รักเล่ห์เร้นใจ 101-131

 ตอนที่ 101

 

ทำสมาธิ

 


 


 


ซวี่กวงพอเหวี่ยงหลินหว่านแล้วก็ให้ทีมงานทั้งหมดพักกองครู่หนึ่ง บ่ายวันนี้เดิมทีต้องถ่ายฉากของหลินหว่านจึงเปลี่ยนเป็นถ่ายฉากอื่นแทน


 


 


หลินหว่านเห็นอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่คิดว่ากลับไปโรงแรมที่พักก่อน เก็บตัวตลอดบ่าย อ่านและศึกษาบทให้ดีๆ พยายามเข้าถึงจิตใจของตัวละครให้ได้ จะได้เข้าถึงบทบาทให้ได้เร็วที่สุด


 


 


ขณะที่หลินหว่านเตรียมจะกลับไปนั้นเอง ซวี่กวงเรียกตัวเธอเอาไว้ “หลินหว่าน คุณตามผมมา”


 


 


“ผู้กำกับซวี่ คุณมีธุระอะไรคะ” หลินหว่านถามซวี่กวงอย่างแปลกใจ


 


 


ซวี่กวงไม่ได้ตอบแต่หมุนตัวเดินออกไปข้างหน้า หลินหว่านได้แต่เดินตามซวี่กวงไป


 


 


ในที่สุด หลินหว่านกับซวี่กวงมาถึงห้องพักผ่อนของผู้กำกับ


 


 


ซวี่กวงพลิกค้นหาจนเจอซีดีแผ่นหนึ่ง ยื่นส่งให้กับหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านรับแผ่นซีดีมา ถามซวี่กวงอย่างประหลาดใจว่า “ผู้กำกับซวี่ นี่มัน…”


 


 


แผ่นซีดีแบบนี้มันผลิตตั้งเมื่อสิบยี่สิบกว่าปีมาแล้ว หลินหว่านไม่เข้าใจว่าทำไมซวี่กวงจึงให้แผ่นซีดีนี้กับเธอ ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นซีดีในมือหลินหว่านนี้ดูเหมือนยังเป็นของใหม่เอี่ยมเลยด้วย เห็นชัดว่ามันได้รับการดูแลรักษาจากซวี่กวงอย่างดีมาก


 


 


ซวี่กวงมองดูแผ่นซีดีในมือหลินหว่านแล้วพูดว่า “แผ่นซีดีนี่เป็นหนังเรื่องหนึ่ง ผมรู้ว่าระยะนี้คุณอยู่ในสภาพไม่ดีนัก คุณกลับไปดูซีดีเรื่องนี้ให้ดีๆ ตั้งใจศึกษาให้ดี เรียนรู้จากบทนางเอกในเรื่องให้ดีๆ ดูว่าเขาแสดงอย่างไร”


 


 


หลินหว่านฟังแล้วชงักไปชั่วขณะหนึ่ง ที่แท้นี่เป็นแผ่นซีดีหนังเรื่องหนึ่งที่ซวี่กวงอยากให้เธอศึกษาเทคนิคการแสดงจากบทนางเอกในเรื่อง


 


 


“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณผู้กำกับซวี่ ฉันจะตั้งใจศึกษาเรียนรู้ค่ะ” หลินหว่านแม้จะไม่เข้าใจนักแต่ยังสบตาและกล่าวขอบคุณเขา


 


 


ซวี่กวงมองหลินหว่านอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “อืม กลับไปเถอะ ผมเชื่อว่าคุณดูจบแล้วคงได้อะไรบ้าง”


 


 


จากนั้น หลินหว่านก็ถือแผ่นซีดีนี้กลับถึงโรงแรมที่พัก


 


 


ภายในห้องพักมีอุปกรณ์เล่นซีดีพร้อม หลินหว่านกลับห้องแล้วใส่แผ่นซีดีเข้าเครื่อง จากนั้นก็เริ่มดูหนังเรื่องนี้


 


 


เวลาเดียวกันนั้นเอง หลินหว่านรู้สึกอยากรู้มากว่าหนังอะไรกันแน่ที่ซวี่กวงถึงกับแนะให้เธอดูเทคนิคการแสดงเพื่อศึกษาเรียนรู้


 


 


ตัวอักษรบนภาพยนตร์เคลื่อนตัวออกมาช้าๆ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหนังที่เก่ามากเรื่องหนึ่ง อีกทั้งการถ่ายทำยังไม่นับว่าดีมากนัก แต่ว่าเมื่อซีนแรกของหนังปรากฏขึ้นบนจอ หลินหว่านตกใจจนลืมหายใจไปเลย


 


 


นี่เป็น…แม่ของเธอ…


 


 


นี่มัน…เป็นหนังของแม่เธอ…


 


 


หัวใจของหลินหว่านเต้นเร็วเป็นกลองรัง เธอนั่งนิ่งไม่ขยับจ้องจับไปที่หน้าจอ ด้วยกลัวว่าเมื่อครู่ภาพที่เห็นจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่ตัวเธอคิดมโนขึ้นมาเอง


 


 


สุดท้ายเมื่อหลินหว่านดูหนังเรื่องนี้จนจบ น้ำตาไหลนองหน้า


 


 


ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เทคนิคการแสดงของแม่เธอสุดยอดมากจริงๆ บนจอภาพยนตร์ ไม่ว่าแม่ของเธอจะแสดงสีหน้าอารมณ์อะไร อีกทั้งการแสดงบทบาทที่บ้าคลั่งเพราะความรักในตอนท้ายเรื่อง ทุกซีนล้วนดึงดูดใจหลินหว่านให้โลดแล่นตามไปอย่างลืมตัว


 


 


ตอนนี้หลินหว่านนึกถึงคำพูดของซวี่กวงแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าที่ซวี่กวงพูดว่า “ให้ศึกษาเทคนิคการแสดงจากบทนางเอกในเรื่อง” นั้นเพราะเหตุอะไร


 


 


เทคนิคการแสดงของเธอในตอนนี้เมื่อเทียบกับแม่เธอในตอนนั้น ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน การแสดงของแม่เธอในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความรู้สึกร่วมหรือพลังที่แสดงออกมา เธอล้วนแต่เทียบไม่ติดเลย


 


 


หลังดูหนังเรื่องนี้จบ เวลาก็ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว หลินหว่านกลับรู้สึกว่าผ่านไปแค่ชั่วพริบตาเดียว


 


 


แต่ในใจของหลินหว่านยังมีคำถามหนึ่ง ก่อนนี้เธอคิดถึงแม่เคยดูหนังทุกเรื่องของแม่มาจนหมด แต่หนังเรื่องที่ซวี่กวงให้เธอดูนี้ แม้แต่ชื่อเรื่องเธอยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ยิ่งไม่รู้ว่าแม่เธอเคยแสดงหนังเรื่องแบบนี้ด้วย


 


 


หลินหว่านรอไม่ไหวที่จะถามซวี่กวงต่อหน้า เธอโทรตรงไปหาซวี่กวงทันที


 


 


สองวินาทีต่อมา มีคนรับสาย หลินหว่านกลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี


 


 


“หลินหว่าน เธอดูหนังเรื่องนั้นจบแล้ว?” ตอนนั้นเองเสียงของซวี่กวงดังมาจากปลายสาย


 


 


“อื้อ ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับซวี่ ฉันเข้าใจความหมายของคุณแล้วค่ะ” หลินหว่านตอบเสียงเบา


 


 


ซวี่กวงได้ยินแล้วยิ้มออกมา พูดเสียงเนิบว่า “หลินหว่าน แม่ของคุณเคยสร้างผลงานไว้มากมาย ผมชื่นชอบการแสดงของเธอมาก แต่ผมเห็นว่าการแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ดียิ่งกว่าเรื่องอื่นๆ ผมหวังว่าคุณจะมีเทคนิคการแสดงที่ยอดเยี่ยมเหมือนอย่างแม่ของคุณ และก็เพราะผมได้ยินมาว่าคุณเป็นลูกสาวของเธอจึงตกลงรับปากให้คุณแสดงหนังเรื่องนี้”


 


 


“ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านรู้สึกตื้นตันและประหลาดใจ พร้อมกันนั้นเธอก็นึกถึงคำถามในใจขึ้นมาได้ เธอลังเลชั่วครู่แล้วถามซวี่กวงด้วยเสียงอ้ำอึ้งอยู่บ้าง “ผู้กำกับซวี่คะ แม่ฉัน หนังของเธอ…ทำไม…”


 


 


หลินหว่านพูดยังไม่ทันจบ ซวี่กวงเหมือนจะรู้ว่าหลินหว่านจะถามอะไร อธิบายต่อว่า “ในสมัยนั้นหนังเรื่องนี้เนื่องจากมีเนื้อหาที่อ่อนไหวจึงไม่ได้เข้าฉายในประเทศ ก่อนหน้านี้ผมได้เจอหนังเรื่องนี้โดยบังเอิญ ก็เหมือนที่พูดเมื่อครู่นี้ ผมเห็นว่าแม่ของคุณเล่นหนังเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม จึงบันทึกมันลงแผ่นซีดีเก็บสะสมเอาไว้”


 


 


“ที่แท้เป็นอย่างนี้…” หลินหว่านฟังแล้วได้แต่อุทานออกมา จากนั้นพูดว่า “ผู้กำกับซวี่ค่ะ คุณวางใจได้ ฉันจะปรับปรุงตัวเองให้พร้อมแสดงได้แน่ค่ะ”


 


 


วางสายจากซวี่กวงแล้ว หลินหว่านก็ได้ยินเสียงกริ่งจากประตูห้องพักเธอดังขึ้น


 


 


หลินหว่านรีบไปเปิดประตู แล้วพบว่าเป็นเซียวจิ่งสือ


 


 


“คุณมาได้ยังไงกันคะ” หลินหว่านถามเขา


 


 


“หว่านหว่าน ได้ยินว่าวันนี้คุณถูกซวี่กวงด่าไปชุดหนึ่ง ผมเลยมาดูคุณหน่อย” เซียวจิ่งสือเข้าประตูมาก็พูดตอบ พร้อมกับมองสำรวจหลินหว่านอยู่ไปมา


 


 


ตอนนั้นเองเซียวจิ่งสือพบว่าหลินหว่านขอบตาแดงๆ เหมือนผ่านการร้องไห้มา เขาคว้าไหล่หลินหว่านเอาไว้ ถามเสียงเครียดว่า “หว่านหว่าน คุณร้องไห้เหรอ”


 


 


หลินหว่านปัดมือเซียวจิ่งสือออก พูดว่า “ไม่เกี่ยวกับคุณนี่”


 


 


เธอยังจำได้ว่าคราวก่อนเซียวจิ่งสือทะเลาะกับเธอด้วยเหตุที่เขาคัดค้านความร่วมงานของเธอกับอันลั่วเฉิง


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นอาการแล้ว ทำไมจะไม่รู้ความในใจของหลินหว่าน เขาขยับเข้าใกล้หลินหว่าน พูดว่า “หว่านหว่าน ขอโทษนะ คราวที่แล้วผมไม่ควรทะเลาะกับคุณ หลังทะเลาะกัน ผมกลับไปคิดดูแล้วเป็นเพราะผมไม่ดีเอง ผมไม่ควรหาเรื่องทะเลาะกับคุณเพราะหึงคุณกับอันลั่วเฉิง ผมยิ่งไม่ควรสงสัยคุณ…หว่านหว่าน เป็นความผิดของผมเอง คุณยกโทษให้ผมนะครับ”


 


 


หลินหว่านฟังแล้วรู้สึกหวั่นไหวใจอยู่บ้าง เธอปั้นหน้าเย็นชา เซียวจิ่งสือรู้ด้วยว่าเธอคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มที่หยิ่งทะนงในตัวเองและถือตัวอย่างเซียวจิ่งสือถึงกับยอมเอ่ยปากขอโทษเธอก่อน พอคิดดูแล้วหลินหว่านเอ่ยว่า “งั้นก็ได้ค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เขายังคิดว่าหลินหว่านจะไม่ยอมยกโทษให้เขาง่ายๆ เสียอีก เขาเข้าไปกอดหลินหว่าน อ้อนว่า “หว่านหว่าน ต่อไปผมจะไม่ทะเลาะกับคุณอีกแล้ว”


 


 


พอเซียวจิ่งสือถามหลินหว่านอีกครั้งว่าเธอแอบร้องไห้หรือเปล่า หลินหว่านฟังแล้วขำไม่ออก อธิบายว่าเป็นเพราะเธอดูหนังต่างหาก จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้เซียวจิ่งสือฟัง

 

 

 


ตอนที่ 102

 

ปลอบใจ

 


 


 


“หลินหว่าน ตอนนี้เป็นเวลาพักของคุณ พวกเราไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะเลย ผมก็ปลีกเวลามาเหมือนกัน คุณรับปากผมนะ คุณก็อย่ามัวแต่หมกมุ่นจิตตกแบบนี้เลย เห็นแล้วผมรู้สึกไม่ดีเลย” เซียวจิ่งสือมองอย่างสงสารและเห็นใจเธอ เขาไม่อยากให้หลินหว่านเศร้าใจอยู่แบบนี้


 


 


การแสดงเป็นสิ่งที่หลินหว่านรัก แต่ก็ทำให้เธอกลัดกลุ้มไม่สบายใจ หลินหว่านถูกผู้กำกับซวี่กวงด่าว่าจึงดูเหมือนจะหดหู่ท้อแท้ แต่ที่ทำให้หลินหว่านคิดหนักยิ่งกว่าคือ เธอไม่รู้ว่าจะแสดงบทบาทนี้ออกมาอย่างไร ในเมื่อไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ยังไงก็ยังไม่น่าพอใจอยู่ดี คำพูดมากมายที่ผู้กำกับซวี่กวงพูดกับเธอนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ในการแสดงได้อย่างไร ตอนนี้เธอยังไม่สามารถทำให้คนรู้สึกถึงจิตวิญญาณของตัวละครนั้นได้เลย แล้วผู้กำกับซวี่กวงยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับหนังของตัวเองขนาดนั้น บางครั้งก็ถึงกับเป็นบ้าเป็นหลังเลยก็ว่าได้ การแสดงของหลินหว่านในตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้เลย


 


 


เมื่อก่อนหลินหว่านไม่เคยเจอกับผู้กำกับที่แปลกประหลาดขนาดนี้ เธอรู้สึกผิดอย่างมาก ไม่รู้ว่าความช่วยเหลือของผู้กำกับซวี่กวงจะช่วยให้เธอแสดงฉากนั้นได้สำเร็จหรือเปล่า ถ้ายังทำให้เขาพอใจไม่ได้ นั่นคงจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวของจริงแล้ว


 


 


“ไปกันเถอะ หลายวันมานี้ฉันเครียดเพราะการแสดงบทบาทนั่นมากเกินไปแล้ว ฉันรู้สึกจนจะทนไม่ได้อยู่แล้ว วันนี้ให้ฉันออกไปผ่อนคลายสักหน่อยก็ดี โชคดีที่คุณมาพอดี ผู้กำกับซวี่กวงก็บอกให้ฉันพักวันหนึ่ง ให้ฉันศึกษาบทนั้น” หลินหว่านพูดพลางหยิบกระเป๋าเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก


 


 


เมื่อครู่เซียวจิ่งสือเห็นท่าทางอารมณ์บูดของหลินหว่านแล้วยังกังวลอยู่ว่าหลินหว่านจะไม่ยอมไปกับเขา แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเขาคิดมากไปเอง หลินหว่านแต่งตัวแล้วเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก


 


 


ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง การตกแต่งของที่นี่ดูสดใสแต่ยังดูหรูหรา เข้ามาถึงก็ได้กลิ่นหอมวานิลาอ่อนๆ บรรยากาศโดยรอบชวนให้อิ่มใจ แต่หลินหว่านดูเหมือนจะยังไม่สดชื่นขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ เซียวจิ่งสือถามเธอว่าจะทานอะไร แต่หลินหว่านให้เซียวจิ่งสือช่วยเลือกให้


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้หลินหว่านหลุดจากความรู้สึกอมทุกข์ได้โดยเร็ว นักแสดงถูกผู้กำกับว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่การปกป้องหลินหว่านก็เป็นหน้าที่ของเขาเช่นกัน


 


 


เซียวจิ่งสือกลัวว่าจะพูดผิดไปสะกิดแผลใจให้หลินหว่านเสียใจ จึงได้แต่มองดูหลินหว่านก้มหน้าถอนใจ เขาไม่กล้าพูดจายั่วเย้าให้หลินหว่านขำขันเหมือนเมื่อก่อนอีก


 


 


เซียวจิ่งสือคิดไปคิดมาแล้วตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการของตัวเองทำให้หลินหว่านสบายใจขึ้นมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะไม่มีบรรยากาศตอนทานข้าว เขามองดูสภาพหลินหว่านคอตกแล้วตัวเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเอามากๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สภาพจิตใจของหลินหว่านตอนนี้ต้องการการปลอบเป็นที่สุด


 


 


เซียวจิ่งสือลูบศีรษะหลินหว่านพูดว่า “หลินหว่าน ผมจะบอกคุณเรื่องหนึ่งนะ ในสายตาของผม ฝีมือการแสดงของคุณดีมากๆ แล้ว เมื่อก่อนผมดูหนังเรื่องอื่นๆ ที่คุณเล่น มันดูสมจริงเหมือนกับได้เข้าไปอยู่ในนั้นจริงๆ เลย ผมว่าน่าจะเป็นเพราะผู้กำกับซวี่กวงนั่นสายตามีปัญหา ไม่ใช่เพราะคุณแสดงไม่ดีหรอก คุณแสดงได้ทรงพลังขนาดนั้น จะแสดงไม่ดีได้ยังไงกันล่ะ ผมว่าต้องใช่แน่ๆ เลย ต้องเป็นเพราะซวี่กวงสายตาไม่ดี ดังนั้นคุณก็อย่าเศร้าเสียใจไปเลยนะ” เซียวจิ่งสือพูดพลางยิ้มน้อยๆ มองหลินหว่านด้วยสายตาคาดหวัง


 


 


หลินหว่านฟังแล้วก็ยิ้มให้หน่อยหนึ่ง เธอเข้าใจตัวเองดี หลินหว่านรู้ว่าฝีมือการแสดงของเธอตอนนี้ยังไม่อาจทำให้ผู้กำกับซวี่กวงพอใจได้


 


 


ถึงแม้หลินหว่านจะยอมรับในสิ่งที่ผู้กำกับตำหนิเธอ และเธอก็รู้สึกขอบคุณผู้กำกับซวี่ที่เล่าประสบการณ์เหล่านั้นให้เธอฟัง หลินหว่านมักจะปลอบใจตัวเองเสมอว่าเธอเด็กกว่า การยอมรับคำตำหนิและเรียนรู้มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่พอถูกตำหนิเข้าจริงๆ เข้ากลับทำใจได้ยากยิ่งนัก


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านฟังคำพูดเขาแล้วยิ้มออกมาได้หน่อยหนึ่ง ก็ใจชื้นขึ้นมาทันที จากนั้นก็สรรหาคำพูดมาปลอบหลินหว่านไม่หยุด


 


 


“หลินหว่าน เพราะงั้นคุณถึงดีที่สุดเลยอย่างไรล่ะ ฝีมือการแสดงคุณก็ดีมากจริงๆ คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง อย่าให้คำด่าว่าของคนอื่นมาทำให้ตัวเองเสียความมั่นใจสิครับ”


 


 


หลินหว่านเข้าใจดีว่าตัวเองไม่ดีพอ ผู้กำกับซวี่กวงต่อว่าเธอก็สมควรแล้ว แต่พอเห็นเซียวจิ่งสือที่คอยปกป้องเธออย่างสิ้นคิดแบบนี้แล้ว ในใจเธอนอกจากจะขำแล้วยังปลาบปลื้มตื้นตันเอามากทีเดียว


 


 


ด้วยคำปลอบโยนปนหยอกเย้าของเซียวจิ่งสือที่ระดมใส่มาไม่หยุด หลินหว่านสบายใจขึ้นไม่น้อยเลย เธอยิ้มออกมาได้ พูดคุยยิ้มหัวเราะกับเซียวจิ่งสือได้แล้ว หลินหว่านทำใจได้แล้ว เธอจะซึมซับและใช้สิ่งสำคัญที่ผู้กำกับซวี่กวงบอกกับเธอ แปลงความเศร้าเสียใจให้เป็นพลัง


 


 


“เซียวจิ่งสือ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วไปดูหนังกันนะ” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าดีขึ้นมาก


 


 


เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงเลยว่าหลินหว่านจะเป็นฝ่ายชวนเขาดูหนังด้วยกัน เขาดีใจจนออกนอกหน้า รีบหยิบมือถือขึ้นหาดูว่าช่วงสองสามวันนี้มีหนังรักเรื่องอะไรที่น่าดูบ้าง


 


 


“ดีครับ สุดยอดไปเลย ผมคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราสองคนยังมีเวลาดูหนังด้วยกันได้ ก่อนหน้านี้ผมกลัวว่าจะรบกวนการทำงานของคุณจึงไม่กล้าชวนคุณ ครั้งนี้คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นฝ่ายชวนผม งั้นผมก็ต้องตอบตกลงอยู่แล้ว เราดูหนังรักกันเถอะนะ เรื่องนี้เหมาะกับพวกเรามากเลย” เซียวจิ่งสือตื่นเต้นกระชุ่มกระชวยขึ้นมา หยิบมือถือตั้งท่าจะจองตัวหนัง


 


 


หลินหว่านคว้ามือถือจากมือเซียวจิ่งสือมาวางลงบนโต๊ะอาหาร เธอยิ่งนึกก็ยิ่งขำ แล้วก็นึกสงสารเซียวจิ่งสืออยู่บ้าง เธอคงต้องทำให้เขาผิดหวังแล้วล่ะ


 


 


หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือด้วยสายตาสงบนิ่ง พูดว่า “ฉันอยากจะดูหนังเก่าเรื่องหนึ่ง เป็นหนังที่แม่ฉันแสดงน่ะค่ะ หนังของหลางอี้…นักแสดงและนักเขียนบทชื่อดังของวงการบันเทิงในยุคนั้น คุณรู้จักเธออยู่แล้วนี่ ระหว่างทางขากลับฉันจะเล่ารายละเอียดให้คุณฟัง หนังเรื่องนี้ไม่ต้องไปดูที่โรงหนังค่ะ” หลินหว่านหยิบแผ่นซีดีที่ผู้กำกับให้เธอออกมา


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่พอเห็นว่าตอนนี้หลินหว่านสบายใจขึ้นบ้าง ในที่สุดจึงได้แต่รับปากเธอ อันที่จริงโดยทั่วไปแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหว่าน เซียวจิ่งสือยอมเธอได้หมดนั่นแหล่ะ


 


 


“ที่แท้ก็ดูหนังเรื่องนี้เองเหรอ คุณอยากจะเรียนรู้บทหรือว่าแค่อยากจะเห็นฝีมือการแสดงของแม่คุณกันล่ะ” เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างสงสัย เขายังกอดความหวังอันน้อยนิดที่จะได้ไปดูหนังรักในโรงกับหลินหว่านอยู่ดี


 


 


“คุณก็รู้ดีว่าก่อนหน้านี้ผู้กำกับซวี่กวงต่อว่าฉันเพราะว่า มีฉากหนึ่งที่ฉันแสดงให้เขาพอใจไม่ได้ จนในที่สุดเขาแนะนำหนังเรื่องนี้ให้ฉันดู อันที่จริงคืนนี้พอเขาให้ฉันมาฉันก็รีบกลับไปดูทันที แล้วฉันก็พบว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แม่ฉันเคยแสดงไว้”


 


 


เซียวจิ่งสือหยิบขึ้นมาดูชื่อหนัง ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น


 


 


“หนังเรื่องนี้ทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คุณแน่ใจนะ ว่าแม่คุณเป็นคนแสดง” เซียวจิ่งสือคิ้วขมวด ท่าทีไม่อยากจะเชื่อนัก


 


 


“สมัยนั้นหนังเรื่องนี้มีเรื่องราวทางการเมืองซึ่งค่อนข้างอ่อนไหวอยู่มาก จึงไม่มีโอกาสได้ฉายในประเทศค่ะ” หลินหว่านรู้สึกแย่แทนแม่ของเธอ อุตส่าห์แสดงอย่างลำบากแต่กลับไม่ได้ออกฉาย


 


 


หลินหว่านพูดจบก็นึกถึงพล็อตของภาพยนต์ที่แม่ของเธอแสดง ในใจนั้นก็ไม่อยากจะดูอีก ตอนนั้นพอเธอเปิดหนังเรื่องนี้ขึ้นก็รู้สึกตกใจมาก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกได้จริงๆ ว่าแม่ของเธอแสดงดีมากเลย

 

 

 


ตอนที่ 103

 

แสดงฝีมือ

 


 


 


หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือทานข้าวเสร็จทั้งสองก็กลับห้องพักเปิดดูหนังเรื่องนี้กัน


 


 


“ว้าว ฝีมือแสดงยอดมากจริงๆ ถ้าผมได้ดูเงียบๆ สักรอบคงซาบซึ้งมากๆ เลย บทที่เธอเล่นเนี่ย คุณดูสิ ทุกรอยยิ้มสีหน้าท่าทางทำให้เห็นว่าอับจนและยอมจำนนต่อความยากจนข้นแค้นในชีวิต” เซียวจิ่งสือส่งเสียงจ้อกแจ้กอยู่ด้านข้าง


 


 


หลินหว่านทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเซียวจิ่งสือ ดวงตาวาววับทั้งคู่จับจ้องอยู่บนหน้าจอ เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเงียบแล้วยังดูเอาจริงเอาจังจนดูเหมือนยังอินในอารมณ์เสียด้วย สายตาเป็นประกายแวววาว ซึ่งทำให้เซียวจิ่งสือเข้าใจดีทีเดียว ไม่กล้าพูดจารบกวนเธออีก เขานั่งเป็นเพื่อนเธอดูหนังไปเงียบๆ อย่างว่าง่าย


 


 


แต่ที่เซียวจิ่งสือไม่เข้าใจก็คือ หลินหว่านดูแม่ของตัวเองแสดงบทบาทในฉากนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดูกลับไปกลับมาไม่หยุด หลังจากดูไปหลายรอบเซียวจิ่งสือก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณทำอะไรน่ะ ฉากนี้คุณต้องเรียนรู้จากเธอใช่ไหม หรือว่าเป็นเพราะแค่ฉากนี้ประทับใจคุณกันแน่”


 


 


หลินหว่านทำมือเป็นสัญญาณว่าอย่าส่งเสียง และไม่ได้หันมามองเซียวจิ่งสือเลย เธอยังคงมองนิ่งบนหน้าจอเหมือนเดิม


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่ค่อยๆ จมดิ่งเข้าไป แล้วเข้าใจทันทีว่าการที่ผู้กำกับซวี่กวงแนะนำหนังเรื่องนี้ให้หลินหว่านก็เพื่อเรียนรู้จากฉากนี้ จะได้เข้าใจเทคนิคการแสดงนี้ จนทำให้สามารถแสดงฉากนั้นได้ในที่สุด


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่ขมวดคิ้วน้อยๆ สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง เหมือนกับเธอกำลังเข้าไปอยู่ในฉากนั้นของเรื่องจริงๆ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็ไม่รบกวนหลินหว่านอีก แต่ไม่นานนักเขาก็หลับตาลงที่ด้านข้าง การที่ต้องดูหนังซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เซียวจิ่งสือรู้สึกเบื่อตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


“ในที่สุดก็ดูจบซะที รู้สึกดีจัง ผู้กำกับซวี่กวงพูดไม่ผิดเลย ดูหนังเรื่องนี้จบเหมือนได้เพิ่มประสบการณ์มากมายจริงๆ ด้วย” หลินหว่านยิ้มพลางลุกขึ้นยืน


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที เงยขึ้นมองหลินหว่าน เขาจ้องหลินหว่านไม่วางตา แล้วก็พบว่าเธอกำลังค้นหาหนังอีกเรื่องมาเปิด สิ่งที่เหมือนกับเรื่องก่อนหน้าก็คือ ในเรื่องมีแม่ของหลินหว่าน


 


 


“คุณยังจะดูอีกเหรอ ไม่พักผ่อนเหรอ พรุ่งนี้คุณยังต้องถ่ายหนังอีกนี่นา ไว้พรุ่งนี้ค่อยดูเถอะนะ” เซียวจิ่งสือถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


 


 


“ไม่อย่างนั้นคุณนอนไปก่อนเถอะ ฉันยังต้องดูหนังอีกหลายเรื่อง ไม่เป็นไรหรอก คุณวางใจเถอะน่า ถึงจะอดนอนเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันหาเวลาพักผ่อนสักหน่อยก็ได้แล้ว” หลินหว่านพูดพลางเปิดหนังอีกเรื่อง เธอหรี่เสียงลงให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนเซียวจิ่งสือพักผ่อน


 


 


แม้ว่าเซียวจิ่งสืออยากจะให้หลินหว่านเข้านอนให้เร็วที่สุด แต่เขารู้นิสัยหลินหว่านดีว่าอะไรที่เธอได้ตัดสินใจไปแล้วก็ยากจะเปลี่ยนใจ อีกทั้งตอนนี้เธอเปิดหนังไปแล้ว เซียวจิ่งสือจึงไม่พูดอะไรอีก เขานอนบนโซฟาด้านข้างแล้วหลับไป


 


 


หลินหว่านดูหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า เธอยิ้มน้อยๆ บ้างร้องไห้ออกมาเบาๆ บ้าง เพราะเรื่องราวในหนัง ยิ่งกว่านั้นเพราะรู้สึกปวดร้าวปนปลาบปลื้มปใจ ที่สำคัญคือเธอได้เรียนรู้ในสิ่งที่นักแสดงมากมายต้องมี ได้มองดูคนเหล่านี้แสดงแต่ละบทบาทได้อย่างลึกซึ้งถึงจิตใจคน


 


 


หลินหว่านดูไปมากมาย หนังพวกนี้ทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือมีแม่ของเธอ นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนเธอไม่อยากพบเจอ และไม่เคยยอมเปิดออกดู สิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าเสมอมา แต่คืนนี้เธอหยิบออกมาดูมันทั้งหมดในรวดเดียว


 


 


หลินหว่านยิ่งดูก็ยิ่งประหลาดใจ เธอเกิดความคิดแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เธอเริ่มสงสัยคำพูดของคุณตาเธอที่เคยพูดไว้นั้น เป็นความจริงทั้งหมดหรือไม่ หรือว่ายังมีเรื่องราวอื่นอีก


 


 


หลินหว่านรื้อหนังทุกเรื่องที่แม่เธอเคยเล่นออกมาดูจนจบ เธอตัดสินใจว่าจะเก็บความสงสัยของเธอไว้ในส่วนลึกของจิตใจชั่วคราวโดยจะไม่พูดออกไป แต่ในสมองของเธอจะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ตลอดไป


 


 


“หลินหว่าน ตื่นได้แล้ว วันนี้คุณต้องไปถ่ายหนังแล้ว ผมก็ต้องกลับบริษัทไปจัดการธุระการงานเสียที เมื่อครู่ผมเห็นคุณนอนหลับสนิทขนาดนั้น เลยไม่ได้ปลุกคุณ ตอนนี้ผมจะไปแล้ว คุณก็รีบตื่นเถอะ” เซียวจิ่งสือปลุกหลินหว่านให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนโยน


 


 


เมื่อคืนกว่าหลินหว่านจะดูหนังจนจบก็เช้ามืดแล้ว ตื่นตอนเช้าเธอรู้สึกเหนื่อยล้ามาก แต่เมื่อคิดว่าต้องไปถ่ายหนังที่กองถ่ายอีก จึงต้องอาศัยแรงฮึดลุกขึ้นมา


 


 


“ทำไมไม่ปลุกฉันเร็วกว่านี้คะ ฉันยังไม่ได้ทำอาหารเช้าให้คุณทานเลย ไม่รู้ว่าต้องอีกกี่วันจึงจะได้เจอกันอีก เอาเถอะ คุณอย่าลืมซื้ออาหารเช้านะคะ บ๊ายบายค่ะ” หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือเปลี่ยนรองเท้าด้วยสายตาสลึมสลืออย่างไม่ตื่นดี


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวผมจะหาทานข้าวเช้าเอง คุณมีอะไรก็โทรหาผมนะ บาย ผมกลับบริษัทก่อนนะ” เซียวจิ่งสือเอ่ยลาหลินหว่านด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


 


 


หลินหว่านเห็นว่าสายแล้ว พออาบน้ำเสร็จก็รีบมาที่กองถ่ายทันที เธอนึกได้ว่าวันนี้มีฉากที่ตัวเองเคย NG ไปหลายครั้งมาก พอต้องถ่ายทำก็อดรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าหากวันนี้ยังแสดงได้ไม่ดีอีก ผู้กำกับซวี่กวงคงต้องอาละวาดแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะแค่โดนด่าง่ายๆ


 


 


หลินหว่านมาถึงแล้วจึงพบว่ามีผู้คนจำนวนมากมาถึงแล้ว รวมทั้งผู้กำกับซวี่กวงด้วย


 


 


“ผู้กำกับคะ สวัสดีค่ะ” หลินหว่านยิ้มน้อยๆ ตามมารยาท


 


 


วันนี้ผู้กำกับซวี่กวงดูเหมือนจะยังอารมณ์ดีอยู่ เมื่อเทียบกับเมื่อวันนั้นแล้ว เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มตามมารยาทเช่นกัน


 


 


“วันนี้ถ่ายฉากนั้นของคุณต่อ หนังที่ผมให้คุณไปคงได้ดูแล้วสินะ นั่นทำให้คุณได้เรียนรู้และรู้สึกอะไรบ้าง ผมหวังว่าอีกเดี๋ยวพวกเราจะถ่ายฉากนี้ได้สำเร็จ ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือคุณ ผมจะตั้งตารอดูคุณแสดงนะ” ผู้กำกับซวี่กวงพูดเสียงเรียบ


 


 


คราวนี้หลินหว่านไม่ทำให้ผู้กำกับซวี่กวงผิดหวัง เธอแสดงออกถึงความบ้าคลั่งในแบบสติเลอะเลือนจนลืมตัวได้อย่างพอดิบพอดีดังที่ผู้กำกับต้องการ เธอเข้าถึงความรู้สึกของตัวละครจนไม่สนใจคนรอบข้างอีก เหมือนกับมีเธอเพียงลำพังเท่านั้นที่อยู่ในฉากนี้ ทำให้ผู้คนพากันประหลาดใจไปตามกัน


 


 


“ผ่าน ครั้งนี้ทำให้ผมพอใจได้จริงๆ ” ผู้กำกับซวี่กวงเผยรอยยิ้มออกมาได้ในที่สุด


 


 


ขณะที่ความรู้สึกนึกคิดของหลินหว่านยังไม่หลุดจากบทบาทนั้น ความรู้สึกที่ทำให้เธอจดจำฝังใจ พอเธอได้ยินเสียงผู้กำกับร้องว่า “ผ่าน” ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอรู้สึกดีใจมากจริงๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองได้เรียนรู้อย่างมากในขณะแสดง และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีฝีมือการแสดงที่ก้าวหน้าขึ้น อีกทั้งได้ค้นพบว่าเธอมีพลังอย่างมากในตัวที่พร้อมจะระเบิดออก ซึ่งทั้งหมดนี้มันทำให้หลินหว่านมีความสุขมาก


 


 


ซวี่กวงรู้สึกพอใจกับฉากนี้ในที่สุด เขามองหลินหว่านด้วยสายตาที่ยอมรับเธออย่างเปิดเผย


 


 


“หลินหว่าน วันนี้สุดยอดเลยนะ แค่สองวันเอง คุณก้าวหน้าไปมากจริงๆ เมื่อกี้ผมเห็นที่คุณแสดงแล้วยังขนลุกเลย เจ๋งมาก ความรู้สึกนี้ต้องรักษาเอาไว้ให้ดีล่ะ” รองผู้กำกับเข้ามาพูดกับหลินหว่านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม วันนี้เขารู้สึกเซอร์ไพรส์กับหลินหว่านอยู่บ้าง


 


 


“ค่ะ ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะคะ” หลินหว่านยิ้มพลางตอบรับ


 


 


หลินหว่านเห็นว่าคนอื่นยอมรับ เธอก็รู้สึกดีใจจากส่วนลึกของจิตใจ การพัฒนาตัวเอง…นี่เป็นสิ่งที่เธอไขว่คว้าหามาตลอด

 

 

 


ตอนที่ 104

 

สวมบทบาท

 


 


 


 


หลินหว่านแสดงฉากหนึ่งจบไปแล้วแต่ยังไม่อาจถอนอารมณ์จากตัวละครนั้นออกมาได้ เธอยืนนิ่งอยู่ด้านหนึ่งด้วยสายตาแข็งทื่อ ในสมองยังคิดวนเวียนอยู่แต่เนื้อเรื่องในภาพยนตร์ เธอยังหลงคิดว่าตัวเองยังเป็นตัวเอกในภาพยนตร์ 


 


 


“หลินหว่าน อย่ามัวใจลอยอยู่เลย เลิกงานแล้ว ตอนนี้คุณแสดงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว บุคลิกท่าทางกับอารมณ์แบบนั้นน่ะ คุณหลอมรวมมันเข้าด้วยกันได้ดีมากเลย บ่งบอกถึงตัวตนของตัวละครในเรื่องนี้ได้ดีมากเลย ไม่ว่าจะเป็นแววตาหรือตอนที่เธออยู่ในอารมณ์บ้าคลั่งแบบนั้น คุณแสดงได้เหมือนจริงสุดๆ ไปเลย ฝีมือการแสดงพัฒนาขึ้นถึงระดับนี้ได้ ในเวลารวดเร็วขนาดนี้เก่งมากจริงๆ เลยนะ” ผู้ช่วยผู้กำกับเห็นหลินหว่านยังเหม่อลอย จึงเดินเข้าไปตบไหล่เธอแล้วพูดร่ายยาว 


 


 


หลินหว่านได้ยินคำพูดชมเชยจากผู้ช่วยผู้กำกับ แต่กลับไม่อาจตอบรับเขาได้ เนื่องจากในหัวของหลินหว่านตอนนี้ยังอยู่ในอีกมิติหนึ่ง นอกจากนี้เธอไม่รู้ว่าทำไมในใจจึงเกิดความรู้สึกเศร้าโศกอาดูรขึ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับของตัวละครที่เธอรับบทแสดงอยู่ 


 


 


รองผู้กำกับเห็นอาการหลินหว่านแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก เขาโบกมือไปมาข้างหน้าเธอ หลินหว่านยังคงนิ่งไม่มีทีท่าว่าสนใจ 


 


 


อวิ๋นซีที่ด้านข้างเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกผิดปกติ จึงเดินเข้าไปหาผู้ช่วยผู้กำกับแล้วพูดว่า “ผู้ช่วยผู้กำกับคะ สวัสดีค่ะ วันนี้หลินหว่านไม่สบายเลยไม่ค่อยมีสติแจ่มใสนักค่ะ ตอนนี้คงยังมึนงงอยู่บ้าง ฉันจะพาเธอไปทานยานะคะ” อวิ๋นซีพูดพลางผลักร่างหลินหว่านเบาๆ 


 


 


หลินหว่านค่อยได้สติกลับคืนมา จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองตื่นขึ้น จึงรีบพูดกับรองผู้กำกับว่า “ผู้ช่วยผู้กำกับคะ เมื่อครู่ฉันมึนศีรษะนิดหน่อยค่ะ เลยอาจโต้ตอบช้าไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ละเลยคุณ วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย มัวคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เรื่อย แต่คำพูดคุณเมื่อครู่ฉันได้รับฟังทั้งหมดค่ะ ขอบคุณนะคะ” หลินหว่านโค้งคำนับให้กับผู้ช่วยผู้กำกับ 


 


 


หลินหว่านพบว่าอารมณ์ของเธอยิ่งมายิ่งไม่เป็นปกติ ตอนที่รู้ตัวก็ปั่นป่วนว้าวุ่นใจอยู่บ้าง หลายวันมานี้ไม่รู้ว่าทำไมเธอมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งแสดงเสร็จ  


 


 


“คุณกลับไปแล้วอย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ วันนี้ตอนเข้ากล้องยังดูสบายดีอยู่เลยนี่นา ทำไมตอนนี้ถึงดูไปแล้วไม่ค่อยดีเลยล่ะ” ผู้ช่วยผู้กำกับพูดพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกแปลกใจมาก 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวฉันจะทานยา คงเป็นเพราะอินกับบทมากไปล่ะมั้งคะ” หลินหว่านตอบด้วยรอยยิ้ม ขณะที่แอบรู้สึกหวั่นวิตกอยู่บ้าง 


 


 


พอหลินหว่านกับอวิ๋นซีกลับถึงห้องทั้งสองก็ทานข้าวกัน 


 


 


อวิ๋นซีมองอย่างสำรวจดูหลินหว่าน รู้สึกเสียใจที่หลายวันมานี้อารมณ์ของหลินหว่านเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ บางครั้งยังนิ่งเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เรียกก็ไม่ขานรับ วันนี้อยู่ต่อหน้าผู้ช่วยผู้กำกับยิ่งอาการหนักขึ้นอีก 


 


 


“หลินหว่าน หลายวันมานี้เธอดูไม่ค่อยดีนักนะ หรือว่าทำงานหนักเกินไป ฉันเห็นว่าหลายวันนี้เธอเหม่อลอยอยู่เรื่อยเลย แล้วยังอารมณ์ไม่ค่อยนิ่งอีก หรือว่าเธอมีความในใจอะไร หลายวันนี้เธอดูแปลกไปนะ” อวิ๋นซีพูดอย่างเกรงใจ 


 


 


ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีรู้สึกได้ว่าหลินหว่านมีอารมณ์วูบไหวรุนแรงมาก เมื่อก่อนเธอเป็นคนใจดีอบอุ่น แต่หลายวันนี้บางครั้งเธอหงุดหงิดมาก และอารมณ์เสียง่ายอยู่บ่อยครั้ง นั่งเศร้าอมทุกข์อยู่มุมหนึ่งคนเดียว ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างไปจากเธอในตอนปกติ 


 


 


“แปลกไปที่ไหนกัน ฉันโอเคมากๆ เลย เธอไม่รู้สึกหรือว่าหลายวันนี้การแสดงของฉันแทบจะสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ แม้แต่ผู้กำกับซวี่กวงยังพูดชมฉันอยู่เรื่อยเลย” หลินหว่านพูดเสียงเย็น ศีรษะก้มต่ำตลอดเวลาที่ทานข้าว 


 


 


“หลินหว่าน แต่ฉันว่าจริงๆ แล้วเธอดูไม่ค่อยดีนักนะ ฉันหวังว่าเธอจะเผชิญกับปัญหาตรงๆ ถ้ากระทบกับการแสดงของเธอหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพเธอขึ้นมา พวกเรายอมรับไม่ได้หรอกนะ อย่างวันนี้ตอนที่ผู้ช่วยผู้กำกับพูดกับเธอตั้งมากมาย แต่เธอกลับเอาแต่ยืนเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยหน้าตาอมทุกข์” อวิ๋นซีร้อนใจอยู่บ้าง เธอเห็นว่าหลินหว่านไม่สนใจเลยสักนิด 


 


 


หลินหว่านจู่ๆ ก็ยืนขึ้นแล้วผลักอวิ๋นซีออกนอกประตู อวิ๋นซีทำหน้าประหลาดใจ หลินหว่านไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อน แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ 


 


 


“ฉันอยากอยู่เงียบๆ ” หลินหว่านพูดขึ้นมาคำหนึ่งหลังจากผลักอวิ๋นซีออกไปแล้ว 


 


 


อวิ๋นซีรู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นไปอีก หลินหว่านดูต่างไปจากเมื่อก่อนนี้มากเกินไปแล้ว 


 


 


อวิ๋นซีไม่รู้ว่าจะไปพูดกับหลินหว่านอย่างไร เธอคิดว่าเซียวจิ่งสือน่าจะมีวิธี โดยปกติแล้วในเวลาแบบนี้เซียวจิ่งสือจะสามารถพูดกับหลินหว่านได้ อวิ๋นซีสงสัยว่าเซียวจิ่งสือทะเลาะกับหลินหว่านหรือเปล่า  


 


 


อวิ๋นซีโทรศัพท์ไปหาเซียวจิ่งสือ 


 


 


“สวัสดีค่ะ เซียวจิ่งสือ คุณพอจะมีเวลาไหมคะ ฉันอยากจะคุยกับคุณเรื่องของหลินหว่าน ฉันต้องบอกเรื่องนี้กับคุณค่ะ” อวิ๋นซีพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง 


 


 


เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซีจะโทรหาเขาเพื่อคุยเรื่องของหลินหว่าน จิตใจปั่นป่วนก่อตัวขึ้นมาทันควัน ในเมื่อเป็นเรื่องของหลินหว่าน ทำไมเธอไม่โทรเองล่ะ 


 


 


เซียวจิ่งสือพูดเสียงร้อนรน “หลินหว่านเกิดเรื่องอะไรเหรอ คุณรีบพูดมาเลย” 


 


 


อวิ๋นซีพูดจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง “คุณไม่ต้องร้อนใจไปนะคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่ว่าหลายวันมานี้ไม่รู้ทำไมหลินหว่านอารมณ์ไม่ค่อยเป็นปกติ ไม่เอาแต่เหม่อลอยอยู่เรื่อย ก็ดูเหมือนอมทุกข์และอารมณ์ก็เหวี่ยงอย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากเลยค่ะ หรือว่าพวกคุณสองคนมีเรื่องขัดแย้งอะไรกันหรือเปล่า สภาพเธอดูไม่ค่อยดีเลยค่ะ ฉันคิดว่าคุณน่าจะไปหาเธอดูหน่อย วันนี้เธอเพิ่งออกจากกองถ่ายกลับบ้านไปแล้ว”  


 


 


“พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันนะ ขอบคุณนะ ผมทราบแล้วและจะไปหาหลินหว่านด้วยตัวเองเลย” เซียวจิ่งสือพูดจบก็วางสาย จากนั้นเตรียมออกจากบริษัทไปหาหลินหว่าน 


 


 


“ก๊อกๆ” “หลินหว่าน คุณอยู่ไหม” เซียวจิ่งสือเคาะประตูอยู่ด้านนอกห้อง 


 


 


วันนี้หลินหว่านเพิ่งกลับถึงบ้าน เธอไม่รู้ว่าเซียวจิ่งสือรู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่ 


 


 


“ทำไมคุณมานี่ได้ แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ฉันกลับบ้านน่ะ” หลินหว่านพูดพลางยิ้มน้อยๆ  


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านแล้วพบว่าแววตาของเธอดูว่างเปล่ามาก ถึงแม้จะยิ้มอยู่แต่รู้สึกเหมือนว่าเหนื่อยล้ามาก 


 


 


“ผมเดาเอาน่ะ เราใจตรงกันไง คุณจะทานข้าวไหม ผมทำของอร่อยๆ ให้ทานนะ” เซียวจิ่งสือพูดพลางเปลี่ยนรองเท้า สายตาคอยมองหลินหว่านอย่างสำรวจ 


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะแล้วกลับไปนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา 


 


 


เซียวจิ่งสือเดินไปที่ห้องครัวอย่างคุ้นเคย เริ่มลงมือทำผลงานชิ้นเอกของเขา กับข้าวที่เขาเรียนทำมานี้ล้วนแต่เป็นของโปรดของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือนึกถึงตอนที่มองเห็นหลินหว่านแวบแรก เขารู้สึกได้ว่าหลินหว่านต่างไปจากตอนเธอปกติอยู่บ้าง แววตาอมทุกข์เหลือเกิน 


 


 


“หลินหว่าน รีบมากินข้าวทางนี้กันเถอะ ผมทำกับข้าวเสร็จแล้ว วันนี้เป็นของโปรดของคุณทั้งนั้นเลย” เซียวจิ่งสือร้องเรียกหลินหว่านที่นั่งอยู่บนโซฟา แล้วรีบกลับห้องครัวไปตักข้าว 


 


 


เซียวจิ่งสือยกกับข้าวขึ้นโต๊ะหมดแล้ว พร้อมทานข้าว แต่พบว่าหลินหว่านยังไม่มาเลย 


 


 


“หลินหว่าน เร็วหน่อยสิ คุณมัวทำอะไรอยู่น่ะ กับข้าวจะเย็นหมดแล้ว” เซียวจิ่งสือร้องเรียกหลินหว่านเสียงดัง 


 


 


แต่หลินหว่านไม่ได้ตอบเซียวจิ่งสือ ยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่ที่โซฟาไม่ขยับเลยสักนิด

 

 

 


ตอนที่ 105

 

โหยหา

 


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกผิดปกติ จึงเดินเข้าไปหาหลินหว่าน เซียวจิ่งสือพบว่าหลินหว่านกำลังบ่นพึมพำอะไรเบาๆ อยู่คนเดียว เธอก้มศีรษะต่ำดูไปแล้วเศร้ามาก


 


 


“หลินหว่าน คุณเป็นอะไรไป” เซียวจิ่งสือชักว้าวุ่นใจขึ้นมา


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่งสือ เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ในหัวสมองเธอมีแต่การแสดงในหนังที่ถ่ายทำในหลายวันมานี้ และเธอเองก็ดูเหมือนจะอินกับบทบาทพวกนั้นเสียจนออกมาไม่ได้


 


 


“การแสดงหนังเรื่องนี้ทำให้คุณเครียดมากไปหรือเปล่า คุณอยากแสดงบทนี้ให้ดี แต่ดูเหมือนคุณจะสวมบทจนกลายเป็นตัวละครในหนังไปแล้ว หลินหว่าน คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ วันนี้เราหาเวลาไปพบจิตแพทย์กันเถอะ!” เซียวจิ่งสือปลอบหลินหว่าน ด้วยเกรงว่าหากพูดผิดสักคำเธอจะอารมณ์แปรปรวนขึ้นมา


 


 


หลินหว่านขมวดคิ้วพูดเสียงห้วนว่า “ไม่มีอาการทางจิตอะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากไป”


 


 


เซียวจิ่งสือค่อยพบว่าสิ่งที่อวิ๋นซีพูดนั้นถูกต้อง หลินหว่านมีอารมณ์เปลี่ยนไปมากจริงๆ เพราะแสดงหนังเรื่องนี้ หลังแสดงเสร็จแล้วมักติดอยู่กับบทบาทของตัวละครในเรื่องออกมาไม่ได้


 


 


“หลินหว่าน ผมไม่ได้บอกว่าคุณป่วยมีอาการทางจิต แต่ผมเห็นว่าคุณดูไม่ค่อยดีนัก อย่างนี้จะกระทบกับงานของคุณได้นะ ผมว่าพวกเราน่าจะไปเสริมความรู้ด้านสุขภาพจิต คุณไม่รู้ตัวหรือว่าระยะนี้คุณมีอารมณ์แปรปรวนรุนแรงเอามากๆ นะ” เซียวจิ่งสือพูดเสียงนุ่มนวลอย่างปลอบประโลม


 


 


หลินหว่านรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝัน การได้รับฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือทำให้เธอพบว่าหลายวันมานี้ตัวเธอเองมีบางคราวที่จู่ๆ ก็จมดิ่งเข้าสู่บทบาทของตัวละครแล้วหาทางออกมาไม่ได้ อารมณ์ก็ไม่ดีเอามากๆ อันที่จริงหลังจากเพิ่งแสดงบทบาทที่ต้องใช้อารมณ์รุนแรงเสร็จ ก็ยิ่งมีอาการเช่นนี้


 


 


“ตกลงค่ะ ฉันจะไปพบที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาดูก็ได้ แต่หนังเรื่องนี้ใกล้จบแล้ว ฉันเกรงว่าจะสูญเสียภาวะที่เข้าถึงบทบาทไป ดังนั้นรอให้หนังเรื่องนี้ถ่ายทำเสร็จแล้วฉันจะไปพบจิตแพทย์ค่ะ” หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือแล้วพูดขึ้น


 


 


ถึงแม้เซียวจิ่งสือจะเป็นห่วงหลินหว่านมากกว่า แต่เขาก็รู้จักนิสัยของหลินหว่านเป็นอย่างดีว่า ถ้าตัดสินใจอะไรลงไปแล้วเปลี่ยนได้ยากมาก ดังนั้นเขาจึงรับปากเธอ


 


 


วันต่อมาหลินหว่านรีบกลับเข้ากองถ่ายไปเข้าฉาก เธอมักจะเข้าถึงบทบาทได้เป็นอย่างดีเสมอ จากนั้นแสดงทุกฉากได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้กำกับก็ชื่นชมเธออย่างมาก บอกว่าเธอเก่งขึ้นอย่างน่าตกใจ เมื่อมีนักแสดงที่เก่งและมีความรับผิดชอบอย่างหลินหว่าน การถ่ายทำของหนังเรื่องนี้จึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ระหว่างการถ่ายหนังหลินหว่านก็หยิบหนังของแม่เธอออกมาดูอยู่เสมอเพื่อค้นหาการเข้าถึงบทบาทของตัวละคร ทุกครั้งที่ดูเธอมักจะรับรู้ความรู้สึกได้อย่างลึกล้ำเสมอ


 


 


หลินหว่านรู้สึกประหลาดใจอย่างมากต่อเรื่องทั้งหมดที่แม่ของเธอต้องเจอมาก่อนหน้านี้ เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเธอไม่อยากเข้าไปสัมผัสรับรู้เลย แต่ตอนนี้ความอยากรู้คอยกระตุ้นเรียกร้องเธออยู่ตลอดเวลา


 


 


นั่นเป็นตอนที่เธอถ่ายฉากหนึ่งเสร็จ หลินหว่านกลับถึงห้องพัก ช่วงเวลาที่เธอคิดวนเวียนถึงแต่เรื่องราวในหนังไม่หยุด แม้ว่ากำลังจะพักผ่อน เธอก็ยังเปิดหนังของแม่ขึ้นมาดูเสมอ


 


 


ในที่สุดหลินหว่านก็ทนอดกลั้นต่อไปไม่ได้ เธอค้นดูข่าวเกี่ยวกับแม่ของเธอก่อนหน้านั้น เธอพบว่าทางด้านการแสดงแล้วแม่เคยได้รับคำชมเชยจากผู้คนมากมาย และแม่ยังมีพรสวรรค์มากอีกด้วย แม่ยังเป็นที่รักหลงใหลของผู้คนทั้งวงการ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังทำให้หลินหว่านไม่กล้าคิดจินตนาการ


 


 


หลินหว่านรู้ว่าตอนที่แม่ออกจากวงการบันเทิงนั้นจบไม่ดีนัก เธออยากอ่านข่าวร้ายที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่เกรงว่าจิตใจจะทนรับแรงกดดันไม่ไหว ทั้งที่เธออยากจะรู้เรื่องของแม่ แต่กลับไม่กล้าจะพลิกดูข่าวถัดลงไป


 


 


“อวิ๋นซี เธอช่วยมาที่นี่หน่อยได้ไหม คืนนี้ฉันอยากให้เธอช่วยอยู่เป็นเพื่อนกับฉันน่ะ” หลินหว่านโทรหาอวิ๋นซี


 


 


ไม่นานนักอวิ๋นซีก็รีบมาที่ห้องพักของหลินหว่าน เธอรู้ว่าระยะนี้หลินหว่านอารมณ์ไม่ดีนัก ดังนั้นช่วงนี้ไม่ว่าหลินหว่านต้องการอะไร อวิ๋นซีมักจะยอมให้เธอเสมอ


 


 


“ทำไมล่ะ หลินหว่าน นอนไม่หลับเหรอ ไม่เป็นไรนะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” อวิ๋นซีเดินเข้ามาในห้องหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านส่ายหน้าไม่ตอบ อวิ๋นซีพบว่าตรงหน้าเธอกำลังฉายหนังของแม่หลินหว่าน เธอพอจะคาดเดาได้จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก นั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้างกายหลินหว่านเงียบๆ เธอกลัวว่าถ้าพูดผิดสักประโยคจะไปกระทบเข้ากับแผลใจของหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านเห็นว่าอวิ๋นซีมาแล้วก็ผ่อนคลายลงไปมาก และรู้สึกถึงสายใยแห่งความปลอดภัย เธอจึงตัดสินว่าจะดูข่าวแง่ลบของแม่ ซึ่งข่าวพวกนี้ที่ผ่านมาเธอไม่ยอมเผชิญกับมันมาก่อน


 


 


หลินหว่านอ่านดูข่าวตอนที่แม่ใกล้จะออกจากวงการ คำวิจารณ์กลายเป็นคำด่าทอแสนร้ายกาจ คืนนั้นเมื่อนึกถึงตัวเองที่เคยถูกทำร้ายจากข่าวลือ เทียบกับการประณามหยามเหยียดที่แม่ได้รับแล้ว เรื่องของเธอก็ถือว่าเบามากเลย หลินหว่านนึกเห็นภาพได้เลยว่าตอนนั้นแม่จะเสียใจมากขนาดไหน


 


 


ทรวงอกหลินหว่านอัดแน่น เธอไม่อยากดูเรื่องของแม่อีก ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเสียใจ แต่เธอยังจับพลิกข่าวของแม่อยู่ไปมา เธออดไม่ได้ที่จะไม่ดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น อดไม่ได้ที่จะไม่ดูความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แม่ต้องทนแบกรับเอาไว้


 


 


“หลินหว่าน อย่าดูเลยนะ รีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้เธอยังต้องไปถ่ายหนังอีกนะ อย่าลำบากเกินไปนักเลย” อวิ๋นซีรู้สึกว่าอารมณ์ของหลินหว่านผิดเพี้ยนขึ้นเรื่อยๆ จึงแอบปรายตามองมือถือของเธอ แล้วก็พบว่าหลินหว่านกำลังอ่านข่าวที่เคยเป็นข่าวฉาวของแม่เธอ


 


 


นั่นทำให้อวิ๋นซีรู้สึกตื่นกลัวในที่สุด ด้วยความเข้าใจของเธอที่มีต่อหลินหว่าน หลินหว่านจะไม่ไปเปิดปากแผลเรื่องแม่ของเธอแน่ มันทำให้จิตใจของเธอทนรับไม่ไหว แต่ตอนนี้หลินหว่านเปิดข่าวของแม่ออกมาดูแล้ว อวิ๋นซีคิดว่าตอนนี้หลินหว่านคงต้องเสียใจมากแน่


 


 


“อวิ๋นซี ช่วยฉันหาหน่อยสิ รูปถ่ายแม่ของฉันตอนออกจากวงการ ฉันอยากทำความเข้าใจสักหน่อย และอยากจะเห็นเธอด้วย สภาพในตอนนั้นน่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเบา นัยน์ตารื้นไปด้วยน้ำตา


 


 


อวิ๋นซีรู้สึกปั่นป่วนไปหมด เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะช่วยหลินหว่านค้นหารูปถ่ายดีไหม ถ้าหลินหว่านได้เห็นแล้วใจสลาย ก็จะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก


 


 


“อย่าดูเลย เอาไว้ทีหลังนะ เธอพักผ่อนก่อนเถอะ” อวิ๋นซีพูดอย่างระมัดระวังเต็มที่ คอยสังเกตสีหน้าของหลินหว่านตลอด


 


 


“อย่าพูดเหลวไหลน่า รีบหามาให้ฉัน ฉันจะดูตอนนี้แหละ” เสียงของหลินหว่านถึงจะเบามาก แต่น้ำเสียงเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง


 


 


อวิ๋นซีมองดูท่าทีของหลินหว่านแล้วรู้ว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธ อวิ๋นซีค้นหาภาพถ่ายของแม่หลินหว่านในตอนที่เธอถอนตัวจากวงการได้ภาพหนึ่ง


 


 


“เอ้านี่ เธออย่าคิดมากเกินไปล่ะ” อวิ๋นซีวางภาพลงตรงหน้าหลินหว่าน พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง


 


 


หลินหว่านรับเอาไป มองดูแววตาสิ้นหวังของแม่ นึกถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายที่แม่เคยต้องเจอมา ต้องรองรับกับแรงกดดันที่มากมายขนาดนั้น แม่คงต้องเผชิญกับช่วงเวลาของความสิ้นหวังมาก่อนเป็นแน่


 


 


ในหัวสมองของหลินหว่านหวนคิดกลับไปกลับมาเรื่องของแม่ทั้งหมด สายตาจ้องจับอยู่ที่รูปถ่ายใบนั้น จิตใจเจ็บปวดรวดร้าวแทบขาดใจ จนหลินหว่านสุดจะทน ปล่อยเสียงโฮออกมาดังลั่น น้ำตาไหลพรากหยดหยาดลงบนพื้น


 


 


อวิ๋นซีเห็นหลินหว่านร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาแบบนี้ ก็มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก อวิ๋นซีเดาว่าหลินหว่านเสียใจเพราะแม่ แต่คิดไม่ถึงว่าหลินหว่านจะน้ำตาแตกขนาดนี้ อวิ๋นซีคิดว่าตอนนี้วิธีที่จะปลอบใจหลินหว่านได้ดีที่สุดก็คือการนั่งนิ่งๆ เป็นเพื่อนอยู่ข้างเธออย่างเงียบสงบ

 

 

 


ตอนที่ 106

 

ฉากสุดท้าย

 


 


 


 


พอได้ร้องไห้ออกมา หลินหว่านก็กลับไปเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้น ไปถ่ายหนังทุกวันตามปกติ 


 


 


ในกองถ่าย หลินหว่านในสายตาทุกคนยังเป็นเด็กสาวร่าเริงแจ่มใสสุภาพ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพียงแต่ระยะนี้เธอดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบพูดคุยกับผู้คนนัก 


 


 


บางทีเพราะหนังเรื่องนี้ใกล้จะปิดกล้องแล้วล่ะมั้ง หลินหว่านคงรู้สึกเครียดอยู่บ้าง คนในกองถ่ายต่างก็คิดเช่นนี้จึงไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกนัก 


 


 


แต่มีเพียงหลินหว่านเท่านั้นที่รู้ตัว ทุกวันหลังจากเธอแสดงเสร็จกลับถึงห้องพักแล้ว เป็นต้องดูภาพถ่ายของแม่เธอแล้วน้ำตาไหลพรากอยู่เงียบๆ  


 


 


เป็นไปได้ยังไงกัน 


 


 


เป็นไปได้ยังไง… 


 


 


แม่ของเธอเป็นผู้หญิงปล่อยตัวมั่วผู้ชายแบบนั้นได้ยังไงกันนะ 


 


 


ในรูปถ่าย แม่ของเธองามโดดเด่นเฉิดฉาย สูงสง่าเลอค่า งามจับตาทุกรอยยิ้มพิมพ์ใจ 


 


 


อย่างนี้แล้ว จะเป็นไปได้ยังไงที่แม่จะทำตัวเหลวแหลกมั่วเละเทะเหมือนอย่างในข่าวบอกได้อย่างไรกันนะ 


 


 


พอนึกถึงข่าวพวกนั้น หลินหว่านก็รวบเก็บรูปถ่ายแล้วเขวี้ยงทุกอย่างลงกับพื้นราวกับเป็นบ้า 


 


 


ไม่! แม่ของเธอต้องไม่ใช่คนแบบนั้น!  


 


 


เธอไม่ยอมเชื่อข่าวพวกนั้นหรอก เธอเชื่อแม่ของเธอ 


 


 


เธอเชื่อว่าแม่ไม่ใช่ผู้หญิงปล่อยตัวมั่วผู้ชาย!  


 


 


รูปถ่ายร่วงกระจายอยู่บนพื้น หลินหว่านค่อยเก็บภาพถ่ายขึ้นทีละใบอย่างช้าๆ  


 


 


เมื่อหลินหว่านเก็บถึงภาพที่แม่เธอมีสายตาสิ้นหวังนั้น น้ำตาของเธอก็ร่วงเผาะออกมาอย่างลืมตัว 


 


 


หลินหว่านเก็บภาพถ่ายขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา มองดูสายตาที่สิ้นหวังของแม่แล้วน้ำตาไหลพราก 


 


 


ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ของแม่เธอ จะทำเรื่องแบบในข่าวนั่นได้อย่างไรกันนะ 


 


 


แม่ต้องไม่ผิด!  


 


 


หลินหว่านมองดูภาพถ่ายใบนี้โดยไม่พูดสักคำ แต่กลับให้คำมั่นกับตัวเองในใจ เธอต้องสืบเรื่องนี้จนความจริงปรากฏให้ได้ เพื่อล้างมลทินให้แม่!  


 


 


เวลาผ่านไปอีกหลายวัน ซวี่กวงดูเหมือนจะพบว่าหลินหว่านผิดปกติ 


 


 


วันหนึ่ง หลังจากหลินหว่านแสดงเสร็จ ซวี่กวงเรียกเธอมาที่ด้านข้าง เขามองหลินหว่านแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่บอกความรู้สึก “หลินหว่าน เมื่อครู่คุณแสดงได้ดีมาก” 


 


 


“ขอบคุณค่ะผู้กำกับซวี่” หลินหว่านพูดอย่างใจลอย สายตาจ้องจับอยู่ที่พื้น 


 


 


“แต่ผมรู้สึกว่าพักนี้คุณดูเคร่งเครียดอยู่บ้างนะ หลินหว่าน คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ซวี่กวงถามตามติดมาทันที 


 


 


“ผู้กำกับซวี่คะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง” หลินหว่านฝืนใจยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง มองดูซวี่กวงแล้วพูดออกมาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม 


 


 


“งั้นเหรอ หลินหว่าน ถ้าคุณมีเรื่องอะไร อย่าเก็บไว้ในใจ พูดระบายกับผมได้ บางเรื่องพูดออกมาดีกว่าเก็บไว้ในใจคนเดียวมาก” ซวี่กวงมองดูแล้วขมวดคิ้วพูดกับหลินหว่าน ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าหลินหว่านมีความในใจอะไรแน่ 


 


 


หลินหว่านได้ฟังแล้วก็ส่ายศีรษะ ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้กำกับซวี่คะ คุณคิดมากไปแล้ว ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าใกล้จะปิดกล้องแล้ว เลยออกจะเครียดไปบ้างก็เท่านั้นเอง” 


 


 


ซวี่กวงฟังแล้วมองหลินหว่านด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดูเหมือนจะเชื่อคำแก้ตัวของหลินหว่าน เขาพูดว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รู้สึกเครียดเป็นเรื่องธรรมดา เธอก็จัดระเบียบอารมณ์ของตัวเองเสียหน่อย อย่าให้ส่งผลกับการแสดงและชีวิตของตัวเอง” 


 


 


พูดจบ ซวี่กวงก็เข้ามาตบไหล่หลินหว่านแล้วพูดว่า “หลินหว่าน พรุ่งนี้ถ่ายฉากสุดท้ายแล้ว แสดงให้ดี ล่ะ” 


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ “ได้ค่ะ ผู้กำกับซวี่ ฉันจะเตรียมพร้อมสำหรับฉากวันพรุ่งนี้อย่างดีเลยค่ะ” 


 


 


ต่อเมื่อซวี่กวงเดินจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหว่านก็เลือนหายไปทันที 


 


 


เรื่องแบบนี้ของแม่เธอ จะพูดกับคนนอกได้อย่างไรกัน 


 


 


แต่ว่า พรุ่งนี้ก็ถ่ายฉากสุดท้ายแล้วงั้นเหรอ เร็วจังนะ 


 


 


คืนนั้น เมื่อกลับถึงห้องพักในโรงแรม หลินหว่านหยิบรูปของแม่ออกมาพลิกดูไปทีละรูปๆ อย่างเคย 


 


 


เพียงแต่ครั้งนี้เธอเฉยชาไร้อารมณ์ ท่าทางแข็งทื่อใจลอย ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่น้ำตาไหลไม่หยุด 


 


 


เมื่อเห็นรูปแม่ ใบที่มีสายตาสิ้นหวัง ความโกรธของหลินหว่านลุกฮือโหมขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนที่แม่ของเธอถูกสื่อประณามหยามเหยียดอย่างนั้น ในใจแม่จะเป็นทุกข์และโดดเดี่ยวเคว้งคว้างแค่ไหนนะ 


 


 


ไม่อย่างนั้นแม่จะทิ้งเธอ ทิ้งทุกอย่างไปฆ่าตัวตายได้อย่างไรกัน 


 


 


ความจริงในตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ หลินหว่านไม่รู้เลย แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องค้นหาความจริงออกมา ล้างมลทินให้กับแม่ให้ได้!  


 


 


เธอเก็บความคิดทั้งหมดนี้ไว้ในใจ วันต่อมาหลินหว่านไปกองถ่ายด้วยสภาพจิตใจและอารมณ์เช่นนี้ เพื่อแสดงฉากสุดท้าย 


 


 


ฉากสุดท้ายของหนัง บทนางเอกที่หลินหว่านแสดง ถูกพิษร้ายระหว่างการต่อสู้กับชนเผ่ามารจนเสียโฉม เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้คนที่เธอรักเห็นเธอในสภาพใบหน้าที่เสียโฉมยับเยิน สุดท้าย เธอฆ่าตัวตาย 


 


 


หลินหว่านเข้าถึงบทบาทได้อย่างยอดเยี่ยม พอซวี่กวงตะโกนคำว่า “แอคชั่น” ออกมา เธอก็สวมบทนางเอกที่กำลังคิดถึงพระเอก แต่เพราะตัวเองเสียโฉมจึงไม่กล้าไปพบหน้าเขาได้อย่างสมบทบาท 


 


 


ทีมงานในที่นั้นเห็นแล้ว ต่างก็ถูกการแสดงของหลินหว่านชักนำให้เกิดสีหน้าอารมณ์คล้อยตามกันไป 


 


 


สุดท้าย ตอนแสดงบทนางเอกกระโดดลงจากหน้าผา หลินหว่านกระโดดพุ่งตัวลงไป คนทั้งกองถ่ายต่างพากันกลั้นลมหายใจอย่างอดไม่อยู่ เงียบกริบกันไปหมดทั้งกอง 


 


 


อย่างไรก็ตาม ยังมีคนส่วนหนึ่งในที่นั้นซึ่งดูเหมือนจะถูกหลินหว่านชักนำอารมณ์จากส่วนลึกข้างในใจออกมา จนถึงกับหลั่งน้ำตาไปตามๆ กัน 


 


 


จวบกระทั่งซวี่กวงส่งเสียง “คัท” ทุกคนจึงค่อยๆ คลายจากอารมณ์นั้นออกมา 


 


 


“ผ่าน! เหนื่อยหน่อยนะหลินหว่าน ฉากนี้คุณแสดงได้ดีมาก” ซวี่กวงมองหลินหว่านอย่างชื่นชม 


 


 


ในสายตาซวี่กวง ฉากสุดท้ายนี้สำหรับหลินหว่านแล้วถือว่าท้าทายอย่างมากทีเดียว สำหรับเขาแล้ว แม้เขาจะรู้ว่าระยะนี้หลินหว่านเข้าถึงบทบาทได้ดีมาก แต่ยังคิดไม่ถึงว่าในฉากนี้หลินหว่านจะทำได้ดีเกินคาด ถ่ายรวดเดียวผ่าน ซึ่งเหนือความคาดหมายของเขาเลยทีเดียว 


 


 


ทีมงานเข้ามาแก้สายสลิงโหนตัวให้หลินหว่าน ตอนนี้เองหลินหว่านจึงคล้ายกับเพิ่งได้สติกลับคืนมา เธอยกมุมปากยิ้มบางๆ แล้วพูดกับซวี่กวงว่า “ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับซวี่” 


 


 


เผยอี้ที่รับบทเป็นพระเอกก็เข้ามาพูดกับหลินหว่าน “หลินหว่าน เมื่อกี้คุณแสดงได้สุดยอดมากเลยนะ ผมเชื่อว่าตอนหนังเรื่องนี้เข้าฉาย ผู้ชมต้องยอมสยบต่อฝีมือการแสดงของคุณเมื่อครู่นี้แน่” 


 


 


เผยอี้อยู่ที่นี่ก็เพราะฉากต่อไปเป็นบทของเขาแสดง พอเขาแสดงฉากนี้เสร็จ หนังเรื่องนี้ก็แทบจะปิดกล้องได้แล้ว 


 


 


ในตอนนั้น แม้แต่ผู้ช่วยตัวน้อยของหลินหว่านก็ยังพูดกับหลินหว่านด้วยขอบตาแดงก่ำ “ฮือๆ หว่านหว่าน พี่ไม่รู้หรือไงว่าเมื่อกี้พี่แสดงได้สุดยอดมากขนาดไหน ฉันดูอยู่ข้างๆ นะ ยังเศร้าจนร้องไห้เลยค่ะ” 


 


 


ส่วนหลินหว่านแค่ยิ้มรับบางๆ กับคำประเมินนี้ จากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนไม่ทันสนใจแอบหลบเข้าห้องพักที่โรงแรม 


 


 


ในห้องพัก หลินหว่านดูรูปถ่ายของแม่ น้ำตาไหลไปพลางหัวเราะไปพลางพูดกับตัวเองว่า “แม่คะ แม่รู้ไหมคะ วันนี้หนูได้รับรู้ถึงความรู้สึกตอนที่แม่ฆ่าตัวตายแล้วค่ะ…ตอนนั้นแม่คงเป็นห่วงจนตัดใจไม่ขาดแน่เลย…” 


 


 


“หนูรู้ค่ะ แม่ต้องไม่ผิดแน่…ตอนนั้นแม่สิ้นหวังขนาดไหนนะ ถึงได้เลือกหนทางนี้ที่จะไปจากโลกใบนี้…” 


 


 


“แม่คะ แม่วางใจได้ หนูจะต้องสืบให้รู้ความจริงตอนนั้นให้ได้ จะได้แก้แค้นให้แม่ได้อย่างไรละคะ”

 

 

 


ตอนที่ 107

 

ถลำลึกเกิน

 


 


 


บ่ายนั้นหลินหว่านถ่ายฉากสุดท้ายเสร็จ หนังเรื่องนี้ก็ปิดกล้องในที่สุด


 


 


เพื่อเป็นการฉลองปิดกล้อง ทีมงานกองถ่ายจองร้านอาหารเอาไว้ เพื่อร่วมทานข้าวด้วยกันสักมื้อ จะได้ผ่อนคลายกันสักหน่อย


 


 


“หลินหว่าน วันนี้กองถ่ายปิดกล้อง ทุกคนเตรียมตัวจะไปฉลองกัน คืนนี้คุณต้องมาด้วยนะคะ”


 


 


หลินหว่านรับโทรศัพท์อีกสายที่แจ้งให้เธอมาร่วมงานเลี้ยงปิดกล้องคืนนี้


 


 


“ค่ะ พวกคุณวางใจได้ ฉันไปแน่นอนค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเรียบ


 


 


คืนนี้ ท่ามกลางการรอคอยจากทุกคนในกองถ่าย หลินหว่านมาสายแต่ก็มาถึงในที่สุด


 


 


เดิมทีหลินหว่านไม่คิดจะมาด้วยซ้ำ วันนี้เธอไม่ค่อยปกตินัก แต่เธอเป็นนางเอกของหนังเรื่องนี้จึงไม่มาไม่ได้


 


 


“หลินหว่าน คุณมาจนได้นะ” เผยอี้ตาเป็นประกายเมื่อเห็นหลินหว่านมาปรากฏตัวในที่สุด เขาพูดพลางชี้มือยังที่นั่งข้างตัวเอง “มา! หลินหว่าน เธอนั่งตรงนี้นะ”


 


 


หลินหว่านกวาดตามองรอบหนึ่ง รอบข้างเหลือเพียงที่นั่งตรงนั้นที่เดียว น่าจะตั้งใจเหลือที่ไว้ให้เธอโดยเฉพาะ


 


 


“ขอบคุณค่ะ” หลินหว่านเดินเข้าไปนั่งลง จากนั้นกวาดตามองทีมงานในกองถ่าย พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอโทษค่ะ ที่ฉันมาช้า”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก หลินหว่าน” ซวี่กวงได้ฟังก็พูดกับหลินหว่านแล้วยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาถือแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเอง ชูขึ้นกล่าวกับทุกคนว่า “ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว ขอให้พวกเราทุกคนดื่มร่วมกัน ขอให้หนังของเรายอดขายท่วมท้น!”


 


 


ทุกคนฟังแล้วก็พากันชูแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นชนกัน รวมทั้งหลินหว่านด้วย


 


 


จากนั้นผู้คนต่างพากันดื่มกินตามสบาย พูดคุยสรวลเสเฮฮากันอย่างครึกครื้น


 


 


หลังจากดื่มกันไปหลายรอบ หลินหว่านมึนเมาอยู่บ้าง ใจก็นึกถึงเรื่องของแม่เธอขึ้นมาอีก


 


 


หลินหว่านแอบลุกจากที่นั่ง หลบมุมที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ เดิมทีคิดจะรอให้สร่างเมาสักหน่อย แต่กลับเห็นว่าร้านอาหารแห่งนี้กำลังจัดกิจกรรมพอดี


 


 


“สวัสดีค่ะ ทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ กิจกรรมฟรีไทม์ของทางร้านเราได้เริ่มขึ้นแล้ว ขอเชิญสุภาพบุรุษสุภาพสตรีผู้มีความสามารถทุกท่านขึ้นแสดงบนเวที ขอเพียงการแสดงบนเวทีของคุณทำให้ผู้ชมที่ด้านล่างเวทีชื่นชอบยอมรับ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษดื่มกินฟรีของร้านเรา มีท่านใดอยากจะลองขึ้นเวทีไหมคะ” พิธีกรสาวที่ถือไมค์บนเวทีพูดขึ้น


 


 


ด้านล่างเวทีมีคนสนใจอยู่ไม่น้อย แต่คนที่ตอบรับมีเพียงไม่กี่คน บรรยากาศจึงค่อนข้างอึดอัดขัดเขินอยู่บ้าง พิธีกรสาวถามขึ้นอีกว่า “ทุกท่านคะ มีใครอยากขึ้นแสดงบนเวทีบ้างไหมคะ”


 


 


หลินหว่านเห็นแล้ว ไม่รู้ทำไมเกิดอาการเบลอขึ้นมา เธอยกมือขึ้น ส่งเสียงดังลั่นตอบพิธีกรไปว่า “ฉัน! ฉันเองค่ะ!”


 


 


พูดพลางหลินหว่านก็ก้าวยาวๆ ขึ้นเวทีไป มาถึงข้างพิธีกรสาว


 


 


พิธีกรสาวจำหลินหว่านได้ เธอถามหลินหว่านอย่างตื่นเต้น “คุณหลินคะ ยินดีต้อนรับค่ะ อยากทราบว่าคุณจะแสดงอะไรดีคะ”


 


 


ทันใดนั้นในหัวของหลินหว่านก็ปรากฏภาพตอนหนึ่งของหนังที่แม่เธอเคยแสดงเรื่องหนึ่ง เธอบอกกับพิธีกรหญิงด้วยอาการมึนเมาว่า “ฉ…ฉันอยากจะร้องเพลงจากหนังเรื่องหนึ่งค่ะ”


 


 


พิธีกรหญิงถึงแม้จะอยากรู้มาก แต่ยังส่งไมโครโฟนให้กับหลินหว่าน พร้อมกับสละเวทีให้กับเธอ


 


 


“เอ๋ หลินหว่านล่ะ” ตอนนั้นเอง คนในกองถ่ายพบว่าหลินหว่านหายตัวไป


 


 


“เธออยู่บนเวที กำลังเตรียมจะแสดงแน่ะ” เผยอี้เบนสายตาจากเวที หันมาพูดกับทีมงานคนนั้น


 


 


“เอ๋ งั้นเหรอ พี่หลินหว่านนี่มีความสามารถรอบด้านจริงๆ เลยนะ” คนคนนั้นมองตามสายตาเผยอี้ไปที่เวที เอ่ยปากขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นหลินหว่านบนเวที


 


 


เสียงพูดคุยของเผยอี้กับทีมงานคนนี้ ทำให้มีคนในกองถ่ายพากันสังเกตเห็นหลินหว่านที่อยู่บนเวที พวกเขาล้วนเข้าใจว่าหลินหว่านเกิดนึกสนุกอยากแสดงขึ้นมา จึงเริ่มหันมาสนใจหลินหว่านบนเวที


 


 


พิธีกรสาวพอลงจากเวที หลินหว่านหวนนึกถึงภาพที่แม่เธอเคยแสดงในหนังแล้ว เปล่งเสียงร้องออกมาเป็นเพลงเนิบช้า “วสันตฤดูกรายมา หน้าต่างเขียวอุดมชมอิ่มตา…”


 


 


เสียงของหลินหว่านตอนเมานุ่มละมุนราวอาบด้วยเหล้ารสดี เสียงนุ่มเนียนทั้งเย้ายวนใจ พอเธอส่งเสียงร้องออกมาก็ทำให้ผู้คนด้านล่างเวทีเคลิ้มกันไปหมด


 


 


“พี่หลินหว่านร้องเพลงอะไรน่ะ” ทีมงานคนหนึ่งในกองถ่ายซึ่งหลงเสน่ห์เสียงของหลินหว่านถามขึ้นอย่างสงสัย


 


 


“เป็น…เพลงจากหนังเก่าเรื่องหนึ่ง” เผยอี้ฟังแล้วตอบกลับเสียงเรียบ


 


 


ส่วนซวี่กวงที่ด้านข้าง ตั้งแต่หลินหว่านขึ้นเวที สายตาของเขาก็ไม่เคยละห่างไปจากหลินหว่านเลย ตอนนั้นเองซวี่กวงนึกขึ้นได้ว่าเป็นหนังของแม่เธอที่เขาให้หลินหว่านไปเมื่อไม่นานมานี้เอง เขาแอบถอนใจออกมาเบาๆ


 


 


ผู้คนพากันชื่นชมการแสดงบนเวทีของหลินหว่าน แต่ว่าผ่านไปได้ชั่วครู่หนึ่งพวกเขาก็พบว่าหลินหว่านดูเหมือนจะไม่ปกตินัก


 


 


หลินหว่านร้องไปพลางหวนนึกถึงฉากนั้นที่แม่เธอแสดงในหนัง แต่แล้วเมื่อนึกถึงแม่ขึ้นมา หลินหว่านก็เหมือนใจสลายอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ สุดท้าย เธออยู่บนเวทีร้องเพลงไปพลาง ร้องไห้ไปพลาง


 


 


“เร็ว! รีบไปเอาตัวหลินหว่านลงมา!” ซวี่กวงเมื่อพบว่าหลินหว่านผิดปกติ ก็รีบบอกคนอื่นๆ ในกองถ่าย


 


 


เผยอี้กับคนอื่นๆ รีบพุ่งขึ้นเวทีไปดึงตัวหลินหว่านลงมา


 


 


“หลินหว่าน คุณไม่เป็นไรน่ะ คุณหยุดร้องไห้ได้แล้ว…” หลังจากดังหลินหว่านลงจากเวที ซวี่กวงกับเผยอี้ผลัดกันเข้าไปปลอบโยนหลินหว่าน


 


 


แต่หลินหว่านกับจมดิ่งอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง เธอน้ำตาไหลพรากตลอดเวลาเพราะนึกถึงแม่


 


 


ขณะที่ผู้คนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีนั้นเอง เซียวจิ่งสือก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน


 


 


ที่แท้ผู้ชมที่ด้านล่างเวทีบันทึกภาพที่หลินหว่านร้องเพลงไปพลางร้องไห้ไปพลางอยู่บนเวที แล้วส่งคลิปขึ้นอินเทอร์เน็ต เพราะคลิปนี้หลินหว่านกลายเป็นคำค้นหายอดนิมยมในชั่วพริบตา


 


 


เซียวจิ่งสือพอเห็นคลิปนี้เข้าก็เป็นห่วงหลินหว่านมาก เขาโทรหาผู้ช่วยหลินหว่านพอทราบว่าเธออยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้ก็รีบบึ่งมาทันที


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นอาการของหลินหว่านแล้ว พริบตานั้นความสงสารวูบขึ้นอัดแน่นจนเต็มหัวใจ เขาก้าวเข้าไปหาเธอพร้อมกับเรียกเบาๆ ว่า “หว่านหว่าน หว่านหว่าน”


 


 


หลินหว่านยังไม่ตอบสนองอะไรเลย เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้นก็อุ้มหลินหว่านขึ้น บอกกับทุกคนว่า “ผมพาหลินหว่านไปก่อนนะครับ”


 


 


คนในกองถ่ายส่วนใหญ่ล้วนทราบว่าหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่แสดงท่าทีคัดค้านอะไรเมื่อเซียวจิ่งสือพาหลินหว่านจากไป


 


 


ตอนที่เซียวจิ่งสืออุ้มหลินหว่านมาถึงรถของเขา หลินหว่านก็หยุดร้องไห้แล้ว เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าพุ่งขึ้นมา ตอนนี้เธอจึงนั่งพิงพนักเก้าอี้หลับปุ๋ยไปแล้ว


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นสภาพของเธอแบบนี้ ก็ได้แต่ถอนใจอย่างหมดหนทาง จากนั้นขับรถมุ่งหน้ากลับบ้านตัวเอง


 


 


แต่ที่เซียวจิ่งสือยังไม่รู้ก็คือ เนื่องจากคลิปในคืนนี้ของหลินหว่าน บนเน็ตเกิดเสียงเล่าลือสะพัดว่า


 


 


[หลินหว่านนี่เป็นอะไรน่ะ เธอดูไม่ค่อยปกตินะ เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว…]


 


 


[หลินหว่านดูแล้วไม่ปกติจริงๆ ด้วย ฉันได้ยินมาว่านักแสดงบางคน บางครั้งตอนแสดงถลำลึกเข้าถึงบทบาทมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาทางจิตขึ้นได้ หลินหว่านคงไม่ได้เป็นเพราะเข้าถึงบทบาทมากเกินไปล่ะมั้ง…]

 

 

 


ตอนที่ 108

 

แก้ข่าว

 


 


 


ชั่วเวลาเพียงคืนเดียว คลิปที่หลินหว่านร้องเพลงบนเวทีถูกเผยแพร่ขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ข่าวลือก็แพร่สะพัดจนควบคุมไม่ได้


 


 


บางคนบอกว่าหลินหว่านดูเหมือนจะมีเรื่องสะเทือนใจจนทำให้อารมณ์แปรปรวนผิดปกติ บ้างก็บอกว่าหลินหว่านอาจถลำเข้าถึงบทในหนังลึกเกินไปจนสภาพจิตได้รับการกระทบกระเทือน


 


 


สรุปแล้ว บนอินเทอร์เน็ตมีการคาดเดาสารพัดทุกรูปแบบ แต่แฟนคลับของหลินหว่านกับขาจรส่วนใหญ่ดูจะยอมเชื่อเรื่องที่หลินหว่านถลำลึกกับบทหนังมากเกินไป ทำให้เกิดอาการผิดปกติในครั้งนี้


 


 


เหตุการณ์ครั้งนี้ของหลินหว่าน สุดท้ายกลายเป็นว่า ซวี่กวงตกเป็น ‘ผู้ร้าย’ โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไป


 


 


เนื่องจากนิสัยการถ่ายหนังแบบชอบขี้จับผิดจนขื้นชื่อลือชาของซวี่กวงนี้ เมื่อก่อนมีนักแสดงคนหนึ่งที่เคยทำงานร่วมกับเขาได้เคยพูดเอาไว้ว่า ตอนเขาถ่ายหนังกับซวี่กวงถูกเคี่ยวเข็ญจนเกือบเป็นบ้าไป


 


 


ถึงแม้นักแสดงคนนั้นต่อมาได้อธิบายว่าที่เขาพูดแบบนั้นอันที่จริงเป็นการพูดเกินจริงไปเอง แต่แฟนคลับของหลินหว่านพอเห็นสภาพของเธอ ก็นึกขึ้นได้ว่าระหว่างนี้เธอถ่ายหนังอยู่กับซวี่กวง แล้วก็นึกไปถึงนิสัยขี้โมโหของเขากับยี่ห้อนิสัยชอบขี้จับผิดนั่น จึงกลายเป็นว่าสาเหตุของปัญหาทุกประการบ่งชี้ไปที่ซวี่กวง


 


 


ช่องคอมเมนต์ด้านล่างเวยปั๋วของซวี่กวงจึงมีแฟนคลับของหลินหว่านเข้ามาคาดคั้นและตำหนิต่อว่าเขา อีกทั้งบีบให้เขาไปขอโทษหลินหว่านเต็มไปหมด แต่ซวี่กวงไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด


 


 


วันรุ่งขึ้น พอหลินหว่านตื่นขึ้นก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเอง แล้วก็ไม่ได้อยู่ในห้องพักที่โรงแรม ขณะที่เธอกำลังนึกสงสัยอยู่นั้น ก็หันไปเห็นเซียวจิ่งสือที่เฝ้าเธออยู่ข้างเตียง


 


 


“หว่านหว่าน คุณตื่นแล้วเหรอ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” พอเห็นหลินหว่านได้สติ เซียวจิ่งสือก็รีบถามขึ้นอย่างเป็นห่วง


 


 


“เซียวจิ่งสือ ที่นี่ที่ไหนคะ” หลินหว่านถาม เธอกำลังคิดจะลุกขึ้น แต่ปวดศีรษะหนึบขึ้นมาจากอาการเมาค้างเมื่อคืน


 


 


“ที่นี่เป็นบ้านผมเอง” เซียวจิ่งสือตอบ แล้วเห็นว่าหลินหว่านมีสีหน้าไม่ค่อยดี จึงถามอย่างเป็นกังวล “หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรไป รู้สึกไม่สบายที่ไหนหรือเปล่า”


 


 


หลินหว่านขมวดคิ้วส่ายศีรษะ ถามว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ทำไมฉันอยู่นี่ได้คะ”


 


 


เซียวจิ่งสือได้ฟังก็พูดอย่างตกใจว่า “หว่านหว่าน คุณจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เหรอ”


 


 


“เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรคะ” หลินหว่านถามอย่างสงสัย


 


 


เซียวจิ่งสือได้แต่เล่าเรื่องที่เมื่อคืนหลินหว่านเมาเหล้าขึ้นเวทีไปร้องเพลงสลับกับร้องไห้ในงานเลี้ยงปิดกล้องของทางกองถ่าย จากนั้นถูกคนบันทึกวีดีโอเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตจนเขามาพบเข้า ที่มาที่ไปทั้งหมดให้หลินหว่านฟังรอบหนึ่ง


 


 


หลินหว่านฟังที่เซียวจิ่งสือเล่า พร้อมกันนั้นในสมองก็ปรากฏภาพความทรงจำเลือนรางของเรื่องเมื่อคืนผุดขึ้น ต่อเมื่อได้ยินเซียวจิ่งสือบอกว่าเขาเห็นคลิปวีดีโอบนอินเทอร์เน็ตแล้วเป็นห่วงเธอ ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก ถามขึ้นว่า “เซียวจิ่งสือคะ คลิปนั่นอยู่ไหน ให้ฉันดูหน่อยได้ไหมคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือหยิบมือถือของหลินหว่านมายื่นส่งให้เธอ ถามย้ำว่า “หว่านหว่าน คุณบอกผมได้ไหมเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณกันแน่”


 


 


เซียวจิ่งสือไม่เชื่อว่าหลินหว่านเพียงแค่เมาเหล้าแล้วเกิดนึกอยากจะขึ้นเวทีร้องละครเพลงขึ้นมาเฉยๆ ในคลิปภาพตอนที่หลินหว่านร้องไห้ ความรู้สึกโศกเศร้าแบบนั้นมันทำให้เขารู้สึกว่า หลินหว่านต้องมีความในใจบางอย่างที่ไม่ยอมพูดออกมาอย่างแน่นอน


 


 


หลินหว่านหยิบเอามือถือมา เปิดดูเวยปั๋ว แล้วเห็นว่าชื่อของเธอแขวนติดชาร์คำค้นหายอดนิมยมอยู่บนนั้น เธอคลิกเข้าไปดู แล้วก็เห็นคลิปวีดีโอนั่น


 


 


หลินหว่านดูคลิปนั้นจบแล้ว ดูเหมือนจะเรียกความทรงจำเมื่อคืนกลับมาได้ทั้งหมดทันที เธอสะกดความรู้สึกในใจเอาไว้ พลิกอ่านคอมเมนต์บนเวยปั๋ว ตอนนั้นเองเธอได้เห็นข้อความที่ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยว่าเธอถลำลึกกับบทบาทหนังจนสภาพจิตผิดปกติ แฟนคลับของเธอถึงกับส่งข้อความโจมตีซวี่กวงเพราะเหตุนี้อีกด้วย


 


 


หลินหว่านเห็นดังนั้นก็รีบส่งข้อความขึ้นเวยปั๋ว อธิบายเรื่องเมื่อคืนว่าเนื่องจากในงานเลี้ยงปิดกล้องเธอเมาเหล้าจึงทำเรื่องแบบนี้เอง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้กำกับซวี่เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้เธอส่งคำขอโทษยังไปยังเวยปั๋วของซวี่กวงอีกด้วย


 


 


ชาวเน็ตพอเห็นเวยปั๋วของหลินหว่านก็เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นแค่ความเข้าใจผิด ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเชื่อคำอธิบายว่าเธอเมาเหล้า


 


 


เคราะห์ยังดีที่เรื่องผ่านไปได้ในคืนเดียว เรื่องนี้ยังไม่ทันสร้างความเสียหายที่แก้ไขคืนกลับไม่ได้ หลังจากหลินหว่านส่งข้อความชี้แจงลงเวยปั๋วแล้ว ชาวเน็ตจึงเห็นเป็นเรื่องที่หลินหว่านเมาเหล้าจึงเสียกิริยาไปเท่านั้น ข้อความบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับสภาพจิตหลินหว่านไม่ปกติจึงค่อยๆ เลือนหายไป


 


 


หลินหว่านเห็นเช่นนั้นก็โล่งอก ลุกจากเตียงมาล้างหน้าล้างตา ส่วนเซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเลี่ยงที่จะตอบคำถามเมื่อครู่ของเขา ก็แอบถอนใจแล้วไปเตรียมอาหารเช้า


 


 


เดิมทีเข้าใจว่าเรื่องนี้คงจะผ่านไปแล้ว แต่ไม่นึกว่าหลังจากหลินหว่านส่งข้อความอธิบายลงเวยปั๋วแล้ว มีชาวเน็ตคนหนึ่งส่งคลิปวีดีโอที่ตัดต่อแล้วขึ้นบนอินเทอร์เน็ตปลุกกระแสคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่กว่าขึ้นมา


 


 


คลิปภาพที่ว่านี้ ได้นำภาพหลินหว่านที่แสดงอยู่บนเวทีเมื่อคืนกับภาพแม่ของเธอที่อยู่ในหนังยุคนั้นตัดต่อเข้าด้วยกัน ภาพด้านซ้ายเป็นแม่ของหลินหว่านอันจี๋ถิงซึ่งกำลังแสดงฉากหนึ่งของหนังในยุคนั้น ด้านขวาเป็นภาพจากคลิปเมื่อคืนที่หลินหว่านเมาเหล้าแล้วขึ้นไปแสดงอยู่บนเวที


 


 


แต่ที่ทำให้ชาวเน็ตมากมายรู้สึกเหลือเชื่อคือ ในคลิปภาพนี้ การแสดงของหลินหว่านเมื่อคืนกับอันจี๋ถิงในฉากหนึ่งของหนังเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แทบจะเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว ทั้งลักษณะท่าทาง อารมณ์ความรู้สึก การเคลื่อนไหวจนถึงท่วงทำนองในการร้อง เหมือนกันจนอาจกล่าวได้ว่าหลินหว่านเป็นอันจี๋ถิง


 


 


ตอนสมัยเมื่อยังสาวเลยทีเดียว


 


 


คลิปนี้พอถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ก็ถูกส่งต่อออกไปนับหมื่นแชร์ทันที แต่ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือคอมเมนต์ที่ด้านล่างของชาวเน็ต


 


 


[อันจี๋ถิง? ราชินีจอเงินแห่งยุค โอ้ว…ฉันเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีคนแบบนี้อยู่ แต่ว่า…ทำไมหลินหว่านกับอันจี๋ถิงตอนสาวเหมือนกันเป๊ะเลย]


 


 


[น่าสนใจดีนี่ สมัยนั้นอันจี๋ถิงชื่อเสียงยับเยินเพราะกลายเป็นของเล่นของพวกผู้ชาย เธอจึงตัดสินใจถอนตัวจากวงการบันเทิงแล้วต่อมาก็ฆ่าตัวตาย แต่เรื่องตอนนั้นเป็นยังไงกันแน่ก็ไม่มีใครรู้ คงไม่ใช่ว่าหลินหว่านกับอันจี๋ถิงสองคนนี่มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ หรอกมั้ง]


 


 


[ห้องข้างบนน่ะ ที่พูดมาจริงหรือเปล่า ถ้าหลินหว่านกับอันจี๋ถิงมีความสัมพันธ์อะไรกัน ฉันคงรับไม่ได้ล่ะ!]


 


 


……


 


 


เห็นได้เลยว่าอันจี๋ถิงถึงแม้จะเป็นราชินีจอเงิน แต่เรื่องของเธอในตอนนั้น ทำให้เธอถอนตัวจากวงการด้วยชื่อเสียงไม่ดีนัก คลิปวีดีโอนี้เมื่อปรากฏสู่สายตาสาธารณชนแล้ว หลินหว่านจึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แล้วพลอยทำให้เหล่าชาวเน็ตมองเธอด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป


 


 


คลิปภาพนี้พอปรากฏขึ้นบนเน็ต หลินหว่านก็ได้รับสายจากซวี่กวง


 


 


“หลินหว่าน วันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของซวี่กวงยังฟังดูราบเรียบไร้อารมณ์


 


 


“ฉันสบายดีค่ะ ผู้กำกับซวี่” หลินหว่านพูดจบก็รีบเสริมอย่างรู้สึกผิดว่า “ผู้กำกับซวี่ ขอโทษนะคะ เพราะฉัน เลยทำให้คุณถูกชาวเน็ตโจมตี เป็นความผิดฉันเองค่ะที่เมื่อคืนดื่มจนเมา…”


 


 


ซวี่กวงหัวเราะออกมาเบาๆ พูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก พวกข่าลือบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้น ผมไม่สนใจหรอก”


 


 


หลินหว่านพูดอีกว่า “แล้วงานเลี้ยงปิดกล้องเมื่อคืน…เพราะฉัน…เลยพลอยทำให้ทุกคนตกใจกันไปหมดล่ะมั้งคะ”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกนะ หลินหว่าน แค่เธอไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 109

 

จิตแพทย์

 


 


 


หลังวางสายจากซวี่กวงแล้ว หลินหว่านรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย เพียงแต่ ประโยคสุดท้ายที่ซวี่กวงพูดกับเธอยังวนเวียนอยู่ในใจ “หลินหว่าน ผมอยากจะให้คุณหาเวลาไปพบจิตแพทย์เสียหน่อย อันที่จริงตอนถ่ายทำ ผมก็เห็นแล้วว่าพักนี้คุณไม่ปกติเอามากๆ ”


 


 


เซียวจิ่งสือพอเห็นคลิปนี้เข้าก็เข้าใจได้ว่าทำไมพักนี้หลินหว่านจึงดูเหมือนไม่ค่อยปกตินัก เหมือนเก็บซ่อนความในใจเอาไว้


 


 


ที่แท้ก็เพราะแม่ของเธอนั่นเอง ก่อนหน้านี้เขากับเธอยังดูหนังที่แม่เธอแสดงไปตั้งมากมายขนาดนั้น แต่เขากลับคาดเดาสาเหตุไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุนี้


 


 


พอมาคิดดูแล้วหลังอาหารเช้า เซียวจิ่งสือก็ถามหลินหว่าน “หว่านหว่าน คุณยังจำได้ไหมที่คุณรับปากผมไว้ว่าหลังถ่ายหนังจบจะไปหาจิตแพทย์กับผม”


 


 


สีหน้าท่าทางเซียวจิ่งสือเต็มไปด้วยความกังวลแต่กลับระวังคำพูดอย่างมาก เขาเกรงว่าจู่ๆ ตัวเองถามคำถามนี้จะทำให้หลินหว่านรู้สึกไม่พอใจ แล้วทำให้ยิ่งไม่ยอมเปิดใจมากขึ้น


 


 


หลินหว่านได้ฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือก็ชะงักกึก สีหน้าแข็งทื่อและท่าทางตกตะลึง จากนั้นค่อยเป็นท่าทางลังเล ยากตัดสินใจ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นแล้วก็ปลอบเธออย่างอดทนว่า “หว่านหว่าน ผมรู้ว่าพักนี้คุณได้รับผลกระทบจากเรื่องของแม่คุณในสมัยนั้น หว่านหว่าน คุณอย่ากักขังตัวเองอยู่กับอดีตเพียงลำพังอย่างนี้เลย คุณมีเรื่องอะไรก็ระบายกับผมได้ อย่าเก็บไว้ในใจคนเดียว หรือว่าคุณยังอยากจะให้เกิดเรื่องแบบเมื่อคืนนี้อีก”


 


 


พูดจบ เขาก็สำรวจท่าทีของหลินหว่านแล้วพูดต่อไปว่า “นอกจากนี้ ผมยังรู้ว่าคุณตึงเครียดมากตอนถ่ายหนัง ดังนั้นตอนสวมบทตัวละครจึงต้องเข้าถึงอารมณ์ลึกมากๆ มาตลอด ตอนนี้หนังถ่ายจบแล้ว หว่านหว่าน ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้อีกแล้ว ผมแค่อยากได้หลินหว่านคนเดิมคนนั้น ผมกังวลใจมาก กลัวมากว่าเธอจะกลับมาอีกไม่ได้แล้ว”


 


 


ขณะพูด เขาก็พบว่าท่าทีหลินหว่านคล้อยตามอยู่บ้าง เธอหันหน้ามาทางเขา สายตาสองคู่ประสานกัน หลินหว่านเห็นว่านัยน์ตาของเซียวจิ่งสือสะท้อนใบหน้างามของเธอ ดวงตาเขามีความห่วงใยและคาดหวังอยู่ลึกๆ พลันน้ำตาของหลินหว่านทะลักจากเบ้า เธอมองดูเซียวจิ่งสือ พูดเสียงเครือว่า “ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ…”


 


 


ขอบคุณที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างฉันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอบคุณที่ยามฉันอ่อนแอที่สุดให้การปกป้องที่อบอุ่นที่สุดและเข้มแข็งที่สุดกับฉัน จิตใจที่จมปลักอยู่กับสิ่งเลวร้ายในหลายวันมานี้ของหลินหว่านดูเหมือนจะถูกขจัดปัดเป่าไปจนหมดสิ้นในทันที เธอรู้สึกว่าใบหน้ามีนิ้วมือปาดผ่าน…เซียวจิ่งสือปาดเช็ดน้ำตาให้กับเธอ


 


 


ตอนบ่าย ด้วยมีเซียวจิ่งสืออยู่เป็นเพื่อน หลินหว่านกับเขาไปโรงพยาบาลเพื่อพบกับจิตแพทย์ด้วยกัน


 


 


เดิมทีหลินหว่านกลัวการไปพบจิตแพทย์ แต่พอคิดว่าเซียวจิ่งสืออยู่ข้างกายเธอ ทำให้เธอสงบใจลงได้มาก


 


 


คนที่มาให้คำปรึกษาและช่วยชี้แนะให้กับหลินหว่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาทางจิตซึ่ง


 


 


เซียวจิ่งสือเชิญมาเป็นการเฉพาะ


 


 


ผู้เชี่ยวชาญทางจิตท่านนี้แม้จะอายุมากแล้ว ผมขาวโพลน แต่ดวงตาทั้งคู่ยังคมกริบราวกับเหยี่ยว ดูเหมือนจะมองทะลุใจคนได้เลยทีเดียว เขามองดูหลินหว่านแล้วพูดว่า “คุณหลิน สวัสดีครับ ลองเล่าเรื่องยุ่งยากใจของคุณในระยะนี้ให้ผมฟังหน่อยสิ”


 


 


ตอนที่หลินหว่านถูกเขาจ้องมองดูนั้น เธอรู้สึกตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก เมื่อต้องเจอกับคำถามของเขา ยิ่งไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่พอนึกถึงคำให้กำลังจากเซียวจิ่งสือ หลินหว่านก็สงบสติอารมณ์และบอกเล่าระบายความในใจให้อาจารย์ที่ปรึกษาทางจิตฟังไปมากมาย


 


 


เซียวจิ่งสือรอเธออยู่ด้านนอกด้วยใจกระสับกระส่ายตลอดเวลา แต่พอเห็นหลินหว่านกับคุณหมอออกมาด้วยกัน เขาก็สงบใจลงได้ในที่สุด เขาก้าวเข้าหาหมอ ถามว่า “คุณหมอครับ ผลเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


คุณหมอหัวเราะหึหึ อย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรนี่ คุณเซียว คุณหลินไม่ได้มีปัญหาทางจิตอะไรเลย แค่เครียดมากเกินไปหน่อยเท่านั้นเอง ระยะนี้แค่ให้เธอพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายจิตใจให้มากก็พอแล้ว”


 


 


พอได้ฟังผลแล้ว เซียวจิ่งสือก็โล่งใจในที่สุด


 


 


ตอนที่เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านออกจากโรงพยาบาลนั้นเอง ขณะกำลังจะกลับไปนั้น จู่ๆ ก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาเต็มไปหมด


 


 


พวกนักข่าวพากันห้อมล้อมเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านเอาไว้ ยื่นไมโครโฟนเข้ามาเสียใกล้ จากนั้นโยนคำถามตามมาเป็นชุด


 


 


“สวัสดีค่ะ คุณหลินคะ คุณกับอันจี๋ถิงมีความสัมพันธ์อะไรกันคะ เป็นแม่ลูกกันอย่างที่บนอินเทอร์เน็ตเล่าลือกันจริงหรือเปล่าคะ”


 


 


“คุณหลินครับ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมคุณออกจากโรงพยาบาล หรือว่าคุณมีปัญหาทางจิตจริงหรือไม่ครับ”


 


 


“คุณหลินครับ ระหว่างการถ่ายหนังคุณซวี่กวงเคร่งครัดกับคุณมากจริงหรือเปล่าครับ? พวกคุณมีความขัดแย้งกันหรือเปล่า แล้วก็ คุณกับคุณเซียวจิ่งสือมีความสัมพันธ์อะไรกันครับ”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นแล้ว น้ำโหพุ่งปรี๊ดขึ้นทันที เรื่องที่เขากับหลินหว่านมาโรงพยาบาลไม่รู้ว่าใครมารู้เข้าแล้วบอกออกไปสิ!


 


 


เซียวจิ่งสือหน้าดำคร่ำเครียด ปกป้องหลินหว่านไว้กับอก พวกนักข่าวเห็นสีหน้าโมโหของเซียวจิ่งสือแล้วพากันเปิดทางให้เขาอย่างลืมตัว เซียวจิ่งสือจึงพาหลินหว่านจากมาทั้งอย่างนั้น


 


 


แต่แค่สิบนาทีต่อมา บนอินเทอร์เน็ต ข่าวที่หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือปรากฎตัวที่โรงพยาบาลด้วยกันก็ระเบิดออกมาปังใหญ่ แล้วยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการฟันธงว่าหลินหว่านไปโรงพยาบาลเพื่อหาจิตแพทย์อีกด้วย


 


 


ข่าวแบบนี้พอปรากฏออกมา บนอินเทอร์เน็ตก็ยิ่งมีข่าวลือสารพัด บ้างว่าหลินหว่านคงมีสภาพจิตไม่ค่อยปกติแล้ว ถึงต้องไปหาจิตแพทย์ บ้างก็เห็นว่าหลินหว่านน่าจะมีความสัมพันธ์อะไรกับอันจี๋ถิง พอหลินหว่านรู้เรื่องนี้เข้า ทำใจยอมรับไม่ได้จึงต้องไปพบจิตแพทย์


 


 


สรุปแล้ว คำพูดสารพัดบนอินเทอร์เน็ตแต่งเรื่องกันอย่างมีสีสันเป็นจริงเป็นจัง เหมือนทุกคนเป็นคนที่รู้ความจริงชัดแจ้งที่สุดคนนั้น


 


 


ตึกเซวี่ยนจื่อ ภายในห้องของผู้บริหารระดับสูงห้องหนึ่ง ที่นี่ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกผ่านเข้ามาโดยง่าย


 


 


ประตูห้องปิดสนิทแน่น แต่ทว่าภายในกลับมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตัวหนึ่ง ใบหน้าของเธอมีแผลเป็นมากมาย หน้าตาหมองคล้ำจนไม่เหลือเค้าความงามแม้สักครึ่งของเมื่อก่อน


 


 


“หว่านหว่าน…หว่านหว่านของแม่…ตอนนั้นแม่ไม่น่าทิ้งลูกไปเลย แม่ขอโทษ…”


 


 


ผู้หญิงคนนี้ก็คือแม่แท้ๆ ของหลินหว่าน…อันจี๋ถิง และแน่นอนว่าตอนนี้เธอก็คือหลางอี้นักเขียนบทชื่อดังของวงการบันเทิงด้วย


 


 


ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ข้างกายเธอ เขาเห็นสภาพเจ็บปวดทรมานของเธอแล้ว พูดปลอบช้าๆ ว่า “ตอนนี้หลินหว่านมีชีวิตที่ดีมาก คุณไม่ต้องรู้สึกผิดเกินไปนักหรอก”


 


 


วันนี้หลังจากอันจี๋ถิงได้เห็นคลิปบนอินเทอร์เน็ตที่ตัดต่อภาพหลินหว่านกับเธออยู่ในกรอบเฟรมเดียวกันแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดต่อหลินหว่านและคิดถึงเธอ อันจี๋ถิงร้องไห้พลางพูดว่า “คุณไม่ต้องพูดปลอบฉันหรอกค่ะ ตู้เซวี่ยน ฉันจะไปหาหว่านหว่าน ฉันจะพูดขอโทษต่อหน้าเธอ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฉันไม่ดีเอง…”


 


 


“คุณต้องสงบใจลงก่อนนะ ต่อให้ตอนนี้คุณปรากฏตัวต่อหน้าหลินหว่าน ยอมรับเธอเป็นลูก แต่จะมีประโยชน์อะไร คุณแน่ใจหรือว่าหลินหว่านจะยอมรับคุณ คุณแน่ใจหรือว่าเรื่องของคุณจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของหลินหว่านในสายตาของผู้ชมน่ะหือ ” ตู้เซวี่ยนพูดช้าชัด


 


 


อันจี๋ถิงฟังแล้ว ชั่ววูบนั้นแววตาเธอมืดหม่นลง


 


 


ตู้เซวี่ยนพูดต่อไปอีกว่า “คุณฟังผมนะ เรื่องคุณกับหลินหว่านต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ต้องหาโอกาสที่ดี…”

 

 

 


ตอนที่ 110

 

กลับตาลปัตร

 


 


 


 


“หลินหว่าน ตอนนี้ข้างนอกพากันตั้งข้อสงสัยในตัวคุณไปต่างๆ นานา ถ้าหากเรื่องนี้ยังขยายวงกว้างต่อไปอีก จะกระทบกับงานของคุณได้นะ คงจะมีคนมากมายไม่กล้าให้คุณแสดงหนังอีก ความคิดกับอารมณ์ของนักแสดงก็สำคัญมากนะ” เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างสงสารเห็นใจ 


 


 


หลินหว่านรู้ดีแก่ใจว่าหลังจากเธอแสดงหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับซวี่กวงแล้ว ทำให้ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก แต่สาเหตุที่แท้จริงซึ่งทำให้เธอเปลี่ยนไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะหนังของแม่เธอพวกนั้นต่างหาก 


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ ทำแบบนี้ได้จริงเหรอคะ ฉันเกรงว่าคนอื่นจะพูดเรื่องไม่ดีเรื่องอื่นของฉันอีก คุณก็รู้ว่าความรุนแรงบนอินเทอร์เน็ตนั้นน่ากลัวขนาดไหน ตอนนี้ฉันรู้สึกจิตใจอ่อนแอเหลือเกิน แทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว” หลินหว่านขมวดคิ้ว อย่างกระวนกระวายใจ 


 


 


เซียวจิ่งสือเกรงว่าหลินหว่านจะไม่สามารถทนรับแรงกดดันสารพัดจากโลกออกไลน์ได้อีก ดังนั้นตอนนี้ต้องคิดหาวิธีทำให้คนอื่นเข้าใจหลินหว่าน หรือหาข้ออ้างให้หลินหว่านไม่ต้องเจอกับข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตอีก  


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่ทั้งวันเอาแต่ท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก ทำให้เขาเองก็พลอยจิตใจห่อเ**่ยวไปด้วย เขาอยากจะทำให้หลินหว่านหลุดพ้นจากเรื่องยุ่งยากนี้ให้เร็วที่สุด เซียวจิ่งสือให้หลินหว่านนั่งบนโซฟา ส่วนเขาหยิบมือถือเดินออกจากห้องไปคนเดียว 


 


 


“ฮัลโหล อวิ๋นซี ผมเซียวจิ่งสือนะ เรื่องของหลินหว่านคุณน่าจะรู้เรื่องดีกว่าผมล่ะมั้ง งั้นผมจะไม่พูดมากอะไรอีก ตอนนี้สภาพจิตใจของหลินหว่านแย่เอามากๆ ผมไม่อยากให้เธอต้องมาทนกับการเดาของคนอื่นกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตอีก ผมอยากจะเปิดงานแถลงข่าวให้เธอ ยิ่งเร็วยิ่งดี เธอรออีกไม่ได้แล้ว” เซียวจิ่งสือพูดเสียงร้อนรน 


 


 


หลายวันมานี้อวิ๋นซีกำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องของหลินหว่านอยู่พอดี จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซียวจิ่งสือ เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ได้มีเพียงเธอที่เป็นห่วงหลินหว่าน 


 


 


“สวัสดีค่ะ เซียวจิ่งสือ ฉันรู้เรื่องพวกนั้นที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นล่ะ ตอนนี้สภาพของหลินหว่านก็เหมือนที่คุณพูด เธอจะถูกทำให้กระทบกระเทือนใจอีกไม่ได้ แต่คุณก็ต้องคิดให้ดีนะคะว่างานแถลงข่าวจะมีประโยชน์ต่อหลินหว่านจริงๆ ถ้าเกิดเป็นตรงกันข้าม หลังงานแถลงข่าวแล้วยังมีคนแห่ใส่ร้ายหลินหว่านอีก พวกเราก็รับไม่ไหวเหมือนกันนะคะ” อวิ๋นซีพูดรัวเป็นชุดรวดเดียวจบ 


 


 


หลินหว่านยังนั่งเศร้าอยู่ในห้อง เธอไม่รู้ว่าคนใกล้ชิดที่สุดของเธอทั้งสองคนกำลังคิดหาวิธีช่วยให้เธอผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ไปให้ได้ 


 


 


“ผมเชื่อว่าได้แน่ ผมมีใบรับรองแพทย์จากทางโรงพยาบาล ถ้าหากเอาของพวกนี้ให้พวกเขาดู หลินหว่านจะได้ไม่ต้องถูกคาดเดามั่วซั่วอีก เรื่องนี้ผมคิดมาก่อนหน้านี้แล้ว คุณไม่ต้องห่วง เรื่องที่ผมทำให้เธอต้องดีสำหรับเธอที่สุดอยู่แล้ว” เซียวจิ่งสือพูดด้วยเสียงแน่วแน่ 


 


 


เซียวจิ่งสือกับอวิ๋นซีปรึกษากันแล้วตัดสินใจว่าจะเปิดงานแถลงข่าวให้หลินหว่าน 


 


 


เซียวจิ่งสือวางสายแล้วกลับเข้าห้อง เห็นหลินหว่านที่อยู่บนโซฟานอนหลับไปแล้ว แต่เธอยังขมวดคิ้วทั้งที่นอนหลับ เซียวจิ่งสือเจ็บปวดใจมาก ใช้มือลูบผมเธอเบาๆ ด้วยไม่อยากปลุกเธอให้ตื่นขึ้น 


 


 


เซียวจิ่งสือนั่งลงที่ด้านข้าง รออยู่ครู่หนึ่ง คอยมองดูนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งคราว 


 


 


“งานแถลงข่าวพรุ่งนี้เที่ยง” หน้าจอบนมือถือของเซียวจิ่งสือปรากฎข้อความขึ้นประโยคหนึ่ง 


 


 


เซียวจิ่งสือยิ้มอย่างยินดี เขาคิดจินตนาการไปถึงหลินหว่านที่ร่าเริงแจ่มใส มีความสุขจากภายในเหมือนตอนที่เขาหยอกเย้าเธอเมื่อก่อนนั้น 


 


 


วันรุ่งขึ้น ตอนหลินหว่านตื่นขึ้นมาก็พบว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวล เธอเดินตามกลิ่นไปทางห้องครัว แล้วพบว่าเซียวจิ่งสือกำลังทำอาหารเช้า 


 


 


“เซียวจิ่งสือ ทำไมขยันนักคะ” หลินหว่านพูดแซวขึ้น 


 


 


เซียวจิ่งสือหันมายิ้มให้หลินหว่าน แอบนึกปลื้มอยู่ในใจ 


 


 


“วันนี้ทำไมขยันนักล่ะ? คุณพูดซะ ผมก็ขยันแบบนี้ตลอดไม่ใช่หรือไง คุณนั่งก่อนนะ อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวบอกคุณเรื่องหนึ่ง” เซียวจิ่งสือพูดพลางทำกับข้าวไปพลาง 


 


 


หลินหว่านมองเซียวจิ่งสืออย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดมาก หมุนตัวเดินไปนั่งรอที่หน้าโต๊ะอาหาร  


 


 


“มาแล้ว นี่เป็นของอร่อยที่ผมเรียนทำเพื่อคุณเลยนะ ผมว่าคุณต้องชอบแน่เลย” เซียวจิ่งสือยกจานกับข้าวมาตรงหน้าหลินหว่านอย่างกระตือรือร้น วางลงบนโต๊ะ 


 


 


หลินหว่านดูไปแล้วไม่อยากอาหารนัก แค่หยิบตะเกียบขึ้นมาทานไปคำสองคำเท่านั้น 


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็ไม่รู้สึกผิดหวังเสียใจมากเกินไปนัก เพียงแต่สงสารหลินหว่านยิ่งขึ้น เพราะหนังเรื่องหนึ่ง ตอนนี้อารมณ์เธอเปลี่ยนไปจนน่ากลัว 


 


 


“หลินหว่าน ผมจะบอกคุณเรื่องหนึ่งนะ พรุ่งนี้จะมีงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นเพื่อคุณ ผมยอมให้พวกคนบนอินเทอร์เน็ตนั่นมาเดามั่วเรื่องคุณไม่ได้แล้ว ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือ ผมอยากให้คุณสบายใจ แม้จะต้องทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปก็ยอม” เซียวจิ่งสือจ้องมองหลินหว่านด้วยสายตาลึกซึ้ง 


 


 


หลินหว่านเองก็รู้สึกตื้นตันใจมาก เซียวจิ่งสือมักจะคิดหาวิธีการดีๆ ออกมาได้เสมอในตอนที่เธอเสียใจอย่างมาก 


 


 


“อื้อ ก็ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้พวกเราไปงานแถลงข่าวกัน ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านก้มหน้าพูด 


 


 


เซียวจิ่งสือลูบผมของหลินหว่าน จากนั้นทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าว 


 


 


เวลาวันหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานแถลงข่าวใกล้เข้ามา 


 


 


อวิ๋นซีกับหลินหว่านมาถึงบริษัทแต่เช้า เซียวจิ่งสือคอยอยู่ข้างกายหลินหว่านตลอด 


 


 


“หลินหว่าน มาแต่งหน้าเร็ว อีกเดี๋ยวจะเริ่มแล้ว!” อวิ๋นซีร้องเรียกหลินหว่าน 


 


 


หลินหว่านเดินเข้าไปหาเธอเอื่อยๆ เธอเป็นกังวลอยู่บ้างว่างานแถลงข่าวจะสามารถหยุดกระแสตั้งข้อสงสัยต่อเธอบนอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่ ถ้าหากได้ผลในทางกลับกัน เธอเกรงว่าตัวเองจะรับไม่ไหว 


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านขมวดคิ้ว คาดเดาถึงความกังวลของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือเดินเข้าไปที่ข้างกายหลินหว่าน ยกมือลูบไหล่เธออย่างปลอบประโลม 


 


 


“ไม่เป็นไรนะ ผมจะอยู่ข้างคุณตลอด และผมก็เชื่อว่างานแถลงข่าวครั้งนี้จะสะกดข่าวลือพวกนั้นไว้ได้แน่ คุณอย่างกังวลใจเลยนะ” เซียวจิ่งสือพูดเสียงนุ่ม 


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ 


 


 


ในที่สุดงานแถลงข่าวก็เริ่มต้นขึ้น หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือเดินออกไปด้วยกัน นักข่าวที่ด้านล่างเวทีเริ่มคำถามไล่บี้อีกครั้ง แสงแฟลชจากกล้องถ่ายภาพสว่างวาบไม่หยุด พวกนักข่าวดูเหมือนจะฮือกันขึ้นมาข้างหน้า 


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่าน ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบนักข่าวเหล่านี้เอามาก จึงมองดูพวกเขาแล้วขมวดคิ้วอยู่ตลอด เซียวจิ่งสือเองก็รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาบ้าง 


 


 


นักข่าวพวกนั้นระดมถามคำถามเธอมากมาย จนหลินหว่านรู้สึกปั่นป่วนว้าวุ่นขึ้นมา 


 


 


เซียวจิ่งสือลุกพรวดขึ้นยืน เขาตบโต๊ะ ตะโกนเสียงดังว่า “กรุณาเงียบด้วยครับ ผมอยากจะพูดสักหน่อย ผมหวังว่าจะไม่มีการคาดเดากันไปเองอีกว่าหลินหว่านเกิดอะไรขึ้น จิตแพทย์บอกว่าหลินหว่านแค่เครียดมากเกินไปเท่านั้น ข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นล้วนแต่พูดกันไปเองทั้งนั้น ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่นำมาถกเถียงกันอีก ผมขอแจ้งเตือนให้ทราบอย่างเคร่งครัดไว้ ณ ที่นี้” 


 


 


หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสืออย่างประหลาดใจ เธอคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือที่อ่อนโยนนุ่มนวลขนาดนั้นต่อหน้าเธอ จะโกรธได้ขนาดนี้เมื่อเป็นเรื่องของเธอ 


 


 


หลินหว่านลุกขึ้นยืนโค้งคำนับ แล้วออกจากที่นั่นไปพร้อมกับเซียวจิ่งสือ งานแถลงข่าวจึงจบลงไปเช่นนี้เอง 


 


 


หลังงานแถลงข่าวเสร็จสิ้นลง คำพูดบนอินเทอร์เน็ตเริ่มเป็นไปในทางที่ดี เซียวจิ่งสือเห็นแล้วค่อยคลายความกังวลต่อหลินหว่านลง

 

 

 


ตอนที่ 111

 

ขัดขวาง 


 


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ หลินหว่านแค่จัดแถลงข่าวก็สามารถแก้สถานการณ์กลับคืนมาได้แล้ว” อันซิงตะโกนลั่นอยู่ในห้องทำงาน พาลโกรธเอาขึ้นมาดื้อๆ ดูแล้วน่ากลัวเอามากๆ 


 


 


ผู้ช่วยของอันซิงที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดอะไรสักคำ กลัวว่าจะไปแหย่รังแตนของอันซิงเข้า กลายเป็นหาเหาใส่ตัวเองเปล่าๆ 


 


 


ก่อนหน้านี้ อันซิงเตรียมจะใช้โอกาสนี้แฉความสัมพันธ์ของหลินหว่านกับแม่ของเธอ กดหลินหว่านเอาไว้ เป้าหมายของอันซิงคือให้ทุกคนเกลียดหลินหว่าน จนเธออยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้ อันซิงอิจฉาหลินหว่านในสิ่งที่เธอได้มาทุกอย่าง 


 


 


แต่ตอนนี้ดูๆ แล้วเรื่องของหลินหว่าน กลับดำเนินไปในทิศทางตรงข้ามกับที่เธอต้องการ 


 


 


“อันซิง อย่าโกรธอีกเลยนะ ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของคุณ ต้องเอาชนะหลินหว่านได้แน่” ผู้ช่วยพูดปลอบ 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่ อันซิงจึงนั่งลงบนโซฟาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ท่าทีสงบลงในที่สุด 


 


 


ส่วนเฉิงหมิงพอทราบข่าวบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องของหลินหว่าน เขารู้สึกโกรธมากเช่นกัน 


 


 


“ฉันจะให้แกไปจัดการเรื่องหนึ่งๆ ทำให้พวกสื่อใหญ่ๆ ไม่ติดตามขุดคุ้ยเรื่องของหลินหว่านกับภรรยาของฉันอีก ฉันไม่ต้องการให้มีคนพูดถึงเรื่องนี้อีก ฉันหวังว่าภรรยาของฉันจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ในเมื่อเธอถอนตัวจากวงการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตกเป็นขี้ปากของพวกคนในวงการบันเทิงอีก ฉันว่าแกคงจะเข้าใจที่ฉันพูด จัดการให้เรื่องเงียบโดยเร็วที่สุด” เฉิงหมิงขมวดคิ้วพูดกับคนของบริษัทเขา 


 


 


ตอนที่อันซิงกำลังจะเปิดเผยความสัมพันธ์ของหลินหว่านกับแม่เธอนั้นเอง เฉิงหมิงก็เข้ายับยั้งให้สื่อค่ายใหญ่ทั้งหลายเลิกขุดคุ้ยเรื่องนี้ต่อแล้ว  


 


 


“เมื่อก่อนรู้สึกว่าหลินหว่านเป็นคนน่าคบหามากคนหนึ่ง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเพราะหลินหว่านรบกวนความสงบของภรรยาผม ทำให้ผมผิดหวังในตัวเธอมาก ความสกปรกดำมืดและความซับซ้อนของวงการบันเทิงทำให้อันจี๋ถิงเลือกที่จะถอนตัวออกมา ถึงตอนนี้กลับเป็นเพราะหลินหว่านทำให้เธอถูกคนอื่นนำมาวิพากษ์วิจารณ์อีก” เฉิงหมิงพูดอย่างไม่พอใจ 


 


 


“คุณไม่ต้องร้อนใจไปนะครับ ตอนนี้เรื่องนี้คลี่คลายไปได้แล้ว และก่อนหน้านี้ผมเห็นว่าหลินหว่านได้ออกงานแถลงข่าวว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับภรรยาของคุณ เธอแค่เครียดมากเกินไปเท่านั้น ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องยุ่งยากใจกับเรื่องนี้อีกแล้ว” ผู้จัดการของเฉิงหมิงพูดปลอบ 


 


 


เพราะเรื่องนี้ทำให้เฉินหมิงเกิดความรู้สึกไม่ดีกับหลินหว่าน เขารู้สึกว่าแม้ตอนนี้เรื่องจะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่เขายังคิดว่าถ้าหากไม่มีหลินหว่าน อันจี๋ถิงก็จะยังใช้ชีวิตอย่างสงบเหมือนเมื่อก่อนต่อไปได้ 


 


 


หลายวันผ่านไป หลินหว่านเพิ่งมาถึงบริษัท เตรียมเริ่มทำงานชิ้นใหม่ เธอก็เห็นผู้จัดการของเธออวิ๋นซีพุ่งเข้ามา 


 


 


“หลินหว่าน เช้านี้เธอได้พักผ่อนแล้วนะ เมื่อวานทางรายการวาไรตี้ที่นัดไว้แล้วเขายกเลิกล่ะ ฉันยังไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ พวกเขาก็ขอยกเลิกเสียอย่างนั้น ตอนแรกยังคิดว่าจะให้เธอสร้างความรู้สึกดีๆ ในรายการนี้ซะหน่อย ดูแล้วตอนนี้คงไม่มีโอกาสแล้ว แต่เธอก็จะได้โอกาสพักผ่อนพอดี ต่อไปเราต้องมีโอกาสอีกแน่นอน อย่าเพิ่งท้อใจล่ะ” อวิ๋นซีพูดอย่างระวังคำพูด เธอเกรงว่าหลินหว่านจะท้อใจเพราะเรื่องรายการถูกยกเลิก 


 


 


หลินหว่านตกใจมาก เธอเตรียมตัวสำหรับรายการวาไรตี้นี้มานาน ตอนที่เธอดูรายการนี้ทางทีวีนั้น หลินหว่านชอบรายการนี้มาก ตอนนี้กลับมาบอกเธอว่าทางรายการยกเลิกคำเชิญให้เธอร่วมรายการ นั่นทำให้หลินหว่านรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง 


 


 


“อวิ๋นซี ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้นะ อุตส่าห์ตกลงกันอย่างดีแล้วเชียว เที่ยงนี้ก็จะอัดรายการแล้วใช่ไหม เอาเถอะ บางเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้เอง จู่ๆ ก็มา” หลินหว่านพูดอย่างเสียดาย 


 


 


อวิ๋นซีตบไหล่หลินหว่านอย่างปลอบใจ 


 


 


หลินหว่านนึกขึ้นได้ว่ามาบริษัทแต่เช้าทั้งที คงไม่ใช่ว่ายกเลิกอัดรายการนี่แล้วไปพักผ่อนหรอกมั้ง น่าจะมีงานอื่นให้ทำ 


 


 


หลินหว่านมองอวิ๋นซีอย่างคาดหวัง “อวิ๋นซี ในเมื่อทางรายการวาไรตี้นั่นยกเลิกไปแล้ว เธอช่วยฉันติดต่อหน่อยสิ หนังเรื่องนั้นตอนนี้ฉันมีเวลาไปทดสอบหน้ากล้องแล้ว ฉันเชื่อว่าจะได้รับบทมาแสดงแน่ ฉันเชื่อมั่นต่อฝีมือการแสดงของฉันตอนนี้อย่างมากเลย เธอเองก็คงวางใจให้ฉันถ่ายหนังมากเลย!” 


 


 


สายตาของอวิ๋นซีคอยกวาดไปมาที่ร่างของหลินหว่าน อันที่จริงโอกาสในการทดสอบหน้ากล้องของหลินหว่านหลายงานได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เธอเกรงว่าหลินหว่านรู้เข้าจะรู้สึกเสียใจ ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้บอกหลินหว่าน แต่ตอนนี้ดูท่าว่าคงต้องให้เธอรู้เสียแล้ว 


 


 


“หลินหว่าน อันที่จริงงานเธอไม่ยุ่งแล้วล่ะ นัดทดสอบหน้ากล้องของเธอหลายแห่งถูกพวกเขายกเลิกไปแล้ว แต่ว่าต่อไปน่าจะมีโอกาสอยู่น่า ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไมน่ะสิ” อวิ๋นซีพูดไม่เต็มเสียง

 

 

 


ตอนที่ 112

 

สืบข่าว 


 


 


 


 


 


หลินหว่านรู้สึกไม่สบายใจนัก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมนัดทดสอบหน้ากล้องตั้งมากมายจึงยกเลิกกันไปหมด นั่นทำให้เธอรู้สึกว้าวุ่นใจมาก เธอจะยอมให้โอกาสพวกนี้หลุดลอยไปโดยไม่รู้สาเหตุไม่ได้ 


 


 


หลินหว่านมองดูอวิ๋นซีแล้วพูดว่า “ทำไมนัดทดสอบหน้ากล้องพวกนั้นถึงยกเลิกไปกันหมดล่ะ แล้วยังรายการวาไรตี้นั่นอีก ก่อนหน้านี้ฉันเตรียมตัวมาอย่างดีแท้ๆ จู่ๆ ก็ยกเลิกไป ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่พวกเราคิดแน่” 


 


 


อวิ๋นซีก็รู้สึกได้ว่าหลินหว่านโมโหมาก ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าอวิ๋นซีทำงานได้ไม่ดี เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมงานที่ติดต่อเข้ามาพวกนี้จึงยกเลิกไปในชั่วเวลาสั้นๆ แบบนี้ อวิ๋นซีในฐานะผู้จัดการของหลินหว่านยิ่งระวังเรื่องพวกนี้อย่างมาก แต่จู่ๆ ก็มาเกิดเรื่องมากมายแบบนี้ อวิ๋นซีก็หมดปัญญาจะแก้ไขเหมือนกัน 


 


 


“หลินหว่าน เธออย่าเพิ่งร้อนใจไปนะ ฉันก็รู้สึกว่าเรื่องนี้คงมีอะไรมากกว่าที่พวกเราคิดกัน ดังนั้นขอเวลาพวกเราหน่อยนะ แต่ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น เรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไปเถอะ เนื่องจากตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญกับกระแสข่าวลือลูกใหญ่มาก จึงต้องระมัดระวังทุกการเคลื่อนไหว ถ้าหากเอเจนซี่ยังส่งงานมาให้น้อยอยู่อย่างนี้ต่อไป ฉันจะคิดหาวิธีเอง เธอยังไม่ต้องกังวลใจเกินไปนัก” อวิ๋นซีปลอบหลินหว่าน 


 


 


อวิ๋นซีห่วงว่าตอนนี้หลินหว่านเพิ่งปรับสภาพจิตใจให้หลุดออกจากอารมณ์หนังเรื่องก่อนหน้านี้ จึงไม่อยากให้เธอสุขภาพจิตแย่ลงไปอีกด้วยเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรปัญหาทางจิตก็เป็นเรื่องน่ากลัวมาก 


 


 


“อวิ๋นซี วางใจเถอะ ฉันจะไม่เศร้าไม่เหวี่ยงอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้กระแสข่าวฉันกำลังมาแรง แต่แหล่งที่มาของงานก็สำคัญมากนะ ถ้าไม่มีงานชิ้นใหม่เข้ามา ต่อให้ฉันดังเป็นพลุแตกในช่วงนี้ แต่พอเวลาผ่านไปก็จะกลายเป็นคนเก่าตกรุ่นของวงการ ดังนั้นต้องรีบแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด” หลินหว่านพูดพลางขมวดคิ้ว รู้สึกขมฝาดอยู่ในใจจนพูดไม่ออก 


 


 


ตอนเย็น หลินหว่านกลับถึงบ้านเซียวจิ่งสือกำลังรอเธออยู่ หลินหว่านเดินเข้ามาหาเขาอย่างหมดแรง 


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าสีหน้าหลินหว่านดูผิดปกติ จึงแตะดูหน้าผากเธอแล้วพูดเสียงอ่อนว่า “วันนี้คุณเป็นอะไรไป ทำงานเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า” 


 


 


หลินหว่านยิ่งอัดอั้นตันใจเข้าไปอีก นึกไม่ออกว่าตัวเองไปล่วงเกินใครเข้าจึงต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ งานถึงลดน้อยลงเหลือเพียงแค่นี้ 


 


 


หลินหว่านตอบด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า “ไม่รู้ทำไมสิตอนนี้ จู่ๆ เอเจนซี่งานหลายแห่งพากันปฏิเสธไม่ให้งานฉัน นอกจากนี้ยังมีหลายรายการที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ก็ถูกยกเลิกด้วย ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอะไรแน่ ถ้าหากมีคนกลั่นแกล้งฉันจริงๆ พวกเราจะทำยังไงกันดี พวกที่อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงมีแต่พวกเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น เราสู้เขาไม่ไหวหรอก” 


 


 


เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงว่าตอนนี้หลินหว่านกำลังต้องเจอกับอุปสรรคเช่นนี้ เรื่องแบบนี้สำหรับเขากับหลินหว่านแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เนื่องจากคนที่สามารถบอกเลิกงานของหลินหว่านได้ย่อมต้องมีดีอะไรแน่ 


 


 


“ในเมื่อคุณก็บอกว่าสถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้ว ย่อมจะต้องมีคนบงการอยู่แน่ แต่พวกเราจะนั่งรอความตายอยู่ไม่ได้ ต้องหาดูว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง คุณก็ไม่ต้องกังวลใจมากไปล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเอาชนะมัน อย่ามัวแต่ท้อแท้ใจ ผมเชื่อว่าสถานการณ์จะต้องดีขึ้นได้แน่” เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านอย่างเห็นใจ 


 


 


“อื้ม รู้แล้วค่ะ” 


 


 


หลินหว่านตอบเสียงเบา แต่เธอมีแผนอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เธอไม่ยอมรับเรื่องแบบนี้หรอก ต้องเรียนรู้ที่จะโต้ตอบ ต้องหาคนที่อยู่เบื้องหลังนั่นออกมาให้ได้ 


 


 


วันรุ่งขึ้น หลินหว่านกับอวิ๋นซีเริ่มต้นการสืบสวนด้วยตัวเอง พวกเธอเรียบเรียงข่าวสารที่เข้ามาในระยะนี้ สอบถามคนบางคนในวงการบันเทิง จนในที่สุดเรื่องราวก็มีความคืบหน้า 


 


 


“อวิ๋นซี ก่อนหน้านี้คนพวกนี้พากันแอบส่งสัญญาณบางอย่างเป็นการลับ ไม่พูดกันตรงๆ พวกเขาคงหวาดกลัวคนที่อยู่เบื้องหลังนั่นอย่างแน่นอน” หลินหว่านพูดออกมาตรงๆ  


 


 


อวิ๋นซีเองก็ได้รับรู้จากปากผู้คนจำนวนมากว่ามีคนแอบหาเรื่องพวกเธอ แต่พวกเขาล้วนเป็นโรคเดียวกันหมดคือไม่ยอมบอกชื่อของคนคนนั้น คอยแต่ส่งสัญญาณบางอย่างมาให้รู้เสมอ 


 


 


หลินหว่านคิดว่าบางทีพวกที่คอยแอบส่งสัญญาณบอกเธอน่าจะเป็นคนดี เพียงแต่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว 


 


 


“หลินหว่าน เหมือนพวกเราสืบเรื่องนี้กัน จากข้อมูลพวกนี้ที่ได้มาเธอคิดว่าเป็นใครล่ะ” อวิ๋นซีถามหลินหว่าน  


 


 


“วันนี้พวกเราได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากจริงๆ ดูจากสุ้มเสียงของคนพวกนี้แล้ว ฉันว่าเฉิงเฉิงกำลังตั้งป้อมหาเรื่องฉันอยู่ แต่ฉันไม่รู้สาเหตุนี่สิ ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาเขาเพื่อคลี่คลายเรื่องนี้ได้ยังไง แต่ถึงอย่างไรปัญหาต้องได้รับการแก้ไข เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของฉันกับเฉิงเฉิงยังพอไปได้อยู่ งั้นพรุ่งนี้ฉันลองไปหาเขาดูก็แล้วกัน” หลินหว่านเก็บข้าวของพลางพูดขึ้น 


 


 


หลินหว่านคิดยังไงก็ไม่อาจเข้าใจได้ ตอนนี้เธอมีคำถามอยู่มากมายเต็มไปหมด 


 


 


หนึ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้ก็คือเฉิงเฉิง ดังนั้นหลินหว่านตัดสินใจไปหาเฉิงเฉิง 


 


 


หลินหว่านนัดเฉิงเฉิงมาที่ร้านกาแฟ ทั้งสองนัดพบกันตอนบ่ายวันนี้ เฉิงเฉิงยังไม่รู้ว่าหลินหว่านนัดเขาด้วยเรื่องอะไร เขายังเข้าใจว่าเป็นการนัดพบกันของเพื่อนเท่านั้นเอง 


 


 


หลินหว่านมาถึงร้านกาแฟก่อนเวลา เธอรอการมาถึงของเฉิงเฉิง ผ่านไปอีกชั่วครู่เฉิงเฉิงก็มาถึง 


 


 


เฉิงเฉิงยิ้มกับหลินหว่านพูดว่า “หลินหว่าน คนที่งานยุ่งมากอย่างคุณ วันนี้นึกอย่างไรถึงมีเวลานัดผมออกมาดื่มกาแฟได้ล่ะ งานยังโอเคไหม ตอนนี้ผมว่างมากเลย ช่วงนี้คุณฮอตขนาดนี้ ต้องมีหนังให้แสดงเยอะแน่ๆ เลยสิ คุณทั้งใจดีและตั้งใจทำงานขนาดนี้ น่าจะมีเพื่อนๆ เยอะเลยล่ะซิ” 


 


 


จู่ๆ หลินหว่านก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา เธอมีธุระจึงนัดเฉิงเฉิงออกมา แต่เฉิงเฉิงกลับเข้าใจว่าเธอเรียกเขามาเพราะต้องการพบหน้าเขา 


 


 


หลินหว่านคิดดูแล้วไม่กล้าถามเรื่องนี้กับเฉิงเฉิงตรงๆ ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทั้งสองรู้สึกแปลกแยก ถึงกับอาจเสียความรู้สึกกันไปเลย ทั้งความรู้สึกของเธอกับเฉิงเฉิง และเฉิงเฉิงกับพ่อของเขาด้วย 


 


 


“ไม่หรอก คุณก็อย่าพูดแบบนี้เลย อย่างฉันตอนนี้ไม่เรียกว่ามาแรงหรอก บางทีผ่านไปสักระยะหนึ่งอาจจะกลายเป็นศิลปินเก่าค้างปีของวงการบันเทิงก็ได้ เพราะว่าไม่รู้ทำไมเอเจนซี่ถึงส่งงานมาให้น้อยมากเลย ตอนนี้ฉันเลยมีเวลาว่างมากไงล่ะ” หลินหว่านพูดจบก็แอบมองสำรวจท่าทีของเฉิงเฉิง 


 


 


สายตาของหลินหว่านคอยแอบมองเฉิงเฉิง เธอไม่รู้ว่าเฉิงเฉิงมีส่วนร่วมกับพ่อของเขาทำเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า จึงรอฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างจดจ่อ 


 


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ ระยะนี้คุณกำลังเป็นที่สนใจในวงการไม่ใช่เหรอ นั่นต้องมีพวกเอเจนซี่จำนวนมากวิ่งมาหาคุณอย่างแน่นอน ทำไมถึงไม่มีงานล่ะ หรือว่าคุณถ่อมตัวเกินไป จึงไม่ยอมบอกผม” เฉิงเฉิงยิ้มพลางพูดขึ้น 


 


 


“ถ้าไม่เพราะ…” หลินหว่านไม่พูดต่อ 


 


 


หลินหว่านสังเกตดูอาการของเฉิงเฉิง ท่าทางเขาไม่เหมือนกับเสแสร้งแกล้งทำ หลินหว่านฟันธงว่าเรื่องนี้เขาไม่รู้เรื่องด้วยแน่นอน เธอเห็นว่าจะดึงเฉิงเฉิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เฉิงหมิงทำกับเธอไว้ไม่ได้ หลินหว่านคิดพลางพูดคุยกับเฉิงเฉิงด้วยจิตใจที่กลับเป็นปกติ

 

 

 


ตอนที่ 113

 

พลิกฟื้น

 


 


 


 


“ไม่ได้หลอกนะ คุณอาจเห็นว่าตอนนี้ฉันดูเหมือนจะไปได้ดีในวงการบันเทิง แต่งานยังเข้ามาน้อยมาก อันที่จริงก่อนหน้านี้ยังมีงานเข้ามาเยอะเลย แต่ไม่รู้ทำไมพักนี้กลายเป็นว่ามีงานเข้ามาน้อยมาก คุณก็รู้ว่าแหล่งงานสำคัญกับศิลปินขนาดไหน ถ้าไม่มีงานดีๆ เข้ามา คนใหม่ๆ ก็จะขึ้นแซงหน้าพวกเราที่เป็นคนเก่า และจะกลายเป็นฉากประดับใหม่ของวงการ แล้วพวกเราก็จะค่อยๆ ถูกผู้คนหลงลืมจนหมด” หลินหว่านพูดจบก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเฉิงเฉิงไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงมีอาการเช่นนี้ เขายังพลอยรู้สึกสงสัยไปด้วย ดาราดาวรุ่งที่กำลังมาแรงคนหนึ่งไม่น่าจะมีงานเข้ามาหามากมายหรอกเหรอ 


 


 


“วางใจเถอะ คุณทั้งสวยแล้วก็ขยันตั้งใจทำงานขนาดนี้ต้องมีที่ของคุณในวงการนี้อย่างแน่นอน อย่าปล่อยให้เรื่องพวกนี้มารบกวนให้คุณเสียใจ ในเมื่อวันนี้คุณนัดผมออกมา งั้นพวกเราก็คุยกันให้สมอยากกันเถอะ มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาให้ผมฟังได้นะ” เฉิงเฉิงยิ้มพลางพูด 


 


 


“เฉิงหมิงเป็นพ่อของคุณ ช่วงหลายวันนี้คุณได้ยินเขาพูดอะไรเกี่ยวกับฉันบ้างไหมคะ” 


 


 


หลินหว่านพูดจบใจก็เต้นระรัว เธอไม่รู้ใจตัวเองว่าอยากจะได้ยินคำตอบว่าอะไร แต่ตอนนี้เธออยู่ต่อหน้าเฉิงเฉิง เธอแค่อยากรู้ความจริงบางอย่าง 


 


 


“พ่อของผม? เขาพูดเรื่องคุณทำไมกัน เขากับคุณมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า คุณพูดแบบนี้มันน่าแปลกมากเลยนะ” เฉิงเฉิงพูดเสียงดัง 


 


 


เฉิงเฉิงรู้สึกแปลกใจมาก ทำไมหลินหว่านจึงพูดถึงพ่อเขาขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้มีการติดต่ออะไรกันเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้จู่ๆ ก็พูดถึง ทำให้เฉิงเฉิงรู้สึกคาดไม่ถึง 


 


 


หลินหว่านเห็นสีหน้าประหลาดใจของเฉิงเฉิง ก็เห็นว่าเฉิงเฉิงไม่รู้เรื่องอะไรเลย จึงไม่คิดจะสืบต่อไปอีก 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณนี่ก็อ่อนไหวซะจริง ฉันก็แค่อยากจะถามคุณดูเท่านั้น อย่าถือสาเลยนะคะ” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“อ้อ ผมยังนึกว่าคุณกับพ่อผมเกิดเรื่องอะไรไม่เข้าใจกันเสียอีก เมื่อกี้ผมตกใจหมด ในเมื่อไม่ได้มีเรื่องอะไรกัน งั้นผมก็ไม่ต้องห่วงแล้ว” เฉิงเฉิงยิ้มน้อยๆ ตามมารยาท 


 


 


หลินหว่านกับเฉิงเฉิงพูดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวร่ำลากันไป ชั่วเวลานั้นหลินหว่านไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จากคำพูดของเฉิงเฉิง เธอไม่ได้ข้อมูลสำคัญอะไรเลย 


 


 


ระหว่างทางกลับบ้าน เฉิงเฉิงคิดวนเวียนอยู่แต่คำพูดของหลินหว่าน เขายังรู้สึกว่าการที่หลินหว่านพูดถึงพ่อของเขาขึ้นมาจะต้องมีเรื่องอะไรแน่ เขารู้สึกลึกๆ ว่าหลินหว่านไม่ได้แค่พูดขึ้นเฉยๆ อย่างที่เธอว่า คำพูดประโยคสุดท้ายนั่นก็แค่ตอบเลี่ยงไปเท่านั้น ส่วนหลินหว่านทำไมจึงพูดถึงชื่อพ่อเขาขึ้นมานั้น เรื่องนี้ก็ทำให้เฉิงเฉิงรู้สึกสงสัยเอามากๆ 


 


 


เฉิงเฉิงคิดไปคิดมา เห็นว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายขนาดนั้น เขาสงสัยว่าพ่อกับแม่คงจะทำอะไรไม่ดีกับหลินหว่าน แต่ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจพูดออกมาพล่อยๆ ได้ เฉิงเฉิงตั้งใจว่าจะแอบสืบเรื่องนี้ดู 


 


 


ไม่นานนักเฉิงเฉิงใช้วิธีการของตัวเองสืบจนรู้ว่า พ่อของเขาเป็นคนตัดลดงานของหลินหว่าน ทำให้หลินหว่านตกที่นั่งลำบากไม่มีงานเข้ามา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นฝีมือพ่อของเขาเอง มันทำให้เขารู้สึกโมโหมาก ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือขัดขวางเรื่องทั้งหมดนี้ 


 


 


เฉิงเฉิงบุกเข้าห้องทำงานของเฉิงหมิงพ่อของเขา 


 


 


“วันนี้ไม่มีอะไรทำเหรอ วันนี้ทำไมแกมีเวลามาออฟฟิศพ่อได้ นี่ก็ใกล้เลิกงานแล้ว แกมาตอนนี้ไม่เหมาะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวกลับไปกับพ่อ แม่แกทำของอร่อยไว้ให้” เฉิงหมิงเงยหน้าขึ้นเห็นเฉิงเฉิงเดินเข้ามาก็พูดเสียงเรื่อยๆ  


 


 


เฉิงเฉิงรู้ความจริงเรื่องของหลินหว่านแล้ว รู้สึกโมโหมากต่อการกระทำของพ่อเขา เฉิงเฉิงจ้ำพรวดๆ เข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด 


 


 


“พ่อครับ หลายวันนี้พ่อทำอะไรเลวร้ายไว้บอกผมได้ไหม หรือว่าพ่อจะเลือกไม่พูดเพื่อรักษาหน้าไว้ แต่ผมหวังว่าพ่อจะหยุดซะเดี๋ยวนี้ อย่าให้เรื่องมันเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้เลยนะครับ พ่อทำแบบนี้เป็นการตัดหนทางสู่อาชีพการแสดงของคนอื่น ทำลายความฝันของคนคนหนึ่ง พ่อรู้สึกว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่สำหรับคนอื่นแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต” เฉิงเฉิงพูดอย่างคนมีอารมณ์ขึ้น 


 


 


เฉิงหมิงคิดไม่ถึงว่าลูกชายเขาที่ยากนักจะมาที่ออฟฟิศสักครั้ง แต่กลับมาด้วยท่าทีเช่นนี้กับเขา แล้วยังตะโกนใส่เขา นั่นทำให้เขาโกรธมาก 


 


 


“แกพูดอะไรนะ เรื่องนี้ฉันทำแล้วจะทำไม หรือว่าแกจะช่วยคนนอกด้วย แกต้องจำไว้ว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าให้คนแปลกหน้าคนหนึ่งมาทำร้ายความรู้สึกระหว่างพวกเรา รู้ตัวไหมตอนนี้แกกำลังทำอะไร ยังจะบอกให้ฉันหยุดมืออีก ฉันหวังว่าแกจะเข้าใจการกระทำของฉันให้เร็วกว่านี้” เฉิงหมิงอับอายกลายเป็นความโกรธ ตวาดเข้าใส่เฉิงเฉิง 


 


 


“พ่อ มีมากมายหลายเรื่องที่ผมเคารพนับถือพ่อ แต่เรื่องนี้ ผมไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไรผมต้องปกป้องหลินหว่าน ถึงแม้ว่าจะแลกด้วยผลประโยชน์ของผมก็ตาม ผมจะไม่ปฏิเสธเลย ผมจะไม่ยอมให้พ่อทำผิดต่อไปอีกแล้ว พ่อไม่คิดหรือไงว่าทำเรื่องพวกนี้แล้วผมจะรู้สึกผิดไปด้วย” 


 


 


เฉิงหมิงหน้าแดงหูแดง กัดฟันเสียงดังกรอดๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเฉิงเฉิงจะพูดกับเขาด้วยคำพูดแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนถูกหยามศักดิ์ศรี และทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลินหว่านทำให้เขากับเฉิงเฉิงทะเลาะกัน เขายิ่งรู้สึกเกลียดชังหลินหว่านมากขึ้นไปอีก 


 


 


“หลินหว่าน นังนั่นเป็นตัวอะไร ถึงสามารถทำให้แกมาตะโกนร่ำร้องเอากับฉัน งั้นแกก็ใช้ความสามารถของแกปกป้องมันช่วยมันสิ ฉันจะดูซิว่าแกออกจากบ้านนี้แล้วยังจะทำอะไรได้ ฉันมันไม่ดี ฉันทำอะไรย่อมจะรู้ตัวดีทุกอย่าง” เฉิงหมิงชี้นิ้วตะโกนใส่หน้าเฉิงเฉิง 


 


 


เฉิงเฉิงไม่อยากพูดอธิบายอะไรกับพ่อของเขาอีก เขาหมุนตัวดึงประตูเปิดแล้วออกไปจากออฟฟิศ 


 


 


หลายวันมานี้การงานของหลินหว่านดูเหมือนจะค่อยๆ เริ่มกระเตื้องขึ้นมาบ้าง เช้าวันนี้เธอมาที่บริษัทเพื่อเตรียมตัวไปถ่ายภาพ แต่งานที่ติดต่อเข้ามาก็ต่างไปจากเมื่อก่อนมาก 


 


 


“หลินหว่าน วันนี้มาทำงานแต่เช้าเลย ขยันจังนะ ฉันเป็นผู้จัดการของเธอยังรู้เลยว่าเธอมันนี่บ้างานชะมัด” อวิ๋นซีเห็นหลินหว่านมาบริษัทก็พูดหยอกเย้าเธอ 


 


 


เนื่องจากหลินหว่านค่อยๆ มีงานป้อนเข้ามา จึงดูสดชื่นแจ่มใสขึ้นมาก เธอยิ้มพลางตอบรับอวิ๋นซี 


 


 


“เธอกับเฉิงหมิงทำความเข้าใจกันแล้วเหรอ ทำไมจู่ๆ ก็มีงานเข้ามามากนัก ฝีมือเธอนี่เหนือความคาดหมายฉันจริงๆ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเธอเจ๋งมากเลย” อวิ๋นซีมองหลินหว่านด้วยสายตาชื่นชม 


 


 


“ไม่มีอะไรนี่ แม้แต่หน้าของเฉิงหมิงฉันยังไม่ได้เห็นเลยด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเซียวจิ่งสือ วันนั้นพอเขารู้เรื่องนี้เข้า เขาไม่อยากให้ฉันเสียใจจึงออกไปวิ่งเต้นหางานมาให้ฉัน นอกจากนี้เขายังแนะนำผู้อำนวยการสร้างให้ฉันรู้จักอีกตั้งหลายคนด้วย ความพยายามของเขาเหล่านี้ล้วนไม่เสียเปล่า ค่อยๆ มีคนจำนวนมากเข้ามาติดต่อฉันแล้ว ดังนั้นก็เลยมีสภาพเป็นอย่างตอนนี้ไง” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม 


 


 


หลินหว่านนึกถึงเซียวจิ่งสือแล้วก็อบอุ่นใจขึ้นมา เขามักจะเสนอตัวเข้ามาช่วยยามหลินหว่านประสบความยุ่งยากอยู่เสมอ แล้วช่วยให้เธอผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ และคราวนี้เซียวจิ่งสือพยายามวิ่งเต้นหางานให้กับเธอ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงไปได้ ซึ่งนี่เป็นแค่เรื่องเล็กๆ และธรรมดามากที่เขาทำให้กับเธอ นับแต่หลินหว่านได้พบกับเซียวจิ่งสือ เธอก็มักจะได้รับคำปลอบโยนและความช่วยเหลือจากเขายามเสียใจอยู่เสมอ

 

 

 


ตอนที่ 114

 

อิจฉา

 


 


 


 


ระยะนี้เรื่องของหลินหว่านกำลังได้รับความสนใจอยู่บนอินเทอร์เน็ต ขณะที่อันซิงอยู่ในกองถ่ายละครตลอด 


 


 


ในกองถ่ายที่มีบรรยากาศแบบโบราณนี้ อันซิงสวมชุดแสดงหนาหนักเพื่อรอเวลาเข้ากล้อง ตอนนี้ย่างเข้าฤดูร้อนแล้ว อากาศร้อนจนผู้คนเหงื่อไหลไคลย้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอันซิงที่ยังสวมชุดแสดงที่หนาขนาดนั้น เธอรอจนหงุดหงิดแทบทนไม่ไหวแล้ว 


 


 


ทันใดนั้น คนในกองถ่ายได้ยินเสียง “ตุ๊บ” เหมือนสิ่งของชนเข้ากับร่างคน จากนั้นเป็นเสียงร้องอุทานแหลมสูงของอันซิง “ว๊าย” แล้วตามด้วยเสียงตะโกนด่าลั่น “แกทำอะไรน่ะ ไม่มีตาดูหรือไง” 


 


 


ที่แท้มีคนจากทีมงานทำฉากคนหนึ่งหอบข้าวของกองใหญ่เดินผ่านมาอย่างรีบร้อน จึงไม่ทันระวังชนเข้ากับอันซิง คนงานนั้นถูกเสียงกรีดร้องของเธอทำให้ตกใจจนอุปกรณ์ในมือร่วงกระจายลงพื้น คนงานนั้นไม่ทันเก็บข้าวของบนพื้น เธอตกใจมาก รีบหันมาขอโทษกับอันซิงอย่างหวาดหวั่น “ขอโทษค่ะ พี่อันซิงคะ ฉันผิดเองค่ะ…ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ…” 


 


 


ในกองถ่ายใครบ้างไม่รู้ว่าอันซิงมีคนหนุนหลัง เธอมักจะเอาแต่ใจตัว เหวี่ยงอย่างไม่ยอมลงให้ใคร ด้วยถือตัวว่ามีคนหนุนหลัง คนงานในกองถ่ายหลายคนต่างไม่กล้าทำให้เธอไม่พอใจ 


 


 


คนงานนั้นหวาดกลัวจนตัวสั่น เอ่ยขอโทษอันซิงไม่หยุด มีเรื่องกับอันซิง ไม่ได้เจอดีแน่ อย่างน้อยก็ถูกด่ายกหนึ่ง แย่สุดก็…อาจถึงตกงานก็เป็นได้… 


 


 


“แกทำอะไรเนี่ย ไม่คิดจะทำงานแล้วใช่ไหม” แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่อันซิงยังด่ากราดคนงานนั้นอย่างโมโห พอเห็นสภาพรอบข้างเธอที่มีชิ้นส่วนประกอบฉากกระจายระเกะระกะกับสายตาผู้คนที่พากันมองมา ทำให้ความโกรธของเธอยิ่งเดือดพล่าน 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะต้องถ่ายละครย้อนยุคฟอร์มใหญ่นี่ ตอนนี้เธอก็ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพรอบข้างแบบนี้ ตั้งแต่มีข่าวฉาวของเธอกับเฉิงเฉิง เธอก็ถูกบริษัทแช่แข็ง ไม่แค่แฟนคลับลดน้อยลงไปเป็นกอง ชื่อเสียงก็ร่วงลงไปไม่น้อย 


 


 


ตอนนี้ทางบริษัทให้เธอแสดงละครย้อนยุคเพื่อจะได้เพิ่มแฟนละคร แต่อันซิงกลับไม่ชอบสภาพแวดล้อมของที่นี่เอาซะเลย เธอยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห จึงสาดความโกรธเข้าใส่คนงานที่กำลังก้มศีรษะขอโทษอยู่คนนั้น “พอแล้ว! ไสหัวไปซะ! ต่อไปไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!” 


 


 


คนงานรีบเก็บอุปกรณ์ขึ้น แล้วหลบออกไปอย่างเงียบๆ อันซิงเห็นเช่นนั้นก็ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง 


 


 


ตอนนั้นเอง ผู้ช่วยถือชานมเย็นมาช่วยคลายร้อนให้อันซิงถ้วยหนึ่ง อันซิงเอนตัวลงบนเก้าอี้ยาว ดื่มชานมเย็นไปพลางเล่นมือถือไปพลาง คนในกองถ่ายไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน เกะกะกีดขวางสายตาเธอ 


 


 


อันซิงเปิดดูเวยปั๋ว อยากจะดูว่าช่วงนี้เธอมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เพียงแต่…พอเปิดเวยปั๋วขึ้นมา อันซิงก็เห็นข่าวหลินหว่านจะไปร่วมงานเทศกาลหนังอยู่บนแท่นข่าวฮอต 


 


 


พูดถึงหลินหว่าน อันซิงก็ของขึ้นอีก ระยะนี้ด้วยความช่วยเหลือของเซียวจิ่งสือ หลินหว่านได้เป็นข่าวเรื่อยๆ ดึงดูดแฟนคลับได้กลุ่มใหญ่ อย่างว่ากระแสคนกำลังมาแรง อันซิงได้แต่นึกริษยาอยู่ในใจแต่ไม่อาจทำอะไรได้ 


 


 


แต่ว่าอันซิงไม่เชื่อว่าเธอจะแพ้หลินหว่าน เธอคว้าชานมเย็นที่ด้านข้างมาดื่มคำหนึ่ง จุดประกายความคิดวาบขึ้น แผนหนึ่งผุดขึ้นในหัวทันที 


 


 


ตอนเย็น อันซิงถ่ายละครเสร็จกลับเข้าห้องพักในโรงแรม คิดถึงแผนจัดการหลินหว่านเมื่อตอนเช้า ใบหน้ายิ้มหมายมาดอย่างมุ่งร้าย 


 


 


คราวนี้เธอจะต้องทำให้หลินหว่านไม่มีโอกาสโงหัวขึ้นมาได้อีก  


 


 


อันซิงหยิบมือถือขึ้นมา โทรหาเบอร์หนึ่ง พอปลายสายมีคนรับ อันซิงก็รีบพูดขึ้นว่า “สวัสดีค่ะ บริษัทแพลนบี คอมมูนิเคชั่นใช่ไหมคะ…” 


 


 


หลังจากวางสาย อันซิงก็ติดต่อบริษัทที่ให้บริการจัดการสื่อบนสังคมออนไลน์อีกหลายบริษัท เธอพูดเหมือนกับบริษัทแรกทุกอย่าง 


 


 


เมื่อแผนการวางไว้แล้ว หลังวางสาย อันซิงก็เหมือนจะเห็นภาพที่หลินหว่านถูกถล่มยับจนไม่มีโอกาสโงหัวขึ้นมาอีก เธอรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจมาก 


 


 


วันต่อมา หลินหว่านจะไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก งานเทศกาลภาพยนตร์นี้แม้จะจัดในประเทศ แต่ก็มีอิทธิพลในวงการต่างประเทศอย่างมาก ภายในงานจะมีผู้กำกับและนักแสดงจากต่างประเทศไม่น้อยมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย 


 


 


ด้วยหนังที่หลินหว่านเคยแสดงก่อนหน้านี้ทำให้เธอได้รับเชิญให้ร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ เธอดีใจมากและไม่กล้าเมินแม้แต่น้อย 


 


 


แฟนคลับของหลินหว่านพอรู้ว่าเธอได้รับเชิญให้มาร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแบบนี้ต่างก็พากันตั้งตาคอยดูการปรากฏตัวของเธอ และพากันออกมาเชียร์และให้กำลังใจเธอ 


 


 


ตอนบ่าย ในพิธีเปิดงานเทศกาล หลินหว่านปรากฏตัวอย่างงดงามต่อหน้าสาธารณชนด้วยชุดเดรสยาวหางปลาแบบเปิดหลัง กระโปรงยาวชุดนี้เน้นสัดส่วนโค้งเว้าบนร่างเธอ ดีไซน์หางปลากับส่วนที่เปิดหลังทำให้หลินหว่านโดดเด่นด้วยเสน่ห์เย้ายวน ทำให้เธอดูสูงสง่างดงาม 


 


 


พอหลินหว่านปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาทุกคนไว้ กลายเป็นจุดรวมความสนใจ เหล่าตากล้องในงานพากันหันกล้องมาทางหลินหว่าน เมื่อภาพถ่ายของเธอถูกส่งขึ้นเวยปั๋ว ก็กลายเป็นจุดกระแสความร้อนแรงขึ้น ดึงดูดแฟนคลับให้กับหลินหว่านได้อีกระลอก 


 


 


หลังงานพิธีเปิด ถึงกับมีชาวต่างชาติอีกไม่น้อยที่เข้ามาพูดคุยกะลิ้มกะเหลี่ยกับหลินหว่าน หลินหว่านยิ้มและตอบรับกับพวกเขาคนแล้วคนเล่า ขณะที่ในใจกลับนึกว่าไม่น่าเลย วันนี้ตอนแต่งตัวลิลลี่เลือกกระโปรงชุดนี้ให้เธอ พอเธอลองสวมดู รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมที่จะใส่มาร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ แต่อวิ๋นซีกลับเห็นว่าเหมาะกับหลินหว่าน จึงให้หลินหว่านสวมชุดกระโปรงชุดนี้มาร่วมงานให้ได้ 


 


 


รู้อย่างนี้ไม่น่าเชื่อพวกเขาสองคนเลย หลินหว่านฝั่งหนึ่งรับมือกับคนที่เข้ามาตีสนิท ฝั่งหนึ่งก็คิดในใจ เธอกำลังจะแอบไปเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงของชาวต่างชาติดังขึ้นมาที่ข้างกายเธอ “หนีเฮ่า…” 


 


 


หลินหว่านได้ยินเสียงแล้วหันกลับไปมอง ปรากฏว่าตกใจแทบจะอ้าปากค้าง “ม…แมทธิว…”  


 


 


แมทธิวเป็นผู้กำกับใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศ หนังที่เขากำกับมีผู้ชมอยู่ทั่วโลกมากมายจนนับไม่ถ้วน เขาไม่เพียงได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ แต่ในประเทศก็ยังมีแฟนที่ติดตามผลงานเขากลุ่มใหญ่ 


 


 


แมทธิวก็ได้รับเชิญให้มาร่วมในงานเทศกาลหนังครั้งนี้ด้วย บรรดาผู้ชมในประเทศจีนต่างรอคอยการมาถึงของเขา พอเห็นว่าแมทธิวมาพูดกับเธอ หลินหว่านก็เข้าไปทักทายเขาด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจด้วยว่าแมทธิวก็เป็นผู้กำกับชาวต่างประเทศที่เธอชอบมากที่สุดคนหนึ่ง 


 


 


หลินหว่านเข้าใจว่าแมทธิวแค่ผ่านมาโดยบังเอิญและทักทายกับเธอ แต่หลังจากได้พูดคุยกันแล้ว หลินหว่านพบว่าแมทธิวเคยได้ยินชื่อเธอมาก่อน ชั่วขณะนั้นเธอรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก 


 


 


หลินหว่านกับแมทธิวพูดคุยกันได้เป็นอย่างดี ส่วนแมทธิวนั้นหลังจากได้พูดคุยกับหลินหว่าน เขาก็พบว่าการอุปนิสัยหน้าตา ท่าทางการพูดคุยของหลินหว่าน ล้วนถูกใจเขาไปหมด พอคิดดูแล้ว แมทธิวก็เชิญชวนอย่างกระตือรือร้นให้หลินหว่านไปร่วมทดสอบหน้ากล้องหนังเรื่องใหม่ของเขา อีกทั้งมีท่าทียินดีเป็นอย่างยิ่งที่หลินหว่านจะได้แสดงบทบาทหนึ่งในตัวละครนั้น 


 


 


หลินหว่านฟังแล้วแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง แมทธิวชวนให้เธอไปทดสอบหน้ากล้องหนังใหม่ของเขา 


 


 


งั้น…นี่ช่างเป็นวันที่น่าปลื้มปลิ่มเสียจริง!  


 


 


วันนี้ พอหลินหว่านกลับไป เธอก็รีบแบ่งปันข่าวดีนี้ให้อวิ๋นซี ลิลลี่และเซียวจิ่งสือได้ร่วมยินดีกับเธอด้วย

 

 

 


ตอนที่ 115

 

ถูกขัดขวาง

 


 


 


 


เซียวจิ่งสือ อวิ๋นซีและลิลลี่พอได้ฟังว่าแมทธิวเชิญชวนหลินหว่านให้ไปทดสอบหน้ากล้องหนังเรื่องใหม่ของเขา ทั้งสามล้วนดีใจไปกับเธออย่างยิ่ง โดยเฉพาะเซียวจิ่งสือ เขาชมเธอตั้งแต่ฟ้าจรดดินไม่มีว่างเว้น พูดว่า “หว่านหว่าน ผมเชื่อว่าคุณนี่ล่ะ จะเป็นราชินีจอเงินระดับโลกคนต่อไป!” 


 


 


“เซียวจิ่งสือ คุณอย่าเพิ่งดีใจไปก่อนเลย แมทธิวแค่ให้ฉันไปร่วมทดสอบหน้ากล้องด้วยเท่านั้น…” หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือที่มีอาการตื่นเต้นดีใจเกินหน้าเธอ จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ 


 


 


“หว่านหว่าน ผมเชื่อว่าจะต้องมีวันนั้นแน่! คุณก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเองด้วย!” เซียวจิ่งสือฟังแล้วพูดกับเธอพร้อมกับกระพริบดวงตาพราวระยับคู่นั้น 


 


 


หลินหว่านเห็นแล้ว จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นในใจ ความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีที่ได้เป็นที่คาดหวังของใครสักคน ถูกใครบางคนเชื่อมั่น 


 


 


แต่ว่า…หลายวันผ่านไป คำเชิญของแมทธิวที่ให้หลินหว่านไปทดสอบหน้ากล้องหนังใหม่ของเขากลับเงียบหายไป ไม่เพียงแต่หลินหว่านที่ไม่ได้รับข่าวอะไรจากทางแมทธิวเลย ทางบริษัทติดต่อกับคนของแมทธิว แต่ทางนั้นก็ไม่ตอบกลับมาเลย 


 


 


หรือว่าตอนนั้นแมทธิวแค่พูดเล่นกับเธอไปอย่างนั้นเอง หลินหว่านไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ แต่เธอแค่ไม่อยากเชื่อ ตอนนั้นท่าทีของแมทธิวดูจริงใจ ไม่เหมือนจะมาหลอกเธอ 


 


 


หลายวันผ่านไป เรื่องนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ในที่สุดหลินหว่านก็ยอมรับว่ามันเป็นแค่ความดีใจเพียงชั่ววูบ หรือบางทีคำพูดของเธอประโยคที่ว่า ‘ดีใจเร็วเกินไป’ นั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาล่ะมั้ง 


 


 


ตึกเซวี่ยนจื่อของตระกูลตู้ ภายในห้องผู้บริหารที่เป็นเขตหวงห้ามสำหรับบุคคลภายนอก อันจี๋ถิงหลังจากได้ฟังข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุดของหลินหว่านที่เธอให้ผู้ช่วยไปสืบมาแล้ว รู้สึกตื่นตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก 


 


 


เมื่อหลายวันก่อน อันจี๋ถิงอยากจะเปิดตัวกับหลินหว่าน แม้จะถูกห้ามไว้ แต่เธอยังเป็นห่วงหลินหว่านอยู่ดี จึงส่งคนไปสืบข่าวเกี่ยวกับหลินหว่านมาทั้งหมด 


 


 


แม้จะไม่อาจเปิดตัวกับหลินหว่าน แต่ยังได้รับรู้ความเป็นอยู่ในระยะนี้ของเธอว่าดีหรือไม่ ได้แอบปกป้องเธอ แค่นี้อันจี๋ถิงก็รู้สึกพอใจมากแล้ว 


 


 


แต่วันนี้ข่าวเกี่ยวกับหลินหว่านที่สืบมาได้กลับทำให้อันจี๋ถิงตกใจมาก เธอพูดอย่างคาดไม่ถึงว่า “เธอบอกว่า ระยะนี้หลินหว่านถูกคนแอบกลั่นแกล้ง แล้วยังเป็นเฉิงหมิงสั่งให้คนไปทำอีกด้วย” 


 


 


ผู้ช่วยผงกศีรษะแล้วพูดอีกว่า “ใช่ค่ะ ฉันยังสืบทราบว่า เมื่อเร็วๆ นี้แมทธิวผู้กำกับชื่อดังในต่างประเทศอยากจะร่วมงานกับหลินหว่าน แต่ถูกเฉิงหมิงแอบขัดขวางไว้” 


 


 


อันจี๋ถิงได้ฟังแล้วรู้สึกทั้งโกรธและเสียใจ “ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้นด้วย หลินหว่านเป็นลูกสาวเขาแท้ๆ นะ ทำไมเขาต้องลงมือทำร้ายหลินหว่านด้วย” 


 


 


“หรือว่าเพราะหลินหว่าน…” จากนั้น อันจี๋ถิงก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง หรือว่าเฉิงหมิงเข้าใจผิดเรื่องชาติกำเนิดของหลินหว่าน โยนความเกลียดชังที่มีต่อเธอไปลงที่หลินหว่าน 


 


 


ต้องเป็นเช่นนี้แน่ อันจี๋ถิงนึกถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว เธอดิ้นรนลุกขึ้นจากเก้าอี้รถเข็นจนได้ พยายามจะเดินออกไป พูดว่า “ไม่ได้ ฉันต้องไปพบเฉิงหมิง ฉันจะบอกเขาว่าหลินหว่านเป็นลูกแท้ๆ ของเขา ฉันจะไปบอกความจริงทั้งหมดในตอนนั้นให้เขาฟัง!” 


 


 


ผู้ช่วยของอันจี๋ถิงเห็นเช่นนั้นก็รีบห้ามเธอไว้ พูดว่า “ไม่ได้นะคะ! คุณออกไปไม่ได้นะคะ!” 


 


 


อันจี๋ถิงผลักผู้ช่วยที่มาห้ามเธอออกไป พูดว่า “ไม่…ปล่อยนะ เพื่อหว่านหว่าน ฉันต้องไปบอกเฉิงหมิงเรื่องชาติกำเนิดของเธอ” 


 


 


ตอนนั้นเอง ประตูห้องถูกผลักเปิดออก ตู้เซวี่ยนเดินเข้ามา พอเห็นสภาพเช่นนี้ เขาก็มีท่าทางตึงเครียดเป็นกังวลขึ้นมา ตู้เซวี่ยนรีบถามอันจี๋ถิงอย่างร้อนรน “จี๋ถิง คุณเป็นอะไรไป?” 


 


 


“ตู้เซวี่ยน ฉันจะไปหาเฉิงหมิง! ฉันจะบอกเขาว่าหลินหว่านเป็นลูกสาวเขา…” อันจี๋ถิงพูดอย่างร้อนใจ 


 


 


ตู้เซวี่ยนไม่เข้าใจอาการเช่นนี้ของอันจี๋ถิง จึงได้แต่พูดปลอบว่า “จี๋ถิง คุณสงบใจก่อน เล่าให้ผมฟังก่อนสิว่าเกิดอะไรขึ้นได้ไหม” 


 


 


หลังจากอันจี๋ถิงกับผู้ช่วยเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ตู้เซวี่ยนฟังแล้ว ตู้เซวี่ยนถอนใจออกมาแล้วพูดกับอันจี๋ถิงว่า “จี๋ถิง ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงหลินหว่าน แต่ว่าคุณในสภาพอย่างตอนนี้ไปสารภาพเรื่องในตอนนั้นกับเฉิงหมิง คุณว่าเขาจะเชื่อไหม” 


 


 


“เขา…เฉิงหมิงเขา…” อันจี๋ถิงฟังแล้ว นิ่งอึ้งอยู่กับที่ ใช่สิเธอไม่ได้คิดมาก่อนเลย 


 


 


ตู้เซวี่ยนพูดกับอันจี๋ถิงอีกว่า “จี๋ถิง พวกเราตกลงกันไว้แต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องชาติกำเนิดของหลินหว่าน พวกเราจะรอจังหวะโอกาสที่ดี เดินตามแผนไปทีละก้าวอย่างช้าๆ ใช่หรือเปล่า” 


 


 


“แต่ว่า…ฉันเป็นห่วงหลินหว่านจริงๆ นะ” อันจี๋ถิงได้ฟังก็สงบจิตใจลงได้ แต่ยังพูดอย่างกังวล 


 


 


“เรื่องของหลินหว่านคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ยังมีผมอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ จี๋ถิง คุณต้องเชื่อผม ผมจะให้คนของบริษัทไปสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดเอง ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมจะแอบช่วยเธอเอง” พอเห็นว่าอันจี๋ถิงอารมณ์ดีขึ้น ตู้เซวี่ยนก็พูดปลอบใจเธอ 


 


 


“งั้นก็ได้…ขอบคุณนะคะ ตู้เซวี่ยน” สุดท้าย อันจี๋ถิงก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปหาเฉิงหมิง 


 


 


ตู้เซวี่ยนเห็นแล้วก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก พูดว่า “จี๋ถิง คุณกับผมยังจะพูดขอบคุณอะไรกันอีก” 


 


 


เนื่องจากผู้กำกับแมทธิวไม่ติดต่อกลับมา หลินหว่านรู้สึกเหมือนตัวเองถูกคนหลอกเล่น หลายวันมานี้เธอจึงซึมเศร้าเหงาหงอยทั้งวัน วันนี้เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านอารมณ์ไม่ดี จึงปลีกเวลามาพาเธอไปเที่ยวทั้งวัน 


 


 


ตกเย็น หลังจากเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านออกมาจากร้านอาหารแห่งหนึ่ง เซียวจิ่งสือเห็นสีหน้าหลินหว่านดูสบายใจขึ้น จึงคิดว่าเธอคงอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว 


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าค่ำมืดแล้วจึงส่งหลินหว่านกลับบ้าน พอหลินหว่านลงจากรถ เซียวจิ่งสือก็รั้งตัวหลินหว่านเอาไว้ ใช้ดวงตาพราวระยับทั้งคู่สะกดใจหลินหว่าน แล้วถามเสียงออดอ้อนว่า “หว่านหว่าน วันนี้คุณมีความสุขไหม” 


 


 


หลินหว่านผงกศีรษะ เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้นก็พูดต่อว่า “หว่านหว่าน เรื่องผ่านไปแล้วก็อย่าไปคิดถึงมันอีกเลยนะ หวังว่าความสุขที่วันนี้ผมนำมาจะเติมเต็มหัวใจคุณ ผมแค่อยากเห็นหลินหว่านที่มีความสุข” 


 


 


หลินหว่านรู้ความตั้งใจของเซียวจิ่งสือที่วันนี้พาเธอออกไปแต่แรก เธอพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ” 


 


 


เซียวจิ่งสือปล่อยตัวหลินหว่าน แล้วพูดกับเธออีกว่า “ดึกแล้ว หว่านหว่าน ราตรีสวัสดิ์” 


 


 


“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านพูดพร้อมกับสบตาเซียวจิ่งสือผ่านหน้าต่างรถ 


 


 


หลินหว่านมองตามเซียวจิ่งสือจนลับหายไปแล้วกลับเข้าบ้าน ตอนนั้นเอง เธอได้เห็นว่าที่หน้าประตูบ้านมีห่อพัสดุชิ้นหนึ่งวางอยู่ หลินหว่านเก็บขึ้นมาอย่างแปลกใจ พอเห็นตัวอักษรบนห่อเธอก็สะดุ้งตกใจ 


 


 


บนห่อพัสดุเขียนว่า “อันจี๋ถิงมอบให้กับหลินหว่าน” หลินหว่านข่มความรู้สึกประหลาดใจไว้ เธอถือห่อพัสดุเข้ามาในบ้าน 


 


 


พอกลับเข้าบ้าน หลินหว่านก็รีบเปิดห่อพัสดุออกทันที ห่อพัสดุนี้เป็นของที่แม่เธอส่งให้เธอจริงๆ  เหรอ ข้างในเป็นอะไรกันแน่ 


 


 


พอเปิดห่อออก ข้างในเป็นเอกสารข้อมูลหนาๆ ปึกหนึ่ง หลินหว่านอ่านดูโดยละเอียดแล้ว รู้สึกตื้นตันและประหลาดใจอย่างล้นเหลือ 


 


 


เอกสารพวกนี้เป็นทรัพย์สินของแม่เธอตอนยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าตอนนี้ได้โอนมาเป็นชื่อเธอด้วยวิธีการที่เรียกว่า ‘ส่งมอบให้’

 

 

 


ตอนที่ 116

 

ทนายความ

 


 


 


 


หลินหว่านเหม่อมองดูของในห่อ รู้สึกประหลาดใจมาก ทำไมเธอจึงได้รับห่อของนี้ ใครกันส่งของพวกนี้มาให้เธอ 


 


 


ถึงตอนนี้จู่ๆ ในหัวของเธอก็เกิดความคิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ขึ้นมา หรือว่าแม่ของเธอ…ยังไม่ตาย 


 


 


แม่เธอจากไปตั้งแต่เธอยังเล็ก ในตอนนั้นเธอยังอยู่ที่บ้านตระกูลอัน คนของบ้านตระกูลอันไม่เคยดีกับเธอ โดยเฉพาะอันโฮ่วสยง ตอนเขามองดูเธอ สายตามีแต่ความรังเกียจ เหมือนเธอเป็นอะไรที่น่าอับอายอย่างนั้น 


 


 


ต่อมาเธอจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะแม่ของเธอ เธอเป็นเด็กที่เกิดมาจากแม่ที่ท้องไม่มีพ่อ ในสายตาของอันโฮ่วสยงเธอเป็น ‘ลูกนอกสมรส’ เป็น ‘รอยด่าง’ ที่ทำให้บ้านตระกูลอันแปดเปื้อนสกปรก 


 


 


ช่วงหลายวันก่อนที่แม่ตาย แม่ไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลอัน แต่กลับทิ้งเธอไว้ที่บ้านตระกูลอันเพียงลำพัง หลายวันนั้นเธออยู่ที่บ้านตระกูลอันอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อันซิงคอยหาเรื่องเธอ แย่งของเล่นเธอ แม้แต่คนรับใช้ที่มองเธออย่างเฉยชาก็แอบรังแกเธอ เธอเฝ้ารอคอยให้แม่กลับมาไวๆ ตอน แม่อยู่ด้วยอย่างน้อยบ้านตระกูลอันก็ยังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันเธอก็ได้ข่าวว่าแม่ฆ่าตัวตาย 


 


 


เรื่องนี้สำหรับเธอที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เหมือนเป็นฝันร้าย นับจากนั้นมา อันซิงก็ยิ่งรังแกเธอหนักขึ้น อันโฮ่วสยงไม่แม้แต่จะมองเธอ เธอจึงได้แต่อาศัยอยู่ในบ้านตระกูลอันอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้น จนกระทั่งก่อนที่เธอจะเข้าสู่วงการบันเทิง 


 


 


ตอนนี้พอนึกขึ้นมาแล้ว หลินหว่านนอกจากจะถอนหายใจกับเสียใจแล้วก็เหลือแค่ความสงสัยอยู่บ้าง ตอนนั้นแม่เธอทำไมถึงต้องฆ่าตัวตายด้วย แล้วฆ่าตัวตายอย่างไร นอกจากนี้ ได้ยินว่าต่อมาบ้านตระกูลอันหาศพของแม่ไม่พบ อย่างนั้น เป็นไปได้ไหมที่แม่ของเธอจะยังมีชีวิตอยู่ 


 


 


ความคิดนี้พอผุดขึ้นในใจหลินหว่านแล้ว ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็สลัดมันออกไปไม่ได้ 


 


 


เอกสารพวกนี้ทำไมจึงมาปรากฏตรงหน้าเธอในตอนนี้ แต่ไม่ส่งมาให้เธอหลังจากแม่เสียแล้ว เรื่องเวลา…มันน่าสงสัยมาก ไม่ใช่หรือไง แล้วยังมีอีก เอกสารพวกนี้ล้วนเป็นหลักฐานแสดงทรัพย์สินของแม่เธอ นอกจากแม่เธอเองแล้ว ยังจะมีใครมีสิทธิ์ที่จะส่งมอบพวกมันให้เธอ 


 


 


หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งไปไกล ไม่แน่นะ แม่เธออาจยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ คอยดูเธออยู่เงียบๆ มองดูเธอเติบโตขึ้นอยู่ห่างๆ  


 


 


ค่ำคืนนี้ หลินหว่านนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาอยู่ทั้งคืน เธอคิดวนเวียนถึงตอนเป็นเด็ก ช่วงเวลาที่อยู่กับแม่ สุดท้ายกลายเป็นว่าเธอร้องไห้ทั้งคืน 


 


 


วันรุ่งขึ้น หลินหว่านคอยคิดพะวงแต่เรื่องนี้ ตอนถ่ายโฆษณาช่วงเช้าจึงอยู่ในอาการเบลอตลอด 


 


 


อวิ๋นซีเห็นอาการผิดปกติของเธอ จึงหาช่วงพักผ่อนเข้ามา ขมวดคิ้วถามเธอว่า “หว่านหว่าน เธอเป็นอะไรน่ะ วันนี้ดูเหมือนเธอไม่ค่อยปกติเลยนะ” 


 


 


พูดพลางอวิ๋นซีก็นึกถึงสภาพหลินหว่านก่อนหน้านี้ตอนเข้าถึงบทลึกเกินไป หรือว่าหลินหว่านกลับไปมีอาการแบบก่อนหน้านี้อีก 


 


 


หลินหว่านส่ายหน้า แข็งใจฝืนยิ้มออกมา พูดกับอวิ๋นซีว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก 


 


 


แต่อวิ๋นซีเห็นสภาพหลินหว่านเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกยังไม่วางใจ แต่ยังดีที่ต่อมาหลินหว่านทำได้ไม่เลว การถ่ายโฆษณาจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว 


 


 


พอถ่ายโฆษณาเสร็จ อวิ๋นซีกับหลินหว่านกำลังจะกลับ ทันใดมือถือของหลินหว่านก็ดังขึ้น 


 


 


หลินหว่านรับสาย ปลายสายอีกด้านหนึ่งมีเสียงของชายกลางคนคนหนึ่งดังมา เขาพูดช้าๆ ว่า “สวัสดีครับ คุณหลิน ห่อพัสดุเมื่อวานคุณได้รับแล้วใช่ไหมครับ” 


 


 


พอได้ยินเสียงพูดจากปลายสาย หลินหว่านตื่นตะลึงสุดๆ ถามคนในสายว่า “ทำไมคุณถึงรู้เรื่องห่อพัสดุ คุณเป็นใคร…” 


 


 


คนในสายพูดขัดขึ้น “คุณหลิน ผมเป็นทนายส่วนตัวของแม่คุณตอนยังมีชีวิตอยู่ ห่อพัสดุนั่นผมเป็นคนส่งให้คุณเอง นั่นเป็นมรดกที่แม่คุณทิ้งไว้ให้ ผมหวังว่าคุณจะดูแลรักษาพวกมันอย่างดี” 


 


 


“ทนายส่วนตัว?” พอฟังคำพูดของเขาจบ สีหน้าของหลินหว่านก็เปลี่ยนเป็นซีดขาว เพราะเขาบอกว่าเขาเป็นทนายส่วนตัวของแม่เธอ ‘ตอนยังมีชีวิตอยู่’ ได้ทำลายความคาดหวังว่าแม่เธอจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไป 


 


 


“ใช่ครับ ตอนแม่คุณยังอยู่ ผมเป็นทนายส่วนตัวควบตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงิน ผมเป็นผู้ดูแลจัดการทรัพย์สินส่วนตัวให้เธอทั้งหมด ผมเป็นคนส่งห่อพัสดุนั่นให้คุณ ข้างในเป็นของที่แม่คุณทิ้งได้ไว้ให้ หวังว่าคุณจะดูแลมันให้ดี” ทนายความพูดขึ้นอีก 


 


 


หลินหว่านนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ที่แท้ความจริงเป็นอย่างนี้เอง…หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถามทนายความนั้นว่า “คุณทนายคะ เรามาพบกันสักหน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


ปลายสายอีกด้าน ทนายความตอบรับอย่างรวดเร็ว แล้วระบุสถานที่เวลานัดพบกัน หลินหว่านวางสายแล้วหันไปพูดกับอวิ๋นซีว่า “อวิ๋นซี ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการหน่อย กลับบริษัทไปกับเธอไม่ได้แล้ว เธอกลับไปคนเดียวก่อนเถอะนะ” 


 


 


“เรื่องอะไรเหรอหว่านหว่าน เธอเป็นไรหรือเปล่า ต้องให้ฉันช่วยไหม” เมื่อครู่อวิ๋นซีอยู่ด้านข้างได้ยินหลินหว่านคุยโทรศัพท์แว่วๆ ว่าเธอพูดถึงทนายความ จึงถามอย่างเป็นห่วง 


 


 


“ขอบคุณค่ะอวิ๋นซี เรื่องนี้ฉันจัดการเองได้ค่ะ” หลินหว่านพูด พอพูดจบก็รีบจากไป 


 


 


อวิ๋นซีเห็นว่าวันนี้หลินหว่านทำตัวแปลกมาก พอเธอกลับถึงบริษัท ก็โทรบอกเซียวจิ่งสือเรื่องที่วันนี้มีโทรศัพท์แปลกๆ มาหาหลินหว่าน 


 


 


สถานที่นัดพบเป็นร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พอหลินหว่านมาถึงก็พบว่ามีชายกลางคนคนหนึ่งรออยู่ พอเขาเห็นเธอก็พูดว่า “สวัสดีครับ คุณหลิน ผมเป็นทนายส่วนตัวของแม่คุณตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมแซ่จ้าว” 


 


 


ผู้ชายตรงหน้าดูมีอายุไม่น้อยแล้ว ลงพุงเล็กน้อย หลินหว่านนั่งลงตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยปากถามตรงๆ ว่า “ทนายจ้าวคะ แม่ฉันเธอเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ เหรอคะ” 


 


 


ทนายเจ้าฟังแล้วชะงักไปขณะหนึ่ง แล้วรีบพูดขึ้นว่า “คุณหลิน คุณพูดอะไรนะครับ แม่คุณฆ่าตัวตายไปตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมเธอจะยังมีชีวิตอยู่อีก” 


 


 


แม้จะเป็นคำตอบที่รู้อยู่แล้ว หลินหว่านก็ยังไม่ยอมเชื่อ ถามอีกว่า “แต่ว่า…ทำไมห่อพัสดุของแม่ฉันเพิ่งจะมาเอาตอนนี้ล่ะคะ” 


 


 


ทนายจ้าวอธิบายว่า “หลังจากที่แม่คุณเสียชีวิตไปแล้ว ทรัพย์สินส่วนตัวของเธอทั้งหมดถูกบ้านตระกูลอันฮุบเอาไป ห่อพัสดุที่ผมส่งให้คุณนั้น ข้างในเป็นทรัพย์สินของแม่คุณส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่พวกเราเองก็เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ คุณเป็นบุตรสาวของเธอ พอพวกเราพบเข้าก็ส่งมันมาให้คุณทันที” 


 


 


พอได้ฟังคำอธิบาย หลินหว่านไม่รู้จะพูดอะไรดี บางทีเมื่อคืนเธอคงคิดฝันไปเอง ถึงกับรู้สึกว่าแม่เธอยังมีชีวิตอยู่ สำหรับคำอธิบายนี้ เธอก็ได้แต่ยอมรับมัน หลินหว่านพูดอีกว่า “ขอบคุณนะคะทนายจ้าว ขอบคุณที่ส่งของของแม่มาให้ฉัน” 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ คุณหลิน แต่คุณก็อย่าเสียใจเรื่องแม่คุณเกินไปนักเลย ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว” ทนายจ้าวพูดปลอบหลินหว่าน 


 


 


สุดท้าย ทนายจ้าวยังเล่าเรื่องแม่ของหลินหว่านตอนยังมีชีวิตอยู่ให้เธอฟังมากมาย ทำให้นอกจากหนังและข่าวในตอนนั้นแล้ว หลินหว่านได้รับรู้เรื่องราวใหม่ๆ ของแม่เธอมากขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 117

 

คำเชิญจากหนังเรื่องใหม่

 


 


 


หลังจากพบกับทนายจ้าวแล้ว หลินหว่านกลับเข้าบ้าน ในตอนบ่าย ขณะเธอกำลังจัดการกับข้าวของของแม่เธออยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


 


หลินหว่านเปิดประตูออก เซียวจิ่งสือยืนอยู่นอกประตู พอเห็นหลินหว่าน เขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับมองสำรวจหลินหว่านอย่างละเอียด แล้วถามเหมือนไม่ตั้งใจนักว่า “หว่านหว่าน เธออยู่บ้านทำอะไรน่ะ ผมได้ยินอวิ๋นซีบอกว่าวันนี้คุณดูไม่ค่อยดีนัก คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เอาอย่างนี้ ผมพาคุณออกไปผ่อนคลายหน่อยดีไหม”


 


 


ตอนนั้นเอง เขาเห็นห่อพัสดุที่หลินหว่านกำลังจัดการอยู่ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “หว่านหว่าน นี่มันอะไรน่ะ”


 


 


พูดพลาง เซียวจิ่งสือก็หยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมาอ่านผ่านๆ จากนั้นก็โพล่งขึ้นอย่างแปลกใจว่า “หว่านหว่าน น…นี่มันของของแม่คุณนี่ คุณไปได้มาจากไหน” เขามองมาทางหลินหว่านอย่างสงสัย


 


 


“นี่เป็นของที่แม่ฉันทิ้งไว้ให้ เซียวจิ่งสือ เรื่องนี้พูดไปแล้ว ฉันก็รู้สึกเหลือเชื่ออยู่เหมือนกัน…” จากนั้นหลินหว่านก็เล่าเรื่องที่เธอได้รับห่อพัสดุกับได้พบทนายจ้าวให้เซียวจิ่งสือฟัง ถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดจะปิดบังเซียวจิ่งสืออยู่แล้ว


 


 


“ดังนั้น นี่ก็คือสาเหตุที่วันนี้คุณไม่ปกติงั้นเหรอ” เซียวจิ่งสือฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว นอกจากประหลาดใจแล้วยังถึงบางอ้ออีกด้วย จึงหันมาถามหลินหว่าน


 


 


“ค่ะ อวิ๋นซีบอกคุณล่ะสิคะ” พอเปิดประตูออกเห็นเซียวจิ่งสือ หลินหว่านก็รู้ว่าอวิ๋นซีบอกเซียวจิ่งสือเรื่องที่วันนี้เธอมีดูไม่ปกตินัก


 


 


จากนั้นหลินหว่านรำพึงรำพันขึ้นว่า “เซียวจิ่งสือคะ หลังจากได้รับห่อพัสดุ ทำให้ฉันคิดว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า…จะเป็นไปได้ยังไงกันนะ วันนี้ทนายจ้าวเล่าเรื่องของแม่ให้ฉันฟังตั้งมากมาย ฉันยังคิดว่า ถ้าหากเธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วมาอยู่กับฉันได้ มันจะดีขนาดไหนกันนะ แต่ว่าในใจฉันรู้ดีอยู่ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก…”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านตกอยู่ในภวังค์ความคิดถึงแม่ จึงได้แต่พูดปลอบเธอว่า “หว่านหว่าน เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าคิดมากไปเลยนะ ถึงแม้ว่าแม่ของคุณไม่อาจอยู่ข้างกายคุณได้ แต่คุณยังมีผมนี่นา…ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป จนถึงแก่กันไปเลย”


 


 


หลินหว่านได้ฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เขาที่คอยอยู่ข้างกายเธอ บอกรักเธอตลอด คนที่ทำให้เธอยอมรับและคอยปกป้องเธอ ทำทุกอย่างเพื่อเธอด้วยความเต็มใจก็คือเขา


 


 


หลินหว่านใจอ่อนยวบ แล้วสะดุ้งวาบ เมื่อครู่ตอนเธอเล่าเรื่องแม่ให้เซียวจิ่งสือฟังนั้น ดูเหมือนเธอจะไม่คิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับเซียวจิ่งสือ หรือว่าเธอไว้วางใจในตัวเซียวจิ่งสือถึงขนาดนี้แล้วเหรอ


 


 


หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดเสียงอ่อนว่า “ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ เมื่อก่อนคุณทำให้ฉันตั้งมากมายขนาดนั้น ฉันกลับดูเหมือนจะให้คุณได้แค่คำขอบคุณ”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านหลุดจากอารมณ์เศร้าหมองมาได้ก็สบายใจขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มว่า “ไม่เป็นไรครับ หว่านหว่าน แต่ว่า…ถ้าคุณจะขอบคุณผมล่ะก็…คุณก็ทำอาหารเลี้ยงผมสักมื้อ ได้ไหมครับ หว่านหว่าน”


 


 


พอฟังคำขอของเซียวจิ่งสือ หลินหว่านนิ่งอึ้งไป แล้วผงกศีรษะ พูดว่า “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือได้ฟังแล้ว ปลื้มปริ่มจนแทบจะลอยได้เลย


 


 


วันรุ่งขึ้น หลินหว่านยังอยู่ที่บ้าน ก็ได้รับโทรศัพท์จากอวิ๋นซี ในสายอวิ๋นซีเหมือนอยากจะบอกความลับอะไรบางอย่างแต่ยั้งใจไว้ เธอถามหลินหว่าน “หว่านหว่าน ฉันมีข่าวดีมาบอกเธอ อยากฟังไหม”


 


 


“งั้นเหรอ แต่ว่า…ทำยังไงดีล่ะ ฉันยังไม่อยากฟังสักเท่าไหร่…” หลินหว่านแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงลำบากใจ


 


 


“หลินหว่าน!” อวิ๋นซีทำเป็นโมโห


 


 


“เอาล่ะๆ มีข่าวดีอะไรกันแน่หือ บอกมาเร็ว อวิ๋นซี” หลินหว่านฟังน้ำเสียงโมโหขึ้นของอวิ๋นซีแล้ว รีบกลับลำมาออดอ้อนแทน


 


 


“ผู้กำกับจ้าวอยากจะชวนเธอไปแสดงบทนางเอกในหนังเรื่องใหม่ของเขานะสิ!” น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจจนฉุดไม่อยู่ของอวิ๋นซีส่งผ่านสายโทรศัพท์มา


 


 


“หนังใหม่ของผู้กำกับจ้าวเป็นหนังแนวดราม่า ที่มุ่งจะคว้ารางวัลนี่ หว่านหว่าน ฉันว่าถ้าเธอรับแสดงหนังเรื่องนี้นะ ต้องยิ่งดังระเบิดแน่”


 


 


“ผู้กำกับจ้าวเหรอ อวิ๋นซี เธอพูดจริงเหรอ” หลินหว่านรู้สึกแปลกประหลาดใจว่า หนังของผู้กำกับจ้าวมักมีกลิ่นอายของศิลปะ ผลงานทุกเรื่องของเขาล้วนเป็นงานศิลปะที่แฝงความหมายลึกล้ำ ผลงานของเขาแม้จะไม่น้อยเลย แต่ทุกเรื่องล้วนได้รับคำวิจารณ์ที่ดี คำชมว่าดีมากเลย เขาจะชวนเธอให้แสดงบทนำจริงเหรอ


 


 


“แน่นอนว่าจริงอยู่แล้ว!” อวิ๋นซีพูดอีกว่า “ใช่แล้ว ทางผู้กำกับจ้าวส่งบทของนางเอกมาให้ส่วนหนึ่งแล้ว เห็นไหมเขาอยากให้เธอแสดงบทนางเอกมากเลยนะ เซียวจิ่งสือส่งบทไปที่บ้านเธอแล้ว ฉันว่าเธอลองอ่านดูก่อนก็ได้นะ”


 


 


“งั้นเหรอ” หลินหว่านรู้สึกเหลือเชื่อ


 


 


หลินหว่านเพิ่งวางสายจากอวิ๋นซีไปได้ไม่นาน เซียวจิ่งสือก็มาถึง แต่หลินหว่านพบว่าสีหน้าเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ อวิ๋นซีบอกว่าคุณเอาบทหนังของผู้กำกับจ้าวมาให้ แล้วบทล่ะคะ” หลินหว่านถามเขา


 


 


เซียวจิ่งสือมองจ้องหลินหว่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นบทหนังให้หลินหว่านอย่างหมดทางเลี่ยง


 


 


“ขอบคุณค่ะ เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านเห็นแล้วพูดอย่างดีใจ


 


 


เวลาผ่านไปชั่วครู่ หลินหว่านอ่านบทหนังไปพอสมควรแล้ว


 


 


แต่เมื่ออ่านจนจบ จิตใจของหลินหว่านกลับกลายเป็นหม่นมัว นี่เป็นหนังแนวดราม่าที่หนักมากเรื่องหนึ่ง นางเอกเป็นนักร้องในยุคก่อนหน้านี้ นับแต่เข้าสู่วงการก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด แต่หลังจากมีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่อายุยังน้อยแล้ว กลับต้องพบกับความดำมืดสกปรกของวงการบันเทิง ภายหลังเมื่อต้องเลือกระหว่างความรัก เงินทองและอำนาจ เธอยอมเสียสละความรัก เลือกที่จะหลงระเริงไปกับสิ่งล่อลวงใจ ตอนท้ายของเรื่อง เธอเสียสติและกระโดดตึกฆ่าตัวตายในที่สุด


 


 


นางเอกในเรื่องนี้ทำไมจึงมีเรื่องราวบางส่วนคลับคล้ายกับแม่ของเธอนัก หลังจากอ่านบทแล้วหลินหว่านตัดสินใจว่าจะรับแสดงหนังเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่เพราะผู้กำกับจ้าว และไม่ใช่เพราะนางเอกมีเรื่องราวคล้ายกับแม่ของเธอ แต่เป็นเพราะตอนท้ายเรื่องบทของนางเอกสุดยอดมากและบทยังท้าทายอย่างมากด้วย


 


 


ตอนนั้นเอง เซียวจิ่งสือที่อยู่ด้านข้างมองหลินหว่านอ่านบทหนังจนจบ เขาขมวดคิ้วพลางถามหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน หนังเรื่องนี้เธอจะรับแสดงหรือเปล่า”


 


 


หลินหว่านไม่ได้มองสีหน้าเซียวจิ่งสือ เธอผงกศีรษะพลางพูดว่า “รับสิคะ ต้องรับแน่นอนอยู่แล้ว บทที่ดีขนาดนี้ ทำไมจะไม่รับ”


 


 


เซียวจิ่งสืออ่านบทหนังมากก่อน รู้ว่าตอนท้ายเรื่องนางเอกหลงผิดและเสียสติจนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย เขากลัวมากว่าหลินหว่านจะเป็นอย่างคราวก่อนที่เข้าถึงบทลึกเกินไป จนส่งผลร้ายต่อสภาพจิตของเธอ


 


 


เซียวจิ่งสือได้ยินคำพูดของหลินหว่านก็รีบค้านขึ้นว่า “หว่านหว่าน ผมว่าหนังเรื่องนี้คุณอย่ารับเลยนะ”


 


 


“ทำไมคะ” หลินหว่านเงยหน้าขึ้นถามเซียวจิ่งสืออย่างสงสัย


 


 


“เพราะตอนท้ายของหนังเรื่องนี้บทนางเอกที่ต้องแสดงหนักมากเกินไป ผมกลัวว่าคุณจะเกิดเรื่องเข้าถึงกับบทมากเกินไปอย่างคราวที่แล้ว อย่างนั้นมันไม่ดีกับคุณมากๆ เลยนะ” เซียวจิ่งสือพูดไปตามจริง

 

 

 


ตอนที่ 118

 

หลอกลวง

 


 


 


หลินหว่านไม่ยอมเสียโอกาสในครั้งนี้ แต่พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือยืนยันเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านลังเลก็ไม่สบายใจเอามากๆ เขาพูดทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ต้องการให้อารมณ์ของหลินหว่านต้องกระทบกระเทือนมากเกินไป เขาพูดเพราะเป็นห่วงสภาพจิตใจของหลินหว่านต่างหาก


 


 


“หลินหว่าน ผมรู้ว่าผมไม่ใช่ผู้จัดการของคุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของคุณ แต่ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถ แล้วผมเข้าใจอวิ๋นซีดี ว่าถ้าหากคุณปฏิเสธ เธอจะไม่ติดต่อหนังเรื่องนี้มาให้หรอก เธอจะคำนึงถึงสุขภาพของคุณก่อนเสมอ ดังนั้นคุณรับปากผมได้ไหมว่า จะไม่รับแสดงหนังเรื่องนี้” เซียวจิ่งสือพูดเสียงร้อนรน


 


 


เซียวจิ่งสือจ้องหลินหว่านจนแทบทะลุได้เลย เขาอยากรู้ว่าหลินหว่านคิดอย่างไรกันแน่ ถ้าหากหลินหว่านคิดจะแสดงหนังเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องขัดขวางให้ได้ สำหรับเซียวจิ่งสือแล้ว เขาอยากให้หลินหว่านสุขสงบและปลอดภัย ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากมากมายอย่างนั้น


 


 


หลินหว่านพูดอ้ำอึ้ง “สภาพจิตใจของฉันตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว คุณไม่ต้องห่วงว่าฉันจะกลับไปมีปัญหาทางจิตแบบนั้นอีกเพราะหนังเรื่องนี้ แล้วฉันก็เห็นว่าบทหนังคราวนี้สุดยอดมาก ฉันไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไปค่ะ แล้วยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับใหญ่ซะด้วย เซียวจิ่งสือคะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงฉันและทำเพื่อฉัน แต่ฉันชอบหนังเรื่องนี้มากจริงๆ ค่ะ คุณให้ฉันแสดงเถอะนะคะ ฉันจะดูแลตัวเองอย่างดีแน่นอนค่ะ”


 


 


หลินหว่านพูดอย่างกริ่งเกรง เธอรู้ว่าเซียวจิ่งสือเป็นห่วงเธอ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเธอจึงไม่อาจต่อว่าเซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสือคิดไม่ถึงว่า แม้เขาจะขอร้องเธอแต่หลินหว่านยังคิดจะแสดงหนังเรื่องนี้อยู่อีก เซียวจิ่งสือโกรธจนไฟลุกเขาไม่อยากให้หลินหว่านไปเสี่ยงอีก เกิดว่าหนังเรื่องนี้ทำให้หลินหว่านตึงเครียดขึ้นมาจนสภาพจิตเพี้ยนไปอีก นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพบเจออีกเลย


 


 


เซียวจิ่งสือลุกพรวดขึ้นจากโซฟา เขาจ้องหลินหว่านเขม็งแล้วพูดเสียงดังว่า “หลินหว่าน คุณรู้หรือเปล่าว่าคราวที่แล้วเพราะหนังเรื่องนั้นคุณซึมเศร้าอยู่ทั้งวัน ผมเป็นห่วงขนาดไหนรู้ไหม ตอนนั้นผมอยากให้คุณอาการดีขึ้นอยู่ทุกวัน กลับมาเป็นคุณที่สดชื่นแจ่มใสเหมือนก่อน ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรคราวนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณไปแสดงหนังเรื่องนี้เด็ดขาด ผมคิดเอาไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด คุณจะพูดยังไงก็เปล่าประโยชน์ ผมไม่ยอมให้คุณไปเสี่ยงอีก ผมหวังว่าคุณจะไม่เห็นแก่งานจนไม่สนว่าจะทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง ผมขอบอกไว้อย่างชัดเจนตรงนี้ ผมไม่ยอมให้คุณไปแสดงหนังเรื่องนั้นหรอก”


 


 


เซียวจิ่งสือพูดจบก็พ่นลมจากปาก กลับไปนั่งลงบนโซฟา ขมวดคิ้ว ยังมีท่าทีโกรธมาก เรื่องที่เซียวจิ่งสือโกรธที่สุดก็คือ ทำไมหลินหว่านไม่สนใจสุขภาพของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองมาก


 


 


หลินหว่านเห็นเซียวจิ่งสือนั่งหน้าบูดอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางโกรธจนควันออกหู เธอรู้ว่าไม่มีทางเปลี่ยนความตั้งใจของเซียวจิ่งสือได้ หลินหว่านรู้สึกลำบากใจมาก เธออยากแสดงหนังเรื่องนี้ เธอชื่นชอบบทหนังเรื่องนี้มาก และโอกาสครั้งนี้ก็ได้มาไม่ง่ายนักซึ่งเธอไม่อยากสูญเสียมันไป


 


 


หลินหว่านลังเลอยู่นานไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร สุดท้ายเธอตัดสินใจว่าจะปิดบังเซียวจิ่งสือไปก่อน เธอเชื่อว่าต่อให้เซียวจิ่งสือรู้เรื่องนี้ก็ต้องให้อภัยเธออยู่ดี แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าตอนนี้หลินหว่านไม่รับปากคำขอของเซียวจิ่งสือไม่ได้เสียด้วยสิ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะรับปากไปก่อนแล้วค่อยมาว่ากันทีหลัง


 


 


หลินหว่านขยับมาตรงหน้าเซียวจิ่งสือ ยิ้มพลางพูดว่า “เซียวจิ่งสือ คุณอย่าโมโหไปเลยนะ ฉันไม่แสดงก็ได้ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงและทำเพื่อฉัน ฉันซาบซึ้งใจมาก ครั้งนี้ฉันจะเชื่อฟังคุณก็แล้วกัน เอาล่ะ คุณก็อย่าโกรธไปเลยนะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเงยหน้าขึ้นมองหลินหว่าน พอได้ยินหลินหว่านบอกว่าไม่แสดงหนังเรื่องนี้เขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมา


 


 


เซียวจิ่งสือเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจกับหลินหว่าน พูดว่า “คุณรู้ว่าผมทำเพื่อคุณก็ดีแล้ว แต่ต่อนี้ไปเรื่องงานของคุณ ผมหวังว่าคุณจะคำนึงถึงสุขภาพของคุณมาก่อนเป็นอันดับแรก อย่าทำให้ร่างกายหรือจิตใจเกิดความเครียดเพราะงานอีก ในเมื่อตอนนี้คุณยอมรับฟังคำพูดของผม งั้นเมื่อครู่ผมจะยกโทษให้คุณก็แล้วกัน”


 


 


“อื้อ ฉันจะให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอันดับแรก คุณวางใจได้ แล้วฉันก็ยังมีคุณอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ต่อให้ฉันไม่สบายไปก็จะเป็นไรไป คุณจะอยู่ข้างกายฉันตลอดไม่ใช่เหรอ” หลินหว่านพูดเย้า


 


 


หลินหว่านมีสายใยความรู้สึกเกาะเกี่ยวกับเซียวจิ่งสือเกิดขึ้นในใจ เพียงแต่ตอนนี้เธอยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง


 


 


“คุณพูดอะไรนะ คุณต้องไม่เป็นอะไร แน่นอนว่าผมต้องอยู่ข้างกายคุณอยู่แล้ว ผมวาดหวังไว้มากขนาดไหนที่จะได้อยู่กับคุณตลอด แต่งานของคุณยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันเลย ผมเองก็ไม่มีเวลาไปอยู่เป็นเพื่อนคุณด้วยสิ” เซียวจิ่งสือพูดด้วยรอยยิ้มบาง


 


 


ถึงแม้เซียวจิ่งสือจะพูดประโยคนี้ด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจนั้นไม่ชอบใจเอามากๆ เขากับหลินหว่านมักจะเจอกันน้อยมากเพราะเรื่องงาน ซึ่งมันทำให้เซียวจิ่งสือไม่ชอบใจเป็นที่สุดแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย เขาได้แต่โผล่หน้าไปเซอร์ไพร์สเธอเป็นครั้งคราวเท่านั้น


 


 


หลินหว่านทานข้าวกับเซียวจิ่งสือเสร็จแล้วไปทำงาน แม้ว่าพวกเขายังอยากอยู่ด้วยกันอีกสักหน่อย แต่งานก็มักจะยุ่งมากอยู่เสมอ


 


 


ไม่นานนักหลินหว่านก็มาถึงบริษัท เธอไปหาอวิ๋นซี แล้วทั้งสองก็เริ่มปรึกษากันเรื่องของหนังเรื่องนั้น


 


 


“อวิ๋นซี เธอติดต่อทางกองถ่ายสิว่าไปทดสอบหน้ากล้องได้เมื่อไหร่ ครั้งนี้ฉันมั่นใจมากเลยนะ ฉันเชื่อว่าจะคว้าบทนำนี้มาได้แน่ แล้วฉันก็ชอบบทหนังเรื่องนี้มากด้วย มันดึงดูดให้ฉันอยากแสดงบทบาทในหนังให้ดีที่สุด แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือห้ามบอกเซียวจิ่งสือว่าฉันรับแสดงหนังเรื่องนี้ เธอต้องระวังอย่าเผลอหลุดปากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาล่ะ ปิดเขาไปก่อนซักระยะหนึ่งก็แล้วกัน รอทุกอย่างลงตัวแล้ว เขาก็ขัดขวางอีกไม่ได้แล้วล่ะ”


 


 


อวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจมาก เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านใกล้ชิดกันมาก ช่วยเหลือกัน พูดกันได้ทุกเรื่อง ครั้งนี้ทำไมหลินหว่านต้องปิดบังเขาด้วยนะ


 


 


อวิ๋นซีขมวดคิ้วพูดว่า “ทำไมจึงบอกเซียวจิ่งสือไม่ได้ล่ะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”


 


 


“เขาไม่เห็นด้วยที่จะให้ฉันแสดงหนังเรื่องนี้ กลัวว่าจะส่งผลกับสภาพจิตของฉัน เธอรีบไปติดต่อก่อนเถอะ หนังเรื่องนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะรับแสดงฉันก็จะไปแสดง แล้วฉันก็ต้องแสดงได้ดีด้วย” หลินหว่านพูดอย่างแน่วแน่


 


 


อวิ๋นซีหยิบมือถือเดินออกไป ติดต่อทางกองถ่ายว่าจะให้หลินหว่านไปทดสอบหน้ากล้องได้เมื่อไหร่


 


 


“ฮัลโหล ฉันคืออวิ๋นซีเป็นผู้จัดการของหลินหว่านนะคะ อยากทราบว่าหนังเรื่องที่ติดต่อมาทางเราจะเริ่มทดสอบหน้ากล้องได้เมื่อไหร่คะ ถ้าหากเป็นไปได้ พวกเราอยากให้เร็วหน่อยค่ะ” อวิ๋นซีเอ่ยถาม


 


 


อวิ๋นซีเองก็เป็นห่วงหลินหว่านอยู่บ้างว่าการแสดงหนังจะส่งผลต่อสภาพจิตของเธอ ที่อินกับบทมากไปเหมือนกับคราวที่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าผู้กำกับจะไม่เลือกให้หลินหว่านแสดง เธอก็ไม่เสียดายอะไรเลย

 

 

 


ตอนที่ 119

 

ขอโทษ

 


 


 


“อื้ม ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ เราจะรีบไปค่ะ” อวิ๋นซีพูดจบก็วางสายแล้วเดินไปห้องทำงาน


 


 


หลินหว่านเห็นอวิ๋นซีกลับมาเร็วขนาดนี้ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เธอหน้าเหวอมองอวิ๋นซีที่เดินเข้ามา


 


 


“หลินหว่าน ตอนนี้เราต้องรีบไปหาผู้กำกับแล้ว ทางโน้นให้ไปทดสอบหน้ากล้องล่ะ ถ้าสำเร็จก็เซ็นสัญญาได้เลย ไม่ต้องเดินเรื่องอะไรอื่นอีกแล้ว ดังนั้นพวกเราก็รีบเก็บของไปกันตอนนี้เลยเถอะ สองวันนี้เธอได้อ่านบทแล้ว เชื่อว่าเธอคงได้ศึกษาบทดูแล้วสินะ เธอเคยบอกว่าเธอรู้ว่าจะแสดงบทนี้อย่างไรใช่ไหม เอาล่ะตอนนี้ไปจัดการกันเลย” อวิ๋นซีพูดพลางลงมือเก็บข้าวของไปพลาง


 


 


หลินหว่านสะดุ้งเฮือกใหญ่ เธอคิดไม่ถึงว่าจะทดสอบหน้ากล้องเร็วขนาดนี้ ให้รีบไปตอนนี้เลย แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะรู้สึกว่าแสดงได้แน่ แต่วันนี้เธอยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย


 


 


“โอย…ตอนนี้…เอาน่ะ ในเมื่อเธอนัดกับผู้กำกับแล้ว งั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ! ฉันจะแสดงให้สุดฝีมือ หวังว่าจะได้บทนี้ ฉันชอบบทหนังเรื่องนี้เสียด้วยสิ ดังนั้นฉันต้องคว้าโอกาสนี้ให้ได้เลย” หลินหว่านพูดกับอวิ๋นซี


 


 


อวิ๋นซีกับหลินหว่านเก็บข้าวของทั้งหมดแล้วออกเดินทาง ตอนอยู่บนรถหลินหว่านนั่งศึกษาบทไปตลอดทาง พยายามให้ตัวเองเข้าถึงบทให้ได้


 


 


ไม่นานก็ถึงที่หมาย ส่วนหลินหว่านพอมาถึง ผู้กำกับก็รีบเรียกตัวเธอไปทดสอบหน้ากล้อง หลินหว่านมั่นใจมาก เธอแสดงเข้าถึงบทได้อย่างรวดเร็ว ผู้กำกับและผู้ช่วยผู้กำกับพากันผงกศีรษะมองหลินหว่านด้วยสายตาชื่นชม


 


 


“หลินหว่าน พวกเราได้เห็นการแสดงของเธอแล้ว ตรงกับความต้องการของพวกเราอย่างมาก คุณจับส่วนสำคัญของบทบาทนี้เอาไว้ได้อย่างปรุโปร่งแล้ว ผมเชื่อว่าคุณต้องแสดงได้ดีแน่ บทนี้เป็นของคุณแล้ว พวกเราเซ็นสัญญากันตอนนี้เลยเถอะ จะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางมาอีกรอบ ต่อไปก็รอเปิดกล้องได้เลย หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันอย่างราบรื่น” รองผู้กำกับพูดกับหลินหว่านด้วยรอยยิ้ม


 


 


ตอนที่หลินหว่านทดสอบหน้ากล้องเธอก็รู้ตัวแล้วว่าจะได้รับบทนี้อย่างแน่นอน แต่เธอคิดไม่ถึงว่าผู้กำกับจะให้เซ็นสัญญารวดเร็วขนาดนี้ เธอดีใจมาก


 


 


“อื้ม ได้ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ ฉันก็ชอบบทหนังเรื่องนี้มากเลย หวังว่าพวกเราจะร่วมงานกันด้วยดีค่ะ ฉันจะพยายามเต็มที่ในการแสดงบทนี้ค่ะ” หลินหว่านพูดพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ


 


 


ไม่นานนักผู้ช่วยผู้กำกับพาหลินหว่านมาเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อย หลินหว่านรู้สึกพอใจกับตัวเองมาก เธอรู้สึกว่าการได้รับการยอมรับจากผู้อื่นเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง


 


 


หลินหว่านเซ็นสัญญาแล้วก็กลับบริษัทกับอวิ๋นซี เพื่อเตรียมงานอื่นต่อไป


 


 


ถึงเวลาเย็นย่ำโดยไม่รู้ตัว หลินหว่านมองดูท้องฟ้าที่แสงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เธอรู้สึกเหนื่อยมาก


 


 


หลินหว่านหยิบมือถือขึ้นมา เห็นว่าบนหน้าจอปรากฏตัวอักษรแถวหนึ่งความว่า ‘กลับบ้านด่วน ผมมีเรื่องจะพูดด้วย’ เป็นข้อความที่เซียวจิ่งสือส่งมา หลินหว่านรู้สึกประหลาดใจมาก วันนี้ทำไมเขาดูเป็นเรื่องเป็นราวเชียว


 


 


หลินหว่านเองก็รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างจึงตรงกลับบ้าน พอมาถึงก็เห็นว่าเซียวจิ่งสือกำลังรอเธออยู่


 


 


“คุณเป็นอะไรไปคะ ทำไมดูอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เลย” หลินหว่านพูดกับเซียวจิ่งสือด้วยรอยยิ้ม


 


 


“หลินหว่าน ก่อนหน้านี้คุณรับปากผมว่าจะไม่ไปแสดงหนังเรื่องนั้นนี่ใช่ไหม ทำไมต้องปิดบังผมด้วย คุณรู้ไหมผมเป็นห่วงคุณแค่ไหน คุณรู้ไหมคำพูดทุกคำของผมก็เพราะเพื่อคุณทั้งนั้น ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย” เซียวจิ่งสือพูดเสียงเบา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธ


 


 


หลินหว่านตกใจกับท่าทีของเซียวจิ่งสือในตอนนี้ เธอมองดูใบหน้าที่กำลังโกรธของเซียวจิ่งสือ เธอหลงคิดว่าถึงตอนนี้เซียวจิ่งสือจะด่าว่าเธอเสียอีก


 


 


“ฉัน…คุณไม่เข้าใจว่าฉันชอบหนังเรื่องนั้นมาก” หลินหว่านก้มหน้างุดพูดเสียงอึกอักในลำคอ


 


 


หลินหว่านหลงคิดว่าเซียวจิ่งสือจะด่าว่าเธอเพราะเรื่องนี้ แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมองเซียวจิ่งสือ เขากลับหมุนตัวจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


 


หลินหว่านรู้สึกว่างโหวงในอก เซียวจิ่งสือไม่เคยเย็นชากับเธอแบบนี้มาก่อน ครั้งนี้ท่าทีเขาเด็ดเดี่ยวมาก


 


 


หลินหว่านส่งข้อความหาเซียวจิ่งสือมากมาย แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมาเลย หลินหว่านรู้สึกตัวแล้วว่าครั้งนี้เธอทำเกินไปจริงๆ เธอวิตกกังวลมากเช่นกัน เซียวจิ่งสือปกติดูขี้เล่น ไม่ถือสาจริงจังกับอะไรนัก แต่คราวนี้เขาโกรธจริงๆ หลินหว่านรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจขึ้นมา อีกทั้งรู้สึกเสียใจอย่างมาก


 


 


หลินหว่านส่งข้อความทั้งโทรหาเซียวจิ่งสือเพื่อจะนัดเขาออกมาแต่ถูกปฏิเสธ หลินหว่านรู้ว่าการโกหกของเธอคราวนี้ทำให้เขาเสียใจจริงๆ


 


 


หลินหว่านไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะได้รับการให้อภัยจากเซียวจิ่งสือ ในเวลานั้นเองอวิ๋นซีแจ้งให้เธอไปกองถ่ายเพื่อแสดงหนัง


 


 


เมื่อก่อนไม่ว่าหลินหว่านจะรับบทอะไรล้วนแสดงอย่างตั้งใจเหมือนกันหมด ก่อนนี้ผู้กำกับพอใจเธอมาก แต่ว่าถ่ายมาได้สองสามวัน หลินหว่านยิ่งแสดงก็ยิ่งหลุดบท


 


 


“หลินหว่าน พักนี้คุณเป็นอะไรไป ก่อนหน้านี้ตอนทดสอบหน้ากล้องคุณแสดงได้ดีขนาดนั้น แต่ตอนนี้คุณดูซิที่คุณแสดงนี่มันอะไร คุณตั้งใจแสดงให้เหมือนก่อนหน้านี้หน่อยไม่ได้หรือไง” ผู้กำกับเดินเข้ามาพูดกับหลินหว่านกำลังเหม่อลอย


 


 


ในหัวของหลินหว่านซึ่งยังคิดแต่ว่าจะกลับไปหาเซียวจิ่งสือได้อย่างไร ถูกคำพูดของผู้กำกับกระตุกให้สะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นทันที เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผู้กำกับเข้าใจผิดว่าเธอเซ็นสัญญาแล้วไม่ตั้งใจแสดง ที่จริงแล้วเป็นเพราะเธอมัวแต่คิดถึงเซียวจิ่งสือ


 


 


“ขอโทษค่ะผู้กำกับ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ตั้งใจแสดงนะคะ เพียงแต่ระหว่างนี้ฉันเกิดเรื่องบางอย่างที่รบกวนจิตใจฉันอย่างมาก คอยแต่จะคิดถึงเรื่องนั้น ฉันจะปรับสภาพจิตใจกลับมาได้แน่ ผู้กำกับสบายใจได้ค่ะ” หลินหว่านอธิบาย


 


 


ผู้กำกับยังเชื่อในความสามารถของหลินหว่าน จึงผงกศีรษะให้เธอแล้วจากไป


 


 


แต่พอเข้ากล้องคราวต่อไป หลินหว่านก็ยังไม่สามารถสวมบทบาทได้อยู่ดี แม้ผู้กำกับจะตักเตือนไปหลายครั้ง แต่ก็ยังผิดพลาดเหมือนเดิมอีก


 


 


“หลินหว่าน ถ้าคุณแสดงไม่ได้ก็อย่ารับแสดงบทนี้สิ พอได้แล้ว แสดงอะไรกันแบบนี้” ผู้กำกับโมโหจนควันออกหูตะโกนว่าหลินหว่านแล้วเดินจากไป


 


 


หลินหว่านนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เธอมักรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นกังวลอยู่บ่อยครั้ง เหตุเพราะเซียวจิ่งสือไม่ยอมยกโทษให้เธอ ดังนั้นจึงมักจะเข้าไม่ถึงบทบาทที่แสดง


 


 


ตอนบ่าย หลินหว่านไม่ค่อยได้กินข้าว เธอให้อวิ๋นซีไปพักผ่อน เธอเดินช้าๆ กลับห้องเพียงลำพัง


 


 


ทันใดนั้นหลินหว่านก็เห็นเซียวจิ่งสือยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก หลินหว่านไม่รู้ว่าจะไปเจอหน้ากับเขาได้อย่างไร เธอเดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทีขัดเขิน


 


 


“หลินหว่าน อย่าเสียใจไปเลย ผมยกโทษให้คุณแล้ว คราวหน้าอย่าโกหกผมอีกล่ะ” เซียวจิ่งสือรวบตัวหลินหว่านเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก


 


 


หลินหว่านเหมือนเท้าแตะพื้นได้อีกครั้งในที่สุด เธอยิ้มออกมาได้ นี่เป็นรอยยิ้มแรกในระยะนี้ของเธอเลยทีเดียว


 


 


หลินหว่านยิ้มพลางถามเซียวจิ่งสือ “ฉันจะไม่โกหกคุณอีกแล้ว ครั้งนี้ฉันทำผิดจริงๆ ทำไมคุณถึงมาหาฉันถึงนี่ได้ละคะ”


 


 


เซียวจิ่งสือยิ้มพลางมองหลินหว่านอย่างรักทะนุถนอม ตอบว่า “ผมคิดถึงคุณน่ะ”


 


 


อันที่จริงก่อนหน้านี้เซียวจิ่งสือได้ยินผู้ช่วยบอกว่าหลินหว่านอยู่ที่กองถ่ายเอาแต่เศร้าซึมทั้งวันเพราะเรื่องของเขา ทั้งยังสวมบทบาทที่แสดงไม่ได้อีกด้วย ถูกผู้กำกับด่าไปตั้งหลายครั้ง พอได้ยินดังนั้นด้วยความสงสารเธอ จึงมาที่กองถ่ายเพื่อปลอบใจหลินหว่าน นอกจากนี้เขาก็คิดถึงหลินหว่านจริงๆ นั่นแหล่ะ

 

 

 


ตอนที่ 120

 

ดูแล

 


หลินหว่านซาบซึ้งใจ และปล่อยวางจิตใจที่วิตกเป็นทุกข์นั้นลง เธอนึกในใจว่าต่อไปจะไม่โกหกหลอกลวงเซียวจิ่งสืออีก บทเรียนคราวนี้ทำให้หลินหว่านรู้ว่าแม้เซียวจิ่งสือจะรักเธอมาก ทั้งดูเป็นคนตรงๆ โผงผางไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ก็โมโหได้เพราะเรื่องบางอย่างเสมอ และหลินหว่านก็รู้ด้วยว่าเซียวจิ่งสือรักเธอมากขนาดไหน


“หลินหว่าน ผมจะให้คุณรับปากว่าต่อไปจะไม่หลอกผมอีกเด็ดขาด ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามคุณต้องเห็นสุขภาพของตัวเองสำคัญที่สุด คุณรู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณขนาดไหน คุณจะทำร้ายสุขภาพร่างกายและจิตใจตัวเองเพราะเรื่องงานไม่ได้นะ มันเป็นของคุณ และก็เป็นของผม ดังนั้นผมมีหน้าที่ต้องปกป้องคุณ คุณอย่าหาว่าตอนนั้นผมไม่ใส่ใจคุณเลย ผมแค่รู้สึกโมโหมาก ทำไมคุณถึงละเลยสุขภาพร่างกายของตัวเองได้ขนาดนี้นะ ถ้าเกิดหนังเรื่องนี้ทำให้คุณติดอยู่ในบทอีก จะไม่เพียงทำร้ายคุณคนเดียว ผมเองก็ต้องทนทุกข์ทรมานและโทษตัวเอง”เซียวจิ่งสือโอบกอดหลินหว่านพลางพูดด้วยเสียงเหมือนกระซิบ


เซียวจิ่งสือจำต้องให้หลินหว่านรับปากเขาด้วยตัวเอง เพราะเขารู้ว่าหลินหว่านจริงจังกับงานมาก บางครั้งถึงกับขั้นหมกมุ่นเลยทีเดียว แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เซียวจิ่งสือกังวัลใจอยู่เหมือนกัน


“ฉันรับปากว่าต่อไปจะไม่โกหกคุณอีก และฉันจะให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายตัวเองมาเป็นอันดับหนึ่ง คราวนี้ฉันยอมรับว่าผิดไปแล้วจริงๆ ” หลินหว่านพูดพลางมองเซียวจิ่งสือด้วยสายตาลึ้งซึ้ง


เซียวจิ่งสือหน้าบาน มองหลินหว่านด้วยรอยยิ้ม


เซียวจิ่งสือจู่ๆ ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาพูดโพล่งขึ้น “หลินหว่าน ว่าแต่หนังเรื่องนี้ตอนนี้คุณเซ็นสัญญาไปแล้วหรือยัง”


หลินหว่านพูดอ้ำอึ้ง “พอฉันทดสอบหน้ากล้องเสร็จก็เซ็นสัญญาเลย ตอนนี้คงจะยกเลิกไม่ได้แล้ว พวกเราจ่ายค่าเสียหายไม่ไหวหรอก ฉันต้องตั้งใจแสดงหนังเรื่องนี้จนจบ คุณวางใจเถอะ ฉันจะควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ให้เป็นอย่างคราวที่แล้วที่เข้าบทลึกเกินอีก แล้วตอนนี้พวกเราก็คืนดีกันแล้ว ไม่กระทบกับการแสดงของฉันแล้วด้วย ฉันจะตั้งใจแสดงหนังเรื่องนี้ให้เสร็จอย่างเร็วเลยเชียว”


หลินหว่านพูดจบก็แอบมองท่าทีของเซียวจิ่งสือ เธอวิตกว่าเซียวจิ่งสือรู้เรื่องนี้แล้วจะโมโหอีก จึงได้แต่ภาวนาขอให้เซียวจิ่งสืออย่าโมโหอีกเลย


เซียวจิ่งสือขมวดคิ้ว แต่พูดกับหลินหว่านอย่างอ่อนโยนว่า “งั้นทำอย่างไรดีล่ะ เพราะผมไม่ยอมให้คุณถ่ายหนังเรื่องนี้ตามลำพังหรอก เกิดวันไหนคุณอารมณ์ไม่ปกติขึ้นมา ผมมาหาคุณไม่ทันจะทำอย่างไรล่ะ ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณถ่ายหนังเรื่องนี้ได้เร็วหรือเปล่า แต่ระหว่างการถ่ายทำนี่จะกระทบสุขภาพจิตของคุณอีกหรือเปล่า จะทำให้คุณเครียดขึ้นมาอีกไหม”


หลินหว่านไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เซียวจิ่งสือขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา


“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หลินหว่าน ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่เอง ผมจะอยู่ที่นี่ร่วมกับคุณ มีผมอยู่เคียงข้างคุณต้องไม่เกิดเรื่องอะไรไม่ดีแน่ นอกจากนี้ในเมื่อบริษัทผมตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก งั้นก็ให้ผมอยู่นี่กับคุณเถอะ”


พอเซียวจิ่งสือนึกถึงอารมณ์ของหลินหว่าน ก็อยากจะเฝ้าอยู่ข้างกายเธอตลอดเวลา ส่วนเรื่องบริษัทของเขา เขาจะปล่อยไปก่อนชั่วคราว


หลินหว่านประทับใจมาก เซียวจิ่งสือแม้จะดูเหมือนขี้เล่นไม่จริงจังกับอะไร แต่เมื่อเป็นเรื่องของเธอแล้วเขาจะละเอียดรอบคอบมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับหลินหว่าน เขาเป็นต้องคิดการวางแผนจนสมบูรณ์แบบ และเห็นแก่หลินหว่านมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ


“อืม งั้นคุณก็อยู่ที่กองถ่ายเป็นเพื่อนฉันเถอะ ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมาก ฉวยโอกาสนี้จะได้อยู่ด้วยกันทุกวันเลย” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม


ผ่านไปอีกครู่หนึ่งหลินหว่านต้องไปเข้ากล้องแล้ว เซียวจิ่งสือคอยอยู่ข้างกายเธอ เฝ้ามองดูเธอตลอด


“เซียวจิ่งสือ ช่วงนี้คุณคอยอยู่นี่เป็นเพื่อนหลินหว่านตลอดเลยเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย พักก่อนหลินหว่านถูกเน็ตใสร้ายอยู่นานเพราะเธอแสดงได้ไม่ดี ฉันไม่ได้บอกหลินหว่านเรื่องนี้ และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอรู้หรือเปล่า ก่อนหน้านี้ฉันทำเป็นหลบเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องนี้ กลัวว่าจะกระทบกระเทือนอารมณ์เธอเข้า ตอนนี้คุณอยู่นี่ ถึงแม้หลินหว่านเห็นเข้าอารมณ์ก็คงจะไม่แปรปวนมากนัก” อวิ๋นซีเดินไปพูดกับเซียวจิ่งสือ


อวิ๋นซีเห็นว่าเซียวจิ่งสือมาที่กองถ่ายก็แอบนึกดีใจ เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าจะปลอบโยนหลินหว่านอย่างไร เธอรู้ว่าก่อนหน้านี้หลินหว่านมีสภาพจิตใจไม่ค่อยดีนัก เพราะทะเลาะกับเซียวจิ่งสือ


ก่อนหน้านี้หลินหว่านถูกคนบนเน็ตใส่ร้ายป้ายสีเพราะเธอแสดงได้ไม่ดีนั้น เรื่องนี้อวิ๋นซีไม่ได้บอกหลินหว่าน เธอมักกลัวว่าหลินหว่านจะอ่านเจอเข้าโดยบังเอิญบ่อยๆ ตอนนี้เซียวจิ่งสือมาแล้ว จึงไม่ต้องกังวลมากเกินไปนัก เพราะว่าเซียวจิ่งสือมักจะสามารถทำให้หลินหว่านอารมณ์ดีขึ้นมาได้เสมอ


“หลินหว่านถูกใส่ร้ายอีกแล้ว พักก่อนผมมัวแต่ยุ่ง ไม่ได้สนใจข่าวคราวของเธอนัก แต่ได้ยินผู้ช่วยบอกว่าเธออยู่ที่นี่ทั้งวัน ดูเป็นทุกข์ใจมากเพราะเรื่องของผม ดังนั้นผมจึงมานี่คืนดีกับเธอ” เซียวจิ่งสือพูดอย่างเป็นห่วง


เซียวจิ่งสือมาอยู่เป็นเพื่อหลินหว่านก็เพราะกลัวว่าเธอจะรับแรงกดดันไม่ไหว เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่มาจากหนังเรื่องนี้ แต่ว่าเรื่องซุบซิบบนอินเทอร์เน็ตก็มีความเป็นไปได้ที่หลินหว่านจะพบเห็นได้ จะคอยหลบเลี่ยงอย่างนี้ไปตลอดก็ไม่ใช่วิธีที่ดี


หลินหว่านถ่ายบทส่วนเล็กๆ เสร็จแล้ว เห็นเซียวจิ่งสือกับอวิ๋นซียืนอยู่ริมด้านหนึ่งก็เดินยิ้มเข้าไปหา


“เซียวจิ่งสือ พวกคุณสองคนคุยอะไรกันน่ะ เมื่อครู่เห็นพวกคุณคุยกันอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว อวิ๋นซีเดี๋ยวพอถ่ายเสร็จแล้วไปทานข้าวกับพวกเรานะ” หลินหว่านยิ้มพลางพูดขึ้น


นับแต่หลินหว่านคืนดีกับเซียวจิ่งสือแล้ว อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก


เซียวจิ่งสือคิดไปคิดมา นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจบอกเรื่องนั้นกับหลินหว่าน


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลินหว่าน ผมมาช้าไปจริงๆ ผมไม่น่างอนคุณเลย พักก่อนเพราะเรื่องของผมทำให้คุณแสดงได้ไม่ดี คุณจึงถูกบนอินเทอร์เน็ตด่าเอาอีกแล้ว เรื่องนี้คุณอาจยังไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าคุณจะรู้เรื่องเข้าสักวัน ดังนั้นผมจึงอยากบอกคุณตอนนี้ ให้คุณได้มีเวลาเตรียมใจไว้ก่อน อันที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก คุณไม่ต้องกังวลไปนะ อีกอย่างวันนี้สภาพจิตคุณดีมากเลย ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ยอมแพ้เพราะเรื่องซุบซิบเล็กๆ น้อยๆ นั่นหรอก แล้วผมก็จะคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณตลอดเลยด้วย คุณจะได้ไม่ต้องเครียดกับเรื่องซุบซิบบนอินเทอร์เน็ตอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะอยู่ข้างกายคุณ คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเองนะ การเป็นบุคคลสาธารณะย่อมต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้อยู่บ้างนั่นแหล่ะ”


อวิ๋นซีที่ด้านข้างกลั้นใจฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือ เธอกลัวว่าหลินหว่านรู้เรื่องแล้วจะเสียใจจนซึมเศร้าไปอีก อวิ๋นซีอดต่อว่าเซียวจิ่งสือในใจอยู่บ้างไม่ได้ ทำไมเขาไม่ปรึกษาเธอสักคำ บอกหลินหว่านไปตรงๆ แบบนั้น ก่อนหน้านี้เธอยังอุตส่าห์หลบเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้อยู่เลย


เซียวจิ่งสือจ้องหลินหว่านไม่วางตา คิดว่าเขาพร้อมจะปลอบประโลมจิตใจที่แสนบอบบางของเธอเสมอ ไม่ยอมให้เธอต้องเสียใจ

 

 

 


ตอนที่ 121

 

รักเธอเป็นเหมือนยาพิษ

 


 


 


แต่ที่ไหนได้หลินหว่านยิ้มออกมา “เซียวจิ่งสือ คุณตื่นเต้นหวาดกลัวขนาดนี้ทำไมกันนะ เรื่องนั้นฉันรู้ตั้งนานแล้ว ฉันเห็นจากมือถือตัวเองล่ะ อีกอย่างในอินเทอร์เน็ตแค่บอกว่าเพราะสุขภาพฉันไม่ดี แล้วพูดจากระทบกระแทกแดกดันฉัน พวกคุณทำไมต้องตื่นเต้นตึงเครียดขนาดนี้ล่ะ  ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย ฉันรู้ว่าคนเป็นดารา บางครั้งก็ต้องพบเจอกับเสียงข่าวลือแปลกๆ พวกนี้ เราไม่เป็นอย่างเขาว่าก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันวางเฉยกับเรื่องพวกนี้ได้มากแล้วค่ะ ไม่ค่อยจะยึดติดกับมักมากนัก ดังนั้นพวกคุณก็ไม่ต้องกังวลแทนฉันแล้วนะ ตอนนี้สภาพจิตของฉันเข้มแข็งขึ้นมากแล้วค่ะ”


 


 


สภาพจิตใจของหลินหว่านกับรอยยิ้มทำให้เซียวจิ่งสือและอวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจไปตามกัน พอเห็นว่าหลินหว่านสามารถวางท่าทีต่อคำซุบซิบนินทาของตัวเองได้เช่นนี้ เซียวจิ่งสือก็ถอนใจอย่างโล่งอก


 


 


“หลินหว่าน คุณคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ส่วนคุณน่ะ ต่อไปไม่ว่าจะเจอกับคำซุบซิบนินทาอะไร คุณต้องมองในแง่ดีเข้าไว้ ถ้าวางเฉยได้ก็ยิ่งดีใหญ่ ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมยังหวังว่าคุณจะเผชิญกับมันด้วยท่าทีเช่นวันนี้” เซียวจิ่งสือพูดพร้อมกับมองหลินหว่านด้วยท่าทีปลาบปลื้มชื่นชม


 


 


เย็นนั้นหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือทานข้าวเสร็จ กลับถึงห้องพัก หลินหว่านที่เหนื่อยจากการแสดงจึงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เซียวจิ่งสือรอจนหลินหว่านหลับไปแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นดูคำวิจารณ์เชิงลบบนเน็ตของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือกลับเป็นฝ่ายวิตกต่อสภาพจิตของหลินหว่าน เขาอ่านข้อความที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหลินหว่านบนอินเทอร์เน็ตด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น


 


 


เซียวจิ่งสือพบว่าคล้ายกับจะมีคนตั้งใจใส่ร้ายหลินหว่าน ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเขาดูเหมือนจะทุ่มเงินและกำลังคนไม่น้อยเพื่อจัดการกับหลินหว่าน เซียวจิ่งสือรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่หลับอยู่บนเตียงแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เขาไม่อยากให้หลินหว่านต้องมาเจอกับคำนินทาไร้สาระพวกนี้ แต่เขาเองก็ไม่มีปัญญาจะไปปรับเปลี่ยนอะไรได้ เขาได้แต่โทษว่าตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องหลินหว่านได้


 


 


วันรุ่งขึ้นหลินหว่านดูมีชีวิตชีวาขึ้นจนวิ่งไปเข้ากล้องที่กองถ่ายได้เอง ส่วนเซียวจิ่งสือ…เมื่อคืนเขามัวแต่อ่านคำวิพากษ์วิจารณ์หลินหว่านบนอินเทอร์เน็ตจนเข้านอนดึกมาก เช้าวันนี้เขาเห็นว่าหลินหว่านดูดีแล้ว จึงไม่ได้ติดตามเธอไปสถานที่ถ่ายทำ


 


 


พักเที่ยง ตอนหลินหว่านหาตัวเซียวจิ่งสือจนเจอนั้น เธอขมวดคิ้วคอตกเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดแรง ดูเหมือนจะอารมณ์บูดเอามากๆ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้าง ยังเข้าใจว่าเป็นเพราะการแสดงทำให้หลินหว่านเกิดอาการเหมือนคราวที่แล้ว เซียวจิ่งสือนึกด่าตัวเองในใจว่าทำไมตอนเช้าไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนหลินหว่าน


 


 


เซียวจิ่งสือรีบวิ่งมาหาหลินหว่านพูดว่า “หลินหว่าน เช้านี้คุณเป็นอะไรไปเหรอ ดูเหมือนอาการไม่ค่อยดีนะ หรือเป็นเพราะเช้านี้ผมไม่ได้เป็นเพื่อนคุณไปกองถ่าย หรือว่าผู้กำกับต่อว่าคุณ คุณอย่าเศร้าไปเลยนะ คุณไม่สบายใจผมก็พลอยเครียดไปด้วยเลย”


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดูเซียวจิ่งสือด้วยสายตาเศร้าเสียใจ ไม่พูดสักคำ เดินไปนั่งเหม่อบนโซฟา


 


 


“หลินหว่าน คุณพูดอะไรสักคำได้ไหม ผมร้อนใจนะ” เซียวจิ่งสือดูท่าทางสับสนว้าวุ่นอยู่บ้าง


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ วันนี้ฉันเจอกับผู้ช่วยในวงการบันเทิงคนหนึ่งโดยบังเอิญ เธอเป็นคนที่ฉันเคยช่วยไว้ เธอบอกฉันว่าอันซิงตอนนี้กำลังวางแผนจัดการกับฉัน และเธอได้บอกแผนบางส่วนของอันซิงให้ฉันรู้ ตอนนั้นพอฉันได้ฟังเรื่องนี้ก็โมโหมาก ทำไมอันซิงจึงเกลียดฉันนัก คอยสร้างความลำบากให้ฉันอยู่เรื่อย”


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่กำลังกลัดกลุ้มใจ มันทำให้หัวใจเขาปวดหนึบ


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าเพิ่งโกรธไปเลย แล้วก็อย่าว้าวุ่นใจด้วย เรื่องนี้ผมจะสืบให้ได้ความแน่ชัดเอง” เซียวจิ่งสือพูด สายตาจับอยู่ที่หลินหว่าน


 


 


“พอฉันได้ฟังข่าวนี้ก็รู้สึกโกรธมากเลย แล้วฉันก็ติดต่อกับคนรู้จักในวงการบันเทิง เพื่อสอบถามว่าเรื่องนี้ที่แท้เป็นยังไงกันแน่ ถ้ามีเรื่องแบบนี้จริง ฉันจะไม่ยอมให้อันซิงรังแกได้หรอก แต่ถ้าไม่มี ฉันก็อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นคนสร้างเรื่องยุแหย่ครั้งนี้” หลินหว่านพูดเสียงเด็ดเดี่ยว


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างเห็นใจ เขารู้ว่าในวงการบันเทิงมีคนเลวร้ายอยู่มากมาย แต่ในเมื่อหลินหว่านเลือกที่จะเดินเส้นทางสายนี้ เขาก็จะเป็นเพื่อนหลินหว่านเดินไปให้ถึงที่สุด และนี่เป็นฝันของหลินหว่าน ดังนั้นเซียวจิ่งสือจะคอยดูแลเธอตลอดไป


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าวิตกและโมโหไปเลยนะ ผมจะช่วยคุณสืบเรื่องนี้ออกมาให้ได้ ถ้าหากอันซิงคิดจะให้ร้ายคุณจริงๆ ผมจะไม่ปล่อยเธอไปหรอก คุณอย่าให้เรื่องนี้กระทบถึงงานและสุขภาพจิตของคุณเลย ผมจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอด คุณไม่ต้องกลัวนะ” เซียวจิ่งสือจ้องตาหลินหว่านพลางพูด


 


 


หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วผงกศีรษะ ทั้งคู่ต่างโอบกอดซึ่งกันและกัน


 


 


ไม่นานนัก ระหว่างที่หลินหว่านถ่ายหนังอยู่นั้น เซียวจิ่งสือก็เริ่มสืบว่าอันซิงได้วางแผนการให้ร้ายหลินหว่านหรือไม่ แน่นอนว่าผลที่ได้คือ อันซิงจะใส่ร้ายหลินหว่านจริงๆ ส่วนแผนการเป็นอย่างไรนั้นเขายังสืบไม่ได้ความชัดเจน เซียวจิ่งสือกำลังพยายามสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดว่าอันซิงมีแผนอะไรมาทำร้ายหลินหว่านกันแน่


 


 


ตอนค่ำ หลินหว่านกลับจากถ่ายหนัง ท่าทางเหน็ดเหนื่อย เดินคอตกเข้ามานั่งลงตรงหน้าเซียวจิ่งสือ


 


 


“หลินหว่าน วันนี้ผมสืบได้ความว่าอันซิงตั้งใจจะใส่น้ายคุณจริงๆ แต่แผนการเป็นอย่างไรผมยังไม่ทราบ คุณอย่ากังวลไปเลย ผมจะรีบสืบจนรู้ได้แน่ พอผมสืบได้แล้ว จะไม่ยอมให้คุณถูกทำร้ายอย่างเด็ดขาด” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่านอย่างอ่อนโยน


 


 


“คุณไม่ต้องสืบว่าอันซิงจะสาดโคลนฉันด้วยวิธีการอะไรแล้ว ตอนนี้ฉันรู้แล้ว เธอจะใส่ร้ายว่าฉันเสพยา คุณก็ทราบว่าการเสพยานั้นน่ากลัวขนาดไหนสำหรับศิลปินคนหนึ่ง ถ้าหากเธอทำได้สำเร็จ ฉันคงต้องถูกขับไล่ออกจากวงการบันเทิงไปจริงๆ เมื่อก่อนพวกเราเคยพบเห็นศิลปินที่เสพยาในวงการบันเทิงมาแล้ว ถึงตอนนี้พวกเขาไม่มีใครสักคนที่ได้กลับเข้าสู่วงการอีกเลย สาธารณชนนั้นจริงจังกับกรณีเสพยามากเลยนะ เรื่องนี้ฉันรู้สึกวิตกมาก ยังค่อยๆ ตรวจสอบดูอยู่ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากทั้งกายและใจเลยค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเอื่อย นอนตาลอยอยู่บนโซฟา


 


 


หลินหว่านรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มใจอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีคนอยากจะให้ร้ายเธอนัก ระหว่างคนกับคนไม่สามารถทำความเข้าใจกันแล้วอยู่กันอย่างสงบหรือไง หลินหว่านไม่เคยแม้แต่คิดว่าจะไปทำร้ายคนอื่น แต่เรื่องนี้กลับตกอยู่ที่เธอ หลินหว่านรู้สึกทุกข์ใจมาก


 


 


เซียวจิ่งสือพูดปลอบเสียงเบา “ผมยังสืบอยู่ว่าอันซิงจะให้ร้ายคุณได้ยังไง คุณก็รู้แล้ว อย่างนั้นต่อไปอันซิงยังจะทำอะไรอีกนะ พวกเราต้องหยุดเรื่องนี้ไว้ให้ได้ อย่าให้เธอทำสำเร็จ”


 


 


หลินหว่านส่ายหน้า หลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือจึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ภายหลังหลินหว่านได้ทราบว่าแผนการของอันซิงกำลังคืบหน้าไปทีละก้าว รอสถานการณ์สุกงอม ดูเหมือนอยู่ที่การทำให้เธอถูกมองว่าเสพยา หลินหว่านกังวลใจมาก กลัวว่าพอเผลออันซิงก็จะดำเนินแผนการนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าการได้ชื่อว่าเสพยาเสพติดสำหรับศิลปินแล้ว มันหมายถึงอะไร ข่าวเรื่องเสพยานี้ถ้ากระจายออกไป ต่อให้พิสูจน์ได้ในที่สุด แต่ก็เป็นรอยด่างในภายหลังอยู่ดี

 

 

 


ตอนที่ 121

 

รักเธอเป็นเหมือนยาพิษ

 


 


 


แต่ที่ไหนได้หลินหว่านยิ้มออกมา “เซียวจิ่งสือ คุณตื่นเต้นหวาดกลัวขนาดนี้ทำไมกันนะ เรื่องนั้นฉันรู้ตั้งนานแล้ว ฉันเห็นจากมือถือตัวเองล่ะ อีกอย่างในอินเทอร์เน็ตแค่บอกว่าเพราะสุขภาพฉันไม่ดี แล้วพูดจากระทบกระแทกแดกดันฉัน พวกคุณทำไมต้องตื่นเต้นตึงเครียดขนาดนี้ล่ะ  ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย ฉันรู้ว่าคนเป็นดารา บางครั้งก็ต้องพบเจอกับเสียงข่าวลือแปลกๆ พวกนี้ เราไม่เป็นอย่างเขาว่าก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันวางเฉยกับเรื่องพวกนี้ได้มากแล้วค่ะ ไม่ค่อยจะยึดติดกับมักมากนัก ดังนั้นพวกคุณก็ไม่ต้องกังวลแทนฉันแล้วนะ ตอนนี้สภาพจิตของฉันเข้มแข็งขึ้นมากแล้วค่ะ”


 


 


สภาพจิตใจของหลินหว่านกับรอยยิ้มทำให้เซียวจิ่งสือและอวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจไปตามกัน พอเห็นว่าหลินหว่านสามารถวางท่าทีต่อคำซุบซิบนินทาของตัวเองได้เช่นนี้ เซียวจิ่งสือก็ถอนใจอย่างโล่งอก


 


 


“หลินหว่าน คุณคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ส่วนคุณน่ะ ต่อไปไม่ว่าจะเจอกับคำซุบซิบนินทาอะไร คุณต้องมองในแง่ดีเข้าไว้ ถ้าวางเฉยได้ก็ยิ่งดีใหญ่ ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมยังหวังว่าคุณจะเผชิญกับมันด้วยท่าทีเช่นวันนี้” เซียวจิ่งสือพูดพร้อมกับมองหลินหว่านด้วยท่าทีปลาบปลื้มชื่นชม


 


 


เย็นนั้นหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือทานข้าวเสร็จ กลับถึงห้องพัก หลินหว่านที่เหนื่อยจากการแสดงจึงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เซียวจิ่งสือรอจนหลินหว่านหลับไปแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นดูคำวิจารณ์เชิงลบบนเน็ตของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือกลับเป็นฝ่ายวิตกต่อสภาพจิตของหลินหว่าน เขาอ่านข้อความที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหลินหว่านบนอินเทอร์เน็ตด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น


 


 


เซียวจิ่งสือพบว่าคล้ายกับจะมีคนตั้งใจใส่ร้ายหลินหว่าน ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเขาดูเหมือนจะทุ่มเงินและกำลังคนไม่น้อยเพื่อจัดการกับหลินหว่าน เซียวจิ่งสือรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่หลับอยู่บนเตียงแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เขาไม่อยากให้หลินหว่านต้องมาเจอกับคำนินทาไร้สาระพวกนี้ แต่เขาเองก็ไม่มีปัญญาจะไปปรับเปลี่ยนอะไรได้ เขาได้แต่โทษว่าตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องหลินหว่านได้


 


 


วันรุ่งขึ้นหลินหว่านดูมีชีวิตชีวาขึ้นจนวิ่งไปเข้ากล้องที่กองถ่ายได้เอง ส่วนเซียวจิ่งสือ…เมื่อคืนเขามัวแต่อ่านคำวิพากษ์วิจารณ์หลินหว่านบนอินเทอร์เน็ตจนเข้านอนดึกมาก เช้าวันนี้เขาเห็นว่าหลินหว่านดูดีแล้ว จึงไม่ได้ติดตามเธอไปสถานที่ถ่ายทำ


 


 


พักเที่ยง ตอนหลินหว่านหาตัวเซียวจิ่งสือจนเจอนั้น เธอขมวดคิ้วคอตกเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดแรง ดูเหมือนจะอารมณ์บูดเอามากๆ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้าง ยังเข้าใจว่าเป็นเพราะการแสดงทำให้หลินหว่านเกิดอาการเหมือนคราวที่แล้ว เซียวจิ่งสือนึกด่าตัวเองในใจว่าทำไมตอนเช้าไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนหลินหว่าน


 


 


เซียวจิ่งสือรีบวิ่งมาหาหลินหว่านพูดว่า “หลินหว่าน เช้านี้คุณเป็นอะไรไปเหรอ ดูเหมือนอาการไม่ค่อยดีนะ หรือเป็นเพราะเช้านี้ผมไม่ได้เป็นเพื่อนคุณไปกองถ่าย หรือว่าผู้กำกับต่อว่าคุณ คุณอย่าเศร้าไปเลยนะ คุณไม่สบายใจผมก็พลอยเครียดไปด้วยเลย”


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดูเซียวจิ่งสือด้วยสายตาเศร้าเสียใจ ไม่พูดสักคำ เดินไปนั่งเหม่อบนโซฟา


 


 


“หลินหว่าน คุณพูดอะไรสักคำได้ไหม ผมร้อนใจนะ” เซียวจิ่งสือดูท่าทางสับสนว้าวุ่นอยู่บ้าง


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ วันนี้ฉันเจอกับผู้ช่วยในวงการบันเทิงคนหนึ่งโดยบังเอิญ เธอเป็นคนที่ฉันเคยช่วยไว้ เธอบอกฉันว่าอันซิงตอนนี้กำลังวางแผนจัดการกับฉัน และเธอได้บอกแผนบางส่วนของอันซิงให้ฉันรู้ ตอนนั้นพอฉันได้ฟังเรื่องนี้ก็โมโหมาก ทำไมอันซิงจึงเกลียดฉันนัก คอยสร้างความลำบากให้ฉันอยู่เรื่อย”


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่กำลังกลัดกลุ้มใจ มันทำให้หัวใจเขาปวดหนึบ


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าเพิ่งโกรธไปเลย แล้วก็อย่าว้าวุ่นใจด้วย เรื่องนี้ผมจะสืบให้ได้ความแน่ชัดเอง” เซียวจิ่งสือพูด สายตาจับอยู่ที่หลินหว่าน


 


 


“พอฉันได้ฟังข่าวนี้ก็รู้สึกโกรธมากเลย แล้วฉันก็ติดต่อกับคนรู้จักในวงการบันเทิง เพื่อสอบถามว่าเรื่องนี้ที่แท้เป็นยังไงกันแน่ ถ้ามีเรื่องแบบนี้จริง ฉันจะไม่ยอมให้อันซิงรังแกได้หรอก แต่ถ้าไม่มี ฉันก็อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นคนสร้างเรื่องยุแหย่ครั้งนี้” หลินหว่านพูดเสียงเด็ดเดี่ยว


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างเห็นใจ เขารู้ว่าในวงการบันเทิงมีคนเลวร้ายอยู่มากมาย แต่ในเมื่อหลินหว่านเลือกที่จะเดินเส้นทางสายนี้ เขาก็จะเป็นเพื่อนหลินหว่านเดินไปให้ถึงที่สุด และนี่เป็นฝันของหลินหว่าน ดังนั้นเซียวจิ่งสือจะคอยดูแลเธอตลอดไป


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าวิตกและโมโหไปเลยนะ ผมจะช่วยคุณสืบเรื่องนี้ออกมาให้ได้ ถ้าหากอันซิงคิดจะให้ร้ายคุณจริงๆ ผมจะไม่ปล่อยเธอไปหรอก คุณอย่าให้เรื่องนี้กระทบถึงงานและสุขภาพจิตของคุณเลย ผมจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอด คุณไม่ต้องกลัวนะ” เซียวจิ่งสือจ้องตาหลินหว่านพลางพูด


 


 


หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วผงกศีรษะ ทั้งคู่ต่างโอบกอดซึ่งกันและกัน


 


 


ไม่นานนัก ระหว่างที่หลินหว่านถ่ายหนังอยู่นั้น เซียวจิ่งสือก็เริ่มสืบว่าอันซิงได้วางแผนการให้ร้ายหลินหว่านหรือไม่ แน่นอนว่าผลที่ได้คือ อันซิงจะใส่ร้ายหลินหว่านจริงๆ ส่วนแผนการเป็นอย่างไรนั้นเขายังสืบไม่ได้ความชัดเจน เซียวจิ่งสือกำลังพยายามสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดว่าอันซิงมีแผนอะไรมาทำร้ายหลินหว่านกันแน่


 


 


ตอนค่ำ หลินหว่านกลับจากถ่ายหนัง ท่าทางเหน็ดเหนื่อย เดินคอตกเข้ามานั่งลงตรงหน้าเซียวจิ่งสือ


 


 


“หลินหว่าน วันนี้ผมสืบได้ความว่าอันซิงตั้งใจจะใส่น้ายคุณจริงๆ แต่แผนการเป็นอย่างไรผมยังไม่ทราบ คุณอย่ากังวลไปเลย ผมจะรีบสืบจนรู้ได้แน่ พอผมสืบได้แล้ว จะไม่ยอมให้คุณถูกทำร้ายอย่างเด็ดขาด” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่านอย่างอ่อนโยน


 


 


“คุณไม่ต้องสืบว่าอันซิงจะสาดโคลนฉันด้วยวิธีการอะไรแล้ว ตอนนี้ฉันรู้แล้ว เธอจะใส่ร้ายว่าฉันเสพยา คุณก็ทราบว่าการเสพยานั้นน่ากลัวขนาดไหนสำหรับศิลปินคนหนึ่ง ถ้าหากเธอทำได้สำเร็จ ฉันคงต้องถูกขับไล่ออกจากวงการบันเทิงไปจริงๆ เมื่อก่อนพวกเราเคยพบเห็นศิลปินที่เสพยาในวงการบันเทิงมาแล้ว ถึงตอนนี้พวกเขาไม่มีใครสักคนที่ได้กลับเข้าสู่วงการอีกเลย สาธารณชนนั้นจริงจังกับกรณีเสพยามากเลยนะ เรื่องนี้ฉันรู้สึกวิตกมาก ยังค่อยๆ ตรวจสอบดูอยู่ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากทั้งกายและใจเลยค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเอื่อย นอนตาลอยอยู่บนโซฟา


 


 


หลินหว่านรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มใจอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีคนอยากจะให้ร้ายเธอนัก ระหว่างคนกับคนไม่สามารถทำความเข้าใจกันแล้วอยู่กันอย่างสงบหรือไง หลินหว่านไม่เคยแม้แต่คิดว่าจะไปทำร้ายคนอื่น แต่เรื่องนี้กลับตกอยู่ที่เธอ หลินหว่านรู้สึกทุกข์ใจมาก


 


 


เซียวจิ่งสือพูดปลอบเสียงเบา “ผมยังสืบอยู่ว่าอันซิงจะให้ร้ายคุณได้ยังไง คุณก็รู้แล้ว อย่างนั้นต่อไปอันซิงยังจะทำอะไรอีกนะ พวกเราต้องหยุดเรื่องนี้ไว้ให้ได้ อย่าให้เธอทำสำเร็จ”


 


 


หลินหว่านส่ายหน้า หลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือจึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ภายหลังหลินหว่านได้ทราบว่าแผนการของอันซิงกำลังคืบหน้าไปทีละก้าว รอสถานการณ์สุกงอม ดูเหมือนอยู่ที่การทำให้เธอถูกมองว่าเสพยา หลินหว่านกังวลใจมาก กลัวว่าพอเผลออันซิงก็จะดำเนินแผนการนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าการได้ชื่อว่าเสพยาเสพติดสำหรับศิลปินแล้ว มันหมายถึงอะไร ข่าวเรื่องเสพยานี้ถ้ากระจายออกไป ต่อให้พิสูจน์ได้ในที่สุด แต่ก็เป็นรอยด่างในภายหลังอยู่ดี

 

 

 


ตอนที่ 121

 

รักเธอเป็นเหมือนยาพิษ

 


 


 


แต่ที่ไหนได้หลินหว่านยิ้มออกมา “เซียวจิ่งสือ คุณตื่นเต้นหวาดกลัวขนาดนี้ทำไมกันนะ เรื่องนั้นฉันรู้ตั้งนานแล้ว ฉันเห็นจากมือถือตัวเองล่ะ อีกอย่างในอินเทอร์เน็ตแค่บอกว่าเพราะสุขภาพฉันไม่ดี แล้วพูดจากระทบกระแทกแดกดันฉัน พวกคุณทำไมต้องตื่นเต้นตึงเครียดขนาดนี้ล่ะ  ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย ฉันรู้ว่าคนเป็นดารา บางครั้งก็ต้องพบเจอกับเสียงข่าวลือแปลกๆ พวกนี้ เราไม่เป็นอย่างเขาว่าก็แล้วกัน ตอนนี้ฉันวางเฉยกับเรื่องพวกนี้ได้มากแล้วค่ะ ไม่ค่อยจะยึดติดกับมักมากนัก ดังนั้นพวกคุณก็ไม่ต้องกังวลแทนฉันแล้วนะ ตอนนี้สภาพจิตของฉันเข้มแข็งขึ้นมากแล้วค่ะ”


 


 


สภาพจิตใจของหลินหว่านกับรอยยิ้มทำให้เซียวจิ่งสือและอวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจไปตามกัน พอเห็นว่าหลินหว่านสามารถวางท่าทีต่อคำซุบซิบนินทาของตัวเองได้เช่นนี้ เซียวจิ่งสือก็ถอนใจอย่างโล่งอก


 


 


“หลินหว่าน คุณคิดได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ส่วนคุณน่ะ ต่อไปไม่ว่าจะเจอกับคำซุบซิบนินทาอะไร คุณต้องมองในแง่ดีเข้าไว้ ถ้าวางเฉยได้ก็ยิ่งดีใหญ่ ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมยังหวังว่าคุณจะเผชิญกับมันด้วยท่าทีเช่นวันนี้” เซียวจิ่งสือพูดพร้อมกับมองหลินหว่านด้วยท่าทีปลาบปลื้มชื่นชม


 


 


เย็นนั้นหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือทานข้าวเสร็จ กลับถึงห้องพัก หลินหว่านที่เหนื่อยจากการแสดงจึงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เซียวจิ่งสือรอจนหลินหว่านหลับไปแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นดูคำวิจารณ์เชิงลบบนเน็ตของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือกลับเป็นฝ่ายวิตกต่อสภาพจิตของหลินหว่าน เขาอ่านข้อความที่เป็นปฏิปักษ์ต่อหลินหว่านบนอินเทอร์เน็ตด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น


 


 


เซียวจิ่งสือพบว่าคล้ายกับจะมีคนตั้งใจใส่ร้ายหลินหว่าน ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเขาดูเหมือนจะทุ่มเงินและกำลังคนไม่น้อยเพื่อจัดการกับหลินหว่าน เซียวจิ่งสือรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่หลับอยู่บนเตียงแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจมาก เขาไม่อยากให้หลินหว่านต้องมาเจอกับคำนินทาไร้สาระพวกนี้ แต่เขาเองก็ไม่มีปัญญาจะไปปรับเปลี่ยนอะไรได้ เขาได้แต่โทษว่าตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะปกป้องหลินหว่านได้


 


 


วันรุ่งขึ้นหลินหว่านดูมีชีวิตชีวาขึ้นจนวิ่งไปเข้ากล้องที่กองถ่ายได้เอง ส่วนเซียวจิ่งสือ…เมื่อคืนเขามัวแต่อ่านคำวิพากษ์วิจารณ์หลินหว่านบนอินเทอร์เน็ตจนเข้านอนดึกมาก เช้าวันนี้เขาเห็นว่าหลินหว่านดูดีแล้ว จึงไม่ได้ติดตามเธอไปสถานที่ถ่ายทำ


 


 


พักเที่ยง ตอนหลินหว่านหาตัวเซียวจิ่งสือจนเจอนั้น เธอขมวดคิ้วคอตกเดินเข้ามาด้วยท่าทางหมดแรง ดูเหมือนจะอารมณ์บูดเอามากๆ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่บ้าง ยังเข้าใจว่าเป็นเพราะการแสดงทำให้หลินหว่านเกิดอาการเหมือนคราวที่แล้ว เซียวจิ่งสือนึกด่าตัวเองในใจว่าทำไมตอนเช้าไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนหลินหว่าน


 


 


เซียวจิ่งสือรีบวิ่งมาหาหลินหว่านพูดว่า “หลินหว่าน เช้านี้คุณเป็นอะไรไปเหรอ ดูเหมือนอาการไม่ค่อยดีนะ หรือเป็นเพราะเช้านี้ผมไม่ได้เป็นเพื่อนคุณไปกองถ่าย หรือว่าผู้กำกับต่อว่าคุณ คุณอย่าเศร้าไปเลยนะ คุณไม่สบายใจผมก็พลอยเครียดไปด้วยเลย”


 


 


หลินหว่านเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดูเซียวจิ่งสือด้วยสายตาเศร้าเสียใจ ไม่พูดสักคำ เดินไปนั่งเหม่อบนโซฟา


 


 


“หลินหว่าน คุณพูดอะไรสักคำได้ไหม ผมร้อนใจนะ” เซียวจิ่งสือดูท่าทางสับสนว้าวุ่นอยู่บ้าง


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ วันนี้ฉันเจอกับผู้ช่วยในวงการบันเทิงคนหนึ่งโดยบังเอิญ เธอเป็นคนที่ฉันเคยช่วยไว้ เธอบอกฉันว่าอันซิงตอนนี้กำลังวางแผนจัดการกับฉัน และเธอได้บอกแผนบางส่วนของอันซิงให้ฉันรู้ ตอนนั้นพอฉันได้ฟังเรื่องนี้ก็โมโหมาก ทำไมอันซิงจึงเกลียดฉันนัก คอยสร้างความลำบากให้ฉันอยู่เรื่อย”


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่กำลังกลัดกลุ้มใจ มันทำให้หัวใจเขาปวดหนึบ


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าเพิ่งโกรธไปเลย แล้วก็อย่าว้าวุ่นใจด้วย เรื่องนี้ผมจะสืบให้ได้ความแน่ชัดเอง” เซียวจิ่งสือพูด สายตาจับอยู่ที่หลินหว่าน


 


 


“พอฉันได้ฟังข่าวนี้ก็รู้สึกโกรธมากเลย แล้วฉันก็ติดต่อกับคนรู้จักในวงการบันเทิง เพื่อสอบถามว่าเรื่องนี้ที่แท้เป็นยังไงกันแน่ ถ้ามีเรื่องแบบนี้จริง ฉันจะไม่ยอมให้อันซิงรังแกได้หรอก แต่ถ้าไม่มี ฉันก็อยากรู้ว่าใครกันที่เป็นคนสร้างเรื่องยุแหย่ครั้งนี้” หลินหว่านพูดเสียงเด็ดเดี่ยว


 


 


เซียวจิ่งสือมองหลินหว่านอย่างเห็นใจ เขารู้ว่าในวงการบันเทิงมีคนเลวร้ายอยู่มากมาย แต่ในเมื่อหลินหว่านเลือกที่จะเดินเส้นทางสายนี้ เขาก็จะเป็นเพื่อนหลินหว่านเดินไปให้ถึงที่สุด และนี่เป็นฝันของหลินหว่าน ดังนั้นเซียวจิ่งสือจะคอยดูแลเธอตลอดไป


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าวิตกและโมโหไปเลยนะ ผมจะช่วยคุณสืบเรื่องนี้ออกมาให้ได้ ถ้าหากอันซิงคิดจะให้ร้ายคุณจริงๆ ผมจะไม่ปล่อยเธอไปหรอก คุณอย่าให้เรื่องนี้กระทบถึงงานและสุขภาพจิตของคุณเลย ผมจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอด คุณไม่ต้องกลัวนะ” เซียวจิ่งสือจ้องตาหลินหว่านพลางพูด


 


 


หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วผงกศีรษะ ทั้งคู่ต่างโอบกอดซึ่งกันและกัน


 


 


ไม่นานนัก ระหว่างที่หลินหว่านถ่ายหนังอยู่นั้น เซียวจิ่งสือก็เริ่มสืบว่าอันซิงได้วางแผนการให้ร้ายหลินหว่านหรือไม่ แน่นอนว่าผลที่ได้คือ อันซิงจะใส่ร้ายหลินหว่านจริงๆ ส่วนแผนการเป็นอย่างไรนั้นเขายังสืบไม่ได้ความชัดเจน เซียวจิ่งสือกำลังพยายามสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดว่าอันซิงมีแผนอะไรมาทำร้ายหลินหว่านกันแน่


 


 


ตอนค่ำ หลินหว่านกลับจากถ่ายหนัง ท่าทางเหน็ดเหนื่อย เดินคอตกเข้ามานั่งลงตรงหน้าเซียวจิ่งสือ


 


 


“หลินหว่าน วันนี้ผมสืบได้ความว่าอันซิงตั้งใจจะใส่น้ายคุณจริงๆ แต่แผนการเป็นอย่างไรผมยังไม่ทราบ คุณอย่ากังวลไปเลย ผมจะรีบสืบจนรู้ได้แน่ พอผมสืบได้แล้ว จะไม่ยอมให้คุณถูกทำร้ายอย่างเด็ดขาด” เซียวจิ่งสือพูดกับหลินหว่านอย่างอ่อนโยน


 


 


“คุณไม่ต้องสืบว่าอันซิงจะสาดโคลนฉันด้วยวิธีการอะไรแล้ว ตอนนี้ฉันรู้แล้ว เธอจะใส่ร้ายว่าฉันเสพยา คุณก็ทราบว่าการเสพยานั้นน่ากลัวขนาดไหนสำหรับศิลปินคนหนึ่ง ถ้าหากเธอทำได้สำเร็จ ฉันคงต้องถูกขับไล่ออกจากวงการบันเทิงไปจริงๆ เมื่อก่อนพวกเราเคยพบเห็นศิลปินที่เสพยาในวงการบันเทิงมาแล้ว ถึงตอนนี้พวกเขาไม่มีใครสักคนที่ได้กลับเข้าสู่วงการอีกเลย สาธารณชนนั้นจริงจังกับกรณีเสพยามากเลยนะ เรื่องนี้ฉันรู้สึกวิตกมาก ยังค่อยๆ ตรวจสอบดูอยู่ค่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากทั้งกายและใจเลยค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเอื่อย นอนตาลอยอยู่บนโซฟา


 


 


หลินหว่านรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มใจอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีคนอยากจะให้ร้ายเธอนัก ระหว่างคนกับคนไม่สามารถทำความเข้าใจกันแล้วอยู่กันอย่างสงบหรือไง หลินหว่านไม่เคยแม้แต่คิดว่าจะไปทำร้ายคนอื่น แต่เรื่องนี้กลับตกอยู่ที่เธอ หลินหว่านรู้สึกทุกข์ใจมาก


 


 


เซียวจิ่งสือพูดปลอบเสียงเบา “ผมยังสืบอยู่ว่าอันซิงจะให้ร้ายคุณได้ยังไง คุณก็รู้แล้ว อย่างนั้นต่อไปอันซิงยังจะทำอะไรอีกนะ พวกเราต้องหยุดเรื่องนี้ไว้ให้ได้ อย่าให้เธอทำสำเร็จ”


 


 


หลินหว่านส่ายหน้า หลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือจึงไม่ได้พูดอะไรอีก


 


 


ภายหลังหลินหว่านได้ทราบว่าแผนการของอันซิงกำลังคืบหน้าไปทีละก้าว รอสถานการณ์สุกงอม ดูเหมือนอยู่ที่การทำให้เธอถูกมองว่าเสพยา หลินหว่านกังวลใจมาก กลัวว่าพอเผลออันซิงก็จะดำเนินแผนการนี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าการได้ชื่อว่าเสพยาเสพติดสำหรับศิลปินแล้ว มันหมายถึงอะไร ข่าวเรื่องเสพยานี้ถ้ากระจายออกไป ต่อให้พิสูจน์ได้ในที่สุด แต่ก็เป็นรอยด่างในภายหลังอยู่ดี

 

 

 


ตอนที่ 122

 

สารภาพ

 


 


 


เมื่อสืบพบว่าอันซิงกำลังเตรียมแผนการใส่ร้ายเธออยู่ หลินหว่านจึงคิดจะใช้โอกาสอันดีนี้เอาคืนอันซิงบ้าง เนื่องจาก เธอไม่ยอมให้อันซิงทำลายความพยายามของเธอที่มีทั้งหมดในวงการบันเทิงหรอก


 


 


“คุณหลินครับ เราได้ตัวคนที่คุณให้พวกเราไปเอาตัวมาแล้ว ตอนนี้พวกเขานำตัวไปที่โกดังเก่าถนนหนานเจีย คุณจะให้ทำอย่างไรต่อไปดีครับ”


 


 


วันรุ่งขึ้นหลังจากสืบทราบแผนการของอันซิง หลินหว่านก็ได้รับโทรศัพท์ เป็นสายจากพี่จ้าวซึ่งเมื่อวานเธอสั่งให้ไปเอาตัวคนที่จะใส่ร้ายเธอมา


 


 


ดีมาก ยังไม่ถึงวันเลย พวกเขาจับตัวได้แล้ว เชื่อว่าข่าวลือที่จะใส่ร้ายเธอยังไม่ทันได้เผยแพร่ออกไป


 


 


พี่จ้าวนั้นกล่าวได้ว่าเป็นกึ่งชาวแก๊งคนหนึ่ง รับจ้างทำเรื่องนอกกฎหมายให้ใครก็ตามที่มีเงิน และยังเก็บความลับให้ด้วย แน่นอนว่าเงื่อนไขคือคุณต้องมีเงินจำนวนมากพอ


 


 


หลินหว่านยกมุมปากยิ้มเยือกเย็นราวกับเป็นดอกฝิ่นที่งดงามแฝงพิษร้ายชวนหลอน จากนั้นเธอออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “สั่งสอนพวกมันให้รู้สึกสำนึกตัวซะบ้าง เดี๋ยวฉันจะรีบไป”


 


 


“ได้ครับ คุณหลิน” พอได้ฟังน้ำเสียงในสายของหลินหว่าน พี่จ้าวก็เข้าใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป


 


 


หลังวางสายโทรศัพท์ หลินหว่านก็พรางตัวด้วยการสวมหน้ากากอนามัย แว่นดำและหมวก อีกเดี๋ยวเธอต้องไปทำในสิ่งที่พลาดไม่ได้ ทั้งนี้ไม่อาจให้ใครจำเธอได้เด็ดขาด


 


 


สุดท้าย ก่อนออกไป หลินหว่านพกปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่งไปด้วย นี่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่เมื่อวานเธอเตรียมไว้แต่แรก อีกเดี๋ยวที่เธอต้องทำ ไม่ใช่แค่ให้พวกที่จะใส่ร้ายเธอหุบปากเท่านั้น!


 


 


โกดังเก่าที่ถนนหนานเจียค่อนข้างห่างไกลผู้คน หลินหว่านต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเดินทางถึงที่นั่น ตอนใกล้จะถึงที่หมาย เซียวจิ่งสือโทรหาเธอสายหนึ่ง หลินหว่านคิดๆ ดูแล้วไม่ได้รับสายนี้ นอกจากนี้เธอยังปิดเสียงโทรศัพท์ไปเลยด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุอะไรมารบกวนแผนการเอาคืนของเธอ


 


 


พอถึงโกดังเก่า หลินหว่านเดินเข้าไปด้านในหลายก้าว จึงเห็นจ้าวเทียนหลงกับหลายคนที่ถูกมัดอยู่


 


 


หลายคนที่ถูกมัดอยู่นั้นก็คือคนที่คิดจะใส่ร้ายว่าเธอเสพยา หลินหว่านเดินเข้าไปหาพวกเขา เธอมองสำรวจรอบหนึ่ง ตามร่างกายและใบหน้าของทุกคนต่างก็ได้แผลกันมากบ้างน้อยบ้าง คิดว่าก่อนเธอจะมาถึงที่นี่ จ้าวเทียนหลงคงสั่งสอนพวกเขาเป็นอย่างดีแล้ว พอนึกถึงตรงนี้เธอก็รู้สึกสะใจไม่หาย


 


 


“คุณหลิน สวัสดีครับ ผมได้ทำตามคำสั่งของคุณ สั่งสอนพวกเขาไปรอบหนึ่งแล้ว” จ้าวเทียนหลงเห็นหลินหว่านก่อน เขาเดินเข้ามาหาเธอแล้วพูดกับหลินหว่านอย่างนอบน้อม


 


 


“อื้ม คุณทำได้ไม่เลวนี่” หลินหว่านพูดคล้ายไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่


 


 


“หลินหว่าน? ก…แกคือหลินหว่าน?” ตอนนั้นเอง หนึ่งในคนที่ถูกมัดอยู่เห็นหลินหว่าน ก็เบิกตากว้างร้องตะโกนออกมาอย่างเหลือเชื่อ


 


 


“ใช่! ฉันเอง” หลินหว่านตอบรับโดยไม่ลังเล


 


 


“แกให้คนไปจับพวกเรามาที่นี่งั้นเหรอ ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วย” เจ้านั่นถามต่อเสียงดัง


 


 


ตอนนั้นเอง คนที่ถูกมัดคนอื่นๆ เห็นหลินหว่านแล้ว ต่างพากันตื่นตกใจมาก จากนั้นพากันข่มขู่หลินหว่านเสียงดัง “หลินหว่าน แกรีบปล่อยพวกเรานะ ไม่งั้นเราแจ้งตำรวจ!”


 


 


“ถ้าแกยังไม่ปล่อยพวกเราอีก รอดไปได้เราจะแฉแกแน่!”


 


 


“งั้นเหรอ พวกแกแน่ใจเหรอว่าพวกแกจะได้รอดออกไปน่ะหือ” หลินหว่านโต้กลับ จากนั้นพูดเสียงเย็นว่า “ดูเหมือนว่าการสั่งสอนเมื่อครู่คงจะยังไม่พอนะ”


 


 


จ้าวเทียนหลงฟังคำพูดของหลินหว่านแล้ว ตั้งท่าจะให้ลูกน้องเขาลงมือสั่งสอนพวกมันอีกรอบ


 


 


พวกที่ถูกมัดอยู่เห็นท่าทางของพวกเขาแล้ว ต่างพากันตัวสั่นระริกขึ้นมา ไม่เหลือมาดข่มขู่หลินหว่านเมื่อครู่อีก พวกเขารีบร้องขอลนลาน “คุณหลิน พวกเรามีอะไรค่อยๆ พูดค่อยจากันก็ได้ คุณปล่อยพวกเราไปเถอะนะ! คุณจับพวกเรามานี่ต้องการอะไรกันแน่”


 


 


หลินหว่านเห็นเช่นนั้นก็ห้ามพวกจ้าวเทียนหลง “พวกคุณออกไปก่อนเถอะ อย่าให้คนอื่นเข้ามาได้ อ้อ ค้นตัวพวกมันหมดทุกคนแล้วใช่ไหม” หลินหว่านถามพลางกวาดตามองจ้าวเทียนหลงกับลูกน้องของเขา


 


 


“คุณหลิน ก่อนคุณมาถึง ข้าวของทุกอย่างในตัวพวกมันรวมทั้งมือถือ ค้นเอาออกมาหมดแล้วครับ” จ้าวเทียนหลงตอบ


 


 


หลินหว่านรับฟังแล้วผงกศีรษะอย่างวางใจ เธอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว


 


 


จ้าวเทียนหลงกับลูกน้องออกไปแล้ว หลินหว่านก็ก้าวเข้ามาหาคนพวกนั้น เธอกวาดตามองสำรวจพวกมันก่อนอย่างไม่กลัวเกรง จากนั้นพูดว่า “พวกแกอยากรู้ไหมว่าทำไมฉันจับตัวพวกแกมาที่นี่ ง่ายมาก ฉันได้ยินว่าอันซิงจ้างให้พวกแกมาจัดการฉัน เอาอย่างนี้ ขอเพียงพวกแกบอกแผนการของอันซิงออกมา ฉันจะพิจารณาปล่อยตัวพวกแกไป เป็นยังอย่างไรล่ะ”


 


 


พูดจบ หลินหว่านก็หันไปทางหลายคนนั่น เห็นสีหน้าที่แตกต่างกันไปของพวกมัน ชายสวมแว่นตาที่เป็นหนึ่งในนั้น พูดเสียงอ่อยว่า “คุณหลิน ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไรอยู่ แผนการอะไร ม…ไม่มีเรื่องแบบนี้หรอก…”


 


 


หลินหว่านฟังแล้วก้าวเข้าหาเขา ถามเสียงเย็น “อ๋อ? ไม่รู้ งั้นเหรอ” พูดจบ เธอก็เค้นเสียงสูงว่า “ดูเหมือนว่าพวกแกยังโดนสั่งสอนไม่พอนะ!”


 


 


“คุณหลิน ฉันพูด! ฉันพูดเอง!” ตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง รีบรับปากหลินหว่าน


 


 


“พูดสิ” หลินหว่านมองหญิงคนนั้นอย่างพอใจ


 


 


“ก่อนหน้านี้ไม่นานอันซิงติดต่อฉัน ให้ฉันร่วมมือกับคนอื่นๆ ปล่อยข่าวลือว่าคุณเสพยา ต้องทำจนให้ทุกคนเชื่อให้ได้ อันซิงบอกว่า ครั้งนี้ต้องให้คุณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก เธอยังบอกว่าถ้าทำได้สำเร็จ พวกเราจะได้เงินเยอะมาก” หญิงคนนั้นสารภาพหมดเปลือกทั้งที่ตัวสั่นงักงก


 


 


หลินหว่านฟังแล้วรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ คิดในใจว่า อันซิงนะอันซิง เธอนี่ช่างเป็นนางงูพิษแท้ๆ เลยเชียว แต่ว่า เธอก็รอรับผลกรรมตามสนองเถอะ! หลินหว่านมองผู้หญิงคนนั้นแล้วถามว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกไหม?”


 


 


“ม…ไม่มีแล้ว ที่ฉันรู้ก็พูดออกมาหมดแล้ว…” หญิงนั้นตอบ


 


 


“ดีมาก” หลินหว่านพูดกับหญิงนั้นอย่างพอใจ จากนั้นหันไปเค้นถามกับคนอื่นอีก “แล้วพวกแกล่ะ ยังไม่ยอมรับอีกงั้นเหรอ”


 


 


“ผมยอมรับ! ผมยอมรับแล้ว! คุณหลิน!” คนอื่นๆ พอเห็นว่ามีคนบอกแผนการออกมาแล้ว กลัวว่าหลินหว่านจะให้คนสั่งสอนตัวเองอีก จึงรีบแย่งกันสารภาพกับหลินหว่าน


 


 


“อ๋อ พวกแกไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก พูดมาทีละคน” หลินหว่าเห็นเช่นนั้น แค่นหัวเราะอยู่ในใจแล้วบอกพวกเขา


 


 


มีคนหนึ่งรีบแย่งพูดขึ้นว่า “เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อันซิงโทรหาผม บอกให้ช่วงนี้บริษัทของเรากับบริษัทอื่นๆ ร่วมกันกระจายข่าวลือว่าคุณเสพยา พ…พวกเราทีแรกว่าจะไม่รับงานแล้ว ต…แต่ว่าเธอบอกว่าจะจ่ายให้สองเท่าเลย อีกทั้งพวกเราไม่ต้องรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย แค่พวกเราปลุกกระแสข่าวลือนี้ให้มีคนเชื่อยิ่งมากก็ยิ่งดี อันซิงบอกว่าครั้งนี้เธอต้องการที่จะให้คุณไม่ได้ผุดได้เกิดอีก…”

 

 

 


ตอนที่ 123

 

ทันเวลาพอดี

 


 


 


หลังจากนั้น อีกสองสามคนที่เหลือก็ทยอยสารภาพออกมาจนหมดสิ้น พวกเขาอ้อนวอนหลินหว่าน “คุณหลิน พวกเราบอกทุกอย่างที่เรารู้ไปหมดแล้ว คุณปล่อยพวกเราไปเถอะ…”


 


 


หลินหว่านแสร้งทำเป็นไม่เห็น ขั้นตอนสำคัญที่สุด ยังไม่ถึงเลยนี่ เธอหยิบปากกาบันทึกเสียงออกมา เธอแอบอัดเสียงไว้ตั้งแต่ตอนพวกเขายอมรับแล้ว คำสารภาพทั้งหมดที่พวกเขาเพิ่งพูดไปก็ถูกบันทึกไว้ด้วย


 


 


หลินหว่านเปิดคำสารภาพที่อัดไว้ให้พวกเขาฟัง พวกเขาได้ฟังแล้วต่างก็ตื่นตระหนกตกใจกันไปหมด


 


 


หลินหว่านเห็นท่าทางของพวกเขาแล้วพอใจอย่างมาก เธอพูดขึ้นว่า “คำสารภาพในเทปเสียงนี้พวกแกก็ได้ยินกันแล้ว คิดว่าพวกแกคงจะรู้นะว่าคำสารภาพนี้ถ้าถูกส่งขึ้นอินเทอร์เน็ตละก็ จะส่งผลกับพวกแกขนาดไหน”


 


 


“ถ้าหากฉันฟ้องร้องพวกแกว่าทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง พวกแกว่าศาลจะตัดสินอย่างไรนะ ถึงตอนนั้นพวกแกไม่เพียงจะรักษางานและชื่อเสียงของตัวเองไว้ไม่ได้แล้ว แถมยังจะทำให้บริษัทและคนในครอบครัวต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” หลินหว่านพูดช้าๆ ต่อไปอีกว่า “ถ้าบริษัทไล่พวกแกออก พวกแกคิดว่ายังจะหางานอื่นได้อีกเหรอ ฉันว่าน่าจะไม่มีบริษัทไหนยอมรับแกเข้าทำงานแล้วล่ะมั้ง”


 


 


“จริงสิ ยังมีความเป็นอยู่ของพวกแก พวกแกก็รู้ดีว่ายุคโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้ไม่มีความลับส่วนตัว ขอเพียงข้อมูลของพวกแกถูกขุดคุ้ยออกมา พวกแกรับมือกับกระแสการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตได้ไหมล่ะ ต่อให้ไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็คิดถึงคนในครอบครัวของพวกแกเองก็แล้วกัน…”


 


 


หลินหว่านพูดข่มขวัญพวกเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีคนหนึ่งส่งเสียงร้องขอ “คุณหลิน ขอโทษด้วยค่ะ! พวกเราสำนึกผิดแล้ว…คุณ คุณจะให้พวกเราทำอย่างไรคะ”


 


 


หลินหว่านชะงักไปขณะหนึ่ง มุมปากยกขึ้น พูดกับพวกเขาเสียงเย็น “ถ้าพวกแกไม่อยากให้เสียงในเทปนี่ปรากฏบนอินเทอร์เน็ตละก็ ง่ายมาก แค่พวกแกทำตามแผนเดิมของอันซิง เพียงแต่ตัวเอกที่เสพยาเปลี่ยนเป็นอันซิงก็พอ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันรับรองว่าเสียงในเทปนี่จะไม่โผล่ออกมาต่อหน้าทุกคน”


 


 


พูดจบ หลินหว่านก็มองดูพวกนั้นที่กำลังแอบส่งสายตากันไปมา เธอถามอย่างถือไพ่เหนือกว่าว่า “ตอนนี้ พวกแกไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แค่พวกแกตกลงรับปากข้อเสนอเมื่อครู่ของฉัน ฉันก็จะปล่อยตัวพวกแกไปทันที เป็นอย่างไรล่ะ”


 


 


“ถ…ถ้าพวกเรา ไม่ตกลงล่ะ” ตอนนั้น ผู้หญิงที่เมื่อครู่เอ่ยปากร้องขอก่อนใครนั้น เอ่ยถามหลินหว่านด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก


 


 


ในตอนนี้ หลินหว่านยังไม่รู้ว่าได้ตกหลุมพรางเข้าแล้ว เธอมองดูหญิงคนนั้นแล้วพูดว่า “ไม่ตกลง? ผลสุดท้ายที่ฉันเพิ่งพูดไปพวกแกคิดกันได้หรือยัง ตอนนี้ ต่อให้พวกแกไม่ตกลง ก็ต้องตกลง…โอ๊ะ…” แต่ว่า หลินหว่านยังพูดไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่าเธอถูกชนอย่างแรงจากด้านหลัง จนล้มลงกับพื้น


 


 


ที่แท้ ผู้หญิงคนเมื่อครู่ตั้งใจดึงความสนใจหลินหว่านมาที่ตนเอง เพื่อให้คนที่ไม่รู้ว่าแอบแก้เชือกที่มัดออกได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ลอบจู่โจมเข้าทางด้านหลัง


 


 


“คุณหลิน อย่าบีบบังคับพวกเราให้มากนัก! พวกเราก็ไม่ใช่คนที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ !” ชายคนที่ลอบจู่โจมหลินหว่านเห็นเธอล้มลงกับพื้น จึงพูดกับหลินหว่านอย่างโกรธแค้น


 


 


“เร็ว! ค้นเอาเทปเสียงในตัวเธอก่อน! ทำลายเทปเสียงเมื่อสักครู่นี้ของเธอก่อน!” คนอื่นพอเห็นเช่นนั้นก็รีบบอกชายคนนั้น โดยไม่สนว่าตัวเองยังถูกมัดอยู่


 


 


“ช่วยด้วย! รีบมาเร็ว…” หลินหว่านเห็นดังนั้น ก็พยายามปกป้องเทปเสียงไว้อย่างเหนียวแน่น พร้อมกับหันไปร้องเรียกจ้าวเทียนหลงที่อยู่ด้านนอกเสียงดังลั่น


 


 


แต่ว่าในเวลานั้นกลับไม่มีใครเข้ามา ขณะที่เทปเสียงกำลังจะถูกชายคนนั้นแย่งเอาไป ทันใดนั้นเธอเห็นว่าชายตรงหน้าถูกไม้ฟาดเข้าที่หลังทีหนึ่ง หลินหว่านรีบตะครุบปากกาบันทึกเสียงเอาไว้แล้วยืนขึ้น เธอจึงเห็นว่าคนที่ฟาดจนชายคนนั้นฟุบไปคือ เซียวจิ่งสือ


 


 


พอหลินหว่านเก็บปากกาบันทึกเสียงไว้แล้ว พวกของจ้าวเทียนหลงจึงเข้ามาถึง หลินหว่านสั่งพวกเขาให้มัดตัวชายคนนั้นไว้อีกครั้ง


 


 


“หว่านหว่าน นี่มันเรื่องอะไรกัน” เซียวจิ่งสือเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ก็ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ


 


 


“อีกเดี๋ยวฉันค่อยอธิบายกับคุณนะคะ” หลินหว่านคิดแล้วตอบเซียวจิ่งสือ


 


 


พูดจบ หลินหว่านก็มาที่ข้างกายของพวกคนที่ถูกมัด ถามเสียงเย็นเยียบว่า “พวกแกยังคิดจะลอบทำร้ายฉัน ดูท่าพวกแกคงอยากให้เทปเสียงนี้เผยแพร่ออกไปเร็วๆ ! ฉันจะบอกพวกแกให้ ถ้าพวกแกไม่ทำอย่างที่ฉันบอกเมื่อครู่ ตอนนี้ฉันจะให้บทเรียนดีๆ กับพวกแกเลยก็ได้ อยากลองดูไหมล่ะ”


 


 


สิ้นเสียงหลินหว่าน เจ้าวเทียนหลงกับพวกลูกน้องก็ทำท่าถูหมัดอย่างเข่นเขี้ยว แล้วเข้ามาประชิดตัวพวกเขา


 


 


เจ้าเทียนหลงยังไม่ทันได้ลงมือ พวกนั้นแค่เห็นท่าทางรุกเข้ามาของเขา ต่างก็พากันหวาดกลัวจนตัวสั่นหันมาพูดกับหลินหว่านว่า “คุณหลิน พวกเราผิดไปแล้ว พวกเรารับปากคุณ! ให้พวกเขาปล่อยพวกเราไปเถอะ! ต่อไปพวกเราไม่กล้าทำอีกแล้ว…”


 


 


ใครจะไปรู้ว่าก่อนหลินหว่านจะมาถึงที่นี่ พวกเขาถูกจ้าวเทียนหลงกับพวกรุมกระทืบไปรอบหนึ่งนั้นสาหัสแค่ไหน! ถ้าต้องเจออีกรอบ ไม่รู้ว่าพวกเขายังจะเดินออกไปจากที่นี่ได้เองอยู่หรือเปล่า


 


 


พอเห็นว่าชายคนที่เมื่อครู่ลอบจู่โจมเธอก็เอ่ยปากร้องขอด้วย หลินหว่านถามเขาว่า “พวกแกรับปากฉันกันทุกคน แต่จะรู้ได้ยังไงว่าพวกแกจะไม่กลับคำ เหมือนเมื่อครู่นี้ที่แอบลอบทำร้ายฉัน ถ้าพวกแกหลุดออกไปจากที่นี่แล้วไม่ทำตามที่พูดไว้จะทำอย่างไร”


 


 


“คุณหลิน พวกเราจะทำตามทีพูดแน่นอน! คุณต้องเชื่อพวกเรา! พวกเรากลับไปแล้วจะทำตามที่คุณพูดทุกอย่างเลย ทำตามแผนเดิมใส่ร้ายอันซิง จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับคุณเลย!” หลายคนนั้นฟังแล้วก็มองกันไปมา จากนั้นพูดกับหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านสังเกตสีหน้าของพวกเขาแล้ว นิ่งไปครู่หนึ่ง พูดว่า “เอาเถอะ ฉันจะยอมเชื่อพวกแกสักครั้ง ถ้าพวกแกกลับไปแล้ว ไม่ได้ทำอย่างที่ฉันบอก หรือว่าเปิดเผยเรื่องในวันนี้ออกไป อย่างนั้น ฉันจะไม่ปล่อยพวกแกทุกคนไปแน่!”


 


 


“ขอบคุณคุณหลิน วางใจได้ พวกเราไม่ทำอย่างนั้นหรอก!” พวกนั้นได้ฟังคำพูดของหลินหว่าน รีบพากันรับรองกับเธอ


 


 


หลินหว่านสั่งให้จ้าวเทียนหลงแก้มัดพวกเขา แล้วคุมตัวส่งพวกเขากลับไป


 


 


จนกระทั่งพวกนั้นไปกันหมด เซียวจิ่งสือที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างมาตลอด ค่อยๆ เข้าใจว่าหลินหว่านจะทำอะไร และเป็นดังคาด ตอนหลินหว่านหันมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้แทบทั้งหมด


 


 


เซียวจิ่งสือขมวดคิ้ว พูดว่า “หว่านหว่าน คุณทำแบบนี้อันตรายเกินไปแล้ว ทำไมไม่ปรึกษาผมก่อนสักนิด”


 


 


หลินหว่านลูบจมูก พูดว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่อยากจะใช้โอกาสนี้เอาคืนอันซิงบ้าง จะได้หายแค้น…”


 


 


“แต่ถ้าหากผมไม่ได้ตามรอยมือถือของคุณมาทันเวลาพอดี เข้ามาทางประตูหลังของโกดัง จึงพอดีช่วยคุณไว้ได้ คุณเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะทำอย่างไรล่ะ?” เซียวจิ่งสือคาดคั้นต่อ


 


 


“เถอะน่า ตอนนี้ฉันก็ยังไม่เป็นไรไม่ใช่หรือไง? เซียวจิ่งสือคะ ฉันหิวแล้วค่ะ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ” หลินหว่านรู้ตัวว่าครั้งนี้เธอบุ่มบ่ามไปบ้าง จึงได้แต่พูดเสียงอ่อนปลอบใจเซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นแล้วก็ทำอะไรเธอไม่ได้เสียด้วย จึงได้แต่หยุดคำถามคาดคั้นเอากับเธอ กลับไปกับหลินหว่าน


 


 


ส่วนคนพวกนั้นถูกเจ้าเทียนหลงกับลูกน้องของเขาควบคุมตัวส่งกลับไปแล้วก็ได้แต่ทำตามคำสั่งของหลินหว่าน ช่วยเธอจัดการกับอันซิง

 

 

 


ตอนที่ 124

 

ถูกแฉ

 


หลายวันต่อมา บนอินเทอร์เน็ตมีข่าวซุบซิบกระจายเป็นวงกว้าง แฉว่าอันซิงเสพยา ต้นตอข่าวยังไม่ทราบชัด ขณะที่บนอินเทอร์เน็ตกลับลือข่าวลือกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทำให้ผู้คนไม่น้อยหลงเข้าใจว่าเป็นจริง


อันซิงไม่รู้ว่าหลินหว่านได้จัดการสั่งสอนคนของเธอไปรอบหนึ่ง ทั้งให้พวกเขากลับมาใส่ร้ายเธอแทน ก่อนเกิดเรื่อง อันซิงยังตั้งตารออยู่ว่าแผนการของเธอ จะทำให้หลินหว่านไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดในวงการอีกเลย


แต่ว่า เวลาเพียงชั่วพริบตา ตัวเธอเองกลับกลายเป็นตัวเอกของข่าวลือว่าเสพยาเสียเอง! มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไรกัน


ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ตอนเกิดเรื่องขึ้น อันซิงเห็นข่าวซุบซิบบนอินเทอร์เน็ตที่แชร์กันอย่างครึกครื้น เธอทั้งโกรธ ทั้งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก


อันซิงรีบโทรหาบริษัทรับบริหารจัดการบนสื่อสังคมออนไลน์ที่เธอเคยติดต่อไว้แต่แรก แต่ว่าติดต่อไม่ได้เลยสักแห่ง


อันซิงรู้ตัวทันที เธอถูกคนพวกนั้นหักหลังเสียแล้ว!


อันซิงทั้งโมโหทั้งอยากจะกรี๊ด ช่างเถอะ เจ้าพวกนั้นไว้เอาคืนทีหลังได้ ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนคือต้องทำให้เสียงซุบซิบบนอินเทอร์เน็ตนี่เงียบลงไปเสียก่อน


เนื่องจากดาราคนหนึ่งขอแค่มีข่าวลือว่าเกี่ยวพันกับการเสพยา ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ จะส่งผลต่ออาชีพของเขาอย่างมาก ถึงกับอาจเป็นรอยด่างไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว


กระแสข่าวลือเกี่ยวกับการเสพยาของอันซิงบนอินเทอร์เน็ตยังมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ อันซิงร้อนใจราวกับเป็นมดในกระทะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข่าวลือนี้จะส่งผลเสียให้กับเธออย่างคาดไม่ถึงเลย


อาจกล่าวได้ว่า ตอนแรกอันซิงเกลียดชังหลินหว่านมากเท่าไหร่ ตอนนี้ข่าวลือว่าอันซิงเสพยาก็ส่งผลเลวร้ายปานนั้น


ขณะที่อันซิงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรนั้น มือถือของเธอก็ดังขึ้น เป็นสายจากอันโฮ่วสยง


อันซิงเห็นแล้วรีบรับสาย “คุณปู่…” อันซิงยังไม่ทันได้พูดต่อ เสียงเกรี้ยวกราดของอันโฮ่วสยงก็ดังมาตามสาย “อันซิง แกทำอะไรอยู่กันแน่?”


“คุณปู่คะ หนูยังถ่ายละครอยู่เลย…” พอเห็นอันโฮ่วสยงโกรธ อันซิงก็พูดเสียงอ่อน


“พอได้แล้ว ข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตแกนึกว่าฉันไม่เห็นหรือไง แกเข้าใจว่าเรื่องของแกจะไม่ส่งผลกับบ้านตระกูลอันงั้นเหรอ แกรีบกลับมาเลยนะ ด่วน!” อันโฮ่วสยงพูดจบก็วางสายไปอย่างโมโห


อันซิงได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่ขอลาหยุดกับทางกองถ่ายหนึ่งวัน ทางกองถ่ายเดิมทีก็โดนหางเลขจากข่าวซุบซิบของอันซีอยู่บ้าง พอเห็นอันซิงมาขอลาหยุดก็รีบรับปากทันที


เมื่อมาถึงเทียนซิงกรุ๊ป พนักงานเห็นอันซิงแม้ว่าฉากหน้าจะยังแสดงท่าทีเคารพนบนอบเธอในฐานะเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน แต่สายตาที่มองเธอกลับแฝงความรู้สึกที่บอกไม่ถูกชนิดหนึ่ง


นี่ไม่ใช่เพราะพวกเขาซอกแซกอยากรู้ แต่เพราะข่าวลือของอันซิงส่งผลในแง่ลบต่อบริษัทไม่น้อยเลย ถึงกับทำให้ราคาหุ้นในตลาดของบริษัทดิ่งลงไม่หยุด


อันซิงยังไม่รู้เรื่องนี้เลย เธอมาถึงห้องทำงานของอันโฮ่วสยง พอเข้าประตูมา เห็นอันโฮ่วสยงที่ปกติรักและตามใจเธอที่สุด ก็เริ่มออกปากบ่นกับเขา “คุณปู่คะ ปู่ต้องช่วยหนูนะคะ! วันนี้ไม่รู้เป็นอย่างไร หนูแทบจะถูกข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตถล่มยับทับตายอยู่แล้ว…”


อันโฮ่วสยงเห็นอันซิงแล้ว มองสำรวจเธอรอบหนึ่ง เค้นถามว่า “ข่าวลือ? อันซิง ข่าวว่าแกเสพยาเป็นแค่ข่าวลืองั้นเหรอ”


อันซิงเข้ามาออดอ้อนอันโฮ่วสยง “คุณปู่คะ ทำไมคุณปู่ก็ไม่เชื่อหนูละคะ! นั่นเป็นแค่ข่าวลือจริงๆ ค่ะ คุณปู่เห็นว่าหลานสาวของคุณปู่เหมือนคนที่จะเสพยาเสพติดเหรอคะ?”


“เอาล่ะๆ ปู่เชื่อแก” ถึงอย่างไรก็เป็นหลานสาวที่เขารักที่สุด อันซิงออดอ้อนเข้าหน่อย อันโฮ่วสยงก็หักใจด่าว่าเธอไม่ลง


ในใจอันโฮ่วสยงก็เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่อันซิงจะเสพยา นิสัยของเธอตรงไปตรงมาไร้เดียงสา คงต้องมีคนใส่ร้ายเธอเป็นแน่


อันโฮ่วสยงถามอีกว่า “แต่ว่า อันซิง งั้นทำไมจึงมีข่าวลือแบบนี้ได้ แกรู้ไหมเพราะข่าวลือว่าแกเสพยา อันซิงกรุ๊ปต้องเสียชื่อเสียง ราคาหุ้นตกฮวบ เสียหายหนักเชียวนะ”


อันซิงคิดแล้วตอบว่า “คุณปู่ หนูจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะคะ ต้องมีคนอิจฉาหนูแน่เลย! ปู่ก็รู้วงการบันเทิงมีแต่เรื่องอิจฉาริษยา หักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกันไม่เว้นแต่ละวัน ต้องมีคนหวังจะใส่ร้ายหนูจึงปล่อยข่าวลือ…คุณปู่ ต้องช่วยหนูจัดการกับข่าวลือพวกนี้นะคะ!”


อันซิงตัดสินใจว่าจะยังไม่บอกอันโฮ่วสยงเรื่องที่เธอคิดใส่ร้ายหลินหว่านว่าเสพยาแต่กลับถูกใส่ร้ายเสียเอง แต่แค้นนี้เธอต้องเอาคืนกับหลินหว่านแน่!


อันโฮ่วสยงได้ฟังก็เชื่อคำพูดของอันซิง พูดปลอบเธอว่า “ได้ๆ เรื่องนี้ หลานวางใจได้ ปู่จะช่วยแกจัดการเอง แต่ว่าเพื่อเทียนซิงกรุ๊ป ระยะนี้แกต้องเก็บตัวก่อนสักพัก ก่อนที่เรื่องนี้จะเงียบ อย่าออกมาปรากฏตัวต่อหน้านักข่าว จะได้ไม่ถูกพวกเขาเอาเรื่องข่าวลือไปเล่นอีก มันไม่ดีต่อเทียนซิงกรุ๊ป เข้าใจไหม?”


อันซิงพูดอย่างน้อยใจ “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ คุณปู่ หนูจะเชื่อฟังคุณปู่ค่ะ”


อันโฮ่วสยงพูดอย่างพอใจว่า “เอาล่ะ อันซิง งั้นหลานกลับไปก่อนแล้วกัน ปู่จะสั่งคนไปจัดการเรื่องนี้เอง”


พออันซิงออกไป อันโฮ่วสยงก็โทรหาผู้ช่วยของเขา สั่งกลบข่าวที่เกี่ยวกับอันซิงเสพยาให้หมด ยิ่งเร็วยิ่งดี


หลังจากวางสายแล้ว อันโฮ่วสยงก็ถอนหายใจ คิ้วขมวดมุ่นไม่คลาย เขาคิดไม่ถึงว่าข่าวลือเรื่องอันซิงเสพยาจะส่งผลเชิงลบต่อเทียนซิงกรุ๊ปถึงขนาดนี้ ไม่เพียงส่งผลต่อความร่วมมือของบริษัทในระยะนี้ แต่ยังทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตกฮวบฮาบอีก ทำให้บริษัทเสียหายอย่างหนัก


อันโฮ่วสยงไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดจากมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จึงได้แต่คิดว่าทั้งหมดมีสาเหตุจากข่าวอันซิงเสพยาส่งผลกระทบมากเกินไป แต่อันซิงเป็นหลานสาวที่เขารักมากที่สุด เขาไม่อาจหักใจตำหนิเธอ พอรู้ว่าเธอถูกคนใส่ร้าย ก็ให้ผู้ช่วยจัดการกับเรื่องนี้ จะให้เรื่องนี้ส่งผลร้ายต่ออันซิงและเทียนซิงกรุ๊ปไม่ได้


ภายในบริษัทเซียงเฉิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ เซียวจิ่งสือนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มองดูตลาดหุ้นที่อัพเดททุกระยะเวลาหนึ่งผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เส้นกราฟส่วนที่เป็นของเทียนซิงกรุ๊ปร่วงลงตลอดเวลา ถึงกับลดลงถึงจุดต่ำสุดในรอบหลายเดือนมานี้


เซียวจิ่งสือรู้สึกฮึกเหิมใจมาก ใช่แล้ว ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของเขาเอง หลายวันก่อนพอเขารู้ว่าหลินหว่านจะใช้เรื่องเสพยาคราวนี้เอาคืนอันซิง เขาก็วางแผนเรื่องในวันนี้ไว้แล้ว


ตอนเช้า ข่าวลือว่าอันซิงเสพยาเพิ่งกระจายออกไป เขาก็รีบให้คนเขียนบทความมากมาย ดึงให้เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับเทียนซิงกรุ๊ป อีกทั้งลงในข่าวหน้าแรกของสื่อมวลชนบนอินเทอร์เน็ต ทำให้ชื่อเสียงของเทียนซิงกรุ๊ปเหม็นเน่าได้ในเวลาอันสั้น


ต่อจากนั้น เขาก็เข้าแทรกแซงตลาดหุ้น กดราคาหุ้นของเทียนซิงกรุ๊ปให้ต่ำลง ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าหุ้นของเทียนซิงกรุ๊ปร่วงอย่างหนัก ต่อเมื่อผู้คนทยอยเทขายหุ้นเทียนซิงกรุ๊ป ราคาหุ้นก็ร่วงลงจนถึงระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เซียวจิ่งสือรีบคว้าโอกาสทองนี้ไว้ กว้านซื้อหุ้นราคาต่ำของเทียนซิงกรุ๊ปไว้จำนวนมาก


แน่นอนว่า สัญญาความร่วมมือหลายฉบับของเทียนซิงกรุ๊ปก็เป็นฝีมือก่อกวนของเขาอีกเช่นกัน เขาใช้ชื่อของวั่นหย่ากรุ๊ปทำสัญญาความร่วมมือกับหลายบริษัทที่เดิมร่วมมือกับเทียนซิงกรุ๊ป วั่นหย่ากรุ๊ปไม่เพียงให้ราคาสูง ยังมีตลาดขนาดใหญ่ เดิมที่วางแผนว่าจะร่วมมือกับเทียนซิงกรุ๊ปพอเห็นสัญญาแล้ว แน่นอนว่ายกเลิกแผนความร่วมมือเดิมไปเลย

 

 

 


ตอนที่ 125

 

 ส่งมอบหุ้น

 


 


 


ตอนบ่าย ข่าวลือว่าอันซิงเสพยาก็ถูกเทียนซิงกรุ๊ปใช้กำลังภายในกลบฝังมันลงไป เพียงไม่นานเสียงวิจารณ์อันซิงบนอินเทอร์เน็ตซาลงไปมาก


 


 


แต่ว่า ต่อเมื่อเทียนซิงกรุ๊ป ประเมินผลของทั้งวันภายหลังจัดการกับผลที่ตามมาจากเรื่องนี้ แผนการของเซียวจิ่งสือก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นและสำเร็จลงอย่างงดงามไปเรียบร้อยแล้ว


 


 


ตอนพลบค่ำ หลังถ่ายหนังมาทั้งวัน หลินหว่านเสร็จงานในที่สุด ขณะเธอเตรียมจะกลับไปนั้น ก็เห็นว่าเซียวจิ่งสือมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ


 


 


ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันมาหลายวันแล้ว หลินหว่านเห็นเขาเข้าก็ถามอย่างสงสัยว่า “เซียวจิ่งสือ ทำไมจู่ๆ คุณมานี่ได้ล่ะ?”


 


 


“ผมมาเยี่ยมคุณไง” เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่าน “ไปทานข้าวเย็นกันไหม?”


 


 


“ดีเลยค่ะ” หลินหว่านคิดแล้วตอบตกลง


 


 


ทั้งสองมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากอาหารเย็นถูกยกมาเสริฟแล้ว เซียวจิ่งสือไม่ได้ลงมือจัดการกับอาหารทันที แต่เขาเล่าเรื่องที่เช้าวันนี้เขาทำกับเทียนซิงกรุ๊ปให้หลินหว่านฟังทั้งหมด


 


 


หลินหว่านฟังจนจบ รู้สึกประหลาดใจมาก ทำไมเธอจึงรู้สึกว่าวันนี้เซียวจิ่งสือดูแปลกไปอยู่บ้างนะ หลินหว่านสะกดความรู้สึกประหลาดใจ ถามว่า “เซียวจิ่งสือคะ คุณบอกฉันเรื่องพวกนี้ทำไมคะ?”


 


 


“ผมรู้ว่าคุณเคยถูกบ้านตระกูลอันกลั่นแกล้ง ก็เลยอยากจะเรียกร้องความยุติธรรมให้คุณสักหน่อยน่ะ!” เซียวจิ่งสือยิ้มขณะพูด ตามองดูหลินหว่าน


 


 


หลังจากพูดเล่นกันไปแล้ว เขาก็มองหลินหว่านแล้วพูดเข้าเรื่องว่า “หว่านหว่าน อันที่จริงครั้งนี้ผมซื้อหุ้นของเทียนซิงกรุ๊ปได้ในสัดส่วนประมาณห้าเปอร์เซ็น ผมคิดว่าหุ้นพวกนี้อยู่ในมือผมก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก ดังนั้นจึงอยากจะมอบให้คุณ คุณมีหุ้นพวกนี้แล้ว ถ้าบ้านตระกูลอันคิดจะสร้างความลำบากให้คุณอีก ก็คงไม่กล้าทำอะไรคุณมากนัก”


 


 


หลินหว่านได้ฟังคำพูดเหล่านี้ของเซียวจิ่งสือแล้วรีบปฏิเสธว่า “ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ หุ้นพวกนั้นคุณเก็บเอาไว้เองเถอะค่ะ ฉันไม่อยากได้หุ้นพวกนั้น เพราะฉันไม่อยากจะมีความเกี่ยวพันอะไรกับบ้านตระกูลอันอีกแล้ว แต่ว่า น้ำใจของคุณฉันรับไว้แล้วค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือฟังแล้วขมวดคิ้วฉับ พูดเกลี้ยกล่อมเธอว่า “หว่านหว่าน ผมรู้ว่าคุณไม่อยากเกี่ยวข้องกับบ้านตระกูลอันอีก แต่ว่าเดี๋ยวอีกหลายวันนี้ผมต้องไปทำงานต่างเมือง ถ้าเกิดบ้านตระกูลอันรู้ว่าเรื่องอันซิงเป็นฝีมือคุณละก็ คุณคิดว่าบ้านตระกูลอันจะไม่ทำอะไรคุณงั้นเหรอ”


 


 


“ผมให้หุ้นพวกนี้กับคุณ ก็เพื่อว่าคุณจะสามารถใช้มันป้องกันตัวได้ในยามจำเป็น ผมไม่ได้จะให้คุณไปเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านตระกูลอันอีก แต่ก็หวังว่าตอนที่คุณต้องเผชิญหน้ากับบ้านตระกูลอัน จะมีไพ่ตายในมือไม่ต้องตกเป็นฝ่ายรับตลอด” เซียวจิ่งสือพูดช้าๆ เน้นทีละคำพร้อมกับมองดูหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านได้ฟังแล้วก็อึ้งไปขณะหนึ่ง  ที่แท้เซียวจิ่งสือคอยคิดแทนเธอตั้งมากมายโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลย แต่ที่เซียวจิ่งสือพูดมาก็มีเหตุผล เมื่อนึกถึงวันคืนที่เธอต้องคอยระวังตัวเองอยู่ตลอดแต่ก็ไม่วายถูกลอบทำร้าย เธอสบตาเซียวจิ่งสือพร้อมกับตอบรับว่า “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ หุ้นนี่ฉันขอรับไว้ก่อน แต่ยังต้องขอบคุณอยู่ดี เซียวจิ่งสือคะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยคิดแทนฉันตั้งมากมายรอบด้านขนาดนี้”


 


 


“ไม่เป็นไรครับ” เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านตอบรับก็เผยอยิ้มสดใสราวฤดูใบไม้ผลิของเขา รอยยิ้มที่ทำให้หลินหว่านเห็นแล้วยังต้องอุทานในใจว่า เซียวจิ่งสือดูดียิ่งกว่าพวกดาราหนุ่มน้อยหลายคนในวงการบันเทิงเสียอีก แต่เธอกลับเห็นว่า เซียวจิ่งสือดูมีออร่าในตัวเองมากกว่าพวกเขาเสียอีก


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านไม่รู้ว่าใจลอยไปคิดอะไรอีกแล้ว จึงเอ่ยปากขึ้นอีกว่า “หว่านหว่าน คุณรับปากผมสักเรื่องได้ไหม”


 


 


หลินหว่านรีบดึงสติกลับมา ถามว่า “เรื่องอะไรเหรอคะ เซียวจิ่งสือ”


 


 


“หว่านหว่าน รอให้ผมกลับจากต่างเมือง คุณตกลงเป็นแฟนผมนะ เอาแบบเปิดตัวกันเลย!” เซียวจิ่งสือพูดรวบรัดแบบเผด็จการพลางจ้องมองหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านได้ฟังก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่พอประสานเข้ากับสายตาที่เผยความในใจของเซียวจิ่งสือแล้ว หลินหว่านพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เซียวจิ่งสือคะ ขอบคุณค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความรู้สึก ตอนนี้ฉันยังไม่ได้คิดมากขนาดนั้น”


 


 


ถูกปฏิเสธอีกจนได้ เซียวจิ่งสือเคยชินเสียแล้วกับผลลัพท์นี้ แต่ว่าคราวนี้หลินหว่านไม่ได้เอ่ยปฏิเสธทันที นั่นทำให้เซียวจิ่งสือรู้สึกดีใจอย่างมาก เขาฟังแล้วกระพริบดวงตาวิบวับที่เหมือนจะพูดได้ ถามว่า “หว่านหว่าน ตอนที่คุณยอมคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ต้องนึกถึงผมเป็นคนแรกนะ! ผมทั้งมีเงิน ทั้งรูปหล่อ รูปร่างก็ดี ทั้งตัวไม่มีที่ตำหนิเลยสักนิดนึง คุณต้องพอใจแน่…”


 


 


“แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดคือ…” เซียวจิ่งสือลากเสียงยาว เหมือนจะดึงความสนใจ


 


 


“คืออะไรคะ” หลินหว่านถามอย่างอยากรู้


 


 


“ที่สำคัญที่สุดคือ ผมเป็นคนที่ชอบคุณมากที่สุดในโลกนี้เลย หว่านหว่าน” เซียวจิ่งสือพูดพร้อมกับมองตาหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านถูกคำพูดเปิดอกเปิดใจของเซียวจิ่งสือทำเอาหน้าแดงก่ำจนไม่รู้จะพูดอะไรดี


 


 


หลังอาหารเย็น เซียวจิ่งสือส่งหลินหว่านกลับโรงแรมที่พักของทางกองถ่าย เขาบอกหลินหว่านว่า พรุ่งนี้เขาต้องออกเดินทางแต่เช้า ส่วนใบโอนหุ้นของเทียนซิงกรุ๊ป พรุ่งนี้เขาจะส่งให้เธอทางอีเอ็มเอส ให้หลินหว่านเซ็นชื่อบนเอกสารก็ใช้ได้แล้ว


 


 


หลินหว่านฟังแล้วผงกศีรษะ ถามเซียวจิ่งสือว่าจะเดินทางไปไหน เซียวจิ่งสือยิ้มแล้วตอบว่าไปต่างประเทศ ทั้งเย้าว่าหลินหว่านไม่ต้องเป็นห่วงเขามากเกินไป อยู่ในกองถ่ายแสดงให้ดีก็แล้วกัน


 


 


เที่ยงวันต่อมา หลินหว่านก็ได้รับเอกสารอีเอ็มเอส เป็นหนังสือโอนสิทธิ์ในหุ้น เธอเก็บเอาไว้ก่อน หลังจากเลิกกองแล้วกลับเข้าโรงแรม หลินหว่านเปิดอ่านดูหนังสือโอนสิทธิ์ในหุ้นอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เธอพบว่าหุ้นที่เซียวจิ่งสือมอบให้เธอเหล่านี้รวมกันแล้วมีราคาในตลาดสูงมากทีเดียว ถึงกับทำให้หลินหว่านอ้าปากค้างไปเลย


 


 


สุดท้าย หลินหว่านก็เซ็นชื่อตัวเองลงไป รับเอาหุ้นพวกนี้มาในที่สุด เธอตัดสินใจว่าจะใช้หุ้นพวกนี้อย่างดีรอให้บุญคุณความแค้นของเธอกับบ้านตระกูลอันสะสางกันเรียบร้อยแล้ว เธอจะคืนหุ้นพวกนี้ให้กับเซียวจิ่งสืออีกเท่าตัวเลย


 


 


วันคืนต่อจากนั้น หลินหว่านก็อยู่ในกองถ่ายยุ่งวุ่นวายกับการเข้ากล้องตลอด เซียวจิ่งสือก็ยุ่งอยู่กับการงานที่ต่างประเทศ ระยะนี้ทั้งสองจึงติดต่อกันน้อยลงไปมาก


 


 


วันนี้ หลินหว่านจะถ่ายฉากนางเอกร้องไห้ ก่อนเริ่มถ่าย ผู้กำกับถามหลินหว่านว่าต้องการเวลาเตรียมตัวหรือไม่ หลินหว่านตอบว่าไม่ต้อง


 


 


พอเริ่มถ่ายทำ หลินหว่านเข้าถึงบทอย่างรวดเร็ว น้ำตานึกจะมาก็มา ผู้กำกับที่นั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์เห็นแล้วพอใจมาก ฉากนี้เป็นฉากแสดงอารมณ์ที่ค่อนข้างยาก คิดไม่ถึงว่ารอบแรกหลินหว่านก็แสดงได้ดีแล้ว


 


 


ผ่านฉากนี้ไปแล้ว ผู้กำกับเจ้าก็เอ่ยปากชมหลินหว่านไม่หยุด หลินหว่านกล่าวขอบคุณผู้กำกับเจ้าแล้ว ทันใดนั้น เหมือนในใจรับรู้บางอย่าง เธอเงยหน้าขึ้น แล้วประสานเข้ากับสายตาของเซียวจิ่งสือที่ไม่ได้เห็นมาหลายวัน


 


 


หลังจากเซียวจิ่งสือไปทำงานต่างประเทศก็ติดต่อกับหลินหว่านน้อยลงไปมาก แต่ใจเขากลับคิดถึงหลินหว่านมากขึ้นเรื่อยๆ เขารีบจัดการกับภารกิจจนเสร็จโดยเร็ว พอกลับประเทศ เขาก็รีบบึ่งมาเยี่ยมกองถ่ายโดยด่วน


 


 


พอเห็นหลินหว่าน ใจของเซียวจิ่งสือก็สงบลงได้โดยพลัน เขามองหลินหว่านแล้วพูดว่า “หว่านหว่าน ผมกลับมาแล้ว”


 


 


“เซียวจิ่งสือ” หลินหว่านเข้าใจว่าเธอตาลายไปเอง พอแน่ใจว่าเป็นเซียวจิ่งสือแล้ว เธอก็เข้ามาหาเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ทำไมจู่ๆ คุณก็มาได้ล่ะ”


 


 


“ผมมาเยี่ยมกองถ่าย ไม่ได้เหรอ” เซียวจิ่งสือพูดพลางยักคิ้ว ยิ้มกรุ้มกริ่ม

 

 

 


ตอนที่ 126

 

หลบซ่อน

 


 


 


อันซิงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในบริษัทในสภาพหวาดกลัวสุดขีด เธอไม่อยากเชื่อข่าวที่ตัวเองเพิ่งอ่านเจอพวกนั้น ตอนนี้เรื่องที่เธอเสพยากลายเป็นหนักข้อขึ้น จนเธอไม่อาจจัดการได้เองแล้ว แม้แต่บ้านตระกูลอันก็ยังช่วยทำให้เรื่องเงียบลงไม่ได้ อันซิงรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด


 


 


อันซิงเดินเข้าห้องทำงานมาก็พบว่าผู้จัดการของเธอกำลังนั่งขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้มอยู่ที่นั่น เธอรู้ว่าต้องเป็นเพราะเรื่องข่าวลือว่าเธอเสพยานั่นแน่


 


 


“จะทำอย่างไรดี ตอนนี้กลายเป็นฉันที่เป็นคนเสพยาไปแล้ว ที่บ้านอุตส่าห์กลบข่าวจนเงียงไปได้แล้วเชียว กลับถูกคนทำให้เสียเรื่องได้ ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้นะ จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลย เคราะห์หามยามร้ายแท้ๆ เชียว แกเป็นผู้จัดการมือทองตั้งหลายปี บอกฉันทีซิว่าจะมีวิธีแก้ปัญหานี้อย่างไร แค่บอกมาก็พอ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ฉันจะให้คนที่บ้านจัดการให้เอง ฉันทนให้คนบนอินเทอร์เน็ตใส่ร้ายป้ายสีฉันต่อไปไม่ไหวแล้ว แล้วฉันก็ยิ่งทนไม่ได้ถ้าจะต้องหายไปจากวงการบันเทิง” อันซิงพูดเสียงสั่น หน้าตาท่าทางตื่นตกใจ


 


 


ผู้จัดการที่กำลังท้อใจอยู่เหมือนกัน จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอับจนสิ้นหนทาง อันซิงเห็นว่าผู้จัดการก็ไม่มีวิธีช่วยตัวเองให้พ้นจากข่าวซุบซิบนี้ จึงได้แต่นั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เหมือนร่างที่ไร้จิตวิญญาณ อันซิงรู้สึกหมดหวังอยู่บ้าง ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาที่ด้านข้าง ไม่พูดอะไรสักคำ ตอนนี้แม้แต่ผู้จัดการก็หาวิธีช่วยเธอไม่ได้ อันซิงหมดสิ้นความหวัง เธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับแรงกดดันจากเรื่องนี้อีกมากมายขนาดไหน


 


 


ผู้จัดการเห็นอันซิงผิดหวังเช่นนั้นก็เดินเบาๆ เข้ามาหาเธอ พูดว่า “อันซิง เรื่องนี้ฉันก็คิดไม่ถึงจริงๆ ระยะนี้คุณอย่าออกไปปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเด็ดขาดเลยนะ แล้วอย่าให้สัมภาษณ์กับใครเลยด้วย เพื่ออนาคตของเธอเอง หลายวันนี้ต้องระวังรักษาตัวเองให้ดีนะ อย่าให้พวกปาปารัสซี่ถ่ายรูปไปได้เด็ดขาด พวกมันอาจใช้ภาพที่ได้ไปแต่งเติมเรื่องราวเอาอีก เธอก็รู้ว่าการเสพยาสำหรับศิลปินคนหนึ่งนั้นเป็นข่าวลือที่น่ากลัวมากขนาดไหน ตอนนี้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างมาก ดังนั้นทุกอย่างต้องระวังตัวไว้ก่อนเป็นดี ฉันจะพยายามกอบกู้เรื่องนี้ หวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ของเธอดีขึ้น”


 


 


อันซิงพอได้ฟังคำพูดของผู้จัดการก็รู้สึกไม่พอใจมาก ถึงตอนนี้เธอยังไม่อยากจะเชื่อว่าข่าวลือที่ด้านนอกเป็นเธอที่เสพยา มันควรจะเป็นเธอใส่ร้ายหลินหว่าน ตอนนี้กลับกลายเป็นตกกับตัวเอง แล้วผู้จัดการนี่ยังจะให้เธอหลบๆ ซ่อนๆ อีก ตั้งแต่เล็กเธอก็เป็นที่รักและถูกเอาอกเอาใจจากคนในครอบครัว ตอนนี้กลับต้องมาอยู่แบบนี้ อันซิงโมโหเดือดพล่าน แต่พอนึกถึงคำพูดที่วิพากษ์วิจารณ์เธอกับข่าวลือเรื่องเสพยาแล้ว อันซิงก็ได้แต่ยอมรับอย่างจำใจ


 


 


อันซิงพูดเสียงเครือว่า “เอาเถอะ หลายวันนี้ฉันจะพยายามหลายตัวไปจากสายตาทุกคนก็แล้วกัน ฉันจะไม่ออกไปข้างนอกถ้าไม่จำเป็น หลายวันนี้ฉันคงไม่ต้องทำงานอะไรอีกแล้ว งั้นฉันกลับไปก่อนแล้วกัน แกก็ต้องพยายามกู้สถานการณ์เรื่องนี้ให้เต็มที่ล่ะ ฉันไม่อยากหายไปจากวงการบันเทิงตลอดไป ฉันไม่อยากแบกชื่อเหม็นเน่าว่าเสพยาไปตลอดหรอกนะ แกต้องช่วยฉัน”


 


 


ผู้จัดการก็รู้สึกอับจนเอามากๆ เรื่องการเสพยานั้นถ้าศิลปินคนหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ โดยทั่วไปศิลปินย่อมไม่อาจกลับมาขาวสะอาดได้อีก


 


 


ผู้จัดการมองอันซิงอย่างขอความเห็นใจ “คุณก็อย่าห่วงเรื่องนี้จนไม่ยอมกินไม่ยอมนอน คุณยังต้องรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรง ฉันจะพยายามสุดฝีมือเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ได้ ให้คุณได้กลับสู่สายตาสาธารณชนอีกครั้ง ได้กลับมารุ่งในวงการบันเทิงอีก แต่ว่าฉันแค่บอกว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด และคุณเองก็ต้องจำคำพูดที่เมื่อครู่ฉันเพิ่งบอกคุณไป ต้องหลบซ่อนตัวให้ดี อย่าให้บรรดาปาปารัสซี่มีโอกาสแต่งเรื่องเพิ่มได้อีก ตอนนี้คุณกลับไปก่อนเถอะ ระหว่างทางก็หลบให้ดีนะคะ”


 


 


อันซิงฟังแล้วก็ผงกศีรษะเบาๆ แล้วเดินออกไปด้านนอก


 


 


“เฮ้อ ทำไมต้องไปให้ร้ายคนอื่นด้วยนะ ตอนนี้ดีล่ะสิ ทำซะตัวเองสกปรกเลอะเทอะไปหมด” พออันซิงจากไป ผู้จัดการก็ส่ายหน้าพูดออกมาเบาๆ


 


 


อันซิงนั้นนับแต่เรื่องเสพยาระเบิดตูมออกมา เธอก็เชื่อฟังคำพูดของผู้จัดการ ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเธอก็มักจะหลบซ่อนตัวเองอย่างดี ไม่ให้ใครถ่ายภาพเธอได้ และเธอรู้ดีว่าต้องหายตัวไปจากสายตาผู้คนชั่วคราว


 


 


สองวันมานี้อันซิงอยู่แต่ในห้อง ไม่ได้ออกไปไหนเลย วันนี้เธอรู้สึกเบื่อมาก อยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย แต่ในหัวเธอนึกถึงแต่คำพูดของผู้จัดการ ที่ให้เธอเก็บตัวให้ดี อันซิงรู้สึกลำบากใจ แต่เธอเบื่อจนทนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายเลยตัดสินใจว่าจะแต่งองค์ทรงเครื่องเสียหน่อยค่อยออกไป


 


 


“อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้เมื่อไหร่จะผ่านไปซะทีนะ เป็นเพราะนังหลินหว่านตัวดี ที่ทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะมัน ตอนนี้ฉันก็ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้” อันซิงมองกระจกเงาแต่งหน้าตัวเองไปพลางพูดอย่างเข่นเขี้ยวไปพลาง


 


 


อันซิงปลอมตัวเสร็จก็เตรียมจะใส่หน้ากากอนามัย เธอมองสำรวจดูตัวเอง รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องแต่งตัวแบบนี้ แต่ก็จนใจ อันซิงเป็นคนชอบโชว์ตัวต่อหน้าสาธารณชน ตอนนี้เพราะเรื่องเสพยาทำให้ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ต้องสวมชุดประหลาดแบบนี้เพื่ออำพรางตัวเอง อันซิงไม่พอใจอย่างมาก


 


 


อันซิงแอบย่องออกมาเงียบๆ ระหว่างทางจิตใจเธอผ่อนคลายลงไปบ้างในที่สุด หลายวันมานี้เพราะเรื่องเสพยาทำให้เธอหงุดหงิดรำคาญใจมาก อยู่แต่ในบ้านนั่งอมทุกข์อยู่ทั้งวัน


 


 


อันซิงกำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็พบว่าในร้านกาแฟแห่งหนึ่งมีใบหน้าที่คุ้นตาปรากฏขึ้น เธอรีบลนลานหลบเข้าพุ่มไม้ข้างทาง แอบดูคนสองคนนั้นตลอด ที่แท้สองคนนั้นก็คือหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ


 


 


หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือกำลังดื่มกาแฟกันอยู่ในร้านอย่างสบายใจ ผลัดกันเล่าเรื่องสนุกให้กันฟัง ดูไปแล้วมีความสุขมาก เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่กำลังหัวเราะเสียงดังด้วยสีหน้ารักและทะนุถนอม พวกเขาเป็นคู่รักที่กำลังมีความสุขมากคู่หนึ่ง สายตาที่ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก


 


 


ความโมโหของอันซิงแผดเผาขึ้นมาในใจ เธอคิดว่าทำไมในขณะที่เธอต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่หลินหว่านกลับมีความสุขที่ได้รับความรักจากเซียวจิ่งสือ อันซิงอิจฉาตาร้อนมาก เธอไม่อยากเห็นหลินหว่านอยู่ดีมีสุขยิ่งกว่าเธอ อีกทั้งตอนนี้เธอเองต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถอย่างนี้ แต่หลินหว่านกลับมีความสุขเช่นนี้ อันซิงยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดชังหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือเดินออกมาจากร้านกาแฟ เดินโอบไหล่หัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี ดูมีความสุขกันมาก ไฟริษยาของอันซิงพุ่งปรี๊ดขึ้นสมอง ตัดสินใจว่าจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเล่นงานหลินหว่าน เธอแอบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพความใกล้ชิดสนิทสนมของหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือเอาไว้


 


 


พอเห็นว่าเงาหลังของหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือค่อยๆ ห่างออกไป ก็หันกลับมาดูภาพถ่ายของพวกเขาสองคนในมือ อันซิงเหยียดยิ้มออกมาอย่างหมายมาดแล้วจากไป ตัดสินใจว่าจะเริ่มดำเนินการตามแผนของเธอ

 

 

 


ตอนที่ 127

 

แก้ข่าว

 


 


 


หลังจากอันซิงกลับถึงบ้าน รีบโทรสั่งให้ผู้ช่วยของเธอมาที่บ้าน เนื่องจากระหว่างนี้ไม่มีงาน เธอจึงให้เป็นวันหยุดของผู้ช่วย ตอนนี้เธอต้องการดำเนินการตามแผน จำเป็นต้องมีคนมาช่วย และยังต้องรักษาความลับอีกด้วย ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอันซิงก็คือผู้ช่วยซึ่งคอยดูแลเธออยู่ตลอด


 


 


“กริ๊งๆๆ”


 


 


เสียงกริ่งประตูดังขึ้น อันซิงรู้ว่าผู้ช่วยของเธอมาถึงแล้ว จึงวิ่งไปเปิดประตูอย่างดีใจ เมื่อครู่อันซิงคิดแผนนี้ไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้แค่รอลงมือเท่านั้น เธอคิดว่าถ้าหากให้หลินหว่านเจอกับข่าวซุบซิบบ้าง ให้ชาวเน็ตพากันรุมด่าหลินหว่าน น่าจะเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก


 


 


“อันซิงคะ คุณเรียกฉันมาเวลานี้ต้องการอะไรคะ คุณยังไม่ได้ทานข้าวเหรอคะ นี่ของที่ฉันเพิ่งเอามาให้คุณ เอ่อ หลายวันมานี้คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ” ผู้ช่วยถามอันซิงด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ


 


 


อันซิงรับเอาอาหารจากมือผู้ช่วยมาวางบนโต๊ะ แล้วดึงผู้ช่วยมานั่งบนโซฟา เธอหยิบรูปถ่ายที่เมื่อครู่ตัวเองถ่ายภาพของหลินหว่านกับเซียวจิ่งสือไว้ออกมา


 


 


“แกรู้ไหมว่าฉันจะทำอะไร ดูให้ดีสิในภาพพวกนี้หลินหว่านอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งคู่สนิทกันมากเลยใช่ไหมล่ะ และผู้ชายคนนี้ก็คือเซียวจิ่งสือ แผนตอนนี้ของฉันก็คือเอารูปภาพพวกนี้อัพโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็ใส่ร้ายหลินหว่านว่ามั่ว คบผู้ชายไม่เลือกหน้า ทำตัวเหลวแหลก ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว อย่างนี้หลินหว่านก็จะไม่ใช่ยอดหญิงแสนบริสุทธิ์ในสายตาของคนพวกนั้นอีก พวกแฟนคลับที่คลั่งไคล้เธอนักก็จะรับไม่ได้กับภาพลักษณ์แบบนี้ของเธอ บนอินเทอร์เน็ตต้องเปิดศึกน้ำลายกันยกใหญ่แน่ ฉันเชื่อว่าหลินหว่านคงจะไม่มีความสุขอยู่ได้หรอก” อันซิงพูดพลางยิ้มเหยียด ในใจนึกถึงสภาพหลินหว่านตอนตกอับไปเรียบร้อย


 


 


ผู้ช่วยอยู่กับอันซิงมานาน อันที่จริงเธอไม่เห็นด้วยที่อันซิงคอยแต่จะคิดให้ร้ายหลินหว่าน เนื่องจากมีหลายครั้งที่สุดท้ายอันซิงกลับเป็นฝ่ายต้องตกที่นั่งลำบากเสียเอง แต่ผู้ช่วยก็ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นอะไร ได้แต่ปฏิบัติภารกิจไปตามที่อันซิงมอบหมายให้อย่างเชื่อฟัง


 


 


“ทำไมภาพถ่ายสองใบนี้จึงเบลอมั่งไม่เบลอมั่งล่ะ อีกทั้งเรื่องของเซียวจิ่งสือกับหลินหว่าน ก็พอจะมีข่าวในวงการบันเทิงอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ คุณทำแบบนี้จะไม่เป็นการเปล่าประโยชน์เหรอคะ ไม่น่าจะทำร้ายพวกเขาได้นะ” ผู้ช่วยพูดเสียงเบา


 


 


“แกก็ดูออกเหรอ ว่าฉันตั้งใจทำให้ภาพเบลอมากๆ นี่เป็นแผนของฉันเอง แกดูสิ อย่างนี้ก็จะจำได้ว่าเป็นหลินหว่าน แต่ผู้ชายที่ด้านข้างนั่นสิ พวกเขาก็จะพากันคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าเป็นใครกันนะ จากนั้นพวกเราก็บอกว่าหลินหว่านเป็นพวกชอบมั่ว คบผู้ชายมากหน้าหลายตา อย่างนี้ก็จะทำลายภาพลักษณ์ที่สวยงามในใจคนพวกนั้นไปได้ และในตอนนี้สิ่งที่แกต้องทำก็คือไปซื้อมือโพสต์รับจ้างจำนวนมาก ภาพถ่ายพวกนี้พอปล่อยออกไปแล้ว ต้องให้มือโพสต์พวกนี้เขียนคอมเมนต์ด้านล่างว่าหลินหว่านทำตัวเหลวแหลกชอบมั่วผู้ชาย พวกแฟนคลับกลุ่มที่ชอบตามน้ำก็จะเข้ามาด่าหลินหว่านแบบนี้เหมือนกัน นี่ก็คือเป้าหมายของฉัน ฉันต้องให้ภาพลักษณ์ของมันถูกทำลายในชั่วพริบตา ให้มันต้องหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกับฉันอย่างไรล่ะ” อันซิงเค้นเสียงพูดอย่างคลั่งแค้น แววตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ


 


 


แผนการปองร้ายหลินหว่านของอันซิงได้ถูกดำเนินการโดยเร็ว และทางด้านหลินหว่านก็ได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว


 


 


อวิ๋นซีวิ่งมาหาหลินหว่านอย่างรีบร้อน “เธอน่าจะรู้แล้วสิ ไม่รู้ว่าใครเบลอภาพถ่ายของเธอกับเซียวจิ่งสือแล้วปล่อยลงในอินเทอร์เน็ต ตอนนี้ทุกคนพากันบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงหลายใจ แค่เห็นก็รู้ว่ามีคนซื้อมือปืนรับจ้างบนอิยเทอร์เน็ตมาใส่ร้ายเธอ งั้นเธอก็อย่าเพิ่งร้อนใจไป เรื่องนี้ยังไม่เลวร้ายมากเท่าไหร่”


 


 


อวิ๋นซีเป็นห่วงหลินหว่านมาก กังวลว่าเธอจะรับแรงกดดันไม่ไหวแล้วส่งผลกับอารมณ์และงานของเธอ


 


 


หลินหว่านยิ้มกับอวิ๋นซีแล้วพูด “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้พวกเราไม่ต้องไม่สนใจหรอก ฉันก็ไม่ได้เสียใจกับเรื่องนี้เลย เธอก็ไม่ต้องวิตกเกินไปนะ”


 


 


อวิ๋นซีเห็นว่าหลินหว่านดูผ่อนคลายมากและไม่สนใจกับเรื่องนี้ เธอจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก


 


 


แต่ว่าเพียงแค่วันเดียว ข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตก็พุ่งเป้าประสงค์ร้ายมาที่หลินหว่านอย่างเต็มที่ ถ้าหากข่าวลือว่าหลายใจนั้นหลินหว่านไม่สนใจ แต่ตอนนี้ข่าวซุบซิบพวกนี้กลับทำให้หลินหว่านต้องไปตรวจดู


 


 


“อวิ๋นซี ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ทำไมข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตตอนนี้จึงพุ่งเป้ามาที่ฉันได้ พวกเขาบอกว่าเรื่องอันซิงเสพยาเกี่ยวข้องกับฉัน สมองของชาวเน็ตนี่ช่างเปิดกว้างเสียจริง ถึงกับบอกว่าฉันอิจฉาว่าเซียวจิ่งสือกับอันซิงมีสัญญาหมั้นหมายต่อกัน เพื่อไม่ให้ ‘นายเงิน’ จากไป ฉันก็เลยตั้งใจใส่ร้ายอันซิง ทำไมถึงมีคำวิจารณ์แปลกประหลาดขนาดนี้ออกมาได้นะ ว่าแต่ฉันมี ‘นายเงิน’ กับเขาด้วย? ตอนนี้ทุกอย่างในวงการบันเทิงที่ฉันได้มาล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของฉันเอง ไต่เต้าขึ้นมาด้วยตนเองทีละขั้นๆ ” หลินหว่านพูดอย่างเหลืออด ในใจรู้สึกหงุดหงิดเอามาก


 


 


อวิ๋นซีเลื่อนดูคำซุบซิบเรื่องหลินหว่านในมือถือไปเรื่อยๆ พลางส่ายหน้า เธอไม่อยากเชื่อว่าตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตจะเห็นว่าหลินหว่านเป็นคนแบบนี้ สภาพการณ์กลับตาลปัตรไปอย่างรวดเร็วจนพวกเขารู้สึกประหลาดใจ เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนี้ทุกเสียงมุ่งเป้ามาที่หลินหว่าน


 


 


“หลินหว่าน เธอไม่ต้องร้อนใจไปนะ ฉันคิดวิธีที่ดีมากได้วิธีหนึ่งล่ะ แล้วฉันก็เชื่อว่าเซียวจิ่งสือจะช่วยเธอด้วย พอเห็นว่าในนั้นมีประโยคๆ หนึ่งที่พวกเขาสงสัยว่าเธออิจฉาในความสัมพันธ์ของเซียวจิ่งสือกับอันซิง จึงใส่ร้ายว่าเธอเสพยา งั้นพวกเราก็ให้เซียวจิ่งสือช่วยเธออธิบายเรื่องนี้ เพียงเขาออกหน้ามาพูดเรื่องนี้ ผู้คนก็จะยิ่งเชื่อคำพูดของเขา เธอก็จะรอดตัวไปได้ ไม่ต้องมารับฟังคำนินทาว่าร้ายพวกนั้นอีก” อวิ๋นซีมือหนึ่งเท้าคางขณะพูด


 


 


“เอาตามนี้ก็ได้ เซียวจิ่งสือต้องเลือกที่จะช่วยฉันอยู่แล้ว และฉันก็ไม่อยากให้ข้างนอกนั่นคาดเดาความสัมพันธ์ประหลาดๆ ของฉันกับเขาและอันซิงแบบนี้อีก ถ้าเขาสามารถช่วยแก้ข่าวให้ฉันได้ก็จะดีที่สุดเลย” หลินหว่านพูดกับอวิ๋นซี


 


 


ทั้งสองกำลังถกเถียงกันว่าจะให้เซียวจิ่งสือพูดแก้ข่าวอย่างไรนั่นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายจากเซียวจิ่งสือ


 


 


หลินหว่านพอเห็นว่าเป็นสายจากเซียวจิ่งสือ ก็เดินออกไปรับสายเขาด้านนอก ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินหว่านวางสายแล้วเดินเข้าห้องทำงานมาในที่สุด


 


 


“เมื่อครู่เธอบอกกับเขา เรื่องแผนของพวกเราหรือเปล่า ให้เขาช่วยแก้ข่าวให้เธอ” อวิ๋นซีเห็นหลินหว่านเดินกลับเข้ามาก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจ


 


 


“เขาก็คิดแบบเดียวกับพวกเรา เมื่อครู่เขาโทรมาหาฉันก็เพื่อบอกว่าเขาคิดจะช่วยฉันแก้ข่าวเรื่องนี้ เขาบอกว่า เพียงเขาออกหน้าให้คำวิจารณ์เชิงลบของฉันพวกนั้นก็น่าจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น เขายังบอกว่าเขาไม่ยอมให้ตัวเขาเป็นสาเหตุให้ฉันต้องเจอกับข่าวลือที่ไม่ดีบนอินเทอร์เน็ต เขาจะปกป้องฉันอย่างสุดกำลังเลยเชียว” หลินหว่านพูดด้วยรอยยิ้ม


 


 


อวิ๋นซีฟังแล้วก็ยิ้มน้อยๆ เธอรู้ว่าถ้าหากเซียวจิ่งสือออกมาแก้ข่าวด้วยตัวเอง ย่อมจะทำให้สถานการณ์ข่าวลือของหลินหว่านเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก


 


 


ไม่นานนักเซียวจิ่งสือก็ออกคำแถลงบนอินเทอร์เน็ต บอกว่าเขากับอันซิงไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้ก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ขอให้บรรดาชาวเน็ตทั้งหลายอย่าได้คาดเดากันไปเองอีก

 

 

 


ตอนที่ 128

 

เดากันไป

 


 


 


“หลินหว่าน เมื่อครู่ฉันเห็นคำแถลงของเซียวจิ่งสือที่โพสต์ลงเวยปั๋วแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะรวดเร็วขนาดนี้ คุณสองคนเพิ่งจะวางสายกันไปเอง เขาก็รีบลงโพสต์ไปแล้วว่าเขากับอันซิงไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ตอนนี้สถานการณ์ของเธอน่าจะดีขึ้นบ้างแล้ว พวกเรารอดูกันไปก็แล้วกัน หวังว่าบนอินเทอร์เน็ตจะไม่มีเสียงวิจารณ์เสียๆ หายๆ ของเธออีกนะ” อวิ๋นซีพูดกับหลินหว่านไปพลางมองดูมือถือไปพลาง


 


 


หลินหว่านก็กำลังอ่านเวยปั๋วของเซียวจิ่งสือเหมือนกัน เธอแอบปลื้มอยู่ในใจนิดหน่อย คราวนี้เซียวจิ่งสือออกมาแก้ข่าวว่าไม่มีความสัมพันธ์กับอันซิง น่าจะช่วยแก้ข่าวให้เธอได้บ้าง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เซียวจิ่งสือประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชนด้วยตัวเอง มันทำให้หลินหว่านรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่เซียวจิ่งสือมีต่อเธอ


 


 


“ใช่เลย ตอนนี้ก็แค่รอดูว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร หวังว่าโพสต์นี้ของเซียวจิ่งสือจะช่วยฉันได้นะ ข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตนี่ช่างน่ากลัวเสียจริงเลย ตั้งแต่ฉันเป็นดารามาก็เจอเข้ากับข่าวซุบซิบสารพัดรูปแบบ ผ่านไประยะหนึ่งก็จะมีเสียงนินทาว่าร้ายโผล่มาอีก จนบางครั้งรู้สึกว่าไม่ต้องสนใจเลยก็ดี แต่จะไม่สนใจพวกข่าวปั้นแต่งพวกนั้นเลยก็ไม่ได้ มันเหมือนลมที่พัดกรอกหูฉัน ทำให้ต้องคอยปิดกั้นเสียงนินทาเหล่านั้นจะได้ผ่อนคลายความตึงเครียดในจิตใจ มันช่างน่าเหนื่อยจริงๆ เลย” หลินหว่านถอนใจพูดขึ้น


 


 


อวิ๋นซีประหลาดใจที่หลินหว่านจู่ๆ ก็ระบายความในใจออกมา เธอรู้ว่าก่อนหน้านี้หลินหว่านต้องเจอกับข่าวลือมากมายที่ไม่รู้มาจากสารทิศไหนบ้าง จนบางครั้งแทบจะพังเพราะเรื่องพวกนี้ หลินหว่านในตอนนี้ดูเหมือนโตขึ้นมาก เข้มแข็งขึ้นจนสามารถรับแรงกดดันได้อย่างดี แต่คำพูดเมื่อครู่ของเธอ และสายตากลับดูเศร้าเสียใจมาก อวิ๋นซีเห็นแล้วไม่รู้ว่าจะปลอบใจหลินหว่านได้อย่างไร


 


 


“แล้วมันจะดีเอง…เรื่องทั้งหมดจะดีขึ้นเอง เธอทั้งใจดีและพยายามมากขนาดนี้ สวรรค์ก็น่าจะมีตาบ้างล่ะ เธอก็อย่าเพิ่มแรงกดดันให้ตัวเองนัก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันกับเซียวจิ่งสือจะคอยช่วยเธอเสมอนะ” อวิ๋นซีพูดกับหลินหว่าน เธอหวังว่าคำพูดของเธอคงช่วยให้หลินหว่านมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมา อย่ามัวแต่ทุกข์ใจอยู่กับคำซุบซิบนินทาพวกนั้น


 


 


หลินหว่านวางมือถือลงหลังจากฟังคำพูดของอวิ๋นซี ผงกศีรษะเบาๆ


 


 


หลังจากเซียวจิ่งสือโพสต์ข้อความนั้นลงเวยปั๋วเขาก็คอยติดตามสถานการณ์บนอินเทอร์เน็ตว่าคอมเมนต์ของหลินหว่านดีขึ้นหรือไม่ ตอนนี้เขาก็ได้แต่สวดขอพรอยู่เงียบๆ ว่าอย่าให้เธอต้องถูกทำร้ายจากคำใส่ร้ายพวกนี้อีกเลย เขากังวลว่าสภาพจิตใจของหลินหว่านจะรับไม่ไหว เนื่องจากเรื่องงาน เซียวจิ่งสือจึงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนหลินหว่านได้ตลอดเวลา


 


 


จนกระทั่งตอนบ่าย เซียวจิ่งสือพบว่ากระแสบนอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ยิ่งเชื่อมั่นว่าหลินหว่านอิจฉาอันซิงที่หมั้นหมายกับเซียวจิ่งสือ จึงตั้งใจใส่ร้ายอันซิง ด้านล่างโพสต์ของเซียวจิ่งสือมีข้อความด่าว่าหลินหว่านมากมาย อีกทั้งคำพูดโจมตียิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกเหลือเชื่อ เขาได้ประกาศชี้แจงออกไปอย่างชัดเจนแล้วแท้ๆ ทำไมยังมีคนจำนวนมากขนาดนี้ด่าว่าหลินหว่านด้วยเรื่องนี้อีก อีกทั้งดูเหมือนจะยิ่งรุนแรงขึ้นจนสถานการณ์ยากจะควบคุม เซียวจิ่งสือว้าวุ่นใจมาก เกรงว่าหลินหว่านเห็นพวกนี้แล้วจะผิดหวังในตัวเขา


 


 


เซียวจิ่งสือพบว่าที่แท้เป็นพ่อเขาเองที่แชร์โพสต์ของเขาแล้วเขียนข้อความโพสต์ลงไปว่า ‘เที่ยวเล่นพอแล้วก็กลับมา อายุไม่น้อยแล้วได้เวลาแต่งงานเสียที’


 


 


นั่นเป็นแชร์โพสต์จากเวยปั๋วของพ่อเซียวจิ่งสือเอง ทำให้หลินหว่านกลับต้องตกอยู่กลางกองเพลิงอีกครั้ง แฟนคลับจำนวนมากที่ใช้เวยปั๋วนี้มายืนยันคำพูดเรื่องของหลินหว่านก่อนหน้านี้ของพวกเขา


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าตัวเองคิดจะช่วยหลินหว่านแต่กลับกลายเป็นยิ่งแย่เข้าไปอีก จึงรีบบึ่งออกจากบริษัทมาหาหลินหว่าน หนึ่งนั้นเพราะเขาคิดถึงหลินหว่าน อยากรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง อีกทางหนึ่งเขาอยากจะขอโทษหลินหว่าน เซียวจิ่งสือเริ่มคิดโทษตัวเอง เขาเห็นว่าความผิดพลาดครั้งนี้เกิดจากตัวเอง เขาคิดวนเวียนแต่ว่าถ้าหากตัวเองระวังตัวมากกว่านี้ บางทีตอนนี้หลินหว่านก็จะไม่ต้องเจอกับข่าวลือที่น่ากลัวบนอินเทอร์เน็ตเหล่านี้อีก


 


 


เซียวจิ่งสือรีบมาหาหลินหว่าน และเห็นว่าหลินหว่านดูไม่มีความสุขนัก ในใจรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน


 


 


เซียวจิ่งสือเอ่ยปากช้าๆ ว่า “หลินหว่าน ขอโทษนะ ผมเองก็คิดไม่ถึงว่าพ่อผมจะแชร์โพสต์เวยปั๋วของผม ต้องโทษผมเองที่ประมาทเกินไปหน่อย เลยทำให้คุณต้องตกเป็นขี้ปากพวกชาวเน็ตอีก ผมตั้งใจจะช่วยคุณจริงๆ นะ ผมคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คุณอย่าทุกข์ใจแบบนี้สิ ยิ่งคุณเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ว่าทำไมตอนแรกผมจึงไม่ทำให้เรื่องนี้สมบูรณ์พร้อมยิ่งกว่านี้ ไม่ให้พวกเขาฉวยโอกาสใช้มาใส่ร้ายคุณได้ ขอโทษจริงๆ ครับ หลินหว่าน”


 


 


หลินหว่านยิ้มแล้วเดินเข้ามากอดเซียวจิ่งสือ ชั่วขณะนั้นเซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเหมือนได้รับของขวัญที่เกินความคาดหมาย


 


 


“เซียวจิ่งสือคะ ฉันไม่ได้โทษว่าคุณเลย ฉันรู้ว่าสิ่งที่คุณทำทั้งหมดล้วนแต่หวังดีต่อฉัน ฉันเห็นข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตพวกนั้นแล้ว เราบริสุทธิ์เสียอย่าง ฉันเชื่อว่าสักวันพวกเขาจะเชื่อฉันเอง ตอนนี้ฉันทำใจได้มากแล้วค่ะ นักแสดงก็ต้องรับเรื่องพวกนี้ให้ได้ไม่ใช่เหรอคะ คุณก็อย่าโทษว่าตัวเองเกินไปนักเลยค่ะ ฉันรู้ว่าคุณทำทั้งหมดก็เพราะหวังดีต่อฉัน แต่ในชีวิตคนเราเรื่องพลิกผันพวกนี้มันยากจะคาดเดาได้ ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องตำหนิตัวเองไปนะคะ” หลินหว่านพูดกับเซียวจิ่งสือด้วยรอยยิ้ม


 


 


เซียวจิ่งสือถอนใจอย่างโล่งอกพลางยิ้มรับกับหลินหว่าน เขาพอใจมากที่หลินหว่านไม่คิดมากกับเรื่องนี้ สำหรับเขาแล้วตอนนี้ขอแค่หลินหว่านไม่เครียด ไม่วิตกทุกข์ร้อนกับข่าวซุบซิบพวกนี้อีกก็เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว


 


 


ทั้งสองพูดคุยกันสักพัก เซียวจิ่งสือก็กลับไปทำงานต่อที่บริษัท แต่พอเซียวจิ่งสือจากไปหลินหว่านก็กลับเป็นสภาพคอตกหมดแรงอีกครั้ง อันที่จริงตอนที่หลินหว่านเห็นข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตนั้น เธอก็รู้สึกร้อนเร่าและทุกข์ใจมาก เมื่อครู่หลินหว่านอยู่ต่อหน้าเซียวจิ่งสือแสดงท่าทางว่าปล่อยวางใจได้ เพียงเพราะไม่อยากให้เซียวจิ่งสือเอาแต่โทษตัวเอง เซียวจิ่งสืออยู่ต่อหน้าหลินหว่านเป็นคนร่าเริงเบิกบานมาก แต่เมื่อครู่คงเป็นเพราะตำหนิตัวเองทำให้กลายเป็นอึดอัดขัดเขินไปหมด


 


 


หลินหว่านเองก็คิดได้ ตัดสินใจว่าจะตั้งใจทำงาน ไม่วุ่นวายใจกับข่าวซุบซิบพวกนี้อีก สถานการณ์ในตอนนี้ ตัวเธอเองก็ทำอะไรไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้ตัวเองยุ่งเข้าไว้ จะได้ไม่มีหัวสมองไปคิดเรื่องนี้อีก ไม่นานนักอวิ๋นซีก็จัดตารางงานมาให้หลินหว่าน วันนี้หลินหว่านจึงกลับเข้าสู่โหมดทำงานตามปกติ


 


 


แต่ที่หลินหว่านไม่รู้ก็คือ แฟนคลับของอันซิง เนื่องจากโพสต์ข้อความที่พ่อของเซียวจิ่งสือแชร์ออกมาทำให้พวกเขายิ่งเชื่อมั่นว่าหลินหว่านใส่ร้ายอันซิง ดังนั้นจึงคิดจะรวมตัวกันมาสั่งสอนหลินหว่าน พวกเขาวางแผนว่าจะทำอย่างไรให้หลินหว่านรู้ถึงความร้ายกาจของพวกเขา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาคืนหลินหว่าน


 


 


หลินหว่านลงจากรถก็พบว่าตรงหน้ามีแฟนคลับจำนวนมากมาต้อนรับเธอ ถึงแม้หลินหว่านจะอารมณ์ไม่ดีนัก แต่พอเห็นว่าแฟนคลับตะโกนโหวกเหวกอย่างตื่นเต้นดีใจ หลินหว่านก็เผยรอยยิ้มออกมา เดินเข้าไปหาพวกเขา พร้อมบอกกับตัวเองว่าจะไม่ให้แฟนคลับต้องรอเก้อ

 

 

 


ตอนที่ 129

 

โต้แย้ง

 


 


 


 


“พอหลินหว่านเข้ามา พวกเราก็เข้าไปสั่งสอนมันซะ ถ้าจะให้ดีก็ถ่ายสารรูปมัน ตอนอัปลักษณ์เอาขึ้นอินเทอร์เน็ต ให้ทุกคนได้ดูหน้านังคนเจ้าเล่ห์ มารยาสาไถย กล้าใส่ร้ายอันซิงของพวกเรา” แฟนคลับคนหนึ่งถือกล้องถ่ายรูปในมือ 


 


 


“ดีเลย แผนนี้สุดยอดไปเลย ดูท่าแล้วมันเชิดหน้าอยู่ในวงการได้อีกไม่นานหรอก อีกเดี๋ยวพวกเรารุมกันเข้าไป พยายามสร้างความวุ่นวายเข้าไว้” แฟนคลับอีกคนกระซิบ 


 


 


แฟนคลับกลุ่มนี้พากันยิ้มและตะโกนเรียกหลินหว่าน แท้ที่จริงแล้วล้วนเป็นแฟนคลับของอันซิง นี่คือกลุ่มคนที่ไม่รู้เรื่องราวผิดถูกอะไร วางแผนจะเอาคืนหลินหว่านในวันนั้น 


 


 


หลินหว่านเดินยิ้มเข้าไปหา เตรียมจะเซ็นชื่อให้พวกเขา หลินหว่านคิดในใจว่าอากาศร้อนขนาดนี้ พวกเขามารอที่นี่เป็นเวลานานอย่างนี้ ไม่ควรจะให้พวกเขากลับไปมือเปล่า 


 


 


ขณะที่แฟนคลับพวกนี้เตรียมจะห้อมล้อมกันเข้ามาสั่งสอนหลินหว่านนั้นเอง เกิดมีแฟนคลับคนหนึ่งหัวใจขาดเลือดจนหมดสติล้มลง คราวนี้ทุกคนไม่ร้องตะโกนแล้ว แต่พากันยืนตะลึงจ้องดูแฟนคลับที่ลงไปนอนอยู่กับพื้นอย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พวกเขาไม่มีจิตใจจะไปสั่งสอนหลินหว่านแล้ว แต่พากันมุงดูคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างแตกตื่นชุลมุน เด็กสาวบางคนที่กลัวพากันร้องไห้โฮออกมา 


 


 


“พวกคุณอย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง ใครก็ได้โทรสายด่วน 120 ให้ด้วยค่ะ ขยายวงให้กว้างหน่อยค่ะ อย่ามุงเข้ามานะคะ ให้มีอากาศบริสุทธิ์ด้วยค่ะ” หลินหว่านรีบบอก แฟนคลับพวกนั้นต่างรีบทำตามคำพูดของหลินหว่าน บ้างก็รีบไปโทรศัพท์ บ้างก็ถอยหลังออกไปหลายก้าว 


 


 


หลินหว่านรีบนั่งยองๆ ลงกับพื้น เธอใช้วิธีที่เคยเห็นมาปฐมพยายาบาลแฟนคลับที่หมดสตินั้น ช่วยบรรเทาอาการเขาในระดับหนึ่ง เพียงไม่นานนัก รถพยาบาลก็มาถึง หมอรีบเข้ามาตรวจดูอาการอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ต้องขอบคุณคุณผู้หญิงคนนี้มากที่ช่วยปฐมพยาบาลผู้ป่วยคนนี้ เพราะวิธีการนี้ เขาสามารถฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น” คุณหมอพูดพร้อมกับยิ้มให้หลินหว่าน 


 


 


“อื้ม นี่เป็นเรื่องที่ฉันควรทำค่ะ” หลินหว่านยิ้มตอบรับกลับไปเช่นกัน 


 


 


เพียงชั่วครู่ โรงพยาบาลก็พาตัวผู้ป่วยจากไป หลินหว่านจึงให้พวกแฟนคลับเหล่านั้นออกไปจากตรงนี้ ตอนนั้นหลายคนในที่นั้นในมือถือกล้องถ่ายรูป หลายคนส่งคลิปภาพตอนหลินหว่านก้มลงไปช่วยแฟนคลับคนที่หมดสตินั้นขึ้นอินเทอร์เน็ต 


 


 


ไม่นานนัก คลิปวีดีโอที่หลินหว่านช่วยแฟนคลับที่หัวใจขาดเลือดก็กลายเป็นหัวข้อให้กล่าวถึงอย่างมากบนอินเทอร์เน็ต หัวข้อข่าวที่ออกมาคือ…นางเอกชื่อดังช่วยชีวิตผู้ป่วยหมดสติ 


 


 


เนื่องจากคลิปวีดีโอนี้ทำให้หลินหว่านได้รับคำชมเชยไปทั่ว คำพูดที่ผู้คนพูดถึงหลินหว่าน กลายเป็นคำชื่นชมเสียมาก ส่วนหลินหว่านก็ได้เพิ่มแฟนคลับส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์นี้ ทำให้หลินหว่านดีใจมาก อย่างแรกที่ทำให้เธอดีใจคือเธอได้ช่วยแฟนคลับจากอาการหัวใจขาดเลือด อีกอย่างคือทำให้ชาวเน็ตได้เห็นด้านดีของเธอ มันทำให้หลินหว่านรู้จักปลาบปลื้มใจอย่างมาก 


 


 


ขณะที่เรื่องเช่นเดียวกันนี้เมื่ออันซิงได้รู้เข้า เธอรู้สึกโกรธมาก ก่อนหน้านี้เรื่องพวกนั้นกำลังบดขยี้หลินหว่านอยู่ ข่าวลือพวกนั้นกำลังจะทำลายหลินหว่านได้อยู่แล้วเชียว ตอนนี้กลับเป็นเพราะมีเรื่องของผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดดคนนั้นทำให้หลินหว่านกลับมาได้รับการยอมรับจากผู้คนอีกครั้ง 


 


 


อันซิงโกรธจนไฟพุ่ง เห็นว่าเรื่องที่ใส่ร้ายหลินหว่านไปก่อนหน้านี้เสียแรงเปล่าแล้ว แต่ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เธอก็สงบใจลงได้ คิดแผนการหนึ่งขึ้นมาอีก จะใส่ร้ายหลินหว่านอีกครั้ง 


 


 


อันซิงหยิบมือถือมาโทรหาผู้ช่วย “ฮัลโหล หลายวันนี้แกเห็นเรื่องนั้นของหลินหว่านแล้วใช่ไหม เรื่องคลิปที่หลินหว่านช่วยชีวิตแฟนคลับที่หัวใจขาดเลือดน่ะ ฉันไม่อยากเห็นมันรอดตัวจากเรื่องนี้ ไม่งั้นก่อนหน้านี้ที่พวกเราจ้างให้มือโพสต์มาช่วยจัดการเรื่องนั้นก็สูญเปล่าสิ ตอนนี้แกไปจ้างมือโพสต์มาอีกเยอะๆ นะ เขียนข้อความข้างล่างข่าวของหลินหว่าน บอกว่าหลินหว่านแค่แสดงละครตบตาเพื่อล้างมลทินเรื่องก่อนหน้านี้ ต้องให้คนเข้าไปวิจารณ์เรื่องนี้มากๆ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะถล่มมันไม่ลง เรื่องนี้แกไปจัดการด่วน เร่งมือด้วย” 


 


 


ผู้ช่วยนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วรับคำเบาๆ ว่า “อื้อ ได้ค่ะ” 


 


 


อันซิงวางสายแล้วแอบนึกกระหยิ่มใจ ต่อให้เรื่องนี้ไม่สามารถล้มหลินหว่านได้ แต่ก็เพียงพอที่จะส่งผลกับตัวหลินหว่านอย่างมหาศาล ให้เธอได้รู้สึกทุกข์ร้อนใจ 


 


 


ผู้ช่วยของอันซิงมีความสามารถมากทีเดียว ไม่นานก็มีมือโพสต์กลุ่มใหญ่เขียนข้อความที่ด้านล่างข่าวหลินหว่านช่วยชีวิตผู้ป่วยหัวใจขาดเลือด โดยบอกว่านี่เป็นละครที่หลินหว่านจัดฉากเองแสดงเองเพื่อล้างมลทินเรื่องข่าวซุบซิบก่อนหน้านี้ของเธอ เสียงวิจารณ์เช่นเดียวกันนี้โผล่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงวิจารณ์ลักษณะนี้จำนวนมากโผล่ขึ้นที่ด้านล่างข่าวนั้น 


 


 


เนื่องจากคำวิจารณ์ของมือโพสต์พวกนี้เอง ทำให้แฟนคลับส่วนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เกิดความรู้สึกดีกับหลินหว่านด้วยคลิปนี้พากันหวั่นไหวไปตามๆ กัน เริ่มไม่รู้ว่าจะเชื่อหลินหว่านดีหรือไม่ ถึงกับมีแฟนคลับบางส่วนที่ไม่หนักแน่นพอ เริ่มออกมาตำหนิหลินหว่านตามกระแสของมือโพสต์รับจ้างพวกนั้น บอกว่าเธอแค่แสดงละครตบตาเพื่อแก้ข่าวให้ตัวเองเท่านั้น 


 


 


ตอนนี้หลินหว่านเอียนกับการโต้เถียงนี้มาก บางคนเห็นว่าเธอจริงใจ แต่ก็มีคนจำนวนมากเชื่อกระแสปั่นจากมือโพสต์บอกว่าหลินหว่านแกล้งทำ บนอินเทอร์เน็ตเริ่มเปิดสงครามน้ำลายจากทั่วสี่ทิศแปดทางอีกครั้ง โดยไม่เปิดโอกาสให้หลินหว่านได้หายใจหายคอกันเลย คำพูดที่ใช้เต็มไปด้วยคำเสียดสีและด่าทอ 


 


 


เซียวจิ่งสือก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วย เขาเห็นว่าสถานการณ์บนอินเทอร์เน็ตร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ คำพูดเกี่ยวกับหลินหว่านก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เซียวจิ่งสือเป็นห่วงมาก เขากลัวว่าหลินหว่านจะเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ ทั้งวันไม่ยอมกินข้าว อมทุกข์เหมือนกับก่อนหน้านั้น 


 


 


ขณะที่ข่าวลือก่อนหน้ายังแก้ไม่หาย ก็มีข่าวลือนี้ขึ้นมาอีก เซียวจิ่งสือเกรงว่าหลินหว่านจะรับไม่ไหว เขายิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงจึงขับรถไปหาเธอที่บ้าน ระหว่างทางก็คิดแต่ว่าจะปลอบใจหลินหว่านได้อย่างไร ทั้งวิงวอนในใจขอให้หลินหว่านไม่สนใจกับเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็เข้าใจดี ตัวเองเห็นข่าวลือร้อยแปดพวกนี้บนอินเทอร์เน็ตยังรู้สึกหงุดหงิดรำคาญมาก อย่าว่าแต่เจ้าของเรื่องอย่างหลินหว่านเลย 


 


 


เซียวจิ่งสือมาถึงบ้านหลินหว่านอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่หลินหว่านมาเปิดประตูนั้น เซียวจิ่งสือรู้สึกตึงเครียดอย่างมาก เขากลัวว่าจะเห็นหลินหว่านขมวดคิ้วนิ่วหน้า แต่เขาก็ยังได้เห็นหลินหว่านที่เศร้าเสียใจจนได้ 


 


 


หลินหว่านไม่อยากเสแสร้งแกล้งทำอีก เธอมีสีหน้าท้อใจ 


 


 


พอหลินหว่านเห็นคำวิจารณ์เชิงลบพวกนั้นบนอินเทอร์เน็ต ก็เกิดสมองตื้อคิดไม่ออกขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองทำความดีเรื่องหนึ่งยังต้องถูกคนอื่นใส่ร้าย ต้องเจอกับคำตำหนิสารพัด หรือว่าทำความดีเรื่องหนึ่งมันยากขนาดนั้นเชียว บวกกับเมื่อหลายวันก่อนเธอมีข่าวซุบซิบที่ไม่ดีออกมาอยู่เรื่อยๆ คอยโจมตีหลินหว่านไม่หยุด หลินหว่านรู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ  


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านเป็นอย่างนี้ ก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจมาก เขาโทษว่าตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องหลินหว่านได้ 


 


 


เซียวจิ่งสือก้าวเข้ามาหาหลินหว่านช้าๆ โอบกอดเธอไว้ พูดว่า “หลินหว่าน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะอยู่ข้างคุณตลอด สนับสนุนคุณทุกอย่าง ผมจะเผชิญอุปสรรคร่วมกับคุณ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม คุณมีผมเสมอนะ” 

 

 

 


ตอนที่ 130

 

รักษาระยะห่าง

 


 


 


 


ต่อให้เซียวจิ่งสือพูดปลอบโยนและให้กำลังใจหลินหว่านไปรอบหนึ่ง แต่สำหรับหลินหว่านแล้ว โพสต์ของพ่อเซียวจิ่งสือนั้นยังเหมือนเป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจเธออยู่ 


 


 


‘เล่นพอแล้วก็กลับบ้านมาแต่งงาน…’ พอนึกถึงข้อความที่พ่อของเซียวจิ่งสือโพสต์ลงในเวยปั๋ว หลินหว่านก็รู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบายขึ้นมา 


 


 


เธอไม่สนว่าพ่อของเซียวจิ่งสือจะคิดกับเธอยังไง สิ่งที่หลินหว่านสนใจก็คือ เซียวจิ่งสือแค่เล่นๆ กับเธอหรือเปล่า ถ้าหากสุดท้ายเซียวจิ่งสือทำตามคำพูดของพ่อ แต่งงานกับผู้หญิงอื่น งั้นที่ผ่านมาสิ่งที่เขาทำกับเธอมันคืออะไร 


 


 


หลินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ถ้าหากสุดท้ายแล้วเซียวจิ่งสือต้องแต่งงานกับคนอื่น อย่างนั้น ในระหว่างนี้ที่เธอเริ่มมีใจให้กับเซียวจิ่งสือจะเป็นอย่างไร 


 


 


เมื่อมาคิดดูแล้วสุดท้ายหลินหว่านก็ตัดสินใจว่าจะปกป้องดูแลหัวใจของตัวเองไว้ จะไม่อาจหลงคำหวานของเซียวจิ่งสือโดยง่ายอีก จัดการกับอันซิงและบ้านตระกูลอันเสียก่อนเพื่อแก้แค้นให้แม่กับตัวเอง 


 


 


หลินหว่านกำลังหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น 


 


 


พอหยิบมือถือขึ้นดู ก็พบว่าคนที่โทรมาก็คือผู้ชายที่เธอเพิ่งตัดสินใจว่าจะรักษาระยะห่างจากเขา…เซียวจิ่งสือ 


 


 


หลินหว่านชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง คิดถึงที่เมื่อสักครู่ที่ตนเองเพิ่งตัดสินใจไป เธอวางมือถือกลับคืนที่เดิม รอให้เสียงเรียกเข้าดังอยู่ชั่วขณะ หลินหว่านก็ยังไม่รับสาย สุดท้าย มือถือของหลินหว่านก็เงียบเสียงไปในที่สุด 


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านไม่รับโทรศัพท์ ยังเข้าใจว่าหลินหว่านยุ่งอยู่กับการถ่ายหนัง หลังจากวางสายแล้ว เขาจึงไม่ได้ติดใจอะไร แม้ว่าใจของเซียวจิ่งสืออยากจะไปหาหลินหว่าน แต่ระยะนี้เขายังต้องจัดการกับงานของบริษัทส่วนหนึ่งของพ่อเขาที่ส่งมาให้ดูแลจัดการ 


 


 


แต่ว่า ขณะที่กำลังยุ่งอยู่กับงานเซียวจิ่งสือก็ยังรู้สึกหวั่นวิตกเหมือนกลัวการสูญเสียอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงหลินหว่าน ซึ่งก่อนนี้เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ดังนั้น เขารู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างมาก 


 


 


ผ่านไปสองวัน ความรู้สึกแบบนี้ในใจของเซียวจิ่งสือยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สองวันมานี้ เซียวจิ่งสือโทรหาหลินหว่านทุกวันแต่กลับโทรไม่ติดเลยสักครั้ง ตอนเย็นเขาไปที่โรงแรมที่พักของกองถ่ายซึ่งหลินหว่านถ่ายหนังอยู่ แต่ก็ไม่เคยได้พบหลินหว่านเลย 


 


 


วันนี้เซียวจิ่งสือโทรหาอวิ๋นซี ถามถึงตารางงานในระยะนี้ของหลินหว่านแล้วถามว่าตอนนี้เธออยู่ที่บริษัทหรือไม่ อวิ๋นซีกลับบอกว่า ระยะนี้หลินหว่านอยู่ที่กองถ่ายตลอด เธอเองก็ไม่ค่อยได้เจอกับหลินหว่าน เหมือนกัน ยิ่งไม่เห็นหลินหว่านมาที่บริษัทเลยด้วย 


 


 


พอวางสาย เซียวจิ่งสือก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เขาพบว่าระยะนี้หลินหว่านดูเหมือนตั้งใจจะหลบหน้าเขา รักษาระยะห่างจากเขา พอนึกถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็รู้สึกผิดหวังและโกรธขึ้นมา เขาตัดสินใจว่าจะไปถามหลินหว่านด้วยตัวเองว่ามันเพราะอะไรกันแน่ 


 


 


ตอนเย็น หลินหว่านกลับจากกองถ่ายถึงบ้าน ระยะนี้เธอต้องการหลบหน้าเซียวจิ่งสือ ไม่เพียงไม่รับโทรศัพท์เขา ทุกวันหลังเลิกกองก็จะกลับบ้าน เพื่อไม่ให้เซียวจิ่งสือหาตัวเธอพบได้ง่ายในโรงแรมที่พักของกองถ่าย 


 


 


ขณะกำลังจะกลับถึงคอนโดที่พัก ทันใดหลินหว่านเห็นร่างชายคนหนึ่งอยู่ข้างหน้า เขาเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านเธอ หลินหว่านชะงักเท้า เงาร่างนั้นเห็นเช่นนั้นก็กลับเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอ 


 


 


“เซียวจิ่งสือ ค…คุณมาได้อย่างไรคะ” พอเห็นว่าเป็นเซียวจิ่งสือ หลินหว่านอ้าปากขึ้น ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ได้แต่เอ่ยทักทายอย่างไม่เต็มคำนัก 


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่าน สีหน้าโกรธปนสงสัย เขาคาดคั้นเอากับหลินหว่าน “หว่านหว่าน หลายวันมานี้ ทำไมคุณไม่รับสายผม” 


 


 


ดวงตาหลินหว่านหม่นมัวลง ก้มศีรษะ นึกถึงการตัดสินใจเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าจะรักษาระยะห่างจากเซียวจิ่งสือแล้ว เธอก็กลับเป็นตัวเองอีกครั้ง เงยหน้าขึ้น มองมาทางเซียวจิ่งสือ หลินหว่านตอบเสียงราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ว่า “หลายวันนี้ฉันกำลังยุ่งถ่ายหนัง คงไม่ทันเห็นสายที่คุณโทรเข้ามา คุณมีธุระอะไรเหรอคะ เซียวจิ่งสือ” 


 


 


ต่อให้ถ่ายหนังยุ่งอย่างไร เซียวจิ่งสือก็ไม่เชื่อว่าหลินหว่านจะไม่เห็นสายที่เขาโทรเข้าเลยสักสายเดียว อีกทั้งไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรกลับอีกด้วย พอคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเซียวจิ่งสือก็ยิ่งปั้นยาก เขาถามต่อว่า “ทำไมผมไปหาคุณที่โรงแรมที่พักของกองถ่าย คุณไม่เคยอยู่เลย” 


 


 


“ฉันไม่สะดวกพักที่โรงแรมของกองถ่ายค่ะ” หลินหว่านตอบกลับเสียงเย็น 


 


 


ก่อนหน้านี้ทำไมเขาไม่เห็นว่าหลินหว่านจะถือสากับเรื่องแบบนี้ พอได้ยินคำตอบของหลินหว่าน เซียวจิ่งสือก็ยิ่งแน่ใจว่าหลายวันนี้เธอตั้งใจหลบหน้าเขาแน่ 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเซียวจิ่งสือไม่เชื่อ เขาพูดว่า “แต่…หว่านหว่าน ทำไมผมรู้สึกว่าหลายวันมานี้คุณกำลังหลบหน้าผมอยู่ล่ะ” 


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไรกันคะ เซียวจิ่งสือ ช่วงนี้ฉันยุ่งมากจริงๆ ค่ะ” หลินหว่านตอบเสียงเย็น 


 


 


พูดจบเธอก็เดินเลี่ยงหลบเซียวจิ่งสือ จะเข้าบ้าน แต่เธอเพิ่งขยับตัว ก็ถูกเซียวจิ่งสือรั้งตัวไว้ 


 


 


เซียวจิ่งสือคว้าแขนข้างหนึ่งของหลินหว่านเอาไว้ เขาสะกดกลั้นความรู้สึกขุ่นเคืองสงสัยไว้ไม่ได้ เค้นถามเธอว่า “หว่านหว่าน คุณบอกผมก่อน หลายวันมานี้ทำไมต้องหลบหน้าผม ทำไมไม่อยากเจอผม” 


 


 


หลินหว่านอยากสลัดให้หลุดจากมือของเซียวจิ่งสือแต่ดิ้นไม่หลุด พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือตั้งท่าใช้ไม้แข็ง หลินหว่านก็โมโหขึ้นมาเหมือนกัน เธอตะโกนใส่เซียวจิ่งสือเสียงดังลั่น “เซียวจิ่งสือ คุณอย่าเอาแต่อารมณ์แบบนี้ได้ไหม ถึงยังไงคุณก็จะแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว อย่ามัวมายุ่งอยู่แต่กับฉันอย่างนี้เลยนะ” 


 


 


“แล้วยังมีอีก ต่อไปพวกเราก็รักษาระยะห่างกันหน่อยเถอะ เพราะถึงอย่างไรถ้าคุณแต่งงานแล้ว ฉันคิดว่าภรรยาของคุณคงไม่ชอบใจที่เห็นคุณยังคบหากับฉันอยู่หรอกนะคะ” 


 


 


หลินหว่านมองสบตาเซียวจิ่งสือแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยชา ไม่รู้ว่าทำไมตอนที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ออกไป หัวใจเธอจึงเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดด้วย 


 


 


“หลินหว่าน คุณอย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ไหม ผมแต่งงานกับคนอื่นเนี่ยนะ? คุณอยากให้ผมแต่งกับคนอื่นงั้นเหรอ” เซียวจิ่งสือฟังคำหลินหว่านแล้วโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง แค่คิดว่าถ้าหากในอนาคตเขาต้องแต่งงานกับคนอื่น ใจเขาก็โหวงเป็นโพรง เหมือนสูญเสียอะไรไป คนที่เขาอยากแต่งงานด้วย มีเพียงหลินหว่าน 


 


 


แต่หลินหว่านกลับมองดูเขาแล้วพูดเน้นทีละคำ “เซียวจิ่งสือ ฉันไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ คุณจะแต่งงานกับใคร ไม่เกี่ยวกับฉัน” 


 


 


สายตาเย็นชาของหลินหว่านบวกกับคำพูดเฉยชาของเธอ เหมือนคมมีดที่เสียบเข้ากลางใจเซียวจิ่งสือ ถ้าจะบอกว่าเขาไม่เจ็บปวดทรมาน ไม่โกรธแค้นนั้นเป็นไปไม่ได้ เขาชอบหลินหว่าน ในใจเขามีแต่เธอมานานขนาดนี้ บอกรักเธอทั้งจริงใจทั้งทีเล่นทีจริงก็ตั้งหลายครั้ง แต่เธอกลับไม่เคยตอบตกลงเลยสักครั้ง ตอนนี้ยังจะทำตัวเหินห่างจากเขาอีก หวังจะให้เขาแต่งงานกับคนอื่น 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือจ้องหลินหว่าน สายตาเต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวดใจ ถามหลินหว่านว่า “หลินหว่าน คำพูดเมื่อครู่ของคุณเป็นคำพูดจากใจจริงงั้นเหรอ” 


 


 


หลินหว่านเห็นแล้ว หัวใจกระตุกไปชั่วขณะหนึ่ง หันหน้าหนีไม่สบตาเซียวจิ่งสือ หักใจพูดออกมาว่า “แน่นอน คำพูดเมื่อครู่ ฉันพูดด้วยใจจริงทุกคำ เซียวจิ่งสือ ต่อไปพวกเราอยู่ห่างกันไว้เถอะ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ไม่ต้องพบเจอกันอีก” 

 

 

 


ตอนที่ 131

 

ชั่วร้าย

 


 


 


เซียวจิ่งสือไปเค้นถามหลินหว่านว่าทำไมถึงหลบหน้าเขา แต่กลับไม่ได้ความอะไร แถมยังทะเลาะกับหลินหว่านเสียใหญ่โต กลับมาอย่างพ่ายแพ้หมดรูป


 


 


กลับถึงบ้าน ยังไม่ดึกมากนัก เซียวจิ่งสือไม่ต้องการคิดเรื่องทะเลาะกับหลินหว่านเมื่อตอนเย็น พอกลับถึงห้องหนังสือก็เริ่มทำงาน


 


 


ทันใดนั้น เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เซียวจิ่งสือเห็นว่าเป็นผู้ช่วยโทรมา เขารับสาย ถามไปด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “มีอะไร”


 


 


ผู้ช่วยของเซียวจิ่งสือพอได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ดีนักของเซียวจิ่งสือ ก็รู้ว่าท่านประธานของเขากำลังโกรธ จึงรีบตอบด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง “ท่านประธานครับ วันนี้ท่านผู้อำนวยการใหญ่ให้ผมถามคุณว่ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ท่านจะหาเวลาให้คุณพบปะกับคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน…”


 


 


“คุณว่าไงนะ?” เซียวจิ่งสือฟังแล้วถามอย่างสงสัย คุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอันอะไรกัน นั่นมันอันซิงไม่ใช่หรือไง พ่อของเขาไปมีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ทำไมเขาไม่รู้มาก่อน


 


 


ผู้ช่วยของเซียวจิ่งสือทวนคำพูดเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือยังไม่แสดงท่าทีอะไรก็พูดขึ้นอีกว่า “ท่านประธานครับ เมื่อหลายวันก่อน ท่านผู้อำนวยการใหญ่แชร์โพสต์ในเวยปั๋วของคุณ ตอนนี้บนอินเทอร์เน็ตพากันลือว่าอีกไม่นานคุณกับคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอันจะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ของสองตระกูล คุณไม่ทราบเหรอครับ”


 


 


“งั้นเหรอ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” เซียวจิ่งสือฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่น ถามกลับเสียงเย็น


 


 


ระยะนี้เขามัวยุ่งกับเรื่องงานในบริษัท ใจก็คอยห่วงหลินหว่าน จึงไม่รู้ว่าพ่อของเขาแชร์โพสต์ในเวยปั๋วของเขา ยิ่งไม่รู้ว่าบนอินเทอร์เน็ตมีข่าวลือแบบนี้ด้วย


 


 


ผู้ช่วยเห็นว่าเสียงของเซียวจิ่งสือยิ่งเย็นชากว่าเดิม เขาถามอย่างหวาดหวั่นว่า “ใช่ครับ งั้นท่านประธาน เรื่องท่านผู้อำนวยการใหญ่…”


 


 


“เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่ง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” พูดจบ เซียวจิ่งสือก็ตัดสายอย่างไม่สนใจใยดี


 


 


นึกถึงคำพูดของผู้ช่วยแล้ว เซียวจิ่งสือก็เปิดดูเวยปั๋ว แล้วก็เห็นว่าพ่อเขาโพสต์ข้อความทิ้งไว้ที่ด้านล่างเวยปั๋วของเขา บนเวยปั๋วนั้นยังมีข่าวลือมากมายว่าเขาจะแต่งงานกับอันซิง


 


 


เซียวจิ่งสืออ่านดูข้อความเหล่านี้แล้ว นึกแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ดูแล้วทั้งหมดนี้เป็นฝีมือพ่อของเขาเอง มิน่าเล่าบนอินเทอร์เน็ตไม่น่าจะลือกันไปใหญ่โตขนาดนี้


 


 


แต่ว่า เขาไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของเขามีความคิดที่จะให้เขากับอันซิงแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อไหร่


 


 


แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เรื่องที่จะให้เขากับอันซิงแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์สองตระกูล ไม่สิ ต่อให้ไปพบหน้าอันซิงสักครั้ง เรื่องแบบนี้เขาไม่ยอมทำเด็ดขาด


 


 


พร้อมกันนั้น เซียวจิ่งสือก็นึกถึงตอนทะเลาะกับหลินหว่านเมื่อเย็นนี้ หลินหว่านบอกเขาอยู่เรื่อยว่าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ตอนนั้นเซียวจิ่งสือเข้าใจว่าหลินหว่านพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง และไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร ตอนนี้ดูไปแล้ว เธอน่าจะเห็นข่าวลือบนเวยปั๋ว แล้วหึงเขาเลยทะเลาะกับเขาล่ะมั้ง แล้วยังบอกว่าจะรักษาระยะห่างกับเขาอีก


 


 


พอนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นแล้ว เซียวจิ่งสือก็รู้สึกทั้งเสียใจและรู้สึกผิด ถ้าหากรู้เรื่องข่าวลือบนอินเทอร์เน็ตเสียก่อน เขาจะไม่ทะเลาะกับหลินหว่านเด็ดขาด


 


 


แต่ตอนนี้ เซียวจิ่งสือเห็นว่าเขาต้องบอกพ่อให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอัน


 


 


พอคิดได้เช่นนี้แล้ว เซียวจิ่งสือก็ออกจากบ้าน ขับรถมาที่คฤหาสน์ตระกูลเซียว


 


 


เซียวจิ่งสือไม่สนว่าเป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหน พอมาถึงบ้านตระกูลเซียว เขาก็ถอดเสื้อนอกออก ถามพ่อบ้านว่าตอนนี้พ่อเขาอยู่ที่ไหน


 


 


พ่อบ้านรับเอาเสื้อของเซียวจิ่งสือมา แล้วบอกเขาว่าพ่อเขาอยู่ในห้องหนังสือ จากนั้นเพียงชั่วครู่เดียวเซียวจิ่งสือก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ห้องหนังสือของเซียวเฉียงไม่ได้ล็อก เซียวจิ่งสือผลักเปิดประตูเข้าไป พอเห็นเซียวเฉียงเขาก็ถามพ่อไปตรงๆ ว่า “พ่อครับ พักนี้พ่อทำอะไรน่ะ ทำไมจะให้ผมแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลอัน”


 


 


เซียวเฉียงเห็นว่าลูกชายบุกเข้าห้องหนังสือเขามาก็ปิดแฟ้มเอกสารในมือ ขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก “ฉันสั่งสอนแกมาอย่างไร ทำไมไม่รู้จักระเบียบมารยาทบ้างเลย ก่อนเข้ามาไม่รู้จักเคาะประตูหรือไง”


 


 


ตอนนี้เซียวจิ่งสือไม่มีอารมณ์จะไปสนระเบียบวินัยอะไรอีก เขาถามเอากับพ่อไปตรงๆ อย่างไม่สนมารยาทแต่อย่างใด “พ่อ ทำไมพ่อจะให้ผมแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลอัน ผมบอกเลยนะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ผมไม่ยอมหรอก!”


 


 


เซียวเฉียงฟังแล้วหัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นเข้าไปอีก เขามองเซียวจิ่งสือ พูดด้วยเสียงเด็ดขาด “พอแล้ว เซียวจิ่งสือ เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลอัน ไม่ว่าแกจะยอมหรือไม่ยอม เรื่องนี้ก็กำหนดไว้แล้ว แกห้ามขัดคำสั่งฉัน!”


 


 


“พ่อครับ ทำไมล่ะ” เซียวจิ่งสือเห็นท่าทางแข็งกร้าวของพ่อก็ถามอย่างสงสัย เมื่อก่อน พ่อเขายังอยากจะให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงอื่นอยู่เลยไม่ใช่หรือไง ทำไมจู่ๆ ก็เปลี่ยนความคิดจะให้เขาแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลอัน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนท่าทีกะทันหันเท่านั้น แถมยังแน่วแน่ขนาดนี้อีกด้วย


 


 


เซียวเฉียงมองสำรวจเซียวจิ่งสือรอบหนึ่ง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่คาดเดาไม่ถูก จากนั้นยื่นแฟ้มเอกสารในมือที่เมื่อครู่ที่เขาเพิ่งพับปิดส่งให้เซียวจิ่งสือ พูดว่า “แกดูนี่ก่อน”


 


 


เซียวจิ่งสือยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น เขารับเอกสารมา พลิกเปิดดูคร่าวๆ อย่างไม่เข้าใจนัก เพียงแต่…พออ่านดูแล้ว เซียวจิ่งสือก็เข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของพ่อเขา


 


 


ชื่อของเอกสารชุดนี้คือ ‘หนังสือแผนจัดซื้อเครือบริษัทเทียนซิงกรุ๊ป’ ดูท่าว่าพ่อเขาจะให้เขาแต่งงานกับอันซิง ไม่เพียงแค่ต้องการกลุ่มอำนาจของบ้านตระกูลอัน เขายังคิดจะฮุบเครือเทียนซิงกรุ๊ปทั้งหมดด้วย


 


 


เทียนซิงกรุ๊ปเป็นชีวิตและเลือดเนื้อหลายสิบปีของอันโฮ่วสยง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเหมือนจุดชีวิตที่ชี้ความเป็นตายของบ้านตระกูลอัน ถึงกับอาจกล่าวได้ว่าถ้าไม่มีเทียนซิงกรุ๊ป ก็เหมือนเด็ดปีกที่คุ้มครองคนของบ้านตระกูลอันมาตลอดทิ้งไป


 


 


หากมองจากมุมของหลินหว่านกับวั่นหย่ากรุ๊ป เซียวจิ่งสือเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะซื้อเทียนซิงกรุ๊ป แต่ต้องไม่อยู่บนเงื่อนไขว่าเขาต้องแต่งงานกับอันซิง!


 


 


ถ้าจะให้เขาใช้การแต่งงานมาแลกกับการซื้อเทียนซิงกรุ๊ป เขาทำไม่ได้เด็ดขาด! เซียวจิ่งสือพูดกับเซียวเฉียง “พ่อ พ่อจะซื้อเทียนซิงกรุ๊ป ผมเห็นด้วย แต่ทำไมพ่อต้องให้ผมแต่งงานกับอันซิงด้วยล่ะ เรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วยหรอก”


 


 


เซียวเฉียงเห็นท่าทีแข็งกร้าวของลูกชาย ก็พูดด้วยรอยยิ้มเย็น “จิ่งสือ เรื่องซื้อเทียนซิงกรุ๊ป ได้ดำเนินการตามแผนของฉันไปแล้วทีละขั้นตอน แต่แกรู้ไหมว่าขั้นตอนสำคัญที่สุดคืออะไร”


 


 


เหมือนจะรู้ว่าเซียวเฉียงจะพูดอะไร เซียวจิ่งสือแค่มองพ่อเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่ตอบสักคำ


 


 


เซียวเฉียวมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดต่อว่า “ต้องได้ตัวทายาทคนสำคัญสุดของตระกูลอัน หลานสาวที่อันโฮ่วสยงรักที่สุด นั่นก็คือ อันซิง! ดังนั้น งานแต่งนี้ แกขัดขืนไม่ได้หรอก!”


 


 


เหมือนจะรู้ล่วงหน้าว่าเซียวเฉียงจะพูดแบบนี้ เซียวจิ่งสือฟังแล้วพูดกับพ่อเขาว่า “พ่อ พ่อไม่รู้สึกหรือไงว่าแผนของพ่อมันชั่วร้ายเกินไปหน่อยน่ะ ใช้การแต่งงานมาเป็นเหยื่อล่อ เพื่อฮุบกิจการของเทียนซิงกรุ๊ป ขอโทษด้วย ผมทำตามแผนของพ่อไม่ได้!”


 


 


จากนั้นเซียวจิ่งสือก็โยนแผนจัดซื้อนั้นมาตรงหน้าพ่อของเขาแล้วพูดต่อว่า “แล้วก็…ผมจะพูดแบบเปิดอกเลยนะ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ผมแต่งงานเพื่อธุรกิจกับคนอื่นไม่ได้หรอก และยิ่งต้องแต่งงานกับคนอื่นด้วยแผนการของพ่อด้วยแล้ว พ่อหาคนอื่นไปทำเถอะ! ชาตินี้คนที่ผมอยากแต่งด้วย มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม