จารใจรัก 103.2-106.2

ตอนที่ 103-2 เรียกกลับเมืองด่วน

 

โดยมิรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางเริ่มเหนื่อยล้าจึงเอนกายนอนลง ทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังขึ้นจากภายนอกจึงหยุดชะงัก ก่อนมองไปยังนอกหน้าต่าง


 


 


           ฉินอวี้เดินฝ่าแสงตะวันแผดเผาเข้ามา อาภรณ์งดงามถูกตะวันส่องจนเกิดแสงระยับแสบตา


 


 


           “รัชทายาท” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อทำความเคารพจากข้างนอก


 


 


           “ฟางหวาเล่า เป็นเช่นไรบ้าง” ฉินอวี้ถาม


 


 


           “คุณหนูกำลังพักผ่อนอยู่ข้างในเพคะ” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา


 


 


           “มีคนอยู่ด้วยหรือไม่” ฉินอวี้ถามอีก


 


 


           ซื่อฮว่าส่ายหน้าตอบ “เมื่อเช้าคุณชายเหยียนเฉินกับคุณชายอวิ๋นจี้มาหาและสนทนากันอยู่นาน เมื่อคุณชายทั้งสองท่านกลับไปคุณหนูก็ไล่บ่าวออกมา แล้วพักผ่อนเพียงลำพังเพคะ” พูดจบก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง “มิทราบว่ายามนี้กำลังนอนกลางวันอยู่หรือไม่”


 


 


           “ข้าจะเข้าไปดู” ฉินอวี้บอก


 


 


           ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า แล้วก้าวขึ้นไปเปิดประตูให้


 


 


           ฉินอวี้เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าผ่อนคลาย ผ่านห้องรับรองมาถึงหน้าห้องชั้นใน ระหว่างม่านมุกกั้นมองเห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งพิงหัวเตียงพลางมองไปนอกหน้าต่าง มิทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขากระแอมขึ้นแผ่วเบา “ฟางหวา”


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันมาเชื่องช้า มองมายังเขาผ่านม่านมุกกั้น


 


 


           ฉินอวี้เลิกม่านมุกออกแล้วเดินเข้ามาหา เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ไฉนถึงไม่นอนกลางวัน ในห้องร้อนเกินไปหรือไม่” พูดจบก็ได้ยินจักจั่นส่งเสียงร้องจึงกล่าวขึ้นอีก “เสียงจักจั่นรบกวนหรือเปล่า ให้คนจับออกไปหรือไม่”


 


 


           “ข้ามิได้อ่อนแอขนาดนั้น ในห้องกำลังดี มิได้ร้อนเกินไป จักจั่นก็มิได้รบกวนแต่อย่างใด แต่ข้าหมดสติเพิ่งฟื้นมา นอนไปมากแล้วจึงไม่อยากนอนกลางวันอีก มิฉะนั้นกลางคืนคงนอนไม่หลับเอา” เซี่ยฟางหวาอดยิ้มออกมามิได้


 


 


           “ก็จริง” ฉินอวี้หลุดยิ้ม ก่อนเดินมานั่งข้างเตียง


 


 


           “เป็นเช่นไรบ้าง โยกย้ายทหารได้มากน้อยเท่าไร” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “สองแสนนาย” ฉินอวี้ตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “หากมีทหารสองแสนนายคอยสนับสนุน ถึงเป่ยฉีอยากบุกประชิดเข้ามาคงไม่ง่ายถึงเพียงนั้นแล้ว จะเตรียมพร้อมออกเดินทางได้เมื่อไร”


 


 


           “ค่ำวันนี้” ฉินอวี้พยักหน้าตอบ


 


 


           “ผู้ใดนำทัพ” เซี่ยฟางหวาถามอีก


 


 


           “ห่างจากเมืองหลินอันแปดร้อยลี้ ผู้บัญชาการเฝ้าระวังด่านวกวนนามว่าหวางกุ้ย เขาเป็นผู้นำทัพ” ฉินอวี้ตอบ “ตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่เหมาะสม”


 


 


           “คนตระกูลหวางของไทเฮารึ” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           “ถูกต้อง” ฉินอวี้ผงกศีรษะ


 


 


           “ไม่มีผู้ใดเหมาะสมที่จะนำทัพไปยังพรมแดนม่อเป่ยเพื่อรับมือกับคนตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉีมากไปกว่าคนตระกูลหวางอีกแล้ว ตระกูลหวางกับตระกูลอวี้มีความแค้นกันมาหลายชั่วคน ตระกูลหนึ่งอยู่หนานฉิน ตระกูลหนึ่งอยู่เป่ยฉี สามร้อยปีมานี้ ผ่านไปกี่รุ่นมากน้อยก็มิเคยสะสางความแค้น ต่างฝ่ายต่างสืบข่าวคราว ต่างฝ่ายต่างติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่มีผู้ใดรู้จักตระกูลอวี้ดีไปกว่าคนตระกูลหวาง และไม่มีผู้ใดรู้จักตระกูลหวางดีไปกว่าตระกูลอวี้” เซี่ยฟางหวากล่าว


 


 


           “ข้าก็คิดว่าเขาเหมาะสมเช่นกัน” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “ความจริงควรเป็นข้าที่เดินทางไปม่อเป่ย แต่วันนี้ได้รับข่าวจากเสนาบดีฝ่ายซ้ายว่า สุขภาพเสด็จพ่อเกรงว่าไม่ค่อยดีนัก น้องแปดยังเด็ก ได้รับการเลี้ยงดูจากไท่เฟยจนมีนิสัยเช่นนั้น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองมาก่อน ยามนี้ต้องบริหารบ้านเมืองครั้งแรกจึงยังไม่มีประสบการณ์มากพอ หากเสด็จพ่อเป็นอันใดขึ้นมา ข้าจำต้องรีบกลับไปควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก”


 


 


           “ตอนอยู่ในเมืองหลวง ข้าเห็นว่าฝ่าบาทยังมีเวลาอีกอย่างน้อยครึ่งปี น่าจะไม่เร็วขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “ข้าเองก็หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงยืนหยัดไปได้อีกสักพัก แม้พระองค์ทรงประชวรและชราแล้ว แต่ขอเพียงพระองค์ยังอยู่ก็จะสามารถประคับประมองหนานฉินมิให้ล่มสลายลง” ฉินอวี้พูดพลางก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้า “ยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ข้าพบเสด็จพ่อตอนเด็กมักเห็นแต่รูปร่างแข็งแกร่งทรงพลัง คิดในใจว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องเป็นจักรพรรดิเหมือนพระองค์ให้จงได้ แต่เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น หลังได้เข้าใจบางสิ่งถ่องแท้ พบว่าเสด็จพ่อมิได้นับว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีขนาดนั้น จึงแอบต่อหน้าฝ่าฝืนทว่าทำตามลับหลัง ยามนี้มองย้อนกลับไป ราวกับเพียงพริบตาเดียวข้าก็โตขึ้นแล้ว แต่ในพริบตาเดียวนั้นพระองค์ก็ชราลงเช่นกัน ตอนนี้ไม่นึกเลยว่า…” ระหว่างพูดก็เงียบลง


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม “จะจัดการเรื่องเมืองหลินอันเสร็จเมื่อไร”


 


 


           “ครึ่งเดือนกระมัง” ฉินอวี้ตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ครึ่งเดือนให้หลัง หากม่อเป่ยมิน่ากังวล ข้าก็จะกลับเมือง” ฉินอวี้มองนาง “ถึงตอนนั้นเจ้าจะกลับไปพร้อมข้าหรือไม่”


 


 


           “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถิด” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก


 


 


           “ย่อมได้ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ไม่ควรคิดมาก สุขภาพสำคัญที่สุด” ฉินอวี้กล่าว


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ฉินอวี้นั่งต่ออีกพักหนึ่ง มีคนมารายงานว่าหวางกุ้ยนำทัพมาถึงนอกเมืองหลินอันแล้ว เขาจึงรีบออกไป


 


 


           หลังฉินอวี้ออกไป เซี่ยฟางหวาก็นวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า นางดึงหมอนอิงออกแล้วเอนกายนอนหลับตาลง


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อลอบเปิดประตูมองแวบหนึ่ง เห็นว่าเซี่ยฟางหวาสบายดีจึงปิดประตูลง มิรบกวนนาง


 


 


           ยามบ่ายวันเดียวกันนั้น หวางกุ้ยนำทหารสองแสนนายพร้อมด้วยคำสั่งโยกย้ายจากรัชทายาทฉินอวี้เดินทางไปม่อเป่ย


 


 


           ส่งหวางกุ้ยออกเดินทางแล้ว ฉินอวี้ก็ยังมิกลับไปพักผ่อน แต่เริ่มสืบสวนขุนนางทุกระดับในเขตการปกครองโจว จวิ้น และเซี่ยนของเมืองหลินอัน ทำการลงโทษเพื่อปรับแก้วิถีการเป็นขุนนาง


 


 


           วันที่สอง ข่าวทหารสองแสนนายไปม่อเป่ยก็แพร่มากลับมายังเมืองหลวง


 


 


           ภาคราชสำนักและประชาชน ขุนนางทั้งราชสำนักต่างชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของรัชทายาท การโยกย้ายทหารที่ใกล้ที่สุดในเมืองหลินอัน เดินทางสิบวันย่อมไปถึงม่อเป่ยแล้ว อีกทั้งยังใช้คนตระกูลหวางของ


 


 


ไทเฮา นับว่าเป็นการใช้ยารักษาตรงโรคต่อตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี


 


 


           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหวพร้อมด้วยขุนนางชั้นผู้ใหญ่มารวมตัวกันในโถง


 


 


ราชสำนักตั้งแต่เช้า เพื่อรอฮ่องเต้ทรงเปิดการว่าราชการยามเช้า ต่างคนต่างคิดตรงกันว่ารัชทายาทกระทำการได้อย่างเหมาะสม


 


 


           รอจนถึงเวลาว่าราชการยามเช้า อู๋เฉวียนมาถึงพร้อมประสานมือกล่าว “ใต้เท้าทุกท่าน ฝ่าบาททรงรับสั่งว่า ร่างกายมิพร้อม วันนี้งดว่าราชการยามเช้าขอรับ”


 


 


           เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ก่อนทำความเคารพแล้วแยกย้ายกันกลับ


 


 


           เมื่อออกมานอกประตูวัง อิงชินอ๋องหันกลับไปมองวังหลวงอันสูงตระหง่านพลางถอนหายใจ ก่อนกลับไปยังจวนอิงชินอ๋อง


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายรั้งเสนาบดีฝ่ายขวา ก่อนกระซิบกล่าว “ฝ่าบาททรงยังมิคลายโทสะจากเมื่อวาน หรือว่าพระวรกายมิพร้อมจริงๆ กันแน่”


 


 


           “มีส่วนทั้งนั้นกระมัง” เสนาบดีฝ่ายขวาตอบคลุมเครือ


 


 


           “หวังว่ารัชทายาทจะทรงจัดการเมืองหลินอันเสร็จโดยเร็วแล้วรีบกลับเมือง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกลุ้มใจ


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า


 


 


           อีกสองวันถัดมา ฮ่องเต้ก็ยังมิทรงเข้าว่าราชการยามเช้า


 


 


           สามวันให้หลัง ม่อเป่ยส่งข่าวกลับมาว่าเป่ยฉีมีทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งบุกปะทะองค์ชายรองฉีเหยียนชิง ทว่ายังมิทันได้รับการลงโทษ ทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นก็หนีออกจากค่ายทหารเป่ยฉี และถูกค่ายทหารม่อเป่ยจับตัวไว้ นายพลเฟยหู่ผู้รักษาพรมแดนเป่ยฉีส่งคนมาขอตัวทหารนายนั้นกับทัพม่อเป่ย เนื่องด้วยน้องสาวของรองนายพลทัพม่อเป่ยออกเรือนไปเป่ยฉี บังเอิญเป็นพี่ภรรยาของทหารที่หลบหนีมานายนั้นพอดี จึงปฏิเสธมิส่งตัวให้ นายพลเฟยหู่แห่งเป่ยฉีโกรธมากจึงไปรายงานองค์ชายรองแห่งเป่ยฉี ฉีเหยียนชิงเองก็โกรธจัดเช่นกัน จึงออกคำสั่งให้ทัพเป่ยฉีบุกโจมตีทัพม่อเป่ย


 


 


           ในที่สุดข้อตกลงร่วมกันระหว่างเป่ยฉีกับม่อเป่ยตลอดหลายปีก็พังทลายลงด้วยชนวนนี้ สงครามระหว่างพรมแดนเป่ยฉีกับหนานฉินเปิดฉากโหมโรงขึ้น


 


 


           ทัพเป่ยฉีเนื่องด้วยเซี่ยม่อหานติดอยู่ที่เมืองหลินอัน และอยู่ในระหว่างการเดินทางไปม่อเป่ย ยามนี้จึงไร้ผู้บัญชาการ มีเพียงรองผู้บัญชาการเท่านั้น แม้สืบข่าวได้ว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลังก่อนแล้วและมีการเตรียมการรับมือ ทว่าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของทัพเป่ยฉีที่บุกมาด้วยความฮึกเหิม วันนั้นค่ายทหารม่อเป่ยได้รับความเสียหายหนัก ทั้งบาดเจ็บและล้มตายนับหมื่น


 


 


           เป่ยฉีรบชนะรวด


 


 


           เมื่อข่าวแพร่ออกมา ภาคราชสำนักและประชาชนในหนานฉินก็ตื่นตกใจ


 


 


           อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหวและขุนนางชั้นผู้ใหญ่รีบเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ บุกไปรอนอกตำหนักบรรทมของฮ่องเต้


 


 


           รอเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วยาม อู๋เฉวียนก็เดินออกมาแล้วถอนหายใจ กล่าวขึ้นด้วยใบหน้ากังวลมิเสื่อมคลาย “หลายวันนี้หมอหลวงเข้าๆ ออกๆ วังหลวง ท่านอ๋องกับใต้เท้าทุกท่านคงทราบกันแล้ว ฝ่าบาททรงลุกขึ้นมิไหว”


 


 


           “หลายวันก่อนฝ่าบาททรงดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ถึงทรงลุกมิไหวแล้ว” อิงชินอ๋องตกใจ


 


 


           “ท่านอ๋องเองก็ทราบ อาการประชวรของฝ่าบาทประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ยามอารมณ์ดีก็ทรงลุกขึ้นมาทรงงานราชการได้บ้าง แต่เมื่ออารมณ์มิดี ความกลัดกลุ้มอัดแน่นในพระราชหฤทัย อาการประชวรก็ยิ่งทรุดลง” อู๋เฉวียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตื่นมาครู่หนึ่ง ให้บ่าวออกมาบอกท่านอ๋องและขุนนางทุกท่าน ทรงรับสั่งให้รัชทายาทรีบเสด็จกลับเมือง”


 


 


           อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน


 


 


           สถานการณ์แบบใดถึงทรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วน


 


 


           รัชทายาททรงกำลังจัดการงานในเมืองหลินอัน หากมิจำเป็น ยามนี้ย่อมไม่ควรกลับเมืองหลวง ทว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วน อธิบายได้ว่าอย่างไร


 


 


           คนบางกลุ่มได้ยินแล้วก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งโดยพร้อมเพรียงกัน


 


 


           อู๋เฉวียนมองทุกท่านแวบหนึ่งแล้วกล่าวอีก “จนกว่ารัชทายาทจะเสด็จกลับมาถึง ฝ่าบาทตรัสว่า นอกจากรัชทายาทแล้วก็มิพบผู้ใดทั้งนั้นขอรับ”


 


 


           ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ


 


 


           อู๋เฉวียนกล่าวอีกสองประโยค ก่อนหันหลังกลับเข้าไปในตำหนัก


 


 


           อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวามองหน้ากันแวบหนึ่ง ยามนี้ฝ่าบาททรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วน อาการประชวรหนักเพียงนี้ ย่อมมิอาจสนใจเรื่องสงครามพรมแดนได้แล้ว จึงอดมิได้ที่จะเผยสีหน้ากลัดกลุ้มใจออกมา 

 

 


ตอนที่ 104-1 หนักเกินเยียวยา

 

           วันเดียวกันนั้นเอง พระราชโองการที่ฮ่องเต้ทรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วนก็ถูกส่งไปยังเมืองหลินอันด้วยความรวดเร็ว 


 


 


           กลางดึกคืนนั้น ฉินอวี้ได้รับพระราชโองการที่ฮ่องเต้ทรงเรียกตนกลับเมืองหลวง เขาซักถามผู้มาถ่ายทอดพระราชโองการ ก่อนคลุมอาภรณ์ลงจากเตียง เมื่อแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็รีบสาวเท้าเดินไปยังเรือนของเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวายังมิหลับ ภายในห้องจุดตะเกียงสว่าง 


 


 


           ฉินอวี้เดินมาถึงกลางลาน ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเสียงเท้าก็รีบออกไปต้อนรับ มองฉินอวี้ด้วยความแปลกใจ “ไฉนรัชทายาทถึงเสด็จมาป่านนี้ มีเรื่องด่วนหรือเพคะ” 


 


 


           “มีเรื่องด่วน ฟางหวาหลับหรือยัง” ฉินอวี้พยักหน้า  


 


 


           “คุณหนูกำลังจะเข้านอนเพคะ” ซื่อฮว่ามองไปในห้องแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยบอกเสียงเบา “บ่าวจะเข้าไปรายงานคุณหนูให้เพคะ” 


 


 


           “ดี” ฉินอวี้พยักหน้า หยุดฝีเท้ารอหน้าประตู 


 


 


           ซื่อฮว่าเดินมายังหน้าเตียงภายในห้องชั้นใน ก่อนเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู รัชทายาทเสด็จมาด้วยความรีบร้อน ตรัสว่ามีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินการเคลื่อนไหวภายนอกก่อนแล้ว มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ก่อนสวมเสื้อผ้าคลุมกายให้เรียบร้อยแล้วพยักหน้าตอบ “เชิญเขาเข้ามา” 


 


 


           ซื่อฮว่าเดินออกไป 


 


 


           ไม่นานฉินอวี้ก็เดินเข้ามา ผ่านห้องรับรองมาถึงห้องชั้นใน กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “เสด็จพ่อให้คนมาประกาศราชโองการเร่งด่วน บอกให้ข้ารีบกลับเมือง” 


 


 


           “ในเมืองเกิดอันใดขึ้น” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว 


 


 


           “เสด็จพ่อทรงประชวรหนัก เกรงว่าไม่ดีแล้ว” ฉินอวี้มีใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย  


 


 


           “เป็นความจริงหรือ” เซี่ยฟางหวามึนงง 


 


 


           “ผู้มาประกาศพระราชโองการเป็นคนสนิทติดตามเสนาบดีฝ่ายซ้าย บอกว่าเสด็จพ่อมิทรงพบผู้ใดทั้งนั้นแม้แต่ขุนนางในราชสำนัก รอเพียงข้ากลับไปพบพระองค์” ฉินอวี้กล่าวด้วยความเคร่งขรึม “มีความเป็นไปได้สูงว่าท่าไม่ดีแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “อาการประชวรของฝ่าบาทประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายตลอดมา เหตุใดถึงทรุดหนักกะทันหันได้ นี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ย่ำแย่แล้ว หรือเพราะทราบข่าวสงครามระหว่างพรมแดนเป่ยฉีกับหนานฉินว่าพ่ายแพ้ย่อยยับ” 


 


 


           “ฟังว่าตั้งแต่ได้รับเอกสารราชการด่วนของข้าที่เสนอให้มีการแก้ไขระบบทหาร จากนั้นก็ได้รับจดหมายลับของข้าเพิ่มอีกจึงลุกจากแท่นบรรทมไม่ไหวอีกเลย” ฉินอวี้เม้มปากกล่าว 


 


 


           “แก้ไขระบบทหารข้าทราบ แต่ยังมีจดหมายลับใดอีก เจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใด” เซี่ยฟางหวามองเขา  


 


 


           ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา มองตานางแล้วกล่าวด้วยความสงบนิ่ง “ข้าบอกกับเสด็จพ่อว่า หากมิทรงอนุญาตให้ข้าถอนหมั้นกับหลี่หรูปี้ มิทรงอนุญาตให้แต่งกับเจ้า ข้าก็จะไม่เป็นรัชทายาทอีก” 


 


 


           เซี่ยฟางหวากระจ่าง 


 


 


           “การกำจัดตระกูลเซี่ยเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อทรงอยากทำตลอดมา หลังพระองค์ได้ครองราชบัลลังก์ก็ทรงอยากเสริมความแข็งแกร่งให้กับหนานฉินมาโดยตลอด อยากให้หนานฉินถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่ามีความโปร่งใส พระองค์ทรงอยากก้าวข้ามอยู่เหนือกว่าปฐมจักรพรรดิของหนานฉิน คิดว่าตระกูลเซี่ยรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน มีรากฐานหยั่งลึก เกรงว่าวันหนึ่งบ้านเมืองหนานฉินจะล่มสลายลงแทบเท้าตระกูลเซี่ย ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา การถ่วงความก้าวหน้าทุกรูปแบบ มิหนำซ้ำยังคิดหาหนทางควบคุมอำนาจการทหาร กลายเป็นอุดมการณ์ของพระองค์ ยามนี้ข้าขอให้ทรงแก้ไขระบบทหาร ยกพรมแดนม่อเป่ยทั้งหมดให้พี่จื่อกุยดูแล สิ่งเหล่านี้เป็นการซ้ำเติมความเจ็บปวดพระองค์” ฉินอวี้กล่าวเชื่องช้า “พระองค์ทรงเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ไม่เหลือแรงประคับประคอง ตำแหน่งของพระองค์กลับควบคุมสถานการณ์ในหนานฉินมิได้ เพลิงโทสะโจมตีพระราชหฤทัยทำให้อาการประชวรทรุดหนักลง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “เจ้าจะกลับเมืองไปพร้อมข้าหรือไม่” ฉินอวี้มองนางแล้วถามเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           ฉินอวี้เองก็มิเร่งรัดนาง นิ่งรอคำตอบอยู่ที่เดิม 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งเซี่ยฟางหวาก็เงยหน้าขึ้น ให้คำตอบกับฉินอวี้ “ข้าจะกลับเมืองไปพร้อมเจ้าด้วย” 


 


 


           “จริงหรือ” ฉินอวี้ดีใจยกใหญ่ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “เช่นนั้นข้าจะออกไปเตรียมตัว เราจะได้รีบเดินทาง ดีหรือไม่” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “ดี” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ 


 


 


           ฉินอวี้หันหลังเดินสาวเท้าออกไป ชายอาภรณ์ดุจสายลม ม่านมุกไหวกระเพื่อมเพราะการเคลื่อนไหวของเขา 


 


 


           ซื่อฮว่าเดินเข้ามาพร้อมกล่าวเสียงเบา “คุณหนู ท่านจะกลับเมืองไปพร้อมรัชทายาทจริงหรือเจ้าคะ” 


 


 


           “อืม” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “แล้วร่างกายท่านจะรับไหวหรือ” ซื่อฮว่ามองนางด้วยความเป็นห่วง  


 


 


           “ไม่เป็นปัญหา” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “เจ้าไปตามเหยียนเฉินมา บอกผิ่นจู๋ให้รีบเก็บสัมภาระด้วย” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารับคำแล้วรีบออกไป 


 


 


           ไม่นานเหยียนเฉินก็มาถึง พบว่าเซี่ยฟางหวาเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วจึงขมวดคิ้วมอง “เจ้าจะกลับเมืองไปพร้อมรัชทายาทหรือ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการด่วน เรียกฉินอวี้กลับเมือง เกรงว่าจะทรุดหนักแล้ว” 


 


 


           “ฝ่าบาททรงเรียกรัชทายาทกลับ เจ้ามิจำเป็นต้องกลับไปด้วยก็ได้” เหยียนเฉินบอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้ามิจำเป็นต้องกลับไปพร้อมเขาด้วยก็จริง แต่ลองคิดดูแล้วก็กลับไปด้วยดีกว่า ตั้งแต่ข้าไปอยู่เขาไร้นาม เป็นเวลากี่ปี กี่วัน กี่คืน สิ่งที่ข้าอยากทำคือการปกป้องตระกูลเซี่ย ไม่ยอมให้ราชสำนักประหารตระกูลเซี่ยเก้าชั่วโคตร ว่ากันตามตรงแล้วดาบของฮ่องเต้ก็คือดาบที่แขวนอยู่เหนือศีรษะข้า ดาบเล่มนั้นคมอย่างยิ่ง ทำให้ข้ามิกล้าผ่อนคลายแม้สักคืนเดียว กินมิได้นอนมิหลับ หวั่นว่าจะตกลงมาเมื่อไร ด้วยความพยายามหลายปี หลังกลับเมืองหลวงมา แผนการกว่าครึ่งปีก็ทำให้ดาบเล่มนั้นหดตัวลง สึกหรอจนทื่อ ข้ามีหรือจะมิกลับไปเชยชม” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อย่างน้อยข้าก็อยากเห็นพระองค์เข้าสู่ห้วงนิทราตลอดกาลกับตาตัวเอง” 


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า “แล้วเจ้าจะกลับไปด้วยฐานะใด”  


 


 


           “ข้าคือคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว” เซี่ยฟางหวากล่าว “ฐานะนี้มิใช่ฐานะที่น่าอับอายอันใด ส่วนอย่างอื่น…” นางยิ้มออกมา “ควรเป็นฐานะใดก็เป็นฐานะนั้น” 


 


 


           เหยียนเฉินครุ่นคิด “ข้ายังไม่สบายใจเรื่องร่างกายเจ้า กลับเมืองไปพร้อมเจ้าด้วยดีกว่า” 


 


 


           “ข้าก็คิดเช่นนี้ มีเจ้าไปด้วยย่อมดีมาก” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว 


 


 


           เหยียนเฉินเองก็ยิ้มตอบ ก่อนบีบไหล่นาง “ข้าจะไปเก็บของก่อน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           เหยียนเฉินออกจากห้อง รีบกลับไปที่ห้องพักของตนเอง 


 


 


           ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉินอวี้ก็เก็บข้าวของและเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เรื่องอื่นที่ยังมิได้สะสางในเมืองหลินอันล้วนฝากฝังให้จัดการแทนแล้ว รถม้าและขบวนข้าราชบริพารหยุดรอหน้าประตูจวน เตรียมพร้อมออกเดินทาง 


 


 


           เมื่อเซี่ยฟางหวากับเหยียนเฉินเก็บของเรียบร้อยแล้วก็ออกมาที่หน้าประตูจวน 


 


 


           ฉินอวี้รออยู่ข้างหน้าก่อนแล้ว เห็นทั้งสองเดินมาก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ข้าเตรียมรถม้าไว้สองคัน ข้ากับเหยียนเฉินจะนั่งคันหนึ่ง เจ้ากับเหล่าสาวใช้นั่งอีกคันหนึ่ง ต่างเป็นม้าที่เร็วที่สุด อย่างช้าคงถึงเมืองหลวงก่อนหัวค่ำวันพรุ่งนี้” 


 


 


           “ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ทราบดีว่าฉินอวี้คำนึงถึงร่างกายของนางจึงเตรียมรถม้าไว้เช่นนี้ 


 


 


           เหยียนเฉินมิได้เห็นต่าง 


 


 


           เมื่อทุกคนขึ้นรถม้าแล้ว ฉินอวี้ก็ออกคำสั่ง ทั้งหมดออกจากเมืองหลินอันกลางดึก เร่งสุดฝีเท้าเดินทางกลับเมืองหลวง 


 


 


           ตลอดทางมิได้มีการแวะพักที่ใด ทั้งเช้า กลางวัน เย็นล้วนทานอาหารที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว 


 


 


           ช่วงหัวค่ำก็มาถึงเมืองหลวงดังที่ฉินอวี้คาดการณ์ไว้  


 


 


           ในเมืองหลวงทราบข่าวว่าฉินอวี้จะเสด็จกลับเมืองก่อนแล้ว อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายขวารอหน้าประตูตำหนัก ส่วนเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้วยความร้อนใจจึงออกมารอรับที่หน้าประตูเมืองกับหย่งคังโหว  


 


 


           เมื่อเห็นขบวนเสด็จกลับเมืองของรัชทายาท เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ก้าวขึ้นมา มิรอให้ฉินอวี้ลงจากรถม้าก็ส่งเสียงดังขึ้น “รัชทายาท ในที่สุดพระองค์ก็ทรงกลับมาแล้ว” 


 


 


           “กระหม่อมถวายบังคมรัชทายาท” หย่งคังโหวคารวะผ่านม่านกั้น 


 


 


           ฉินอวี้เลิกม่านบนรถมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ยกมือปรามเสนาบดีฝ่ายซ้ายและหย่งคังโหว ก่อนถามขึ้น “เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “กระหม่อมมิได้พบฝ่าบาทเลย ฝ่าบาทเพียงรอรัชทายาทเสด็จกลับพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายตอบ 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า ปล่อยม่านลงแล้วออกคำสั่ง “เข้าวัง” 


 


 


           รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหวรีบหลีกทางให้ รอจนรถม้าของฉินอวี้เคลื่อนผ่านไปก็มีกลิ่นยาจางๆ โชยออกมาจากรถม้าคันข้างหลัง เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยยิ่ง เสนาบดีฝ่ายซ้ายจึงหันไปถามหย่งคังโหว “เจ้าได้กลิ่นหรือไม่” 


 


 


           หย่งคังโหวตกใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าตอบ 


 


 


           “คล้ายกับเป็น…” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองหย่งคังโหวอย่างมิกล้ามั่นใจนัก 


 


 


           หย่งคังโหวมองไปยังที่ตั้งจวนจงหย่งโหว ทั้งมองไปยังที่ตั้งจวนอิงชินอ๋อง 


 


 


           “ไปกันเถอะ เราตามเข้าวังไปด้วย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายระงับความตกใจปนสงสัย ก่อนเอ่ยเร่งหย่งคังโหว 


 


 


           หย่งคังโหวพยักหน้า ทั้งสองรีบขึ้นรถม้าประจำตระกูลตนเอง ตามหลังขบวนไปยังวังหลวงด้วยกัน 


 


 


           เมื่อมาถึงทางแยกระหว่างวังหลวงกับจวนจงหย่งโหว ฉินอวี้ส่งสัญญาณให้หยุดรถลงข้างทาง รอจนรถม้าที่เซี่ยฟางหวานั่งเคลื่อนเทียบมาถึง เขาเลิกม่านออกแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าจะเข้าวังไปกับข้าหรือว่า…” 


 


 


           “เข้าวังไปกับเจ้า” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “ได้” ฉินอวี้ปล่อยม่านลง ออกคำสั่งให้รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป  

 

 


ตอนที่ 104-2 หนักเกินเยียวยา

 

ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูวังหลวง รถม้าหยุดลง ฉินอวี้ลงจากรถม้า 


 


 


           ขุนนางกลุ่มหนึ่งรออยู่หน้าวังก่อนแล้ว เมื่อเห็นฉินอวี้มาถึงก็ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “องค์รัชทายาท” 


 


 


           ฉินอวี้มองไล่ทีละคนพร้อมพยักหน้ารับเชื่องช้า หลังจากนั้นก็กวักมือเรียกขันทีน้อยที่รออยู่คนหนึ่งมา “ไปยกเกี้ยวมาหนึ่งหลัง” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยรีบออกไป 


 


 


           ฉินอวี้เดินมาหยุดหน้ารถม้าเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ายังไม่หายดี ข้าให้คนไปยกเกี้ยวมาหลังหนึ่งแล้ว ให้เจ้านั่งแทนการเดิน” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าจะไปพบเสด็จพ่อที่ตำหนักบรรทม หรือให้ข้าจัดหาที่พักให้เจ้าในตำหนักข้าก่อน” 


 


 


           “ไปพบฝ่าบาทกับเจ้าก่อน” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “ได้” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           ขุนนางทั้งหมดยืนอยู่ด้านข้าง แม้มิได้เห็นใบหน้าของเซี่ยฟางหวา แต่ก็ได้ยินเสียงของนางดังออกมาจากข้างในรถม้า ต่างตกใจโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าก็ทราบดีว่ามิควรถาม ไม่มีผู้ใดส่งเสียงขึ้นมา ต่างถอยหลังไปอยู่ด้านข้าง 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหวมองหน้ากัน เป็นเซี่ยฟางหวาดังคาด 


 


 


           ไม่นานเกี้ยวหลังหนึ่งก็ถูกยกมา ฉินอวี้ก้าวขึ้นมาเลิกม่านด้วยตนเอง ก่อนยื่นมือประคองเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนวางมือทับลงบนฝ่ามือเขา ปล่อยให้เขาประคองลงจากรถ 


 


 


           ขุนนางทุกคนก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


           ฉินอวี้ประคองเซี่ยฟางหวาขึ้นเกี้ยว ก่อนออกคำสั่งบอกคนยก “ไปตำหนักบรรทมฮ่องเต้” 


 


 


           คนยกเกี้ยวรับคำพร้อมกัน ยกเกี้ยวตามหลังฉินอวี๋ผ่านประตูวังไป มุ่งหน้าไปยังตำหนักบรรทมฮ่องเต้ 


 


 


           เหยียนเฉินเดินตามเกี้ยวอยู่ข้างหลัง 


 


 


           บรรดาขุนนางมองหน้ากันและกัน ก่อนพากันเข้าไปในวังด้วยเช่นกัน ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาพิเศษ พวกเขาย่อมมิอาจกลับจวนไปพักผ่อนได้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เช้าหนานฉินอาจเปลี่ยนฟ้าแล้ว 


 


 


           หน้าตำหนักบรรทม อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายขวา ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน ผู้ตรวจการและคนอื่นๆ เฝ้าอยู่นอกตำหนัก แม้ฝ่าบาทมิทรงเรียกเข้าเฝ้า แต่คนเหล่านี้ก็เฝ้ามาตลอดหนึ่งวันเต็มแล้ว มิเคยผละไปไหน 


 


 


           วังหลวงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่แสนจะน่าอึดอัด 


 


 


           เมื่อฉินอวี้มาถึงหน้าตำหนักบรรทม พวกอิงชินอ๋องเห็นแล้วก็รีบเข้ามาทำความเคารพ 


 


 


           “ท่านลุง เสนาบดีฝ่ายขวา ใต้เท้าหวาง ใต้เท้าเจิ้ง ลำบากพวกท่านแล้ว” ฉินอวี้รอจนทุกคนทำความเคารพเสร็จก็ทำความเคารพตอบ 


 


 


           “กลับมาก็ดีแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าวด้วยเคร่งเครียด 


 


 


           “รัชทายาท ฝ่าบาททรงกำลังรอท่านอยู่ รีบเข้าไปเถิด” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว 


 


 


           เวลานี้อู๋เฉวียนก็เดินออกมาจากข้างในด้วยความรีบร้อน “กระหม่อมถวายบังคมรัชทายาท ในที่สุดก็ทรงกลับมาแล้ว” 


 


 


           “เสด็จพ่อเป็นเช่นไรบ้าง” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “ยามนี้ฝ่าบาทยังบรรทมอยู่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อช่วงบ่ายทรงตื่นมาครั้งหนึ่ง ตรัสถามว่าพระองค์กลับมาหรือยัง” อู๋เฉวียนรีบกล่าว “ทรงรีบเข้าไปเถิด” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนหันกลับไปเลิกม่านบนเกี้ยว 


 


 


           เซี่ยฟางหวายื่นศีรษะออกมาแล้วลงจากเกี้ยว 


 


 


           “หวาเอ๋อร์” อิงชินอ๋องเห็นเซี่ยฟางหวาก็ตกใจ  


 


 


           พวกเสนาบดีฝ่ายขวาต่างมึนงง 


 


 


           “ท่านอ๋อง นายท่านเสนาบดี ใต้เท้าทั้งสองท่าน” เซี่ยฟางหวาย่อเข่าทำความเคารพ  


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรอจนนางทำความเคารพเสร็จก็รีบก้าวขึ้นมาประคองนางยืดตัวขึ้น 


 


 


           “เจ้า…นี่เจ้า…” อิงชินอ๋องมองนาง ชั่วเวลานั้นอยากถามบางสิ่ง ทว่ายามได้ยินนางเอ่ยเรียกว่าท่านอ๋องขณะทำความเคารพก็ทำได้เพียงมองนางด้วยความอึดอัด ตกใจระคนสงสัยไม่หาย 


 


 


           “ไปกันเถิด” ฉินอวี้บอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนตามฉินอวี้เข้าไปในตำหนักโดยมีซื่อฮว่ากับซื่อม่อประคอง 


 


 


           อู๋เฉวียนอ้าปากค้าง อยากกล่าวบางอย่างคล้ายอยากเอ่ยห้าม ทว่าเห็นใบหน้าของฉินอวี้ที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ปิดปากลง 


 


 


           ภายในตำหนักบรรทมอบอวลไปด้วยกลิ่นยา ม่านสีทองอร่ามบดบัง ด้านในไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว ฮ่องเต้ทรงกำลังบรรทมอยู่บนแท่นบรรทม หลับตาลงอย่างสงบนิ่ง 


 


 


           ฉินอวี้เร่งฝีเท้าเดินมายังหน้าแท่นบรรทม ยื่นมือไปกุมพระหัตถ์ของฮ่องเต้ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เสด็จพ่อ ลูกกลับมาแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยุดเท้า ยืนเว้นระยะห่างจากแท่นบรรทมสามก้าว 


 


 


           ลมหายใจของฮ่องเต้ยุ่งเหยิง นอนนิ่งมิขยับ 


 


 


           “เสด็จพ่อ ท่านตื่นเถิด” ฉินอวี้เริ่มมีดวงตาแดงก่ำ กุมพระหัตถ์ฮ่องเต้แน่น 


 


 


           ฮ่องเต้ยังคงนิ่งมิไหวติง หลับลึกมิได้สติ 


 


 


           ฉินอวี้ส่งเสียงเรียกอีกสองครั้งทว่าพระองค์ก็ยังไม่ตื่น จึงหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองภาพหน้าเตียง ฮ่องเต้ผอมซูบจนมิเหลือเค้าโครงเดิม ทรงนอนอยู่บนแท่นบรรทม ลมหายใจยุ่งเหยิงขมุกขมัว นางเดินเข้ามาพร้อมหยิบผ้าเช็ดออกมาด้วย บอกเป็นนัยน์ให้ฉินอวี้ปล่อยมือ 


 


 


           ฉินอวี้รีบปล่อยมือออก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาวางผ้าเช็ดหน้าคลุมพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ก่อนตรวจชีพจรให้พระองค์ 


 


 


           ฉินอวี้มองการแสดงออกของนางตาไม่กะพริบ 


 


 


           สีหน้าของเซี่ยฟางหวาเรียบสงบมิสั่นคลอน ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ถอนมือออก กล่าวกับฉินอวี้ “ปราณในพระนาภีลดลงและเคลื่อนสวนทางกัน พระโลหิตในหัวใจแห้งขอด ประชวรหนักเกินเยียวยา” 


 


 


           ฉินอวี้มีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           “มากสุดคงมิพ้นยามอู่*[1]วันพรุ่งนี้” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก 


 


 


           ใบหน้าฉินอวี้สิ้นหวัง ร่างกายอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นทันที 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา สุดท้ายแล้วก็เป็นพ่อลูกกันโดยสายเลือด ฉินอวี้ไม่ว่าไม่เห็นด้วยกับฮ่องเต้ทั้งต่อหน้าและลับหลังอย่างไร พระองค์ก็ยังเป็นบิดาของเขา และเขาก็ยังเป็นโอรสของพระองค์ ต่อให้กระดูกหักเส้นเอ็นขาด แต่ต้องมองดูฮ่องเต้ทรงประชวรหนักจนไร้ทางรักษา หัวใจเขามีหรือจะรับไหว 


 


 


           นางถอยกลับมาสองก้าว นั่งลงบนตั่งตัวเตี้ยไม่ไกล 


 


 


           ฉินอวี้นั่งลงบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นิ่งมิไหวติง 


 


 


           อู๋เฉวียนก้าวขึ้นอย่างเงียบเชียบ ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “รัชทายาท บนพื้นเย็นนัก โปรดระวังสุขภาพด้วย” 


 


 


           ฉินอวี้ยกมือกุมหน้าผาก น้ำเสียงจุกอยู่ในลำคอ “ฟางหวา เสด็จพ่อจะทรงตื่นมาเมื่อไร” 


 


 


           “ข้าเองก็มิทราบ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า มองออกไปข้างนอกแวบหนึ่งพบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว แสงสว่างภายในห้องเริ่มลดลง อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวต่างรออยู่นอกตำหนัก นางเอ่ยขึ้น “ยามตื่นขึ้นมาอีกครั้ง น่าจะเป็นหลังตะวันตกดินแล้ว” 


 


 


           ฉินอวี้หลับตาลง โน้มกายไปข้างหน้าฟุบลงกับหัวเตียง ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งมองฉินอวี้กับฮ่องเต้ที่ทรงนอนหายใจลำบากอยู่บนแท่นบรรทมจากที่ไกลๆ ชาติก่อนในตอนนี้ ฝ่าบาทยังทรงพลานามัยแข็งแรง น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทว่าชาตินี้กลับยังเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว นางมองภาพเบื้องหน้าโดยไร้ซึ่งความรู้สึกดีใจ ภายในใจเกิดความสับสน มิทราบว่าเป็นความรู้สึกแบบใด 


 


 


           ขุนนางที่กำลังรออยู่ด้านนอกเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวข้างใน ทว่ากลับไร้การเคลื่อนไหวใดทั้งนั้น ต่างสะกดกลั้นความร้อนรนเอาไว้  


 


 


           โดยมิรู้ตัวเวลาก็เลยผ่านไปถึงกลางดึก 


 


 


           “รัชทายาท ดึกมากแล้ว บนพื้นยิ่งเย็นขึ้น ทรงลุกขึ้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ตากลมหนาวจนล้มป่วยขึ้นมาอีกคน เมื่อฝ่าบาททรงตื่นมาเห็นเข้าคงปวดพระทัย” อู๋เฉวียนก้าวขึ้นมาโน้มน้าวฉินอวี้อีกครั้ง 


 


 


           ฉินอวี้ขยับตัว เงยหน้าขึ้นเชื่องช้า มองไปยังเซี่ยฟางหวาเป็นอันดับแรก 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา เห็นว่าฉินอวี้มองมาจึงมองตอบ รอบดวงตาฉินอวี้ผ่านการร้องไห้อย่างเงียบเชียบมาจนบวมช้ำ 


 


 


           “ดึกมากแล้ว ตั้งแต่คืนเมื่อวานจนถึงตอนนี้ เจ้ายังมิได้กินดื่มนอนหลับอย่างดี ร่างกายไหนเลยจะฝืนต่อไปไหว ข้าจะให้คนพาเจ้าไปพักผ่อน” ฉินอวี้กล่าว 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “จากอาการเสด็จพ่อตอนนี้แล้วคงมิตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เมื่อพระองค์ตื่นแล้ว ข้าจะรีบส่งคนไปบอกเจ้าเป็นเช่นไร” ฉินอวี้มองนางแล้วกล่าวอีก  


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงส่ายหน้า 


 


 


           ฉินอวี้เม้มปาก “ในเมื่อเจ้ามิยอมไปก็เอาอย่างนี้แล้วกัน…” เขาหันกลับไปสั่งงานอู๋เฉวียน “อู๋กงกง เจ้าไปจัดเตรียมมื้อดึกมา ขอให้เป็นอาหารที่รสอ่อนหน่อย” 


 


 


            “พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนหันหลังเดินออกไปได้สองก้าว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้จึงกล่าวด้วยความระวัง “ท่านอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา รวมถึงใต้เท้าทุกท่านต่างรออยู่นอกตำหนักตลอดเวลา ท่านคิดว่า…” 


 


 


           “ฟางหวาบอกแล้ว เสด็จพ่อทรงทนไหวถึงยามอู่วันพรุ่งนี้ น่าจะมิได้เร็วขนาดนั้น…” น้ำเสียงของฉินอวี้แหบพร่า ก่อนยกมือสั่ง “เจ้าออกไปบอกท่านลุงกับใต้เท้าทุกท่านว่ากลับจวนไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรับคำก่อนเดินออกไป 


 


 


           เมื่ออู๋เฉวียนออกมา พวกอิงชินอ๋องก็รีบเดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง เขาถ่ายทอดความตั้งใจของฉินอวี้ให้ฟังรอบหนึ่ง ทุกคนมองหน้ากันแล้วพยักหน้ารับ ก่อนพากันเดินออกไปนอกวัง 


 


 


           อิงชินอ๋องกลับยืนนิ่ง รั้งอู๋เฉวียนเอาไว้ก่อน “กงกง สถานการณ์ข้างในเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าบอกข้าหน่อย” 


 


 


           “ตั้งแต่ฝ่าบาททรงตื่นมายามอู่เมื่อวานก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย สลบไสลไม่ได้สติ รัชทายาทคุกเข่าเฝ้าอยู่หน้าแท่นบรรทมฝ่าบาทตลอดเวลา คุณหนูฟางหวานั่งอยู่บนตั่งตัวเตี้ย คุณหนูฟางหวาตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทครั้งหนึ่ง บอกว่ามากสุดคงไม่พ้นยามอู่วันพรุ่งนี้ขอรับ” อู๋เฉวียนตอบเสียงเบา  


 


 


           อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป “ยามอู่พรุ่งนี้…ยามอู่พรุ่งนี้ออกจะ…” ระหว่างพูด ดวงตาก็เริ่มแดงก่ำ “น้องชายอายุน้อยกว่าข้าไม่กี่ปี กลับ…” เขาอยากกล่าวบางอย่างทว่ากล่าวไม่ออก 


 


 


           “ท่านอ๋องเฝ้าอยู่ข้างนอกมาตั้งแต่เช้าเมื่อวานแล้ว หนึ่งวันครึ่งคืนแล้วนะขอรับ ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด หากตอนนี้ท่านเหนื่อยล้าขึ้นมา เช่นนั้นหลังวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร หลังพรุ่งนี้ยังมีเรื่องมากมายต้องจัดการนะขอรับ” อู๋เฉวียนบอก 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า เดินโซซัดโซเซออกจากตำหนักไป 


 


 


           อู๋เฉวียนมองแผ่นหลังอิงชินอ๋องจากไปไกลราวกับแก่ลงหลายปี เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง 


 


 


 


 


 


[1] *ยามอู่ ช่วงเวลา 11:00 น. – 13:00 น.  

 

 


ตอนที่ 105-1 สายตาของสตรี

 

           อิงชินอ๋องออกจากวังหลวง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวยังมิแยกย้ายกันกลับ หากแต่กำลังรอเขาอยู่หน้าประตูวัง 


 


 


           เมื่อเห็นเขาออกมา เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็รีบก้าวขึ้นมารั้งแขนเขา “ท่านอ๋อง เป็นเช่นไรบ้าง ท่านกับ 


 


 


อู๋กงกงคุยกันเป็นการส่วนตัว เขาได้พูดสิ่งใดบ้าง ข้างในอยู่ในสถานการณ์แบบใด ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           ใบหน้าอิงชินอ๋องสิ้นหวังอย่างยิ่ง มองทุกคนแวบหนึ่ง น้ำตาแทบจะไหลออกมารอมร่อ “อู๋กงกงบอกว่า หวาเอ๋อร์…” ชะงักไปราวกับคิดว่าหากเรียกหวาเอ๋อร์ต่อไปคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงเปลี่ยนคำพูด “คุณหนูฟางหวาตรวจชีพจรให้ฝ่าบาท บอกว่ามากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           “เป็นไปได้อย่างไร หลายวันก่อนฝ่าบาทยังทรงดูดี ไม่มีทางไปเร็วถึงเพียงนี้…นี่ไฉน…” หย่งคังโหวพูดจาสับสนเล็กน้อย 


 


 


           “ใช่แล้ว ฝ่าบาทไฉนเลยจะ…อยู่ได้มากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้ได้อย่างไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ราวไม่อยากเชื่อด้วยเช่นกัน 


 


 


           อิงชินอ๋องส่ายหน้า น้ำตาเอ่อคลออยู่ในเบ้าตา “ข้าเองก็มิเชื่อ แต่อู๋กงกงดูท่าทางมิได้โกหก น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง รัชทายาทอยู่เฝ้าข้างในตลอดเวลา มิกล้าออกไปไหน” 


 


 


           “พวกเรามิได้พบฝ่าบาทหลายวันแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหันไปมองเสนาบดีฝ่ายขวา “วันนั้นท่านพบ 


 


 


ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “มิค่อยดีนัก เพราะเหตุนี้วันนั้นข้าถึงห้ามเจ้าไว้” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว 


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงทนมิไหวแล้วจริงหรือ” หย่งคังโหวก้าวขึ้นมาถาม 


 


 


           “คุณหนูฟางหวามีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมเพียงใดเราเองก็ทราบกันดี หากนางบอกว่าทนมิไหวแล้วจริงๆ อยู่ได้ไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้ เช่นนั้นคงเป็นความจริง” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า  


 


 


           “เราเองก็ทราบว่าฝ่าบาททรงมิโปรดนางตลอดมา นางเองก็มิชอบฝ่าบาท ตอนนี้…คำพูดของคุณหนูฟางหวาจะเชื่อถือได้หรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม 


 


 


           “ถึงท่านไม่เชื่อคุณหนูฟางหวา แต่ก็ควรเชื่อรัชทายาท” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเงียบเสียงลงทันที 


 


 


           “ไปเถอะ กลับจวนกันก่อน รัชทายาทสั่งไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้พวกเราก็เข้าวังมาเช้าหน่อยแล้วกัน” อิงชินอ๋องโบกมือแยกย้าย 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวพยักหน้าพร้อมเพรียง 


 


 


           ทั้งหมดแยกย้ายกันออกจากหน้าประตูวัง 


 


 


           อิงชินอ๋องกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง ภายในจวนยังจุดโคมสว่างไสว พระชายายังมิได้เข้านอนแต่กำลังรออิงชินอ๋องอยู่ เมื่อเห็นว่าเขากลับมาก็รีบออกมาหา ไถ่ถามด้วยความร้อนใจ “ข้าได้ยินว่าหวาเอ๋อร์กลับเมืองมาพร้อมรัชทายาทด้วย เข้าวังไปแล้วหรือ” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้าหนักแน่น 


 


 


           “ไฉนหวาเอ๋อร์ถึงเข้าวังไปพร้อมรัชทายาทได้” พระชายาอิงชินอ๋องถาม 


 


 


           อิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “ท่านได้พบหวาเอ๋อร์หรือไม่ นางพูดอันใดหรือเปล่า” พระชายาอิงชินอ๋องถามอีก 


 


 


           “เรียกข้าว่าท่านอ๋อง ทำความเคารพข้า มิได้พูดอันใดทั้งนั้น” อิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “กล่าวเช่นนี้…เรื่องนางกับรัชทายาทเป็นความจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป  


 


 


           อิงชินอ๋องกุมมือนาง กระชับให้แน่นขึ้น “ตอนนี้มิใช่เวลาพูดเรื่องพวกนี้แล้ว อู๋กงกงบอกกับข้าว่าหวาเอ๋อร์ตรวจชีพจรให้ฝ่าบาท มากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้” 


 


 


           “มากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้หมายความว่าอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องไม่เข้าใจ มิได้ตอบสนองกลับในทันที 


 


 


           “หมายความว่าฝ่าบาทจะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” อิงชินอ๋องมองนาง  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมา กล่าวไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


           อิงชินอ๋องลูบมือนาง ก่อนจูงนางเข้าไปในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็เรียกสติกลับคืนมาได้ หันกลับมาถามด้วยความอึกอัก “ท่านบอกว่าฝ่าบาทจะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้หรือ” 


 


 


           “หมายความเช่นนี้” อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           “นี่…ไฉนถึงได้กะทันหันเช่นนี้” พระชายาอิงชินอ๋องค่อนข้างไม่อยากเชื่อ 


 


 


           อิงชินอ๋องครุ่นคิดแล้วกล่าวออกมา “ตั้งแต่กลับจากวังหลวงข้าก็ทบทวนมาตลอดทาง แรกเริ่มยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สุดท้ายก็เข้าใจแล้ว ฝ่าบาทเดิมประชวรหนัก ยาใดก็รักษาไม่หาย ความมุ่งมั่นตลอดชีวิตของพระองค์คือการกำจัดตระกูลเซี่ย ทำให้บ้านเมืองหนานฉินถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าโปร่งใส หลายปีมานี้พัฒนากลายเป็นอุดมการณ์ คิดเป็นตุเป็นตะว่าตระกูลเซี่ยเป็นตัวขัดขวางเส้นทางนั้นของพระองค์ ด้วยแผนการอันยากลำบากตลอดหลายปี เดิมคิดว่าเป็นปณิธานนั้นจะทำสำเร็จในชีวิตนี้ ทว่ากลับล้มลุกคลุกคลานหลายต่อหลายครั้ง หลังพระองค์ทรงประชวรหนักก็คิดฝากความหวังไว้ที่รัชทายาท หากแต่รัชทายาทกลับมีใจเอนเอียงให้ตระกูลเซี่ย เสนอให้มีการแก้ไขระบบทหาร ยกอำนาจการทหารให้กับตระกูลเซี่ยใหม่อีกครั้ง อุดมการณ์ของพระองค์กลายเป็นตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ เดิมทีพระองค์ยังทรงอดกลั้นไว้ได้ แต่ยามนี้ความพยายามนั้นแตกซ่าน ตัวพระองค์ก็หมดกำลังแล้วเช่นกัน” 


 


 


           “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ พระองค์อายุน้อยกว่าท่านแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา ดวงตาเริ่มแดงก่ำ  


 


 


           “ใช่แล้ว” อิงชินอ๋องกระชับมือแน่นขึ้นแล้วมองนาง “จนถึงตอนนี้ใจเจ้ายังถวิลหาฝ่าบาทอยู่ใช่หรือไม่ แค้นเคืองที่ตอนนั้นพระองค์ไม่ดื้อรั้นพอที่จะแต่งงานกับเจ้า” 


 


 


           “พูดอันใดแบบนั้นเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องตีมือเขา “ตั้งแต่มีสมรสพระราชทานกับท่านวันนั้น ข้าก็ปล่อยวางได้แล้ว เพียงแต่พอได้ยินว่าพระองค์ใกล้จะ…จึงรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง” 


 


 


           “ที่ผ่านมาฝ่าบาทยังถวิลหาเจ้าตลอดเวลา ใจข้าทราบดี” อิงชินอ๋องกล่าว “พระองค์ทรงทนทุกข์มาทั้งชีวิตแล้วจริงๆ” 


 


 


           “ใจท่านก็ถวิลหาอวี้หวั่นตลอดมาเช่นกัน ข้าเองก็ทราบดี” พระชายาอิงชินอ๋องถลึงตามองเขา  


 


 


           อิงชินอ๋องชะงัก นิ่งมองพระชายาพักหนึ่ง ก่อนพึมพำขึ้น “หลายปีก่อนข้าปล่อยวางมิได้ แต่ต่อมาก็เข้าใจทุกสิ่งดีแล้ว ตอนนี้มิได้ถวิลหาอีกแล้ว” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องแค่นหัวเราะแผ่วเบา 


 


 


           “อายุปูนนี้แล้ว ไฉนเลยยังหึงหวงอยู่อีก” อิงชินอ๋องเอ่ยขึ้น 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องหลุดหัวเราะขึ้นมาครู่หนึ่ง “ท่านต่างหากที่หวงข้า ยังมีหน้ามาตำหนิข้าอีกหรือ” 


 


 


           อิงชินอ๋องเองก็หัวเราะเช่นกัน 


 


 


           หลังทั้งคู่แย้มยิ้มหัวเราะกัน ก่อนที่ความกลัดกลุ้มจะแผ่คลุมใบหน้าอีกครั้ง 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้น “ทำเช่นไรดี ท่านมีความคิดใดหรือไม่” 


 


 


           “รัชทายาทมีคำสั่งให้ใต้เท้าทุกท่านกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าวังใหม่ ตอนนี้ฝ่าบาทยังบรรทมอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่หลังยามอู่เมื่อวานก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย” อิงชินอ๋องส่ายหน้า  


 


 


           “ตอนนี้ผู้ใดอยู่เฝ้าฝ่าบาทเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องถาม 


 


 


           “หลังยามอู่เมื่อวาน ฮองเฮา ไท่เฟย และพระสนมในวังหลังล้วนไปเยี่ยมเยียน เวลานั้นฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น แม้แต่ฮองเฮากับไท่เฟยก็ไม่ขอพบเช่นกัน ฮองเฮาทรงเฝ้าอยู่ครึ่งวันก่อนเสด็จกลับไป สองวันก่อนองค์ชายแปดไปเฝ้าตลอดเวลา แต่ก็มิได้พบฝ่าบาทเช่นกัน แดดแรงออกขนาดนั้นทำให้องค์ชายแปดเป็นไข้แดดจึงต้องตามหมอหลวงมาตรวจรักษา ถูกไท่เฟยรับกลับตำหนักไปแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้มีเพียงรัชทายาทกับหวาเอ๋อร์ที่อยู่เฝ้า” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราก็รีบพักผ่อนกันดีกว่า เมื่อวานท่านเฝ้ามาทั้งวัน ตอนนี้สีหน้าย่ำแย่ถึงเพียงนี้ หากล้มป่วยไปอีกคนจะทำเช่นไร พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงรับมือกับเรื่องที่จะตามมา พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าวังไปกับท่านด้วย” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า “ไม่รู้ว่าเจิงเอ๋อร์จะกลับมาตอนไหน” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า ก่อนถอนหายใจออกมา “เวลาแบบนี้เขาไม่กลับมาก็ดีแล้ว หากกลับมาเห็น…ไม่แน่ว่าจะก่อเรื่องพลิกฟ้าในเมืองอย่างไร” 


 


 


           อิงชินอ๋องผงกศีรษะรับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


           ทั้งคู่เข้าไปพักผ่อนในห้องด้วยกัน 


 


 


           ไม่นานโคมไฟในจวนอิงชินอ๋องก็ดับลง โคมไฟในจวนใหญ่ต่างๆ ก็ทยอยดับลงเช่นกัน 


 


 


           มีเพียงวังหลวงเท่านั้นที่ยังจุดโคมสว่างประหนึ่งตอนกลางวัน 


 


 


           ฮองเฮาทรงทราบข่าวว่าฉินอวี้กลับถึงวังหลวงแล้ว เดิมอยากรีบเสด็จไปหา ทว่าได้ยินว่าเซี่ยฟางหวาก็กลับเมืองมาพร้อมเขาด้วยจึงหยุดพระบาทลงฉับพลัน หันกลับไปตรัสถาม “จริงหรือ” 


 


 


           “รัชทายาทพาคุณหนูฟางหวาไปพบฝ่าบาทแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักบรรทมของฝ่าบาทเพคะ” หรูอี้พยักหน้า ทูลรายงานเสียงเบา  


 


 


           ฮองเฮาแม้เตรียมใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่ายังคงตกใจปนสงสัยอยู่บ้าง “ฝ่าบาททรงตื่นแล้วหรือ” 


 


 


           “หลังฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมายามอู่ก็บรรทมตลอดมา ยังมิตื่นเพคะ” หรูอี้ส่ายหน้าตอบ  


 


 


           “ตอนนี้ผู้ใดอยู่ที่ตำหนักบรรทมฝ่าบาทบ้าง” ฮองเฮาตรัสถามอีก 


 


 


           “มีเพียงรัชทายาทกับคุณหนูฟางหวาเพคะ คนอื่นๆ ยังถูกขวางไว้นอกตำหนักมิให้เข้าพบ อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายเฝ้ามาตลอดทั้งวันแล้ว” หรูอี้หยั่งเชิงถาม “ฮองเฮาเพคะ พระองค์จะเสด็จไปตอนนี้เลยหรือไม่ ไหนๆ รัชทายาทก็เสด็จกลับมาแล้ว หากพระองค์เสด็จไปหา รัชทายาททรงตัดสินใจเอง จะต้องให้ทรงเข้าไปพบ 


 


 


ฝ่าบาทเป็นแน่เพคะ” 


 


 


           ฮองเฮาทรงยืนหน้าประตูพักหนึ่ง มองไปยังทิศที่ตั้งตำหนักบรรทมฮ่องเต้ เนิ่นนานจากนั้นก็ตรัสด้วยความท้อใจ “ช่างเถอะ ข้ามิไปแล้ว” 


 


 


           หรูอี้มองนางด้วยความไม่เข้าใจ 


 


 


           “หลายปีแล้ว ข้ามองตำหนักบรรทมฮ่องเต้จากตำหนักเฟิ่งหลวน แม้ทั้งสองตำหนักอยู่มิไกลกันนัก แต่ข้าซึ่งเป็นฮองเฮาก็มิอาจเข้าไปหาได้หากไม่มีรับสั่ง คู่สามีภรรยาในหล้ามีคู่ไหนเป็นอย่างพวกเราบ้าง ครอบครัวสามัญชนมากมายต่างปรองดองมีความสุขกัน แต่มีผู้ใดทราบบางว่าวังหลวงอันสูงศักดิ์ที่สุดแห่งนี้นั้น สามีภรรยากลับต้องต่างคนต่างอยู่ มิได้ยืนหยัดในสามหลักห้าจรรยาแต่อย่างใด อีกอย่างในพระราชหฤทัยของฝ่าบาทก็ไม่เคยมีข้ามาตั้งแต่ต้น ถึงข้าไปหาแล้วอย่างไร” ฮองเฮามีพระพักตร์ย่ำแย่มาก  


 


 


           หรูอี้มองฮองเฮาด้วยความปวดใจ ก่อนเดินมาประคองนาง “เช่นนั้นให้บ่าวประคองพระองค์ไปพักผ่อนที่เตียงนะเพคะ” 


 


 


           ฮองเฮาพยักพระพักตร์ ก่อนเดินกลับไปที่เตียงโดยมีหรูอี้ประคอง 


 


 


           แม้ขึ้นมาบรรทมบนเตียงแล้ว แต่จนกลางดึกฮองเฮาก็ยังมิบรรทม ตำหนักเฟิ่งหลวนจุดไฟสว่างทั้งคืน  

 

 


ตอนที่ 105-2 สายตาของสตรี

 

อู๋เฉวียนยกมื้อดึกเข้ามา ฉินอวี้กล่าวกับเซี่ยฟางหวาด้วยเสียงอ่อนโยน “เจ้ากินอะไรหน่อย ข้าจะให้ครัวหลวงต้มยาให้ ยาของเจ้าจำต้องดื่มให้ตรงเวลาเช่นกัน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้มองอู๋เฉวียนแวบหนึ่ง อู๋เฉวียนเข้าใจทันที รีบออกไปขอเทียบยาของเซี่ยฟางหวาจากซื่อฮว่ากับซื่อม่อข้างนอก 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเพราะตัวอยู่ในวังหลวง จึงไม่สบายใจที่จะให้ผู้อื่นต้มยาให้เซี่ยฟางหวา กล่าวบอก 


 


 


อู๋เฉวียนด้วยความเกรงใจ “กงกง ท่านให้คนนำบ่าวสองคนไปส่งที่ครัวหลวงก็พอแล้ว ยาของคุณหนูเราจะต้มให้เองเจ้าค่ะ” 


 


 


           “ย่อมได้” อู๋เฉวียนพยักหน้าก่อนกวักมือเรียกคนมา ออกคำสั่งให้พาทั้งสองไปยังครัวหลวง 


 


 


           เซี่ยฟางหวามิได้อยากอาหารเท่าไรนัก หลังทานเข้าไปเพียงไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงแล้ว พร้อมเอ่ยบอกฉินอวี้ “เจ้าเองก็กินอะไรบ้าง” 


 


 


           “ข้ากินไม่ลง” ฉินอวี้ส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           หนึ่งชั่วยามถัดมา ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกถ้วยยาเข้ามา หลังเซี่ยฟางหวาดื่มยาหมดก็มองสีท้องฟ้า เวลาล่วงเลยมาถึงยามจื่อ*[1]แล้ว 


 


 


           กลองบอกเวลายามจื่อดังขึ้น เสียงกลองราวกับนำมาซึ่งความหนักหนากดดัน 


 


 


           เมื่อถึงยามโฉ่ว**[2] ฮ่องเต้ที่อยู่บนแท่นบรรทมก็พลันขยับเปลือกพระเนตร ก่อนที่จะลืมตาขึ้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งมองแท่นบรรทมจากตั่งตัวเตี้ยตลอดเวลา ดังนั้นทันทีที่ฮ่องเต้ทรงตื่นขึ้นมาแล้ว นางจึงมองเห็นพระองค์ได้ 


 


 


           ยามฮ่องเต้ทรงตื่นขึ้นมาคล้ายรู้สึกได้ หันพระพักตร์เชื่องช้า เห็นเซี่ยฟางหวาที่นั่งอยู่ไม่ไกลพอดี 


 


 


           พระเนตรที่ค่อนข้างนูนโปนของพระองค์สบเข้ากับดวงตาของเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองฮ่องเต้เงียบเชียบ มิส่งเสียงใด 


 


 


           ฮ่องเต้เองก็ทรงมองนาง ในพระเนตรสะท้อนอารมณ์หลากหลายนับมิถ้วน มิส่งเสียงใดเช่นกัน 


 


 


           ทั้งสองสบตามองกันอยู่แบบนั้น อุณหภูมิในอากาศราวกับลดลงเล็กน้อย 


 


 


           ฉินอวี้ฟุบหน้าเข้ากับหัวเตียงตลอดเวลา มือทั้งสองข้างกุมพระหัตถ์ฮ่องเต้ ก้มศีรษะจนใบหน้าแนบชิดกับหลังพระหัตถ์ของฮ่องเต้ที่ตนกุมไว้ ลอบโศกาอย่างไร้สุ้มเสียง และมิได้รู้สึกตัวว่าฮ่องเต้ทรงตื่นแล้ว 


 


 


           ฮ่องเต้กับเซี่ยฟางหวามองหน้ากันเป็นเวลาราวครึ่งถ้วยชา ฮ่องเต้พลันทรงพระกาสะขึ้นมา 


 


 


           ฉินอวี้สะดุ้งตกใจ เงยหน้ามองฮ่องเต้ ก่อนกล่าวด้วยความดีใจ “เสด็จพ่อ ทรงฟื้นแล้วหรือ” 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงพระกาสะจนดูน่ากลัว ทรวงอกราวกับจะทะลักออกมา มิได้ตอบเขา 


 


 


           ฉินอวี้รีบลุกขึ้น ทว่าเขาคุกเข่ามาเป็นเวลานาน อาการชาเกาะกุมทั่วทั้งขาแข้ง ทันทีที่ลุกขึ้นก็ล้มกลับไปนั่งบนพื้น ตะโกนขึ้นด้วยความรีบร้อน “รีบนำน้ำเข้ามา” 


 


 


           อู๋เฉวียนกุลีกุจอเข้ามาพร้อมน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง ยื่นเข้ามาพร้อมประคองฮ่องเต้ขึ้น 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงปัดแก้วออก แก้วน้ำหลุดจากมืออู๋เฉวียนตกลงกับพื้นแตกละเอียดดังเพล้ง 


 


 


           “ฝ่าบาท…” อู๋เฉวียนตกใจ 


 


 


           “เสด็จพ่อ” ฉินอวี้เองก็ตกใจเช่นกัน พลางมองฮ่องเต้ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงพระกาสะหนักต่อเนื่อง พระพักตร์ที่เคยซีดไร้เลือดฝาดขึ้นสีแดงจัด พระเนตรทั้งสองข้างมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นจนน่ากลัว 


 


 


           “ฟางหวา” ฉินอวี้หันมามองเซี่ยฟางหวาอย่างขอความช่วยเหลือ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นเชื่องช้าก่อนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาหา อู๋เฉวียนรีบผละออกจากข้างแท่นบรรทม นางหยุดมองฮ่องเต้ที่หัวเตียง 


 


 


           นางมิได้ตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้ แต่ทันทีที่นางเดินมาถึงพระองค์ก็หยุดทรงพระกาสะในฉับพลัน พระเนตรคู่นั้นมองตรงมายังนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเองก็มองพระองค์เช่นกัน 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองนางพักหนึ่ง โพล่งตรัสขึ้นว่า “ดี ดี ดี” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบ 


 


 


           “ดีนี่เซี่ยฟางหวา” ฮ่องเต้ตรัสอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ 


 


 


           “เจ้าจงใจกลับมาดูเราตายใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ตรัสไปสองประโยคแล้ว พบว่านางไม่ยอมเอื้อนเอ่ยแม้สักคำจึงถลึงพระเนตรมองนางอย่างเอาเป็นเอาตาย 


 


 


           เซี่ยฟางหวายังคงไม่ส่งเสียงใด 


 


 


           “เจ้าเป็นใบ้รึ” ฮ่องเต้พลันตรัสด้วยโทสะ 


 


 


           “กล่าวกันว่าถ้อยคำของคนใกล้ตายมักกลั่นออกมาจากใจ ฝ่าบาท พระองค์ทรงเห็นหม่อมฉันตอนนี้แล้วยังทรงกริ้วมากถึงเพียงนี้ ความจริงก็สมควรแล้ว” เซี่ยฟางหวานิ่งมองพระองค์  


 


 


           ฮ่องเต้ชะงัก เพลิงโทสะวาวโรจน์ในแววตา ทรงมองนางด้วยสายตาคล้ายจะกินคน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเหลือบมองพระองค์เงียบเชียบ “สามร้อยปีก่อน เป่ยฉีกับหนานฉินตั้งป้อมประจันหน้ากัน ตระกูลอวี้กับตระกูลหวางต่างพ่ายแพ้และบาดเจ็บล้มตาย จำต้องใช้เวลาฟื้นฟูกลับมา จักรพรรดิทั้งสองแผ่นดินต่างไม่มีใครยอมใคร ไม่มีผู้ใดทราบว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานเท่าไร ต่างคิดจะให้แผ่นดินเจริญรุ่งเรืองและมีทัพทหารเกรียงไกรโดยเร็วที่สุด วางแผนว่าจะลงมือโจมตียึดจุดยุทธศาสตร์อีกครั้งเพื่อรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แต่เนื่องด้วยเป่ยฉีเป็นเมืองหลวงเก่าในราชวงศ์ก่อน สุภาษิตกล่าวว่า อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า***[3] ตระกูลอวี้ถึงแม้ได้รับผลกระทบหนัก แต่เมื่อผนึกรวมกำลังแผ่นดินเป่ยฉีเข้าด้วยกันก็ยังแข็งแกร่งกว่าหนานฉิน หนานฉินกลัวว่าเป่ยฉีจะเจริญรุ่งเรืองมีอำนาจในเวลาอันสั้น อยู่เหนือกว่าหนานฉิน หนานฉินมิใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ปฐมจักรพรรดิจึงขอร้องอ้อนวอนให้ตระกูลเซี่ยเข้ามามีบทบาท ใช้การสืบทอดบรรดาศักดิ์ขั้นโหวเป็นข้อแลกเปลี่ยน อนุญาตให้ตระกูลเซี่ยวางรากฐานครึ่งหนึ่งแก่บ้านเมือง หมดความกังวลตลอดกาล ผู้นำตระกูลเซี่ยถูกปฐมจักรพรรดิขอร้องเช่นนี้จึงนำกำลังในตระกูลช่วยเหลือหนานฉินด้วยความจงรักภักดี” 


 


 


           แววตาฮ่องเต้ถูกสะกดนิ่ง 


 


 


           “หนานฉินเพราะมีตระกูลเซี่ย บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้าจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพียงหนึ่งร้อยปีก็สามารถโจมตีเป่ยฉีเพื่อยึดใต้หล้ามาได้ ทว่าหนึ่งร้อยปีให้หลัง ฮ่องเต้ของหนานฉินมิใช่ปฐมจักรพรรดิอีกต่อไป กลับหลงลืมคุณูปการของตระกูลเซี่ย หลงลืมความทะเยอทะยานที่จะเป็นมหาอำนาจในใต้หล้า กลับเห็นเพียงแค่ตระกูลเซี่ยกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกขึ้นทุกวัน กลัวว่าจะคุกคามอำนาจราชสำนักและตำแหน่งจักรพรรดิ” เซี่ยฟางหวามองฮ่องเต้ “ตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนหนานฉินก็เริ่มหวาดระแวงตระกูลเซี่ย แย่งอำนาจทั้งต่อหน้า ต่อสู้ภายในลับหลังไม่หยุดหย่อน กำลังแผ่นดินอยู่เหนือกว่าเป่ยฉีแท้ๆ ทว่าเนื่องด้วยการต่อสู้ภายในมิยอมหยุด ส่งผลให้มิอาจยึดใต้หล้ามาได้” 


 


 


           แววตาฮ่องเต้คล้ายเกิดรอยร้าว 


 


 


           “เป็นแบบนี้ผ่านไปสองร้อยปี กระทั่งถึงรุ่นของพระองค์ แรงกดดันที่มีต่อตระกูลเซี่ยก็ยิ่งเพิ่มขึ้น” เซี่ยฟางหวามองฮ่องเต้ “ทราบเพียงเสือนอนหมอบข้างเตียงมีหรือจะหลับได้อย่างสบายใจ กลับมิเคยตระหนักว่าหากไม่มีตระกูลเซี่ย ไฉนเลยจะมีบ้านเมืองหนานฉินในทุกวันนี้ หากไม่มีตระกูลเซี่ย หนานฉินคงกลายเป็นเพียงผักปลาภายใต้กองทัพอันแข็งแกร่งของเป่ยฉีไปตั้งนานแล้ว ต้องถูกกดขี่รุกราน สามร้อยปีมานี้ หนานฉินมีโอกาสที่จะยึดเป่ยฉีได้มากน้อยเท่าไร ทว่าด้วยเหตุผลอันไร้ประโยชน์เหล่านี้ ทำให้ท้ายที่สุดเป่ยฉีก็เป็นฝ่ายแข็งแกร่งและยึดโจมตีหนานฉินก่อน” 


 


 


           แววตาฮ่องเต้เกิดรอยร้าวเป็นวงกว้าง 


 


 


           “ฮ่องเต้ของหนานฉินแต่ละยุคสมัยเอาแต่หวาดระแวงและเตรียมป้องกันเพื่อกำจัดขุนนางผู้จงรักภักดีออกไป ฮ่องเต้ของเป่ยฉีกลับมีความเฉลียวฉลาด มีความทะเยอทะยาน มีความปรารถนาอันแรงกล้ามากขึ้นในแต่ละยุคสมัย ยามนี้เป่ยฉีเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ตระกูลอวี้แม้เรืองอำนาจ แต่ฮ่องเต้เป่ยฉียังนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่หนานฉินเล่า ภูเขาลับพังทลายลง ปรมาจารย์สายลับก่อกบฏวางแผนลอบสังหาร สายลับที่ตนรู้จักดีกลายเป็นดาบอันแหลมคมที่มีเป้าหมายเป็นกิจการราชสำนักในบ้านเมืองตนเอง ระหว่างที่ภายในปั่นป่วนภายนอกรุกราน ยังจำต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย” เซี่ยฟางหวามองพระองค์ “ความบริสุทธิ์โปร่งใสที่ท่านต้องการนั้น หรือว่าต้องกำจัดตระกูลเซี่ยทิ้งแล้วแลกด้วยรากฐานหนานฉินที่ถอยหลังกลับไปร้อยปี หากเป็นแบบนั้นจริง มิต้องรอถึงหลายสิบปี เป่ยฉีก็จะบุกประชิดเข้ามาได้แน่นอน เหยียบย่ำแผ่นดินหนานฉิน หนานฉินก็จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน แต่ในฐานะเป็นแผ่นดินที่ล่มสลายลง สูญสลายไปตามกาลเวลา แบบนั้นพระองค์ถึงจะพอใจหรือ ทรงคิดว่าจะมีหน้าไปพบปฐมจักรพรรดิหนานฉินในปรโลกหรือ” 


 


 


           แววตาฮ่องเต้พังทลายลงดุจแผ่นน้ำแข็ง ชั่วพริบตาที่แตกสลายลง เพลิงแห่งโทสะบนพระพักตร์ก็คลายลงมิรู้เท่าไร เอนพระวรกายล้มกลับลงไปนอนบนแท่นบรรทมมังกร 


 


 


           “เสด็จพ่อ” น้ำเสียงฉินอวี้แหบพร่า โน้มกายไปตรวจดูฮ่องเต้ 


 


 


           ฮ่องเต้พลันหลับตาลง พระพักตร์ฉายความสิ้นหวังอ้างว้าง 


 


 


           อู๋เฉวียนลอบมองเซี่ยฟางหวาอย่างระวัง ถอยก้าวหนึ่งเงียบเชียบ มิส่งเสียงใด 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “กี่ยุคสมัยแล้วที่ฮ่องเต้ถูกเปลือกนอกบดบัง บนบัลลังก์ในวังหลวงอันสูงศักดิ์ล้ำค่าแห่งนี้ทราบเพียงตนเองคือฮ่องเต้ กลับมิได้ใคร่ครวญว่าตนควรเป็นฮ่องเต้ที่สร้างความสุขแก่ราษฎรในใต้หล้า มิได้ทราบว่าตระกูลฉินกับตระกูลเซี่ยนั้นจำต้องมีอยู่ต่อไป หากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปหนานฉินก็จะล่มสลายลง นี่เป็นปมเงื่อนที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งราชวงศ์ในประวัติศาสตร์ แก้อย่างไรก็แก้มิได้” 


 


 


           “ใช่แล้ว แก้อย่างไรก็แก้มิได้” ฮ่องเต้พลันเปล่งวาจาขึ้น น้ำเสียงฟังยากอย่างยิ่ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนตรัสขึ้นอีก “นึกไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้หนานฉินกี่ยุคสมัย ยังเทียบมิได้กับสายตาของสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งจากตระกูลเซี่ย” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใด 


 


 


           ฮ่องเต้พลันหันไปมองฉินอวี้ 


 


 


           ฉินอวี้ตาแดงจัด ภายในนั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เมื่อเห็นพระองค์มองมาก็ส่งเสียงเรียกทุ้มต่ำ “เสด็จพ่อ” 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองฉินอวี้พักหนึ่ง ก่อนตรัสกับเขา “เรากับเจ้ามีสายตาเหมือนกัน สตรีที่พึงพอใจในยามนั้นล้วนมีคุณธรรมและพรสวรรค์ควบคู่ เหมาะแก่การเป็นพระมารดาของแผ่นดิน แต่น่าเสียดายที่เราไร้วาสนา” หยุดชั่วครู่แล้วตรัสต่อ “มารดาเจ้ามีสายตาคับแคบ เราก็เอาแต่อยู่ในกรอบ บ้านเมืองนี้…เรามิใช่บิดาที่ดี และมิใช่ฮ่องเต้ที่ดี ชีวิตนี้…คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว” 


 


 


           น้ำตากลิ้งตกลงมาจากหางตาของฉินอวี้ กุมพระหัตถ์ของพระองค์ไว้แน่น “เสด็จพ่อ…” 


 


 


      


 


 


[1] *ยามจื่อ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01:00 น. 


 


 


[2] **ยามโฉ่ว ช่วงเวลา 01:00 น. – 03:00 น. 


 


 


[3] ***อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า สุภาษิตจีน หมายถึง คนรวยแม้เข้าตาจนก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่าคนจน  

 

 


ตอนที่ 106-1 พระราชโองการสั่งเสีย

 

           ฮ่องเต้ทรงมองฉินอวี้ ในแววตาสะท้อนความอาวรณ์ เมื่อทรงเห็นว่าฉินอวี้หลั่งน้ำตา หางตาของพระองค์ก็มีน้ำตาซึมไหลออกมาเช่นกัน 


 


 


           ฉินอวี้กุมพระหัตถ์อันสั่นเทาของฮ่องเต้แน่น แทบมิอาจส่งเสียงใดออกมาได้ 


 


 


           “แต่โชคดีที่เรายังมีลูกชายที่ดี” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงแหบพร่ายากฟังออก แต่แฝงด้วยความภูมิใจ 


 


 


           ฉินอวี้เอ่ยเรียกพระองค์อีกครั้ง สะอื้นกล่าว “เสด็จพ่อต้องมิเป็นไร ลูกจะตามหายาวิเศษทั่วใต้หล้า จะต้องรักษาอาการประชวรของท่านได้เป็นแน่…” 


 


 


           “เรารู้ดี เราไม่ไหวแล้ว” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ 


 


 


           ฉินอวี้ตาแดงก่ำ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงหันมองไปยังเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวายืนหน้าเตียงมิไกลนัก หลังกล่าวจบก็นิ่งมองพระองค์ 


 


 


           “อวี้เอ๋อร์ ออกไปก่อน” ฮ่องเต้พลันตรัสขึ้น 


 


 


           “เสด็จพ่อ” ฉินอวี้มองฮ่องเต้ด้วยน้ำตานองหน้า 


 


 


           “เจ้าไปที่ห้องหนังสือ นำโองการสั่งเสียที่เราเก็บเอาไว้ในช่องลับที่สองบนเพดานห้องมา” ฮ่องเต้ตรัส 


 


 


           “เสด็จพ่อ” ฉินอวี้คุกเข่าหน้าเตียงไม่ยอมขยับ “ลูกมิไป ให้อู๋กงกงไปนำมาเถิด” 


 


 


           “ฟังเรา” ฮ่องเต้ขึงพระพักตร์ตึง “บุรุษมิควรหลั่งน้ำตาง่ายๆ ยิ่งเจ้าเป็นรัชทายาทยิ่งมิควรร้องไห้” ตรัสจบก็ตรัสเพิ่มเติม “อู๋เฉวียนมีหน้าที่อื่น เรายังมีเรื่องให้เขาไปทำอีก” 


 


 


           ฉินอวี้เม้มปาก ยังคงมิขยับไปไหน 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง ก่อนแย้มสรวลขึ้น “เจ้าวางใจเถิด เราจวนจะลงโลงอยู่แล้ว ทำอันใดนางมิได้หรอก และมิทำอันใดนางอีกแล้ว” 


 


 


           ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้เขา ตนจึงเดินออกไปอย่างทำอันใดมิได้ 


 


 


           หลังเขาเดินออกไป ฮ่องเต้ก็ทรงสั่งงานอู๋เฉวียน “เจ้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง บอกให้อิงชินอ๋องกับพระชายาเข้าวัง นอกจากนี้ให้คนไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา จวนหย่งคังโหว จวนสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน และจวนผู้ตรวจการ บอกให้พวกเขารีบเข้าวังโดยด่วน” หยุดชั่วครู่ก่อนตรัสเพิ่ม “ส่วนวังหลัง…ส่งคนไปเชิญฮองเฮากับไท่เฟยมาก็พอ” 


 


 


           อู๋เฉวียนฟังแล้วก็ทราบเจตนาทันที ใบหน้าปรากฏความเศร้าใจสุดซึ้ง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้ แล้วองค์ชายแปดกับองค์ชายอื่นๆ ล่ะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ไท่เฟยมา องค์ชายแปดทราบข่าวก็ย่อมมาด้วย ส่วนคนอื่นๆ…” ฮ่องเต้ปิดเปลือกตาลง “ช่างเถอะ คนอื่นมิจำเป็นต้องมา” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้” อู๋เฉวียนหันหลังเดินออกไป 


 


 


           ชั่วพริบตา ภายในตำหนักก็เหลือเพียงเซี่ยฟางหวากับฮ่องเต้สองคน 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองเซี่ยฟางหวาด้วยแววตาสงบนิ่ง ราวกับอยากอ่านนางให้ออก 


 


 


           เซี่ยฟางหวามีใบหน้าเรียบเฉย ในแววตาเองก็เรียบเฉยเช่นกัน 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงมองพักหนึ่งก่อนที่จะตรัสขึ้น “ตลอดชีวิตเรา มีน้อยคนนักที่เราจะอ่านไม่ออก ทว่าตั้งแต่เราได้พบเจ้าก็พบว่าอ่านอย่างไรก็อ่านเจ้าไม่ออก ดังนั้นเราจึงมิชอบเจ้า” 


 


 


           “เกรงว่าฝ่าบาทมิใช่มิทรงโปรดแค่หม่อมฉัน แต่ตระกูลเซี่ยทุกคน พระองค์ก็มิโปรดทั้งนั้น” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเรียบ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ “เจ้าพูดถูกแล้ว เรามิชอบตระกูลเซี่ยก็จริง แต่ยังยินดีให้พวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าเราได้ ยกเว้นเพียงเจ้า” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 


 


 


           “แต่เราต้องยอมรับว่าเจ้าเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถมาก ยอดเยี่ยมกว่าบุรุษหลายคนในหล้า” ฮ่องเต้ทรงมองนาง “มิน่าเจ้าเด็กบ้าฉินเจิงถึงถูกเจ้าปั่นหัวจนดูมิได้ รัชทายาทเองก็อยากสมรสกับเจ้า เจ้าทำให้สองบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในหนานฉินของเราตกอยู่ในกำมือเจ้า” 


 


 


           “หม่อมฉันแค่มีเจตนาอยากปกป้องตระกูลเซี่ยกับจวนจงหย่งโหว ท่านอ๋องน้อยเจิงเข้ามามีส่วนร่วม  


 


 


รัชทายาทเข้ามามีส่วนร่วม ล้วนเป็นความสมัครใจของพวกเขา ฝ่าบาททรงล้อเล่นเช่นนี้ ออกจะดูถูกพวกเขาไปหน่อยแล้ว” สีหน้าเซี่ยฟางหวาเปลี่ยนไปเป็นนิ่งขรึม  


 


 


           ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ทรงกริ้วอย่างงายดายเช่นเมื่อก่อน แต่พยักพระพักตร์เออออไปตามนาง “เจ้าพูดถูกอีกแล้ว” ตรัสจบก็ทรงมองนาง “เราเพิ่งบอกว่าอ่านเจ้าไม่ออก ตอนนี้คล้ายกับจับจุดอ่อนเจ้าได้บ้างแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหรี่ดวงตา 


 


 


           “ฉินเจิงกับฉินอวี้ ต้องมีสักคนที่เจ้ามีใจให้ มิฉะนั้นเมื่อครู่คงมิถูกคำพูดของเรากระตุ้น ทนฟังวาจาสองคำนั้นมิได้จึงเกิดโทสะกับเรา” ฮ่องเต้ตรัส  


 


 


           “ฝ่าบาทมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้จับจุดอ่อนหม่อมฉันได้แล้วจะมีประโยชน์ใด” เซี่ยฟางหวามองพระองค์ 


 


 


           “ไม่มีประโยชน์อันใด แต่เราก็มิอยากตายไปโดยที่ยังกล้ำกลืนความแค้น” ฮ่องเต้ตรัสพลางก็ทรงพระกาสะขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองพระองค์ ฮ่องเต้ในยามนี้ไหนเลยจะยังมีความน่าเกรงขามเหมือนตอนที่นางเพิ่งกลับมาจากเขาไร้นามครั้งแรก เป็นเพียงตาแก่ที่จวนจะป่วยตายและเหลือเวลาไม่มากคนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


           “ริน…รินน้ำมาให้เราแก้วหนึ่ง” หลังฮ่องเต้หยุดทรงพระกาสะก็ตรัสกับเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินไปยังหน้าโต๊ะ รินน้ำให้พระองค์แก้วหนึ่ง 


 


 


           ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์รับ พระหัตถ์สั่นเทาจนแทบจับผ้าห่มไม่อยู่ ตรัสขึ้นอีก “ประคอง…เราลุกขึ้น” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว เอื้อมมือประคองพระองค์ขึ้นแผ่วเบา ก่อนหยิบหมอนอิงมารองพระปฤษฎางค์ให้พระองค์ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงยกแก้วน้ำขึ้น ดื่มน้ำทีละอึกเชื่องช้า 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงส่งแก้วเปล่ากลับมาให้เซี่ยฟางหวา แล้วตรัสกับนาง “ตอนที่เจ้ากับเจ้าเจิงสมรสกัน เรายังมิได้ดื่มชามงคลของเจ้า วันนี้…” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดิมทีกำลังจะนำแก้วเปล่าไปเก็บ ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเท้าชะงัก 


 


 


           ฮ่องเต้เงียบลงทันใด ก่อนตรัสกับนาง “รินน้ำให้เราอีกหนึ่งแก้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันกลับไปมองพระองค์ 


 


 


           ฮ่องเต้ก็ทรงมองนาง 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งเซี่ยฟางหวาก็หันหลังนำแก้วน้ำไปวางบนโต๊ะ มิได้รินน้ำมาให้พระองค์เพิ่มอีกแก้ว หากแต่กล่าวเสียงเรียบ “หากฝ่าบาททรงอยากมีพระชนม์อยู่ถึงยามอู่พรุ่งนี้ ก็อย่าดื่มอีกเลย” 


 


 


           “แค่ดื่มน้ำอีกสักแก้วจะเร่งเอาชีวิตเราไปได้เลยเชียวหรือ” ฮ่องเต้ทรงมองนาง 


 


 


           “ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลง “รัชทายาทส่งจดหมายลับให้เรา หากเราไม่ยอมให้เขาสมรสกับเจ้า เขาก็ยอมที่จะไม่เป็นรัชทายาทอีกแล้ว เจ้าทราบหรือไม่” 


 


 


           “ทราบ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “แล้วเจ้าคิดเห็นเช่นไร เจ้าจะออกเรือนกับรัชทายาทจริงหรือ” ฮ่องเต้ทรงจ้องนางเขม็ง 


 


 


           “หม่อมฉันรับปากรัชทายาทไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ 


 


 


           “เหตุใดเจ้าถึงรับปากรัชทายาท” ฮ่องเต้ตรัสถามอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันหลังมองไปยังนอกหน้าต่าง รัตติกาลเข้มสนิท หมอกลงหนาจัด ท้องฟ้าราวกับถูกหินสีดำขนาดใหญ่กดทับเอาไว้ หนักเสียจนชวนให้รู้สึกหายใจลำบาก นางมองพักหนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ “ย่อมมีเหตุผล” 


 


 


           “ย่อมมีเหตุผล” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล แต่เนื่องด้วยเร่งรีบเกินไปจึงทรงกระกาสะขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


           ครั้งนี้เซี่ยฟางหวามองไปนอกหน้าต่าง มิได้หันกลับไปมองพระองค์ 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงสำลักพระโลหิตออกมา ทำให้ขอบแท่นบรรทมและบนพื้นเลอะคราบเลือดเป็นวง พระองค์ใช้ชายฉลองพระองค์สีทองอร่ามเช็ดมุมพระโอษฐ์ บนชายแขนเสื้อเลอะคราบเลือดในทันที พระองค์ทรงกลับไปพิงบนแท่นบรรทมอีกครั้งด้วยความอ่อนแรง คล้ายตรัสกับเซี่ยฟางหวาและคล้ายตรัสกับตัวพระองค์เอง “ตลอดชีวิตเรามุ่งแต่แสวงหาลาภยศ ท้ายที่สุดกลับไร้ความทะเยอทะยาน ไม่ประสบความสำเร็จสักเรื่อง หากทราบเร็วกว่านี้ สมัยที่อดีตฮ่องเต้กับไทเฮาทรงเลือกเรา เราจะไม่รับบ้านเมืองนี้ไว้แน่นอน แต่จะตามท่านแม่ไป บางทีอาจดียิ่งกว่า” 


 


 


           เซี่ยฟางหวานิ่งฟัง กับเหตุการณ์ในปีนั้นนางทราบมาไม่น้อย 


 


 


           “เรากับเซี่ยอิงมีนิสัยเข้ากันได้ดี ต่างฝ่ายต่างเห็นเป็นพี่น้อง ตอนนั้นเราเป็นเพียงแค่ลูกชายของนางสนองพระโอษฐ์คนหนึ่ง ในบรรดาโอรสมากมายของอดีตฮ่องเต้ย่อมมีฐานะต่ำต้อยที่สุด เขาเป็นทายาทจวนจงหย่งโหวของตระกูลเซี่ย เทียบกับเราซึ่งเป็นลูกชายในราชวงศ์แล้ว เขาต่างหากที่เป็นลูกรักของสวรรค์โดยแท้จริง สิ่งเดียวที่เราเทียบกับเขาได้คือความสามารถ” ฮ่องเต้ตรัสอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินพระองค์ตรัสถึงบิดาของตน จึงหันกายกลับมาเชื่องช้า 


 


 


           “พวกเราถูกใจบุตรีตระกูลชุยเหมือนกัน คนหนึ่งคือตระกูลชุยแห่งชิงเหอ คนหนึ่งคือตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิง สองฝ่ายต่างมีความรู้สึกตรงกัน ทว่าชะตาชีวิตของเราเทียบเขามิได้ เรามิได้สมรสกับสตรีผู้เป็นที่รัก ทำได้เพียงมองนางออกเรือนกับผู้อื่น และคนผู้นั้นเป็นพี่ชายคนโตของเรา” ฮ่องเต้ตรัสอีก “ส่วนเขาก็สมปรารถนา ได้สมรสกับสตรีผู้เป็นที่รัก เราไหนเลยจะยอมได้” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาฟังถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยว่า “ดังนั้นพระองค์จึงสร้างสถานการณ์ สังหารบิดาหม่อมฉัน” 


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์และทั้งส่ายพระเศียร “ทุกคนในหนานฉิน กระทั่งทุกคนในใต้หล้าล้วนคิดว่าเซี่ยอิงกับภรรยาถูกข้าสังหาร เดิมทีเราอยากกำจัดตระกูลเซี่ยอยู่แล้ว ที่ผ่านมาจึงมิเคยแก้ตัว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 


 


 


           “ตอนนั้นเราอยากกำจัดตระกูลเซี่ย ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้เซี่ยอิงไปปลดอาวุธผู้ก่อกบฏ ทว่าระหว่างที่ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ เราใจไม่แข็งพอ สั่งคนส่งจดหมายลับไปหาเขา บอกให้เขารีบถอนกำลังกลับเมืองมาโดยด่วน แต่เขาบอกว่าหากถอนกำลังออกมา แผ่นดินหนานฉินก็จะมีภัย สาบานว่าถึงตายก็ไม่ยอมกลับ สุดท้ายแล้วก็สิ้นชีพลง” ฮ่องเต้ตรัส  


 


 


           ระหว่างที่เซี่ยฟางหวากำลังฟัง ในดวงตาก็มีม่านหมอกรวมตัวกัน ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็น “หม่อมฉันจะเชื่อได้อย่างไรว่าพระองค์มิได้โกหก” 


 


 


           “เจ้าก็บอกแล้ว ถ้อยคำของคนใกล้ตายมักกลั่นออกมาจากใจ” ฮ่องเต้ตรัส “เรามีเหตุผลใดต้องโกหกเจ้าด้วย” ตรัสจบ พระองค์ก็ทรงเคาะแท่นบรรทม ชี้ลงไปยังข้างใต้ “ในนี้มีช่องลับ มีจดหมายที่บิดาเจ้าเขียนด้วยตนเองอยู่” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินมาสองก้าว เมื่อมาถึงหน้าแท่นบรรทมก็เปิดช่องลับตามที่ฮ่องเต้ทรงชี้ตำแหน่ง กระดาษจดหมายค่อนไปทางเหลืองหล่นลงมาจากข้างใน นางมองแวบหนึ่ง เปิดจดหมายออก ตัวอักษรข้างในมองปราดเดียวก็ยืนยันได้ทันที 


 


 


           ถ้อยคำเรียบง่าย ตัวหนังสือหวัด บ่งบอกว่าเขียนขึ้นตอนกำลังรีบ 


 


 


           แต่มั่นใจว่าเป็นลายมือของบิดาตนแน่นอน ในห้องหนังสือจวนจงหย่งโหว ตอนยังเด็กนางมักคัดลอกลายมือของบิดาเป็นประจำ 


 


 


           น้ำตาคลอหน่วยในทันที  


 


 


           “เรามิได้โกหกเจ้าเห็นไหม…” ฮ่องเต้ตรัสพลางก็ทรงพระกาสะขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ก่อนพับเก็บจดหมายให้ดี “จดหมายฉบับนี้ในเมื่อเป็นจดหมายที่บิดาหม่อมฉันเขียนฉบับสุดท้าย…” 


 


 


           “ยกให้เจ้า” ฮ่องเต้ตรัสแทรก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเก็บจดหมายในอกเสื้ออย่างระวัง มองฮ่องเต้แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อตายเพื่อหนานฉิน ก่อนตายขอให้พระองค์ปล่อยตระกูลเซี่ยไป ทว่าพระองค์ก็มิได้ปล่อยตระกูลเซี่ย” 


 


 


           “หากไม่มีจดหมายฉบับนี้ ไม่มีการสละชีพเพื่อหนานฉินของเขา เจ้าคิดว่าเจ้ากับพี่ชายเจ้าจะเติบโตมาได้อย่างปลอดภัยหรือ” ฮ่องเต้ทรงมองนาง “หลายปีก่อนเจ้ากับพี่ชายเจ้ายังเด็ก เรือนใหญ่ลอบลงมือกับจวนจงหย่งโหวทั้งต่อหน้าและลับหลัง โหวเหยียผู้เฒ่าเหนื่อยจะรับมือด้วยแล้ว หากเราฉวยโอกาสนั้นลงมืออย่างเด็ดขาด ตระกูลเซี่ยคงไม่เหลืออยู่ตั้งนานแล้ว และเห็นแก่การตายของบิดาเจ้ากับจดหมายฉบับนี้ของเขา เราจึงรอต่อไปอีกหลายปี นับว่าตอบแทนบุญคุณพี่เซี่ยอิงแล้วเช่นกัน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           “เอาเถอะ ไหนๆ เราก็ใกล้ตายแล้ว พูดเรื่องพวกนี้แล้วยังมีความหมายใด ชีวิตนี้ของเรานับว่าล้มเหลว พี่น้องไร้เยื่อใย สามีภรรยาไร้เยื่อใย พ่อลูก…” ฮ่องเต้ทรงปิดเปลือกตาลง “ในใจรัชทายาท เราสำคัญมิเท่าเจ้า” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันกายกลับ เดินออกไปข้างนอก 


 


 


           ฮ่องเต้ทรงลืมตาขึ้น พบว่านางเดินออกไปแล้วก็มิได้ตรัสห้าม  

 

 


ตอนที่ 106-2 พระราชโองการสั่งเสีย

 

เซี่ยฟางหวาออกมาจากในตำหนัก พบฉินอวี้ที่ถือพระราชโองการสั่งเสียในมือกำลังรออยู่หน้าประตู รวมไปถึงอิงชินอ๋องกับพระชายาที่อู๋เฉวียนไปเชิญมาด้วยตนเองด้วย 


 


 


           ทั้งสามยืนอยู่นอกตำหนักด้วยความสงบ ประตูตำหนักมิได้ปิดไว้ มิทราบว่าพวกเขามายืนรออยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด และมิทราบว่าถ้อยคำเมื่อครู่นั้นพวกเขาได้ยินไปมากแค่ไหน 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองทั้งสาม ก่อนทำความเคารพอิงชินอ๋องกับพระชายา “ท่านอ๋อง พระชายา” 


 


 


           อิงชินอ๋องพยักหน้า          


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องอ้าปากค้าง ผ่านไปเนิ่นนานถึงหาเสียงพบ “หวาเอ๋อร์ เจ้า…” 


 


 


           “ข้าสบายดี ท่านรักษาตัวด้วย” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็หันไปกล่าวกับฉินอวี้ “จัดที่พักในวังหลวงให้ข้าแล้วกระมัง” 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนตวัดมือเรียกคนมาสั่งงาน “พาคุณหนูฟางหวาไปพักในตำหนักข้าที่เตรียมไว้ ต้อนรับอย่างดี อย่าได้ละเลย” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นผงกศีรษะรับ ก่อนกล่าวด้วยความเคารพ “คุณหนูฟางหวา เชิญตามบ่าวมา” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า คนผู้นั้นเดินนำทางข้างหน้า นางค่อยๆ ก้าวเท้าตามไปอย่างเชื่องช้า 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดินตามหลังนางขนาบซ้ายขวา 


 


 


           พระชายาก้าวขึ้นมาคิดอยากเอ่ยรั้ง ทว่าอิงชินอ๋องคว้ามือนางแล้วส่ายหน้าปราม นางจึงหยุดเท้าลง 


 


 


           อู๋เฉวียนลอบละสายตากลับมา เลิกม่านเข้าในตำหนัก ก่อนทูลรายงานขึ้น “ฝ่าบาท รัชทายาท ท่านอ๋อง และพระชายามาถึงแล้ว กำลังรออยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ให้พวกเขาเข้ามา” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์อย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


           อู๋เฉวียนเดินออกมาเชิญทั้งสามเข้าไปข้างใน 


 


 


           ฉินอวี้ อิงชินอ๋อง และพระชายาเข้าไปในตำหนัก 


 


 


           ฮ่องเต้หยุดสายตาลงบนกายพระชายาอิงชินอ๋อง แววตาเลื่อนลอยไกลออกไป คล้ายกำลังทรงมองนาง และคล้ายมองผ่านนางไป 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องหยุดเท้าชะงัก มองฮ่องเต้จากระยะไกล เมื่อเห็นสภาพของพระองค์แล้วก็พลันหวนนึกถึงเมื่อตอนนั้น ความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีมานานหลายปีทะลักออกมา 


 


 


           อิงชินอ๋องราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ มิได้ส่งเสียงใด 


 


 


           ฉินอวี้เองก็มิได้ส่งเสียงใดเช่นกัน 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง แววตาของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น เลื่อนสายตากลับมาตรัสกับอิงชินอ๋อง “ท่านพี่ ท่านมีโชคชะตา วาสนา และชีวิตดีกว่าเรามาก” 


 


 


           “น้องกล่าวถูกแล้ว” อิงชินอ๋องพยักหน้า 


 


 


           “ตลอดชีวิตนี้ เรามีฐานะเป็นฮ่องเต้แต่ก็เอาแต่อิจฉาผู้อื่น ครึ่งชีวิตแรกก็อิจฉาเซี่ยอิง ครึ่งชีวิตหลังก็อิจฉาท่าน” ฮ่องเต้ตรัสอีก “ตอนนี้เรามาถึงนาทีสุดท้ายแล้ว นับว่าหลุดพ้นเสียที” 


 


 


           “น้องอย่าเพิ่งท้อ อาการประชวรของเจ้าต้องหายดีแน่” อิงชินอ๋องรีบกล่าวด้วยตาแดงก่ำ 


 


 


           ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ “ท่านพี่มีเมตตากรุณา ใจบุญสุนทาน หลายปีมานี้ต่อให้ทราบว่าเราถวิลหาจื่อชิงตลอดมา ท่านก็ไม่แม้แต่จะสอดปากสักครึ่งคำ ทุ่มเททุกสิ่งให้แผ่นดินหนานฉินเพื่อให้เราเป็นฮ่องเต้ที่ดี เรียกได้ว่ายอมอุทิศตัวเอง และด้วยเหตุผลนี้เอง หลายปีที่ผ่านมาต่อให้เราคิดรับมือตระกูลเซี่ยทุกคืนวัน คิดกำจัดตระกูลเซี่ย แต่ก็มิเคยคิดลงมือกับจวนอิงชินอ๋องมาก่อน มิใช่เพียงเพราะอิงชินอ๋องมีสตรีที่เรารักอาศัยอยู่” 


 


 


           อิงชินอ๋องอ้าปากค้าง มิได้เอ่ยคำใดออกมา 


 


 


           “มีท่านอยู่ ถึงแม้หนานฉินในตอนนี้ปั่นป่วนและถูกรุกรานจากภายนอก ต่อให้เราจากไปแล้ว ถึงอยู่ในปรโลกก็สบายใจแล้วเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัสอีก “เราฝากรัชทายาทกับแผ่นดินหนานฉินนี้ไว้กับท่านแล้ว” 


 


 


           “น้องพี่” ในที่สุดอิงชินอ๋องก็ทนมิไหว น้ำตาไหลออกมา 


 


 


           “ท่านเห็นรัชทายาทเติบโตมา แม้เขากับเจ้าเจิงต่างไม่ลงรอยกัน แต่หากเป็นเรื่องสำคัญก็มิเคยเลอะเลือน” ฮ่องเต้ตรัสจบก็ถอยหายใจออกมา “ยังไม่มีข่าวคราวของเจ้าเจิงอีกหรือ” 


 


 


           “ยังเลย” อิงชินอ๋องส่ายหน้า 


 


 


           “เราให้ท้ายเขาตลอดมาก็จริง แต่ก็ชอบเขาด้วยเช่นกัน ในราชวงศ์มีคนต้นแบบอยู่มากมาย แต่คนที่เย่อหยิ่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ โอ้อวด ไม่เอาจริงเอาจังอย่างที่สุดกลับมีน้อยมาก” ฝ่าบาทตรัสอีก “ดูท่าคงมิได้พบหน้าเขาครั้งสุดท้ายแล้ว หลังเขากลับมา ให้เขาเผากระดาษสองแผ่นต่อหน้าสุสานเราด้วย พร้อมจุดธูปหนึ่งดอก เท่านี้ก็ไม่เสียแรงที่เราให้ท้ายเขามาหลายปีถึงเพียงนี้” 


 


 


           “ในใจเขาระลึกถึงสิ่งที่เสด็จอาดีกับเขาได้ มิใช่ไม่รู้ความจริงๆ ข้าจะ…บอกเขาให้” อิงชินอ๋องพยักหน้าทั้งน้ำตา  


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนมองไปยังฉินอวี้ 


 


 


           “เสด็จพ่อ” ฉินอวี้คุกเข่าหน้าแท่นบรรทมอีกครั้ง ยื่นพระราชโองการให้พระองค์ “ลูกนำมาแล้ว” 


 


 


           ฮ่องเต้มองพระราชโองการที่ยังมิได้เปิดออก ก่อนตรัสถามเขา “เจ้ายังไม่เปิดดูหรือ” 


 


 


           ฉินอวี้ส่ายหน้า 


 


 


           “หากเราตอบรับคำขอร้องของเจ้า แต่ถอนตำแหน่งรัชทายาท ไม่ยกแผ่นดินหนานฉินให้เจ้าเล่า” ฮ่องเต้ทรงมองเขา  


 


 


           “ลูกมิเสียใจ” ฉินอวี้ก้มหน้าลง 


 


 


           “มิเสียใจก็ดี” ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมา “เจ้าเปิดพระราชโองการดู” 


 


 


           ฉินอวี้รับคำ ก่อนค่อยๆ เปิดพระราชโองการอ่าน 


 


 


           เบื้องหน้าเป็นพระราชโองการสั่งเสียของฮ่องเต้ รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ แต่งตั้งอิงชินอ๋องเป็นอ๋องช่วยบริหารแผ่นดิน 


 


 


           “เสด็จพ่อ…” ฉินอวี้ถือพระราชโองการสั่งเสียพลางมองฝ่าบาท 


 


 


           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนตรัสกับอู๋เฉวียน “เราได้ยินเสียงข้างนอก พวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวามากันแล้วใช่หรือไม่ ให้พวกเขาเข้ามา” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรีบออกไป 


 


 


           นอกตำหนักเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว ผู้ตรวจการ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลินและขุนนางตำแหน่งสำคัญในราชสำนักดังคาด รวมถึงฮองเฮา หลินไท่เฟย องค์ชายแปด และองค์ชายน้อยกับองค์หญิงหลายท่านที่ทราบข่าวต่างมาถึงแล้ว และกำลังรออยู่นอกตำหนัก 


 


 


           หลังอู๋เฉวียนออกไปก็นำทุกคนเข้ามาในตำหนักบรรทม 


 


 


           ตำหนักบรรทมฮ่องเต้ที่เคยกว้างขวางเบียดเสียดไปด้วยผู้คนจำนวนหนึ่งทันที 


 


 


           ฮ่องเต้ปรายตามองทุกคนรอบหนึ่ง ก่อนเรียกฮองเฮามา “ฮองเฮา มานี่สิ” 


 


 


           “ฝ่าบาท” ฮองเฮามีพระเนตรบวมช้ำ ราวกับกลั้นความรู้สึกเต็มที่ ทรงเดินไปข้างพระวรกายฮ่องเต้ 


 


 


           ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์กุมมือนาง “หลายปีที่ผ่านมา เราขอโทษเจ้าด้วย” 


 


 


           “ฝ่าบาท…” ในที่สุดฮองเฮาก็ร้องไห้ออกมาเพราะทนมิไหว ถึงอย่างไรนางก็ชอบฮ่องเต้จากใจจริง ถึงแม้วันก่อนฮ่องเต้มิทรงพบนาง แม้ในใจนางแค้นเคือง แต่ก่อนที่จะจากลากันตลอดกาล ที่สุดแล้วก็สะกดกลั้นมิอยู่ มิได้บรรทมเลยตลอดคืน กระทั่งมีคนไปเชิญและบอกว่าฮ่องเต้ทรงเรียกหานาง นางจึงเสด็จมา 


 


 


           “เจ้าเป็นสตรีที่ดี เพียงแต่ต้องออกเรือนกับเรา ย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้จึงทุกข์ทรมานมาหลายปี หลังจากนี้พอเราไปแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว จงเป็นไทเฮาอย่างสบายใจและมีความสุขเถิด” ฮ่องเต้ทรงลูบมือนาง 


 


 


           ฮองเฮาร้องไห้หนักด้วยความเศร้าใจ 


 


 


           ฮ่องเต้อยากยื่นพระหัตถ์ไปลูบศีรษะนางเพื่อปลอบประโลม กลับยกพระหัตถ์ไม่ไหวแล้ว จึงถือโอกาสนี้มองไปยังไท่เฟย “ไท่เฟย ท่านถูกกักขังอยู่ในวังหลวงมาทั้งชีวิตแล้ว องค์ชายแปดแม้ยังไม่ถึงวัยที่จะออกไปสร้างจวนข้างนอก แต่ครั้งนี้เราอนุญาตให้เขาออกไปสร้างจวนได้ก่อน ท่านย้ายออกไปอยู่ในจวนองค์ชายแปดแล้วใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบเถิด” 


 


 


           “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ไท่เฟยเองก็ร้องไห้เช่นกัน 


 


 


           “องค์ชายแปดก็ต้องกตัญญูต่อไท่เฟย หากไม่มีนางก็ไม่มีเจ้า” ฮ่องเต้ตรัสอีก 


 


 


           “ลูกน้อมรับพระประสงค์ของเสด็จพ่อ” ฉินชิงก็ปล่อยน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างทนไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกลั้นเสียงสะอื้นมิให้เล็ดลอดออกมา 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายขวา หย่งคังโหว…” ฮ่องเต้ทรงมองไปยังขุนนางตำแหน่งสำคัญในราชสำนักตามลำดับ “เรามิใช่ฮ่องเต้ที่ดีนัก พันปีให้หลังมิได้สร้างคุณูปการอันใด ขุนนางทุกท่านติดตามเราก็มีแต่ประสบชื่อเสียงแง่ลบ เราขอโทษพวกเจ้าด้วย” 


 


 


           “ฝ่าบาท…” ทุกคนคุกเข่ากับพื้น ต่างโศกเศร้าอาดูร 


 


 


           “หลังเราตายไปรัชทายาทจะสืบทอดบัลลังก์ โองการสั่งเสียอยู่ในมือรัชทายาทแล้ว พวกเจ้าต้องคอยช่วยเหลือรัชทายาท รักษารากฐานแผ่นดินหนานฉินสืบต่อไป” ฮ่องเต้ตรัสพลาง น้ำเสียงพลันอ่อนแรงลง สิ้นกำลังจะประคับประคองต่อไป “เรา…ฝากแผ่นดินหนานฉินไว้กับพวกเจ้าแล้ว…” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม