จำนนรักชายาตัวร้าย 101.1-102.2

ตอนที่ 101-1 ซย่าโหวฉิงเทียน ฝึกร่วม...

 

 


 


“ทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือ เสด็จแม่ อวี้หลัวช่าคือจอมเทวานะพ่ะย่ะค่ะ นางจะต้องฆ่าพวกเราแน่ๆ!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น หลิวกุ้ยเฟยถึงได้สติขึ้นมา


 


 


จริงสิ!


 


 


อวี้หลัวช่าคือจอมเทวา!


 


 


หากนางหาเรื่องจนอวี้หลัวช่าโมโหขึ้นมา แล้วฆ่าพวกเราทั้งหมด จะทำอย่างไรดี!


 


 


แล้วเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี…


 


 


นาทีนั้นหลิวกุ้ยเฟยก็หมดปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรดีเช่นเดียวกัน


 


 


นี่เป็นปัญหาหนักที่สุดที่นางเจอมานับตั้งแต่เข้าวัง


 


 


หลายปีที่ผ่านมานี้ นางใช้ความโปรดปรานของเชียนลั่วเฉิง จึงใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่เคยต้องพบกับคู่ต่อสู้มาก่อน


 


 


ถึงแม้ว่าหลิวกุ้ยเฟยมักจะท้าทายเย้ยหยันฉู่ฮองเฮาหรือแสดงความรักกับฮ่องเต้ต่อหน้าฉู่ฮองเฮาก็ตาม ทว่าฉู่ฮองเฮากลับมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ราวกับไม่เห็นนางและฝ่าบาทอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ


 


 


สำหรับสนมและเจ้านายตำหนักอื่น ต่อให้งดงามเพียงใดก็ไม่มีนางไหนที่มีตำแหน่งสูงไปกว่านาง แม้มีบางคนที่ตำแหน่งใกล้เคียงกับนางก็ไม่ได้รับการโปรดปรานเช่นนาง มีจำนวนน้อยที่ไม่มีลูกอยู่ข้างกาย ส่วนคนที่มีลูกเป็นที่พึ่งนั้นเลี้ยงลูกมาได้จนโตสักหน่อยไม่กี่ปีก็ตาย…


 


 


จึงสามารถพูดได้ว่าเต็มปากว่า หลิวกุ้ยเฟยไม่เคยต้องพบเจอกับความยากลำบากจริงๆ มาก่อน


 


 


ในบางครั้งต่อให้นางเกิดอาการหึงหวงจนพลั้งมือทำหญิงสาวคนงามสักคนสองคนจนถึงแก่ความตาย เชียนลั่วเฉิงก็มักจะทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง โดยที่ไม่เคยพูดอะไรสักคำ


 


 


วันเวลาผ่านไปก็กลายเป็นความเคยชิน ทำให้ไม่ว่าเป็นการต่อสู้หรือสติปัญญาของหลิวกุ้ยเฟยไม่เคยได้ใช้งานจึงไม่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้นเลย ระบบความคิดของนางหยุดอยู่ที่บทเรียนวังหลวงขั้นพื้นฐานเพียงเท่านั้น


 


 


เพียงแค่เง้างอน ปาดน้ำตาสักหน่อย ก็ได้รับการโปรดโปรานจากเชียนลั่วเฉิง แล้วจะต้องการสติปัญญาไปทำไมกัน!


 


 


ดังนั้น เมื่อต้องมาเจอปัญหาใหญ่อย่างอวี้หลัวช่า หลิวกุ้ยเฟยถึงกับจนปัญญาอย่างสิ้นเชิง


 


 


แม้แต่เชียนเจิ้นหยางยังรู้ว่า อวี้หลัวช่าคือจอมเทวา สามารถฆ่าคนได้ แต่หลิวกุ้ยเฟยกลับยังคิดหาวิธีเล่นงานนางอยู่อีก


 


 


ทำเอาเชียนเจิ้นหยางถึงกับหมดคำพูด


 


 


เขาตระหนักรู้แล้วว่า หลิวกุ้ยเฟยไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงเขาในเวลาเช่นนี้ นับว่าบุญหนักหนาแล้ว!


 


 


แต่จะคาดหวังให้หลิวกุ้ยเฟยมาช่วยเหลือล่ะก็ มันเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!


 


 


ยังดีที่ สมองนางคิดได้เพียงเท่านี้ ซึ่งเชียนเจิ้นหยางก็เคยชินเสียแล้วและมิได้รังเกียจนางเพราะเหตุนี้แต่อย่างใด


 


 


“ทำร้ายอวี้หลัวช่าไม่ได้ แต่ทำร้ายเสนาบดีหวังได้นี่นา”


 


 


แววตาเชียนเจิ้นหยางฉายแววหมดหวัง ส่วนหลิวกุ้ยเฟยก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปอีก


 


 


นับตั้งแต่วินาทีที่นางทรยศหักหลังเชียนลั่วเฉิง คนคนเดียวที่นางสามารถพึ่งพิงได้ก็มีเพียงเชียนเจิ้นหยาง! ขี่หลังเสือแล้ว ไม่มีทางให้หวนกลับ หากเชียนเจิ้นหยางไม่ต้องการนาง เท่ากับนางไม่เหลืออะไรอีกแล้ว


 


 


เชียนเจิ้นหยางคือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนาง!


 


 


“เสนาบดีหวังคือหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋น เขาคอยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเจ้า พวกเราก็โยนบาปเรื่องเชียนลั่วเฉิงให้กับเขา! ขอเพียงเราฆ่าเชียนลั่วเฉิงเสีย เหล่าขุนนางจะต้องเงียบปากลงอย่างแน่นอน ส่วนประชาชนภายนอกก็จะได้ไม่กล้าพูดจาด่าทออะไรเจ้าอีก เจ้าว่าความคิดนี้เป็นอย่างไร”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยเหลือบมองเชียนเจิ้นหยางด้วยอาการตื่นตระหนก หน้าอกหน้าใจที่เต็มไม้เต็มมือขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วตามสภาพอารมณ์ที่แปรผันอย่างหนักหน่วง


 


 


“ความคิดนี้ ไม่เลวทีเดียว!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางพยักหน้าเบาๆ กุมมือหลิวกุ้ยเฟย


 


 


สองสามวันมานี้ที่เขาไม่ยินยอมเชิญอวี้หลัวช่ามารักษาอาการให้กับเชียนลั่วเฉิง ที่ด้านนอกเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง


 


 


จนถึงขนาดที่ว่ามีชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อตามหาเชียนเยี่ยเสวี่ย!


 


 


นี่พวกเขาต้องการให้คนที่ตายไปแล้วคลานขึ้นมาจากหลุมมาออกหน้าแทนเขาหรืออย่างไร!


 


 


ฝันเฟื่องเก่งจริงๆ!


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยตายไปแล้ว!


 


 


ส่วนเขาก็กลับตัวไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน!


 


 


เชียนเจิ้นหยางไม่เชื่อหรอกว่าอวี้หลัวช่าจะมีอิทธิพลกับคนของฉินจื้อมากขนาดนี้ได้ เรื่องนี้จะต้องมีคนปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง และคิดจะใช้โอกาสนี้เล่นงานเขา!


 


 


ซึ่งผู้ที่ออกหน้ามาเป็นคนแรกอย่างเสนาบดีหวัง จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุดของเชียนเจิ้นหยาง


 


 


เชียนเจิ้นหยางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าข้อเสนอแนะของหลิวกุ้ยเฟยยอดเยี่ยมยิ่งนัก!


 


 


เชือดไก่ให้ลิงดู!


 


 


อย่างไรเสียเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศที่เป็นสิ่งของนอกกายเหล่านั้นอีกต่อไป!


 


 


สิ่งเดียวที่เขาต้องการนั่นก็คือ นั่งบัลลังก์ฮ่องเต้นี้อย่างมั่นคง!


 


 


เมื่อเป็นฮ่องเต้ เขาจะทำอะไรก็ย่อมได้!


 


 


ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ ไม่ต้องถูกขุนนางพวกนั้นข่มขู่!


 


 


“เสด็จแม่ ท่านคือนางฟ้าที่สวรรค์ประทานให้กับลูกโดยแท้!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางพอดีใจขึ้นมา ก็กดหลิวกุ้ยเฟยลงบนเตียง เขาวนนิ้วไปมาที่บริเวณท้องน้อยนางกล่าวว่า


 


 


“ท่านมีลูกชายให้ข้าสักคนนะ!”


 


 


มีลูกชายให้สักคน…


 


 


หลิวกุ้ยเฟยใบหน้าแดงก่ำ ผิวพรรณที่ขาวราวหิมะของนางแดงระเรื่อราวท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง มองดูแล้วน่าหลงใหลยิ่งนัก


 


 


“ตอนนั้นข้าดื่มหญ้าฝรั่นจนร่างกายได้รับความเสียหาย”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยกัดริมฝีปาก รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก


 


 


สตรีต้องมีลูกจึงจะมีที่พึ่งพา เป็นประสบการณ์ที่หลิวกุ้ยเฟยเรียนรู้หลังจากที่นางอยู่ในวังหลวงมาหลายปี


 


 


หากมิใช่นางมีเชียนเจิ้นหยางขึ้นมาละก็ เชียนลั่วเฉิงอาจจะไม่โปรดปรานนางนานมาจนถึงวันนี้ก็เป็นได้


 


 


ลูกคือเครื่องมือผูกมัดและสัญลักษณ์แห่งความรักที่สำคัญที่สุด!


 


 


ในอดีต นางใช้อาการเจ็บป่วยไม่สบายของเชียนเจิ้นหยางเป็นข้ออ้าง ดึงเอาเชียนลั่วเฉิงกลับมาจากตำหนักหญิงอื่นได้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง


 


 


มาวันนี้ เพื่ออนาคตตนเอง หลิวกุ้ยเฟยเองก็อยากมีลูกสักคน


 


 


ตอนนี้นางก็อายุมากแล้ว ภายหน้าร่างกายก็ต้องร่วงโรย ซึ่งก็ไม่รู้แน่ว่าเชียนเจิ้นหยางจะยังดีกับนางเช่นนี้อยู่หรือไม่ มีลูกสักคนเป็นโซ่ทองคล้องใจเอาไว้ มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย!


 


 


เพียงแต่ ความปรารถนานี้ไม่รู้ว่าจะสำเร็จได้หรือไม่!


 


 


“เสด็จแม่ ท่านบำรุงรักษาร่างกายมาตั้งหลายปี จะต้องสำเร็จแน่!”


 


 


“อีกอย่างข้าออกจะแข็งแรง เชียนลั่วเฉิงเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำ วางใจเถอะ ข้าจะทำให้ท่านตั้งครรภ์ให้ได้!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางรู้ว่าหลิวกุ้ยเฟยกำลังกังวลเรื่องอะไร เขาจึงลงมือใช้พละกำลังทางร่างกายและการกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ตนเองทันที


 


 


ไม่นานเสียงหอบหายใจถี่ เสียงครางด้วยความสุขสมก็ดังออกมาจากในห้องไม่ขาดสาย


 


 


เชียนลั่วเฉิง เมียน้อยเจ้ากับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังทำเรื่องบัดสีกันอย่างหน้าไม่อาย ท่านรู้บ้างหรือไม่


 


 


อวี้เฟยเยียนมองดูละครที่กำลังแสดงอยู่เบื้องล่าง มือก็ควานหาผงยาสีชมพูอ่อนออกมา แล้วโปรยลงไปทันที


 


 


ในเมื่อชายโฉดหญิงชั่วไม่มีความละอาย นางก็จะช่วยพวกเขาสักครั้ง!


 


 


เสร็จแล้ว อวี้เฟยเยียนก็เดินอ้อยอิ่งมุ่งหน้าไปที่ตำหนักเชียนลั่วเฉิง


 


 


นางเห็นเชียนลั่วเฉิงที่นอนอยู่บนเตียง เพียงไม่กี่วันเขาก็ผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อวี้เฟยเยียนก็แทบอยากจะเสกกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพนี้เก็บไว้ แล้วเอาไปให้เชียนเยี่ยเสวี่ยดูจริงๆ


 


 


ในเมื่อเชียนเจิ้นหยางตัดสินจะฆ่าคนแล้ว เช่นนั้นนางก็จะนั่งรอชมละครฉากเด็ดอยู่ที่นี่!


 


 


คิดได้ดังนั้นอวี้เฟยเยียนก็เดินเข้าไปหาเชียนลั่วเฉิงที่ข้างเตียง บีบปากเชียนลั่วเฉิงให้เปิดออกแล้วยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากของเขา


 


 


เจ้าเป็นใคร!


 


 


เมื่อเห็นคนชุดดำปิดหน้าปิดตา เชียนลั่วเฉิงก็ตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


เชียนลั่วเฉิงคิดจะบ้วนยาเม็ดเมื่อครู่ออกมา ทว่ายานั้นกลับละลายหมดไปเสียแล้ว ไม่ต้องรอให้เขาเข้าใจเรื่องราว ยารสชาติหวานฝาดก็ไหลผ่านลำคอลงไปที่ท้องของเขาเสียแล้ว


 


 


“ขอให้ท่านโชคดี!”


 


 


กล่าวจบอวี้เฟยเยียนก็จากไป


 


 


เชียนลั่วเฉิงตั้งใจรับชมหน้าการแสดงอันน่ารังเกียจของลูกชายและเมียน้อยของท่านก็แล้วกัน!


 


 


เมื่อกลับถึงที่พัก ขณะที่อวี้เฟยเยียนถอดชุดดำออกเตรียมจะอาบน้ำเข้านอนนั่นเอง หนานกงจื่อหลิงก็เข้ามารบกวนอีกครั้ง


 


 


“พี่อวี้…”


 


 


“ท่านดูสิ นี่คือพี่ใหญ่ของข้า!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงคิดอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็พบวิธีการที่จะทำให้อวี้เฟยเยียนรู้จักกับพี่ใหญ่ของนางออกมาได้ นั่นก็คือวาดภาพเหมือนของพี่ชายออกมา


 


 


อย่างไรเสียนางก็เป็นคุณหนูลูกผู้ดีคนหนึ่ง วิชาวาดภาพจะต้องได้ร่ำเรียนมาอยู่แล้ว


 


 


ดังนั้นภาพซย่าโหวฉิงเทียนที่หนานกงจื่อหลิงวาดออกมานั้น จึงมีส่วนคล้ายกับคลึงกับเขาอยู่ไม่น้อย


 


 


เมื่อเห็นว่าแม่นางน้อยนำเอาภาพเหมือนซย่าโหวฉิงเทียนออกมากางลงบนโต๊ะที่แผ่นๆ อวี้เฟยเยียนก็ถือโอกาสชื่นชมเป็นเพื่อนกับนางด้วยกันเสียเลย


 


 


“พี่อวี้ ถึงแม้ว่าพี่ชายข้าจะรูปร่างหน้าแตกต่างจากผู้อื่น แต่เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง จริงๆ นะ ชีวิตข้าพี่ใหญ่ก็เป็นคนที่ช่วยเอาไว้ พี่ใหญ่จิตใจดีที่สุดเลย!”


 


 


ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะรังเกียจพี่ใหญ่ของนางเพราะเขามีผมสีเงิน หนานกงจื่อหลิงจึงรีบกล่าวอธิบายทันที 

 

 


ตอนที่ 101-2 ซย่าโหวฉิงเทียน ฝึกร่วม...

 

ซย่าโหวฉิงเทียน จิตใจดี…


 


 


สาวน้อย หากเจ้าได้รับรู้คำวิจารณ์เกี่ยวกับพี่ชายของเจ้า เมื่อครั้งที่เขาอยู่บนแผ่นดินหลัวอวี่ละก็ เจ้าจะไม่มั่นอกมั่นใจเช่นนี้แน่


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดอยู่ในใจ


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไร ซย่าโหวฉิงเทียนสามารถมีน้องสาวเช่นนี้ได้ อวี้เฟยเยียนก็ดีใจยิ่งนัก


 


 


อย่างน้อยที่สุด ในสายเลือดเดียวกัน ก็ยังมีคนที่คอยเชื่อใจเขา พร้อมจะยืนอยู่ข้างเขาโดยไม่ลังเล


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนอดทนตั้งใจฟังตนเองแนะนำพี่ชายอย่างตั้งใจ ไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการเอาไว้เลยแม้แต่น้อยและฉากที่นางจินตนาการเอาไว้ก็มิได้เกิดขึ้น หนานกงจื่อหลิงก็ยิ่งรู้สึกว่าอวี้เฟยเยียนเป็นคนดียิ่งนัก


 


 


คนอื่นเห็นรูปโฉมของพี่ใหญ่เข้า ต่างเห็นเขาเป็นปีศาจ


 


 


แม้แต่ในบ้านตระกูลหนานกงเอง ก็มักจะมีคนซุบซิบว่าเขาแปลกประหลาด ลับหลังพี่ใหญ่นางอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเมื่อนางได้ยินคำพูดเหล่านั้น หนานกงจื่อหลิงก็จะโกรธเคืองและก้าวออกมาทวงถามความยุติธรรมให้กับพี่ใหญ่นางเสมอ


 


 


ก่อนจะจับคู่อวี้เฟยเยียนให้กับพี่ใหญ่นั้น หนานกงจื่อหลิงเองก็สับสนคิดไตร่ตรองอยู่หลายคืน


 


 


ตลอดระยะเวลาที่ได้ทำความรู้จักกัน หนานกงจื่อหลิงรู้สึกชอบอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก


 


 


ด้านหนึ่งนางก็อยากจะให้อวี้เฟยเยียนแต่งงานกับพี่ใหญ่มาเป็นพี่สะใภ้ของนาง อีกด้านหนึ่งนางก็เกรงว่าหลังจากที่อวี้เฟยเยียนได้เห็นรูปโฉมของพี่ใหญ่ของนางแล้วจะตกใจจนหนีหายไป


 


 


ควรจะพูดความจริงกับพี่อวี้หรือไม่ ปัญหานี้ทำให้หนานกงจื่อหลิงคิดไม่ตกอยู่หลายต่อหลายคืน


 


 


สุดท้าย นางยังคงตัดสินใจพูดความจริง


 


 


ไม่ว่าพี่ใหญ่จะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เขาคือพี่ใหญ่ที่นางเคารพที่สุดอยู่ดี!


 


 


หากว่าอวี้เฟยเยียนปฏิเสธนางพี่ใหญ่เพราะความหวาดกลัวละก็ หนานกงจื่อหลิงก็พอเข้าใจได้!


 


 


แต่จะให้หนานกงจื่อหลิงปิดบังความจริงกับอวี้เฟยเยียน เพียงเพราะเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะถอยห่างจากพี่ใหญ่นางจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะมันไม่จริงใจเอาเสียเลย


 


 


นางตั้งใจหาพี่สะใภ้ให้กับพี่ชายด้วยความจริงใจ!


 


 


นางเองจึงจะต้องซื่อสัตย์จริงใจเช่นกัน!


 


 


จนกระทั่งถึงตอนนี้เมื่อไม่เห็นว่าอวี้เฟยเยียนจะมีท่าทีปฏิเสธหลังจากที่ได้เห็นรูปโฉมพี่ใหญ่ของนาง หนานกงจื่อหลิงก็ยิ่งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม


 


 


พี่ใหญ่! ท่านรอได้เลย!


 


 


ข้าจะต้องพาพี่อวี้ กลับไปเป็นสะใภ้ของเราให้ได้!


 


 


พี่สะใภ้ดีๆ เช่นนี้ นางจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไปอย่างแน่นอน!


 


 


ทว่ายังไม่ทันที่จะรับฟังแผนการและวิสัยทัศน์อันก้าวไกลของหนานกงจื่อหลิงต่อ ประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้น ซย่าโหวฉิงเทียนปรากฏตัวต่อหน้าพวกนาง


 


 


เมื่อเห็นภาพวาดเหมือนตนเองวางอยู่เต็มโต๊ะ ซย่าโหวฉิงเทียนก็เข้าใจในทันที หากเขายังไม่เปิดเผยตัวกับเจ้าน้องสาวจอมโง่นี่อีกละก็ เกรงว่านางจะทำเรื่องที่บ้าคลั่งยิ่งกว่านี้ออกมาเป็นแน่!


 


 


เอาแต่เลื่อยขาเก้าอี้พี่ชายอย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อยเช่นนี้ ต่อให้ขาเก้าอี้ของพี่ทำจากเหล็ก ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกหนานกงจื่อหลิงเลื่อยจนหักเป็นแน่!


 


 


“เจ้า ออกมากับข้า!” ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าว


 


 


“ท่านจะทำอะไร ห้ามทำร้ายผู้หญิงนะ!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงเห็นใบหน้าเย็นชาดุดันของซย่าโหวฉิงเทียน ก็คิดไปว่าเขาจะใช้กำลังกับอวี้เฟยเยียน จึงรีบเข้ามาขวางหน้าปกป้องอวี้เฟยเยียนเอาไว้


 


 


“พี่ใหญ่ของข้าจะไม่ทำร้ายผู้หญิง!”


 


 


ไม่ว่าในเวลาใด นางก็จะยกซย่าโหวฉิงเทียนไปเปรียบกับพี่ใหญ่ของตนเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ใหญ่นางดีกว่าซย่าโหวฉิงเทียนเป็นร้อยเป็นพันเท่า นี่นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของหนานกงจื่อหลิง


 


 


พี่ใหญ่เจ้าไม่ทำร้ายผู้หญิง แต่เขาฆ่าผู้หญิงได้นะสิ…


 


 


อีกอย่างตอนนี้ เขาก็กำลังพูดอยู่กับเจ้า!


 


 


เมื่อเห็นว่าหนานกงจื่อหลิงยังคงไม่เข้าใจเรื่องราว อวี้เฟยเยียนก็ถึงกับจนปัญญา


 


 


สุดท้าย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้หิ้วหนานกงจื่อหลิงออกไป


 


 


“ไอ้บ้า เจ้าปล่อยมือนะ หากเจ้ากล้ารังแกข้าละก็ พี่ใหญ่ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนรูปร่างสูงใหญ่มือยาวเท้ายาว ในขณะที่เขาหิ้วหนานกงจื่อหลิงออกไปนั้นจึงดูราวกับกำลังหิ้วตุ๊กตาผ้าก็ไม่ปาน


 


 


เมื่อเห็นว่าหนานกงจื่อหลิงพยายามตะกุยตะกายกำหมัดยื่นมา จะทักทายใบหน้าอันหล่อเหลาของตน ซย่าโหวฉิงเทียนก็จับหมัดน้อยนั้นไว้


 


 


“หลิงเอ๋อร์ ข้าเอง!”


 


 


หลิงเอ๋อร์ ข้าเอง…


 


 


ได้ยินเช่นนั้น หมัดหนานกงจื่อหลิงก็หยุดค้างกลางอากาศ


 


 


เสียงนี่มัน เหตุใดถึงได้คล้ายคลึงกับเสียงของพี่ใหญ่นักนะ


 


 


“ท่านคือ”


 


 


“ออกไปคุยกันข้างนอก…”


 


 


เมื่อคนทั้งสองออกไปจนถึงสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลแล้ว เสียงกระดูกเคลื่อนไหวก็ดังขึ้น ไม่นานซย่าโหวฉิงเทียนก็คืนกลับร่างเดิม


 


 


ครั้งนี้ กลายเป็นหนานกงจื่อหลิงที่อึ้งเงียบไปทันที


 


 


“พี่ใหญ่ ท่านคือพี่ใหญ่!”


 


 


“อื้ม” ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า


 


 


“เรื่องที่เจ้าจะบอกข้ารู้เรื่องหมดแล้ว เจ้าวางใจเถอะ! ตี้อู่หงเยี่ยตายไปแล้ว!”


 


 


หลายวันมานี้อวี้เฟยเยียนไปที่วังหลวงเพื่อตามหาเยี่ยหงทุกวัน


 


 


ซึ่งตี้อู่หงเยี่ยก็มิได้ปรากฏตัว ทำให้หนานกงจื่อหลิงแอบคาดการณ์อย่างลับๆ ว่า จะต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นกับท่านป้ารองเป็นแน่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าท่านป้ารองจะตายไปแล้ว


 


 


ตายไปได้ก็ดี!


 


 


จะได้ไม่มีใครมาหาเรื่องพี่ใหญ่อีก!


 


 


“พี่ใหญ่ ตอนนี้ท่านอยู่ในฐานะซย่าโหวฉิงเทียน หลินเจียงอ๋อง เช่นนั้น ท่านกับพี่อวี้เป็นอะไรกัน”


 


 


สมองหนานกงจื่อหลิงแล่นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เข้าใจในความสัมพันธ์ของพวกเขาทันที


 


 


“หากมิใช่ข้าสนับสนุนพี่อวี้ให้ไปจากท่าน ท่านก็คงไม่ยอมเปิดเผยตัวใช่หรือไม่”


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ หนานกงจื่อหลิงเริ่มน้อยอกน้อยใจขึ้นมา


 


 


“พี่ใหญ่ท่านเกินไปแล้วนะ! รู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นห่วงท่านแทบตาย ท่านยังทำเป็นหูหนวกตาบอด หากมิใช่ว่าท่านหน้าตาเหมือนพี่ใหญ่ทุกประการละก็ ข้ายังสงสัยว่าท่านถูกสับเปลี่ยนตัวไปเสียแล้ว!”


 


 


เห็นน้องสาวคนดีเริ่มจะเอาแต่อารมณ์ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยิ้มออกมา


 


 


“ชื่อเสียงของข้าที่นี่ไม่สู้ดีนัก”


 


 


ความหมายที่พูดนั่นก็คือ พี่ที่ปิดบังเจ้า ก็เพื่อที่จะดำรงไว้ซึ่งภาพพี่ชายที่สูงส่งแสนดีในใจเจ้าเอาไว้!


 


 


ได้ฟังคำอธิบายเช่นนั้น หนานกงจื่อหลิงจึงเลิกเซ้าซี้ปัญหานั้นอีกต่อไป


 


 


นางเองก็ได้รับรู้เรื่องราวบนแผ่นดินหลัวอวี่มากมาย ผ่านทางพวกแม่บ้านที่เข้ามาช่วยงานในบ้าน หนึ่งในนั้นเรื่องที่นางสนใจมากที่สุดนั่นก็คือ เรื่องซย่าโหวฉิงเทียนคนผู้นี้


 


 


รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!


 


 


เพียงเพื่อต้องการเลื่อยขาเก้าอี้เขาได้สำเร็จ หนานกงจื่อหลิงคิดสรรหาวิธีการมากมายจนหัวแทบจะระเบิด เพื่อตามหาจุดบกพร่องของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ผลก็คือหลังจากที่สืบข่าวมา นางก็ต้องตกใจจนตัวโยน


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียน หลินเจียงอ๋องแห่งต้าโจว เขาคือผู้ที่ได้ชื่อว่าโหดเ**้ยมไร้มนุษย์ธรรม ซย่าโหวฉิงเทียนนี่นา!


 


 


พี่อวี้จิตใจดีอ่อนโยนถึงเพียงนั้น เหตุใดถึงได้คบหากับบุคคลเช่นนี้ได้!


 


 


เมื่อสืบจนได้ผลลัพธ์เช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงก็ยิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจับคู่ให้กับอวี้เฟยเยียนและพี่ใหญ่ของนางให้จงได้


 


 


นางจะไม่ยอมทนเห็นพี่อวี้กระโดดเข้ากองไฟไปต่อหน้าต่อตาเป็นแน่!


 


 


แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ความจริงกระจ่างชัด พี่ใหญ่ก็คือซย่าโหวฉิงเทียน ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาหนานกงจื่อหลิงเกิดอาการจุกอกขึ้นมาทันที


 


 


พี่ชาย จิตใจอันดีงามของท่านหายไปไหนกัน


 


 


เหตุไฉนเมื่อมาที่แผ่นดินหลัวอวี่ ท่านก็กลับกลายเป็นผู้ที่เข่นฆ่าผู้คนไม่เลือกที่เขาเล่าลือกันไปเสียแล้ว


 


 


เสียแรงที่ข้าเที่ยวไปคุยโม้ต่อหน้าพี่อวี้ว่าท่านเป็นคนดีนักหนา…


 


 


เมื่อนึกถึงคำที่เหล่าแม่บ้านที่พูดกันเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตอันโหดเ**้ยมของซย่าโหวฉิงเทียนที่ผ่านมา ทำให้หนานกงจื่อหลิงเกิดความรู้สึก ‘ท่านไม่ใช่พี่ชาย’ ของข้าขึ้นมาฉับพลัน


 


 


แต่ว่า เพียงไม่นานหนานกงจื่อหลิงก็กลับได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง


 


 


พี่ใหญ่จะต้องเจอกับเรื่องราวมากมายเป็นแน่ ถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้!


 


 


นางจะไม่โทษเขา!


 


 


“พี่ใหญ่ ไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไร ท่านก็ยังเป็นพี่ใหญ่ของข้า!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงเงยหน้าขึ้น สีหน้าขี้เล่นดื้อรั้นดังเดิม


 


 


“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าพี่อวี้คือพี่สะใภ้ของข้า ข้าก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้! พี่ใหญ่ เห็นแก่ความพยายามของข้า ท่านจะต้องแต่งพี่อวี้เข้าบ้านให้จงได้ ตอนนี้ข้าขาดพี่อวี้ไม่ได้แล้ว!”


 


 


คำพูดของหนานกงจื่อหลิง ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับเลิกคิ้วขึ้น


 


 


อะไรกันที่เรียกว่านางขาดอวี้เฟยเยียนไม่ได้


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าคอยเอาอกเอาใจแมวน้อยเพื่อให้แมวน้อยทำของอร่อยให้เจ้ากิน…


 


 


สตรีของตนถูกเรียกขานด้วยความคิดถึงคะนึงหาต่อหน้าต่อตา ต่อให้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของตนก็ตาม  แต่ในใจซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังเกิดอาการหึงหวงเล็กๆ ขึ้นมา


 


 


สองสามวันมานี้ หนานกงจื่อหลิงก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีเกาะติดอวี้เฟยเยียนไม่ห่าง จนเขาและอวี้เฟยเยียนไม่มีเวลาแสดงความรักต่อกันเลย


 


 


เห็นที ต้องหาโอกาสส่งนางกลับเมืองอู๋โยวเสียแล้ว! 

 

 


ตอนที่ 101-3 ซย่าโหวฉิงเทียน ฝึกร่วม...

 

รอจนกระทั่งพี่น้องสองคนเดินกลับมา อวี้เฟยเยียนสังเกตเห็นสีหน้าขัดเขินของหนานกงจื่อหลิง ก็รู้ได้ในทันทีว่าปัญหาถูกแก้ไขไปหมดแล้ว


 


 


“อาซ้อ ท่านนี่ร้ายจริงๆ”


 


 


หนานกงจื่อหลิงพุ่งตรงเข้าหาหาอวี้เฟยเยียนที่กำลังทำหน้าล้อเลียนนางอยู่ หลังจากนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วขอตัวกลับห้องของตัวเอง


 


 


เพื่อเปิดโอกาสให้ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนมีเวลาอยู่ด้วยกัน


 


 


“เปิดเผยตัวแล้ว”


 


 


“หากไม่ยอมเปิดเผยตัวกับนางอีก เกรงว่านางก็จะยึดเอาเจ้าไปครอบครองไว้เพียงผู้เดียวน่ะสิ!”


 


 


กล่าวจบซย่าโหวฉิงเทียนก็อุ้มอวี้เฟยเยียนที่หลับตาลงกลับห้อง เพื่อดื่มด่ำความสุขที่คนทั้งสองได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน


 


 


ในทุกวันช่วงเช้าอวี้เฟยเยียนจะต้องเข้าไปหาเรื่องในวัง ช่วงบ่ายกลับมาดูแลเชียนเยี่ยเสวี่ย ตกกลางคืนยังต้องดูแลหนานกงจื่อหลิง บางทียังต้องถกปัญหาวิชาแพทย์กับตี้อู่เฮ่ออี จนซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกว่าตนเองถูกละเลยไปโดยปริยาย


 


 


“แมวน้อย พี่คิดถึงเจ้า…”


 


 


อากัปกิริยาออดอ้อนออเซาะของซย่าโหวฉิงเทียน เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากอวี้เฟยเยียน


 


 


ยิ่งได้ทำความรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกันนานเท่าไหร่ หัวใจทั้งสองคนก็ยิ่งผูกพันกันมากเท่านั้น ซย่าโหวฉิงเทียนทลายกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาลงได้ จึงทำให้ใบหน้าเขาแสดงสีหน้าได้มากยิ่งขึ้น


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนในตอนนี้ กำลังอยู่ในร่างคนหนุ่มขี้อ้อน ไม่มีเค้าหลินเจียงอ๋องในตำนานเลยแม้แต่นิดเดียว!


 


 


“ข้าก็อยู่ที่นี่ทุกวันไม่ใช่หรือ”


 


 


อวี้เฟยเยียนหยอกเย้า


 


 


“มันไม่เหมือนกัน!” ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวแทรกขึ้นต่อด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจว่า


 


 


“เจ้ายุ่งเพราะเรื่องผู้อื่นทุกวัน จนไม่มีเวลาให้พี่! พี่อยากจะเอาคนพวกนั้นไปโยนทิ้งดวงจันทร์เสีย! เช่นนี้พี่จะได้ครอบครองเจ้าแต่เพียงผู้เดียว!”


 


 


แต่มีสิ่งหนึ่งที่อดพูดไม่ได้นั่นก็คือ ชายหนุ่มรูปงามที่ดีพร้อมทุกอย่าง ต่อให้ออกอาการหึงหวง หน้านิ่วคิ้วขมวด ก็ยังสามารถทำให้ผู้คนหัวใจสั่นสะท้านได้


 


 


อยากกลืนกิน…


 


 


จู่ๆ ของอวี้เฟยเยียนก็รู้สึกราวกับในใจมีไฟสุมอยู่


 


 


นับๆ ดูแล้วหากนางอยู่ที่ประเทศจีนในยุคปัจจุบันละก็นางก็จะมีอายุยี่สิบเจ็ดปี หากพูดให้ถูกต้องละก็นางต่างหากจึงนับเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนตัวจริง!


 


 


ทำอย่างไรดี!


 


 


นางอยากจะโผเข้าหาเขาผลักเขาให้ล้มลง!


 


 


มองดูใบหน้ารูปงามของชายหนุ่มตรงหน้า หัวใจอวี้เฟยเยียนก็เต้นระรัว


 


 


หากเป็นที่ประเทศจีนละก็ หนุ่มวัยละอ่อนที่หล่อเหลาเพียงนี้ จะต้องเอาขึ้นเขียงแล่เนื้อลองลิ้มชิมรสก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


 


และถึงแม้ว่าแท้ที่จริงแล้วนางจะอยู่ในช่วงวัยหญิงสาวที่ควรจะมีค่ำคืนแรกแล้วก็ตาม แต่คืนแรกยังไม่เคยเกิดขึ้น นั่นก็เพราะนางยังไม่เจอคนที่ทำให้นางหัวใจของนางหวั่นไหวเลยนี่นา!


 


 


ตอนนี้ ยากนักที่จะมีเจ้าชายผ่านมาสักคน นางกลับกลายเป็นเด็กน้อยไปเสียได้ โชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย


 


 


แววตาอวี้เฟยเยียนฉายแววสับสน


 


 


ความรู้สึกที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจ มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน!


 


 


“ฉิงเทียน…”


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งอึดอัด ความรู้สึกที่ต้องข่มใจเอาไว้ทำให้ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์ที่จะบอกกล่าวความจริงกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ


 


 


น่าอนาถยิ่งนักว่าหรือไม่เล่า!


 


 


สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็เอี้ยวตัวเข้าหาอ้อมอกของซย่าโหวฉิงเทียน นางอู้อี้ในลำคอว่า


 


 


“คืนนี้ ท่านนอนเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ!”


 


 


ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องมีอะไรเกิดขึ้น คนทั้งสองเพียงนอนร่วมเตียงกัน ให้นางได้ซุกกายนอนหลับอย่างสบายใจในอ้อมกอดของเขา เพียงเท่านี้ไม่น่ามีปัญหาอะไรกระมัง!


 


 


พอดีจะได้สัมผัสแผงอกช็อกโกแลตของซย่าโหวฉิงเทียนไปด้วย!


 


 


นางอยากทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว!


 


 


การเชื้อเชิญของอวี้เฟยเยียน ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับแก้มแดง


 


 


เมื่อครู่เขาแค่บ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะคิดว่าแมวน้อยมีเวลาให้กับตนเองน้อยเกินไป แต่นางกลับตอบรับถึงเพียงนี้ ทำให้อาการรู้สึกผิดในใจของเขามัน…


 


 


เห็นที แมวน้อยจะไร้เดียงสาและใสซื่อบริสุทธิ์เกินไปจริงๆ!


 


 


มิฉะนั้นคงไม่ใช้วิธีเช่นนี้มาชดเชยเขา เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของเขาเป็นแน่!


 


 


คำพูดเมื่อครู่ของเขาก็ออกจะเกินความจริงไปบ้าง ตอนนี้กลับได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ นับเป็นการหลอกลวงแมวน้อยหรือไม่นะ


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนไหนเลยจะรู้ อวี้เฟยเยียนสาวน้อยจอมหื่นคนนี้หาโอกาสที่จะได้เชยชมแผงอกสมบูรณ์แบบของเขามาตั้งนานแล้ว นางหาใช่แม่นางน้อยที่แสนไร้เดียงสาเสียเมื่อไหร่!


 


 


แม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะรู้สึกว่าโกหกอวี้เฟยเยียนเช่นนี้เป็นไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่โอกาสเช่นนี้ช่างหายากยิ่งนัก


 


 


ดังนั้น เขาจึงรับปากนางไป


 


 


หลังจากทั้งสองคนอาบน้ำทำกิจวัตรประจำวันแล้วเสร็จ ซย่าโหวฉิงเทียนก็หันหลังให้อวี้เฟยเยียนแล้วถอดเสื้อชิ้นบนออก เผยให้เห็นแผ่นหลังกำยำซึ่งมีลายกล้ามเนื้อที่สวยงามออกมา


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สำรวจร่างกายซย่าโหวฉิงเทียน ภายใต้แสงไฟ


 


 


อีกครั้งที่อวี้เฟยเยียนถูกภาพงดงามเบื้องหน้าดึงดูดให้ตกตะลึงอีกครั้ง!


 


 


กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่ขาวราวกับหยกใส ไร้ซึ่งร่องรอยจุดด่างดำใดๆ ไหล่กว้างที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ลายกล้ามเนื้อที่สวยงามชัดเจน ทำให้คนมองอดไม่ได้ที่จะนึกโลมาที่แหวกว่ายเล่นน้ำท่ามกลางสายธารอย่างอิสรเสรี เอวใหญ่ที่บึกบึน มองดูแล้วเต็มไปด้วยพละกำลัง…


 


 


“ช้าก่อน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเอามือกุมที่จมูกตน นางรีบเอียงหน้าเข้าไปหากะละมังน้ำ แล้ววักน้ำเย็นรดที่หน้าผากตน


 


 


ไม่ได้!


 


 


พลังในการต้านทานย่ำแย่เหลือเกิน!


 


 


นางเห็นเพียงแค่แผ่นหลังก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว!


 


 


เห็นทีว่าไฟที่ร้อนรุ่มภายอยู่ในหนักหน่วงยิ่งนัก พรุ่งนี้จะต้องจัดยาระบายความร้อนให้กับตัวเองเสียหน่อย!


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดอยู่ในใจ


 


 


เห็นอวี้เฟยเยียนแสดงอาการลำบากใจออกมาอีกครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเสียเต็มประดา เขาก้าวออกมาด้านหน้าแล้วยื่นมือออกมารั้งเอวนาง


 


 


“แมวน้อย เจ้าช่างน่ารักจริงๆ!”


 


 


ลมหายใจอุ่นร้อนวนเวียนอยู่ที่ริมใบหูอวี้เฟยเยียน ทันใดนั้นขนบางๆ บริเวณใบหูเล็กของนางก็ตั้งตรงขึ้นมา


 


 


อย่าบังคับข้า!


 


 


อวี้เฟยเยียนทั้งกังวลใจทั้งเขินอาย


 


 


เดิมอวี้เฟยเยียนคิดจะชื่นชมความงามภายใต้แสงไฟ พร้อมกับกระทำอะไรบางอย่างที่แสนหวานชื่นที่ดีต่อทั้งกายและใจ ใครจะคาดคิดว่านางอ่อนหัดยิ่งนัก! แรงต้านทานของนางช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียจริง!


 


 


“ท่านต้องเป็นดาวโชคร้ายของข้าอย่างแน่นอน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวลอดไรฟัน


 


 


มีชายรูปงามอยู่ตรงหน้า แต่ไร้วาสนาได้เชยชม ทรมานใจยิ่งนัก!


 


 


ดวงหน้าชมพูระเรื่อของอวี้เฟยเยียน กำลังโกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟัน แก้มสีชมพูตุ่ยๆ กลมบ๊อกทั้งสองข้าง ราวกับปลาที่กำลังเป่าฟองอากาศออกมา ช่างน่ารักอย่างที่สุด!


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนก้มหน้าลงกลั้นยิ้มเอาไว้ หอมแก้มพร้อมกับลูบไล้เส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา


 


 


“ไปเถอะ ไปนอนเถอะ!”


 


 


“ไม่เอา…”


 


 


อวี้เฟยเยียนเสหน้าหันไปอีกด้าน ไม่เหลือบไปมองกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่เป็นแผงสวยงามนั่นอีก


 


 


“เอ่อ ท่านกลับไปนอนที่ห้องตัวเองเถอะ หากท่านยังอยู่ที่นี่ ข้าจะต้องเสียเลือดมากจนตายแน่ๆ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนชี้ที่จมูกของตนเองด้วยความเขินอาย


 


 


เหตุใดจะต้องจบลงด้วยการเลือดกำเดาทุกครั้งไปด้วยนะ!


 


 


เห็นทีการปรุงยาระงับอารมณ์จะเป็นเรื่องเร่งด่วนเสียแล้ว!


 


 


 ไม่เอา!


 


 


นับตั้งแต่ที่มีโอกาสได้สัมผัสอวี้เฟยเยียนอย่างแนบชิดเมื่อครั้งที่อยู่ที่หอราชาโอสถคราวที่แล้ว ภายหลังเขาก็ไม่เคยได้มีโอกาสเช่นนั้นอีกเลย แล้วครั้งนี้ซย่าโหวฉิงเทียนจะปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปได้อย่างไร


 


 


มองดูจมูกอวี้เฟยเยียนแล้วเมื่อเห็นว่าไม่เป็นไร ซย่าโหวฉิงเทียนก็อุ้มนางขึ้น แล้วคนทั้งสองก็นอนลงบนเตียง


 


 


ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาก็จะทำตัวเป็นอันธพาลเกาะติดนางเอาไว้ให้แน่นหนาทีเดียว!


 


 


สงบใจ!


 


 


สงบใจ!


 


 


อวี้เฟยเยียนภาวนาอยู่ในใจ ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนก็วาดแขนออกมาดึงรั้งนางเข้าไปในอ้อมกอด


 


 


“นอนเถอะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจุมพิตที่หน้าผากของอวี้เฟยเยียนอย่างแสนรัก


 


 


เมื่อครู่เขาอุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้น ตัวนางเล็กเพียงนิดเดียวทั้งยังบอบบางนุ่มนิ่ม ซบลงที่อกเขาอย่างโหยหาที่พึ่งพิง ซึ่งมันสวยงามอย่างที่สุดในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ข้านอนไม่หลับ…” 

 

 


ตอนที่ 101-4 ซย่าโหวฉิงเทียน ฝึกร่วม...

 

อวี้เฟยเยียนนอนอยู่บนอกของซย่าโหฉิงเทียน กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน


 


 


ในตอนที่ซย่าโหวฉิงเทียนยังเป็นเสี่ยวฉิงฉิงอยู่นั้น คนทั้งสองเคยร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาแล้ว


 


 


ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ส่วนนางยิ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวใดเข้าไปใหญ่!


 


 


มาตอนนี้ ที่เบื้องหน้านางคือชายหนุ่มรูปงามทั้งยังเป็นชายที่ตนเองชอบ ตอนนี้ทั้งนางและเขาอยู่ในท่าทางที่แนบชิดสนิทสนม จะไม่ให้หัวใจอวี้เฟยเยียนคึกคะนองราวกับม้าศึกได้อย่างไรกัน มันยากเย็นเสียยิ่งกว่าสิ่งใด!


 


 


“เช่นนั้นพี่เล่านิทานให้เจ้าฟังดีกว่า”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลูบหลังอวี้เฟยเยียนเป็นจังหวะแผ่วเบา ราวกับกำลังกล่อมเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น ทำให้อวี้เฟยเยียนทั้งสบายและผ่อนคลายอย่างที่สุด


 


 


“ท่านเล่าเรื่องเมื่อครั้งที่ท่านอยู่ที่ฉินจื้อให้ข้าฟังหน่อยสิ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำขลับราวหินภูเขาไฟของนาง จ้องมองที่ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วสับเปลี่ยนสถานะกับตัวประกันได้อย่างไร เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ! ข้าอยากเข้าใจท่านให้มากยิ่งขึ้น…”


 


 


“ได้!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพยักหน้า


 


 


“ปีนั้น พี่อายุสี่ปี คนที่ปกป้องคุ้มครองดูแลพี่ จนหนีมาได้คือบ่าวใบ้ไร้ชื่อแซ่คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงบ่าวที่อยู่ในตระกูลซย่าโหวแต่ก็ดีกับพี่ยิ่งนัก เมื่อเขารู้ว่าซย่าจื่ออวี้ต้องการฆ่าพี่ เขาก็พาพี่หลบหนีข้ามวันข้ามคืนจนออกมาได้”


 


 


“ต่อมา เพื่อที่จะหลอกล่อกลุ่มคนที่ตามฆ่าพี่ไปอีกทาง บ่าวใบ้ผู้นั้นซ่อนพี่เอาไว้ในกองฟืน ส่วนตัวเองก็วิ่งไปอีกทาง หลังจากนั้นเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย…”


 


 


เมื่อเล่าถึงตรงนั้น รอบกายซย่าโหวฉิงเทียนก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก


 


 


อวี้เฟยเยียนเองก็สามารถเดาได้เลยว่า บ่าวใบ้ผู้นั้นคงจะเจอเหตุร้ายมากกว่าดีเป็นแน่!


 


 


นางยื่นมือไปโอบเอวซย่าโหวฉิงเทียนเอาไว้ ส่งกำลังใจให้กับเขาผ่านการกระทำ


 


 


“จนกระทั่งพี่ออกมาจากกองฟืน ก็ตามหาเขาอยู่นาน จนในที่สุดก็พบศพของบ่าวใบ้ผู้นั้นในบึงน้ำ”


 


 


“หลังจากนั้นพี่ก็เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านคนเลี้ยงแพะ พี่ซ่อนตัวอยู่ในกองขนแพะเพื่อให้ความอบอุ่น หิวก็ดื่มนมแพะ ง่วงก็นอนหลับเบียดอัดกันกับแพะ”


 


 


“หลังจากนั้นพี่ก็ติดตามมากับกลุ่มพ่อค้า จนมาถึงแผ่นดินฉินจื้อนี่ แล้วก็เข้ามาอยู่ในจวนตัวประกันโดยไม่ได้ตั้งใจ และแล้วก็ได้พบกับตัวประกันที่มีตำแหน่งเป็นถึงอ๋อง”


 


 


“เขารูปร่างผอมบาง ผมเป็นสีเหลือง พูดจาเชื่องช้าทว่าเขากลับมีจิตใจดียิ่งนัก น่าเสียดายที่คนดีมักจะอายุสั้น ฤดูใบไม้ผลิยังมิทันมาถึงเขาก็ป่วยตายเสียแล้ว”


 


 


“ก่อนตายเขาได้ขอร้องพี่ว่า เขาไม่อยากถูกฝังกลบลงใต้ดิน เพราะทำเช่นนั้นเขาจะมิอาจกลับคืนแผ่นดินเกิดได้อีกต่อไป ดังนั้นพี่จึงเผาร่างของเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่านเก็บใส่ไว้ในโกศ เมื่อพี่กลับไปยังต้าโจว จึงได้พาเขากลับมาด้วย…”


 


 


 ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ภาษาง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถบรรยายเรื่องราวที่ตนเองได้ประสบพบเจอมาออกมาได้ทั้งหมดอย่างครบถ้วน


 


 


ถึงแม้เขาจะพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่อวี้เฟยเยียนก็สัมผัสได้ถึงความอันตรายที่เด็กสี่ขวบเช่นซย่าโหวฉิงเทียนต้องเผชิญในตอนนั้นได้ดี


 


 


ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ทั้งยังมีคนไล่ฆ่าตามหลัง…


 


 


เด็กน้อยอายุเพียงสี่ขวบมีชีวิตรอดมาได้ ช่างมหัศจรรย์เสียจริงๆ!


 


 


โชคดีที่ข้างกายของเขายังมีคนดีอยู่บ้าง!


 


 


“ซย่าโหวฉิงเทียน ข้าจะดีกับท่านให้มากจริงๆ นะ!”


 


 


อวี้เฟยเยียนขยับเข้าไปใกล้เขา แล้วกระซิบแผ่วเบา


 


 


“แมวน้อยจอมโง่!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนหันกลับมาหาอวี้เฟยเยียนแล้วจูบที่ริมฝีปากนาง เมื่อเห็นหางตานางที่แดงก่ำเพียงเล็กน้อย ทว่าใจเขากลับเจ็บจี๊ด


 


 


“มันผ่านไปแล้ว พี่ก็สบายดีอยู่ตรงนี้ ขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้างพี่ ก็ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น! อย่างร้องไห้นะ…”


 


 


“ข้าไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวเสียงอู้อี้ แล้วซุกหน้าลงที่ลำคอของซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ถึงแม้ว่านางจะพูดเช่นนั้น แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังรู้สึกถึงความอุ่นร้อนของหยาดน้ำตาที่ไหลรดลงบนผิวของเขา


 


 


“แมวน้อยจอมโง่เอ้ย…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนพลิกกายขึ้นมาอยู่ด้านบน แล้วกดอวี้เฟยเยียนเองไว้ใต้ร่าง จ้องมองนางตรงๆ


 


 


จริงดั่งที่คาด ดวงตานางแดงก่ำบวมช้ำ ราวกับตากระต่ายน้อยก็ไม่ปาน ซึ่งยิ่งทำให้ผิวอวี้เฟยเยียนซีดขาวเข้าไปอีก


 


 


“เจ้าหลั่งน้ำตา ทำให้ใจพี่เจ็บปวดยิ่งนัก!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจูบซับน้ำตาที่หางตาอวี้เฟยเยียน ซับเอาน้ำตาลงไปทีละหยดทีละหยด


 


 


รสชาติขมแกมฝาด ที่แท้น้ำตารสชาติเป็นเช่นนี้นี่เอง


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนหลั่งน้ำตาเพื่อเขา ซย่าโหวฉิงเทียนจูบซับน้ำตาให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยความซาบซึ้งใจ ราวกับต้องการจะสลักความรู้สึกนั้นเอาไว้ในหัวใจตราบนานเท่านาน


 


 


เดิมทีอวี้เฟยเยียนตั้งใจจะปลอบประโลมซย่าโหวฉิงเทียน แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นซย่าโหวฉิงเทียนเองที่ต้องปลอบโยนนาง


 


 


ทว่าภายหลังจากการปลอบโยนซึ่งกันและกัน กลับกลายเป็นการจุมพิตอันเร่าร้อนเข้ามาแทนที่


 


 


แน่นอนว่าเมื่อถึงช่วงสำคัญ ซย่าโหวฉิงเทียนควบม้าจนถึงยอดผาแล้วก็หยุดชะงักลง


 


 


“แมวน้อย พี่ทรมานเหลือเกิน…”


 


 


ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแดงก่ำ เขากำลังจับจ้องมองใบหน้าที่แดงซ่านของอวี้เฟยเยียน


 


 


เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนพูดเช่นนี้ ทำเอาดวงหน้ารูปไข่ของนางแดงซ่านราวกับลูกท้อสุกหวานเชื่อมทันทีด้วยความเขินอาย ร่างกายนางก็แข็งทื่อไม่กล้าขยับเขยื้อน ด้วยเกรงว่าหากนางขยับเขยื้อนจะเป็นการไปปลุกสัญชาตญาณความเป็นชายของเขาขึ้นมา


 


 


เห็นใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแสดงอาการอึดอัดด้วยความทรมาน ทว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายังคงเกลี้ยงเกลาใสสะอาด อวี้เฟยเยียนเองก็กัดริมฝีปากแน่น


 


 


“ไม่เช่นนั้น ท่านลองไปอาบน้ำเย็นสักครู่หรือไม่”


 


 


สำหรับพ่อหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง รู้แต่เพียงว่าฝึกร่วมเช่นเขานั้น อวี้เฟยเยียนชักจูงอะไรเขาไม่ลงจริงๆ


 


 


รอให้เขาอารมณ์ดี มีสติครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการนั่นแหละ นางจึงจะดำเนินการขั้นต่อไป!


 


 


เขาที่ยังไม่เข้าใจอะไรๆ เช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น


 


 


หากเป็นสังคมในยุคปัจจุบัน นางอายุยี่สิบเจ็ด เขาเพิ่งจะยี่สิบสอง เรื่องหลอกล่อชักจูงของวัยหนุ่มสาวพรรค์นั้น นางทำไม่ลงจริงๆ!


 


 


“ดี!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนลุกจากเตียงนอนไป จัดการอาบร่างด้วยน้ำเย็น เพื่อกำราบกำหนัดในร่างของเขาเอาไว้ แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง


 


 


เมื่อกลับมาอวี้เฟยเยียนก็ซุกเข้าไปในอ้อมอกเขาอีกครั้ง จากนั้นนางจึงได้ถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจนางมานานแสนนานออกมา


 


 


“เอ่อ เรื่องฝึกร่วมนั่น ท่านไปฟังใครพูดมา”


 


 


“หลิ่วเซิ่ง”


 


 


คำตอบของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้เฟยเยียนแทบกัดลิ้นตาย


 


 


หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่เอ่ยขึ้นมาละก็ อวี้เฟยเยียนก็เกือบลืมไปแล้วว่ามีคนผู้นี้อยู่ในโลก


 


 


ชายที่เมื่อยิ้มขึ้นมาราวกับจิ้งจอกก็ไม่ปานผู้นั้น กำลังพาซย่าโหวฉิงเทียนไปแบบผิดๆ


 


 


“เขาสอนท่านว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวถามขึ้นด้วยความอยากรู้


 


 


หลิ่วเซิ่งเป็นชายรูปงามที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง แต่หลิ่วเซิ่งสอนซย่าโหวฉิงเทียนผิดๆ เช่นนี้หรือว่าเขาคิดอะไรกับซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ทันใดนั้นในหัวสมองของอวี้เฟยเยียนก็บังเกิดภาพชายคู่รักชั่วชีวิตขึ้นมา ซึ่งภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นให้ความรู้สึกที่ชัดเจนเสียเหลือเกิน


 


 


อวี้เฟยเยียนคิดคำตอบเอาไว้หลายแบบ ซึ่งแตกต่างกับคำอธิบายของซย่าโหวฉิงเทียนราวฟ้ากับเหว 

 

 


ตอนที่ 101-5 ซย่าโหวฉิงเทียน ฝึกร่วม...

 

“มีครั้งหนึ่ง เชียนลั่วเฉิงจัดงานเลี้ยงในวัง เชิญข้าเข้าวัง ในตอนนั้นมีชายหญิงมากมายไปร่วมงาน พวกเขาอยู่ด้วยกัน หลิ่วเซิ่งจึงบอกข้าว่าพวกเขากำลังฝึกวิชาร่วมกัน”


 


 


“หลิ่วเซิ่งบอกว่า การฝึกร่วมคือข้อห้ามเด็ดขาดของผู้ฝึกวรยุทธ์ นอกเสียจากว่าระดับวรยุทธ์ของข้าบรรลุถึงขั้นอาวุโส มิเช่นนั้นการฝึกร่วมจะส่งผลเสียอย่างมากซึ่งไม่มีผลดีกับข้าเลยแม้แต่น้อย สำหรับฝ่ายหญิงก็เช่นกัน!”


 


 


“หลังจากที่พี่สังเกตการณ์มาหลายครั้ง ก็พบว่าที่พวกคนวรยุทธ์ขั้นต่ำพวกนั้นรักกันจนฝึกร่วมกันแล้ว วรยุทธ์ของพวกเขาไม่ได้คืบหน้าแต่อย่างใด เห็นทีสิ่งที่หลิ่วเซิ่งพูดมาเป็นความจริง”


 


 


ได้ฟังเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็แอบทอดถอนใจ


 


 


เพื่อที่จะให้ซย่าโหวฉิงเทียนกลายเป็นคนแข็งแกร่งตั้งใจมุ่งฝึกวิชา หลิ่วเซิ่งถึงกับแต่งคำโกหกผิดๆ เหล่านี้ขึ้นมา เขานี่ช่างเป็นลูกน้องที่ดีเสียจริงๆ!


 


 


เพียงแต่ว่าหลิ่วเซิ่ง ความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์รักของนายท่านเจ้าถูกบิดเบือนจนเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือ


 


 


“แมวน้อย พี่จะรอจนกว่าเจ้าสำเร็จถึงขั้นอาวุโส แล้วจึงค่อยฝึกร่วมกับเจ้า…”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนจ้องมองอวี้เฟยเยียน พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น


 


 


“ชู่…”


 


 


อวี้เฟยเยียนตบที่อกของตัวเองเบาๆ แล้วยิ้มออกมาด้วยความเคอะเขิน


 


 


“เอ่อ ไม่รีบไม่รีบ! ข้าเพิ่งจะสำเร็จขั้นปรมาจารย์เท่านั้นเอง เรื่องฝึกร่วมจึงไม่รีบร้อน!”


 


 


“เจ้าไม่ยินยอมฝึกร่วมกับพี่หรือ”


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนพยายามหลบเลี่ยง ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มรู้สึกสับสน


 


 


“มีเพียงแต่ผู้ที่มีความรู้สึกที่ดีให้แก่กันอย่างที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกร่วมกันได้ แมวน้อย เจ้าไม่ยินยอมฝึกร่วมกับพี่หรือ”


 


 


การฝึกร่วมที่ซย่าโหวฉิงเทียนเคยเห็นมาก็มีไม่มาก


 


 


นอกจากเชียนลั่วเฉิงเคยฝึกร่วมแบบผสมที่งานเลี้ยงในวังหลวงครั้งนั้น ยังมีสองสามวันก่อนในวังหลวงที่เขาเห็นหลิวกุ้ยเฟยและเชียนเจิ้นหยางฝึกร่วมกัน ดูราวกับว่าฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายร้องว่าเจ็บปวดเป็นอย่างมากเสียด้วยสิ


 


 


หรือแมวน้อยกลัวเจ็บ


 


 


เพียงเห็นสีหน้าซย่าโหวฉิงเทียน อวี้เฟยเยียนนึกรู้ในทันทีว่าเขาคงถูกหลิ่วเซิ่งสอนอะไรที่ผิดๆ มาอีกแล้ว


 


 


ความเข้าใจผิดๆ เหล่านั้นถูกฝังแน่นในสมอง หากต้องการชักนำเขากลับมา หน้าที่นี้ช่างยิ่งใหญ่และหนักหน่วงยิ่งนัก!


 


 


“ข้ายังเด็ก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวขึ้นมาแผ่วเบา เรื่องมาถึงวันนี้ นางจึงทำได้เพียงแค่ใช้วิธีการซย่าโหวฉิงเทียนมาอธิบายให้เขาฟัง


 


 


“หากว่าฝึกร่วมเร็วเกินไป ก็จะมีลูกเร็ว แม่ที่อายุยังน้อยและการคลอดลูกทั้งที่ร่างกายยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ไม่ดีกับกับทั้งแม่และลูก!”


 


 


“เด็กเปรต!”


 


 


ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที


 


 


“ไม่ต้องการเด็กเปรต! เด็กเปรตอะไรนั่น น่ารำคาญที่สุด!”


 


 


เด็กเปรต…


 


 


อวี้เฟยเยียนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหมดคำพูด ไม่เคยมีพ่อคนไหนใช้คำบรรยายเช่นนี้เรียกลูกตัวเองมาก่อน


 


 


หรือนี่ ก็เป็นสิ่งที่หลิ่วเซิ่งสอนเขามาอีก


 


 


“เรียกว่าลูก!”


 


 


อวี้เฟยเยียนจ้องตาซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


“จะอะไรก็แล้วแต่ก็ความหมายเดียวกัน พี่ไม่ชอบเด็กเปรต!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ลิ้นเตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของอวี้เฟยเยียนแล้วกล่าวอีกว่า


 


 


“พี่ต้องการเพียงเจ้า!”


 


 


ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็รู้เสียทีว่าการที่จะพูดจาหว่านล้อมคนรักหนุ่มที่ทั้งมั่นใจในตัวเองสูง เผด็จการดื้อดึงดุดันราวกับวัวป่าก็ไม่ปาน มันยากเย็นแค่ไหน


 


 


ไม่ว่านางพูดจนปากเปียกปากแฉะเท่าไหร่ จนแล้วจนเล่าซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังคงยืนยันว่าเด็กเปรตคือสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญที่สุดในโลกอยู่ดี


 


 


สุดท้ายอวี้เฟยเยียนก็พูดจนคอแหบแห้ง เสียงหมดอ่อนล้าจนล่าถอยไปเอง


 


 


“ข้าจะต้องตามหาคนที่สอนท่านผิดๆ ให้เจอ แล้วสับมันเป็นหมื่นชิ้น”


 


 


ก่อนนอนอวี้เฟยเยียนยังคงบ่นพึมพำ


 


 


มองดูอวี้เฟยเยียนเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยอาการสงบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยื่นมือไปลูบไล้ที่แก้มป่องๆ สีชมพูระเรื่อของนางแผ่วเบา


 


 


แล้วคิดถึงประโยคสุดท้ายที่อวี้เฟยเยียนกล่าวเมื่อครู่


 


 


“เมื่อก่อนท่านก็เป็นเด็กเปรตเช่นกัน ท่านก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นมานะ!”


 


 


ซย่าโหวฉิงเทียนตอบอวี้เฟยเยียนที่กำลังหลับสบายด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า


 


 


“ก็เพราะพี่เคยเป็นเด็กเปรตมาก่อน พี่เคยถูกเขารังเกียจถูกตามฆ่า ดังนั้นพี่จึงไม่อยากที่จะมีเด็กเปรต พี่กลัวว่าสักวันหนึ่ง เขาจะต้องกลายเป็นคนประเภทที่ผู้คนเกลียดชังมากที่สุด แล้วถูกผู้อื่นปฏิบัติต่อเขาด้วยวิธีการที่โหดเ**้ยมเช่นเดียวกันกับที่พี่โดน หากเป็นเช่นนั้น เขาคงจะน่าสงสารยิ่งนัก…”


 


 


“แมวน้อย พี่ต้องการแค่เจ้า เพียงพอแล้ว!”


 


 


แต่ทว่าเสียงซย่าโหวฉิงเทียนแผ่วเบา ราวขนนกที่สัมผัสนางเพียงเบาบางมิได้รบกวนนางแต่อย่างใด


 


 


หลังจากที่รู้ว่าเชียนเจิ้นหยางต้องการสังหารเสนาบดีหวังแล้ว วันรุ่งขึ้นอวี้เฟยเยียนก็มิได้ไปโวยวายในวังหลวงแต่อย่างใด และแล้วเรื่องทั้งหมดก็เป็นดั่งที่อวี้เฟยเยียนคาดการณ์เอาไว้ ในวันนั้นตอนเที่ยงตรง เชียนเจิ้นหยางก็มีคำสั่งให้จับกุมตระกูลเสนาบดีหวังเอาไว้


 


 


เหตุผลก็ไม่มีอื่นใด นอกเสียจากเสนาบดีหวังสังหารฮ่องเต้


 


 


และเมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทุกคนก็ตกอกตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


เสนาบดีหวังคนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนชั่วช้าสามานย์ เขาสังหารฮ่องเต้ เพราะมีแผนการอะไรกันแน่


 


 


ไม่นาน เชียนเจิ้นหยางก็ตอบคำถามที่ค้างคาใจของทุกคน


 


 


หลานสาวเสนาบดีหวังตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายเสียด้วย


 


 


เพราะเหตุนี้ทำให้เสนาหวังคิดสังหารฮ่องเต้


 


 


ข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงก่อนหน้านี้ ก็เป็นฝีมือของเสนาบดีหวังที่ให้คนไปปล่อยข่าว จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อโค่นล้มเชียนเจิ้นหยาง เสนาบดีหวังต้องการที่จะยกหลานทวดในท้องหลานสาวเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต


 


 


ถึงแม้ในด้านการบริหารบ้านเมืองเชียนเจิ้นหยางจะไม่เก่งกาจ แต่คราวนี้เขาร่วมมือกับแม่ทัพใหญ่หูจื้อเหนิงได้เตรียมการทุกอย่างมาเป็นอย่างดี


 


 


อีกทั้งเชียนลั่วเฉิงก็กระอักเลือดจนตายหลังจากกินหูฉลามที่เสนาบดีหวังป้อนให้ ซึ่งในตอนนั้นก็มีขุนนางอยู่ข้างๆ อีกสองสามคน พวกเขาสามารถเป็นพยานให้ได้!


 


 


คราวนี้ ตระกูลหวังจึงไม่มีทางดิ้นหลุดได้อีก


 


 


และเชียนเจิ้นหยางก็ทำศึกที่ทำให้ตัวเขาพ้นผิดได้อย่างสวยงาม!


 


 


“ให้หมอนั่นผยองไปอีกสักสองวัน!”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวยิ้มๆ ในขณะที่ช่วยเชียนเยี่ยเสวี่ยแต่งตัว


 


 


“ร่างกายเจ้าฟื้นตัวได้เร็ว เจ้ารักษาดวงตาได้แล้ว! รอให้ดวงตาเจ้ากลับมามองเห็นอีกครั้ง ก็สามารถปรากฏตัวได้แล้ว!”


 


 


“ช่าช่า ข้าอยากดีขึ้นเร็วๆ!”


 


 


เชียนเยี่ยเสวี่ยมือคลำทางสะเปะสะปะจนคว้ามือของอวี้เฟยเยียนเอาไว้ได้


 


 


“ข้าอยากจะเห็นจุดจบเชียนลั่วเฉิงด้วยตาข้าเอง! ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว…”


 


 


“เสวี่ย ข้าเคยทำให้เจ้าผิดหวังเมื่อไหร่กัน”


 


 


อวี้เฟยเยียนกล่าวอะไรบางอย่างกับเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


“แกล้งตาย”


 


 


“ฮ่าๆ เจ้าบอกว่าเขายังไม่ตาย ดีจริงๆ เลย! หัวสุนัขของเชียนลั่วเฉิงควรจะเป็นข้าที่ตัดมันลงมาด้วยตัวเอง ให้เขาตายง่ายดายเช่นนี้ สบายเกินไป!”


 


 


มองดูดวงตาขุ่นมัวมืดบอดของเชียนเยี่ยเสวี่ย อวี้เฟยเยียนก็ทอดถอนใจออกมา


 


 


ทั้งที่เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ แต่กลับต้องกลายเป็นศัตรูที่มีความแค้นจนปฏิบัติต่อกันถึงเพียงนี้


 


 


เหตุใดบนโลกใบนี้ถึงได้มีโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าเพียงนี้นะ


 


 


เพียงแค่เชียนลั่วเฉิงดีกับฉู่ฮองเฮาสักนิด ถึงแม้จะให้เพียงเกียรติยศและความเคารพก็ตาม เชียนเยี่ยเสวี่ยก็คงไม่ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้


 


 


เชียนลั่วเฉิง ทั้งหมดนี่ท่านทำตัวเองทั้งสิ้น!


 


 


ส่วนเชียนลั่วเฉิงในตอนนี้ ก็นับว่าน่าอนาถยิ่งนัก


 


 


หลังจากที่กินยาเม็ดนั้นของคนชุดดำเข้าไป ร่างกายนี้ก็ราวกับไม่ใช่ร่างกายเขาอีกต่อไป จนกระทั่งสองวันให้หลัง เสนาบดีหวังมาเยี่ยมเยือนเขา ทั้งยังป้อนหูฉลามให้กับเขาด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเชียนลั่วเฉิงจึงหลับตาลงอย่างสมบูรณ์


 


 


เดิมที่เชียนลั่วเฉิงคิดว่าตนเองนั้นตายไปแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงว่าเขายังมีชีวิตอยู่


 


 


ที่พิเศษกว่านั้นนั่นก็คือหูเขาใช้การได้ดียิ่งกว่าปกติ


 


 


หลังจากกระอักเลือกแล้วเปลือกตาปิดลง เชียนลั่วเฉิงก็ได้ยินเสียงเชียนเจิ้นหยางกล่าวโทษเสนาบดีหวัง หลังจากนั้นหูจื้อเหนิงก็เข้ามาประหารเสนาบดีหวัง ณ ตรงนั้น ส่วนเชียนเจิ้นหยางมีคำสั่งให้จับกุมตระกูลหวังทั้งหมด


 


 


ถึงแม้ว่าเชียนลั่วเฉิงในตอนนี้จะไม่ต่างอะไรกับคนตาย มองไม่เห็นฉากเหล่านั้นทั้งยังพูดไม่ได้ แต่สมองเขายังคงทำงานอยู่


 


 


ได้ยินหมอหลวงหลี่บอกว่า เสนาบดีหวังยืนยันจะให้เชิญอวี้หลัวช่ามารักษาอาการป่วยให้กับเขาให้ได้


 


 


สิ่งที่เชียนเจิ้นหยางทำกับเสนาบดีหวังนี้ นับเป็นการอาศัยอำนาจส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัวโดยแท้!


 


 


เชียนลั่วเฉิงเองในตอนนี้ขยับมิได้ ช่วยเหลืออะไรเสนาบดีหวังไม่ได้เลย ในตอนนี้เชียนลั่วเฉิงจึงเคียดแค้นเชียนเจิ้นหยางอย่างที่สุด!


 


 


หลังจากนั้น เชียนลั่วเฉิงก็ถูกแบกเข้าไปไว้ในโลงไม้ที่ถูกเตรียมเอาไว้


 


 


วินาทีนั้นเชียนลั่วเฉิงหวาดกลัวจนแทบทนไม่ไหว กลัวว่าจะมีใครมาปิดฝาโลงแล้วฝังเขาลงในดิน นั่นจึงเรียกได้ว่าเรียกฟ้า ฟ้าไม่ขานเรียกดิน ดินไม่ตอบอย่างแท้จริง!


 


 


ในขณะที่เชียนลั่วเฉิงกำลังหวาดกลัวอย่างที่สุดนั่นเอง เขาก็ได้รู้เรื่องชู้รักสองคนซึ่งมันทำให้เขาแค้นเคืองจนแทบกระอักเลือด


 


 


คืนนั้น เชียนลั่วเฉิงได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นั่นก็คือเสียงหลิวกุ้ยเฟยกำลังพูดอะไรบางอย่าง!


 


 


เมียรัก ข้าอยู่ในนี้ เจ้ารีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!


 


 


เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้หลิวกุ้ยเฟยพร้อมกับเสียงปลอบประโลมของนางกำนัล ความโกรธแค้นที่เขามีต่อนางก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปมาก


 


 


ปลงพระชนม์เสด็จพ่อเรื่องเช่นนี้เชียนเจิ้นหยางยังทำออกมาได้ ต้องเป็นมันแน่ที่กักขังหลิวกุ้ยเฟย!


 


 


ลูกทรพีเช่นมัน จะต้องไม่ตายดี!


 


 


เมื่อนึกถึงความรักที่ตนเองมีให้กับหลิวกุ้ยเฟยตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมา ทำให้นางยอมเสี่ยงชีวิตออกมาเยี่ยมตนเอง เชียนลั่วเฉิงก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก


 


 


หลายปีที่ผ่านมานี้หลิวกุ้ยเฟยมิเคยต้องพบกับความยากลำบากเช่นนี้มาก่อน


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกชายในไส้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา นางจะต้องตกใจมากเป็นแน่!


 


 


เมียรัก!


 


 


เมียรัก!


 


 


เชียนลั่วเฉิงอยากที่จะตะโกนเรียกหลิวกุ้ยเฟย อยากจะตะโกนเรียกคนให้มาช่วยเหลือตน ทว่าตัวเขาราวกับผักก็ไม่ปาน ร่างกายไม่สามารถทำตามคำสั่งได้เลย


 


 


เมื่อทุรนทุรายอยู่นาน ในที่สุดเชียนลั่วเฉิงก็ล้มเลิกความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเสียแล้ว


 


 


เยี่ยอ๋องปลงพระชนม์เสด็จพ่อ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้อาจปลงพระชนม์เสด็จแม่ก็เป็นได้


 


 


เขาต้องลุกขึ้นมาปกป้องหลิวกุ้ยเฟย!


 


 


ในตอนนั้นเอง เชียนลั่วเฉิงก็ได้ยินเสียงของเชียนเจิ้นหยางเข้า


 


 


“เสด็จแม่ ท่านมาที่นี่ทำไมกัน”


 


 


เชียนเจิ้นหยางเดินเข้ามา สั่งให้คนทั้งหมดออกไปแล้วปิดประตู


 


 


“นี่พระองค์คงจะมิใช่กำลังอาลัยอาวรณ์ไอ้แก่นี่หรอกนะ!”


 


 


ได้ยินคำว่า ‘ไอ้แก่’ คำนี้ เชียนลั่วเฉิงก็แค้นตัวเองยิ่งนัก


 


 


แค้นที่ตัวเองมีตาหามีแววไม่ ถึงได้เลี้ยงดูคนเนรคุณผิดมนุษย์มนานี่มา!


 


 


“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบิดาเจ้า!”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยดวงตาแดงก่ำ ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเชียนลั่วเฉิงดีกับนางมาโดยตลอด ตอนนี้เขาตายไปแล้ว หลิวกุ้ยเฟยก็อดเสียใจไม่ได้


 


 


“เสด็จแม่ ดูท่าพระองค์ทรงลืมเรื่องหนึ่งไปนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางกดหัวหลิวกุ้ยเฟยลงไปในโลง บังคับให้นางจ้องมองเชียนลั่วเฉิง 

 

 


ตอนที่ 102-1 ตายทั้งเป็น

 

“เขาตายแล้ว”


 


 


เชียนเจิ้นหยางตะคอกที่ข้างหูหลิวกุ้ยเฟย


 


 


“ท่านดูสิ!”


 


 


ในขณะที่พูด เชียนเจิ้นหยางก็ยื่นมือมาตบที่ใบหน้าเชียนลั่วเฉิง หลิวกุ้ยเฟยตกใจจนร้องกรี๊ดออกมา


 


 


เพี้ยะ!


 


 


“ไม่ต้องกลัว เขาตายแล้ว!”


 


 


ถึงแม้ว่าในสายตาคนอื่นเชียนลั่วเฉิงจะเป็นเพียงคนที่ตายไปแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วความรู้สึกนึกคิดของเขายังอยู่ครบถ้วน


 


 


ดังนั้น สิ่งที่เขารู้สึกในตอนนี้นั่นก็คือความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง


 


 


ซึ่งทรมานเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดทั่วไป มันคือการลบหลู่ดูหมิ่น!


 


 


เชียนลั่วเฉิงแทบจะอยากฟื้นขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น แล้วสั่งการให้คนนำเชียนเจิ้นหยางไปประหารด้วยการแล่เนื้อจนกว่าจะตาย!


 


 


“เจิ้นหยาง…”


 


 


มองดูเชียนเจิ้นหยางที่โหดเ**้ยมอำมหิต หลิวกุ้ยเฟยก็ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว


 


 


เขาเปลี่ยนไปเป็นคนน่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


 


“เขาตายไปแล้ว เจ้าก็อย่าทำกับเขา…”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยกล่าวเตือน


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร ฮ่องเต้ก็ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ไม่มีใครมาขัดขวางเชียนเจิ้นหยางได้อีก ตอนนี้เขาเป็นผู้ที่ครองอำนาจสูงสุดในฉินจื้อแล้ว จะยังมาทรมานคนที่ตายไปแล้วอีกทำไมกัน(แกล้งตาย ไม่ได้ตายจริง)


 


 


หากเรื่องนี้แพร่ออกไป จะเสื่อมเสียชื่อเสียงของเชียนเจิ้นหยาง! ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยมีชื่อเสียงในทางที่ดีเลยก็ตาม


 


 


ได้ยินวาจาหลิวกุ้ยเฟย เชียนเจิ้นหยางก็สบถออกมา


 


 


“เฮอะ!”


 


 


“เขาคือพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้า และที่ผ่านมาก็ดีกับเจ้ามาโดยตลอด!”


 


 


ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางและเชียนเจิ้นหยางบอกไม่ได้ว่าคืออะไร ทั้งยังบอกใครไม่ได้


 


 


แต่เมื่อได้เห็นศพเชียนลั่วเฉิง ในใจนางก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก


 


 


อย่างน้อยที่สุด นางก็ทำท่าทีไร้หัวใจเช่นเชียนเจิ้นหยางไม่ได้


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไร ชายที่นอนอยู่ในโลงก็เป็นคู่ชีวิตที่อยู่กินกับนางมาสิบกว่าปี ให้ทั้งความรักและเกียรติยศ ทำให้นางใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายมานาน


 


 


หากนางไม่ระลึกถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนบ้าง เช่นนั้นแล้วนางก็คงจะสู้เดรัจฉานไม่ได้เลย


 


 


อีกทั้งหลายปีมานี้นางก็มีความรู้สึกดีๆ ให้กับเชียนลั่วเฉิงไม่น้อย ซึ่งความรู้สึกนั้นลึกซึ้งเสียด้วย!


 


 


“เหตุใดท่านถึงเอาแต่พูดแทนเขาตลอดเวลา หรือในตอนนี้ข้าไม่ใช่คนรักของท่านหรืออย่างไรกัน เหตุใดจนกระทั่งถึงตอนนี้ท่านยังคิดถึงแต่เขา”


 


 


หลิวกุ้ยเฟยพูดจาเช่นนี้ทำให้เชียนเจิ้นหยางไม่สบอารมณ์ เขาไม่ชอบที่หลิวกุ้ยเฟยเอาแต่พูดแทนเชียนลั่วเฉิง เมื่อพูดจนทะเลาะกันเข้า จู่ๆ เชียนเจิ้นหยางก็หยิบกาน้ำร้อนที่กำลังเดือดจัดขึ้นแล้วเทราดลงมาใส่เชียนลั่วเฉิง


 


 


อ๊าก…


 


 


ความร้อนราวกับไฟของน้ำเดือด เชียนลั่วเฉิงรับรู้ได้เป็นอย่างดีและเขาก็แน่ใจว่าผิวชั้นนอกของตนถูกลวกจนเสียหายไปแล้วอย่างแน่นอน


 


 


ประสาทสัมผัสทั้งห้ากำลังทำหน้าที่ของมัน นั่นทำให้เชียนลั่วเฉิงรู้สึกถึงการกระตุ้นได้อย่างชัดเจน ซึ่งความเจ็บปวดเพียงนี้เชียนลั่วเฉิงไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน!


 


 


เชียนลั่วเฉิงไม่เคยคาดคิดเลยว่า เชียนเจิ้นหยางจะกระทำเช่นนี้กับตนได้!


 


 


ใครก็ได้!


 


 


ลากเจ้าเดรัจฉานนี้ไปประหารเสีย!


 


 


ในใจเชียนลั่วเฉิงทั้งคำรามทั้งตะโกนออกมาด้วยความแค้นเคือง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงที่ร่ำร้องอยู่ในใจของเขา


 


 


“อ๊าก…”


 


 


เห็นเชียนเจิ้นหยางเป็นเช่นนี้ หลิวกุ้ยเฟยถึงกับเข่าอ่อนจนเกือบจะล้มลงบนพื้น


 


 


ทว่า ไม่ทันที่นางจะล้มลงไป เชียนเจิ้นหยางก็ลากนางขึ้นมา


 


 


“เจิ้นหยาง เจ้าเป็นเช่นนี้น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!”


 


 


ความโกรธแค้นที่แสดงออกบนใบหน้าเขา ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว


 


 


ทว่าท่าทีเชียนลั่วเฉิงที่ปฏิบัติต่อเขานั่น ทุกคนต่างก็เห็นด้วยตาของตนเอง!


 


 


ทุกคนต่างอิจฉาเยี่ยอ๋อง เพราะเขาคือองค์ชายที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานที่สุด ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เชียนลั่วเฉิงกล่าวกับหลิวกุ้ยเฟยว่า ต่อไปจะยกราชบัลลังก์ให้กับเชียนเจิ้นหยาง!


 


 


“ข้าก็แค่อยากให้เขาได้ลิ้มรสความรู้สึกของข้าบ้าง!”


 


 


ในตอนนี้เชียนเจิ้นหยางกำลังระบายความหวาดกลัวและโกรธแค้นที่เขาสั่งสมในใจมานานหลายปีออกมา


 


 


ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยลืมเลือนได้เลย ในคืนมืดมิดที่ฝนตกหนัก เขาวิ่งเท้าเปล่าฝ่าสายฝนไปหาหลิวกุ้ยเฟยที่ตำหนัก เพื่อถามหาความอบอุ่นจากนาง แล้วผลลัพธ์เล่า


 


 


เชียนลั่วเฉิงไม่เพียงไม่ปลอบโยนเขาในวัยเยาว์เลยสักครั้ง ทั้งยังสั่งให้คนอุ้มเขากลับตำหนัก ตัวเขาเองก็เอาแต่หาความสุขกับหลิวกุ้ยเฟย


 


 


ในคืนนั้นฝนตกหนักฟ้าร้อง สายฟ้าสีทองผ่าฟาดลงมา ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อหน้าต่อตาเชียนเจิ้นหยางในวัยเยาว์ ทำให้เขาหวาดกลัวจนทั่วร่างสั่นเทา ทว่าในตอนนั้น พวกเขากลับกำลังระเริงรักกันอยู่ในตำหนัก มิเคยมาสงสารเด็กน้อยเช่นเขาเลยด้วยซ้ำ!


 


 


นับตั้งแต่นั้นทำให้เชียนเจิ้นหยางหวาดกลัวฝนตกฟ้าคะนองมาโดยตลอด


 


 


ดูภายนอกผู้คนต่างมองว่าเขาคือเยี่ยอ๋องผู้สูงส่ง แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าในวันที่ฝนตกฟ้าคะนอง เขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวทุกครั้ง


 


 


ถึงแม้ว่าเชียนลั่วเฉิงจะมอบสิ่งของนอกกายที่ดีที่สุด สวยงามที่สุดให้กับเขา แต่มันก็ไม่สามารถชดเชยความรู้สึกที่ขาดหายไปในใจของเขาได้


 


 


ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ มันก็ยิ่งทำให้เขาเจ็บแค้นเชียนลั่วเฉิง


 


 


“ข้าเพียงแต่ส่งคืนสิ่งที่เขาทำกับข้าในช่วงเวลาเหล่านั้นให้กับเขาเท่านั้นเอง!”


 


 


เชียนเจิ้นหยางเงยหน้าขึ้น วูบหนึ่งที่แววตาของเขาฉาบไว้ด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น


 


 


ส่วนเชียนลั่วเฉิงที่อยู่ในโลงก็รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทุกอย่าง เพียงแต่ เขานึกไม่ถึงว่าเชียนเจิ้นหยางจะมีความคิดเช่นนี้


 


 


หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาปิดบังซ่อนเร้นตัวเองเอาไว้อย่างดี!


 


 


เขาเองที่ตาบอด!


 


 


เขามันเป็นไอ้เลว!


 


 


ท้ายที่สุดคนที่เชียนลั่วเฉิงจะด่าได้ ก็มีเพียงแต่ตัวเขาเอง


 


 


หากว่าเขารู้ว่าเชียนเจิ้นหยางเป็นคนอย่างไร เขาควรจะฆ่าเขาให้ตายเสียตั้งแต่แรก ตนก็คงไม่เป็นดั่งเช่นวันนี้ ต้องถูกลบหลู่ดูหมิ่นโดยไม่มีทางที่จะแก้แค้นได้เลย!


 


 


โลงไม้ ถูกกระแทกจนสนั่นหวั่นไหว จนถึงขนาดเกิดเป็นเสียง ‘เอี๊ยด’ ขึ้นมาเลยทีเดียว


 


 


เสียงนั้นดังก้องเข้ามาในหูเชียนลั่วเฉิงอย่างชัดเจน ทำให้เขาหลีกหนีความทรมานนี้ไปไม่พ้น


 


 


ความเจ็บปวดจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามนี้ เกินกว่าความเจ็บปวดเพียงผิวเผินที่บนร่างกายมากนัก มันทำให้เชียนลั่วเฉิงชอกช้ำใจอย่างหนัก ความคั่งแค้นโกรธเคืองนี้ มันเข้าเกาะกุมในจิตใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


“ท่านดูเขาสิทั้งแก่ทั้งน่าเกลียด ไม่มีหัวใจ แม้กระทั่งกับลูกและเมียที่แต่งงานกันมานานก็ยังไม่เว้น คนเช่นนี้มีอะไรดี ท่านจะต้องไปอาลัยอาวรณ์ทำไมกัน!”


 


 


“ฉู่ฮองเฮาและตระกูลฉู่ ยังมีเชียนเยี่ยเสวี่ยอีก จุดจบของพวกเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน ว่าเชียนลั่วเฉิงเป็นคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรม ไม่สมควรได้รับการอาลัยอาวรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น!”


 


 


“ต่อไปในภายหน้า คนที่ท่านสามารถพึ่งพาได้มีเพียงข้าเท่านั้น!”


 


 


โลงไม้เริ่มสั่นไหวอย่างหนัก เชียนลั่วเฉิงที่นอนอยู่ด้านในรู้สึกราวกับตนเองกำลังอยู่บนเรือที่ลอยล่องท่ามกลางมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น


 


 


ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิวกุ้ยเฟยก็ชี้ไปที่เชียนลั่วเฉิงพร้อมทั้งกรีดร้องออกมา


 


 


“ละเลือด เลือด…”


 


 


มือทั้งสองข้างของหลิวกุ้ยเฟยสั่นเทา นิ้วของนางชี้ไปที่โลงไม้ของเชียนลั่วเฉิง


 


 


“เลือด…”


 


 


“เสด็จแม่ เป็นอะไรไป”


 


 


เชียนเจิ้นหยางมองไปตามทิศทางที่หลิวกุ้ยเฟยชี้นิ้วไป ก็พบว่าที่หางตาของเชียนลั่วเฉิงมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา


 


 


ภาพนั้น ยิ่งทำให้จิตใจหลิวกุ้ยเฟยที่ใจฝ่ออยู่แล้วตกใจจนแทบทนไม่ไหว


 


 


แต่ท่าทีเชียนเจิ้นหยางกลับตรงกันข้ามกับหลิวกุ้ยเฟยอย่างสิ้นเชิง เพราะเชียนเจิ้นหยางหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


 


“หรือคนตายก็ยังมีความรู้สึกอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ เชียนลั่วเฉิง คนอย่างท่านก็มีวันนี้!”


 


 


นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ นั่นก็คือทำให้เชียนลั่วเฉิงแม้ตายก็ตายตาไม่หลับ!


 


 


“ตอนมีชีวิตอยู่ ท่านยังขัดขวางข้าและเสด็จแม่ไม่ได้เลย ตายไปแล้วท่านก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! ฮ่าๆ!”


 


 


กระทั่งในเวลานี้ เชียนลั่วเฉิงถึงได้รู้ว่าหลิวกุ้ยเฟยและเชียนเจิ้นหยางเป็นชู้กันมาตั้งนานแล้ว


 


 


เมื่อครู่ที่หลิวกุ้ยเฟยเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ทำให้เชียนลั่วเฉิงหลงคิดไปว่านางถูกบังคับขู่เข็ญ นางเองมิได้ยินยอมพร้อมใจ


 


 


มาตอนนี้เขาพึ่งจะรู้ว่า ตนต่างหากที่เลอะเลือนที่สุด!


 


 


ถูกพวกเขาปั่นหัวมาได้ตั้งนาน!


 


 


ชายชั่วกับหญิงแพศยา!


 


 


พวกเจ้าต้องไม่ตายดี! 

 

 


ตอนที่ 102-2 ตายทั้งเป็น

 

“เฮอะ ก่อนตายฉู่ฮองเฮายังควักดวงตาออกมา เพื่อแสดงว่านางตาบอดที่แต่งงานกับคนเนรคุณเช่นเชียนลั่วเฉิง แล้วเสด็จแม่ท่านทำเช่นนี้ ต้องการดำเนินรอยตามฉู่ฮองเฮาหรืออย่างไรกัน”


 


 


ทันใดนั้น ที่จมูกเชียนลั่วเฉิง มุมปาก ใบหู ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา ทำเอาเชียนเจิ้นหยางหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง


 


 


“สมน้ำหน้า! ในที่สุดเวรกรรมก็ตามสนองท่าน!”


 


 


แม้ว่าร่างเขาจะเป็นดั่งเช่นคนที่ตายไปแล้ว แต่การฟังและการรับความรู้สึกกลับชัดเจน


 


 


ขณะที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแสนพิเศษ


 


 


นี่เป็นกลิ่นไอที่เชียนลั่วเฉิงคุ้นเคย!


 


 


เพียงแต่ว่าในวันนี้ร่างกายที่ยังมีเรี่ยวแรงนั้นไม่ใช่เขา


 


 


สวรรค์!


 


 


ข้ายังไม่อยากตาย!


 


 


ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่!


 


 


อยู่เพื่อจัดการคนชั้นต่ำคู่นี้ด้วยมือของข้าเอง!


 


 


เชียนลั่วเฉิงไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน กระเสือกกระสนอ้อนวอนที่จะได้มีชีวิตต่อไป ในใจเขาแค้น แค้นเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยจนแทบกระอัก


 


 


ในอดีตเขาเคยให้ความรักพวกเขามากมาย ทว่าตอนนี้ความแค้นเคืองในใจของเขามีมากกว่าความรักที่เคยให้กับพวกเขาเป็นร้อยเป็นพันเท่า!


 


 


ไม่ว่าจะเป็นแคว้นหรือฮ่องเต้อะไรเรื่องราวเหล่านั้นเชียนลั่วเฉิงกลับทิ้งมันไว้ข้างหลัง


 


 


ความปรารถนาหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือ ได้ฆ่าเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยด้วยมือของเขาเอง


 


 


ในสมองเชียนลั่วเฉิงคิดวิธีการขึ้นมามากมาย จับมันทั้งสองคนไปโยนไว้ในรังงูหรือว่าโยนเข้าไปในถ้ำเสือ หรือไม่ก็กรีดอักษรบนหน้าของพวกเขา ตัดมือตัดเท้าโยนเข้าไปในเล้าหมู…


 


 


เพียงแต่ความคิดเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขเดียว นั่นก็คือเขาจะต้อง ‘มีชีวิต’ อยู่ต่อไป


 


 


เชียนลั่วเฉิงที่น่าสงสารในเวลานี้กลับมีสติครบถ้วนมากกว่าเวลาไหน


 


 


ข้าสร้างเวรกรรมอะไรไว้กันแน่!


 


 


เลือดที่ออกบนใบหน้าเชียนลั่วเฉิงไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


พวกมันลบหลู่เขา สวมเขาให้เขา เรื่องนี้พูดกับใครนับว่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีเรื่องอุบาทว์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน


 


 


หากเชียนลั่วเฉิงฟื้นขึ้นมาได้ เขาจะต้องฆ่าชายหญิงสุนัขคู่นี้ให้ตายด้วยมือของเขาเอง


 


 


น่าเสียดาย ที่ตอนนี้แม้แต่จะขยับตัวเขายังทำไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ร้องตะโกนคำรามด้วยความคั่งแค้นอยู่ในใจ ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้เลย…


 


 


เมื่อครั้งที่เขายังเป็นฮ่องเต้อยู่ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องเช่นนี้ จะมีก็แต่ในบางครั้งที่เจอเรื่องราวของขันทีผู้ใหญ่วางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงขันทีผู้น้อยอยู่บ้าง แต่ในสายตาเชียนลั่วเฉิง การลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนั้นเทียบอะไรไม่ได้กับที่เขาต้องประสบพบเจอในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย


 


 


ในตอนนี้ เชียนลั่วเฉิงกำลังอาลัยรักและคิดถึงเชียนเยี่ยเสวี่ยที่ตายไปมากมายโดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะรักเชียนเจิ้นหยางมากกว่า ทั้งยังเย็นชากับเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือลักษณะนิสัยของนาง ก็ยิ่งคล้ายคลึงกับตระกูลฉู่มากขึ้นไปทุกที เมื่อเห็นลูกชายคนนี้ เชียนลั่วเฉิงก็มักจะนึกถึงตนเองในอดีตที่ต้องพึ่งพิงตระกูลฉู่จึงได้ครอบครองบัลลังก์ ดังนั้นจึงเกลียดชังเชียนเยี่ยเสวี่ย


 


 


แต่ทว่า เชียนเยี่ยเสวี่ยที่มีฉู่ฮองเฮาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความรู้กลับสูงส่งกว่าเชียนเจิ้นหยางไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!


 


 


หากเชียนเยี่ยเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่ เขาไหนเลยจะต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้!


 


 


แม้เชียนเยี่ยเสวี่ยจะไม่ชอบเสด็จพ่อเช่นเขา แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ยังเคารพเขา ยิ่งจะไม่มีวันกระทำเรื่องเลวร้ายที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้ออกมาเป็นแน่!


 


 


เขาเอง เขาเองที่ทำร้ายผู้หญิงที่รักเขาที่สุด ฆ่าลูกที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับตนเองได้!


 


 


เสียใจเหลือเกิน…


 


 


“อีอี ข้าเป็นสามีที่เลว ข้าผิดต่อเจ้า!”


 


 


“เยี่ยเสวี่ย พ่อเป็นพ่อที่เลว! พ่อผิดต่อเจ้า!”


 


 


การที่ร่างเชียนลั่วเฉิงหลั่งเลือดออกมา ทำให้เชียนเจิ้นหยางเข้าใจไปว่าเขาถูกพิษแทรกซึมลึก หลังจากที่ตายไปแล้วจึงมีอาการเลือดออกเจ็ดทวาร


 


 


เชียนเจิ้นหยางถือโอกาสลงโทษนี้ประหารตระกูลหลี่ของเสนาบดีหวังเก้าชั่วโคตร


 


 


เสียงคัดค้านทั้งหลายทั้งมวลสงบลงได้ด้วยกลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่า ในที่สุดเชียนเจิ้นหยางก็ขึ้นครองราชย์โดยราบรื่น


 


 


ทว่า วันเวลาที่แสนมีความสุขของเชียนเจิ้นหยางก็อยู่ได้ไม่นาน ต้าโจวก็ยกกองกำลังมา โดยมีแม่ทัพที่ชื่อเสียงระบือไกลนามซย่าโหวฉิงเทียน


 


 


ก่อนหน้านี้เอาแต่ยุ่งอยู่กับการสยบข่าวลือที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงและรับมือกับเสนาบดีหวัง ทำให้เชียนเจิ้นหยางลืมเลือนไปเสียสนิทว่ามีชื่อซย่าโหวฉิงเทียนผู้นี้อยู่ด้วย


 


 


รอจนกระทั่งได้ข่าวว่าต้าโจวนำทัพมา เชียนเจิ้นหยางตกตะลึงจนไม่มีอารมณ์ที่จะมาลบหลู่เชียนลั่วเฉิงได้อีก เขาจึงทำการฝังเชียนลั่วเฉิงไปอย่างลวกๆ


 


 


ทว่า เชียนเจิ้นหยางกลับมิได้ฝังเชียนลั่วเฉิงในสุสานหลวง


 


 


ในสายตาเชียนเจิ้นหยาง เชียนลั่วเฉิงไม่คู่ควรที่จะฝังในสุสานหลวง


 


 


เชียนเจิ้นหยางจึงให้คนฝังโลงเปล่าที่สุสานหลวง แต่ให้นำร่างเชียนลั่วเฉิงไปทิ้งที่สุสานร้างที่นอกเมือง


 


 


เชียนลั่วเฉิงกุมอำนาจทั้งหมดในฉินจื้อและต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับซย่าโหวจวินอวี่มาหลายสิบปี จึงนับเป็นวีรบุรุษแห่งยุคที่อาจหาญ ทว่าเมื่อตายแล้วกลับถูกปฏิบัติเช่นนี้…


 


 


แว่วเสียงหมาหอนดังแว่วมา หัวใจเชียนลั่วเฉิงก็หดหู่ด้านชาอย่างที่สุด


 


 


หรือว่า เขาที่แสวงหาความแข็งแกร่งมาชั่วชีวิต ในท้ายที่สุดต้องมาเป็นอาหารให้กับสุนัขป่าเช่นนี้หรือ


 


 


เขาทำอะไรผิดไปกันแน่ จึงต้องถูกกรรมตามสนองเช่นนี้


 


 


เชียนลั่วเฉิงนอนอยู่บนพื้น ถูกแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุโลมเลีย แลดูเดียวดายระทมทุกข์


 


 


“พี่อวี้ แลดูเขาน่าสงสารยิ่งนัก มิสู้สงเคราะห์เขาให้ตายไปเลยจะดีเสียกว่า!”


 


 


หนานกงจื่อหลิงกระซิบ


 


 


“ชีวิตเขาเป็นของเชียนเยี่ยเสวี่ย! พวกเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรได้!”


 


 


อวี้เฟยเยียนโปรยผงยาสีชมพูเอาไว้โดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่ามากัดกินร่างของเชียนลั่วเฉิง


 


 


เอาร่างของเชียนลั่วเฉิงมาทิ้งที่นี่ นับเป็นการตอกย้ำหัวใจที่อ่อนแรงของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อวี้เฟยเยียนต้องการทำเช่นกัน ทำให้เขาหวาดกลัวจนไร้สิ้นสติ แล้วใช้ความหวาดกลัวโจมตีให้เขาแพ้อย่างราบคาบในที่สุด!


 


 


ได้ฟังอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงจึงไม่กล่าวอะไรออกมาอีกเลย


 


 


นางได้รับรู้สภาพที่น่าอนาถของเสด็จแม่เชียนเยี่ยเสวี่ยก่อนตาย หากเปลี่ยนเป็นนางก็คงไม่ให้อภัยพ่อเช่นนี้เหมือนกัน


 


 


ในเมื่อกระทำกรรมชั่วไว้ ย่อมต้องได้รับผลชั่วตอบแทน


 


 


นี่คือวัฏจักร หรือที่เรียกว่าชีวิตคนนั่นเอง!


 


 


“พี่อวี้ ในบางครั้งข้าก็รู้สึกอิจฉาในมิตรภาพระหว่างท่านและพี่เสวี่ยยิ่งนัก!”


 


 


ระหว่างทางที่กลับ หนานกงจื่อหลิงกอดแขนอวี้เฟยเยียนแล้วยิ้มไปตลอดทาง


 


 


“ข้าอยากจะให้ท่านแต่งงานงานกับพี่ใหญ่เร็วๆ เช่นนี้ พวกเราก็จะใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น! พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าก็จะได้ไม่ต้องอิจฉาพี่เสวี่ยอีกต่อไป!”


 


 


คำพูดของหนานกงจื่อหลิง เจือไว้ด้วยอารมณ์ความเป็นเด็ก ทว่ากลับน่ารักยิ่งนัก


 


 


แต่งงาน


 


 


อวี้เฟยเยียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วคิดถึงความไม่สบอารมณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อคราวที่เขาต้องจากนางไปทำศึก แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


 


 


ยังดีพวกเขาทั้งสองคนตกลงกันเอาไว้แล้ว การเคลื่อนทัพในคราวนี้ก็เพื่อข่มขู่เชียนเจิ้นหยางเท่านั้น


 


 


มิเช่นนั้นอวี้เฟยเยียนก็คงจะคิดว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนนำทัพไปคราวนี้ แล้วเข้าโจมตีฉินจื้อเสียจนราบเป็นหน้ากลอง ก็เพราะต้องการระบายอารมณ์ที่ต้องห่างกับนางเป็นแน่


 


 


“แต่งงานหรือ…พี่ชายของเจ้ายังไม่ขอข้าแต่งงานด้วยซ้ำ”


 


 


อวี้เฟยเยียนตอบยิ้มๆ


 


 


“ขอแต่งงาน”


 


 


ศัพท์คำนี้แปลกใหม่อย่างมากสำหรับหนานกงจื่อหลิง


 


 


เพราะอย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นที่หลัวอวี่หรือว่าที่อู๋โยว การแต่งงานของฝ่ายหญิงล้วนแต่เป็นคำสั่งพ่อแม่ เป็นวาจาแม่สื่อ ตอนนี้อวี้เฟยเยียนกำลังกล่าวถึงคำว่า ‘ขอแต่งงาน’ ทำให้หนานกงจื่อหลิงสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก!


 


 


“พี่อวี้ ขอแต่งงานคืออะไรหรือคะ”


 


 


หลังจากที่สนิทสนมกันแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าแต่อย่างใด


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบโฉมหน้าที่แท้จริงของอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงยังคิดว่านางคือนางฟ้าเสียแล้ว นางถึงกับคิดว่า อวี้เฟยเยียนยังงามกว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยว สุ่ยเย่ว์เอ๋อร์เสียอีก!


 


 


“ขอแต่งงานก็คือพิธีการรูปแบบหนึ่ง ฝ่ายชายจะสารภาพรักกับฝ่ายหญิง ขอร้องให้นางแต่งงานกับเขา! สำหรับเรื่องขอแต่งงานอย่างไร ขอที่ไหน แต่ละคนล้วนเลือกวิธีที่แตกต่างกัน!”


 


 


ได้ฟังคำอธิบายของอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงก็ถึงกับตบมือให้


 


 


“พี่อวี้ หากว่าพี่ใหญ่ไม่ขอท่านแต่งงานล่ะก็ ท่านก็อย่าไปแต่งงานกับเขาเด็ดขาด!”


 


 


“ฮ่าๆ ข้าอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าพี่ใหญ่ที่แสนสง่าในเวลาปกติ เมื่อถึงตอนที่ขอแต่งงานมันจะเป็นอย่างไร ถึงตอนนั้นข้างจะแอบมองอยู่ข้างๆ หากว่าเขาขอแต่งงานไม่ได้ดั่งใจล่ะก็ พี่ก็ห้ามแต่งนะเจ้าคะ ใครให้พี่ใหญ่ไม่ยอมเปิดเผยฐานะกับข้าเล่า!”


 


 


“พี่อวี้ ท่านจะต้องเป็นพวกเดียวกับข้านะ!”


 


 


หากซย่าโหวฉิงเทียนรู้ว่าน้องสาวตนมีนิสัยไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน จอมจุ้นวุ่นวายเช่นนี้ เขาจะต้องเสียใจที่เก็บน้องสาวเอาไว้ข้างกายอวี้เฟยเยียนอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม