เล่ห์รักกลกาล 101-120

 ตอนที่ 101 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (4)

 


 


 


ทุกคนต่างสูดลมหายใจลึกแทนจิ่วหุน


 


 


ต่างกลัวว่าชีวิตของจิ่วหุนจะถึงกาลอวสานแล้ว


 


 


ส่วนจิ่วหุนเห็นเปลวเพลิงกระจายอยู่บนพื้น แววตาเย็นเยือก ถอยร่นไป


 


 


ในเวลาเพียงชั่ววูบ ก็อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรแล้ว


 


 


เปลวเพลิงเผาไหม้ไล่ตามไป ยังไม่เผาชายเสื้อของเขา ก็มอดไหม้สลายไปในอากาศก่อน


 


 


เช่นเดียวกับเงาร่างที่จิ่วหุนสร้างออกมา ก็ถูกเผาทิ้งจนไม่เหลือ ไม่อาจทำร้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้เลยสักน้อย แม้กระทั่งเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้


 


 


ทั้งสองประจันหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง


 


 


กลิ่นไหม้ในอากาศรุนแรง เผาเงาร่างไปหลายสายแล้ว


 


 


คนจำนวนไม่น้อยในสถานที่นี้ มองเห็นภาพต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม พวกเขาล้วนคิดว่าหากตัวเองยังชมการต่อสู้ของคนทั้งสองต่อไป ชีวิตของตัวเองพาลจะเป็นอัตรายไปด้วย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุน ใบหน้าเผยความชื่นชม น้ำเสียงไพเราะวิจารณ์ว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถสูงส่งเกินอายุ”


 


 


จิ่วหุนพลันเกิดโทสะ


 


 


เจ้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ แม้กระทั้งยามชม ยังไม่ลืมเหยียบย่ำจุดอ่อนของผู้อื่น


 


 


เตือนจิ่วหุนว่าเยี่ยเม่ยเห็นเขาเป็นเด็กคนหนึ่งมาโดยตลอด เป็นแค่น้องชายเท่านั้น


 


 


จิ่วหุนคร้านจะพร่ำวาจาเหลวไหลกับเขา จากนั้นก็ออกกระบวนท่าอีกครั้ง พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


   …


 


 


ในวังหลวง


 


 


ฮ่องเต้แห่งเป่ยเฉินประทับบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรรายงานลับในมือพระพักตร์เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ


 


 


หัวหน้าขันทีข้างกาย ลอบมองด้วยความระวัง ถามเอ่ยด้วยความสงสัย “ฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ทรงเงียบไปครู่หนึ่ง ปรายพระเนตรมองหัวหน้าขันที เอ่ยถามว่า “ซือถูเฟิงกลับมาหรือยัง”


 


 


หัวหน้าขันทีชะงักเล็กน้อย


 


 


รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท แม่ทัพซือถูกลับมาถึงแล้ว เมื่อคืนแบกร่างท่านหญิงน้อยกลับจวนกั๋วจั้ง เออ…ยังมีอีกเรื่องแม่ทัพหลี่ที่ชายแดนก็มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองหัวหน้าขันที มุ่นพระขนง สีพระพักตร์ฉงนและไม่ยินดี “แม่ทัพหลี่?”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีพยักหน้า รีบเอ่ยต่อทันที “เขากำลังขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ได้ฟังว่าเขาได้รับคำสั่งให้ไล่สังหารแม่ทัพซือถูมาตลอดทาง ครั้งนี้ที่เดินทางมาเกรงว่าคงจะมีเรื่องกราบทูล”


 


 


ฮ่องเต้ทรงนิ่งขรึมลง มองหัวหน้าขันที นวดพระขนงที่ปวดหนึบ ตรัสว่า “ให้เขาเข้ามา ” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีออกไปถ่ายทอดราชโองการทันที


 


 


ไม่ช้าแม่ทัพหลี่หน้าตามอมแมมเปื้อนดิน ท่าทางแตกตื่น สีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีเดินเข้ามา


 


 


หลังจากเข้ามาถึง เขาตะกายจนมาถึงเบื้องหน้าบัลลังก์


 


 


 “ตุบ” เสียงคุกเข่าดังขึ้น เสียงดังเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงช่วยกระหม่อมด้วย”


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขาอย่างเย็นชา


 


 


โยนรายงานลับไว้บนโต๊ะ จ้องมองแม่ทัพหลี่ พระสุรเสียงเย็นเยียบ ทรงอำนาจเฉกเช่นองค์ราชา ตรัส “เจ้าว่ามา ให้ช่วยชีวิต ช่วยชีวิตใคร”


 


 


จากน้ำเสียงของฮ่องเต้ แม่ทัพหลี่คาดเดาได้แล้วว่าในยามนี้ฮ่องเต้อยู่ในอารมณ์ไม่ดี


 


 


แต่เขาก็ไม่อาจสนใจมากความอีก แม่ทัพหลี่ตัวสั่น


 


 


เอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท เรื่องเป็นเช่นนี้ องค์ชายสี่มีบัญชาให้กระหม่อมสังหารท่านหญิง แต่แม่ทัพซือถูพาท่านหญิงหนี กระหม่อมก็ไร้หนทาง เพียงแต่ไล่ตามสังหารมาตลอดจนถึงเมืองหลวง…พระองค์ก็ทรงทราบ หากมิมีเหตุผลอันใด กระหม่อมจะกล้าสังหารท่านหญิงได้อย่างไร ฐานะของท่านหญิงสูงส่งกว่ากระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมระมัดระวังไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไปนัก เพื่อให้แม่ทัพซือถูพาท่านหญิงหนีกลับมา…”


 


 


เมื่อเล่าถึงตรงนี้ แม่ทัพหลี่ก้มลงโขกหัวอย่างแรง “แต่ฝ่าบาท พวกเขาหนีกลับมาแล้ว กระหม่อมก็จบสิ้นแล้ว เมื่อกระหม่อมกลับไปชายแดน มีโทษฐานทำภารกิจไม่สำเร็จ องค์ชายสี่ต้องมิปล่อยกระหม่อมแน่”


 


 


แม่ทัพหลี่เอ่ยไปก็ร่ำไห้ออกมา


 


 


สีพระพักตร์ฮ่องเต้คล้ำลง


 


 


ไม่ช้าสายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ตกอยู่ที่กระบี่พระราชทานที่เอวแม่ทัพหลี่ แววพระเนตรเย็นเยียบ จ้องกระบี่เล่มนั้น ตรัสถามว่า “นั่นคืออะไร”


 


 


คำถามนี้กลับเตือนแม่ทัพหลี่ขึ้นมา


 


 


เขาไม่เอ่ยมากความ ปลดกระบี่พระราชทานซ่างฟางออก เทินขึ้นเหนือศรีษะ จากนั้นโขกหัวให้ฮ่องเต้อีกครั้ง


 


 


ใบหน้าเศร้าโศก “ฝ่าบาท นี่คือกระบี่ที่ท่านผู้ตรวจการทหารนำไปยังชายแดน แต่องค์ชายสี่มอบกระบี่เล่มนี้ให้กระหม่อมต่อหน้าทุกคน สั่งให้กระหม่อมสังหารท่านหญิงให้ได้ กระหม่อม กระหม่อมไร้กำลังไม่อาจขัดขืน”


 


 


คราวนี้พระพักตร์ของฮ่องเต้ยิ่งไม่น่ามองเข้าไปอีก


 


 


พระองค์กำหมัดแน่น ทุบลงบนโตะ คล้ายกับกัดฟันตรัสว่า “ความหมายของเจ้าคือ ผู้ตรวจการทหารที่ข้าส่งไป ก็ถูกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้ แม้กระทั่งกระบี่พระราชทานที่ข้าประทานไป สามารถตัดหัวได้ก่อนค่อยรายงานยังถูกเขาเอามามอบให้เจ้าด้วย”


 


 


 “เป็น…เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลี่เอ่ยตัวความตัวสั่น


 


 


ในใจรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ยินดีฟังคำเหล่านี้


 


 


แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ความจริงคือยิ่งฝ่าบาทไม่พอพระทัยในตัวองค์ชายสี่ ตัวเขาถึงยิ่งมีโอกาสรักษาชีวิต


 


 


เป็นดั่งคาด เมื่อฮ่องเต้ฟังคำนี้ก็บันดาลโทสะเกินเปรียบ ลุกขึ้นทุบหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง กัดฟันตรัสว่า “เจ้าลูกทรพี”


 


 


สิ่งที่ตามเสียงมาคือ ฮ่องเต้คล้ายจะหายใจไม่ออก ตัวสั่นทั่วทั้งร่าง ไอออกมาอย่างรุนแรง


 


 



 


 


หัวหน้าขันทีรีบยื่นมือออกมา ช่วยประคอง “ฝ่าบาท ทรงสงบพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ อย่าได้เกิดโทสะ ถนอมพระวรกายด้วย” 


 


 


เฮ้อ ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่ผู้นี้เกิดมาเพื่อกำราบฝ่าบาทหรือไร หากเป็นเช่นนี้อีกหลายครั้ง เขาสงสัยว่าฝ่าบาทจะถูกองค์ชายสี่ทำให้โมโหตาย


 


 


ฮ่องเต้สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง ทุบหมัดลงโต๊ะโดยแรงหลายครั้ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยปาก “เจ้าสารเลว เจ้าสารเลวนี่ ไร้กฎไร้ระเบียบเกินไปแล้ว”


 


 


 “ฝ่าบาท” หัวหน้าขันทีรีบเกลี้ยกล่อม


 


 


ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ถึงสงบลง


 


 


คนทั้งร่างคล้ายหมดอาลัย พระองค์นั่งลงบนบัลลังก์ สีหน้าขมขื่น จ้องแม่ทัพหลี่ ไม่ตรัสอีก


 


 


คราวนี้แม่ทัพรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ ไม่รู้ฝ่าบาททรงคิดอะไร ไม่รู้ว่าวันนี้ชีวิตน้อยๆ ของตนจะรักษาได้หรือไม่


 


 


ผ่านไปสักพัก


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองแม่ทัพหลี่ ถามว่า “ยามนี้การณ์ศึกกับต้ามั่วเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม่ทัพหลี่ยิ่งตัวสั่นเหมือนซึ้งที่กำลังเดือดพล่าน


 


 


เขาไม่กล้าเงยหน้ามองฮ่องเต้สักน้อย ก้มศีรษะของตนให้ต่ำที่สุด เอ่ยปากตอบว่า “ทูลฝ่าบาท องค์ชายสี่เขา มอบตราพยัคฆ์ให้สตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเอ่ยว่า เขาชอบสตรีนางนั้นมาก ยกเรื่องศึกทั้งหมดให้กับนาง ซ้ำยังบอกว่า…”


 


 


เมื่อฮ่องฟังถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าโมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว


 


 


พระองค์กัดฟันแน่ “ยังพูดอะไรอีก”


 


 


 “ยังบอกว่า…” แม่ทัพหลี่สะอื้น “ยังบอกว่าพระองค์มอบตราพยัคฆ์ให้องค์ชายสี่ ก็เพราะทรงเชื่อมั่นในตัวองค์ชายสี่ องค์ชายสี่มอบตราพยัคฆ์ให้สตรีนางนั้น ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวนาง ดังนั้นก็แสดงว่าพระองค์ก็ทรงเชื่อมั่นในตัวสตรีนางนั้นด้วย บอกว่าทุกอย่างล้วนเป็นพระประสงค์ของพระองค์”

 

 

 


ตอนที่ 102

 

ตอนที่ 102 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (5)

 


 


 


“เขา…” หลังจากฮ่องเต้ฟังถึงตรงนี้ แทบจะโมโหจนสลบไป


 


 


พระองค์ลุกขึ้นด้วยโทสะอีกครั้ง ในขณะที่ลุกขึ้นนั้น พระองค์กลับทรุดลงนั่งที่บัลลังก์อย่างแรงเมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหากยังฟังข่าวที่กระตุ้นโทสะมากไปกว่านี้พานจะประชวรแล้ว


 


 


หัวหน้าขันทีถลึงตาใส่แม่ทัพหลี่อย่างดุร้ายทีหนึ่ง ใช้สายตาบอกว่าไม่ต้องพูดอีกแล้ว


 


 


จากนั้นก็รีบรินชาให้ฮ่องเต้ โน้มน้าวว่า “ฝ่าบาททรงคลายโทสะก่อน เสวยชาพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็ต้องถนอมพระวรกายเอาไว้ พระพลานามัยของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญมากนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เขากังวลจริงๆ องค์ชายสี่ทำกับฝ่าบาทเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทจะบันดาลโทสะจนสวรรคต


 


 


ตัวเองเป็นถึงหัวหน้าขันที เห็นฮ่องเต้มาจนถึงวัยกลางคน คิดว่าพระองค์ไม่มีทางสวรรคตอย่างกะทันหัน ดังนั้นเขายังไม่ได้หาเจ้านายใหม่ เพื่อรักษาตำแหน่งหัวหน้าขันทีของตนไว้


 


 


ฮ่องเต้ทรงสูดลมหายใจลึก ในที่สุดก็ตระหนักได้ หากพระองค์ยังคงโมโหโทโสเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าร่างกายจะทนไม่ไหว อีกอย่างเจ้าลูกทรพีก็มิได้ทำให้พระองค์โมโหมาแค่ครั้งสองครั้งวันสองวันนี้แล้ว


 


 


ดังนั้นพระองค์ปิดพระเนตรลง


 


 


สงบนิ่งชั่วครู่…


 


 


ผ่านไปสักพัก ในที่สุดฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าลมหายใจสงบลง มองแม่ทัพหลี่ผู้นั้น ตรัสว่า “สตรีนางนั้น มีความสามารถเช่นไร”


 


 


ไม่ว่าจะโมโหเพียงใด ฮ่องเต้ก็เข้าใจชัดเจนว่า มีเรื่องหนึ่งที่พระองค์จำต้องใส่ใจ


 


 


นั่นก็คือทัพใหญ่ทหารสองแสนนายของพระองค์อยู่ในมือของสตรีนางนั้น พระองค์สามารถไม่ใส่ใจความเป็นตายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน บังคับตนให้ไม่ใส่ใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะกระทำเรื่องผีสางอันใด แต่พระองค์มิอาจไม่ใส่ใจชีวิตของทหารสองแสนนาย


 


 


 “คือ…” แม่ทัพหลี่ลังเล


 


 


จากนั้นรายงานว่า “เรื่องความสามารถของสตรีนางนั้น กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรเอ่ยอย่างไร แต่ที่ยืนยันได้คือ นางมีวรยุทธ์สูงส่ง บางทีผู้คุ้มกันทั้งสองของจวินซ่างยังมิอาจเป็นคู่มือของนางได้”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แม่ทัพหลี่พยักหน้า ทั้งเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างหนักแน่นและมั่นใจ “ไม่ สมควรบอกว่า ผู้คุ้มกันทั้งสองของจวินซ่างร่วมมือกันเกรงว่ายังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้นางได้ ฝีมือของนางสามารถบีบให้เตี้ยนเซี่ยถอยร่น ครั้งก่อนยามประมือกันสามกระบวนท่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ”


 


 


จวินซ่าง ย่อมหมายถึงเสินเนี่ยเทียน


 


 


ส่วนผู้คุ้มกันทั้งสองของเสินเนี่ยเทียน ความจริงแล้วก็คือคำเรียกขานที่คนภายนอกยกย่องสองคนนั้น แต่พวกเขาก็เป็นคนสนิทของจวินซ่างอย่างมิต้องสงสัย คนหนึ่งก็คือเป่ยเจี้ยนเกอ อีกคนหนึ่ง…พวกเขายังไม่เคยพบมาก่อน


 


 


คราวนี้ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์แตกตื่น เยือกเย็นมากขึ้น มองแม่ทัพหลี่ “ความหมายของเจ้าคือ ความสามารถของสตรีนางนั้น นับว่าใช้ได้แล้วหรือ”


 


 


หัวหน้าขันทีรีบก้าวมาด้านข้าง “ถูกแล้ว ฝ่าบาทท่านก็ได้ฟังแล้ว องค์ชายสี่ถึงจะไม่เชื่อฟัง แต่ว่าทำเรื่องอะไรก็ยังรู้จักขอบเขต ต่อให้มอบตราพยัคฆ์ให้สตรีนางนั้น นางก็ย่อมมีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”


 


 


คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายใจลงไปได้ไม่น้อย


 


 


พระองค์สูดลมหายใจลึก พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ สีพระพักตร์คล้ำเขียวก็ดีขึ้นมากแล้ว


 


 


แม่ทัพหลี่แอบลอบมองฮ่องเต้ด้วยความระวังทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสริม “คือว่า…ฝ่าบาทสตรีนางนั้นคือคนที่ทำร้ายท่านหญิงจนเป็นเช่นนั้น คือสตรีที่ฮองเฮามีราชเสาวนีย์ให้ทหารจับตัวนาง ไม่เพียงเท่านี้…”


 


 


แม่ทัพหลี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “นางยังก่อคดีคร่าชีวิตคน บุกอาละวาดศาลาว่าการชายแดน ทำร้ายนายอำเภอและฮูหยินเสียสารรูปแทบไม่เหมือนคน อืม…ยามนี้นายอำเภอถูกเตี้ยนเซี่ยปลดแล้ว ทั้งยังทำตามคำเสนอของแม่นางท่านนั้น เชิญอาจารย์มาสั่งสอนนายอำเภอกับฮูหยินทุกวัน”


 


 


 “แค่ก…” ฮ่องเต้ไอออกมาเสียงดัง


 


 


สีหน้าคล้ำที่สงบลงอย่างยากลำบากเมื่อครู่ เสี้ยวเวลานี้กลับโมโหจนแดงก่ำ ทอดพระเนตรมองแม่ทัพหลี่อย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ”


 


 


หัวหน้าขันทีกระตุกมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่


 


 


ระหว่างสตรีเกิดความหึงหวง สตรีนางนั้นทำร้ายท่านหญิง ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ยามที่สตรีนางนั้นกล้าหาญทำร้ายท่านหญิง เรื่องพวกนี้เขายังฝืนเข้าใจได้ แต่ว่า…


 


 


สังหารคนไปหลายคน ซ้ำยังไปอาละวาดที่ศาลาว่าการอำเภอ


 


 


นี่เมื่อฟังแล้ว คล้ายกับถึงขั้นไร้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เมื่อเทียบขั้นกับเตี้ยนเซี่ยแล้วก็ไม่ต้องดีไปกว่ากันเท่าไหร่นักเลย


 


 


แม่ทัพหลี่หน้าเศร้าสลด “คำพูดของกระหม่อม ไม่มีคำไหนเป็นเท็จ ทุกคำล้วนเป็นความจริง สตรีนางนั้นร้ายกาจเช่นนี้ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังไล่สังหารคนไปถึงค่ายทหารต้ามั่ว ฆ่าลูกชายนายอำเภอต่อหน้าทหารทุกคน อีกทั้งเตี้ยนเซี่ยยังรับนางกลับมาโดยไร้บาดแผล”


 


 


 “อ้อ” สีพระพักตร์แดงก่ำด้วยโทสะเมื่อครู่ของฮ่องเต้ ยามนี้ค่อยๆ สงบลงแล้ว


 


 


เวลานี้พระองค์ไม่อยากยุ่งเรื่องของนายอำเภออีก ทั้งยังรู้สึกจากเบื้องลึกว่าพระองค์ไม่มีพลังมากพอไปใส่ใจเรื่องมากมายพวกนี้แล้ว…


 


 


ยามนี้ที่พระองค์เป็นห่วงก็คือการศึกระหว่างต้ามั่ว ในอนาคตจะดำเนินไปในทิศทางใด


 


 


เขามองแม่ทัพหลี่ เอ่ยปากถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ สตรีนางนั้นสามารถบุกค่ายทหารศัตรูสังหารคน แล้วยังกลับมาได้โดยไม่บาดเจ็บสักน้อย”


 


 


หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ อย่างน้อยก็บอกได้ว่าสตรีนางนั้นเป็นศัตรูกับต้ามั่ว


 


 


อีกทั้งยังมีความสามารถเช่นนี้…


 


 


บุกเข้าค่ายทหารศัตรูไปสังหารคน แล้วยังกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ในใต้หล้ามีสักกี่คนที่ทำได้


 


 


หากมิใช่ยอดฝีมือเร้นกาย โดยปกติแล้วไม่น่าเป็นไปได้


 


 


แม่ทัพหลี่พยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


คราวนี้ ฮ่องเต้ค่อยสบายใจ “อย่างนั้นก็ดี พิสูจน์ว่าเจ้าลูกทรพีสุดท้ายก็ยังมีขอบเขตบ้าง ส่วนสตรีนางนี้ก็มีความสามารถที่แท้จริง”


 


 


ทว่ายามนี้ฮ่องเต้ก็อยากกรรแสงออกมาเช่นกัน


 


 


ในเวลาไม่นาน จิตใจของพระองค์คล้ายกับนั่งรถม้าขึ้นเขาก็ไม่ปาน ประเดี๋ยวก็ขึ้นสูง ประเดี๋ยวตกลงต่ำ ประเดี๋ยวอยากกระอักเลือด ประเดี๋ยวก็ชื่นชม


 


 


พระองค์มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เกี่ยวกับ…


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นปัญหาทางใจของพระองค์คนแรก ในไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็จะกลายเป็นปัญหาในใจของพระองค์คนที่สอง


 


 


ในยามนี้เอง


 


 


ขุนนางผู้หนึ่งเดินเข้าท้องพระโรง เอ่ยปากรายงานว่า “ฝ่าบาท แม่ทัพซือถูและท่านหญิงขอเข้าเฝ้า ทั้งยังมีกั๋วจั้ง[1]และท่านเสนาบดีก็มาแล้ว บอกว่าต้องการให้พระองค์ช่วยมอบความเป็นธรรม ลงโทษองค์ชายสี่กับสตรีที่เรียกว่า…เรียก…เรียกว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้นสถานหนัก”


 


 


   ……


 


 


ชายแดนเป่ยเฉิน


 


 


คนทั้งสองนั้นกำลังประมือกันบนหอสังเกตการณ์


 


 


ทหารทั้งหลายมองป่าไม้รอบๆ ที่แต่เดิมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ มองต้นไม้ในระยะหลายร้อยเมตรล้มระนาว


 


 


บนพื้นยังมีร่องรอยไหม้สีดำ นั่นเกิดจากเปลวเพลิงที่เกิดจากกำลังภายในเผาไหม้


 


 


พวกเขาได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาตลอดชั่วชีวิต การต่อสู้ด้วยกำลังภายในราวกับสงครามระหว่างเทพ ทว่าจิตใจในยามนี้รู้สึกคล้ายอยู่ในฝัน


 


 


มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ หลายครั้งหลายคราที่พวกเขาคิดว่าเตี้ยนเซี่ยจะตายหรือไม่ อีกเดี๋ยวก็กังวลว่าเสี่ยวจิ่วจะถูกกำจัด


 


 


ส่วนคนทั้งสองนั้น ต่อยตีกันถึงยามนี้ ในที่สุดก็ดำเนินมาถึงฉากจบ


 


 


คนทั้งสองประสานสายตา ไม่ช้าคมกระบี่วาบวูบ ไอสังหารปรากฏ กระบวนท่าไม้ตายปรากฏขึ้น


 


 


 


 


[1] พ่อตาฮ่องเต้

 

 

 


ตอนที่ 103

 

ตอนที่ 103 เยี่ยนจอมเจ้าเล่ห์ตั้งใจแสดงละคร (1)

 


 


 


 


อากาศทั่วทั้งสี่ทิศเริ่มสั่นสะเทือน  


 


 


แม่ทัพและเหล่าทหารอยู่ในอารามสงสัยว่าจะเกิดแผ่นดินไหวใช่ จนกระทั่งพวกเขาตัวสั่นหวาดกลัว คิดเพียงหนีออกจากสนามรบแห่งนี้โดยพลัน 


 


 


แม้กระทั่งเยี่ยเม่ยที่เพิ่งหลับไปเมื่อครู่ก็ถูกแรงสั่นสะเทือนรุนแรงนี้ปลุกขึ้น 


 


 


จากมุมมองของคนในยุคปัจจุบันอย่างนางก็คิดว่าด้านนอกเกิดแผ่นดินไหวเช่นเดียวกัน 


 


 


นางยังไม่ทันคิดว่าตัวเองสมควรรีบหนีเอาชีวิตรอดดีหรือไม่ 


 


 


ด้านนอกพลันเกิดเสียง “ปัง” ดังสนั่น 


 


 


จากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบ 


 


 


อากาศสงบลงแล้ว พื้นแผ่นดินก็ไม่สั่นไหวอีก เยี่ยเม่ยใคร่ครวญอยู่หลายวินาที ในฐานะที่ตนเป็นผู้นำทัพใหญ่ หากเกิดแผ่นดินไหวจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มีใครมารายงานนางหรอกกระมัง 


 


 


ด้วยเหตุนี้นางจึงปล่อยใจสบาย หลังจากที่พื้นดินสงบลงแล้ว “พรึบ” ตัวนางก็มุดกลับเข้าที่นอน หลับตาเข้าสู่นิทรารมณ์ 


 


 


แผ่นฟ้าผืนดินกว้างใหญ่ การนอนเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด 


 


 


   …… 


 


 


ส่วนบนกำแพงเมือง คนทั้งสองประมือกัน ทำให้พื้นที่ในรัศมีหลายลี้เกิดดินหินแตกกระจายเป็นฝุ่นตลบ พื้นดินแตกระแหง 


 


 


ทว่ากำแพงเมืองกลับไม่เสียหายเลยสักกะผีกริ้น 


 


 


บุรุษสองคนยืนประจันกันอยู่บนกำแพง 


 


 


  ผมดำขลับปอยหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ ไม่รู้ว่าผมของใครขาดแล้ว 


 


 


    


 


 


ก็ถูกแล้ว ต่อให้บรรดาทหารและแม่ทัพทั้งหลายห้อมล้อมชมดูอยู่ แต่ความเร็วในการต่อสู้ของคนทั้งสองไวเกินไป ใครก็มองไม่ชัด สรุปผมปอยนี้เป็นของใครกันแน่ 


 


 


จงรั่วปิงและซินเยว่เยี่ยนเป็นยอดฝีมือแห่งยุค ยามนี้ยังชะงักงันไปเช่นกัน เริ่มสงสัยว่าตนเป็นยอดฝีมือจอมปลอมอีกครั้ง  


 


 


หลังจากบรรยากาศนิ่งสงบลงสักพัก 


 


 


สายตาคนทั้งหมดมองกันไปมองกันมา ในที่สุดเมื่อมองจากสีหน้าของจิ่วหุน ก็ดูออกว่าใครแพ้ใครชนะ 


 


 


จิ่วหุนมองปอยผมดำกลุ่มนั้น 


 


 


กวาดตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นัยน์ตาคล้ายมองคนตาย เผยไอสังหาร แต่เขายังเอ่ยด้วยเสียงสงบดังเดิม “ข้าแพ้แล้ว ครึ่งกระบวนท่า”  


 


 


 “ปัง…” เสียงดังขึ้น คนทั้งหมดในที่นี้พลันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา 


 


 


ความจริงตั้งแต่ต้นก็ไม่มีใครคิดว่าจิ่วหุนจะเอาชนะเตี้ยนเซี่ยได้ 


 


 


แต่ว่า… 


 


 


ใครก็คิดไม่ถึง บุรุษหนุ่มอายุเยาว์ผู้นี้ แพ้ให้กับเตี้ยนเซี่ยเพียงแค่ครึ่งกระบวนท่า หากฝึกฝนต่อไปในภายภาคหน้า ความสามารถของบุรุษหนุ่มผู้นี้คงจะไร้ขีดจำกัดแล้ว 


 


 


สายตาที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุนปรากฏแววชื่นชมไม่น้อย เขาเอ่ยช้าๆ อย่างน่าฟัง “ดูจากอายุของเจ้าแล้ว ฝีมือเช่นนี้ทำให้เยี่ยนชื่นชมนัก” 


 


 


 “ท่านเข้าใจก็ดี” จิ่วหุนมองเขาอย่างเย็นชา ในเมื่อแพ้แล้ว จิ่วหุนหาใช่คนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งมิใช่คนแพ้ไม่เป็น 


 


 


เขามองใบหน้าชวนให้คนรังกียจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เป็นครั้งแรกที่คร้านจะรังเกียจที่อีกฝ่ายตอกย้ำว่าเขาอายุเยาว์ เอ่ยเสียงเบาว่า “ภายในห้าปี ข้าไม่แพ้ท่านแน่” 


 


 


 


 


 


สำหรับยอดฝีมือระดับพวกเขาแล้ว พ่ายแพ้เพียงครึ่งกระบวนท่า อย่างน้อยก็ต้องการเวลาเจ็ดถึงแปดปีในการพัฒนาฝีมือ ส่วนที่ว่าห้าปีนั้น เขาจิ่วหุนมีความมั่นใจว่าจะทำได้ 


 


 


จิ่วหุนเอ่ยจบ ก็ไม่ใส่ใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีก หมุนกายจากไป 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเงาร่างจากไปของเขา สองมือไพล่หลัง มองส่งอีกฝ่ายเดินจากไป 


 


 


อวี้เหว่ยแอบวิ่งมาข้างกายองค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย คือว่า…ท่านไม่เข่นฆ่าให้สิ้นซากหรือ” 


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ยกล่าวแล้ว ไม่อาจเอาชีวิตเขา” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์ กลับไม่ใส่ใจ ไม่ช้าเขาก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าก็เห็นสถานการณ์แล้ว เจ้าเด็กนี่ฝีมือไม่ธรรมดา หากคิดเอาชีวิตเขา ไม่สู้กันเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเกรงว่าจะทำไม่ได้” 


 


 


ระหว่างเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เยี่ยเม่ยจะต้องตื่นแล้วอย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ฟังคำพูดของนางเลยสักน้อย มุ่งมั่นเอาชีวิตเจ้าหนุ่มนี่ ถึงเวลานี้ยากรับรองว่านางจะมองเขาอย่างไร 


 


 


 “แต่…” นี่หาใช่คำถามที่อวี้เหว่ยใส่ใจที่สุด 


 


 


คำถามที่อวี้เหว่ยใส่ใจมากที่สุด ความจริงแล้วคือ “เตี้ยนเซี่ย คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าหนุ่มนั่น ท่านก็ได้ยินแล้ว ภายในห้าปีเขาจะเอาชนะท่านให้ได้ เวลานี้ท่านไม่กำจัดเขาให้สิ้นซาก ห้าปีให้หลังท่านจะมีอันตราย” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กวาดตามองอวี้เหว่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก ถามค่อยเป็นค่อยไปว่า “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ ภายในห้าปีนี้เขาพัฒนาฝีมือ ส่วนเยี่ยนก็จะตายอย่างนั้นหรือ ดังนั้นไม่อาจหยุดอยู่ที่เดิม รอให้คนมาฆ่าแล้ว” 


 


 


อวี้เหว่ย “อ้อ…” 


 


 


ยามนี้เขาเข้าใจแล้ว 


 


 


จริงด้วย ห้าปีผ่านไปจิ่วหุนสามารถพัฒนาวิชายุทธ์ได้ เตี้ยนเซี่ยก็ทำได้เช่นกัน 


 


 


ในชั่วขณะที่อวี้เหว่ยเข้าใจนั้นเอง 


 


 


นัยน์ตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏรอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายมีความสง่างามและเจ้าเล่ห์ เอ่ยว่า “ยามนี้เยี่ยนเอาชนะเขาได้ครึ่งกระบวนท่า ภายหลังห้าปี เยี่ยนจะเอาชนะเขาให้ได้สองกระบวนท่า” 


 


 


นั่นก็เท่ากับเอาชนะได้มากกว่าวันนี้กระบวนท่าครึ่ง ระดับยอดฝีมืออย่างพวกเขา กระบวนท่าเพิ่มเป็นหนึ่งกระบวนท่าครึ่ง เกรงว่าต้องใช้เวลายี่สิบปีถึงจะทำสำเร็จ เขาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ใช่เวลาห้าปีก็เพียงพอแล้ว  


 


 


อวี้เหว่ย “…” 


 


 


ก็ได้ เขาเข้าใจแล้ว 


 


 


คนทั้งสองนับว่าเป็นปรปักษ์กันแล้ว วันนี้ต่อยตีกันจนฝุ่นตลบดินกระจาย เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตรไม่พอใจยังไม่พอ ยังเอ่ยพ่นวาจาท้าทายถึงเรื่องอีกห้าปีข้างหน้า 


 


 


ต่างก็เตรียมเป็นศัตรูกันชั่วชีวิตแล้วใช่หรือเปล่า 


 


 


…. 


 


 


อวี้เหว่ยคิดแล้วก็ลูบหัวเหนื่อยแทนคนทั้งสอง… 


 


 


ส่วนในเวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองเขา เสนอความเห็นด้วยเสียงอ่อนโยน “อวี้เหว่ย อย่าคิดในใจเยอะเกินไป เจ้าจะเหนื่อยเอง” 


 


 


อวี้เหว่ย “…” ความคิดในใจช่วงนี้ยังถูกดูออกด้วยเหรอ 


 


 


เขาสีหน้าเฉยชา “เตี้ยนเซี่ย ท่านต้องเชื่อข้าน้อยนะ ครุ่นคิดอยู่ในใจบ่อยๆ ข้าน้อยจะต้องเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน” 


 


 


แม่ทัพและทหารด้านล่าง มองฉากนี้อยู่นาน ยังไม่ได้สติกลับมา 


 


 


ห้าปีให้หลังคนทั้งสองจะเป็นดั่งคำพูดของพวกตน เอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ หรือชนะอีกฝ่ายสองกระบวนท่า เรื่องนี้พวกเขาไม่รู้แล้ว 


 


 


แต่ว่าวันนี้… 


 


 


ความสามารถของคนทั้งสอง พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว 


 


 


เป็นการเปิดโลกกว้างให้พวกเขาโดยแท้จริง 


 


 


อวี้เหว่ยมององค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย วันนี้ท่านเอาชนะเขาได้ ท่านว่าภายหน้าเขายังจะเป็นปรปักษ์กับท่านอีกเหรอ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป เอ่ยปากอย่างช้าๆ “ยามที่ชักดาบออกจากฝัก เขาก็ยังต้องชัก” 


 


 


จิ่วหุนผู้นั้น สำหรับเขาแล้วยังสงสัยว่าในโลกของอีกฝ่าย ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนใช้ดาบในการแก้ไขใช่หรือไม่ 


 


 


อวี้เหว่ย “อ้อ” ดังนั้นพวกท่านวันนี้ต่อยตีกัน ก็ไม่อาจทำให้พวกท่านพักรบได้สินะ 


 


 


ในขณะที่อวี้เหว่ยถอนใจ  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองทหารด้านล่าง น้ำเสียงน่าฟัง ค่อยๆ เอ่ยว่า ”วันนี้ได้ทำศึกกับเสี่ยวจิ่ว เยี่ยนพ่ายแพ้แล้ว พวกเจ้าเข้าใจหรือเปล่า” 


 


 


เหล่าทหาร “เอ๋?” 


 


 


คนทั้งหมดอ้าปากกว้าง มองเตี้ยนเซี่ยอย่างไม่อยากเชื่อสายตา 


 


 


ไม่ใช่ชนะแล้วเหรอไง 


 


 


หรือว่าแพ้แล้วถึงจะเป็นเกียรติยศ ดังนั้นเตี้ยนเซี่ยจึงเตรียมตัวโกหก 


 


 


ในขณะที่ทุกคนอยู่ในความมึนงง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็อธิบายต่อว่า “เดิมศึกนี้ เยี่ยนเอาชนะได้ แต่เพราะฟังคำของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่อาจเอาชีวิตเสี่ยวจิ่ว ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเองเยี่ยนถึงได้ยอมถอยให้ ไม่เอาชีวิตเสี่ยวจิ่ว แต่เยี่ยนก็รับบาดเจ็บภายในไม่เบา” 


 


 


เหล่าทหาร “…” นี่…นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน 


 


 


เตี้ยนเซี่ยกำลังเล่านิทานหรอกหรือ 


 


 


ทำไมพวกเขาถึงไม่เห็นอะไรเลย 


 


 


นับว่าเซียวเยว่ชิงตอบสนองได้ไวที่สุด เขาเอ่ยปากย้อนถามกลับเป็นคนแรก“เตี้ยนเซี่ย คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร ไฉนข้าน้อยถึงฟังไม่เข้าใจเลย” 


 


 


หลังจากสิ้นเสียง เซียวเยว่ชิงก็รีบปิดปากตัวเอง  


 


 


เป็นครั้งแรกในที่ชีวิตที่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ไวเช่นนี้ คราวนี้ก็ดีเลยตอบสนองได้ไวเกิน ยังไม่ดูให้ดีเสียก่อนว่าเตี้ยนเซี่ยมีนิสัยอย่างไร คงจะไม่จัดการเขาหรือกลั่นแกล้งจนตายหรอกนะ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดสายตามองเขา จากนั้นก็มีพวกทหารที่อยู่ในความตกตะลึง เขาถอนหายใจ ต่อให้ถอนหายใจ ท่วงท่าก็ยังคงดูงดงาม 


 


 


ถัดมาเขาเอ่ยว่า “ให้แม่นางเยี่ยเม่ยได้ยินคำตอบนี้เท่านั้น พวกเจ้าเข้าใจไหม” 


 


 


 “เอ๋?” ยังมีทหารบางคนไม่เข้าใจ 


 


 


แต่ว่าอวี้เหว่ย เซียวเยว่ชิง หลูเซียงฮั่ว ทั้งยังมีสตรีที่อยู่ไกลออกไปสามนาง หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งล้วนเข้าใจแล้ว 


 


 


มุมปากอวี้เหว่ยกระตุก อดมองเตี้ยนเซี่ยไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย เมื่อครู่ท่านกำชับไม่ให้ข้าน้อยเล่นละครมากเกินไปหรอกหรือ ตอนนี้ดูแล้ว ท่านต่างหากถึงเป็นพวกนักแสดงยอดเยี่ยม” 


 


 


นี่เขาคิดจะทำอะไรกัน 


 


 


ไปหาแม่นางเยี่ยเม่ยแสร้งทำเป็นบาดเจ็บ เพื่อขอความเห็นใจ แล้วยังบอกว่าเพราะคำพูดของแม่นางเยี่ยเม่ยถึงได้ยอมถอย เพื่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยซาบซึ้ง 


 


 


สำหรับคำวิจารณ์ของอวี้เหว่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใส่ใจเลยสักนิด 


 


 


พวกเซียวเยว่ชิง รีบผงกหัว “ขอรับ เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” 


 


 


หลังศีรษะของพวกเขามีเหงื่อเย็นเยียบผุดพราย 


 


 


….. 


 


 


นาทีถัดมา สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดมองสตรีที่ห่างออกไปทั้งสาม สายตานั้นทำให้พวกนางทั้งสามตื่นตัว 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเชิดหน้า เหงื่อเย็นเยียบไหลออกมา นางเป็นคนแรกที่เอ่ยปาก “องค์ชายสี่วางใจได้ พวกเราไม่พูดมาก พวกเรารู้ดีว่าคำพูดสำคัญแค่ไหน” 


 


 


  ซินเยว่เยี่ยนรีบพยักหน้ารัวแรง แสดงออกว่าตนก็เป็นคนรักชีวิต 

 

 

 


ตอนที่ 104

 

ตอนที่ 104 เยี่ยนจอมเจ้าเล่ห์ตั้งใจแสดงละคร (2)

 


 


 


จงรั่วปิงสีหน้าแข็งทื่อ ค่อยๆ ผงกหัวอย่างมึนงง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงได้ถอนสายตากลับด้วยความพอใจ จู่ๆ เขาก็ยื่นมาออกมากุมหน้าอกตัวเอง สีหน้าเจ็บปวดเอ่ยว่า “กระบวนท่านี้ของเสี่ยวจิ่ว ลงมือหนักจริงๆ”


 


 


คนทั้งหมด “…” พวกเราจะดูท่านแสดงละครอย่างเงียบๆ


 


 


อวี้เหว่ยในฐานะตัวประกอบยอดเยี่ยม ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็พุ่งเข้าไปพยุงองค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย ในเมื่อท่านได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องระวังไว้หน่อย ยามนี้พวกเราไปหาแม่นางเยี่ยเม่ยหรือไม่”


 


 


 “ไม่จำเป็น” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะ เขาดูเหมือนลมหายใจรวยริน ค่อยๆ อธิบายว่า “นางเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เยี่ยนไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของนาง เยี่ยนกลับไปพักรักษาตัวเองก่อน”


 


 


คนทั้งหมดจนคำพูด ผู้ชมหลักไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ต้องเข้าถึงบทบาทขนาดนี้ก็ได้กระมัง


 


 


เซียวเยว่ชิงกระซิบกระซาบข้างหูหลูเซียงฮั่ว “เจ้าว่า ครั้งนี้เตี้ยนเซี่ยแสดงละครได้สมบทบาทหรือไม่”


 


 


นักแสดงที่เคารพในวิชาชีพเช่นนี้ เกรงว่าจะหาได้ยากยิ่ง


 


 


หลูเซียงฮั่วมองบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไป เตี้ยนเซี่ยของเขาสงบมาก ดูคล้ายจะบาดเจ็บสาหัสจริงๆ การแสดงยอดเยี่ยมไหลลื่นคล่องแคล่วดูไม่ออกว่าเป็นการแสดงเลยสักนิด


 


 


หลูเซียงฮั่วพยักหน้า “น่าจะใช่”


 


 


อวี้เหว่ยเหงื่อเม็ดโป้งซึมออกมาจากหน้าผาก พยุงองค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย อย่างนั้นข้าน้อยพยุงท่านกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่”


 


 


เตี้ยนเซี่ยช่างชวนให้คนซาบซึ้งนักเชียว


 


 


เขายังรู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของเตี้ยนเซี่ย เพราะเชื่อฟังคำของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ หลังจากบาดเจ็บแล้วยังไม่คิดรบกวนการพักผ่อนของแม่นางเยี่ยเม่ย แต่เลือกที่พักรักษาตัวเงียบๆ คนเดียว ช่างน่าซาบซึ้งนัก


 


 


เหอะ


 


 


ตัดผมจิ่วหุนออกไปปอยนึงแล้ว ท่านยังแสดงละครกดขี่คนแบบนี้ เตี้ยนเซี่ยจิตใจอันดีงามของท่านไม่เจ็บปวดบ้างหรืออย่างไร


 


 


แน่นอนว่าจิตใจอันดีงามของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางเจ็บปวด อย่างไรเสียคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ในสายตาคนทั่วหล้าอย่างเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เข้าใจว่าจิตใจอันดีงามคืออะไร


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันหน้ามองคนใต้กำแพงเมืองทั้งหมด เตือนเสียงเย็นชาว่า “คำสั่งของเยี่ยนเมื่อครู่  พวกเจ้าจดจำได้ชัดเจนแล้วหรือยัง”


 


 


 “จำ…จำได้แล้ว” พวกเขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วตอบรับว่าเข้าใจความหมายแล้ว


 


 


ส่วนพวกที่ไม่เข้าใจความหมายของเขาก็พยักหน้าอย่างคลุ้มคลั่งเป็นการกลบเกลื่อน แสดงออกว่าตนจะเชื่อฟังคำสั่งขององค์ชายสี่ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้บิดามารดาที่บ้านเกิดไม่อาจได้พบลูกที่สดใสร่าเริงน่ารักไร้เดียงสาอย่างพวกเขาช่วยเหลือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่แกล้งบาดเจ็บสาหัส…


 


 


แต่ว่าทุกคนต่างก็เห็นใจเสี่ยวจิ่ว ทั้งๆ ที่พ่ายแพ้ต่อหน้าคนทั้งหมด ยังถูกเตี้ยนเซี่ยจอมเจ้าเล่ห์วางแผนเล่นงานอีก


 


 


คนทั้งหมดต่างก็เบิกตากว้างพูดคำลวง เตรียมตัวหลอกเยี่ยเม่ย


 


 


พวกเขาเห็นใจเสี่ยวจิ่วจริงๆ…


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาจะมีความเห็นใจให้ศัตรูหัวใจได้อย่างไร


 


 


เขาถอนสายตากลับด้วยความพึงพอใจ เอ่ยปากอย่างแช่มช้าน่าฟังว่า “อำนาจและความสามารถเป็นสิ่งที่รับประกันการใช้มือเดียวค้ำฟ้า[1]ได้ดีที่สุด ความต้องการอย่างแรกของคนทั้งหลายก็คือ มีชีวิตต่อไปให้ดี ลำดับต่อไปถึงมีแรงมากพอไปปกป้องอุดมการณ์ความคิด”


 


 


อย่างตอนนี้เป็นต้น คนทั้งหมดต่างก็รู้ว่าเป็นคำโกหก แต่ว่าในยามที่ยากจะรักษาชีวิต หลักการเหตุผลคืออะไรกัน พวกเขาก็ไม่เข้าใจแล้ว รักษาชีวิตน้อยๆ ของตนก่อนค่อยว่ากัน


 


 


หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยจบ ชุดยาวก็พลิ้วผ่านไป เขาก้าวเท้าเดินออกอย่าง ‘ยากลำบาก’ ภายใต้การ ‘ประคอง’ ของอวี้เหว่ย


 


 


พวกซือหม่าหรุ่ยที่อยู่ด้านล่าง ได้ฟังคำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ถอนหายใจออกมา


 


 


ความคิดของสตรีย่อมละเอียดกว่าพวกบุรุษมากนัก


 


 


ซือหม่าหรุ่ยที่มีประสบการณ์มากที่สุด เอ่ยเบาๆ ว่า “พลังและอำนาจ เป็นหลักประกันในการใช้มือเดียวคำฟ้า…ดูเหมือนเขาจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เห็นแล้วแล้วว่าใต้หล้านี้มีสิ่งที่อำมหิตเย็นชามากมายแค่ไหน” 


 


 


 “แต่เขาก็เข้าใจว่า ความแข็งแกร่งของตัวเองถึงเป็นหลักประกันทุกเรื่องที่ตัวเองสินใจได้” จงรั่วปิงวิจารณ์


 


 


ซินเยว่เยี่ยนสรุปว่า “คนอย่างเขา ไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่”


 


 


ความโชคร้ายของเขาก็คือเขาเข้าใจโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่งก่อนคนมากมาย มองเห็นความโหดร้ายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังความสูงศักดิ์ เข้าใจว่าคุณธรรมทั้งหลาย หลักการทั้งหลาย ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น


 


 


ส่วนที่โชคดีก็คือ ในขณะที่เขามองสิ่งเหล่านี้ออก ในนาทีนั้นเขาก็เป็นผู้กุมชะตาชีวิตตัวเอง จนถึงกระทั่งใช้ความสามารถอันแข็งแกร่งควบคุมความคิดและชะตาชีวิตผู้อื่น ใช้มือเดียวค้ำฟ้า ใช้ความคิดของเขาแทนหลักการเหตุผลทั้งหลาย


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำได้ถึงขั้นที่ว่า เขาเอ่ยอะไรก็คือสิ่งนั้น ต่อให้เขาโกหก ก็ยังทำให้คนหลายแสนคนร่วมมือช่วยกันโกหกต่อไป


 


 


ความสามารถเช่นนี้…


 


 


ต่อให้ไม่เป็นฮ่องเต้ ก็ทำให้ฮ่องเต้หวาดกลัวได้


 


 


คราวนี้จงรั่วปิงเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ข้าสงสัยจริงๆ ว่า เขาเคยผ่านประสบการณ์อะไรมากันแน่”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนได้ฟังคำ ทนไม่ไหวหันกลับไปมองจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งทีหนึ่ง ในเวลานี้คล้ายกับพวกนางจะคิดอะไรได้  


 


 


ไม่ช้า ซือหม่าหรุ่ยก็เอ่ยกับจงรั่วปิง “ปิงปิง พวกเราเข้าไปก่อนแล้ว เจ้าคิดหาทางเข้าเมืองเองก็แล้วกัน”


 


 


 “เอ๋?” ใบหน้าเย็นชาของจงรั่วปิงในยามนี้กลับฉายแววตกตะลึง มองซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกระแอมไอ อธิบายว่า “เรื่องเป็นอย่างนี้ คือว่า…ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเรารู้สึกว่าเจ้ามีไอสังหารรุนแรงมาก คล้ายจะเข้าไปคิดบัญชีกับเยี่ยเม่ย หากเจ้าจะไปคิดบัญชีกับนางจริงๆ แล้วพวกเราพาเจ้าเข้าเมืองไป พวกเราทั้งสองจะตกอยู่ในอันตราย” 


 


 


เมื่อซือหม่าหรุ่ยเอ่ยจบ ซินเยว่เยี่ยนก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


 


ความจริงตลอดการเดินทางถึงนางกับซือหม่าหรุ่ยจะไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ทั้งสองก็แอบส่งสายตาให้กันและกันลับหลังจงรั่วปิงหลายครั้ง ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะทิ้งจงรั่วปิงเอาไว้


 


 


จงรั่วปิง “…”


 


 


สีหน้าจงรั่วปิงว่างเปล่า จ้องมองคนสองทคนที่ไร้คุณธรรม กล่าวโดยไม่อยากเชื่อว่า “ความหมายของพวกเจ้าคือ เพราะพวกเจ้าไม่อยากลำบากเพราะข้า ไม่อยากก่อเรื่อง ดังนั้นจึงทิ้งสหายเก่าแก่อย่างข้าไว้หน้าประตูเมืองโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนสบตากันต่อหน้าจงรั่วปิง 


 


 


จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้า


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกล่าวสรุปว่า “ถูกแล้ว เจ้าก็รู้ว่าวรยุทธ์ของข้าไม่ได้ดีเท่าไหร่ หากสิ่งที่เจ้าทำไปส่งผลให้พวกเขาไล่ฆ่าแล้วล่ะก็ ชีวิตของข้าก็น่าเป็นห่วงแล้ว”


 


 


จงรั่วปิงมองซินเยว่เยี่ยน 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรีบส่ายหน้าทันที “เจ้าไม่ต้องมองข้าเลย ถึง…ถึงข้าจะพอมีวรยุทธ์ดีกว่าบ้าง แต่เจ้าก็เห็นความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนแล้ว ต่อให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งลงมือ ข้าก็ไม่มีชีวิตกลับไปหมู่ตึกกูเยว่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้ายังไม่ทันพาน้องสะใภ้กลับไปเลย”


 


 


 “ดังนั้นพวกเจ้าถึงได้…” จงรั่วปิงแทบไม่เชื่อคำที่ตนได้ยิน


 


 


 “วางใจเถอะ พวกเราหาใช่คนแล้งน้ำใจ” ซือหม่าหรุ่ยรีบล้วงเงินทั้งหมดออกจากแขนเสื้อ


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็ทำเช่นเดียวกัน


 


 


จากนั้นทั้งสองคนก็โยนเงินใส่มือจงรั่วปิง มอบให้อีกฝ่าย เอ่ยว่า “เอาเงินทั้งหมดให้เจ้าแล้ว เพื่อพิสูจน์มิตรภาพของพวกเรา เรื่องอื่นพวกเราไม่เอ่ยถึงอีก ขอตัวก่อน”


 


 


เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็เข้าเมืองไป


 


 


จงรั่วปิงที่ถูกทิ้งไว้สีหน้ามึนงงมองคนทั้งสองเดินส่ายไปส่ายมา ไม่มีคุณธรรมเลยสักน้อย จากไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง


 


 


นางได้แต่มองซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนเดินเข้าเมืองไปตาปริบๆ


 


 


หลังจากนั้นเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วรีบปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้นางเข้าไป ดูท่าทางรีบร้อนตัดสัมพันธ์กับตนเอง


 


 


ประตูเมืองปิดลงแล้ว


 


 


จงรั่วปิงมองถุงเงินสองถุงในมือตน ในที่สุดก็เกิดโทสะ “มิตรภาพเปราะบางบ้าบออันใดกัน ช่างเป็นการแสดงจอมปลอมทั้งนั้น ”


 


 


จงรั่วปิงทางหนึ่งก็บ่นด่าด้วยความโมโห อีกทางหนึ่งก็รีบยัดถุงเงินเข้าไว้ในอกอย่างมิดชิด


 


 


นางเงยหน้ามองไปทางกำแพงเมือง วินาทีนี้กลับกลัดกลุ้มบ้างแล้ว “ไฉนพวกนางสองคนถึงดูออกว่าข้ามีเจตนาร้ายกัน หรือว่าข้าแสดงออกได้ชัดเจนขนาดนั้น”


 


 


   ……


 


 


ภายในห้องเยี่ยเม่ย


 


 


หลังจากเสียงดังสนั่นนั้นเงียบลง แม้ภายในห้องจะสงบเงียบมาก ไม่รู้เพราะเหตุใดเยี่ยเม่ยที่นอนอยู่บนเตียง เวลานี้กลับนอนไม่หลับ


 


 


ทั้งไม่เข้าใจชัดว่าเพราะเสียงดังส่งผลกระทบต่อจิตใจหรือเปล่า


 


 


เวลานี้นางตระหนักได้แล้วว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนต่อสู้กันอยู่ข้างนอก คิดถึงว่าเมื่อก่อนเคยเห็นคนยุคโบราณประมือกันด้วยกำลังภายใน เวลานี้นางก็กระเด้งตัวราวกับปลาหลีดีดกายขึ้นมานั่ง


 


 


เสียงที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่คือเสียงที่พวกเขาต่อสู้กันหรือ


 


 


เวลานี้สงบเงียบไร้การเคลื่อนไหวแล้ว คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอกนะ


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรีบสวมเสื้อผ้า เดินออกไปด้านนอกด้วยความร้อนรน ในขณะนี้เองเซียวเยว่ชิงกลับมายืนหน้าประตูห้อง


 


 


ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยเดินออกมาจากด้านใน สายตาของเขาวาวโรจน์ สาวเท้ากว้างเข้าไป รายงานว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ไฉนท่านตื่นไวเช่นนี้เล่า ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านพอดี”


 


 


 


 


[1] ใช้อำนาจเพื่อปกปิดความจริง

 

 

 


ตอนที่ 105

 

ตอนที่ 105 เยี่ยนจอมเจ้าเล่ห์ตั้งใจแสดงละคร (3)

 


 


 


 


สิ้นเสียงของเขา เยี่ยเม่ยเบือนสายตามองไป 


 


 


แววตาเย็นเยือกของนางกวาดมองฝ่ายตรงข้าม เห็นเซียวเยว่ชิงสีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีร่องรอยความเจ็บปวดเลยสักน้อย ดูท่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนคงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ไม่เช่นนั้นยามนี้พวกเขาสมควรใคร่ครวญว่าจะบอกนางอย่างไรดีถึงจะถูก 


 


 


           ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยค่อยรู้สึกวางใจ 


 


 


เห็นเซียวเยว่ชิงเดินเข้ามา นางเอ่ยปากถามว่า “มีเรื่องอะไรมาปรึกษาข้า” 


 


 


เซียวเยว่ชิงประสานมือ รีบเอ่ยปากอธิบายว่า “คือว่าอย่างนี้ คิดว่าแม่นางเยี่ยเม่ยคงจำได้ วันนั้นท่านนำแม่ทัพหลูและข้าไปต้ามั่ว เอาข้าวสารแลกกับลู่หวานหว่าน ระหว่างทางกลับถูกคนขององค์ชายใหญ่ดักโจมตี”  


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า 


 


 


วันนั้นหลูเซียงฮั่วอยู่กับนาง ส่วนแม่ทัพเซียวตรงหน้านี้ รั้งอยู่ด้านท้ายคอยรับศึก 


 


 


เยี่ยเม่ยถามว่า “ดังนั้น? หรือว่าเขาเล่นตุกติกอะไรอีกแล้ว” 


 


 


ในตอนนี้ภาพลักษณ์ของเป่ยเฉินเสียงที่มีต่อเยี่ยเม่ยไม่ดีเอามากๆ ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ นางจึงใช้คำว่าเล่นตุกติกมาเพื่ออธิบาย 


 


 


สิ้นเสียงนาง 


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบเอ่ยว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น เพียงแต่แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านยังจำได้หรือไม่ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว องค์ชายใหญ่ทำลายข้าวที่ท่านเตรียมเอาไว้ หากมิใช่เพราะท่านกับองค์ชายสี่คาดการณ์ได้ก่อนแล้ว นำข้าวสารสลับออกมา ไม่แน่ว่าครั้งนี้พวกเราไม่อาจชนะศึกได้อย่างงดงาม ทั้งยังพ่ายแพ้อีกด้วย” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองอีกฝ่าย “ดังนั้น?” 


 


 


 “ดังนั้น ข้ากับแม่ทัพทั้งหลายปรึกษากันแล้ว พวกเราตั้งใจจะส่งสารกลับเมืองหลวงเพื่อฟ้องร้ององค์ชายใหญ่ แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านคิดว่าอย่างไร” เซียวเยว่ชิงรีบตอบกลับ 


 


 


พวกเขาตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ยึดเอาเยี่ยเม่ยเป็นเสาหลักของพวกเขา 


 


 


นั่นก็เพราะว่าพวกเขาทำศึกสงครามมาหลายปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การตายน้อยมาก ทั้งยังเอาชนะได้อย่างหมดจด ความเลื่อมใสที่พวกเขามีต่อเยี่ยเม่ยยากเกินใช้คำพูดมาอธิบายได้ ดังนั้นเรื่องนี้ พวกเขาจึงคิดถามความเห็นของนางเสียก่อน  


 


 


เยี่ยเม่ยได้ฟังก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง… 


 


 


   …… 


 


 


หน้าประตูวังหลวง 


 


 


รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ ผ่านหน้าประตูวังไป 


 


 


เป่ยเจี้ยนเกออยู่นอกรถม้า เป็นผู้นำขบวน รักษาความปลอดภัยให้กับเป่ยเฉินเสียง 


 


 


ส่วนในรถม้า เป่ยเฉินเสียงในสภาพน่าอนาถนั่งพิงรถม้า 


 


 


หมอหลวงนั่งอยู่ข้างกายองค์ชายใหญ่ เพิ่งป้อนยาเป่ยเฉินเสียงหมด เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านมิต้องกังวล อาการบาดเจ็บของท่าน ข้ามั่นใจจะรักษาให้หายได้ เพียงแต่พิษหนอนในกายท่าน ข้าอับจนหมดทางจริงๆ แต่เชื่อว่าในเมื่อจวินซ่างส่งใต้เท้าเป่ยมาช่วยท่าน จวินซ่างย่อมช่วยท่านแน่” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงจวินซ่าง แววตาของหมอหลวงเต็มไปด้วยความเลื่อมใส 


 


 


ในสายตาของทุกคนในใต้หล้าคล้ายกับไม่มีเรื่องใดที่จวินซ่างทำไม่สำเร็จ 


 


 


ส่วนความจริงแล้ว ในราชสำนักเป่ยเฉินองค์ชายสี่ของพวกเขาก็คล้ายจะไม่มีเรื่องอันใดที่ทำไม่สำเร็จ ยกเว้นแต่เรื่องที่องค์ชายสี่ไม่อยากทำ… 


 


 


ดังนั้นจวินซ่างเสินเซ่อเทียน เป็นเหมือนเทพเจ้าในใจของทุกคน 


 


 


ส่วนองค์ชายสี่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเหมือนปีศาจร้ายในใจของทุกคน  


 


 


นี่คือสองยอดคน… 


 


 


ทั้งเป็นสัญลักษณ์ของคนที่มีความสามารถขั้นสูงสุดสองคน 


 


 


ครั้นเป่ยเฉินเสียงฟังคำปลอบใจของอีกฝ่าย ก็โบกมือ เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้ารู้แล้ว เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ” 


 


 


 “ขอรับ” หมอหลวงรับคำสั่ง รีบถอนตัวออกไป 


 


 


หลังจากหมอหลวงจากไป บ่าวรับใช้ประจำตัวเป่ยเฉินเสียงมองเจ้านายทีหนึ่ง เอ่ยปากว่า “องค์ชายใหญ่ องค์ชายสี่กับสตรีนางนั้นโหดเ**้ยมจริงๆ พวกเราไม่อาจปล่อยพวกเขาไป” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ นัยน์ตาของเป่ยเฉินเสียงฉายแววอำมหิต 


 


 


เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ตัวข้าย่อมไม่มีทางปล่อยพวกเขาแน่ เยี่ยเม่ย…” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงชะงักไป พลันหัวเราะออกมา “ได้ยินว่านางชนะแล้ว” 


 


 


 “ขอรับ ข่าวเพิ่งส่งมา เอาชนะได้อย่างสวยงาม มีบารมีในค่ายทหารไม่น้อยเลย” บ่าวรับใช้เล่า ซ้ำยังเจือความโมโห 


 


 


สิ้นเสียงเขา เป่ยเฉินเสียงพยักหน้า “ดีมาก เจ้าคิดดู คนผู้หนึ่งมีบารมีอยู่ในหมู่ทหาร ทั้งเพิ่งเอาชนะศึกได้ เป็นคนที่ทำคุณประโยชน์แก่ราชสำนักเป่ยเฉินเรา หากข้าขอให้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้นางเป็นพระชายาข้า เจ้าว่าเสด็จพ่อจะรับปากหรือไม่” 


 


 


บ่าวรับใช้อึ้งไป จากนั้นตอบสนองได้โดยว่องไว “จากความโปรดปรานที่ฝ่าบาทและฮองเฮามีต่อเตี้ยนเซี่ย สมควรรับปาก” 


 


 


หลายปีที่ผ่านมา เตี้ยนเซี่ยเป็นเสมือนยอดดวงใจของฮ่องเต้และฮองเฮา สำหรับคำขอของเตี้ยนเซี่ยไม่ว่าเรื่องอะไรโดยพื้นฐานแล้วไม่ถูกปฏิเสธ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีเพียงนางเดียว 


 


 


“แต่ ท่านทำเช่นนี้…” ขณะที่บ่าวรับใช้เอ่ย ก็พลันเข้าใจว่า “เตี้ยนเซี่ยช่างเลิศล้ำ หากท่านทำเช่นนี้ องค์ชายสี่ไม่มีวันได้ตัวนางไป อีกทั้งเมื่อนางเป็นพระชายาของท่าน ชีวิตก็อยู่ในกำมือท่าน ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว เพียงแต่ชาติกำเนิดของแม่นางเยี่ยเม่ย…” 


 


 


ฐานะของแม่นางผู้นี้ พวกเขายังไม่สืบชัดเจน 


 


 


ชาติกำเนิดไม่ชัดเจน 


 


 


สตรีที่มีฐานะไม่ชัดเจนเช่นนี้ ต่อให้ยามนี้ได้รับความชอบจากการศึก ก็ยากจะเป็นพระชายาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเตี้ยนเซี่ยเป็นถึงองค์ชายใหญ่ที่ประสูติจากฮองเฮา 


 


 


เป่ยเฉินเสียงแค่นเสียงเย็น “เจ้าวางใจเถอะ องค์ชายอย่างข้ามีหนทางให้เสด็จพ่อเสด็จแม่รับปาก” 


 


 


บ่าวรับใช้ประจำกายฟังถึงตรงนี้ มองสีหน้ามั่นอกมั่นใจของเป่ยเฉินเสียงคราหนึ่ง ก็พยักหน้า “เตี้ยนเซี่ย พวกเขาจะต้องเสียใจในการกระทำของพวกเขาแน่” 


 


 


   … 


 


 


ในวังหลวง 


 


 


หลังจากฟังคำฟ้องร้องที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยของซือถูเฟิง ซือถูเฉียงรวมไปถึงตระกูลเสนาบดีจบ 


 


 


ฮ่องเต้พลันรู้สึกว่าพระองค์ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก 


 


 


อีกทั้งก่อนคนพวกนี้จะเข้ามา พระองค์ได้รับสารจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าลูกอกตัญญูต้องการฟ้องร้องซือถูเฟิง ผู้มีฐานะเป็นหนึ่งในแม่ทัพรักษาชายแดน กลับหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล นับเป็นทหารหนีทัพ ให้พระองค์ตัดสินโทษตายให้กับซือถูเฟิง 


 


 


น้ำเสียงแหลมสูงฟ้องร้องของซือถูเฉียงดังขึ้น “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับเฉียงเอ๋อนะเพคะ เฉียงเอ๋อเป็นท่านหญิงที่พระองค์พระราชทานตำแหน่ง สตรีนางนั้นกลับทำกับข้าเช่นนี้ พระองค์ต้องประหารนาง” 


 


 


 “ฝ่าบาท…” เสนาบดีกำลังจะเอ่ยบ้าง 


 


 


ฮ่องเต้พลันตัดบท “พอแล้ว” 


 


 


คนในห้องโถงพากันสงบลง  


 


 


ฮ่องเต้หยิบสารลับที่โต๊ะ โยนลงไปด้านล่าง ปรายพระเนตรมองซือถูเฟิง “เจ้าดูเอาเอง นี่คือหนังสือที่องค์ชายสี่เขียนเอาผิดเจ้า มีข้อสงสัยหรือไม่ หากไม่มีข้าจะตัดสินแล้ว”  


 


 


ไม่ว่าซือถูเฟิงจะปกป้องน้องสาวอย่างไร คำนึงถึงความสัมพันธ์พี่น้องอย่างไร แต่ตัวเขาก็เป็นถึงแม่ทัพรักษาเมือง หนีหน้าที่โดยพลการมีโทษประหารชีวิต 


 


 


ซือถูเฟิงเปิดออกดู สีหน้าพลันซีดขาว “ฝ่าบาท ข้า…” 


 


 


 “ใครก็ได้” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ทำตัวแม่ทัพซือถูออกไป ลงโทษตามกฎทหาร” 


 


 


อะไรกัน? 


 


 


คนทั้งหมดต่างแตกตื่น คิดไม่ถึงว่าพวกเขามาฟ้องร้องผู้อื่น ผลปรากฏว่ากลับดึงตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย 


 


 


ในเวลานี้ เสียงของฮองเฮาดังขึ้นมาจากทางหน้าประตู “ช้าก่อน” 


 


 


   … 


 


 


ในเมืองชายแดน 


 


 


เยี่ยเม่ยที่มองเซียวเยว่ชิง ในที่สุดก็พยักหน้า “ได้ ถวายฎีกาขึ้นไปหาเรื่องให้เขาก่อน ถึงจะลดเรื่องของพวกเราไปได้” 


 


 


เซียวเยว่ชิงพยักหน้า “ข้ากลับไปจะรีบดำเนินการทันที” 


 


 


เยี่ยเม่ยถามอย่างรวดเร็ว “องค์ชายสี่กับเสี่ยวจิ่วประมือกันเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” 


 


 


           “เอ๋” สีหน้าเซียวเยว่ชิงพลันกระอักกระอ่วน อ้ำอึ้งมองเยี่ยเม่ย คล้ายกับคนมีอาการท้องผูก 

 

 

 


ตอนที่ 106

 

ตอนที่ 106 ชั่วชีวิตไม่เคยเอ่ยคำโกหกมากมายเช่นนี้

 


เห็นสีหน้าแปลกพิสดารของเซียวเยว่ชิง เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว


 


 


มองเจ้าหนุ่มผู้นี้เอ่ยถามว่า “สีหน้าของเจ้านี่มันอะไรกัน หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”


 


 


 “อ้อ…” เซียวเยว่ชิงเป็นแม่ทัพมีชื่อเสียง หลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยเอ่ยคำโกหกหลอกลวงใจตน ยามนี้ให้เขาเอ่ยคำโกหกกับเยี่ยเม่ยต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ เขาพูดไม่ค่อยออก


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาอ้ำๆ อึ้งๆ น้ำเสียงเปลี่ยนไปเยือกเย็นขึ้นอีก “หรือว่าพวกเขาเกิดเรื่องแล้วจริงๆ”


 


 


 “ไม่…ไม่มี” เซียวเยว่ชิงรีบส่ายหน้า หลังจากนั้นถึงตระหนักได้ว่าตนเองตอบสนองไวเกินไป จึงพยักหน้าใหม่อีกครั้ง “ไม่ ไม่”


 


 


เขาลืมไปได้อย่างไร เตี้ยนเซี่ยเอ่ยกับพวกเขาทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว


 


 


เตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บ…


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นการแสดงออกเหมือนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขา เดี๋ยวก็ส่ายหน้าเดี๋ยวก็พยักหน้า นางขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “สรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ หรือเจ้าบอกไม่ถูก เช่นนั้นข้าไปถามผู้อื่นแทน”


 


 


 “นี่…” เซียวเยว่ชิงไม่อยากให้สหายร่วมรบต้องเผชิญสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ เรื่องแบบนี้เขาคนเดียวพบเจอครั้งเดียวก็มากเกินพอ


 


 


เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องและความสัมพันธ์ฉันท์สหายร่วมรบ หลังจากเซียวเยว่ชิงถอนใจยาวแล้ว ก็เอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมา “อืม…เรื่องเป็นเช่นนี้ ได้ยินว่าท่านไม่ให้องค์ชายสี่ทำร้ายเสี่ยวจิ่ว องค์ชายสี่กับเสี่ยวจิ่วต่อสู้ค่อนรุนแรง ท่านก็รู้ดี…”


 


 


เขาคิดว่าต่อให้เยี่ยเม่ยหลับสนิทเหมือนหมู ก็ต้องได้ยินเสียงการต่อสู้ด้านนอก


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยรับรู้จริงๆ ตอนนี้เมื่อคิดๆ ดูก็เข้าใจแล้ว ตอนที่นางนอนหลับอยู่ ประเดี๋ยวก็มีแรงสั่นสะเทือน ประเดี๋ยวก็มีเสียงดังสนั่น ล้วนมาจากการประมือของคนทั้งสอง


 


 


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยรู้แล้ว


 


 


จากนั้น เซียวเยว่ชิงก็เอ่ยอย่างดีใจว่า “เพราะว่าต่อสู้ดุเดือดเกินไป องค์ชายสี่เกือบเอาชีวิตเสี่ยวจิ่ว เตี้ยนเซี่ยฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ท่านไม่ให้ทำร้ายเสี่ยวจื่วจนถึงชีวิต ดังนั้นเตี้ยนเซี่ยยั้งมือได้ทัน…”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่เพิ่งทอดทิ้งจงรั่วปิงสหายดอกไม้ประดิษฐ์[1]ของตนไป เดินมาถึงหน้าประตูเรือนเยี่ยเม่ย ก็ได้ฟัง เซียวเยว่ชิงเล่าเรื่องให้เยี่ยเม่ยฟัง   


 


 


ทั้งสองสีหน้าแข็งทื่อ ล้วนทำเหมือนตนเองไม่ได้ยินอะไร ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ท่าทางข้าไม่รู้ไม่เห็นทุกอย่างเดินกลับเข้าห้องของตน


 


 


ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เซียวเยว่ชิงหันมองพวกนางทั้งสองคนทีหนึ่ง พลันรู้สึกขึ้นมาว่าตนที่เดิมทีก็อึดอัดเกินเปรียบอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งประดักประเดิดเข้าไปกันใหญ่


 


 


เยี่ยเม่ยเองก็มองออกว่าคนทั้งสองไม่ปกติ หลังจากกลับมาไม่ทักทายนางก็จากไป แบบนี้ยังปกติอีกหรือ แต่ในยามนี้หาใช่เวลามาใส่ใจเรื่องพวกนี้


 


 


นางกวาดตามองเซียวเยว่ชิง ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “จากนั้นเล่า”


 


 


จากนั้นเป็นอะไรแล้ว


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบตอบไปว่า “จากนั้น จากนั้นองค์ชายสี่ก็บาดเจ็บแล้ว ทั้งยังบาดเจ็บไม่เบา แต่…แต่ว่า…”


 


 


เซียวเยว่ชิงรีบเสริมต่ออีกประโยค “ล้วนเป็นอาการบาดเจ็บภายใน ดังนั้นมองด้วยตาเปล่าก็ดูไม่ออก แต่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ท่านหมอบอกแล้วว่า ถึงบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต”


 


 


เซียวเยว่ชิงเล่าเรื่องทั้งหมดจนจบ รู้สึกมีเหงื่อเม็ดโป้งซึมออกมาอยู่ด้านหลัง โทษแต่ตัวเองเคร่งครัดมากเกินไปจนลืมคำว่า “บาดเจ็บภายใน” ไม่รู้ว่าเสริมไปภายหลังเช่นนี้ จะดึงสถานการณ์กลับมาได้หรือไม่ อย่าทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยดูออกได้เชียวว่าเตี้ยนเซี่ยไม่ได้บาดเจ็บ หากถูกจับได้ เกรงว่าตัวเองจะมีอันตรายถึงชีวิต


 


 


สีหน้าของเยี่ยเม่ยเคร่งขรึมลง


 


 


นางมองเซียวเยว่ชิงอย่างเย็นชา เอ่ยปากถามว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ที่ไหน”


 


 


เซียวเยว่ชิง “เรื่องนี้…คือ…”


 


 


เซียวเยว่ชิงรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เขาโกหก ยังไม่มากเท่ากับวันนี้เพียงวันเดียว อีกทั้งคำที่พูดออกไปยังไร้เหตุผลมาก จนถึงขั้นที่ทำให้ตนจวนเจียนจะพูดไม่ออกแล้ว


 


 


 “ไฉนเจ้าถึงได้อ้ำๆ อึ้งๆ นักเชียว” ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติในสายตาของเซียวเยว่ชิง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนทางหนึ่งก็เดินกลับห้อง อีกด้านหนึ่งก็เงี่ยหูตั้งใจฟัง ในยามนี้ทั้งสองชะงักฝีเท้าไปพร้อมกัน ต่างก็รู้สึกเหงื่อตกแทนเซียวเยว่ชิงแม่ทัพใหญ่ผู้ที่กำลังพูดจาเหลวไหลโดยไม่กระพริบตา


 


 


เซียวเยว่ชิงฟังคำถามของเยี่ยเม่ย ก็ลนลาน รีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่ ข้าหาได้อ้ำอึ้ง คือ เป็นเช่นนี้ ท่านก็รู้ว่าพวกเรากลัวองค์ชายสี่มาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสี่ ข้ารู้สึกตื่นเต้นไปบ้าง ไม่มีอะไรอื่นอีก แม่นางเยี่ยเม่ยอย่าได้คิดมาก”


 


 


ในเมื่อเขาอธิบายเช่นนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจได้


 


 


ก็จริง ทุกครั้งที่คนของราชสำนักเป่ยเฉินทั้งหมดพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนล้วนมีท่าทางเหมือนได้พบปีศาจ ทำให้เห็นความหวาดกลัวที่มีต่อเขาได้มากพอ ดังนั้นแม่ทัพเซียวหวาดกลัวถึงขั้นนี้ ความจริงก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาด  


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยพยักหน้า บ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว


 


 


เพื่อกันไม่ให้ตนอ้ำอึ้งอึกอักต่อไปจนทำให้เผยพิรุธ เซียวเยว่ชิงใช้ความคิดเอ่ยว่า “เดิมทีเตี้ยนเซี่ยคิดมาหาท่าน แต่เขารู้ว่ายามนี้ท่านกำลังพักผ่อน เขากลัวว่าหลังจากมาแล้วจะรบกวนท่าน ดังนั้นเขาจึงกลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว”


 


 


เซียวเยว่ชิงรู้สึกว่าเขาซาบซึ้งในเรื่องที่เตี้ยนเซี่ยแต่งขึ้นมาแล้วจริงๆ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนผู้รู้ความจริงทั้งสอง เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ ทั้งสองคนก็สะดุด เดินเซไปเล็กน้อย


 


 


ความจริงคือพวกนางแทบทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว


 


 


หลอกลวง นี่มันหลอกลวงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคยร่ำเรียนวิชาการแต่งเรื่องมาโดยเฉพาะหรือไม่ พวกนางรู้สึกเลื่อมใสจากใจจริง


 


 


แน่นอนว่า พวกนางก็เลื่อมใสเซียวเยว่ชิงเช่นกันที่สามารถเอ่ยออกมาโดยไม่เผยพิรุธออกมาเลยสักคำเดียว คำพูดเหลวไหลเช่นนี้ ยังพูดออกมาได้


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำพูดของเซียวเยว่ชิง เงยหน้ามองซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่เดินสะดุดไปเล็กน้อย นางรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เงยหน้ามองคนทั้งสอง “พวกเจ้าเป็นอะไร”


 


 


คล้ายกับว่านับตั้งแต่ทั้งสองเข้าประตูมา ได้ยินเซียวเยว่ชิงพูดคุยกับตน ปฏิกิริยาของทั้งสองก็มีอะไรไม่ชอบมาพากล


 


 


 “เอ๋?” ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง ทั้งสองส่งสายตาหากัน


 


 


ถึงแม้อาซีจะเป็นสหายที่นางยินยอมปกป้องโดยไม่ต้องการอะไรเลย เยี่ยเม่ยในยามนี้ก็คืออาซีในใจนาง แต่ว่าเสียสละชีวิตเพราะเรื่องเล็กขี้ปะติ๋วเท่าขนไก่เช่นนี้ ไม่ใช่แผนการที่เหมาะสมหรอกกระมัง


 


 


ซินเยว่เยี่ยนสีหน้าหนักแน่นมองหน้าพยักหน้า “อืม”


 


 


สตรีทั้งสองนางทำเหมือนด้านข้างไม่มีใครอื่นต่อหน้าเยี่ยเม่ย ตอบรับพร้อมกันด้วยคำคำเดียว


 


 


คราวนี้ยิ่งทำให้สายตาของเยี่ยเม่ยที่มองพวกนางทวีความสงสัยมากขึ้นไปอีก


 


 


เซียวเยว่ชิงกลับรู้สึกว่าหนังศีรษะตนชาวาบไปหมด เพราะเขารู้ว่าแม่นางทั้งสองรั้งอยู่ที่เมืองชายแดนก็เพราะเยี่ยเม่ย จากความสัมพันธ์ของพวกนางและเยี่ยเม่ย ไม่รับประกันได้ว่าทั้งสองจะไม่เอ่ยความจริงออกมา


 


 


เสี้ยววินาทีถัดมาซินเยว่เยี่ยนชี้ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปากว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เจ้าถามนางก็พอแล้ว”


 


 


ซือหม่าหรุ่ย “…?”


 


 


 


 


[1] สหายดอกไม้ประดิษฐ์ มิตรภาพระหว่างเพื่อนสนิทที่ดูภายนอกแล้วเหมือนแน่นแฟ้มไม่เปลี่ยนเหมือนดอกไม้พลาสติกไม่โรยรา แต่ความจริงภายในแอบต่อสู้กันเอง

 

 

 


ตอนที่ 107

 

ตอนที่ 107 มิตรภาพดอกไม้ประดิษฐ์

 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน เมื่อครู่ไม่ใช่ส่งสายตาหากันแล้วเหรอ แสดงออกแล้วว่าพวกนางไม่รู้อะไรทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง


 


 


เพราะอะไรตัวนางถึงถูกขายได้เล่า


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมองใบหน้าเศร้ากะพริบตาปริบของซือหม่าหรุ่ย เยี่ยเม่ยถามหาความจริงออกมาได้ก็ดี เช่นนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่มีทางได้ตำแหน่งสำคัญในใจของเยี่ยเม่ย น้องชายบุญธรรมของนางจะได้มีโอกาสบ้าง 


 


 


แต่ว่านางไม่กล้าเอ่ยออกมา ทำได้แค่คาดหวังซือหม่าหรุ่ย


 


 


นางเชื่อว่าซือหม่าหรุ่ยเป็นคนตรงไปตรงมา ต้องไม่พูดจาโกหกกับเยี่ยเม่ยแน่


 


 


ซือหม่าหรุ่ยชะงักนิ่งไปชั่วครู่ มองซินเยว่เยี่ยนอย่างโศกเศร้า และเข้าใจว่าตัวเองถูกขายเสียแล้ว


 


 


นางเห็นสายตาของเยี่ยเม่ยมองมาอยู่ที่ตัวนาง ท่านหมอเทวดากุมขมับตัวเองด้วยสีหน้าเศร้าโศก


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตบบ่าซินเยว่เยี่ยนหลายที มองเยี่ยเม่ยก่อนเอ่ยว่า “อืม ความจริงเรื่องนี้นางยังเข้าใจได้ชัดเจนกว่าข้ามาก ให้ข้าเล่าในทันทีก็พูดไม่ถูก เจ้าถามนางจะดีกว่า แค่เรื่องของพี่บุญธรรมข้าก็ทำให้ข้าปวดหัวยิ่งนัก ไม่มีจิตใจคิดเรื่องอีก”


 


 


หม้อก้นดำ[2]ใบหนึ่งถูกโยนกลับไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกุมมือซือหม่าหรุ่ยด้วยความสะเทือนใจ จากนั้นยังสะอื้นเล็กน้อย “เซียวเซ่อหยางเป็นคู่หมั้นของข้า จิตใจของข้าย่อมเจ็บปวดรวดร้าวมากกว่าเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดเถอะ”


 


 


เรื่องนี้เห็นได้ชัดมาก


 


 


ใครพูดความจริงคนนั้นตาย หากใครพูดจาโกหกแล้ววันใดวันหนึ่งความจริงเปิดเผย เยี่ยเม่ยย่อมจดจำเรื่องที่โกหกเอาไว้แน่


 


 


หลังจาก ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยจบ ซือหม่าหรุ่ยก็กุมมือนางอย่างลึกซึ้ง เอ่ยปากว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบพี่บุญธรรมมาโดยตลอด วันๆ ก็เอาแต่คิดจะขอถอนหมั้นกับเขา เจ้าจะเจ็บปวดรวดร้าวได้อย่างไรเล่า เจ้าดูจะดีใจเสียมากกว่า เจ้าเล่าก็แล้วกัน”


 


 


 “ไม่ เมื่อก่อนข้าบอกว่าไม่ยินยอม นั่นคือข้าเข้าใจผิดไปเอง นับตั้งแต่พี่ชายบุญธรรมของเจ้าหายตัวไป ข้าเพิ่งรับรู้ว่าในใจคิดถึงเขามากขนาดไหน เจ้าเล่าเถอะ” ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยวาจาเหลวไหล ซ้ำยังเอามือกุมหน้าอก คล้ายกับว่าจวนเจียนจะรับไม่ได้จริงๆ


 


 


เซียวเยว่ชิงอยู่ห่างออกไป มองพวกนางทั้งสองด้วยความตะลึง


 


 


ในใจเขาย่อมรู้ดีว่า สองคนนี้ผลักไสความรับผิดชอบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย…


 


 


ความจริงในใจของเขาเวลานี้ก็เอ่ยประโยคหนึ่ง ความสัมพันธ์ฉันท์สหายระหว่างสตรีอย่างพวกเจ้าบางเบาเหมือนปุยนุ่นเช่นนี้หรือ ในสมองเขาพลันฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ คิดถึงสตรีอีกนางหนึ่งที่ถูกสองคนนี้ทิ้งไว้นอกเมือง


 


 


น่าสงสารเซียวเยว่ชิงที่เป็นคนยุคโบราณ จึงไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ประเภทนี้ สามารถใช้คำว่ามิตรภาพดอกไม้ประดิษฐ์อธิบายได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้ความรู้ที่มีอยู่อย่างจำกัด ถึงได้แต่เรียกว่าความพันธ์บางเบาราวปุยนุ่น


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกนางด้วยความแปลกใจ เอ่ยว่า “ก็แค่คำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น มีอะไรยากนักหรือ พวกเจ้าปวดใจเสียจนแค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็พูดไม่ออกแล้วหรือ”


 


 


ความจริงพวกนางสองคนผลักไสกันไปมาอยู่นานเช่นนี้


 


 


นางเข้าใจดีทักษะการผลักไสกันไปมาเช่นนี้ ความจริงก็มากพอทำให้มองเรื่องทั้งหมดชัดเจนแล้ว


 


 


ซินเยว่เยี่ยนได้ยินเยี่ยเม่ยเอ่ย พลันรู้สึกเสียใจที่เมื่อครู่ขายซือหม่าหรุ่ย หากรู้แต่แรกว่าซือหม่าหรุ่ยจะไม่พูด ทั้งยังลากตัวเองลงน้ำด้วย นางไม่มีทางทำให้เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้


 


 


นางตัดสินใจด้วยไหวพริบ มองซือหม่าหรุ่ย “ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าเสียใจ ก็เพราะว่าพวกเราเห็นแม่ทัพเซียวเอ่ยแล้ว ถึงพวกเราจะไม่เข้าใจชัดเจนว่าเขาพูดอะไร แต่พวกเราเชื่อว่า เขาเป็นถึงแม่ทัพ เรื่องราวง่ายดายเช่นนี้ยังไม่อาจอธิบายยได้ชัดเจนอีกเหรอ พวกเราก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลายเอ่ยอีก”


 


 


เซียวเยว่ชิง “…”


 


 


นี่มันอะไรกัน


 


 


ตอนนี้เริ่มตัดขาดความเกี่ยวข้องกับตนเองแล้ว แสดงออกว่าเมื่อครู่ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น คำพูดของเขาสักคำพวกนางก็ไม่ได้ยิน ดังนั้นต่อให้คำโกหกถูกเปิดโปง ก็มีแต่เขาคนเดียวที่หลอกลวงแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกนางทั้งสิ้น


 


 


ซือหม่าหรุ่ยฟังคำพูดของซินเยว่เยี่ยน ก็คิดตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว นางพยักหน้า รีบทำเป็นไม่ได้ยิน “จริงด้วย เมื่อครู่แม่ทัพเซียวพูดว่าอะไรนะ พวกเราไม่ได้ยินเลยสักน้อย คำเดียวก็ฟังไม่ได้ยินเลย แต่ว่าเจ้าลองคิดดูเถอะ เขามีฐานะอำนาจ หากเรื่องเล็กๆ แค่นี้พูดไม่ชัดเจนอีก ราชสำนักเป่ยเฉินเลี้ยงเอาไว้ก็สิ้นเปลืองเปล่า ดังนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเป็นต้องเปลืองคำพูด จริงสิ ยุ่งวุ่นวายมาทั้งคืน ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”


 


 


 “ข้าก็เหมือนกัน พวกเรากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องในที่นี้มอบให้แม่ทัพเซียวผู้เดียวก็เพียงพอ” ซินเยว่เยี่ยนรีบเอ่ยรับทันที


 


 


เซียวเยว่ชิงจนคำพูด


 


 


แม่ทัพหนุ่มหลงคิดว่าตัวเองได้รับคำสั่งให้โกหก คราวนี้ดีเลย แม่นางทั้งสองนั้นดึงดันโยนหม้อก้นดำมาให้เขา แม่นางเยี่ยเม่ยย่อมจำภาพคำโกหกในวันนี้ได้อย่างล้ำลึกแน่ เขาเริ่มกังวลอนาคตของตัวเองเสียแล้ว


 


 


เห็นความไม่ปกติอย่างเปิดเผยของพวกนาง เยี่ยเม่ยขมวดคิ้วแน่น


 


 


แต่นางก็เข้าใจว่าคงจะถามอะไรไม่ได้ทั้งนั้น


 


 


ดังนั้นนางก็ไม่ดึงดันถามต่อไป เพียงแต่เอ่ยวาจาเป็นห่วงใยระหว่างที่พวกนางทั้งสองเตรียมตัวจะเผ่นหนี “เรื่องที่พวกเจ้าลอบเข้าไปตามหาข่าวของราชาดาบที่ต้ามั่ว เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


 “หวันเหยียนหงบอกสิ่งที่บอกได้มาหมดแล้ว ตอนนี้โอวหยางเทาไปตามหาพี่บุญธรรมของข้าอยู่ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น” ซือหม่าหรุ่ยสีหน้าจริงจัง รีบตอบว่องไว ในใจกลับยินดีปรีดา ดีเหลือเกิน ในที่สุดก็ไม่ต้องพูดเรื่องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ถามว่า “อืม พวกเจ้าต้องการให้ช่วยอะไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”


 


 


 “ได้” ซือหม่าหรุ่ยรีบตอบรับ แสดงสีหน้ายินดี


 


 


เพราะนางรู้ดี ในเมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยกับพวกนางเช่นนี้ก็เท่ากับคบหาพวกนางเป็นสหายแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ไม่พูดมากอีก ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนรีบจากไปโดยเร็ว


 


 


หลังจากพวกนางทั้งสองเดินจากไป เซียวเยว่ชิงก็คิดเอามีดแทงพวกนางคนละแผล มองเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย คล้ายกับท่านจะเห็นพวกนางเป็นสหายแล้ว”


 


 


 “พวกนางยืนหยัดตามหาเบาะแสของราชาดาบเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าคุ้มค่าในการคบหา ข้าเห็นพวกนางเป็นสหาย ไม่เห็นแปลกนิ” เยี่ยเม่ยชื่นชมคนเห็นแก่คุณธรรมน้ำใจ เพราะนางก็เป็นคนเช่นนี้


 


 


ระหว่างสหายมีแนวคิดเหมือนกันเป็นเรื่องสำคัญ ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนมีน้ำใจต่อสหายเช่นนี้ ก็คุ้มค่าจะคบหา


 


 


 “พวกนางหาได้ดีอย่างที่ท่านคิด เซียวเยว่ชิงเบ้ปาก “เมื่อครู่นอกประตูเมือง มีแม่นางผู้หนึ่งดูมีความสัมพันธ์กับพวกนางไม่เลวเลย แต่พวกนางก็ทิ้งแม่นางคนนั้นไว้นอกเมือง ให้พวกเรารีบปิดประตู”


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เมื่อครู่ทั้งสองโยนหม้อดำใส่กัน จากนั้นก็โยนมาใส่หัวเขาแล้ว


 


 


 “จริงหรือ” เยี่ยเม่ยมองเซียวเยว่ชิง


 


 


เซียวเยว่ชิงพยยักหน้าหนักแน่น “ใช่ พวกเราต่างก็เห็น” อย่าโทษที่เขาเป็นบุรุษกลับแทงหลัง ใครใช้ให้เมื่อครู่อีกฝ่ายพยายามตัดความเกี่ยวข้อง โยนเผือกร้อนมาใส่เขากันเล่า


 


 


หากไม่ใช่เพราะพวกนางฟังคำพูดของเขา แล้วสะดุดไปเล็กน้อย เดินเซไปนิดหน่อย เยี่ยเม่ยก็ไม่ไปถามพวกนางแล้ว


 


 


ผลเล่า


 


 


หมอก้นดำนี้กลับโยนมาให้เขาแบก


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน พวกนางไม่ใช่คนเช่นนั้น เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันภายหน้า ข้าจะไปดูเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียหน่อย”


 


 


 


 


[1] มิตรภาพดอกไม้ประดิษฐ์ มิตรภาพจอมปลอม ภายนอกดูรักใคร่กลมเกลียว ภายในแก่งแย่งเอาชนะกันเอง


 


 


[2] แบกหม้อก้นดำ เป็นสำนวนหมายถึง แพะรับบาป

 

 

 


ตอนที่ 108

 

ตอนที่ 108 กำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 


“อ้อ…” เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเม่ยจะไปเยี่ยมองค์ชายสี่ เซียวเยว่ชิงพลันชะงักไป ไม่ทันสนใจซือหม่าหรุ่ยและ ซินเยว่เยี่ยนอีก


 


 


หลังจากเขาชะงักไปเล็กน้อย ก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไอ้หยา จริงด้วย ท่านรีบไปดูเตี้ยนเซี่ยเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เตี้ยนเซี่ยคาดหวังให้ท่านไปหาอยู่ อย่างนั้นข้าน้อย…ข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


หลังจาก เซียวเยว่ชิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้


 


 


สุดท้ายความดีงามในจิตใจเขาก็ยังไม่ถูกทำลายจนหมดสิ้น รู้สึกว่าคนจำนวนมากร่วมมือกันรังแกเจ้าหนูเสี่ยวจิ่วที่น่าสงสาร ก็ออกจะเกินไปหน่อย


 


 


ดังนั้นเขาถึงหันหน้ากลับไป เอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าแอบบอกอะไรท่านสักคำ ท่านอย่าได้ไปบอกองค์ชายสี่เชียว”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ เยี่ยเม่ยก็พยักหน้า “เจ้าว่ามา”


 


 


เซียวเยว่ชิงทำท่าราวกับโจร สอดสายตาไปทั่วทั้งสี่ทิศ ค่อยเอ่ยปากว่า “หลังจากท่านไปเยี่ยมองค์ชายสี่แล้วก็ไปดูเสี่ยวจิ่วหน่อยแล้วกัน”


 


 


 “เสี่ยวจิ่ว?” เยี่ยเม่ยจ้องเซียวเยว่ชิง พูดตามจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเด็กคนนี้ เยี่ยเม่ยก็เห็นอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องชายมาตลอด


 


 


โดยเฉพาะเสี่ยวจิ่วที่คอยปกป้องนางเสมอ นี่ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น เมื่อได้ยินเซียวเยว่ชิงเอ่ยเช่นนี้ นางก็เริ่มกังวลขึ้นมา “เขาก็บาดเจ็บใช่หรือไม่”


 


 


 “ไม่ ไม่ใช่” เซียวเยว่ชิงส่ายหน้าโดยพลัน เอ่ยปากอธิบาย “ไม่ได้บาดเจ็บ แต่เสี่ยวจิ่วอายุน้อย วันนี้ประมือกับเตี้ยนเซี่ย ถึงทำให้ เตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บ แต่ว่าความจริงวรยุทธ์เขาอ่อนด้อยกว่า เห็นเตี้ยนเซี่ยได้รับบาดเจ็บ ไม่แน่ว่าเขาจะ…แค่กๆ…จะโทษตัวเอง ดังนั้นท่านไปดูเขาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”


 


 


ไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว


 


 


เขาเป็นบุรุษอกสามศอก ยังอดใจคิดถึงสภาพของเสี่ยวจิ่วไม่ได้…


 


 


ส่วนที่ว่าโทษตัวเองคำพูดผีสางอะไรนั่น ก็ไม่ต้องใส่ใจรายละเอียดมาก ขอเพียงบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการเพียงพอแล้ว


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยฟังเซียวเยว่ชิงกล่าวเช่นนี้ ครุ่นคิดแล้วก็แสดงออกว่าเห็นด้วย นางพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่เจ้าเตือนข้า”


 


 


เซียวเยว่ชิงเอ่ยไม่ผิด เสี่ยวจิ่วอายุยังน้อย ย่อมรู้สึกอ่อนไหวกว่าคนอื่นๆ มาก


 


 


หลังจากเขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต่อยตีกันไปแล้ว ตัวนางไปเยี่ยมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ไม่ไปหาเสี่ยวจิ่ว เจ้าหนุ่มนั่นปกป้องนางถึงขนาดนั้น ยากที่จะไม่ทำให้เขาไม่เสียใจ หากเสี่ยวจิ่วโทษตัวเองเองเพราะทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบาดเจ็บ นางไม่ห่วงใยเขาเสียหน่อย เจ้าหนุ่มนี่ก็น่าสงสารเกินไปแล้ว


 


 


ถึงนางจะคิดว่าจากความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวจิ่วกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ต่อให้จิ่วหุนทำร้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจนตาย เขาก็ไม่มีทางโทษตัวเองก็ตาม


 


 


 “เช่นนั้น ข้าน้อยขอตัวก่อนแล้ว” ในที่สุดเซียวเยว่ชิงก็ผ่อนลมหายใจออก รู้สึกว่าจิตใจอันดีงามของตนไม่เจ็บปวดมากเท่าไหร่ ก็สาวเท้ากว้างๆ จากไป


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าพวกเขาช่างแปลกพิกลนัก


 


 


กับเรื่องแค่นี้ต้องอึกอักอ้ำอึ้ง ผลักไสกันไปมา ทำเอาเรื่องดูมีลับลมคมในไปเสียอย่างนั้น


 


 


ดูไม่ออก ทั้งคิดไม่ตกด้วย


 


 


ในเมื่อคิดไม่ตกก็ไม่คิดแล้ว เยี่ยเม่ยก้าวเท้ามุ่งไปยังทิศทางของห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


   ……


 


 


วังหลวง


 


 


ฮองเฮาเดินเข้ามาในตำหนักจินหลวนเสียง “ช้าก่อน” แววตาคมกริบมองฮ่องเต้


 


 


เสนาบดีและกั๋วจั้งเห็นฮองเฮามาแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย พวกเขาไม่คิดว่าการมาหาฮ่องเต้เพื่อทวงความยุติธรรม ผลสุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้


 


 


เสนาบดีรีบเอ่ยกับฮองเฮาทันที “ฮองเฮา ท่านรีบเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ เฟิงเอ๋อทำทุกอย่างไปก็เพื่อน้องสาว เพราะความห่วงใยจึงผิดพลาด แต่เรื่องราวก็มีต้นสายปลายเหตุ ขอให้ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว”


 


 


เสนาบดีเอ่ยไปก็อดไม่ไหวถลึงตาใส่ซือถูเฟิง


 


 


เขารู้สึกว่าบุตรชายของเขาผู้นี้ ช่างโง่งมนักเชียว


 


 


ไม่ว่าตัวเองจะโปรดปรานซือถูเฉียงมากแค่ไหน ท่านหญิงที่ขาขาดไปข้างหนึ่งแล้ว ก็ไร้ค่าต่อตัวเองรวมไปถึงวงศ์ตระกูลอีก ในสถานการณ์ประเภทนี้ สิ่งที่ควรทอดทิ้งก็จำเป็นต้องละทิ้ง รอจนกลับมาถึงเมืองหลวงก่อนแล้วขอให้ฝ่าบาทชดใช้ให้ก็ยังได้


 


 


แต่เจ้าโง่นี่ กลับพาซือถูเฉียงหนีกลับมา สุดท้ายตัวเองก็ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย


 


 


ในยามนี้เสนาบดีก็รู้สึกเสียใจบ้าง เขารู้สึกเสียใจที่ตนไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ในทันที ซ้ำยังนำคนทั้งหลายมาทวงขอความยุติธรรมกับฝ่าบาทถึงที่อีกด้วย คราวนี้ก็ดีเลย


 


 


สายตาของฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรไปที่ฮองเฮาเช่นกัน แววตาอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ทว่าคำพูดไม่ถอยให้เลยสักน้อย “ฮองเฮา เมืองมีกฎหมาย”


 


 


 “ตุบ” ฮองเฮาคุกเข่าลงเสียงดัง


 


 


 “ฮองเฮา…” พวกเสนาบดีพากันตกใจ


 


 


ฮองเฮาเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ต่อให้เป็นฝ่าบาท ฮองเฮาก็ไม่อาจทำความเคารพด้วยวิธีเช่นนี้ได้ง่ายๆ นอกเสียจากทำความผิดร้ายแรง หรือในพิธีการใหญ่…


 


 


ฮ่องเต้เห็นฮองเฮาทำเช่นนี้ พระองค์เลิกพระขนงขึ้น “ฮองเฮา เจ้า…”


 


 


ฮองเฮาคุกเข่าอยู่กลางโถง ร้องไห้เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่ใช่ความผิดของเฟิงเอ๋อ ทั้งไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น เป็นความผิดของหม่อมฉันทั้งสิ้น”


 


 


ฮ่องเต้จ้องมองฮองเฮา พลันรู้สึกปวดเศียร “ฮองเฮา เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถอะ”


 


 


 “หม่อมฉันไม่ลุก” ฮองเฮาส่งสายพระเนตรมองฮ่องเต้ทีหนึ่ง สะอื้นไห้ “ฝ่าบาท ล้วนเป็นเพราะหม่อมฉันให้กำเนิดเจ้าลูกอกตัญญู อบรมสั่งสอนไม่ดี ถึงได้ทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ หลายปีที่ผ่านมาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำเรื่องผิดกฎผิดศีลธรรมมากมายเท่าใด ล้วนเป็นความรับผิดชอบของหม่อมฉันผู้เป็นมารดา”


 


 


พูดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ฉายโทสะ


 


 


สำหรับพระโอรสองค์นี้ ฮ่องเต้ตรัสได้แค่ว่าเจ็บแค้นอย่างล้ำลึก


 


 


ฮองเฮายังตรัสต่อไป “เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ ล้วนโทษที่ปีนั้นหม่อมฉันไม่สมควรให้กำเนิดเขาออกมา ฝ่าบาทเองก็รู้อยู่แก่พระทัยว่า ไฉนเฟิงเอ๋อถึงต้องทำเช่นนี้ เฟิงเอ๋อทำเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะถูกบีบให้จนตรอก เขาจะมองน้องสาวของตน ถูกเจ้าเดียรัจฉานนั่นฆ่าตายอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร”


 


 


 “ฮองเฮา…” ฮ่องเต้มุ่นพระขนง ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก 


 


 


ถึงพระองค์จะไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอามาก แต่ไม่ว่าเอ่ยอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นพระโอรสของพระองค์ บุตรชายเป็นเดียรัจฉาน แล้วผู้เป็นบิดาเป็นอะไรเล่า


 


 


 “ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ไม่พอพระทัย แต่ว่าหม่อมฉันจะต้องเอ่ย” ฮองเฮาโขกศีรษะ เอ่ยต่อ “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยดี ลูกอกตัญญูไม่สมควรมีชีวิตมาถึงบัดนี้ ปีนั้นราชครูบอกแล้วว่าเขาจะนำเคราะห์กรรมมาให้ราชวงศ์เป่ยเฉิน ทำลายราชวงศ์เป่ยเฉิน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ หรือพระองค์ยังทรงไม่เข้าพระทัยอีก”


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ นับว่าพูดได้ตรงกับปมในใจของฮ่องเต้แล้ว


 


 


ฮ่องเต้ตระหนักได้ถึงเรื่องทั้งหลายที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำมาตลอดหลายปี ความจริงล้วนไม่เป็นผลดีกับราชวงศ์เป่ยเฉินทั้งสิ้น


 


 


ไม่ว่าจะพูดอย่างไรซือถูเฟิงก็เป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีคุณงามความดีผู้หนึ่ง วันนี้หากต้องโทษประหารความต้องการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้ว่าภายหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังจะมีความคิดเห็นเหลวไหลอันใดอีก


 


 


เมื่อเห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด ฮองเฮากัดฟันกล่าวว่า “ฝ่าบาท ดังนั้นหม่อมฉันรู้สึกว่าคนที่สมควรตายมิใช่เฟิงเอ๋อแต่เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน”


 


 


 “ฮองเฮา เจ้า” ฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้นมา โมโหเสียจนทนไม่ไหวอีก


 


 


คราวนี้พวกเสนาบดีพากันตกใจเพราะคำพูดผิดศีลธรรมของฮองเฮา ทั้งหมดคุกเข่าตัวสั่นเทิ้ม แต่ละคนไม่กล้าส่งเสียง


 


 


ถึงฮองเฮาจะเป็นมารดาขององค์ชายสี่ แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร องค์ชายสี่ก็มีสายเลือดของราชวงศ์ ในร่างเขามีเลือดของตระกูลเป่ยเฉิน เป็นองค์ชาย ต่อให้นางเป็นฮองเฮาก็ไม่อาจบอกว่าฆ่าก็ฆ่าได้ โดยเฉพาะคำพูดพวกนี้ นางยิ่งไม่ควรเอ่ย   


 


 


ฮ่องเต้สีพระพักตร์เคร่งขรึม จ้องมองฮองเฮา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นลูกชายของเจ้า” 


 


 


ฮ่องเต้เองก็เคยคิดจะฆ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่พระองค์คำนึงถึง…


 


 


 “หม่อนฉันรู้ดี ฮองเฮาเงยพระพักตร์มองฮ่องเต้ น้ำตาไหลริน “เขาเป็นเลือดเนื้อที่ออกมาจากตัวหม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นมารดาของเขา เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ในใจของหม่อมฉันเหมือนถูกมีดกรีด แต่หลายปีที่ผ่านมา ฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าคนผู้นั้น รู้ทั้งรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือภัยร้าย กลับปล่อยเขาไว้ ถึงทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไร้กฎหมายไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จนมาถึงวันนี้ใครก็ควบคุมเขาไม่ได้ ฝ่าบาทพระองค์ยังไม่ทรงตระหนักได้อีกหรือเพคะ”


 


 


ร่างของฮ่องเต้ไหววูบไปเล็กน้อย มองฮองเฮาอยู่นานไม่ตรัสอะไร 


 


 


ฮองเฮาเห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไรก็ร้องไห้และเอ่ยต่อ “ฝ่าบาท ยามนี้กำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถึงเป็นวิธีการกำจัดต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง”


 


 


 “ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร” พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่คิดปิดบังพระดำริของพระองค์ต่อไปอีก “เจ้าคิดว่าข้าเลอะเลือนอย่างนั้นหรือ ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าที่ทุกอย่างที่ซือถูเฟิงทำนั้นล้วนเป็นเพราะเจ้าลูกอกตัญญูบีบคั้น แต่ฮองเฮาหรือเจ้าไม่รู้ว่า ในแผ่นดินเป่ยเฉินนี้ ไม่มีใครทำอะไรเขาได้แล้ว”


 


 


 “ไม่ ยังมีคนผู้นั้นอยู่มิใช่หรือ หากเสินเซ่อเทียนยอมออกโรง สังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้” ฮองเฮาเงยหน้ามองฮ่องเต้ 


 


 


ฮ่องเต้สั่นสะท้าน เสียงต่ำลง “เขาไม่มีทางยินยอม”


 


 


 “ฝ่าบาทไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร” ฮองเฮาปาดน้ำตาบนใบหน้า มองฮ่องเต้ รีบรุกเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ตาย ตำแหน่งของพระองค์ก็ไม่มั่นคง แม้กระทั่งชีวิตของเสียงเอ๋อก็ยากจะปกป้องได้ ท่านไม่รู้ว่าเสียงเอ๋อกลับมาแล้ว หม่อนฉันได้รับข่าวว่าเจ้าเดียรัจฉานนั่นทำร้ายพี่ชายของตนเองจนตกอยู่ในสภาพแทบไม่เป็นคน”


 


 


พูดถึงอาการบาดเจ็บของเป่ยเฉินเสียง ฮองเฮาก็ปวดใจขึ้นอีกครั้ง ร่ำไห้ออกมา


 


 


ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะ ลังเลชั่วครู่ กวาดพระเนตรมองหัวหน้าขันทีด้านข้าง ตรัสว่า“ส่งคนไปหาจวินซ่างที่ตำหนักหลินซาน บอกว่าเป็นความต้องการของข้า” 

 

 

 


ตอนที่ 109

 

ตอนที่ 109 จิ่วหุนผู้ดึงดูดสาวน้อยสาวใหญ่

 


 


 


 


ตำหนักหลิงซาน ก่อสร้างขึ้นบนภูเขาหลิงซาน 


 


 


ส่วนเขาหลิงซานก็มิได้ห่างไกลจากวังหลวงเท่าไหร่นัก 


 


 


ในปีนั้นฝ่าบาททรงยืนยันหนักแน่นให้จวินซ่างพำนักอยู่ในวังหลวง แต่จวินซ่างปฏิเสธ ภายหลังฝ่าบาทลงแรงไปไม่น้อยสร้างตำหนักแปรพระราชฐานหลังหนึ่งบนเขาหลิงซานเพื่อจวินซ่าง ตำหนักหรูหราทรงอำนาจ  แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความสูงศักดิ์ของเสินเซ่อเทียนที่มีต่อฮ่องเต้ 


 


 


แม้กระทั่งพระสนมคนโปรดของฝ่าบาท สิบปีก่อนเคยบอกว่าอยากเห็นหน้าจวินซ่าง ยังถูกฝ่าบาทตำหนิยกใหญ่ 


 


 


หัวหน้าขันทีรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปรายงานเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมื่อหัวหน้าขันทีเอ่ยจบ เขาก็สาวเท้ากว้างๆ ออกไป 


 


 


พวกเสนาบดี กั๋วจั้ง ฮองเฮาและซือถูเฟิงยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น  


 


 


ฮองเต้ปรายตามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา พระองค์ถอนหายใจไม่รู้เพราะความเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ ตรัสเสียงเย็นว่า “ลุกขึ้นก่อนเถอะ นั่งรออยู่ด้านนี้ก่อน รอข่าวจากเสินเซ่อเทียน” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” คนทั้งหมดลุกขึ้น 


 


 


ในใต้หล้านี้คนที่ทำให้พวกเขาที่มีอำนาจเช่นนี้ยินยอมนั่งรอข่าวจากเขาก็มีเพียงเสินเซ่อเทียนเพียงคนเดียวเท่านั้น  


 


 


ยามที่ฮองเฮาลุกขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อครู่ใส่อารมณ์มากเกินไปหรือลุกเร็วเกินไป เกิดความรู้สึกเวียนหัวขึ้นอย่างฉับพลันจนเกือบจะล้มลง   


 


 


 “ฮองเฮา” เสนาบดีมองฮองเฮาด้วยความกังวล 


 


 


มาถึงตอนนี้ เขาถึงได้รู้ว่าตนและฮองเฮาเดินอยู่บนเส้นทางสายเดียวกัน พลันรู้สึกขอบคุณฮองเฮาขึ้นมาบ้าง 


 


 


นางกำนัลรีบพยุงฮองเฮาเอาไว้ 


 


 


ฮองเฮาหน้าเซียว ส่ายหัว “ไม่เป็นไร ข้าถูกเจ้าลูกอกตัญญูนั่นทำให้โมโหเท่านั้น” 


 


 


 “ฮองเฮาทรงรักษาพระวรกายด้วย” เสนาบดีรับตอบทันที 


 


 


คนทั้งหมด บ้างก็ลุกขึ้นมาเอง บ้างก็ถูกพยุงขึ้นมา แต่ละคนพากันนั่งอยู่ด้านข้าง 


 


 


   …… 


 


 


ชายแดนเป่ยเฉิน 


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา เดินมาถึงหน้าประตูห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในยามนี้เป็นเวลากลางวันพอดี 


 


 


อวี้เหว่ยยืนอยู่หน้าประตู มองเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา สายตาวาวโรจน์ขึ้นมาทันที รีบพุ่งตัวอย่างรวดเร็วไปเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านมาแล้ว” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยเห็นอวี้เหว่ยดีอกอีใจปานนี้ กลับรู้สึกวางใจขึ้นหลายส่วน 


 


 


ดูท่าเจ้านายของเขาจะไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง ไม่เช่นนั้นเขาคงดีใจไม่ออก 


 


 


จากนั้น… 


 


 


ภายในเวลาเสี้ยววินาทีสีหน้าของอวี้เหว่ยเปลี่ยนไปราวกับนักแสดงเปลี่ยนหน้าของงิ้วเสฉวน จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเศร้าสร้อย มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เตี้ยนเซี่ยได้รับบาดเจ็บแล้ว สิบกว่าปีที่ผ่านมา เตี้ยนเซี่ยไม่เคยบาดเจ็บเลยสักครั้งเดียว ข้าน้อยเป็นกังวลมาก”  


 


 


 “ข้ารู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว” เยี่ยเม่ยตอบกลับไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามว่าทันทีว่า “ร้ายแรงหรือไม่” 


 


 


อวี้เหว่ยรีบพยักหน้ารัวราวกับลูกไก่จิกข้าวสาร “ถูกแล้ว ร้ายแรงมาก ท่านหมอยังบอกว่า เตี้ยนเซี่ยห้ามลงจากเตียงเป็นเวลาหลายวัน ยามนี้เตี้ยนเซี่ยหลับใหลไม่ได้สติเลย”  


 


 


เยี่ยเม่ยได้ฟังก็รีบเดินเข้าไป 


 


 


จู่ๆ ฝีเท้าของนางพลันชะงักไปเล็กน้อย ถามอวี้เหว่ยอีกคำว่า “จะมีผลร้ายในภายหลังหรือเปล่า” 


 


 


อวี้เหว่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ ท่านหมอบอกว่าพักรักษาตัวสักระยะ ก็พอแล้ว” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ อวี้เหว่ยก็เริ่มขอความดีความชอบเพื่อเตี้ยนเซี่ยของตนอย่างเต็มที่ “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าน้อยรู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยจริงใจกับท่านจริงๆ ข้าน้อยติดตามเขาอยู่หลายปี ไม่เคยเห็นเขาใส่ใจสตรีนางไหนเท่านี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่คำพูดของท่านคำเดียว ก็ทำให้บาดเจ็บจนถึงขั้นนี้” 


 


 


คำพูดครึ่งแรกของอวี้เหว่ยล้วนมาจากใจจริง 


 


 


แต่คำพูดครึ่งหลังล้วนเป็นวาจาเหลวไหล เขาเอ่ยได้อย่างหน้าไม่แดงหายใจไม่สะดุดเลย พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าหลายปีที่อยู่ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้สูญเปล่า พูดจาโกหกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักน้อย 


 


 


เยี่ยเม่ยได้ฟังถึงตรงนี้ ก็ถอนใจเบาๆ เปรยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว” 


 


 


สิ้นเสียง หญิงสาวก็เดินเข้าไปในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


อวี้เหว่ยเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปแล้วก็ปิดประตูลง เอามือปิดปากตัวเองด้วยความยินดี ชื่นชมตัวเองอยู่ในใจยกใหญ่ที่เมื่อครู่มีไหวพริบตอบสนองได้ทัน เชี่ยวชาญการเป็นผู้ช่วย สมควรได้รับความชอบอย่างมาก 


 


 


เขารู้สึกเลื่อมใสตัวเองจริงๆ 


 


 


   …… 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเดินเข้าไปในห้อง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนเตียงกำลัง “สลบ” อยู่จริงๆ  


 


 


เขานอนอยู่บนเตียงอย่างสงบเช่นนี้ ความชั่วร้ายและไออัปมงคลบนร่างในยามปกติลดน้อยลงไป มองแล้วกลับดูสง่างามอ่อนโยน ในเวลานี้กลับทำให้คนเห็นแล้วสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 


 


 


หลังจากหลับไป บุรุษผู้นี้ก็ดูอันตรายน้อยลง เมื่อมองดูกลับทำให้ใจคนอ่อนยวบ ทั้งยังรู้สึกสงสารอย่างน่าแปลกประหลาด 


 


 


ใบหน้าซีดขาวไม่เหมือนปกติ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากอาการบาดเจ็บ 


 


 


เยี่ยเม่ยเดินไปข้างเตียงเขา มือขาวผ่องยื่นออกมาวางลงที่หน้าผากเขา ยังดีที่อุณหภูมิปกติ ไม่ได้เป็นไข้ 


 


 


หญิงสาวรู้สึกสบายใจ ในขณะที่กำลังจะชักมือกลับ 


 


 


เขาที่เวลานี้ตกอยู่ในอาการ “สลบ” พลันยื่นมือมากุมมือนางไว้ 


 


 


ดูคล้ายกับว่าเขาไม่รู้ตัว จับมือนางไปวางไว้บนอกแกร่ง 


 


 


เดิมเยี่ยเม่ยคิดว่าเขาฟื้นแล้ว แต่เห็นว่าทั้งหมดที่เขาทำนั้น หาได้เปิดตาเลยสักน้อย เยี่ยเม่ยจึงเขาใจว่าอีกฝ่ายทำทุกอย่างลงไปโดยไม่ได้สติ 


 


 


ความอบอุ่นจากฝ่ามือเขาถ่ายทอดไปที่หลังมือนาง 


 


 


เขาไม่ได้มีไข้ ฝ่ามือก็ไม่ร้อน แต่เยี่ยเม่ยกลับรู้สึกว่าหลังมือของนางคล้ายกับน้ำร้อนลวก 


 


 


หรือหัวใจนางก็ถูกลวกไปแล้วเช่นกัน 


 


 


ในเวลานี้เยี่ยเม่ยก็ไม่เข้าใจว่า ไฉนเวลาสัมผัสตัวเขา นางถึงได้มีความรู้สึกไวเช่นนี้ 


 


 


นี่หาใช่ครั้งแรกที่เขาจับมือนาง แต่เขาจับมือนางนานขนาดนี้แล้วนางยังไม่ชักออก กลับเป็นครั้งแรก 


 


 


จริงด้วย ในขณะที่เยี่ยเม่ยใช้ความคิด เขาก็กุมมือเอาไว้นานแล้ว 


 


 


   …… 


 


 


ในเรือนของจิ่วหุน 


 


 


ชุดสีขาวของบุรุษหนุ่มพลิ้วไหวอย่างรวดเร็ว ท่วงท่าองอาจสง่างามยามอยู่ใต้ต้นไม้ดูงดงามเกินเปรียบ ทุกท่วงท่าของเขาที่ออกจากกระบี่ยาวในมือเกิดเป็นแรงลมคมกริบกระแสหนึ่ง แผ่ไอสังหารภายใต้คมกระบี่ และมีไอสังหารแผ่พุ่งจากหว่างคิ้วของเขา  


 


 


แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ภาพที่เห็นก็ยังทำให้คนรู้สึกว่าเป็นม้วนภาพวาดอันงดงามอย่างที่หนึ่งร้อยปีจะพานพบสักเล่มหนึ่ง 


 


 


ชายแดนมีอากาศหนาวเหน็บกว่าที่อื่นมาก แต่ว่าต้นฤดูหนาว ดอกเหมยชำแรกแตกกิ่งก้านแล้ว 


 


 


ความสง่างามยามเขาร่ายรำกระบี่ในที่นี้ ทำให้แม่นางทั้งหลายที่ผ่านมายืนชมอย่างหลงใหล ลืมไปว่าตนกำลังจะทำอะไร สายตาหลงใหลมองไปที่นี่จนหมดสิ้น 


 


 


เวลาและอากาศคล้ายหยุดนิ่ง หรือเรียกได้ว่ามีเพียงเวลาของแม่นางทั้งหลายเท่านั้นที่หยุดลง 


 


 


ทั่วทั้งเรือน นอกจากจิ่วหุนที่กำลังร่ายรำเพลงกระบี่ 


 


 


แม่นางผู้ผ่านทางทั้งหลายต่างยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ลืมเลือนสิ่งที่ตัวควรกระทำ ทั้งลืมหน้าที่ของตนในยามนี้ไปหมดสิ้น 


 


 


ในเวลานี้เองสตรีสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีฟ้าก็ยืนนิ่ง มองเขาอย่างเหม่อลอย 


 


 


นั่นก็คือไข่มุกเม็ดงามในมือเจ้าเมืองหลิน หลินซูเหย่า 


 


 


ฝ่ายจิ่วหุนไม่มีเวลามองไปทางนั้น ในสายตาเขาเห็นแต่กระบี่ในมือตน เขาบอกไว้แล้วว่า ภายในห้าปีจะต้องเอาชนะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ได้ 


 


 


คำพูดท้าทายหาได้เอ่ยอย่างขอไปทีออกไปเท่านั้น 

 

 

 


ตอนที่ 110

 

ตอนที่ 110 เยี่ยมผู้มีพัฒนาการด้านจิตใจ

 


 


 


 


บุรุษหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา บุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ 


 


 


ทั้งยังมีวรยุทธ์ที่สูงล้ำเช่นนี้ ก็สามารถดึงดูดสายตาของสตรีได้อย่างง่ายดาย 


 


 


แสงแดดเริ่มทวีความร้อน จิ่วหุนเหงื่อทั่วทั้งร่าง 


 


 


กระบี่แทงออกไปเป็นการจบกระบวนท่าฝึก จากนั้นเขารั้งกระบี่เก็บกลับไว้ด้านหลัง 


 


 


ระหว่างที่เขาหมุนกาย ถึงได้เห็นสตรีสิบกว่านาง ยืนตะลึงมองเขาอยู่ 


 


 


สายตาของจิ่วหุนหาได้หยุดอยู่ที่พวกนาง ทั้งยังไม่มีใจมองว่าพวกนางเหล่านั้นมีใครบ้าง เพียงแต่ปรายตามองผ่านไปทีหนึ่ง จากนั้นถอนสายตากลับเดินเข้าห้องตัวเองไป 


 


 


หลินซูเหย่าเห็นดังนี้ ก็ไม่อาจสงบลงได้อีก 


 


 


นางสาวเท้ากว้างติดตามไป เอ่ยปากว่า “คุณชายหยุดก่อน” 


 


 


เสียงไม่นับว่าเบา แต่จิ่วหุนได้ยินแล้ว ทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ใส่ใจนางเลยสักนิด เขาไม่ได้หยุดฝีเท้า ทั้งไม่ได้เดินเร็วขึ้นเพราะการนี้ 


 


 


เขาสาวเท้ากลับห้องของตน หลังจากเข้าไปแล้วก็ปิดประตูลง 


 


 


ทิ้งหลินซูเหย่าที่เดินติดตามเขามาจนถึงหน้าประตูห้องโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน มือวางไว้หน้าประตู มองประตูห้องที่ปิดสนิทแน่น สีหน้าแดงก่ำ รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง จิ่วหุนไม่ใส่ใจนางเลยสักน้อย 


 


 


ทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าสาวใช้มากมาย 


 


 


หลังจากจิ่วหุนหายไป บรรดาสาวใช้แต่ละคนที่ยืนเหม่อลอยก็ค่อยได้สติกลับมา 


 


 


ทุกคนมองคุณหนูที่เป็นกุลสตรีเข้าใจธรรมเนียมมาตลอด วันนี้สูญเสียมารยาทราวกับอันธพาลน้อย พลันรู้สึกว่าไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี แต่ละคนเก็บงำสายตา รู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน รีบร้อนจากไปทำงานของตัวเอง 


 


 


สาวใช้ข้างกายหลินซูเหย่ารีบเดินตามมาถึงข้างกายคุณหนูของตน เอ่ยว่า “คุณหนู พวกเราไปกันก่อนเถอะ เจ้าเมืองเรียกหาท่านมิใช่หรือ”  


 


 


หลินซูเหย่าลังเลครู่หนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องจิ่วหุน ในใจรู้สึกไม่ยินยอม 


 


 


นางมีชีวิตอยู่มาสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบุรุษแล้วใจเต้นแรงขนาดนี้ ถึงขนาดแทบกระดอนออกจากอก ราวกับหัวใจไม่ใช่ของนาง 


 


 


หลินซูเหย่ารู้สึกว่านี่จะต้องเป็นบุรุษที่ชะตากำหนดไว้ของตนแน่ นางยินยอมแต่งให้เขา 


 


 


 “คุณหนู” สาวใช้เตือนขึ้นอีกครั้ง 


 


 


หลินซูเหย่าได้สติกลับมา พลันคิดได้ มองสาวใช้ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าท่านพ่อเรียกหาข้าหรือ” 


 


 


 “เจ้าค่ะ” สาวใช้พยักหน้า 


 


 


หลินซูเหย่าได้สติกลับมาครบถ้วน พยักหน้า “จริงด้วย ท่านพ่อเรียกหาข้า ตอนนี้ข้ากำลังจะไปหาท่าน ไปกันเถอะ” 


 


 


 “เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบติดตามไป 


 


 


   …… 


 


 


ในห้องของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หลังจากเยี่ยเม่ยนั่งไปได้ครึ่งชั่วยาม 


 


 


บางทีอาจเป็นเพราะเหนื่อยแล้ว ถึงได้งีบไปข้างเตียงเขา  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ตั้งอกตั้งใจแกล้งสลบไปอยู่นาน ในยามนี้กลับเปิดตาขึ้น ยื่นมือไปออกไปสกัดจุดหลับนาง 


 


 


อาจเป็นเพราะว่าวรยุทธ์ของเขาล้ำเลิศ ทั้งเยี่ยเม่ยยังเหนื่อยมา นางจึงไม่รู้ตัวว่าถูกเขาสกัดจุด 


 


 


เขาลงจากเตียง อุ้มเยี่ยเม่ย วางนางลงไว้บนเตียง 


 


 


อวี้เหว่ยที่นั่งอยู่ข้างมุมกำแพง ยามนี้ทนคุกเข่าไม่ไหวอีก เห็นว่าเยี่ยเม่ยถูกสกัดจุดหลับ เขาก็รีบร้อนวิ่งเข้ามา เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านแกล้งสลบไปชั่วครู่ก็พอแล้ว ไฉนถึงได้นอนนานถึงขนาดนี้? นี่ไม่ใช่เวลาที่ท่านจะเรียกร้องความรู้สึกดีๆ จากแม่นางเยี่ยเม่ยหรือเป็นเวลาที่ทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยสงสารท่านหรือไง” 


 


 


ความคิดในใจของเขายามนี้คือ แค้นเคืองที่เตี้ยนเซี่ยไม่ได้ดั่งใจเขาเลย ยามเห็นว่าเตี้ยนเซี่ยรู้จักแกล้งบาดเจ็บ เขายังหลงคิดว่าเตี้ยนเซี่ยน่าจะคิดตกแล้ว 


 


 


คราวนี้ก็ดีเชียว 


 


 


มิน่าตอนที่เตี้ยนเซี่ยได้ยินแม่นางเยี่ยเม่ยมาที่เรือน ถึงได้ให้เขาไปยืนเฝ้าหน้าประตูห้อง บอกแม่นางเยี่ยเม่ยว่าเตี้ยนเซี่ยสลบอยู่ หากรู้แต่แรกเขาคงไม่รับปากเตี้ยนเซี่ย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดอ่านในใจของเตี้ยนเซี่ยเริ่มไปผิดที่ผิดทางอีกแล้ว 


 


 


แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง กวาดตามองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง ค่อยๆเอ่ยว่า “เจ้าว่าพัฒนาการทางความรู้สึกของข้า จะไม่ก้าวหน้าจากเดิมบ้างเลยเหรอ” 


 


 


 “หืม? เอ๋?” อวี้เหว่ยชะงักงัน 


 


 


ความหมายของเตี้ยนเซี่ยคือความคิดและจิตใจพัฒนาแล้วหรือ แต่ว่าวันนี้เขาดูไม่ออกเลยสักนิดเดียว 


 


 


ขณะที่เขาอยู่ในความลังเล เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ ถามว่า “นางเหนื่อยมากแล้ว เดิมข้าคิดว่านางจะมาสายกว่านี้ คิดไม่ถึงว่ายามนี้ก็มาแล้ว ตอนนี้เห็นนางเพิ่งกลับมาจากการศึกได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นางย่อมไม่ได้นอนหลับสนิท เยี่ยนแกล้งทำเป็นสลบไปจะดีกว่า นางนั่งสักพักเบื่อก็จะหลับไปเอง…”  


 


 


อวี้เหว่ยเข้าใจแล้ว “ยามที่นางหลับไป ท่านสกัดจุดนางถึงเรียกว่าสำเร็จ ไม่เช่นนั้นอาศัยความตื่นตัวของนาง ต่อให้เป็นท่านก็ยากรับรองว่าจะไม่ทำให้นางตกใจตื่นขึ้น” 


 


 


“ไม่ผิด” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบรับ จากนั้นก็ห่มผ้าให้เยี่ยเม่ย ค่อยๆกล่าวว่า “ให้นางพักผ่อนไปสักหลายชั่วโมงก่อน หากมีเรื่องด่วนทางทหารก็มารายงานข้า” 


 


 


อวี้เหว่ย “…เตี้ยนเซี่ย ชั่วชีวิตของข้าน้อย เป็นครั้งแรกที่เห็นท่านใส่ใจการทหารถึงเพียงนี้” 


 


 


ยากปกติแล้วเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทหาร เป็นคนกลุ่มใหญ่นั่งคุกเข่าเรียงแถวขอร้องให้เตี้ยนเซี่ยช่วยใส่ใจหน่อย เตี้ยนเซี่ยถึงจำยอมทำบ้าง อยากไปทำอะไรก็ทำ วันนี้รับปากว่าจะทำ วันพรุ่งนี้กลับเปลี่ยนใจ 


 


 


วันนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เตี้ยนเซี่ยเอ่ยปากจัดการเรื่องทหารเอง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรายตามองเขา เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “การทหารเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า เพียงแค่อดทนเห็นนางเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ไม่ได้เท่านั้น ออกไปได้แล้ว” 


 


 


อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ 


 


 


อวี้เหว่ยออกไปอย่างเชื่อฟังทันที แต่เขารู้สึกว่าความคิดอ่านทางอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ยออกจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปแล้ว ภายหน้าตัวเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก 


 


 


หลังจากออกไป อวี้เหว่ยก็รีบหลบอยู่ข้างมุมกำแพงแอบมองแอบฟัง 


 


 


อย่าโทษว่าเขาไร้สาระ เพียงแต่อวี้เหว่ยเป็นองครักษ์ข้างกายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เตี้ยนเซี่ยอยู่ที่ไหน เขาไม่อาจอยู่ห่าง ยืนรักษาการหน้าประตูน่าเบื่อเกินไป ยังไม่สู้มาแอบฟังอยู่ตรงนี้ 


 


 


ส่วนที่ว่าทำไมมาแอบอยู่มุมกำแพง แทนที่จะไปที่หน้าต่างนั้นหรือ 


 


 


ก็เพราะว่าแม่นางเยี่ยเม่ยเตือนเขา ไม่อาจแอบฟังอยู่ข้างหน้าต่างอีก เขาก็รับปากตกลงไปแล้วด้วย ดังนั้นเขาตัดสินใจนั่งยองแอบฟังอยู่ข้างมุมกำแพง 


 


 


ดูสิ เขาคืออวี้เหว่ยผู้มีไหวพริบลื่นไหลดังสายน้ำ 


 


 


ในห้องหลังจากอวี้เหว่ยจากมา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนเตียง ห่มผ้าห่มผืนเดียวกับเยี่ยเม่ย ให้นางนอนหนุนแขนเขา รีบคลายจุดที่สกัดไว้ให้นาง 


 


 


เยี่ยเม่ยกลับลึก เพราะนางเหนื่อยมากจริงๆ ที่น่าแปลกก็คือ ในฝันของนางกลับรู้สึกถึงความร้อนข้างกาย เรื่องนี้ไม่ทำให้นางตกใจตื่น แต่กลับทำให้รู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าที่แห่งนี้ค่อนข้างสบายมาก ดังนั้นเยี่ยเม่ยยิ่งขยับเขาไปใกล้ที่แห่งนั้น ซุกเข้าไปในอกเขา กระเถิบเข้าใกล้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากขึ้นไปอีก 


 


 


เห็นนางมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลุบตาลงมอง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย มีความยินดี สายตาฉายรอยยิ้ม กอดนางแน่น 


 


 


แต่ไรมาเขารู้สึกว่าทุกอย่างบนโลกล้วนว่างเปล่า เขาหลงคิดว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตนก็คือการกำจัดความว่างเปล่าเหล่านั้นให้สิ้นซาก 


 


 


แต่ในเวลานี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกพึงพอใจ 


 


 


ราวกับว่าโลกที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้ พลันปรากฏสิ่งที่มีคุณค่าให้จับต้อง ส่วนเขาย่อมไม่มีทางปล่อยมือไปแน่ 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลับตาลง กอดเยี่ยเม่ยเข้าสู่นิทรารมณ์ไปพร้อมๆ กัน 

 

 

 


ตอนที่ 111

 

ตอนที่ 111 วาจาสิทธิ์ของเสินเซ่อเทียน

 


 


 


 


ห้องของเจ้าเมืองหลิน เจ้าเมืองหลินมองหลินซูเหย่าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “เจ้า…เจ้าว่าอะไรนะ” 


 


 


“ท่านพ่อ ลูกบอกว่า ท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมลูกแล้ว ลูกไม่อยากแต่งกับบุตรชายของเจ้าเมืองหลูโจว ลูกมีคนในดวงใจแล้ว” ท่าทีของหลินซูเหย่าหนักแน่น เอ่ยออกมาอย่างว่องไว 


 


 


เจ้าเมืองหลินคิดไม่ถึงว่า ตนเองตามลูกสาวมาหารือเรื่องแต่งงาน บอกว่าเจ้าเมืองหลูโจวส่งคนมาสู่ขอ เขาคิดว่างานแต่งงานนี้เป็นงานที่เหมาะสม รู้สึกดีใจไม่ได้น้อย เดิมทีเรียกนางมาก็เพื่อจะบอกนางเท่านั้นเอง 


 


 


ทั้งเขายังหลงคิดว่าบุตรสาวที่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีและว่านอนสอนง่ายของเขา จะตอบรับในทันที จะแสดงออกว่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านพ่อจัดการ และยังดีใจเหมือนตนเอง 


 


 


ผลเล่า นางพูดว่าอะไรนะ 


 


 


นางบอกว่าตนเองมีคนในดวงใจแล้ว ไฉนเขาถึงไม่รู้เรื่องเลยสักนิด 


 


 


เจ้าเมืองหลินหน้าเครียดมองนาง สูดลมหายใจลึกอยู่หลายที เดินไปนั่งที่เก้าอี้ “อย่างนั้นเจ้าลองว่ามา คนในดวงใจของเจ้าคือใคร” 


 


 


คงไม่ใช่นายทหารในค่ายทหารหรอกกระมัง หรือว่าเป็นบ่าวในจวนเขากัน 


 


 


คิดถึงตรงนี้ เจ้าเมืองหลินก็ปวดหัวจนสมองแทบแตกเป็นเสี่ยง เขาเพียงหวังว่าอย่างน้อยคนที่บุตรสาวชอบจะเป็นแม่ทัพสักคน แต่…หรือว่าจะเป็น “คงไม่ใช่องค์ชายสี่กระมัง” 


 


 


“ไม่ใช่ หลายวันมานี้ลูกไม่ได้ออกจากประตูใหญ่ แม้แต่ประตูเรือนก็ไม่ได้ก้าวออกไป ไม่มีโอกาสพบองค์ชายสี่ จะเป็นเขาได้อย่างไร” หลินซูเหย่ารีบส่ายหน้าทันที  


 


 


เจ้าเมืองหลินได้ฟังบุตรสาวเอ่ยถึงตรงนี้ พลันถอนหายใจออกมา ไม่ใช่องค์ชายสี่ หากบุตรสาวที่รักของเขาชอบองค์ชายสี่ขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นเขาต้องคลั่งแน่ “แล้วเป็นผู้ใดกันแน่” 


 


 


หลินซูเหย่าคิดถึงจิ่วหุน สีหน้าพลันแดงเรื่อขึ้น ภายใต้สายตาไม่พอใจของเจ้าเมืองหลิน นางอึกอักอยู่พักใหญ่ 


 


 


ในที่สุดก็เอ่ยปาก “เป็น…เป็นคุณชายที่เรือนซีหยวนผู้นั้น เขาชื่ออะไรลูกก็ไม่รู้ เมื่อครู่ลูกเห็นเขา ก็เกิดรักแรกพบในทันที ท่านพ่อรักโปรดปรานลูกมาตลอด หวังว่าท่านพ่อจะช่วย…ช่วยลูกคุยเรื่องงานแต่งงานนี้” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าของหลินซูเหย่ายิ่งแดงก่ำ  


 


 


นางเป็นคุณหนูมีชาติตระกูล บุ่มบ่ามพูดถึงบุรุษผู้หนึ่งไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะบอกกับบิดาของตนอย่างตรงไปตรงมา หวังให้เขาช่วยนางไปทาบทามเรื่องแต่งงาน ยามนี้นางรู้สึกใบหน้าร้อนฉ่าราวกับไฟเผา แต่หากได้อยู่ร่วมกับคุณชายผู้นั้น นางก็ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว 


 


 


เจ้าเมืองหลินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ซีหยวน… 


 


 


ใบหน้าของเขาแข็งทื่อไป รีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “นั่นคือที่ที่เสี่ยวจิ่วพักอยู่ใช่หรือไม่” 


 


 


 “เสี่ยวจิ่ว? เขาชื่อเสี่ยวจิ่วหรือ” เวลานี้ในหัวของหลินซูเหย่าเต็มไปบุรุษหนุ่มที่สั่นคลอนหัวใจของนาง ไม่ทันสนใจท่าทางแตกตื่นตกใจของผู้เป็นบิดา สิ่งสำคัญจับเอาไว้ได้เป็นอันดับแรกก็เพียงชื่อของจิ่วหุนเท่านั้น 


 


 


เจ้าเมืองหลินเห็นท่าทางหลงใหลหัวปักหัวปำของนาง ยามนี้รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขานวดหว่างคิ้ว เอ่ยปากว่า “เจ้าหนุ่มนั่น ไม่ใช่คนที่คบหาได้ง่าย อารมณ์ของเขาไม่ดีมากๆ เช้าวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ยังต่อยตีกับองค์ชายสี่ไปยกหนึ่ง ได้ยินว่าถึงเขาจะกล้าหาญ แต่ว่าแข็งกร้าวไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น หากเจ้าอยู่กับเขา…” 


 


 


 “ลูกไม่กลัว” หลินซูเหย่ารีบตัดบทเจ้าเมืองหลินทันที สีหน้าจริงใจ “เรื่องเหล่านั้นลูกไม่กลัว ไม่ว่าเขาจะต่อกรกับราชนิกุล หรือว่าเขาจะมีอารมณ์ไม่ดีชักกระบี่ออกมาได้ทุกเมื่อ ต่อให้วันไหนเขาอารมณ์ไม่ดีชักกระบี่ออกมาฆ่าลูก ลูกก็ไม่กลัว”  


 


 


 “เจ้า…” เจ้าเมืองหลินมองบุตรสาวอย่างไม่อยากเชื่อ เขาถึงกระทั่งรู้สึกว่าเป็นวันแรกที่เขาได้รู้จักบุตรสาวของตนผู้นี้ นางมีความกล้าหาญเกินกว่าที่เขาคาดคิด ทั้งยังดื้อดึงจนน่ากลัว 


 


 


เจ้าเมืองหลินชะงักไป ส่ายหน้า แล้วถอนใจ “แต่เขาเป็นแค่สามัญชนธรรมดาเท่านั้น เจ้าเป็นถึงบุตรสาวเจ้าเมือง งานแต่งนี้ไม่เหมาะสม จะได้อย่างไรกัน” 


 


 


 “เมื่อครู่ท่านพ่อก็บอกแล้วว่า เขากับองค์ชายสี่ต่อยตีกัน ทั้งยังไม่เป็นอะไร ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความสามารถ ไฉนท่านพ่อถึงไม่คิดบ้างว่า วันนี้เขาก็ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว วันหน้าไม่แน่จะประสบความสำเร็จ ลูกยินยอมเดิมพัน ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะยินยอมเดิมพันหรือไม่” หลินซูเหย่าโพล่งออกมาอย่างรวดเร็ว  


 


 


นางเป็นสตรีที่เติบโตมาในห้องหอก็จริง แต่ก็เป็นสตรีที่มีความคิด  


 


 


นางชอบเสี่ยวจิ่ว หลงใหลในท่วงท่าสง่างาม ทั้งยังเห็นความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดในตัวเขา นางรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่นางสามารถฝากฝังชีวิตไว้ได้ อีกทั้งนางยังมองออกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนไร้ปณิธาน ต้องมีสักวันที่เขาจะโบยบินโดดเด่นอยู่บนฟ้า 


 


 


เจ้าเมืองหลินฟังมาถึงเวลานี้ ก็นิ่งเงียบลง 


 


 


ก็จริง ความสามารถของเสี่ยวจิ่วไม่ด้อยเลย ได้ยินว่าคืนนั้นในศึกที่มีต้ามั่ว ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม ช่วงเวลาที่มือถือดาบฟาดฟันลงมานั้น ทหารศัตรูนับหมื่นก็สั่นสะเทือนไปทั้งค่ายทหารแล้ว 


 


 


เซียวเยว่ชิงและหลูเซียวฮั่วนำแม่ทัพกว่าสิบคน ร่วมกันวางแผนร่างหนังสือฎีกาเสนอชื่อเจ้าหนุ่มนี่ให้กับฝ่าบาท หากสำเร็จแล้ว อนาคตเขาต้องกว้างไกลไร้ขอบเขตแน่ 


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจ้าเมืองหลินมองหลินซูเหย่าทีหนึ่ง “พ่อเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ให้พ่อจะคิดดีๆ ค่อยลองไปเลียบเคียงถามความเห็นเขา” 


 


 


หลินซูเหยาฟังคำนี้ รู้สึกว่าความเดือดดาลในใจค่อยสงบลง ดีใจจนคุกเข่าคารวะบิดา “ขอบคุณท่านพ่อ” 


 


 


เจ้าเมืองหลินถอนใจ พยุงบุตรสาวขึ้น 


 


 


   … 


 


 


ในวังหลวง 


 


 


หลังจากผ่านการเฝ้ารออย่างลำบากอยู่หลายชั่วยาม ในที่สุดก็มีข้ารับใช้ในวังเดินเข้ามา 


 


 


สายพระเนตรของฮ่องเต้ในยามนี้วาวโรจน์ขึ้น พระองค์ถึงกระทั่งลุกพรวดเพราะทนไม่ไหว จากนั้นมองเห็นเพียงบ่าวรับใช้เดินเข้ามา กลับไม่เห็นเงาของเสินเซ่อเทียนตามหลัง สีพระพักตร์ฉายความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ที่น่าแปลกก็คือ ฮองเฮาและเสนาบดีเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของฮ่องเต้เช่นนี้ ทั้งสองสบตากัน แววตาของฮองเฮาฉายความโกรธเคือง เสนาบดีใช้สายตาปลอบโยนนาง 


 


 


ฮองเต้ประทับลงบนบัลลังก์มังกรอีกครั้ง บ่าวรับใช้ที่เดินเข้ามาคุกเข่าลง รายงานว่า “ฝ่าบาท จวินซ่างได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ให้บ่าวนำคำพูดกลับมาบอกพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ตรัสว่า “เจ้าว่ามา” 


 


 


ฮองเฮาและพวกเสนาบดีก็เงี่ยหูตั้งใจฟังความเห็นของเสินเซ่อเทียน 


 


 


อย่างไรเสียบุรุษผู้นั้นในสายทุกคนก็เป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง เป็นคนที่เสมือนเทพเจ้า ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เชื่อฟังคำพูดของเสินเซ่อเทียน ในใจของพวกเขาทุกคนก็ยอมรับมาก โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นความหวังเดียวที่จะกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ 


 


 


บ่าวรับใช้เอ่ยว่า “ฝ่าบาท จวินซ่างกล่าวว่า เขาเคยบอกกับพระองค์ไปนานแล้ว นอกจากองค์ชายสี่ทำเรื่องที่คุกคามต่อความปลอดภัยของพระองค์ คุกคามต่อการล่มสลายของราชวงศ์ เขาถึงยอมพิจารณาลงมือจัดการกับองค์ชายสี่ด้วยตัวเอง ยามนี้องค์ชายสี่เพียงแค่เล่นสนุกเป็นเด็ก คิดว่า…” 


 


 


บ่าวรับใช้เอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็มองเสนาบดีและครอบครัวอย่างหวาดกลัว รีบเอ่ยต่อไป “สังหารคนไร้ความสำคัญไม่กี่คน ไฉนฝ่าบาทถึงต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้”  


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ครอบครัวเสนาบดีที่รวมถึงฮองเฮาเข้าไปแทบทนรับไม่ไหว เป็นลมล้มไป 


 


 


ซือถูเฟิงเป็นผู้เยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลซือถูรุ่นนี้ ตั้งแต่เล็กเติบโตขึ้นมาพร้อมกับองค์ชายทั้งหลาย ยามนี้เป็นบ่าซ้ายไหล่ขวาของเป่ยเฉินเสียง ยังมีความดีความชอบด้านการศึก เป็นคนรุ่นหลังที่ตระกูลซือถูตั้งใจอบรมเป็นพิเศษ 


 


 


ทั้งเป็นบุตรชายที่เสนาบดีภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ไฉนเมื่อกล่าวออกมาจากปากเสินเซ่อเทียนแล้ว กลับกลายเป็นคนไม่สลักสำคัญอันใดเล่า 


 


 


ในยามนี้ฮ่องเต้ทนไม่ไหวกระแอมไอออกมา พระองค์รู้สึกเสียหน้าแทนครอบครัวของเสนาบดีนัก หากรู้แต่แรกคงฟังคำพูดนี้คนเดียว ไม่ให้พวกเสนาบดีร่วมฟังด้วยแล้ว 


 


 


ฮ่องเต้กวาดพระเนตรมองคนผู้นั้น เอ่ยปากถามว่า “ยังมีอะไรอีก” 


 


 


 “ยังมีอีก” คนผู้นั้นพยักหน้า ใช้สายตาเห็นใจและหวาดกลัวมองไปที่ฮองเฮาอีกครั้ง ยามนี้ฮองเฮาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี 


 


 


ไม่ช้า เขาค่อยเสริมต่อ “จวินซ่างบอกว่า ได้ยินว่าความคิดที่จะสังหารองค์ชายสี่ ฮองเฮาเป็นผู้เสนอขึ้นมา จวินซ่างรู้สึกไม่อยากเชื่อมาก เสือร้ายไม่กินลูก การกระทำทั้งหมดของฮองเฮา ทำให้จวินซ่างรู้สึกเปิดหูเปิดตานัก”  


 


 


เมื่อบ่าวรับใช้เอ่ยออกมา บ่าวทั้งหมดในสถานที่นี้ต่างตะลึงพรึงเพริด 


 


 


ทุกคนต่างพยักหน้าอยู่ในใจ จริงด้วย ไฉนก่อนหน้าพวกเขาถึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลยสักน้อย 


 


 


ฮองเฮาคล้ายกับมีอคติกับองค์ชายสี่มาตลอด นี่หาใช่การแสดงออกที่มารดาทุกคนควรมีกระมัง 


 


 


ฮองเฮาฟังมาถึงตรงนี้ ใบหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว ชี้ไปที่คนผู้นั้นเอ่ยว่า “เสินเซ่อเทียนจะรู้อะไร ยามที่ข้าเอ่ยออกมาว่าให้กำจัดลูกอกตัญญูผู้นั้น ในใจของข้าเจ็บปวดนัก เพื่อราชวงศ์เป่ยเฉิน เพื่อราชสำนัก ข้าไม่อาจไม่เอ่ยออกมา การเสียสละเช่นนี้ ข้าเองเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด”  


 


 


บ่าวรับใช้เมื่อได้ฟัง มองฮองเฮาด้วยความสงสาร เสริมขึ้นต่อว่า “จวินซ่างคาดได้แต่แรกว่าฮองเฮาจะเอ่ยเช่นนี้ จวินซ่างเอ่ยว่า…การเสแสร้งทำเพื่อแผ่นดินของฮองเฮา ไม่อาจปิดบังความโหดร้ายไร้น้ำใจ คิดแต่จะสนับสนุนองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ของท่านได้” 


 


 


คนทั้งหมด “…” 


 


 


เสินเซ่อเทียนผู้นี้…คิดอย่างไรก็พูดเช่นนั้นจริงๆ   


 


 


ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น  


 


 


 “ตุบ” ฮองเฮาคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ เอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกปรักปรำ หม่อมฉันหาได้เป็นอย่างที่เสินเซ่อเทียนกล่าวหา หม่อมฉัน…”  


 


 


 “เจ้าหมายความว่าเสินเซ่อเทียนปรักปรำเจ้าหรือ” สีพระพักตร์ฮ่องเต้พลันเย็นชา  


 


 


สีหน้าของทุกคนในที่นี้ไม่น่ามองสักเท่าไหร่ พวกเขาเคารพจวินซ่างเป็นอย่างมาก ในสายตาพวกเขาเสินเซ่อเทียนเสมือนเทพเจ้าจำแลงกายลงมา ไม่ว่ารูปโฉม ความองอาจ หรือว่าความสามารถ ล้วนเป็นเทพเจ้าโดยมิต้องสงสัย 


 


 


เสินเซ่อเทียนเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ก็คือวาจาสิทธิ์ ต่อให้เป็นฮองเฮา ก็เกรงว่าไม่อาจกล่าวหาจวินซ่างได้  


 


 


ฮองเฮาพลันตระหนักได้ รีบเอ่ยปากว่า “หม่อมฉัน…ไม่กล้า” 


 


 


ฮองเต้ถอยสายตากลับมองคนผู้นั้น “ยังมีอีกไหม” 


 


 


บ่าวรับใช้เอ่ยต่อ “จวินซ่างบอกว่า ไม่ว่าแม่ทัพซือถูจะออกจากชายแดนด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่อาจผิดต่อกฎหมายของบ้านเมือง จวินซ่างคิดว่าการที่องค์ชายสี่เสนอให้ประหารแม่ทัพซือถู ถึงจะไร้น้ำใจแต่ก็ถูกต้องตามกฎหมาย และหวังว่าฝ่าบาทจะไม่ปล่อยแม่ทัพซือถูเพราะมีอคติต่อองค์ชายสี่ ทั้งเสนอว่าหากฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าฮองเฮาไม่อาจประหารแม่ทัพซือถู ก็สามารถเนรเทศเขาได้” 


 


 


ในเวลานี้เสนาบดีจะเป็นลมตายแล้ว 


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ บ่าวรับใช้ไม่รอให้ฮ่องเต้ไถ่ถามต่อ ก็เอ่ยปากเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ยังมีคำพูดสุดท้ายอีก จวินซ่างหวังว่าภายหน้าฝ่าบาทจะไม่เอาเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญเช่นนี้ไปรบกวนจวินซ่างอีก จวินซ่างเห็นแก่สถานการณ์ส่วนรวม สนใจความปลอดภัยของพระองค์ ส่วนเรื่องของพวกแม่ทัพซือถู…เรื่องความเป็นความตายของคนไม่สำคัญ จวินซ่างหาได้ใส่ใจ” 


 


 


ซือถูเฟิงรู้สึกเหมือนว่าตนเองจวนเจียนจะกระอักเลือดออกมาแล้ว 


 


 


คนในตระกูลเสนาบดีต่างก็สีหน้าเขียวคล้ำ 

 

 

 


ตอนที่ 112

 

ตอนที่ 112 เนรเทศหรือประหาร

 


 


 


 


ใครล้วนคิดไม่ถึงว่า ลงมืออยู่ครึ่งค่อนวัน ผลสุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้  


 


 


เสนาบดีไม่เอ่ยมากความ รีบคุกเข่ากลางโถง “ฝ่าบาท ขอให้พระองค์โปรดไตร่ตรองด้วย เฟิงเอ๋อเป็นคนที่ตระกูลซือถูให้ความสำคัญที่สุดในรุ่นนี้ ทั้งเป็นความหวังของตระกูลซือถู ขอให้ฝ่าบาททรงสงสารที่กระหม่อมอายุมากแล้วร่างกายไม่แข็งแรง เมตตาที่กระหม่อมจงรักภักดี อย่าได้เนรเทศเฟิงเอ๋อเลย” 


 


 


ยามนี้พระสสุระเองก็ลนลาน 


 


 


อย่างไรเสียซือถูเฟิงก็เป็นหลานชายคนที่เขาให้ความสำคัญ เขาไม่พูดมากความ คุกเข่าอย่างรวดเร็วตามเสนาบดี เอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท ตระกูลซือถูเป็นขุนนางภักดีมาตลอดหลายชั่วอายุคน หลายปีที่ผ่านมาไม่มีความดีก็มีความชอบ ขอให้ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ยามนี้เสินเซ่อเทียนเอ่ยปากแล้ว พวกเขาจะไม่ลนลานได้อย่างไร  


 


 


ไม่กล้าพูดถึงเรื่องอื่นอีก ไม่กล้าพูดถึงการกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือเยี่ยเม่ย ทำได้แต่เพียงยกเอาคุณงามความดีทั้งหลายของวงศ์ตระกูลเอ่ยออกมา  


 


 


หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่คุณงามความดี เหลือทางรอดเอาไว้ให้ซือถูเฟิง 


 


 


สิ้นเสียงพวกเขา เป็นเวลาเดียวกับที่ฮองเฮากำลังจะลุกขึ้น ฮ่องเต้ปรายตามองทุกคน สุรเสียงเย็นชาตรัสว่า “พอแล้ว เรื่องที่ซือถูเฟิงออกจากค่ายทหารโดยพลการ เดิมทีโทษประหาร เสินเซ่อเทียนเอ่ยไม่ผิด ข้าไม่ควรผิดกฎหมายเพื่อเขาเพียงคนเดียว ในเมื่อเสินเซ่อเทียนเห็นว่าให้เนรเทศ เช่นนั้นก็เนรเทศเถอะ” 


 


 


 “ฝ่าบาท…” พระสสุระอายุมากแล้ว ได้ยินคำตัดสินหนักแน่นของฮ่องเต้ ยามนี้ดวงตากลอกกลับ ร่างกายผู้เฒ่าทนรับการจู่โจมเช่นนี้ไม่ไหว เป็นลมสิ้นสติไป 


 


 


 “ท่านพ่อ…” ฮองเฮาและเสนาบดีแตกตื่น 


 


 


ฮ่องเต้ ทรงตวัดสายตามองหัวหน้าขันทีด้านข้าง เอ่ยว่า “รีบตามหมอหลวงมาตรวจอาการพระสสุระ” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีไม่พูดพร่ำ รีบออกไปสั่งการ 


 


 


ฮ่องเต้ตรัสมาถึงตรงนี้ ก็มองทุกคนในห้องโถงอีกครั้ง พระสุรเสียงเย็นเยียบ “พระสสุระสุขภาพไม่แข็งแรง เกษียณไปหลายปีแล้ว ภายหน้าเรื่องพวกนี้พวกเจ้ามาหาข้าก็พอ ไม่ต้องพาพระสสุระมาอีก ร่างกายของเขาทนรับไม่ไหว” 


 


 


ขุนนางผู้หนึ่งเป็นลมสลบไปต่อหน้าฮ่องเต้บ่อยครั้ง เป็นสถานการณ์ที่พระองค์ไม่อยากเห็น 


 


 


เมื่อครู่ฮ่องเต้ยินยอมร่วมปรึกษาเรื่องกำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับพวกเขา จนมาถึงบัดนี้เปลี่ยนเป็นเจ้านายผู้เย็นชาชัดเจน ทำให้ทุกคนในที่นี้เย็นเยียบไปทั้งใจ 


 


 


โดยเฉพาะฮองเฮาที่เข้าใจมากที่สุด ในเมื่อเสินเซ่อเทียนเอ่ยแล้ว ฮ่องเต้ย่อมทำตามความหมายของเขา ใครพูดก็ไม่มีประโยชน์ 


 


 


ซือถูเฟิงในยามนี้กลับตวัดสายตามองฮ่องเต้ กำหมัดคารวะ “ฝ่าบาท เรื่องนี้เดิมที่เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมน้อมรับการลงโทษและผลทั้งหมด”  


 


 


ยามที่เขาเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ฮองเฮาและเสนาบดีต่างมองเขาด้วยความไม่ยินยอม 


 


 


เสนาบดีตวาดเสียงดัง “เฟิงเอ๋อ เจ้ากำลังเอ่ยวาจาเหลวไหลอันใดกัน ยังไม่รีบขอร้องฝ่าบาทอีก เนรเทศ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเข้าใจหรือไม่ หากไม่ระวัง เจ้าอาจไม่มีชีวิตรอดกลับมา” 


 


 


พื้นที่ที่ถูกเนรเทศล้วนเป็นสถานที่อัตคัดกันดาร ไม่แน่อาจจะมีโจรป่า เกิดความวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ถึงกระทั่งต้องไปทำงานใช้แรงงาน 


 


 


เฟิงเอ๋อเป็นคุณชายที่ถูกพะเน้าพะนอจนเคยชินมาตั้งแต่เล็ก รับราชการงานอยู่ในค่ายทหารมาตลอด ไม่อาจทนรับความลำบากพวกนั้นได้ 


 


 


ซือถูเฟิงหันหน้ามองเสนาบดี สายตาเต็มไปด้วยแววปลอบโยน “ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เมืองมีกฎหมาย ฝ่าบาทจัดการตามกฎหมาย ลูกไม่มีคำจะเอ่ย ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีมีโทษประหาร แต่ฝ่าบาททรงกรุณา ลงโทษเนรเทศ ลูกสมควรซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณถึงจะถูก”  


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ฮ่องเต้กลับชื่นชมซือถูเฟิงขึ้นบ้าง 


 


 


ในใจพลันเกิดความเสียดาย หากมิใช่เพราะเด็กคนนี้ล่วงเกินเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อาศัยที่เขายืดได้หดได้ รู้จักสถานการณ์ ภายหน้าสามารถใช้งานใหญ่ได้ 


 


 


 “นี่…เฮ้อ” เสนาบดีถอนหายใจ ความจริงในใจก็เข้าใจดี เรื่องนี้ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว การขอร้องในยามนี้ก็เป็นแค่ไม่ยินยอม ในใจยังเหลือหวังว่าจะโชคดีสักน้อยก็เท่านั้นเอง 


 


 


เมื่อเห็นว่าเสนาบดีไม่เอ่ยอะไรอีก ซือถูเฟิงพลันคุกเข่า “ฝ่าบาท เมืองมีกฎหมาย กระหม่อมทำเช่นนี้ถูกลงโทษตามกฎบ้านเมือง กระหม่อมไม่มีอะไรจะพูด แต่ว่าองค์ชายสี่ท้าทายอำนาจของพระองค์ ท้าทายคำสั่งของพระองค์หลายครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขายึดกระบี่พระราชทานจากผู้ตรวจการทหารมอบให้แม่ทัพหลี่อีก” 


 


 


เขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ ฮ่องเต้สีหน้าคล้ำลง 


 


 


ซือถูเฟิงกำลังเตือนพระองค์ เจ้าลูกอกตัญญูก่อเรื่องมากมาย แต่เสินเซ่อเทียนนกลับคิดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง 


 


 


พูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้านัก 


 


 


ซือถูเฟิงเห็นสีพระพักตร์แปรเปลี่ยน รู้ได้ว่าตนเองไปกระทบถูกปมในใจฮ่องเต้แล้ว เขาเอ่ยต่อว่า “ไม่ว่าวันนี้ฝ่าบาทจะจัดการกับกระหม่อมอย่างไร จะประหารหรือเนรเทศ กระหม่อมไม่มีคำใดจะเอ่ยสักน้อย เพียงแต่หวังว่าฝ่าบาทจะระวังองค์ชายสี่เอาไว้ คำพูดของราชครูในปีนั้นไม่อาจไม่ระวัง ถึงวันนี้องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจในอำนาจของพระองค์เลยสักน้อย ยิ่งต้องระวัง” 


 


 


เขาซือถูเฟิงต่อให้ถูกเนรเทศ นับตั้งแต่นี้ต้องออกจากการแย่งชิงอำนาจ แต่เขาจะต้องฝังความคิดสังหารเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไว้ในใจของฝ่าบาทให้ได้ สรุปแล้วคือต้องมีสักวันที่บทสรุปของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะน่าอนาถมากกว่าเขาซือถูเฟิง 


 


 


 “คำพูดของเจ้า ข้าจะไตร่ตรองดู” แน่นอนว่าฮ่องเต้หาได้โง่เขลา เขารู้ว่าซือถูเฟิงก็แค่ปลุกปั่นยุแยง แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็เป็นความจริง ต่อให้เป็นคำยุแยงก็ไม่มีอะไรผิด 


 


 


ซือถูเฟิงเอ่ย “หวังว่าฝ่าบาทจะระวัง อีกอย่างยังมีสตรีที่เรียกว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้น ไม่ว่านางจะมีเหตุผลมากมายแค่ไหน นางท้าทายกฎหมาย สังหารคนที่ชายแดนไปไม่น้อย อาละวาดอยู่ในที่ว่าการอำเภอ ทำร้ายขุนนางราชสำนัก ฝ่าบาท เรื่องเหล่านี้ล้วนมีโทษสถานหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางทำร้ายเฉียงเอ๋อเลย สตรีนางนี้ ฝ่าบาทไม่อาจปล่อยไป อย่างไรจวินซ่างก็บอกแล้วว่าเมืองมีกฎหมาย” 


 


 


เขาใช้คำพูดของเสินเซ่อเทียนยอกย้อนเตือนฮ่องเต้ไม่หยุด หากบอกว่าทำผิดกฎหมายแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ยก็ทำผิดเช่นกัน พวกเขาสมควรได้รับการลงโทษ 


 


 


ฮ่องเต้ย่อมเข้าใจความหมายของเขา ผู้เป็นกษัตริย์ถอนหายใจยาว ตรัสว่า “ในยามนี้เยี่ยเม่ยมีตราพยัคฆ์ควบคุมทหารชายแดนสองแสนนาย ข้าดูว่านางมีความสามารถมากเพียงใด ดูว่ามีโอกาสใช้ความดีลบล้างความผิด พอแล้ว ไม่ต้องเอ่ยอะไรอีก เนรเทศซือถูเฟิงไปที่หนานเจียง ไม่มีราชโองการไม่อาจกลับมาเมืองหลวง” 


 


 


ถึงฮ่องเต้จะชื่นชอบเจ้าหนุ่มนี่ แต่ก็ไม่ชอบที่เขาใช้คำพูดของเสินเซ่อเทียนยอกย้อนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


อย่างไรเสียสิ่งที่ซือถูเฟิงไม่เข้าใจ พระองค์ผู้เป็นเจ้านายกลับเข้าใจ เสินเซ่อเทียนเห็นคนเข้มแข็งอยู่ในสายตาเท่านั้น เขาไม่ใส่ใจความเป็นตายของซือถูเฟิง ก็เพราะว่าสายตาของเสินเซ่อเทียน ไม่แม้แต่จะปรายหางตาตามองบุคคลตัวเล็กๆ อย่างซือถูเฟิงก็เท่านั้นเอง 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” ซือถูเฟิงเอ่ยปาก สีหน้าไม่มีความไม่ยินยอมเลยสักน้อย 


 


 


ซือถูเฉียงกลับมองพี่ชายอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านพี่” 


 


 


ฮ่องเต้ส่งสายพระเนตรตักเตือนนาง ซือถูเฉียงเงียบลงทันที 


 


 


ไม่ช้า สายพระเนตรของฮ่องเต้ก็กลับเคลื่อนไปที่แม่ทัพหลี่ 

 

 

 


ตอนที่ 113

 

ตอนที่ 113 ดึงดันช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแก้ตัว

 


 


 


ยามนี้แม่ทัพหลี่หัวใจหดเกร็ง


 


 


คนทั้งหมดวิ่งมาที่นี่ พูดอย่างเปิดเผยก็คือมาร้องเรียนองค์ชายสี่ ยามนี้เห็นผลลัพธ์ของการร้องเรียนองค์ชายสี่ที่มีต่อตระกูลเสนาบดี เป็นเช่นนี้…


 


 


ฮองเฮาเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน มาช่วยขอร้องยังไร้ประโยชน์


 


 


อย่างนั้นตนเป็นแค่แม่ทัพรักษาชายแดนตัวเล็กๆ มาร้องเรียนองค์ชายสี่ ยังเหลือทางรอดชีวิตอีกหรือ


 


 


ฝ่าบาทคงไม่ลงโทษให้เขาไปกับซือถูเฟิง…เป็นเพื่อนร่วมทางหรอกกระมัง?


 


 


ไม่


 


 


อย่าเชียว


 


 


แม่ทัพหลี่โขกศีรษะ “ฝ่าบาท พระองค์…”


 


 


ฮ่องเต้จ้องแม่ทัพหลี่ ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำพูด ก็ชิงตรัสว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเสินเซ่อเทียน เจ้าก็ได้ฟังแล้ว”


 


 


 “ได้ยินแล้ว” แม่ทัพหลี่ตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยคำตอบออกมา


 


 


ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “เจ้าเป็นถึงแม่ทัพรักษาชายแดน ต้องเห็นคำสั่งของนายทัพมาเป็นอันดับแรก หน้าที่ของทหารคือเชื่อฟังคำสั่ง ดังนั้นเจ้าสมควรเห็นคำสั่งขององค์ชายสี่เป็นสำคัญ…”


 


 


อะไรนะ?


 


 


เวลานี้แม่ทัพหลี่ชักอยากร้องไห้ออกมาเสียแล้ว


 


 


ใครๆ ก็รู้ว่าคำสั่งขององค์ชายสี่เป็นความผิด ถึงกระทั่งขัดต่อคุณธรรมฟ้าดิน ฝ่าบาทถึงกับใช้หลักการแม่ทัพจับศึก มิต้องรอบัญชาฮ่องเต้[1] ดึงดันแก้ต่างให้องค์ชายสี่


 


 


ที่น่ากลัวที่สุดคือ ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระพักตร์ได้ไวนัก คำพูดของเสินเซ่อเทียนส่งผลต่อพระองค์มากเกินไปแล้ว


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฝ่าบาทยังถูกองค์ชายสี่ทำให้โมโหจนแทบตาย ตอนนี้จู่ๆ จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไป


 


 


แม่ทัพหลี่ไม่กล้าแก้ต่างให้ตนเอง ได้แต่โขกหัว เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ฝ่าบาท ขอให้พระองค์ลงโทษด้วย”


 


 


นัยน์ตาเขามีน้ำตาเอ่อล้น ในใจแอบคิดถึงบุรุษผู้ล่วงลับที่บ้าน หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ประหารเขา หากไม่ได้จริงๆ ก็เนรเทศไปกับแม่ทัพซือถูเถอะ


 


 


ไม่ว่าเอ่ยอย่างไรก็ยังดีกว่าประหารมิใช่หรือ


 


 


จากนั้นฮ่องเต้เพียงมองเขา ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นเยียบ “ข้าไม่คิดจะเนรเทศเจ้า เจ้ารีบเดินทางกลับชายแดน ส่วนจะจัดการอย่างไรก็เป็นเรื่องขององค์ชายสี่ ข้าไม่อาจก้าวก่าย”


 


 


 “ฝ่าบาท” แม่ทัพหลี่ในยามนี้อยากร้องไห้ออกมา


 


 


ให้เขากลับไปรับการลงโทษขององค์ชายสี่ที่ชายแดน ฝ่าบาท ไม่นี่มิใช่การเอาชีวิตเขาแล้วหรอกหรือ


 


 


องค์ชายสี่จะลงโทษเขาอย่างไร


 


 


ไม่ว่าเรื่องเขาฆ่าซือถูเฉียงไม่ได้สำเร็จ หรือเพราะหนีมาฟ้องฝ่าบาทที่นี่ อนาคตของเขาก็ดำมืดหม่นแล้ว


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้


 


 


แม่ทัพหลี่พลันโขกศีรษะอีก “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไม่สู้พระองค์เนรเทศกระหม่อม หากไม่ได้จริง ฝ่าบาทประหารกระหม่อมเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อยากลับไปเผชิญหน้ากับองค์ชายสี่ ฝ่าบาท ทรงโปรดเมตตาด้วย”


 


 


เขายินยอมตาย ก็ไม่คิดกลับไปเผชิญหน้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปีศาจผู้นั้น


 


 


เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดี อีกฝ่ายย่อมมีร้อยวิธีในการทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย


 


 


ฮ่องเต้เห็นเขาหวาดกลัวถึงขั้นนี้ ท่าทางเหมือนท้องฟ้าอับแสงมืดมิด ในใจพลันเกิดความเห็นใจอย่างหาได้ยาก แต่ในที่สุดก็ส่ายหน้า “นี่คือเรื่องของเจ้ากับองค์ชายสี่ ข้าไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่ง เวลาสายมากแล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”


 


 


 “ฝะ…ฝ่าบาท”


 


 


สีพระพักตร์ฮ่องเต้เย็นชา


 


 


คนทั้งกลุ่มได้แต่ร่นถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ


 


 


ซือถูเฉียงรู้สึกโง่งมไปแล้ว มองพี่ชายของตนน้ำตาไหลไม่หยุด รู้สึกว่าตนเองพลอยทำให้พี่ชายที่เดิมมีอนาคตกว้างไกลเดือดร้อนไปด้วย


 


 


เมื่อทุกคนเดินออกจากตำหนัก องครักษ์ที่ทำหน้าที่คุมตัวซือถูเฟิงก็กรูเข้ามา


 


 


ซือถูเฟิงมองน้องสาวทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าออกคำสั่งไปแล้ว ให้พี่น้องในค่ายทหารกระจายข่าวของจิ่วหุนออกไป เชื่อว่าไม่กี่วันนี้จะมีผลแน่”


 


 


ซือถูเฉียงฟังดังนี้ ดวงตายิ่งเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา


 


 


ซือถูเฟิงเอ่ยกับน้องสาวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ตระกูลซือถูของพวกเรา ไม่มีทางเสียเปรียบเปล่าๆ แน่นอน ไม่ช้าพวกเขาจะได้รับผลกรรม”


 


 


 “อืม” ซือถูเฉียงพยักหน้าที่เปื้อนน้ำตา “พี่ชาย เป็นเฉียงเอ๋อทำร้ายท่านแล้ว”


 


 


 “ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ซือถูเฟิงส่ายหน้า ถอนใจ ก้าวจากไปภายใต้การคุมตัวของเหล่าองครักษ์


 


 


เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซือถูเฉียงจริง ล้วนเป็นเพราะเขาเลือกเดินทางผิด ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ผิดพลาด


 


 


เวลานี้เขาสงสัยจริงๆ ไฉนเขาต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายใหญ่ด้วย ไฉนเขาถึงหลงคิดว่าไม่ว่าอย่างไรองค์ชายใหญ่ก็สามารถช่วยเขาได้


 


 


เขาถึงกับลืมไปว่า ต่อหน้าองค์ชายสี่ องค์ชายใหญ่เองยังยากจะปกป้องตัวเอง จะช่วยเขาได้อย่างไร


 


 


ความจริงแล้ว ซือถูเฟิงก็เป็นตัวโง่งมเช่นกัน


 


 


แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเยี่ยเม่ยใช้ชีวิตได้ดี เขาได้รับความทุกข์ยากลำบาก พวกเยี่ยเม่ยก็ต้องได้รับความลำบากไปกับเขาด้วย


 


 


แม่ทัพหลี่ในยามสีหน้าลนลานแตกตื่นเดินออกจากตำหนัก


 


 


แม่ทัพหลี่คล้ายกับต้องอาคมมนต์ดำ วิญญาณออกจากร่าง คล้ายกับท่อนไม้ท่อนหนึ่งก็ไม่ปาน เดินผ่านฮองเฮาและเสนาบดีไปด้วยสีหน้าเศร้าสลดเป็นอย่างมาก 


 


 


เขาในยามนี้ไม่มีอารมณ์กล่าวคำนับฮองเฮาอีกแล้ว ทั้งไม่อยากทักทายเป็นพิธีอะไรกับเสนาบดี ยามที่ชีวิตของตนใกล้จะรักษาเอาไว้ไม่ได้ เขาไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องเหล่านี้อีก


 


 


ฮองเฮาและเสนาบดีเห็นท่าทางมืดหม่นของเขา ก็เข้าใจความสิ้นหวังในยามนี้ของเขา ไม่มีใครเอาความเรื่องหยุมหยิมกับเขาอีก


 


 


ในเวลานี้เอง ท้องฟ้าพลันเกิดฝนตกห่าใหญ่


 


 


ความเปลี่ยนแปลงของอากาศรุนแรงและไร้สัญญาณเตือน


 


 


แม่ทัพหลี่เข้าใจว่า ฝนห่านี้ตกเพื่อร้องไห้ให้กับตัวเอง เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนในยามนี้ได้อีก คุกเข่าลง ตะเบ็งเสียงดัง “องค์ชายสี่แทรกแซกราชสำนัก บ้านเมืองล่มสลายแล้ว”


 


 


 “บ้านเมืองล่มสลาย”


 


 


เขามีสีหน้าเศร้าสลด ร้องแผดเสียงดังขึ้นอีกราวกับเป็นการร่ำร้องครั้งสุดท้ายก่อนตายของขุนนางผู้ภักดีที่สุด และความกังวลต่ออนาคตของฮ่องเต้


 


 


เหล่าทหารที่ผ่านมาเห็นสถานการณ์ ไม่พูดอะไรก็รีบลากแม่ทัพออกจากวังหลวง


 


 


คำพูดเหล่านี้หากฝ่าบาทได้ยินเข้า เช่นนี้จะได้อย่างไร


 


 


ส่วนแม่ทัพหลี่ยิ่งแผดเสียงดังขึ้นไปอีก ตวาดร้องอย่างไม่อาจสะกดอารมณ์ได้ “กษัตริย์เลอะเลือน เสินเซ่อเทียนยึดอำนาจ องค์ชายสี่ไร้กฎหมาย ราชวงศ์เป่ยเฉิน จบสิ้น จบสิ้นแล้ว”


 


 


หลังจากเหล่าทหารทั้งหลายได้ฟัง สีหน้าพลันเปลี่ยนไป


 


 


หลังจากออกจากประตูวังหลวง ก็โยนแม่ทัพหลี่ออกไปอย่างแรง เขาเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นสภาพน่าอนาถใจ


 


 


คนทั้งหลายต่างไม่พอใจ เสินเซ่อเทียนผู้ชื่นชอบชีวิตอิสระเสรี กลับจำเป็นต้องสอดมือยุ่งเรื่องทางโลกก็เพื่อช่วยราชวงศ์เป่ยเฉิน ภาพลักษณ์ของเสินเซ่อเทียนในใจของทุกคนคือเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง


 


 


แม่ทัพหลี่เอ่ยเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่พอใจ รู้สึกว่าคนที่ตนเคารพนับถือถูกว่าร้าย คำพูดนี้ยังทำให้พวกเขาโมโหมากกว่าราชวงศ์เป่ยเฉินจบสิ้นแล้วเสียอีก


 


 


ส่วนแม่ทัพหลี่หลังจากที่ตะกายลุกขึ้นมา ก็เหมือนกับเป็นคนเสียสติ วิ่งไปพลางเอ่ยว่า “ราชวงศ์เป่ยเฉิน จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว”


 


 


หน้าประตูวัง รถม้าคันหนึ่งจอดลง


 


 


เซี่ยโหวเฉินลงมาจากรถม้า เห็นสภาพแม่ทัพหลี่เสียสติจากไป พลันเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ เขาถอนหายใจออก หันกลับไปมององครักษ์ “ไปทูลฝ่าบาท บอกว่าเซี่ยโหวเฉินรู้ว่าพระองค์ลำบากใจ มีความคิดที่ส่งผลดีทั้งต่อสองฝ่าย ช่วยพระองค์คลี่คลายสถานการณ์ได้”   


 


 


 


 


[1] แม่ทัพจับศึก มิต้องรอบัญชาฮ่องเต้ หมายถึง ยามที่ที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน หรือแม่ทัพที่ออกรบเพื่อแก้ไขสถานการณ์ อาจจะลงมือก่อนรายงานทีหลัง ไม่รอคำสั่งจากเบื้องบน

 

 

 


ตอนที่ 114

 

ตอนที่ 114 เจ้ามาอยู่บนเตียงข้าได้อย่างไร

 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ไม่รู้สถานการณ์ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรมากความ รับปากในทันที หมุนกายเข้าวังไป


 


 


บ่าวประจำกายเซี่ยโหวเฉิน มองแผ่นหลังของแม่ทัพหลี่ผู้คลุ้มคลั่งจากไป เอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋องน้อย ท่านว่าเขาเป็นอะไรแล้ว”


 


 


เซี่ยโหวเฉินยิ้มจางๆ ส่ายหน้า “ยังจะเป็นอะไรได้อีก นอกจากฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขากลับไปให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจัดการความผิดเขา มีใครบ้างที่หลังจากเอามีดแทงหลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังจะกล้ากลับไปหาคนผู้นั้นอีก”


 


 


เมื่อเซี่ยโหวเฉินเอ่ยออกไป ยามนี้บ่าวผู้นั้นก็เข้าใจแล้ว


 


 


จริงด้วย องค์ชายสี่มีนิสัยอย่างไร ใครไม่รู้บ้าง


 


 


นั่นคือปีศาจขนานแท้ แม่ทัพหลี่อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว ยามนี้แม่ทัพหลี่รับการจู่โจมไม่ไหว เกิดความกังวลในอนาคตของตัวเองจนกลายเป็นคนบ้า ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้


 


 


บ่าวประจำกายถอนใจ “แม่ทัพหลี่ก็ทำเพื่อแผ่นดินแลราษฎร เสียสติไปแล้วยังระลึกถึงอนาคตของราชวงศ์เป่ยเฉิน”


 


 


เซี่ยโหวเฉินยิ้มเยาะ “คิดถึงอนาคตของราชวงศ์เป่ยเฉินหรือ เขาก็แค่เป็นห่วงอนาคตของตนเท่านั้น ใต้หล้านี้นอกจากคนอย่างเจ้านายเจ้าแล้ว คนอื่นล้วนเป็นพวกโง่งม ส่วนแม่ทัพหลี่ยิ่งเป็นสุดยอดตัวโง่งมในบรรดาตัวโง่งม เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้อำนาจล้นฟ้า ใครก็ยากขัดขวาง เขากลับเป็นปรปักษ์เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังจะได้รับผลดีอะไรอีก คนไม่รู้สถานการณ์ ย่อมตายก่อนใครทุกคน นี่เป็นหลักการที่ชัดเจนมากจนไม่มีอะไรชัดไปกว่านี้อีกแล้ว”


 


 


บ่าวประจำกายบเอ่ยว่า “มิน่าท่านไม่เคยเปิดศึกกับองค์ชายสี่ซึ่งหน้า ยังคงเป็นท่านอ๋องที่มองการณ์ไกล”


 


 


เขาก็ว่าเหตุใดทุกครั้งที่องค์ชายใหญ่เตรียมจะลงมือกับองค์ชายสี่ตรงๆ ท่านอ๋องของตนถึงรีบขวางในทันที เมื่อเห็นว่าองค์ชายสี่อาจจะลงมือกับพวกเขา ท่านอ๋องไม่คิดทำศึกกับองค์ชายสี่เลย ทั้งไม่คิดวางแผนให้ร้ายองค์ชายสี่ ท่านอ๋องไม่พูดอะไรมากก็จากมาเสียก่อน


 


 


ที่แท้ก็คำนึงถึงเรื่องพวกนี้


 


 


เซี่ยโหวเฉินเอ่ยปากว่า “คนฉลาดสมควรรู้ว่าเวลาใดถึงควรจู่โจม เวลาใดถึงควรหลบเลี่ยง ฝ่าบาทเลือกเช่นนี้ ไม่ต้องถามข้าก็รู้ว่า ประการแรกองค์ชายสี่มีความสามารถมากเกินไป ฝ่าบาทไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาซึ่งๆ หน้า ประการที่สอง เสินเซ่อเทียนไม่ได้ปกป้ององค์ชายสี่มาแค่วันสองวันแล้ว เพื่อแม่ทัพหลี่กับซือถูเฟิง เสินเซ่อเทียนไม่กล้าทอดทิ้งเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ฝ่าบาทก็แค่เลือกไปเพราะไม่มีทางเลือกเท่านั้น”


 


 


บ่าวข้างกายพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ “ดังนั้นท่านจึงคาดการณ์ได้ว่า ยามนี้ฝ่าบาทต้องการความเห็นของท่าน”


 


 


 “ไม่ผิด”เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า เอ่ยต่ออย่างช้าๆ “ที่ข้าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของเป่ยเฉิน ล้วนไม่ใช่เพราะข้ามีสติปัญญาเทียบเท่าเป่ยเฉินอี้ ข้ารู้ตัวดีว่าเทียบเขาไม่ได้ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ ข้ารู้เสมอว่า ยามใดที่นายท่านต้องการแผนการของข้าที่สุดก็พอแล้ว”


 


 


มาได้ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันเวลา เจ้านายย่อมเห็นความสำคัญ ทั้งยังไม่ขาดโอกาสในการสร้างชื่อเสียง


 


 


“ท่านอ๋องล้ำเลิศนัก” บ่าวประจำตัวรีบประจบ


 


 


ในเวลานี้ นายทหารคนหนึ่งที่เข้าไปรายงานก็ออกมา “ท่านอ๋องน้อย ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าไป ฝ่าบาทตรัสว่า ยามนี้เกรงว่าจะมีแต่ท่านเท่านั้นที่ช่วยพระองค์คลายความกลัดกลุ้มได้”


 


 


 “อืม” เซี่ยโหวเฉินก้าวเข้าวัง


 


 


   ……


 


 


ในตำหนัก ฮองเฮา


 


 


ฮองเฮาสีหน้าเขียวคล้ำ กำหมัดแน่นทุบลงที่โต๊ะ กัดฟันเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนวางยาเสน่ห์อะไรให้กับเสินเซ่อเทียนกันแน่ ถึงได้ทำให้เสินเซ่อเทียนปกป้องเขาขนาดนี้ เสียงเอ๋อของข้าบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังถูกพิษ ในสายตาของเสินเซ่อเทียนกลับเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คู่ควรเอ่ยถึง”


 


 


 “ฮองเฮา ท่านอย่าได้มีโทสะถึงเพียงนี้เลยเพคะ” นางกำนัลด้านข้างพยายามเกลี้ยกล่อม


 


 


ท่านเสนาบดีและซือถูเฉียงในยามนี้ก็อยู่ในตำหนัก โมโหจนหน้าซีดเซียว


 


 


ส่วนพระสสุระถูกท่านหมอหลวงพยุงออกจากโถง


 


 


วันนี้เสนาบดีถูกจู่โจมเช่นนี้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่ได้ไร้สติปัญญา หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ ไปหลายครั้ง ก็เอ่ยปาก “ฮองเฮา ภายหน้าพวกเราไม่อาจปล่อยเสินเซ่อเทียนไป แต่ในเวลานี้ยังไม่อาจล่วงเกินเขา เป็นศัตรูกับเขา ไม่ส่งผลดีอะไรให้กับพวกเราทั้งนั้น”


 


 


เมื่อเสนาบดีเตือนสติ ฮองเฮาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว


 


 


นางสูดลมหายใจลึก เอ่ยปากว่า “ท่านพี่กล่าวไม่ผิด ไม่ว่าเป็นอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเสินเซ่อเทียน เสียงเอ๋อเกรงว่าจะไม่มีชีวิตกลับมาเมืองหลวง ดูท่าเสินเซ่อเทียนยังคำนึงความปลอดภัยขององค์ชายทั้งหลายและ อนาคตของแผ่นดินอยู่บ้าง”


 


 


หากปล่อยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสังหารพี่ชายของตนจริงๆ เช่นนั้นแผ่นเดินต้องโกลาหลอย่างแน่แล้ว


 


 


เมื่อฮองเฮาเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็กล่าวกับเสนาบดีว่า “วันนี้พี่ชายสมควรรู้แล้วว่าน้องสาวเห็นท่านสำคัญมาก เพื่อปกป้องบุตรชายของท่าน ข้าไม่เสียดายที่จะสังหารบุตรชายของตัวเอง วันหน้าท่านพี่ยังจะสงสัยความใส่ใจที่น้องสาวผู้นี้มีต่อท่านอีกหรือไม่”


 


 


 “ย่อมไม่สงสัยแล้ว” เสนบาดีรีบตอบโดยพลัน ทั้งเอ่ยต่อว่า “ต่อให้เฟิงเอ๋อยังถูกเนรเทศ แต่ความลำบากของฮองเฮา ข้าเข้าใจดี ภายหน้าพี่น้องร่วมใจ เชื่อว่าจะช่วยให้องค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ”


 


 


ฮองเฮารีบสัญญาว่า “ขอเพียงเสียงเอ๋อขึ้นเป็นฮ่องเต้ อย่างแรกที่เขาจะทำก็คือนำตัวเฟิงเอ๋อกลับมา อวยยศขุนนางใหญ่ให้เขา”


 


 


เสนาบดีพยักหน้าอย่างยินดี “ได้แต่หวังว่าเฟิงเอ๋อจะปลอดภัย”


 


 


ซือถูเฉียงในยามนี้ สะอื้นเอ่ยปากว่า “ท่านอาหญิงฮองเฮา เฉียงเอ๋อ…” 


 


 


ฮองเฮามองซือถูเฉียง เมื่อเห็นขากางเกงว่างเปล่า ก็สงสารหลานสาวที่งดงามราวกับดอกไม้ของตนที่ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้


 


 


นางเดินเข้าไปลูบหัวซือถูเฉียง เอ่ยปากว่า “เจ้าวางใจ โทสะครั้งนี้อาหญิงจะช่วยเจ้าระบายแน่”


 


 


 “อาหญิง เฉียงเอ๋อชอบพี่เยี่ยนจริงๆ” ดวงตาคลอน้ำตามองฮองเฮา


 


 


ฮองเฮาพลันเกิดโทสะ คิดไม่ถึงว่านางจะหลงใหลไม่ลืมหูลืมตา ยามนี้หาใช่เวลาโมโห ฮองเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง มอง ซือถูเฉียงพลันถามว่า “เจ้าอยากแต่งงานกับเขาจริงๆหรือ”


 


 


 “เจ้าค่ะ เฉียงเอ๋อไม่กลัวสูญเสียอะไรทั้งนั้น” ซือถูเฉียงตอบรับทันควัน


 


 


ฮองเฮาสูดลมหายใจลึก มองเสนาบดี “ท่านพี่เห็นว่าอย่างไร”


 


 


เสนาบดีมองซือถูเฉียงสีหน้ากลัดกลุ้ม “ตามใจนางเถอะ เจ้าก็รู้ว่าสภาพนางในยามนี้ ภายหน้าคงไม่อาจโดดเด่นอะไรอีกแล้ว”


 


 


คำพูดของเสนาบดีชัดเจนแล้ว ซือถูเฉียงเป็นแค่หมากที่ถูกทิ้ง


 


 


ฮองเฮาพยักหน้า แววตาฉายรอยยิ้มเย็น กล่าวกับซือถูเฉียง “ได้ เจ้ากลับไปรอก่อน อาหญิงจะจัดการเรื่องนี้ให้”


 


 


 “ขอบคุณอาหญิง” ซือถูเฉียงไม่ใส่ใจสักน้อยว่าบิดาทอดทิ้งนางหรือไม่ นางเพียงคิดจะแต่งงานกับพี่เยี่ยนเท่านั้น


 


 


เสนาบดีมองนาง ในใจยิ่งรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ มองฮองเฮา “กระหม่อมทูลลา”


 


 


 “ท่านพี่ เชิญ” ฮองเฮารีบตอบ


 


 


เสนาบดีพาซือถูเฉียงสาวเท้ากว้างจากไป


 


 


ฮองเฮามองส่งสองพ่อลูกเสนาบดีจากไป กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เดิมคิดว่าสามารถฉวยโอกาสนี้กำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ ทำให้ท่านพี่ไว้ใจข้ามากขึ้นอีกหลายส่วน ยิงธนูนัดได้เดียวได้นกสองตัว คิดไม่ถึงเลย เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เสินเซ่อเทียนยังไม่ยอมลงมือ”


 


 


 “ฮองเฮา องค์ชายสี่เป็นบุตรชายของท่าน…” นางกำนัลเตือนด้วยความระวัง


 


 


ฮองเฮาคล้ายได้ฟังคำที่รังเกียจที่สุด กันฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่มีลูกเช่นนี้ เรื่องที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิตคือให้กำเนิดเขา”


 


 


เมื่อฮองเฮาเอ่ยออกไปเช่นนี้ นางกำนัลผู้นั้นคุกเข่าลงเสียงดัง “ฮองเฮาอย่าได้ทรงกริ้ว ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย”


 


 


ฮองเฮาหลับตาลง สงบอารมณ์เดือดดาล นางผ่อนลมหายใจยาว เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าให้พวกเจ้าไปสืบฐานะของนางสารเลวผู้นั้น พวกเจ้าสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


 “ตรวจสอบอะไรไม่ได้เลยเพคะ คนผู้นี้คล้ายโผล่ออกมาจากอากาศ แต่พวกเรากลับตรวจสอบฐานะของบุรุษหนุ่มลึกลับกับข้างกายนาง ฐานะของเขาดูจะไม่ธรรมดา…”


 


 


   ……


 


 


ท้องฟ้ามืดลงแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยหลับไปทั้งวัน พักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไปได้มากพอแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือนางหิวแล้ว


 


 


เมื่อท้องร้อง เยี่ยเม่ยลืมตาขึ้น


 


 


เสี้ยวนาทีที่ลืมตา หญิงสาวก็อึ้งไปเล็กน้อย…


 


 


ตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเองในยามนี้


 


 


เตียงนอนสบายหลังหนึ่ง ใต้คอนางหนุนแขนข้างหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายอยู่เบื้องหน้า คนผู้นั้นยังคงปิดตาสนิท ขนตายาวเป็นแพก่อให้เกิดเป็นเงาดำ


 


 


นี่คือ….


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ผิดแน่


 


 


แต่ปัญหาคือ ไฉนตัวนางถึงมานอนบนเตียงเขาได้ อีกทั้งยังหลับสบายถึงขั้นนี้ ไม่รู้สึกตัวเลยสักน้อย แม้กระทั่งเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้


 


 


รอจนเยี่ยเม่ยได้สติกลับมาครบถ้วน อยู่ในอารามตกตะลึง


 


 


ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เปิดตา หันข้างมองท่อนแขนของตน เบิกตากว้างมองสตรีของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตกใจ ใบหน้าเหมือนอยากไม่เชื่อ รีบเอ่ยปากว่า “เจ้า…เจ้ามาอยู่บนเตียงข้าได้อย่างไร”


 


 


ระหว่างพูดคุย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูคล้ายหวาดกลัว สายตากลับฉายแววขบขันที่คนยากสังเกตได้ออกมา


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยในยามนี้นิ่งอึ้งไปแล้ว


 


 


ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนดึงผ้าห่มห่อตัวเอง การขยับตัวคล้ายกับส่งผลต่อ ‘อาการบาดเจ็บภายในของเขา’ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันกุมหน้าอกไอโขลกออกมา


 


 


เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ในขณะที่จะถามถึงอาการบาดเจ็บของเขา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ห่มผ้าแล้ว มองนางอย่างป้องกัน “เจ้าฉวยโอกาสยามที่เยี่ยนสลบทำอะไรเยี่ยนบ้าง เจ้าต้องสารภาพออกมาให้ชัดเจน เจ้าต้องรับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นจิตใจอ่อนแอของเยี่ยน ไม่อาจทนรับบาดแผลยิ่งใหญ่เช่นนี้ ซ้ำยังถูกทำให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ ได้”

 

 

 


ตอนที่ 115

 

ตอนที่ 115 แม่นางเยี่ยเม่ยก็คิดว่าต้องรับผิดชอบเยี่ยนใช่หรือไม่

 


 


 


 “ท่านสงบลงก่อน”


 


 


เห็นเขาเอ่ยคำพูดพวกนี้ ท่าทางแตกตื่นจนแทบไม่ไหว ชักนำให้อาการบาดเจ็บกำเริบอีก


 


 


เยี่ยเม่ยเริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา รีบเอ่ยปลอบ


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับไม่สงบลงเลย ทวีความแตกตื่นมากขึ้น “เกิดเรื่องเช่นนี้ เยี่ยนยังจะสงบลงได้อย่างไร”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


เยี่ยเม่ยอยากบอกว่า เรื่องประเภทนี้ต่อให้ต้องแตกตื่น หาคนมารับผิดชอบ ตามปกติแล้วสมควรเป็นฝ่ายหญิงที่แตกตื่น สมควรเป็นนางคว้าแขนเสื้อเขาไว้ ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับผิดชอบไม่ใช่หรืออย่างไร


 


 


การแสดงออกของเขาเช่นนี้ นี่มันเรื่องตลกอะไรกันแน่


 


 


เยี่ยเม่ยลุกขึ้นนั่ง นวดขมับของตัวเอง ในขณะที่กำลังตั้งใจใคร่ครวญเรื่องอย่างจริงจังว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


ตอนนั้นนางเฝ้าอยู่ข้างเตียงเขา หลังจากนั้นก็รู้สึกง่วง


 


 


ค่อยๆ หลับตาลง…


 


 


จากนั้นเกิดอะไรขึ้นแล้ว


 


 


จากนั้นก็ไม่เหลือความทรงจำเลยสักน้อย เมื่อลืมตาก็อยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว


 


 


สายตาระแวงสงสัยของเยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมีสีหน้าเหมือนถูกเจ้านายหน้าเลือดหักเงินเดือน ทั้งเดือดดาลทั้งแตกตื่น ท่าทางเหมือนมาทวงหนี้


 


 


คำพูดที่เยี่ยเม่ยอยากถามพุ่งขึ้นมา พลันจุกอยู่ที่ในลำคอ พูดไม่ออก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเหมือนดูออกว่า นางกำลังจะถามอะไร


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความไม่ยินยอม ผิดหวัง และไม่ยินดี


 


 


ถามเยี่ยเม่ยด้วยความระแวง “เจ้าคิดจะพูดอะไร”


 


 


 “อืม…ข้าอยากรู้ว่า ข้าขึ้นไปบนเตียงได้อย่างไรแล้ว” เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปตามหลัก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็บาดเจ็บ เช่นนั้นอาการบาดเจ็บย่อมส่งผลให้อีกฝ่ายขยับตัวได้ช้า หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนตื่นขึ้นมากลางคันทำเรื่องเหล่านี้ ตลอดกระบวนการทั้งหมดนางกลับไม่รู้ตัวเลย ไม่ตื่นขึ้นมา เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผล


 


 


แต่หากไม่ใช่เขาทำ แล้วนางขึ้นไปบนเตียงได้อย่างไร


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ตะลึงไป จ้องมองเยี่ยเม่ยอย่างละเอียด คล้ายกำลังป้องกันแววตาวิเคราะห์ของนาง เสี้ยวนาทีถัดมา เขาลังเลมองหญิงสาวด้วยความระแวง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าขึ้นเตียงมาได้อย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ ก็ชิงเสริมขึ้นมาด้วยเสียงเนิบๆ อีกประโยคก่อนที่เยี่ยเม่ยจะตอบว่า “หรือเป็นเพราะแม่นางเยี่ยเม่ยกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบเยี่ยน ถึงคิดข้ออ้างออกมา”


 


 


 “ข้าหวังว่าท่านเข้าใจ…” น้ำเสียงเยี่ยเม่ยยังคงเย็นชาดังเคย ซ้ำแฝงด้วยความอับจนหนทาง “สตรีนางหนึ่งปรากฎตัวบนเตียงของบุรุษ โดยเฉพาะในยุคสมัยของพวกท่าน ข้าเชื่อว่าในยามปกติ คนที่สมควรเอ่ยปากขอข้อสรุปคือข้า”


 


 


ราชวงศ์เป่ยเฉิน ไม่จำเป็นต้องถามมากความก็รู้ว่าถึงจะไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ชาติจีน เป็นยุคสมัยเลื่อนลอย แต่ดูจากวัฒนธรรมของคนที่นี่ ก็เป็นโลกที่บุรุษเป็นใหญ่สตรีเป็นรอง


 


 


ดังนั้นนางเป็นสตรีนางหนึ่งยังไม่เอ่ยปากเรียกร้อง เขากลับมีปฏิกิริยาใหญ่โต ใช่แตกตื่นเกินเหตุไปแล้วหรือไม่


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว กลับมองเยี่ยเม่ยอย่างไม่เห็นด้วย น้ำเสียงเบาสบายราวปุยเมฆแฝงความจริงจังขึ้นมาหลายส่วน “แม่นาง คนผู้หนึ่งมีศีลธรรมสูงส่งหรือไม่ ปฏิบัติตามหลักการของตนได้สำเร็จหรือไม่ จัดการความสัมพันธ์ระหว่างเพศตรงข้าม รักษาความบริสุทธิ์ของตนได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในมาตรฐานการวัดคุณธรรมของคนผู้หนึ่ง เจ้าไม่อาจคิดว่าเยี่ยนเป็นบุรุษ ก็เข้าใจว่าเยี่ยนไม่ต้องการปกป้องศีลธรรมของตน”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา เยี่ยเม่ยกลับย่นคิ้วแน่น


 


 


ต้องบอกว่าบุรุษที่เอ่ยหลักการบิดเบี้ยวกองโตออกมาตามเคยชินง่ายๆ เวลานี้คำพูดที่เขาเอยออกมา กลับมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ


 


 


อวี้เหว่ยที่แอบฟังอยู่มุมกำแพง ในเวลานี้ยังคิดกระโดดออกมาปรบมือให้เตี้ยนเซี่ยของตน


 


 


เตี้ยนเซี่ยกล่าวได้ดีเกินไปแล้ว


 


 


หากไม่เข้าใจเตี้ยนเซี่ยมากพอ ก็อาจจะถูกหลอกลวงได้ เขาอวี้เหว่ยดูออก ในคำพูดของเตี้ยนเซี่ยมีพิรุธอยู่จุดเดียว นั่นก็เพราะว่าความเข้าใจที่มีต่อเตี้ยนเซี่ยมาตลอดหลายปี


 


 


ไม่รู้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะดูออกพิรุธหรือไม่


 


 


อืม ก็ไม่น่าล่ะ


 


 


เขายังคงมองโลกในแง่ดีเกินไป


 


 


ช่วงเวลาสั้นๆ เยี่ยเม่ยเห็นด้วยกับคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางกวาดตามองอีกฝ่าย น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยว่า “คำพูดนี้หากเอ่ยออกจากปากผู้อื่น ข้าคงจะเชื่อแล้ว แต่เมื่อเอ่ยออกจากปากท่านเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านคิดว่า…ท่านเป็นคนที่พูดถึงหลักคุณธรรมศีลธรรมอย่างนั้นหรอกหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยเกือบถูกหลอกไปแล้ว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ตลอดมาไม่เคยใส่ใจเหตุผล ไม่ใส่ใจความน่าเชื่อถือ ไม่ใส่ใจศีลธรรม สำหรับเรื่องต่างๆ ล้วนมีหลักเหตุผลของตัวเอง สำหรับความหมายทุกประการในโลกหล้า เขาล้วนยินดีโค่นล้ม


 


 


ยามนี้บอกว่าเขาทำเพื่อหลักการและศีลธรรมของตัวเอง ถึงได้มาหาข้อสรุปกับนาง ออกจะน่าจะน่าขันเกินไปหรือไม่?


 


 


เดิมทีอวี้เหว่ยที่นั่งอยู่มุมกำแพงตื่นเต้นมาก เห็นว่าเยี่ยเม่ยฉลาดถึงขั้นนี้ ไม่นานก็จะพบพิรุธ สีหน้ากลายเป็นแตกตื่น รอฟังคำตอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


ทว่าเขาไม่รู้ว่ายามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันกุมอก ไอออกมา


 


 


ปฏิกิริยาแบบนี้ทำให้สายตาเย็นชาของเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปอบอุ่นขึ้น คิดขึ้นได้ทันทีว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บก็เพราะตัวเอง ดังนั้นต่อให้นางรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ถูกต้อง ก็ไม่อาจเอ่ยคำบีบคั้นอีกฝ่าย


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไอออกมา หลังจากมองสายตาเย็นชาของเยี่ยเม่ยสลายไปไม่น้อยอย่างพอใจ น้ำเสียงน่าฟังก็ค่อยๆเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยเอ่ยไม่ผิด ก่อนหน้านี้เยี่ยนเป็นคนไม่เห็นหลักการคุณธรรมในสายตา ต้องการเหยียบย่ำหลักการเหตุผลไว้ใต้เท้า แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ได้รู้จักกับแม่นางเยี่ยเม่ย เห็นว่าเจ้ามีคุณธรรมเช่นนี้ เยี่ยนรู้สำนึกถึงความชั่วช้าของตัวเองที่ผ่านมา ถึงได้เลิกทำชั่วมุ่งทำดี ใช้สารพัดวิธีเพื่อเข้าสู่ทางธรรม”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าชั่วร้ายของเขามีแววสำนึกผิด แต่มิได้ลดทอนความสง่างามออกไปเลยแม้แต่น้อย มองเยี่ยเม่ย กล่าวต่อว่า “เชื่อว่าแม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะเข้าใจจิตใจที่ต้องการเป็นคนใหม่ภายใต้รัศมีของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเปลี่ยนมาอยู่ในทางธรรมะอย่างกะทันหันกระมัง”


 


 


 “อ้อ…” เยี่ยเม่ยชะงักไป เห็นเขาเอ่ยจากใจจริง จะเป็นคนใหม่ภายใต้รัศมีนาง คำเยินยอเช่นนี้ ทำให้นางผู้มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก หาคำพูดแย้งไม่ออกเลยจริงๆ


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยว่า “ก็จริง ข้าเองก็เข้าใจเช่นนี้”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว รีบรุกไล่ขึ้นมา “ดังนั้น เยี่ยนเริ่มเห็นความสำคัญของคุณธรรมขึ้นมาอย่างกะทันหัน ให้ความสำคัญกับศีลธรรมของตัวเอง เยี่ยนไมต้องการทำตัวไม่ชัดเจนกับนางเยี่ยเม่ย แล้วไม่ได้รับการรับผิดชอบ นี่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าเยี่ยนกำลังละทิ้งความเลวกระทำดีหรอกหรือ ไฉนเพราะสาเหตุนี้แม่นางเยี่ยเม่ยถึงสงสัยคำพูดของเยี่ยนว่าไม่จริงใจมากพอ”


 


 


อวี้เหว่ย “…” เขารู้สึกว่าครั้งหน้ายามที่พระอาจารย์จากเทียนจู๋มาถกปัญหาธรรม สมควรเรียกเตี้ยนเซี่ยไปด้วย


 


 


อาศัยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเตี้ยนเซี่ย เกรงว่าพระมหาเถระที่มีชื่อเสียงในการถกปัญหาธรรม ก็หาใช่คู่มือเตี้ยนเซี่ย


 


 


ทีนี้ก็นับว่าดึงเยี่ยเม่ยเข้ามาพัวพันด้วยแล้ว อาศัยท่าทางเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางดี คำพิสูจน์ตัวเอง ล้วนเป็นความจริงใจสัตย์จริงออกมาจากใจ


 


 


เยี่ยเม่ยเงียบไปสักครู่ ไม่รู้จะเอ่ยออกอะไรออกมา


 


 


ในใจนางครุ่นคิดสักครู่ หากเยาเนี่ยเพื่อนตายของนาง นักฆ่าอันดับหนึ่งในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอยู่ที่นี่ด้วย อาศัยคำพูดที่เอ่ยให้คนเป็นกลายเป็นคนตาย คนตายกลายเป็นคนเป็นของเจ้านั่น ไม่แน่อาจจะพูดชนะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้


 


 


อย่างไรเยี่ยเม่ยก็ไม่ถนัดวิเคราะห์ หญิงสาวถนัดลงมือมากกว่า


 


 


ดังนั้น…


 


 


เมื่อมาถึงข้อนี้ นางก็ไม่ถกเถียงอีกแล้ว


 


 


เยี่ยเม่ยถอนหายใจ เอ่ยว่า “อย่างนั้นก็ได้ ท่านพูดไม่ผิด ท่านสมควรซักไซ้เรื่องนี้ อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของท่าน”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ มุมปากเยี่ยเม่ยกระตุกขึ้นเล็กน้อย


 


 


หากวิ่งออกไปถามทหารคนใดก็ได้ของราชสำนักเป่ยเฉินดูก็รู้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ใส่ใจชื่อเสียงหรือไม่ เขายังมีชื่อเสียงอีกหรือ เกรงว่าคำตอบของทุกคนจะเป็นอันหนึ่งอันเดียว…ไม่มี


 


 


แต่เมื่อเอ่ยประโยคพวกนี้ออกไป เยี่ยเม่ยยังยอมรับว่าชื่อเสียงของเขาสำคัญ


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “ดังนั้นท่านก็ไม่ชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”


 


 


 “เยี่ยนหมดสติไปแล้ว อีกทั้งยังฟื้นขึ้นมาหลังแม่นางเยี่ยเม่ย ย่อมไม่รู้อะไร หรือแม่นางเยี่ยเม่ยจะง่วงเกินไป ไม่ทันรู้ตัวก็หลับลงบนเตียงเยี่ยนแล้ว” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยายามช่วยเยี่ยเม่ยหาเหตุผลด้วยเจตนาดี


 


 


แต่อวี้เหว่ยที่มุมกำแพงรู้แผนของเตี้ยนเซี่ยเป็นอย่างดี


 


 


คำพูดนี้คล้ายกับอธิบายว่าไฉนแม่นางเยี่ยเม่ยจึงปรากฏตัวบนเตียงได้ดีที่สุด แต่…ขอเพียงแม่นางเยี่ยเม่ยยอมรับคำพูดนี้ เตี้ยนเซี่ยทำเหมือนช่วยนางหาเหตุผล ก็เท่ากับว่าแม่นางเยี่ยเม่ยยอมแบกความรับผิดชอบไว้แล้ว


 


 


ไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนา แต่นางเป็นคนขึ้นไปนอนบนเตียงของเตี้ยนเซี่ยเอง


 


 


ในเมื่อกระทำเอง อย่างนั้นเรื่องนี้นางก็ต้องรับผิดชอบ


 


 


จากนั้นเยี่ยเม่ยที่เป็นหญิงแกร่งตรงไปตรงมา ถึงกลับไม่ได้ตระหนักในคำพูดของหนุ่มเจ้าเล่ห์อย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังหลงคิดว่าอีกฝ่ายช่วยหาเหตุผลอีก


 


 


เยี่ยเม่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้า “นี่ก็เป็นไปได้ อืม คงจะเป็นเช่นนี้สินะ”


 


 


ไม่อย่างนั้นนางก็หาสาเหตุไม่ได้แล้ว เดิมคิดว่าเมื่อเอ่ยออกไปเช่นนี้ก็เท่ากับหมดเรื่อง ก็แค่ความเข้าใจผิดเล็กๆ


 


 


จากนั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นแม่นางเยี่ยเม่ยที่ปีนขึ้นมาเอง เช่นนั้นเชื่อว่าแม่นางก็คงคิดว่า เจ้าต้องรับผิดชอบต่อความบริสุทธิ์ของเยี่ยนทั้งหมด”


 


 


เยี่ยเม่ยหมดคำพูด


 


 


รับผิดชอบก็ช่างเถอะ ยังมีทั้งหมดอีก?

 

 

 


ตอนที่ 116

 

ตอนที่ 116 กุญแจสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์ เป่ยเฉินอี้

 


 


 


อวี้เหว่ยตื่นเต้นยินดี ยกนิ้วโป้งให้เจ้านายของตน


 


 


เขาคิดลุกขึ้นยืนโบกไม้โบกมือ ส่งเสียงร้องยอดเยี่ยมดังๆ


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาบ้างแล้ว นางนวดขมับปวดตุบๆ ของตนเอง มองใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายตรงหน้า กลับแอบซ่อนแผนการไว้


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจเข้าลึก “พวกเราสองคนแค่นอนบนเตียงเดียวกันเท่านั้น ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้น…”


 


 


 “ไม่แน่อาจเกิดขึ้นก็ได้” ยามที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกไป ยังทำท่าราวกับป้องกันสุนัขจิ้งจอก เขาดึงผ้าห่มตัวเองขึ้นมามองไปทีหนึ่ง


 


 


ท่าทางป้องกันเกรงว่าตนเองถูกเยี่ยเม่ยเอาเปรียบไปนานแล้ว


 


 



 


 


เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก…


 


 


หรือว่าหลายวันที่ผ่านมานี้ ตัวนางในสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นจิ้งจอกสาวคลุ้มคลั่งตัวหนึ่ง


 


 


ถึงได้ทำให้เขามีท่าทีป้องกันขนาดนี้


 


 


ในระหว่างที่กำลังใช้ความคิด เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งตัวเองมาอยู่บนเตียงเยี่ยนได้อย่างไรก็ไม่ทราบ อย่างนั้น…แม่นางเยี่ยเม่ยจะตัดสินได้อย่างไรว่า เจ้านอนมาถึงตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรเยี่ยนเลยสักน้อย”


 


 


อวี้เหว่ยอยากลุกขึ้นมาปรบมือให้เตี้ยนเซี่ยของตนจริงๆ


 


 


ดูเตี้ยนเซี่ยเอ่ยสิ…


 


 


ผลักไสการลงมือไปไว้ที่แม่นางเยี่ยเม่ยทั้งหมด ไม่พูดว่าเตี้ยนเซี่ยมีโอกาสทำอะไรนางบ้าง กลับบอกว่าแม่นางเยี่ยเม่ยทำอะไรเตี้ยนเซี่ยบ้าง


 


 


เขาผลักมลทินทั้งหมดไปที่แม่นางเยี่ยเม่ย


 


 


ช่างเป็นกระบวนท่าที่ล้ำเลิศนักเชียว


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไปครู่หนึ่งค่อยตระหนักได้ หญิงสาวรู้สึกว่าร่างกายไม่มีความผิดปกติสักน้อย นอกจากเสื้อผ้ายับย่นบ้างเพราะการนอน แต่ก็ยังสวมใส่ครบชิ้น


 


 


จากสภาพนี้ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น


 


 


หญิงสาวมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยแววตาเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยียบกล่าว “เชื่อว่าท่านเข้าใจดี พวกเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ท่านอย่าได้ดึงดันแสร้งสงสัยว่าระหว่างพวกเราเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยกล่าวออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่ายหัว


 


 


ดวงตาชั่วร้ายมองที่หญิงสาว น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวด้วยความจริงจัง “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนไม่รู้ชัดจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เยี่ยนสงสัยจริงๆ หาได้ดึงดันสงสัย แม่นางเยี่ยเม่ยอย่าได้ระแวงสงสัยเยี่ยน”


 


 


เยี่ยเม่ย “…ดังนั้น ท่านคิดจะเอาอย่างไรกันแน่”


 


 


นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนใจ มองใบหน้าเผยแววดุร้ายของนาง ดังนั้นจึงไอโขลกออกมาหลายคำอย่างถูกเวลา


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นเขาไอออกมา เดิมทีนางเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้าง ก็พลันสลายไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ช่วยลูบหลังเขาเบาๆ ให้หายใจได้คล่องขึ้น เอ่ยว่า “ท่านใจเย็นหน่อย ท่านยังบาดเจ็บอยู่”


 


 


 “เพราะท่าทางเย็นชาของแม่นางเยี่ยเม่ย ทำให้เยี่ยนไม่อาจสงบได้” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าว จากนั้นก็ไออย่างรุนแรงอีกครั้ง


 


 


บุรุษรูปโฉมหล่อเหลาสง่างาม เมื่อไอออกมาอย่างรุนแรงคล้ายปอดแทบฉีกขาด ทำให้คนรู้สึกผิดได้ง่ายดายนัก


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก จ้องเขา “ข้ายังไม่นับว่าใจจืดใจดำหรอกกระมัง…”


 


 


นางต่างหากที่ยึดเหตุผลไม่ใช่หรือ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมองเยี่ยเม่ย ดูคล้ายไม่ถอยเลยสักน้อย “อย่างนั้น แม่นางเยี่ยเม่ยคิดดีแล้วหรือยังว่าเรื่องนี้จะจัดการอย่างไร หากคนอื่นเห็นพวกเรานอนบนเตียงเดียวกัน โดยเฉพาะฉวยโอกาสยามที่เยี่ยนบาดเจ็บ…ก็เรียกว่าจับชู้ได้บนเตียงก็ไม่เกินไปนัก ”


 


 


เยี่ยเม่ยจนคำพูด


 


 


ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ คนสองคนนอนร่วมเตียง ทั้งยังเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง นอนร่วมกันตื่นหนึ่ง ซ้ำยังไม่ใช่เวลาชั่วครู่ แต่เป็นเวลาตั้งแต่ช่วงสายจนถึงเย็น ยามนี้ฟ้าจวนเจียนจะมืดลงแล้ว


 


 


หากบอกว่าพวกเขาสองคนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อแน่


 


 


อีกอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเน้นย้ำว่าเขาบาดเจ็บ ในคำพูดนั้นล้วนคล้ายกับว่าอาศัยยามคนตกอับเข้าไปขมขู่ นางฉวยโอกาสยามเขาบาดเจ็บ วิ่งไปล่วงเกินเขาถึงเตียง


 


 


เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก กล่าวว่า “ก็ได้ เรื่องนี้นับเป็นความรับผิดชอบของข้าก็แล้วกัน”


 


 


พูดถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเองก็คิดอยากตีตัวเองสักที ทั้งไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องบ้าบออะไรกันแน่ นางมาเยี่ยมเขาชัดๆ ไฉนจู่ๆ ถึงหลับไปได้ ทั้งยังทำเอาตัวเองต้องกระอักกระอ่วนแบบนี้


 


 


พูดไปพูดมา เขาต้องการให้นางยอมรับ ความรับผิดชอบเรื่องนี้โยนมาที่นาง รับก็รับสิ เยี่ยเม่ยหาใช่คนที่แบกความรับผิดชอบไม่ไหว


 


 


หญิงสาวกล่าวเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบพยักหน้าด้วยความพอใจ กล่าวเนิบๆว่า “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยยอมรับแล้ว ทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เช่นนั้นแม่นางสมควรมีข้อสรุปให้เยี่ยนใช่หรือไม่”


 


 


เยี่ยเม่ย “… ” นี่จะไม่ยอมจบใช่ไหม


 


 


ชายคนนี้ คิดจะเอาเรื่องให้ได้เลยหรือไร


 


 


เยี่ยเม่ยบอกตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นคนเจ็บ อย่าได้โมโหเพราะเขา หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ หญิงสาวกล่าวว่า“อย่านั้นท่านต้องการคำตอบแบบไหน”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว พรูลมหายใจออกมายาว ท่าทางเหมือนเสียเปรียบอย่างแสนสาหัส จ้องเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ยามปกติบุรุษนอนกับหญิงสาวต้องชดใช้อย่าไร เมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยนอนกับเยี่ยนแล้ว ก็สมควรรับผิดชอบเช่นนั้น”


 


 


เขาพูดออกมาโดยไม่ใส่ใจเลยสักน้อยว่าเขาต่างหากที่เป็นบุรุษ แล้วเยี่ยเม่ยคือสตรี


 


 


คล้ายกับในความเข้าใจของเขา หาใช่ยุคที่บุรุษเป็นใหญ่สตรีเป็นรอง สตรีต้องรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่เป็นยุคสมัยที่บุรุษกับสตรีเท่าเทียม ถึงขั้นว่าสตรีเป็นใหญ่บุรุษเป็นรอง ความบริสุทธิ์ของบุรุษเป็นสิ่งสำคัญ


 


 


เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก


 


 


บุรุษปกติเมื่อนอนกับสตรีแล้วต้องรับผิดชอบอย่างไร


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อารมณ์ของนางเลวร้ายมาก ใบหน้าเผยความเดือดดาล ถามเสียงเย็นเยือกว่า “ท่านว่า ข้าควรแสดงความรับผิดชอบอย่างบุรุษที่มีความรับผิดชอบ หรือว่ารับผิดชอบแบบบุรุษเสเพลดี”


 


 


รับผิดชอบแบบบุรุษมีความรับผิดชอบย่อมดูแลสตรีผู้นั้นไปชั่วชีวิต


 


 


รับผิดชอบแบบบุรุษเสเพล ก็แค่มอบเงินชดเชยให้เล็กน้อย ไม่ก็รับผิดชอบนิดๆ หน่อยๆ แล้วสะบัดก้นจากไป


 


 


ในเมื่อเยี่ยเม่ยถามมาเช่นนี้ อวี้เหว่ยที่มุมกำแพงกลับตื่นเต้น กลัวว่าเตี้ยนเซี่ยบีบคั้นเอามากๆ แม่นางเยี่ยเม่ยจะโมโหจะทำตัวเป็น ‘บุรุษเสเพล’


 


 


จากนั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่คนโง่ เวลานี้ไม่ตอบคำถามเยี่ยเม่ยตรงๆ เพียงจ้องตานาง เอ่ยปากอย่างล้ำลึก “เยี่ยนเชื่อว่า แม่นางเยี่ยเม่ยหาใช่คนที่เมื่อเสร็จกิจแล้ว จะไม่ยินยอมรับผิดชอบ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ ใบหน้าของเยี่ยเม่ยที่เดิมจนคำพูดและเดือดดาล พลันเย็นเยือกขึ้น


 


 


สายตาเย็นชาตวัดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองพลันเปลี่ยนไปแปลกพิกล ใครล้วนไม่พูด ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่ยอมถอย


 


 


อวี้เหว่ยเห็นบรรยากาศเช่นนั้นก็แตกตื่น


 


 


นี่…


 


 


   ……


 


 


ในวังหลวง


 


 


เซี่ยโหวเฉินเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษร เมื่อเดินมาถึงกลางห้อง ก็เอ่ยปากคารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท”


 


 


 “ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้สีหน้าอ่อนล้า มองเซี่ยโหวเฉิน “ในสุดเจ้าก็มาแล้ว เจ้าคงรู้สถานการณ์เวลานี้ ในเมื่อเจ้ามา ก็ต้องมีความเห็นของเจ้า ไหนลองบอกให้ข้าฟังดู”


 


 


เซี่ยโหวเฉินได้ฟัง ยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีวิธีการจริงๆ กุญแจสำคัญในการคลี่คลายสถานการณ์นี้อยู่ที่ เป่ยเฉินอี้”  

 

 

 


ตอนที่ 117

 

ตอนที่ 117 ไม่ยินยอมไปพบฮ่องเต้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโง่งม

 


 


 


 


 “เป่ยเฉินอี้?” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเซี่ยโหวเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา  


 


 


พระขนงขมวดแน่นเป็นรอยย่น ทอดพระเนตรสีหน้าของ เซี่ยโหวเฉินอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าล้อเล่นเลยสักน้อย 


 


 


ผ่านไปสักพัก 


 


 


ในที่สุดฮ่องเต้ตรัสว่า “เจ้าว่ามา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้อย่างไร”  


 


 


เซี่ยโหวเฉินหัวเราะเบาๆ กลับลีลาไม่เอ่ยตรงๆ “เรื่องไม่เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้เลยสักน้อย” 


 


 


เมื่อเขาตอบออกมาเช่นนี้ สีพระพักตร์ของ ฮ่องเต้เผยความโมโห 


 


 


ทรงจ้องเซี่ยโหวเฉิน “ท่านอ๋องน้อย คำพูดของเจ้านับว่าเป็นการหยอกล้อข้าหรือไม่” 


 


 


 “กระหม่อมมิกล้า” เซี่ยโหวเฉินก้มหน้า ค้อมเอวลง เห็นว่าภายใต้ท่าทางอ่อนน้อมของตน ฮ่องเต้โทสะคลายลงบ้าง จึงได้เอ่ยว่า “เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินอี้ก็จริง แต่กลับสามารถให้ เป่ยเฉินอี้ออกมาคลี่คลายสถานการณ์ ทั้งยังยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัวอีกด้วย”   


 


 


 “อ้อ?” ฮ่องเต้รู้สึกสนใจ มองเซี่ยโหวเฉิน ท่าทางตั้งใจฟัง ตรัสว่า “ท่านอ๋องน้อยลองเอ่ยความเห็นของเจ้าออกมาดู” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า เสนอว่า “หากฝ่าบาทยินยอมเชื่อข้าน้อย ยามนี้ส่งคนไปตามตัวท่านอ๋องอี้ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา รอจนกระหม่อมอธิบายเรื่องราวเสร็จแล้ว ท่านอ๋องอี้ก็คงมาถึงพอดี ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านอ๋องไปทำภารกิจก็พอแล้ว” 


 


 


เขาเอ่ยออกมา ฮ่องเต้กลับนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง 


 


 


แต่เมื่อคิดถึงหลายปีที่ผ่านมา ข้อเสนอของเซี่ยโหวเฉินที่มีต่อพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์แก้ไขสถานการณ์เร่งด่วนได้ทุกครั้ง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยในความสามารถของอีกฝ่าย ดังนั้นฮ่องเต้จึงพยักหน้า 


 


 


หันกลับไปหาหัวหน้าขันที “ส่งคนไปตามอี้อ๋องเข้าวัง” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีรีบล่าถอยออกไปสั่งการ  


 


 


เมื่อสั่งการแล้ว ฮ่องเต้เบือนพระเนตรมองเซี่ยโหวเฉิน “ทีนี้ เจ้าก็พูดได้แล้ว”  


 


 


เห็นว่าฮ่องเต้เชื่อเขาขนาดนี้ เซี่ยโหวเฉินรีบยิ้มออกมา เอ่ยปากอธิบาย “ฝ่าบาท เรื่องนี้ความจริงง่ายดายมาก จวินซ่างไม่ยินยอมลงมือกับองค์ชายสี่ เช่นนั้นองค์ชายสี่ก็กลายเป็นหนามแทงพระองค์ที่ไม่อาจถอนออกได้” 


 


 


เมื่อเซี่ยโหวเฉินเอ่ยเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้ขรึมลง ทว่าไม่ได้โต้แย้งคำพูดของ เซี่ยโหวเฉิน   


 


 


ท่านอ๋องน้อยเอ่ยต่อไป “หากกระหม่อมคาดการณ์ไม่ผิด สุดท้ายซือถูเฟิงถูกฝ่าบาทเนรเทศแล้ว ความจริงพระองค์ทรงไม่อยากทำเช่นนี้ แม้ว่านี่จะเป็นความต้องการของจวินซ่าง แต่ก็เท่ากับปล่อยองค์ชายสี่ทำผิดต่อไป ยามนี้พระองค์ร้อนใจ ต้องการใครสักคนหรือวิธีการควบคุมองค์ชายสี่ ” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สีพระพักตร์ฮ่องเต้เย็นชา 


 


 


กวาดตามอง เซี่ยโหวเฉิน เตือนว่า “เซี่ยโหวเฉิน การเดาใจของข้าอาจไม่ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ยืนยาว ยิ่งคาดเดามากเท่าไหร่ กลับยิ่งทำให้ตายเร็วขึ้น” 


 


 


ความคิดของฮ่องเต้ ไม่อาจคาดเดาได้ง่ายๆ ต่อให้เดาได้ ก็ไม่สมควรพูดออกมา 


 


 


เซี่ยโหวเฉินรีบเสริมว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงกริ้ว แม้พระองค์ไม่ชอบให้ใครคาดเดาความคิด แต่เชื่อฝ่าบาททรงรู้ว่ากระหม่อมจงรักภักดีอย่างแน่นอน ดังนั้นพระองค์วางใจได้” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินกล่าวเช่นนี้ ไอเย็นเยียบที่แผ่จากฮ่องเต้ก็คลี่คลายลงไปว่าครึ่ง  


 


 


สายตาที่มองเซี่ยโหวเฉินอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน สี่ปีที่ผ่านมาสำหรับเซี่ยโหวเฉินเป็นขุนนางที่ช่วยพระองค์ออกความเห็นดีๆ มาโดยตลอด ฮ่องเต้หวนคิดถึงความเชื่อใจที่มีต่ออีกฝ่าย 


 


 


 “เจ้าพูดต่อ” ฮ่องเต้ทรงจ้องอ๋องน้อย รอฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย 


 


 


เซี่ยโหวเฉินรับคำต่อว่า “ดังนั้น ในยามนี้ อี้อ๋องกลับเป็นวิธีการที่ดีที่สุด” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซี่ยโหวเฉินเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ รีบเอ่ยต่ออย่างว่องไว “เชื่อว่าฝ่าบาทก็ทรงสงสัยในความภักดีของอี้อ๋องเช่นกัน ความจริงมิได้มีแต่พระองค์คิดเช่นนี้ กระหม่อมก็กังวลมาตลอดว่าอี้อ๋องไม่ภักดี” 


 


 


เรื่องนี้สำหรับฮ่องเต้ไม่ได้ปิดบังเลยสักน้อย ตรัสตรงไปตรงมา “ข้าป้องกันเขา ทั่วราชสำนักต่างรู้ดี อย่างไรเขาก็เป็นปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า เซี่ยโหวเฉิน เจ้าเข้าใจเขามากกว่าข้า เมื่อไม่ว่าเขาวางแผนเรื่องใดไม่เคยผิดพลาดมาก่อน หากเขามีใจคิดคด ข้าก็ไม่มั่นใจจะรับมือเขาได้ แต่ในมือเขากลับมีป้ายทองอภัยโทษของฮ่องเต้องค์ก่อน ข้าทำอะไรเขาไม่ได้” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินกล่าว “ดังนั้นพระองค์จึงเลือกได้แค่สั่งให้อี้อ๋องรักษาตัวอยู่ที่จวน บอกว่าเพื่อสุขภาพของเขา ไม่ให้เขาต้องตรากตรำเรื่องงานราชการ ทั้งไม่อาจออกจากเมืองหลวงได้สักก้าว ก็เพื่อเก็บเขาไว้ใต้สายพระเนตร สังเกตการณ์เขา” 


 


 


 “ไม่ผิด” ฮ่องเต้รับความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ ฮ่องเต้ทรงเชื่อว่า ความคิดของพระองค์ ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยโหวเฉิน ไม่ว่าขุนนางคนไหนก็ต่างดูออก 


 


 


เซี่ยโหวเฉินคลี่ยิ้มออก “อย่างนั้นพระองค์เคยลองคิดหรือไม่ ไฉนพระองค์ไม่ลองส่งท่านอี้อ๋องไปเป็นผู้ตรวจการทหารชายแดนบ้าง” 


 


 


 “เอ๋?” ฮ่องเต้ชะงักงันไปเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจกับวิธีการของเซี่ยโหวเฉิน  


 


 


เซี่ยโหวเฉินอธิบายต่อว่า “ฝ่าบาท ยามนี้องค์ชายสี่รักษาการอยู่ชายแดน เขาไม่ฟังคำใครทั้งสิ้น ทำสิ่งใดตามใจปรารถนา สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พระองค์ลองส่งอี้อ๋องไป ประการแรกอำนาจคุมทัพอยู่ในมือของสตรีนางนั้น อี้อ๋องไม่อาจกุมอำนาจไปได้ง่ายๆ ไม่อาจก่อให้เกิดคลื่นลมอะไรได้ง่ายๆ ฝ่าบาทก็ไม่ต้องกังวลทุกวัน ประการที่สอง ทำให้อี้อ๋องกับองค์ชายสี่ประมือกัน พระองค์รอคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินแววตาทอประกายขบขัน จ้องมองฮ่องเต้ตรงๆ โดยไม่มีความเกรงกลัว อธิบายต่อ “ฝ่าบาท การสู้กันระหว่างอี้อ๋องกับองค์ชายสี่ ไม่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้พ่ายแพ้ จนถึงกระทั่งเสียชีวิต สำหรับพระองค์แล้วล้วนเป็นเรื่องดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


คนทั้งสองล้วนเป็นหนามทิ่มแทงฮ่องเต้ ให้พวกเขาต่อสู้กันเอง ไม่ใช่เรื่องดีหรืออย่างไร 


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ สายตาที่ฮ่องเต้มองเซี่ยโหวเฉินกลับมีความชื่นชมขึ้นหลายส่วน ทั้งยังล้ำลึกขึ้นมา “เจ้าก็รู้นิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาไม่แน่ว่าจะไว้หน้า เป่ยเฉินอี้ หากเป่ยเฉินอี้หาได้ฉลาดเช่นเมื่อก่อนแล้ว ไม่แน่คืนที่เป่ยเฉินอี้ไปถึงชายแดนนั้น จะตายภายใต้น้ำมือของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลยก็ได้”  


 


 


 “หรือพระองค์คำนึงถึงความเป็นตายของอี้อ๋อง” เซี่ยโหวเฉินยิ้ม “นิสัยขององค์ชายสี่ เหิมเกริมไม่เห็นใครในสายตา เขาไม่ใส่ใจชื่อเสียงหรือการร่วมมือกับใครได้ ดังนั้นเรื่องนี้สุดท้ายมีผลลัพธ์เพียงแค่สองอย่าง” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ เซี่ยโหวเฉินยิ่งยิ้ม “หากอี้อ๋องไร้สามารถ ตายอยู่ในเงื้อมมือขององค์ชายสี่ เช่นนั้นก็เป็นการช่วยฝ่าบาทแก้ปัญหาป้ายทองอภัยโทษในมือของอี้อ๋องที่ทำให้พระองค์ไม่อาจลงมือกับเขา ดังนั้นถึงได้ทำแค่กักบริเวณเขาไว้ หากเป่ยเฉินอี้มีความสามารถกดดันองค์ชายสี่ได้ เช่นนั้นฝ่าบาทก็มิต้องกังวลพระทัยเรื่ององค์ชายสี่อีกต่อไป ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ล้วนมีประโยชน์ต่อพระองค์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ฮ่องเต้ยิ้มกว้าง “ไม่ผิด สมกับเป็นขุนนางรักของข้า เพียงแต่…หากเป่ยเฉินอี้ไปแล้วจริงๆ จะอันตรายมาก เจ้าไม่กังวลเลยสักน้อยหรือ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ถึงเจ้ากับเป่ยเฉินอี้จะอายุต่างกันไม่มาก แต่อย่างไรเขาก็เป็น…อาจารย์ของเจ้า”   


 


 


เซี่ยโหวเฉินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ก็สงบหนักแน่นได้อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท เมื่อความภักดีกับคุณธรรมไม่อาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง กระหม่อมก็ได้แต่เลือกภักดีต่อพระองค์ ส่วนเรื่องอาจารย์…ฝ่าบาท ปราญช์อันดับหนึ่ง ในใต้หล้านี้มิอาจมีสองคนได้” 


 


 


เขาเซี่ยโหวเฉินมิได้ยินยอมเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินเป่ยเฉินเท่านั้น 


 


 


ฮ่องเต้เข้าใจได้ทันที สรวลเสียงดัง “ดี” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ บ่าวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา 


 


 


    หลังจากบ่าวรับใช้เข้าประตูมาแล้ว คุกเข่าลงด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ฝ่าบาท อี้อ๋องมิยินยอมมา เขาเอ่ยว่า…เอ่ยว่า พระองค์มีเรื่องอันใดสั่งการมาก็เพียงพอแล้ว เขาไม่ยินยอมออกมาด้วยตัวเอง เพื่อมาดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโง่งมของพระองค์” 

 

 

 


ตอนที่ 118

 

ตอนที่ 118 ข้ายินดีรับผิดชอบ

 


 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยโหวเฉินพลันแข็งทื่อไป 


 


 


สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ชะงักนิ่งไปแล้ว 


 


 


พวกเขาทั้งสองคนคล้ายกับลืมนิสัยของเป่ยเฉินอี้ว่าเป็นอย่างไร 


 


 


ผู้ที่เป็นปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็มีนิสัยเข้าคู่กับความสามารถของเขา ในสายตาของ เป่ยเฉินอี้ คนในใต้หล้าไม่มีใครไม่โง่งม 


 


 


บ่าวคุกเข่าตัวสั่นอยู่กลางห้อง ไม่กล้าเอ่ยคำพูดออกมาสักคำเดียว 


 


 


เขาตัวสั่นงกมองฮ่องเต้ จากนั้นรีบก้มหน้าลง กังวลเหลือเกินว่าตัวเองจะพลอยรับผลกระทบไปด้วย 


 


 


หลังจากฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง สีพระพักตร์เขียวคล้ำ มองบ่าวผู้นั้นตวาดก้อง “ไสหัวออกไป คำพูดของอี้อ๋อง ข้าไม่ต้องการให้ใครได้ยินอีก” 


 


 


บ่าวรีบตอบด้วยอาการตัวสั่น “ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมไม่มีทางเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียว กระหม่อมทูลลา” 


 


 


สิ้นเสียง เขาก็รีบตะเกียกตะกายจากไปด้วยความลนลาน ล้มลุกคลุกคลานวิ่งจากไป 


 


 


เซี่ยโหวเฉินมองพระพักตร์เขียวคล้ำของฮ่องเต้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ นิสัยของอี้อ๋อง ท่านก็ทรงทราบ เขากำเริบเสิบสาน ก็เพราะป้ายทองอภัยโทษในมือเขาเท่านั้น” 


 


 


ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานป้ายทองละโทษตายไว้ให้ พระองค์เคยตรัสไว้ว่านอกจากโทษก่อการกบฎและขัดขืนราชโองการแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็มิอาจทำอะไรเขาได้ 


 


 


ดังนั้น การที่เขาไม่เคารพต่อฮ่องเต้เช่นนี้ ฝ่าบาทก็จนปัญญาจะลงโทษ 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ความเดือดดาลของฮ่องเต้ค่อยๆ จางลง 


 


 


ก็ช่างเถอะ เรื่องเป็นเช่นนี้ โมโหไปก็ไร้ความหมาย 


 


 


ฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรมองเซี่ยโหวเฉิน สั่งเสียงเย็นชา “เจ้าไปถ่ายทอดราชโองการข้า ให้ เป่ยเฉินอี้ออกเดินทางทันที ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจทหารชายแดน ห้ามมิให้ผิดพลาด”  


 


 


ครั้นตรัสมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ 


 


 


รีบหยิบพู่กันร่างราชโองการ ทั้งยังใช้ตราราชลัญจกรประทับลงไป โยนราชโองการให้เซี่ยโหวเฉิน “นำราชโองการของข้าไปด้วย” 


 


 


รับสั่งของพระองค์เป่ยเฉินอี้อาจไม่ฟัง 


 


 


  แต่ราชโองการ เป่ยเฉินอี้ต้องเชื่อฟังโดยมิอาจบ่ายเบี่ยง มิเช่นนั้นขัดราชโอการไม่อยู่ในขอบเขตคุ้มครองของป้ายทองอภัยโทษ 


 


 


เซี่ยโหวเฉินรีบรับราชโองการไว้ในมือ สีหน้าไม่มีความลำบากใจเลยสักน้อย คารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงวางใจ กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้” 


 


 


เซี่ยโหวเฉินเอ่ยจบ ก็ถือราชโองการจากไป 


 


 


หลังจากเขาจากไป 


 


 


หัวหน้าขันทีมองพระพักตร์ด้านข้างของฮ่องเต้ เอ่ยถามด้วยความระวังว่า “ฝ่าบาท ท่านว่าวิธีการนี้ของท่านอ๋องน้อยจะใช้ได้ผลหรือไม่” 


 


 


ฮ่องเต้ทรงนิ่งไปสักพัก ถอนพระทัย “ไม่ว่าใช้ได้หรือไม่ ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในยามนี้แล้ว” 


 


 


  ซ้ำยังเป็นวิธีการเดียวในตอนนี้อีกด้วย 


 


 


หัวหน้าขันทีในยามนี้ไม่เงียบลง ทว่าถอนหายใจออกมา “หวังจริงๆ ว่าภายหน้าจะมีเรื่องเช่นนี้น้อยลงหน่อย อย่าได้ให้ฝ่าบาททรงตรากตรำเช่นนี้เลย” 


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น ตรัส “ขอเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเป่ยเฉินอี้ตายไปสักคนหนึ่ง ข้าก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้แล้ว ข้าได้แต่ฝืนเชื่อว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนพิการคนหนึ่ง ร่างกายเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีค่าให้กังวล แต่เซี่ยโหวเฉินขุดความไม่สงบและความระแวงสงสัยในใจข้าออกมา ช่างเถอะ ไม่ช้าไม่เร็วอย่างไรข้าก็ต้องรับมือกับปัญหานี้อยู่แล้ว”  


 


 


หัวหน้าขันทีลังเลเล็กน้อย มองฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเคยคิดหรือไม่ บางทีอี้อ๋องหาได้มีใจคิดคด แต่หากเป็นท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวคิดแย่งชิงตำแหน่งปราชญ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า ถึงได้จงใจยุยงเล่า” 


 


 


เมื่อฮ่องเต้ฟังกลับย้อนถามแทนคำตอบว่า “เป่ยเฉินอี้ไม่มีใจคิดคดหรือ คำพูดนี้เจ้าเชื่อหรือไม่” 


 


 


หัวหน้าขันทีชะงักไปแล้ว ก้มหน้าลง “กระหม่อมก็ไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท” 


 


 


ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตร ตรัสถามว่า “องค์ชายใหญ่กลับวังแล้วหรือยัง”  


 


 


 “ได้ยินว่ากลับเมืองหลวงแล้ว คาดว่าจะถึงวังหลวงตอนกลางคืน” หัวหน้าขันทีรีบตอบ  


 


 


ฮ่องเต้พยักหน้า “อืม หลังจากเขากลับมา ให้ไปพบฮองเฮาก่อน เนรเทศซือถูเฟิง ฮองเฮาไม่ยินดี องค์ชายใหญ่ไปพบนางก็สามารถปลอบได้บ้าง” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีรับคำ 


 


 


ฮ่องเต้เสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ยังมีอีกเรื่อง ส่งสารไปให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน บอกเขาว่าเดิมทีซือถูเฟิงสมควรมีโทษประหาร แต่ว่าเสินเซ่อเทียนเสนอให้เนรเทศ ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตเขา” 


 


 


คาดว่าเมื่อผลักเรื่องไสเรื่องนี้ให้เสินเซ่อเทียนแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไว้หน้าพระองค์บ้าง ยินยอมให้เนรเทศ 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


   …… 


 


 


เมืองชายแดนเป่ยเฉิน  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งอยู่กลางห้อง ทั้งสองยังคงประสานสายตากันดังเดิม 


 


 


อวี้เหว่ยที่หลบอยู่มุมกำแพง รู้สึกกังวลมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากคนทั้งสองยังจ้องตากันเช่นนี้ต่อไป จะเปลี่ยนเป็นตาไก่ชน[1]แล้ว 


 


 


ทั้งในใจเขายังกังวลแทนเตี้ยนเซี่ยเป็นอย่างมาก กังวลอะไรนั่นหรือ… 


 


 


อืม กังวลว่าเตี้ยนเซี่ยขโมยไก่ไม่สำเร็จยังจะเสียข้าวสารล่อไปด้วย ไม่อาจทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยรับผิบชอบก็ช่างเถอะ สุดท้ายพลอยทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยโมโหไปด้วย 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน… 


 


 


เดิมทีก็เพื่อให้นางชดเชยให้ เขาถึงพูดมาถึงตอนนี้ กลับเหนือกว่าความคาดหวังเดิมไปมาก เพียงแต่สถานการณ์ในยามนี้มีประโยชน์กับเขา 


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยนิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดสีหน้าเย็นชา ก็เอ่ยประโยคแรกออกมา “ดี ข้าจะรับผิดชอบ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง แววตาวาวโรจน์ขึ้น 


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเผยรอยยิ้มที่ยากปกปิด น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นแม่นางเยี่ยเม่ยลองเอ่ยดูว่า คิดจะรับผิดชอบเยี่ยนอย่างไร เยี่ยนจะได้เตรียมใจเอาไว้” 


 


 


เยี่ยเม่ยมองสภาพของพวกนางทั้งสองคน 


 


 


หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียง ไม่มีอะไรผิดปกติ ส่วนเขากลับเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย หากมิใช่เพราะนางเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่ถูกแตะต้อง เห็นสภาพไม่เรียบร้อยของเสื้อผ้าเขา นางยังสงสัยว่าตนเองทำอะไรกับเขาบ้าง 


 


 


เยี่ยเม่ยจะรู้ได้ที่ไหนว่า เสื้อผ้าของใครบางคนไม่เรียบร้อย เป็นเพราะเขาทำขึ้นเองก่อนนางจะตื่น 


 


 


เขาไม่เป็นฝ่ายยกเรื่องนี้ขึ้นมาเอง 


 


 


แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่ใช่ตาบอด นางมองเห็นแล้ว เพื่อกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทต่อไป ไม่ให้เขาใช้เรื่องที่เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อยมาคาดการณ์ว่านางเป็นคนถอดเสื้อผ้าเขา สถานการณ์จะยิ่งกระอักกระอ่วนขึ้นไปอีก ดังนั้นนางถึงได้ยอมรับไปเสีย 


 


 


เยี่ยเม่ยได้ยินคำถาม สูดลมหายใจลึก เอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านให้ข้าคิดสักวันสองวัน ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับท่าน” 


 


 


ยามนี้นางสมองสับสน รู้สึกคล้ายตกหลุมพราง 


 


 


เยี่ยเม่ยต้องการเวลาสงบสติสองวัน  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ กลับเก็บท่าทางบีบคั้นคน พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ดี เช่นนั้นเยี่ยนจะรอข่าวดีจากแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ในหัวยังคงสับสนวุ่นวาย  


 


 


ปรายตามองเขา “อาการบาดเจ็บของท่านไม่ร้ายแรงใช่หรือไม่” 


 


 


สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทอรอยยิ้ม ในเมื่อนางตกลงให้คำตอบกับเขา เขาก็ไม่อยากถกเรื่องพวกเขานอนด้วยกันอีก เพียงตอบว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่กับเยี่ยนอีกสักชั่วยามสองชั่วยาม ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว มองเขาด้วยความเย็นชา ไม่พูดอะไร 


 


 


ทั้งสองเริ่มจ้องตากันเป็นยกที่สอง… 


 


 


ครั้งนี้ องค์ชายสี่ไม่เป็นเหมือนเมื่อครู่ จ้องตากันอยู่นานสองนาน เขากลับไอออกมาอย่างรุนแรง “แค่ก…” 


 


 


สายตาเย็นชาของเยี่ยเม่ยพลันอบอุ่นขึ้นไม่น้อย 


 


 


ถอนใจยอมรับชะตา “เช่นนั้นก็ได้ สองชั่วยาม” 


 


 


 


 


 


[1] ตาไก่ชน ตาเหล่ 

 

 

 


ตอนที่ 119

 

ตอนที่ 119 แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเวียนหัว

 


 


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว ในใจนางเกิดความรู้สึกประเภทที่ว่าตนเองไม่ทันระวังเดินตกหลุม ในเสี้ยวเวลานี้มีแต่ยิ่งทวีความชัดเจนขึ้น 


 


 


สิ้นเสียง 


 


 


บุรุษหน้าตาหล่อเหลาบนเตียงก็ทำตัวราวกับกระดูกอ่อนยวบก็ไม่ปาน ล้มพับมาทางนาง 


 


 


เขารวบนางไว้ในอ้อมอก แขนที่ดูเหมือนอ่อนแรงความจริงกลับมีเรี่ยวแรงรัดเอวนางแน่น ไม่ปล่อยให้หญิงสาวมีโอกาสขัดขืนดิ้นรนหลีกหนี 


 


 


น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นที่ข้างหูแฝงไปด้วยความเย้ายวนใจคน “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเวียนหัว เจ้ารีบพยุงเยี่ยนขึ้นมาพักผ่อนสักหน่อย” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


เยี่ยเม่ยอยากเตะโด่งเขาตกเตียงภายในทีเดียวได้หรือไม่ 


 


 


เห็นเขาเหมือนปลาหมึกเกาะเกี่ยวร่างนางไว้อย่างหน้าไม่อาย เยี่ยเม่ยยื่นมือออกอย่างจนใจ เตรียมผลักเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


ในระหว่างที่หญิงสาวออกแรงผลัก 


 


 


น้ำเสียงอ่อนโยนของเขา ก็ดังขึ้นที่ข้างหูนางอีกครั้ง “แม่นางเยี่ยเม่ย ไฉนต้องปฏิเสธด้วยเล่า สำหรับแม่นางเยี่ยเม่ยแล้ว เยี่ยนก็มีพลังดึงดูดมิใช่หรือ หากกอดกันไว้ทำให้คนรับรู้ถึงความอบอุ่น ไฉนต้องผลักไสกันและกัน เพื่อไปเผชิญความหนาวเหน็บตามลำพัง” 


 


 


ต้นฤดูหนาวก็เย็นอยู่บ้างจริงๆ 


 


 


เยี่ยเม่ยเพิ่งตื่นขึ้นมา เลิกผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่ง ก็หนาวอยู่บ้าง 


 


 


เป็นอย่างเขาว่า คนสองคนกอดกันอยู่แบบนี้ ก็จะทำให้อุ่นขึ้นมา เยี่ยเม่ยก็มีความรู้สึกดีๆ ให้เขาจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธเขาตรงๆ 


 


 


 


 


 


เยี่ยเม่ยคิดว่าเจ้าคนนี้มีความสามารถในการล้างสมองอย่างสูงส่ง ใช้คำพูดไม่กี่ประโยค มีพลังในการล่อลวงใจคน ถึงกระทั่งทำให้นางรู้สึกว่า ยามนี้หากนางผลักเขาออกให้ได้ จะแสดงออกว่านางไม่เพียงเสแสร้ง ทั้งยังคิดเล็กคิดน้อย  


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ผลักเขาออก 


 


 


ครั้นเห็นหญิงสาวไม่ผลัก องค์ชายสี่กับอวี้เหว่ยที่มุมกำแพงสองคนยังดีใจได้ไม่ทันไร 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันช้อนตาขึ้น มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน น้ำเสียงเย็นเยียบ เอ่ยช้าๆ ว่า “ท่านขาดความรักจากแม่หรือไง” 


 


 


บาดเจ็บแล้วถึงต้องให้นางกอดเอาไว้ 


 


 


นี่เป็นการแสดงออกของคนที่ขาดคนเอาใจใส่  ไม่ได้รับความอบอุ่น รู้สึกไม่มีความปลอดภัยชัดๆ 


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยยังไม่โง่งมถึงขั้นคิดว่าอีกฝ่ายเห็นนางเป็นแม่ แต่นางมั่นใจว่าเขาขาดความรักจากมารดาจริงๆ 


 


 


อวี้เหว่ยเบือนหน้าเงียบๆ มองความว่างเปล่าด้านหลังตนเอง ความสัมพันธ์ของเตี้ยนเซี่ยกับฮองเฮา ไม่แน่นแฟ้นจริง แต่เตี้ยนเซี่ยหาได้ใส่ใจความรักของมารดา ไม่รู้ว่าไฉนแม่นางเยี่ยเม่ยถึงเอ่ยเช่นนี้….  


 


 


มุมปากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระตุกเล็กน้อย 


 


 


อาการบาดเจ็บของเขาเป็นของปลอม การต้องการความอบอุ่นและความห่วงใยในยามนี้ย่อมเป็นของปลอม ก็ทำเพื่อหาเหตุผลกอดนางเท่านั้น ใครจะรู้ว่าสตรีนางนี้กลับเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา 


 


 


เขาเงียบไปสักพัก ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายกลับเผยความผิดหวัง รอยยิ้มที่เก็บอยู่ในดวงตา น้ำเสียงไพเราะน่าฟังค่อยๆ กล่าว “ถูกแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยพูดไม่ผิดเลย นับตั้งแต่เล็กเสด็จแม่ไม่ใส่ใจเยี่ยน เยี่ยนขาดความอบอุ่นและความห่วงใยมาโดยตลอด ไม่เพียงเท่านี้ เสด็จพ่อและพี่น้องทั้งหลายยังหวังให้เยี่ยนตาย เฝ้าหาแผนการทำร้ายตลอดทั้งเช้าค่ำ ความจริงเยี่ยนมีชีวิตอยู่เหนื่อยมาก ทั้งอันตรายมาก” 


 


 


อวี้เหว่ยพลันเบือนหน้าหนี 


 


 


ยกนิ้วหัวแม่มือให้กับเตี้ยนเซี่ยของเขา ในใจคิดว่า ‘สวรรค์ กระบวนท่าแกล้งทำตัวน่าสงสาร ใช้ได้ดียิ่ง เพียงแต่…’ 


 


 


รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เหนื่อยมาก ทั้งยังอันตรายมาก ไม่ใช่เตี้ยนเซี่ย แต่เป็นบรรดาพี่น้องของเตี้ยนเซี่ย ทั้งรวมถึงฝ่าบาทด้วยกระมัง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยออกมา  


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วแน่น นางรู้อยู่แล้วว่าจิตใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องเข้มแข็งกว่าที่เขาอธิบายออกมามาก แต่อย่างไรวันนี้เขาก็บาดเจ็บ หรือว่าคนหลังบาดเจ็บ จะอ่อนแอเป็นพิเศษ ถึงได้ทนไม่ไหวเอ่ยคำพูดจากใจกับนางกัน 


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยกลับตบบ่าปลอบโยนเขา “ชีวิตไม่เป็นดังใจปรารถนา พวกเขาวางแผนต่อกรท่าน กลับกันก็เพราะท่านแข็งแกร่งมาก ทำให้พวกหวาดกลัว” 


 


 


อวี้เหว่ยลูบหน้าตัวเอง…ดีมาก เยี่ยเม่ยเริ่มปลอบโยนเตี้ยนเซี่ยแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่พูดจา ดูคล้ายเสียใจเกินไป 


 


 


เยี่ยเม่ยถอนใจ ตบบ่าเขาอีกครั้ง เอ่ยว่า “ในเมื่อได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องไม่น่ายินดีอีกแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านวางใจเถอะ ข้าจะปกป้องท่านเอง” 


 


 


อวี้เหว่ย “…” หากวันไหนที่ปีศาจอย่างเตี้ยนเซี่ยยังต้องการผู้อื่นปกป้อง อย่างนั้นเกรงว่าฟ้าจะถล่มลงมาแล้ว 


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยนี่เป็นพวกชอบไม้อ่อนตัวจริง… 


 


 


แสร้งทำตัวน่าสงสารหน่อย ยังพอช่วยอะไรได้บ้าง 


 


 


ความจริงหลังจากเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยยังกระตุกมุมปาก หลายวันที่ผ่านมาไม่ใช่ไม่เห็นความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คนผู้นี้ร้ายกาจจะแย่ หากต้องการให้นางปกป้องจริงๆ หญิงสาวรู้สึกว่าเพ้อฝันเกินไป 


 


 


แต่ว่า… 


 


 


เมื่อได้ยินเขาบอกว่าตัวเองน่าสงสาร นางก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงความคุมความสงสารที่อยู่ในใจไม่ได้ ถึงต้องให้สัญญาออกมา 


 


 


ว่าไปแล้ว คำพูดเช่นนี้ยามปกติสมควรเป็นบุรุษเอ่ยกับสตรีไม่ใช่หรือไง 


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยกำลังสงสัยว่าตัวเองรุกเกินไปแล้ว เป็นผู้หญิงแกร่งเกินไปหรือไม่ 


 


 


น้ำเสียงชวนฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแฝงไปด้วยความขบขันระคนอ่อนโยน ค่อยๆดังขึ้น “ได้รับความจริงใจและคำสัญญาจากแม่นางเยี่ยเม่ย เป็นโชคดีที่สั่งสมมาของเยี่ยน” 


 


 


แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ใครปกป้อง 


 


 


ต่อให้เป็นเสินเซ่อเทียน ก็ไม่แน่ว่าจะได้เปรียบไปจากเขามากเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ตัวเองแกล้งทำตัวน่าสงสาร ได้ยินคำพูดเช่นนั้นของนาง เขาก็ควบคุมความยินดีเอาไว้ไม่อยู่ 


 


 


ราวกับว่าน้ำผึ้งบ้านใคร พลันถูกยกไปนึ่ง ทำให้อากาศเต็มไปด้วยไอหวานล้ำ อบอวลไม่จางหาย 


 


 


เมื่อได้ฟังคำเขา ใจที่อึดอัดของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ ค่อยสงบลง 


 


 


หญิงสาวพยักหน้า “พอแล้ว ท่านอย่าพูดอะไรพวกนี้อีกเลย รักษาตัวให้ดี จิตใจจะได้ฟื้นฟูเร็วหน่อย”  


 


 


 “อืม” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับคำด้วยเสียงน่าฟัง สายตาทอรอยยิ้ม 


 


 


รอยยิ้มนั้น ช่าง…เจ้าเล่ห์นัก แววตานั้นเผยความตื่นเต้นและร้อนแรงของปีศาจร้ายที่ทำแผนการประสบผลสำเร็จ อันตรายถึงขั้นคนไม่กล้าสบตา 


 


 


แต่เสียดาย เยี่ยเม่ยผู้ก้มหน้าก้มตาเห็นใจที่เขาตกอยู่ในสภาพน่าอนาถขนาดนี้กลับมองไม่เห็นเลยสักน้อย 


 


 


ส่วนอวี้เหว่ยที่หลบอยู่มุมกำแพงนานสองนาน เห็นเยี่ยเม่ยตกหลุมพรางเช่นนี้ เขาพลันไม่รู้ว่าสมควรดีใจที่เตี้ยนเซี่ยพัฒนาสติปัญญาและความคิดอ่านได้โจนทะยานเช่นนี้ดี หรือว่าเห็นใจแม่นางเยี่ยเม่ยดี  


 


 


นางถึงขั้นเชื่อว่าปีศาจตนหนึ่งขาดความปลอดภัย และยังต้องการการปกป้อง 


 


 


ได้แต่โทษว่าเตี้ยนเซี่ยแสดงได้แนบเนียนเกินไปแล้ว… 


 


 


เฮ้อ… 


 


 


….. 


 


 


จิ่วหุนเดินสาวเท้ากว้างเข้าไปที่ห้องของเยี่ยเม่ย  


 


 


เขามองไปรอบๆ ภายในไม่มีใครเลยสักคน จิ่วหุนพลันมุ่นคิ้ว 


 


 


เพิ่งจะหมุนตัวออกจากประตู ก็พบเจ้าเมืองหลินเดินเข้ามาหา 


 


 


จิ่วหุนหาได้ใส่ใจอีกฝ่ายเลยสักน้อย ทำราวกับมองไม่เห็น ก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไป จิ่วหุนเป็นคนเช่นนี้ ในโลกรวมถึงในสายตาเขาแต่ไหนแต่ไรมามีเพียงเยี่ยเม่ย คนอื่นๆ เขาหาได้ใส่ใจ และไม่อยู่ในสายตา   


 


 


เจ้าเมืองหลินจึงเรียกให้เขาหยุด “คุณชายจิ่ว ช้าก่อน ” 

 

 

 


ตอนที่ 120

 

ตอนที่ 120 รอราชาต้ามั่วกลับจากสุขา

 


 


 


จิ่วหุนชะงักฝีเท้า


 


 


หันหน้ามองเจ้าเมืองหลินทีหนึ่ง แต่ว่าหลังจากนั้นก็ถอนสายตากลับทันที เตรียมตัวหนีจากไป


 


 


มุมปากเจ้าเมืองหลินพลันกระตุกไปเล็กน้อย ทั้งไม่เข้าใจว่าเจ้าหนุ่มนี่ไฉนถึงได้กำเริบเสิบสานเพียงนี้ มีนิสัยไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาจริงๆ หรือว่าความโอหัง ดังนั้นจึงคร้านจะใส่ใจ


 


 


 “ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับคุณชาย” เจ้าเมืองหลินมองแผ่นหลังเขา สะกดความโมโหเอ่ยประโยคนี้ 


 


 


เขาเป็นถึงเจ้าเมือง เสี่ยวจิ่วผู้นี้เป็นแค่สามัญชน ไม่ไว้หน้าเขาเกินไป เจ้าเมืองหลินเริ่มเกิดโทสะ


 


 


จิ่วหุนไม่หันหน้ากลับไป เหมือนเขาไม่อยากเอ่ยปาก ทว่าถูกเจ้าเมืองหลินรบเร้าเช่นนี้น่ารำคาญนัก สุดท้ายจิ่วหุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงต่ำ “เรื่องการศึก ข้าฟังเยี่ยเม่ยคนเดียว”


 


 


คำพูดเอ่ยอย่างชัดเจน หากเกี่ยวข้องกับการศึกก็ไม่ต้องปรึกษาแล้ว หากคิดให้เขาไปทำอะไร ก็ไม่ต้องเอ่ยอีก


 


 


เขาฟังเพียงแค่เยี่ยเม่ยคนเดียว


 


 


ดังนั้นหากเจ้าเมืองหลินคิดจะปรึกษาเรื่องอะไร สมควรไปหาเยี่ยเม่ย ไม่ต้องมาหาเขา


 


 


เมื่อเจ้าเมืองหลินได้ฟัง ก็เข้าใจว่าอีกว่าเข้าใจผิดแล้ว แต่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย ก็ฟังความเอาใจใส่ของเจ้าหนุ่มที่มีต่อเยี่ยเม่ยออก


 


 


เจ้าเมืองเอ่ย “เรื่องที่ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ยามนี้ในมือของแม่นางเยี่ยเม่ยมีทัพใหญ่สองแสนนาย ต่อให้เวลานี้มีแม่ทัพจำนวนมากที่เลื่อมใสนาง แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีคนไม่พอใจที่สตรีนางหนึ่งมีอำนาจเช่นนี้ เชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากให้ความไร้มารยาทของเจ้า ทำให้ข้าต้องมีคำครหานางหรอกกระมัง”


 


 


เขาใช้สภาพของเยี่ยเม่ยมาข่มขู่จิ่วหุนให้ฟังคำพูดเขา


 


 


แต่เจ้าเมืองหลินก็แค่พูดไป ไม่ต้องพูดถึงความสามารถของเยี่ยเม่ยเลย แค่หญิงสาวมีองค์ชายสี่หนุนหลัง ต่อให้เขากล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้าทำอะไรเยี่ยเม่ย


 


 


จิ่วหุนชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเจ้าเมืองหลิน นัยน์ตาราวกับน้ำนิ่งเผยไอสังหารออกมากระแสหนึ่ง


 


 


น้ำเสียงต่ำราวไม่มีความรู้สึกใดๆ กล่าว “เจ้ากล้ามีคำครหาต่อนาง อย่างนั้นข้าก็ไม่เสียใจที่จะ…ฆ่าเจ้าซะ”


 


 


เจ้าเมืองหลินตกตะลึง


 


 


มีสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ ซ้ำยังมีไอสังหารเผยออกมาจากร่าง เขาเข้าใจในทันที เจ้าหนุ่มหาได้ล้อเล่นกับตัวเอง จิ่วหุนจะฆ่าตนจริงๆ


 


 


เสี้ยวนาทีนี้ เขาเริ่มเสียใจแล้วที่เอาเยี่ยเม่ยมาข่มขู่อีกฝ่าย


 


 


เจ้าเมืองข่มใจให้สงบลง เอ่ยปากว่า “ไฉนคุณชายจิ่วต้องโมโหเช่นนี้ ข้าอยากคุยกับเจ้าไม่กี่คำเท่านั้น สำหรับเจ้าแล้วไม่แน่อาจไม่ใช่เรื่องไม่ดี ไฉนต้องมีเจตนาร้ายกับข้าถึงขั้นนี้ สำหรับแม่นางเยี่ยเม่ย ข้าหาได้มีเจตนาร้ายกับนาง”


 


 


จิ่วหุนฟังว่าเขามีเจตนาดี ความเ**้ยมเกรียมบนใบหน้าสลายไปบ้าง กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “พูดมา ข้ามีความอดทนไม่มาก”


 


 


สิ้นเสียงเขา


 


 


เจ้าเมืองหลินเอ่ยปากอย่างว่องไว “ความจริงก็เพื่อบุตรสาวของข้า ข้ามีบุตรสาวแค่คนเดียว หลายปีมานี้เลี้ยงดูนางประดุจไข่มุกในมือ หลายวันที่ผ่านมาข้าเห็นคุณชาย รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนมีความสามารถ ไม่ทราบว่าคุณชายมีสัญญาหมั้นหมายแล้วหรือยัง หากยังไม่มี…”


 


 


เจ้าเมืองหลินไม่เอ่ยคำพูดต่อไปอีก รอคำตอบจากจิ่วหุน


 


 


 “ข้าไม่สนใจ” จิ่วหุนเอ่ยออกมาสี่คำ ก็หมุนตัวจากไป


 


 


ไม่เอ่ยถามชื่อของบุตรสาวเจ้าเมือง ไม่แปลกใจว่าทำไมเจ้าเมืองหลินถึงเห็นเขาในแง่ดีเช่นนี้ ทั้งไม่มีท่าทางเบิกบานลิงโลดอย่างที่เจ้าเมืองหลินคิดไว้ เพราะเขาเป็นสามัญชนคนธรรมดา กลับเป็นที่ถูกตาเจ้าเมืองหลิน ได้รับโอกาสให้เกาะพันไข่มุกเม็ดงามของเจ้าเมือง


 


 


เพียงเอ่ยแค่สี่คำ ก็จากไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ


 


 


สีหน้าของเจ้าเมืองหลินยามนี้โมโหจนเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดเซียว เคราะห์ดีที่เขามาคนเดียว ไม่พาบ่าวรับใช้มาด้วย มิเช่นนั้นหน้าเ**่ยว ๆ ของเขา รวมถึงชื่อเสียงของบุตรสาวคงจบสิ้นแล้ว


 


 


เขาสูดลมหายใจลึก มองจิ่วหุนเดินจากไปจนไม่อาจได้ยินคำพูดของตน ยามนี้เจ้าเมืองหลินเกิดโทสะยากทนไว้อีก ก่นด่าด้วยความโมโห  “เจ้าคนโอหัง ข้าจะทำให้เขาต้องเสียใจ”


 


 


สิ้นเสียง ก็สะบัดชายเสื้ออย่างแรง หมุนตัวเดินไปที่ห้องของหลินซูเหย่า


 


 


   ……


 


 


ค่ายทหารต้ามั่ว


 


 


บรรยากาศในค่ายทหารเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก คล้ายถูกผนึกเอาไว้


 


 


แต่พวกเขาภายใต้บรรยากาศเคร่งเครียดนั้น อารมณ์กลับไม่ได้เคร่งขรึมตามไปด้วย ถึงกระทั่งตกอยู่ในอารมณ์เลวร้ายอย่างมาก กลิ่นเหม็นกระแสหนึ่งพัดคลุ้งอยู่ในอากาศ  ทหารหลายหมื่นล้มตาย ถูกฝังแล้ว กลับไม่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า


 


 


กลิ่นเหม็นนี้มาจากทหารเรือนหมื่นที่มีชีวิตอยู่ หลังจากเยี่ยเม่ยนำทหารทัพใหญ่จากไป ก็ผลัดกันเรียงแถวเข้าสุขาทิ้งกลิ่นเอาไว้


 


 


ถึงแม้ทุกคนล้วนต่อแถวเข้าสุขาอย่างเป็นระเบียบ แต่ทหารเรือนหมื่นท้องเสียพร้อมเพรียงกัน ทำให้อุจจาระล้นเกินจำนวน ดังนั้นพื้นที่โดยรอบ ล้วนส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งอยู่นานไม่จางหายไป


 


 


ราชาต้ามั่วนั่งอยู่ตำแหน่งประทานด้วยสีหน้าไม่น่าชม


 


 


ราชาต้ามั่วเป็นส่วนหนึ่งที่ผลิตต้นตอของกลิ่นเหม็น ยามนี้ก็จนปัญญาต่อว่าผู้อื่น


 


 


เพียงแค่กวาดสายมองเซียวชิน เอ่ยถาม “อาการของทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เซียวชินรีบตอบ “กระหม่อมจ่ายยา ให้ทุกคนกินแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่รู้ว่าผงหัวสือ มีสัดส่วนเท่าไหร่ จึงไม่อาจให้ยาได้ตรง ดังนั้นในยามนี้จึงยังไม่หยุดอาการถ่ายท้อง แต่กระหม่อมเชื่อว่า รอจนถึงพรุ่งนี้เช้า ทุกคนต้องหายอย่างแน่นอน”


 


 


เมื่อไม่มีหนทางให้ยาตรงโรค ก็ย่อมไม่อาจรักษาอาการหายได้ทันที


 


 


แต่อาศัยวิชาแพทย์และความรู้ด้านยาของเขา อย่างมากที่สุดคือรอถึงพรุ่งนี้ ก็จะหายดี


 


 


ราชาต้ามั่วฟัง พยักหน้าอย่างชื่นชม


 


 


หลังจากพยักหน้า สีหน้าราชาต้ามั่วเปลี่ยนไปทันที สีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา เห็นได้ชัดว่า ราชาต้ามั่วต้องการเข้าห้องน้ำอีกแล้ว


 


 


เขาเองก็กินยาของเซียวชิน เพราะยาไม่ตรงโรคจึงไม่อาจหายได้ในทันที


 


 


คนทั้งหมดเห็นสีหน้าราชาต้ามั่ว พลันก้มหน้าลง รู้ว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว


 


 


อย่างไรเสียพวกเขาเริ่มปรึกษาหารือกันได้ครึ่งชั่วยาม ราชาต้ามั่วก็เข้าสุขาไปแล้วสี่รอบ ดูท่าตอนนี้กำลังจะเป็นครั้งที่ห้า


 


 


ผลคือ ราชาต้ามั่วยังไม่ทันเอ่ยอะไร ก็ลุกขึ้นร้อนรนออกไปสุขา


 


 


ทั้งสีหน้ายังเขี้ยวคล้ำ…


 


 


เซียวชินเป็นคนที่ไม่ได้กินข้าวเสีย นั่งอย่างสงบเสงี่ยมกับเหล่าแม่ทัพที่นำทัพเสริมมา รอราชาต้ามั่วกลับมาจากห้องสุขาอีกครั้งหนึ่ง                   


 


 


เวลาผ่านชั่วก้านธูป


 


 


ในที่สุดราชาต้ามั่วก็กลับมาแล้ว


 


 


ส่วนลู่หวานหว่านก็เดินติดตามอยู่ด้านหลัง จากเข้าสุขาแล้วก็กลับมาพร้อมกัน


 


 


ราชาต้ามั่วสูดลมหายใจเข้าลึก กำหมัดแน่นทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง กัดฟันเอ่ยว่า “พวกเป่ยเฉินที่สมควรตาย ทั้งยังสตรีน่าตายผู้นั้น ถึงกับใช้ลูกไม้เช่นนี้ พวกชาวภาคกลางช่างเจ้าเล่ห์นักเชียว”


 


 


ยามนี้เซียวชินไม่สวมหน้ากาก ในฐานะชาวภาคกลาง สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


 


เห็นได้ชัดว่าคำพูดของราชาต้ามั่วทำให้เซียวชินไม่พอใจ


 


 


ในเวลานี้มีแม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นเอ่ย “ท่านข่าน ข้าคิดว่าเรื่องนี้ จั่วอี้อ๋องไม่อาจผลักไสความรับผิดชอบ”


 


 


เมื่อเขากล่าวออกมา คนทั้งหมดสงบลง


 


 


ภายในกระโจมเงียบไปหลายวินาที ราชาต้ามั่วมองเขา ทั้งยังปรายตามองเซียวชินปราดหนึ่งด้วยความระวัง ทว่าไม่เอ่ยอะไร


 


 


แม่ทัพคนอื่นๆ กลับสูดลมหายใจลึกแทนแม่ทัพผู้กล้าหาญคนนั้น


 


 


หลายปีมานี้จั่วอี้อ๋อง ได้รับความสำคัญจากราชาต้ามั่วมาตลอด ส่วนอารมณ์ของจั่วอี้อ๋องก็มิสู้ดีนัก คนที่เป็นปรปักษ์กับเขา มักพบว่าถูกพิษตายอย่างแปลกประหลาดในบ้านตลอด แม้กระทั่งหมอผีของต้ามั่วยังไม่อาจบอกได้ว่าถูกพิษอะไรตายอยู่เรื่อยไป


 


 


ในยามนี้แม่ทัพผู้หนึ่งมีขวัญกล้า พวกเขารู้สึก…เลื่อมใสว่าเขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งอย่างแท้จริง


 


 


ลู่หวานหว่านที่ถ่ายท้องจวนจะหมดแรง ยามนี้มองเซียวชิน เอ่ยว่า “ถูกต้อง ต่างบอกว่าจั่วอี้อ๋องวิชาแพทย์สูงส่ง ผลคือข้าวสารมีปัญหา เขากลับดูไม่ออกเลยสักนิด ทำให้พวกเราเสียทหารไปหลายหมื่น ทั้งยังเป็นกองทหารที่เข้มแข็งที่สุดของต้ามั่ว ไม่ว่าพูดอย่างไร ความรับผิดชอบนี้จั่วอี้อ๋องก็ไม่อาจหนีผล”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกไปเช่นนี้ ราชาต้ามั่วถลึงตาใส่นางในทันที “หุบปาก”


 


 


หากมิใช่สตรีนางนี้คอยยุแยง บอกว่าเยี่ยเม่ยดำเนินแผนผิดพลาด เยี่ยเม่ยไม่มีทางฉลาดกว่าเซียวชิน พูดจนพระองค์เชื่อ ราชาต้ามั่วก็ไม่คลายความระแวงสงสัยของเซียวชินภายในไม่กี่ประโยค สุดท้ายเรื่องราวจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้หรือ


 


 


ราชาต้ามั่วเข้าใจดี เรื่องนี้ตัวเองมีส่วนรับผิดชอบ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางแพศยาผู้นี้ 


 


 


ลู่หวานหว่านตกใจจนเงียบเสียง ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก


 


 


กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเซียวชินฟังคำพูดพวกนี้ กลับไม่โมโห ความไม่ยินดีเมื่อครู่ ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นความสงบ


 


 


เขาหน้ามองแม่ทัพผู้นั้น ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยปาก “ข้ายอมรับ ศึกครั้งนี้ข้าต้องรับผิดชอบ การตายของทหารหลายหมื่น ข้ายิ่งไม่อาจหลีกหนีความผิด หากท่านข่านจะลงโทษ ข้าไม่มีคำพูดจะเอ่ย”


 


 


เขาเอ่ยออกไปพลางลุกขึ้น เดินมาถึงกลางกระโจม คุกเข่า


 


 


นี่คือลูกผู้ชายอกสามศอก กล้าทำกล้ารับ ไม่หวั่นเกรงต่อการรับผิดชอบ


 


 


จากคำพูดและการกระทำของเขา บรรยากาศยิ่งสงบลงมา


 


 


ความจริงไม่ว่าอย่างไร เซียวชินเป็นผู้นำทัพของศึกนี้ แต่ตกหลุมพรางศัตรู ส่งผลให้ทหารกล้าทั้งทัพแทบไม่เหลือ ความรับผิดชอบนี้ไม่อาจผลักไสไปได้


 


 


ราชาต้ามั่วมองเซียวชินทำเช่นนี้ ในใจรู้ว่าความรับผิดชอบย่อมไม่อาจตกที่อีกฝ่ายทั้งหมด ยามนี้จึงเอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋อง เจ้ามิต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้…”


 


 


คิดไม่ถึงว่า คำพูดของราชาต้ามั่วยังไม่ทันเอ่ยจบ


 


 


แม่ทัพผู้เอาผิดเซียวชิน รีบเอ่ยกับราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน ในเมื่อจั่วอี้อ๋องยอมรับความผิด เหตุไฉนท่านข่านถึงยังปกป้องเขาเล่า ต้ามั่วของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ไรไม่เคยพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ข้าคิดว่าไม่อาจลงโทษจั่วอี้อ๋องสถานเบา”


 


 


ราชาต้ามั่วกวาดตามอง เตือนว่า “หลายปีที่ผ่านมาจั่วอี้อ๋อง ทำผลงานให้ต้ามั่วไม่น้อย เอาชนะศึกมากมาย ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียวจะลบล้างไปได้หมด”


 


 


แม่ทัพผู้ทัพรีบเอ่ย “ข้าย่อมรู้ว่าจั่วอี้อ๋องมีคุณงามความดี เพียงเกรงว่าการศึกกับชาวภาคกลางครั้งนี้ เกรงว่าจั่วอี้อ๋องจะไม่เต็มใจ”


 


 


สิ้นประโยคนี้ น้ำเสียงของแม่ทัพผู้นั้นก็หนักขึ้น “ท่านข่าน กระหม่อมขอให้ท่านริบอำนาจทางทหารของจั่วอี้อ๋อง การศึกภายหน้ายกให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อม กระหม่อมยินยอม ร่างหนังสือสัญญา ต้องเอาหัวของเยี่ยเม่ยผู้นั้นมาสังเวยให้กับวิญญาณทหารต้ามั่ว หากทำไม่ได้ กระหม่อมจะปลิดชีวิตตัวเองหน้ากระโจมของท่าน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม