ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 101.1-101.3

ตอนที่ 101-1 ท่านหญิงหย่งจยา

 

 


 


เสียงตะโกนของหญิงสาวทั้งใสและสูง เปี่ยมพลังสุดๆ เสียงหัวเราะก็ดุจระฆังเงินกระทบกันในสายลม


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองไปตามเสียง เห็นสาวน้อยคิ้วเข้มตาโต มวยผมสูง ดูเท่และองอาจ สวมชุดรัดกุมสีน้ำเงิน ขี่ม้าสีแดง ย่ำสนามหญ้าสีเขียวเข้ามาอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป ก่อนโบกแส้ม้าในมือไหวๆ พลางส่งเสียงทักทาย “ชิ่นเอ๋อร์!”


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งยิ้มพลางว่า “พี่ นางโจรชั้นสองของบ้านสกุลเฉินน่ะ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเฉินจื่อหลิงตามเสด็จไปล่าสัตว์ในครั้งนี้ด้วย ตอนนี้พอเห็นนางจึงไม่แปลกใจ หรือต่อให้ไม่ได้ไป เฉินจื่อหลิงก็ต้องมาที่สนามม้าสวินหลานเป็นประจำอยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วโบกมือตอบ พลางทักทายกลับ


 


 


“จื่อหลิง”


 


 


พอมองไป ก็เห็นว่าด้านหลังของเฉินจื่อหลิงห่างออกไปไม่ไกล มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำ ขี่ม้าเจริญวัยตัวใหญ่สีน้ำตาลแดงตามมา เขาสวมชุดขี่ม้าสีครามรัดรูปและผ้าคาดเอวลายแมงมุมสีทอง มวยผมไว้บนกะหม่อม สวมที่ครอบหยก เสียบปิ่นหยก เหมือนคนตัดผมสั้น เป็นเฉินจ้าวนั่นเอง


 


 


ตอนนี้เขาดึงบังเ**ยนให้ช้าลง ขี่ม้าเงียบๆ ตามอยู่ด้านหลังของน้องสาว ก่อนมองมาที่อวิ๋นหว่านชิ่น วันนี้นางมวยผมทรงหอยทาก หนีบที่หนีบผมรูปดอกเหมยหนึ่งดอกเล็กไว้กลางมวยดำสลวย ถ้าจะบอกว่าเป็นเครื่องประดับ มิสู้บอกว่า หนีบไว้ให้มวยหอยทากแน่นยิ่งขึ้น เวลาขี่ม้าจะได้ไม่หลุดลุ่ยจนยุ่งเหยิง นอกนั้นตลอดทั้งร่างของนางก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีเครื่องประดับใดๆ สวมชุดรัดกุม เสื้อและกางเกงเนื้อหนาสีเขียวอ่อน ที่เอวบางๆ มีสร้อยหยกสีเหลืองที่ร้อยอย่างปราณีตรัดไว้ พอลมพัด สร้อยหยกที่เนียนละเอียดก็ลู่ไปตามลมเช่นเดียวกับแถวต้นอ้ออย่างไรอย่างนั้น มีความยืดหยุ่น คาดเดาไม่ได้ ขับให้ผู้สวมใส่พลิ้วไหวดุจเซียน


 


 


สดชื่นเหมือนดอกชบาที่ได้น้ำ มีเสน่ห์และสง่างามเหมือนดอกซิ่งใต้แสงจันทร์


 


 


ม้าวิ่งเหยาะๆ พาเฉินจ้าวเข้ามา เขาตะลึงงันอยู่สักพัก พอได้สติ ค่อยผงกศีรษะทักทาย


 


 


ขณะเดียวกัน เฉินจื่อหลิงก็ขี่ม้ามาถึงสองพี่น้องสกุลอวิ๋น พอเข้าใกล้อวิ๋นจิ่นจ้ง ก็โน้มตัวลง แล้วยืดตัวขึ้นพร้อมแขน ขว้างเม็ดเกาลัดที่ไม่เบาไม่หนักใส่ศีรษะอวิ๋นจิ่นจ้ง


 


 


“นางโจรชั้นสอง? ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกหะ! กระต่ายน้อย! นางโจรก็พอ ยังมีชั้นสองอีก? เจ้าสิชั้นสอง! บ้านเจ้าทั้งบ้านก็ชั้นสอง…ยกเว้นพี่สาวเจ้า!”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ เฉินจื่อหลิงใช้อาวุธได้ทุกชนิด เลื่องชื่อในการขี่ม้ายิงธนูขนาดไหน แวดวงลูกหลานขุนนางในเมืองหลวง เหล่าคุณชายคุณหนูล้วนรู้ดี เพียงไม่รู้ว่าน้องชายตั้งชื่อเล่นให้นางตั้งแต่เมื่อใด


 


 


“อูย…” อวิ๋นจิ่นจ้งลูบศีรษะไปมา


 


 


เขาถูกยั่วยุจนเกิดนึกสนุก จึงไม่ยอมง่ายๆ ฟาดแส้ม้ากลับไป แต่ดันฟาดถูกศีรษะม้าของเฉินจื่อหลิงเข้า


 


 


พอม้าตกใจ ก็ยกขาหน้า โก่งคอร้องฮี้ๆ และดีดขาหลังขึ้น เฉินจื่อหลิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จึงจับบังเ**ยนไว้แน่น


 


 


พยายามควบคุมศีรษะม้า พลางใช้เท้าหนีบท้องม้าไว้ ทำให้ม้าวิ่งวนไปมาอยู่กับที่หลายรอบ อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นแล้วก็หัวเราะท้องแข็ง จนอวิ๋นหว่านชิ่นต้องหันไปดุ


 


 


“เหลวไหลจริงๆ! นี่ถ้าทำให้พี่จื่อหลิงตกลงมาล่ะก็ เห็นดีกันแน่!”


 


 


“พี่! อย่าล้อข้าเล่นน่ะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ถ้านางจะตกนะ!” อวิ๋นจิ่นจ้งหัวเราะขึ้นอีก ค่อยพูดต่อ “แล้วจะมีฉายาว่านางโจรได้อย่างไรเล่า!”


 


 


และแล้ว ยังไม่ทันไร เฉินจื่อหลิงก็ทำให้ม้าที่ตกใจสงบลงได้ พอม้าเชื่อง นางค่อยสบถออกมา


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ วันนี้เจ้าห้ามขวางข้า!”


 


 


ว่าแล้วก็หันศีรษะม้า กระทุ้งท้องม้า เลียริมฝีปาก ควบเข้าหาอวิ๋นจิ่นจ้ง


 


 


พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นท่าไม่ดี ก็ไม่โง่งม รีบจับบังเ**ยนให้แน่น แล้วควบม้าหนี


 


 


สองคนนี่…จริงๆ เลย เพิ่งสามขวบกันหรือเปล่า อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ แล้วเสียงก็ดังมาจากด้านหน้า


 


 


“อย่าห่วงไปเลย พวกเขาแหย่กันเล่นแบบเด็กๆ น่ะ ขี่ม้าได้ไม่เลวทั้งคู่ ไม่เป็นไรหรอก จื่อหลิงรู้จักแยกแยะ”


 


 


คนล้วนไปกันไกลลิบแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงา ยังจะพูดอะไรได้อีก


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองเฉินจ้าว เห็นเขาลงจากหลังม้า คลายบังเ**ยนออก กำลังปล่อยม้าให้กินหญ้า จึงจ้องหน้าเขา แล้วเรียกทำลายความเงียบออกมาคำหนึ่ง “พี่ใหญ่”


 


 


สองคำนี้ ทำให้เฉินจ้าวหน้าตึง ก่อนขานรับ


 


 


“อึม ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าสบายดีไหม”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “ก็ สบายดี”


 


 


ขณะทั้งสองกำลังทักทายกัน ขันทีน้อยผู้ดูแลสนามม้าที่ยืนอยู่ด้านข้างอาจเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ได้ขึ้นม้าสักที จึงถามขึ้น


 


 


“คุณหนูอวิ๋นต้องการให้ข้าน้อยช่วยไหม”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ไม่เป็นไร” ว่าแล้วก็จับบังเ**ยนม้า


 


 


เฉินจ้าวเห็นนางก้าวขึ้นหลังม้าไม่ถูกต้อง จึงขยับคิ้ว ทิ้งแส้ม้าลง แล้วหันไปบอกขันทีน้อยทั้งสอง


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าเอง”


 


 


พอขันทีน้อยทั้งสองเห็นว่าเป็นคุณชายจากจวนแม่ทัพ และดูเหมือนสนิทสนมกับพี่น้องสกุลอวิ๋นมาก คิดว่าถ้าไม่ใช่ทางบ้านสนิทกัน ก็ต้องเป็นสหายเก่าแก่ จึงไม่ถามมากความอีก ถอยไปยืนด้านข้าง


 


 


เฉินจ้าวก้าวเข้าไป กดอานม้าของอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ แล้วก้มลงมอง


 


 


“ขั้นตอนการขึ้นนั่งบนหลังม้า จำไม่ได้แล้วหรือ”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงทำตามความทรงจำอันน้อยนิดในวัยเด็กที่หลงเหลืออยู่ พอเฉินจ้าวถาม ก็ชักไม่มั่นใจ


 


 


จึงยิ้มแหยๆ ให้ ก่อนรู้สึกว่ามีมือใหญ่ข้างหนึ่งตกลงบนไหล่ตน แล้วผลักตนเบาๆ ไปยังด้านซ้ายของตัวม้า เยื้อง


 


 


ไปด้านหลัง


 


 


“ขึ้นม้าต้องขึ้นด้านซ้ายของตัวม้า เยื้องไปด้านหลังหน่อย” เฉินจ้าวสอนช้าๆ “หาไม่แล้วจะถูกม้าดีดเอาง่ายๆ อืม ถูก มือซ้ายจับบังเ**ยนกับแผงคอม้าไว้ เท้าซ้ายก็สอดเข้าไปในโกลนม้า”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ตอนเป็นเด็กอยู่ที่บ้านสกุลสวี่ ท่านลุงคลับคล้ายจะสอนเช่นนี้ ตอนนี้พอถูกเฉินจ้าวเตือนสติ ความทรงจำก็ค่อยๆ กลับคืนมา รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ ด้านหนึ่งก็จับบังเ**ยนกับแผงคอม้าไว้ อีกด้านหนึ่งก็สอดเท้าเข้าไปในโกลนห่วงโลหะ


 


 


“เขย่งปลายเท้ากับพื้น ยืมแรงแล้วดีดตัวขึ้นไป อย่าทำตัวแข็ง บิดตัวเล็กน้อย ค่อยนั่งลงบนอานม้า”


 


 


เฉินจ้าวตามติดอยู่ด้านหลังของหญิงสาว ปกป้องประหนึ่งกำแพงเมือง ไม่ให้หญิงสาวมีโอกาสไม่ทันระวังแล้วตกลงมาแม้แต่นิดเดียว


 


 


ซ่งลุ่ยเห็นคุณหนูอวิ๋นอายุยังน้อย รูปร่างไม่ถือว่าสูง จึงเลือกม้าตอนสีขาวที่เพิ่งเจริญวัยให้ ซึ่งเป็นม้าที่ไม่ถือว่าสูงมาก กำลังพอดีกับรูปร่างของอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

 


ตอนที่ 101-2 ท่านหญิงหย่งจยา

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่า การบิดตัวก่อนนั่งบนหลังม้าเป็นการป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้ออักเสบเนื่องจากการเคลื่อนไหวกะทันหัน ถ้าทำตามที่เฉินจ้าวว่า ตนต้องค่อยๆ นั่งเบาๆ ลงบนอานม้า ค่อยๆ ออกแรง เพื่อไม่ให้ม้าตกใจว่ามันจะถูกขี่ออกไปอย่างฉับพลัน


 


 


พอขึ้นนั่งเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็ดึงบังเ**ยน ให้ม้าเดินไปข้างหน้าและเลี้ยวกลับมา ปรับตัวให้คุ้นเคยในเบื้องต้น


 


 


ชาวต้าเซวียนแม้มิได้เชี่ยวชาญการขี่ม้าเหมือนชาวเหมิงหนูที่อยู่ทางตอนเหนือ แต่ก็ครอบครองดินแดนได้จากการขี่ม้า พรสวรรค์ในการบังคับม้าจึงอยู่ในสายเลือดชนิดสลัดไม่หลุด อย่าว่าแต่อวิ๋นหว่านชิ่นเคยขี่ม้ามาก่อน บวกกับเฉินจ้าวตั้งใจสอนอยู่ข้างๆ จึงไม่มีข้อจำกัดใดๆ  ไม่กี่อึดใจ ก็สามารถบังคับม้าให้วิ่งเหยาะๆ ได้แล้ว ลมพัดมาเบาๆ ปะทะใบหน้าระลอกแล้วระลอกเล่า สบายอุรายิ่ง


 


 


ไม่ถึงสองสามชั่วโมง เฉินจ้าวก็เห็นนางกล้าหาญขึ้นมาก ไหนเลยจะเหมือนกุลสตรีเมื่อครู่อีก จึงพลิกตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า ขี่ม้าตามและจับตาดูนางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พลางเตือนเป็นระยะ


 


 


“จับบังเ**ยนให้แน่นๆ อย่าปล่อยมือล่ะ”


 


 


สักพักก็คอยสังเกตสายรัดอานม้าของนางว่าคลายตัวลงหรือไม่ นี่เป็นพฤติกรรมที่คนขี่ม้าคุ้นเคย เพราะพอม้าวิ่งไปได้สักระยะ สายรัดอานม้าที่ยึดเท้าผู้ขี่มักจะหลวม ทำให้ง่ายต่อการตกม้า จึงเป็นธรรมดาที่ผู้เชี่ยวชาญการขี่ม้าจะหยุดม้า เพื่อตรวจดูเป็นพักๆ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งขี่ก็ยิ่งเร็ว ไม่รู้สึกว่าตนกำลังควบม้าอยู่บนพื้นหญ้าเรียบๆ ของสนามม้าที่กว้างใหญ่


 


 


ยังเห็นเงาสองจุดของเฉินจื่อหลิงกับอวิ๋นจิ่นจ้งด้วย จึงฟาดแส้แล้วดึงบังเ**ยน “ยยย่ะ…” ลากเสียงยาว ก่อนควบเข้าหา


 


 


ตอนเฉินจ้าวเห็นท่วงท่าการการขึ้นม้าของนางเมื่อครู่ ก็ได้แต่คิดว่าวันนี้คงต้องตามดูนางอย่างใกล้ชิดเสียแล้ว แต่ตอนนี้พอเห็นนางยิ่งขี่ก็ยิ่งชำนาญ กลับรู้สึกประหลาดใจในสัญชาติญาณของนางอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ต่อให้วางใจอย่างไร ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาคำหนึ่ง “ชิ่นเอ๋อร์…”


 


 


ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว อวิ๋นหว่านชิ่นหันแก้มแดงๆ ที่ถูกลมตีมาครึ่งหนึ่ง พลางพูดยิ้มๆ กับชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง “ไม่เป็นไร! พี่ใหญ่ยังไม่เชื่อใจข้าอีกหรือ!”


 


 


เฉินจ้าวจึงคลายมือจากบังเ**ยน ปล่อยให้ม้าวิ่งช้าลง ทุกอากัปกิริยาควบม้าของหญิงสาวในสนามม้า เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและพลังอย่างล้นเหลือ ทำให้เขาตะลึงงัน และระบายลมหายใจยาวๆ ออกจากปาก


 


 


นางไม่ใช่เด็กสาวอายุแปดขวบที่เอาแต่ร้องไห้เงียบๆ หลังสูญเสียมารดาไปในปีนั้นแล้วจริงๆ สิ่งต่างๆ ในอดีต ทั้งความอ่อนแอ ความเงียบ ความเครียด นึกถึงผู้อื่นก่อนในทุกๆ เรื่อง ความไม่เป็นธรรมที่ได้รับในหลายปีที่ผ่านมา เสมือนหนึ่งสายลมบนหลังม้า สลายหายไปในพริบตา!


 


 


เมื่อย่างเข้าฤดูหนาว ความเย็นก็ต้องมาคู่กับลมเป็นระลอก ยิ่งถ้าอยู่ในที่โล่งกว้าง ก็ยิ่งหนาวเย็น กระทั่ง


 


 


แดดเที่ยงก็ยังเอาไม่อยู่


 


 


ลมพัดจนผ้ากำมะหยี่บนอกเสื้อของหญิงสาวขยับไปมา ทำให้เห็นพลังตามธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ความรู้สึกเศร้าเสียใจเล็กน้อยก่อนเสียชีวิตในอดีตชาติ ที่เป็นปมตกค้างอยู่ภายในใจ ถูกพัดพาออกไปจนหมดสิ้น!


 


 


ธรรมชาติของหญิงสาวคือการออกจากห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไปชื่นชมทิวทัศน์ในใต้หล้า ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่เหตุผลที่ดูเรียบง่ายนี้ กลับใช้เวลาทั้งชีวิตในการทำความเข้าใจ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นดึงบังเ**ยนไว้ ให้ม้าวิ่งช้าลง


 


 


อวิ๋นจิ่นจ้งเพิ่งเคยแข่งม้ากับเฉินจื่อหลิง และถูกนางเอาชนะไปหลายรอบ แต่ยังไม่ยอมแพ้ เฉินจื่อหลิงจึงเกี่ยวแส้ม้ามา สะบัดกลางอากาศ แล้วว่า


 


 


“เด็กน้อย ตอนข้าหัดขี่ม้า เจ้ายังฉี่รดกางเกงอยู่เลย”


 


 


และในตอนนี้เอง ทั้งสองก็เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นขี่ม้ามา จึงหยุดรบกันชั่วคราว แล้วต้อนรับนางด้วยเสียงหัวเราะ


 


 


ทั้งสามจึงขี่ม้าเรียงแถวหน้ากระดานกลับที่เก่าด้วยกัน


 


 


ระหว่างทาง พอเฉินจื่อหลิงเห็นอวิ๋นจิ่นจ้งเผลอ ก็ขี่ม้าเข้าประกบม้าตัวขาวของอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะ


 


 


“พี่ชายข้าตั้งใจสอนเจ้ามากกว่าสอนข้าอีก จนไม่รู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นน้องสาวเขา”


 


 


“เจ้าอิจฉาล่ะสิ” อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งหลังตรง รวบบังเ**ยน แล้วยืดอก เห็นชัดว่าการฝึกฝนบ่อยๆ ทำให้เก่งกาจขึ้น ก่อนชำเลืองมองนาง


 


 


“ปีนั้น ตอนอายุแปดขวบ ข้าก็นับถือเฉินจ้าวเป็นพี่ใหญ่แล้ว พวกเจ้าจะมาขี้โกง กลับคำไม่ได้นา! เขายังบอกด้วยว่า จะดูแลข้าไม่ให้ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้า แต่เราสองคนก็ไม่ค่อยได้พบเจอกัน ยากนักที่เขาจะสอนข้าขี่ม้าได้สักครั้ง ก็ต้องตั้งใจสิ! เจ้าอย่าขี้หวงนักเลย!”


 


 


ดวงตาเฉินจื่อหลิงทอประกาย กระพริบเล็กน้อยก่อนหยั่งเชิงดู


 


 


“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นน้องบุญธรรมของพี่ข้า มาแย่งความรักจากข้า ข้าก็ต้องหวงเป็นธรรมดา นอกเสียจากว่า เจ้าจะคิดเป็นอย่างอื่น…ข้าก็ไม่ต้องหวงอีก ถึงตอนนั้นเกรงว่าอยากแย่งก็แย่งเจ้าไม่ได้”


 


 


หา? ลมแรง แล้วยังนั่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนหลังม้า ทำให้คำพูดของเฉินจื่อหลิงลอยมาเป็นห้วงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นฟังไม่ค่อยได้ยิน จึงไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่แล้วเฉินจื่อหลิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดแบบไม่ได้จงใจพูด เหมือนคุยสัพเพเหระกันตามปกติ


 


 


“จริงสิชิ่นเอ๋อร์ หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ ได้ยินว่าวันรุ่งขึ้นก็มีลูกชายบ้านผู้สูงศักดิ์หลายบ้าน ส่งคนมารอรับเจ้ากลับจวนอยู่หน้าประตูวัง แล้วต่อมาเป็นไงบ้าง พวกเขามีมาหาถึงบ้านไหม”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดปิดบังอะไรเพื่อนสนิท จึงบอกไปตามตรง


 


 


“ไม่มีนะ ได้ยินก็แต่ว่า มีอยู่สองบ้านที่พ่อของพวกเขาเจอพ่อข้าในท้องพระโรง แล้วถามถึงข้าแค่สอง


 


 


สามคำ จากนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้าอีก”


 


 


ฮู่ว…เฉินจื่อหลิงเป่าปากอย่างโล่งอก แต่สีหน้ายังคงตื่นเต้นอยู่บ้าง


 


 


“อ้อใช่ ครั้งก่อนตอนข้าไปบ้านเจ้า เจ้าบอกข้าว่า มู่หรงไท่นั่นเคยมาที่บ้านเจ้า ยังให้คนขนของขวัญเข้ามาสองลังอีก บอกว่าจะมาขอแต่งกับเจ้าใหม่ ยังไม่ทันได้ถามเจ้าต่อ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วใช่ไหม”


 


 


มุมปากของอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฎรอยยิ้มที่นิ่งและมั่นใจ


 


 


“ยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก ไล่ไปเรียบร้อยละ! ขอแต่งใหม่เนี่ยนะ ถอนหมั้นไปแล้วมาขอแต่งใหม่ ดองแล้วแยก แล้วมาแต่งอีกที มีใครเขาทำกันบ้าง ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน! ม้าดีไม่กินหญ้าที่ผ่านพ้นไป คนที่ว่างจัดไม่มีอะไรทำ ถึงได้ทำแบบนี้!”


 


 


สีหน้าเฉินจื่อหลิงผ่อนคลายลง “ดีแล้วล่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 101-3 ท่านหญิงหย่งจยา

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองนาง พลางขมวดคิ้ว “เจ้ายิ้มอะไร ข้าแต่งไม่ออก เจ้าดีใจมากใช่ไหม”


 


 


“ยิ้ม? ไม่นี่ เจ้าตาลายแล้ว” เฉินจื่อหลิงขัด “แต่จะว่าไป เจ้าแต่งไม่ออก ข้าก็ต้องดีใจสิ จะได้ตามข้าไปบวชชีด้วยกันไง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นหัวร่องอหาย ที่เฉินจื่อหลิงเป็นคนไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจซะแบบนี้ สวรรค์ประทานใบหน้าที่ได้มาตรฐานมาให้นาง แต่นางกลับชอบใช้มีดใช้ดาบ ไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องจะตามพ่อกับพี่ชายไปชายแดนให้ได้ นิสัยแบบเด็กผู้ชายเช่นนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเอานางอยู่


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ ก็นึกถึงเรื่องในงานเลี้ยงสังสรรค์ ที่สนมเฉินจับพลัดจับผลู นำตนกับเฉินจื่อหลิง ‘มัดรวมกันแล้วขายทีเดียว’ เพื่อให้น้องสาวตนเป็นที่สนใจของผู้สูงศักดิ์ ตอนนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นว่า มีชายหนุ่มหลายคนไปพูดคุยกับสาวใช้ของเฉินจื่อหลิงนี่ จึงทำปากยื่นปากยาว ก่อนล้อนางเล่น


 


 


“บวชชี? อย่าว่าแต่พ่อเจ้าไม่ยอมเลย สนมเฉินต้องฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ แน่ ได้ยินมาว่าหลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ คุณชายสี่แห่งสถาบันการศึกษาฮั่นหลิน กับหลานชายคนโตของบ้านนักการทูต เมื่อไม่กี่วันก่อนมาเยี่ยมเยียนที่จวนแม่ทัพนี่ คนเขามีแรงจูงใจแอบแฝง เจ้าก็ เลือกสักคนสิ”


 


 


เฉินจื่อหลิงยิ้มยิงฟัน ก่อนส่ายศีรษะ


 


 


“ไม่ต้องพูดละ! นั่นยังนับเป็นคนอยู่หรือ! ลูกชายเจ้าของสถาบันการศึกษาฮั่นหลินนั่น ผิวงี้ทั้งบางทั้งนิ่มกว่าข้าอีก พอเข้ามาในบ้าน ยังไม่ทันเดินอ้อมฉากกั้น ก็ถูกสุนัขตัวใหญ่สีดำของข้าเห่าในฐานะคนแปลกหน้าไปสองที แต่เขากลับตกใจฉี่ราด คล้องแขนพี่ใหญ่ไว้จนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว ถ้าให้ข้าแต่งกับคนแบบนี้ มิสู้ให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่า…ส่วนคุณชายที่เป็นหลานนักการทูตนั่น? ยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ เจ้าทายซิว่า เขาทำอย่างไร เขาตามย่าของเขามาเยี่ยมแม่กับย่าข้า…เจ้าว่า นี่มิใช่ลูกแหง่หรอกรึ! โตขนาดนี้แล้ว ยังหดตัวอยู่แต่ด้านหลังฮูหยินบ้านนักการทูตอยู่ได้ ถามคำก็ตอบคำ อะไรต่อมิอะไรก็ล้วนฟังย่าหมด ยังไม่หย่านมแบบนี้ แต่งเมียได้ที่ไหนกัน! ขืนแต่งไป ข้ามิต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ทุกวันหรอกรึ!” ยิ่งพูดก็ยิ่งมีน้ำโห


 


 


แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับฟังจนหัวเราะท้องแข็งแต่แรก เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่อายุถึงเกณฑ์แต่งงานมีสักกี่คนที่ไม่เป็นแบบนี้บ้าง แต่ละคน ถ้าไม่ใช่ปฏิบัติตามประเพณีอย่างเคร่งครัด จนจวนเป็นตอไม้โบราณอยู่รอมร่อ ก็เป็นพวกถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม จนทนความยากลำบากไม่ได้ ถูกผู้ใหญ่ในบ้านตามใจ จนเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัว ซึ่งมีอยู่มากมาย ตนมิใช่พบเจอมาคนหนึ่ง มู่หรงไท่นั่นปะไร


 


 


เฉินจ้าวจึงถือเป็นหนึ่งจุดแดงในหมู่ถั่วงอกหญ้าเน่า ที่ไม่เลวเลยทีเดียว หาได้ยากยิ่ง


 


 


แต่เช่นนี้ดูไปแล้ว มิน่าเล่าเฉินจื่อหลิงถึงมีข้อจำกัดในการเลือกคู่ครองแทบทุกด้าน!


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นจึงประเมินตัวเองว่า ไม่ควรเข้มงวดกับน้องชายจนเกินไป ต้องอบรมดูแลให้มีความเป็นชายในทางที่เหมาะสม มิฉะนั้นในอนาคต อาจถูกสาวๆ ดูหมิ่นได้


 


 


ขณะคุยกันไป อวิ๋นจิ่นจ้งก็เข้ามา สองสาวจึงไม่พูดมากอีก เพราะรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าจะพูดเรื่อง


 


 


ส่วนตัวของผู้หญิง ต่อหน้าเด็กหนุ่มก็ไม่ใช่ ชายหนุ่มก็ไม่เชิงคนนี้


 


 


แดดแรงขึ้นเรื่อยๆ กำลังอยู่ในช่วงที่แดดแรงสุดของวันก็ว่าได้ แม้อากาศเย็นเล็กน้อย ทว่าหน้าผากของแต่ละคนก็มีเม็ดเหงื่อผุด ทั้งสามขี่ม้าคุยกันไป หัวเราะกันไป จนกลับมาถึงข้างสนามหญ้า ซึ่งเฉินจ้าวกลับมาถึงก่อนแล้ว และได้บอกให้บ่าวนำเก้าอี้กับน้ำชามาวางไว้ในกระโจมเรียบร้อย


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้รู้สึกร้อนมาก แต่ก็รู้สึกว่าการออกรอบบนหลังม้าของนางในครั้งนี้หมดจดงดงามดี นางจับบังเ**ยน เหยียบโกลน ลงจากหลังม้า แล้วจูงม้าไปให้ขันทีน้อยป้อนอาหาร ก่อนเดินตามเฉินจื่อหลิงไปนั่งดื่มน้ำพักผ่อนในกระโจมที่ถูกกางขึ้นชั่วคราว


 


 


แต่ก้นยังไม่ทันร้อน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งและเสียงทักทายของซ่งลุ่ย ดังมาจากทางน้อยหน้าประตูสนามม้า คล้ายมีคนมา


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้ใส่ใจอะไรมาก แต่กลับเห็นเฉินจื่อหลิงเอียงตัวมา พลางพูดเสียงต่ำ


 


 


“ชิ่นเอ๋อร์ อวี้โหรวจวงมาแล้ว”


 


 


สงสัยจะเป็นคู่ปรับกันจริงๆ คนที่ไม่อยากเจอ ถึงมักได้เจอ


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด เมื่อเหลืออีกสองวัน เหล่าคุณหนูก็ต้องมารวมตัวกันเพื่อออกเดินทางไปล้อมป่าฮู่หลงแล้ว แต่ละคนจึงต้องรีบมาสนามม้าเพื่อฝึกให้คุ้นเคยเสียหน่อย ไม่เหมือนเหล่าคุณชายลูกขุนนางฝ่ายบู๊ที่ไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกัน เพราะปกติก็มีโอกาสขี่ม้ามากมายอยู่ ส่วนเหล่าคุณหนูนั้นตลอดทั้งปีมีโอกาสได้ออกจากบ้านอย่างอิสระ มาฝึกขี่ม้าเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น การพบเจอกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก


 


 


อวิ๋นหว่านชินดื่มชาต่อ และดื่มอึกๆ ติดต่อกันลงไปเพื่อดับกระหาย ก่อนรับผ้าขนหนูจากขันทีน้อยมาเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วจึงมองโลกในแง่ดี


 


 


“มาก็มาสิ นางมีขานี่ ข้าจะมัดนางไว้แล้วสั่งว่าต่อไปไม่ต้องมาปรากฏตัวให้ข้าเห็น ได้ด้วยหรือ”


 


 


สิ้นเสียง อวิ๋นจิ่นจ้งก็โผล่เข้ามา “พี่ ท่านดูที่ข้างกายนางสิ”


 


 


เฉินจื่อหลิงจึงหันมอง พลางขมวดคิ้ว “เอ๋ คนๆ นี้ดูคุ้นมาก…”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นมองตามไป วันนี้อวี้โหรวจวงมากับคนเป็นโขยงจริงๆ


 


 


ด้านหลังของนางมีสาวใช้ร่วมสิบสองคน ยืนกันเป็นสองแถวซ้ายขวา ทุกคนสวมชุดกระโปรงเนื้อดีสีเขียวอ่อน มวยผมแบบเดียวกัน เดินตามนางอยู่ไม่ห่าง


 


 


ซ่งลุ่ยอยู่หน้าสุด กำลังเดินนำทางอย่างระมัดระวัง


 


 


วันนี้อวี้โหรวจวงสวมชุดรัดกุมสีเขียว ทับด้วยเสื้อกั๊กสีแดงทับทิม ยังคงดูสวยสง่า โดดเด่นทุกมุมมอง คล้ายกลุ่มเมฆแดงเคลื่อนตัวเข้ามาเผาไหม้ นางฟังซ่งลุ่ยพูดอย่างเงียบๆ ยืดตัวตรงและมองไปข้างหน้า โดยไม่มองขันทีท่านนี้แม้เพียงหางตา


 


 


ข้างกายอวี้โหรวจวงมีลวี่สุ่ยคอยยืนกางร่มบังแดดให้ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นหญิงสาวดูดีมีสกุลคนหนึ่ง อายุราวสิบสี่สิบห้า รูปร่างผอมไปนิด บอบบางชนิดลมพัดมาอาจเปราะและแตกหักได้ หน้าตานางงดงามดุจอัญมณีล้ำค่า ผิวพรรณขาวใสไร้ที่ติ แทบไม่เหมือนคนในความเป็นจริง ดูออกว่าปกติแล้ว ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แม้แต่แดดก็ไม่ค่อยได้ตาก นางสวมเสื้อกระโปรงเนื้อหนาสีขาวลายอักษร สี่ (ความสุข) ชนกันสี่ตัว พันผ้าพันคอขนมิงค์ คลุมผ้าคลุมทอลายยาวจรดเท้า สวมหมวกแบบมีผ้าบังหน้า แต่งกายเสียจนมิดชิด ข้างกายยังมีบ่าวสองคนกางร่มบังแดดให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กะไม่ให้โดนแดดสักนิดกันเลยทีเดียว


 


 


ท่าทางของหญิงสาวดูใหญ่โตกว่าอวี้โหรวจวงอยู่บ้าง


 


 


พอเดินไปได้ครึ่งทาง หญิงสาวก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดแก้มอมชมพู ขมวดคิ้วบางสวย แล้วว่า


 


 


“วันนี้อากาศไม่เหมือนทุกวัน ทำไมย่างเข้าหน้าหนาวแล้ว ยังร้อนขนาดนี้”


 


 


บ่าวทั้งสองที่ยืนถือร่มอยู่ด้านข้างคล้ายตกใจอยู่บ้าง รีบขยับร่มให้เข้าไปใกล้อีกหน่อย ด้วยเกรงว่านายจะโดนแดด จึงยิ่งบังและคลุมจนหญิงสาวไม่มีทางแปดเปื้อนมลพิษจากโลกมนุษย์


 


 


อวี้โหรวจวงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่เหมือนน้ำเสียงดูแคลนที่มักใช้พูดกับคุณหนูลูกสาวขุนนางในวันก่อนๆ


 


 


“จริงด้วย วันนี้แดดแรงอยู่บ้าง”


 


 


อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจในทันที สาวใช้ที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ไม่ใช่คนของอวี้โหรวจวง แต่น่าจะเป็นผู้ติดตามของหญิงสาว


 


 


หึ น่าสนใจเหมือนกัน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ตนไม่เห็นว่าอวี้โหรวจวงจะเห็นคุณหนูลูกสาวขุนนางท่านใดอยู่ในสายตา หญิงสาวนางนี้เป็นเทพเซียนมาจากไหน ถึงทำให้อวี้โหรวจวงที่มักใหญ่ไฝ่สูงเทียมฟ้าพูดอย่างนิ่มนวลด้วยได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม