 


 


มือที่ดูเหมือนจะลังเลแตะลงบนไหล่ของชานที่นอนแผ่บนเตียงโดยไม่ห่มผ้า มินอาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ ก่อนจะลูบหัวไหล่ที่เหนื่อยล้าโดยไม่พูดอะไร พร้อมกับปรับลมหายใจของตนเองให้เข้ากับลมหายใจของเขาที่ขยับขึ้นลง


 


 


“…เจ้าเองก็มองว่าข้าเป็นเหมือนปีศาจสินะ”


 


 


“เพคะ”


 


 


คิก ชานหัวเราะออกมาอีกครั้ง ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักการพูดอะไรที่น่าฟังจริงๆ


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะเป็นนางสนมของปีศาจ พระชายาก็จะเป็นพระชายาของปีศาจ ฮอนน่ะ ไม่ต้องเป็นปีศาจก็มีทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในครอบครอง แต่ข้ากลับต้องกลายเป็นปีศาจถึงจะได้ครอบครองสิ่งนั้น”


 


 


เสียงที่พูดพร่ำอย่างแผ่วเบาค่อยๆ เบาลง ระยะห่างของลมหายใจก็เพิ่มขึ้น มินอาเอามือออกอย่างช้าๆ และลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิง จากนั้นจึงมองดูใบหน้าของชานที่ส่องสว่างด้วยแสงจันทร์สักพักหนึ่ง บางทีแค่ปล่อยให้เป็นไปตามที่เป็นอยู่ก็ได้ จริงๆ แล้วเหตุผลที่บอกว่าจะรับเข้ามาเป็นนางสนมเป็นเพียงเพราะความสงสารธรรมดาๆ ใช่ไหม ถ้าหากไม่ใช่…

 

 

 


ตอนที่ 10-10

 

มินอาส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไปแล้วลุกออกไปข้างนอกเงียบๆ ท่าทีของเหล่านางในที่สังหรณ์ใจว่านางซึ่งถูกเรียกมายังห้องบรรทมขององค์รัชทายาทอยู่เรื่อยๆ จะได้กลายมาเป็นเจ้านายนั้นมีความสุภาพอ่อนโยนจนสังเกตได้ พวกนางทำให้รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก มินอาจึงรีบเดินกลับไปยังวังจงซูด้วยฝีเท้าที่ว่องไวและเปิดประตูห้องที่ฮอนกับรยูฮาอยู่โดยไม่มีการบอกกล่าว 


 


 


“มาแล้วหรือ” 


 


 


ไม่ถามว่าไปที่ไหนมา มินอาก็ไม่บอกว่าไปที่ไหนมาเหมือนกัน แต่กลับเปิดถุงที่กอดมาด้วยความหวงแหนออกและนำสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาวางไว้บนฝ่ามือของรยูฮา 


 


 


“ยาถอนพิษเพคะ ได้มาจากองค์รัชทายาท พระองค์ตรัสว่า ยาถอนพิษนี้…จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสองเดือนเพคะ” 


 


 


ยาเม็ดที่ออกมาจากถุงมีทั้งหมดสามเม็ด ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่ายานี้จะเป็นยาถอนพิษหรือเป็นยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าเดิมกันแน่ ในตอนนี้รยูฮาไม่ห่างข้างกายฮอนเลยสักวินาทีเดียว และวิธีที่เร็วที่สุดในการตรวจสอบก็คือรยูฮาจะต้องกินยานี้ด้วยตัวเอง นางมองยาเม็ดที่มีขนาดเท่าเล็บมืออยู่สักพัก จากนั้นจึงหยิบมาหนึ่งเม็ดใส่ปากและกลืนมันลงไป 


 


 


“ไม่นะเพคะ!” 


 


 


มินอาร้องตะโกนและยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ยาเม็ดก็ลงไปในคอเรียบร้อยแล้วโดยไม่ทันได้ห้าม ยานั้นมีรสชาติขมมาก แต่รยูฮาก็ยังทำหน้านิ่งและเฝ้ารอดูปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้น ยาเม็ดไหลลงไปตั้งแต่คอจนถึงช่องท้อง ความรู้สึกเย็นเฉียบอะไรบางอย่างแผ่กระจายไปทั่ว แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามที่ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด นางหยิบยาอีกเม็ดใส่ปากอีกครั้งและปล่อยให้ละลายอยู่ในปาก จากนั้นรยูฮาก็ประกบปากฮอนแล้วป้อนยานี้ให้ฮอนด้วยปลายลิ้น เมื่อผละริมฝีปากออก นางก็อมน้ำอุ่นไว้และป้อนเข้าไปในปากของฮอนอีกครั้งเป็นการปิดท้าย จากนั้นจึงเช็ดปากด้วยผ้าที่มินอาส่งให้ 


 


 


“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง” 


 


 


“เพคะ พระชายา” 


 


 


“นำกระดาษ พู่กันและหมึกมาให้ข้าหน่อย” 


 


 


ลายมืออันงดงามและเรียบง่ายคล้ายกับตัวเจ้าของถูกวาดลงบนกระดาษสีขาว รยูฮาส่งจดหมายสองฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ให้มินอา จากนั้นมินอาจึงลองอ่านดูครั้งหนึ่งและพับจนเล็ก เก็บไว้ในหน้าอก 


 


 


“จงกลับมาทันทีที่ตะวันขึ้น อันนี้ส่งให้ท่านแม่ ส่วนอันนี้ส่งให้ท่านพี่คนที่สอง ต้องรีบที่สุดนะ เข้าใจใช่หรือไม่” 


 


 


“เพคะ พระชายา” 


 


 


ดวงตาของรยูฮาที่ด้านชาและสูญเสียประกายของตัวเองไปกลับมามีประกายอีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจดหมายสองฉบับที่ถูกส่งไป คงจะต้องทนต่อการถูกดูหมิ่นไปสักพัก 


 


 


“โปรดอดทนไว้ก่อนนะเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


รยูฮากระซิบพลางลูบมือของฮอนที่ไร้เรี่ยวแรงบนผ้าห่ม 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ฮอนตายแล้ว เนื่องจากเป็นเพียงแค่องค์ชายสามไม่ใช่องค์รัชทายาท พิธีศพที่เรียบง่ายตามมารยาทจึงถูกจัดขึ้นแทนพระราชพิธี ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นลูกอกตัญญูซึ่งด่วนจากโลกนี้ไปก่อนผู้เป็นพ่อ ที่หลุมฝังศพจึงไม่มีการตั้งหินจารึกเอาไว้ นับว่าเป็นหลุมฝังศพที่เล็กและต่ำต้อยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับหลุมฝังศพของพระสนมยอนผู้เป็นมารดา 


 


 


จากปากของเหล่าขันทีที่จัดการดูแลเรื่องศพ ท่านที่งดงามผู้นั้นถูกเผาจนไหม้เกรียมไปทั้งตัว อีกทั้งยังมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วด้วยว่า น่าแปลกมากที่เขายังคงหายใจได้อยู่เป็นเวลานาน แม้จะได้รับยาพิษเช่นนั้นไป  


 


 


“พระชายา องค์รัชทายาทเสด็จเพคะ” 


 


 


“ทูลฝ่าบาทว่าเข้ามาได้” 


 


 


หลังจากพิธีศพเป็นเวลาห้าวันเสร็จสิ้นลง ทุกคนต่างถอดชุดไว้ทุกข์ออก แต่มีเพียงผู้เดียวที่ยังสวมชุดสีขาว คนนั้นก็คือรยูฮา แม้ว่าพิธีอภิเษกสมรสจะยังไม่ถูกจัดขึ้น แต่ในเมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าองค์รัชทายาทจะทรงรับภริยาของน้องชายผู้ล่วงลับไปแล้วเข้ามาเป็นพระชายา รยูฮาจึงได้เป็นพระชายาในองค์รัชทายาทโดยที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนั้นนางจึงต้องเข้ามาพำนักที่วังซึงกอนซึ่งพระชายาใช้กันมาหลายต่อหลายรุ่นตามเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขาดไปแค่อย่างเดียวเท่านั้น 


 


 


“ทำอะไรอยู่หรือ” 


 


 


ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเข้ามาภายในห้องราวกับเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่ฮอน แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยนแต่สายตาของรยูฮาก็ยังจับจ้องอยู่ที่หนังสือและไม่แม้แต่จะหันไปมอง ชานลากเก้าอี้ซึ่งอยู่ข้างๆ กันมานั่งเหมือนกับชินกับการไร้การตอบสนองแล้ว มองใบหน้าด้านข้างของรยูฮาและเริ่มเปิดฉากสนทนาอีกครั้ง 


 


 


“พรุ่งนี้เช้าเราไปที่วังจางชุนกันเถอะ พระชายา” 


 


 


คำพูดปิดท้ายทำให้ความรู้สึกอึดอัดใจไล่ลงมาตามแผ่นหลัง แววตาของรยูฮาที่สุดท้ายก็หันมามองชานเผยให้เห็นความอึดอัดใจเหมือนเดิม 


 


 


“เสด็จย่าคงจะทรงดีพระทัยมากเพคะ หม่อมฉันอยากอยู่คนเดียว โปรดเสด็จออกไปเถิดเพคะ” 


 


 


“ข้าเพิ่งจะมาเอง ข้าจะอยู่แบบนี้แหละ” 


 


 


“ทรงตรัสอะไรไร้สาระเก่งดีนะเพคะ” 


 


 


รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกันกับคำพูดที่รุนแรง เขวี้ยงหนังสือลงไปที่พื้นก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก สายตาของชานไล่ตามแผ่นหลังนั้นไปสักพัก แล้วภาพของนางก็ลับสายตาไป ในขณะเดียวกันกับที่ประตูถูกปิดลง ชานที่เหลืออยู่เพียงลำพังคลี่ยิ้มออกมาและเอนตัวลงบนเตียงนอนที่เจ้าของไม่อยู่ กลิ่นกายที่ทำให้เขาคลั่งเสมอลอยขึ้นมาเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่า 


 


 


“พูดไร้สาระเก่ง…งั้นหรือ” 


 


 


ชานคิดทบทวนคำพูดที่รยูฮาพูดใส่เป็นประโยคสุดท้ายพร้อมกับมุดหน้าลงบนหมอนนุ่ม ดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงจากรยูฮาผู้ซึ่งไม่เคยตอบไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เพราะคำว่า ‘พระชายา’ ใบหน้าที่มุดอยู่บนหมอนจึงปรากฏรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว แต่ในไม่ช้าก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ 


 


 


ไว้ชีวิตทั้งฮอนและมินอา ทั้งยังให้ยาไปแล้วตามที่สัญญาด้วย แต่ทำไมรยูฮาถึงยังไม่เปิดใจให้ตนเองอีก ความคิดไหลผ่านไปเรื่อยๆ แล้วจึงสรุปได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะฮอน เพราะไม่ฆ่าเขาให้ตายไป รยูฮาจึงยังคงมีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่ ชานลุกขึ้นจากเตียงและเดินโซเซตรงไปยังวังยองฮวาซึ่งเป็นที่พำนักของพระสนมเอก 


 


 


“มาแล้วหรือ องค์รัชทายาท” 


 


 


ห้องที่พระสนมเอกใช้ยังคงคล้ายกับเมื่อก่อน แม้จะย้ายจากวังซูอันที่มีขนาดเล็กมายังวังยองฮวาขนาดใหญ่โตแล้วก็ตาม ห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับหรูหรากับมู่ลี่สีแดง ต้นบอนไซหลากหลายแบบที่ออกดอกแม้ในฤดูหนาว เมื่อชานผงกศีรษะและเข้าไปด้านในนั้น พระสนมเอกจึงปัดไม้ปัดมือให้เหล่าข้าราชบริพารถอยออกไปและนั่งประจันหน้ากับเขา 


 


 


“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาเพราะคิดถึงแม่คนนี้สินะ” 


 


 


คำพูดปนดูหมิ่นตนเองทำให้ชานยิ้มออกมาเล็กน้อยและกุมมือของมารดาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ มันคือความรู้สึกสนิทสนมที่ถูกแสดงออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี แต่พระสนมเอกกลับเอามือออกอย่างเป็นธรรมชาติและกุมแก้วชาตามความเคยชินราวกับไม่ยินดีเท่าไหร่นัก 


 


 


“กระหม่อมมีเรื่องอยากจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แม้พยายามเมินสายตาที่ว่างเปล่าของโอรสพร้อมกับจิบชา แต่กลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นหอมเลย พระสนมเอกวางมันลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังหน้าต่างที่มีหิมะกองทับถมกันอยู่ 


 


 


“ว่ามาสิ” 


 


 


ชานที่ยังคงอมยิ้มอยู่เหมือนเดิมขยับเข้าไปด้านหน้าพระสนมเอก หางตาที่ดูเย็นชาอยู่เสมอโค้งอย่างงดงาม แนบกับใบหูของมารดาและเปล่งเสียงกระซิบอย่างอ่อนโยน 


 


 


“โปรดฆ่าเขาให้สิ้นซากด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฮอนน่ะ” 


 


 


“องค์รัชทายาท!” 


 


 


“เสด็จแม่” 


 


 


มือไร้ไออุ่นคว้ามือของพระสนมเอกไปจับไว้แน่นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นางไม่สามารถชักมือกลับมาได้ 


 


 


“นางไม่มองกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ หัวใจของนางอยู่ที่อื่น โปรดทำให้กระหม่อมเข้าไปในหัวใจดวงนั้นได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เจ้าจงพึงพอใจกับการได้ครอบครองเพียงแค่เปลือกนอกเถิด หัวใจมิใช่สิ่งที่จะสามารถคว้าเอาไว้ด้วยน้ำมือของคนได้” 


 


 


โครม โต๊ะถูกพลิกคว่ำ ชุดชงชาราคาแพงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำชาที่กระจายลงพื้นไหลซึมเข้ามาในพรมสีขาว เสียงเฉอะแฉะและเสียงเศษภาชนะแตกหักดังลั่นไปทั่วห้องราวในทุกย่างก้าวที่ชานเหยียบสิ่งเหล่านั้นและเดินเข้ามาใกล้พระสนมเอก 


 


 


“กระหม่อมกำลังจะตาย เสด็จแม่บอกว่าสามารถช่วยกระหม่อมได้ไม่ใช่หรือ” 


 


 


เสียงที่เคยอ่อนโยนกลับแห้งผากลง 


 


 


“แม่คนนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้ แม่ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้นหรอกนะ” 


 


 


“…โกหก” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม