ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 101-120

 101 ดูหนัง

 


 


 


 


           หันฮุ่ยซินเริ่มบทสนทนา “อาเชิน ฉันเปิดสตูดิโอสอนเต้น อีกสักพักก็จะเปิดกิจการแล้ว ถึงตอนนั้นคุณจะต้องมาร่วมยินดีด้วยนะ” 


 


 


ฟังหยวนก็ช่วยพูด “ใช่เลย อาเชิน ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับฮุ่ยซินแตกต่างจากคนอื่น งานนี้ยังไงก็ต้องไปแสดงความยินดี ฉันเองก็จะไปเหมือนกัน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองไปที่ถังโจวโจวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขาเห็นเธอกำลังก้มหน้ามองมือและเล่นนิ้วของเธออยู่ใต้โต๊ะ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจอะไรเลย 


 


 


แต่สิ่งที่ลั่วเซ่าเชินไม่รู้ก็คือถังโจวโจวกำลังหูผึ่ง และเธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะหยุดเรื่องนี้ไว้อย่างไร แต่ละคนสรรหาข้ออ้างมาเสียสมเหตุสมผล เธอจึงไม่สามารถโน้มน้าวให้เขาไม่ไปได้ 


 


 


“ได้สิ ฮุ่ยซิน คุณส่งรายละเอียดมาให้ผมก็แล้วกัน ผมจะไป” เดิมทีลั่วเซ่าเชินกำลังคิดว่าเขาไม่อาจพูดกับหันฮุ่ยซินออกมาตรงๆ ได้ แต่ความรู้สึกของเขากับเธอมันไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ครั้นเมื่อได้เห็นสายตาวิงวอนของหันฮุ่ยซินที่มองมา ลั่วเซ่าเชินก็ตอบตกลง 


 


 


ในเมื่อเป็นคนรักกันไม่ได้ ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ เขาเสียใจกับหันฮุ่ยซินมาตลอด ดังนั้น เขาจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อชดเชยให้เธอ ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธหัวใจของตัวเองไม่ได้ 


 


 


แต่ในมุมมองของถังโจวโจว ลักษณะของเรื่องนี้มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เธอไม่รู้ว่าทำไมลั่วเซ่าเชินถึงตอบตกลง แต่สิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจได้ก็คือจริงๆ แล้วลั่วเซ่าเชินยังรู้สึกอะไรกับหันฮุ่ยซินอยู่ ไม่เหมือนอย่างที่เขาเคยพูดเอาไว้กับเธอ 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกสายตาพร่ามัว ราวกับว่ามีเมฆหมอกมาบดบัง เธอกะพริบตาและปลอบใจตัวเอง ถังโจวโจว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทุกอย่างก็แค่กลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน เขาจะกลับไปอยู่กับใครก็ช่างเขา ฉันไม่สนใจ ฉันไม่สนใจ… 


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวพึมพำอะไรบางอย่าง แต่เสียงมันเบามาก เขาฟังไม่ถนัด “โจวโจว คุณพูดอะไรเหรอ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ลั่วเซ่าเชินกังวลว่าเด็กในท้องจะก่อกวนเธอ 


 


 


ถังโจวโจวส่ายหน้า เสียงพูดค่อนข้างต่ำ “เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่หิวน่ะค่ะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดได้ในทันที ตอนนี้ถังโจวโจวอุ้มท้องอยู่ เธอจึงหิวเร็วขึ้นกว่าเดิม “รอเดี๋ยวนะโจวโจว เดี๋ยวอาหารก็มาแล้ว” 


 


 


ฟังหยวนรู้ว่าความจริงไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น เรื่องนี้เขาเป็นคนก่อขึ้นมาเองทั้งหมด แต่เขาไม่สามารถปลอบเธอได้ เขาได้แต่ย้ำเตือนอยู่ในใจว่าสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ก็เพราะเขาหวังดีต่อถังโจวโจว ขอแค่ถังโจวโจวตายใจ เขาถึงจะให้วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่ากับเธอได้ 


 


 


แต่ฟังหยวนไม่ทันได้คิดว่า วันพรุ่งนี้ที่เขาจะให้ถังโจวโจว เธอต้องการมันไหม มันเป็นเพียงแค่จินตนาการของเขาเพียงคนเดียว 


 


 


หันฮุ่ยซินเห็นว่าพอถังโจวโจวเอ่ยปากบอกว่าหิว ลั่วเซ่าเชินก็แสดงอาการเป็นห่วงอย่างมากขึ้นมาทันที เธอรู้สึกอิจฉาตาร้อนเหลือเกิน “โจวโจว ทำไมถึงหิวไวนักล่ะ? อาเชิน ฉันจะเรียกพนักงานมาเร่งให้นะคะ” 


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันทนไหว” ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงข้ออ้าง ถังโจวโจวไม่อยากให้หันฮุ่ยซินหลอกใช้ชื่อของเธอเพื่อเอาหน้ากับลั่วเซ่าเชิน 


 


 


“คุณจะทำแบบนั้นได้ยังไง คุณทนได้แต่ลูกทนไม่ได้นะ ผมจะไปคุยกับพนักงานก่อน” ลั่วเซ่าเชินทำท่าจะลุก ถังโจวโจวจับมือเขาไว้ 


 


 


พวกเขามองหน้ากันยังไม่ทันได้พูดอะไร อยู่ๆ ก็มีน้ำเสียงเจือแววสงสัยดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง “โจวโจว คุณท้องเหรอ” ฟังหยวนเป็นคนถามคำถามนั้น ส่วนหันฮุ่ยซินก็แสดงออกทางสีหน้าได้ชัดเจนว่าเธอกังวล เธอจ้องมองไปที่ท้องของถังโจวโจวราวกับว่าเห็นของแสลงอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


สิ่งที่เธอคิดอยู่เต็มหัวสมองในตอนนี้ก็คือ ถังโจวโจวท้อง ถังโจวโจวท้องแล้ว! หันฮุ่ยซินรู้สึกราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดลงมากลางศีรษะของเธอ เมื่อเธอมองไปที่ใบหน้าของลั่วเซ่าเชิน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาสองคนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอเด็กคนนี้ 


 


 


“ค่ะ สองเดือนแล้ว” ถังโจวโจวลูบหน้าท้องของเธอ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนโยนของคุณแม่ ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็นั่งดูแลเธออยู่ข้างๆ ทันใดนั้นฟังหยวนก็รู้สึกว่าฉากตรงหน้านี้มันขวางหูขวางตาอย่างมาก 


 


 


“ยินดีด้วยนะโจวโจว!” ฟังหยวนยิ้มอย่างจริงใจ แม้ว่าเขาอยากจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ถังโจวโจวกลายมาเป็นผู้หญิงของเขา แต่เขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นภัยต่อถังโจวโจวเด็ดขาด ตอนนี้เขาแค่รอผสมโรงเท่านั้น 


 


 


แต่หันฮุ่ยซินไม่อาจแสดงความยินดีได้อย่างฟังหยวน เธอพยายามฝืนยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่หายตกตะลึงกับข่าวที่เพิ่งได้รับ เธอนิ่งเงียบไป 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติจากเธอ เขาสนใจที่ฟังหยวนสามารถพูดแสดงความยินดีออกมาได้อย่างง่ายดายมากกว่า ถ้าเขาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับฟังหยวน เขาคงไม่สามารถทำอย่างนี้ได้แน่ “อาหยวน พอลูกฉันคลอด นายก็มาเป็นพ่อบุญธรรมได้นะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินแค่อยากเตือนฟังหยวนว่าห้ามคิดเหลวไหลกับถังโจวโจวอีก ตอนนี้พวกเขามีลูกด้วยกันแล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก 


 


 


“ได้สิ! ด้วยความยินดี” ฟังหยวนไม่ลังเลเลยสักนิด ถ้าลั่วเซ่าเชินดีกับถังโจวโจว เขาก็จะยอมวางมือ แต่ถ้าวันใดที่ถังโจวโจวเสียใจ เขาจะไม่ปล่อยเธอไปอีกแน่นอน ไม่มีวัน! 


 


 


พนักงานเสิร์ฟยกอาหารที่ทั้งสี่คนสั่งเอาไว้ออกมาพอดี และบนโต๊ะก็มีแต่เสียงเคี้ยวเบาๆ ชั่วขณะ 


 


 


หลังจบมื้ออาหาร พวกเขาก็ออกมาจากร้าน ทั้งสี่คนมาถึงลานจอดรถ ฟังหยวนเอ่ยถาม “อาเชิน พวกนายไปต่อใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันกับฮุ่ยซินขอตัวกลับก่อนนะ” 


 


 


หลังจากแยกกัน ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวก็ไปดูหนังตามแผนเดิม เมื่อพวกเขาไปถึง หนังก็ใกล้จะฉายในอีกยี่สิบนาที 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอยากจะพาถังโจวโจวเข้าไปเลย แต่ถังโจวโจวกลับเหลือบมองไปด้านข้าง เธอพูดกับลั่วเซ่าเชินว่า “คุณรอเดี๋ยวนะคะ ฉันขอไปซื้อป๊อปคอร์นกับโค้กก่อน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินดึงแขนเธอไว้ “คุณยืนอยู่นี่แหละ เดี๋ยวผมไปซื้อเอง” ถังโจวโจวยืนรออยู่ที่เดิม มองดูลั่วเซ่าเชินแออัดอยู่ในฝูงชน เขาถือป๊อปคอร์นถังใหญ่มาด้วยความลำบาก จากนั้นก็ถือโค้กมาหนึ่งแก้ว ส่วนอีกแก้วดูเหมือนว่าจะเป็นชานม 


 


 


“ฉันพูดว่าโค้กไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงซื้อชานมมาล่ะคะ” ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินยื่นแก้วชานมมาให้เธอ แต่สายตาของเธอมองโค้กที่อยู่ในมือเขา เธออยากจะเปลี่ยนกับมันเหลือเกิน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินถือของด้วยมือเดียว มืออีกข้างก็โอบเอวพาเธอเดินเข้าไปข้างใน “คุณท้องอยู่ ไม่ควรดื่มน้ำอัดลม มันไม่ดีต่อสุขภาพ” 


 


 


ถังโจวโจวรู้ดีในเรื่องนั้น แต่เธอก็อดถามออกมาไม่ได้ “แต่นี่เรามาดูหนังกันไม่ใช่หรือไงคะ ดื่มชานมก็หมดสนุกน่ะสิ” 


 


 


เมื่อเธอถามคำถามนี้ออกมา เธอก็ได้เห็นลั่วเซ่าเชินเหลือกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “มาดูหนังก็ต้องดื่มโค้กเพื่อเพิ่มอรรถรสในการดูด้วยเหรอ นี่คุณล้อผมเล่นอยู่หรือเปล่า” ถังโจวโจวรู้สึกว่าเธอได้รับแววตาดูถูกอย่างร้ายแรงจากเขา เธอไม่พอใจอย่างมาก 


 


 


“คุณดูคนอื่นสิคะ มีใครเขาถือแก้วชานมแบบฉันบ้าง เซ่าเชิน คุณมาดูหนังกับฉันครั้งแรก คุณก็ตามใจฉันหน่อยไม่ได้หรือไง” 


 


 


อันที่จริงถังโจวโจวก็ไม่ได้ต้องการดื่มมันมากขนาดนั้น แต่เหมือนกับว่าเธอกำลังตั้งแง่กับลั่วเซ่าเชิน ยิ่งเขาห้าม เธอก็ยิ่งอยากดื่ม 


 


 


“โอเค ผมจะให้คุณดื่มแก้อยากอึกหนึ่ง” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายมาก เธออยากดื่มนักใช่ไหม จะดื่มแค่อึกเดียวหรือดื่มแก้วหนึ่งก็เรียกว่าดื่มเหมือนกันนั่นแหละ 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ “เซ่าเชิน คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง” 


 


 


“คุณไม่อยากดื่มแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ดี เรากลับกันเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องดื่มโค้กเพื่อเพิ่มอรรถรส” ลั่วเซ่าเชินไม่ได้หลอก เขาหันหลังเตรียมจะกลับจริงๆ 


 


 


ถังโจวโจวรีบฉุดเขาเอาไว้ “อ๊ะ! ไม่เอาค่ะ ฉันล้อเล่น เซ่าเชิน อึกเดียวก็อึกเดียวสิ จริงๆ เลย พูดเล่นนิดหน่อยก็ไม่ได้” ถังโจวโจวดันเขากลับเข้าไปข้างใน ถ้ายังไม่ไปตอนนี้ หนังจะเริ่มฉายแล้ว 


 


 


กว่าลั่วเซ่าเชินจะมาดูหนังกับเธอได้ เธอต้องทะนุถนอมช่วงเวลาแบบนี้ให้มาก เพราะเธอไม่รู้ว่าโอกาสครั้งต่อไปจะมาเมื่อไร 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยังไม่ยอมให้จบง่ายๆ “โจวโจว เมื่อครู่นี้ผมไม่คิดว่าคุณล้อเล่นนะ” 


 


 


“โอเคค่ะๆ ยกโทษให้ฉันนะคะ พอใจแล้วนะ ถ้าเรายังไม่เข้าไป หนังจะฉายแล้วนะคะ” ถังโจวโจวร้อนใจเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนรอเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ รู้อย่างนี้เธอไม่ยืนเถียงเพื่อโค้กอึกเดียวกับเขาอยู่ได้ตั้งนานหรอก 


 


 


หลังจากตรวจตั๋วเรียบร้อย ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินก็เข้าไปในโรงภาพยนต์ที่สาม ลั่วเซ่าเชินพาเธอไปหาที่นั่ง ถังโจวโจวเห็นว่าที่นั่งเป็นแบบยาวเชื่อมต่อกัน นี่คงไม่ใช่ที่นั่งคู่รักในตำนานหรอกใช่ไหม? 


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขาแค่ไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะเกินไป เขารู้สึกรำคาญ 


 


 


แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวมีความสุขมากขนาดนี้ ทนสักหน่อยจะเป็นไรไป เมื่อพวกเขานั่งลง หนังก็เริ่มฉาย 


 


 


ช่วงสิบนาทีแรก ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่ามีเสียงอะไรบางอย่างดังอยู่รอบตัวเขา เมื่อมองไปที่ถังโจวโจว จิตใจเธอก็หลุดเข้าไปในหนังแล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าเบื่อมาก โชคดีที่ถังโจวโจวสนุกไปกับมัน แล้วลั่วเซ่าเชินก็เห็นว่ามือของเธอจุ่มอยู่ในถังป๊อปคอร์น เธอหยิบมันใส่ปากตลอดอย่างเพลิดเพลิน 


 


 


เขาทนเห็นถังโจวโจวสุขสบายไม่ได้ เขาแย่งถังป๊อปคอร์นมา ในที่สุดถังโจวโจวก็ถอนสายตาจากภาพยนตร์หันมามองเขา ทั้งสองต่างสื่อสารทางสายตากันอย่างเงียบๆ 


 


 


‘คุณจะทำอะไร?’ 


 


 


‘ไม่ได้ทำอะไรนี่’ 


 


 


‘คืนป๊อปคอร์นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้’ ถังโจวโจวยื่นมือออกไปหมายจะแย่งมันกลับมาคืนมา แต่เธอเร็วเท่าลั่วเซ่าเชินที่ไหน เขาเหยียดมือไปด้านข้าง ถังโจวโจวถอนหายใจให้กับแขนที่สั้นเกินไปของตัวเอง เธอคว้ามันไม่ถึง 


 


 


พวกเขาทำตัวเหมือนเด็กๆ ที่ทะเลาะกันเพราะแย่งของเล่น ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินไม่ได้เสียงดัง ดังนั้นจึงไม่ได้รบกวนจนดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง 


 


 


ถังโจวโจวแย่งอยู่สักพักแต่ก็ไร้ประโยชน์ เธอจึงยอมแพ้ในที่สุด “อยากได้นักก็เอาไปเลย” เสียงพูดของเธอเบามาก มีแต่ลั่วเซ่าเชินเท่านั้นที่ได้ยิน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ยื้อแย่งอีกต่อไป เขาก็แน่นิ่งพลางก้มมองดูถังป๊อปคอร์นที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ชอบกินของแบบนี้อยู่แล้ว เขาแค่อยากแกล้งถังโจวโจวเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอไม่เล่นกับเขาแล้ว เขาก็หมดสนุก เขาวางถังป๊อปคอร์นคืนไว้ในอ้อมแขนของถังโจวโจวอีกครั้ง 


 


 


ถังโจวโจวหมดคำจะพูดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเขา ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ทำตัวเป็นเด็กๆ อย่างนี้นะ แต่เธอก็ไม่ได้พร่ำบ่นอะไร และนั่งดูหนังต่อไป 


 


 


เพื่อป้องกันไม่ให้ลั่วเซ่าเชินทำนิสัยเสียใส่เธออีก เมื่อถังโจวโจวหยิบป๊อปคอร์นสองชิ้นใส่ปากตัวเอง เธอก็จะหยิบป๊อปคอร์นสองชิ้นใส่ปากลั่วเซ่าเชินเหมือนกัน ลั่วเซ่าเชินที่ไม่ชอบกินของจำพวกนี้ ไม่รู้ทำไมเมื่อเขาเห็นถังโจวโจวส่งมา เขาก็อ้าปากรับโดยไม่ปฏิเสธเธอ 


 


 


พวกเขาแบ่งป๊อปคอร์นกันไป ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็เริ่มมีความรู้สึกร่วมกับตัวละครในหนังแล้ว 


 


 


เมื่อดูมาถึงครึ่งเรื่อง หนังก็เข้าสู่ช่วงจุดสำคัญ คราวนี้ถังโจวโจวพบว่ามีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นรอบตัวเธอ แต่เธอไม่รู้ว่ามันคือเสียงอะไร ดังนั้น เธอจึงหันมองไปรอบๆ แล้วเธอก็เข้าใจในทันที 


 


 


คู่รักที่อยู่ข้างๆ เริ่มจูบกันแล้ว ทันใดนั้นถังโจวโจวก็เข้าใจความหมายของการมีอยู่ของเก้าอี้คู่รัก ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกดีใจที่รอบด้านมืดสนิท มิฉะนั้นเขาต้องเห็นแน่ๆ ว่าหน้าของเธอแดงขนาดไหน! 


102 แนบแน่น

 


 


 


 


           ถังโจวโจวแตะแก้มที่ร้อนฉ่าของตัวเองและมองดูการกระทำที่กล้าหาญของคนรอบข้าง ผู้หญิงบางคนถึงขั้นก่ายไปบนหน้าขาของอีกฝ่าย แลกจูบกันอย่างดุเดือด 


 


 


           ทันใดนั้นถังโจวโจวก็รู้สึกไม่สบายตัว เธอขยับร่างกายเล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินที่นั่งอยู่ติดกันกับเธอ เมื่อเธอขยับ แน่นอนว่าเขารู้สึกได้ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินกระแอมไอเบาๆ และแสร้งทำสีหน้าจริงจัง เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาพยายามจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง เธอก็ไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังอีกครั้ง 


 


 


           แต่ดูเหมือนว่าหนังจะต่อต้านถังโจวโจว เพราะภาพในหนังตอนนี้ปรากฏฉากที่พระเอกกับนางเอกกำลังสานสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ทั้งฉากเต็มไปด้วยเสียงคราง แล้วอยู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็จับมือเธอไว้ ทำให้เธอตกใจเล็กน้อย 


 


 


           ถังโจวโจวหันไปมองเขา เธอพบว่าเขาเองก็กำลังจ้องมองมาที่เธอเช่นกัน ลั่วเซ่าเชินค่อยๆ โน้มตัวลงมา ถังโจวโจวก็ไม่ได้หลบหลีก เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ เธอก็หลับตาลง 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอว่านอนสอนง่ายแบบนี้ เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสดีๆ หลุดมือไป เขาประทับจูบลงบนริมฝีปากของเธอ พวกเขาถ่ายทอดความรู้สึกที่มีให้แก่กัน 


 


 


           ถังโจวโจวกอดถังป๊อปคอร์นในมือเอาไว้แน่น ราวกับว่าจะได้รับพลังจากมัน จูบของพวกเขาร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลั่วเซ่าเชินกดถังโจวโจวลงบนโซฟาตัวเล็ก และด้วยเกรงว่าจะกระเทือนถึงลูก ลั่วเซ่าเชินจึงเอาแขนรองไว้ที่เอวของถังโจวโจว 


 


 


           เขาไม่กล้าทิ้งน้ำหนักตัวลงบนตัวถังโจวโจว ถังโจวโจวครางในลำคอ ลั่วเซ่าเชินหอบหายใจถี่และถอนริมฝีปากออกจากถังโจวโจว ปากของถังโจวโจวบวมเจ่อ ตาของเธอพร่ามัว ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ว่าอะไร เขาจึงจูบเธออีกครั้ง 


 


 


มือของลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ล้วงเข้าสาบเสื้อลูบไล้เนื้อตัวของถังโจวโจวอย่างอดใจไม่อยู่ ถังโจวโจวร้อนรนขึ้นมา เธอใช้แรงที่มีพยายามผลักลั่วเซ่าเชินออก “เซ่าเชิน อือ… เซ่าเชินคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกดศีรษะลงบนหน้าผากของเธอ หน้าผากของเขาชื้นเหงื่อเล็กน้อย “มีอะไร” เขามีอารมณ์แล้ว เสียงของเขาช่างน่าหลงใหล 


 


 


“เซ่าเชิน สงบสติหน่อยค่ะ ตอนนี้เรายังอยู่ข้างนอกนะ” ถังโจวโจวกลัวว่าเขาจะเลยเถิดมากกว่านี้ 


 


 


“อยู่ข้างนอกแล้วไง? ไม่ต้องกังวล ผมจะระวัง” ลั่วเซ่าเชินพูดพลางรังแกเธออีกครั้ง ถังโจวโจวรีบเบี่ยงตัวหนี “เซ่าเชิน ลูกค่ะ เรามีลูกอยู่นะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหมดอารมณ์ที่จะสานต่อ เขารู้ดีว่าเขามีลูก แต่เมื่อครู่นี้มันหักห้ามใจไม่ได้ เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวตื่นตระหนก เขาก็เกรงว่าจะทำให้ลูกได้รับผลกระทบไปด้วย เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ เพื่อปลอบใจ “โอเค ผมไม่ทำแล้ว คุณวางใจเถอะ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินกลับไปนั่งตามปกติแล้ว ถังโจวโจวก็ไม่ระแวงเขาอีกต่อไป เธอหันกลับไปดูหนังต่ออีกครั้ง เธอพบว่าฉากรักเลิฟซีนระหว่างพระเอกและนางเอกได้ผ่านไปแล้ว จากนั้นเธอก็ตั้งใจดูหนังตาไม่กะพริบ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินโอบเอวเธอ เขาปล่อยให้เธอพิงไหล่เขา ในที่สุดพวกเขาก็ดูหนังรักเรื่องนี้จบได้อย่างไร้กังวล 


 


 


เมื่อออกมาจากโรงภาพยนตร์ ดวงตาของถังโจวโจวก็แดงก่ำ เพราะตอนจบของหนังที่เพิ่งได้ดูไปนั้นไม่ได้จบอย่างแฮปปีเอนดิง ถังโจวโจวที่สงสารตัวละครอย่างหนัก ทำให้เธอเศร้าใจไปชั่วขณะ 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เรื่องพวกนี้ล้วนถูกแต่งขึ้นมา แต่เมื่อเห็นถังโจวโจวยังน้ำตาซึมอยู่ เขาก็จำต้องพูดโน้มน้าวเธอในที่สุด “โจวโจว ทำใจให้สบายเถอะ มันแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมา มีอะไรให้น่าเศร้านักล่ะ” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินพูดออกมาแบบนั้น ถังโจวโจวก็น้ำตาไหลจนเกือบจะสะอึกสะอื้นแล้ว “คุณนี่ใจแข็งจริงๆ คุณไม่เห็นหรือว่านางเอกคนนั้นน่าเวทนาแค่ไหน” 


 


 


“โอเคๆ น่าเวทนาจริงๆ แต่คุณไม่ต้องร้องไห้แล้วได้ไหม คุณต้องดูแลลูกในท้องของคุณด้วยนะ” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยเตือนถังโจวโจว 


 


 


เธอรีบเช็ดน้ำตาทันที แต่เสียงของเธอยังไม่สามารถกลับไปเป็นแบบเดิมได้ เธอพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ฉันไม่ร้องแล้วค่ะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินดึงเธอเข้ามากอดเมื่อเห็นว่าเธอพยายามกลั้นความเสียใจอย่างหนัก ถังโจวโจวรู้ว่านี่คือการปลอบโยนของเขาอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อคิดๆ ดูแล้ว มันก็แค่หนังเรื่องหนึ่ง การเห็นค่ากับปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าในที่สุดเธอก็สงบลง เขาก็วางใจ เขาเปิดประตูรถ เมื่อถังโจวโจวขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปขึ้นรถอีกทาง เมื่อรัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ เขาก็ขับรถกลับบ้าน 


 


 


กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ดวงไฟสีสันสวยงามถูกนำมาแขวนไว้ทุกที่ตามเส้นทาง ห้างต่างๆ นำต้นคริสต์มาสมาวางไว้ที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เพิ่มสีสันให้กับเทศกาล 


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน ถังโจวโจวก็หลับไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินจอดรถเอาไว้ในโรงรถ คฤหาสน์หลังเล็กมืดสนิท ป้าหลิวกลับบ้านไปแล้ว ส่วนลั่วอิงก็อยู่ที่บ้านของคุณพ่อคุณแม่ลั่ว วันนี้มีเพียงลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวที่กลับมาอยู่ที่บ้าน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวหลับสนิท เขาก็ไม่ปลุกเธอ เขาเปิดประตูฝั่งของเธอและช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย เขาสอดมือข้างหนึ่งที่ใต้ขาพับของเธอ และสอดอีกข้างหนึ่งที่ช่วงรักแร้ ก่อนจะยืดตัวอุ้มเธอขึ้นมา 


 


 


แต่พอลั่วเซ่าเชินอุ้มถังโจวโจวออกมา เธอก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดตาที่พร่ามัว “เซ่าเชิน วางฉันลงเถอะค่ะ ฉันเดินเองได้” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกได้ว่าเธอกำลังลอยอยู่ในอากาศและกำลังเคลื่อนไหว เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอก็เห็นว่าใบหน้าของลั่วเซ่าเชินอยู่ไม่ไกลจากเธอ เธอรู้ทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและพยายามจะขอลง 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่ปล่อยเธอลง “คุณหลับให้สบายเถอะ เดี๋ยวผมอุ้มคุณขึ้นไปเอง” เขาขยับแขนยกตัวถังโจวโจวขึ้นอีกครั้ง ถังโจวโจวตกใจผวากอดคอเขาทันที เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวตกใจ ลั่วเซ่าเชินก็กระชับกอดเธอแน่นขึ้น 


 


 


เขาเอ่ยปลอบ “ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ทำคุณตกลงไปหรอก” ลั่วเซ่าเชินสุขภาพแข็งแรงดี ถังโจวโจวไม่ได้หนักอะไร แล้วเขามีแรงที่จะอุ้มเธอ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอุ้มถังโจวโจวตั้งแต่โรงรถเข้าไปถึงห้องโถง เมื่อเขากดสวิตช์บนผนัง ทั้งห้องก็สว่างขึ้นมา ลั่วเซ่าเชินอุ้มถังโจวโจวขึ้นไปที่ชั้นสอง เขาอุ้มเธอไม่ปล่อยจนกระทั่งวางเธอลงบนเตียงในห้องนอน 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวใช้ดวงตากลมโตจ้องมองมาที่เขา ลั่วเซ่าเชินก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ทำไม ผมหล่อล่ะสิ คุณถึงมองตาค้างแบบนี้” ลั่วเซ่าเชินพูดติดตลก แต่เขาไม่คิดเลยว่าถังโจวโจวกลับตอบเขาอย่างจริงจัง 


 


 


“ใช่ค่ะ คุณหล่อที่สุดในใจฉัน” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าใบหูของเขาร้อนผ่าว การสารภาพอย่างกะทันหันนั้นของถังโจวโจวทำให้เขาตกตะลึง 


 


 


“อะแฮ่ม เอาละ คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ผมไปที่ห้องหนังสือก่อนนะ แล้วเดี๋ยวจะกลับมา” ลั่วเซ่าเชินพ่ายแพ้และหนีไป ถังโจวโจวเห็นว่าเขาหลบเลี่ยงคำพูดของเธอ เธอก็รู้สึกอ้างว้างไปชั่วขณะ 


 


 


แต่เพียงชั่วครู่เธอก็ดีขึ้นเอง ถังโจวโจวชำระร่างกายเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่กลับมา ความง่วงของถังโจวโจวคืบคลานมาแล้ว และเธอไม่สามารถต้านทานได้ เธอจึงเข้านอนเลยโดยที่ไม่ได้รอลั่วเซ่าเชิน 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อถังโจวโจวตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินยังคงหลับอยู่ วันนี้ช่างน่าแปลกจริงๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอตื่นแล้วจะไม่เห็นลั่วเซ่าเชินตื่นอยู่ก่อนและนั่งพิงหัวเตียงมองมาที่เธอ หรือไม่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้เขาตื่นสายกว่าเธออีก 


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าเมื่อคืนลั่วเซ่าเชินกลับมาเมื่อไร เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด เธอมองดูสีคล้ำที่อยู่ใต้ตาของลั่วเซ่าเชิน เมื่อคืนเขาทำงานหามรุ่งหามค่ำเหรอ เขาคงไม่ได้ทำงานล่วงเวลาจริงๆ หรอกใช่ไหม? 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้หลอกถังโจวโจว เมื่อวานเขาต้องจัดการงานหลายอย่าง เขายุ่งจนถึงตีหนึ่งถึงกลับห้อง เขากลัวว่าเขาจะปลุกถังโจวโจว เขาจึงลงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่างก่อนจะกลับเข้ามา เมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวเข้านอนไปแล้ว เขาก็เลิกชายผ้าห่มแล้วสอดตัวเข้าไปนอนข้างเธอ 


 


 


แต่หลังจากที่ถังโจวโจวตื่นขึ้นมาไม่นาน ลั่วเซ่าเชินก็ขยับตัว เขานวดขมับของตัวเอง เมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวตื่นแล้ว เขาก็พูดอย่างเกียจคร้านว่า “อรุณสวัสดิ์” 


 


 


“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินตื่นเต็มตาแล้ว เธอก็ไม่ชักช้าอีกต่อไป เธอรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำในห้องน้ำ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวลงไปที่ชั้นล่าง ป้าหลิวก็เตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว เมื่อเธอเห็นพวกเขาลงมา เธอก็รีบยกอาหารมาที่โต๊ะ “คุณชาย คุณผู้หญิง” 


 


 


“ป้าหลิวคะ เช้านี้มีอะไรทานบ้างคะ” ถังโจวโจวได้กลิ่นหอมกรุ่นลอยออกมาจากครัว ท้องของเธอก็เริ่มประท้วงขึ้นมา 


 


 


“วันนี้ฉันต้มโจ๊กข้าวเดือยค่ะ คุณผู้หญิง เมื่อสองวันก่อนฉันเห็นว่าคุณทานเกี๊ยวน้ำได้แค่สองสามคำ วันนี้ฉันก็เลยตั้งใจทำโจ๊กข้าวเดือยทานคู่กับผักเคียงที่ฉันทำ คุณลองชิมดูนะคะว่าคุณชอบไหม ถ้าคุณชอบ วันหลังฉันจะทำบ่อยๆ ค่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวตั้งท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว แม้ว่าเธอจะกินอะไรได้มากขึ้น แต่เมื่อได้กลิ่นคาว เธอก็ยังมีความรู้สึกคลื่นเ**ยนอยู่บ้าง ดังนั้นป้าหลิวจึงเปลี่ยนอาหารให้เธอ เพื่อให้เธอไม่ต้องพะอืดพะอมและกินได้มากขึ้น แบบนี้เด็กในท้องก็จะได้รับสารอาหารที่ดีด้วย 


 


 


ถังโจวโจวชิมผักเคียงที่ป้าหลิวทำ รสชาติมันดีมาก เธอรีบเอ่ยชมป้าหลิว “ป้าหลิวคะ ป้าหลิวทำยังไง มันกรอบมากเลย ครั้งหน้าสอนฉันหน่อยนะคะ” ถังโจวโจวคีบขึ้นมากินต่ออีกหลายคำ 


 


 


เมื่อป้าหลิวเห็นว่าถังโจวโจวชอบ เธอก็ยิ้มกว้างทันที “คุณชอบก็ดีแล้วล่ะค่ะ คุณผู้หญิง ถ้าคุณผู้หญิงอยากหัดทำบ้าง ไว้ฉันจะสอนให้นะคะ” 


 


 


“ป้าหลิวเรียกฉันว่าโจวโจวก็ได้ค่ะ” ถังโจวโจวไม่ชอบให้ป้าหลิวเรียกเธอว่าคุณผู้หญิง เพราะเธอจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองแก่มาก แต่ป้าหลิวกลับไม่เห็นด้วย สิ่งที่มันควรจะมีกฎเกณฑ์ก็ต้องมี เมื่อเห็นว่าป้าหลิวไม่ได้พูดอะไรต่อ ถังโจวโจวก็รู้ว่าเธอคงเกลี้ยกล่อมไม่ได้ จึงยอมแพ้ไป 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็รู้สึกว่าผักเคียงวันนี้รสชาติดี เขาเห็นว่าถังโจวโจวเติมโจ๊กข้าวเดือยเพิ่มอีกสองถ้วย ดูเหมือนว่าวันหลังเขาจะต้องให้ป้าหลิวทำอะไรที่มันสดชื่นหน่อย ถังโจวโจวจะได้กินข้าวได้เยอะๆ 


 


 


ตอนนี้คนในบ้านเอาแต่รุมล้อมรอบตัวถังโจวโจว คุณแม่ลั่วโทรมาถามอาการของถังโจวโวบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งเธอก็มาเยี่ยมเป็นการส่วนตัว แม่นมจ้าวก็ทำของอร่อยมาให้ โดยมีคุณแม่ลั่วถือมา ความสัมพันธ์ของแม่สามีและลูกสะใภ้สามัคคีกลมเกลียวกันไปชั่วขณะ 


 


 


แต่ถังโจวโจวรู้ว่าความสัมพันธ์อันดีนี้มีสาเหตุมาจากการที่เธอจะคลอดหลานชายออกมาให้กับคุณแม่ลั่วได้ เมื่อก่อนถังโจวโจวไม่ได้คิดว่าคุณแม่ลั่วเป็นผู้หญิงที่มองผู้ชายเป็นใหญ่ อีกทั้งเห็นว่าคุณแม่ลั่วก็ปฏิบัติกับลั่วอิงดีมาก แต่ทำไมพอเธอตั้งท้อง อาการแบบนี้จึงปรากฏออกมา 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินมองไปที่อาหารการกินของถังโจวโจว มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล สามารถให้อภัยได้ ในตอนแรกถังโจวโจวอาเจียนจนเหมือนกับว่าเธอจะสำรอกเอาอวัยวะภายในออกมาทั้งหมด ลั่วเซ่าเชินหวาดกลัวมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการตั้งท้องมันจะทรมานขนาดนี้ 


 


 


ถังโจวโจววางตะเกียบลงหลังจากกินข้าวจนอิ่ม วันนี้เธอเจริญอาหารมาก เธอกินโจ๊กข้าวเดือยไปสองถ้วยกว่าและผักเคียงไปอีกหนึ่งจานเต็ม หลังจากนั้นป้าหลิวก็เก็บกวาดจานชามและตะเกียบ เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวกำลังจะออกจากบ้าน จึงพูดไล่หลังอย่างห่วงใยว่า “เดินทางปลอดภัยนะคะ คุณชาย คุณผู้หญิง” 


 


 


“ค่ะ ป้าหลิว” ป้าหลิวอยู่บ้านหลังนี้มานาน ถังโจวโจวรู้สึกว่าเธอเป็นคนดี ไม่สอดรู้สอดเห็น เธอทำงานของตัวเองได้เป็นอย่างดี และเธอมักจะทำของอร่อยๆ มาให้ถังโจวโจวเสมอ 


 


 


ถังโจวโจวชอบทำอาหาร ชอบกินของอร่อย ป้าหลิวเป็นแม่บ้านที่ตรงใจเธอทุกอย่าง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไปส่งถังโจวโจวที่บริษัท ไม่มีใครพูดถึงช่อดอกกุหลาบช่อนั้นของเมื่อวานนี้อีก ราวกับว่าไม่เคยมีมันมาก่อน 


103 สวี่โยวพูดความจริง

 


 


 


 


           สุดสัปดาห์ ลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าเด็กในท้องแข็งแรงดี ทันทีที่พวกเขาออกมาจากห้องตรวจของคุณหมอ ถังโจวโจวก็เห็นสวี่โยวและคุณแม่เซียว 


 


 


เดิมทีถังโจวโจวตัดสินใจว่าจะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินหลีกหนีไป แต่คุณแม่เซียวสายตาแหลมคม เธอเห็นถังโจวโจวมาแต่ไกลแล้ว ในเมื่อเธอเห็นแล้ว เธอก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยถังโจวโจวไป “ถังโจวโจว เธอมาทำอะไรที่นี่” 


 


 


           “คุณป้าเซียว สวี่โยว” ถังโจวโจวมองข้ามดวงตาที่มองมาอย่างเกลียดชังของคุณแม่เซียว 


 


 


สวี่โยวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวเดินออกมาจากแผนกสูติ-นรีเวช จึงเอ่ยถามทันที “ถังโจวโจว เธอท้องเหรอ” 


 


 


“ใช่” ถังโจวโจวยอมรับเต็มเสียง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นคุณแม่เซียวมองมาที่หน้าท้องของถังโจวโจวด้วยความอิจฉา เขาก้าวขึ้นไปบังหน้าถังโจวโจว เมื่อคุณแม่เซียวเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของลั่วเซ่าเชินมองมาที่เธอ เธอก็เบ้ริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองทางอื่น 


 


 


คุณแม่เซียวรู้สึกตกใจที่ได้ยินว่าถังโจวโจวท้อง แต่ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เธอแต่งงานมาตั้งนานแล้ว ถ้าเธอตั้งจะท้อง มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็อดบ่นพึมพำเบาๆ ออกมาไม่ได้ “โชคดีจริงๆ แต่ก็ยังไม่แน่หรอกว่าจะได้เกิดมาหรือเปล่า” 


 


 


แน่นอนว่าสวี่โยวได้ยินคำพูดร้ายกาจของคุณแม่เซียว เธอรีบหันไปมองลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจว เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ยิน เธอจึงถอนหายใจ เธอบ่นในใจว่ามีเรื่องให้พูดตั้งเยอะแยะก็ไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้ เกิดลั่วเซ่าเชินได้ยินเข้า ได้ทะเลาะกันใหญ่โตแน่ 


 


 


คุณแม่เซียวหันไปมองสวี่โยวตามสัญชาตญาณ ไม่เข้าใจว่าทำไมโยวโยวถึงยังไม่มีข่าวดีบ้าง! 


 


 


สวี่โยวสังเกตเห็นแววตาของคุณแม่เซียวที่มองมา เธอพูดไม่ออกว่ามันเจ็บปวดมากเพียงไหน เซียวโม่ไม่แตะต้องเธอเลย แล้วเธอจะไปมีลูกได้อย่างไร 


 


 


“คุณแม่คะ เรารีบเข้าไปกันเถอะค่ะ คุณหมอรอแย่แล้ว” สวี่โยวจับข้อมือของคุณแม่เซียว หมายจะพาเธอไปที่ห้องตรวจของคุณหมอ คุณแม่เซียวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตอนนี้สิ่งที่เธอควรให้ความสำคัญยิ่งกว่าเรื่องถังโจวโจวตั้งท้อง คือเธอต้องรีบทำให้สะใภ้ของเธอมีหลานให้เธอเสียที 


 


 


ขอเพียงแค่สวี่โยวรีบมีหลานให้กับเธอ เธอก็จะสามารถวางใจได้ สวี่โยวพยักหน้าเบาๆ ให้ถังโจวโจว และพวกเขาก็แยกจากกัน 


 


 


หลังจากสวี่โยวตรวจร่างกายเสร็จ คุณแม่เซียวก็รีบจับตัวคุณหมอมาถาม “คุณหมอคะ สุขภาพของลูกสะใภ้ฉันเป็นยังไงบ้างคะ” 


 


 


“ดีมากครับ แต่เธอมีภาวะเลือดจางนิดหน่อย ต้องทานอาหารบำรุงเลือดเยอะๆ บำรุงรักษาร่างกายให้ดี เดี๋ยวก็หายครับ” แต่เห็นได้ชัดว่าคุณแม่เซียวมีท่าทางไม่พอใจกับข้อสรุปของคุณหมอ มันจะไม่มีปัญหาได้อย่างไร นานขนาดนี้แล้ว ท้องของเธอยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย 


 


 


“คุณหมอคะ ไม่มีปัญหาจริงๆ หรือคะ” คุณแม่เซียวยังไม่ยอมแพ้ 


 


 


คุณหมอได้ยินคำถามนั้นก็ทำหน้าขึงขัง “ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณลองไปตรวจกับคุณหมอท่านอื่นดูก็ได้นะครับ” 


 


 


คุณแม่เซียวยิ่งไม่สบอารมณ์ ท่าทีแบบนั้นมันอะไรกัน เธอก็แค่ถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง “เอ๊ะ! คุณยังมีความเป็นมืออาชีพอยู่หรือเปล่า เป็นหมอประสาอะไรเนี่ย” 


 


 


สวี่โยวรู้สึกอับอายแทนคุณแม่เซียว เธอกระตุกแขนเสื้อของคุณแม่เซียว “พอเถอะค่ะ คุณแม่ ไปกันเถอะค่ะ” 


 


 


คุณหมอไม่ได้โต้กลับ เขาเพียงแต่มองคุณแม่เซียวนิ่งๆ ยิ่งคิดคุณแม่เซียวก็ยิ่งคับแค้นใจ แต่สวี่โยวก็ดึงเธอออกมาจากห้องตรวจของคุณหมอจนได้ “โยวโยว หนูทำอะไรน่ะ” คุณแม่เซียวสะบัดมือสวี่โยวทิ้งทันทีที่ออกมาจากห้องของคุณหมอ 


 


 


สวี่โยวเห็นว่าขนาดอยู่ต่อหน้าฝูงชนแบบนี้ คุณแม่เซียวก็ยังคิดจะเอาเรื่อง เธอจึงยอมรับผิดโดยเร็ว “เรื่องนี้หนูผิดเองค่ะคุณแม่ ดีว่าคุณหมอเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วคุณแม่โกรธแบบนี้ไม่เท่ากับว่าคุณแม่กำลังทำร้ายตัวเองหรือคะ หนูว่ามันไม่คุ้มเลย” 


 


 


คุณแม่เซียวเห็นว่าที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล “จ้ะ หนูพูดถูก แม่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาอีก” คุณแม่เซียวยอมถอยออกมาตามที่สวี่โยวบอก 


 


 


เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล สวี่โยวก็ขับรถกลับบ้านพร้อมกับคุณแม่เซียว คุณแม่เซียวพูดถึงเรื่องที่ถังโจวโจวตั้งท้องมาตลอดทาง “โยวโยว หนูเองก็ต้องคิดเรื่องนี้ได้แล้วนะลูก หนูดูอย่างถังโจวโจวสิ ตอนนี้เธอมีลูกแล้ว หนูไม่อยากมีลูกกับเซียวโม่บ้างเหรอ” 


 


 


คำพูดของคุณแม่เซียวพูดกระทบไปถึงส่วนลึกในหัวใจของสวี่โยว เธอจะไม่คิดเรื่องนี้ได้อย่างไร เธอขบคิดเรื่องนี้อยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่ช่วงนี้เซียวโม่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอเลยด้วยซ้ำ ความขมขื่นในใจของเธอ ใครเล่าจะรู้ได้ 


 


 


“ค่ะ คุณแม่ แต่ช่วงนี้เซียวโม่เอาแต่ทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัท หนูก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเหมือนกัน” สวี่โยวพูดราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ 


 


 


คุณแม่เซียวกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที “จริงเหรอ แม่จะต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรละเลยสุขภาพของตัวเองสิ” 


 


 


สวี่โยวและคุณแม่เซียวกลับมาถึงบ้านตระกูลเซียว ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามาในบ้าน คุณแม่เซียวก็โทรหาเซียวโม่ทันที ปลายสายรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว สวี่โยวรู้สึกเศร้าใจ ในขณะที่เธอมองดูคุณแม่เซียวถามถึงความเป็นอยู่ของเซียวโม่ในช่วงนี้ ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะเจตนาไม่รับสายโทรศัพท์เธอ 


 


 


“ลูกแม่ แล้วเมื่อไรจะกลับมาหาแม่ล่ะ” คุณแม่เซียวอดทนต่อเซียวโม่มาก เขาเป็นลูกชายคนเดียวของเธอ เธอเองก็ไม่ได้เจอเซียวโม่มาสักพักแล้ว เธอคิดถึงเขามาก 


 


 


ไม่รู้ว่าเซียวโม่พูดอะไร คุณแม่เซียวถึงได้หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น สวี่โยวอยากรู้ว่าคุณแม่เซียวและเซียวโม่คุยอะไรกัน แต่เธอก็ไม่กล้าแอบฟัง 


 


 


คุณแม่เซียวคุยเรื่องสัพเพเหระกับเซียวโม่จนเกือบลืมธุระของตัวเองไป เมื่อถึงตอนที่กำลังจะวางสายเธอถึงนึกขึ้นมาได้ “จริงสิ วันนี้แม่เจอถังโจวโจวที่โรงพยาบาลด้วยนะ เธอท้องแล้ว ดูสิ เมื่อไรลูกกับสวี่โยวจะมีหลานให้แม่อุ้มบ้างสักทีล่ะ” 


 


 


เหตุผลที่คุณแม่เซียวบอกเรื่องที่ถังโจวโจวตั้งท้องก็เพราะอยากให้เซียวโม่ตัดใจ ไม่ต้องไปคิดถึงผู้หญิงคนนั้นอีก ตอนนี้เธอกำลังหวังให้ในท้องของสวี่โยวมีหลานชายคนโตของตระกูลเซียวอยู่ 


 


 


แต่เซียวโม่ไม่อาจนิ่งเฉยได้เหมือนกับคุณแม่เซียว เขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นแม้กระทั่งสวี่โยวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยิน “อะไรนะครับ? โจวโจวท้อง! เป็นไปไม่ได้!” 


 


 


สวี่โยวกำมือแน่น คุณแม่เซียวเองก็ไม่พอใจ 


 


 


“นี่ลูก ทำไมถังโจวโจวจะท้องไม่ได้ อย่าลืมนะ ตอนนี้เธอเป็นของคนอื่นแล้ว ลูกไม่ต้องไปคิดถึงเธออีก แม่กับพ่อของลูกไม่เห็นด้วยเด็ดขาด ตอนนี้ลูกแต่งงานกับโยวโยวแล้ว ลูกต้องดีกับโยวโยวให้มากกว่าใครสิ!” 


 


 


ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับถังโจวโจว คุณแม่เซียวพร้อมที่จะยืนอยู่ข้างเดียวกันกับสวี่โยว หากต้องเปรียบเทียบถังโจวโจวและสวี่โยว ในสายตาของคุณแม่เซียว สวี่โยวนั้นดีกว่าในทุกๆ ด้าน 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่เซียวก็มองดูสายโทรศัพท์ที่ตัดไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง สวี่โยวรีบพูดให้กำลังใจ “อย่าโกรธเขาเลยนะคะคุณแม่ เซียวโม่อาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดี เขาก็เลยพูดออกมาแบบนั้น” 


 


 


สวี่โยวลูบอกคุณแม่เซียว คุณแม่เซียวหอบหายใจอย่างหนัก แล้วหันไปเอ็ดใส่เธอ “มีอะไรให้เขาอารมณ์ไม่ดี ยายถังโจวโจวนั่นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้วสักหน่อย เขาจะสนใจทำไม เมียตัวเองถูกทิ้งอยู่ตรงนี้ไม่ยักจะสนใจ!” 


 


 


คุณแม่เซียวเห็นว่าสีหน้าของสวี่โยวย่ำแย่เต็มที เธอจึงตระหนักได้ว่าเธอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป เธอรีบคว้ามือของสวี่โยวมาจับเพื่อปลอบโยน “โยวโยว หนูมั่นใจได้เลยนะ แม่จะไม่ยอมให้เซียวโม่กับถังโจวโจวนั่นได้อยู่ด้วยกันเด็ดขาด แม่จะรอหนูคลอดหลานออกมาให้แม่คนเดียวเท่านั้น” 


 


 


สวี่โยวไม่สามารถวางใจได้เลยเมื่อเธอได้ฟังคำพูดของคุณแม่เซียว คุณแม่เซียวชอบเธอแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อคนที่สามารถทำให้เธอตั้งท้องได้ก็มีแต่เซียวโม่ แต่มีครั้งไหนที่เซียวโม่มานอนใกล้เธอบ้าง เขาห่างเหินราวกับว่าร่างกายของเธอมีเชื้อโรคอยู่อย่างนั้นแหละ 


 


 


แม้แต่ตอนที่ออกไปข้างนอก ก็มีแต่เธอที่ทำตัวติดกันกับเขา เซียวโม่เบื่อหน่ายเธอมาก ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของเธอ และปล่อยให้เธอควงแขนเขาไปตามใจชอบ 


 


 


สวี่โยวเคยเห็นมาก่อนว่าลั่วเซ่าเชินปฏิบัติกับถังโจวโจวอย่างไร ทำไมชีวิตของถังโจวโจวถึงได้แต่สิ่งดีๆ แบบนั้น เซียวโม่มีแต่ถังโจวโจวอยู่ในหัวใจ ลั่วเซ่าเชินก็มีเธอเหมือนกัน แล้วตอนนี้เธอก็ยังตั้งท้องอีกต่างหาก สวี่โยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเกลียด ทำไมต้องมีผู้หญิงที่ชื่อถังโจวโจวคนนี้บนโลกด้วย! 


 


 


สวี่โยวเห็นว่าช่วงนี้คุณแม่เซียวมักจะพูดถึงเรื่องหลานอยู่บ่อยๆ เมื่อคิดดูแล้วเธอรู้สึกว่าถ้าเธอยังไม่พูดเรื่องนี้ออกมา อีกไม่นานเธอคงจะรับมือกับคำพูดของคุณแม่เซียวที่นับวันยิ่งเร่งรัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไหว “คุณแม่คะ หนูมีเรื่องจะบอกคุณแม่” 


 


 


“เรื่องอะไรเหรอลูก” คุณแม่เซียวเห็นสวี่โยวก้มหน้าต่ำ เธอพยายามจะพูดอะไร ทำไมเธอถึงดูอึดอัดใจนัก คุณแม่เซียวรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก 


 


 


“คุณแม่คะ ความจริงแล้วหนูกับเซียวโม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ” สวี่โยวพูดอย่างแผ่วเบา แต่คุณแม่เซียวไม่เข้าใจ 


 


 


“โยวโยว หนูหมายความว่ายังไง ตอนนี้หนูอยู่ด้วยกันกับเซียวโม่ไม่ใช่เหรอ พวกหนูเป็นสามีภรรยากันนะ!” 


 


 


ตอนนี้สวี่โยวเป็นลูกสะใภ้ของเธอ แล้วทำไมถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันกับเซียวโม่ล่ะ ฟังดูขัดแย้งพิกล? 


 


 


เมื่อเห็นว่าคุณแม่เซียวไม่เข้าใจ สวี่โยวก็รู้สึกอับอายขายขี้หน้า เธอได้แต่เอนตัวเข้าไปหาคุณแม่เซียวและกระซิบบอกที่ข้างหูเบาๆ คุณแม่เซียวร้องอุทานทันที “จริงเหรอ!” 


 


 


สวี่โยวพยักหน้า คุณแม่เซียวไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ เธอตำหนิสวี่โยว “โยวโยว ทำไมหนูไม่รีบบอกแม่ มันจะได้ไม่เลยเถิดมาไกลขนาดนี้” 


 


 


สวี่โยวเห็นว่าคุณแม่เซียวเริ่มกล่าวโทษเธอ เธอก็ยิ่งหม่นหมองลงไปอีก จะให้เธอพูดอย่างไรล่ะ เรื่องแบบนี้จะให้เธอพูดออกมาหน้าตาเฉยได้หรือ? ถ้าคุณแม่เซียวไม่ได้เอาแต่พูดถึงเรื่องลูก เธอก็คงไม่บอกคุณแม่เซียวเรื่องนี้หรอก จะให้เธอยอมรับออกมาตรงๆ หรือว่าเธอรักษาเซียวโม่เอาไว้ไม่ได้? 


 


 


คุณแม่เซียวเห็นว่าสีหน้าของสวี่โยวเศร้าหมอง เธอก็รู้ตัวว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปนั้นมันไม่ถูก แต่เธอก็กระดากเกินกว่าจะยอมรับผิด เธอจึงได้แต่เบี่ยงเบนหัวข้อ “โยวโยว หนูอย่ากังวลใจไปเลยนะ เดี๋ยวแม่ช่วยหนูคิดหาวิธีเอง” คุณแม่เซียวจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้ดำเนินต่อไปอีกอย่างแน่นอน 


 


 


เดิมทีเธอก็ไม่ชอบถังโจวโจวอยู่แล้ว เมื่อเธอรู้ว่าลูกชายของเธอไม่ยอมแตะต้องสวี่โยวเพราะถังโจวโจวอีก นั่นยิ่งทำให้คุณแม่เซียวไม่ชอบถังโจวโจวเข้าไปใหญ่ หากถังโจวโจวรู้เข้าก็คงจะได้แต่ถอนหายใจ นอนอยู่เฉยๆ ก็ดันโดนยิง[1] 


 


 


คุณแม่เซียวมีแผนอยู่ในใจ ในเมื่อลูกชายไม่ยอมแตะต้องตัวสวี่โยว ถ้าอย่างนั้นก็ให้เธอวางยาสามีตัวเองเสียสิ ให้เธอมีหลานมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน พอมีลูก เซียวโม่ก็จะเห็นแก่เด็ก แล้วเขาก็จะเข้าใกล้กับสวี่โยวมากขึ้นเอง 


 


 


           คุณแม่เซียวรู้จักลูกชายของตัวเองดี เซียวโม่ไม่เคยต่อต้านเธอเลย นอกจากเรื่องที่เขาคบกับถังโจวโจว แล้วเธอไม่เห็นด้วย สุดท้ายเขาก็หมดทางเลือก เขายอมแต่งงานกับสวี่โยวตามความคาดหวังของเธอ 


 


 


           คุณแม่เซียวพูดคำไหนคำนั้น เธอเล่าแผนการให้สวี่โยวฟัง พวกเธอเริ่มดำเนินการในวันเดียวกัน คุณแม่เซียวโทรหาเซียวโม่อีกครั้งและบอกให้เขากลับมากินข้าวเย็นที่บ้าน แม้ว่าเซียวโม่จะไม่สบอารมณ์ แต่เขาก็ตอบตกลง 


 


 


ตกเย็น เมื่อเซียวโม่กลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นสวี่โยวออกมาต้อนรับ สีหน้าของเธอดูไม่ดีเลย “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้” สวี่โยวทำท่าเหมือนกับเป็นลูกสะใภ้ผู้น่าสงสาร แต่เธอก็ไม่พูดอะไร 


 


 


คุณแม่เซียวต่อสู้เพื่อเธอทันที “ลูกพูดอะไรน่ะ! โยวโยวเป็นเมียลูกนะ แน่นอนว่าเธอมากับแม่ เอาละ พ่อใกล้จะกลับบ้านแล้ว อีกเดี๋ยวค่อยทานข้าวกัน” 


 


 


เซียวโม่เห็นว่าวันนี้สวี่โยวดูแปลกไป แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้จู่ๆ เขาก็ได้ข่าวว่าถังโจวโจวตั้งท้อง เขาจึงโทรไปถามในทันที และเมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของถังโจวโจว เซียวโม่ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ 


 


 


 


 


 


[1] นอนอยู่เฉยๆ ก็ดันโดนยิง หมายถึง อยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหา หรือรับเคราะห์ 


104 สำเร็จตามแผน

 


           ตั้งแต่เซียวโม่รู้ว่าถังโจวโจวท้อง เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน เขานั่งเหม่อลอยอยู่ในออฟฟิศตลอดบ่าย ไม่รู้ทำไมในหัวของเขามักจะหวนนึกถึงความหอมหวานและความอบอุ่นที่พวกเขาเคยมีให้กันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ต่างคนต่างมีทางเดินของตัวเองไปแล้ว


           สวี่โยวรับกระเป๋าเอกสารมาจากเซียวโม่ และแขวนเสื้อโค้ทที่เขาถอดไว้บนที่แขวนเสื้อ พวกเขาไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่เธอก็ยังประพฤติตัวในฐานะภรรยาที่ดี


คุณแม่เซียวเห็นว่าทั้งคู่ยืนอยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปหา “ทำไมไม่ไปนั่งก่อนล่ะลูก ยืนอยู่ทำไม” คุณแม่เซียวส่งสายตาให้สวี่โยวจากด้านข้าง


สวี่โยวเข้าใจทันที “แม่คะ หนูไปดูที่ครัวก่อนนะคะ”


“จ้ะ ไปเถอะจ้ะ” ในขณะที่คุณแม่เซียวและเซียวโม่กำลังจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น คุณพ่อเซียวก็ลงมาจากชั้นบนพอดี “กลับมาแล้วเหรอ”


“ครับ วันนี้ผมกลับมาทานข้าวด้วย” เซียวโม่กลัวคุณพ่อเซียวมาตลอด คุณพ่อเซียวมักจะทำสีหน้าเคร่งขรึมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา จึงทำให้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก


คุณพ่อเซียวเพียงพยักหน้า เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าสองพ่อลูกไม่คุยกัน เธอก็รีบไกล่เกลี่ย “นี่คุณจะทำหน้าบึ้งทำไมล่ะคะ ลูกไม่ได้กลับมาบ่อยๆ นะ”


คุณพ่อเซียวไม่พูดและเอาแต่นั่งอยู่บนโซฟา เห็นอย่างนั้นเซียวโม่ก็ระมัดระวังตัวมากขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อเขายังเด็ก คุณพ่อเซียวเข้มงวดกับเขามาก ดังนั้นเซียวโม่จึงรู้สึกกลัวคุณพ่อเซียวอยู่ลึกๆ


เพียงไม่นานสวี่โยวก็ออกมาจากห้องครัว “คุณพ่อคะ คุณแม่คะ ทานข้าวได้แล้วค่ะ” ดูไปแล้วคุณพ่อเซียวยังดีกับสวี่โยวมากกว่าเสียอีก หนึ่ง เพราะตระกูลของสวี่โยวเหมาะสมกับตระกูลของพวกเขา เขาค่อนข้างพึงพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้ สอง คุณพ่อเซียวไม่อาจเข้มงวดกับลูกสะใภ้ได้มากนัก


ทั้งสี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สวี่โยวนั่งถัดจากเซียวโม่ เธอง่วนอยู่กับการคีบอาหารให้เขา เมื่อเธอเห็นว่าสีหน้าของเซียวโม่นั้นเบื่อหน่ายชัดเจน มือที่ถือตะเกียบอยู่ก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ เมื่อคุณแม่เซียวเห็นอย่างนั้นก็รีบช่วยพูดว่า “โยวโยว ทานเยอะๆ ลูก อย่ามัวแต่ห่วงอาโม่”


สวี่โยวแค่ยิ้มบางๆ จากนั้นเธอก็ก้มหน้ารับประทานอาหารในส่วนของเธอ คุณแม่เซียวส่งซุปให้เซียวโม่ “อาโม่ ทานซุปนะลูก ร่างกายจะได้อบอุ่น”


เมื่อเห็นเซียวโม่รับไป คุณแม่เซียวก็แบ่งให้คุณพ่อเซียว สวี่โยว และตัวเองคนละหนึ่งถ้วย เซียวโม่ยกถ้วยขึ้น สวี่โยวมองตรงมาที่เขา ในขณะที่ถ้วยจรดริมฝีปากของเซียวโม่ เขาก็เห็นว่าสวี่โยวจ้องมองมาที่เขาอยู่ตลอด เขาจึงหยุดการเคลื่อนไหว “มีอะไรหรือเปล่า”


สวี่โยวเบนสายตาอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรค่ะ คุณทานซุปเถอะ” เธอรีบซดน้ำซุปใส่ปาก ปรากฏว่าซุปยังร้อนอยู่ มันก็เลยลวกปากเธอ


สวี่โยวรีบวางถ้วยซุปลงบนโต๊ะ “ซี้ด” คุณแม่เซียวรีบเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเธอถูกลวก “เป็นอะไรมากไหมลูก ทำไมไม่ระวังเลยล่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหม? แม่บ้านหลี่ รีบยกน้ำเย็นมาเร็ว”


เซียวโม่เองก็วางถ้วยซุปลงเหมือนกัน สีหน้าของสวี่โยวแสดงความผิดหวัง แต่เพราะกลัวว่าเซียวโม่จะเห็นเข้า เธอจึงรีบก้มหน้าลง กลัวว่าเขาจะผิดสังเกตเอาได้


แม่บ้านหลี่ยกน้ำเย็นออกมาให้อย่างรวดเร็ว “มาแล้วค่ะ มาแล้ว”


“รีบเอาไปให้คุณผู้หญิงเลย” แม่บ้านหลี่นำแก้วน้ำไปวางไว้ตรงหน้าสวี่โยว เมื่อสวี่โยวยกน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ เธอก็รู้สึกดีขึ้น แต่ภายในปากก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่


เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่เธอ สวี่โยวก็ยิ้ม “หนูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ทำเอาคุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงแย่เลย”


เมื่อคุณแม่เซียวเห็นว่าสวี่โยวไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็มองไปที่ถ้วยซุปของเซียวโม่อีกครั้ง “อาโม่ รีบทานซุปซิลูก ระวังร้อนด้วยนะ”


แม้ว่าเซียวโม่จะสงสัยว่าทำไมวันนี้คุณแม่เซียวถึงเอาแต่บอกให้เขาทานซุปถ้วยนั้น แต่เขาก็หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ เขาไม่ได้คิดอะไรต่อและยกถ้วยซุปขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าในที่สุดเซียวโม่ก็ทานซุปถ้วยนั้นจนหมด คุณแม่เซียวและสวี่โยวก็รู้สึกโล่งใจ


เมื่อกินข้าวกันเสร็จ คุณแม่เซียวก็เอ่ยถาม “อาโม่ วันนี้ลูกจะค้างที่บ้านใช่ไหม”


เซียวโม่ไม่สามารถคิดหาเหตุผลที่จะปฏิเสธออกมาได้ “ครับแม่ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ” คุณพ่อเซียวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เซียวโม่ไม่อยากทำให้เขาขุ่นเคืองใจ เขาจึงขึ้นไปที่ชั้นสอง


คุณแม่เซียวเห็นว่าเซียวโม่ขึ้นไปข้างบนแล้ว เธอจึงรีบขยิบตาให้สวี่โยว สวี่โยวรีบพูดว่า “คุณพ่อคะ คุณแม่คะ หนูก็ขอตัวก่อนนะคะ”


คุณแม่เซียวคล้อยตามเสียงดัง “จ้ะ รีบขึ้นไปเถอะ อีกเดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จะไปพักแล้วเหมือนกัน”


คุณพ่อเซียวเห็นว่าคุณแม่เซียวยิ้มกว้างประหนึ่งดอกไม้บาน เขาจึงเอ่ยปากถามในขณะที่สายตาดูโทรทัศน์ “ทำไมวันนี้คุณดูอารมณ์ดีผิดปกติ มีอะไรดีๆ หรือไง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”


เดิมทีคุณแม่เซียวก็อยากจะเล่าแผนการของเธอให้คุณพ่อเซียวฟัง แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว เขาต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจสงบปากสงบคำและหาหัวข้อพูดเสียใหม่ “ไม่นี่คะ ฉันก็แค่ดีใจที่ลูกกลับมาบ้าน ทำไมคะ คุณไม่ดีใจเหรอ”


คุณพ่อเซียวไม่พูดอะไร คุณแม่เซียวก็ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเขา ถ้าไม่ติดว่าเป็นเรื่องของผัวเมีย คุณแม่เซียวก็อยากจะไปแอบฟังที่หน้าห้องของพวกเขา เพื่อดูว่าแผนการจะได้ผลหรือไม่


สวี่โยวตามเซียวโม่เข้าไปในห้อง เซียวโม่ปลดเนกไทและนอนลงบนเตียง เมื่อเขาเห็นว่าสวี่โยวตามเข้ามา เขาก็หยัดตัวขึ้นและทำท่าจะเดินออกไปข้างนอก


สวี่โยวรีบกอดเขาจากด้านหลัง แขนทั้งสองข้างล็อกตัวเขาไว้แน่น กลัวว่าเซียวโม่จะออกจากห้องไป “เซียวโม่ ทำไมคุณถึงไม่ลองเปิดใจยอมรับฉันล่ะคะ”


เซียวโม่ไม่ได้ต้องการจะผลักเธอออก เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผมบังคับตัวเองไม่ได้ ขอโทษด้วย” ในใจเขารู้ดี และเขาก็อยากจะขอโทษสวี่โยว แต่เขาไม่สามารถลืมถังโจวโจวได้ เขาไม่เต็มใจ ไม่เต็มใจที่จะให้เรื่องราวระหว่างเขาและถังโจวโจวจบลงอย่างนี้


สวี่โยวรู้ว่าเขายังคงคิดถึงถังโจวโจวอยู่ เธอแทบจะเอ่ยปากขอร้อง “เซียวโม่ มีลูกกับฉันเถอะนะ ให้ฉันเถอะนะคะ แล้วฉันจะไม่สนใจอีกว่าคุณจะคิดถึงเธออยู่หรือเปล่า โอเคไหมคะ”


เซียวโม่หันกลับไปมอง เขาเห็นว่าบนใบหน้าของสวี่โยวมีหยาดน้ำตา พูดตามตรง สวี่โยวไม่ได้สวยน้อยไปกว่าถังโจวโจวเลย ชาติตระกูลของเธอก็ดี พูดได้ว่าพื้นเพของเธอดีกว่าถังโจวโจวมาก แต่ไม่รู้ทำไมเซียวโม่ถึงหาความดีงามของเธอไม่เจอเลย


ช่วงเวลาหลายปีที่อยู่ต่างประเทศด้วยกัน ไม่ว่าสวี่โยวจะพยายามใกล้ชิดเขามากขนาดไหน เซียวโม่ก็ได้แต่ทำสีหน้าเย็นชาใส่เธอ จนกระทั่งปฏิเสธเธออย่างรุนแรง แม้ว่าเขาจะไม่ถึงกับด่าประจาน แต่สวี่โยวที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เล็กจนโต การเพิกเฉยของเซียวโม่นั้นทำให้เธอเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าการด่าทอเธอตรงๆ เสียอีก


เมื่อเซียวโม่เห็นท่าทางวิงวอนของสวี่โยว เขาก็อดสงสารไม่ได้ สวี่โยวเห็นเขาลังเล เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดลอยไปได้ เธอเขย่งขึ้นจูบไปที่ริมฝีปากของเซียวโม่


ปลายลิ้นของเธอพยายามสอดแทรกเข้าไปในปากของเซียวโม่ เซียวโม่ยืนตัวแข็งทื่อและปล่อยให้สวี่โยวเป็นผู้คุมการเคลื่อนไหว เขาสัมผัสได้ถึงความรีบร้อนของสวี่โยว แต่ในเวลานี้เขารู้สึกสับสน เขาควรจะผลักสวี่โยวออกสิ แต่มือของเขากลับไม่ขยับ


สวี่โยวเห็นว่าเซียวโม่ไม่ปฏิเสธเธอ เธอก็ใจชื้นมากขึ้น การเคลื่อนไหวบนริมฝีปากก็รีบเร่งมากขึ้น แต่เป็นเพราะเธอลนลาน เธอจึงยังไม่พบวิธีที่ถูกต้อง


ทันใดนั้นเซียวโม่ก็รู้สึกเหมือนว่ามีกองไฟสุมอยู่ที่ช่องท้องด้านล่าง มันแผดเผาเสียจนเขาแทบทนไม่ไหว เขารั้งเอวของสวี่โยวมากอดและก้มหน้าจูบตอบเธอ


สวี่โยวมีความสุขมาก เธอยอมปล่อยทั้งกายและใจ เซียวโม่ไม่รู้ว่าเขากำลังจูบอยู่กับใคร ในหัวของเขามีแต่ถังโจวโจวเพียงคนเดียว


ทั้งสองคนจูบกันไปจูบกันมา จากนั้นก็เอนตัวลงไปบนที่นอน เซียวโม่กดสวี่โยวลงกับเตียง พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รีบเร่ง สวี่โยวเห็นว่าเซียวโม่รีบร้อนจนตาแดงก่ำแล้ว เธอจึงช่วยเขาด้วยการเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองไปด้วย “อาโม่ อือ อาโม่…”


เมื่อสวี่โยวเห็นเซียวโม่ปฏิบัติกับเธออย่างแรงกล้าเช่นนี้ เธอก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงคนโปรดของเซียวโม่ ระหว่างพวกเขาไม่มีถังโจวโจวมาคั่นกลางอีกแล้ว


เซียวโม่จูบลงบนผิวของสวี่โยว สวี่โยวประคองกอดศีรษะเขา เธอรู้สึกว่าเธอกำลังจะหลอมละลายไปด้วยไฟรักของเซียวโม่ เซียวโม่รู้สึกแค่ว่าในร่างกายเขามันร้อนรุ่มมาก แทบจะเผาผลาญเสียจนเขาต้องได้รับการปลดปล่อยโดยด่วน ดูเหมือนว่าร่างกายของเขานั้นยากจะควบคุม และเมื่อทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง เซียวโม่ก็พ่นลมหายใจออกมา


สวี่โยวรู้สึกอิ่มเอมมาก เมื่อเธอมองดูผู้ชายที่เธอรักบนร่างกายเธอ เธอก็รู้สึกว่าตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกใบนี้


สวี่โยวถูกเซียวโม่กลั่นแกล้งอีกหลายครั้งในคืนนี้ แต่เธอก็ไม่อิดออดเลยสักนิด เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีตระกองกอดเซียวโม่ไว้แน่น บางครั้งเมื่อเธอทนไม่ได้ เธอก็ทิ้งร่องรอยไว้บนหลังของเซียวโม่


แสงแดดที่อยู่ด้านนอกส่องผ่านเข้ามาจนแยงตา เซียวโม่ยกมือขึ้นบังสายตา เขาเห็นว่าร่างกายท่อนบนของตัวเองเปลือยเปล่า เมื่อมองดูข้างๆ เขาก็เห็นสวี่โยวที่ดูเหนื่อยล้า กำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ เขา


เขามีความสัมพันธ์กับเธออีกแล้ว เซียวโม่คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขาพบว่าตัวเขาเองจำได้แค่ว่าสวี่โยวเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน จากนั้นเขาก็จำได้แค่ว่าคนที่อยู่ใต้ร่างของเขาคือถังโจวโจว แต่ตอนนี้มาคิดดูอีกทีก็เหมือนว่ามันจะเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น


จริงสิ ตอนนี้โจวโจวคงจะอยู่ข้างกายลั่วเซ่าเชิน ในขณะที่ข้างกายของเขาก็ควรจะเป็นสวี่โยวตามปกติ เขาคิดเพ้อเจ้อลมๆ แล้งๆ ว่าถังโจวโจวมาอยู่ข้างกายเขาได้อย่างไรกัน


สวี่โยวยังไม่ตื่นนอน เซียวโม่ก้มหยิบเสื้อผ้าที่หล่นกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ


สวี่โยวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงน้ำ เมื่อเธอยื่นมือไปลูบที่นอนด้านข้าง เธอก็พบว่ามันยังอุ่นอยู่ แต่คนไม่อยู่แล้ว


เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา เธอก็พบว่าเซียวโม่ไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว เธอได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำดังขึ้นอีกครั้ง สวี่โยวที่ไม่ทันได้เห็นกับตาว่าเซียวโม่นอนอยู่ข้างกายเธอก็รู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อหวนคิดดูอีกที เธอไม่ควรขอร้องมากเกินไป เป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว


เมื่อเซียวโม่เดินสวมชุดคลุมอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ เขาก็พบว่าสวี่โยวตื่นแล้ว เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อการมีตัวตนอยู่ของเธอได้อีก แต่เขาก็ไม่สามารถอ่อนโยนกับเธอได้เหมือนกัน เขาทำได้แค่นิ่งเงียบและไม่พูดอะไร


สวี่โยวเห็นเขาเดินออกไปข้างนอก เธอก็จะพยุงตัวลุกขึ้นตามไป แต่เธอคิดไม่ถึงว่าจะยันตัวไม่ขึ้น เธอเอนตัวกลับลงไปนอนดังเดิม ส่วนเซียวโม่ก็เดินออกไปไกลแล้ว


เมื่อสวี่โยวนึกถึงร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะถูกเซียวโม่เอ็นดูรักใคร่ตลอดคืน หัวใจของเธอก็พองโตไปด้วยความพึงพอใจ เธอแตะที่หน้าท้องของเธอ คราวนี้เธอจะต้องตั้งท้องให้ได้!


คุณแม่เซียวตื่นแต่เช้าตรู่ เธอพะวักพะวงเรื่องของเซียวโม่และสวี่โยวทั้งคืน หลังจากที่เธอตื่นนอน เธอก็ไม่พบใครที่ห้องนั่งเล่น เธอถามแม่บ้านหลี่อีกครั้ง แล้วเธอก็ได้รู้ว่าเซียวโม่และสวี่โยวนั้นยังไม่ได้ลงมาเลย เธอเบิกบานใจอยู่ชั่วขณะ ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้จะประสบความสำเร็จแล้ว


เธอนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น ดวงหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอมองไปที่บันไดเป็นครั้งคราวจนกระทั่งเซียวโม่ลงมา เธอมองดูอีกครั้งแล้วก็แอบพยักหน้าในใจ “อาโม่ โยวโยวล่ะลูก”


เมื่อเห็นว่าด้านหลังของเซียวโม่ไม่มีเงาของสวี่โยวตามมาด้วย คุณแม่เซียวก็เอ่ยถาม เซียวโม่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับสวี่โยวทันทีและตอบกลับเพียงไม่กี่คำ “อยู่บนห้องครับ อีกสักพักน่าจะลงมา”


เมื่อคุณแม่เซียวเห็นท่าทางเย็นชาของเขา เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อคืนนี้ผัวเมียคู่นี้เขามีเวลาที่ไม่ดีกันหรือ สีหน้าของลูกชายเธอถึงดูไม่ดีนัก


คงไม่หรอกมั้ง ยานั่นใช้ไม่ได้ผลเหรอ? คุณแม่เซียวคิดไปต่างๆ นานา แต่เธอก็ไม่กล้าถามเซียวโม่ จึงได้อดกลั้นเอาไว้ และรอให้สวี่โยวลงมา


เมื่อเซียวโม่รับประทานมื้อเช้าเสร็จ เขาก็ออกไป แต่สวี่โยวก็ยังไม่ลงมา คุณแม่เซียวเริ่มเป็นกังวล สรุปแล้วมันสำเร็จไหมนี่?


เธอจำเป็นต้องขึ้นไปชั้นบน เมื่อแม่บ้านหลี่เห็นว่าคุณแม่เซียวยังไม่ได้กินข้าว เธอก็ถามจากด้านหลังว่า “คุณนายไม่รับข้าวเช้าหรือคะ”


“แม่บ้านหลี่ไปอุ่นไว้ก่อนแล้วกัน ฉันจะรอทานพร้อมกับคุณผู้หญิง”


คุณแม่เซียวเดินไปที่ห้องของเซียวโม่ ในขณะที่เธอกำลังจะเคาะประตู สวี่โยวก็เปิดประตูออกมา


105 

     “คุณแม่?” สวี่โยวแต่งกายมิดชิด เมื่อคุณแม่เซียวเห็นใบหน้าแดงก่ำอิ่มน้ำของลูกสะใภ้ ดวงตาของเธอก็ดูฉ่ำวาวหยาดเยิ้มหลังจากที่ถูกรักมาตลอดคืน เพียงเท่านี้คุณแม่เซียวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ดูท่าแผนการของพวกเธอจะสำเร็จแล้ว!


 


 


สวี่โยวเห็นคุณแม่เซียวจ้องมองเธออยู่นาน โดยไม่กะพริบตาเลยสักนิด เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณแม่เซียวกำลังมองอะไรอยู่ เธอจึงเอ่ยทักเบาๆ “คุณแม่คะ มาหาหนูถึงห้องมีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”


 


 


คุณแม่เซียวยื่นมือไปจับมือของสวี่โยว “แม่มาตามหนูลงไปกินข้าว เมื่อคืนหลับสบายไหมจ๊ะ” ปากของสวี่โยววาดรอยยิ้มงดงาม “สบายมากเลยค่ะ”


 


 


ความจริงแล้วเธอนอนได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่หากเทียบกับที่ต้องนอนไม่หลับอยู่คนเดียว เธอยินดียอมถูกเซียวโม่รบกวนจนนอนไม่หลับทั้งคืนเลยดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีเมล็ดพันธุ์เล็กๆ หยั่งรากลึกลงไปในท้องของเธอด้วยแล้ว มันคงจะวิเศษมากๆ


 


 


หลังจากมื้อเช้าผ่านไป สวี่โยวก็ออกไปข้างนอก ส่วนคุณแม่เซียว เมื่อวานเธอก็เอาแต่พะวงเรื่องทายาทตระกูลเซียว ซ้ำเมื่อเช้าเธอก็ยังตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อติดตามผล หลังมื้ออาหารเธอจึงเผลอสัปหงกไป สุดท้ายทนไม่ไหวเธอจึงกลับไปนอนชดเชยต่อที่ห้องของเธอเอง


 


 


 


 


ฉินอวิ๋นเห็นว่าหมู่นี้เมิ่งชิงซีอยู่ติดบ้านมากผิดปกติ หนำซ้ำยังดูกลุ้มอกกลุ้มใจ ฉินอวิ๋นเดาว่าสาเหตุน่าจะมาจากลั่วเซ่าเชินอีกตามเคย เธอรู้สึกสงสารลูกสาวของเธอมาก พื้นเพครอบครัวออกจะดีเช่นนี้ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่แม้แต่ชายตามอง


 


 


เมิ่งชิงซีเพิ่งจะตื่นเอาตอนสิบโมง เมื่อเห็นว่าเธอลงมาแล้ว ฉินอวิ๋นก็รีบใช้ให้แม่บ้านที่ชื่อเจวียนเจี่ยไปยกอาหารออกมา ส่วนเธอก็เดินตรงเข้าไปหา “ชิงซี เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลยล่ะ”


 


 


ฉินอวิ๋นผ่านชีวิตการเป็นคุณนายมาหลายปี ผิวพรรณของเธอเปล่งประกาย เธอต้องไปที่คลินิกเสริมความงามสัปดาห์ละครั้ง เพื่อรักษาความสวยความงามของเธอเอาไว้ตลอด ฉินอวิ๋นใช้ความพยายามไปไม่น้อยเลย


 


 


ผิดกับเมิ่งชิงซีที่ทั่วทั้งร่างหม่นหมองเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ตั้งแต่เธอรู้ว่าถังโจวโจวท้อง เธอก็ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ถังโจวโจวคลอดเด็กคนนั้นออกมา แม้ว่าเธอจะเคยคิดทำให้ถังโจวโจวแท้ง แต่ลั่วเซ่าเชินไปรับไปส่งเธอทุกวัน เธอไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้เลย


 


 


ช่วงนี้เมิ่งชิงซีจึงนอนหลับได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน เธอนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เจวียนเจี่ยยกอาหารเช้าออกมาเสิร์ฟให้ เธอกินเกี๊ยวได้ไม่เต็มคำ ฉินอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าแม้แต่ข้าวปลาเมิ่งชิงซีก็ยังไม่อยากจะกิน ในที่สุดก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันดูร้ายแรงเกินไปแล้ว


 


 


“ชิงซี บอกแม่มา เซ่าเชินทำให้ผิดหวังอีกแล้วใช่ไหม แม่เคยบอกแล้วไงว่าถ้าลูกอยากจะไปต่อกับเขา ลูกก็ต้องเตรียมพร้อมให้ดี” ฉินอวิ๋นรักและทะนุถนอมลูกสาวคนเดียวของเธอมาก


 


 


“แม่คะ มันไม่ใช่เรื่องนั้น” เมิ่งชิงซีคีบเกี๊ยวขึ้นมาหนึ่งชิ้นและจิ้มซอสเปรี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะส่งมันเข้าไปในปาก ฉินอวิ๋นรอให้เธอกินจนเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยคุยกับเธอต่อ


 


 


เมิ่งชิงซีกินต่ออีกไม่กี่ชิ้น จากนั้นเธอก็วางตะเกียบลง ฉินอวิ๋นส่งผ้าเช็ดปากให้เธอ “ตอนนี้จะบอกแม่ได้หรือยัง เราเป็นแม่ลูกกัน มีเรื่องอะไรที่บอกกันไม่ได้?”


 


 


เมิ่งชิงซีกวาดตามองไปรอบๆ แต่เธอก็ไม่พบร่างของเมิ่งไหวเซิน เมื่อฉินอวิ๋นเห็นท่าทางมองซ้ายแลขวาของเธอ ก็รู้แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “นี่! ไม่ต้องมองหรอก พ่อแกไม่อยู่บ้าน”


 


 


เมิ่งชิงซีถึงเปิดปากพูด “แม่คะ ถังโจวโจวท้องแล้ว ตอนนี้คุณป้าลั่วเอ็นดูเธอมาก ครั้งก่อนยังบอกให้หนูตัดใจจากเซ่าเชินด้วย ไม่รู้เอาอะไรมาพูด เซ่าเชินเป็นของหนู เราเป็นคู่หมั้นกัน ทำไมหนูถึงต้องยอมแพ้ให้ผู้หญิงอย่างถังโจวโจวด้วย”


 


 


เมิ่งชิงซียิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ฉินอวิ๋นนึกว่าเธอลืมเรื่องการหมั้นหมายของเธอกับลั่วเซ่าเชินไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอจะหยิบยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีก ฉินอวิ๋นไม่กล้าบอกเมิ่งชิงซีว่าที่ลั่วเซ่าเชินสามารถถอนหมั้นกับเธอได้ง่ายๆ เพราะไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินมาจากไหนว่าแท้ที่จริงแล้วคนที่เขาต้องหมั้นหมายด้วยไม่ใช่เมิ่งชิงซี


 


 


“ชิงซี เรื่องนี้มันผ่านมานานมากแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เรื่องการถอนหมั้นคุณปู่กับคุณพ่อของลูกก็เห็นด้วย ตอนนี้พูดเรื่องนี้ขึ้นมามันจะมีประโยชน์อะไร” ฉินอวิ๋นไม่อยากให้ลูกสาวของเธอเป็นแบบนี้เพียงเพราะผู้ชายคนเดียว


 


 


แต่ไม่รู้ทำไม เมิ่งชิงซีราวกับว่าโดนยาพิษที่ชื่อ ‘ลั่วเซ่าเชิน’ เล่นงานก็ไม่ปาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเฝ้าแต่วาดฝันว่าจะได้อยู่ด้วยกันกับลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่คิดแบบเดียวกันกับเธอ ช่างเป็น ‘ดอกไม้ร่วงโรยที่มีความหมาย น้ำตารินไหลที่ไร้เมตตา’[1] เสียจริง!


 


 


“แม่คะ หนูไม่เข้าใจ ทำไมคุณปู่กับคุณพ่อต้องเห็นดีด้วย หนูกับเซ่าเชินเหมาะสมกันมากแท้ๆ แล้วดูตอนนี้สิคะ ยายถังโจวโจวนั่นอวดเบ่งต่อหน้าหนู กลัวว่าหนูจะไม่รู้ล่ะมั้งว่าเธอเป็นเมียของเซ่าเชิน!”


 


 


เมิ่งชิงซีตั้งใจพูดให้มันเกินจริง เพื่อให้ฉินอวิ๋นช่วยเธอออกความคิดเห็น ฉินอวิ๋นมีลูกสาวอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้นจะต้องช่วยเธอวางแผนอย่างสุดความสามารถแน่นอน


 


 


“ชิงซี ไม่ต้องกังวลนะ แม่จะช่วยลูกเอง ลูกก็แค่อยากจะทำให้ถังโจวโจวแท้งลูกไม่ใช่เหรอ”


 


 


“แม่คะ แม่มีวิธีจริงๆ เหรอ? แม่… ความสุขในวันข้างหน้าของหนูอยู่ในกำมือแม่แล้วนะคะ” เมิ่งชิงซีตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก เธอนึกอยู่แล้วเชียวว่าฉินอวิ๋นต้องมีวิธี เพราะเธอก็เห็นกับตามาตลอดว่าคุณพ่อยอมศิโรราบต่อคุณแม่ คุณแม่ของเธอเป็นเลิศในด้านนี้จริงๆ


 


 


“ชิงซี ตอนนี้ถังโจวโจวท้องได้กี่เดือนแล้ว”


 


 


“เหมือนจะสองเดือนกว่าแล้วค่ะแม่ แม่ถามทำไมเหรอ”


 


 


เมิ่งชิงซีมองไปที่ฉินอวิ๋นด้วยความสงสัย เธอเห็นท่าทีของคุณแม่เหมือนกับว่าได้คิดแผนการเอาไว้หมดแล้ว เมื่อฉินอวิ๋นได้คำตอบจากเมิ่งชิงซีก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระซิบพูดที่ข้างหูของเมิ่งชิงซี


 


 


เมิ่งชิงซียิ้มหน้าบานในทันที “แม่คะ แม่นี่สุดยอดไปเลย! หนูจะทำตามที่แม่บอก”


 


 


“ชิงซี แต่ลูกไม่ต้องลงมือเองหรอกนะ ไปหาคนที่ไม่ชอบขี้หน้าถังโจวโจวมาอีกคน แม่จะให้คนนั้นเป็นเป้าให้แกเอง” ฉินอวิ๋นรู้สึกว่าการยืมมือคนอื่นมาฆ่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมกว่า ถ้าให้เมิ่งชิงซีลงมือเอง แล้วลั่วเซ่าเชินรู้เข้าในภายหลัง ไม่แคล้วเธอคงจะโดนเล่นงานอย่างหนัก


 


 


“แม่คะ วิธีนี้จะได้ผลจริงๆ เหรอ แล้วหนูจะหาใครมาเป็นเป้าให้หนูได้บ้างล่ะ” เมิ่งชิงซีปวดหัวเพราะคิดหาตัวเลือกไม่ได้


 


 


ฉินอวิ๋นยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าระทมทุกข์ของเธอ “ชิงซี การที่ลูกมานั่งขบคิดอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ดีไปกว่าการที่ลูกส่งคนไปสืบหาหรอกนะ แบบนั้นจะดีมากกว่าการที่มานั่งทนทุกข์ใจอยู่ตรงนี้”


 


 


เมิ่งชิงซีคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าสิ่งที่ฉินอวิ๋นพูดมานั้นมันก็สมเหตุสมผล ตึงๆๆ เธอวิ่งขึ้นไปชั้นบน ผ่านไปไม่นาน เธอก็เปลี่ยนเป็นชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอก “หนูไปก่อนนะคะแม่”


 


 


เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของลูกสาว ฉินอวิ๋นก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “เด็กคนนี้นี่ โตป่านนี้แล้ว ทำไมถึงยังเป็นแบบนี้อยู่อีก” แต่ฉินอวิ๋นจะไม่ยอมให้เมิ่งชิงซีต้องทนทุกข์ใจ ลูกสาวเธออยากได้อะไรเธอก็จะให้สิ่งนั้น


 


 


นิสัยของเมิ่งชิงซีได้รับการพัฒนามาจากฉินอวิ๋นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กว่าฉินอวิ๋นจะพบว่ามันไม่ถูกต้อง เมิ่งชิงซีก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว โชคดีที่เมิ่งไหวเซินรักเธอมาก แม้ว่าชิงซีจะเอาแต่ใจ แต่เขาก็ไม่ว่าอะไร


 


 


เมิ่งชิงซีนึกไม่ถึงเลยว่า เธอไม่ทันได้ออกไปตามหา คนก็มาหาเธอถึงที่ เมิ่งชิงซีไม่คิดว่าการที่เธอมองออกไปด้านนอกรถเรื่อยเปื่อย เธอจะพบกับเหวินมั่นมั่นที่ดูเหมือนว่าจะเดินชอปปิ้งอยู่กับใครอีกคน เมิ่งชิงซียังจำวันเกิดของเหวินมั่นมั่นครั้งที่แล้วได้ สายตาที่มองลั่วเซ่าเชิน แค่เห็นก็รู้ว่าแตกต่างจากคนทั่วไป


 


 


เมิ่งชิงซีหักพวงมาลัยและจอดรถใกล้ๆ กับบริเวณร้านที่เหวินมั่นมั่นอยู่ เมื่อเธอลงจากรถ เธอก็ตรงเข้าไปในร้านที่เหวินมั่นมั่นเดินเข้าไป


 


 


แน่นอนว่าเหวินมั่นมั่นกำลังดูเสื้อผ้าอยู่ในนั้น พนักงานที่นั่นต้อนรับเมิ่งชิงซีอย่างดี ไม่ต้องมองก็รู้ว่าคนๆ นี้ร่ำรวย เสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่มีราคาไม่น้อยกว่าเสื้อผ้าในร้านนี้เลย


 


 


“คุณผู้หญิงรับอะไรดีคะ”


 


 


“เดี๋ยวฉันดูเอง เธอไปทำงานเถอะ” เมิ่งชิงซีเห็นเหวินมั่นมั่นยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนว่าเธออยู่ตรงนั้น เมิ่งชิงซีก้าวเดินไปทางเหวินมั่นมั่นสองสามก้าว ประจวบเหมาะกับที่เหวินมั่นมั่นหันตัวมาแล้วก็ชนเข้ากับเมิ่งชิงซีพอดี


 


 


ในขณะที่เหวินมั่นมั่นหมายจะอ้าปากด่า เธอก็พบว่าคนๆ นั้นคือเมิ่งชิงซี สีหน้าของเธอชะงักนิ่งไปชั่วขณะ เมิ่งชิงซีกลับยิ้มอย่างดีใจ “มั่นมั่น เธอก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ!”


 


 


เหวินมั่นมั่นมองดูเมิ่งชิงซีด้วยความสงสัย “คุณเมิ่งคะ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นมั้งคะ”


 


 


“มั่นมั่น ตัวนี้ล่ะ เป็นยังไง” หยางอีอี เพื่อนสนิทของเหวินมั่นมั่น สวมแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายสีดำและหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อให้เหวินมั่นมั่นแสดงความคิดเห็น


 


 


“สวยมาก อีอี” เหวินมั่นมั่นพยักหน้า


 


 


หยางอีอีก็รู้สึกว่ามันสวยมาก “โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เอาตัวนี้แหละ” พนักงานร้านรับเสื้อแจ็กเก็ตที่อยู่ในมือของหยางอีอีไปด้วยความเบิกบานใจ หยางอีอีมองเมิ่งชิงซี จากนั้นก็มองไปที่เหวินมั่นมั่น


 


 


เหวินมั่นมั่นแนะนำให้เธอได้รู้จัก “นี่คือเมิ่งชิงซีหรือว่าคุณเมิ่ง” เหวินมั่นมั่นแทบจะไม่รู้จักเมิ่งชิงซีเลย ที่เธอรู้จักเมิ่งชิงซีก็เพราะลั่วเซ่าเชิน


 


 


เพราะเหวินมั่นมั่นคิดอะไรกับลั่วเซ่าเชิน ดังนั้นเธอจึงให้ความสำคัญกับคนที่อยู่รอบตัวเขา ถ้าให้พูดตามตรงต้องบอกว่าเมิ่งชิงซีเป็นคู่แข่งของเธอ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเมิ่งชิงซีเลย


 


 


เมิ่งชิงซีไม่ได้อยากรู้จักหยางอีอี อีกอย่างเป้าหมายของเธอในวันนี้ก็คือเหวินมั่นมั่น “มั่นมั่น เรียกว่าคุณเมิ่งออกจะห่างเหินเกินไปหน่อยนะคะ เรียกฉันว่าชิงซีเถอะ”


 


 


“คุณเมิ่งคะ เรารู้จักกันได้ไม่นาน เรียกแบบนี้แหละค่ะ เหมาะสมแล้ว” เหวินมั่นมั่นพูดอย่างไพเราะ แต่ก็พูดอย่างไม่เกรงใจ เพื่อต้องการที่จะทำให้เมิ่งชิงซีรู้ว่าเธอคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว


 


 


เมิ่งชิงซีอยากจะโกรธ แต่เมื่อฉุกคิดถึงจุดประสงค์ที่มา เธอก็อดกลั้นเอาไว้ เธอจะทำให้งานใหญ่ของเธอพังเพียงเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบของตัวเองไม่ได้


 


 


“คุณเหวินคะ ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสนิทกับคุณ หรืออยากจะเป็นเพื่อนกับคุณนักหรอก ในเมื่อคุณลำบากใจ ฉันก็จะไม่พูดอะไรอีก” เมิ่งชิงซียอมถอยออกมาหนึ่งก้าว


 


 


เหวินมั่นมั่นไม่รู้ว่าเมิ่งชิงซีตั้งใจจะทำอะไร เธอหันไปมองเพื่อนสนิทของเธอ “อีอี เสร็จหรือยัง เราไปกันเถอะ”


 


 


เมิ่งชิงซีรู้สึกร้อนรนในใจ เมื่อเห็นว่าพวกเธอตั้งท่าจะเดินจากไปจริงๆ เธอจะทำให้เหวินมั่นมั่นรู้ได้อย่างไรว่าถังโจวโจวท้อง?


 


 


“จริงสิ คุณเหวินคะ ฉันได้ข่าวมาว่าคุณผู้หญิงลั่วเธอท้องแล้ว คุณก็ควรจะเลิกคาดหวังได้แล้วนะคะ” เมิ่งชิงซีพูดอย่างใจเย็นพลางหยิบเสื้อขนสัตว์สีขาวออกมาตัวหนึ่ง และลูบสัมผัสความนุ่มของมันด้วยมือของเธอ


 


 


ก้าวเดินของเหวินมั่นมั่นหยุดชะงักลง “คุณหมายความว่ายังไง คุณเองก็ยังไม่เลิกหวัง มีสิทธิ์อะไรมาบอกฉัน” แม้ว่าคำพูดของเหวินมั่นมั่นจะเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว แต่ใจของเธอกลับเต้นรัวให้กับประโยคที่เมิ่งชิงซีเพิ่งจะพูดไปเมื่อครู่นี้ ถังโจวโจวท้องแล้ว!


 


 


เมิ่งชิงซีเห็นว่าคำพูดของตัวเองสามารถทำให้เหวินมั่นมั่นหยุดเดินได้แล้ว แม้ว่าเธอจะดูหมิ่นเหวินมั่นมั่นในใจ แต่ตอนนี้เธอยังต้องใช้ประโยชน์จากผู้หญิงคนนี้อยู่ เธอต้องเกลี้ยกล่อมไปก่อนชั่วคราว เพื่อให้เหวินมั่นมั่นกำจัดลูกของถังโจวโจวให้


 


 


“คุณเหวิน… คุณจะพูดอย่างนั้นไม่ได้นะคะ แม้ว่าฉันจะชอบเซ่าเชิน แต่ตอนนี้เมื่อฉันเห็นว่าถังโจวโจวท้อง ฉันก็ยอมที่จะปล่อยมือจากเขา ฉันไม่สามารถทำลายครอบครัวของเขาได้ ฉันแค่เห็นว่าคุณยังยึดติดอยู่ ฉันก็เลยแนะนำเท่านั้นเอง”


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีพูดจบ เธอก็เดินจากไป เธอแค่ต้องการจะบอกข่าวนี้ให้เหวินมั่นมั่นรับทราบก็เท่านั้น หลังจากนี้ เธอจะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องไปเสนอวิธีต่อหน้าเหวินมั่นมั่น แล้วเธอจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องนี้อีก


 


 


ขณะเดียวกันเหวินมั่นมั่นก็ไม่เข้าใจ เมิ่งชิงซีต้องการมาบอกเธอว่าถังโจวโจวตั้งท้องแล้ว แค่นี้น่ะหรือ?


 


 


 


 


[1] ดอกไม้ร่วงโรยที่มีความหมาย น้ำตารินไหลที่ไร้เมตตา อุปมาถึงการแอบรัก หรือรักข้างเดียว


106 

    เหวินมั่นมั่นไม่เข้าใจว่าเมิ่งชิงซีกำลังคิดอะไรอยู่แต่เธอก็ไม่อยากจะรู้ หยางอีอีเห็นเพื่อนยืนเหม่ออยู่ที่เดิม จึงผลักเธอเบาๆ “มั่นมั่น เธอคิดว่ายังไง ทำไมอยู่ดีๆ คุณเมิ่งถึงมาพูดอะไรแปลกๆ กับเธอ?” 


 


 


           แน่นอนว่าหยางอีอีรู้ว่าเพื่อนสนิทของเธอชอบลั่วเซ่าเชิน เธอก็เคยแนะนำไปแล้ว แต่เหวินมั่นมั่นไม่ฟัง ถ้าลั่วเซ่าเชินยังไม่ได้แต่งงาน หยางอีอีจะสนับสนุนให้เหวินมั่นมั่นตามจีบเขา แต่นี่ลั่วเซ่าเชินแต่งงานแล้ว… 


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่างเธอเถอะ อีอี เราไปชอปปิงกันต่อเถอะ ฉันอยากซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกสักหน่อย” เหวินมั่นมั่นวางความคิดลงชั่วคราว ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอื่นพร้อมกับหยางอีอี 


 


 


การที่เมิ่งชิงซีเลือกมาหาเหวินมั่นมั่นนั้นก็มีเหตุผล เนื่องจากเหวินมั่นมั่นอายุยังน้อย และเธอชอบลั่วเซ่าเชินมาก จากการสังเกตของเมิ่งชิงซี เหวินมั่นมั่นมักจะแสดงความเป็นเจ้าของกับสิ่งที่เธอชอบ และจะไม่ยอมให้ใครมาสบประมาท 


 


 


แน่นอนว่าเมิ่งชิงซีก็มีแผนสำรองเผื่อเอาไว้เช่นกัน ถ้าเหวินมั่นมั่นไม่ลงมือ เธอก็จะหาคนมาทำแทน เพียงแต่ต้องจัดการปัญหาที่ตามมาให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นหากลั่วเซ่าเชินสืบสาวจนรู้ต้นตอ เธอคงจะรับมือไม่ไหว 


 


 


วันจันทร์ ถังโจวโจวไปทำงานตามปกติ และหลังจากเหวินมั่นมั่นได้ข่าวมาจากเมิ่งชิงซีแล้ว เธอก็สืบหาที่อยู่บริษัทของถังโจวโจวและส่งข้อความนัดหมายถังโจวโจวให้ออกมาเจอที่ร้านกาแฟนอกบริษัท 


 


 


ถังโจวโจวมองดูข้อความที่ถูกส่งมาจากหมายเลขไม่คุ้นเคยและไม่ลงชื่อ เธอไม่สนใจมัน แน่นอนว่ายิ่งไม่เก็บมาใส่ใจ เธอระบุไม่ได้นี่ว่าผู้หญิงคนไหนอยากจะคุยกับเธออีก ทำไมเธอถึงต้องหาเรื่องใส่ตัวเองด้วยล่ะ 


 


 


ถังโจวโจวคิดว่านี่น่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากลั่วเซ่าเชินอีกตามเคย ใบหน้าที่แสนน่าเกลียดของเขา ช่างเป็นมิตรกับพวกผู้หญิงเสียเหลือเกิน 


 


 


เมื่อไม่ได้รับการตอบกลับจากถังโจวโจว เหวินมั่นมั่นก็ส่งข้อความไปอีกครั้ง ถังโจวโจวก็ยังคงเพิกเฉย เหวินมั่นมั่นหมดความอดทนและยกหูต่อสายถึงเธอทันที! 


 


 


ถังโจวโจวกดทิ้งครั้งที่หนึ่ง เธอก็โทรมาอีกครั้ง ถังโจวโจวกดทิ้งครั้งที่สอง เธอก็ยังโทรมาอีก ถังโจวโจวยอมรับสายในครั้งที่สาม “สวัสดีค่ะ คุณเป็นใคร?” ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็จะให้ออกไปเจอ ไม่มีเหตุผลเลย! 


 


 


“ถังโจวโจว ฉันเหวินมั่นมั่น คุณยังจำฉันได้ไหม” ถังโจวโจวคิดอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นความทรงจำก็แวบขึ้นมาในหัว “อ๋อ ฉันจำได้แล้วค่ะ คุณคือคุณหนูเจ้าของวันเกิดที่บ้านตระกูลเหวินเมื่อครั้งนั้น มีธุระอะไรกับฉันหรือคะ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรเกี่ยวข้องกับเหวินมั่นมั่น เธอไม่เคยคุยกับเหวินมั่นมั่นเลยสักคำ แล้วอยู่ๆ ตอนนี้ก็จะมาหาเธอ มันหมายความว่าอย่างไร? ถังโจวโจวรอให้เหวินมั่นมั่นแสดงเจตนาออกมาก่อน 


 


 


“ถังโจวโจว ฉันแค่อยากจะคุยกับคุณ ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก หรือว่าคุณไม่กล้าล่ะ? ถ้าอย่างนั้นก็ขี้ขลาดเกินไปแล้ว” แม้ถังโจวโจวจะถูกยั่วยุเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่โมโห หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงจะสงสัยใคร่รู้ว่าเหวินมั่นมั่นต้องการอะไรจากเธอ แล้วก็ออกไปเจอตามนัด 


 


 


แต่หลังจากที่เธอผ่านเรื่องของสวี่โยวมา เธอก็ไม่กล้าที่จะสงสัยเรื่องพรรค์นี้อีกต่อไป เธอไม่รู้ว่าด้านนอกจะมีอะไรที่น่ากลัวรอเธออยู่อีก! 


 


 


“คุณหนูเหวิน คุณไม่ต้องยั่วโทสะฉันหรอกค่ะ มันไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันขอวางสายก่อนนะคะ และฉันจะไม่ออกไปพบคุณ” 


 


 


“รอเดี๋ยวสิ ถังโจวโจว ทำไมคุณถึงไม่กล้าออกมาเจอฉันล่ะ กลัวฉันหรือไงคะ หรือกลัวว่าฉันจะแย่งลั่วเซ่าเชินไป?” เหวินมั่นมั่นไม่ยอม ถังโจวโจวกล้าดียังไงถึงมาเมินเฉยใส่เธอแบบนี้ 


 


 


ถังโจวโจวหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้กำลังฝันกลางวันอยู่ใช่ไหม “คุณหนูเหวินคะ ถ้าคุณแย่งลั่วเซ่าเชินไปได้ คุณยังจะมาพูดอะไรแบบนี้กับฉันอยู่อีกไหม” 


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ได้พกสมองออกมาจากบ้าน ลั่วเซ่าเชินไม่ใช่วัตถุ นี่เธอคิดว่าอยากจะแย่งก็แย่งไปได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ 


 


 


เมื่อเหวินมั่นมั่นได้ยินถังโจวโจวหัวเราะใส่อย่างนี้ ความโกรธของเธอก็ยิ่งพุ่งขึ้นสูง “ถังโจวโจว มีอะไรให้ขำนักหนา!” 


 


 


“เอาละ คุณหนูเหวิน คุณเพิ่งจะอายุสิบแปด ตอนนี้แทนที่คุณจะมัวมาคิดเรื่องแบบนี้ คุณเอาเวลาไปหาความรู้เพิ่มเติมดีกว่านะคะ” 


 


 


เหวินมั่นมั่นอยากจะย้อนคำกลับไป แต่ถังโจวโจวกลับตัดสายในทันทีที่เธอพูดจบ เมื่อเหวินมั่นมั่นโทรกลับไปอีกครั้ง ถังโจวโจวก็ไม่รับสายแล้ว เหวินมั่นมั่นหมดทางเลือก 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้เก็บเรื่องของเหวินมั่นมั่นมาใส่ใจ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะถึงกับมาดักรออยู่ใกล้ๆ กับบริษัท เมื่อถังโจวโจวและจวิ้นเจี่ยออกมากินข้าวเที่ยง พวกเธอก็เจอคนขวางทางเข้าให้ 


 


 


“ถังโจวโจว ฉันอยากคุยกับคุณ” เหวินมั่นมั่นนั่งอยู่ในร้านกาแฟตลอดเช้า เพื่อรอให้ถังโจวโจวออกมา เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวเดินออกมาจากบริษัทพร้อมกับหญิงมีอายุคนหนึ่ง เหวินมั่นมั่นก็รีบคว้ากระเป๋าและวิ่งตามไป 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นเหวินมั่นมั่นก็ไม่คิดจะสนใจ เธอและจวิ้นเจี่ยก้าวเดินต่อไปข้างหน้า วันนี้พวกเธอจะไปกินข้าวคลุกหม้อหิน[1]กัน ซึ่งร้านนั้นอยู่ข้างหน้านี้เอง ห่างไปไม่ไกลมากนัก 


 


 


“ถังโจวโจว หยุดเดี๋ยวนี้! คุณกล้ามองข้ามฉันไปได้ยังไง” คราวนี้เหวินมั่นมั่นขวางหน้าเธอไว้และกางแขนกั้นเพื่อไม่ให้เธอเดินต่อไป 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกปวดหัว “คุณหนูเหวินคะ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ พี่จวิ้นเจี่ย ไปกันเถอะค่ะ” 


 


 


จวิ้นเจี่ยยืนมองและขำท่าทางการวางอำนาจของเหวินมั่นมั่นอยู่ข้างๆ “แม่หนูน้อย เธอเป็นฝ่ายมาหาโจวโจวแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้โมโหขนาดนี้ โจวโจวยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลย” 


 


 


หากเธอไม่รู้จักถังโจวโจวมาก่อน เธอก็คงคิดว่าถังโจวโจวไปทำอะไรไม่ดีกับเด็กคนนี้ไว้ ถึงได้ทำท่าโกรธมากขนาดนี้ แต่เหวินมั่นมั่นไม่สนใจคำพูดของจวิ้นเจี่ย “ไม่ใช่เรื่องของคุณ ฉันมาหาถังโจวโจว คุณมาแส่อะไรด้วย” 


 


 


เหวินมั่นมั่นมองไปที่ถังโจวโจวอย่างถือดี ราวกับว่าถ้าถังโจวโจวไม่ตอบตกลงว่าจะไปกับเธอ เธอก็จะยืนขวางอยู่ตรงนี้ 


 


 


จวิ้นเจี่ยไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินเช่นนั้น “แม่หนูน้อย เธอนี่ไม่มีมารยาทเลย เธอคิดว่าเธอมาหาโจวโจวแล้วโจวโจวจะต้องไปกับเธอเหรอ ตอนนี้เราจะไปกินข้าวเที่ยงกัน ถ้าเธออยากตามก็ตามมาแล้วกัน แต่ถ้าไม่ ก็เชิญกลับไปได้แล้ว” 


 


 


จวิ้นเจี่ยลากถังโจวโจวเดินผ่านตัวของเหวินมั่นมั่นไป เหวินมั่นมั่นย่ำเท้าด้วยความโกรธ แต่ใช่ว่าเธอจะยอม เธอเดินตามพวกเธอไปติดๆ 


 


 


ถังโจวโจวยังคงมุ่งหน้าเดินไปในทิศทางเดิม เธอกับจวิ้นเจี่ยไปที่ร้านข้าวคลุกหม้อหินแห่งหนึ่ง ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ ด้านหลังของเธอมีเหวินมั่นมั่นตามมาด้วย 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นตั้งแต่อาการแพ้ท้องของเธอทุเลาลง บางครั้งเมื่อเธออยากจะกินอะไรสักอย่าง ถ้าไม่สามารถกินได้เดี๋ยวนั้น เธอก็จะรู้สึกว้าวุ่นใจ ดังนั้นลั่วเซ่าเชินจึงเตรียมของว่างเอาไว้ให้มากมายในที่ทำงานของเธอ เพราะกลัวว่าถังโจวโจวจะหิว 


 


 


เมื่อวันก่อน ลั่วเซ่าเชินยังสั่งชายามบ่ายมาส่งให้ถังโจวโจวที่บริษัทอีก และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อเธอแค่เพียงคนเดียว เพื่อนร่วมงานของถังโจวโจวก็ได้กันคนละแก้ว จวิ้นเจี่ยเอ่ยด้วยความอิจฉา “โจวโจว สามีเธอดีกับเธอจัง ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป พี่ต้องอ้วนขึ้นแน่ๆ เลย” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้บอกกล่าวเรื่องที่เธอตั้งท้องกับคนในบริษัท ยิ่งไปกว่านั้น หน้าท้องของถังโจวโจวก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ หากไม่ใช่คนสนิทก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตอนนี้เธอตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว 


 


 


เมื่อจวิ้นเจี่ยเห็นว่าเหวินมั่นมั่นตามมาจริงๆ เธอก็เบ้ปากใส่ถังโจวโจวอย่างจำใจ ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาว่า “หน้าด้านจริงๆ เลย” แต่ถังโจวโจวได้ยินไม่ชัด และแน่นอนว่าเหวินมั่นมั่นก็ยิ่งไม่รู้ 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้ไล่เหวินมั่นมั่นไป เธอจะนั่งตรงไหนก็เรื่องของเธอ หลังจากที่ถังโจวโจวและจวิ้นเจี่ยสั่งอาหารแล้ว บริกรก็เห็นว่าเหวินมั่นมั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกัน จึงเข้าใจว่ามาด้วยกัน เขาถามเธอ เหวินมั่นมั่นจึงสั่งอาหารมาหนึ่งอย่าง 


 


 


หากไม่ใช่เพราะถังโจวโจว เธอจะไม่เข้ามาร้านแบบนี้เด็ดขาด ในมุมมองของถังโจวโจว การตกแต่งของร้านนี้นับว่าอยู่ในระดับกลาง แต่ในมุมมองของเหวินมั่นมั่น ที่นี่เทียบไม่ได้เลยกับที่ที่เธอเคยไป 


 


 


เหวินมั่นมั่นไม่อยากให้จวิ้นเจี่ยได้ยินเนื้อหาที่เธอกับถังโจวโจวจะคุยกัน ดังนั้นเธอจึงนั่งเงียบ ไม่พูดอะไร ถังโจวโจวก็ไม่ได้ชวนเธอคุย ถังโจวโจวและจวิ้นเจี่ยพูดคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หลังจากนั้นไม่นาน อาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ 


 


 


           ถังโจวโจวหิวมานานแล้ว หลังจากคลุกให้เข้ากัน เธอก็ตักขึ้นมาคำโต และเอาใส่ปากอย่างมีความสุข จวิ้นเจี่ยเองก็เพลิดเพลินกับการกิน มีแค่เหวินมั่นมั่นเท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ เธอมองไปที่หม้อใบเล็กที่อยู่ตรงหน้า เธอไม่เข้าใจว่าถังโจวโจวและจวิ้นเจี่ยกินมันเข้าไปได้อย่างไร 


 


 


           ในความเห็นของเธอ นี่มันใกล้เคียงกับอาหารหมูมาก เหวินมั่นมั่นไม่เคยทานอาหารที่ทำอย่างลวกๆ แบบนี้มาก่อน เธอกระเดือกไม่ลงหรอก! ถังโจวโจวเห็นว่าเธอไม่กินสักทีจึงเอ่ยถาม “คุณเหวินคะ ถ้าคุณไม่กิน แล้วคุณจะตามเรามาทำไม” 


 


 


           เดิมทีถังโจวโจวก็ไม่คิดจะสนใจเธอ แต่เมื่อมองดูเธอเขี่ยอาหารไปมาด้วยสีหน้ารังเกียจแล้ว ถังโจวโจวก็ไม่พอใจอย่างมาก ในฐานะที่เธอเป็นนักกิน ถังโจวโจวทนดูเหวินมั่นมั่นสิ้นเปลืองแบบนี้ไม่ได้ 


 


 


           เหวินมั่นมั่นไม่สนใจ เธอก้มหน้าเล่นโทรศัพท์และเพิกเฉยกับคำพูดของถังโจวโจว ถังโจวโจวก็ไม่ได้อยากที่จะเอ่ยมันซ้ำ ไม่ฟังก็ช่างเธอเถอะ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวกินจนหมด เธอก็แตะที่หน้าท้องที่ยื่นออกมา เธออิ่มแล้ว และจวิ้นเจี่ยก็อิ่มแล้วเหมือนกัน “โจวโจว พี่อิ่มแล้ว เรากลับกันเถอะ” 


 


 


เหวินมั่นมั่นเงยหน้าขึ้น “ถังโจวโจว ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณให้เธอกลับไปก่อน” 


 


 


ถังโจวโจวมองจวิ้นเจี่ยอย่างจนใจ “พี่จวิ้นเจี่ย พี่กลับไปก่อนแล้วกันค่ะ ฉันขอนั่งคุยกับเธอหน่อย” 


 


 


จวิ้นเจี่ยมองไปที่ถังโจวโจว แล้วก็เห็นความเด็ดเดี่ยวของเธอ “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ โจวโจว มีเรื่องอะไรก็โทรหาพี่ได้เลย” 


 


 


“ค่ะ พี่จวิ้นเจี่ย วางใจเถอะ” ถังโจวโจวยิ้มให้จวิ้นเจี่ย จวิ้นเจี่ยเดินหันหน้าหันหลัง จนกระทั่งออกไปจากร้าน แล้วเธอก็ไม่ได้มองกลับมาที่ถังโจวโจวอีก 


 


 


เหวินมั่นมั่นรู้สึกสบายใจขึ้นมาก เมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว “ถังโจวโจว เราเปลี่ยนที่คุยกันเถอะ” เหวินมั่นมั่นสูดดมกลิ่นหอมมานานแล้ว ท้องของเธอจึงเริ่มหิว แต่เธอไม่อยากจะกินมัน 


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากเปลี่ยนที่ แต่เมื่อเธอได้ยินเสียงโครกครากจากท้องของเหวินมั่นมั่น เธอก็หัวเราะเล็กน้อย “คุณหิวใช่ไหมคะ คุณจะไปที่ไหนล่ะ แต่ฉันขอไว้อย่างหนึ่ง อย่าไปไกลจากบริษัทฉันมากนัก เพราะอีกเดี๋ยวฉันต้องกลับไปทำงานแล้ว” 


 


 


จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเหวินมั่นมั่นน่าสนใจ เพราะเธอไม่อยากกินจึงยอมปล่อยให้ท้องหิว? ไม่เข้าใจความคิดของเธอเลยจริงๆ 


 


 


“วางใจได้ ไปร้านกาแฟที่ฉันนัดคุณไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้ค่ะ ไปกันเถอะ” เหวินมั่นมั่นเดินนำหน้า เธอสัมผัสหน้าท้องที่ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะปลอบตัวเองในใจว่า ‘อีกเดี๋ยวก็ได้กินอะไรแล้ว ทนหน่อยนะ’ 


 


 


เมื่อพวกเธอไปถึงร้านกาแฟ เหวินมั่นมั่นก็เรียกบริกร “กาแฟสอง ขนมหนึ่ง” 


 


 


“ไม่ต้องค่ะ ฉันขอแค่น้ำอุ่นก็พอ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวไม่แม้แต่จะดื่มกาแฟ เหวินมั่นมั่นก็จำคำที่เมิ่งชิงซีเคยพูดไว้ได้ ดูเหมือนว่าถังโจวโจวจะท้องจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ระมัดระวังขนาดนี้ 


 


 


“คุณอยากคุยอะไรกับฉัน” ถังโจวโจวรอจนเหวินมั่นมั่นกินของหวานไปครึ่งหนึ่งแล้ว เธอจึงอ้าปากถาม เมื่อมีอาหารตกถึงท้อง เหวินมั่นมั่นก็เข้าเรื่อง 


 


 


“คุณท้องเหรอ” คำพูดของเหวินมั่นมั่นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่น้ำเสียงก็เจือไปด้วยความมั่นใจ 


 


 


ถังโจวโจวไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่เธอก็ยอมรับอย่างไม่เสแสร้ง “ค่ะ ฉันท้อง ทำไมหรือคะ” 


 


 


 


 


 


[1] ข้าวคลุกหม้อหิน หมายถึง ข้าวยำเกาหลี 


107

เหวินมั่นมั่นยังไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการให้มันเป็นอย่างไร แต่เธอจะไม่ยอมทำอย่างที่เมิ่งชิงซีคิดไว้ หากจะทำอะไรถังโจวโจว อย่างน้อยการกระทำเหล่านั้น ต้องไม่อยู่ในที่สาธารณะแบบนี้ 


 


 


           ความจริงแล้ว เหวินมั่นมั่นอิจฉาถังโจวโจวมาก ผู้หญิงคนไหนก็ตามที่ได้ครอบครองผู้ชายอย่างลั่วเซ่าเชิน จะต้องถูกผู้หญิงอื่นอิจฉาอย่างแน่นอน เหวินมั่นมั่นมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับถังโจวโจวเพียงในงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนั้นและงานเลี้ยงหลังจากนั้นอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


           ในตอนนั้นถังโจวโจวไม่ได้พูดอะไรมาก ดังนั้น เหวินมั่นมั่นจึงรู้สึกว่าถังโจวโจวก็ดูสวยดี ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ผู้หญิงที่อยู่รอบๆ ตัวลั่วเซ่าเชิน ไม่มีใครดูดีเลยสักคน แต่ตอนนี้เหวินมั่นมั่นกลับรู้สึกว่าถังโจวโจวมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง 


 


 


           ถังโจวโจวเห็นว่าเหวินมั่นมั่นเอาแต่จ้องมองเธอ และไม่ส่งเสียงใดๆ เธอก็ไม่รีบร้อน ตอนนี้ยังพอมีเวลา เธอไม่รู้ว่าเหวินมั่นมั่นมาหาเธอทำไม ในเมื่อเหวินมั่นมั่นไม่พูด ในฐานะคนรออย่างเธอก็ไม่รีบร้อนเช่นกัน 


 


 


ราวกับว่าพวกเธอกำลังแข่งขันว่าใครใจร้อนกว่ากัน ในที่สุดก็เป็นเหวินมั่นมั่นที่ทนไม่ได้ “ทำไมคุณถึงไม่ถามว่าฉันมาหาคุณทำไม” 


 


 


เหวินมั่นมั่นไม่รู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไรกับถังโจวโจว แต่เธอไม่ชอบท่าทางไม่สะทกสะท้านของอีกฝ่ายเลย ทำไมถึงมีแค่เธอเองที่ทรมานใจ? 


 


 


ถังโจวโจวพ่นเสียงหัวเราะออกมา “คุณเหวินคะ คุณเป็นคนมาหาฉัน ถ้าคุณไม่บอก ฉันจะมีความสามารถไปเปิดปากคุณได้หรือคะ” ถังโจวโจวส่ายหัวและดื่มน้ำเปล่าที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


เหวินมั่นมั่นโกรธ แต่ถังโจวโจวพูดถูก เธอปฏิเสธไม่ได้ ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังขบขันอยู่นั้น เหวินมั่นมั่นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยความโมโห 


 


 


ถังโจวโจวตะโกนไล่หลังไป “อ้าว นั่นคุณจะไปแล้วหรือคะ คุณจะไม่บอกฉันจริงๆ เหรอ” ถังโจวโจวรู้สึกว่าเหวินมั่นมั่นเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งนั่นทำให้ใจของเธอพะวงอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เหวินมั่นมั่นไปแล้ว ถังโจวโจวเองก็กลับไปที่บริษัท แต่เธอก็ขบคิดมาตลอดว่า เหวินมั่นมั่นมีเรื่องที่จะคุยกับเธอ แต่เธอก็นั่งอยู่นานมากโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แปลกจริงๆ เด็กคนนี้ 


 


 


ใช่แล้ว ในสายตาของถังโจวโจว เหวินมั่นมั่นเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ว่าเหวินมั่นมั่นจะอายุสิบแปดปีเต็มแล้วก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไม ถังโจวโจวกลับรู้สึกว่าความคิดความอ่านของเธอนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย โชคดีที่ถังโจวโจวไม่ได้พูดแบบนี้ต่อหน้าเหวินมั่นมั่น ใครเล่าจะอยากให้คนอื่นบอกว่าตัวเองไร้เดียงสา! 


 


 


จนกระทั่งเดินมาถึงรถ เหวินมั่นมั่นถึงเริ่มเจ็บใจ เธออยากให้ถังโจวโจวยอมจำนนแท้ๆ ปรากฏว่ากลายเป็นเธอที่ต้องเป็นฝ่ายเดินหนีมาเสียเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหวินมั่นมั่นไม่เข้าใจและก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย เธอทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ข้างหลัง 


 


 


เหวินมั่นมั่นกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกหิว เธอคิดที่จะให้แม่บ้านทำอาหารให้เธอ แต่เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน เธอก็พบว่าพ่อของเธอ เหวินฉี่สยงนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ถัดจากเขาก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เขาคนนั้นนั่งหันหลังให้เหวินมั่นมั่น เธอมองเขาไม่ถนัด 


 


 


“พ่อคะ หนูกลับมาแล้วค่ะ คุณพ่อมีแขกหรือคะ”  


 


 


“มั่นมั่น มาตรงนี้ลูก พ่อจะแนะนำให้หนูรู้จัก” เหวินฉี่สยงโบกมือให้เหวินมั่นมั่น เมื่อเทียบกับลูกสาวคนโต เหวินฉี่สยงรักและเอ็นดูลูกสาวคนเล็กมากกว่า 


 


 


เหวินมั่นมั่นยิ้มและนั่งลงข้างๆ เหวินฉี่สยง เมื่อเธอนั่งลง เธอก็เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ตรงข้ามได้อย่างชัดเจน เหวินมั่นมั่นรู้สึกประหลาดใจ แขกของคุณพ่อวันนี้หน้าตาไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วเซ่าเชินเลย ถ้าเทียบกันแล้วกล่าวได้ว่าหน้าตาดีทั้งคู่ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมักจะดูเย็นชา ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดของเขา ก็จะไม่ได้เห็นมุมอื่นๆ อีกเลย แต่ผู้ชายคนนี้แตกต่างไป รอยยิ้มของเขาเหมือนกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น ซึ่งมันอุ่นไปจนถึงหัวใจของเหวินมั่นมั่น 


 


 


“นี่เจียงรุ่ยเฉิน ผู้จัดการใหญ่ของเจียงกรุ๊ป รุ่ยเฉิน นี่ลูกสาวคนเล็กของลุง มั่นมั่น” เหวินฉี่สยงแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน 


 


 


เหวินมั่นมั่นเกิดหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้ว่าเธอจะรู้สึกดีกับลั่วเซ่าเชิน แต่เพราะลั่วเซ่าเชินมักจะทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่เธอ เธอยังเด็ก และเธอก็ไม่ยอมที่จะยึดติดอยู่แบบนั้น ตอนนี้ได้มาเห็นเจียงรุ่ยเฉินซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วเซ่าเชินเลย เธอจึงเกิดความหวั่นไหวอยู่บ้าง 


 


 


แต่เจียงรุ่ยเฉินไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ เขายังคงยิ้มอบอุ่นตามปกติ หัวใจของเหวินมั่นมั่นตีกระเพื่อมเป็นระลอก “คุณหนูเหวินสวยขนาดนี้ ตอนนี้คงมีคนตามจีบไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ” 


 


 


“มีที่ไหนคะ …คุณพ่อบอกว่าฉันยังเด็กอยู่ ไม่ต้องรีบ” เหวินมั่นมั่นรู้สึกว่าเธอค่อนข้างกระโตกกระตาก เธอจึงรีบยกเหวินฉี่สยงขึ้นมาเป็นโล่กำบัง เพราะกลัวว่าเจียงรุ่ยเฉินจะมีภาพจำที่ไม่ดีต่อเธอ 


 


 


แน่นอนว่าเหวินฉี่สยงจะไม่ฉีกหน้าลูกสาวของเขา เหวินมั่นมั่นมีความทะเยอะทะยานสูง แม้ว่าใครหลายๆ คนต้องการจะจีบเธอ แต่เธอก็ไม่จริงจังด้วยสักคน “รุ่ยเฉิน มั่นมั่นน่ารักน่าเอ็นดู ลุงคงทำใจไม่ได้ถ้าจะมีคนมาแย่งเธอไปเร็วขนาดนี้” 


 


 


เจียงรุ่ยเฉินเองก็ไม่ได้จริงจังกับคำพูดของเหวินฉี่สยง “ใช่ครับ คุณลุงเหวิน ผู้หญิงดีๆ อย่างคุณหนูเหวิน ควรตามใจเธอให้มากๆ” เหวินมั่นมั่นก้มหน้าลงและทำทีเป็นเขินอาย เธอรู้สึกว่าคำพูดแต่ละคำของเจียงรุ่ยเฉินนั้นทะลุลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอแล้ว 


 


 


เหวินมั่นมั่นอยากจะมองเจียงรุ่ยเฉินให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่เธอก็ยังหิวอยู่ เธอกลัวว่าเธอจะทำเรื่องน่าอายออกมาต่อหน้าเจียงรุ่ยเฉิน เธอจึงยิ้มขอโทษเขา “คุณพ่อคะ ผู้จัดการเจียง ฉันขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะ” 


 


 


“คุณหนูเหวิน เรียกผมว่ารุ่ยเฉินก็ได้ครับ เรียกว่าผู้จัดการเจียง มันดูห่างเหินมากเกินไปหน่อย” เจียงรุ่ยเฉินประสานตากับเหวินมั่นมั่น เหวินมั่นมั่นก็เหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเขา 


 


 


ใบหน้าของเธอแดงก่ำและพูดติดๆ ขัดๆ “ถ้าอย่างนั้น ผะ… รุ่ยเฉิน เรียกฉันว่ามั่นมั่นก็ได้ค่ะ” เมื่อได้ยินเจียงรุ่ยเฉินตอบรับว่า ‘ครับ’ เหวินมั่นมั่นก็ขึ้นไปชั้นบนอย่างมีความสุข 


 


 


เมื่อเหวินฉี่สยงเห็นว่าเหวินมั่นมั่นสนใจเจียงรุ่ยเฉิน ในใจเขาก็สนับสนุนเต็มที่ วันนี้เจียงรุ่ยเฉินมาเยี่ยมเขาในนามของพ่อเขา เจียงจิ้งเทา เหวินฉี่สยงรู้สึกชอบเด็กหนุ่มคนตรงหน้านี้มาก หากเขาสนใจเหวินมั่นมั่นก็คงจะดีมากเช่นกัน 


 


 


เจียงรุ่ยเฉินนั่งคุยกับเหวินฉี่สยงอีกสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นบอกลา เหวินมั่นมั่นไม่ได้ลงมาที่ชั้นล่าง เหวินฉี่สยงเองก็ไม่อยากให้เจียงรุ่ยเฉินมองลูกสาวของเขาไม่ดี ดังนั้นจึงปล่อยให้เขากลับไป 


 


 


เมื่อเหวินมั่นมั่นลงมา เธอก็พบว่าเจียงรุ่ยเฉินได้หายตัวออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว “คุณพ่อคะ รุ่ยเฉินล่ะ?” เหวินมั่นมั่นยอมรับชื่อนี้ได้อย่างรวดเร็ว เหวินฉี่สยงมองดูเธอด้วยรอยยิ้ม 


 


 


เมื่อเหวินมั่นมั่นถูกจ้องมองอยู่อย่างนั้น เธอก็ค่อยๆ หลุบตาลงต่ำ “พ่อคะ พ่อมองอะไรเหรอ บนหน้าหนูมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าคะ” เหวินมั่นมั่นรู้ดีว่าเหวินฉี่สยงกำลังหัวเราะเธอ เธอจึงทำได้แค่ก้มศีรษะลงและแสร้งทำตัวน่าสงสาร 


 


 


เหวินฉี่สยงไม่พูดอะไรมาก เขานั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาและถือนิตยสารเอาไว้หนึ่งเล่ม “เขากลับไปแล้ว ทำไมเหรอมั่นมั่น ลูกมีธุระอะไรจะคุยกับเขา?” 


 


 


“พ่อคะ หนูจะไปมีธุระอะไรกับเขาล่ะคะ เดี๋ยวหนูไปเรียกอวิ๋นเจี่ยมาทำอาหารก่อนนะคะ” เหวินมั่นมั่นเห็นเหวินฉี่สยงนั่งเหยียดลำตัวตรงอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้เธอขอร้อง แต่เหวินมั่นมั่นแน่กว่าพ่อของเธอ ‘หนูไม่ถามหรอก’ 


 


 


“อะไรกัน เมื่อกลางวันไม่ได้กินอะไรเลยเหรอ ทำไมถึงหิวเอาตอนนี้ล่ะ” เหวินฉี่สยงมองเวลา แล้วก็พบว่ามันเพิ่งจะบ่ายสองโมง 


 


 


เมื่อกลางวันเหวินมั่นมั่นกินไปแค่เค้กชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียว เธอไม่อยากพูดถึงถังโจวโจว เธอจึงพูดอย่างคลุมเครือว่า “ค่ะ ทานไปนิดเดียวเอง ตอนนั้นไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ” อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเมื่อครู่นี้เจียงรุ่ยเฉินยังอยู่ เธอไม่อยากให้เขาจดจำภาพเธอที่ไม่ดี ดังนั้น เธอจึงไม่ไปที่ห้องครัว 


 


 


เหวินฉี่สยงเห็นเหวินมั่นมั่นบ่นหิว เขาก็รีบตะโกนไปทางห้องครัว “อวิ๋นเจี่ย… อวิ๋นเจี่ย!” 


 


 


อวิ๋นเจี่ยตอบรับพลางเดินออกมา “คะ คุณผู้ชาย?” เธอเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน เมื่อครู่นี้เธอกำลังทำความสะอาดห้องครัวอยู่ มือของเธอเปียกโชก 


 


 


“มั่นมั่นยังไม่ได้กินอะไรเลย ไปต้มบะหมี่มาให้เธอหน่อย” ตอนนี้มันก็เลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว ตระกูลเหวินเองก็ไม่เคยเก็บอาหารไว้ด้วย 


 


 


“ค่ะ ฉันจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” เมื่ออวิ๋นเจี่ยได้ยินว่าเหวินมั่นมั่นยังไม่ได้กินข้าว เธอก็รีบไปที่ห้องครัว ตอนนี้ปาไปตั้งกี่โมงแล้ว คุณหนูของเธอจะต้องหิวมากแน่ๆ 


 


 


เหวินมั่นมั่นนั่งลงข้างเหวินฉี่สยง และเห็นว่าเขายังคงอ่านนิตยสารการเงินในมือของเขาอยู่ เธออยากรู้เรื่องของเจียงรุ่ยเฉิน ในที่สุดเธอก็ต้านทานความลุ่มหลงไม่ได้ “พ่อคะ ทำไมวันนี้ผู้จัดการเจียงมาที่บ้านเราล่ะคะ แล้วทำไมหนูไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย” 


 


 


“อ๋อ รุ่ยเฉินเพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศน่ะ วันนี้เขามาเยี่ยมพ่อตามคำขอของพ่อเขา มั่นมั่น…สนใจเขาเหรอลูก?” 


 


 


เหวินมั่นมั่นเห็นว่าเหวินฉี่สยงรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขากลับทำเป็นไม่รู้ เธอโถมตัวใส่อ้อมแขนของเหวินฉี่สยงและออดอ้อน “ทำไมคุณพ่อถึงร้ายแบบนี้ล่ะคะ รู้อยู่แล้วว่าหนูจะถามอะไร แต่ก็ไม่ยอมบอกหนู” 


 


 


“มั่นมั่น พ่อนั่งอยู่ตรงนี้มานานแล้ว ลูกไม่สนใจพ่อเลย เอาแต่ถามถึงเรื่องของรุ่ยเฉิน พ่อไม่สบายใจนะเนี่ย” เหวินฉี่สยงแสร้งยกมือขึ้นกุมหน้าอกอย่างเจ็บปวดใจ แต่ใบหน้าของเขากลับดูแดงก่ำและเป็นประกาย 


 


 


เหวินมั่นมั่นกอดแขนเหวินฉี่สยง ก่อนจะออดอ้อนเอาอกเอาใจ “ทำไมวันนี้พ่อไม่เข้าบริษัทล่ะคะ แล้วทานข้าวเที่ยงเป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม” 


 


 


เหวินฉี่สยงแค่หยอกเหวินมั่นมั่นเล่นก็เท่านั้น “เอาละ พ่อรู้แล้วว่าลูกมีน้ำใจ ทีนี้บอกพ่อมาตามตรง ลูกชอบรุ่ยเฉินใช่ไหม แต่ลูกบอกว่าลูกชอบลั่วเซ่าเชินไม่ใช่เหรอ” 


 


 


เหวินฉี่สยงเองก็ชอบเจียงรุ่ยเฉิน เขาอยากให้เหวินมั่นมั่นได้เห็นว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ลั่วเซ่าเชินเท่านั้นที่เพียบพร้อม ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว ซึ่งนั้นเป็นจุดด้อยของเขาเมื่อเทียบกับเจียงรุ่ยเฉิน 


 


 


“พ่อคะ ลั่วเซ่าเชินเขาก็มีถังโจวโจวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมหนูต้องเข้าไปแทรกด้วย คุณพ่อขา คุณพ่อเล่าเรื่องของรุ่ยเฉินให้หนูฟังดีกว่า หนูอยากรู้จักเขาให้ดีกว่านี้” เหวินมั่นมั่นแสดงความตั้งใจอย่างกล้าหาญ เธอเองก็ดูออกว่าเหวินฉี่สยงไม่คิดจะห้ามเธอ 


 


 


เหวินฉี่สยงเล่าทุกอย่างที่เขารู้ให้เหวินมั่นมั่นฟัง เหวินมั่นมั่นยิ่งชอบเจียงรุ่ยเฉินมากขึ้นไปอีก 


 


 


เมิ่งชิงซีส่งคนไปตามเหวินมั่นมั่น แต่ปรากฏว่าเหวินมั่นมั่นไม่ได้ไปหาเรื่องถังโจวโจว พวกเธอเพียงนั่งด้วยกันอยู่ในร้านกาแฟ และเหมือนจะพูดกันแค่ไม่กี่ประโยค จากนั้นเหวินมั่นมั่นก็จากไป 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่รู้ว่าเหวินมั่นมั่นกำลังทำบ้าอะไรอยู่ เธอชอบเซ่าเชินไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพอรู้ว่าถังโจวโจวท้อง ถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย? 


 


 


เมิ่งชิงซีรู้สึกว้าวุ่นใจไปชั่วขณะ ทำไมเหวินมั่นมั่นถึงไม่ทำตามแผนของเธอ เมิ่งชิงซีตัดสินใจแล้วว่าในเมื่อไม่มีใครช่วย เธอก็จะลงมือเอง ถังโจวโจวจะต้องไม่ได้คลอดเด็กคนนี้ เธอต้องวางแผนให้ดี 


 


 


 ถังโจวโจวไม่ได้รู้เลยว่าภัยร้ายกำลังใกล้เข้ามา ช่วงนี้เธอกินอิ่มนอนหลับ หากเธอไม่ต้องลุกขึ้นมาอาเจียนทุกเช้า เธอก็คงจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างการที่เธอตั้งท้องและไม่ได้ตั้งท้อง 


 


 


หลังเลิกงาน ลั่วเซ่าเชินก็มารับเธอกลับบ้าน ถังโจวโจวยังไม่ทันจะก้าวขึ้นรถ ลั่วอิงที่นั่งอยู่เบาะหลังก็ตะโกนเรียกอย่างอบอุ่นว่า “แม่โจวโจวขา รีบขึ้นมาเร็วค่ะ วันนี้เราต้องไปทานข้าวกันที่บ้านคุณปู่คุณย่านะคะ” 


 


 


ถังโจวโจวเปิดประตูรถและก้าวขึ้นไปนั่ง “โอเคค่ะ ไปกันเถอะ” 


108

 ลั่วเซ่าเชินเอี้ยวตัวข้ามมา ถังโจวโจวเบี่ยงหลบถอยหลัง เธอคิดว่าลั่วเซ่าเชินต้องการจะจูบเธอ เธอกลัวว่าลั่วอิงจะเห็นเข้า ซึ่งมันไม่เหมาะเท่าไร ดังนั้นเธอจึงหลบแล้วหลบอีก แต่ที่ไหนได้ เธอคิดมากเกินไป ลั่วเซ่าเชินแค่จะคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอก็เท่านั้น 


 


 


           ถังโจวโจวรู้สึกว่าเธอโดนลั่วเซ่าเชินแกล้ง เขาจะรู้บ้างไหมว่าเธอชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ถังโจวโจวกุมหน้า เธออายจริงๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา 


 


 


           ลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวไม่ยอมพูดกับเธอเลย เธอจึงตะโกนเสียงดังลั่นว่า “แม่โจวโจวขา ทำไมคุณแม่ถึงไม่คุยกับหนูล่ะคะ” ใบหน้าดวงเล็กของเธอดูน้อยใจมาก ถังโจวโจวไม่มีเวลามานึกถึงเรื่องของตัวเองอีก 


 


 


เธอรีบหันหลังกลับไปมองลั่วอิงและพูดว่า “แม่โจวโจวลืมค่ะ วันนี้ลั่วอิงไปโรงเรียนมา สนุกไหมคะ” 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวถามถึงโรงเรียน เธอก็พูดอย่างตื่นเต้น “วันนี้คุณครูให้ทำงานหนึ่งอย่างค่ะ แม่โจวโจว คุณครูให้หนูวาดรูปครอบครัว รูปของหนูได้ที่หนึ่งของห้องเลยนะคะ!” ท่าทางของลั่วอิงนั้นดูภูมิใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ถังโจวโจวพูดด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นแม่โจวโจวคงต้องคิดหน่อยแล้ว ลั่วอิงได้ตั้งที่หนึ่ง แม่จะให้รางวัลอะไรดีนะ” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าลั่วอิงสนใจของรางวัลที่ถังโจวโจวพูดถึง “แม่โจวโจวจะให้อะไรหนูเหรอคะ” 


 


 


“ลั่วอิง หนูจะขอรางวัลได้ยังไงลูก มันไม่ถูกนะ!” จู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็พูดเสียงเข้ม ซึ่งนั่นทำให้ลั่วอิงและถังโจวโจวตกใจ 


 


 


ลั่วอิงเบะปาก แต่เธอไม่กล้าต่อต้านลั่วเซ่าเชิน แม้ใบหน้าของเธอจะดูไม่ค่อยพอใจ ถังโจวโจวเห็นว่าอยู่ๆ บรรยากาศในรถก็เย็นยะเยือก เธอจึงเอ่ยปลอบลั่วอิง “แม่โจวโจวอยากให้หนูเองค่ะ ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อ หนูไม่ต้องไปฟังนะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวจงใจเมินเขา เขาจึงทำหน้าขรึมเอ่ยเสียงเข้ม “ถังโจวโจว นั่งดีๆ คุณไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย?” ถังโจวโจวสำรวจดูตัวเองแล้วก็ไม่พบความผิดปกติอะไร เขาต้องอิจฉาความสัมพันธ์ของเธอกับลั่วอิงแน่ๆ เลย 


 


 


“เซ่าเชิน วันนี้คุณไปกินไฟมาใช่ไหมคะ?” ชั่วขณะหนึ่ง ลั่วเซ่าเชินไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเธอดี ปกติแล้วเธอมักจะบอกว่าอย่าให้ท้ายลั่วอิง ให้ลูกได้เรียนรู้ความจริงบ้าง ปรากฏว่าพอเขาดุ ถังโจวโจวกลับช่วยเธอเสียเอง แบบนี้จะไม่ให้เขาพูดไม่ออกได้อย่างไรกัน 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว เธอก็เริ่มนิ่งคิด ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเคยพูดอย่างนั้นกับลั่วเซ่าเชินมาก่อน เธอรู้สึกผิดขึ้นมาทันที แต่เธอก็ไม่สามารถขอโทษลั่วเซ่าเชินต่อหน้าลั่วอิงได้ ดังนั้นเธอจึงต้องทำตัวราวกับว่ามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


เดี๋ยวรอให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังก่อน แล้วเธอค่อยพูดขอโทษเขา มันคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่ได้ผล เธอก็ยังมีลูกที่อยู่ในท้องคอยคุ้มครองเธออยู่ ลั่วเซ่าเชินไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก! 


 


 


เมื่อมาถึงคฤหาสน์ตระกูลลั่ว คุณแม่ลั่วก็ยืนรออยู่ที่ลานหน้าบ้านแล้ว ลั่วอิงลงจากรถและวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของคุณแม่ลั่ว “คุณย่าขา หนูมาแล้ว” 


 


 


“โอ๊ย ตายแล้ว ลั่วอิงของย่ายิ่งโตยิ่งน่ารัก” คุณแม่ลั่วกอดลั่วอิงเอาไว้ในอ้อมแขนราวกับว่ากำลังกกไข่ทองคำ จากนั้นเธอก็มองไปที่ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินที่เดินจับมือกันมา ทันใดนั้นคุณแม่ลั่วก็รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันดีเหมือนกัน 


 


 


“สบายดีไหมลูก ช่วงนี้เด็กในท้องเป็นยังไงบ้าง” ทันทีที่คุณแม่ลั่วเปิดปาก เธอก็ถามถึงเด็กในท้องของถังโจวโจว ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกอะไรที่คุณแม่ลั่วมองเธอเปลี่ยนไป เพราะเธอเข้าใจว่าเป็นเพราะเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ 


 


 


แต่กับลั่วเซ่าเชิน ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่ค่อยสบอารมณ์ เมื่อได้ยินคุณแม่ลั่วพูดอย่างนั้น “แม่ครับ เข้าไปข้างในก่อนเถอะ” 


 


 


ถังโจวโจวพูดด้วยความห่วงใย “แม่คะ อากาศด้านนอกหนาวขนาดนี้ ครั้งหน้าคุณแม่ไม่ต้องออกมายืนรอพวกเราแล้วนะคะ เกิดคุณแม่ป่วยขึ้นมา พวกเราจะทำยังไงล่ะคะ” 


 


 


เป็นเพราะตอนนี้ถังโจวโจวอุ้มท้องหลานของเธออยู่ คุณแม่ลั่วจึงมองถังโจวโจวได้อย่างไม่ขัดหูขัดตา “จ้ะ แม่จะฟังหนู เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะนะ” 


 


 


ถังโจวโจวควงแขนคุณแม่ลั่ว คุณแม่ลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธ คุณแม่ลั่วจับลั่วอิงด้วยมือข้างที่เหลือและทิ้งลั่วเซ่าเชินเอาไว้ข้างหลัง 


 


 


ถังโจวโจวรายงานอาการของลูกในท้องให้คุณแม่ลั่วฟัง คุณแม่ลั่วก็ตั้งใจฟังอย่างมาก เธอกำชับให้ถังโจวโจวกินให้เยอะๆ ไม่เช่นนั้นเด็กในท้องจะไม่ได้รับสารอาหาร ถังโจวโจวพยักหน้าหงึกหงัก ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของแม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้จะกลมเกลียวกันมาก 


 


 


หลังจากกินข้าวที่คฤหาสน์ตระกูลลั่วและนั่งคุยกันอีกสักพัก ลั่วเซ่าเชินก็พาถังโจวโจวและลั่วอิงกลับบ้าน ลั่วอิงผล็อยหลับไปหลังจากที่เพิ่งจะขึ้นรถมาได้ไม่นาน ถังโจวโจวแอบชำเลืองมองลั่วเซ่าเชิน เธอเห็นว่าเขากำลังขับรถและไม่ชายตามองมาที่ด้านข้างเลย 


 


 


“เซ่าเชิน ฉันขอโทษ” ถังโจวโจวพูดอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


“คุณทำผิดตรงไหนเหรอ” ลั่วเซ่าเชินนึกถึงเรื่องนั้น เขาแค่อยากให้ถังโจวโจวพูดมันออกมาเอง ถ้าไม่ให้บทเรียนเธอสักหน่อย เธอก็มักจะขัดคอเขาเสมอ 


 


 


ถังโจวโจวพูดเสียงเบา “ฉันไม่ควรฉีกหน้าคุณ ครั้งหน้าฉันจะไม่พูดอย่างนั้นอีกค่ะ” ถังโจวโจวเหยียดนิ้วขึ้นสามนิ้วและสาบาน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้พูดอะไร แต่ถังโจวโจวก็ยังพยายามต่อ 


 


 


“เซ่าเชิน ฉันพูดจริงๆ นะคะ ครั้งหน้าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ฉันจะ…จะ…” 


 


 


“ ‘จะ’ อะไร” 


 


 


ถังโจวโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันสัญญากับคุณค่ะว่าฉันจะทำทุกอย่างตามที่คุณพูด แบบนี้โอเคไหมคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แบบนี้ก็โอเค ผมจะจดจำสิ่งที่คุณพูดในวันนี้เอาไว้ให้ดี” เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินยิ้มปลิ้นปล้อน เธอก็รู้สึกว่าเธอโดนหลอกทันที 


 


 


“เซ่าเชิน คุณคงจะไม่ขออะไรที่มันไร้สาระ แล้วก็ขอในสิ่งที่ฉันพอจะทำให้ได้ใช่ไหมคะ” ถังโจวโจวโยนหินถามทาง เธอกลัวว่าจะขุดหลุมด้วยตัวเอง แต่กลับต้องกระโดดลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ 


 


 


“วางใจได้ ผมจะเป็นคนแบบนั้นไปได้ยังไง” ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างสบายๆ แต่ถังโจวโจวกลับรู้สึกว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก จู่ๆ เธอก็รู้สึกเสียใจ 


 


 


“เซ่าเชิน ฉันขอถอนคำที่ฉันเพิ่งพูดไปได้ไหมคะ” 


 


 


“ทำแบบนั้นได้ยังไง สิ่งที่พูดออกมาก็เหมือนน้ำที่รั่วออกมา จะถอนคำพูดคืนง่ายๆ ได้หรือ” ลั่วเซ่าเชินเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของถังโจวโจว ในใจของเขาก็เบิกบานมีความสุข แต่เขาก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้เธอกังวลใจอยู่คนเดียว 


 


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน ลั่วเซ่าเชินก็ก้มตัวลงไปอุ้มลั่วอิงออกมา เธอนอนหลับสนิท แม้จะถูกลั่วเซ่าเชินออกแรงอุ้มอย่างนี้เธอก็ยังไม่ตื่น ป้าหลิวยังไม่เข้านอน เมื่อเธอเห็นว่าพวกเขากลับมาแล้ว เธอก็รีบเปิดไฟอย่างรวดเร็ว 


 


 


“กลับมาแล้วหรือคะคุณชาย คุณผู้หญิง” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอุ้มลั่วอิงเดินขึ้นไปชั้นบน ถังโจวโจวเห็นว่ามันดึกมากแล้ว เธอจึงพูดกับป้าหลิวด้วยรอยยิ้ม “ป้าหลิวไปพักเถอะค่ะ” 


 


 


ป้าหลิวพยักหน้า “ค่ะ คุณผู้หญิงก็รีบพักผ่อนนะคะ” 


 


 


“ค่ะ” ถังโจวโจวตามลั่วเซ่าเชินขึ้นไปชั้นบน เธอช่วยลั่วอิงเปลี่ยนเสื้อผ้าและห่มผ้าห่มให้เธอ จากนั้นเธอจึงออกมาจากห้องของลั่วอิง เมื่อเธอเห็นว่าไฟในห้องหนังสือยังสว่างอยู่ ถังโจวโจวก็ขยับเข้าไปใกล้แสงสว่างนั้นอย่างช้าๆ 


 


 


“เซ่าเชิน คุณยังไม่นอนหรือคะ” เมื่อเธอเห็นลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังเคาะบนแป้นพิมพ์ ถังโจวโจวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเงยหน้ามองเธอที่ยืนอยู่ตรงประตู “คุณกลับไปที่ห้องก่อน เดี๋ยวผมตามไป” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้ถามอะไรอีกและออกไปจากห้องหนังสือ ลั่วเซ่าเชินหยิบหนังสือที่เขาซ่อนไว้ที่ขาขึ้นมาบนโต๊ะ บนนั้นมีตัวหนังสือขนาดใหญ่ว่า “คู่มือสำหรับคุณพ่อมือใหม่” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอ่านเพิ่มอีกสองสามหน้าและคัดข้อความบางส่วน เมื่อมองดูเวลา เขาก็จัดหนังสือให้เข้าที่ ก่อนจะกลับไปที่ห้อง 


 


 


ถังโจวโจวเปิดไฟหัวเตียงดวงเล็กและกำลังถือนวนิยายอ่าน ตอนนี้เธอค่อนข้างคึกและนอนไม่หลับ เธออยากจะอ่านหนังสือเพื่อสะกดจิตให้เธอหลับได้ลง 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา เขาก็ฉวยหนังสือออกจากมือเธอ “อ่านหนังสือดึกขนาดนี้ มันไม่ดีต่อสายตานะ เข้านอนเถอะ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าคุณจะลุกไม่ไหวอีก” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินแย่งหนังสือเธอไปแล้ว เธอก็อยากจะแย่งมันกลับมา เธออ่านหนังสือเล่มนั้นเหลืออยู่แค่ไม่กี่หน้าเอง อีกนิดเดียวเธอก็อ่านจบแล้ว “เซ่าเชิน ฉันขออ่านอีกหน่อยนะคะ แล้วจะรีบเข้านอน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินอ่านชื่อหนังสือและพบว่ามันเป็นแค่นวนิยายรัก แบบนี้เขายิ่งไม่ยอม “ทำไมคุณถึงยังอ่านหนังสือพวกนี้อยู่อีก” 


 


 


ในมุมมองของลั่วเซ่าเชิน การอ่านหนังสือพวกนี้เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาโดยแท้ ถ้ามันเป็นภัยต่อลูกที่อยู่ในท้องล่ะจะทำอย่างไร 


 


 


“อ่านหนังสือพวกนี้แล้วทำไมคะ ฉันไม่ได้ทำเรื่องอะไรไม่ดีนี่” ถังโจวโจวเริ่มไม่สบอารมณ์ แม้แต่อิสระในการอ่านหนังสือ เธอก็ไม่มีเหรอ? 


 


 


เมื่อเห็นลั่วเซ่าเชินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เธอก็รีบฉวยหนังสือนิยายคืนมาจากเขาและพลิกไปหน้าที่เธออ่านค้างไว้ ก่อนจะเริ่มอ่านมันต่อไป 


 


 


“หนังสือพวกนี้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด คุณอย่าทำร้ายลูกที่อยู่ในท้องเลย” คำพูดนั้นกระตุ้นต่อมความไม่พอใจของถังโจวโจวในทันที 


 


 


“ลั่วเซ่าเชิน คุณพูดมันอีกทีสิคะ มันก็แค่หนังสือไม่ใช่เหรอ คุณพูดไปถึงเรื่องลูกได้ยังไง ตอนนี้เขาอายุเท่าไรเอง จะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินวิตกกังวลมากเกินไป 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเขาทำดีแต่ไม่ได้ดี และในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถต้านทานถังโจวโจวได้ เขาจึงได้แต่ปล่อยมันไปและเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้ห่วงเลยว่าเขาจะโกรธ เมื่อเธออ่านหน้าที่เหลือจบ เธอก็เอนตัวลงและเข้านอนไป 


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวล้มตัวลง ลั่วเซ่าเชินก็ออกมาและไม่ได้พูดอะไรกับเธออีก จากนั้นเขาก็ล้มตัวลงนอนลงบนเตียง ลั่วเซ่าเชินตาเบิกโพลงนอนไม่หลับ เขาคิดว่าถังโจวโจวเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายมาก นี่เขาจะทำดีเพื่อเธอไม่ได้เลยใช่ไหม? 


 


 


เขาอยากจะดูว่าเธอจะรู้สึกเสียใจกับมันบ้างไหม เขาค่อยๆ หันหน้ากลับไปมอง แล้วเขาก็พบว่าถังโจวโจวหลับไปนานแล้ว ลั่วเซ่าเชินได้แต่นอนมองถังโจวโจวที่หลับสนิทด้วยความอัดอั้นตันใจ 


 


 


ถังโจวโจวหลับสนิทตลอดคืน แต่ลั่วเซ่าเชินกลับนอนไม่หลับ จนกระทั่งตีหนึ่งตีสอง เขาจึงค่อยๆ หลับไปอย่างช้าๆ เช้าวันรุ่งขึ้น ถังโจวโจวตื่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เธอรู้สึกผ่อนคลาย เธอบิดขี้เกียจเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของเธอปลุกลั่วเซ่าเชินให้ตื่น แต่เป็นเพราะเขานอนไม่พอ เขาจึงรู้สึกปวดหัว เขาลุกขึ้นมานั่งกุมหน้าผาก 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยดี เธอจึงถามด้วยความห่วงใย “เซ่าเชิน คุณนอนไม่เต็มอิ่มใช่ไหม เอนต่ออีกสักหน่อยไหมคะ” เขาเป็นถึงเจ้าของบริษัท ไปสายหน่อยก็คงไม่มีใครกล้าว่าอะไรหรอก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอดูไม่เป็นอะไร เขารู้สึกเสียแรงที่เขาอารมณ์บูดบึ้งมาทั้งคืน ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะสนใจเธอ เขาเอนตัวลงและปิดเปลือกตา เพื่อเตรียมตัวนอนต่ออีกสักพัก 


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าลั่วเซ่าเชินคงนอนไม่ค่อยหลับ อารมณ์ของเขาก็น่าจะไม่ดีขึ้นเช่นกัน มันก็เหมือนกับการที่เธอถูกรบกวนเวลานอน เธอเองก็ไม่มีความสุข เธอโยนเรื่องขัดแย้งของเธอกับลั่วเซ่าเชินที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทิ้งไปแล้ว แม้ว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกโกรธอยู่บ้างก็ตามที แต่เธอก็รู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินหาเรื่องใส่ตัวเอง 


 


 


แต่หลังจากผ่านไปคืนหนึ่ง ความรู้สึกโกรธก็ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เธอรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลั่วเซ่าเชิน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็เตรียมจะเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปที่บริษัท แต่ในขณะที่เธอกินข้าวเช้าอยู่ ลั่วเซ่าเชินก็แต่งตัวเรียบร้อยและเดินลงมาแล้ว 


 


 


เมื่อเขาจัดการมื้อเช้าของเขาเสร็จ จากนั้นเขาก็ไปส่งถังโจวโจวที่บริษัท แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอตลอดทาง ถังโจวโจวลงจากรถและบอกลาเขา “เดี๋ยวฉันเข้าไปก่อนนะคะ เซ่าเชิน คุณขับรถดีๆ ล่ะ”


ตอนที่ 109 ชวนหลินเหยามาที่บ้าน

 


 


 


 


ดูเหมือนว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ยิน เมื่อเขาเห็นถังโจวโจวลงจากรถแล้ว เขาก็ขับรถออกไปเลย ถังโจวโจวสังเกตเห็นความผิดปกติได้ในที่สุด นี่เขากำลังอารมณ์เสียใช่ไหม? 


 


 


ถังโจวโจวสับสน แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาสำรวจว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับลั่วเซ่าเชิน เดี๋ยวค่อยกลับไปถามที่บ้านก็แล้วกัน 


 


 


           ตกเย็น หวังหวาก็มารับถังโจวโจวกลับบ้าน หวังหวาเปิดประตูให้ถังโจวโจว ถังโจวโจวพบว่าที่เบาะด้านหลัง ไม่มีแม้แต่เงาของลั่วเซ่าเชิน เธอเอ่ยถามว่า “เซ่าเชินล่ะคะ” โดยปกติแล้วเขาจะมารับเธอ แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่มา? 


 


 


หวังหวาตอบกลับด้วยความเคารพ “ท่านผอ. ไปรับคุณหนูลั่วอิงครับ เชิญคุณผู้หญิงครับ” เช้าวันนี้ เมื่อลั่วเซ่าเชินมาถึงบริษัท หวังหวาก็พบว่าเจ้านายของเขาไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร 


 


 


เขากับลูซี่มองหน้ากัน สงสัยว่าวันนี้คงจะต้องสงบปากสงบคำกันสักหน่อย เพราะว่าเจ้านายของพวกเขาอาจจะโมโหขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกผู้จัดการที่เดินเข้าไปในออฟฟิศของลั่วเซ่าเชินในวันนี้ เดินหน้าซีดออกมากันทุกคน 


 


 


แล้วก็ไม่ต้องบอก พวกเขาถูกเอ็ดจนเงยหน้าไม่ไหว หวังหวารู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นผลพวงจากภรรยาของท่านผอ. เขาอยู่กับลั่วเซ่าเชินตลอด วันไหนที่ลั่วเซ่าเชินอารมณ์ไม่ดี วันนั้นเขาจะต้องมีปัญหากับถังโจวโจว หรือไม่ถังโจวโจวก็เป็นคนทำให้เขาอารมณ์เสีย 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินเป็นคนที่เก็บงำความในใจ เขาจะไม่พูดมันออกมาตรงๆ และปล่อยให้ถังโจวโจวคาดเดาเอาเอง แต่มีหรือที่ถังโจวโจวจะคิดมาก คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานถึงได้ต้องกลายเป็นคนอย่างพวกเขานี่อย่างไรเล่า 


 


 


เมื่อหวังหวาเห็นถังโจวโจวนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกรถอย่างนุ่มนวล “คุณผู้หญิงครับ ดูเหมือนว่าวันนี้ท่านผอ. จะอารมณ์ไม่ค่อยดี คุณผู้หญิงระมัดระวังหน่อยนะครับ” หวังหวาเอ่ยเตือนถังโจวโจวไว้ก่อน เนื่องด้วยหวังหวามีภาพความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับโจวโจว 


 


 


ก่อนหน้านี้ ถังโจวโจวเคยมาอยู่ที่ลั่วกรุ๊ปช่วงหนึ่ง ถังโจวโจวไม่เคยถือตัวอวดดี ลูซี่ให้เธอทำอะไร เธอก็ไม่ปฏิเสธเพราะลั่วเซ่าเชินเป็นผู้อำนวยการ ในทางกลับกัน ถ้าเป็นเรื่องที่เธอต้องทำ ขอแค่เธอมีความสามารถ เธอก็จะทำมันได้ดี 


 


 


“ตกลงนี่เขาอารมณ์ไม่ดีเพราะฉันหรือเปล่า” ถังโจวโจวบ่นพึมพำ แต่บนรถนั้นเงียบมาก หวังหวาจึงได้ยินเต็มสองรูหู เขาจนปัญญาจริงๆ นี่คุณผู้หญิงเองก็ไม่รู้เหรอ? แล้วอย่างนี้คนอย่างพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไร 


 


 


ถังโจวโจวเองก็ตระหนักได้ว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไร เธอจึงยิ้มแห้งๆ หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้สนทนากับหวังหวาอีก จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน “ขอบคุณค่ะ” หลังจากขอบคุณหวังหวาแล้ว ถังโจวโจวก็ไม่ได้ขอให้เขาช่วยเปิดประตูให้เธออีก เธอเปิดประตูแล้วลงจากรถด้วยตัวเอง 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวเข้าไปในบ้านแล้ว หวังหวาก็ขับรถออกไปจากคฤหาสน์หลังเล็ก เมื่อถังโจวโจวเข้ามาในบ้าน เธอก็พบว่าลั่วอิงและลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่บนโซฟา ไม่รู้ว่าลั่วอิงพูดอะไร ลั่วเซ่าเชินถึงได้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ดีแล้ว 


 


 


ถังโจวโจวค่อยๆ วางใจลง เขาก็ดูปกติดีนี่ คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว แม้เธอจะยังไม่แน่ใจนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดมากไปทำไม ในเมื่อทุกปัญหาย่อมมีทางออกอยู่เสมอ 


 


 


“แม่โจวโจวขา กลับมาแล้วเหรอคะ” เมื่อลั่วอิงเห็นถังโจวโจว เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหา แต่หลังจากถูกลั่วเซ่าเชินขวางอยู่หลายครั้ง เธอก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้มีน้องตัวเล็กๆ อยู่ในท้องของถังโจวโจว เธอไม่สามารถโถมร่างเข้าไปหาถังโจวโจวได้เหมือนปกติ ดังนั้นเธอจึงหยุดเมื่อเข้าใกล้ถังโจวโจว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินระมัดระวังเรื่องการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เมื่อเขาเห็นลั่วอิงวิ่งตรงเข้าไปหาถังโจวโจว เขาก็กลัวว่าเธอจะวิ่งเข้าไปชนหน้าท้องของถังโจวโจว เขากังวลใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าลั่วอิงจะยังเด็ก แต่เธอก็จำคำของเขาได้ ลั่วเซ่าเชินแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาต่อไป 


 


 


ถังโจวโจวกดจูบลงบนแก้มเล็กๆ ของลั่วอิงอย่างหนัก “ลั่วอิง วันนี้ไปโรงเรียนมาเป็นยังไงบ้างคะ หนูเชื่อฟังคุณครูหรือเปล่า มื้อเที่ยงกินข้าวไปเยอะไหม” 


 


 


 “ค่ะ วันนี้หนูกินข้าวชามใหญ่เลย!” 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินคุณครูประจำชั้นของลั่วอิงพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ว่า ช่วงนี้ลั่วอิงมักจะไม่ค่อยกินมื้อกลางวัน แต่เธอก็ไม่ได้กินขนมอื่นๆ ด้วย คุณครูเห็นว่าเธอเป็นแบบนี้อยู่หลายวัน และในที่สุดก็ทนกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ไหว เพราะคุณครูกลัวว่าลั่วอิงที่ไม่กินอะไรเลยอาจจะไม่สบายได้ เธอจึงโทรไปหาถังโจวโจว 


 


 


ดังนั้น ในช่วงนี้เมื่อลั่วอิงกลับมาถึงบ้าน ถังโจวโจวก็มักจะถามคำถามนี้กับเธอ ต่อมาเมื่อถังโจวโจวได้กระซิบกระซาบกับลั่วอิง เธอจึงได้รู้ว่าที่ลั่วอิงไม่ค่อยกินมื้อกลางวันนั้นเป็นเพราะบริเวณใกล้ๆ กับโรงเรียนมีแมวน้อยสีขาวอยู่ตัวหนึ่ง เธอแอบนำข้าวกลางวันที่เธอได้มาเลี้ยงแมวน้อยทุกวัน 


 


 


ถังโจวโจวเข้าใจดี เด็กผู้หญิงทุกคนล้วนชอบสัตว์ที่มีขนปุกปุยน่ารัก แต่มันก็ไม่ถูกต้องที่ตัวเองไม่กินข้าว หลังจากที่ถังโจวโจวทราบเรื่อง เธอจึงวานให้ป้าหลิวเตรียมข้าวกล่องเล็กๆ ให้ลั่วอิงถือไปโรงเรียนทุกเช้า เพื่อเลี้ยงแมวน้อยตัวนั้น 


 


 


แล้วก็เป็นไปตามคาด คุณครูบอกว่าลั่วอิงเริ่มกินข้าวแล้ว แต่ถังโจวโจวก็ยังคงถามคำถามเดิมกับลั่วอิงเช่นนี้ทุกวัน หนึ่งคือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและลั่วอิง สองคือเพื่อป้องกันไม่ให้ลั่วอิงรู้สึกว่าเมื่อเธอมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว เธอจะไม่สนใจลั่วอิงอีก 


 


 


ถังโจวโจวพาลั่วอิงมานั่งข้างๆ ลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน ฉันกลับมาแล้วค่ะ” ลั่วเซ่าเชินไม่ตอบเธอ เธอเองก็ไม่ได้คุยกับเขาอีก เธอเอาแต่กระซิบกระซาบกับลั่วอิงที่นั่งอยู่ข้างๆ 


 


 


“ช่วงนี้เจ้าแมวน้อยเป็นยังไงบ้างคะ อากาศหนาวขนาดนี้ ตอนกลางคืนมันนอนที่ไหน” ถังโจวโจวแค่ได้ยินเรื่องแมวมาจากปากของลั่วอิง ลั่วอิงยังตั้งชื่อให้มันอย่างง่ายๆ ว่า ‘เสี่ยวไป๋’ เพราะว่ามันมีขนสีขาวราวกับหิมะ 


 


 


แน่นอนว่าตอนที่ลั่วอิงเห็นมันครั้งแรก มันเป็นแมวสีเทา ถังโจวโจวไม่กล้าพามันกลับมาที่บ้าน เพราะกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เธอเองก็กำลังตั้งท้อง เธอกลัวว่าคนที่บ้านจะไม่อยากให้เลี้ยงแมว เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น 


 


 


“แม่โจวโจวขา ตอนกลางวันเสี่ยวไป๋จะมาหาหนูทุกวัน หนูให้มันกินของที่ป้าหลิวเตรียมไว้ให้ มันชอบมากเลยค่ะ แต่ทุกครั้งที่มันกินเสร็จ เสี่ยวไป๋ก็จะเล่นกับหนูอยู่สักพักแล้วมันก็ไป หนูเองก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ที่ไหน” 


 


 


ลั่วอิงอยากจะพาเสี่ยวไป๋กลับมาอยู่ที่บ้าน แต่เธอก็กลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเอ่ยปากขอ 


 


 


ถังโจวโจวทำได้แค่ปลอบใจ “มันอาจจะมีบ้านของมันอยู่ก็ได้ค่ะ หนูไม่ต้องห่วงนะ มันมาหาหนูหลายวันแล้ว แสดงว่ามันต้องมีที่อยู่แน่นอน” ถังโจวโจวลูบศีรษะของลั่วอิง ลั่วเซ่าเชินโมโหมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าพวกเธอพูดคุยกันอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจเขา 


 


 


“ลั่วอิง มาหาพ่อนี่มา” พอลั่วเซ่าเชินโกรธ เขาก็จงใจหาเรื่องถังโจวโจว เขาอยากจะแย่งลั่วอิงกลับมา จะดูซิว่าพวกเธอจะยังคุยอะไรกันได้อีก 


 


 


แต่ลั่วอิงกลับไม่เล่นด้วย “คุณพ่อขา หนูคุยกับแม่โจวโจวอยู่ เดี๋ยวหนูไปหานะคะ” ลั่วอิงยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับเสี่ยวไป๋จะเล่าให้ถังโจวโจวฟัง เธอยังไม่ว่างสนใจลั่วเซ่าเชินตอนนี้ 


 


 


ถังโจวโจวแอบมองเขาเล็กน้อย แล้วก็เห็นว่าเขาหงุดหงิดมาก เธอจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ว่าวันๆ ผู้ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ขยับนิดขยับหน่อยก็โมโหแล้ว 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่สนใจ ไฟโกรธในตัวก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก พอดีกันกับที่ป้าหลิวเดินออกมาจากห้องครัว “คุณชาย คุณผู้หญิง คุณหนู ทานข้าวได้แล้วค่ะ” เธอรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นนั้นผิดปกติไป แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก 


 


 


ถังโจวโจวพาลั่วอิงไปที่โต๊ะอาหาร เธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินนั่งแช่อยู่ตรงนั้นและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย “เซ่าเชิน ทานข้าวค่ะ” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวเรียกเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่อิดออดและนั่งลงข้างๆ เธอ ป้าหลิวเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ ในขณะที่ถังโจวโจวกินข้าว เธอก็นึกถึงว่าตอนนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว ต้องกินหม้อไฟสิถึงจะถูก จากนั้นเธอก็เห็นว่าป้าหลิวยกหม้อซุปออกมาอีกหม้อ จึงเอ่ยว่า “ป้าหลิวคะ เย็นพรุ่งนี้ทานหม้อไฟกันดีกว่าค่ะ” 


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวพูดถึงหม้อไฟ น้ำลายของเธอก็เริ่มสอ ในเมื่อลั่วเซ่าเชินไม่อนุญาตให้เธอออกไปกินข้าวข้างนอก ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำกินเองที่บ้าน แล้วเธอก็จะได้ชวนหลินเหยาให้มากินด้วยกัน 


 


 


“ถ้าคุณผู้หญิงอยากทาน พรุ่งนี้ฉันจะต้มน้ำซุปไว้ค่ะ พอถึงตอนค่ำจะได้เอามาทำเป็นน้ำซุปหม้อไฟค่ะ” ป้าหลิวเองก็คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี 


 


 


“ลั่วอิงอยากกินหม้อไฟไหมคะ” ถังโจวโจววางหัวไชเท้าลงในชามของลั่วอิง เธอเห็นลั่วอิงทำปากจู๋ เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบ แต่ถังโจวโจวก็จ้องมองไม่วางตา ท้ายที่สุดลั่วอิงก็รีบคีบหัวไชเท้าใส่ปากของตัวเอง แต่ก็ยังแสดงท่าทางราวกับว่ากำลังกินของมีพิษอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


หลังจากกลืนหัวไชเท้าลงไปแล้ว ลั่วอิงจึงเปิดปากพูด “อยากค่ะ หนูอยากทาน” 


 


 


“เซ่าเชิน ฉันชวนเหยาเหยามาทานด้วยได้ไหมคะ” ถังโจวโจวหันไปมองลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า 


 


 


“นี่ก็บ้านของคุณเหมือนกัน คุณอยากชวนใครก็ชวนเถอะ” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินตอบตกลงแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จ เธอก็โทรชวนหลินเหยา หลินเหยาตอบตกลงในทันที 


 


 


วันต่อมา หลังจากที่ถังโจวโจวเลิกงาน เธอรีบเตรียมพร้อมอย่างเร่งด่วน ป้าหลิวต้มซุปกระดูกหมูเอาไว้แล้ว เมื่อเห็นถังโจวโจวเข้ามาในครัวก็พูดย้ำว่า “คุณผู้หญิงออกไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการให้” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ยอม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าหลิว ไหนดูซิว่ามีอะไรที่ฉันพอช่วยได้บ้าง” ถังโจวโจวกวาดตามองไปรอบๆ และพบว่าป้าหลิวเตรียมไว้จวนจะเสร็จแล้ว เธอจึงไม่มีโอกาสได้ช่วย 


 


 


“คุณผู้หญิงกำลังท้องอยู่นะคะ ฉันเตรียมเอาไว้หมดแล้วล่ะค่ะ เพื่อนของคุณผู้หญิงมาถึงหรือยังคะ คุณผู้หญิงออกไปรับเธอดีกว่าไหมคะ” ป้าหลิวคิดทบทวนแล้ว ถังโจวโจวกำลังท้องอยู่ เธอจะกล้าขอให้ช่วยได้อย่างไร นอกจากนี้ทุกอย่างก็เตรียมเอาไว้จวนจะเสร็จแล้ว รอแค่ยกหม้อออกไป แล้วพวกเธอก็ลงมือรับประทานกันได้เลย 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอช่วยอะไรไม่ได้ เธอจึงถอยออกมาจากห้องครัว “ถ้าอย่างนั้นป้าหลิวก็จัดการเถอะค่ะ ฉันขอตัวออกไปก่อน” 


 


 


“ค่ะ คุณผู้หญิง อีกเดี๋ยวก็ได้ทานแล้วค่ะ” ป้าหลิวขยับมือไม่หยุด 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยายังไม่มา เธอจึงโทรศัพท์หา ปรากฏว่าหลินเหยาบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว ถังโจวโจวจึงไม่ได้เร่งอะไรอีก เธอยืนรออยู่ที่หน้าประตูและชะเง้อมองออกไปข้างนอก 


 


 


วันนี้เป็นอากาศดูมืดครึ้ม ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งผืนแล้ว ช่วงนี้เป็นเวลาข้าวเย็น ดังนั้นข้างนอกจึงไม่ค่อยมีคน 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นรถคันหนึ่งขับมาทางนี้ เธอก็คิดว่าเป็นหลินเหยา เธอจึงรีบเดินออกไป “เหยาเหยา มาช้าจังเลย!” 


 


 


ปรากฏว่าเป็นฟังหยวนที่ลงมาจากรถ ถังโจวโจวประหลาดใจ “ฟังหยวน? มาได้ยังไงคะ” เธอไม่ได้ชวนเขานี่ ทำไมจู่ๆ เขาถึงโผล่มาได้ 


 


 


ฟังหยวนลงจากรถ เขาเห็นว่าถังโจวโจวออกมารับเขา แต่เขาก็ทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง “โจวโจว ดูเหมือนคุณจะดีใจที่ผมมานะ ผมยังไม่ทันได้ลงจากรถ คุณก็ออกมายืนรอผมแล้ว เห็นคุณทำแบบนี้ผมดีใจมากเลย” 


 


 


คำพูดของฟังหยวนมักจะคลุมเครืออยู่เสมอ ถังโจวโจวทนไม่ได้ “คุณชายฟังคะ คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฉันว่าฉันไม่ได้ชวนคุณนะ” 


 


 


ฟังหยวนหมุนกุญแจรถ “โจวโจว เราจะยืนคุยกันอยู่ข้างนอกนี่ใช่ไหม” 


 


 


ถังโจวโจวได้แต่หลีกทางให้เขาเข้ามา “รีบบอกมานะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่คุณเดี๋ยวนี้” ถังโจวโจวพูดอย่างไม่เกรงใจ


ตอนที่ 110 ฟังหยวน แขกไม่ได้รับเชิญ

 


 


 


 


           “โจวโจว ผมเสียใจนะที่คุณพูดกับผมแบบนี้” ฟังหยวนทำท่ากุมหน้าอก 


 


 


ถังโจวโจวอยากจะอาเจียน “อย่าทำแบบนั้นค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะให้คนมาไล่คุณออกไป!” 


 


 


ถังโจวโจวเหมือนจะได้ยินเสียงรถอีกครั้ง คราวนี้จะต้องเป็นหลินเหยาอย่างแน่นอน ถังโจวโจววิ่งออกไปดู แล้วก็เป็นหลินเหยาที่ลงมาจากรถแท็กซี่ หลินเหยาเพิ่งจะหยุดยืน ถังโจวโจวก็เริ่มบ่น “เหยาเหยา เธอนี่ช้าจริงๆ เลย ลูกชายเธอรอแย่แล้วเนี่ย” 


 


 


“ฉันถึงเอาของขวัญมาไถ่โทษให้เขานี่ไง” หลินเหยายื่นถุงของขวัญใบเล็กออกมาจากด้านหลัง เมื่อถังโจวโจวเปิดดู เธอก็พบว่ามันเป็นของเล่นเด็กที่หลินเหยาซื้อมาให้ลูกที่อยู่ในท้องของเธอ เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมในทันที 


 


 


“เหยาเหยา เขายังอยู่ในท้องฉันอยู่เลย ถ้าเธอจะซื้อ เธอก็ควรจะซื้อให้ฉันก่อนไหม” 


 


 


“ตอนนี้ฉันอยู่ต่อหน้าลูกชายของฉัน เธอหมดความหมายแล้ว” ถังโจวโจวทุบหลินเหยาเบาๆ สองครั้ง ก่อนที่พวกเธอจะเดินเข้าไปในบ้านด้วยกันพร้อมเสียงหัวเราะ 


 


 


ป้าหลิวยกน้ำชามาให้ฟังหยวนแล้วแก้วหนึ่ง เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวพาเพื่อนเข้ามาเพิ่มอีก เธอก็เริ่มสงสัย คุณผู้หญิงบอกว่ามีแขกแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมีสองคน? 


 


 


ถังโจวโจวพาหลินเหยาไปที่ห้องนั่งเล่น ก่อนที่จะแนะนำให้เธอได้รู้จักกับฟังหยวน “นี่ฟังหยวน เพื่อนของเซ่าเชิน นี่หลินเหยา เพื่อนสนิทของฉันเอง” 


 


 


ฟังหยวนลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกไป “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหลิน” 


 


 


หลินเหยาจับมือเขาอย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะคุณฟัง” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงลงมาชั้นล่าง เขาพบว่าในห้องนั่งเล่นมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง “ฟังหยวน นายมาทำไม” 


 


 


ฟังหยวนหัวเราะเสียงดังลั่น “นายชวนฉันมาไม่ใช่เหรอ อาเชิน นายจำไม่ได้หรือไง” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เมื่อเช้าฟังหยวนมาหาเขาที่บริษัท และนัดให้เขาออกไปกินมื้อเย็นด้วยกัน แต่เขาบอกปัด ฟังหยวนจึงถามหาสาเหตุ เขาก็เลยเผลอหลุดปากบอกเรื่องที่ถังโจวโจวจะชวนเพื่อนมากินหม้อไฟที่บ้านคืนนี้ 


 


 


           เมื่อฟังหยวนได้ยิน เขาก็โอดครวญขึ้นมาทันที เขาบอกว่าเขากลับมาตั้งนานแล้ว ลั่วเซ่าเชินยังไม่เคยชวนเขาไปกินข้าวเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นเขาจะถือโอกาสนี้ไปร่วมวงด้วย ในตอนนั้นลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย แต่ฟังหยวนไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าจะมาให้ได้ 


 


 


           เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับมาถึงบ้าน เขาก็ไม่ได้คุยกับฟังหยวนอีก เขานึกว่าอีกฝ่ายลืมเรื่องนี้ไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วฟังหยวนเองก็มีความสามารถอยู่เหมือนกัน ที่หาทางมาเองจนได้อย่างนี้ 


 


 


“เอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ให้ป้าหลิวเตรียมอาหารเพิ่มก็แล้วกัน” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าฟังหยวนสู้อุตส่าห์มาจนได้ เขาก็ไม่อาจไล่เพื่อนกลับไปได้ในตอนนี้ 


 


 


เมื่อฟังหยวนได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดแบบนั้น เขาก็หันไปยิ้มให้ถังโจวโจวอย่างภาคภูมิใจ เขายิ้มเสียจนถังโจวโจวอยากจะตีเขาแรงๆ ให้เขาจำเอาไว้ว่าไม่ควรเยาะเย้ยเธอแบบนี้ 


 


 


ลั่วอิงวิ่งมาหาหลินเหยา ก่อนจะเอ่ยเรียกอย่างสนิมสนม “น้าหลินมาแล้ว หนูรอคุณน้าอยู่นานเลยค่ะ” ถังโจวโจวมองดูลั่วอิงที่กำลังพูดโกหกตาใส เธอกลับมาถึงบ้านไม่นานนี้เอง แล้วเพิ่งลงมาจากชั้นบนด้วย รอนานที่ไหนกันล่ะ 


 


 


แต่เมื่อหลินเหยาได้ยิน ถังโจวโจวก็ไม่คิดว่าเธอจะมีความสุขมากขนาดนี้ “จริงเหรอคะ ไม่เสียแรงที่น้ารักหนู ลั่วอิงดีกับน้าที่สุดเลย!” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงสามารถหลอกให้หลินเหยาดีใจได้ เธอล่ะนับถือปากเล็กๆ ของลั่วอิงจริงๆ ไม่รู้ว่าดื่มน้ำผึ้งไปมากแค่ไหน คำพูดหวานๆ ถึงได้หลุดออกมาจากปากได้เรื่อยๆ อย่างนี้ 


 


 


“ลั่วอิงน้อยลืมคุณลุงไปแล้วหรือครับ ลุงเสียใจจัง เสียดายที่วันนี้ลุงเอาของขวัญมาให้หนูด้วย” ฟังหยวนพยายามแสดงตัว 


 


 


ทันทีที่ลั่วอิงได้ยินฟังหยวนบอกว่าเขาเอาของขวัญมาให้เธอด้วย เธอก็กระตือรือร้นขึ้นมาและรีบยิ้มหวานให้ฟังหยวน “จำได้สิคะ ลุงฟัง คุณลุงเอาอะไรมาให้หนูเหรอคะ” 


 


 


“เดี๋ยวลุงเอามาให้หลังทานข้าวเสร็จนะครับ ตอนนี้มันอยู่ในรถ” 


 


 


ป้าหลิวยกน้ำซุปที่ปรุงเสร็จแล้วและผักต่างๆ ออกมาวางไว้บนโต๊ะ บนโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยอาหารละลานตา ถังโจวโจวและคนอื่นๆ นั่งลงที่โต๊ะ ก่อนจะเริ่มลงมือในทันที 


 


 


ฟังหยวนเป็นคนอารมณ์ขัน หลินเหยาเองก็คุยกับเขาได้อย่างถูกคอ บรรยากาศบนโต๊ะจึงดีแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อถังโจวโจวเห็นหลินเหยายิ้มแย้มอย่างมีความสุขเพราะฟังหยวน เธอก็กลัวว่าเพื่อนจะติดกับดักภาพลักษณ์ภายนอกอันแสนดีของเขา แต่เธอก็เกรงใจที่จะพูดเตือนออกมาตรงๆ เธอจึงได้แต่แอบลอบสังเกตสถานการณ์อยู่ข้างๆ 


 


 


อาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยง เมื่อมองดูแต่ละคน ก็จะเห็นว่าอิ่มกันจนหน้าท้องกลมดิก น้ำซุปที่ป้าหลิวทำนั้นอร่อยมาก มันเข้ากันได้ดีกับผักสดและเนื้อสัตว์ พวกเขากินกันจนเหงื่อท่วม แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างกายของพวกเขาก็อบอุ่นขึ้น 


 


 


หลังจากอาหารมื้อนั้น ลั่วอิงก็เอาแต่ถามถึงของขวัญของฟังหยวน ฟังหยวนเปิดประตูรถและหยิบกล่องของขวัญกล่องเล็กออกมาจากเบาะหลัง มันคือกิ๊บติดผมเพชร แม้แต่ถังโจวโจวยังตาลุกวาว ใจดีจริงๆ 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นของขวัญที่ถูกใจ เธอก็เอ่ยปากชมเปาะ “คุณลุงฟังใจดีจัง ลั่วอิงรักคุณลุงที่สุดเลยค่ะ” 


 


 


ฟังหยวนยิ้มหัวเราะตามคำยอของลั่วอิง “ลั่วอิง ถ้าหนูชอบ รอบหน้าลุงจะเอามาให้อีกนะ” 


 


 


“จริงๆ นะคะ? ถ้าอย่างนั้นคุณลุงต้องมาบ้านหนูบ่อยๆ นะ” ลั่วอิงไม่เห็นแววตาของลั่วเซ่าเชินที่นิ่งงันไป เธอสนใจแค่เพียงว่าฟังหยวนเอาของขวัญมาให้ และแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ! 


 


 


“ได้ครับ ถ้าคุณพ่อหนูอนุญาต วันหลังลุงจะมาบ่อยๆ” ฟังหยวนมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน แล้วเขาก็พบว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินดูไม่ค่อยดีเท่าไร เขารู้ตัวว่าเขาอยู่ใกล้ลั่วอิงมากเกินไป ฟังหยวนหัวเราะหน้าตาเฉย อาเชินทำอะไรเขาในตอนนี้ไม่ได้หรอก 


 


 


ฟังหยวนสังเกตเห็นว่าถังโจวโจวแอบมองกิ๊บติดผมที่อยู่ในมือของลั่วอิงเป็นระยะ เขาทดไว้ในใจ ดูเหมือนว่าเธอเองก็ชอบของกระจุกกระจิกแบบนี้อยู่เหมือนกัน 


 


 


หลินเหยาเห็นว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินดูไม่สบอารมณ์ แต่เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอผลักถังโจวโจวเบาๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่ลั่วเซ่าเชิน แล้วก็ชี้ไปที่ฟังหยวน เธอขยับรูปปากถามว่า “มีเรื่องอะไรกันเหรอ” หลินเหยาได้แต่สงสัยในใจ ทำไมสองคนถึงทำเหมือนว่าจะตีกัน เขาเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? 


 


 


“เอาละ ลั่วอิง เอาของขวัญไปเก็บก่อนค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรไม่สุภาพแบบนี้นะคะ ไปขอของขวัญจากคนอื่นได้ยังไง” ถังโจวโจวให้ลั่วอิงมานั่งข้างๆ เธอ และเมื่อพูดถึงเหตุผล ลั่วอิงก็ไม่พูดถึงเรื่องที่จะให้ฟังหยวนเอาของขวัญมาให้อีกเลย 


 


 


ฟังหยวนเห็นว่าถังโจวโจวช่วยอาเชิน ‘พวกเขาเป็นสามีภรรยากันนี่ แต่ถ้าเธอเป็นของฉัน วันนี้เธอจะยืนอยู่ข้างฉันไหม?’ ฟังหยวนรู้สึกตัวว่าเขากำลังคิดมากเกินไป เขาจึงต้องปล่อยวางความคิด 


 


 


“เอาละ ผมไม่รบกวนแล้วดีกว่า ขอตัวกลับก่อนนะครับ ขอบคุณนะอาเชินที่ชวนฉันมากินข้าวมื้อใหญ่” 


 


 


“นี่ไม่ใช่มื้อใหญ่อะไร ถ้านายอยากให้ฉันเลี้ยงข้าว เดี๋ยวฉันจะหาร้านอาหารดีๆ แล้วเราค่อยไปกัน” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าฟังหยวนเหมือนจะละทิ้งความหวังจากถังโจวโจว เขาก็ปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างดี 


 


 


เป็นพี่เป็นน้องกันมาตั้งหลายปี ใช่ว่าเป็นกันเล่นๆ แต่เพราะถังโจวโจว ดังนั้น ลั่วเซ่าเชินจึงต้องป้องกันการเข้าใกล้ของฟังหยวนเอาไว้ก่อน 


 


 


“โอเค ฉันจะรอ” ฟังหยวนมองไปที่หลินเหยา “คุณหลินครับ ผมเห็นว่าคุณไม่ได้ขับรถมา ถ้าอย่างนั้นมานั่งรถผมไหม วันนี้ให้ผมทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์คนสวยไปส่งคุณที่บ้านนะครับ?” 


 


 


หลินเหยาเห็นว่าฟังหยวนจริงใจ เธอจึงพยักหน้าตกลง ถังโจวโจวเองก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดี เมื่อครู่นี้เธอยังคิดอยู่เลยว่า ‘ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เหยาเหยาจะกลับบ้านยังไง เดี๋ยวให้เซ่าเชินไปส่งดีกว่า’ แต่ตอนนี้ฟังหยวนอาสาเอง ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากๆ เลย 


 


 


“ฟังหยวน คุณต้องส่งเหยาเหยาให้ถึงบ้านนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันเอาเรื่องคุณแน่” ถังโจวโจวยกกำปั้นเล็กๆ ของเธอขึ้นมาและพูดขู่ 


 


 


ฟังหยวนแค่รู้สึกว่าท่าทางของถังโจวโจวน่ารักมาก ถ้าเขาคิดจะทำอะไรหลินเหยา เธอคิดว่าเธอจะจัดการเขาได้เหรอ 


 


 


แต่ฟังหยวนจะไม่ทำให้ถังโจวโจวไม่สบายใจ เขาดูเหมือนจะล้อเล่น แต่ก็พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่ต้องห่วงครับ เธอเป็นเพื่อนของคุณ ผมจะส่งเธอให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยเลย” 


 


 


หลินเหยาขึ้นไปนั่งบนรถของฟังหยวนและโบกมือให้ถังโจวโจว “โจวโจว เธอรีบเข้าไปเถอะ” 


 


 


“ขับรถดีๆ นะคะฟังหยวน เหยาเหยา ถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาบอกฉันด้วยนะ” 


 


 


“รู้แล้วจ้ะ” หลินเหยาพยักหน้ารับในทันที ถ้าไม่ติดว่าดึกแล้ว เธอคงจะต้องคุยกับถังโจวโจวอีกสักพักแน่ 


 


 


ถังโจวโจวทอดมองรถของฟังหยวนจากไป จากนั้นเธอจึงกลับเข้าไปในบ้าน ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอกลับเข้ามาแล้วจึงเอ่ยถาม “กลับกันไปแล้วเหรอ” 


 


 


“ค่ะ เซ่าเชิน วันนี้ฟังหยวนเขามาได้ยังไง” จะมาแล้วทำไมไม่บอก ทำเอาป้าหลิวตกอกตกใจหมด ดีนะที่เธอซื้อมาเผื่อ มิเช่นนั้นคงไม่พอกิน 


 


 


“ผมคิดว่าเขาล้อเล่น ไม่คิดว่าเขาจะมาจริงๆ” ลั่วเซ่าเชินอธิบายเล็กน้อย ถังโจวโจวไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเพื่อนของลั่วเซ่าเชิน เธอไม่ควรเข้าไปยุ่ง 


 


 


ถังโจวโจวได้ขีดเส้นที่ชัดเจนแล้วสำหรับฟังหยวน ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเป็นเพื่อนกับฟังหยวน แต่ทุกครั้งที่ฟังหยวนเจอเธอ เขามักจะพูดจาไร้สาระ ถังโจวโจวจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงก็ไม่ได้ จะคิดว่าเป็นเรื่องหลอกก็ไม่ได้อีกเช่นกัน 


 


 


ฟังหยวนมาส่งหลินเหยาที่บ้าน ระหว่างทางเขาไม่ได้คุยกับเธออีก หลินเหยามองออกว่าเขาไม่อยากจะสนทนาด้วย เธอเองก็เลยไม่พูด เธอรู้สึกสงสัยในตัวฟังหยวนมาก ตกลงแล้วเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร เขาร่าเริงมาก แต่ตอนนี้เขากลับนิ่งเฉยจนเหมือนคนละคน 


 


 


หลังจากหลินเหยาลงจากรถ “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ คุณฟัง” 


 


 


“ไม่เป็นไรครับ” เมื่อเห็นว่าหลินเหยาหมุนตัวเดินไปแล้ว ฟังหยวนจึงขับรถออกมา 


 


 


หลินเหยาเดินไปสองก้าว เธอได้ยินเสียงรถไกลออกไปจากทางด้านหลัง หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเธอรู้สึกว่าฟังหยวนไปไกลแล้ว เธอก็อดหันหน้ากลับไปมองไม่ได้ เขานี่แปลกคนจริงๆ… 


 


 


ฟังหยวนนึกถึงบรรยากาศบนโต๊ะอาหารในวันนี้ แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ค่อยพูด แต่ดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่ถังโจวโจวอยู่ตลอด ดูเหมือนว่าเขาจะใส่ใจเธอมาก นี่เขาไม่รู้สึกอะไรกับหันฮุ่ยซินแล้วจริงๆ เหรอ? 


 


 


ช่วงนี้หันฮุ่ยซินก็ไม่ได้มาหาเขา นี่มันดูสิ้นหวังมาก แต่เอาเป็นว่าถ้าเธอมาหาเขาอีก เขาก็จะไม่ช่วยเธอแล้ว ขอแค่ถังโจวโจวยังอยู่ดี เขาก็พร้อมที่จะเป็นอัศวินข้างกายเธอ 


 


 


ค่ำนี้ถังโจวโจวกินไปเยอะมาก เธอจึงลากลั่วเซ่าเชินออกมาเดินย่อยอาหาร ลั่วอิงไม่ได้ตามมาด้วย เธอกลับไปลองกิ๊บติดผมอันใหม่ที่ห้องของเธอ 


 


 


พวกเขาสองคนเหมือนกับคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมานาน พวกเขาสามารถรู้สึกถึงกันและกันได้โดยที่ไม่ต้องสื่อสาร ถังโจวโจวเดินอยู่ข้างๆ ลั่วเซ่าเชิน หัวใจของเธอเต้นตึกตัก เธอรู้สึกว่ารอบตัวของเธอนั้นเงียบสงัด เธอได้ยินแค่เสียงหัวใจของเธอและลั่วเซ่าเชิน 


 


 


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ลั่วเซ่าเชินกุมมือเธอเอาไว้แน่น เขาลองส่งเสียงออกมา “โจวโจว ถ้าวันข้างหน้าเราแก่ตัวไป เราก็จะเป็นแบบนี้ใช่ไหม ทุกวันหลังจากกินข้าวเสร็จ เราก็จะออกมาเดินเล่นด้วยกัน” 


 


 


“แน่นอนค่ะ” ลั่วเซ่าเชินจินตนาการถึงอนาคตอันงดงาม ถังโจวโจวเองก็หวังว่าเธอจะมีชีวิตแบบนี้ในอนาคต เธอหวังให้ชีวิตของเธอสงบสุขและเรียบง่าย ไม่ต้องมีจุดหักเหอะไรอีก 


 


 


พวกเขาเดินทอดน่องกันอยู่รอบหนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับบ้านกันไป มือของพวกเขายังคงประสานกันไว้แน่น


ตอนที่ 111 ร้านขายของสำหรับเด็ก

 


 


 


           เมิ่งชิงซีร้อนรนใจขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเหวินมั่นมั่นไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่าง ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่จริงๆ โอกาสดีๆ แบบนี้กลับปล่อยให้หลุดลอยไปได้ แต่ถึงแม้ว่าเมิ่งชิงซีจะมีอีกกี่แผน เหวินมั่นมั่นก็จะไม่ยอมทำตามแผนที่เธอวางเอาไว้


 


 


           ตั้งแต่ที่เหวินมั่นมั่นได้พบกับเจียงรุ่ยเฉิน เธอก็ค่อยๆ เลิกคิดถึงเรื่องของลั่วเซ่าเชินไป และเริ่มให้ความสนใจกับเจียงรุ่ยเฉินแทน เมื่อเจียงรุ่ยเฉินมาที่เหวินกรุ๊ป เขาก็มีโอกาสได้พบกับเหวินมั่นมั่น ได้เจอกันอยู่หลายครั้ง เจียงรุ่ยเฉินเองก็เริ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหวินมั่นมั่นอยู่เหมือนกัน


 


 


           แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนกับเธอ เหวินมั่นมั่นจึงต้องสงบเสงี่ยมไว้ เธอก็แค่ต้องสร้างโอกาส และแกล้งทำเป็นว่าบังเอิญมาเจอกัน ถ้าเจียงรุ่ยเฉินพูดกับเธอ เธอก็จะมีความสุขไปทั้งวัน และแน่นอนว่ามันไม่ได้ราบรื่นทุกครั้งไป


 


 


           บางครั้งที่เจียงรุ่ยเฉินมาคุยกับเหวินฉี่สยงเรื่องโปรเจกต์ที่ทำร่วมกัน เหวินมั่นมั่นก็จะตามไปที่ห้องประชุมที่เจียงรุ่ยเฉินอยู่ด้วย แต่เหวินมั่นมั่นจะเข้าไปเจอเขาเลยไม่ได้ และหากเธอรออยู่ข้างนอก มันก็จะผิดสังเกตมากเกินไป เหวินมั่นมั่นกลัวว่าพี่สาวอย่างเหวินซือหว่านจะหัวเราะเยาะเอา ดังนั้นเธอจึงต้องถอยกลับไปที่เดิม


 


 


           แต่เมื่อเหวินฉี่สยงรู้ว่าลูกสาวคนนี้รู้สึกอย่างไร เขาจึงมักจะชวนเจียงรุ่ยเฉินกลับมากินข้าวที่บ้าน หรือไม่ก็ขอให้เหวินมั่นมั่นช่วยเอาของมาส่งให้เขาที่บริษัท และทันทีที่เหวินมั่นมั่นมาถึง เธอก็พบว่าเจียงรุ่ยเฉินอยู่ในห้องทำงานของเหวินฉี่สยง เธอก็เข้าใจความตั้งใจของคุณพ่อทันที


 


 


           อย่างไรก็ตาม เจียงรุ่ยเฉินยังคงอ่อนโยนต่อเธอราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิเช่นเดิม แต่เหวินมั่นมั่นรู้สึกว่าเขามีท่าทีห่างเหินไป เหวินมั่นมั่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว แต่เธอก็จะไม่ยอมแพ้ เธอจะยืนหยัดต่อไป


 


 


           วันนี้ถังโจวโจวต้องออกไปตรวจครรภ์ เธอจึงขอลาหยุดกับบริษัท ลั่วเซ่าเชินมีธุระเร่งด่วนต้องทำ ไม่มีเวลาไปด้วยกันกับเธอ ลั่วเซ่าเชินเสียใจมาก เดิมทีเขาอยากจะให้ถังโจวโจวรอเขาก่อน เมื่อเขาเสร็จธุระแล้ว เขาจะรีบไปรับเธอทันที


 


 


           แต่ถังโจวโจวปฏิเสธ เธอบอกเขาว่าเธอไปคนเดียวได้ ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้ขัดใจ เมื่อถังโจวโจวแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไปที่โรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าเด็กในท้องของเธอสุขภาพแข็งแรงดี แต่เขาบอกให้เธอรักษาอุณหภูมิในร่างกายไว้ เนื่องจากว่าช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาว ต้องระมัดระวังจะเป็นไข้หวัดเอาไว้


 


 


           ถ้าเธอเป็นหวัดขึ้นมา เธอก็ไม่สามารถกินยาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ จากนั้นเธอก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอจดและจำคำแนะนำของคุณหมอไว้ หลังจากบอกลาคุณหมอแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้ออกมาชอปปิงนานแล้ว เธอจึงโทรหาหลินเหยา


 


 


“เหยาเหยา เธอทำอะไรอยู่”


 


 


“ทำงานอยู่น่ะสิ ทำไมเหรอ” หลินเหยานวดขมับตัวเอง เธอรู้สึกประหลาดใจมากที่ถังโจวโจวโทรมาหาเธอในเวลานี้


 


 


“ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอก เพิ่งตรวจครรภ์เสร็จ เธอพอจะออกมาได้ไหม ไปเดินชอปปิงกัน” ถังโจวโจวนั่งอยู่บนรถแล้ว เธอกำลังจะเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้า


 


 


หลินเหยารู้สึกปวดหัวมาก เมื่อกวาดตามองกองงานที่อยู่ตรงหน้า เธอก็เอ่ยขอโทษว่า “โจวโจว ฉันยังทำงานไม่เสร็จเลย เอาแบบนี้ดีไหม เธอหาที่นั่งรอฉันก่อน เดี๋ยวตอนบ่ายฉันออกไปหา โอเคไหม”


 


 


ถังโจวโจวมองดูเวลา แล้วเธอก็พบว่าตอนนี้เพิ่งจะสิบโมง เธอปลอบใจหลินเหยา “ไม่เป็นไร เหยาเหยา ครั้งหน้าเราค่อยนัดกันใหม่ก็ได้ ฉันขอไปดูของก่อน”


 


 


“โอเค เดี๋ยวถ้าฉันทำเสร็จงานแล้วฉันจะโทรหานะ ถ้าเธอยังอยู่ฉันจะรีบออกไป” หลังจากหลินเหยาวางสาย เธอก็ไม่สบายใจที่ถังโจวโจวอยู่คนเดียว แต่จะให้จู่ๆ เธอทิ้งงานออกไปเลยก็ไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่เร่งความเร็วในการทำงาน


 


 


ลั่วเซ่าเชินมาที่สตูดิโอสอนเต้นของหันฮุ่ยซิน สตูดิโอของเธอเปิดทำการในวันนี้ เนื่องจากลั่วเซ่าเชินได้รับปากกับเธอไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นวันนี้เขาจึงต้องยกเลิกนัดของถังโจวโจวไป


 


 


ด้วยเหตุนี้ ลั่วเซ่าเชินจึงไม่สบายใจ เขาเจียดเวลาออกมาโทรหาถังโจวโจว “โจวโจว เป็นยังไงบ้าง ตรวจเสร็จหรือยัง คุณหมอว่ายังไงบ้าง” ลั่วเซ่าเชินเลือกหาที่เงียบๆ โทรหาถังโจวโจว


 


 


ถังโจวโจวเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ เดิมทีงานของลั่วเซ่าเชินก็ยุ่งมากอยู่แล้ว มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะเจียดเวลาออกมา ไม่มาก็ไม่เป็นไร ถังโจวโจวถ่ายทอดคำพูดของคุณหมอให้ลั่วเซ่าเชินฟังอีกหนึ่งรอบ


 


 


ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็เบาใจลง ความรู้สึกละอายที่อยู่ในใจก็ลดลงเล็กน้อย “แล้วตอนนี้คุณถึงบ้านหรือยัง” เขารู้ว่าวันนี้ถังโจวโจวลางาน เมื่อเธอตรวจครรภ์เสร็จ เธอก็น่าจะตรงกลับบ้านเลย ถ้าเป็นไปได้ เขาจะกลับไปกินข้าวกลางวันกับเธอที่บ้าน


 


 


“ยังค่ะ ฉันอยากเดินชอปปิงก่อน อีกเดี๋ยวค่อยกลับค่ะ” ถังโจวโจวมีความสุขมากที่ได้เดินชอปปิงตามลำพัง เมื่อเธอมองดูผู้คนที่เดินกันอย่างขวักไขว่ ถังโจวโจวก็รู้สึกตื่นเต้น ราวกับว่าเธอถูกขังมานาน เธอรู้สึกว่าโลกภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่ได้ออกมาชอปปิ้งเลย


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ระวังตัวด้วย เดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้วผมจะไปรับ” ดูเหมือนว่าจะมีคนเรียกลั่วเซ่าเชิน เขารีบพูดให้จบประโยคและวางสายไป ถังโจวโจวแค่อยากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ปลายสายก็เงียบไปแล้ว


 


 


เธอบ่นพึมพำว่า “ทำไมจะวางสายแล้วไม่บอกกันสักคำ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่นะเนี่ย” แต่ถังโจวโจวไม่ได้สนใจมาก เธอลงจากรถและเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า


 


 


ถังโจวโจวเดินไปทางซ้ายที ไปทางขวาที แล้วเธอก็พบกับร้านขายของสำหรับเด็กอ่อน เธอรู้สึกสนใจในทันที เมื่อเธอเดินเข้าไป เธอก็พบว่าเสื้อผ้าเด็กในร้านนั้นน่ารักมาก ถังโจวโจวมองอย่างหลงใหล จนเธอไม่อยากออกมาจากตรงนั้นเลย


 


 


พนักงานขายเห็นว่าถังโจวโจวมาคนเดียว เธอจึงไม่ได้ต้อนรับอะไรเป็นพิเศษ สินค้าในร้านที่พวกเธอขายล้วนแต่เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งแน่นอนว่าราคาของมันไม่ใช่ที่คนธรรรมดาจะซื้อได้ง่ายๆ


 


 


และในมุมมองของพนักงาน ถังโจวโจวก็จัดว่าอยู่ในหมวดที่ไม่สามารถซื้อได้ ดังนั้น เมื่อเห็นถังโจวโจวเลือกอยู่นาน เธอก็ทำเป็นไม่เห็น พอดีกันกับที่ถังโจวโจวแค่เข้ามาชม ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ ลูกในท้องยังเด็กเกินไป ถ้าซื้อไปตอนนี้ ต้องใช้เวลาอีกตั้งหลายเดือน กว่าลูกเธอจะใส่ได้


 


 


เมื่อพนักงานเห็นว่ามีแขกเข้ามาในร้านอีกคน เธอก็ต้อนรับอย่างกระตือรือร้น “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงต้องการอะไรคะ ช่วงนี้ทางร้านมีสินค้าเด็กรุ่นใหม่เข้ามาเยอะแยะเลย คุณผู้หญิงสนใจไหมคะ”


 


 


เมิ่งชิงซีเห็นถังโจวโจวมาที่นี่ เธอจึงเดินตามเข้ามา เมื่อถังโจวโจวมองดูเสื้อผ้าเด็กพวกนี้ เธอก็รู้สึกขวางหูขวางตา มันน่ารักตรงไหนกัน เธอตอบอย่างเย็นชา “ไม่ค่ะ” ความกระตือรือร้นในการต้อนรับของพนักงานลดลงไปอย่างมากเพราะความเฉยเมยของเมิ่งชิงซี


 


 


เธอไม่กล้าแสดงความไม่พอใจ เสื้อผ้าที่เมิ่งชิงซีสวมตั้งแต่หัวจรดเท้า มีมูลค่ามากกว่าเงินเดือนของเธอตั้งหลายเดือน เธอไม่กล้าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรอก หากเธอไม่ระวัง เธออาจจะโดนเจ้านายไล่ออกโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้


 


 


ที่พนักงานกลัวกันแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เมื่อก่อนเธอรู้จักพนักงานคนหนึ่งที่ชื่อเสี่ยววัง เธอดันไปดูถูกลูกค้าเข้า ลูกค้าไม่พอใจเป็นอย่างมากและขอให้ผู้จัดการไล่เธอออก ประจวบเหมาะกับที่ผู้จัดการก็ไม่กล้าล่วงเกินลูกค้าคนนั้น ดังนั้นเสี่ยววังจึงต้องออกจากงานไปอย่างเงียบๆ


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกคุ้นหูกับเสียงของคนที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเธอหันหน้ากลับไปมอง เธอก็พบว่าเธอเดาไม่ผิด เป็นเมิ่งชิงซีจริงๆ “โจวโจว เธอก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ บังเอิญจัง!” ท่าทางของเมิ่งชิงซีดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก กระตือรือร้นเสียจนถังโจวโจวหวาดผวาและชักมือกลับเมื่อเมิ่งชิงซีเดินเข้ามาจับมือ


 


 


พนักงานขายมองดูลูกค้าทั้งสองคน ดูเหมือนว่าจะรู้จักกันดีด้วย เธอจึงค่อนข้างกังวลใจ เธอไม่น่าตาถั่วมองคนผิดไปเลย คุณผู้หญิงท่านนี้คงไม่ตำหนิเธอหรอกนะ? พนักงานขายแอบลอบมองถังโจวโจวอีกครั้ง เธอดูแล้วก็คิดว่าถังโจวโจวน่าจะเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ดังนั้นเธอจึงเบาใจขึ้น


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าเมิ่งชิงซีคิดจะทำอะไร หลังจากที่เธอดึงมือตัวเองออกจากมือของเมิ่งชิงซีมาได้ เธอก็รู้สึกโล่งใจ รู้สึกปลอดภัยกว่ามก


 


 


“คุณเมิ่งคะ ฉันว่าเราไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้น คุณมีอะไรจะคุยกับฉันหรือเปล่าคะ” ถังโจวโจวไม่รู้จริงๆ ว่าเมิ่งชิงซีกำลังคิดจะทำอะไร แต่เธอรู้สึกว่าการที่เมิ่งชิงซีปฏิบัติกับเธอแบบนี้ มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน


 


 


เมิ่งชิงซีไม่สนใจหรอกว่าถังโจวโจวจะรังเกียจเธอมากแค่ไหน เธอคว้าจับมือของถังโจวโจวอีกครั้งแล้วพูดว่า “ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ โจวโจว ไปจ้ะ เราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า” เมิ่งชิงซีลากเธอออกไปจากร้าน


 


 


พนักงานขายมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เธอพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าสองคนนั้นแปลกมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเป็นมิตรกัน แต่ถังโจวโวก็ไม่ได้ต่อต้าน พนักงานขายเองก็ไม่อยากแส่ไปมากกว่านี้แล้ว


 


 


ถังโจวโจวสลัดมือของเมิ่งชิงซีไม่หลุด และเธอก็กลัวว่าเด็กในท้องจะได้รับอันตราย เธอจึงทำได้แค่ปล่อยให้เมิ่งชิงซีลากเธอไป กระทั่งพวกเธอมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่ง


 


 


เมิ่งชิงซีพูดกับพนักงานเสิร์ฟ “มอคค่าสองแก้ว อ้อ ลืมไป โจวโจวกำลังท้องอยู่นี่นา ดื่มกาแฟไม่ได้ เอาเป็นนมดีไหม”


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากดื่มอะไรทั้งสิ้น แต่เมื่อเห็นเมิ่งชิงซีคะยั้นคะยออยู่แบบนี้ เธอก็พยักหน้า เมิ่งชิงซีจึงหันไปพูดกับพนักงานเสิร์ฟอีกครั้งว่า “ตามนี้”


 


 


“โอเคค่ะ คุณผู้หญิง รับเป็นกาแฟหนึ่ง นมสดหนึ่งนะคะ กรุณารอสักครู่ค่ะ” เมื่อพนักงานเสิร์ฟจากไป ถังโจวโจวจึงถามขึ้นมาว่า “คุณเมิ่งคะ เรามีเรื่องอะไรให้คุยกันด้วยหรือคะ”


 


 


ถังโจวโจวรู้อยู่ตลอดว่าเมิ่งชิงซีต้องการจะครองคู่กับลั่วเซ่าเชินให้ได้ หรืออาจจะพูดได้ว่าเมิ่งชิงซีพยายามแหย่ขาเข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอและลั่วเซ่าเชินอยู่เสมอ เธอจึงไม่รู้สึกว่ายังจะมีเรื่องอะไรที่เธอสามารถคุยกับเมิ่งชิงซีได้


 


 


เมิ่งชิงซีนั่งเล่นนิ้วมือของตัวเอง น้ำยาทาเล็บสีแดงสดนั้นสวยสะดุดตามาก ถังโจวโจวมองไปที่เล็บเรียวยาวของเธอ นึกกังวลไปว่าถ้าเธอฝากรอยยาวๆ นั้นลงบนใบหน้าของตัวเอง เห็นทีคงจะทำให้เสียโฉมได้เลย


 


 


ดูเหมือนว่าถังโจวโจวจะขยับตัวหนีโดยไม่ได้ตั้งใจ ความจริงแล้วเธออยากจะอยู่ให้ห่างไกลจากเมิ่งชิงซีให้มากที่สุด แล้วในที่สุดเมิ่งชิงซีก็เปิดปากพูด “โจวโจว เราไม่จำเป็นต้องเรียกกันห่างเหินแบบนี้นี่ เจอกันมาตั้งหลายครั้งแล้ว เรียกฉันว่าชิงซีก็พอ”


 


 


แววตาของเมิ่งชิงซีบ่งบอกว่า ‘ฉันให้ความสำคัญกับเธอมาก’ ได้ยินอย่างนั้นถังโจวโจวก็อยากจะหัวเราะให้ลั่น พวกเธอเคยเจอกันที่ไหนเล่า ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชิน พวกเธอสองคนก็คงจะไม่เจอกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น มีครั้งไหนบ้างที่เมิ่งชิงซีไม่อยากจะไล่เธอให้ออกไปพ้นทาง ถ้าจะบอกว่าคุ้นเคยกันจริงๆ ต้องบอกว่าคุ้นเคยกับการที่เมิ่งชิงซีพยายามจะกำจัดเธอมากกว่า


 


 


อย่างไรก็ตาม ถังโจวโจวก็จะไม่พูดมันออกมา เธอยังต้องรักษาท่าทีเอาไว้เพื่อประเมินสถานการณ์ แต่เธอก็ไม่อยากให้เมิ่งชิงซีรู้ว่าเธอกลัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่าถังโจวโจวจะทำทียอมอ่อนข้อให้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอโง่จนไม่รู้เท่าทันหรอกนะ


 


 


“คุณเมิ่งคะ ในเมื่อเราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว คุณก็ไม่ต้องเกริ่นอะไรแบบนี้หรอกค่ะ บอกฉันมาตามตรงเถอะว่าคุณมีธุระอะไรกับฉัน ถ้าไม่มีธุระอะไร ฉันก็จะขอตัวกลับก่อน เพราะเมื่อครู่นี้ลั่วเซ่าเชินเพิ่งบอกฉันว่าเขากำลังรอให้ฉันกลับไปทานข้าวกลางวันด้วย”


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยกเอาลั่วเซ่าเชินขึ้นมาพูด เมิ่งชิงซีก็ยิ่งเกลียดเธอ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วเซ่าเชินถูกชะตาเธอ ตอนนี้เธอก็คงจะไม่มีสิทธิ์มานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าแบบนี้หรอก แต่ถึงเมิ่งชิงซีจะไม่พอใจ ก็ยังคิดว่านี่เป็นความผิดส่วนหนึ่งของลั่วเซ่าเชินด้วย เธอจะโทษถังโจวโจวคนเดียวก็ไม่ถูก


 


 


อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่สามารถแสดงอาการโกรธออกมาต่อหน้าถังโจวโจวได้ เมิ่งชิงซีเก็บไฟโกรธเอาไว้ในใจและยิ้มให้ถังโจวโจว “โจวโจว ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับเธอหรอก ฉันแค่อยากมาแสดงความยินดีกับเธอ ถ้าเด็กคนนี้คลอดแล้วอายุครบหนึ่งเดือนเมื่อไร ฉันจะมาร่วมงานอย่างแน่นอน”


ตอนที่ 112 ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ

 


 


 


           ภายนอกของเมิ่งชิงซีแสดงออกว่ายินดี แต่ภายในใจของเธอนั้นอยากจะหาคนมาผลักถังโจวโจวให้รู้แล้วรู้รอดไป เธอจะได้แท้งลูกที่อยู่ในท้องเสียที แม้จะวาดฝันเอาไว้อย่างดี แต่ตอนนี้ถังโจวโจวก็ยังนั่งสงบสุขอยู่ตรงหน้าเธอ


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าเมิ่งชิงซียิ้มแย้มอย่างมีความสุข เธอก็นึกกลัวอยู่ในใจว่ามันจะไม่น่าจะสวยงามอย่างที่เห็น แต่ถังโจวโจวก็ไม่อยากจะคาดเดาว่าเธอโหดร้ายมากแค่ไหน “ขอบคุณค่ะ คุณเมิ่ง ลูกฉันคลอดเมื่อไร ฉันจะแจ้งให้คุณทราบค่ะ วางใจได้”


 


 


ถังโจวโจวลูบหน้าท้องของเธอ เธอเองก็ตั้งตารอคอยวันที่จะให้กำเนิดลูก ลูกคือความหวังของเธอ ความรู้สึกของลั่วเซ่าเชินนั้นบางทีมันก็เข้มข้น บางทีมันก็เจือจาง ซึ่งนั่นทำให้จิตใจเธอไม่เป็นสุข แต่ลูกให้ทุกอย่างกับเธอ ทำให้เธอมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมมาก นมมาพอดีเลย โจวโจวรีบดื่มสิ” ท่าทางของเมิ่งชิงซีผิดปกติมาก ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวผิดสังเกต ดูเหมือนว่าในนมจะมีสิ่งที่เธอสนใจเป็นพิเศษ และมันก็คงจะไม่ดีต่อเธอ มิเช่นนั้นเมิ่งชิงซีจะคอยเร่งให้เธอดื่มทำไม…


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไปอีกแล้ว ถ้าเมิ่งชิงซีคิดจะทำอะไร เธอจะทำให้รู้ตัวต่อหน้าแบบนี้เลยหรือ แต่ถังโจวโจวก็ยังคงปฏิเสธที่จะดื่มนมแก้วนี้อยู่ดี


 


 


เมิ่งชิงซียิ่งเกลียดเธอมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวระมัดระวังตัวอย่างนี้ แต่เธอก็ไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจอะไรออกมา เธอแค่รู้สึกว่ามันตลกดีที่ถังโจวโจวระแวงเธอ “วางใจเถอะ โจวโจว ในนมไม่มีอะไรหรอก เธอสบายใจได้”


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกได้ว่าเมิ่งชิงซีกำลังหัวเราะเยาะ เหมือนจงใจจะยั่วยุเธอ แต่ถังโจวโจวก็ไม่กล้าเสี่ยง “ฉันไม่อยากดื่มค่ะ คุณเมิ่ง ในเมื่อคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”


 


 


 เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าถังโจวโจวจะกลับแล้ว เธอก็ลุกขึ้นยืนตาม “ในเมื่อเธอไม่อยากดื่ม ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะกลับด้วย”


 


 


เมิ่งชิงซีทำทีราวกับว่าพวกเธอเป็นพี่น้องที่สนิทกัน เธอควงแขนถังโจวโจว ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก “ปล่อยได้ไหมคะ คุณเมิ่ง ต่างคนต่างไปดีกว่าค่ะ”


 


 


ถังโจวโจวทำให้เมิ่งชิงซีรู้สึกอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายที่อยู่ในร้าน เมื่อเมิ่งชิงซีถูกบีบบังคับด้วยคำพูดนั้น เธอจึงต้องปล่อยแขนของถังโจวโจว แต่เธอจะจำความแค้นครั้งนี้เอาไว้ ‘ยายถังโจวโจวนี่ใช้ไม่ได้เลย ฉันอุตส่าห์ไว้หน้าเธอ แต่เธอกลับไม่ไว้หน้าฉัน!’


 


 


เมื่อเธอเห็นว่าผู้คนเริ่มมองมาทางนี้ เมิ่งชิงซีก็ยิ่งโกรธ แต่เธอก็ไม่สามารถบันดาลโทสะออกมาได้ เธอย่ำเท้าตามจังหวะก้าวของถังโจวโจวไปด้วยความโกรธ


 


 


เธอได้ยินลูกค้าที่อยู่ในร้านพูดคุยกันเบาๆ ว่า “สองคนนี้นี่ยังไง ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเป็นศัตรูกัน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังแกล้งทำเป็นว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ซ้ำยังควงแขนอีกคนด้วย”


 


 


ลูกค้าอีกคนก็พูดต่อ “นั่นสิ น่าจะทะเลาะกันล่ะมั้ง”


 


 


เมื่อออกมาจากร้านกาแฟ ถังโจวโจวก็เดินออกไปนอกตัวห้างเลย แต่เมิ่งชิงซีก็ยังไล่ตามเธอมาทัน “โจวโจว เธอจะกลับบ้านเหรอ เดี๋ยวฉันไปส่ง” เมิ่งชิงซีอยากจะพาถังโจวโจวไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน


 


 


ถังโจวโจวสะบัดมือ “อย่าดีกว่าค่ะ คุณเมิ่ง เดี๋ยวเซ่าเชินจะมารับฉัน” ความจริงแล้วถังโจวโจวพูดโกหก ลั่วเซ่าเชินยังไม่ได้ส่งข้อความมาบอกเธอเลยว่าเขาจะมารับเธอ แต่เพื่อให้หลุดพ้นจากเมิ่งชิงซี ถังโจวโจวจึงจำต้องโกหกออกไป


 


 


เมิ่งชิงซียังไม่ยอมแพ้ เธอดึงแขนเสื้อของถังโจวโจว “โจวโจว แต่เซ่าเชินก็ยังไม่มาเลยนี่ ให้ฉันไปส่งเธอเถอะนะ” เมื่อถังโจวโจวไม่ยอม พวกเธอก็ดึงกันไปดึงกันมา เมิ่งชิงซีเห็นว่าการกระทำของพวกเธอสองคนเริ่มดึงดูดสายตาจากคนรอบข้าง


 


 


เธอต้องการดึงตัวถังโจวโจวไปหลบให้พ้นสายตาผู้คน แต่ถังโจวโจวขืนตัว สะบัดแขนจนหลุดจากมือของเมิ่งชิงซี ถังโจวโจวก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็ล้มลงไป จิตใต้สำนึกของเมิ่งชิงซีสั่งให้เธอดึงถังโจวโจวไว้ แต่เมื่อยื่นมือเข้าไปใกล้ถังโจวโจว เธอก็ชะงักลง


 


 


เธอคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้านี่จะทำให้ถังโจวโจวแท้งล่ะ มันจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเธอหรือ นี่เป็นสิ่งที่เธอหวังมานานไม่ใช่หรือ แม้ว่าความคิดนั้นจะวูบขึ้นมา แต่เมิ่งชิงซีก็เปลี่ยนความคิด


 


 


ถังโจวโจวทรงตัวไม่ได้และล้มลงไปด้านหลัง เธอปกป้องหน้าท้องของเธอโดยอัตโนมัติ เธอเห็นว่ามือของเมิ่งชิงซีเอื้อมมาใกล้เธอแล้ว แต่คว้าเธอเอาไว้ไม่ทัน เธอจึงล้มลง


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าตัวเองกลิ้งไปหลายรอบมากกว่าจะหยุดลง ร่างกายของเธอเจ็บจนชาไปหมด แต่ที่เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เห็นจะเป็นส่วนท้องของเธอ ถังโจวโจวหวาดกลัวขึ้นมา เธอยื่นแขนที่อ่อนแรงออกไปหาเมิ่งชิงซี “ชิงซี ช่วยลูกฉันด้วย ขอร้องล่ะ…”


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมาจากท้องของเธอ เธอเอื้อมมือลงไปแตะ แล้วก็พบว่ามันเปียกและเหนียวเหนอะหนะ เมื่อเธอยกมือขึ้นมาดู มันคือเลือดทั้งหมด


 


 


เธอยิ่งกังวลใจมากขึ้น แต่ร่างกายของเธอเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ ทันใดนั้น โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น ถังโจวโจวพยายามดูว่าใครเป็นคนโทรมา เธอคิดอยากจะให้ลั่วเซ่าเชินโทรมาบอกว่าเขาจะมารับเธอแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะใช่เขาไหม?


 


 


เมิ่งชิงซีตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นถังโจวโจวตกบันได แม้ว่าเมื่อครู่นี้เธอจะมีความคิดว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าถังโจวโจวตกบันได?’ แต่เธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าถังโจวโจวจะตกลงไปจริงๆ เธอเริ่มหวาดกลัวขึ้นอีกครั้ง ถ้าเซ่าเชินรู้ล่ะ เธอจะทำอย่างไรดี?


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าเมิ่งชิงซีไม่ตอบสนองอะไรเลย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังช็อก หรือว่าตั้งใจ แต่ถังโจวโจวรอไม่ได้แล้ว เธอจึงต้องตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่อยู่รอบข้าง “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยลูกฉันด้วย!”


 


 


แต่ผู้คนที่อยู่รอบตัวเธอก็ไม่แยแส ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากเข้าไปช่วย แต่พวกเขากลัวว่าถ้าพวกเขายื่นมือเข้าไปแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำ ซึ่งนั่นจะทำให้ประวัติของพวกเขาด่างพร้อย พวกเขาจึงค่อนข้างลังเล


 


 


ถังโจวโจวค่อนข้างสิ้นหวัง เสียงเรียกเข้าจากมือถือของเธอยังคงดังอยู่ แต่เธอก็เริ่มอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ พละกำลังที่มีก็ค่อยๆ หายไป เธอร้องเรียกเบาๆ ในปากว่า “เซ่าเชิน เซ่าเชิน…”


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าเลือดของถังโจวโจวไหลออกมามากขึ้น ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัวว่าตอนนี้เธอต้องพาถังโจวโจวไปที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ตึกๆๆ เธอวิ่งลงบันไดไปสองสามขั้น และคุกเข่าลงตรงหน้าถังโจวโจว เมื่อเห็นว่าดวงตาของถังโจวโจวใกล้จะปิด เธอก็ตบแก้มเรียกเบาๆ


 


 


“ถังโจวโจว ตื่นสิตื่น เธอจะหลับไม่ได้นะ ฉันจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาล” เมิ่งชิงซีควักโทรศัพท์ออกมา เธอกดหน้าจออยู่สองสามทีเพื่อแจ้งศูนย์พยาบาล จากนั้นเธอถึงรู้ว่าริมฝีปากของตัวเองสั่นเทามาก


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกเจ็บมาก เธอได้ยินเสียงร้องไห้ของลูกอยู่รางๆ เธอเองก็ร้องไห้เช่นกัน ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษที่ปกป้องหนูไม่ได้ ขอโทษนะ…


 


 


ถังโจวโจวขยับปากเล็กน้อย เมิ่งชิงซีก้มหน้าลงไปฟังใกล้ๆ ว่าถังโจวโจวกำลังพูดอะไร “เซ่าเชิน ลูก…” เมิ่งชิงซีมองดูสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ส่วนถังโจวโจวนั้นหมดสติไปแล้ว เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ของถังโจวโจวดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบหยิบมันออกมา


 


 


บนหน้าจอแสดงชื่อของหลินเหยา เมิ่งชิงซีไม่รู้ว่าควรจะรับหรือไม่ แต่โทรศัพท์แผดเสียงอยู่ตลอด ผู้คนรอบข้างก็ยังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีกัดฟันรับสายในที่สุด เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงรีบร้อนของหลินเหยาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน


 


 


“โจวโจว ทำไมเพิ่งรับสาย เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า”


 


 


เมิ่งชิงซีพูดตะกุกตะกัก “คุณเป็นเพื่อนของถังโจวโจวใช่ไหม ตอนนี้เธอประสบอุบัติเหตุ คุณช่วยมาที่โรงพยาบาลกลางหน่อยนะคะ”


 


 


หลินเหยาร้อนรนใจในทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เธอรีบถามว่า “คุณคือใครคะ ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับโจวโจว” ความคิดที่ไม่ดีทุกอย่างพุ่งเข้ามาในหัวสมองของเธอทันที แต่คนอีกฝั่งไม่ตอบ ก่อนจะวางสายไป


 


 


หลินเหยาไม่มีทางเลือก เธอคิดว่าต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับถังโจวโจวแน่ๆ เธอไม่โทรกลับไปอีก และเก็บของอย่างลวกๆ เธอออกไปเรียกรถแท็กซี่ เพื่อรีบไปที่โรงพยาบาล


 


 


หลินเหยารู้ว่าถังโจวโจวออกมาคนเดียว เธอไม่แน่ใจว่าลั่วเซ่าเชินรู้หรือเปล่าว่าถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ เธอรีบโทรหาลั่วเซ่าเชินทันที เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าหลินเหยาโทรเข้ามา เขาก็ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย


 


 


“ครับ คุณหลิน มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ลั่วเซ่าเชินเพิ่งจะเสร็จธุระจากฝั่งของหันฮุ่ยซิน เขากำลังจะออกเดินทางไปรับถังโจวโจว


 


 


น้ำเสียงของลั่วเซ่าเชินฟังดูใจเย็นมาก ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ หลินเหยารีบพูดทันที “ผอ. ลั่วคะ โจวโจวประสบอุบัติเหตุ คุณรีบไปที่โรงพยาบาลกลางนะคะ ส่วนที่เหลือฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันกำลังเดินทางไปอยู่ค่ะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ยินแค่เสียงเอะอะของหลินเหยา แต่ลั่วเซ่าเชินก็พอจะจับใจความได้ ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ…


 


 


“คุณไม่ได้หลอกผมใช่ไหม ล้อเล่นแบบนี้ไม่สนุกนะครับ?” ลั่วเซ่าเชินอยากจะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก แต่ในใจของเขารู้ดีว่าหลินเหยาไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุจริงๆ


 


 


“ลั่วเซ่าเชิน คุณคิดว่าฉันจะเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นหรือคะ” หลินเหยาคิดว่าถ้าลั่วเซ่าเชินอยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ เธอคงจะตบหน้าเขาสักที เรื่องแบบนี้เอามาพูดเล่นได้เหรอ


 


 


ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ตื่นกลัว “โอเค ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ” ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น เขาแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ


 


 


หันฮุ่ยซินปลีกตัวออกมาจากคนอื่นเพื่อมาหาลั่วเซ่าเชิน เธอเห็นว่าสีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไป เขาไม่สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าวิญญาณได้หลุดลอยออกไปแล้ว เธอถามด้วยความห่วงใยว่า “เซ่าเชิน เป็นอะไรไปคะ ทำไมสีหน้าของคุณดูไม่ดีเลยล่ะ”


 


 


“โจวโจวประสบอุบัติเหตุน่ะ ฮุ่ยซิน งานตรงนี้ก็เสร็จหมดแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ” ประจวบกับที่ฟังหยวนเดินผ่านมา เขาได้ยินสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูดพอดี “อะไรนะ! โจวโจวประสบอุบัติเหตุ? แล้วทำไมนายยังยืนบื้ออยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไปอีก!”


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่าลั่วเซ่าเชินยังยืนบื้ออยู่อย่างนั้น เขาก็อยากจะเคาะกะโหลกของลั่วเซ่าเชินสักหลายๆ ที นี่เขาไม่สนใจโจวโจวเลยเหรอ? เขายังมีเวลามายืนคุยกับหันฮุ่ยซินอยู่อีก!


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่กลัวฟังหยวนจะเข้าใจผิด เขาเอ่ยขอโทษหันฮุ่ยซิน ก่อนจะเดินตรงไปที่รถ หันฮุ่ยซินเดินตามเขามา “เซ่าเชิน ให้ฉันไปด้วยนะคะ ฉันเองก็เป็นห่วงเธอ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ปฏิเสธ หันฮุ่ยซินขึ้นไปบนรถของลั่วเซ่าเชิน ในขณะที่ฟังหยวนขับรถตามหลังลั่วเซ่าเชินไป สายตาของลั่วเซ่าเชินจับจ้องอยู่ที่ด้านหน้า แต่หัวของเขากลับคิดไปต่างๆ นานา ‘โจวโจวจะเป็นยังไงบ้าง ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดอุบัติเหตุได้?’


 


 


ลั่วเซ่าเชินทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น เมื่อคิดว่าในท้องของถังโจวโจวยังมีเด็กอยู่ เขาคิดว่าถ้าเด็กไม่อยู่แล้ว ถังโจวโจวจะเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน


 


 


หันฮุ่ยซินเห็นว่าลั่วเซ่าเชินค่อนข้างว้าวุ่นใจ เธอวางมือลงบนแขนของลั่วเซ่าเชินและพูดปลอบว่า “เซ่าเชิน ไม่ต้องกังวลนะ โจวโจวจะต้องไม่เป็นอะไร” หันฮุ่ยซินไม่กล้าพูดประโยคต่อไป เมื่อเธอคิดได้ว่าถังโจวโจวยังท้องอยู่ เธอก็คาดว่าอาการน่าจะไม่ค่อยดี


 


 


ดูเหมือนว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ได้ยินคำปลอบโยนของหันฮุ่ยซิน ตัวเขาตั้งใจขับรถ แต่ความจริงแล้วหัวใจของเขาได้บินไปหาถังโจวโจวถึงโรงพยาบาลแล้ว


ตอนที่ 113 รวมตัวกันที่โรงพยาบาล

 


 


 


           หันฮุ่ยซินไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เธอคอยสังเกตท่าทางของลั่วเซ่าเชินอยู่เงียบๆ ลั่วเซ่าเชินจอดรถที่หน้าโรงพยาบาล เขาไม่สนใจหันฮุ่ยซินอีกต่อไปและพุ่งตัวเข้าไปในโรงพยาบาล


 


 


ฟังหยวนตามมาติดๆ หันฮุ่ยซินวิ่งเหยาะๆ ตามลั่วเซ่าเชินไป ลั่วเซ่าเชินคว้าตัวพยาบาลมาคนหนึ่งและถามว่า “ขอโทษนะครับ เมื่อครู่นี้มีผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ถูกส่งตัวมาไหม”


 


 


“อ๋อ มีค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ” เพียงแค่ลมกระโชกพัดผ่าน ชายรูปงามที่อยู่ตรงหน้านางพยาบาลก็หายตัวไปแล้ว นางพยาบาลอยากจะรั้งลั่วเซ่าเชินเอาไว้ เพื่อบอกว่าห้องผ่าตัดอยู่ชั้นไหน แต่เมื่อเธอเห็นว่าเขาวิ่งขึ้นบันไดไป เธอก็เดาว่าเขาน่าจะพอรู้สถานที่ดี


 


 


ลั่วเซ่าเชินวิ่งขึ้นไปแล้ว ในขณะที่หันฮุ่ยซิน ถึงแม้จะอยากไล่ตาม แต่เธอก็อดทนได้ดีกว่าเขา เธอรอลิฟต์อย่างใจเย็น เมื่อลั่วเซ่าเชินวิ่งมาถึงหน้าห้องผ่าตัด เขาก็เห็นว่าเมิ่งชิงซีและหลินเหยายืนรออยู่ข้างนอก และดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังทะเลาะกัน


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่สนใจว่าพวกเธอทะเลาะเรื่องอะไรกันอยู่ เขากระชากข้อมือของเมิ่งชิงซีและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น โจวโจวประสบอุบัติเหตุได้ยังไง ตอนนั้นคุณก็อยู่ด้วยใช่ไหม!”


 


 


เมิ่งชิงซีพยายามแกะข้อมือตัวเองออกจากมือของลั่วเซ่าเชิน เขาบีบข้อมือเธอจนเจ็บ สีหน้าเมิ่งชิงซีบูดเบี้ยว เธอร้องตะโกนออกมา “เจ็บ! เจ็บค่ะ! เซ่าเชินคะ ฉันเจ็บนะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาตะคอกใส่เธอต่อ “เล่ามา! เมิ่งชิงซี เกิดอะไรขึ้นกับโจวโจว”


 


 


พยาบาลที่เดินผ่านมาเอ่ยตักเตือนลั่วเซ่าเชิน “ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ถ้าจะทะเลาะกัน เชิญด้านนอกค่ะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินตีหน้าขรึม เขาปล่อยมือของเมิ่งชิงซีอย่างไม่เต็มใจ เมิ่งชิงซีคลึงข้อมือข้างที่เขียวช้ำ เธอได้รู้แล้วว่าลั่วเซ่าเชินนั้นแข็งแรงแค่ไหน เมิ่งชิงซีนึกถึงท่าทางที่น่ากลัวของลั่วเซ่าเชินเมื่อครู่นี้ ราวกับว่าอีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะฆ่าเธอแล้ว


 


 


เมื่อหันฮุ่ยซินมาถึง ทุกคนต่างก็อยู่ในความสงบ ลั่วเซ่าเชิน ฟังหยวน และหลินเหยา พวกเขานั่งอยู่บนม้านั่งด้านนอกห้องผ่าตัดและจ้องไปที่ไฟสีแดงที่สว่างอยู่เหนือห้องผ่าตัด


 


 


หันฮุ่ยซินเห็นเมิ่งชิงซียืนพิงกำแพงอยู่ไกลๆ เธอเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว เธอจึงได้แต่นั่งเงียบๆ เท่านั้น


 


 


หลินเหยาเห็นเมิ่งชิงซียืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ หวนนึกไปถึงตอนที่เพิ่งจะมาถึง หลินเหยาพบแค่เมิ่งชิงซี หลินเหยาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้จะใช่เมิ่งชิงซีที่ถังโจวโจวเคยพูดถึงไหม


 


 


ดังนั้น เธอจึงถามอย่างสุภาพว่า “คุณคะ คุณชื่ออะไรคะ คุณพาโจวโจวมาส่งที่โรงพยาบาลใช่ไหม”


 


 


หลินเหยาคิดว่าบางทีถังโจวโจวอาจจะตกลงไปเองหรืออาจจะถูกผลักจนเกิดอุบัติเหตุ เธอไม่ได้คิดถึงใครเลย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้


 


 


เมิ่งชิงซีมองดูหลินเหยาที่จู่ๆ ก็เข้ามาหาอย่างรีบร้อน เธอคิดว่านี่น่าจะเป็นเพื่อนของถังโจวโจว “ฉันชื่อเมิ่งชิงซี ฉันพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาลเองค่ะ”


 


 


เมื่อหลินเหยาได้ยินชื่อของเมิ่งชิงซี เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอจึงรีบถามทันที “คุณเองเหรอ? แล้วคุณไปอยู่กับโจวโจวได้ยังไง ที่เธอประสบอุบัติเหตุเป็นเพราะคุณเป็นคนทำหรือเปล่า”


 


 


หลินเหยาสงสัยเป็นอย่างมาก ตอนที่ถังโจวโจวเล่าวีรกรรมที่เมิ่งชิงซีทำให้เธอฟัง ถังโจวโจวดูไม่ค่อยชอบเธอเท่าไร และจากที่หลินเหยาได้ยินมา เธอไม่คิดเลยว่าเมิ่งชิงซีจะน่ารังเกียจได้ขนาดนี้ รู้อยู่แล้วว่าลั่วเซ่าเชินมีภรรยาแล้ว แต่ก็ยังจะเข้ามาตอแยอีก ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวลำบากใจเป็นอย่างมาก


 


 


เมิ่งชิงซีไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินในสิ่งที่หลินเหยาพูด ตอนนี้สภาพจิตใจเธอกลับคืนเป็นปกติแล้ว เธอจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “นี่คุณ มีสติหน่อยค่ะ ฉันเป็นคนพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาลนะ แต่ทำไมคุณถึงคิดว่ามันเป็นความผิดของฉันล่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด”


 


 


หลินเหยามองเธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว แต่ก็ทำอะไรเธอมากกว่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน มันเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ถ้าเมิ่งชิงซีไม่ยอมรับ หลินเหยาก็ทำอะไรเธอไม่ได้


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินมาถึง เขาก็เห็นว่าพวกเธอสองคนตาขวางใส่กันแบบนี้ไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเมิ่งชิงซีเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อุบัติเหตุของถังโจวโจว เธอต้องมีส่วนด้วยอย่างแน่นอน


 


 


ฟังหยวนไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้เขาแค่สวดอ้อนวอน ขอให้ถังโจวโจวไม่เป็นไร ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาค่อยจัดการหลังจากที่ถังโจวโจวหายดีแล้ว


 


 


หลังจากรอมาหลายชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก เมื่อลั่วเซ่าเห็นคุณหมอเดินออกมา เขาก็ลุกขึ้นถามในทันที “คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้าง”


 


 


“เสียใจด้วยนะครับ เราพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว เรารักษาเด็กเอาไว้ไม่ได้” คำพูดของคุณหมอดังก้องอยู่ในโสตประสาทของลั่วเซ่าเชิน เขาถูกโจมตีด้วยข่าวนี้อย่างรุนแรง นี่โจวโจวรู้ไหม ถ้าเธอรู้เธอจะเสียใจมากแค่ไหน?


 


 


“แล้ว…ภรรยาผมล่ะครับ” ลั่วเซ่าเชินทำได้แค่ซ่อนความเศร้าของตัวเองเอาไว้ เขาพุ่งความสนใจไปที่ถังโจวโจว เด็กไม่อยู่แล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่ถังโจวโจวปลอดภัยก็พอ


 


 


“เรื่องนี้คุณสบายใจได้ครับ ตอนนี้ผู้ป่วยยังไม่ฟื้นเนื่องจากดมยาสลบไป เดี๋ยวเราจะย้ายผู้ป่วยไปที่ห้องนะครับ แล้วคุณก็ตามไปได้เลย” เมื่อคุณหมอพูดจบก็กลับเข้าไปในห้องผ่าตัด


 


 


เมิ่งชิงซีดีใจมากที่ได้ยินว่าในที่สุดถังโจวโจวก็แท้งลูก แต่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินและคนอื่นๆ ยังอยู่ที่นี่ เธอไม่สามารถแสดงอาการออกมาได้ในตอนนี้ เธอต้องทำเป็นโศกเศร้า เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอ


 


 


หันฮุ่ยซินกุมมือแน่น เธอรู้ว่าเธอไม่ควรดีใจเมื่อได้ยินว่าถังโจวโจวแท้งลูก เธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าและพยายามควบคุมตัวเอง เธอแค่รู้สึกว่าก้อนหินก้อนใหญ่ที่บังอยู่ตรงหน้าเธอได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว


 


 


ถังโจวโจวแท้งลูก ทีนี้ก็ไม่มีสิ่งเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างอาเชินกับเธอแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เธอสามารถขออาเชินคืนได้แล้ว


 


 


เมื่อหลินเหยาได้ยินว่าถังโจวโจวแท้งลูก เธอก็แอบเกลียดตัวเองอยู่นิดหน่อย เธอไม่น่าง่วนอยู่กับงานสับปะรังเคอะไรนั่นเลย ถ้าเธอออกมากับโจวโจว เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น


 


 


หลินเหยาหันไปมองเมิ่งชิงซี เธอเห็นว่าหล่อนก็ดูเจ็บปวดอยู่ แต่หลินเหยาก็ยังรู้สึกว่าเมิ่งชิงซีเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างเป็นไปได้สูง ติดตรงที่ตอนนี้เธอยังไม่มีหลักฐาน เธอจึงได้แต่มองดูเมิ่งชิงซีลอยนวลอยู่ตรงนี้


 


 


ฟังหยวนเจ็บใจแทนถังโจวโจว เขาชกลั่วเซ่าเชินไปหนึ่งหมัด หันฮุ่ยซินร้องเสียงแหลมและขวางหน้าลั่วเซ่าเชินเอาไว้ “ฟังหยวน คุณทำบ้าอะไร อาเชินไม่ได้ทำอะไรผิดนะ คุณต่อยเขาทำไม”


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าหันฮุ่ยซินมีท่าทางเคร่งเครียด เธอก็หรี่ตามอง ผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่รักแรกของลั่วเซ่าเชินหรอกนะ อาเชินงั้นเหรอ เรียกซะสนิทสนมเชียว


 


 


“คุณหันคะ ทำไมซีเรียสจัง ผอ. ลั่วยังไม่ได้ว่าอะไร คุณก็ออกโรงแทนเขา คุณเป็นอะไรกับเขาหรือคะ” เมื่อหลินเหยายืนยันตัวตนของหันฮุ่ยซินได้แล้ว เธอก็พูดอย่างไม่เกรงใจ


 


 


ตอนนี้โจวโจวยังไม่ฟื้น เธอทนดูผู้หญิงคนอื่นกางปีกปกป้องสามีของโจวโจวไม่ได้ หลินเหยารู้สึกว่าการที่ฟังหยวนต่อยเขานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นอกจากเธอจะโทษตัวเองแล้ว เธอก็ยังอยากจะตำหนิลั่วเซ่าเชินด้วย


 


 


วันนี้เป็นวันตรวจครรภ์ของถังโจวโจว แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ หลินเหยาหันกลับมาถามลั่วเซ่าเชิน “ผอ. ลั่วคะ วันนี้โจวโจวมีนัดตรวจครรภ์ คุณไปไหนมาหรือคะ”


 


 


“อาเชินก็ยุ่งอยู่ทุกวัน เขาก็มีธุระของเขาสิ คุณจะถามทำไม” จิตใตสำนึกของหันฮุ่ยซินสั่งให้เธอออกโรงแทนลั่วเซ่าเชิน แต่หลินเหยากลับเอาความโกรธมาลงไว้ที่หันฮุ่ยซิน


 


 


“ขอโทษนะคะ คุณเป็นใคร ฉันถามผอ. ลั่ว เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”


 


 


“นี่คุณ…”


 


 


“เอาละ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว หลินเหยา เดี๋ยวผมอธิบายกับโจวโจวเอง เรื่องนี้ผมเองก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน” เหมือนว่าลั่วเซ่าเชินจะถูกโจมตีอย่างแรง ฟังหยวนต่อยเขา แต่เขาก็ไม่ได้ต่อยกลับ


 


 


หลังจากฟังหยวนต่อยลั่วเซ่าเชินแล้วก็ยืนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน ลั่วเซ่าเชินมองไปที่เขา “อาหยวน ฉันรู้ว่านายอยากออกหน้าแทนโจวโจว แต่ฉันจะย้ำอีกครั้ง ไม่ว่าตอนนี้ถังโจวโจวจะเป็นยังไง แต่เธอเป็นของฉัน ฉันจะไม่เอาความกับหมัดนี้”


 


 


ฟังหยวนเพียงแค่แสยะยิ้มออกมา “ฉันก็เคยบอกนายไปแล้วเหมือนกัน ถ้านายไม่ดีกับโจวโจว ฉันจะพาเธอหนีไปให้ได้สักวัน”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูแล้วล่ะว่าเธอจะยอมไหม” คำพูดของลั่วเซ่าเชินทำเอาฟังหยวนจุกจนพูดไม่ออก จริงสินะ เขาพาเธอหนีแล้วจะได้อะไร แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะทำให้ถังโจวโจวเจ็บเจียนตาย แต่เธอก็คงจะไม่ยอมไปจากเขา เพราะเธอรักเขา


 


 


ลั่วเซ่าเชินต้องอาศัยความรู้สึกของเธอ ดังนั้นจึงได้เปรียบกว่าเขา ฟังหยวนถอยออกมาและไม่พูดอะไรอีก เขาแค่รอให้ถังโจวโจวออกมา


 


 


ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้ถังโจวโจวถูกเข็นออกมา เธอหลับสนิท ใบหน้าของเธอดูซีดเซียว ลั่วเซ่าเชินถลาตัวเข้าไปหาเธอและเดินประกบเตียงเธอไปจนถึงห้องพักผู้ป่วยพร้อมกับพยาบาล


 


 


เมื่อเขามองดูเรือนผมของถังโจวโจวที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ทันใดนั้นลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกชื้นที่ดวงตา ราวกับว่ามีน้ำตาไหลออกมา และเมื่อเขาเงยหน้ามองฟ้า เขาก็กลั้นมันไว้ได้


 


 


พวกเขาเดินตามถังโจวโจวมาจนถึงห้องพักผู้ป่วย เมื่อพยาบาลออกไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็มองดูถังโจวโจวที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้น จากนั้นก็มองไปที่หลินเหยา “คุณหลินครับ รบกวนช่วยดูโจวโจวด้วยนะครับ ผมต้องออกไปจัดการอะไรนิดหน่อย”


 


 


“ค่ะ” หลินเหยาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เอาแต่มองไปที่ถังโจวโจว


 


 


ลั่วเซ่าเชินสืบเท้าเข้าไปหาเมิ่งชิงซีและพูดเบาๆ ว่า “คุณมากับผม” ลั่วเซ่าเชินเดินไปข้างหน้า แม้ว่าเมิ่งชิงซีจะลังเล แต่เธอก็เดินตามเขาไป


 


 


เธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินหยุดยืนอยู่ที่หน้าต่างบานหนึ่งและมองออกไปด้านนอก เขาไม่พูดอะไรเลยสักคำ เมิ่งชิงซีรู้สึกเป็นกังวล เธอไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร


 


 


ลั่วเซ่าเชินเงียบอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า “เมิ่งชิงซี บอกผมมาตามตรง เรื่องนี้คุณเป็นคนทำใช่ไหม”


 


 


           เสียงของเขาเย็นชามาก เมิ่งชิงซีไม่เคยได้รับน้ำเสียงแบบนี้จากเขามาก่อน เธอกำมือแน่นและให้กำลังใจตัวเอง ‘เมิ่งชิงซี อย่ากลัวไปเลย เซ่าเชินไม่มีหลักฐาน เธอก็แค่ต้องกัดฟันสู้ ไม่ต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เดี๋ยวมันก็ผ่านพ้นไป’


 


 


“เซ่าเชินคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันเลยนะ ตอนนั้นฉันจะพาโจวโจวไปส่งที่บ้าน แต่เธอทำอีท่าไหนไม่รู้ถึงได้ล้มลงไปได้ ฉันดึงเธอไม่ทัน พอฉันเห็นเธอล้มลงไปกับพื้น ฉันก็รีบพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาล เรื่องต่อจากนั้นคุณเองก็เห็นแล้ว”


 


 


เมิ่งชิงซีพูดอย่างไร้เดียงสา ราวกับว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยกับเรื่องนี้ ลั่วเซ่าเชินกลับถามถึงเรื่องอื่น “ได้ ผมจะเชื่อคุณไปก่อนก็แล้วกัน แล้วคุณบอกผมได้ไหมว่าทำไมคุณถึงอยู่กับโจวโจวได้”


 


 


เมิ่งชิงซีเล่าต่อไปว่า เธอพบกับถังโจวโจวที่ร้านขายของสำหรับเด็ก เธอเว้นส่วนการปะทะเอาไว้ ลั่วเซ่าเชินไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อ เมื่อเมิ่งชิงซีเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน


 


 


เมิ่งชิงซียืนอยู่ตรงหน้าลั่วเซ่าเชินด้วยความกังวลใจ เธอนึกถึงสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกไป แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติ ต่อให้ลั่วเซ่าเชินสงสัยในตัวเธอ แต่เขาก็จับผิดอะไรจากคำพูดเธอไม่ได้ เธอจะต้องมั่นคงเอาไว้ ห้ามหลงกลไปตามน้ำเสียงคุกคามของเขา ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด


ตอนที่ 114 ลูกไม่อยู่แล้ว

 


 


 


 


           เมื่อเมิ่งชิงซีปลอบใจตัวเองแบบนี้ เธอก็ยิ่งไม่ยี่หระ ลั่วเซ่าเชินไม่แน่ใจมากนัก เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ เมิ่งชิงซีเห็นว่าลั่วเซ่าเชินยังคงจ้องมองมาที่เธอ เธอก็ปิดหน้าและร้องไห้ทันที “เซ่าเชิน คุณไม่เชื่อฉันหรือคะ ฉันไม่ได้ทำอะไรโจวโจวจริงๆ นะ” 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ใจอ่อนเพราะเมิ่งชิงซีร้องไห้ “เมิ่งชิงซี เดี๋ยวผมจะส่งคนไปตรวจกล้องวงจรปิด เท่านี้ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว” หลังจากนั้น ลั่วเซ่าเชินก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย พร้อมกับยกหูโทรศัพท์โทรสั่งหวังหวาให้ทำอะไรสักอย่าง 


 


 


           ในหัวของเมิ่งชิงซีได้ยินแต่เสียงดัง ตู้ม! เธอเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี? ที่เธอพูดออกไปอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นคนทำ และความจริงแล้วถังโจวโจวก็ตกลงไปเอง เธอก็แค่คว้าเอาไว้ไม่ทันเท่านั้น 


 


 


           แต่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินบอกว่าจะตรวจสอบกล้องวงจรปิด ในที่สุดเมิ่งชิงซีก็เริ่มหวาดกลัว เธอจะทำอย่างไรดี เธอไม่ได้นึกถึงเรื่องของกล้องวงจรปิดเลย เกิดลั่วเซ่าเชินรู้ความจริงขึ้นมา แล้วเธอจะยังมีโอกาสเป็นคุณผู้หญิงลั่วได้อย่างไร? 


 


 


           เมิ่งชิงซีลนลานไปหมด แต่เธอก็ไม่กล้าแสดงอาการออกมา เธอต้องแสร้งทำเป็นนิ่ง แม้ความจริงแล้วอุ้งมือของเธอจะเต็มไปด้วยเหงื่อก็ตาม 


 


 


           เมิ่งชิงซีไม่อยู่ให้เสียเวลา เธอรีบกลับไปขอความช่วยเหลือจากฉินอวิ๋น ดูซิว่าคุณแม่พอจะมีหนทางช่วยเธอได้บ้างไหม ลั่วเซ่าเชินเห็นเมิ่งชิงซีรีบหนีไป ดวงตาของเขานิ่งสนิทและลึกล้ำเหมือนน้ำหมึก ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ 


 


 


           เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย เขาเห็นหันฮุ่ยซินนั่งอยู่ทางด้านหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเธออีก ส่วนฟังหยวนและหลินเหยาก็เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียงของถังโจวโจวทั้งสองข้าง 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่รู้จะบอกคุณพ่อคุณแม่ลั่วว่าอย่างไร ไหนจะคุณพ่อและคุณแม่ถังอีก เขาควรจะรับมืออย่างไร ลั่วเซ่าเชินอยู่ข้างหลินเหยา เมื่อหลินเหยาเห็นว่าเขากลับมาแล้ว เธอก็ถอยออกมา แม้ว่าหลินเหยาจะตำหนิลั่วเซ่าเชินอยู่ในใจ แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้ถังโจวโจวต้องการเขามากที่สุด 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่ปฏิเสธ เขานั่งลงตรงที่หลินเหยานั่งเมื่อครู่และค่อยๆ ลูบมือของถังโจวโจวอย่างอ่อนโยน เมื่อเขาเห็นว่าริมฝีปากของเธอแห้งผาก เขาก็หยิบแก้วน้ำจากข้างเตียงมา แล้วจุ่มคอตตอนบัดลงไปในนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ แตะลงไปบนริมฝีปากของถังโจวโจว 


 


 


           หลินเหยาถอยออกไปจากห้องพักผู้ป่วยเงียบๆ ตอนนี้ถังโจวโจวยังไม่ฟื้น มันไม่มีประโยชน์ที่เธอจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ นอกจากนี้ ก็ยังมีลั่วเซ่าเชินก็คอยดูแลเธออย่างใกล้ชิด เธอสามารถไว้วางใจได้ชั่วคราว 


 


 


           ฟังหยวนเห็นหลินเหยาเดินออกไป เขาก็เดินตามไปด้วย แต่ก่อนที่เขาจะไป เขามองไปยังหันฮุ่ยซินที่นั่งเงียบอยู่ เขาคิดว่าเธอคงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น มองลั่วเซ่าเชินที่ดูแลถังโจวโจวอย่างอ่อนโยน 


 


 


           ฟังหยวนไม่รู้ว่าตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไร แต่เขาทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ยิ่งเขามองมากเท่าไร ชายคนนั้นก็ยังไม่ใช่เขา เขาเกลียดตัวเองที่มาช้า เขาแพ้ให้กับเวลา ไม่อย่างนั้นเขาจะยอมปล่อยให้ลั่วเซ่าเชินเป็นเจ้าของเธออยู่อย่างนี้ได้อย่างไร 


 


 


           หันฮุ่ยซินเห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่หันกลับมาคุยกับเธอ เธอรู้ว่าเธอควรจะออกไปเช่นกัน เธอเพียงอยากจะถามลั่วเซ่าเชินว่าเขาอยากให้เธอซื้ออะไรมาให้เขากินรองท้องไหม แต่เธอเห็นเขาเอาแต่มองถังโจวโจวที่นอนอยู่บนเตียง หันฮุ่ยซินก็พูดอะไรไม่ออก 


 


 


           หรือหากพูดออกไปแล้ว เขาก็อาจจะไม่ได้ยิน ฉะนั้นไม่พูดคงดีกว่า หันฮุ่ยซินเดินไปที่ประตูอย่างเงียบๆ และออกไป เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็กุมมือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือของถังโจวโจวขึ้นมาและประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ 


 


 


           เมื่อไม่มีใครอยู่ ลั่วเซ่าเชินก็กลั้นน้ำตาที่ทนเก็บไว้มานานต่อไปไม่ไหว เขาร้องไห้ออกมา เขามองดูถังโจวโจวที่ทนทุกข์ทรมาน แต่เขากลับมาหาเธอไม่ทัน เขานึกเสียใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่มาโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอ ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่สงสัยเลยสักนิด เรื่องนี้เมิ่งชิงซีต้องมีเอี่ยวอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ถังโจวโจวยังไม่ฟื้น ลั่วเซ่าเชินจึงทำอะไรเมิ่งชิงซีไม่ได้ รอให้ถังโจวโจวฟื้นก่อน แล้วเมิ่งชิงซีจะได้เห็นดีกัน 


 


 


           ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนว่ามือของเธอถูกกุมเอาไว้ด้วยมือของใครอีกคนอยู่นาน แล้วเธอก็รู้สึกว่ามันเปียกชื้น เธอได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ ใครกำลังร้องไห้อยู่หรือ? 


 


 


           ถังโจวโจวเปิดตามองอย่างอ่อนแรง เธอพบว่าลั่วเซ่าเชินกุมมือเธออยู่ พอดีกับที่หยาดน้ำตาอุ่นๆ หลั่งลงมากระทบมือของเธอ ถังโจวโจวรู้สึกได้จริงๆ และเธอตกตะลึงมาก นี่เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ลั่วเซ่าเชินจะร้องไห้ได้อย่างไร? นี่มันต้องเป็นเรื่องล้อเล่นกันแน่ๆ 


 


 


           แต่สัมผัสบนมือของเธอทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้ฝันไป แล้วเธอก็มีอาการเจ็บปวดตามร่างกาย หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ ถังโจวโจวก็รู้สึกเจ็บ ความเจ็บนี้ย้ำเตือนให้เธอรู้ว่า ลูกของเธอไม่อยู่แล้ว 


 


 


แต่เธอยังไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง เธอมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยสายตาคาดหวัง “เซ่าเชิน ลูกของฉัน…” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่กล้าสบตาถังโจวโจว เขาควรจะพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้ถังโจวโจวเสียใจ …ถังโจวโจวได้รับคำตอบจากความเงียบของเขา 


 


 


เสียงทุ้มต่ำของเธอดังก้องอยู่ในหูของลั่วเซ่าเชิน “…ลูกของฉัน เขาไม่อยู่แล้วใช่ไหมคะ” ก่อนที่ถังโจวโจวจะสลบไป เธอก็แน่ใจแล้ว ตกเลือดซะขนาดนั้นจะรักษาเด็กเอาไว้ได้อย่างไร 


 


 


เธอแค่อยากจะดูว่ามันพอจะมีปาฏิหาริย์บ้างไหม แต่พระเจ้ากลับไม่ช่วยเธอเลย ปาฏิหาริย์ที่เธอเฝ้ารอคงไม่มีทางมาถึงแล้ว ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดที่หัวใจ เธอเจ็บเสียจนอยากจะตายไปแบบนี้เลย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นเธอคว้าจับเสื้อตรงหน้าอก เขาดูออกว่าเธอผิดปกติไป เขาละทิ้งความเศร้าของตัวเองชั่วคราว รีบเอ่ยปลอบเธอทันที “โจวโจว หายใจเข้าลึกๆ ผมเองก็เสียใจเหมือนคุณ แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว คุณไม่ต้องร้องไห้นะ คุณเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งเสียใจ” 


 


 


คำปลอบโยนของลั่วเซ่าเชินไม่ได้ผล ถังโจวโจวยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าลูกของเธอไม่อยู่กับเธอแล้วแน่นอน ทำไมถึงไม่อยู่แล้วล่ะ? ทำไมถึงไม่อยู่แล้ว? ถังโจวโจวเฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ 


 


 


เธอนึกถึงช่วงเวลาตั้งแต่รู้เรื่องนี้ เป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่เธอเคยได้แบ่งลมหายใจ ได้ใช้ชีวิตร่วมกับลูก จู่ๆ เขาก็จากเธอไปกะทันหันแบบนี้ ถังโจวโจวไม่รู้ว่าควรจะรักษาความเจ็บปวดนี้อย่างไร 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองดูถังโจวโจวครางฮือในลำคอ เธอกัดริมฝีปากแน่นและไม่ส่งเสียงร้องออกมา เขากลัวว่าเธอจะทำร้ายตัวเอง เขาจึงยื่นแขนออกไปตรงหน้าถังโจวโจว “โจวโจว อย่ากัดปากตัวเอง ถ้าคุณทนไม่ไหว คุณก็กัดผม” 


 


 


ถังโจวโจวมองไปที่ลั่วเซ่าเชินด้วยน้ำตาคลอเบ้า และในที่สุดเธอก็นึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้ก็สูญเสียลูกไปเหมือนกัน เขาก็เจ็บปวดเหมือนกับเธอ เธอโถมตัวเข้าไปหาเขาและร้องไห้ “เซ่าเชิน เซ่าเชิน ลูกไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว…” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกอดเธอไว้แน่น เขาไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้คำพูดใดๆ ก็ไม่สามารถลดทอนความเจ็บปวดของถังโจวโจวได้ ปล่อยให้เธอร้องไห้ดีกว่า ให้เธอได้ระบายความเจ็บปวดและความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมา  


 


 


เมื่อพยาบาลเข้ามาตรวจและเห็นว่าถังโจวโจวร้องไห้อย่างหนัก เธอก็รีบเอ่ยเตือนว่า “ร้องไห้ไม่ได้แล้วนะคะ คุณเพิ่งแท้งลูก ไม่อย่างนั้นจะยิ่งเป็นอันตรายนะคะ” 


 


 


พอลั่วเซ่าเชินได้ยินว่าการร้องไห้ของถังโจวโจวเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเธอเอง เขาก็รีบพูดปลอบใจ “โจวโจว หยุดร้องไห้เถอะนะ เดี๋ยวเรามีลูกด้วยกันอีกก็ได้” 


 


 


ถึงอย่างนั้นถังโจวโจวก็ยังเอาแต่ร้องไห้ “เซ่าเชิน แต่เด็กคนนี้เขาไม่กลับมาอีกแล้ว” ไม่ว่าหลังจากนี้เธอจะมีลูกอีกกี่คน แต่ก็ไม่ใช่คนนี้ ‘เขาจะโทษแม่ของเขาไหมที่ไม่ได้ปกป้องเขาให้ดี โทษฉันคนนี้ว่าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องไหม?’ 


 


 


ความคิดนับพันผุดขึ้นมาในหัวของถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น เขาจึงทำได้แค่เพียงประคองเธอนอนลง “โจวโจว คุณอย่าคิดมากอีกเลยนะ นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ อย่างที่คุณพยาบาลบอก คุณไม่ควรร้องไห้แล้ว” 


 


 


แต่ถังโจวโจวไม่ฟัง เธอหันหน้าไปอีกด้านและมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำตาของเธอเปียกโชกเต็มหมอน  


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้แต่ถอนหายใจและโทรหาหลินเหยา “โจวโจวฟื้นแล้วครับ รบกวนคุณหาซื้อโจ๊กขึ้นมาให้หน่อยนะครับ” 


 


 


จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็โทรหาคุณแม่ลั่ว เขาขอให้เธอส่งคนขับรถไปรับลั่วอิงและพาไปส่งที่บ้านของพวกเขา คุณแม่ลั่วถามถึงเหตุผล ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ เขาบอกแค่ว่าคืนนี้เขาและถังโจวโจวจะไปร่วมงานเลี้ยงงานหนึ่ง เขากลัวว่าลั่วอิงจะไม่ปลอดภัยหากอยู่บ้านคนเดียว 


 


 


คุณแม่ลั่วหมดความสงสัยและรับคำอย่างดี เมื่อลั่วเซ่าเชินปิดโทรศัพท์ เขาก็โล่งใจไปได้ชั่วครู่ แต่เมื่อคิดถึงฝั่งคุณพ่อและคุณแม่ถัง เขาก็ปวดหัวขึ้นมาอีก เขาอยากจะบอกพวกท่านทั้งสอง แต่ก็กลัวว่าพวกท่านจะยิ่งกังวล ถ้าไม่บอกพวกท่านอาจจะมากล่าวโทษในภายหลังได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินสับสนอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้น ถังโจวโจวก็โพล่งออกมา ซึ่งนั่นทำให้เขาตัดสินใจได้ “เซ่าเชินคะ ฉันอยากให้แม่มาอยู่เป็นเพื่อน” 


 


 


“ได้สิ เดี๋ยวผมจะโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ของคุณให้” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าหลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าเธอได้ยินในสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า 


 


 


ลั่วเซ่าเชินโทรหาคุณแม่ถัง เขาไม่ได้บอกเรื่องที่ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุ เขาแค่ขอให้คุณแม่ถังมาที่โรงพยาบาลโดยเร็ว 


 


 


แต่คุณแม่ถังความรู้สึกไว เธอรู้สึกได้ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับถังโจวโจว มันเป็นลางสังหรณ์ของเธอ เธอบอกคุณพ่อถังทันที และพวกเขาก็รีบพากันไปที่โรงพยาบาล 


 


 


หลินเหยารีบกลับมาพร้อมกับโจ๊กที่ลั่วเซ่าเชินต้องการ นอกจากนี้เธอยังซื้อมาเผื่อลั่วเซ่าเชินด้วย เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวฟื้นแล้ว หลินเหยาก็นั่งลงข้างๆ เตียง ถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยามาแล้ว น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาอีกรอบ เธอสะอึกสะอื้นเรียก “เหยาเหยา…” แค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก 


 


 


หลินเหยามองดูถังโจวโจวร้องไห้อย่างเศร้าโศก เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตาม ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าการปรากฏตัวของหลินเหยากระตุ้นต่อมน้ำตาของถังโจวโจว เขาจึงรีบเอ่ยเตือนในทันที “โจวโจว ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง มันไม่ดีต่อสุขภาพคุณ” 


 


 


หลินเหยาได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอควรจะทำอย่างไร เธอสั่งให้ถังโจวโจวหยุดน้ำตาทันที “ใช่ โจวโจว ตอนนี้เธออยู่ในช่วงพักฟื้น ฉันฟังมาจากคนเฒ่าคนแก่ ในช่วงพักฟื้นห้ามร้องไห้เด็ดขาด มันไม่ดีต่อสุขภาพ” 


 


 


แต่ถังโจวโจวกลั้นไม่ไหว “เหยาเหยา ฉันเสียใจ…” ในขณะที่เธอร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ หลินเหยาก็ได้แต่โอบกอดเธอเอาไว้และปล่อยให้เธอร้องไห้จนพอใจ 


 


 


“อย่าเสียใจไปเลยนะ โจวโจว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” 


 


 


หลังจากร้องไห้ไปสักพัก ในที่สุดถังโจวโจวก็หยุดร้อง หลินเหยาใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาให้เธอ ถังโจวโจวราวกับคนล่องลอยก็ไม่ปาน เธอไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว หลินเหยารู้ว่าถังโจวโจวได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ 


 


 


ถังโจวโจวเป็นคนมองโลกในแง่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะสูญเสียลูก เธอจะเศร้าใจขนาดนี้ได้อย่างไร หลินเหยาเองก็จนปัญญาที่จะปลอบเธอ ด่านนี้เธอต้องฝ่าฟันไปด้วยตัวเองให้ได้ ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ถ้าเธอไม่ฟัง มันก็ไม่มีความหมาย 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอสงบลงแล้วเล็กน้อย เขาก็ตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งช้อนและยื่นไปที่ปากของถังโจวโจว เขาพูดเสียงเบาว่า “โจวโจว กินโจ๊กหน่อยนะ ตอนนี้ร่างกายคุณต้องหิวแล้วแน่ๆ สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญนะ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากอาหารเลยสักนิด แต่ลั่วเซ่าเชินก็ไม่ย่อท้อ เขาพูดโน้มน้าวเธอต่อไป 


 


 


“โจวโจว ฟังนะ ผมเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อยไปกว่าคุณ แต่ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไปนะ” 


 

 

 


ตอนที่ 115

 

   ถังโจวโจวยังคงเพิกเฉย เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เขาจึงวางโจ๊กลง เขาเกลี้ยกล่อมเธอไม่ได้ เขาได้แต่รอให้แม่ยายของเขามาเกลี้ยกล่อมเธอ อาจจะได้ผลมากกว่า 


 


 


           หลินเหยาไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงแต่บีบมือของถังโจวโจวไว้ เพื่อให้เธอยืมพลังงาน และเพื่อให้ความกล้าหาญแก่ถังโจวโจว 


 


 


           คุณพ่อและคุณแม่ถังมาถึงในไม่ช้า คุณพ่อถังยังไม่ทันได้ทำอะไร พอคุณแม่ถังเข้ามาและเห็นท่าทางเหม่อลอยของถังโจวโจว เธอก็หลั่งน้ำตาในทันที เธอร้องไห้กอดถังโจวโจวและพูดว่า “โจวโจว แม่มาแล้ว แม่มาแล้วลูก” 


 


 


           เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าตรงหน้าของเธอคือคุณแม่ถังจริงๆ น้ำตาของเธอก็เอ่อล้นขึ้นมา เธอเพียงร้องไห้กระซิก แต่คุณแม่ถังอยากให้เธอร้องไห้ออกมาดังๆ มากกว่าที่เธอจะต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อยู่แบบนี้ “โจวโจว ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร แม่อยู่ตรงนี้แล้ว” 


 


 


           เมื่อคุณพ่อถังเห็นสองแม่ลูกร้องไห้กันเงียบๆ เขาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ถังโจวโจวเอาแต่กอดและร้องไห้กับคุณแม่ถัง บรรยากาศในห้องชวนหดหู่มาก 


 


 


           หลินเหยามองดูด้วยความสะเทือนใจ เธอไม่เคยเห็นถังโจวโจวเสียใจขนาดนี้มาก่อน การสูญเสียลูกในครั้งนี้ ทำให้โจวโจวถึงกับหมดอาลัยตายอยาก 


 


 


           เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวเสียใจแบบนี้ เขาก็ยิ่งโทษตัวเอง แต่ตอนนี้คุณแม่ถังกำลังปลอบเธออยู่ เขาไม่ควรพูดแทรก ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าพอเขาเปิดปากพูด ถังโจวโจวจะยิ่งเสียใจมากขึ้น เขาทำได้แค่เพียงหันหลังและเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย ปล่อยให้พวกเธอสองคนได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน 


 


 


           หลินเหยาเห็นว่าถึงแม้ถังโจวโจวจะร้องไห้เสียใจอยู่ในอ้อมอกของคุณแม่ถัง แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเธอเริ่มจะสงบลงแล้ว หลินเหยานั่งอยู่เฉยๆ และไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อเห็นว่าพวกเธอน่าจะมีเรื่องต้องคุยกัน เธอจึงลุกและเดินตามลั่วเซ่าเชินออกไป 


 


 


           ทันใดนั้น ภายในห้องก็เหลือเพียงคุณพ่อถัง คุณแม่ถัง และถังโจวโจว ถังโจวโจวไม่ได้ร้องไห้หนักเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าลูกดูสงบลงแล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจ ลูกสาวเธอร้องไห้หนักขนาดนี้ หัวใจของเธอก็เจ็บปวดตามไปด้วย 


 


 


           แต่มันไม่มีทางเลือกอื่น ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เธอก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ถังโจวโจวอาจจะยังทำใจไม่ได้ในเร็วๆ นี้ แต่คุณแม่ถังเชื่อมั่นในตัวลูกสาวของตัวเอง นิสัยของโจวโจวจะไม่มีทางทำอะไรโง่ๆ 


 


 


“โจวโจว คนดีของแม่ แม่รู้ว่าตอนนี้ลูกเจ็บปวด แต่เราต้องทำใจให้สบาย แม่พูดกับลูกได้แค่นี้ เด็กคนนี้ไม่มีวาสนากับลูก แต่แม่เชื่อนะว่าวันหน้าเขาจะกลับมาหาลูกอีก” 


 


 


คุณแม่ถังลูบศีรษะของถังโจวโจว ปลอบประโลมจิตใจของเธอ เมื่อถังโจวโจวได้ยินคุณแม่ถังพูดเช่นนี้ เธอก็รีบใช้เสียงที่แหบแห้งในลำคอเอ่ยถามทันที “แม่คะ เขาจะกลับมาจริงๆ หรือคะ” ราวกับว่าเธอหาที่พึ่งพิงทางใจเจอแล้ว 


 


 


คุณแม่ถังจัดผมที่หล่นมาปรกตรงหน้าผากให้ถังโจวโจว เธอยิ้มและพูดว่า “จริงสิ เขาจะกลับมาหาลูกอีกครั้ง ลูกจะยังไม่ทิ้งเขาใช่ไหม” 


 


 


“หนูเชื่อค่ะแม่ เขาไม่อยากจากหนูไปไหน สักวันเขาจะกลับมาหาหนู แต่แม่คะ ใจของหนูเหมือนโดนกรีด มันเจ็บจนทนไม่ไหว” ถังโจวโจวจับหน้าอก สีหน้าของเธอยังดูซีดเซียว 


 


 


คุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวเริ่มสะเทือนใจขึ้นมาอีกครั้ง เธอมองไปที่คุณพ่อถัง คุณพ่อถังสาวเท้าเดินเข้ามาและจับมือของถังโจวโจวเอาไว้ คุณพ่อถังพูดอย่างลึกซึ้ง “โจวโจวลูก โชคชะตาของคนเรานั้นแตกต่างกัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราไปบังคับมันไม่ได้” 


 


 


ถังโจวโจวพูดพึมพำทวนประโยคนั้น ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ เธอเสียใจมากขนาดนี้ เซ่าเชินเองก็น่าจะเสียใจไปไม่น้อยกว่าเธอ แต่เธอมัวแต่นึกถึงตัวเอง และตอนนี้แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ก็เป็นกังวล จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าตัวเองอกตัญญูมากเกินไป 


 


 


“พ่อคะ แม่คะ หนูขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะ หนูจะจัดการตัวเองให้ได้” เมื่อถังโจวโจวเห็นผมหงอกที่หลบซ่อนอยู่ในกลุ่มผมของคุณแม่ถัง เธอถึงสังเกตเห็นว่า คุณพ่อคุณแม่นั้นแก่ตัวลงโดยที่เธอไม่รู้ตัว แต่เธอก็ยังทำให้พวกท่านไม่สบายใจอยู่ดี 


 


 


“โจวโจว ลูกพูดอะไรแบบนั้นล่ะ พ่อกับแม่ต่างหากที่โชคดี ที่มีลูกสาวอย่างลูกนะ …โจ๊กเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวแม่ให้เซ่าเชินไปซื้อให้ใหม่ ลูกต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีนะ” คุณแม่ถังพูดและเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย 


 


 


เธอเห็นลั่วเซ่าเชินยืนทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่คุณแม่ถังดูออก ถ้าเทียบกับถังโจวโจวที่ร้องไห้เสียงดังได้ เขากลับได้แต่ร้องไห้อยู่ในใจ คุณแม่ถังรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินน่าจะเป็นคนที่ทรมานหัวใจมากที่สุด 


 


 


คุณแม่ถังจัดระเบียบความคิดของตัวเอง ก่อนจะเข้าไปสะกิดไหล่ของลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินหันหน้ากลับมาและพบว่าเป็นคุณแม่ถัง เขาก็รีบคลายปมที่คิ้วออกโดยเร็ว “คุณแม่ครับ โจวโจวเป็นยังไงบ้างครับ” ลั่วเซ่าเชินเป็นห่วงเธอมาก เขารู้ดีว่าในตอนนี้คนที่จะนำทางถังโจวโจวได้มีแค่คุณแม่ถัง แม่ของเธอคนเดียวเท่านั้น 


 


 


คุณแม่ถังนึกถึงท่าทางของถังโจวโจวที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น คิ้วของเธอก็ไม่ขมวดอีกต่อไป“วางใจเถอะ เซ่าเชิน โจวโจวพอจะทำใจได้บ้างแล้ว แต่เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย แม่รบกวนไปซื้อโจ๊กให้เธอหน่อยได้ไหม” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินว่าถังโจวโจวดีขึ้นมากแล้ว เขาก็สบายใจขึ้น “คุณแม่พูดอะไรอย่างนั้นล่ะครับ มันเป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อให้เดี๋ยวนี้ครับ” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ถังไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก็หมุนตัวและเดินออกไปข้างนอก 


 


 


เขาลืมไปแล้วว่าเขามีผู้ช่วยพิเศษอย่างหวังหวา เขาออกไปซื้อโจ๊กให้ถังโจวโจวด้วยตัวเอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรวดเร็วมาก ในไม่ช้าเขาก็ได้โจ๊กกลับมาแล้ว คุณแม่ถังเห็นว่าบนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ไม่น่าแปลกใจที่เขากลับมาเร็วขนาดนี้ เขาคงวิ่งไปซื้อเลย 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าสีหน้าของลั่วเซ่าเชินไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังพอมองออกว่าเขาหายใจไม่ค่อยทัน เขาเหมือนคนที่เพิ่งออกกำลังกายมา เมื่อเธอมองไปที่โจ๊กอุ่นๆ ที่อยู่ในมือของคุณแม่ถัง เธอก็เดาได้ไม่ยากว่าลั่วเซ่าเชินต้องไปซื้อมาด้วยตัวเองแน่ๆ 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าที่ผ่านมาลั่วเซ่าเชินเอาใจใส่เธออยู่เสมอ แต่เธอกลับนึกถึงแต่ตัวเอง ถึงแม้ตอนนี้จะสูญเสียลูกไป แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังคงไม่เคยละเลยเธอเลย ในขณะที่เธอเอาแต่เสียใจ ลั่วเซ่าเชินปลอบใจเธอมากมาย แต่เธอก็ไม่ฟัง เธอไม่สมควรทำแบบนั้นเลย 


 


 


ถังโจวโจวมีหลายสิ่งที่อยากจะพูดกับลั่วเซ่าเชิน แต่ตอนนี้คุณพ่อและคุณแม่ถังยังอยู่ในห้อง ถังโจวโจวจะเอ่ยความในใจก็ไม่สะดวก เธอจึงได้แต่คอยจังหวะรอคุยกับลั่วเซ่าเชินทีหลัง 


 


 


คุณแม่ถังป้อนโจ๊กถังโจวโจวทีละคำๆ จนเห็นก้นชาม คุณแม่ถังหยิบกระดาษทิชชูและเช็ดปากให้ถังโจวโจว ถังโจวโจวรู้สึกเขินอาย เมื่อเห็นว่าคุณแม่ของเธอดูแลเธอราวกับว่าเธอยังเป็นเด็ก “แม่คะ พอแล้ว” 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวเขินอาย แล้วก็เห็นว่าลั่วเซ่าเชินมองมาทางนี้อยู่ตลอด เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาสองคนคงมีเรื่องอยากจะคุยกัน พวกเขาไม่อยู่เป็นก้างขวางคอแล้ว “เหยาเหยา ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมลูก ออกไปหาอะไรกินกับป้าดีกว่านะ” 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวมองมาที่เธอด้วยความซาบซึ้ง เธอก็แค่บีบมือแน่นให้กำลังใจ ทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมานาน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่ “โจวโจว พักผ่อนซะนะ ฉันกลับก่อนล่ะ พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่” 


 


 


“จ้ะ เหยาเหยา รีบออกไปหาอะไรกินเถอะ” เมื่อถังโจวโจวมองดูท้องฟ้าที่มืดสนิท เธอก็รู้ว่าวันนี้เธอก่อเรื่องทั้งบ่าย เหยาเหยาก็คอยเฝ้าเธอจนถึงตอนนี้ 


 


 


“เราเป็นอะไรกันยะ โจวโจว ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” 


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้า มีคนสนิทมากมายอยู่กับเธอแบบนี้ ต่อให้เธอเจอปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เธอก็เชื่อว่าเธอจะสามารถฝ่าฟันและเอาชนะมันได้ และความทุกข์ยากที่จะได้รับก็ให้เป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าก็แล้วกัน 


 


 


ภายในห้องเหลือแค่ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่ข้างเตียงของถังโจวโจว เขาฉวยมือเล็กๆ ของถังโจวโจวขึ้นมาเล่น ลั่วเซ่าเชินนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไร ถังโจวโจวเองก็เงียบ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็สัมผัสถึงความอบอุ่นของกันและกัน 


 


 


“เซ่าเชิน ฉันขอโทษนะคะ ที่รักษาลูกของเราเอาไว้ไม่ได้” ถังโจวโจวพูดไปพูดมาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เธอเองก็รำคาญตัวเองเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ แต่เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เมื่อเธอนึกถึงลูกที่อยู่ในท้องของเธอมานาน จู่ๆ ก็ด่วนจากเธอไปเสียก่อนแบบนี้ เธอจึงรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินลูบแผ่นหลังของเธอและปลอบประโลมเธออย่างเงียบๆ ถังโจวโจวไม่ได้เสียใจนาน เธอยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะคุยกับลั่วเซ่าเชิน ถ้าเธอมัวแต่ร้องไห้ เดี๋ยวเธอก็ไม่ได้พูดมันออกมาอีก 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นเธอสงบลงแล้ว เขาก็เปิดปากพูด “โจวโจว คุณอย่าโทษตัวเองเลย คนที่ควรจะขอโทษ ควรเป็นผม ถ้าวันนี้ผมอยู่กับคุณ บางทีเรื่องนี้มันก็อาจจะไม่เกิดขึ้น” 


 


 


ถังโจวโจวหมายจะตอบโต้ แต่ลั่วเซ่าเชินก็ปิดปากเธอไว้ 


 


 


“โจวโจว ยกโทษให้ผมนะ ผมเองก็จะยกโทษให้คุณเหมือนกัน เราให้อภัยซึ่งกันและกัน แบบนี้เราจะได้ไม่เจ็บปวดและโทษตัวเองน้อยลง เรามาเชื่อมั่นด้วยกันนะว่าลูกจะต้องกลับมาเรา” 


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ฉันเชื่อค่ะ เซ่าเชิน คุณเองก็ต้องเชื่อเหมือนกัน” ถังโจวโจวจำเป็นต้องจับฟางเส้นนี้เอาไว้ เธอจะยืนหยัดตามความคิดนี้ ความคิดนี้เท่านั้นที่จะบรรเทาอาการเจ็บปวดของเธอได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ เขาพึมพำเบาๆ ว่า “ขี้แยจริงๆ เลย วันหลังไม่ต้องร้องไห้ง่ายๆ แบบนี้แล้วนะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่กล้าเล่าให้ถังโจวโจวฟังว่าเขาไปร่วมงานเปิดสตูดิโอสอนเต้นของหันฮุ่ยซินมา ถ้าถังโจวโจวรู้ คงจะยิ่งเหมือนเป็นการสาดเกลือลงไปในขณะที่เธอมีบาดแผล เรื่องราวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ เพื่อเห็นแก่ความสามัคคีในครอบครัว ลั่วเซ่าเชินจำเป็นต้องปิดมันเอาไว้ 


 


 


 


 


 


เมื่อเมิ่งชิงซีกลับมาถึงบ้าน ฉินอวิ๋นก็กำลังจะกินข้าวอยู่พอดี วันนี้เมิ่งไหวเซินติดธุระ ไม่สามารถกลับมาได้ ส่วนเมิ่งชิงซีก็ไม่ได้โทรศัพท์มาบอก ฉินอวิ๋นเลยคิดว่าเธอจะไม่กลับมา แต่ที่ไหนได้ ในขณะที่เธอกำลังจะนั่งลงกินข้าว เมิ่งชิงซีก็กลับมา 


 


 


“ชิงซี กลับมาแล้วเหรอ แม่บ้านหวัง รีบไปหยิบชามและตะเกียบออกมาอีกชุดเร็ว คุณหนูกลับมาแล้ว” 


 


 


“ค่ะ คุณนาย” เมื่อแม่บ้านหวังได้ยินอย่างนั้น เธอก็รีบเข้าไปในครัว เมิ่งชิงซีโยนกระเป๋าไว้บนโซฟาและรีบนั่งลงข้างๆ ฉินอวิ๋น 


 


 


แม่บ้านหวังหยิบชามและตะเกียบมาให้เมิ่งชิงซี เมิ่งชิงซีรอจนแม่บ้านหวังเดินออกไปแล้วจึงเปิดปากพูด “แม่คะ พ่อยังไม่กลับมาเหรอ” เมิ่งชิงซีไม่อยากให้เมิ่งไหวเซินรู้ว่าเธอทำอะไรลงไป ถ้าเมิ่งไหวเซินรู้เข้า เขาจะต้องฟาดเธออย่างหนักแน่นอน 


 


 


เมิ่งชิงซีรู้จักนิสัยใจคอของคุณพ่อดี ถ้าเขารู้ว่าเธอตั้งใจทำเรื่องไม่ดี เขาจะไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้น เมิ่งชิงซีจึงไม่กล้าให้เมิ่งไหวเซินรู้เรื่องนี้ มีข่าวอะไรก็ต้องปิดเขาไว้ 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเห็นว่าเมิ่งชิงซีมีสีหน้าร้อนรน อีกทั้งยังถามว่าเมิ่งไหวเซินอยู่บ้านหรือไม่ เธอก็เดาได้ในทันทีว่าลูกสาวต้องการจะพูดเรื่องอะไร “เรื่องนั้นสำเร็จแล้วเหรอ” 


 


 


ฉินอวิ๋นกระซิบถามเบาๆ แต่เมิ่งชิงซีกลับสะดุ้งตกใจ แม้ว่าเธอจะเคยปรึกษาคุณแม่ว่าเธออยากให้ถังโจวโจวแท้งลูก แต่เธอก็ไม่ได้บอกว่าจะลงมือวันไหน แล้วคุณแม่รู้ได้อย่างไรว่าเธอจะพูดเรื่องนี้? 


 


 


“แม่คะ ตอนนี้ถังโจวโจวยังอยู่ที่โรงพยาบาล…” เมื่อตอนที่เมิ่งชิงซีกลับมา ถังโจวโจวยังไม่ฟื้น แต่เธอก็ได้ยินสิ่งที่คุณหมอแจ้งอย่างชัดเจนว่า ถังโจวโจวแท้งลูกแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 116

 

 แม้ว่าเมิ่งชิงซีจะหวาดผวาจากการที่เธอทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกดีใจมากที่ถังโจวโจวแท้งลูกไป คุณป้าลั่วต้องเกลียดขี้หน้าถังโจวโจวมากกว่าเดิมแน่ๆ เธอจะคอยดูว่าถังโจวโจวจะทำให้คุณป้าพอใจได้อีกครั้งอย่างไร 


 


 


           เมิ่งชิงซีเกลียดเด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว เพราะการมีอยู่ของเขาทำให้คุณแม่ลั่วทรยศเธอ ย้ายฝั่งไปอยู่กับถังโจวโจว ไหนยังจะให้เลิกคิดถึงลั่วเซ่าเชินอีก เมิ่งชิงซีคิดขึ้นมาแล้วก็โมโห 


 


 


ฉินอวิ๋นเห็นว่าสีหน้าของเมิ่งชิงซีดูหงุดหงิด แต่ยังไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ได้ “ดูท่าแล้ว ลูกยังมีเรื่องที่จะบอกแม่อีก?” จริงๆ ฉินอวิ๋นรู้ว่าเมิ่งชิงซีจะพูดอะไร แต่เธอแค่รู้สึกว่าลูกสาวของเธอนั้นมีเรื่องอยากจะพูดอีก 


 


 


           เมื่อเมิ่งชิงซีถูกฉินอวิ๋นถามเช่นนี้ เธอก็นึกถึงปัญหาที่มันรบกวนจิตใจเธอมาตลอดวัน เธอขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ฉินอวิ๋นมากขึ้นและกระซิบว่า “แม่คะ หนูจะทำยังไงดี ตอนนี้เซ่าเชินสงสัยหนู เขาจะไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ห้าง” 


 


 


           เมิ่งชิงซีใจเต้นตึกตัก เมื่อเธอนึกถึงแววตาของลั่วเซ่าเชินที่มองมาที่เธออย่างสะอิดสะเอียน เธอก็รู้สึกหัวใจแตกสลาย ที่เธอทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ได้เซ่าเชินมาไม่ใช่หรือ? แต่เขาไม่เข้าใจเธอเลยสักนิด ซ้ำยังจะตามใจยายถังโจวโจวนั่นอีก! 


 


 


“เอาละ แม่จะช่วยลูกเอง ชิงซี คราวหน้าคราวหลังลูกต้องระวังให้ดีสิ ในเมื่อตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว ก็อย่าทิ้งปัญหาไว้ให้ตัวเอง” ฉินอวิ๋นไม่ได้บ่นลูกสาว เธอคิดว่าเธอและลูกสาวมีสภาพแวดล้อมในการเติบโตที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจัดการของลูกจึงไม่ได้ช่ำชองอย่างเธอ 


 


 


ฉินอวิ๋นนึกถึงวีรกรรมที่เธอเคยทำ เธอไม่เคยทิ้งปัญหาไว้ให้ตัวเองเลย เธอจึงเชิดหน้าชูตาและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระจนถึงตอนนี้ และเธอก็ยังสามารถคว้าหัวใจของเมิ่งไหวเซินเอาไว้ได้อีกด้วย ติดอยู่นิดเดียว จนป่านนี้แล้วผู้เฒ่าเมิ่งยังไม่ยอมรับเธอเลย 


 


 


โชคดีที่ผู้เฒ่าเมิ่งรักและเอ็นดูชิงซีมาก เพื่อเห็นแก่หน้าของชิงซีและไหวเซิน เขาจึงไม่ค่อยทำให้เธอลำบากใจ แม้ว่าฉินอวิ๋นจะไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์หลังเก่า หนึ่งปีก็เจอหน้าผู้เฒ่าเมิ่งเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ผู้เฒ่าเมิ่งก็ยังคงดูถูกดูแคลนเธอ จนมันกลายเป็นปมในใจของฉินอวิ๋นมาตลอด 


 


 


“จริงเหรอคะแม่… แม่ดีกับหนูที่สุดเลย!” เมื่อเมิ่งชิงซีได้ยินฉินอวิ๋นพูดเช่นนั้น ดวงใจที่หนักอึ้งของเธอก็ผ่อนคลายลง แบบนี้เซ่าเชินก็ทำอะไรเธอไม่ได้แล้ว ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เขาก็ต้องเชื่อ 


 


 


ฉินอวิ๋นเห็นว่าเมิ่งชิงซีพึงพอใจเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกว่าลูกสาวของเธอไม่เคยเรียนรู้อะไรจากเธอบ้างเลย แต่ฉินอวิ๋นก็รู้สึกดีที่ลูกสาวของเธอเป็นแบบนี้ ตราบใดที่ไหวเซินยังรักชิงซี เธอก็ไม่ต้องกังวลใจกับชิงซีอีก 


 


 


“แม่มีลูกเป็นลูกสาวคนเดียว ถ้าไม่ดีกับลูก แล้วจะให้ไปดีกับใครล่ะ” พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ ฉินอวิ๋นยังมีปมในใจอีกปมหนึ่ง เธอไม่สามารถมีลูกชายให้เมิ่งไหวเซินได้ เธออยู่กินกับเขามานาน แต่ท้องของเธอก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย 


 


 


ความหวังในใจของฉินอวิ๋นค่อยๆ ริบหรี่ลง ท้ายที่สุดเธอก็สามารถยอมรับความจริงที่ว่า ชีวิตนี้เธออาจจะมีได้แค่เมิ่งชิงซี เพราะฉินอวิ๋นไม่มีลูกชาย ผู้เฒ่าเมิ่งจึงไม่ยอมรับเธอ 


 


 


ถ้าฉินอวิ๋นมีหลานชายให้ตระกูลเมิ่งได้ ในสายตาของผู้เฒ่าเมิ่ง เธอก็คงจะมีที่ยืนที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ว่าฉินอวิ๋นจะพยายามมากแค่ไหน ร่างกายเธอก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ ดังนั้นเธอจึงมองว่าเมิ่งชิงซีเป็นดั่งชีวิตจิตใจของเธอ 


 


 


โชคดีที่เมิ่งไหวเซินไม่ได้หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของลูกชาย แม้ว่าจะมีเมิ่งชิงซีเป็นลูกสาวแค่เพียงคนเดียว แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับเธอ ฉินอวิ๋นจึงโล่งอกไป 


 


 


เมิ่งชิงซีเอาแต่ฝังตัวออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกของฉินอวิ๋น ฉินอวิ๋นตีศีรษะเธอเบาๆ “ชิงซีเอ๊ย โตจนป่านนี้แล้ว ยังจะอ้อนอยู่อีก ลุกขึ้นมานั่งกินข้าวดีๆ หิวแล้วใช่ไหม” 


 


 


“แม่ขา หนูหิว หนูอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งนาน ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย” เมื่อเมิ่งชิงซีได้รับคำเตือนจากฉินอวิ๋น ท้องของเธอก็เริ่มร้องโครกครากขึ้นมาทันที 


 


 


           ฉินอวิ๋นร้อนใจ เมื่อได้ยินว่าตั้งแต่เที่ยงเธอยังไม่ได้กินอะไร “เอ๊ะ เด็กคนนี้นี่ หิวแล้วทำไมไม่หาอะไรกินล่ะ ผู้หญิงคนนั้นมีค่ามากกว่าท้องที่หิวของลูกหรือไง” 


 


 


ฉินอวิ๋นยิ่งไม่ชอบถังโจวโจวมากขึ้นไปอีก เมิ่งชิงซีพูดต่อไปอีกว่า “ก็หนูไม่มีทางเลือกนี่คะ เซ่าเชินเขาอยู่ตรงนั้น ถ้าหนูยังออกไปกินข้าวได้อย่างสบายใจ เซ่าเชินเขาจะมองหนูเป็นคนยังไง แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ถังโจวโจวแท้งลูก แลกกับหนูที่ไม่ได้กินข้าวแค่มื้อเดียวก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” 


 


 


เมื่อฉินอวิ๋นเห็นเมิ่งชิงซีพูดได้อย่างง่ายดาย เธอก็ไม่พูดอะไรอีก “พอๆ ยังจะพร่ำอยู่อีก หิวแล้วก็รีบกินข้าวสิ จะรอให้แม่ป้อนหรือไง” ฉินอวิ๋นรู้ว่าเมิ่งชิงซีกำลังมีความสุข แม้ว่าเธอจะห่วงเมิ่งชิงซีอยู่ลึกๆ แต่ตอนนี้เธอก็ไม่อยากขัดความสุขของลูก 


 


 


“แม่ก็รีบกินเถอะค่ะ พ่อยังไม่กลับ เดี๋ยวหนูกินเป็นเพื่อน” 


 


 


“เรานี่จริงๆ เลย ถึงคุณพ่อจะยังไม่กลับบ้าน ลูกก็ไม่ต้องมากินข้าวเป็นเพื่อนแม่หรอก” แม้ว่าฉินอวิ๋นจะพูดสบายๆ แต่ความจริงแล้วเธอก็ยังคงสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เมิ่งชิงซีมีให้เธอ ลูกสาวของเธอคิดถึงเธอแบบนี้ ไม่เสียแรงที่เธอคอยช่วยเหลือลูกสาวอยู่ตลอด 


 


 


เมิ่งชิงซีหัวเราะอย่างมีความสุขและไม่ตอบอะไร เธอรีบกินข้าวอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้เธอจะหิวแค่ไหน เธอก็ยังกินด้วยท่วงท่าสง่างาม ไม่เสียแรงที่ฝึกอบรมมารยาทผู้ดีมาตั้งหลายปี 


 


 


 


 


 


ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวคุยกันอยู่อีกพักหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าสีหน้าของถังโจวโจวเริ่มแสดงอาการอ่อนเพลีย เขาก็กดให้เธอนอนลงเพื่อพักผ่อน ถังโจวโจวไม่อยากนอน แต่ลั่วเซ่าเชินยังดื้อที่จะทำอย่างนั้น เธอจึงต้องนอนลงไป 


 


 


เธอมองไปที่ร่างกายสูงใหญ่ของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวเอ่ยถามในขณะที่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม “เซ่าเชิน เมื่อไรฉันจะได้กลับบ้านคะ ฉันไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินช่วยห่มผ้าห่มให้เธอ “ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งคิดเรื่องนั้นเลย ดูแลร่างกายให้ดีก่อน อย่างน้อยช่วงนี้คุณก็ควรอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล พอผ่านไปสักพัก ผมจะไปถามคุณหมอและเอาคำตอบที่แน่ชัดมาให้คุณ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินจัดห้องพักผู้ป่วยแบบวีไอพีให้ถังโจวโจว อยู่ที่นี่ถังโจวโจวจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินตั้งท่าจะออกจากห้องไป เธอก็รีบผงกหัวขึ้นถาม “เซ่าเชิน คุณจะไปไหนคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอดูหวาดผวาอยู่เล็กน้อย เขาเดาว่าเธอน่าจะรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาจึงเดินกลับมาหาและลูบศีรษะเธอ “ผมไม่ไปไหนหรอก แค่จะไปอาบน้ำ เดี๋ยวผมกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณนะ” 


 


 


ถังโจวโจวถึงได้วางใจ ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ไปไหนก็ดีแล้ว เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้เธอดูเหมือนจะตกใจเกินเหตุไปหน่อย แต่เธอแสดงอาการนั้นออกไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ ถังโจวโจวจึงได้แต่พูดต่ออย่างเขินอายว่า “ค่ะ เซ่าเชิน ฉันจะรอคุณกลับมา” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินลูบศีรษะเธออีกครั้ง “สบายใจได้ ผมไปไม่นานหรอก” ทันใดนั้นถังโจวโจวก็รู้สึกได้ว่าลั่วเซ่าเชินลูบศีรษะเธอแบบนี้เหมือนกับที่เขาลูบหัวสุนัขอย่างไรอย่างนั้น แล้วถังโจวโจวก็คิดว่าความคิดของเธอตลกดี ก่อนจะสลัดความคิดนั้นทิ้งไป 


 


 


ถังโจวโจวยังสงสัยอยู่ว่าลั่วเซ่าเชินจะอยู่ในห้องพักผู้ป่วยกับเธอได้อย่างไร แม้ว่าภายในห้องจะมีโซนครัวและห้องน้ำ แต่ว่าเตียงมันก็มีแค่หลังเดียว ถ้าลั่วเซ่าเชินจะอยู่กับเธอที่นี่ เขาก็ต้องนอนบนโซฟาตัวเล็กนั่น แต่ลั่วเซ่าเชินมือเท้ายาว ถ้าเขานอนบนโซฟา เขาต้องอึดอัดอย่างแน่นอน 


 


 


แต่แล้วเมื่อพยาบาลมาถึง ปัญหานี้ก็ถูกแก้ไข พยาบาลสองคนเข็นเตียงหลังหนึ่งมาไว้ที่ข้างเตียงของถังโจวโจว ถังโจวโจวถึงได้เข้าใจแผนของลั่วเซ่าเชิน ที่แท้ก็มีเตียงเสริมนี่เอง ใช่สิ ก็เขาเป็นคุณชายนี่ เขาจะทรมานร่างกายตัวเองได้อย่างไร! 


 


 


ลั่วเซ่าเชินสั่งให้หวังหวาเอาเสื้อผ้ามาให้เขาชุดหนึ่ง หลังจากเขาชำระร่างกายเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ถือกะละมังน้ำร้อนที่มีผ้าขนหนูอยู่ในนั้นเดินออกมา “เซ่าเชิน นี่คุณจะทำอะไรคะ” เมื่อถังโจวโจวเห็นเขาถือกะละมังอยู่ในมือ เธอก็เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ 


 


 


นี่มันไม่ใช่ภาพลักษณ์ของเขาที่เธอคุ้นชินเลย ลั่วเซ่าเชินกลอกตา “แค่นี้ก็ดูไม่ออกเหรอคุณ ผมจะเช็ดตัวให้คุณไง” 


 


 


“หา! คุณจะเช็ดตัวให้ฉัน?” ถังโจวโจวใจเต้นตึกตักเมื่อมองดูลั่วเซ่าเชินค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหน้าของเธอถึงแดงก่ำแบบนี้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนี้ถังโจวโจวยังลงจากเตียงไม่ได้ แต่เขาก็รู้ว่าเธอรักความสะอาด ในเมื่ออาบน้ำไม่ได้ ก็ขอให้ได้เช็ดตัวก็ยังดี แค่นี้เธอก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเลิกผ้าห่มออก เขาไม่ได้ปลดกระดุมเสื้อของถังโจวโจว เขาเลิกเสื้อขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะนาบผ้าขนหนูร้อนลงไปบนผิว 


 


 


ถังโจวโจวหยุดเขาไม่ทันแล้ว เธอนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะบุ่มบ่ามมากขนาดนี้ เสื้อก็ไม่ถอด นึกจะเช็ดก็เช็ดเลย ความจริงแล้วเธออยากให้ลั่วเซ่าเชินเรียกพยาบาลมา แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดแบบนั้น ลั่วเซ่าเชินก็เริ่มลงมือเช็ดตัวให้เธอแล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เขารีบเช็ดตัวให้ถังโจวโจวและดึงเสื้อลงมาให้เรียบร้อย เขากลัวเธอจะหนาว เขามองดูถังโจวโจวที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ ทันใดนั้น ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกนึกขำกับท่าทางของเธอ “มองอะไร ยังไม่รีบนอนอีก” 


 


 


“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน” ถังโจวโจวรู้สึกว่าที่ลั่วเซ่าเชินทำสิ่งนี้ให้เธอ ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อน วันๆ ลั่วเซ่าเชินมักจะชอบเหน็บเธอเป็นครั้งคราว อีกทั้งยังโมโหโกรธเธออยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งถังโจวโจวก็รับมือไม่ไหว 


 


 


แต่วันนี้ลั่วเซ่าเชินเขายุ่งทั้งวัน ตอนนี้ก็ยังจะมาเช็ดตัวให้เธออีก และไม่ได้คิดฉวยโอกาสกับเธอเลยด้วย ถังโจวโจวคิดว่าเขาไม่เหมือนเดิมแบบนี้เป็นเพราะลูกใช่ไหม? 


 


 


“ไม่เหมือนตรงไหน คุณจะบอกว่าเมื่อก่อนผมทำไม่ดีกับคุณเหรอ” ลั่วเซ่าเชินเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


ถังโจวโจวกลัวว่าเขาจะโกรธ เธอจึงรีบพูดว่า “เปล่าค่ะ ไม่ใช่ เมื่อก่อนคุณก็ดีกับฉัน แต่ตอนนี้คุณยิ่งดีขึ้นไปอีก เซ่าเชิน ถ้าเป็นเพราะลูก คุณไม่จำเป็นต้อง…” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินตัดบทก่อนที่เธอกำลังจะพูด “พอแล้ว โจวโจว ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด คุณรีบนอนเถอะ” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินไม่อยากคุยถึงเรื่องนี้ เธอก็ไม่เซ้าซี้อีกต่อไป เธอปิดเปลือกตาลง เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอหลับตาลงแล้ว เขาก็ยกกะละมังไปเทในห้องน้ำ จากนั้นเขาก็นอนลงบนเตียงที่ตั้งอยู่ข้างๆ ถังโจวโจว 


 


 


พยาบาลดันเตียงทั้งสองหลังชิดกัน ดังนั้นจึงเหมือนว่าพวกเขากำลังนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่ด้วยกัน ลั่วเซ่าเชินโอบถังโจวโจวเข้ามาในอ้อมแขน ส่วนถังโจวโจว เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากแผงอกของเขา เธอก็เข้าสู่นิทราไปอย่างช้าๆ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวหายใจอย่างสม่ำเสมอ เขาก็ค่อยๆ นึกถึงคำที่ถังโจวโจวเพิ่งพูดออกมา ความจริงแล้วลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนั้น แค่เขาแสดงออกให้ถังโจวโจวเห็นว่าเขารักและห่วงใยเธอ ถังโจวโจวก็ไม่วุ่นวายแล้ว แต่ทำไมเขาถึงต้องทำมากกว่านี้ล่ะ? 


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้แต่ทบทวนความผิดของตัวเอง เป็นเพราะเขามีเรื่องบางอย่างที่ปิดบังถังโจวโจวไว้ และวันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้มาโรงพยาบาลกับถังโจวโจว เธอจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้อย่างไร?

 

 

 


ตอนที่ 117

 

ลั่วเซ่าเชินหาทางเอาผิดเมิ่งชิงซีไม่ได้เลย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอยู่ในมือ แต่ลั่วเซ่าเชินก็มั่นใจว่าเมิ่งชิงซีน่าสงสัยมากที่สุด โดยเฉพาะวันนี้เมื่อหวังหวาไปตรวจกล้องวงจรปิดที่ห้างสรรพสินค้า นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะถูกตัดหน้า กล้องวงจรปิดในบริเวณที่ถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุดันเสียพอดี 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่เชื่อว่ามันจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ เขารู้สึกว่าต้องมีคนทำลายหลักฐาน และเมิ่งชิงซีก็น่าสงสัยยิ่งขึ้นไปอีก ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าที่ถังโจวโจวต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้ สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากเขา เป็นเพราะเมิ่งชิงซีชอบเขา เธอถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้! 


 


 


           เมื่อก่อนลั่วเซ่าเชินแค่รู้สึกรำคาญที่เมิ่งชิงซีมาคอยวนเวียนอยู่รอบตัวเขา ดังนั้นเมื่อเขาหลบได้ เขาก็จะหลบ แต่ถ้าหลบไม่ได้ เขาก็จะไม่ทำอะไรที่ทำให้เมิ่งชิงซีรู้สึกว่าเขาให้ความหวังกับเธอ แต่ไม่รู้ทำไม เมิ่งชิงซีถึงไม่ยอมเปลี่ยนใจไปจากเขาเสียที 


 


 


           บางครั้งลั่วเซ่าเชินก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอดีไปหมดทุกอย่าง แต่บนโลกใบนี้ก็ไม่ได้มีแค่เขา แล้วทำไมเมิ่งชิงซีถึงเกาะติดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยล่ะ ลั่วเซ่าเชินรู้สึกว่าหัวใจของผู้หญิงนั้นยากเกินจะคาดเดาได้ 


 


 


           แต่ตอนนี้มันแตกต่างกัน เมิ่งชิงซีอาจจะเป็นคนที่ฆ่าลูกเขาก็ได้ ลั่วเซ่าเชินทนต่อไปไม่ไหว เมื่อก่อนเขาเห็นแก่หน้าตระกูลเมิ่ง เขาจึงยอมอดทนกับเมิ่งชิงซี แต่ความอดทนของคนเรานั้น มันก็มีขีดจำกัด 


 


 


           เมิ่งชิงซีไม่ได้เจียมเนื้อเจียมตัวเพราะความอดทนของคนอื่นเลย เธอกลับถือดีมากยิ่งขึ้น คราวนี้ลั่วเซ่าเชินจะไม่ปล่อยเธอไป เมื่อเขามีหลักฐานเมื่อไร เขากับเมิ่งชิงซีจะได้เห็นดีกัน 


 


 


           วันรุ่งขึ้น ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินยังไม่ตื่น ถังโจวโจวก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อคืนเธอฝันเห็นเด็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เด็กคนนั้นพูดกับเธอว่า “คุณแม่ หนูจะกลับมาหาคุณแม่ คุณจะเป็นแม่ของหนูตลอดไป” 


 


 


           ก่อนที่ถังโจวโจวจะได้พูดอะไร ร่างของเด็กคนนั้นก็หายไปแล้ว ถังโจวโจวรีบตามไป แต่ก็ตามไปไม่ทัน ถังโจวโจวสะดุ้งตื่นด้วยเหตุนี้ เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอก็พบว่ามันเป็นแค่ความฝัน เธอยังอยู่ในห้องพักผู้ป่วย และด้านหลังของเธอก็มีลั่วเซ่าเชินที่นอนหลับอยู่ 


 


 


           ถังโจวโจวกลัวว่าจะรบกวนลั่วเซ่าเชิน เธอจึงไม่ได้ขยับตัว แต่เธอก็ยังจำภาพในความฝันได้อย่างชัดเจน เด็กน้อยน่ารักคนนั้นก็คือเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ ในที่สุดถังโจวโจวก็เชื่อในสิ่งที่คุณแม่ถังพูด ลูกจะต้องกลับมาหาเธออย่างแน่นอน 


 


 


           ถังโจวโจวตั้งหน้าตั้งตาคอย ตอนนี้เธออยากจะฟื้นฟูร่างกายให้เร็วที่สุด จากนั้นเธอจะได้รีบพาลูกกลับมา ตอนนี้เธอแทบจะทนรอไม่ไหว เพราะถังโจวโจวเอาแต่นึกถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เรื่องที่เลวร้ายในอดีตจึงถูกขจัดไปจนหมด เปลี่ยนมาเป็นอนาคตที่เต็มไปด้วยความหวังอันสดใสแทน 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินตื่นขึ้นมาในที่สุด ส่วนถังโจวโจว ตั้งแต่เธอลืมตาตื่นจนกระทั่งเขาตื่นขึ้นมา เธอก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอด ถังโจวโจวเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝันให้ลั่วเซ่าเชินฟัง ลั่วเซ่าเชินคิดว่าที่ถังโจวโจวฝันแบบนี้ เป็นเพราะเธอเอาแต่หมกมุ่นคิดถึงลูกอยู่ทั้งวัน 


 


 


           แต่ตอนนี้เธอกำลังดีใจ เขาก็ขัดเธอไม่ได้ และเธอก็เพิ่งจะปล่อยวางได้ เขาไม่อาจทำลายความเชื่อมั่นของเธอได้อีก การที่เธอมีความฝันแต่เป็นสุขย่อมดีกว่าเธอมัวแต่จมอยู่กับความทุกข์อย่างแน่นอน 


 


 


“ในเมื่อคุณฝันแบบนี้ ก็แสดงว่าฟ้าท่านเปิดทางให้คุณแล้ว เพราะฉะนั้นคุณต้องดูแลตัวเองให้ดี จากนั้นเราค่อยพยายามพาลูกกลับมาหาเรานะ” ลั่วเซ่าเชินรู้ดี แม้ว่าเธอจะตั้งท้องอีกครั้ง ลูกก็จะไม่ใช่เด็กคนเดิม 


 


 


ความจริงแล้วถังโจวโจวเองก็รู้ดี แต่ถ้าฟ้าลิขิตมาแล้วล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้หรอก เธอก็แค่ต้องยืนหยัดให้ได้ก็พอแล้ว 


 


 


หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวชำระร่างกายเสร็จ ป้าหลิวก็มาถึงห้องพักผู้ป่วยพร้อมด้วยอาหารที่เธอทำ เมื่อเธอเห็นท่าทางที่อ่อนแอของถังโจวโจว ป้าหลิวก็รู้สึกสงสาร 


 


 


“คุณผู้หญิงคะ ดีขึ้นบ้างหรือยังคะ เมื่อวานพอคุณชายโทรมาบอกฉัน ฉันก็อยากจะมาเดี๋ยวนั้นเลย แต่คุณชายสั่งให้ฉันเตรียมอาหารไว้ และให้เอามาให้คุณผู้หญิงในวันนี้” 


 


 


“รบกวนแย่เลยค่ะ ป้าหลิว ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ” แม้ว่าสีหน้าของถังโจวโจวจะยังไม่ดีเท่ากับตอนปกติ แต่เธอก็ค่อยๆ ร่าเริงขึ้นบ้างแล้ว ร่างกายของเธอเองก็อยู่ในช่วงพักฟื้น 


 


 


เมื่อป้าหลิวเห็นว่าถังโจวโจวไม่ได้ร้องไห้ เธอก็ไม่กล้าถามเรื่องลูก ด้วยกลัวว่าจะไปกระตุ้นต่อมความเสียใจของเธอเข้า ป้าหลิวเปิดกระติกเก็บความร้อนที่นำมา จากนั้นก็หยิบอาหารออกมาพร้อมกับพูดไปด้วยว่า “ฉันทำโจ๊กมาให้คุณผู้หญิงค่ะ อีกสักวันสองวัน ฉันจะทำอะไรอร่อยๆ มาให้ทานนะคะ” 


 


 


ป้าหลิวไม่กล้าทำของมันๆ ให้ถังโจวโจว ความอยากอาหารของถังโจวโจวยังไม่ค่อยดีนัก โจ๊กจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าป้าหลิวจะทำของอร่อยๆ มา เธอก็ยังกินไม่ได้อยู่ดี จะยิ่งทำให้เธอกังวลใจมากขึ้นเปล่าๆ 


 


 


ป้าหลิวเตรียมเกี๊ยวมาเผื่อลั่วเซ่าเชินด้วยอีกชุด ในขณะที่เธอกำลังถือถ้วยเพื่อป้อนถังโจวโจว ถังโจวโจวก็รีบรับมันมา “ฉันกินเองก็ได้ค่ะ ป้าหลิว” ถังโจวโจวขอให้ป้าหลิวขยับโต๊ะเข้ามาใกล้ๆ 


 


 


เมื่อป้าหลิวเห็นว่าถังโจวโจวยืนยันที่จะทำอย่างนั้น เธอก็ได้แต่ปล่อยชามไปตามแรงของถังโจวโจว แต่ก็ยังอดพูดไม่ได้ว่า “คุณผู้หญิงคะ ให้ฉันป้อนดีกว่านะคะ” ป้าหลิวค่อนข้างเป็นกังวล แต่ถังโจวโจวกลับคิดว่าแขนเธอไม่ได้เป็นอะไร เมื่อวานคุณแม่ถังก็ป้อนเธอทีหนึ่งแล้ว วันนี้จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้อีก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินให้ป้าหลิวหลีกทางไป เขายื่นมือไปหยิบถ้วยที่อยู่ในมือของถังโจวโจว ก่อนจะตักขึ้นมาหนึ่งช้อน และยื่นไปที่ปากของถังโจวโจว “อ้าปาก” 


 


 


ถังโจวโจวอ้าปากอย่างว่าง่าย เมื่อป้าหลิวเห็นความน่ารักของสามีภรรยาคู่นี้ เธอก็ไม่อยากขัดจังหวะ เธอจึงเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วยและปิดประตูอย่างเบามือ 


 


 


ถังโจวโจวเขินอาย เมื่อครู่ป้าหลิวก็ยังอยู่ตรงนี้ ลั่วเซ่าเชินกลับมาทำแบบนี้ซะได้ เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับเธอเป็นคนแขนขาอ่อนแรงก็ไม่ปาน เธอกลัวว่าป้าหลิวจะหัวเราะเยาะเธออยู่ในใจ 


 


 


และยิ่งเห็นว่าป้าหลิวดูเหมือนจะตั้งใจทิ้งให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ถังโจวโจวก็รู้สึกอายมากยิ่งขึ้น “เซ่าเชิน ฉันกินเองดีกว่าค่ะ” 


 


 


แต่ดูเหมือนว่าลั่วเซ่าเชินจะติดใจอยู่กับการป้อนอาหาร เขาโยกหลบมือของถังโจวโจวที่ยื่นมาและส่งโจ๊กคำใหญ่เข้าไปในปากของถังโจวโจว ถังโจวโจวก็ไม่กล้าปิดปากไว้ เธอจึงได้แต่ทำตามคำชี้แนะของลั่วเซ่าเชินและปล่อยให้เขาป้อนโจ๊กเธอจนหมดถ้วย 


 


 


หลังจากที่ลั่วเซ่าเชินป้อนโจ๊กถังโจวโจวเรียบร้อยแล้ว เขาก็มาจัดการกับอาหารเช้าของตัวเองต่อ ถังโจวโจวมองดูเขากินเกี๊ยว เนื่องจากว่าในกระเพาะของเธอมีอาหารแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่ากลิ่นหอมๆ ของเกี๊ยวจะลอยมาเตะจมูก เธอก็สามารถทนได้ 


 


 


แทนที่ลั่วเซ่าเชินจะเข้าบริษัท เขากลับหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาและนั่งลงบนโซฟาตัวที่ตั้งอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ก่อนจะเริ่มทำงาน 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกเบื่อหน่าย เธอได้แต่มองดูลั่วเซ่าเชินทำงาน พอมองไปมองมา เธอก็เริ่มพินิจพิเคราะห์ใบหน้าของเขา ถังโจวโจวสำรวจดูคิ้ว จมูก และปากของลั่วเซ่าเชิน จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปที่ลูกกระเดือก ลูกกระเดือกของเขาตั้งเด่นสะดุดตา ทันใดนั้น ถังโจวโจวก็อยากจะสัมผัสมันขึ้นมา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าเธอกำลังมองเขาอยู่ แต่เขาไม่ได้หันหน้าไปมอง พวกเขาทั้งคู่ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน เมื่อผ่านพ้นช่วงเช้าไป ช่วงกลางวัน ป้าหลิวก็มาส่งอาหารให้พวกเขาอีก ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินแยกกันนั่งกินอยู่คนละมุม 


 


 


ป้าหลิวตั้งใจทำอาหารที่ควรกินในช่วงพักฟื้นมาให้ถังโจวโจว ถังโจวโจวสามารถทนกินโจ๊กในตอนเช้าได้ แต่เมื่อเทียบมื้อกลางวันกับลั่วเซ่าเชินแล้ว จู่ๆ เธอก็รู้สึกเศร้าใจ ทำไมเธอต้องมากินอะไรจืดชืดแบบนี้ด้วย มันดูไม่อร่อยเหมือนกับของที่อยู่ในชามลั่วเซ่าเชินเลย 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่อยากกิน แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้เธอกินแล้ว ท้ายที่สุดเธอก็ต้องบังคับให้ตัวเองค่อยๆ กินจนหมดเกลี้ยง 


 


 


ทันทีที่กินมื้อกลางวันเสร็จ หลินเหยาก็หอบตะกร้าผลไม้มาเยี่ยมถังโจวโจว เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยาถือตะกร้าผลไม้มา เธอก็รีบพูดว่า “เหยาเหยา เธอถือมาทำไมเนี่ย” ถังโจวโจวรู้สึกว่ามิตรภาพระหว่างพวกเธอสองคนไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรแบบนี้ 


 


 


หลินเหยาไม่ได้สนใจคำพูดของถังโจวโจว นี่ไม่ใช่เรื่องของธรรมเนียมมารยาทอะไร แต่ถ้าเธอมาเยี่ยมคนป่วยแล้วไม่มีของติดไม้ติดมือมาด้วยเลยก็ดูจะเกินไปหน่อย หลังจากหลินเหยาวางของลงแล้ว เธอก็นั่งลงข้างเตียง “โจวโจว วันนี้เป็นยังไงบ้าง” 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวดูมีชีวิตชีวามากขึ้น เธอก็รู้สึกว่าถังโจวโจวน่าจะฟื้นตัวได้ในเร็ววัน อีกทั้งดูไม่สลดหดหู่เหมือนเมื่อวานแล้ว เธอนึกถึงเรื่องที่เธอคุยกับคุณแม่ถังเมื่อวานว่า การปลอบโยนของลั่วเซ่าเชินจะสามารถทำให้ถังโจวโจวสบายใจขึ้นได้ 


 


 


“ดีมากๆ เลยจ้ะ เหยาเหยา เธอเองก็เถอะ เมื่อวานนี้ต้องเหนื่อยไปด้วยเลย” ถังโจวโจวจับมือหลินเหยา เธออยากจะขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่ให้เธอมีเพื่อนที่แสนดีแบบนี้ ช่วงเวลาสำคัญ หลินเหยามักจะอยู่ข้างเธอเสมอ 


 


 


“โจวโจว เธอพูดแบบนี้อีกแล้วนะ” 


 


 


“จ้ะๆ ไม่พูดแล้ว” ถังโจวโจวขอร้องให้เธอยกโทษให้ในทันที เธอลืมไปว่าเธอเพิ่งบอกให้หลินเหยาไม่ต้องเกรงใจ แต่เธอกลับเป็นฝ่ายเกรงใจเองซะอย่างนั้น 


 


 


หลินเหยาอยู่เป็นเพื่อนถังโจวโจวอีกสักพัก จากนั้นเธอก็กลับไปทำงาน เธอใช้โอกาสที่ตัวเองพักกลางวันมาเยี่ยมถังโจวโจว เมื่อเธอเห็นว่าสีหน้าของถังโจวโจวดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เธอก็รู้สึกวางใจ 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าวันนี้แปลกมาก ทันทีที่หลินเหยากลับไป ฟังหยวนก็มาถึง และลั่วเซ่าเชินเองก็ดูจะไม่ค่อยชอบใจกับการมาถึงของฟังหยวน ราวกับว่าเขาได้พบศัตรูที่เข้มแข็งอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ถังโจวโจวก็ยังรู้สึกได้ แล้วมีหรือที่ฟังหยวนจะไม่รู้สึก 


 


 


ฟังหยวนรู้อยู่แล้วว่าลั่วเซ่าเชินผิดปกติไป แต่เขากลับไม่สนใจ “อาเชิน นายไม่ดีใจเหรอที่ฉันมา” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองเขาอยู่นาน ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ เขายังจำหมัดแห่งความแค้นที่ฟังหยวนต่อยเขาได้อยู่เลย! 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเมินเขาไปแล้ว เขาก็หันไปยิ้มให้ถังโจวโจวแล้วพูดว่า “โจวโจว เมื่อวานผมกลับก่อนที่คุณจะฟื้น วันนี้ผมก็เลยตั้งใจมาเยี่ยม” 


 


 


ถังโจวโจวนั่งพิงที่หัวเตียงและตอบเป็นมารยาท “ฟังหยวน เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ แต่ฉันก็ดีใจนะคะที่คุณมาเยี่ยม” 


 


 


           เห็นได้ชัดว่าฟังหยวนมีความสุขมากที่ได้ยินถังโจวโจวพูดแบบนั้น สีหน้าของเขาราวกับว่าจะละลายใจของหญิงสาวได้ เขายิ้มและหัวเราะอย่างอบอุ่น 


 


 


           ฟังหยวนแค่มาเยี่ยมถังโจวโจวก็เท่านั้น เขารู้ว่าตอนนี้ลั่วเซ่าเชินยังอยู่ที่นี่ ถังโจวโจวก็ไม่สามารถคุยอะไรกับเขาได้มากนัก แต่ความคิดที่อยู่ในใจของฟังหยวนกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


           ในเมื่ออาเชินไม่ดีกับเธอ แล้วถ้าเขาจะพาถังโจวโจวหนีไปเลยล่ะ เธอจะยอมไปกับเขาไหม? 


 


 


           ฟังหยวนผุดความคิดนี้ขึ้นมาเพราะถังโจวโจวประสบอุบัติเหตุและมันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขอเพียงแค่ถังโจวโจวพูดออกมา เขาก็พร้อมที่จะพาเธอหนีไป หนีไปให้ไกลจากลั่วเซ่าเชิน 


 


 


           แต่ฟังหยวนรู้ดีว่าถังโจวโจวไม่ยอมไปกับเขาหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณพ่อคุณแม่ถังด้วย ลำพังแค่ตัวถังโจวโจวเองก็ยังคัดค้านอะไรลั่วเซ่าเชินไม่ได้เลย ฟังหยวนดูออก ถังโจวโจวไม่มีทางตำหนิลั่วเซ่าเชินในเรื่องนี้แน่ 


 


 


           แต่ถ้าเธอรู้ว่า ‘ในขณะที่เธอประสบอุบัติเหตุ ลั่วเซ่าเชินอยู่กับหันฮุ่ยซิน’ ล่ะ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะคิดเห็นอย่างไร ฟังหยวนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที แต่ตอนนี้ถังโจวโจวยังไม่ค่อยแข็งแรง เขาไม่อยากพูดมันออกมาให้เธอเสียใจ 


 


 


           แม้ว่าสายตาของลั่วเซ่าเชินจะจับจ้องอยู่ที่โน้ตบุ๊ก แต่หูกับจิตใจของเขากลับให้ความสนใจอยู่ที่ฟังหยวนและถังโจวโจว 


 


 


ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ลั่วเซ่าเชินจะกังวลใจแบบนี้ นิสัยอย่างฟังหยวน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้าเขาบอกถังโจวโจวว่าเมื่อวานเขาอยู่ที่ไหน ร่างกายและความรู้สึกของโจวโจวอาจจะแย่ลงมากกว่านี้

 

 

 


ตอนที่ 118

 

ฟังหยวนไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาอยากให้ถังโจวโจวได้พักผ่อนอย่างสบายใจ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เขาตัดสินใจไม่พูดว่าเมื่อวานนี้ลั่วเซ่าเชินไปอยู่ที่ไหนมา ฟังหยวนดูออกว่าเธอเริ่มรู้สึกอึดอัดใจแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง “โจวโจว พอดีผมมีธุระ ขอตัวกลับก่อนนะครับ” 


 


 


           แววตาของถังโจวโจวดูเปลี่ยนไปในทันที ฟังหยวนโศกเศร้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน ‘โจวโจว ถ้าคุณไม่ชอบผม คุณก็ไม่จำเป็นต้องทนอึดอัดแบบนี้ คุณคงอยากให้ผมไปแล้วใช่ไหม?’ 


 


 


           ถังโจวโจวไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนหน้านี้หลินเหยาก็มาคุยกับเธอ แล้วเธอก็มาคุยต่อกับฟังหยวนอีก เธอแค่รู้สึกว่าร่างกายของเธออ่อนเพลียมาก เธออยากจะล้มตัวนอนแล้วหลับไปเลย แต่ฟังหยวนยังอยู่ตรงนี้ เธอก็ไม่สะดวกที่จะทำอย่างนั้น 


 


 


           ถังโจวโจวพยายามรักษาน้ำใจ เธอไม่สามารถเป็นฝ่ายไล่แขกได้ ดังนั้น เมื่อเธอได้ยินฟังหยวนพูดว่าเขาจะกลับแล้ว เธอก็ดีใจอยู่ลึกๆ แต่ในมุมมองของฟังหยวน มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย 


 


 


ฟังหยวนยิ้มแย้มอย่างมีความสุขต่อหน้าถังโจวโจว แม้ว่าภายในใจของเขาจะยังขมขื่นอยู่ “โจวโจว ผมจะไปจริงๆ แล้วนะ อย่าคิดถึงผมล่ะ” 


 


 


“รีบไปเถอะค่ะ ฉันไม่คิดถึงคุณหรอก” ถังโจวโจวคิดว่าฟังหยวนกำลังล้อเล่น เพราะเมื่อก่อนเขาก็พูดแบบนี้อยู่บ่อยๆ 


 


 


เมื่อเห็นว่าฟังหยวนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว ถังโจวโจวก็พ่นลมหายใจออกมายาวยืด ในที่สุดก็ได้นอนพักเสียที เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นท่าทางโล่งอกโล่งใจของถังโจวโจว เขาก็ถามติดตลกว่า “ทำไม คุณไม่อยากให้ฟังหยวนอยู่?” 


 


 


“เปล่าค่ะ เขาแค่มาไม่ถูกเวลา ฉันอยากพักผ่อนค่ะ เซ่าเชิน คุณมาช่วยฉันปรับเตียงหน่อยได้ไหมคะ” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวตอบคำตอบได้ไม่ตรงใจเขา ลั่วเซ่าเชินก็ค่อนข้างขุ่นเคืองใจ แต่นี่เป็นเพียงอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา เขาไม่อยากให้ถังโจวโจวรู้ “ได้สิ ไปเดี๋ยวนี้แหละ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินวางโน้ตบุ๊กไว้บนโซฟาและลุกขึ้นไปช่วยถังโจวโจวปรับเตียง จากนั้นเขาก็ห่มผ้าห่มให้ถังโจวโจว เมื่อลั่วเซ่าเชินมองดูเธอนอนหลับตา เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงรู้สึกง่วงไปด้วย เขาจึงล้มตัวลงนอนข้างถังโจวโจว 


 


 


พวกเขานอนหลับสบายอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วย ไม่มีใครเข้ามารบกวนการนอนของพวกเขา แต่แล้วใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง… เมื่อตอนที่หันฮุ่ยซินมาถึง เธอพบว่าภายในห้องนั้นเงียบสงัด เธอค่อยๆ แง้มประตูเปิดและเดินเข้าไป เมื่อเธอมองไปยังเตียงผู้ป่วย เธอก็เห็นลั่วเซ่าเชินกำลังนอนกอดถังโจวโจวอยู่ 


 


 


           หันฮุ่ยซินจ้องมองพวกเขาอยู่นาน จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องไป ในมุมที่เธอมองไม่เห็น ลั่วเซ่าเชินลืมตาขึ้นมาดูพอดี แต่พอเห็นอย่างนั้นแล้วเขาก็ปิดตาลงนอนต่อในทันที 


 


 


           หันฮุ่ยซินนึกถึงภาพที่เธอเพิ่งได้เห็นเมื่อครู่นี้ เธอเริ่มยอมรับกับตัวเองอย่างช้าๆ ลั่วเซ่าเชินไม่ใช่อาเชินคนเดิมของเธออีกต่อไปแล้ว ภรรยาของเขาคือถังโจวโจว พวกเขาสองคนต่างหากที่เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถนอนบนเตียงหลังเดียวกันได้ 


 


 


           เธอเป็นได้แค่ความทรงจำในวัยเยาว์ของลั่วเซ่าเชิน ทุกวันนี้เธอไม่ได้เป็นอะไรสำหรับเขาแล้ว แต่หันฮุ่ยซินก็นึกถึงท่าทีที่แปลกไปของลั่วเซ่าเชินที่มีต่อเธอ เธอรู้สึกว่าเธอคิดตื้นเกินไป บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าถังโจวโจวแท้งลูก ลั่วเซ่าเชินจึงเป็นห่วงเป็นใยเธอแบบนี้ 


 


 


           มันก็เหมือนกับตอนนั้นที่เธอเข้าโรงพยาบาล ลั่วเซ่าเชินเองก็ใส่ใจเธอมากไม่ใช่หรือ? ทันใดนั้นความเชื่อมั่นของหันฮุ่ยซินก็กลับมาอีกครั้ง ใช่! เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้ อาเชินแค่เห็นใจถังโจวโจว จริงด้วย ต้องเป็นแบบนั้นแน่! 


 


 


           หันฮุ่ยซินยังคงอารมณ์ดีเหมือนกับตอนที่เธอมา และเมื่อเธอออกมาจากโรงพยาบาล ก็ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีมากกว่าตอนที่เธอมาถึงเสียอีก 


 


 


           เมื่อถังโจวโจวตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้นอนอยู่ข้างๆ เธอ แต่เขากำลังนั่งทำงานอยู่บนโซฟา และที่ด้านข้างของโซฟาก็มีโต๊ะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยกองเอกสาร 


 


 


“ผู้ช่วยหวังมาหรือคะ” ถังโจวโจวมองดูแฟ้มเอกสารเหล่านั้นและเอ่ยถาม 


 


 


“อืม ผมให้เขาเอาเอกสารที่ผมต้องเซ็นมาให้” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวตื่นแล้ว เขาก็วางโน้ตบุ๊กลงที่ข้างตัว ก่อนจะปรับเตียงให้สูงขึ้น เพื่อให้ถังโจวโจวได้เอนพิงอย่างสบายๆ 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าเพราะลั่วเซ่าเชินมัวแต่ง่วนอยู่กับเธอ เขาก็เลยทำงานได้ล่าช้า เธอจึงเกลี้ยกล่อมเขา “เซ่าเชิน คุณกลับไปทำงานที่บริษัทดีกว่าไหมคะ ฉันอยู่คนเดียวได้ แบบนี้มันจะลำบากคุณ” 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย “ไม่เป็นไร ผมโอเค คนลำบากน่ะไม่ใช่ผมหรอก หวังหวาเองก็เต็มใจทำ เงินเดือนของผมจะได้ไม่สูญเปล่าไง” ลั่วเซ่าเชินคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา ให้พูดอีกทีก็คือ มีหรือที่หวังหวาจะกล้ามีปากมีเสียง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดว่าเขาจะทำงานแบบนี้ไปจนกว่าถังโจวโจวจะหายดี หวังหวาดูออกว่าท่านผอ. เป็นห่วงเป็นใยในสุขภาพของถังโจวโจวหลังแท้งลูกครั้งนี้มาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดโอดครวญใดๆ กลับกันเขาก็แค่ต้องตั้งใจทำงานให้มากขึ้น 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ เธอก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เรื่องที่ลั่วเซ่าเชินได้ตัดสินใจลงไปแล้ว แทบจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ถังโจวโจวก็เข้าใจดี ในเมื่อเขาไม่ลำบาก เธอกังวลไปก็เปล่าประโยชน์ บางทีเขาอาจจะชอบแบบนี้ก็ได้! 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่ได้ไปเยี่ยมถังโจวโจวอีกเลย กลับกันเธอเดินทางมาที่คฤหาสน์ตระกูลลั่ว เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าวันนี้จู่ๆ เมิ่งชิงซีก็โผล่มาหลังจากที่หายหน้าไปหลายวันแล้ว เธอก็รู้สึกดีอกดีใจ “ชิงซี มาได้ยังไงลูก” 


 


 


เมิ่งชิงซีถือของมาสองกล่อง เธอยิ้มพลางพูดกับคุณแม่ลั่วว่า “คุณแม่เพิ่งจะได้ไวน์มาสองขวดค่ะ หนูก็เลยเอามาให้คุณลุงชิม” 


 


 


คุณแม่ลั่วยิ้มพลางรับของ แล้วเธอก็ให้แม่นมจ้าวเอาไปเก็บ เธอจับมือของเมิ่งชิงซีขึ้นมาแล้วพูดว่า “รบกวนคุณแม่หนูแย่เลย แล้วไหนจะยังรบกวนให้หนูเอามาให้อีก” คุณแม่ลั่วรู้สึกละอายใจต่อเมิ่งชิงซีไปชั่วขณะ เธอมองดูเมิ่งชิงซีด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้น 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่ได้สนใจคำพูดหวานหูของคุณแม่ลั่ว หลังจากครั้งก่อนที่คุณแม่ลั่วเปลี่ยนไป เธอก็ไม่อยากเชื่อคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของคุณแม่ลั่วเลย และที่เธอมาในวันนี้ เธอก็มีแค่จุดประสงค์เดียวเท่านั้น เพื่อเรียกเอาความรักที่คุณแม่ลั่วมีต่อเธอคืนมา! 


 


 


คุณป้าอยากได้หลานชายมากเลยนี่! เพราะถังโจวโจวท้อง เธอจึงได้รับความห่วงใยจากคุณแม่ลั่ว แต่ความห่วงใยนี้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ถังโจวโจวจะต้องคลอดลูกชายออกมา แต่ตอนนี้ถังโจวโจวแท้งลูกไปแล้ว ดูสิว่าเธอจะยังได้รับความโปรดปรานจากคุณแม่ลั่วอยู่อีกไหม 


 


 


เมิ่งชิงซีพูดราวกับว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ “คุณป้าคะ หลังๆ มานี้เซ่าเชินกับโจวโจวได้กลับมาเยี่ยมบ้างไหมคะ” 


 


 


“ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะกลับมาเมื่อสองสามวันที่แล้วนะจ๊ะ โจวโจวยังบอกอยู่เลยว่าเด็กในท้องแข็งแรงดี” คุณแม่ลั่วดูตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อพูดถึงเด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว รออีกเพียงไม่นาน เธอก็จะได้อุ้มหลานแล้ว 


 


 


เมิ่งชิงซีเองก็ยิ้มรับ “จริงเหรอคะ! เยี่ยมไปเลยค่ะ ดูเหมือนว่าเร็วๆ นี้คุณป้าก็จะได้อุ้มหลานแล้วนะคะ หนูขอแสดงความยินดีล่วงหน้าเลย” 


 


 


“ชิงซี นี่มันยังไม่แน่นอนเลยลูก ไม่รู้ว่าเด็กในท้องของโจวโจวเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ถึงยังไงมันก็ยังมีความหวัง” คุณแม่ลั่วพูดอย่างพยายามไม่ใส่ใจในเรื่องนั้น 


 


 


แต่เมิ่งชิงซีกลับรู้สึกว่าคุณแม่ลั่วช่างหน้าไม่อาย ยังไม่ทันได้รู้เลยว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง แค่นี้ก็เปลี่ยนจากเกลียดเป็นชอบได้แล้ว ซ้ำยังไม่กลัวว่าตัวเองจะเสียผู้ใหญ่ด้วย 


 


 


บนใบหน้าของเมิ่งชิงซีก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “คุณป้าคะ ได้ผู้หญิงก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่คะ ตราบใดที่โจวโจวยังมีความพยายาม สักวันหนึ่งคุณป้าก็จะได้อุ้มหลานชายอย่างแน่นอน” 


 


 


“ชิงซี หนูพูดได้ตรงใจป้าจริงๆ” คุณแม่ลั่วกุมมือของเมิ่งชิงซี เธอตื่นเต้นราวกับว่าได้เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ 


 


 


แต่จู่ๆ เมิ่งชิงซีก็ก้มหน้าลงและพูดอย่างหดหู่ว่า “น่าเสียดายที่หนูไม่มีบุญวาสนา ไม่สามารถช่วยให้คุณป้าคลายความทุกข์ได้ แต่นี่มันก็เป็นชะตาของหนูเอง ขอแค่ให้คุณป้าได้ทุกอย่างสมดังใจ หนูก็ไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ” 


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าตัวเองยังไม่ทันได้เอ่ยปลอบ เมิ่งชิงซีก็จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว เธอรู้สึกผิดขึ้นมาไปชั่วขณะ คุณแม่ลั่วเกือบจะพลั้งปากขอให้เมิ่งชิงซีมาเป็นลูกสะใภ้ของเธออีกครั้ง แต่เมื่อเธอนึกถึงเด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว อารมณ์ชั่ววูบนั้นก็หยุดชะงักไป 


 


 


“โธ่ ชิงซี หนูเป็นเด็กดีนะลูก ป้าไม่มีบุญเองต่างหาก ที่ไม่ได้ลูกสะใภ้ดีๆ อย่างหนู” คุณแม่ลั่วกล่าวคำที่สวยหรู แม้ว่าเมิ่งชิงซีจะโกรธ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า เธอก็ยังคงแสร้งทำเป็นว่าเธอคล้อยตามไปกับคำพูดนั้น เธอรู้สึกเหนื่อยไปชั่วขณะ 


 


 


เมิ่งชิงซีอยู่คุยกับคุณแม่ลั่วอยู่นาน ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นบอกลา เธอก็เห็นว่าคนขับรถไปรับลั่วอิงกลับมาแล้ว เธอจึงยืดตัวตั้งตรงอีกครั้ง “ลั่วอิง กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ” 


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นเมิ่งชิงซีนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอก็ไม่สนใจ เธอเอ่ยทักคุณแม่ลั่วและตรงขึ้นไปชั้นบนทันที คุณแม่ลั่วรู้สึกเก้อแทนอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของเมิ่งชิงซี เธอก็รู้ว่าเมิ่งชิงซีคงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ จากนั้นเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ 


 


 


“คุณป้าคะ ตอนนี้ลั่วอิงอยู่ที่นี่หรือคะ” 


 


 


“ใช่จ้ะ อาเชินบอกว่าเขากับโจวโจวมีธุระ เขาก็เลยฝากลั่วอิงไว้ที่นี่ก่อนสักสองสามวัน แล้วเดี๋ยวพวกเขาจะมารับเธอกลับไป” 


 


 


“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเซ่าเชินกับโจวโจวมัวแต่ยุ่งอะไรอยู่ ทำไมแม้แต่ลั่วอิงก็ยังดูแลไม่ได้ คงไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโจวโจวหรอกนะคะ” 


 


 


เมิ่งชิงซีเห็นว่าสีหน้าของคุณแม่ลั่วเปลี่ยนไปในทันที เธอรีบพูดต่อว่าตัวเอง “ตายจริง คุณป้าดูสิคะ หนูพูดอะไรออกไปก็ไม่รู้ โจวโจวยังสบายดีอยู่แน่นอนค่ะ คุณป้าคะ นี่ก็เย็นมากแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ” 


 


 


คุณแม่ลั่วที่เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินเมิ่งชิงซีบอกว่าจะกลับ เธอก็รีบลุกขึ้นไปส่ง “ชิงซี อยู่กินข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับดีกว่าไหมลูก” 


 


 


“ไม่ดีกว่าค่ะคุณป้า หนูบอกกับคุณแม่เอาไว้ว่าจะกลับไปทานข้าวที่บ้าน ตอนนี้คุณแม่ก็น่าจะรอหนูอยู่ หนูมัวแต่คุยกับคุณป้าเพลิน จนลืมเวลาไปเลยน่ะค่ะ” เมิ่งชิงซีบอกลาคุณแม่ลั่วและขับรถออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลลั่ว 


 


 


ทางด้านของคุณแม่ลั่ว หลังจากที่เมิ่งชิงซีกลับไปแล้ว เมื่อเธอยิ่งคิด เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอโทรหาลั่วเซ่าเชิน เขาไม่ได้บอกในทันทีว่าถังโจวประสบอุบัติเหตุหรือไม่ เป็นเธอเองที่ถามเขาไปก่อนว่าเขาอยู่ที่ไหน ลั่วเซ่าเชินบอกว่าเขาอยู่ที่บริษัท เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าเธอไม่ได้ข้อมูลอะไรจากปากของเขาเลย เธอก็ได้แต่วางสายไป 


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วมาคิดๆ ดูแล้ว เธอก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เธอจะไปที่บ้านของลั่วเซ่าเชิน พอดีกันกับที่วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็บอกได้ว่าเธอมาส่งลั่วอิงกลับบ้าน ถึงตอนนั้นอาเชินก็ดูไม่ออกหรอก ถ้าคุณแม่ลั่วยังไม่เห็นกับตา เธอก็ไม่สามารถวางใจได้ 


 


 


คุณแม่ลั่วพูดจริงทำจริง วันรุ่งขึ้นเธอพาลั่วอิงไปที่บ้านของลั่วเซ่าเชินทันที เมื่อคนขับรถเคลื่อนรถเข้าไปใกล้ๆ ลั่วอิงก็เห็นว่ามีรถจอดอยู่หน้าบ้าน และป้าหลิวเองก็ถือของหอบขึ้นรถไป 


 


 


“นั่นป้าหลิวนี่คะ ป้าหลิวกำลังจะไปไหนนะ” 


 


 


คุณแม่ลั่วถูกดึงดูดความสนใจด้วยคำพูดของลั่วอิง เธอถามในทันทีว่า “ลั่วอิง หนูรู้จักเหรอลูก” 


 


 


“รู้จักสิคะ แม่บ้านที่คุณพ่อจ้างมา ป้าหลิวค่ะ” ลั่วอิงตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


คุณแม่ลั่วเองก็รู้สึกแปลกๆ หากเป็นอย่างนั้นจริง เวลานี้แม่บ้านหลิวควรจะทำงานอยู่ในครัวสิ แต่ตอนนี้เธอจะนั่งรถออกไปไหน คุณแม่ลั่วพูดกับคนขับรถ “ตามรถคันข้างหน้าไป” 


 


 


คนขับรถตามไปอย่างช้าๆ คุณแม่ลั่วก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของรถคันหน้า เธอพบว่าท้ายที่สุดแล้ว รถก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นคนขับลงจากรถ เธอก็พบว่าเขาคือผู้ช่วยหวังนี่เอง อาเชินประสบอุบัติเหตุเหรอ?

 

 

 


ตอนที่ 119

 

คุณแม่ลั่วให้คนขับรถหยุดรถที่โรงพยาบาลกลาง เธอพาลั่วอิงลงไปและกำชับกับลั่วอิงว่า “หนูอย่าเพิ่งพูดอะไรนะลูก”


 


 


“ทำไมล่ะคะคุณย่า” ลั่วอิงไม่เข้าใจ ทำไมถึงไม่อนุญาตให้เธอพูด นี่คุณย่ากำลังสะกดรอยตามป้าหลิวอยู่เหรอ? แต่ประโยคหลังนี้ เธอไม่ได้พูดมันออกไป เดี๋ยวคุณแม่ลั่วจะพานโกรธเธอเอาได้


 


 


ตอนนี้คุณแม่ลั่วไม่มีเวลาอธิบายให้ลั่วอิงฟัง “เชื่อย่านะลูก เดี๋ยวย่าค่อยบอกหนูทีหลัง”


 


 


“ค่ะ” ลั่วอิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย แม้เธอจะไม่เข้าใจ แต่เธอก็อยากรู้ว่าตกลงแล้วคุณแม่ลั่วกำลังทำอะไรกันแน่ คุณแม่ลั่วจูงมือพาลั่วอิงเดินเข้าไปในโรงพยาบาล


 


 


เมื่อเห็นหวังหวาและป้าหลิวเดินเข้าไปในลิฟต์ คุณแม่ลั่วก็ไม่ได้รีบตามเข้าไป และพอเธอเห็นว่าลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นสาม เธอถึงค่อยตามขึ้นไป


 


 


เมื่อเธอขึ้นมาถึงชั้นสาม เธอก็ไม่เห็นใครแล้ว แต่เธอก็ไม่กังวล หวังหวายังอยู่ที่ชั้นนี้ เธอค่อยๆ หาไปก็ได้ ต้องหาเจอจนได้แหละน่า


 


 


คุณแม่ลั่วตัดสินใจไม่โทรหาลั่วเซ่าเชิน เธออยากจะรู้ว่าพวกเขากำลังเล่นอะไรอยู่ เพราะโดยปกติแล้วลั่วเซ่าเชินก็จะมาส่งลั่วอิงไว้ที่บ้านของเธอ ดังนั้นคุณแม่ลั่วจึงไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก แต่คราวนี้คำพูดของเมิ่งชิงซีทำให้เธอคิดตาม ‘ใช่ ธุระอะไร ต้องทำตั้งวันสองวัน แล้วไหนจะยังให้แม่บ้านมาส่งข้าวส่งน้ำถึงที่นี่อีก’


 


 


พวกเขาต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน คุณแม่ลั่วไม่แน่ใจว่าใครประสบอุบัติเหตุ แต่เธอจะไม่ยอมให้ลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจวรวมหัวกันปิดบังเธอ เธอจะต้องรู้ให้ได้ ดังนั้นมันจึงเกิดการสะกดรอยตามในครั้งนี้ขึ้น


 


 


คุณแม่ลั่วเดินผ่านหน้าห้องพักผู้ป่วยทีละห้อง เมื่อใดที่เธอเกิดความสงสัย เธอก็จะหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักผู้ป่วยครู่หนึ่ง โชคดีที่ตอนนี้ตรงโถงทางเดินไม่มีคน ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของคุณแม่ลั่ว


 


 


ลั่วอิงมองดูท่าทางแปลกๆ ของคุณแม่ลั่ว “คุณย่าจะทำอะไรกันแน่คะ” เป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณแม่ลั่วบอกให้เธออยู่เงียบๆ ดังนั้นเสียงของลั่วอิงจึงไม่ได้ดังมาก แต่คุณแม่ลั่วก็ยังสะดุ้งตกใจจนถึงกับหวาดผวา


 


 


คุณแม่ลั่วตบอกเล็กน้อย ก่อนจะพาลั่วอิงมาที่ด้านข้างและตำหนิเธอ “ย่าเพิ่งห้ามไม่ให้หนูพูดไม่ใช่เหรอ ทำไมหนูถึงไม่ฟังย่าล่ะ”


 


 


ลั่วอิงรู้สึกน้อยใจ “คุณย่าจะทำอะไรล่ะคะ คุณย่าบอกหนูก็ได้ หนูจะช่วยคุณย่าเอง!”


 


 


คุณแม่ลั่วคิดว่าเธอยังเด็กอยู่ แม้ว่าจะพูดอะไรไป เธอก็คงไม่เข้าใจ คุณแม่ลั่วก็เลยไม่พูดกับเธอดีกว่า ปล่อยให้เธอเดินตามมาก็พอแล้ว ถ้ารู้ว่าลั่วอิงจะไม่เชื่อฟังแบบนี้ รู้อย่างนี้ให้เธอรออยู่ในรถดีกว่า


 


 


ทันใดนั้น ลั่วอิงก็พูดขัดจังหวะความคิดของคุณแม่ลั่ว “คุณย่ากำลังตามหาป้าหลิวอยู่เหรอคะ ป้าหลิวก็อยู่ตรงนั้นไงคะ” ลั่วอิงชี้ไปที่ห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังของคุณแม่ลั่ว เมื่อคุณแม่ลั่วหันกลับไป เธอก็เห็นว่าป้าหลิวเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยห้องนั้นพอดี


 


 


คุณแม่ลั่วพาลั่วอิงไปหลบตรงทางเลี้ยว เธอจำห้องที่ป้าหลิวเพิ่งเดินออกมาและรอคอยอย่างเงียบๆ เพื่อดูว่าลั่วเซ่าเชินอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า


 


 


หลังจากป้าหลิวออกมาได้ไม่นาน หวังหวาก็ตามออกมาด้วย จากนั้นก็ไม่มีใครออกมาแล้ว ลั่วอิงรอจนทนไม่ไหว “คุณย่าขา เราจะได้ทานข้าวกันเมื่อไรคะ”


 


 


คุณแม่ลั่วพาลั่วอิงออกมาโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย และตอนนี้มันก็เป็นเวลากินข้าวแล้ว ท้องของลั่วอิงเริ่มประท้วง แต่เห็นได้ชัดว่าความสนใจของคุณแม่ลั่วยังอยู่ที่อื่น เธอจึงไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย


 


 


เมื่อมองดูหลานสาวที่ยืนหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์อยู่ตรงนี้ คุณแม่ลั่วก็ตัดสินใจว่า ไม่ว่าลั่วเซ่าเชินจะอยู่ในนั้นหรือไม่ เธอก็จะเดินเข้าไปดู แล้วเธอก็จะได้รู้ทุกอย่างเสียที!


 


 


“หนูหิวแล้วเหรอ เดี๋ยวคุณย่าพาหนูไปดูก่อนว่าคุณพ่อคุณแม่อยู่แถวนี้ไหม แล้วเดี๋ยวคุณย่าจะพาหนูไปกินข้าวนะคะ”


 


 


“ค่ะ คุณย่า ทำไมคุณย่าถึงพูดว่าคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ที่นี่ พวกเขาไม่ได้ป่วยนี่คะ” ลั่วอิงไม่เข้าใจ ในมุมมองของเธอ โรงพยาบาลเป็นสถานที่ที่อยู่ของผู้ป่วย ลั่วเซ่าเชินกับถังโจวโจวก็ไม่ได้ป่วยนี่ พวกเขาจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร


 


 


คุณแม่ลั่วขี้คร้านจะอธิบายให้ฟัง “เดี๋ยวเข้าไปดูก็รู้แล้วค่ะ” เธอจูงมือลั่วอิง คุณแม่ลั่วเดินเข้าไปใกล้กับห้องพักผู้ป่วยที่ป้าหลิวเพิ่งเดินออกมา ก่อนจะเปิดประตูและก้าวเข้าไปโดยที่ไม่ลังเลใจเลยสักนิด


 


 


ภายในห้องพักผู้ป่วยสีขาว ถังโจวโจวนั่งอยู่บนเตียงในชุดลายทางสีฟ้าสลับขาวของโรงพยาบาล บนเตียงมีโต๊ะง่ายๆ ตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีกระติกเก็บความร้อนและอาหารอีกสองสามอย่างวางอยู่ ในขณะที่คุณแม่ลั่วเดินเข้ามา ถังโจวโจวก็กำลังทานซุปอยู่


 


 


ส่วนลั่วเซ่าเชิน เขานั่งอยู่บนโซฟา ด้านหน้าของเขามีโต๊ะตัวเล็กๆ วางอยู่ บนโต๊ะนั้นก็มีอาหารวางอยู่หลายจาน วินาทีแรกที่ลั่วเซ่าเชินสังเกตเห็นว่าประตูห้องถูกเปิดออก เขาก็คิดว่าเป็นป้าหลิวที่เดินกลับเข้ามา แต่เมื่อเขาหันไปมองและตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็เห็นคุณแม่ลั่วกับลั่วอิง


 


 


 “แม่ครับ แม่มาได้ยังไง!” เมื่อถังโจวโจวได้ยินว่าคุณแม่ลั่วมา เธอก็ตกใจจนเผลอปล่อยช้อนที่อยู่ในมือ เมื่อเธอหันไปมอง เธอก็เห็นว่าเป็นคุณแม่ลั่วจริงๆ ซ้ำยังจับมือของลั่วอิงอยู่ด้วย ถังโจวโจวเอ่ยทักด้วยเสียงอ่อนแรง “คุณแม่ ลั่วอิง”


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นถังโจวโจวสวมชุดผู้ป่วย เธอก็สะบัดมือของคุณแม่ลั่วและวิ่งไปหาถังโจวโจวที่ข้างเตียง เธอจับมือของถังโจวโจวและพูดว่า “แม่โจวโจวขา คุณแม่ป่วยเหรอคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ”


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าถังโจวโจวหลบสายตา ความสงสัยที่มีอยู่ในใจก็ทะลักล้นออกมา คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกนะ


 


 


คุณแม่ลั่วยังไม่กระโตกกระตาก ก่อนจะยิ้มและเดินเข้าไปหาเธอ “โจวโจว ทำไมหนูไม่บอกแม่ว่าหนูป่วย ตอนนี้หนูอุ้มท้องอยู่นะ อาเชินนี่ก็จริงๆ เลย ไม่ยอมบอกแม่สักคำ” ถังโจวโจวไม่รู้จะตอบยังไง ถ้าคุณแม่ลั่วรู้ว่าเธอแท้งลูก ไม่รู้ว่าจะโกรธเธอขนาดไหน


 


 


ลั่วเซ่าเชินลุกขึ้นและพาคุณแม่ลั่วไปนั่งที่โซฟา “แม่ครับ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงมาที่นี่ได้ แล้วก็ไม่บอกผมก่อน ผมจะได้ให้หวังหวาไปรับ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินอยากจะเอาใจคุณแม่ลั่วก่อน เมื่อเขาเห็นท่าทางสบายๆ ของคุณแม่ลั่วแล้ว เขาก็คิดว่าเธอน่าจะยังไม่รู้ว่าถังโจวโจวแท้งลูก


 


 


คุณแม่ลั่วส่งเสียง ‘ฮึ!’ ออกมาเบาๆ “แม่น่ะเหรอ แม่ก็จะพาลั่วอิงกลับไปดูที่บ้านน่ะสิว่าพวกลูกเป็นอะไรกัน ใครจะไปรู้ล่ะว่าพอแม่ไปถึงหน้าบ้านของพวกลูก แม่ก็เห็นแม่บ้านของพวกลูกเดินออกมา จากนั้นแม่ก็สงสัยว่าหล่อนจะหอบหิ้วข้าวของไปไหนกัน ในเมื่อมันถึงเวลากินข้าวแล้ว แม่ก็เลยตามเธอมา นึกไม่ถึงเลยว่า…”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่คิดเลยว่านั่นจะเป็นสาเหตุ ต้องโทษเขาเองที่คิดไม่รอบคอบ ใครจะไปรู้ล่ะว่าจู่ๆ คุณแม่ลั่วก็จะพาลั่วอิงกลับไปที่บ้าน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องนี้ เขาจะต้องคิดให้ได้ก่อนว่าเขาจะทำให้คุณแม่ลั่วออกไปจากที่นี่ก่อนได้อย่างไร


 


 


“แล้วนี่โจวโจวเป็นอะไร ทำไมถึงเข้าโรงพยาบาลล่ะ ลูกนี่ก็ไม่บอกแม่เลยนะ รู้อย่างนี้แม่จะได้ให้แม่นมจ้าวมาเฝ้าโจวโจว” สายตารักใคร่เอ็นดูของคุณแม่ลั่วทำเอาถังโจวโจวรู้สึกทนไม่ไหว เธอจึงทำได้แค่หัวเราะอย่างขมขื่น


 


 


“แม่ครับ โจวโจวเป็นหวัดเฉยๆ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ผมอยู่ดูแลเธอก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกแม่นมจ้าวมาหรอก มันวุ่นวายเกินไปครับ” ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธทันควัน คุณแม่ลั่วมองดูท่าทางที่อ่อนเพลียของถังโจวโจว จากนั้นก็มองดูลักษณะอาการอื่นๆ อีก เธอไม่เชื่อว่าถังโจวโจวจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา


 


 


“อาเชิน บอกแม่มาตามตรง โจวโจวเป็นอะไร”


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นว่าลั่วเซ่าเชินหลอกเธอ เธอก็เริ่มมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น วันนี้เธอต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคุณแม่ลั่วนึกถึงคำพูดลอยๆ ของเมิ่งชิงซี


 


 


“โจวโจวแท้งลูกแล้วใช่ไหม” ทันทีที่คุณแม่ลั่วพูดจบ และลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร ถังโจวโจวก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ เพียงเท่านี้คุณแม่ลั่วก็มั่นใจแล้ว “เด็กไม่อยู่แล้วจริงๆ เหรอ?!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้แต่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น เมื่อเขาเห็นว่าเรื่องนี้ปิดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว “วันก่อนโจวโจวล้มที่ห้างสรรพสินค้า เธอก็เลยแท้งลูกครับ”


 


 


“อะไรนะ เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวานซืน? แต่ลูกกลับปิดแม่เอาไว้ตลอด อาเชิน แม่ยังเป็นแม่ของลูกอยู่หรือเปล่า” เมื่อคุณแม่ลั่วคิดว่าเด็กไม่อยู่แล้ว เธอก็รู้สึกเสียใจมาก อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเธอก็จะได้อุ้มหลานแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่เหลืออะไรเลย


 


 


คุณแม่ลั่วไม่สนใจด้วยซ้ำว่าถังโจวโจวไปทำอีท่าไหนถึงได้แท้งลูก เธอรู้แค่เพียงว่าหลานของเธอจากไปแล้ว เธอตะคอกใส่ถังโจวโจวเสียงดังว่า “เธอทำอะไรของเธอน่ะ! เด็กอยู่ในท้องของเธอแท้ๆ ทำไมเธอถึงต้องออกไปเดินที่ห้างฯ ด้วย”


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วยิ่งพูดนานเข้าก็ยิ่งไม่น่าฟัง เขาจึงหยุดห้ามปรามเธอในทันที “แม่ครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย โจวโจวเสียใจมามากแล้ว แม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ให้เธอได้พักก่อน”


 


 


คุณแม่ลั่วไม่สามารถสงบอารมณ์ลงได้ เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวไม่ตอบ เธอก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น “ถังโจวโจว เธอคิดจะทำอะไรกันแน่ กว่าจะตั้งท้องเด็กได้คนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ นี่เพิ่งจะผ่านมากี่เดือนเอง เธอก็แท้งลูกซะแล้ว เธอตั้งใจจะทำให้ตระกูลลั่วของพวกเราไม่มีทายาทใช่ไหม!”


 


 


“แม่ครับ แม่กำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่” ลั่วเซ่าเชินมองดูคุณแม่ลั่วด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ถังโจวโจวเต็มใจให้ลูกจากไปอย่างนั้นเหรอ? นี่แม่กำลังพล่ามอะไรอยู่ จากคำพูดนั้นเขาคิดว่าคงไม่มีใครทนไหวได้หรอก


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ลั่วโมโหมาก และคำพูดนั้นทำให้นึกถึงลูกที่เธอเพิ่งสูญเสียไป เธอก็ยิ่งเศร้าใจมากขึ้น เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าทางด้านนี้โกรธจนหน้าแดงก่ำ ทางด้านนั้นก็น้ำตาพรั่งพรู เขาจึงตัดสินใจลากคุณแม่ลั่วออกไปจากห้องพักผู้ป่วย


 


 


คุณแม่ลั่วยังไม่สาแก่ใจ แต่พละกำลังของเธอก็สู้ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ การขัดขืนจึงไม่เกิดผล เธอยังถูกลั่วเซ่าเชินลากออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอยู่ดี


 


 


ลั่วอิงเห็นถังโจวโจวร้องไห้อย่างหนัก เมื่อครู่นี้เธอได้ยินจากคุณแม่ลั่วหมดแล้ว “แม่โจวโจวขา น้องที่อยู่ในท้องของคุณแม่ เขาไม่อยู่แล้วเหรอคะ”


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วอิงจ้องเธอไม่วางตา รอคอยคำตอบของเธอ ถังโจวโจวสะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยายามสงบสติแล้วตอบออกมาว่า “ลั่วอิง เป็นเพราะแม่โจวโจวดูแลน้องไม่ดี น้องถึงได้จากเราไป”


 


 


ลั่วอิงก้มหน้าคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับถังโจวโจวว่า “แม่โจวโจวอย่าเสียใจไปเลยนะคะ ไม่มีน้องชายก็ยังมีหนูนะ หนูจะอยู่กับคุณแม่เอง”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงเข้าใจง่ายแบบนี้ เธอก็ทั้งหัวเราะและร้องไห้ ชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรถึงจะดี “ขอแค่ลั่วอิงเป็นเด็กดีแบบนี้ แม่โจวโจวก็ไม่เสียใจแล้วค่ะ”


 


 


ลั่วอิงเช็ดน้ำตาให้ถังโจวโจว มือเล็กๆ ของเธอจับมือของถังโจวโจวไว้แน่น ราวกับว่าเธอกำลังให้คำมั่นสัญญา “แม่โจวโจววางใจได้เลยนะคะ น้องจะต้องกลับมาหาเราอย่างแน่นอน”


 


 


คำพูดของเธอทำให้ถังโจวโจวประหลาดใจ ถังโจวโจวจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “หนูรู้ได้ยังไงคะว่าน้องจะกลับมา”


 


 


ลั่วอิงสับสนอยู่กับคำถามนี้ เธอฉุกคิดนิดหน่อย ก่อนจะตอบว่า “หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ครอบครัวของเพื่อนหนูคนหนึ่งก็เป็นแบบนี้ เธอบอกว่าคุณแม่ของเธอป่วยและต้องอยู่ที่โรงพยาบาลสักพักหนึ่ง แล้วเธอก็ได้ยินว่าน้องของเธอไม่อยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่ของเธอก็มีน้องชายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้ฟังลั่วอิงพูดจนจบ เธอก็รู้ว่าลั่วอิงหมายถึงอะไร แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจ แม้ว่าหลังจากนี้เธอจะมีลูกอีกกี่คน ลูกๆ เหล่านั้นก็จะไม่ใช่ลูกคนนี้ที่เธอเพิ่งสูญเสียไป


 


 


“ใช่ค่ะ มันเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นตอนนี้แม่โจวโจวจะไม่เศร้าแล้ว แม่จะรอให้น้องกลับมาอยู่ในท้องของแม่อีกครั้งนะ” ถังโจวโจวเฝ้ารอจากก้นบึ้งของหัวใจว่าลูกจะกลับมาอีกครั้ง

 

 

 


ตอนที่ 120

 

ลั่วเซ่าเชินลากคุณแม่ลั่วออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เมื่อเธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเอาแต่เดินตรงไปข้างหน้า เธอจึงร้องเสียงดังลั่นว่า “อาเชิน ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้นะ! แม่เจ็บมือไปหมดแล้ว ลูกมีอะไรก็พูดมาเถอะ แม่รอฟังอยู่” 


 


 


เธอสลัดเท่าไรก็สลัดไม่หลุด ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ปล่อยมือ และคุณแม่ลั่วก็เป็นอิสระจากกรงเล็บปีศาจของเขา 


 


 


คุณแม่ลั่วลูบข้อมือข้างที่ขึ้นรอยช้ำ ก่อนจะพูดด้วยความโมโหว่า “อาเชิน นี่ลูกทำบ้าอะไร ลูกยังคิดว่าแม่เป็นแม่ของลูกอยู่หรือเปล่า แม่จะเอ็ดจะว่าเธอไม่ได้เลยเหรอ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกรำคาญใจที่เห็นว่าคุณแม่ลั่วเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของถังโจวโจว “แม่ครับ แม่อย่าพูดแบบนั้นอีกนะครับ แม่ไม่รู้สึกเหรอครับว่ามันน่าอายมากแค่ไหน” 


 


 


“น่าอายตรงไหน ก็เธอเป็นคนทำทุกอย่างพังเอง ทำไมแม่ถึงจะต่อว่าเธอไม่ได้” คุณแม่ลั่วไม่ได้รู้สึกว่าเธอทำผิดตรงไหน มันเป็นความรับผิดชอบของถังโจวโจวที่ดูแลรักษาลูกในท้องของตัวเองไม่ดี ทำไมตอนนี้เธอจะต่อว่าถังโจวโจวไม่ได้ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเธอพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นแค่ไหน ซ้ำยังจะกล่าวหาว่าถังโจวโจวตั้งใจแท้งลูกอีก เขาพยายามเกลี้ยกล่อมต่อ “แม่ครับ โจวโจวเพิ่งแท้งลูก แค่นี้เธอก็เสียใจมากพอแล้ว นี่แม่กำลังสาดเกลือลงบนแผลของเธอนะครับ” 


 


 


คุณแม่ลั่วยังไม่ทันได้ตอกกลับ ลั่วเซ่าเชินก็พูดต่อ “คนธรรมดาเขาถือว่าเรื่องนี้มันสะเทือนใจมากนะครับ แล้วนี่แม่เป็นถึงแม่สามีของเธอ แต่ทำไมเธอถึงถูกต่อว่ารุนแรงยิ่งกว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเสียอีก” 


 


 


สิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูดมาทำให้คุณแม่ลั่วโกรธ เธอเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีมากที่สุด เธอจะปล่อยให้คำพูด ของลั่วเซ่าเชินมามีอิทธิพลเหนือเธอได้อย่างไร “เซ่าเชิน ลูกว่าอะไรนะ ลูกไม่เข้าข้างแม่ก็ช่าง แต่นี่ยังจะไปช่วยยายถังโจวโจวมาต่อว่าแม่อีก” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะเถียงกับคุณแม่ของเขาอีก ตอนนี้คุณแม่ลั่วเชื่อมั่นอย่างนั้นไปแล้ว แม้ว่าเขาจะพูดอีกสักเท่าไร เธอก็คงไม่ฟังอยู่ดี สู้เก็บน้ำลายเอาไว้ดีกว่า 


 


 


“เอาละ แม่ครับ ผมขี้เกียจพูดกับแม่แล้ว แม่จะคิดยังไงก็คิดไปเถอะ ตอนนี้เด็กก็ไม่อยู่แล้ว แม่พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ แม่กลับไปก่อนเถอะครับ” ลั่วเซ่าเชินนวดขมับที่ปวดตุบๆ และหันตัวเดินกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย 


 


 


คุณแม่ลั่วขยับปากบ่น เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่อยากจะสนทนากับเธออีกแม้แต่ประโยคเดียว “นี่เห็นได้ชัดเลยว่าลูกมีเมียแล้วลืมแม่! ดีจริงๆ ยายถังโจวโจว” คุณแม่ลั่วออกไปจากโรงพยาบาลด้วยความโกรธ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอก็รู้เลยว่าเขาทะเลาะกับคุณแม่ลั่วมาอีกแล้ว “เซ่าเชิน คุณแม่ล่ะคะ” 


 


 


“กลับไปแล้ว คุณยังกินข้าวไม่เสร็จเลย รีบกินต่อเถอะ ลั่วอิง แล้วลูกกินข้าวมาหรือยังครับ” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นสองแม่ลูก เขาก็ทิ้งเรื่องที่เขาทะเลาะกับคุณแม่ลั่วเอาไว้ข้างหลัง 


 


 


ลั่วอิงส่ายหน้า “คุณย่าพาหนูออกมาทั้งๆ ที่หนูยังไม่ได้ทานข้าวเลยค่ะ คุณพ่อ คุณพ่อขา หนูหิวมากเลยค่ะ” 


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวได้ยินว่าลั่วอิงหิว เธอก็รีบพูดกับลั่วเซ่าเชินว่า “คุณพาเธอออกไปทานข้าวเถอะค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินฉุกคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลง เขากำชับว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าเพิ่งลงจากเตียงล่ะ” 


 


 


“ค่ะ ถ้าฉันอยากได้อะไร ฉันจะรอจนกว่าคุณจะกลับมา” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินทำราวกับว่าเธอเป็นเด็ก แจงทุกขั้นตอนอย่างละเอียด เธอก็พูดออกมาอย่างติดตลก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิด กันไว้ดีกว่าแก้ แล้วก็เหมือนว่าถังโจวโจวจะความจำสั้น เขากลัวว่าคุณแม่ลั่วจะกลับมาอีก ถึงตอนนั้นเธออาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้ ลั่วเซ่าเชินไม่สามารถทำอะไรแม่ของเขาได้มากกว่านี้ เขาจึงได้แต่คอยประคับประคองทั้งสองฝ่ายอยู่ตรงกลางเท่านั้น 


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไรคุณแม่ลั่วก็ไม่ยอมรับถังโจวโจวเสียที คุณแม่ลั่วมักจะมองเธอด้วยความอคติ ในขณะที่คุณพ่อลั่วเองก็อยู่ฝ่ายเดียวกับคุณแม่ลั่ว มันจึงเกิดปัญหาระหว่างแม่ผัวและลูกสะใภ้ขึ้นมา 


 


 


การที่ถังโจวโจวตั้งท้องในครั้งนี้ เปรียบเสมือนกาวใจที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอทั้งสองคน แต่เมื่อเด็กจากไปแล้ว ความขัดแย้งก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ลั่วเซ่าเชินดูออกว่าการที่คุณแม่ลั่วทักทายถังโจวโจวด้วยความห่วงใย นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอเห็นแก่เด็กที่อยู่ในท้องของถังโจวโจว 


 


 


ตอนนี้ในเมื่อเด็กไม่อยู่แล้ว เธอก็ไม่แม้แต่จะยับยั้งชั่งใจ แล้วยังโยนความผิดไปให้ถังโจวโจวอีกด้วย แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะไม่ชอบใจในสิ่งที่คุณแม่ลั่วทำ แต่เขาก็พูดอะไรไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงพาถังโจวโจวหนีไปให้ไกลจากคุณแม่ลั่วเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ทุกๆ ฝ่ายจะได้สบายใจขึ้น 


 


 


หลังจากลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงออกไปกินข้าว เพียงไม่นานคุณแม่ถังก็ถือกระติกเก็บความร้อนมาเยี่ยมถังโจวโจว เดิมทีคุณแม่ถังเอ่ยปากว่าจะขอดูแลถังโจวโจวเอง แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ยินยอม เขาบอกว่าเขาจะขอเป็นคนดูแลถังโจวโจวเอง เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าลูกสาวของเธอก็เห็นด้วย เธอจึงไม่ได้รบเร้าอะไรอีก 


 


 


แต่เมื่อคุณแม่ถังมีเวลาว่างก็มักจะนำอาหารที่ตั้งใจทำมาให้ถังโจวโจวกินบำรุงร่างกาย คราวนี้ถังโจวโจวได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเป็นอย่างมาก คุณแม่ถังกลัวว่าถังโจวโจวจะเก็บปมนี้ไว้ในใจ เธอก็เลยมาให้กำลังใจเป็นครั้งเป็นคราว จิตใจของถังโจวโจวจะได้รู้สึกปลอดโปร่ง 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเดินเข้ามา เธอก็พบว่ามีแค่ถังโจวโจวที่อยู่ในห้อง เธอวางของเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เซ่าเชินล่ะ ทำไมเขาถึงไม่อยู่เป็นเพื่อนลูก” 


 


 


คุณแม่ถังหยิบชามน้ำซุปที่เธอตักเอาไว้แล้วออกมา จากนั้นเธอก็เลื่อนไปตรงหน้าถังโจวโจว 


 


 


“วันนี้แม่ตุ๋นซุปมาให้ลูกนะ รีบชิมสิ” 


 


 


“เซ่าเชินพาลั่วอิงออกไปกินข้าวค่ะ แม่คะ ป้าหลิวแกมาส่งข้าวให้หนูทุกวัน แม่ไม่ต้องลำบากทำมาหรอก หนูกินได้ไม่เท่าไรเอง” แม้ว่าถังโจวโจวจะพูดอย่างนี้ แต่เธอก็ยังตักน้ำซุปขึ้นมากินอยู่ดี 


 


 


“ป้าหลิวทำได้เหมือนแม่เหรอ” คุณแม่ถังรู้สึกว่าพอเด็กคนนี้มีสามีคอยให้ท้าย เธอก็ไม่ต้องการคุณแม่ของเธอเลย อีกทั้งยังหยิ่งผยองขึ้นมาอีก 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นท่าทางโกรธเคืองของคุณแม่ถัง แม้ในใจจะรู้ดีกว่าคุณแม่ถังไม่ได้ตำหนิเธอจริงจัง แต่เธอก็ยังควงแขนของคุณแม่ถังและแกว่งไปมา “หนูพูดเล่นค่ะแม่ แม่อย่าเก็บเอาไปคิดเลยนะ” 


 


 


“เอาละๆ รีบทานซุปเถอะ แม่จะโกรธลูกได้ยังไง แม่เป็นห่วงต่างหาก” คุณแม่ถังยอมทำทุกๆ อย่างเพื่อให้ลูกสาวของเธออยู่ดีมีความสุข 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ถังกลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง เธอก็ยิ้มให้คุณแม่ของเธออีกครั้ง ก่อนจะยกชามน้ำซุปขึ้นมาซด หลังจากที่ถังโจวโจวกินจนหมด เธอก็กินอะไรไม่ลงอีก คุณแม่ถังไม่ได้บังคับให้เธอกินต่ออีก ก่อนจะนำฝามาปิดให้เรียบร้อย และเตรียมรอกำชับให้ถังโจวโจวกินเข้าไปอีกในตอนบ่าย 


 


 


คุณแม่ถังให้ถังโจวโจวนั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะไปขยับเก้าอี้มา และเอ่ยถามว่า “แล้วจู่ๆ ลั่วอิงมาได้ยังไงน่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวถ่ายทอดเรื่องคุณแม่ลั่วให้เธอฟัง คุณแม่ถังโกรธจนตัวสั่น “นี่เธอคิดจะทำอะไร สภาพลูกตอนนี้ก็เป็นถึงขนาดนี้ เธอยังจะมาด่าลูกทำไมอีก นี่เธอยังเป็นแม่สามีของลูกอยู่หรือเปล่า ลูกสาวฉันทรมานจนตายแน่ที่แต่งเข้าตระกูลนี้” 


 


 


เมื่อก่อนด้วยเหตุผลของถังโจวโจว คุณแม่ถังจึงไม่อยากจะปะทะกับคุณแม่ลั่วโดยตรง แต่สิ่งที่คุณแม่ลั่วพูดมานั้นทำร้ายจิตใจกันมากเกินไป เธอใช้เพียงอารมณ์ตัดสินเท่านั้นหรอกหรือ พอโจวโจวท้อง เธอก็ยกให้เป็นลูกสะใภ้แสนรัก แต่พอแท้งลูก เธอก็ตราหน้าโจวโจวว่าเป็นนักโทษ อย่างนั้นใช่ไหม? 


 


 


โจวโจวไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตัวเองแท้งลูกสักหน่อย ทำไมถึงไม่ปลอบเธอเลยสักนิด แล้วยังจะมาโทษโจวโจวอีก ยายแก่คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าพอเธอเล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ถังฟัง คุณแม่ถังก็ยิ่งเดือดดาล เธอจึงนึกเสียใจ ถ้าเธอรู้ว่าแม่จะเป็นแบบนี้ เธอไม่พูดมันออกมาหรอก เธอพลอยทำให้แม่กังวลใจไปด้วย “แม่อย่าโกรธไปเลยค่ะ หนูไม่ได้เก็บเอามาคิด หนูรู้ดีว่าแม่สามีของหนูเป็นคนยังไง ขอแค่เซ่าเชินยังดีกับหนูอยู่ก็พอ” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้ขออะไรมาก ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินก็คิดถึงแต่เธอ ส่วนเธอกับลั่วอิงก็เข้ากันได้ดี แทบจะเหมือนแม่ลูกกันแท้ๆ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว 


 


 


คุณแม่ถังรู้สึกว่าคุณแม่ลั่วชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ จริงอยู่ที่ตระกูลลั่วมีฐานะมากกว่าบ้านของเธอ แต่จะมาดูถูกคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร “โจวโจว ที่แม่ยอมทนได้ขนาดนี้ เพราะแม่เห็นแก่ลั่วเซ่าเชินที่ดีกับลูกนะ ไม่อย่างนั้นแม่ก็คงเอาเรื่องไปนานแล้ว” 


 


 


“แม่คะ แม่จะโมโหทำไมขนาดนั้น แม่ก็คิดซะว่าแม่ไม่ได้ยินก็แล้วกัน เธอเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ยังไงเราก็ทำอะไรเธอไม่ได้” ตอนนี้ถังโจวโจวย้ายออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลลั่วแล้ว เธอรู้สึกว่ามันดีขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน 


 


 


แต่เมื่อคิดดูให้ดี ความจริงแล้วความเจ็บปวดของคุณแม่ลั่วก็คงไม่น้อยไปกว่าเธอ เธอเฝ้ารอมาตั้งนานแสนนาน จู่ๆ ก็มาบอกว่าเด็กไม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องรู้สึกเศร้าใจ เพียงแต่ปฏิกิริยาของเธอที่แสดงออกมามันอาจจะรุนแรงเกินไปสักหน่อย ซึ่งถังโจวโจวก็สามารถเข้าใจได้ 


 


 


           เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวไม่ใส่ใจเอาความ เธอเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก “โจวโจว แค่แม่เห็นว่าลูกยังอยู่ดีก็พอแล้ว” คุณแม่ถังกุมมือถังโจวโจว เธอรู้สึกได้ว่าลูกสาวดูผอมลงกว่าตอนที่เธอยังไม่ได้แต่งงานเสียอีก 


 


 


“หนูรู้ค่ะแม่ แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ตอนนี้หนูโอเคดี” ถังโจวโจวอยู่ดีมีความสุข อีกทั้งยังมีคนอีกมากมายที่เป็นห่วงเป็นใยเธอ เธอจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิด 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงกลับมาในไม่ช้า แล้วเขาก็เห็นว่าคุณแม่ถังนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วย “แม่ครับ มาแล้วเหรอครับ” ลั่วเซ่าเชินที่ได้พบกับคุณแม่ถังและคุณแม่ลั่วในวันนี้ น้ำเสียงของเขาก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คุณแม่ถังเป็นคนอ่อนโยนและอบอุ่น เธอมักจะปฏิบัติกับลั่วเซ่าเชินเช่นเดียวกันกับคนในครอบครัวของเธอเอง เธอไม่เคยทำให้เขาไม่สบายใจเลยสักครั้ง 


 


 


ในขณะที่คุณแม่ลั่วมักจะหาเรื่องมาให้เขาอยู่ตลอด ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ลั่วเซ่าเชินก็ไม่รู้ว่าเขาจะทนกับพฤติกรรมแบบนี้ของคุณแม่ลั่วได้อีกนานแค่ไหน 


 


 


“เซ่าเชิน อย่ามัวแต่ดูแลโจวโจวนะ ยังไงก็ต้องดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน” 


 


 


คุณแม่ถังไม่ได้โกรธลั่วเซ่าเชิน เธอสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน คุณแม่ลั่วก็คือคุณแม่ลั่ว ลั่วเซ่าเชินก็คือลั่วเซ่าเชิน เธอไม่สามารถนำทั้งสองคนมารวมกันได้ เดิมทีเธอก็พอใจลั่วเซ่าเชินมาก ดังนั้น เธอและคุณพ่อถังจึงยินยอมให้ถังโจวโจวแต่งงานกับเขา 


 


 


ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินดูแลลูกสาวของเธอได้เป็นอย่างดี คุณแม่ถังรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นความจริงใจอย่างหนึ่งที่ลั่วเซ่าเชินแสดงออกมาให้เธอและคุณพ่อถังเห็น 


 


 


คุณแม่ถังโบกมือให้ลั่วอิง “ลั่วอิง ลืมคุณยายไปหรือยังคะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” 


 


 


ลั่วอิงวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาคุณแม่ถัง เธอพูดอย่างออดอ้อนว่า “ไม่ลืมค่ะ คุณยาย ลั่วอิงคิดถึงคุณยายมาก ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ” 


 


 


ปากเล็กๆ ของลั่วอิงขยับไปมา คำพูดของเธอหวานจับใจคนฟังเอามากๆ อย่างน้อยตอนนี้คุณแม่ถังก็มีความสุข “ปากหวานจริงๆ เลยนะเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร” 


 


 


“ก็ต้องเหมือนแม่โจวโจวสิคะ” ลั่วอิงพูดอย่างไม่ลังเลใจ 


 


 


คุณแม่ถังบีบดวงหน้าเล็กๆ ของเธอและส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่เหมือนเลย ตอนเด็กๆ แม่โจวโจวไม่ได้ฉลาดเหมือนหนู” 


 


 


ถังโจวโจวอายจนหน้าแดงก่ำ ‘แม่คะ มันจะดีเหรอคะ ที่แม่พูดถึงหนูแบบเสียๆ หายๆ ต่อหน้าลั่วอิงแบบนี้’ 


 


 


ลั่วอิงได้ยินคุณแม่ถังบอกว่าเธอไม่เหมือนถังโจวโจว แต่เธอรู้สึกว่าตัวเองพูดเก่ง นั่นก็ไม่เหมือนลั่วเซ่าเชินเหมือนกัน และในความคิดเห็นของเธอ ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่ใช่คนปากหวาน  


 


 


ลั่วอิงเริ่มสับสน “คุณยายขา ถ้าหนูไม่เหมือนแม่โจวโจว แล้วหนูจะเหมือนใครได้อีกล่ะคะ” 


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าลั่วอิงตัดสินใจถามจนถึงที่สุด เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก ถ้าลากคุณแม่แท้ๆ ของลั่วอิงเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็คงจะไม่ดี เธอจึงพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “คุณยายผิดเองค่ะ หนูเหมือนแม่โจวโจวมากที่สุด ตอนเด็กๆ เธอทั้งซนและร่าเริงเหมือนหนูเลย” 


 


 


“คุณยายขา หนูไม่ซนนะคะ หนูเป็นเด็กดี” ลั่วอิงโต้กลับในทันที 


 


 


คุณแม่ถังเผลอหลุดหัวเราะออกมา “จ้ะ หนูเป็นเด็กดีที่สุดเลย” เด็กนี่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าตัวเองสามารถผ่านคำถามของลั่วอิงไปได้แล้ว คุณแม่ถังก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม