วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 10.11-11.6

 ตอนที่ 10-11 




ชานกัดฟันกรอดพลางก้มลงมองพระสนมเอก แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น เศษกระเบื้องอันแหลมคมทะลุผ้าเข้าไปบาดหัวเข่าจนเลือดออก แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย ราวกับไม่รู้สึกได้แม้กระทั่งความเจ็บปวด 


 


 


“หากกระหม่อมได้ขึ้นครองราชบัลลังก์จะถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ได้นั่งในตำแหน่งพระพันปีที่ทรงประสงค์และใช้อำนาจได้เต็มที่ รวมถึงจะมอบยศตำแหน่งขุนนางของท่านตาคืนให้ด้วย เท่านี้ก็น่าจะเป็นการตอบแทนที่เพียงพอแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


บนมือเรียวของพระสนมเอกสวมแหวนอยู่มากมายจนดูอ่อนแรงเกินกว่าจะจัดการเรื่องนั้นได้ มือสั่นเทานั้นถูกยกสูงขึ้นไปกลางอากาศ พระสนมเอกที่ไม่กล้าตบตีเขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เลือดแดงฉานของลูกชายแผ่กระจายไปบนพรมสีขาวราวกับหิมะที่กองอยู่ตรงหน้าต่าง 


 


 


“กว่าแม่คนนี้จะได้อำนาจมาอยู่ในมือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามือนี้เปื้อนเลือดมามากขนาดไหน องค์รัชทายาท” 


 


 


“เสด็จแม่ทรงต้องการอะไรอีกไหมพ่ะย่ะค่ะ เพชรพลอย? หรือว่าน้ำมันหอมอันล้ำค่าที่มีหนึ่งเดียวในโลก?” 


 


 


“…เจ้าออกไปเสียเถอะ ข้าขอลองคิดดูสักหน่อยแล้วจะส่งข่าวกลับไป” 


 


 


แค่บอกว่าจะลองคิดดู แต่ดูเหมือนว่าชานจะเข้าใจว่ามันหมายถึงการตกลงยินยอม หลังจากที่เห็นเขาปัดชุดแล้วลุกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่สดใสขึ้นในชั่วพริบตาก่อนจะเดินออกไปข้างนอกอย่างอารมณ์ดี เหล่าข้าราชบริพารตกใจกับสภาพของชานที่ออกมาข้างนอก เพราะมีคราบน้ำชากับเลือดติดเต็มตัวไปหมด แต่เขากลับไปยังวังจงซูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


“คือว่า พระสนมเอกเพคะ” 


 


 


“ออกไปซะ ค่อยมาทำความสะอาดทีหลัง” 


 


 


เหล่านางในที่เข้ามาเพื่อทำความสะอาดภายในห้องที่เละเทะไปหมดเรียกพระสนมเอก แต่ก็ต้องถอยกลับไปอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะเสียงอันเฉียบคม นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระสนมเอกต้องการ นางเพียงแค่ต้องการที่จะปกป้องลูกชายเท่านั้น มันผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกันนะ ในความทรงจำของพระสนมเอกที่รำลึกถึงอดีตปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งกับตัวนางเองที่นั่งอยู่ข้างหน้านั้นขึ้นมาอย่างชัดเจน 


 


 


 


 


 


‘เจ้าบอกว่าหมู่นี้ ความโปรดปรานของฝ่าบาทไม่เหมือนแต่ก่อนอย่างนั้นหรือ’ 


 


 


เครื่องประดับที่ติดอยู่ตรงปลายเล็บกระทบกัน และส่งเสียงนุ่มนวลออกมาทุกครั้งที่พระมเหสีขยับนิ้ว 


 


 


‘หม่อมฉันจะรักษาความโปรดปรานเช่นนั้นไว้ได้อย่างไรเพคะ’ 


 


 


คำตอบที่ใจเย็นของพระสนมเอกมุน ทำให้มือของพระมเหสีหยุดเล่นสนุกและย่นหน้าผากสวยราวกับอึดอัดใจ 


 


 


‘เจ้านี่ก็ช่าง เรื่องความโปรดปรานเป็นปัญหาเสียที่ไหนเล่า ไม่รู้หรืออย่างไรว่าสิ่งนั้นแหละที่ทำให้บุตรชายของเจ้า องค์ชายสองถูกผลักออกไปและทำให้องค์ชายสามได้เป็นองค์รัชทายาท!’ 


 


 


‘…นั่นอาจจะไม่ใช่พระประสงค์ของฝ่าบาทก็ได้นะเพคะ’ 


 


 


พระมเหสีมองดูพระสนมเอกมุนที่ไม่ไขว้เขวแม้แต่น้อยด้วยแววตาเวทนา ท่าทางที่หนักแน่นแบบนี้ และท่าทางคล้ายผู้ชายซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องกฏเกณฑ์ข้อบังคับ โดยไร้ซึ่งชั้นเชิงในการยั่วผู้ชายและเล่ห์กลในการใช้ประโยชน์จากรอบข้างอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้พระราชาเหินห่างออกไปก็ได้ 


 


 


‘องค์ชายสองวางตัวสง่าและมีความปราดเปรื่องไม่สมกับอายุ เขาอาจจะเหมือนเจ้าก็ได้’ 


 


 


‘หมายความว่าอย่างไรหรือเพคะ’ 


 


 


‘หากองค์ชายสามได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ องค์ชายสองก็อาจจะขู่เข็ญองค์ชายสามโดยไม่คำนึงถึงเจตจำนงของตนเอง ซึ่งจุดจบขององค์รัชทายาทที่ถูกผลักลงมาจากตำแหน่งก็คงจะไม่พ้นการตายที่ผิดธรรมชาติ’ 


 


 


ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดเช่นนั้น ในเมื่อไม่ได้เป็นองค์รัชทายาท ความเฉลียวฉลาดของชานจึงกลับกลายเป็นภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของเขา ประวัติศาสตร์มักจะบ่งบอกถึงอนาคตที่ใกล้เข้ามาเสมอ และประวัติศาตร์ของประเทศชาติซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดกำลังบอกว่าเลือดของบุตรชายจะต้องหลั่งลงบนนั้น 


 


 


แววตาของพระสนมเอกมุนซึ่งสั่นไหวเป็นครั้งแรกทำให้มุมปากของพระมเหสีซึ่งกำลังมองนางอยู่โค้งขึ้นด้วยความพึงพอใจ เกือบจะสำเร็จแล้ว จะมีอะไรที่จัดการได้ง่ายดายเท่ากับแม่ผู้มีลูก 


 


 


‘ข้ารักองค์ชายสองมากนะ แม้ในความเป็นจริงองค์ชายหนึ่งจะเป็นบุตรแท้ๆ ของข้า แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ราชบัลลังก์เลย แค่ลุกขึ้นมานั่งยังลำบากเลยไม่ใช่หรือ หากเจ้าได้รับความโปรดปรานกลับคืนมาอีกครั้งก็จงช่วยเหลือองค์ชายสองให้เต็มทีเสียเถอะ’ 


 


 


‘แล้วหม่อมฉันจะสามารถเรียกความโปรดปรานที่หมดไปแล้วให้กลับมาได้อย่างไรเพคะ’ 


 


 


‘ข้าบอกแล้วไงว่าจะช่วย ทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของประเทศชาติของเรา องค์ชายสามมีนิสัยขี้ใจอ่อนอยู่แล้วจึงไม่น่าเกินกำลังความสามารถหรอก’ 


 


 


พระมเหสีหยิบถุงขนาดเล็กออกมาจากหน้าอก พร้อมกระซิบอย่างอ่อนหวาน นางเปิดสิ่งนั้นด้วยท่วงท่าที่งดงามและคว่ำมันลงบนฝ่ามือ ปรากฏให้เห็นขวดสีขาวที่มีขนาดเล็กกว่านิ้วมือ 


 


 


‘ไร้รส ไร้กลิ่น ไม่ทิ้งร่องรอยเหมือนกับปลาในน้ำจึงเรียกกันว่าปลาใต้น้ำ จงเอาสิ่งนี้ให้พระสนมเอกยอนกินซะ’ 


 


 


‘ไม่ได้เพคะ!’ 


 


 


พระสนมเอกมุนกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัวพลางส่ายหน้า วางยาพิษพระสนมเอกยอนอย่างนั้นหรือ นางรู้ดีกว่าใครว่าคนที่ชานพึ่งพิงยิ่งกว่าตนผู้เป็นแม่คือพระสนมเอกยอน แม้ว่าจะไม่แสดงออกและเพิกเฉยใส่เสมอ แต่นางก็รู้สึกขอบใจพระสนมเอกยอนจากใจจริงที่คอยปลอบประโลมจิตใจของลูกชายตนเองอยู่เสมอ 


 


 


‘ใจร้อนอะไรกันเล่า ข้าบอกตอนไหนหรือว่าจะให้ฆ่า’ 


 


 


พระมเหสีคลี่มือของพระสนมเอกมุนที่กำไว้แน่นและยัดขวดเล็กๆ นั่นใส่มือ 


 


 


‘หนึ่งหยดจะทำให้เป็นอัมพาตไปทั้งตัว สองหยดจะทำให้หมดสติและหลับใหลยาวนาน ส่วนสามหยดจะทำให้ตาย ใช้แค่สองหยดก็พอ ถ้าอย่างนั้นแล้วพระสนมเอกยอนก็จะไม่ตื่นขึ้นมาเป็นเวลาสิบวัน ในระหว่างนั้นเจ้าจงอยู่เคียงข้างฝ่าบาทและฟื้นคืนความรักของพระองค์มาให้ได้’ 


 


 


นิ้วมือที่รับมันมาเหมือนถูกสะกดด้วยอะไรบางอย่าง ทั้งที่ในตอนนั้นนางไม่ได้สวมแหวนอยู่เลย 


 


 


แต่ทว่าหลังจากที่พระสนมเอกยอนที่นอนสลบไสลจากโลกนี้ไปด้วยมีดของผูู้ลอบสังหาร พระสนมเอกก็เริ่มยึดติดกับสิ่งของหรูหราอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพชรพลอยและมู่ลี่ที่รวบรวมมาได้ทั้งจากทรัพย์สมบัติของครอบครัว หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็ยังไม่ทำให้นางรู้สึกว่าเพียงพอ ราวกับว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพื่ออำพรางกลิ่นคาวเลือด 


 


 


ยอมแพ้กับการเป็นมนุษย์และกลายเป็นปีศาจ ในระหว่างที่นางกำลังดิ้นรนเพื่อช่วยเหลือลูกชาย พระมเหสีก็สวมหน้ากากของแม่ที่รักและเมตตาเลี้ยงดูองค์ชายสามด้วยความเอาใจใส่ จนสุดท้ายก็ทำให้องค์ชายสามได้เป็นองค์รัชทายาท 


 


 


มันคือการต่อสู้ที่ไม่สามารถเทียบกันได้อยู่แล้วตั้งแต่แรก แต่ในตอนสุดท้ายผู้ที่ชนะก็คือพระสนมเอก นางคิดเช่นนั้นในตอนที่ชานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทไร้ซึ่งผู้ที่จะมาสั่นคลอนตำแหน่ง 


 


 


แต่สุดท้ายแล้วชานก็ตาย จิตใจของชานเริ่มตายจากไป แหวนมากมายที่ถูกถอดออกจากนิ้วมือของพระสนมเอกถูกโยนลงไปบนรอยเลือดของลูกชายที่ซึมอยู่บนพรมสีขาวราวกับน้ำตา 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 11-1 


 


 


 


 


 


“เฮงซวยเอ๊ย หิมะก็กระหน่ำตกลงมาเสียจริง” 


 


 


โฮจินที่ถือพลั่วออกมาโกยหิมะยืดเอวขึ้นพร้อมกับสบถออกมาอย่างรุนแรง 


 


 


“ปากน่ะ” 


 


 


ชายหนุ่มที่กำลังคุมไฟของหม้อต้มยาอย่างจริงจังที่สวนหน้าบ้านพูดใส่เขาหนึ่งคำโดยไม่ใส่ใจ โฮจินจึงส่งเสียงชิออกมาและเริ่มโกยหิมะอีกครั้งหนึ่ง ส่วนปากก็ไม่ลืมที่จะบ่นไปเรื่อยเปื่อยว่าแชยอนรออยู่นะทำไมเจ้านั่นถึงยังไม่ตื่นอีก 


 


 


“ทั้งสองท่านมาทานข้าวเถอะเจ้าค่ะ” 


 


 


ช่างเป็นเสียงพูดที่น่ายินดี โฮจินปาพลั่วทิ้งก่อนจะวิ่งไปแย่งสำรับอาหารที่หนักมาจากมือของยอนฮวาในทันที 


 


 


“ท่านขอรับ ข้าบอกแล้วไง จะใช้มืออันบอบบางเช่นนี้จะมาถือของที่หนักกว่าตะเกียบไม่ได้นะ” 


 


 


“ปาก!” 


 


 


ชายหนุ่มที่ยังคงจับจ้องหม้อต้มยาส่งเสียงดังออกมาแทนยอนฮวาที่รู้สึกขนลุกกับคำพูดแทะโลม 


 


 


“ที่นี่ต้องพูดเพราะขนาดไหนหรือขอรับ ท่านหมอ” 


 


 


“…ท่านพี่” 


 


 


“อ่อ ขอรับ ท่านพี่” 


 


 


ใบหน้าที่เงยขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วเพราะคำที่เรียกว่าท่านหมอเหมือนกับรยูฮาเป๊ะๆ บุตรชายคนที่สองของครอบครัวตระกูลซอ ซอฮาแบค เขาอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นด้านศิลปะการต่อสู้เหมือนกับพ่อแม่ แต่มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ แต่ด้วยเหตุนั้นทำให้เขามาอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาลึกและได้รับหน้าที่ให้ดูแลฮอนด้วยกันกับโฮจิน 


 


 


“ท่านฮาแบค มาทานด้วยกันสิเจ้าคะ” 


 


 


“ข้าขอทำอันนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกินขอรับ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วขอรับ” 


 


 


นางค่อนข้างรู้สึกอึดอัดใจกับฮาแบคที่พูดคำสุภาพกับตนเองซึ่งเป็นอย่างมากสุดก็แค่ชนชั้นกลางอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เริ่มจะคุ้นชินมากขึ้นแล้ว ยอนฮวากล่าวว่าถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะตั้งสำรับให้ใหม่นะเจ้าคะ จากนั้นจึงนั่งลงตรงข้ามกับโฮจินและถือช้อนกับตะเกียบขึ้นมา ท่าทางของนางค่อนข้างแตกต่างจากวันแรกที่ใจเต้นตุบๆ เพราะไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรเมื่อร่วมโต๊ะอาหารกับผู้ชาย เพราะนางคืออดีตนางในที่ไม่เคยร่วมโต๊ะกับชายอื่นมาก่อน 


 


 


“อีกเดี๋ยวช่วยเติมน้ำลงในหม้อให้หน่อยได้ไหมขอรับ” 


 


 


“จะเช็ดตัวฝ่าบาทอีกแล้วหรือขอรับ” 


 


 


“พระวรกายขอรับ!” 


 


 


“เฮ้อ จะพระวรกายหรือตัว ต่างก็เอาใจใส่กันทั้งคู่นั่นแหละขอรับ ท่านก็ด้วย” 


 


 


ยอนฮวาเหลือบมองโดยไม่พูดอะไรก่อนจะถือช้อนกับตะเกียบขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นบ้านพักชั่วคราวที่เดินทางมาพักโดยไม่มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติ งานที่ยอนฮวาจะต้องทำจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน แม้จะเทียบไม่ได้กับการใช้ชีวิตในพระราชวังที่ได้นอนหลับในห้องที่หญิงรับใช้ปัดกวาดเช็ดถูไว้แล้ว หลังจากเตรียมสำรับอาหารเมื่อถึงเวลาเสวยและทำงานเสร็จ แต่ยอนฮวาก็ชอบช่วงเวลาในตอนนี้ แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหากฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา 


 


 


“เจ้านั่นแหละปัญหา ปากของเจ้านั่นแหละที่เป็นปัญหาที่สุด จะว่าไม่ได้ร่ำเรียนก็ไม่ใช่ แล้วทำไมถึงไม่ปรับปรุงแก้ไขเรื่องนั้นเสียทีล่ะ” 


 


 


ฮาแบคถือหม้อต้มยามาอย่างระมัดระวังและวางไว้ที่มุมหนึ่ง แล้วเขกหน้าผากของโฮจิกด้วยช้อนที่ถืออยู่ในมือ แม้จะไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้นแต่ก็รู้สึกแย่อยู่ดี ขนาดตีแรงๆ โฮจินยังรู้สึกเหมือนถูกมดกัด ไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ตีโฮจินได้เลย 


 


 


“อ้า ท่านหมอนี่ จริงๆ เลย!” 


 


 


“จงใจพูดว่าท่านหมอใช่ไหม” 


 


 


“ตอนนี้เพิ่งจะเข้าใจหรือขอรับ”  

 

 


ตอนที่ 11-2

 

ท้ายที่สุดช้อนก็ถูกฟาดลงมาบนหน้าผากของโฮจินอีกสองครั้ง จากนั้นจึงกลับไปทำหน้าที่เดิมนั่นคือใช้ตักข้าว เขาศึกษายาพิษมาหลายชนิดจึงสามารถใช้สมุนไพรได้อย่างชำนาญ แต่เขาไม่ใช่หมอ ทว่าผู้คนที่มาหาในบางครั้งมักจะมารับสมุนไพรตามอาการของโรคและเรียกเขาว่าท่านหมออยู่บ่อยๆ ซึ่งฮาแบครู้สึกไม่ชอบจนขนลุก 


 


 


“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านฮาแบค” 


 


 


น้ำเสียงของยอนฮวาที่เอ่ยถามด้วยความระมัดระวังเต็มไปด้วยความคาดหวัง ฮาแบคส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเบนสายตาไปยังเกล็ดหิมะที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง 


 


 


“ดูเหมือนว่าจะต้องนำสมุนไพรหลายชนิดมาเพิ่มอีกขอรับ แต่หิมะดันตกลงมาแบบนี้…” 


 


 


“แต่ถึงอย่างไรก็น่าทึ่งเจ้าค่ะ เพราะได้สมุนไพรที่ท่านฮาแบคเคี่ยวให้ ตอนนี้ฝ่าบาทจึงเสวยข้าวต้มได้เยอะขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“ฝ่าบาทคงจะทรงรับรู้ถึงความเอาใจใส่ของท่านด้วยเหมือนกันขอรับ” 


 


 


“ความเอาใจใส่นั้น ช่วยใส่ลงไปในกับข้าวด้วยได้ไหมขอรับ” 


 


 


เสียงของโฮจินซึ่งแทรกเข้ามาจากด้านข้างทำให้ยอนฮวาหน้าแดง คงจะเป็นเพราะไม่เคยเข้าไปในฝ่ายห้องเครื่อง จึงมีเพียงฝีมือการทำอาหารเท่านั้นที่ไม่พัฒนาขึ้นเลย แม้จะได้ทำอย่างอื่นมากมายก็ตาม ไม่ว่าจะอร่อยหรือไม่อร่อย ฮาแบคก็กินจนเกลี้ยงอย่างเงียบๆ แต่โฮจินมักจะต้องพร่ำบ่นและถูกตีหน้าผากก่อนจึงจะคลุกข้าวลงในน้ำแกงแล้วกินได้ 


 


 


“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยทำอาหารมาก่อนก็เลย…” 


 


 


“กลางป่ากลางเขาเช่นนี้ เท่านี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วขอรับ” 


 


 


ใบหน้าของฮาแบคที่ยิ้มพร้อมกับตบไหล่ยอนฮวาเบาๆ ช่างคล้ายคลึงกับรยูฮวาเสียจริง เพราะภาพของเจ้านายที่มักจะลูบหัวเบาๆ และบอกว่าไม่เป็นไรเมื่อนางทำผิดเสมอยังคงติดตาอยู่ น้ำตาจึงคลอขึ้นบนดวงตากลมโตอีกครั้ง 


 


 


“ร้องไห้อีกแล้วหรือขอรับ ข้าคิดว่าผู้หญิงสวยที่สุดก็ตอนร้องไห้นี่แหละ” 


 


 


“ถ้ากินเสร็จแล้วก็ไปโกยหิมะเถอะ” 


 


 


ฮาแบคใช้เท้าเตะไล่โฮจินให้ออกไปข้างนอกอย่างแรง ก่อนจะถือช้อนกับตะเกียบขึ้นมาอีกรอบ ยอนฮวารีบเช็ดน้ำตาและยัดข้าวที่เหลืออยู่ใส่ปากก่อนจะลุกออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ไม่มีใครเฝ้าอยู่ข้างๆ ฝ่าบาทนานพอสมควรแล้ว ข้าขอตัวไปดูสักครู่นะเจ้าคะ” 


 


 


เนื่องจากเป็นบ้านพักชั่วคราวของมหาเสนาบดีจึงเป็นที่ที่ใกล้เคียงกับที่หลบซ่อนมากกว่า ในเรือนนี้มีห้องหับเพียงห้าห้องกับสวนหน้าบ้านเล็กๆ เท่านั้น สถานที่ที่ยอนฮวามุ่งตรงไปคือห้องของฮอนซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของยอนฮวาก็ดังก้องท่ามกลางเกล็ดหิมะที่ตกลงมา 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“จะทรงทำเช่นนั้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงสัญญากับกระหม่อมแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เทียบกับฮวังควีบีซึ่งจิบชาอย่างผ่อนคลายแล้ว ก็พอรู้ได้เลยว่าจอนจูฮโยซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังข่มอารมณ์โกรธอยู่อย่างยากลำบากโดยไม่จำเป็นต้องสังเกต 


 


 


“อย่าได้รู้สึกไม่ยุติธรรมถึงขนาดนั้นเลย ตำแหน่งที่จะได้อยู่เคียงข้างองค์รัชทายาทก็มีเพียงแค่พระชายาที่ไหนกันเล่า” 


 


 


“ทั้งตำแหน่งพระชายาและตำแหน่งพระมเหสีต่างก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนี่พ่ะย่ะค่ะ! ทรงหลอกลวงกระหม่อมอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เคยตรัสว่าจะรับบุตรีของเขาเข้ามาเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท แต่พอมาถึงตอนนี้ทรงปฏิเสธคำสัญญานั้นราวกับหินผาและเปลี่ยนคำพูดอย่างนั้นหรือ ไม่เพียงแค่ไม่จัดพิธีคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ ทั้งยังรับพระชายาของรัชทายาทองค์ก่อนซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้วมาเป็นพระชายาอีก ดูท่าว่าฮวังควีบีจะทรงตั้งใจทำเช่นนี้อยู่แล้วตั้งแต่แรก จอนจูฮโยจ้องมองฮวังควีบีด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางหวาดกลัว 


 


 


“องค์รัชทายาทตรัสมาเช่นนั้น แล้วข้าจะมีอำนาจไปทำอะไรได้อีกเล่าเจ้ากรมการคลัง ให้นางเข้ามาเป็นนางสนมเสียเถอะ แล้วหากองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ นางก็จะได้เป็นพระสนมเอก” 


 


 


“จะทรงทำเช่นนี้กับกระหม่อมไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงทราบไหมว่ากระหม่อมรู้เรื่องอะไร…!” 


 


 


คำพูดของจอนจูฮโยถูกขัดด้วยฮวังควีบีซึ่งหลุดหัวเราะเยาะออกมาจึงไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ 


 


 


“รู้แล้วเจ้าจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ คิดว่ามาเปิดโปงเอาตอนนี้จะทำให้องค์ชายที่เหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวถูกตัดออกจากการสืบทอดราชบัลลังก์งั้นรึ หรือคิดจะตัดคอของข้าผู้ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ กันเล่า หืม เจ้ากรมการคลัง” 


 


 


น้ำเสียงของฮวังควีบีขึ้นๆ ลงๆ ราวกับคมมีดที่ละเมียดละไม 


 


 


“ผู้ที่จะมาแทนในตำแหน่งของเจ้ายังมีอีกตั้งมากมาย หากฝ่าบาททรงทราบว่าทรัพย์สมบัติของพระพันปีที่ถูกส่งมอบให้เพื่อช่วยเหลือราษฎรถูกใช้ไปกับอะไร คิดว่าพระองค์จะทรงปล่อยเจ้าไว้อย่างนั้นหรือ เจ้าควรนึกถึงบุตรีที่ยังอายุน้อยของเจ้าไว้ด้วยนะ” 


 


 


มันคือวิธีที่พระมเหสีเคยใช้กับนางเมื่อนานมาแล้ว หลังจากใช้คำพูดสวยหรูเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ จากนั้นก็ใช้วิธีการตรงกันข้าม ใช้จุดอ่อนในการทำให้ปิดปากสนิท แต่ถึงกระนั้นก็ย่อมมีสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ฮวังควีบีเหยียดมุมปากออกอย่างขมขื่น 


 


 


“หลังจากได้เข้ามาเป็นพระสนมเอกแล้วก็จงประคับประคองความโปรดปรานไว้ให้ดี ใครจะไปรู้ นางอาจจะประสูติองค์ชายและได้ตำแหน่งฮวังควีบีเหมือนข้าก็ได้ แล้วตำแหน่งพระมเหสีจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า ผู้ที่กุมอำนาจไว้ได้เป็นคนสุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นใคร ผู้นั้นนั่นแหละที่จะได้เป็นพระพันปี” 


 


 


จอนจูฮโยกลืนความต้องการที่อยากจะฉีกริมฝีปากที่ยิ้มอย่างเยือกเย็นตรงหน้านั้นลงไปแล้วลุกขึ้นยืน สิ่งที่ฮวังควีบีกล่าวถูกต้องหมดทุกอย่างจึงทำให้รู้สึกไม่ยุติธรรมและแค้นเคืองยิ่งกว่าเดิม สักวันหนึ่งข้าจะล้างแค้นให้กับความอับอายขายหน้านี้ ฮวังควีบีมองดูเบื้องหลังของจอนจูฮโยซึ่งกัดฟันกรอดแล้วหายลับออกไปข้างนอก จากนั้นจึงลบรอยยิ้มทิ้งไปและพิงตัวลงกับพนักพิง 


 


 


“พระสนมเอก พระสนมเอกงั้นรึ” 


 


 


ในตอนที่ได้รับการแต่งตั้งครั้งแรก นางทั้งดีใจและงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้คนที่มีความโลภมากมายพึงพอใจได้ ความจริงแล้วตนเองในตอนนั้นซึ่งเป็นแค่เพียงนางสนมไม่ใช่พระสนมเอกก็ดีใจเหมือนกัน หญิงสาวที่ได้รับอนุญาตให้มาอยู่เคียงข้างชายหนุ่มที่ตนรักใคร่และถวิลหาก็คงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันหมด พระราชาหนุ่มแต่งตั้งให้นางซึ่งไม่ผ่านการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสให้มาเป็นพระสนมเอกช่างเป็นชายหนุ่มที่งดงามเหลือเกิน 


 


 


“เป็นเวลานานแล้วเพคะ… ที่หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตในฐานะพระสนมเอก ทำไมตอนนั้นถึงทรงไม่ให้หม่อมฉันออกไปจากวังหรือเพคะ ถ้าทรงทำเช่นนั้นก็คงจะมีแต่ความทรงจำดีๆ ในช่วงนั้นให้นึกถึงขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว” 


 


 


พอพระราชาในอดีตที่นั่งอยู่ตรงหน้ายิ้มเล็กน้อย แววตาอันอบอุ่นของฮวังควีบีก็ตอบกลับรอยยิ้มนั้น เสียงที่พูดอย่างแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่หนึ่งในนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเกลียดชัง 


 


 


“แต่ก็ต้องขอบพระทัยเพคะ เพราะฝ่าบาท หม่อมฉันจึงได้มีความสุขที่ได้แบ่งปันความรักร่วมกันกับคนรัก แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ทั้งยังได้ให้กำเนิดลูกชายที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตด้วย แต่หม่อมฉันไม่มีหนทางที่จะตอบแทนพระคุณอันใหญ่หลวงนั้นจึงทำได้เพียงเท่านี้เพคะ” 


 


 


ฮวังควีบีลุกขึ้นจากที่นั่ง พระราชาที่อยู่ตรงหน้าเลือนหายไปราวกับควัน หลังจากที่นางเดินออกไป ห้องสีแดงจึงสูญเสียความอุ่นและเริ่มหนาวเหน็บ มีเพียงแค่แหวนหรูหราซึ่งถูกวางเรียงอย่างสวยงามบนโต๊ะอยู่ตรงนั้นอย่างเปล่าเปลี่ยวเหมือนกับเจ้าของ 


 


 


 


 


 


“องค์รัชทายาท ฮวังควีบีเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“พาเข้ามาได้” 


 


 


แม้ตะวันจะยังไม่ตกดิน แต่ห้องบรรทมก็มืดสนิทราวกับกลางดึก ชานที่พังเก้าอี้ออกเป็นสองท่อนไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยแม้ผู้เป็นแม่จะเข้ามาแล้วก็ตาม ฮวังควีบียืนมองดูเขานิ่งๆ และออกคำสั่งอย่างแข็งกระด้าง 


 


 


“จุดไฟซะ” 


 


 


นางในจึงรีบนำเชื้อไฟมาจุดไฟในตะเกียงที่เย็นเฉียบ ห้องที่ปรากฏขึ้นภายใต้แสงไฟช่างน่าสังเวช เสื้อผ้ากระจัดกระจายไปทั่วราวกับซากศพ ขวดเหล้าเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกสารทิศ ไปจนถึงเตียงนอนที่รกรุงรัง ฮวังควีบีมองดูรอบๆ ห้องก่อนจะย่นหน้าผากขาวอย่างน่ากลัวและยืนข้างหน้าปลายเท้าของชาน 


 


 


“องค์รัชทายาท” 


 


 


“…ทรงลองคิดดูแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เพียะ เสียงอันแหลมคมดังขึ้นพร้อมรอยฝ่ามือสีแดงที่ปรากฏขึ้นบนแก้มของเขาที่ถูกฮวังควีบีตบ ในตอนนั้นเอง ชานที่เอียงคอบ่นพึมพำอย่างสิ้นหวังจึงหันไปมองฮวังควีบีซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มที่ยิ้มเย้ยนั้นยิ้มให้ใคร 


 


 


“ตั้งสติเสียทีเถอะ ผู้หญิงพรรค์นั้นมีดีอะไรนัก เจ้าถึงได้เป็นเช่นนี้…!” 


 


 


“ผู้หญิงพรรค์นั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


ชานลุกพรวดขึ้นพร้อมกับจ้องมองแม่ของตนเองราวกับจะจับกิน นั่นทำให้เก้าอี้ซึ่งเขาฝังตัวอยู่ก่อนหน้านี้ล้มลงพื้นไปกระแทกกับขวดเหล้าที่กลิ้งไปมา 


 


 


“อย่าได้พูดจาดูหมิ่นพระชายาด้วยคำพูดต่ำช้า! ต่อหน้าข้า! แม้อีกเพียงครั้งเดียว!”  

 

 


ตอนที่ 11-3

 

ดวงตาที่อ่อนเพลียลุกโชนด้วยความโกรธและพยายามปรับสายตาให้มองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ตอนนี้ค่อยดูเป็นคนขึ้นมาหน่อย ฮวังควีบีจ้องดวงตานั้นตรงๆ พร้อมกับพูดเน้นหนักทีละคำ ทีละคำ 


 


 


“ดูหมิ่นอย่างนั้นหรือ ใครกันแน่ที่ดูหมิ่นพระชายา คนที่ปฏิบัติต่อนางเหมือนกับสิ่งของที่โยนให้กันไปมา คนที่ปฏิบัติต่อนางราวกับลูกหมาที่ถูกเปลี่ยนเจ้าของ คือใครกันแน่เพคะ” 


 


 


“ฮวังควีบี!” 


 


 


ชานก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โน้มตัวลงและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ผู้เป็นแม่ ความโกรธเกรี้ยวที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยค่อยๆ ลอดไรฟันที่ปิดสนิทออกมา และเข้าปกคลุมฮวังควีบีตั้งแต่ศีรษะ 


 


 


“แม้ว่าพระสนมจะทรงเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ทรงกล้าแตะต้องตัวนาง อีกทั้งยังเรียกพระชายาว่าลูกหมาอีก ยังทรงหวังว่าจะอยู่รอดปลอดภัยอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“แม่คนนี้จะเคยหวังว่าจะอยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อตายไปอย่างไรก็เน่าเสียอยู่ดี” 


 


 


“เหอะ นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ นั่นก็ถูกต้อง” 


 


 


จู่ๆ ชานก็ระเบิดหัวเราะออกมา หากไม่ใช่มุมปากที่ยิ้มยกขึ้นก็คงจะไม่คิดว่านั่นคือเสียงหัวเราะ การหัวเราะเช่นนั้นใกล้เคียงกับการร้องไห้มากกว่า 


 


 


“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้หวังว่าตนเองจะอยู่รอดปลอดภัยเขาทำกัน” 


 


 


เป็นเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ตอนนี้หูของฮวังควีบีได้ยินแต่เสียงของลูกชายที่พูดพร่ำเช่นนั้น 


 


 


“ทั้งข่มเหงองค์ชายซึ่งทรงคลอดออกมาจากท้องตัวเอง กำจัดพระมารดาขององค์ชายพระองค์อื่น เผานางสนมขององค์รัชทายาท ทั้งยังฆ่าเหล่านางในที่ไม่รู้ชื่ออีกมากมาย และสุดท้ายก็ทรงได้ขึ้นเป็นฮวังควีบีเช่นนี้ ทรงพอพระทัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“…องค์รัชทายาท” 


 


 


“กระหม่อมเกลียดพระสนมพ่ะย่ะค่ะ กลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก แต่ดูสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็มีสายเลือดเดียวกับพระสนมเช่นกัน พอได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะทำให้น้องชายเพียงคนเดียวกลายเป็นคนที่ตายทั้งเป็น แต่ก็ไม่สามารถตัดลมหายใจอันริบหรี่นั้นได้จึงได้กระวนกระวายใจอยู่แบบนี้ ตอนนี้กระหม่อมเข้าใจพระสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้กระหม่อมได้กลายเป็นปีศาจเหมือนกันกับพระสนมแล้ว” 


 


 


“แม่…” 


 


 


ขอโทษ ฮวังควีบีพยายามกลืนคำพูดที่เกือบจะหลุดออกจากปากลงไป นางไม่ได้ตั้งใจจะข่มเหง นิสัยโดยกำเนิดของนางไม่ได้อ่อนหวาน แถมยังคอยเข้มงวดกับเขาอยู่เสมอเพราะเป็นบุตรชาย แต่นางเพียงแค่กลัวว่าชานจะได้รับการโจมตีจากนางสนมที่จ้องจะขึ้นไปยังตำแหน่งพระมเหสีเท่านั้น 


 


 


ถ้ารู้ว่าจะกลายเป็นแบบนี้ก็คงจะโอบกอดเขาให้มากที่สุด คงจะกอดลูกชายที่ยังเยาว์วัยไว้อย่างอบอุ่นและร้องเพลงกล่อมเด็กให้ฟังแม้เพียงสักครั้ง คงจะเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและบอกว่าแม่รักลูกสุดหัวใจ แต่มาพูดตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร 


 


 


“ดีใจที่ได้เห็นหน้าเจ้า” 


 


 


ยกมือขาวซีดขึ้นมาลูบแก้มซึ่งโดนตนเองตบก่อนหน้านี้หนึ่งทีแทนคำพูดที่สั่งสมอยู่ภายในใจ ภาพของชานในวัยเด็กซ้อนทับบนใบหน้าของลูกชายซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางรู้อยู่แล้วว่าเรื่องไฟไหม้วังไม่ใช่ความผิดของชาน และรู้อีกด้วยว่าหากไม่ทำเช่นนั้น เขาก็จะถูกพระมเหสีลากตัวไปลงโทษ โทษฐานที่ทำให้องค์รัชทายาทตกอยู่ในอันตรายและจะประสบกับความทุกข์ทรมานกว่านี้อีกหลายเท่าตัว 


 


 


“อีกอย่าง คำขอร้องขององค์รัชทายาทในคราวที่แล้ว แม่เกรงว่าคงจะไม่สามารถรับฟังได้เพคะ” 


 


 


“เสด็จแม่!” 


 


 


เสด็จแม่ ชานมักจะเรียกแม่แท้ๆ ของตนว่าเสด็จแม่ด้วยความฝืนใจเฉพาะในตอนที่มีเรื่องจะขอร้องเท่านั้น แต่เพียงแค่นั้น ฮวังควีบีก็รู้สึกยินดีแล้ว 


 


 


“แม่ขอตัวก่อน” 


 


 


ฮวังควีบีหมุนตัวออกไปจากห้องบรรทมและกวักมือเรียกโนซังกุงซึ่งยืนอยู่ไกลๆ 


 


 


“ช่วยจัดเตียงบรรทมให้เรียบร้อยและจุดไฟให้สว่างหน่อยนะ และต้องทำให้แน่ใจว่าองค์รัชทายาททรงสวมชุดเต็มยศอยู่เสมอ เข้าใจหรือไม่” 


 


 


“เพคะ ฮวังควีบี” 


 


 


คิดว่าจะเป็นการสั่งแบบตวาดจึงโค้งตัวเตรียมไว้ก่อนแล้ว แต่กลับเป็นเพียงแค่คำพูดที่เป็นการฝากฝังอย่างเข้มงวดเท่านั้นต่างจากที่คาดไว้ โนซังกุงโค้งศีรษะลงต่ำกว่าเดิมด้วยความขอบคุณ ฮวังควีบีจ้องมองศีรษะที่ก้มลงสักพักก็หมุนตัวอย่างช้าๆ ออกจากวังจงซูไป 


 


 


ในท่วงท่าการเดินของนางผู้ซึ่งใช้ชีวิตในฐานะผู้หญิงของพระราชามาอย่างยาวนาน มีเพียงความสง่างามซึ่งแผ่ออกมารอบตัวเท่านั้นที่ติดตามนางราวกับเงา 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ ฮวังควีบีถึงได้มาขอเข้าเฝ้าอย่างนี้” 


 


 


พระราชาที่ทรงงานอยู่ในห้องทรงงานจนดึกดื่นเพียงลำพังเป็นประจำยกยิ้มเล็กน้อย เห็นเช่นนี้แล้วช่างเหมือนกับลูกชายเสียจริง ฮวังควีบีตั้งใจจะยิ้มตอบ แต่ริมฝีปากที่ไม่ได้ยิ้มมานานกลับทำเพียงแค่วาดเส้นโค้งที่ดูประหลาดเท่านั้น 


 


 


“ฝ่าบาททรงแต่งตั้งตำแหน่งให้แก่หม่อมฉัน แต่หม่อมฉันช่างโง่เขลานักจึงไม่ได้มาแสดงความขอบพระทัยแด่ฝ่าบาทเลยสักครั้งเพคะ” 


 


 


เหล่านางในที่ตามหลังฮวังควีบีเข้ามาแต่ละคนวางสำรับอาหารไว้บนโต๊ะยาวและถอยหลังกลับไป 


 


 


“พวกนี้คืออะไรงั้นหรือ” 


 


 


“เป็นสิ่งที่หม่อมฉันนำมาจากวังจานยองเพคะ สีสันของมันงดงามเป็นอย่างยิ่ง ไหนๆ ก็มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว หม่อมฉันจึงนำมาให้ฝ่าบาททรงเสวยด้วยเพคะ” 


 


 


“ข้ารู้สึกหิวอยู่พอดีเลย ขอบใจเจ้านะ” 


 


 


“ให้หม่อมฉันรินชาให้ไหมเพคะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงจะต้องขอบใจเจ้ากว่าเดิมเสียอีก” 


 


 


ขณะที่ฮวังควีบีกำลังอุ่นอุปกรณ์ชงชา พระราชาก็หันกลับไปมองม้วนกระดาษที่กำลังตรวจสอบอย่างขะมักเขม้นอีกครั้ง แต่พอรู้สึกถึงสายตาของฮวังควีบีที่มองตรงมา เขาก็ก็ปิดมันและดันออกไปข้างๆ ในทันที 


 


 


“ใบหน้าของข้าจะเป็นรูเอานะ” 


 


 


ทั้งการพูดที่ขี้เล่น ทั้งสีหน้าที่มีเอกลักษณ์เวลายิ้ม ยังคงเหมือนเดิมอ เหมือนสมัยที่ยังทรงเยาว์วัย อย่างน้อยก็ในสายตาของฮวังควีบี 


 


 


“หม่อมฉัน…ชอบตอนที่ฝ่าบาททรงใช้คำพูดแบบเป็นกันเองมากกว่าเพคะ” 


 


 


พระราชาเอียงคอและสำรวจมองฮวังควีบีอย่างช้าๆ การพูดความในใจออกมาเป็นการกระทำที่ไม่สมกับเป็นนางเอาเสียเลย 


 


 


“อย่างนั้นหรือ แต่ไม่ว่าจะเป็นนางสนมหรือพระมารดาขององค์รัชทายาท ข้าก็ไม่สามารถใช้คำพูดเป็นกันเองได้หรอก” 


 


 


“แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็นไม่ใช่หรือเพคะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้พบกันสองต่อสองอีก โปรดทรงใช้คำพูดอย่างสบายๆ สักหน่อยเถิดเพคะ” 


 


 


“ถ้าฮวังควีบีขอร้องเช่นนั้น ข้าควรที่จะรับฟังสินะ” 


 


 


มือขาวซีดเทน้ำแรกที่อยู่ในถ้วยทิ้งไป แล้วจึงเติมน้ำชาที่ซึมซาบออกมาอย่างงดงามลงไปในถ้วย 


 


 


“ขอบใจนะ อ๊ก” 


 


 


ชื่อที่นางลืมไปแล้วดังออกมาจากปากของทัน ทันใดนั้นฮวังควีบีจึงอมยิ้มออกมาอย่างสดใสซึ่งไม่เคยแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้และวางถ้วยหน้าลงตรงหน้าเขา 


 


 


“หม่อมฉันดีใจที่ได้ยินฝ่าบาททรงเรียกเช่นนั้นเพคะ เสวยก่อนที่มันจะเย็นเถิดเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าเองก็ชอบที่เจ้ายิ้มแบบนั้นนะ” 


 


 


กี่ปีมาแล้วนะ ที่ได้อยู่กับนางสนมซึ่งเหลือเพียงผู้เดียวสองต่อสอง แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่ยออ๊กก็ยังคงสวยและสง่างามเหมือนเดิม 


 


 


วันที่จัดพิธีเลือกคู่อภิเษกสมรสครั้งที่สาม ทันได้สบตากับแววตาหลักแหลมซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าที่งดงามและรับมุนยออ๊กเข้ามาเป็นพระสนมเอกแทนที่จะให้ออกจากพระราชวัง เพราะแววตานั้นช่างคล้ายคลึงกับหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขาตกหลุมรักสุดหัวใจเป็นครั้งแรกแต่ไม่สามารถครอบครองได้ 


 


 


นั่นคือจุดเริ่มต้น แต่ไม่นานนักทันก็รู้สึกถึงความรู้สึกอย่างอื่นได้จากยออ๊ก ความเชื่อถือ ความสบายใจและความมั่นคง แทนที่จะใจเต้นจนนอนไม่หลับหรือเป็นความรักและถวิลหาซึ่งทำให้ใจสั่น ทันปลอบประโลมความทรงจำเก่าๆ พร้อมกับจิบชาอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาใส่ปาก ขนมซึ่งมีรสหวานกำลังพอดีละลายไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว ยออ๊กมองภาพนั้นและเรียกทันเบาๆ 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“ว่าอย่างไรหรือ ยออ๊ก” 


 


 


“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ที่ตอนนั้นนำยาพิษให้พระสนมเอกยอนเสวย” 


 


 


“ฮวังควีบี!” 


 


 


เสียงของทันที่เรียกนางสูงขึ้นเล็กน้อย มันคือเรื่องที่เขาอุตส่าห์ปิดบังอำพรางไปแล้ว เขาไม่กล้าขับไล่หญิงสาวซึ่งไม่มีที่ไปได้จึงตัดสินใจที่จะปิดบังอำพรางเรื่องนั้น แต่ทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้ ขนมชิ้นที่สองที่เขาหยิบขึ้นมาก่อนที่นางจะพูดเรื่องนั้นร่วงและกลิ้งตกลงไปกับพื้น 


 


 


“ระหว่างทางที่ทรงเสด็จไป… หม่อมฉันจะนำทางไปเองเพคะ” 


 


 


ยออ๊กก้มตัวลงไปที่พื้นและหยิบขนมที่ตกลงไปขึ้นมา ใส่สิ่งที่มือของคนรักสัมผัสเป็นคนสุดท้ายเข้าปากและเคี้ยวมัน ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ลูกชายจะได้ขึ้นครองราชบัลลังก์โดยสวัสดิภาพ และผู้หญิงคนนี้ที่โอบกอดความรักไว้เต็มหัวใจจะได้อยู่กับคู่ชีวิตไปตลอดกาล ยออ๊กอมยิ้มและกุมมือของทันที่ห้อยลงมาอย่างหมดแรงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพิงลงบนไหล่นั้น  

 

 


ตอนที่ 11-4

 

พิธีราชาภิเษก แม้จะไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้งตั้งแต่เกิดแต่ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือพิธีนั้น เหล่าเสนาบดีทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนที่แน่นขนัดเต็มลานด้านหน้าพระราชวังอันกว้างขวาง รวมไปถึงเหล่าข้าราชบริพารนับไม่ถ้วนต่างโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่สิ่งที่รอเขาอยู่ตรงสุดปลายนั้นไม่ใช่ราชบัลลังก์สีทอง 


 


 


“ถวาบบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


ชานผู้สวมมงกุฎเดินมาเรื่อยๆ เมื่อขึ้นมาสุดบันไดที่สูงตระหง่านจึงเห็นรยูฮาที่ยืนอยู่ตรงหน้ายื่นมือมาให้ แสงตะวันส่องสว่างกระทบกับชุดสีขาวและแยงเข้าไปในตาของเขา ช่างเจิดจ้าจนไม่อาจทนไหว ชานคิดเช่นนั้นพร้อมกับหลับตาลงครู่หนึ่งพลางจับกับมือของรยูฮาที่ยื่นมา หรือเป็นเพราะอากาศหนาว จึงรู้สึกถึงความเย็นที่ถูกส่งมาจากมือราวกับแผ่นน้ำแข็งจนเหน็บหนาวไปจนถึงหัวใจ 


 


 


“พระมเหสี ทำไมมือถึง…” 


 


 


ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น รยูฮาไม่ได้อยู่ตรงหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่ชานมั่นใจว่าตัวเองกำลังจับมือนั้นอยู่อย่างแน่นอน รยูฮาหายไปและเหลือทิ้งไว้แค่เพียงข้อมือซึ่งมีเลือดหยดลงมาติ๋งๆ 


 


 


“ทรงพอพระทัยไหมพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่” 


 


 


เด็กชายตัวน้อยที่สูงเท่าเอวของชานเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยรอยยิ้ม แม้ปากจะยิ้มอยู่ แต่ดวงตาสีแดงก่ำนั้นกลับมีน้ำตาเลือดไหลลงมา 


 


 


“เฮือก!” 


 


 


หลังของชานที่ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวกระแทกกับอะไรบางอย่างพร้อมกับอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว มันทั้งแข็งทั้งนิ่ม ทั้งเย็นและทั้งร้อน แม้ไม่อยากหันกลับมามองแต่ก็ต้องทำ ชานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ทำจิตใจให้แน่วแน่และในตอนที่กำลังหันกลับไปมองข้างหลังอย่างช้าๆ นั้นเอง 


 


 


“ทรงพอพระทัยไหมพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เสียงตะโกนซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธสั่นสะเทือนพระราชวัง ฮอนซึ่งอยู่ตรงหน้ามีหน้าตาอัปลักษณ์คล้ายซากศพที่เพิ่งถูกขุดออกมาจากหลุมศพแทนที่จะเป็นสภาพแบบมีชีวิตอยู่ ตรงกลางใบหน้าถูกเผาไหม้จนเกรียม ตรงที่เคยมีดวงตาอันอบอุ่นอยู่กำลังจ้องมองชานด้วยความคับแค้นใจ ข้อมือของรยูฮาที่กำไว้ในมือสะบัดเขาออกก่อนจะบินไปเกาะบนมือของฮอนซึ่งคล้ายกับกิ่งไม้ที่ผุกร่อน ฮอนจับมือนั้นเอาไว้และก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ต้อนชานให้เข้ามุม 


 


 


“รยูฮาอยู่ไหนพ่ะย่ะค่ะ โปรดคืนนางมาให้ข้าเถิดเสด็จพี่ นางคือภรรยาของข้า” 


 


 


“แต่ตอนนี้นางคือภรรยาของข้าแล้ว! นางเป็นพระมเหสีของข้า!” 


 


 


เสียงของชานซึ่งร้องตะโกนอย่างน่าสมเพชไม่ถูกเปล่งออกมาจากปากและหายไป ตุบ เท้าของชานที่เดินถอยหลังเหยียบอะไรบางอย่างเข้าและสิ่งนั้นก็กลิ้งไปกับพื้น ถ้วยใส่น้ำขนาดเล็กที่ฮอนใช้ขโมยถ่านที่ยังคุอยู่ออกมาในสมัยเด็ก ถ่านซึ่งกระเด็นออกมาจากข้างในนั้นกระเด็นใส่ชายเสื้อคลุมมังกรทองที่ชานสวมอยู่ ก่อนจะลุกไหม้ขึ้นมาในพริบตาราวกับไฟบรรลัยกัลป์ 


 


 


“อ๊ากกก! อ๊าก!” 


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!” 


 


 


เสียงผู้หญิงที่ฟังดูร้อนรนพาเขาซึ่งกำลังถูกไฟเผาไหม้ไปทั้งตัวกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง 


 


 


“แฮ่กๆ” 


 


 


สายตาของชานซึ่งลืมตาขึ้นมาพร้อมกับหอบหายใจมองเห็นเตียงนอนหรูหราเหมือนปกติอย่างเลือนราง 


 


 


“ฝันร้ายหรือเพคะ” 


 


 


“…ขอน้ำหน่อย” 


 


 


มินอาลงไปล่างเตียง หยิบกาน้ำและรินน้ำลงในถ้วยอย่างช้าๆ ชานจ้องมองแผ่นหลังของนางและเมื่อมินอาเดินมาหาอีกครั้งจึงรับถ้วยใส่น้ำมาพร้อมกับถอนหายใจ 


 


 


“อ๊ากกก!” 


 


 


“ทรงเป็นอะไรหรือเพคะ” 


 


 


น้ำซึ่งหกออกมาจากถ้วยที่ชานทำร่วงทำให้เกิดรอยเปื้อนสีเข้มบนเครื่องนอนผ้าไหม 


 


 


“ไฟ ไฟ” 


 


 


มั่นใจว่ามีไฟอยู่ในนั้นแน่ๆ แต่ทำไมสิ่งที่ตกลงบนผ้าห่มถึงเป็นน้ำไปได้ ชานพึมพำพร้อมกับลุกขึ้นไปยกกาน้ำซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากระดกอึกๆ จนหมด ก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


“ไปเอาเหล้ามาสิ” 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“ตอนนี้ แม้แต่เจ้าก็ยังจะเมินข้าอย่างนั้นรึ!” 


 


 


เพล้ง กาน้ำที่ชานขว้างทิ้งแตกกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง แต่สีหน้าของมินอาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง 


 


 


“ทรงบรรทมอีกสักหน่อยเถิดเพคะ หมู่นี้ฝ่าบาทไม่ได้บรรทมจนพระวรกายย่ำแย่แล้วเพคะ” 


 


 


“เหล้า ต้องดื่มเหล้าก่อนสิ ตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลยรึ! ไปเอาเหล้ามาให้ข้า!” 


 


 


“อย่าให้เข้ามา! ทุกคนถอยออกไปยี่สิบก้าว!” 


 


 


“เจ้า!” 


 


 


ชานขว้างสิ่งที่ถืออยู่ในมือใส่มินอา ในบรรดาสิ่งของที่ถูกขว้างปาไปอย่างมั่วซั่วมีรูปปั้นขนาดเล็กซึ่งทำมาจากทองคำอยู่ด้วย เกิดเสียงหนักๆ ขึ้นพร้อมกันกับเลือดที่ไหลอาบแก้มลงมาจากหน้าผากที่ถูกกระแทก ภาพนั้นทำให้นึกถึงน้ำตาเลือดของฮอนที่อยู่ในฝันของชานเมื่อสักครู่ ชานลุกพรวดขึ้นจับไหล่ของมินอาที่นั่งตัวตรงและเขย่าตัวนาง 


 


 


“ทำไมถึงไม่หลบล่ะ หลบได้ไม่ใช่รึ! เจ้าจงใจโดนเพื่อหลอกลวงข้าใช่ไหม!” 


 


 


“หากเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงมอบให้ หม่อมฉันหลบไม่ได้เพคะ แม้ว่าจะเป็นดาบก็ตาม เพราะนั่นคืองานของหม่อมฉันเพคะ” 


 


 


เสียงราบเรียบของมินอาเหมือนกับปกติเหนี่ยวรั้งชานไว้ได้อย่างแปลกประหลาด เขายิ้มอย่างหดหู่พร้อมกับเช็ดเลือดซึ่งไหลลงมาด้วยแขนเสื้อ ก่อนจะพิงหน้าผากอันเหนื่อยล้าลงบนไหล่ของมินอา 


 


 


“มินอา” 


 


 


“เพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่” 


 


 


แม้จะเป็นประโยคซึ่งละประธาน แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าคนที่ชานพูดถึงคือใคร ควรจะตอบว่าอย่างไรดี มินอาลังเลระหว่างโกหกกับความจริง แล้วจึงค่อยๆ ขยับปากขึ้น ในตอนนั้นเอง 


 


 


“องค์รัชทายาท!” 


 


 


ขันทีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาราวกับจะพังประตูและตะโกนด้วยความรีบร้อน ชานจึงทำท่าทางไม่พอใจและหันไปมองเขาในทันที 


 


 


“มีเรื่องอะไร” 


 


 


“ฝ่าบาท พระราชา…ทรงเสด็จสวรรคตแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


สมองที่เย็นราวกับน้ำแข็งไม่ยอมรับคำพูดได้ที่ยินเมื่อสักครู่ได้อย่างง่ายดาย แต่การกระทำย่อมเร็วกว่าหัว สถานที่ที่เขารีบวิ่งตามขันทีออกไปคือห้องทรงงาน ห้องทรงงานนั้นที่ชานเพิ่งจะปักมีดลงบนหน้าอกของผู้เป็นพ่อเมื่อไม่นานมานี้ 


 


 


“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” 


 


 


นี่คือฝันร้าย มันคงจะเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวเหมือนกับก่อนหน้านี้ แต่ความคาดหวังสุดท้ายกลับพังย่อยยับเพราะอุณหภูมิร่างกายที่เย็นเฉียบซึ่งสัมผัสได้จากปลายนิ้ว ตายแล้ว ทั้งพ่อ ทั้งแม่ พร้อมกับมีดที่ชานปักลงบนหน้าอก ฝันร้ายที่น่ากลัวกว่าความจริงไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ 


 


 


พระราชพิธีพระศพ ทั้งขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือน ราษฎร แม้กระทั่งทาสชั้นต่ำต่างละมือจากงานที่ตนทำอยู่และสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว เวลาห้าวันในประเทศเหมือนถูกหยุดลงเพื่อรอคอยให้ดวงวิญญาณของพระราชาซึ่งออกจากร่างไปหวนคืนมา ผู้ใกล้ชิดซึ่งคอยดูแลพระราชาในขณะที่ยังคงมีพระชมน์ชีพอยู่นั่งรวมตัวกันอยู่ตรงด้านหน้าเตียงบรรทมซึ่งมีร่างของพระราชานอนอยู่ราวกับกำลังหลับใหล และข้างหน้าสุดนั้นมีชานและรยูฮานั่งอยู่เคียงข้างกัน 


 


 


“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท” 


 


 


พระพันปีซึ่งแก่ลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาไม่กี่เดือนมองดูพระพักตร์ที่ซีดเซียวพร้อมกับกระซิบ แต่เปลือกตาที่ปิดสนิทก็ไม่แม้แต่จะขยับ ทั้งในตอนที่หยดน้ำตาไหลผ่านริ้วรอยลงไปอย่างเงียบๆ และหยดลงบนนั้น ความโศกเศร้าของพระพันปีนั้นช่างเงียบเชียบไร้สุ่มเสียง เหล่าข้าราชบริพารจึงเบือนหน้าหนีเพราะไม่สามารถทนดูภาพที่เศร้าโศกเช่นนั้นได้ต่างร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังแทนนาง 


 


 


“ทุกคนออกไปซะ” 


 


 


เสียงของรยูฮาตะโกนแทรกเสียงร้องไห้คร่ำครวญซึ่งดังระงมไปทั่วห้องบรรทมขึ้นมา จึงเหลือเพียงแค่ชานที่นั่งอยู่เพียงลำพังเมื่อทุกคนออกไปกันหมดแล้ว รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปยังห้องบรรทมและโอบกอดไหล่ที่สั่นเทาของหญิงชรา 


 


 


“ทรงกรรแสงออกมาเถิดเพคะเสด็จย่า สตรีของราชวงศ์มีบาปอะไรกันเพคะถึงไม่สามารถกันแสงได้ แม้ว่าบุตรของตนเองจะจากไปก่อนก็ตาม ทรงกรรแสงเถิดเพคะ เสด็จย่าทรงมีสิทธิที่จะทำเช่นนั้นมากกว่าผู้ใดนะเพคะ” 


 


 


ศักดิ์ศรีและความมีเกียรติที่ผูกมัดพระพันปีมาตลอดชีวิตถูกสะบั้นลง ในตอนนั้นเองนางจึงได้เริ่มร้องไห้รำพันอย่างโศกเศร้า มืออันแห้งเ**่ยวลูบใบหน้าของลูกชายที่ไม่สามารถสัมผัสได้และไม่สามารถมองดูอย่างเต็มที่ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะดึงเขาเข้ามากอดในอ้อมอก ร้องไห้คร่ำครวญให้กับลูกชายซึ่งด่วนจากไปเสียก่อนด้วยเสียงอันแหบแห้งระคนด้วยความโศกเศร้า 


 


 


“ฝ่าบาท ลืมตาขึ้นมาสิ เจ้ารีบอะไรเช่นนั้นถึงได้ด่วนจากแม่คนนี้ไปก่อนเล่า หากตั้งใจจะไปก็พาแม่คนนี้ไปด้วยเถิด ไม่น่าเลย ลูกชายของข้า ลูกชายผู้น่าสงสารของข้า…” 


 


 


ชานที่หมอบกราบอยู่กับพื้นซุกใบหน้าลงกับแขน ร้องไห้ออกมาจนเปียกชุดไว้ทุกข์สีขาว ในตอนนั้นเองชานจึงได้รู้ว่าตนรักท่านทั้งสองสุดหัวใจ 


 


 


“เสด็จพ่อ เสด็จแม่…”  

 

 


ตอนที่ 11-5

 

ในขณะที่ชานร้องเรียกผู้เป็นพ่อซึ่งจากไปแล้ว รยูฮาก็หลับตาและร้องไห้อย่างเงียบๆ ข้างๆ พวกเขาซึ่งสูญเสียผู้มีสายเลือดเดียวกันไป พ่อที่เคยมีสองคนกลับกลายเป็นเหลือเพียงคนเดียวอีกครั้ง ท่านพ่อคนที่สองรักนางและนางเองก็รักท่านพ่อคนนั้น ดังนั้นแม้จะผ่านค่ำคืนนี้ไป น้ำตาจะหยุดไหลหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย 


 


 


หลังจากช่วงเวลาห้าวันซึ่งเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจผ่านไป พระศพของพระราชาจึงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าไหมและทองคำทั้งตัว ก่อนจะออกจากพระราชวังไป 


 


 


ทว่าพระศพของฮวังควีบีซึ่งจากไปพร้อมกันกลับต่างออกไป นางถูกพาออกไปยังประตูผีและถูกเอาไปไว้กลางที่ว่างเปล่าอันกว้างขวางทั้งที่ยังอยู่ในโลงศพ เนื่องจากมีความผิดโทษฐานนำขนมใส่ยาพิษซึ่งได้รับเป็นของขวัญไปถวายให้พระราชาเสวย ทั้งที่โทษนั้นมันช่างใหญ่หลวงและรุนแรงยิ่งนัก แต่ก่อนที่ฝาโลงจะถูกปิดลง ใบหน้าของผู้เป็นแม่ซึ่งได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายกำลังอมยิ้มอย่างมีความสุข ซึ่งชานไม่เคยได้เห็นแม้เพียงสักครั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ 


 


 


“ตอนนี้ทรงยิ้มได้แล้ว เสด็จแม่คงจะทรงมีความสุขมากที่ได้เสด็จไปกับเสด็จพ่อ” 


 


 


ไม่มีคำตอบกลับมาให้กับเสียงของชานซึ่งเต็มไปด้วยความสำนึกผิด 


 


 


“ทรงทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งพระพันปี แต่สุดท้ายก็เสด็จจากไปอย่างนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ อย่าว่าแต่ความร่ำรวยและความมีเกียรติเลย แม้แต่สุสานที่สมบูรณ์ยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ” 


 


 


ฝาโลงหนักๆ ปิดลงบนโลงของฮวังควีบีที่ไม่มีการห่อศพ 


 


 


“จุดไฟซะ” 


 


 


เปลวไฟลุกโชนอย่างรุนแรงท่ามกลางอากาศแห้งของปลายฤดูหนาว มันคือเปลวเพลิงสุดท้ายของผู้หญิงหลายๆ คน แต่ในความเป็นจริงแล้ว บางทียออ๊กอาจจะรู้สึกยินดีและดีใจกับเปลวไฟนั้นก็ได้ ยออ๊กซึ่งใช้ชีวิตโดยถูกจำกัดบริเวณอยู่ในพระราชวังมาตลอดชีวิต ในที่สุดก็ได้ลอยตามควันออกไปยังโลกภายนอกที่มีอิสระเสรี 


 


 


“ลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” 


 


 


น้ำตาที่ไหลรินลงมาจากดวงตาของชานซึ่งยืนหันหลังให้นั้นเย็นเฉียบด้วยสายลมที่พัดมา ก่อนจะร่วงหล่นลงพื้น เขากลับมายังพระราชวังและย่ำหิมะตรงไปยังวังซึงกอนแทนที่จะไปห้องบรรทมหรือตำหนักของตนเอง 


 


 


“โปรดเสด็จกลับไปด้วยเพคะ ตอนนี้คือช่วงไว้ทุกข์เพคะ” 


 


 


สิ่งที่โบยบินกลับเข้ามาหาชานซึ่งปรากฏตัวโดยไม่บอกไม่กล่าวมีเพียงแค่เสียงที่เยือกเย็นราวกับมีดสั้นเท่านั้น แต่ทว่าเขาไม่สนใจและล้มตัวนั่งบนเก้าอี้จ้องมองรยูฮาซึ่งอยู่ตรงกันข้าม 


 


 


“ข้าไปทำพิธีศพฮวังควีบีมาน่ะ” 


 


 


“หมายถึงพระมารดาขององค์รัชทายาทหรือเพคะ” 


 


 


“ทุกคนต่างบอกว่าเป็นอุบัติเหตุที่ทรงนำขนมที่พระมเหสีทรงมอบให้ไปถวายพระราชา แต่ข้ารู้ว่าแม่แท้ๆ ของข้าแสร้งทำให้เป็นเช่นนั้น” 


 


 


ในตอนที่ผู้เป็นแม่มาหาชานเป็นครั้งสุดท้าย อยู่ๆ นางก็เข้ามาตบหน้าชานพร้อมกับบอกให้ตั้งสติก่อนจะออกไป นั่นคือคำพูดสั่งเสียก่อนตายของนาง แม้แต่คำพูดสั่งเสียที่ทิ้งเอาไว้ก็ช่างสมกับเป็นนางดีจริงๆ ชานคิดเช่นนั้น 


 


 


“ราชบัลลังก์ที่จะได้ขึ้นครองอยู่แล้วถูกผลักดันมาอยู่ตรงหน้า ตำแหน่งพระพันปีที่เคยปรารถนาในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่กลับไม่แม้แต่จะได้มอง” 


 


 


ภายในหัวของรยูฮาที่ได้ยินคำพูดซึ่งกล่าวเบาๆ เกิดความคิดอันโหดเ**้ยมอย่างมากขึ้นมา วิธีที่จะมอบความเจ็บปวดที่ไม่มีวันลืมให้แก่ชานซึ่งลุ่มหลงในความโลภของตัวเองจนทำให้คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนางตกอยู่ในสภาพที่บอกไม่ได้ว่าจะอยู่หรือจะตาย รยูฮาลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วค่อยๆ เดินไปตรงหน้าของชานอย่างช้าๆ 


 


 


“ฮวังควีบีทรงอยากครอบครองตำแหน่งพระพันปีสินะเพคะ” 


 


 


“เจ้าเองก็รู้อยู่แล้วนี่ สิ่งที่แม่ของข้ากระทำลงไปน่ะ” 


 


 


“ที่ลอบปลงพระชนม์พระสนมยอนหรือเพคะ” 


 


 


ชานไม่ตอบและปิดปากสนิท แต่คำพูดของรยูฮายังไม่จบและต่อด้วยการยิ้มเยาะ 


 


 


“อย่างนั่นสินะ คงจะให้เสวยยาพิษใช่ไหมเพคะ ยาพิษที่ไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต ทำไมถึงทำเช่นนั้นเพคะ” 


 


 


ในที่สุดรยูฮาก็มองชานตรงๆ แต่ดวงตาของรยูฮาที่เคยเปล่งประกายระยิบระยับในตอนที่อยู่เคียงข้างฮอน บัดนี้กลับว่างเปล่า 


 


 


“พระมเหสีทรงเป็นผู้ยุยงเพคะ พระองค์ทรงสั่งให้เสด็จแม่ของฝ่าบาทนำยาพิษไปให้พระสนมยอนเสวย ซึ่งยาพิษนั่นจะทำให้เป็นอัมพาตไปทั้งตัวเป็นเวลาหลายวัน และในระหว่างนั้นก็ให้ไปยั่วยวนฝ่าบาทพร้อมกับเกลี้ยกล่อมให้ชานขึ้นไปเป็นองค์รัชทายาท อีกทั้งยังให้ทูลฝ่าบาทอีกด้วยว่าถ้าหากองค์ชายผู้ปราดเปรื่องไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทจะจบชีวิตตัวเองลง” 


 


 


“ตอนนี้เจ้าพูดเรื่องอะไร…” 


 


 


“เฮอะ ด้วยความเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเด็กจึงว่ากันว่าท่านคือผู้สืบทอดบัลลังก์ของพระราชา แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่คำพูดเพ้อเจ้อ แล้วยังมีอะไรอีกนะ อ๋า เรื่องที่วางเพลิงจินซึงฮวี? นั่นก็ไม่ใช่เหมือนกัน ผู้ที่ส่งผู้ลอบสังหารไปคือพระมเหสี ส่วนผู้ที่วางเพลิงคือคนอื่น” 


 


 


“เจ้าตั้งใจจะทำให้ข้าหวั่นไหวด้วยคำพูดพวกนั้นงั้นรึ” 


 


 


“คำพูดไร้สาระอย่างนั้นหรือเพคะ นั่นสินะเพคะ ฮวังควีบีก็ไม่ได้ทำถูกซะทีเดียว แต่ทรงรักฝ่าบาทยิ่งกว่าใครอื่น เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของลูกชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ นางจึงต้องเอามือตัวเองไปเปื้อนเลือดอย่างไรเล่าเพคะ!” 


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเผือดทำให้นางพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง รยูฮาแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับนึกถึงคนรักที่นอนแน่นิ่งอยู่ในสถานที่หลบซ่อนอันไกลโพ้น 


 


 


“ต้องขอบพระทัยเสด็จแม่ผู้ชั่วร้ายนะเพคะ มือของฝ่าบาทจึงไม่เปื้อนเลือดสักหยดและได้ขึ้นมาจนถึงตำแหน่งนี้ แต่ว่าตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะเพคะ พระองค์ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้และกลายเป็นควันลอยไปแล้ว” 


 


 


หัวใจของชานที่ร่วงลงไปถึงตาตุ่มถูกเหยียบย่ำและทำลายอย่างน่าสมเพชด้วยน้ำเสียงของรยูฮา เขากำลังจะยื่นมืออันสั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่ไปปิดปากของนาง แต่นางหลบเขาได้อย่างง่ายดายและหัวเราะเยาะต่างจากมินอา 


 


 


“ดูเหมือนว่าฝ่าบาทน่าจะต้องตั้งสติแล้วนะเพคะ เพราะทั้งพระมารดาผู้ซึ่งเคยสละชีพเข้ามาปกป้องลูกชายจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งพระบิดาที่เคยคุ้มกันฝ่าบาทต่างได้เสด็จจากไปหมดแล้ว!” 


 


 


“พระชายา หยุดเถอะเพคะ!” 


 


 


มินอาเปิดประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้ามาขวางกลางระหว่างทั้งคู่และตะโกนขึ้นมา 


 


 


“หม่อมฉันชักจะหงุดหงิดแล้วเพคะ ฝ่าบาทเสด็จกลับไปก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันมีงานที่จะต้องจัดการอีกมากมายเป็นภูเขา” 


 


 


รยูฮากลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้งหลังจากชานหายลับออกไปข้างนอกประตู รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของนางที่มองดูมินอาอย่างนิ่งเงียบสักพักหนึ่ง 


 


 


“ขอโทษนะมินอา ไม่ใช่สิ ซอยางเจ” 


 


 


“ทรงเรียกมินอาก็ได้เพคะ พระชายา และอีกอย่าง…” 


 


 


“อีกอย่างคือจะไม่ให้ข้าทำให้องค์รัชทายาททรงเจ็บปวดใช่ไหมล่ะ หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ก็ย่อมได้” 


 


 


“ไม่ใช่เพคะ พระชายา” 


 


 


มินอาส่ายหัวพร้อมกับโอบกอดศีรษะของรยูฮาไว้ในอ้อมอกและแตะเบาๆ 


 


 


“อย่าได้ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเลยเพคะ มันไม่ใช่ความผิดของพระชายา” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


ยามดึกสงัดที่ทุกคนในวังต่างกำลังหลับใหล รยูฮาที่นอนพลิกตัวทั้งคืนเพิ่งจะนอนหลับไปได้ไม่นานนัก แต่เสียงใครบางคนเคาะหน้าต่างดังก๊อกๆ ได้ปลุกนางให้ลุกขึ้นมานั่งอีกครั้ง 


 


 


“ใครหรือ” 


 


 


เสียงก๊อกๆ ดังขึ้นอีกครั้งราวกับตอบโต้เสียงกระซิบอันแผ่วเบา ในตอนนั้นเองรยูฮาจึงรับรู้ถึงเจ้าของเสียงนั้นและเปิดหน้าต่าง สิ่งเล็กๆ โผล่พรวดเข้ามาในห้องและเอาหัวมาถูชินยาราวกับออดอ้อนตามที่นางคิดไว้ 


 


 


“คยอกรัง!” 


 


 


มันคือเหยี่ยวน้อยแสนน่ารักที่รยูฮาเลี้ยงมาตั้งแต่ฟักออกจากไข่ด้วยความเอาใจใส่ ที่ขาของมันมีชิ้นผ้าสีน้ำเงินที่ไม่มีข้อความใดๆ เขียนไว้ผูกไว้อยู่ รยูฮามองสิ่งนั้นด้วยดวงตาที่สั่นไหวสักพักก็รีบเขียนจดหมายสองฉบับลงไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คยอกรังกำลังดื่มน้ำ 


 


 


“ไปส่งดีๆ นะ ขอบใจมาก” 


 


 


คยอกรังกระพือปีกหนึ่งทีเหมือนกับฟังเสียงกระซิบของรยูฮาซึ่งผูกสิ่งนั้นไว้ที่ขาเอาไว้แน่นรู้เรื่อง ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง 


 


 


ออกจากพระราชวังที่เจ้านายของตัวเองอาศัยอยู่และโบยบินไปยังทางที่มาอีกครั้งเป็นเวลาสองชั่วโมง ยอนฮวาที่กำลังรอคอยให้เหยี่ยวตัวน้อยกลับมาอย่างกระวนกระวายใจ ยิ้มกว้างพร้อมกับโยนเนื้อดิบที่เตรียมไว้ให้คยอกรัง 


 


 


“เก่งมาก เจ้ารัง” 


 


 


จดหมายที่ถูกผูกไว้ที่ขาทั้งสองข้างมีทั้งหมดสองฉบับ หลังจากแกะมันออกมาจึงเห็นว่าฉบับหนึ่งไม่ได้เขียนอะไรไว้ ส่วนอีกฉบับมีคำว่า ‘ฮอน’ เขียนไว้เล็กๆ แต่ชัดเจน ยอนฮวารู้สึกเจ็บแปลบหน้าอกขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเก็บจดหมายที่ส่งถึงฮอนลึกไว้ในอกและเปิดจดหมายที่ไม่มีอะไรเขียนไว้ออก 


 


 


“ตอบกลับมาแล้วหรือขอรับ” 


 


 


โฮจินที่เหมือนเพิ่งตื่น ใช้มือจัดผมที่กระเซอะกระเซิงอย่างลวกๆ และออกมายังสวนหน้าบ้าน ในระหว่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะนวดไหล่ไปด้วย ยอนฮวาจึงรีบขยับตัวไปด้านข้างพร้อมกับส่งจดหมายให้ 


 


 


“โอ้ เร็วขึ้นนะขอรับ”  

 

 


ตอนที่ 11-6

 

รอยยิ้มที่มาพร้อมกับชุดที่ยับยู่ยี่ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน แต่ยอนฮวากลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและตอบว่า “อือ” จากนั้นจึงบอกกับเขาว่าจะไปเตรียมอาหารเช้าและรีบเดินตรงไปยังห้องครัวแม้จะเป็นช่วงเวลาที่เร็วเกินไปสำหรับการเตรียมอาหารเช้าก็ตาม แต่โฮจินก็ไม่ได้ตกใจอะไรและเปิดจดหมายที่ถูกยัดใส่ในมือของตัวเองออก ภายในจดหมายสั้นๆ ประกอบด้วยแผนการที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าความคิดของผู้หญิง แล้วก็… 


 


 


[อย่าแกล้งยอนฮวาหนักเกินไปนักล่ะ] 


 


 


มีข้อความหนึ่งบรรทัดที่หมายถึงโฮจินอย่างแน่นอนถูกเขียนอยู่ด้วย 


 


 


“ยังเฉลียวฉลาดเหมือนเดิมเลยนะขอรับ” 


 


 


“เอามานี่” 


 


 


ฮาแบคที่เพิ่งตื่นในเวลาเดียวกัน แต่อยู่ในชุดไว้ทุกข์สีขาวและจัดทรงผมอย่างเรียบร้อยไร้ที่ติต่างจากโฮจินที่ใครมาเห็นก็รู้ว่าเพิ่งตื่น พลางฉวยจดหมายไป 


 


 


“แค่พูดว่า ‘ส่งมาหน่อย’ ไม่ได้หรือขอรับ” 


 


 


“ไปช่วยเตรียมอาหารไป” 


 


 


“ถ้าให้ผู้ชายไปทำงานเรือน เดี๋ยวพละกำลังก็ตกหมดหรอกขอรับ” 


 


 


“พละกำลังของเจ้าน่ะ เห็นทีจะต้องลดลงหน่อย…” 


 


 


แต่ก่อนที่ฮาแบคจะพูดจบ 


 


 


“กรี๊ด!” 


 


 


เสียงกรีดร้องของยอนฮวาดังออกมาจากห้องครัว พอโฮจินรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัว ก็เห็นฝาหม้อกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างหน้ายอนฮวาซึ่งมีใบหน้าซีดเซียว ส่วนภายในหม้อมีกระต่ายโชกเลือดหนึ่งตัวถูกใส่เอาไว้ โฮจินจับมันขึ้นมาและยื่นไปตรงหน้าของยอนฮวาพร้อมกับยิ้มร่า 


 


 


“กระต่ายจะกินท่านนางในงั้นหรือ หรือท่านจะกินกระต่ายกันแน่ขอรับ” 


 


 


“อะ เอามันออกไปหน่อยเจ้าค่ะ!” 


 


 


เพราะว่ายอนฮวาที่ใช้มือทั้งสองข้างปิดหน้าและทำท่าจะร้องไห้ดูตลกมาก จึงลืมเรื่องที่รยูฮวาเขียนกำชับไว้ในจดหมายก่อนหน้านี้เสียสนิท ท่ามกลางการใช้ชีวิตในหุบเขาซึ่งมีแต่ความน่าเบื่อ ยอนฮวาซึ่งตกใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นจึงเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวของโฮจิน แต่คนที่ร้องโอ๊ะออกมาทันทีที่เห็นกระต่ายที่คยอกรังจับมาแล้วเอามาใส่ไว้ในหม้อไม่ใช่โฮจิน 


 


 


“โอ๊ะ ลืมตาสิขอรับ ถ้าไม่ลืมตา เดี๋ยวข้าโยนกระต่ายใส่นะ” 


 


 


“อย่านะเจ้าคะ ขอร้องล่ะ! ฮือ…” 


 


 


“แกล้งยอนฮวาอีกแล้วรึ” 


 


 


เสียงที่เข้ามาทางประตูทำให้ยอนฮวาซึ่งน้ำตาคลอเบ้าลุกพรวดขึ้นและโค้งคำนับ โฮจินผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ 


 


 


“แกล้งหรือขอรับ เราต้องเพิ่มความกล้าให้กับท่านนางในสิขอรับ” 


 


 


“เพิ่มความกล้าไปทำอะไร” 


 


 


“ไปล่าสัตว์เหมือนพระชายาบ้าง ไปฆ่าคนเหมือนมินอาบ้าง…” 


 


 


แขนที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวยื่นออกไปลูบหัวยอนฮวาเบาๆ ก่อนจะแย่งกระต่ายมาจากโฮจิน 


 


 


“ที่ไหนเขาเพิ่มความกล้าเพื่อที่จะไปล่าสัตว์กันเล่า มันคนละเรื่องกันต่างหากล่ะ” 


 


 


“คือว่า จะเอามันไปฝังไว้ตรงที่มีแดดส่องถึงใช่ไหมเพคะ” 


 


 


ยอนฮวาพูดออกมาด้วยความระมัดระวัง แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือความเป็นจริง 


 


 


“ฝังงั้นหรือ ถ้าเราถลกหนังมันออก แล้วแล่เนื้อมาตากแห้งน่าจะอร่อยไม่น้อยนะ” 


 


 


“ว้าว นึกว่าจะเป็นคนคงแก่เรียนอยู่ในวังเสียอีก แต่ใช้ได้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตบไหล่ของฮอนอย่างไม่ยำเกรง ยอนฮวาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเอาจดหมายที่เก็บเอาไว้ออกมาให้ฮอน 


 


 


“พระชายาส่งมาให้เมื่อเช้ามืดวันนี้เพคะ” 


 


 


มุมปากของฮอนซึ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลายกขึ้นอย่างช้าๆ สีหน้าสดใสปรากฏบนใบหน้าที่ไม่ยิ้มเลยสักครั้งหลังจากฟื้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก ยอนฮวารู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจนิดหน่อยในขณะที่วุ่นอยู่กับตักข้าวสารขึ้นมาจากถังข้าวสาร ส่วนฮอนก็เก็บจดหมายไว้อย่างหวงแหน ก่อนจะออกจากห้องครัวแล้วกลับไปที่ห้อง 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พระพันปีทรงประทับอยู่ด้านหลังราชบัลลังก์อันว่างเปล่าด้วยใบหน้าซีดเซียวราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ที่ตรงนี้นั้นพระมเหสีที่นั่งเหม่อลอยจ้องมองท้องฟ้าว่างเปล่าอยู่ในวังจานยองซึ่งปราศจากข้าราชบริพารคอยรับใช้เฝ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง พระศพของกษัตริย์ผู้ล่วงลับถูกเก็บไว้ในหลุมพระศพอย่างปลอดภัย อำนาจทั้งหมดของประเทศจึงตกอยู่ในมือของหญิงชราคนนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน จนกระทั่งกษัตริย์องค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ แม้เสียงของประชาชนจะดังเซ็งแซ่ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ แต่พระพันปีก็ยังคงออกมาดูแลบ้านเมืองไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย 


 


 


“เจ้ากรมอาญา โทษของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไรบ้างรึ” 


 


 


ภายในน้ำเสียงที่ออกมาอย่างแผ่วเบาเต็มไปด้วยความมีเกียรติของสตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ แทนที่จะเป็นความเศร้าโศกที่สูญเสียบุตรชายไป เจ้ากรมอาญาจึงก้าวออกไปด้านหน้าราชบัลลังก์และนำกระดาษม้วนหนึ่งซึ่งมีบทลงโทษบันทึกอยู่และถุงใบเล็กออกมา สิ่งนั้นถูกส่งจากมือของเจ้ากรมอาญาไปยังขันทีและถูกส่งต่อไปยังพระหัตถ์ของพระพันปีอีกทีหนึ่ง แล้วจึงกางมันออก 


 


 


“มันคือยาพิษที่มาจากตำหนักของพระมเหสีพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่เรียกว่าปลาใต้น้ำคือของหายาก ถึงแม้ว่าจะจ่ายด้วยเงินจำนวนมากก็ไม่สามารถหามาได้ง่ายๆ พ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากว่าไม่มีทั้งกลิ่นและสี ดังนั้นหากมองเพียงผิวเผินจึงไม่อาจรู้ได้เลย นอกจากนั้นแล้วสมรรถภาพของมันยังมีพิษที่รุนแรงด้วย ดังนั้นเพียงแค่หยดเดียวก็สามารถแพร่กระจายไปยังแขนและขาทั้งสองข้าง แล้วทำให้ตายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พระพันปีกำถุงนั้นไว้ในมือ หลับตาลงและปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ ขนมที่ใส่สิ่งนี้เข้าไปคืออาหารมื้อสุดท้ายของลูกชาย และพระมเหสีผู้ที่ทำขนมนี้ก็คือลูกสะใภ้ที่ถูกเลือกขึ้นมาด้วยมือของพระพันปีเองเมื่อหลายสิบปีก่อนอีกด้วย ลมหายใจแห่งความสำนึกผิดรินรดบนราชบัลลังก์อันว่างเปล่า 


 


 


“นำตัวพยานเข้ามา” 


 


 


ประตูถูกเปิดออกหลังจากพระพันปีเอ่ยจบ ทหารองครักษ์ผู้แข็งแกร่งเดินขนาบข้างนางในที่เข้ามาด้านใน 


 


 


“นางคือนางในตระกูลชอนซึ่งเป็นนางในที่ประจำอยู่ในตำหนักของพระสนมมุน ผู้กระทำผิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“จงบอกเรื่องที่เจ้าได้เห็นและได้ยินมาให้หมด” 


 


 


น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมีเกียรติของพระพันปี พระที่นั่งอันกว้างขวางและสายตาของเหล่าเสนาบดีที่เต็มไปทั่วบริเวณทำให้นางในตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เมื่อนางพูดไม่ออกเพราะความกลัว พระพันปีจึงห้ามปราบเจ้ากรมอาญาที่กำลังจะเร่งนางอย่างน่ากลัวและเกลี้ยกล่อมนางในผู้นั้นอย่างอ่อนโยน 


 


 


“ข้าไม่ได้จะลงโทษเจ้าหรอกนะ เพราะฉะนั้นวางใจได้และพูดออกมาเถิด” 


 


 


“มะ หม่อมฉัน…” 


 


 


ถึงจะเป็นเสียงเล็กๆ ที่สั่นเครือ แต่ผู้จดบันทึกก็สามารถจดได้ครบถ้วนทุกคำเพราะท้องพระโรงนั้นเงียบราวกับป่าช้า 


 


 


“หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลพระกระยาหารที่ฮวังควีบี ไม่สิ พระสนมเอก…มุนเสวยเพคะ แรกเริ่มเดิมทีพระองค์ทรงละเอียดอ่อนเรื่องอาหารอยู่แล้ว แม้กระทั่งชาหนึ่งหยดก็ทรงให้หม่อมฉันชิมก่อนจึงจะเสวย แต่… คะ แค่ขนมนั้นเท่านั้นที่ทรงไม่ให้หม่อมฉันแตะต้องเพคะ” 


 


 


“เพราะเหตุใดนางจึงไม่ให้เจ้าแตะต้องรึ ไหนลองเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียดทีสิ” 


 


 


“มีรับสั่งให้เสด็จไปที่วังจานยองเพคะ ซึ่งพระสนมเอกเสด็จไปเพียงคนเดียวโดยที่ไม่มีนางในติดตามเลยสักคนเพคะ จากนั้นทรงไม่เสวยสิ่งใด ทั้งยังเก็บตัวอยู่แต่ในห้องบรรทม หลังจากนั้นไม่นานขนมนั้นก็มาถึง…อ้อ หลังจากที่ท่านเจ้ากรมการคลังมาก็ทรงไปที่ไหนสักแห่งและกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะออกไปพร้อมกับนำขนมไปด้วยเพคะ!” 


 


 


พอได้ยินชื่อตัวเองถูกพูดถึง จอนจูฮโยจึงสะดุ้งและมีสีหน้าตึงเครียดในทันที พระพันปีพินิจมองเขาโดยละเอียด แต่แล้วก็เบนสายตาและหลับตาลงสักพัก พระสนมเอกมุนรู้อยู่แล้วว่าในนั้นมียาพิษ หรือพระมเหสีข่มขู่ให้นางกินขนม? สะเพร่า นั่นมันสะเพร่าไม่สมกับเป็นพระมเหสีเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าพระสนมเอกมุนจะกินสิ่งนั้นเข้าไปและตายเพียงคนเดียว แต่ความผิดในการวางยาพิษมารดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาทก็เพียงพอที่จะทำให้พระมเหสีถูกตัดออกจากราชสมบัติและได้รับโทษประหารชีวิตด้วยยาพิษได้เลย 


 


 


“เจ้ากรมอาญา แน่ใจใช่หรือไม่ว่าขนมนั้นมาจากวังจานยอง” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ มันถูกทำขึ้นที่ห้องครัวของวังจานยอง อีกทั้งพระมเหสียังทรงสั่งให้ผู้ใกล้ชิดนำมันไปส่งด้วยตัวเองอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ตอนนี้แม้แต่หัวสมองก็เริ่มแก่ชราลงแล้วสินะ พระพันปีส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับลุกขึ้น 


 


 


“เลื่อนคำตัดสินโทษของพระมเหสีและผู้ที่เกี่ยวข้องออกไปก่อน วันนี้ยุติเพียงเท่านี้” 


 


 


ความคิดยังคงยุ่งเหยิง แม้จะออกมาจากท้องพระโรงและขึ้นไปบนเกี้ยวแล้วก็ตาม ใช้ชีวิตมานานเกินไปแล้วสินะ หากจากไปพร้อมพระราชาผู้ล่วงลับจะดีกว่าหรือไม่ พระพันปียิ้มอย่างว่างเปล่าและยกมือขึ้นบอกให้หยุดเกี้ยว 


 


 


“เปลี่ยนไปยังวังซึงกอน” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ พระพันปี” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม