สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 101-120

 101 สืบทอดเชื้อสาย

ถ้าให้พูดตามหลักแล้วลั่วชิวไม่ถือว่าเป็นเด็กกำพร้า เพราะเขามีญาติมิตรและผู้ปกครองตามกฎหมาย ใช่แล้ว


นั่นคือภรรยาคนใหม่ของพ่อเขา หรือถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือ แม่เลี้ยง


ใช่ แม่เลี้ยงนั่นแหละ…


แต่ถึงอย่างนั้น คำพวกนั้นก็ไม่เคยที่จะออกจากปากหรืออยู่ในชีวิตของลั่วชิวเลย


แต่ผู้หญิงคนนั้นทำงานอย่างหนักเพื่อเขา และอยากมอบความรักของแม่ให้กับเขา ลั่วชิวจึงค่อนข้างพอใจในตัวผู้หญิงคนนี้


แน่นอนว่ามันคงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ถูกเพิ่มชื่อเข้ามาในทะเบียนบ้าน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ของตนทางกฎหมาย อีกทั้งยังอยู่ในวัยสาวอย่างนี้ล่ะก็ ลั่วชิวก็คงจะเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า ‘แม่’ ได้เต็มปาก


มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักหลีกเลี่ยงความเศร้าโศก และรู้จักทำตัวให้คุ้นชินกับคนรอบข้าง


ถ้าพูดตามหลักทฤษฎีแล้ว คงไม่มีใครปรารถนาที่จะอยู่ตัวคนเดียว


“แต่ทำไม ฉันถึงปรารถนาสิ่งนั้นล่ะ?”


ลั่วชิวเขียนคำว่า ‘ผมออกไปข้างนอก’ ลงบนโพสต์อิทแล้วติดไว้บนตู้เย็น จากนั้นก็เดินออกบ้านโดยอาศัยช่วงเวลาที่อากาศข้างนอกยังไม่ร้อนมากนัก


ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่มีเรียน เขาเพียงแต่คิดอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว


เพียงเท่านี้จริงๆ




ถนนหนทางในตอนเช้าเริ่มคึกคักมากขึ้น อาจด้วยเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ทำให้คนออกจากบ้านตั้งแต่เช้า


พ่อกำลังจะพาลูกสาวไปว่ายน้ำ คู่รักคนชราจูงมือกันเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ บางคนอาศัยช่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ไปออกกำลังกายเพื่อให้รู้สึกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น และบางคนก็เริ่มวางแผนการดำเนินชีวิต


ผู้คนมากมายปรากฏอยู่ในสายตาของลั่วชิว และผ่านหายไปราวกับว่าพวกเขาเป็นนักแสดงที่ยืนอยู่บนเวทีของโรงละครขนาดใหญ่ ทำการแสดงบทบาทของพวกเขาให้ดีที่สุด ราวกับว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นสุดยอดนักแสดง


ลั่วชิวเคยชินกับการสังเกต แต่เขากลับไม่ชินที่จะอ้าปากพูดมันออกมา เขาอยากจะรู้ว่าใจคนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับคนเหล่านั้นมากจนเกินไป


นี่เป็นเพราะอะไรกัน?


หรือเป็นเพราะเพิ่งจะเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มที่กำลังสับสน?


แค่อยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวก็เท่านั้น… บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาเริ่มคึกคักขึ้น เขาส่ายหัวแล้วเดินตรงไปยังร้านค้าที่ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการบนถนนสายหนึ่ง


คราวนี้ก็คงจะเงียบหน่อย อาจจะมีสักคนสองคนที่เดินผ่านไปมา สังเกตพวกเขาเหล่านั้นสักหน่อย?


เขาเสียบหูฟังมือถือ แล้วฟังเพลงที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร และแล้วลั่วชิวก็เดินเข้าไปในถนนคนเดินโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว


และนี่ก็เป็นไปตามอย่างที่เขาหวังไว้ ที่นี่ยังไม่มีร้านค้าเปิดให้บริการ หรือถ้ามีส่วนมากก็จะเป็นร้านที่ยังไม่เปิดดีนัก ส่วนร้านที่เปิดแล้วก็เป็นร้านขายขนมปังอาหารเช้าและอื่นๆ ประมาณสองสามร้าน


ลั่วชิวซื้อซาลาเปาสองลูกแล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวริมถนนสายนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเขาสักเท่าไร แม้เขาจะดูแปลกแค่ไหนก็ตาม


—สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด—


ลั่วชิวหันไปเห็นชื่อนี้เข้าโดยบังเอิญ


ถึงแม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาจดจำทุกเรื่องราวที่อยู่รอบตัวเขาได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นชื่อร้านแปลกประหลาดแบบนี้ มันก็น่าจะคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้างหรือเปล่า?


ป้ายร้านถูกประกอบขึ้นในรูปแบบของคำแต่ละคำมาต่อเรียงกัน ส่วนประตูโดยรวมแล้วจะเป็นโครงสร้างไม้ ทางด้านซ้ายของประตูถูกประดับไปด้วยตะเกียงน้ำมันสไตล์ยุโรป ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นกระจกใส ซึ่งสามารถมองเข้าไปเห็นสิ่งตกแต่งภายในได้อย่างชัดเจน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ลั่วชิวเดินเข้าไป…


ตุ๊กตาที่สวมใส่ชุดอันสวยงาม และนาฬิกาลูกตุ้มที่ดูเหมือนว่าจะหยุดทำงานไปแล้ว ผลงานศิลปะที่คล้ายกับจำพวกอุ้งตีนหมี หมวกใบเก่าๆ ที่ดูฉีกขาดของชาวประมงแต่กลับดูมีแรงดึงดูดบางอย่าง


“คุณลูกค้า สนใจเข้ามาดูด้านในไหมคะ?”


ในขณะที่ลั่วชิวกำลังจ้องมองการตกแต่งอันแปลกประหลาดเหล่านั้นผ่านกระจกใส ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัวของเขา


เป็นหญิงสาวที่มีตัวขาวซีดผิดปกติ ดูท่าทางแล้วน่าจะมีอายุพอๆ กับเขา


เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายโทนสีขาวดำสไตล์โกธิค ดูรวมๆ แล้วเป็นผู้หญิงที่มีความงดงามยิ่ง แต่ลั่วชิวไม่มีเวลามากพอมาสนใจสิ่งเหล่านี้


สิ่งที่ดึงดูดเขามากกว่านั้นคือดวงตาสีฟ้าของหญิงสาว มันดูคล้ายกับลูกแก้ว ลูกแก้วที่แฝงไว้ซึ่งเวทมนตร์อันแปลกประหลาดดุจกระแสน้ำวน


ทันทีที่ลั่วชิวรู้สึกตัว เขาก็เดินเข้ามาอยู่ในสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดอันประหลาดแห่งนี้เสียแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเข้ามาในนี้ได้อย่างไร ความรู้สึกเหมือนภาพตัดเปลี่ยนฉากในรายการโทรทัศน์


“คุณลูกค้า น้ำชาค่ะ”


หญิงสาวที่มีดวงตาดุจไพลินสีฟ้า รูปร่างเพรียวบาง และสวมใส่เครื่องแต่งกายสไตล์โกธิคแบบปัจจุบันยื่นแก้วน้ำชาให้กับเขา


“ชากระเจี๊ยบนี้จะทำให้ท่านรู้สึกสงบ เมื่ออยู่ในสภาวะที่จิตใจสงบแล้วมนุษย์มักจะหยั่งรู้ถึงความต้องการของตนเอง”


“อ้อ…ในร้านนี้มีแค่คุณคนเดียวเหรอ?”


เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้ แต่ในเมื่อเดินเข้ามาแล้ว เขาก็ทำตัวปกติ เดินดูของต่างๆ ในร้านแต่ไม่ได้ซื้อ นี่ก็เป็นเรื่องปกติที่เห็นได้ทั่วไป


อย่างไรก็ตาม ร้านประหลาดนี้ก็ทำให้ลั่วชิวรู้สึกสงสัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้ว่าเขาได้เดินเข้ามาในร้านแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่าร้านนี้ขายอะไรกันแน่


“ไม่ค่ะ…ถ้าคุณหมายถึงนายท่าน อีกเดี๋ยวเขาก็คงจะออกมาพูดคุยกับคุณ” หญิงสาวยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วเดินเข้าห้องไป


นายท่าน? รสนิยมของเจ้าของร้านเหรอ?


ลั่วชิวส่ายหัวแล้วลบความคิดทั้งหมดออกจากหัว เขาเริ่มสังเกตและมองไปรอบๆ ถ้ามองเข้ามาจากด้านนอกทุกอย่างในนี้ล้วนดูประหลาดไปเสียหมด การตกแต่งทุกอย่างดูไม่เข้ากันแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกแปลกตาและยิ่งดูลึกลับมากขึ้น


ในส่วนห้องรับแขกของร้าน ให้บรรยากาศเหมือนห้องทำนายดวงของชาวตะวันตกที่ลั่วชิวเคยเห็น ทั้งห้องดูมืดมิด แสงไฟที่ใช้ให้ความสว่างไม่ใช่ไฟนีออนแสงสีขาว แต่เป็นแสงจากเทียนเล่มสีขาวที่จุดไว้บนเชิงเทียน


ดูท่าแล้วเจ้าของคงจะใช้เวลาตกแต่งร้านนี้นานพอสมควร


ลั่วชิวรอคอยนานเกินกว่าที่เขาคิดไว้ แต่เพราะความสงสัยและอยากรู้ทำให้เขาอดทนรอต่อไป แต่ความสนใจของเขากลับตกไปอยู่ที่ของชิ้นหนึ่งซึ่งวางอยู่บนชั้นตู้โชว์ในห้องนี้


นั่นเป็นไข่มุกสองเม็ดที่ซึ่งวางอยู่บนแท่น มีสีแดงเข้ม คล้ายลูกแก้วชนิดหนึ่ง ที่ถูกครอบไว้ในตู้แก้ว


ไม่รู้ทำไมลั่วชิวถึงคิดว่าพวกมันคือพระจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ก็คิดอีกว่าแล้วทำไมถึงมีพระจันทร์สองดวงใต้ฟ้าเดียวกันล่ะ แถมยังเป็นสีแดงเข้มอีกด้วย และเมื่อมองมันลั่วชิวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


“ชอบพระจันทร์สีเลือดคู่นี้หรือ?”


ในที่สุดก็ได้ยินเสียงที่ต่างไปจากเสียงของหญิงสาวดังขึ้น คราวนี้คงจะเป็นเสียงของเจ้าของร้านสินะ…


เมื่อลั่วชิวหันกลับมา เขาก็เห็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเรียบร้อย ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเขาเป็นชายต่างชาติวัยกลางคน


เขาดูต่างจากหญิงสาวคนที่เขาพบเมื่อสักครู่นี้ นัยน์ตาของชายคนนี้เป็นสีเทาขุ่น เขาพูดภาษาท้องถิ่นของที่นี่ อีกทั้งยังพูดได้คล่องแคล่วอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าได้ฟังแค่เสียงคงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหล่าดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก


“ผมแค่ดูเฉยๆ” ลั่วชิวตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่เจ้าของร้านและหญิงสาวคนนั้นมีเหมือนกันก็คือความลึกลับ


ทันใดนั้น เจ้าของร้านก็ยิ้มอ่อนๆ แล้วเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของชั้นตู้โชว์แล้วหยิบเอา ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ นั่นขึ้นมาเบาๆ เขามองลั่วชิวแล้วพูดว่า ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ คู่นี้เป็นสิ่งที่ถือครองโดยชนเผ่าโบราณอาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่ของลาตินอเมริกา กลุ่มชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ เมื่อเขาไม่สามารถที่จะอดทนต่อความทุกข์ระทมและความโกรธ รวมถึงทั้งในช่วงเวลาที่คนเหล่านี้มีความสุข นัยน์ตาของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างงดงาม นอกจากนี้ยังมีเรื่องน่าอัศจรรย์คือตาของพวกเขาจะแผ่ประกายแสงอันงดงามภายใต้แสงจันทร์ในยามค่ำคืน และแน่นอน กลุ่มคนชนเผ่านี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว… เหตุก็เพราะดวงตาคู่ที่มีความวิเศษเหล่านี้ของพวกเขานั่นเอง และ ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ คู่นี้อาจจะเป็นคู่สุดท้ายของโลกที่ยังหลงเหลืออยู่


นี่คือดวงตางั้นเหรอ?


ลั่วชิวยืนอึ้ง และรู้สึกว่าตนเองกำลังฟังเรื่องงี่เง่าอยู่ แต่ที่งี่เง่าไปกว่านั้นคือเขาฟังมันจนจบ…


แต่เขารู้สึกว่าการปรากฏตัวของเจ้าของร้านนี้ดูจะแปลกไปสักนิด ลั่วชิวจึงถามกลับไปว่า “ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากขนาดนี้ คุณต้องการจะขายมันในราคาเท่าไร?”


เจ้าของร้านยิ้มอ่อนแล้วตอบว่า “จะต้องให้ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดราคาเอง เพราะสมาคมแลกเปลี่ยนนี้เป็นสมาคมที่ขึ้นกับผู้ซื้อ” ดังนั้นหากอยากได้ ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ ไปครอบครอง ท่านต้องเอาของที่มีค่าเทียมเท่ากันมาแลกกับมัน ซึ่งของสิ่งนั้นจะไม่อยู่ในรูปแบบของสกุลเงินใดๆ ทั้งสิ้น


ถ้าอย่างนั้นที่นี่คงเป็นร้านแปลกประหลาดที่เปิดโดยเจ้าของประสาทน่ะสิ?


“ไม่ชอบเหรอ?”


เจ้าของร้านไม่ได้มีทีท่าผิดหวังแต่อย่างใด เขาวางของลงแล้วเชิญเด็กชายนั่งลงอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันก่อน ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าปรารถนาจะซื้ออะไร?”


“อยากซื้ออะไรน่ะเหรอ…” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ผมยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วที่นี่ขายอะไรกันแน่” เขาส่ายหัวแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่อยากซื้ออะไรเลย แน่นอนว่าร้านของคุณพิเศษมาก และผมจะมาอีกเมื่อมีเวลา”


“คุณซื้อมันได้ทุกอย่าง เพียงแค่ใจคุณต้องการ คุณซื้อมันได้ทุกอย่าง…แน่นอนว่า ขอเพียงแค่คุณลูกค้ามีกำลังที่จะซื้อไหว แล้ว…สิ่งที่คุณลูกค้าต้องการคืออะไร?” เจ้าของร้านนั่งนิ่งด้วยท่าทีมั่นใจพร้อมรอยยิ้ม แล้วมองไปที่ลั่วชิวเงียบๆ


วันนี้ไม่ได้ดูน่าเบื่อดั่งเช่นทุกวัน


ลั่วชิวมองเข้าไปในตาเจ้าของร้าน และนี่ก็ทำให้เขาเสียการควบคุมในตนเอง


“ปรารถนาอะไรกันแน่?” ลั่วชิวครุ่นคิดกับคำถามนี้โดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างรอบตัวเขาอยู่ในสภาวะเงียบสงัด เงียบจนทำให้เขารู้สึกสงบ เหมือนกับว่าที่นี่กลายเป็นอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว โลกที่สามารถมองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมาด้านนอก แต่ดูเหมือนว่าคนด้านนอกจะมองไม่เห็นการดำรงอยู่ของคนด้านในเลย ก็ทำได้เพียงมองและมองอยู่อย่างนั้น…


“ที่นี่…ผมอยากได้ที่นี่” ลั่วชิวค่อยๆ พูดสิ่งที่เขาคิดในขณะนั้นออกมา


และแน่นอน มันเป็นเพียงช่วงเวลาแค่เสี้ยวนาที เขากลับรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าที่นี่มีสิ่งเหลือเชื่อเกิดขึ้น ตัวของเขาเริ่มเย็นและเต็มไปด้วยเหงื่อ


ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็มองเขาอย่างดีใจแปลกๆ เหมือนกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ เขาดูเหมือนกำลังกังวลและไม่อยากรอช้าแม้แต่วินาทีเดียว


“เรียนคุณลูกค้าที่รัก” ที่สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดแห่งนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง คือเมื่อคุณพูดในสิ่งที่คุณต้องการแล้ว การแลกเปลี่ยนก็จะเกิดขึ้นทันที และถ้าคุณไม่พูดสิ่งที่คุณจะนำมาแลกกับความต้องการของคุณ ทางเราจะเป็นผู้กำหนดราคาของสิ่งนั้นเอง ดังนั้น ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณต้องการ เราจะขายสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดให้กับคุณ แต่ต้องแลกมาซึ่งอิสรภาพของคุณเป็นค่าธรรมเนียม”


ตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา แล้วปิดทับทุกอย่างจนมืดมิดไปหมด


หนังแพะเก่าๆ ตรงหน้าของลั่วชิวค่อยๆ กางออก เขามองไม่เห็นข้อความในหนังแพะ ยกเว้นแต่ชื่อของเขาที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ


จากนั้นมันก็ลุกไหม้


ถูกแผดเผาไปอย่างรวดเร็ว


และถูกกลืนกินเข้าไปในความมืด….


102 การ์ดสีทองเงิน

 


โครงสร้างในอารามเต๋าไม่ได้ซับซ้อน มองเพียงแค่แวบเดียวก็เห็นได้


ตอนที่ลั่วชิวย่างเท้าเข้ามาในอารามเต๋า เสียงที่คล้ายๆ กับเสียงเรียกร้องก็กลายเป็นชัดเจนขึ้นหน่อย เขาค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในอารามเต๋าตามเสียงนั้น


“ที่นี่เหรอ”


ตอนนี้ตัวของลั่วชิวกำลังอยู่ในวิหารด้านหลังของอาราม ตะเกียงน้ำมันหลายสิบอันที่แขวนห้อยลงมาจากขื่อ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยแสงอบอุ่น


ที่พื้นจัดวางเบาะนั่งทรงกลมไว้สิบสองเบาะอย่างเรียบร้อย แต่ตรงกลางกลับเป็นรูปแกะสลักหินของคนคนหนึ่งอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ หลับตาทั้งสองลง หนวดที่สวยงามทิ้งตัวลงมาอยู่ระหว่างอก และขนคิ้วก็ยาวเกือบจะห้อยลงมาถึงใบหน้าแล้ว


ถือได้ว่าเป็นท่าทางของนักพรตที่สง่างามดังเซียนเลยทีเดียว


คงจะเป็นอาจารย์ปู่ของสำนักหยางไท่จื่อ ผู้ก่อตั้งสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ลั่วชิวพิจารณารูปแกะสลักหินนี้ เสียงที่ร้องเรียกแบบนั้นมาถึงตรงนี้แล้วก็ดังสุดขีด


ราวกับมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น


ทันใดนั้นลั่วชิวก็เห็นภาพลวงตาแปลกๆ เหมือนกับจู่ๆ รูปแกะสลักหินนี้ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา…ชวนให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด


ทันทีที่ลั่วชิวเดินไปใกล้ๆ รูปปั้นหิน เขาก็ยื่นมือไปเคาะที่ใต้รูปแกะสลักหินเบาๆ เล็กน้อย ก่อนดึงมือกลับมาวางตรงตำแหน่งหัวใจของรูปสลัก


ในตอนนี้เอง ที่ตำแหน่งหัวใจของรูปสลักหินก็มีโฟตอน*สีทองคล้ายๆ กับแสงของดวงดาวพุ่งทะลักออกมาเล็กน้อย พวกมันค่อยๆ รวมตัวกัน และร่วงลงมาช้าๆ


สุดท้ายพวกมันก็ตกมาอยู่ที่กลางฝ่ามือของลั่วชิว หลังจากรวมตัวกันครบหมดแล้ว ก็กลายเป็นการ์ดสีทองเงินที่กำลังส่องแสงระยิบระยับ…ใบหนึ่ง


การ์ดสีทองเงิน


ขนาดของมันเหมือนกับการ์ดดำที่สมาคมแจกเป๊ะๆ แต่ที่น่าสงสัยกว่านั้นก็คือ ลั่วชิวมองเห็น ‘ตราประทับส่วนลด’ ที่อยู่บนการ์ดดำส่วนหนึ่งบนการ์ดทองเงินใบนี้!


ลั่วชิวใช้นิ้วมือหนีบการ์ดเงินทองใบนี้เบาๆ ข้อมูลแต่ละอย่างพลันไหลเข้ามาในความคิดของเขา เพียงแต่ข้อมูลพวกนี้สะเปะสะปะ


เหมือนกับชิ้นส่วนจิ๊กซอว์อย่างไรอย่างนั้น


“หืม…” ลั่วชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย


เจอการ์ดทองเงินแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนที่รูปแกะสลักของบรรพจารย์หยางไท่จื่อ อีกทั้งดูจากกลิ่นอายแปลกประหลาดที่แพร่ออกมาจากการ์ดทองเงินนี้ ลั่วชิวก็ยืนยันในขั้นต้นได้ว่าของสิ่งนี้มาจากสมาคม


ลั่วชิวเก็บการ์ดเงินทองใบนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่ได้จากออกไปทันที แต่กลับยื่นมือออกไปจับรูปสลักหินที่อยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆ ขยับเขยื้อนไปมา


ตามการเคลื่อนไหวของฝ่ามือเขา รูปแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มค่อยๆ ขยับไปใกล้ฝั่งหนึ่งอย่างช้าๆ ส่งเสียงครืนๆ ออกมาเบาๆ อีกทั้งยังค่อยๆ มองเห็นว่าข้างล่างรูปสลักหินนี้มีปากถ้ำสี่เหลี่ยมอยู่อันหนึ่ง


นี่คล้ายกับทางเดินทางหนึ่ง ตรงนี้เป็นสุดทางของอารามด้านหลังแล้ว ด้านหลังของมันก็เป็นหินหน้าผาของตัวภูเขาแล้ว แต่ทางเดินนี้ดูเหมือนว่าจะเข้าไปในตัวภูเขา


ลั่วชิวพิจารณาทางเข้าอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงกระโดดพุ่งพรวดเข้าไปในนั้น หลังจากนั้นไม่นานก็เจอพื้นดินที่สามารถยืนได้…ความลึกน่าจะประมาณแค่สี่ห้าเมตรเท่านั้น แต่ข้างหน้าก็มีทางที่สามารถเดินเข้าไปได้


ลั่วชิวได้ยินเสียงเบาๆ ที่ดังมาจากทางด้านหน้าอย่างเลือนราง ความจริงที่นี่มีแสง อีกทั้งยังถือว่าเป็นแสงสว่าง เพราะทางเดินมีสองข้าง ในระยะไม่ห่างจากกันนักก็ล้วนแล้วแต่มีตะเกียงจุดเอาไว้


เจ้าของร้านลั่วไม่เชื่อว่าตะเกียงพวกนี้จะถูกจุดมาตั้งแต่เริ่มสร้างจนตอนนี้…ใช้เวลาหมดไปประมาณสองนาที เขาก็เดินมาจนสุดทางเดินแล้ว


ในถ้ำที่ขุดเจาะเอาไว้ภายในตัวภูเขาที่ทางเดินนี้เชื่อมต่อไปนั้น ลั่วชิวมองเห็นปีศาจหลากหลายรูปแบบ หนึ่งตัว สองตัว สามสี่ตัว…สิบกว่าตัว


ปีศาจน้อยหนึ่งในนั้นเห็นเขาก่อน ปีศาจน้อยตัวนี้ดูแล้วเหมือนเด็กผู้หญิงอายุประมาณห้าหกขวบ สวมใส่กระโปรงสั้นลายดอกไม้ แต่ตาทั้งสองกลับเป็นสีแดงสวยสดงดงาม ส่วนหัวมีหูกระต่ายนุ่มๆ ใหญ่ๆ คู่หนึ่งงอกออกมา


ใช่แล้ว ข้างหลังปีศาจน้อยตัวนี้ยังมีหางเล็กๆ สีขาว ขยับไปมาอยู่


“เป็นปีศาจกระต่ายเหรอ?”




ในป่าลึกเฮยสุ่ยกระอักเลือดออกมาอย่างหนักหน่วง สุดท้ายก็หายใจหอบนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เธอมองทางที่เธอหนีมาอย่างวิตกกังวล พอไม่เห็นเงาคนไล่ตามมา ถึงได้ถอนหายใจเบาๆ ออกมา


เฮยสุ่ยยื่นมือออกไปคลำบาดแผลบนร่างกายตัวเองนิดหน่อย ทันใดนั้นก็เจ็บปวดเสียจนหน้ายู่ เธอสั่นเทาและคลายมือออก สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หลายต่อหลายครั้งก่อนจับต้นไม้ยืนขึ้นมา


เฮยสุ่ยไม่ได้หนีออกจากสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมต่อไปเรื่อยๆ แต่กลับอ้อมป่าเขาผืนนี้ไปอย่างรวดเร็วมาถึงตรงหน้าผา แล้วอาศัยเกาะหน้าผาหินเข้าไปในหุบเขาลึก ก่อนลื่นลงไประหว่างรอยแตกของหินผา


ขาทั้งสองของเฮยสุ่ยที่ลื่นตกไปในรอยร้าวก็กลายเป็นหางงูอีกครั้ง เพื่อให้รอดผ่านไปมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางรอยร้าวที่ขรุขระและคับแคบนี้


ผ่านไปไม่นาน เฮยสุ่ยก็มองเห็นที่หมายที่ตัวเองต้องการไปให้ถึงแล้ว จึงกระโดดขึ้นมาจากสุดทางของกลางรอยแตกนั้น แล้วก็ตกลงที่พื้นดินอย่างรวดเร็ว


ในวินาทีที่เธอพึ่งจะหนีออกจากรอยร้าวนั้นได้ ก็เริ่มเอ่ยคำพูดขึ้นมา “พวกเด็กๆ ทุกคนยืนให้ดีๆ ตามข้าออกไปจากที่แห่งนี้…!!


ไม่ทันสิ้นเสียง สีหน้าดำๆ ที่ตกลงบนพื้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวทันที นางอ้าปากของตัวเองออก เขี้ยวฟันสีขาวสองข้างในปากพลันงอกออกมาเป็นเขี้ยวแหลมคม


เขี้ยวพิษ!


เพราะว่าปีศาจงูเฮยสุ่ยมองเห็นคนที่หยางไท่จื่อพามาด้วย…ผู้ชายคนนั้น!


“ปล่อยพวกมันนะ!!” ในน้ำเสียงของเฮยสุ่ยเต็มไปด้วยความโกรธกรุ่นและไม่สงบสุข



“ไม่ต้องกังวล ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายพวกมัน”


ลั่วชิวมองเฮยสุ่ยที่กระโดดพรวดขึ้นมาจากตรงกลางรอยร้าวของหน้าผานั้น ก่อนยกมือไปทาบริมฝีปาก ให้สัญญาณมือห้ามส่งเสียง


ตอนนี้เฮยสุ่ยถึงได้ค้นพบจุดที่ไม่ปกติ


ผู้ชายคนนี้กำลังนั่งอยู่บนขั้นบันไดของถ้ำนี้


พวกปีศาจน้อยพวกนั้น ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว แต่ทว่าทุกตัวล้วนแต่ห้อมล้อมอยู่ข้างกายผู้ชายคนนี้ แต่ละตัวมีท่าทางน่าเอ็นดูหมอบลงที่พื้นด้วยท่าทางหลับสบาย


แต่ในตอนนี้ ในมือของชายผู้นี้ยังกอดเอาไว้ตัวหนึ่ง!


นี่คือปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิง หากนับตามอายุปีศาจก็คือสิบห้าปี ซึ่งเท่ากับอายุของมนุษย์ประมาณห้าหกขวบ ปีศาจกระต่ายน้อยที่ยังไม่สามารถควบคุมการแปลงร่างให้ดีๆ ได้ บนตัวยังคงมีลักษณะเด่นๆ อย่างพวกหางน้อยๆ ของกระต่ายอยู่


ปีศาจกระต่ายน้อยหลิงหลิงขี้กลัวอย่างมาก นอกจากตัวเองและปีศาจน้อยตัวอื่นในนี้แล้ว แต่ไหนแต่ไรก็ไม่กล้าเข้าใกล้ปีศาจแปลกหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกมนุษย์


แต่ในสายตาของเฮยสุ่ย ตอนนี้ปีศาจกระต่ายตัวนี้กลับฟุบอยู่ในอ้อมอกของชายผู้นี้อย่างพึงพอใจ ตอนที่ถูกลูบไล้ขนปุกปุยบนตัวนั้น ยังมีสีหน้าเหมือนกับเคลิบเคลิ้มปรากฏออกมา


เฮยสุ่ยยังคงไม่ล้มเลิกความคิดระมัดระวังตัว เธอมองที่ข้างๆ ลั่วชิวนั่งอยู่แวบหนึ่ง ยังมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่…เฮยสุ่ยตะลึงงัน เล่มหนึ่งในนั้นยังเปิดเอาไว้แล้วด้วย ซึ่งก็อยู่ในมือของชายผู้นี้


เฮยสุ่ยอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ หนังสือพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอหามาก่อนหน้านี้ เป็นหนังสือนิทานที่ใช้เล่าให้ปีศาจน้อยพวกนี้


เหมือนจะเห็นความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของปีศาจงูเฮยสุ่ย ลั่วชิวจึงค่อยๆ ปิดหนังสือนิทานในมือลง แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกมันอยากให้ผมเล่านิทานให้พวกมันฟัง ตอนแรกก็ให้ลูกแพร์ป่าของที่นี่กับผมนิดหน่อย เหมือนว่าผมคงปฏิเสธไม่ได้…”


ถึงจะอธิบายแบบนี้ แต่ลั่วชิวกลับบ่นไม่พอใจเล็กน้อย


นอกจากเงินทองแล้ว ค่าธรรมเนียมบ้าบออะไรอย่างอื่นสมาคมก็เอาหมดจริงๆ นะ…


ลูกแพร์ป่าพวกนี้ได้ไม่ถึงวินาทีเดียวเลยด้วยมั้ง?


แต่กลับหวานมากๆ


*โฟตอน หรือ อนุภาคของแสง เป็นการพิจารณาแสงในลักษณะของอนุภาค เนื่องจากในทางฟิสิกส์นั้น คลื่นสามารถประพฤติตัวเหมือนอนุภาคเมื่ออยู่ในสภาวะใดสภาวะหนึ่ง


103 วิธีใช้ปีศาจเยาว์วัยที่ถูกต้อง

 


ถึงแม้ตอนนี้จะมองเห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้คิดจะทำร้ายเด็กพวกนี้ แต่ทว่าคนที่ทำให้นางบาดเจ็บสาหัสก็ยังคงเป็นเพื่อนสหายของผู้ชายคนนี้ จะให้เฮยสุ่ยทำตัวตามสบายเรื่อยเปื่อยได้อย่างไรกัน


ไม่สู้บอกไปว่าเธอกลัวอีกฝ่ายมากขึ้น…เพราะอย่างไรเด็กๆ พวกนั้นก็อยู่ในเงื้อมมือเขา


“ปล่อยพวกมัน ข้า…ข้าจะให้เจ้าลงโทษ” เฮยสุ่ยกัดฟันกรอด พูดสิ่งที่ทำให้ลั่วชิวค่อนข้างจะแปลกใจออกมา


ลั่วชิววางปีศาจกระต่ายน้อยในอ้อมอกลงมา


ปีศาจน้อยตัวนี้นอนหลับไปแล้ว อีกทั้งยังหลับลึก ตอนนี้กำลังขดตัวอยู่บนพื้น ท่าทางที่น่ารักทำให้ลั่วชิวเผลอยื่นมือออกมาแหย่จมูกของปีศาจกระต่ายน้อย แล้วจึงลุกเข้ามา เดินเข้ามาใกล้เฮยสุ่ยสองก้าว


“พวกมันบอกว่า สิบปีก่อนเป็นคุณที่พาพวกมันออกมาจากในภูเขา ไม่ง่ายเลยนะที่จะหาสถานที่แห่งนี้และอยู่อย่างสงบสุขเรื่อยมา” ลั่วชิวพูดขึ้นมาทันที


สีหน้าของเฮยสุ่ยเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แต่กลับสกัดกั้นความโกรธไม่กล้ารบกวนพวกสัตว์ประหลาดพวกนี้ที่หลับสนิทอยู่ “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าตัดโค่นที่อยู่อาศัยของพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า พวกข้าก็คงใช้ชีวิตได้เต็มที่ และไม่ต้องมาที่นี่…พวกเจ้ามักจะช่วงชิงที่อยู่อาศัยของพวกข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า!”


ลั่วชิวพูดอย่างไม่แยแส “ด้วยความสามารถของคุณ หรือว่าจะไม่มีหนทางปกป้องป่าเขาของคุณจากน้ำมือของพวกเห็นแก่เงินพวกนั้นเลยเหรอ?”


เฮยสุ่ยยิ้มเย็นชา “ไล่ไปกลุ่มหนึ่ง แล้วจะอย่างไรต่อเล่า? เจ้าพูดแล้วนี่ ว่าเห็นแก่เงิน! บนโลกนี้หายไปคนหนึ่ง ก็ยังมีอยู่อีกหลายคน! เจ้าคิดว่าที่ข้าไล่ไปมีน้อยเหรอ? คนพวกนั้นเอาใบอนุญาตตัดโค่นป่าไม้ขึ้นภูเขามาอย่างถูกต้องและโปร่งใสด้วยกฎหมายของประเทศนี้ แล้วข้าจะลงมือทำอะไรได้หรือ? พอข้าลงมือ นักพรตที่ซ่อนตัวอยู่พวกนั้น ก็บุกออกมาทีละคนทีละคน เข่นฆ่าพวกข้าอย่างถูกต้องตามเหตุผล? พวกเขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ข้าลงมือ!”


บางทีอาจด้วยความฮึกเหิม ถึงส่งผลกระทบไปยังบาดแผล เลือดสดๆ พลันไหลนองออกมาจากปากของเฮยสุ่ย เธอพูดอย่างเศร้ารันทดว่า “โลกใบนี้มีมนุษย์อย่างพวกเจ้าเป็นผู้นำ! พวกเราเผ่าปีศาจประพฤติตนเรียบร้อยก็ยังใช้ชีวิตให้รอดไปวันๆ แต่พอทำผิดทำร้ายมนุษย์ให้บาดเจ็บ ก็มีนักพรตของพวกเจ้ามาปกป้อง แต่พวกข้าเล่า? ตอนที่พวกข้าถูกบีบบังคับ ใครจะมาปกป้องความยุติธรรมให้กับพวกข้า? ก็เป็นเพราะโลกนี้เป็นโลกของพวกเจ้า ดังนั้นที่ดินที่ให้พวกข้าอยู่จึงเหลือเพียงน้อยนิด?”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “ถ้าในทางกลับกัน หากเปลี่ยนเป็นโลกที่เผ่าปีศาจของพวกคุณเป็นผู้นำ คุณจะยังยืนยันได้ไหม ว่าสภาพของมนุษย์จะดีกว่าพวกคุณตอนนี้?”


เฮยสุ่ยสบถออกมาหนึ่งคำ ปัญหาเรื่องเผ่าพันธุ์แก้ไม่ตก เธอไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน แล้วมองลั่วชิวอย่างแค้นเคืองพร้อมกับพูดว่า “อย่างไรเสีย เจ้าก็เป็นผู้ช่วยที่นักพรตเน่านั่นเชิญมา ย่อมอยู่ข้างเขาแน่นอน”


“ผมไม่ได้อยู่ข้างหยางไท่จื่อ” ลั่วชิวส่ายหน้า “เขาเพียงแค่อยู่ในฐานะลูกค้าของผม เขาจ่ายค่าตอบแทนให้กับทางผม ข้อเรียกร้องก็คือทำให้คุณบาดเจ็บสาหัสเพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่เช่นนั้น คุณคิดว่าคุณรอดไปอย่างปลอดภัยเหรอครับ?”


เฮยสุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา “จริงหรือ? เช่นนั้นถ้าข้าจ่ายค่าตอบแทนที่มากพอให้กับเจ้า ข้าอยากจะให้นักพรตเน่านั่นตายก็ทำได้ใช่หรือไม่?”


“ได้แน่นอนครับ” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ “สมมุติว่าคุณอยากให้เราบริการคุณนะครับ”



แต่เฮยสุ่ยก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมด


เป็นปีศาจมาหลายร้อยปีแล้ว พบเห็นการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของมนุษย์มาก็หลายครั้งแล้ว ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยสงคราม ซากศพกองเกลื่อนกลาด ตอนที่มนุษย์โหดร้ายนั้นร้ายแรงเกินกว่าการห้ำหั่นกันระหว่างปีศาจด้วยกันเสียอีก ในโลกที่มนุษย์เป็นผู้นำ นางไม่เพียงแต่รู้เรื่องมนุษย์มากขึ้น แต่ทว่ายิ่งรู้ก็ยิ่งพบความซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตอย่างพวกมนุษย์นี้


ผ่านไปหลายร้อยปี สิ่งที่เฮยสุ่ยได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่การมองความดีความเลวของคนคนเดียวเท่านั้น แต่คือการดูคนทั้งยุคสมัย


มองดูการเปลี่ยนแปลงของคนยุคนี้ มองดูเวลาของคนยุคนี้ มองดูว่าเขานำอะไรมาสู่โลกนี้


อารยธรรมของมนุษย์กำลังก้าวไกล


สิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดกลับเป็นเพียงแค่สำหรับตัวมนุษย์เอง แต่ทว่าป่าเขาที่สวยงามอีกทั้งป่าหินในยุคปัจจุบัน ในระยะเวลาอันสั้นๆ เพียงร้อยปี กลับเหมือนได้ใช้ชีวิตของโลกใบนี้ไปหมดแล้ว


ในยุคสมัยปัจจุบันที่นางอยู่นี้ สิ่งที่เห็นก็มีเพียงแค่ความละโมบโลภมาก


ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สามารถเชื่อคำพูดที่ชายวัยรุ่นผู้นี้ได้อย่างหมดใจ


หากเจ้านี่คิดอยากจะแสวงหาอะไรจากตัวนางเองแล้ว ก็เพียงใช้ปีศาจเด็กพวกนั้นมาเป็นตัวประกันให้เธอยอมจำนนได้


เฮยสุ่ยไม่รู้ว่าคนผู้นี้กำลังคิดอะไรกันแน่


“คุณลูกค้าลองคิดดูหน่อยก็ได้ครับ ว่าอยากได้อะไรบ้างไหม” ต่อมาลั่วชิวก็พูดเสริมอีก


จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเฮยสุ่ยอีก เพียงแต่เริ่มเดินเล่นอยู่ในถ้ำนี้ คิดดูแล้วถ้ำแห่งนี้เฮยสุ่ยไม่ได้สร้างขึ้นมา แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่มานานแล้ว


ทางที่มายังที่นี่อยู่ใต้รูปสลักหินของบรรพจารย์ในสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ลองนึกถึงรูปสลักหินของบรรพจารย์ ในฐานะที่เป็นศิษย์รุ่นหลังย่อมไม่กล้าไปขยับเขยื้อนง่ายๆ แน่ เฮยสุ่ยเจอที่แห่งนี้ได้ คาดว่าตอนแรกคงจะทำอะไรบางอย่างกับรูปสลักหินนี้…อย่างเช่นทุบตีอะไรพวกนี้


เฮยสุ่ยคงจะรู้การมาถึงของพวกหยางไท่จื่อก่อนหน้านี้แล้ว ถึงได้เอาปีศาจวัยเยาว์พวกนี้มาซ่อนไว้ที่นี่



ความจริงแล้วถ้ำภายในภูเขานี้ใหญ่มาก บนกำแพงของถ้ำ ทุกๆ ช่วงระยะหนึ่ง จะฝังไข่มุกที่ส่องแสงแวววาวอย่างหนึ่งเอาไว้ ทุกๆ ทิศก็จะมีต้นหญ้านิรนามที่ส่องแสงสว่างอย่างหนึ่งงอกยาวออกมา


ผนังด้านหนึ่งนั้นเปียกชื้น มีไอน้ำเกิดขึ้น ตรงนี้มีช่องว่างเล็กน้อยอยู่ และยังมีอากาศ เหมือนว่าเป็นวัฏจักรทางนิเวศวิทยาเล็กๆ แบบปิดอย่างหนึ่ง ลั่วชิวเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ตอนนี้ปีศาจวัยละอ่อนพวกนั้นกำลังหลับสบายอยู่ ด้านบนสุดเป็นลานแหวกออกมาจากกลางหินผา..เหมือนเป็นสถานที่ที่ใช้พักอาศัย


แต่ว่าเดินเข้าไปยังห้องหินที่เล็กกว่าห้องนี้ กลับพบเพียงแค่ถ้ำธรรมดาๆ ถ้ำหนึ่ง


โดยพื้นฐานแล้วที่นี่ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่หินรูปสี่เหลี่ยมที่ดูแล้วคงเอามาทำเป็นเตียง ข้างบนหินมีโครงกระดูกหนึ่งโครง


ถึงแม้จะถือได้ว่าค้นพบที่แห่งนี้แล้ว เหมือนว่าเฮยสุ่ยก็ไม่ได้แตะต้องสิ่งของที่นี่เลย ลั่วชิวเห็นข้างๆ กระดูกโครงนี้มีคัมภีร์ซี่ไม้ไผ่วางอยู่ พึ่งจะหยิบขึ้นมา ซี่ไผ่ก็แตกสลายร่วงลงมาต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว


ลั่วชิวส่ายหัว ดูแล้วคงไม่สามารถรู้อะไรจากจดหมายไม้ไผ่พวกนี้ได้


เจ้าของโครงกระดูกพวกนี้ อาจจะเป็นบรรพจารย์ของสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม หรืออาจจะเป็นศิษย์ของหนึ่งในรุ่นนั้น ลั่วชิวก็ไม่ได้ไปแตะต้องโครงกระดูกนี้ เพียงแต่ดูอยู่เงียบๆ สักครู่หนึ่ง


ดูจากถ้ำในตัวหุบเขานี้และโครงกระดูกที่ซ่อนอยู่นี้ เมื่อหลายร้อยหรือพันปีก่อนหน้านี้คงมีคนเข้ามาในที่แห่งนี้ เพื่อตามหาสัจธรรมของการมีชีวิตยืนยาว แล้วถูกขังไว้จนตาย


พออยู่ไป ก็กลายเป็นกระดูกสีขาว


ลั่วชิวค่อยๆ ถอยออกมาจากห้องหินนี้ เหมือนว่าจะไม่มีที่อื่นใดน่าดูแล้ว เขาจึงเดินลงไปตามขั้นบันได ตอนนี้กลับพบว่าเฮยสุ่ยมาอยู่ตรงด้านล่างของบันไดแล้ว


เฮยสุ่ยไม่ได้ขึ้นมา แต่ปีศาจน้อยหลายตัวในบรรดาปีศาจวัยเยาว์พวกนั้น รวมถึงปีศาจกระต่ายน้อยกลับตื่นขึ้นมาแล้ว


เฮยสุ่ยที่ปลดเสื้อตัวบนออก ตอนนี้กำลังอยู่ใกล้ๆ บันได ข้างกายของนางมีปีศาจวัยกระเตาะหลายๆ ตัวที่ดูแล้วคงจะเป็นเพศหญิง? เกำลังเลียร่างกายของเฮยสุ่ยอยู่


จะพูดให้ถูกก็คือ น่าจะกำลังเลียที่บาดแผลบนร่างกายเฮยสุ่ยเบาๆ


ลิ้นของปีศาจตัวน้อยๆ ก็เหมือนกับขนไม้กวาดขนาดเล็ก กำลังเลียอยู่ที่บริเวณไหล่ของเฮยสุ่ยเบาๆ เลื่อนไปมา


ตรงบริเวณเอว ว่องไวปราดเปรียวมากนัก


ลั่วชิวเคยได้ยินว่าน้ำลายของพวกสุนัขเหมือนจะกำจัดพิษฆ่าแบคทีเรียได้…อืม คล้ายว่าในบรรดาปีศาจน้อยพวกนั้นจะมีปีศาจสุนัขอยู่เพียงแค่ตัวเดียว?


น้ำลายที่พร่างพราวเชื่อมต่อกันเป็นเส้นไหม แถวๆ บริเวณบาดแผลที่น่าสยดสยองสยองนั้น กำลังทำให้ถ้ำสะท้อนแสงสว่างเรืองรอง ส่องไสวระยิบระยับ


บาดแผลที่เดิมก็น่ากลัวมาก ก็เหมือนจะดีขึ้นหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้บาดแผลนี้จะยังคงน่าสยดสยองอยู่มาก และยังทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายเฮยสุ่ยก็ตาม


ลั่วชิวมองเห็นภาพเช่นนี้ ก็เข้าใจได้เองว่านี่อาจจะเป็นวิธีการรักษาอย่างหนึ่ง เพียงแต่มองดูสีของเลือดฝาดที่อยู่บนหน้าของเฮยสุ่ยอย่างน่าอัศจรรย์ใจแล้ว และยังมีเสียงครวญครางเบาๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก…เจ้าของร้านลั่วยังมิอาจเข้าใจได้ เหมือนการรักษาที่ช่ำชองจะกลายเป็นอย่างอื่นไปเสียอย่างนั้น…


บางทีน้ำลายของปีศาจน้อยอาจโดนบริเวณแผลที่ปวด ร่างกายของเฮยสุ่ยถึงได้หดเกร็งฉับพลันทันที


ขาทั้งสองข้างของนางโผล่ออกมาจากรอยแหวกของกระโปรง ตอนนี้น่องกำลังรัดพันกันอยู่ ข้อเท้านิ้วเท้าเหยียดตรงและยกเท้าขึ้นมาเล็กน้อย กลายเป็นเส้นโค้งงอได้อย่างน่าอัศจรรย์


“อืม…อา…”


ในขณะเดียวกันนางก็เงยหน้าขึ้นมา ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย เพิ่งจะหายใจแรงเล็กน้อยแล้วก็ลืมตาขึ้นมา สบตาเข้ากับเจ้าของร้านลั่วที่อยู่ตรงบันไดพอดี


เจ้าของร้านลั่วที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกเก้อเขิน กลับพยักหน้าพูดว่า “พวกคุณต่อกันเลยครับ ไม่ต้องสนใจผม…”


104  ใครเป็นคนบอกว่าใจดำอำมหิต

เหมือนว่าการเลียบาดแผลจะช่วยให้แผลสมานกันเร็วขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าหากอยากให้ฟื้นฟูแข็งแรงดังเดิมทันทีก็ขัดกับความจริงอยู่


หลังจากรักษาบาดแผลแล้ว เฮยสุ่ยก็เอามือออกมาจากชุดคลุมแขนยาวชาววังสมัยฮั่น แล้วรวบชุดคลุมด้านหน้า ก่อนผูกผ้าคาดเอวให้เรียบร้อย แล้วหมุนตัวมา


เธอเริ่มเดินขึ้นไปตามขั้นบันได


หลังจากลั่วชิวเห็นฉากที่เฮยสุ่ยรักษาบาดแผล ก็ถอยเข้าไปในห้องศิลาที่อยู่ด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง…เหมือนปีศาจจะไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้แฮะ


อย่างตอนที่ปีศาจผีเสื้อน้อยเพิ่งกลายร่าง เธอก็มีจิตใจสงบนิ่งเป็นอย่างมาก บางทีปีศาจพวกนี้คงไม่ค่อยสนใจเรื่องสวมเสื้อผ้าเท่าไหร่ล่ะมั้ง*? *


ใบหน้าเลือดฝาดของเธอเปลี่ยนเป็นซีดขาว แต่ความเหนื่อยล้ายังไม่จากเธอไปไหน


“หากข้าต้องการฆ่าหยางไท่จื่อ ต้องแลกด้วยสิ่งใด?” เฮยสุ่ยถามลั่วชิวอย่างคาดไม่ถึง


ในระหว่างการรักษาแผล คงจะได้คิดใคร่ครวญอย่างเต็มที่แล้วกับปัญหาเรื่องที่ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ดี


การ์ดหลากหลายลวดลายปรากฏอยู่ข้างๆ เฮยสุ่ยทีละใบทีละใบ


พวกมันหมุนรอบอย่างช้าๆ


ปีศาจงูเฮยสุ่ยอายุสามร้อยห้าสิบปีกำลังทำความเข้าใจความหมายแฝงในการ์ดพวกนี้ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเฮยสุ่ยก็มีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด


“สิ่งที่เขาร่ำลือกันมาเป็นความจริงหรือนี่…” เฮยสุ่ยมองพิจารณาลั่วชิวอย่างตื่นตะลึงงุนงง อดจมดิ่งลงสู่ห้วงความคิดไม่ได้


ตอนที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจ ดูเหมือนว่าความอดทนของลั่วชิวจะบรรลุถึงระดับสูงสุดได้


นับตั้งแต่เขากลายเป็นเจ้าของสมาคม ลั่วชิวก็พบว่าเพียงพริบตาเดียวงานอดิเรกของตนเองก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย


ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกค้าก็จะมองดูท่าทีที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจเลือกโดยไม่ให้เล็ดลอดสายตาเลยสักนิด


พวกเขาจะแสดงตัวตนชัดเจนที่สุดเวลานี้ นี่ทำให้เขาพอใจมาก


เป็นเวลานานทีเดียว เฮยสุ่ยถึงค่อยๆ ถอนหายใจดังเฮ้อออกมา ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “มิน่าล่ะ เจ้าบอกว่าความต้องการของหยางไท่จื่อเพียงแค่ให้ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก หลังจากบาดเจ็บหนักก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ได้ยืนอยู่ข้างเขาเหมือนกัน”


ลั่วชิวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เพราะว่าพวกเราเพียงแค่ยืนข้างลูกค้าเท่านั้น”


เฮยสุ่ยยิ้มหยันทันที แล้วพูดขึ้นว่า “ด้านหนึ่งก็ช่วยหยางไท่จื่อทำร้ายข้าบาดเจ็บหนัก อีกด้านหนึ่งก็แสดงท่าทีเป็นมิตรกับข้า…ข้อตกลงจากทั้งสองฝ่ายก็ตั้งใจจะทำตามทั้งหมด ท่าทางจะคิดคำนวณแผนการนี้มาอย่างดีเลยทีเดียวนะ”


ลั่วชิวไม่ได้คิดจะโต้ตอบรอยยิ้มเยาะหยันของเฮยสุ่ยในเวลานี้


ด้านหนึ่งทางสมาคมไม่ปฏิเสธลูกค้าผู้มาเยือนอย่างแน่นอน


ค่อนข้างไร้เกียรติศักดิ์ศรี


แต่อีกด้านหนึ่งนั้นตัวเฮยสุ่ยเองกลับยังไม่รู้


เธอที่ตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากนั้น ก็กำลังมองหาอะไรบางอย่างในจิตใต้สำนึกส่วนลึกนั้นไว้แล้ว


“พวกเราแค่ยืนอยู่ข้างลูกค้าก็เท่านั้น” ลั่วชิวพูดเป็นครั้งที่สอง



“ขอข้าคิดดูสักหน่อย” ฉับพลันเฮยสุ่ยก็พูดขึ้นมา “หากเจ้าไม่รีบร้อน โปรดรอสักครู่”


ลั่วชิวนิ่งอึ้ง การ์ดที่มีลวดลายกลับคืนสู่มือของเขาก่อนหายวับไป แล้วเฮยสุ่ยก็เดินลงบันไดไปต่อหน้าต่อตาเขา


ลั่วชิวมองดูเฮยสุ่ยเดินไปข้างๆ พวกปีศาจน้อย หากตัดลักษณะเฉพาะของพวกปีศาจออกไปแล้ว ปีศาจน้อยพวกนี้ก็ดูราวกับเด็กน้อยที่อายุมากสุดน่าจะไม่เกินหกเจ็ดขวบ อายุน้อยที่สุดก็แค่สามสี่ขวบ ต่างวิ่งล้อมวงเข้ามาทีละตัวทีละตัว


พวกปีศาจน้อยกรูกันเข้ามาข้างๆ เฮยสุ่ย ในตาฉายแววหวังพึ่งพิงอย่างสุดหัวใจ


เฮยสุ่ยนั่งลง อุ้มปีศาจน้อยตัวหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดเข้ามาไว้ในอ้อมอก ลั่วชิวถึงได้มองเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งของปีศาจงูเฮยสุ่ยตัวนี้


ราวกับแม่ไม่มีผิด


เฮยสุ่ยลูบปีศาจน้อยในอ้อมอกเบาๆ พร้อมพูดบางอย่างด้วยเสียงแผ่ว ปีศาจน้อยใบหน้านุ่มนิ่มก็มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้า


อารามเต๋าถูกเฮยสุ่ยยึดครองมาสิบปี สิบปีมานี้นางก็อยู่ดูแลปีศาจน้อยที่เกิดมาไม่นานพวกนี้ที่นี่ สิบปีราวกับหนึ่งวัน ปีศาจน้อยพวกนี้มาจากต่างสายพันธุ์ ย่อมไม่ใช่ลูกของเฮยสุ่ยแน่นอน


พ่อแม่ของบรรดาปีศาจน้อยล่ะ?


ลั่วชิวไม่คิดตามหา เพราะถ้าพ่อแม่แท้ๆ ของปีศาจน้อยพวกนี้อยู่ เฮยสุ่ยคงไม่ได้เป็นผู้ใหญ่คนเดียวในที่นี้


“พี่เฮยสุ่ย พวกเราจะไปจากที่นี่แล้วเหรอ?”


ปีศาจกระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เฮยสุ่ยเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาแดงๆ มีน้ำตาเอ่อส่องประกายระยิบระยับ หางกระต่ายสั้นๆ กำลังส่ายไปมา


เฮยสุ่ยแตะไปที่ใบหน้าของหลิงหลิงเบาๆ แล้วถามขึ้นทันทีว่า “เจ้าไม่อยากไปจากที่นี่หรอกหรือ?”


หลิงหลิงก้มหน้าตอบ “ไม่ใช่สักหน่อย…เพียงแต่หลิงหลิงรู้จักเพื่อนใหม่บนหุบเขานี้ตั้งเยอะ พวกมันทุกตัวยังไม่ได้กลายร่าง ทุกตัวก็ชอบหลิงหลิงมาก หลิงหลิงไม่ค่อยอยากจากพวกมันไปเลย”


เฮยสุ่ยพูดอย่างขมขื่น “ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเรา”


ปีศาจน้อยอีกตัวหนึ่งข้างๆ เฮยสุ่ยพูดขึ้นทันที “พี่เฮยสุ่ย พวกเราจะกลับบ้านแล้วใช่ไหม? จะได้กลับบ้านไปเจอพ่อกับแม่ของเราแล้วใช่ไหม”


ปีศาจน้อยอ้วนตุ๊ต๊ะมีจมูกหมูสีชมพูงอกออกมา…น่าจะเป็นพวกหมูป่าบนภูเขาที่กลายเป็นปีศาจล่ะมั้ง?


เฮยสุ่ยก็แตะๆ ไปที่หัวของปีศาจหมูน้อยตัวนี้ พูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกเรายังไม่กลับบ้านหรอก…จะไปที่อื่นกันก่อน”


ปีศาจหมูน้อยโผเข้าหาเฮยสุ่ย “ข้าก็ไม่ได้พบพ่อกับแม่มาตั้งนานแล้ว พี่เฮยสุ่ย ข้าคิดถึงพวกเขา ท่านพาข้ากลับไปพบพวกเขาได้หรือเปล่า?”


“ข้าก็อยากเหมือนกัน พี่เฮยสุ่ย!”


“พี่เฮยสุ่ย ตอนวาดรูปเมื่อวาน เดิมข้าตั้งใจจะวาดรูปคุณปู่ แต่ข้าวาดไม่ได้…ข้า ข้าใกล้ลืมหน้าคุณปู่แล้วใช่ไหม…”


ปีศาจน้อยห้อมล้อมรอบตัวนางทีละตัวทีละตัว มองดูสายตาที่เต็มไปด้วยการเว้าวอน เฮยสุ่ยคลี่ยิ้มทันทีแล้วตอบว่า “อืม…รอให้พวกเจ้าโตกว่านี้หน่อย ก็จะได้พบพวกเขาแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ?”


“แต่ว่า…แต่ว่าผ่านมาสิบปีแล้ว พวกเราก็ยังไม่โตอีกเหรอ เมื่อไหร่พวกเราถึงจะโตพอล่ะ?”


เฮยสุ่ยพูดเสียงแผ่วเบา “ถ้าร่ำเรียนฝึกวิชา รับพลังลมปราณหยวนชี่ทุกวัน ก็จะโตไวๆ แล้ว ใครว่าพวกเจ้าจะไม่โตกัน? หลิงหลิงเองก็ตัวสูงขึ้น ผมก็ยาวมากกว่าปีที่แล้วไม่ใช่หรือ? แล้วเจ้าก็ด้วย จูหลัวจื่อ ปีนี้เจ้าเองก็หนักขึ้นกิโลหนึ่งไม่ใช่หรือ แล้วก็อาฝู ตอนที่นอนหลับน้ำลายก็ไม่ไหลแล้ว…”


นางพูดถึงการเติบโตของพวกปีศาจน้อยทีละตัวทีละตัว ราวกับเป็นลูกหลานของตนเอง สุดท้ายก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “…สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเจริญเติบโต เอาล่ะ ดูเหมือนว่าพวกเจ้ายังไม่ได้ทำการฝึกของวันนี้เลยล่ะสิ?”


พูดถึงตรงเรื่องนี้แล้ว ทันใดนั้นเฮยสุ่ยก็ทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมถามว่า “หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากกลับไปพบพ่อแม่ปู่ย่าของพวกเจ้าแล้ว?”


“อ๊า!”


พวกปีศาจน้อยต่างรีบปีนกลิ้งลงไปจากตัวเฮยสุ่ย แล้ววิ่งหลบไปในทันที


พูดถึงการวิ่งหลบ อันที่จริงก็แค่วิ่งออกห่างไปหน่อยเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็นั่งเรียงแถวเป็นระเบียบบนพื้น พอนั่งลงแล้ว ปีศาจน้อยพวกนี้ต่างมีกิริยาอาการต่างๆ นานา บ้างก็นอนฟุบไป หรือไม่ก็นอนหงายผึ่ง ค่อยๆ ทยอยหลับตาลง


เฮยสุ่ยมองดูบรรดาปีศาจน้อยเริ่มดูดซับพลังลมปราณ นางก็หายใจเข้าลึกๆ หันไปทางปีศาจน้อยพวกนี้แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ


ลมหายใจนี้กลับเป็นสีทองใส ค่อยๆ ฟุ้งกระจายออก แล้วเริ่มห่อหุ้มตัวปีศาจน้อยพวกนี้ไว้


ราวกับว่าหมอกสีทองใสเกิดขึ้นตามจังหวะการหายใจของปีศาจน้อยพวกนี้ ทยอยลอยเข้าไปในร่างของพวกปีศาจน้อยเป็นสายๆ


“คุณมอบพลังลมปราณตนเองให้กับเด็กๆ”


ไม่รู้ว่าลั่วชิวลงจากบันไดมาอยู่ข้างๆ เฮยสุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามองใบหน้าซีดขาวกว่าเดิมเล็กน้อยของเฮยสุ่ย “สิบปีนี้”


เฮยสุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขายังเด็กมาก ลำพังตนเองจะฝึกพลังลมปราณจนเติบโต อย่างน้อยก็ห้าสิบปีถึงจะปกป้องดูแลตนเองได้ อยู่ที่นี่ ข้าก็ได้แต่ฝึกฝนพวกเขา ใช้เวลาสามสิบปีก็น่าจะพอ”


ลั่วชิวนิ่งเงียบสักพักแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงเลือกหุบเขาของนักพรตที่ปีศาจอย่างพวกคุณเป็นปฏิปักษ์ ทั้งที่ยังมีป่าเก่าแก่ในหุบเขาลึกมากมายที่ยังไม่มีผู้คนบุกไปถึง”


เฮยสุ่ยตอบ “อย่าคิดว่าโลกของเผ่าปีศาจจะดีขนาดนั้น พวกเราจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ ปีศาจตัวอื่นก็ต้องการมีชีวิตอยู่เช่นกัน ป่าเก่าแก่ในหุบเขาลึกที่จะให้ปีศาจอาศัยอยู่ได้นั้น มีที่ไหนที่ไม่มีปีศาจเจ้าถิ่นใช้ชีวิตอาศัยอยู่บ้าง หากพวกเราผ่านเข้าไป ก็เท่ากับว่าไปยึดครองดินแดนของพวกเขา หุบเขาที่มอบพลังลมปราณให้ได้มากมายขนาดนั้นก็มีไม่มาก สิ่งที่เด็กๆ พวกนี้ต้องการ หรือว่าเด็กอื่นๆ จะไม่ต้องการ? หรือว่าจะให้ข้าพาเด็กๆ พวกนี้ไปเข่นฆ่ากับปีศาจตัวอื่นๆ? ถึงแม้ว่าข้าจะชนะ ก็แค่ทำให้เด็กๆ อีกจำนวนหนึ่งต้องสูญเสียบ้านไป”


ปีศาจที่ประสบการณ์ช่ำชองไปกระตุ้นความอยากรู้เรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจของเจ้าของร้านลั่วทันที “จากที่ผมรู้ เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนไม่น้อยเลือกอาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ หรือว่าการอาศัยอยู่ในเมืองจะไม่มีปัญหาเรื่องพลังลมปราณ?”


เฮยสุ่ยยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “ไม่มีปัญหา? ไม่มีปัญหาแล้วพวกเราจะมายึดครองหุบเขาเพื่ออะไรกัน? ปีศาจชนิดที่อาศัยปะปนอยู่ในเมือง ถ้าบรรลุนิติภาวะแล้วก็โชคดีไป แต่ถ้าเพิ่งเกิดมาใหม่ๆ ละก็ โดยพื้นฐานแล้วก็ยากที่จะฝึกฝนพลังลมปราณให้เต็มที่ได้ พวกเขาก็ได้แต่ดูดรับพลังจากร่างพ่อแม่เท่านั้น แต่การดูดรับแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการกลืนกินพลังชีวิตของพ่อแม่ อันที่จริงก็มีปีศาจบางพวกที่มุ่งสู่ชีวิตที่รุ่งเรืองในโลกมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่อย่างไม่มีทางเลือก พวกเราก็ต้องขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น แต่หากการขยายเผ่าพันธุ์เกินขีดจำกัดที่ป่าเขาจะรับไหวล่ะก็ ก็จะมีปีศาจบางส่วนจำต้องจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้


ไม่เช่นนั้นรอให้ถึงคราวของพวกเรา ก็เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายพวกเดียวกัน”


เฮยสุ่ยชี้ไปที่ปีศาจน้อยตัวหนึ่งในกลุ่มนั้น “นั่นคือเจ้าจูหลัวจื่อ ทั้งพ่อและแม่ต่างก็เป็นหมูป่าบนเขาที่กลายเป็นปีศาจ สิบปีก่อน ดินแดนที่ข้าอาศัยอยู่ จำนวนพวกปีศาจมากล้นเกินขีดจำกัดที่ป่าหุบเขาจะมีพลังลมปราณเหลือไว้ให้เพียงพอ พ่อแม่ของจูหลัวจื่อก็ตายด้วยน้ำมือพญาเสือโคร่งตัวหนึ่ง”


เฮยสุ่ยยื่นมือชี้ไปอีกครั้งแล้วพูดขึ้นว่า “นางชื่อหลิงหลิง…นี่ชื่ออาฝู…นี่ชื่อไม่ไม่…พ่อแม่ของพวกเขาต่างก็ถูกกำจัดไปในสงครามเข่นฆ่ากันเองในครั้งนั้น ข้าพาพวกเขาหลบหนีมายังเขตชายป่าหุบเขาถึงได้สงบสุขขึ้นมาบ้างนิดหน่อย แต่ว่าดันไปเจอพวกมนุษย์ตัดไม้ทำลายป่าเข้า ตอนนั้นข้าพาพวกเขาจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง มุ่งหน้าไปยังที่ต่างๆ ที่แล้วที่เล่า ต่างก็ถูกพวกปีศาจในเขตอื่นขับไล่…เจ้าคิดว่าใครเป็นคนสร้างปัญหากัน? หากดินแดนผืนนี้ป่าเขายังคงเดิม แม่น้ำใสไหลริน ทำไมจะไม่มีบ้านสักแห่งให้พวกข้าอยู่เล่า?”


พูดมาถึงตรงนี้ เฮยสุ่ยก็รู้สึกฮึกเหิมทันที นางชี้ไปที่ลั่วชิวแล้วพูดขึ้น “เจ้าบอกข้าสิ โลกใบนี้มีพวกปีศาจที่ร่อนเร่จากบ้านด้วยความยากลำบากเช่นพวกเราอยู่เท่าไหร่กัน? และจะมีอีกเท่าไหร่กันที่ต้องดิ้นรนประคองชีวิตในเมืองให้รอดไปวันๆ ใช้ชีวิตนี้แลกกับชีวิตแสนสั้นๆ ของลูก? ในเมื่อพวกเรามีสติปัญญา แล้วจะยอมเดินบนเส้นทางการสูญเสียไปเพื่ออะไรกันอีก? ร้อยปีก่อน พันปีก่อน โลกใบนี้น้ำใสป่าไม้เขียวชอุ่ม ตอนนี้ต้องถูกพวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าทำลายไปเท่าไหร่แล้ว? เจ้าบอกข้ามาสิ!”


ในน้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเศร้ารันทด “จูหลัวจื่อถามข้า หลิงหลิงถามข้า อาฝูถามข้า พวกเขาต่างก็กำลังถามข้า วันแล้ววันเล่า เจ้าบอกข้าสิ ข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะบอกให้พวกเขารู้ไปตรงๆ ได้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาจากไปตั้งนานแล้ว อนาคตของพวกเขาคือการใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันโหดร้ายทารุณใบนี้? ข้าไม่มีทางเลือก!”


เฮยสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองหน้าลั่วชิวตรงๆ พูดเสียงเข้มขึ้นมา “เจ้าบอกว่าขายทุกอย่าง! แล้วเจ้าก็จะยืนอยู่ข้างเดียวกับลูกค้า! ดีจริงๆ เลย! ตอนนี้ข้าขอใช้ทุกอย่างทั้งหมดของข้าแลกกับการให้พวกเจ้าอยู่ข้างพวกเรา! พวกเจ้าคืนอนาคตของเผ่าพันธุ์ปีศาจข้าได้หรือไม่? พวกเจ้าทำให้พวกเรา มีชีวิต! อยู่! ต่อไป! ได้หรือไม่”


บทที่ 105 สิบวินาทีที่พลาดไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ในระหว่างการพูดคุยของเฮยสุ่ย ลั่วชิวรักษาอาการนิ่งเงียบไว้ตลอด


เดิมที่นี่ก็สงบเงียบมาก แต่ตอนนี้กลับเงียบเสียจนเข็มหล่นก็ยังได้ยิน


ส่วนปีศาจวัยเยาว์พวกนั้นก็ไม่ได้ถูกรบกวน ราวกับว่าเป็นเพราะหมอกสีทองใสพวกนั้น


จนกระทั่งเฮยสุ่ยวางมือลง ท่าทีฮึกเหิมพวกนั้นก็ค่อยๆ เบาบางลง ลั่วชิวถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ใจเย็นลงได้แล้วใช่ไหมครับ?”


เฮยสุ่ยผ่อนลมหายใจออกมา แล้วฝืนยิ้มทันที “เห็นเจ้านิ่งเงียบ ข้าก็รู้ว่าของแบบนี้ข้าซื้อไม่ได้…ถ้าหากใช้แค่ทุกสิ่งที่ข้ามีสามารถแลกอนาคตของปีศาจกลับคืนมาได้ ก็เท่ากับว่าข้ามองตนเองว่ามีค่ามากว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมดเสียอีก”


ไม่เคยคิดว่าเจ้าของสมาคมกลับพูดขึ้นว่า “คุณลูกค้าสิ่งที่คุณหวังสามารถแลกซื้อกับพวกเราได้ครับ”


“อะไรนะ?” เฮยสุ่ยริมฝีปากสั่นเครือ สีหน้าคาดไม่ถึง “ซื้อได้…จริงๆ?”


ลั่วชิวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากความต้องการของลูกค้าคือให้พวกเรายืนอยู่ฝั่งเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจล่ะก็ ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นครับ ราคาที่คุณเสนอมาคือสิ่งที่คุณมีทั้งหมด ใช่ไหมครับ?”


เฮยสุ่ยพยักหน้าอย่างลืมตัว


ลั่วชิวพูดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ถ้าเช่นนั้น ก็เพียงพอให้พวกเรายืนอยู่ฝั่งเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว เวลาน่าจะประมาณสิบวินาที”


“สิบวินาที?” เฮยสุ่ยขมวดคิ้ว


ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง สิบวินาทีจะนานแค่ไหนกันเชียว? ก็แค่ช่วงเวลาได้หายใจเพียงแค่นี้เอง! คนนี้ยืนอยู่ที่นี่ บางทีก็แค่เหม่อลอยสักพักก็ผ่านไปแล้ว!


สิบวินาทีสั้นๆ แค่นี้ จะพอไปทำอะไรได้? ที่เรียกว่ายืนอยู่ข้างกัน…ยืนอยู่ข้างกันสิบวินาที ราคาที่ต้องแลกกลับเป็นทุกสิ่งที่ตนเองมีทั้งหมด ตั้งแต่ชีวิตจนถึงดวงวิญญาณ? ล้อเล่นอะไรกันนี่?


“คงจริงสินะ ที่ล่ำลือกันว่าพวกเจ้าลึกยิ่งกว่าเหวลึก มืดมิดยิ่งกว่าสถานที่ที่มืดมิดเสียอีก” เฮยสุ่ยหัวเราะเย้ยหยัน “ข้อตกลงการค้าแบบนี้ ช่างเถอะข้าไม่ทำ!”


ลั่วชิวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “คุณเป็นลูกค้า อำนาจการตัดสินใจย่อมอยู่ในมือคุณ พวกเราจะไม่บังคับ…”


พูดแล้ว การ์ดดำรูปแบบหนึ่งที่ไม่มีตราประทับก็มารวมกันอยู่บนมือของลั่วชิว ค่อยๆ ลอยไปอยู่ตรงหน้าเฮยสุ่ยช้าๆ “…หากมีความประสงค์ละก็ ลูกค้ามาหาพวกเราถึงที่ได้โดยอาศัยมันครับ”


เฮยสุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รับการ์ดดำใบนี้ไว้ เธอมองดูลั่วชิว กัดฟันกรอดแล้วพูดขึ้น “ข้าต้องรักษาอาการบาดเจ็บของข้า ถ้าหากใช้อายุขัยมาแลก ต้องใช้อายุขัยเท่าไหร่?”


ลั่วชิวตอบอย่างรวดเร็ว “ถ้าต้องการดีขึ้นเหมือนก่อนหน้าได้รับบาดเจ็บก็สิบปีครับ”


เฮยสุ่ยขมวดคิ้วพูดขึ้น “หากข้าต้องการฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บตนเอง เวลาห้าปีก็น่าจะพอ นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าต้องการสิบปี!”


“หลังจากห้าปีลูกค้าอาจจะหายเป็นปกติได้เอง…” ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ “แต่อาศัยความช่วยเหลือของพวกเราแล้วก็จะหายได้ในทันที ห้าปีที่จ่ายเพิ่มก็คือผลในส่วนนี้ครับ”


เฮยสุ่ยกัดฟันตอบ “งั้นก็ตกลง!”


ทุกวันนี้อาการบาดเจ็บหนักที่ยืดเยื้อ อย่าว่าแต่ห้าปีรักษาหายเองได้เลย ถ้าเธอไม่ทำข้อตกลงนี้ ไม่นานก็อาจจะถูกเจ้านักพรตเน่าหยางไท่จื่อนั่นหาตัวเจอได้


แน่นอน เธอเคยคิดแผนให้สมาคมกำจัดหยางไท่จื่อ เพียงแต่ว่าคิดไปแล้วราคาที่ต้องแลกเปลี่ยนนี้คงต้องเยอะขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน


แล้วนี่อาจจะเป็นข้อตกลงแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าก็ได้


หากเธอรักษาหายเป็นปกติแล้ว จะจัดการกับหยางไท่จื่อก็ย่อมง่าย และก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมากขึ้นเพื่อแลกกับเรื่องที่ตนเองสามารถทำให้เป็นจริงเองได้


ตามมาด้วยหนังแกะม้วนที่คลี่ออกมา ความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลขนาดใหญ่บนตัวเฮยสุ่ยก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผิวหนังของเธอถึงขนาดกลับมามันวาวดังเดิม


แต่ว่าในขณะเดียวกันนั้นเอง เธอก็รู้สึกว่าพลังลมปราณที่อยู่ในตัวเธอลดลงไปไม่น้อย…สิ่งสำคัญเหล่านั้นที่รักษาชีวิตเธอไว้


และก็เป็นอายุขัยของเธอด้วย ที่แท้ก็ถูกหักลดไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เอง


เฮยสุ่ยจะขอบคุณสักนิดก็ไม่มี แต่กลับพูดเหน็บแนมหน้าตาเฉย “นักพรตเน่านั่นจ่ายข้าตอบแทนเพื่อให้เจ้าทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บ ส่วนข้าก็ใช้อายุขัยของตนเองให้เจ้ารักษาบาดแผล…ผลก็คือปัญหาระหว่างข้ากับนักพรตเน่านั่นก็ไม่ได้รับการแก้ไข แต่พวกเจ้ากลับได้ทำการค้าอย่างง่ายกับทั้งสองฝ่าย เป็นการยืนข้างลูกค้าเสียจริงๆ เลยนะ!”


“อืม บางครั้งผมก็จะพูดแขวะสมาคมของตัวเองเหมือนกันครับ” เจ้าของร้านลั่วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เพียงแต่ว่า ผมขอถามคุณสักข้อได้ไหมครับ? แล้วต่อไป คุณคิดจะออกไปชำระแค้นกับหยางไท่จื่อหรือเปล่าครับ?


เฮยสุ่ยหัวเราะเยาะตอบ “วรยุทธ์ความสามารถของเจ้านักพรตเน่านั่นไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่ความสามารถในการวิ่งหนีก็ยังพอมีอยู่”


สิบปีก่อนเขาบาดเจ็บหนักก็ยังหนีรอดจากเงื้อมมือข้าได้ สิบปีให้หลังคงจะรับรองไม่ได้ เขาหนีไปแล้ว ไปหาเจ้าเพื่อจัดการข้าอีกครั้งล่ะก็ เช่นนี้เกรงว่าสิ่งที่ต้องการแลกก็คงไม่ใช่แค่ทำให้ข้าบาดเจ็บหนักง่ายๆ เช่นนี้แน่! เจ้าคงไม่คิดว่าข้าจะหาตัวเขาแล้วใช้ไม้แข็งกับเขาหรอกใช่หรือไม่? ข้าจะไปจากที่นี่ หายไปจากสายตานักพรตเน่านั่นเสียที เขาหาข้าไม่พบ ย่อมจะไม่ฝ่าฟันอันตรายอันใหญ่หลวงไปหาพวกเจ้า อีกทั้งถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะได้อารามเต๋ากลับคืนไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะได้อยู่ดีมีสุข อย่างไรเสียก็ผ่านมาสิบปีแล้ว…เจ้าให้เขาวางตัวให้เหมาะสมด้วย ระวังกลางคืนจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเพิ่มล่ะ! ยังมีอีก ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือตอนนี้ข้าไม่คิดจะทำข้อตกลงอะไรกับพวกเจ้าอีก!”


ผู้หญิงล้วนเจ้าคิดเจ้าแค้นกันทุกคนเลยจริงๆ สินะ…เอ่อ ตัวเมีย?


ลั่วชิวไม่ได้พูดอะไร แต่พยักหน้าต่อหน้าเฮยสุ่ยไป แล้วเดินกลับทางเดิมออกจากถ้ำนี้ไป




ก่อนที่จะกลับไปถึงอารามเต๋าในเส้นทางเดิม ลั่วชิวก็มองเห็นหยางไท่จื่อยังคงนอนอยู่บนพื้นท่าทางไม่ยอมฟื้นขึ้นมา จึงนั่งยองๆ ลง


ศิษย์ของหยางไท่จื่อ จ่านเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ


ลั่วชิวกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นักพรต หากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมก็จะเก็บค่าธรรมเนียมแล้วนะครับ แน่นอนว่า ถึงแม้คุณยังไม่ตื่นขึ้นมา ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเช่นกัน”


หนังตาของหยางไท่จื่อขยับทันที แล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น คิดว่าหากไม่ได้เป็นนักพรตบำเพ็ญเพียร ก็คงกลายเป็นนักแสดงนำไปแล้ว


“เอ่อ…เจ้าของร้านลั่ว ข้าสลบไปนานเท่าไหร่แล้ว?” หยางไท่จื่อลูบหน้าผากตนเองลุกขึ้นนั่ง “น่าละอาย น่าละอายนัก จ่านเอ๋อร์…ปีศาจงูนั่นหนีไปแล้ว เจ้ารีบเข้าไปในอาราม ลองดูสิว่ามีสิ่งใดชำรุดเสียหายหรือไม่!”


จ่านเอ๋อร์รีบพยักหน้า คิดว่าเรื่องที่อาจารย์บอกน่ากังวลเหมือนกัน ก็เลยรีบวิ่งเข้าไปในอารามเต๋าอย่างรีบร้อน


ในตอนนั้นเองหยางไท่จื่อก็หันไปมองลั่วชิว เอ่ยเรียกด้วยความเคารพ “เจ้าของร้านลั่ว โปรดเบามือด้วย”


ลั่วชิวก็ไม่ได้คิดจะฉีกเสื้อผ้าแต่อย่างใด แค่ยื่นมือออกไปกดบนหน้าอกของนักพรตทันที ท่าทางราวกับคว้าอะไรออกมาในชั่วพริบตา


สีหน้าหยางไท่จื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในชั่วพริบตานั้นเองเส้นผมทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับหิมะ และบนใบหน้าก็มีริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏมากขึ้น


อายุขัยห้าสิบปีเลยนะ!


ในใจของหยางไท่จื่อมีเลือดหยดริน กลับได้แต่ฝืนใจยิ้มอย่างยินดีพูดขึ้น “ครั้งนี้ ขอบคุณความช่วยเหลือของท่านเจ้าของร้านจริงๆ”


เห็นชัดๆ ว่าขาดทุน ขาดทุนจนเสียหายย่อยยับเลย แต่กลับยังทำหน้ายิ้มรับ ลั่วชิวอดนับถือความอดทนอดกลั้นของหยางไท่จื่อไม่ได้


ดังนั้นเจ้าของร้านลั่วจึงตอบกลับไปอย่างเสแสร้งสุดๆ เช่นกัน “ท่านนักพรตเกรงใจเกินไปแล้ว”


“อารามนี้แม้อยู่ในที่ห่างไกลลับตาคน แต่ก็ถือว่าเป็นสถานที่อันบริสุทธิ์ เจ้าของร้านลั่วไม่ลองพักอาศัยอยู่สักสองสามวันหรือ?” หยางไท่จื่อพูดต่อ


ลั่วชิวส่ายหน้า


เขามองดูโยวเย่แวบหนึ่ง สาวใช้ก็เดินมาอยู่ข้างๆ เขาอย่างรู้ความ ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลั่วชิวก็พูดในใจเงียบๆ ว่า ‘กลับ’ แล้วทั้งสองคนก็พลันหายไปจากตรงหน้าหยางไท่จื่อ


หยางไท่จื่อรอเงียบๆ อยู่สักพักหนึ่ง หลังจากรอจนกระทั่งมั่นใจว่าคนได้จากไปแล้วจริงๆ ถึงลุกขึ้นมาในทันทีทันใด สะบัดผมขาวทั้งหัวราวกับคนบ้า รีบตะโกนไปในอารามเต๋านั่นด้วยเสียงอันดัง “จ่านเอ๋อร์! รีบไปหาที่อุโมงค์ห้องอาจารย์ดูสิ โสมพันปีต้นนั้นที่อาจารย์ซ่อนไว้ยังอยู่หรือไม่! ไม่มีโสมกิน อาจารย์ต้องตายแน่!!”


ห้าสิบปีเลยนะ! พลังลมปราณเสียหายหนัก อย่าโหดร้ายเกินไปนักเลย! รีบบำรุงสักหน่อยดีกว่า!!




โยวเย่ยกน้ำดื่มแก้วหนึ่งมา ตอนนี้พวกเขามาถึงสมาคมแล้ว


สาวใช้วางแก้วน้ำลง แล้วกอดถาดในมือไว้ พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “น่าเสียดายจริงๆ นะคะ เฮยสุ่ยไม่ได้เลือกแลกเปลี่ยนกับช่วงเวลาสิบวินาทีนั่น


นี่ก็เป็นหัวข้อสนทนาหลังจากกลับมาแล้ว


สาวใช้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เธอคงไม่รู้ว่า สิ่งที่มาแทนสิบวินาทีนี้หมายถึงอะไร”


บทที่ 106 อาจจะเป็นเกย์คนหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


การดักฟังของเจสสิก้าดำเนินการมาเป็นเวลาสองสามวันแล้ว เธอพบว่าครอบครัวนี้มีคนอยู่แค่ตอนกลางคืน อีกทั้งเวลาพูดคุยของคนที่อยู่อาศัยทั้งสองคนก็ไม่ได้มากมาย ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย


เครื่องดักฟังติดตั้งอยู่ที่บริเวณตู้ใส่รองเท้าตรงประตูทางเข้า ด้วยเหตุนี้สิ่งที่พอจะได้ยินก็จำกัดอยู่มาก


เวลาสองสามมาวันนี้ ยังคงสืบรู้พฤติกรรมการเข้าออกของคนในบ้านนี้ได้อย่างชัดเจน เจสสิก้าอาศัยจังหวะที่ไม่มีคนอยู่ในตอนกลางวันลอบเข้ามา


ตัวล็อกประตูบ้านคนทั่วไปแบบนี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคของเจสสิก้าเลย หลังจากปิดประตูให้เรียบร้อยอย่างเบามือแล้ว เจสสิก้าก็ตรวจสอบเครื่องดักฟังที่ติดตั้งไว้ก่อนหน้านี้เป็นอันดับแรก หลังจากที่ไม่พบปัญหา เธอจึงก้าวไปอีกขั้นด้วยการเริ่มติดเครื่องดักฟังเพิ่มเติมไว้ในห้องนี้อีก


ตำแหน่งที่เลือกไว้อันดับแรกๆ ย่อมต้องเป็นห้องนอน


ตำรวจอาชญากรรมที่เพียบพร้อมด้วยประสบการณ์มากมาย เริ่มจัดแจงห้องของรองบรรณาธิการเริ่นได้สำเร็จอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างละเอียดแล้วว่าไม่มีเงื่อนงำที่ใช้ได้ ถึงมาที่ห้องของลั่วชิวต่อ


สำหรับเจสสิก้าที่มีประสบการณ์ในสายอาชีพมาหลายปี ย่อมรู้นิสัยของคนคนหนึ่งผ่านการจัดห้องได้ง่ายดาย


ยกตัวอย่างเช่นห้องของผู้หญิงที่เพิ่งจะเข้าไปเมื่อสักครู่ เสื้อผ้าวางทิ้งไปทั่ว ของบนโต๊ะเหมือนผ่านการสู้รบในสนามรบมาอย่างนั้น อีกทั้งแทบจะไม่มีเครื่องสำอางแบบที่ผู้หญิงใช้กันเลย มีเพียงข้าวของเครื่องใช้สำหรับการบำรุงบางอย่าง


นี่คือผู้หญิงที่ใช้ชีวิตตามสบาย อีกทั้งยังมั่วซั่วคนหนึ่ง


นอกจากนี้ในตู้เสื้อผ้ายังมีบุหรี่สำหรับผู้หญิงซ่อนเอาไว้ครึ่งห่อ ขอบหน้าต่างของห้องก็มีร่องรอยเถ้าบุหรี่หลงเหลืออยู่บ้าง


ผู้หญิงคนนี้จะต้องแอบสูบบุหรี่ในห้อง และยังเหมือนกลัวถูกจับได้ด้วย แต่เธอก็ยังคงแอบสูบบุหรี่ในห้อง


…ดังนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะยังมีใจต่อต้านอยู่


และที่มาของความคิดแบบนี้ ก็คงจะมาจากเจ้าของห้องนอนอีกห้องหนึ่งในห้องนี้ ซึ่งก็คือคนที่เป็นลูกชายของบ้านนี้


ไม่ได้ผิดแผกไปจากที่เจสสิก้าคาดการณ์ไว้ ห้องของลูกชายที่ทำให้ผู้หญิงอย่างเริ่นจื่อหลิงหวาดกลัวได้…เรียบร้อยอย่างประหลาด ไม่เพียงแต่ไม่มีกลิ่นแปลกๆ อะไร ถึงขนาดมีกลิ่นหอมพิเศษบางอย่างอยู่ด้วย


นี่ไม่ใช่กลิ่นโคโลญจน์ที่ผู้ชายใช้กัน เหมือนน้ำหอมที่ผู้หญิงใช้มากกว่า


ผ้านวมถูกพับวางไว้เป็นระเบียบ บนโต๊ะ ขอบหน้าต่าง แม้กระทั่งใต้เตียงก็แทบไม่มีฝุ่นผง แม้กระทั่งเสื้อผ้าจนถึงถุงเท้าก็พับเก็บให้เรียบร้อย


ไม่มีนิตยสารโป๊…คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้ใส่รหัส เปิดดูได้ตลอดเวลา ไม่มีบันทึกการดูเว็บไซต์ไม่ดี ส่วนมากจะเป็นฟอรั่มพูดคุยอภิปราย การโพสต์ข้อความก็น้อยมาก ไดรฟ์ในคอมพิวเตอร์ส่วนมากจะเป็นหนัง ไม่มีเกม นอกเสียจากไฟล์เสียงจำนวนมาก


หน้าเดสก์ท็อปทั้งหมดเป็นพื้นหลังที่ติดมากับระบบ บนเดสก์ท็อปมีไอคอนอยู่จำนวนหนึ่ง…คอมพิวเตอร์ของฉัน ถังขยะ เอกสารของฉัน


“นี่เป็นห้องผู้ชายจริงๆ เหรอเนี่ย?”


เพียงแป๊บเดียว เจสสิก้าถึงขนาดเกิดภาพมายาว่า บางทีเจ้าของห้องนี้อาจจะเป็นเกย์คนหนึ่ง


ห้องนี้เงียบเสียจนเจสสิก้ารู้สึกเหมือนเดินเข้าคุก “มิน่าล่ะ ผู้หญิงถึงได้เคารพยำเกรงแบบนี้…”


แต่เธอก็เข้าใจไม่มากก็น้อย ว่าผู้หญิงที่อยู่ห้องตรงข้ามคงไม่ได้รับความเคารพนัก…เพียงแต่ในมุมมองของเจสสิก้า การติดตั้งเครื่องดักฟังไว้ในห้องสะอาดเรียบร้อยแบบนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสุดๆ


ของทุกอย่างที่นี่คงจะถูกเช็ดถูบ่อยๆ ซึ่งก็หมายความว่าเจ้าของห้องรู้จักของทุกชิ้นในห้องตัวเองดี จนถึงขนาดถูกขยับย้ายไปที่ไหนก็คงรู้สึกได้


เธอเคยพูดคุยกับลั่วชิวมาแล้ว การพูดคุยง่ายๆ ทำให้เธอสัมผัสได้ว่าเด็กผู้ชายคนนี้รับมือยากกว่าคนวัยเดียวกันอยู่หน่อยๆ จนกระทั่งได้มาอยู่ภายในห้องนี้ เจสสิก้าก็ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้น


เธอถึงขนาดรู้สึกว่าการที่ตัวเองเดินเข้ามาที่นี่ ก็เหมือนกับถูกขังไว้ในคุกเดี่ยวแปลกประหลาดห้องหนึ่ง…ทุกอย่างในนี้ก็สร้างความกดดันมหาศาลที่ไม่อาจอธิบายได้ให้กับเธอ


จิตใต้สำนึกของเธอรู้สึกอยากจะหนีไปจากห้องนี้ แต่ก็ยังคงต้องทำงานให้สำเร็จ


เดิมทีใต้เตียงก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่พอคิดดีๆ แล้ว เจ้าของห้องน่าจะเป็นตัวประหลาดที่กวาดแม้กระทั่งใต้เตียง…ขอผ่าน!


ในเคสคอมพิวเตอร์งั้นหรือ…เครื่องแบบนี้น่ะนะ!!


ฝ้าเพดาน…ไม่มีฝ้าเพดาน!! หมอน…สำลีข้างในเก็บเสียงได้ดีเกินไป…ขอผ่าน!


ด้านบนสุดของตัวแขวนแอร์…คาดไม่ถึงว่าห้องนี้จะไม่มีแอร์? เจ้านี่ไม่กลัวร้อนเหรอ?? แม้กระทั่งพัดลมก็ไม่มี?


เต้าเสียบปลั๊กไฟ…ไม่ได้ เกิดรอยงัดได้ง่าย ด้วยความละเอียดของเด็กผู้ชายคนนี้ จะต้องไม่ให้รู้เข้า… ขอผ่าน!


“ไม่นึกเลยว่าฉันจะแพ้ให้กับห้องห้องเดียว?”


ฉับพลันเจสสิก้าก็หัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเบาๆ เธอสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด สงบสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วเปิดตู้เสื้อผ้าออก


ในเมื่อทุกที่เสี่ยงถูกค้นเจออย่างง่ายดาย งั้นก็เลือกใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าหน้าหนาวแล้วกัน


แต่เมื่อเปิดตู้ออก เจสสิก้าก็เริ่มรู้สึกกลัดกลุ้ม “!!”


เสื้อผ้าหน้าหนาวทั้งหมดใส่ไว้ในถุงสุญญากาศหมดเลย!!


เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า??


หรือว่าการที่เธอจะติดตั้งเครื่องดักฟังอันหนึ่ง ยังจะต้องจัดการแพคห่อสุญญากาศให้กับเสื้อผ้าใหม่…ที่สำคัญก็คือ เครื่องที่ใช้แพคสุญญากาศวางไว้ตรงไหนกัน??


“นี่คืออะไร”


กล่องสี่เหลี่ยมใบหนึ่งในตู้ดึงดูดความสนใจของเจสสิก้าเอาไว้


ข้างในบรรจุเครื่องดนตรีเอาไว้ชิ้นหนึ่ง…แซกโซโฟน


เจสสิก้าลูบเครื่องดนตรีชิ้นนี้อย่างเบามือ สายตาหยุดอยู่ที่ตัวหนังสือที่สลักไว้ข้างบน เพียงแป๊บเดียวก็เหมือนจะลืมไปแล้วว่าตัวเธอเองยังอยู่ในห้องของเป้าหมาย


เธอแค่กำลังมองอย่างเลื่อนลอย พูดพึมพำว่า “เยี่ยเหยียน นายอยู่ที่ไหนกันแน่นะ”




“ต่อจากนี้ เจ้านายคิดจะไปดูคุณเยี่ยหรือเปล่าคะ?” โยวเย่ถามขึ้นทันที


ลั่วชิวครุ่นคิดอยู่สักพักถึงตอบว่า “เธอรอฉันอยู่ที่นี่ ฉันเอาค่าธรรมเนียมครั้งนี้ไปสักการบูชาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


ลั่วชิวปล่อยให้โยวเย่อยู่ที่ห้องโถงของสมาคมชั่วคราว แล้วมาที่ห้องใต้ดินชั้นสามของสมาคมเพียงลำพัง แต่ลั่วชิวก็ไม่ได้จัดการสักการะในทันทีทันใด


เขาเพ่งมองแท่นบูชาที่ทำได้ทุกอย่างอยู่พักใหญ่ ถึงได้ค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น


ขอถาม ‘คุณภาพของวิญญาณเฮยสุ่ยเป็นยังไง’


ตอบ ‘การซื้อข้อมูลนี้จะต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยปี จะซื้อหรือไม่ซื้อ’


ลั่วชิวส่ายหน้า


มูลค่าของข้อมูลนี้แพงจนเขาแอบตกตะลึง แต่นอกเหนือจากอึ้งแล้ว เขาก็รู้สึกปล่อยวางกับเรื่องที่เฮยสุ่ยบอกจะใช้ทุกอย่างมาแลกกับจุดยืนของสมาคมสิบวินาที


แค่ต้องการรู้คุณภาพโดยเนื้อแท้ของวิญญาณนี้ก็ใช้อายุขัยของเขาไปร้อยปีแล้ว…วิญญาณของเฮยสุ่ยมีมูลค่าสูงถึงขนาดไหนกันแน่ ถึงได้สิบวินาทีนี้มา


“สิบวินาทีนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะนำพาอนาคตใหม่มาให้เผ่าปีศาจได้จริงๆ เฮยสุ่ย…”


ลั่วชิวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง


ลั่วชิวเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ข้างหน้าแท่นบูชา แล้วถึงได้หยุดเดิน แล้วแบมือออกมา ตรงกลางฝ่ามือเริ่มมีการ์ดสีทองเงินใบหนึ่งปรากฏออกมาทีละน้อยๆ


นี่เป็นของที่เจอในรูปสลักหินที่อารามเต๋าสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม


การ์ดดำ การ์ดขาวและเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสมาคม


โยวเย่ได้บอกเขาหมดแล้ว ลั่วชิวกลับไม่คิดว่าโยวเย่ยังมีเรื่องปิดบังอีก…ของสิ่งนี้อยู่ในรูปสลักหินนั้น เวลาที่ดำรงอยู่ย่อมยาวนานกว่าโยวเย่ เธอคงจะไม่รู้เหมือนกัน


แต่ของสิ่งนี้เป็นของที่มาจากสมาคมแน่นอน แท่นบูชาต้องรู้แน่ๆ


แต่ตอนที่ลั่วชิวคิดอยากจะไถ่ถามเรื่องการ์ดสีทองเงินประหลาดนี้ แท่นบูชาที่แสนเยือกเย็นและแปลกประหลาดนี้ กลับเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย!


ตามมาด้วยเสียงครืนๆ เบาๆ แท่นบูชาในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีของสีดำๆ ที่เหมือนกับน้ำหมึกทะลักไหลออกมาเหมือนกับน้ำ แต่ถึงขนาดค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมา…


บทที่ 107 กุญแจดอกที่สี่และมังกรตัวสุดท้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ลั่วชิวก็ไม่เคยคิดเลย ว่าแท่นบูชาประหลาดนี่จะสามารถขยับได้


สีดำเหมือนน้ำหมึกนั้น เป็นสสารที่เหมือนกับน้ำแต่ไม่ใช่น้ำ เริ่มเอ่อท้นทะลักขึ้นมาจากแท่นบูชา แต่ยังกระจายตัวออกไปไม่มาก


ในตอนนี้ลั่วชิวถึงกับสัมผัสถึงความรู้สึกหนักอึ้งที่มักจะมาจากแท่นบูชา…เขาแค่รู้สึกสบายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งตอนนี้มันได้ลุกลามมาทั่วร่างกายของเขา


ลั่วชิวเดินเข้าไปใกล้ขอบแท่นบูชาอย่างเผลอตัว


การลอยตัวแบบนี้ใช้เวลาไม่นานเลย บางทีเวลาอาจจะผ่านไปแค่หนึ่งหรือสองนาทีเท่านั้น แม้กระทั่งความสูงที่ลอยขึ้นมาก็ไม่ได้สูง แค่หนึ่งเมตรโดยประมาณ


แต่ในวินาทีนี้ ลั่วชิวถึงได้พบว่า ที่แท้ด้านล่างของแท่นบูชาก็มีเสาขนาดเท่ากันเสาหนึ่งเชื่อมเอาไว้อยู่! พร้อมกันนั้นการ์ดสีทองเงินในมือของลั่วชิวก็ส่องแสงสว่างไสวเด่นชัดกว่าปกติ…เหมือนว่าการ์ดใบนี้อยากหนีออกไปจากเงื้อมมือเขาอย่างไรอย่างนั้น


ลั่วชิวขมวดคิ้ว เขาเริ่มพิจารณาเสาด้านล่างที่เชื่อมกับแท่นบูชานี้


หนึ่ง สอง สาม สี่…เจ็ด


สิ่งที่เขาค้นพบก็คือ ด้านบนของเสาต้นนี้ มีช่องเว้าๆ เจ็ดช่อง ซึ่งขนาดเท่ากับการ์ดทองเงินในมือเขาเอง


ลั่วชิวลองเอาการ์ดเงินทองในมือวางไว้ในช่องเว้าๆ ช่องหนึ่งลวกๆ …ผ่านไปสักพัก แท่นบูชาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรอีก


“ตำแหน่งที่แน่นอนงั้นหรือ” ลั่วชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย และเริ่มลองไล่ดูทีละอัน สุดท้ายเมื่อวางการ์ดที่อยู่ในมือใบนี้เข้าไปในช่องเว้าช่องหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ก็เริ่มปรากฏให้เห็น


การ์ดที่เข้าไปในช่องเริ่มฝังไปในเสา แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน


“กุญแจดอกที่สี่ ใส่สำเร็จ”


และในขณะเดียวกันนั้นเอง ข้อมูลบางอย่างจากแท่นบูชาก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวเขา


ลั่วชิวตะลึงงัน “การ์ดใบนี้คือกุญแจ…กุญแจดอกที่สี่ หมายถึงอะไร?”


“กุญแจดอกที่สี่”


“คืออะไรกันแน่?”


“กุญแจดอกที่สี่”


“กุญแจดอกที่สี่ ความหมายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่”


“กุญแจดอกที่สี่”


ลั่วชิวหยุดการซักถาม ดูแล้วไม่ว่าจะถามมากมายขนาดไหน สุดท้ายคำตอบที่ได้รับก็เป็นเพียงแค่ ‘กุญแจดอกที่สี่’ … ที่สำคัญก็คือ สิ่งที่เรียกว่ากุญแจดอกที่สี่เกี่ยวกับการ์ดสีทองเงินใบนี้ ไม่นึกเลยว่าแม้กระทั่งราคาซื้อข้อมูลก็ไม่มี


มีแค่ ‘นี่คือกุญแจดอกที่สี่’ แบบนี้จะถือว่าเป็นคำตอบก็ไม่ได้


ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่คิดว่าจะแกะการ์ดออกมาจากกลางเสานั้น แท่นบูชากลับค่อยๆ จมดิ่งลงไปใต้พื้นอีกครั้ง…พวกสสารแปลกๆ ที่อยู่ใต้เท้าก็เริ่มทะลักกลับเข้าไป


แต่ตอนนี้แท่นบูชากลับมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด…หรือจะเป็น มีของที่แต่เดิมไม่มีบางอย่างออกมา นั่นก็คือด้านบนของแท่นบูชา ขนาดสูงประมาณหนึ่งฟุต ตอนนี้ค่อยๆ มีวัตถุทรงกลมลูกหนึ่งเกิดขึ้นมาช้าๆ แล้ว


ลั่วชิวลองลูบไปที่วัตถุทรงกลมนี้ ทว่าฝ่ามือของเขากลับผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย…ที่แท้ก็แค่เงาปลอมๆ เงาหนึ่ง แต่เงาปลอมๆ นี้คือ…


“นี่คือ…โลก?”


น่าจะเป็นอย่างนั้น ภาพที่วัตถุทรงกลมนี้แสดงออกมาอย่างชัดเจน และยังมีแผ่นเปลือกโลก ทั้งหมดต่างก็เป็นลักษณะของโลกในปัจจุบัน


เพียงแต่ ‘โลก’ ใบนี้กลับไม่เหมือนกับภาพถ่ายดาวเทียมของโลกที่เขาเคยเห็นมาโดยสิ้นเชิง…แต่เดิมนั้นคงจะเป็นดาวเคราะห์สวยงามที่มีสีฟ้าคราม ทว่าวัตถุทรงกลมที่แท่นบูชาฉายออกมาตอนนี้ กลับแสดงเป็นสีเทามัวสีหนึ่ง


สีเทาขาวแสดงส่วนที่เป็นสีฟ้าของมหาสมุทร บนผืนแผ่นดินทั้งหมดแสดงออกมาเป็นสีน้ำตาล…รู้สึกเหมือนฟิล์มที่ถูกกางเป็นรูปไว้


“โลกใบนี้ แสดงถึงอะไรอีกล่ะ?”


“กรุณาใส่กุญแจเพิ่มเติม”



“ซ่อนไว้”


ลั่วชิวลองพูดแบบนี้กับแท่นบูชา สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ วัตถุทรงกลมที่ฉายออกมาในตอนนี้กลับค่อยๆ หายไป


แล้วตั้งแต่ตอนนี้ แท่นบูชาก็มีฟังก์ชันใหม่ คือฉายวัตถุทรงกลมนี้ออกมาภาพหนึ่ง


“เรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับกุญแจคงจะไม่สามารถหามาด้วยการจ่ายอายุขัยของฉัน…ไม่มีแม้กระทั่งตัวเลือกจ่ายค่าตอบแทนปรากฏขึ้นมา เพื่อถามว่าทำไมกุญแจดอกที่สี่ถึงอยู่ในรูปปั้นหิน หรือว่าต้องรวบรวมกุญแจให้มากขึ้นถึงจะรู้ความหมายที่ซ่อนไว้?”


เขาออกจากใต้ดินชั้นที่สามแล้วค่อยๆ เดินไปยังห้องโถงช้าๆ


ลั่วชิวพลันนึกถึงเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับก้อนหินและพระผู้เป็นเจ้าเรื่องหนึ่ง ‘พระผู้เป็นเจ้าบันดาลได้ทุกสิ่ง จะสร้างก้อนหินก้อนหนึ่งที่พระองค์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้หรือ’


ราวกับว่าหลักการนี้สามารถเอาใช้กับสิ่งที่เขาเพิ่งประสบพบได้ สมาคมที่เลื่องลือว่าอะไรก็มีขายทั้งนั้น กลับมีของที่ขายให้กับเจ้าของร้านคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน


“ไม่…ก็เป็นไปได้ว่าแค่ไม่ขายให้กับฉัน ถ้าหากเป็นลูกค้าล่ะก็ จะสามารถซื้อข้อมูลที่เกี่ยวกับกุญแจได้หรือไม่?” ลั่วชิวอดคิดอย่างนี้ไม่ได้


ถ้าหากว่าสมมติฐานนี้ฟังขึ้นล่ะก็ เช่นนั้นแท่นบูชาก็แค่ไม่เปิดการขายข้อมูลกุญแจให้กับเจ้าของร้านอย่างเขา…อย่างไรเสียเขาในฐานะเจ้าของร้าน ไม่ใช่ลูกค้า เดิมทีก็ไม่เคยบอกไว้ว่าเจ้าของร้านสามารถซื้อของอะไรที่ต้องการจากสมาคมได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าตลอดเวลามานี้ที่เขาใช้อายุขัยมาแลกข่าวและอื่นๆ คงทำให้เขาเข้าใจผิดไปเองว่าตัวเขาเองซื้อได้ทุกอย่างเช่นกัน


“แต่ถ้าหากเป็นลูกค้า…ยังไม่ต้องพูดถึงซื้อข้อมูลหลังรู้เรื่องกุญแจเลย แค่จ่ายค่าตอบแทนอย่างเดียวก็เหมือนว่า…”


เดิมที นอกเหนือจากเขาที่เป็นเจ้าของร้านแล้ว จะยังมีใครสนใจกุญแจนี้อีก…สิ่งที่ลูกค้าต้องการก็คือสิ่งที่พวกเขาเร่งเร้าจะได้มา


ดังนั้น ได้แค่รอกุญแจดอกต่อไปปรากฏขึ้นมางั้นเหรอ?


“นายท่าน?”


ลั่วชิวที่กลับมายังห้องโถงใหญ่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวพลันได้ยินเสียงเรียกของสาวใช้ สาวใช้ที่เชี่ยวชาญเรื่องสังเกตอารมณ์บนสีหน้ามากกว่าตัวเขาเอง ในตอนนี้เหมือนจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้จากสีหน้าสงสัยของลั่วชิว


“ไม่มีอะไร”


ลั่วชิวยิ้มเล็กน้อย แล้วนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ เคาะนิ้วมือกับเคาน์เตอร์เล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้อาหารข้างนอกที่คุณอาเยี่ยให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์โรงแรมซื้อให้คืออะไร?”


โยวเยี่ยตอบอย่างรวดเร็ว “ถ้ามื้อเย็นล่ะก็ น่าจะเป็นบะหมี่ผัดซอสดำ”


ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดออกมาเบาๆ ว่า “บ้านเก่าของคุณอาเยี่ยอยู่ที่เมืองหลวง สมัยก่อนตอนอยู่ที่โรงฝึกเสี่ยวชุน ฉันก็ได้กินบะหมี่ผัดซอสดำที่พี่เสี่ยวชุนทำให้เป็นบางครั้ง…อืม เธอมากับฉัน”


ทันใดนั้นเจ้าของร้านลั่วก็พับแขนเสื้อขึ้นมา เดินไปทางห้องครัว “ฉันน่าจะยังจำได้ว่าทำอย่างไร”




“พี่เฮยสุ่ย ตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”


หลังจากออกจากยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมที่สูงและอันตรายแล้ว เฮยสุ่ยก็กำลังพาเด็กกลุ่มหนึ่งผ่านไปจากกลางป่าเขา


บางทีอาจด้วยออกมาไวเกินไป รีบร้อนเกินไป ปีศาจวัยกระเตาะพวกนี้จึงเริ่มเหนื่อยล้า เฮยสุ่ยทนไม่ได้ จึงได้แต่หาสถานที่ที่มิดชิดสักที่พักผ่อนก่อน


เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งตรงที่ซ่อนตัว เฮยสุ่ยกลับดูต้นทางอยู่ที่ข้างนอกเพียงลำพัง ในตอนนี้ปีศาจกระต่ายน้อยก็หิ้วกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำอันหนึ่งเดินมาข้างกายเฮยสุ่ย “พี่เฮยสุ่ย กินน้ำสักหน่อยสิ!”


“หลิงหลิงเด็กดี”


ในบรรดาปีศาจน้อยกลุ่มนี้ ก็ถือว่าปีศาจกระต่ายน้อยอายุมากที่สุด และก็เป็นตัวที่รู้ความที่สุด เฮยสุ่ยอดทอดถอนใจไม่ได้ ก่อนลูบหัวของหลิงหลิงพร้อมกับพูดว่า “ตลอดเวลามานี้ ลำบากเจ้าแล้วนะ”


หลิงหลิงส่ายหน้า “ไม่เลย เทียบกับข้าแล้ว พี่เฮยสุ่ยถึงเป็นคนที่ลำบากที่สุด…ข้ารู้หมดทุกอย่าง”


มองดูปีศาจกระต่ายน้อยที่กำลังก้มหัวลง ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพูดอะไร แต่เฮยสุ่ยก็รู้แล้วว่า ความจริง หลิงหลิงรู้ทุกอย่างหมดแล้ว เพียงแต่รับหน้าที่เป็นตัวละครพี่สาวของเจ้าพวกนี้อยู่อย่างเงียบๆ


เฮยสุ่ยแอบถอนหายใจ “อาศัยช่วงที่ฟ้ายังไม่มืด พวกเราจะต้องออกจากป่าเขาแห่งนี้ไป ไม่เช่นนั้นรอให้ถึงกลางคืน ไม่รู้ว่าค้างคาวเน่านั่นจะปรากฏตัวออกมาอีกหรือไม่”


หลิงหลิงเอียงคอพร้อมพูดว่า “ถ้าออกมาอีกล่ะก็ คงจะไปที่อารามก่อน?”


“ไปก็ถือว่าสมน้ำหน้านักพรตเน่านั่นแล้ว” เฮยสุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา “ตั้งแต่ที่ข้าออกจากยอดเขาเมื่อครั้งที่แล้ว ค้างคาวเน่านั่นก็ตามข้ามาตลอดทาง มันไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับข้า สิบปีมานี้ก็ได้แต่ดักซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆ มาโดยตลอด…ถ้าหากว่ามันยังกล้ามาที่อารามอีก ก็ให้มันต่อสู้กับนักพรตเน่านั่นสักที”


หลิงหลิงพูดพร้อมแววตาเป็นประกาย “แล้วพวกเราก็จะได้กลับไปใช่ไหม?”


แต่เฮยสุ่ยกลับส่ายหน้า “นักพรตนั่นหลบหนีเก่งมาก ถ้าหากเขาหนีไปแล้ว พวกเราก็จะเป็นอันตราย…อย่างไรก็ตามที่นี่อยู่ไม่ได้แล้ว”


แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมนักพรตเน่าหนีไปแล้ว พวกเขากลับจะแย่ยิ่งกว่าเดิม แต่ในใจของปีศาจกระต่ายน้อย ก็คิดว่าคำพูดของพี่เฮยสุ่ยที่ปกป้องตัวเธอเองมาโดยตลอด จะต้องไม่ผิดแน่นอน


เพียงแต่กระต่ายน้อยเงยหน้าขึ้นมามองดูถ้วนทั่ว ก่อนเผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ “แต่พวกเราควรจะไปที่ไหนกัน…”


ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่นี้ ชั่วครู่หนึ่งก็เหมือนจะไม่มีที่ให้พวกมันซุกหัวนอน


เฮยสุ่ยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนค่อยๆ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่มีทางเลือกแล้ว ดูเหมือนจำเป็นต้องไปขอร้องผู้อาวุโสท่านหนึ่งแล้ว”


“ผู้อาวุโสคนไหนเหรอ?”


เฮยสุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นผู้อาวุโสสายเลือดมังกรบริสุทธิ์คนสุดท้ายของเผ่าปีศาจพวกเรา”


บทที่ 108 ผู้ที่ประสบความสำเร็จเพียงหนึ่งเดียว

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ร่างกายที่หายเป็นปกติแล้วทำให้เยี่ยเหยียนประหลาดใจเล็กน้อย ในโลกที่เขาอยู่ก็ถือว่าเป็นคนพเนจรคนหนึ่งไปแล้ว คนกำลังเร่ร่อนพเนจรจะให้ไม่พกมีดติดตัวได้อย่างไรกัน ตั้งแต่วันนั้นที่เข้าสู่เส้นทางนี้ก็รู้ได้อย่างชัดเจน


เยี่ยเหยียนที่เคยเรียนความรู้ทางการแพทย์มาบ้าง ย่อมเข้าใจอาการบาดเจ็บของตนเองก่อนหน้านี้ได้ไม่มากก็น้อยว่าหนักหนาแค่ไหนกันแน่ อย่าว่าแต่หนึ่งสัปดาห์เลย ขนาดให้เวลาเขาสามสัปดาห์ก็อาจจะหายดีจนถึงระดับนี้ไม่ได้


เยี่ยเหยียนที่เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าพลันอารมณ์ดีขึ้น เขายื่นมือไปแตะที่หน้าตนเองสักเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ ที่หน้ากระจกแล้วพูดขึ้น “ดูท่าแกจะโชคดีใช่ย่อยเลยนะ”


หลังจากร่างกายกลับมาดีขึ้น สิ่งที่ตามมาย่อมเป็นอาหารมื้อใหญ่


แต่พอเขากินอาหารที่ฝากเคาน์เตอร์โรงแรมซื้อมาแค่คำเดียวก็หยุดกิน ตอนที่เขาเพิ่งจบออกจากโรงเรียนมา ก็ถูกจัดให้ไปทำงานไกลบ้านเกิด เรียกได้ว่ากินอยู่อย่างไม่สบายใจนัก มีเพียงบะหมี่ผัดซอสที่โรงฝึกเสี่ยวชุนทำขึ้นมาเป็นพิเศษชามเดียวเท่านั้น ที่พอจะทำให้เขารู้สึกอิ่มไปมื้อหนึ่งได้เสมอ


รสชาตินี้ไม่เพียงแต่กระตุ้นปุ่มรับรสชาติของเขา แต่ถึงขนาดไปสะกิดความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในใจเขามานานแสนนาน


เยี่ยเหยียนเปิดประตูห้องทันที เดินมาถึงเคาน์เตอร์โรงแรม มองเจ้าของโรงแรมแล้วถามขึ้น “เถ้าแก่ครับ คุณสั่งอาหารนี่มาจากที่ไหนครับ?”


เจ้าของอายุสามสิบสี่สิบปีคาบบุหรี่มวนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมาถาม “ทำไม ก็ร้านบะหมี่ที่หน้าปากซอย ไม่อร่อยเหรอ?”


“เปิดมานานแล้วหรือยังครับ?”


“สิบกว่าปีได้แล้วมั้ง?” เจ้าของตอบตามที่คิด “ถ้าคุณไม่ชอบ ผมให้พวกเขาทำส่งมาให้คุณใหม่อีกชุดหนึ่งก็ได้ อย่างไรเสียก็เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ พูดกันได้อยู่แล้ว”


เยี่ยเหยียนส่ายหัว บอกว่าไม่เป็นไร ฉับพลันก็นึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ เถ้าแก่ วันนี้มีจดหมายส่งมาให้ผมหรือเปล่า?”


“ไม่มี” เจ้าของร้านมองลูกค้าคนนี้แปลกๆ แวบหนึ่ง


นี่มันยุคไหนกันแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังมีคนรับจดหมายลงทะเบียนอะไรพวกนี้อีก


แน่นอนว่าเขาคงไม่ถาม เดิมทีโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ใช่กิจการถูกกฎหมาย ใครมาแล้วจ่ายเงินก็เข้าอยู่ได้ แค่ไม่ก่อเรื่องก็พอ


“ถ้ามี รบกวนแจ้งผมหน่อยนะครับ”


เยี่ยเหยียนกลับห้องไปเพียงลำพัง นั่งลงตรงหน้าโต๊ะ เขากินอย่างช้าๆ บะหมี่แต่ละเส้นๆ ก็ยังต้องอาศัยเวลาเคี้ยวอยู่นานกว่าจะกลืนลงไปได้


กลืนความอ้างว้างและความลังเลในที่แห่งนี้ลงไป กลืนความไม่แน่ใจและโชคชะตาที่อันตราย กลืนความทรงจำที่เคยมีความสุข



ไม่อาจปฏิเสธได้ ยังมีคนที่เข้มแข็งอย่างมากประเภทหนึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและสิ้นหวังมากเพียงใด ในหัวใจก็ไม่เคยสิ้นหวัง


คนประเภทนี้ถึงตายก็ไม่มีวันเสียใจ เพราะถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความตาย ก็มีความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสีหน้าที่สงบเยือกเย็น ดังนั้นพวกเขาจึงมีปณิธานที่เด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง


ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้ หรือว่าสิ่งที่เคยรู้จัก ลั่วชิวก็คิดว่าเยี่ยเหยียนก็คือคนที่จัดอยู่ในประเภทนี้


โยวเย่เป็นสาวใช้ที่ใกล้ชิดรู้ใจมากคนหนึ่ง มุมหนึ่งก็รู้ว่าเจ้านายใหม่ของตนเองจะต้องยื่นมือเข้าช่วยอยู่เบื้องหลังโดยไม่มีเงื่อนไข แต่อีกมุมหนึ่งก็รู้ว่าหากเยี่ยเหยียนกลายเป็นลูกค้า ก็น่าจะเป็นลูกค้าที่จัดอยู่ในประเภทเชิญชวนได้ยากที่สุดแน่…ถึงแม้ว่าลูกค้าแบบนี้จะมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่ล้ำค่าอย่างยิ่งก็ตาม


แต่เธอก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ต่อหน้าลั่วชิว


“นายท่านคะ หาตำแหน่งของคิงคองพบแล้วค่ะ เพียงแต่ไม่เจอสินค้าที่สโมสรไมเคิลไซ่อนเอาไว้ค่ะ คิงคองระมัดระวังตัวมาก ช่วงนี้เอาแต่หลบซ่อนตัวตลอด และสืบหาที่ซ่อนตัวของคุณเยี่ยค่ะ”


“ไม่ต้องหาหรอก ฉันรู้ว่าสินค้าซ่อนอยู่ที่ไหน” ลั่วชิวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปข้างนอกสักรอบ ก็ได้กำไรกลับมาบ้างแล้ว ข้อมูลนี้ไม่ได้แพงอะไร”


ลั่วชิวไม่ได้รีบร้อน ตอนนี้สิ่งที่เยี่ยเหยียนต้องการมีเพียงแค่รักษาบาดแผลให้เต็มที่เท่านั้น


“เธออยู่ที่นี่ฉันก็สบายใจ” ลั่วชิวมองโยวเย่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และมองไท่อินจื่อที่สั่งให้มาก่อนหน้านี้ แล้วพูดขึ้น “นายกลับไปกับฉัน ฉันมีเรื่องบางอย่างจะถามนาย”


ตัวไท่อินจื่อจะกล้าปฏิเสธที่ไหนกัน? นับตั้งแต่ถูกหลงซีรั่วตามมาทำร้ายถึงหน้าประตูสมาคมครั้งที่แล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านแล้ว


เจ้านายหนึ่งบริวารอีกหนึ่งก็กลับมาถึงสมาคมอย่างรวดเร็ว


ไท่อินจื่อเข้าใจดีว่า บริวารอย่างเขาไม่อาจให้เจ้านายเอ่ยปากก่อน ดังนั้นพอลั่วชิวเพิ่งนั่งลงแล้ว ไท่อินจื่อก็รีบพูดด้วยความเคารพทันที “นายท่านขอรับ ไม่ทราบว่าท่านคิดจะถามข้าเรื่องใด?”


“อืม”


ลั่วชิวพยักหน้า “เล่าเรื่องพวกอาจารย์สำนักของนายให้ฟังหน่อย อีกอย่างรูปสลักหินที่เซ่นไหว้บูชาอยู่ที่วิหารด้านหลังอารามเต๋าสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม ใช่ผู้ก่อตั้งอารามเต๋าหรือเปล่า?”


“นายท่านทราบขนาดนี้…” ไท่อินจื่อนิ่งอึ้ง แต่ก็กลับมานึกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสำหรับเจ้าของสมาคมที่ลึกลับยากคาดเดาได้นี้ ถ้าหากเรื่องเล็กแค่นี้ก็ยังไม่รู้ ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล “เล่ากันว่าบรรพบุรุษของสำนักนี้เป็นบุคคลในสมัยซางหวงอู่ตี้*”


ไท่อินจื่อเริ่มหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาเคยบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรม “ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณของสำนัก บรรพจารย์ในวัยเยาว์เคยได้รับการอบรมจากผู้อื่น จึงเข้าใจวิถีของการบำเพ็ญเพียรเบื้องต้น ต่อมาได้ฝึกฝนขัดเกลาหลายครั้งจนก่อตั้งสำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมขึ้น แล้วก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน”


สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน พอพูดถึงตรงนี้ ไท่อินจื่อก็มีสีหน้าสับสน “พวกเราลูกศิษย์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงและอำนาจมากมายในบรรดาสำนักทั้งหลาย แต่กลับเป็นหนึ่งในสำนักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากที่สุดสำนักหนึ่ง ถึงแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้จะมีจำนวนสมาชิกน้อยนิด แต่เรื่องที่เหลืออาจารย์ศิษย์เพียงสองคนแบบตอนนี้ก็ไม่เคยเกิดมาก่อน”


และไม่ได้พูดรวมถึงฉินชูอวี่…ดูท่าในใจของไท่อินจื่อคงไม่เคยมองฉินชูอวี่เป็นคนในสำนักของตนเลย


ลั่วชิวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็พูดขึ้น “ ‘คัมภีร์จักรพรรดิหยกขั้นสูง’ ชาติแล้วชาติเล่า เวียนว่ายตายเกิด นายคิดว่าบรรพจารย์ของนายที่เป็นผู้ก่อตั้งจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”


ไท่อินจื่อกลับนิ่งอึ้ง แล้วก็ขมวดคิ้ว ไท่อินจื่อทำพฤติกรรมที่น่าขัน แต่ว่าก็เพื่อให้เจ้าของร้านสบายใจไม่ตื่นตระหนก นี่เพราะช่วงเวลาตั้งแต่เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคม เขาก็ถูกสาวใช้สั่งสอนไปหลายรอบแล้ว ถึงได้หัวอ่อนลงไปไม่น้อย


เขาครุ่นคิดรอบคอบแล้วจึงพูดขึ้น “นายท่านคิดว่า ขนาดนางแพศยาอวี๋ซานเหนียงยังฝึกคัมภีร์นั่นสำเร็จ เช่นนั้นบรรพจารย์ที่ก่อตั้งสำนักก็ไม่น่าจะล้มเหลวมิใช่หรือขอรับ?”


“หรือว่าไม่ใช่เหตุผลเช่นนี้?”


ไท่อินจื่อถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ตอนนั้นข้าน้อยก็เคยคิดเช่นนี้ แต่อันที่จริงบรรพจารย์ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว คัมภีร์โบราณของสำนักเคยมีบันทึกไว้ บรรพจารย์สิ้นลมในท่านั่งสมาธิโดยศิษย์รุ่นที่สองเป็นพยานเห็นเองกับตา รูปสลักหินที่เซ่นไหว้อยู่ในอารามเต๋านั้น อันที่จริงก็เป็นรูปสลักที่คนรุ่นหลังสร้างขึ้นเองกับมือจากลักษณะตอนที่บรรพจารย์สิ้นลมไปในท่านั่งสมาธิ อืม…พูดแล้วก็น่าขายหน้านัก จากบรรพจารย์สำนักยอดเซียนผดุงคุณธรรมจนมาถึงรุ่นของข้า ก็มีเพียงนางแพศยาอวี๋ซานเหนียงที่สำเร็จถึงขั้นมีชีวิตยืนยาว ห้าร้อยปีนี้ที่ข้าน้อยถูกจองจำก็ไม่ทราบเรื่องเลย แต่ตอนนี้เจอเรื่องของหยางไท่จื่อ คิดแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”


แทนที่จะบอกว่าเป็นศิษย์ เรียกว่าเป็นศิษย์ที่เปลี่ยนร่างจากปีศาจมาเป็นมนุษย์ แล้วฝึกจนถึงแก่นแท้ของคัมภีร์สำเร็จดีกว่า


ไม่รู้ว่าไท่อินจื่อรู้สถานะที่แท้จริงของอวี๋ซานเหนียงหรือไม่


ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง เกรงว่าไท่อินจื่อจะไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาจะไม่ได้เรียกแค่นางแพศยา


หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็พูดขึ้น “บรรพจารย์ของพวกนายชื่ออะไร?”


“ชื่อเดิมนั้นไม่ได้มีบันทึกเอาไว้ขอรับ” ไท่อินจื่อส่ายหน้าตอบ “ในฐานะศิษย์รุ่นหลัง ข้าน้อยทราบเพียงแต่ชื่อในนามของนักพรตคือ ‘เซียนเสวียน’ ”


“อืม…” ลั่วชิวหลับตา ราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ ไท่อินจื่อไม่กล้ารบกวน และได้แต่รอคอยอยู่เงียบๆ


จะว่าไปแล้วการรับใช้ข้างกายนายท่านไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ฉับพลันไท่อินจื่อก็รู้สึกว่าสาวใช้ของสมาคมมากความสามารถจริงๆ


เขาเกิดกลัวว่าตนเองอาจจะทำให้เจ้าของสมาคมไม่พอใจเอาได้ แต่สาวใช้กลับดูแลรับใช้อย่างตั้งอกตั้งใจเท่านั้น…น่าจะเป็นจุดที่แตกต่างกันล่ะมั้ง


“นายไปเตรียมตัวสักหน่อย” ทันใดนั้นลั่วชิวก็ลืมตาขึ้นพูด “มีลูกค้ามาแล้ว โยวเย่ไม่อยู่ นายไปชงชามาเสิร์ฟแทนเธอแล้วกัน”


ไท่อินจื่อรีบพยักหน้า เรื่องชงชาเขาคนนี้ชำนาญนัก! เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยแท้เลยนะ!!


ผีเฒ่าห้าร้อยปีลอยเข้าไปด้วยความดีใจ


แต่ว่าพอเดินเข้าไปในสถานที่ชงชา ผู้เชี่ยวชาญการชงชาท่านนี้ก็มองค้างอย่างตกตะลึง!


เทียนไขพวกนี้มันอะไรกันเนี่ย? ชาที่ชงออกมาจากกาน้ำชาแบบแก้วจะมีรสชาติที่ไหนกันล่ะ?


อย่างน้อยก็ต้องเป็นกาน้ำชาดินเผา…กาน้ำชาล่ะ? แก้วชาล่ะ?


ใบชา…นี่มันใบชาอะไรกันเนี่ย? ข้าน้อยต้องการใบชาหลงจิ่งที่เก็บก่อนหน้าฝนนะ! ชาปี้ลั่วชุนแห่งทะเลสาบต้งถิงล่ะ? ขนาดชาอู่อี๋เหยียนก็ไม่มีเลย ทนได้ไง??


นายท่านแห่งสมาคมที่สง่าผ่าเผย เพราะเหตุใดขนาดอุปกรณ์ชงชาชั้นเลิศสักชุดก็ยังไม่มี!


สมควรตาย ขนาดน้ำก็ยังไม่มี! คนที่ทำหน้าที่สาวใช้คนนี้ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!



ทว่าเจ้าของร้านลั่วที่เตรียมพร้อมแล้วนั้นก็มองเห็นลูกค้าที่มาใหม่…สำหรับสมาคมแล้วเป็นลูกค้าใหม่ แต่สำหรับลั่วชิวแล้วกลับไม่ใช่คนแปลกหน้าสักเท่าไหร่


คนที่อาศัยอยู่บนตึกเดียวกับเขาในตอนนี้…คุณเจสสิก้า


*ซางหวงอู่ตี้ เป็นกลุ่มผู้วิเศษที่คิดค้นสิ่งต่างๆ ตั้งรากฐานและปกครองจีนในยุคโบราณ จีนโบราณช่วงประมาณ 2852 ก่อนคริสตกาลถึง 2070 ปีก่อนคริสตกาล ตามความเชื่อ ราชาทั้งสามเป็นกึ่งเทวะซึ่งใช้อำนาจสร้างสรรค์มนุษยชาติและถ่ายทอดความรู้ความสามารถ ส่วนจักรพรรดิทั้งห้าเป็นปรัชญาเมธีซึ่งทรงคุณธรรมล้ำเลิศ


บทที่ 109 คนใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

สามปีก่อน เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส


“อะไร? คู่หูใหม่?”


“ใช่แล้ว คู่หูใหม่จากประเทศจีน เอกสารชุดนี้เป็นข้อมูลของเขา เธออ่านให้ดีๆ ล่ะ อีกอย่างพรุ่งนี้เขาก็จะมาถึงแล้ว เธอไปรับเขาที่สนามบิน แล้วก็พาเขามารายงานตัวที่นี่”


เจสสิก้ากลับคัดค้านหัวหน้าของตนเองด้วยการขมวดคิ้ว แถมยังซักถาม “ทำไมต้องจัดหาคู่หูใหม่ให้ฉันด้วย ตอนนี้ฉันก็มีคู่หูอยู่แล้ว”


“แจ็คอายุมากแล้ว” หัวหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สองเดือนก่อนเขาก็ยื่นเรื่องย้ายมาทำงานเอกสาร เพิ่งจะได้รับอนุมัติมานี่เอง เธอไม่มีคู่หูแล้ว แต่จะหามาทดแทนให้เธอทันที แม้ว่าเป็นแค่คู่หูใหม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอมีความสามารถนำคู่หูใหม่ได้ เจสสิก้า นี่ก็ถือว่าเป็นการทดสอบเธออย่างหนึ่ง นอกเสียจากว่าเธอจะไม่มั่นใจความสามารถของตัวเอง”


เจสสิก้ามองหัวหน้าแวบหนึ่ง สองมือค้ำไว้บนโต๊ะ กะพริบตาปริบๆ “ฉันแค่หวังว่าคู่หูใหม่คนนี้จะทนได้ถึงหนึ่งสัปดาห์นะ”


“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”



เยี่ยเหยียน สามสิบห้าปี สถานที่เกิด ประเทศจีน มีประสบการณ์ตำรวจอาชญากรรมในประเทศสิบปี


ในสนามบิน เจสสิก้ากำลังมองหาตัวคู่หูใหม่คนนั้นตรงประตูทางออก เจสสิก้ามั่นใจกับความจำของตัวเองมาก ยิ่งไปกว่านั้น การมองหาเป้าหมายท่ามกลางฝูงชนก็ถือว่าเป็นการฝึกฝนสายตาอย่างหนึ่ง


แม้จะพูดเช่นนี้ เจสสิก้ายังรู้สึกว่าให้ตนเองมาชี้แนะคนใหม่แบบนี้ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง


เพราะว่าเยี่ยเหยียนคนนี้หากพูดถึงอายุอย่างเดียวล่ะก็ อายุมากกว่าเธอแปดปีเลยนะ


อาจจะเกิดช่องว่างระหว่างวัยก็ได้ อีกอย่างยังมาจากบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันด้วย การทำงานร่วมนี้เกรงว่าจะเกิดอุปสรรคมากขึ้น อย่างไรเจสสิก้าก็แทบจะไม่เคยสัมผัสกับวัฒนธรรมตะวันออกเลย…เธอถึงกับกังวลว่าการสื่อสารระหว่างกันจะเกิดปัญหาหรือไม่


แต่ก็ผ่านการตรวจสอบจากทางลียงมาแล้ว ความสามารถด้านภาษาก็มีอยู่ในเงื่อนไขด้วย…อืม หาเจอแล้ว


ด้วยการมองเห็นที่โดดเด่นทำให้เจสสิก้ามองเห็นคนที่ตามหาตรงประตูทางออกได้อย่างรวดเร็ว


สวมเสื้อคลุมยาวสีดำสบายๆ ตัวหนึ่ง บนใบหน้ามีหนวดเครารุงรัง ชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกห่อเหี่ยว อีกทั้งแค่หิ้วถุงสัมภาระใบเล็กๆ มาใบหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าจะใส่เสื้อผ้าไว้เพียงชุดสองชุดเท่านั้น


ตอนที่เจสสิก้ากำลังคิดจะชูป้ายในมือขึ้น กลับเห็นเยี่ยเหยียนเปลี่ยนเส้นทางทันที ไปหลบอยู่ด้านหลังนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ราวกับว่าจงใจหลบให้พ้นสายตาอย่างไรอย่างนั้น


นี่คือทักษะการสะกดรอยที่ใช้กันบ่อยๆ …ราวกับว่าเขากำลังสะกดรอยตามใครอยู่ ด้วยความอยากรู้ เจสสิก้าจึงลดป้ายที่เขียนชื่อเยี่ยเหยียนลง แล้วคิดจะลองดูว่า ‘คนใหม่’ จากฝั่งตะวันออกคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ คนที่สะกดรอยตามเป็นใครกัน


ไม่นานนัก เจสสิก้าแทบจะระบุเป้าหมายที่เยี่ยเหยียนสะกดรอยตามได้ทันที น่าจะเป็นชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งที่โดยสารเครื่องเที่ยวเดียวกับเขา


ก็แบบนี้แหละ เจสสิก้าไม่รู้จักเยี่ยเหยียน แต่ก็สะกดรอยตามอยู่ข้างหลังเยี่ยเหยียนเหมือนกัน แต่เขากลับสะกดรอยตามชายหนุ่มผิวขาวคนนี้ จึงกลายเป็นการสะกดรอยกันที่แปลกๆ


เจสสิก้าสะกดรอยตามไป พลางประเมินคู่หูใหม่คนนี้อยู่เงียบๆ ทักษะการสะกดรอยนับว่าใช้ได้เลย แต่กลับขาดความระวังตัว


ไม่นานนัก เยี่ยเหยียนก็ตามชายหนุ่มผิวขาวคนนี้เลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง เจสสิก้าขมวดคิ้ว หลังจากรอไปไม่กี่วินาที เธอก็เดินตามเข้าไปอย่างแนบเนียน แต่ตอนที่เธอหายไปจากสายตาเข้าไปในซอยเล็กๆ นี้ กลับพบว่าเยี่ยเหยียนกับหนุ่มผิวขาวนั่นไม่อยู่ในซอยเล็กๆ นี้เสียแล้ว


เจสสิก้าเผลอมองขึ้นไปด้านบน บางทีอาจจะแค่ปีนบันไดขึ้นไปที่ไหน ทว่าในชั่ววินาทีที่เธอเงยหน้าขึ้น กลับมองเห็นใครคนหนึ่งตกลงมาจากข้างบน


เจสสิก้าถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ นี่เห็นชัดๆ ว่าเป็นเยี่ยเหยียนนี่เอง…รู้ตัวว่าถูกสะกดรอยตามแล้วเหรอ?


“เธอ…”


เจสสิก้ายังไม่ทันได้พูดอะไร ชายที่ล้มลงตรงหน้าคนนี้หลังจากม้วนตัวอย่างสวยงามแล้ว ก็ยืนขึ้นบนพื้นอย่างมั่นคง และไม่ทักทายใดๆ แต่ทว่ากลับเดินเข้ามาใกล้เธอโต้งๆ


เยี่ยเหยียนกำหมัดแน่น ฉับพลันเจสสิก้าก็ตื่นตัวตามสัญชาตญาณ


ลงมือแล้ว!


หมัดพุ่งไปอย่างอิสระ เจสสิก้าไม่ทันคิดให้ละเอียดว่าทำไมจู่ๆ เยี่ยเหยียนถึงได้ลงมือใส่ตนเอง…บางทีเป็นเพราะรู้ตัวว่าเธอสะกดรอยตามมา จะว่าไปเธอก็ยังไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นใครเลย


เธอก็แค่อยากจะลองทดสอบ ‘คู่หูใหม่’ คนนี้ให้เต็มที่สักหน่อยว่าฝีมือเป็นอย่างไรบ้าง ปัดป้องตั้งรับได้อย่างรวดเร็วมาก


ไม่นึกว่าจะเหมือนเจอเงาวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น เจสสิก้าแค่รู้สึกได้ว่าพลังมหาศาลที่พุ่งมาทำร้ายเธอนั้น ทำให้ร่างของเธอลอยกระเด็นออกไปทันที กระแทกไปบนกำแพงเข้าอย่างจัง


มองดูท่าทางแปลกๆ ของมือและขาทั้งสองข้างของเยี่ยเหยียนในตอนนี้ และระดับพลังโจมตีมหาศาล ทำเอาเจสสิก้าวิงเวียนไปเลยทีเดียว


เธอไม่รู้ว่าที่มากระแทกเธอนี้มีที่มาจากท่า ‘ประชิดตัว’ ในวรยุทธ์กังฟูชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘มวยแปดปรมัตถ์’ พลังน่าอัศจรรย์หรือเปล่า!


เจสสิก้ารู้สึกอยากอาเจียน แต่ทันใดนั้น เยี่ยเหยีนก็ยื่นมือมาบีบคางของเธออย่างรวดเร็ว กรามคางของเธอก็ถูกดึงลงในทันใด สูญเสียความสามารถในการพูดไปในชั่วพริบตา


นี่มันอันตรายมากแล้วนะ!


เจสสิก้ายื่นมือไปบริเวณเอวของตนเองตามสัญชาตญาณ แต่การกระทำเช่นนี้ไม่อาจรอดพ้นสายตาเยี่ยเหยียนไปได้ ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าเจสสิก้า เยี่ยเหยียนกดแขนของเธอไปบนกำแพง และฉวยโอกาสล้วงหยิบปืนพกที่เธอซ่อนไว้ที่เอว แล้วพลิกปืนจ่อไปที่หน้าผากของเธอ


พูดภาษาอังกฤษด้วยความคล่องแคล่ว “คุณผู้หญิง ทางที่ดีคุณอย่าขยับดีกว่า หันหลังกลับไปได้ไหม?”


เจสสิก้าได้แต่ยอมรับความอัปยศนี้เงียบๆ หมุนตัวหันหลังไป ตอนนี้เอง เยี่ยเหยียนก็เริ่มค้นตัวเธอ ไม่นานนักก็พบบัตรประจำตัวของเจสสิก้าจากชุดของเธอ


เจสสิก้านึกว่าตอนที่เยี่ยเหยียนเห็นบัตรประจำตัวจะต้องนึกเสียใจ แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นแล้ว!


เยี่ยเหยียนแค่ผิวปากอย่างสบายอารมณ์ “เป็นคุณผู้หญิงตำรวจอาชญากรรมจริงๆ ด้วยสิ…ที่ซ่อนอยู่ตรงนั้น นายออกมาได้แล้ว”


เจสสิก้าที่รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ มองแวบหนึ่ง น้องชายที่ซ่อนตัวอยู่คนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหนุ่มผิวขาวคนนั้นที่เยี่ยเหยียนสะกดรอยตามอยู่ตอนแรก


หนุ่มคนนั้นยักไหล่ ไม่พูดอะไรก็เดินไปข้างๆ เยี่ยเหยียน ใช้มือข้างที่คลุมผ้าเช็ดหน้าอยู่หยิบปืนพกของเจสสิก้ามาจากมือของเยี่ยเหยียน แล้วจ่อไปที่เจสสิก้าอีกครั้ง


หลังของเจสสิก้าเริ่มมีเหงื่อแตกพลั่ก!


ได้ยินแค่หนุ่มผิวขาวคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถึงจะเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ปรานีผู้หญิง ตอนแรกผมไม่เชื่อที่พี่ชายคนนี้บอกว่าถูกตำรวจชั่วๆ อย่างพวกคุณสะกดรอยตาม! เพิ่งลงจากเครื่อง ซวยจริงๆ เลย!”


มองดูท่าทางที่หนุ่มผิวขาวคนนี้ใช้ถุงสัมภาระห่อคลุมปากกระบอกปืนไว้ เจสสิก้าก็รู้แล้วว่าต้องซวยแน่ๆ หนุ่มผิวขาวคนนี้คิดจะกำจัดเธอทิ้งที่นี่ให้สิ้นซาก!


นี่ไม่ใช่เยี่ยเหยียน? หรือว่าฉันมองคนผิดไปแล้ว? นึกย้อนกลับไปอีกครั้ง เจสสิก้าเริ่มสงสัยว่าตัวเองจำลักษณะเยี่ยเหยียนที่แปะอยู่บนข้อมูลนั้นผิดหรือเปล่า


เจสสิก้าไม่อาจนั่งรอความตายเฉยๆ ได้ เธอสงบใจลงอย่างยิ่ง


แต่ก็ในตอนนั้นเอง เยี่ยเหยียนก็คว้าแขนของหนุ่มผิวขาวคนนี้ไว้ แล้วกดลงไปพร้อมบอกว่า “น้องชาย หากนายลงมือที่นี่ ต่อไปพวกเราจะลำบากมากแน่ อีกอย่างนี่ก็เป็นสำนักงานใหญ่อาชญากรรมข้ามชาติ…ฉันไม่อยากต้องหลบซ่อน ดื่มเหล้าเคล้านารีไม่ได้เพียงเพราะความสนุกของนายหรอกนะ”


หนุ่มผิวขาวขมวดคิ้ว ราวกับเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย “งั้นนายคิดจะจัดการยังไง?”


เยี่ยเหยียนหัวเราะทันที แล้วใช้มือกดแรงๆ ไปที่ต้นคอของเจสสิก้าและข้อมือข้างซ้ายของเธอ แล้วเจสสิก้าก็สลบไปโดยไม่รู้ตัวทันที


“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นี่ก็เป็นโล่ป้องกันตัวได้ดีไม่ใช่เหรอ? ได้ยินว่าต่างประเทศต่างก็พูดถึงมนุษยธรรมกันหนาหูนี่”


“ฮ่าๆๆ! ความคิดของพี่ใหญ่ไม่เลวเลย ผมชอบ!” หนุ่มผิวขาวหัวเราะลั่นพร้อมพูดขึ้น “ผมก็ไม่เคยเล่นกับตำรวจสาวเลยสักคน! มา ผมจะพาพี่ไปพบลูกพี่ของผม!”


“Thanks (ขอบคุณ)”


บทที่ 110 ส่งด่วนระดับเทพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่เจสสิก้าฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องที่ถือว่ามืดห้องหนึ่ง สองมือถูกมัดไว้กับเก้าอี้ ปากก็ถูกผ้ามัดปิดไว้


แม้ว่าตำรวจอาชกรรมสาวจะหวาดกลัว แต่กลับไม่ลนลานและพยายามคิดวิธีหลบหนีออกไปจากอันตราย


ในขณะนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงต่อสู้กันดังขึ้น ถึงขนาดมีเสียงยิงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัด เกรงว่าคงมีใครบางคนกำลังต่อสู้อย่างไม่กลัวตายอยู่


เจสสิก้าไม่รู้ว่าตัวเองสลบอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ด้านนอกมีเหตุการณ์ยิงปะทะกันแล้ว…บางทีหลังจากที่คนของสำนักงานใหญ่รู้เรื่องแล้วคงรีบมาช่วยเหลือ?


ขณะที่กำลังคิดเอาเองอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดออกทันใด บดบังแสงที่สาดเข้ามา เจสสิก้ามองเห็นตัวต้นเหตุที่จับเธอมาที่นี่แล้ว


เยี่ยเหยียน!


เห็นแค่เขาผิวปาก หลังจากมองพิจารณาเจสสิก้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็ควงมีดเล็กเล่มหนึ่งไปมาระหว่างปลายนิ้วราวกับผีเสื้อโบยบิน จากนั้นก็ตวัดพุ่งไปทางเจสสิก้า


แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากมีดเล่มนั้น ทว่าความอึดอัดของเชือกที่มัดตัวเธอไว้แน่นกลับหายไปในชั่วพริบตา เจสสิก้านิ่งอึ้ง ในช่วงวินาทีที่เชือกคลายตัวออกไปหมดนั้น ก็เปลี่ยนเกมอย่างฉับพลัน เธอแย่งมีดเล่มเล็กไปอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า แล้วตวัดวาดมีดไปตามแนวขวาง


เยี่ยเหยียนก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว เจสสิก้ายังจู่โจมต่อเนื่อง


ทันใดนั้นเยี่ยเหยียนก็ยกมือสองข้างขึ้น “ใจเย็นๆ ก่อนครับ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ถ้าไม่เชื่อ ฉันคืนปืนให้เธอก็ได้ อีกอย่างมีดก็อยู่ในมือเธอ…เธอลองดูด้านนอกสิ”


เยี่ยเหยียนถึงกับยื่นปืนพกในมือส่งให้เจสสิก้า เป็นการแสดงความจริงใจของตนเอง เจสสิก้าจ้องเยี่ยเหยียนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งพักหนึ่ง ถึงได้ยื่นมือออกไปยึดปืนพกมาด้วยความระมัดระวังตัวสุดๆ และจ่อปืนไปทางอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้ เยี่ยเหยียนก็ยกมือสองข้างค้างไว้ตลอด ตอนนี้เขาเอียงหัว บอกใบ้ให้เจสสิก้าให้ลองไปดูเหตุการณ์ข้างนอกห้องดูก็ได้


“ทางที่ดีนายอย่าเล่นตุกติกดีกว่า” เจสสิก้าพูดเสียงเข้ม ขยับไปตรงหน้าประตูทีละก้าวทีละก้าว


ที่นี่คงจะเป็นบาร์ใต้ดินแห่งหนึ่ง ตอนที่เดินเข้าไปใกล้หน้าประตูแล้ว เจสสิก้าก็งุนงง ด้วยพบว่าชายร่างกำยำหลายคนนอนสลบอยู่ที่นี่ “เกิด…อะไรขึ้นกันแน่”



“ขอโทษด้วย ไม่ได้คิดจะดึงเธอเข้ามาพัวพันด้วยเลยจริงๆ แต่ถือว่าเป็นส่วนที่เหลือจากงานที่ฉันทำก่อนหน้านี้แล้วกัน” เยี่ยเหยียนกำลังหาของอะไรบางอย่างบนเคาน์เตอร์บาร์ “เอ่อ…นี่คืนให้เธอ”


ในชั่วพริบตานั้น ถุงเล็กๆ ใบหนึ่งก็โยนลงมาตรงหน้าเจสสิก้า พอเปิดออกดู สิ่งที่อยู่ข้างในก็คือบัตรประจำตัว กระเป๋าเงิน และยังมีปืนพกของสำนักงานใหญ่


“ก่อนมารายงานตัวทางนี้ ฉันได้รับแจ้งเรื่องคดีค้าเครื่องเคลือบลายครามผิดกฎหมายในประเทศฉันอยู่ อันที่จริงคดีนี้น่าจะส่งต่อให้เพื่อนร่วมงานในหน่วยก่อนหน้านี้ แต่พอฉันขึ้นเครื่องในประเทศ ก็พบคนที่เป็นตัวเชื่อมโยงไปถึงคนกลุ่มนั้น” เยี่ยเหยียนยักไหล่ “ฉันก็เลยสวมรอยซะเลย แต่ไม่นึกว่าพวกเธอจะรับแขกได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก สะกดรอยตามมาตลอดทางนี้ ลำบากเธอเลยจริงๆ”


“…ตั้งแต่ที่สนามบินนายก็รู้ตัวแล้วเหรอ?” เจสสิก้าอดอึ้งไม่ได้


เยี่ยเหยียนพยักหน้า ยื่นนิ้วมือสองข้างออกไปแตะดวงตาของตนเอง พูดเสียงเบาๆ ว่า “รู้ไหม? ตอนที่คนหนึ่งกำลังตามหาอีกคนหนึ่งอยู่ รูม่านตาจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพียงนิดเดียว อีกอย่างเธอก็เคยหลุดอาการดีใจตอนพบเป้าหมายออกมาแวบหนึ่ง คิดจะชูป้ายชื่อ แต่ก็เอาป้ายลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าคนที่มารับคนจะมีมากมาย แต่การกระทำแบบนั้นก็สะดุดตามากๆ เลย”


ทันใดนั้นเจสสิก้าก็รู้สึกเสียหน้าอย่างแรง เธอหันหน้าหนี ราวกับคิดจะปิดบังอะไรบางอย่างตามสัญชาตญาณ เริ่มตรวจสอบลักษณะของคนพวกนี้ที่นอนอยู่บนพื้น “…เจ้าพวกนี้ ฉันเคยเห็นในรายชื่อที่ออกหมายนำจับ คาดไม่ถึงว่าดันมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง!”


เยี่ยเหยียนกำลังเปิดขวดบรั่นดีดื่มอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์อย่างมีความสุข ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ในสังคมบ้านฉันมีคำพูดที่ว่า สถานที่อันตรายที่สุด คือสถานที่ปลอดภัยที่สุด”


เจสสิก้าแอบมองเยี่ยเหยียนแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ทุกอย่างในที่แห่งนี้ใช้เป็นหลักฐานได้ นี่นายกำลังทำลายหลักฐาน”


เยี่ยเหยียนหัวเราะพร้อมพูดขึ้น “ฉันยังไม่ได้เริ่มงานอย่างเป็นทางการ จะว่าไปแล้วคงจะไม่นับว่าทำผิดกฎของพวกเธอ…แต่ว่าเรื่องที่นี่เธอจัดการเองดีกว่า อันที่จริงฉันไม่สะดวกเท่าไหร่…ระวัง!”


เจสสิก้าตื่นตกใจ เกรงว่าคนร้ายคนหนึ่งคงจะแกล้งทำเป็นสลบอยู่ที่พื้น แต่กลับลุกขึ้นมาเงียบๆ กำลังคิดจะยิงปืนจากทางด้านหลัง!


เธอตอบโต้ไม่ทันแน่นอน ทว่ากลับเห็นเยี่ยเหยียนกระโดดพลิกตัวข้ามเคาน์เตอร์มา แล้วผลักเจสสิก้าให้หลบไป


ปัง!


ในขณะเดียวกันนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับมีลำแสงหนึ่งสว่างวาบ มันมาจากมีดเล็กในมือของเยี่ยเหยียน ปักลงไปบนข้อมือที่คนร้ายถือปืนพกอยู่อย่างแม่นยำไร้ที่ติ!


คนร้ายร้องด้วยความเจ็บปวด ปืนพกร่วงตกลงบนพื้น เจสสิก้าดูสถานการณ์แล้ว ก็พุ่งเข้าไปทันที ถือโอกาสจัดการคนร้าย ซัดจนสลบไปบนพื้น


“นาย…นายเป็นอะไรไหม!”


เธอก้าวมาอยู่ข้างๆ เยี่ยเหยียนอย่างรวดเร็ว แล้วพยุงให้ลุกขึ้น


นิ้วมือข้างหนึ่งที่กดลงบริเวณเอวไม่ได้ช่วยห้ามเลือดที่ไหลออกมาจากตัวได้ หน้าผากเยี่ยเหยียนเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ “ฉันคิดว่า ฉันยังช่วยชีวิตตัวเองได้อยู่นะ…เบอร์รถพยาบาลที่นี่หมายเลขอะไร?”



โรงพยาบาล เจสสิก้าที่โมโหพลุ่งพล่านมาถึงในห้องผู้ป่วย มองดูเยี่ยเหยียนที่กำลังมองเหม่อไปนอกหน้าต่าง พูดใส่หน้าเขาจังๆ “นายบอกกับคนที่สำนักงานใหญ่ว่าฉันช่วยชีวิตนายที่ถูกจับกุมไว้? นี่ควรเป็นผลงานของนายสิ!”


“แต่เธอก็จะถูกลงโทษ” เยี่ยเหยียนไม่ได้หันหน้ามา แต่พูดเสียงเบาๆ “เธอถูกจับได้ แถมยังเกือบถูกใช้เป็นตัวประกันแล้ว นี่ถือเป็นจุดด่างพร้อย ไม่ดีต่ออนาคต อีกอย่างฉันก็ยังไม่ได้เริ่มงานอย่างเป็นทางการ ลงมือโดยพลการทำให้ภาพลักษณ์ไม่ดี แล้วยังมีปัญหาใหญ่ด้านขั้นตอนอีก มันทำให้ฉันยุ่งยากมากขึ้น ในเมื่อไม่เป็นเรื่องดีต่อเธอหรือต่อฉัน แล้วทำไมต้องสารภาพไปตรงๆ ด้วยล่ะ ยังไงก็จับตัวผู้ร้ายได้แล้ว?”


“แต่นายทำแบบนี้ก็เท่ากับพยานหลักฐานเท็จนะ!”


“ฉันคิดว่าพวกเธอค่อนข้างจะรู้จักพลิกแพลงปรับตัวนะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะฉันลงมือโดยพลการ ถึงกับสร้างประวัติไม่ดีให้กับเธอด้วย ดังนั้นเธอจะเห็นแก่ตัวสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร” เยี่ยเหยียนพลิกตัวกลับมา คิดจะลุกจากเตียง มือข้างหนึ่งของเขาแตะปิดไปบนปากแผลที่ผ่ากระสุนออก “แต่ว่าเธอก็ไปรายงานตามความจริงก็ได้ สงสัยว่าหลังจากนอนพักที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ฉันคงจะต้องไปห้องสอบสวนอีกครั้ง ซวยเป็นบ้าเลย”


“แผล…แผลบนตัวนายยังไม่หายดี อย่าขยับสิ” เจสสิก้ากัดฟันกรอดพูดขึ้น “คิดจะทำอะไร ฉันจะช่วยนายเอง”


“โอ้ พระเจ้าช่วย ชาวต่างชาติอย่างพวกเธอช่างมีน้ำใจจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าขนาดจะไปเข้าห้องน้ำก็ยังช่วยได้ด้วยเหรอ? ฉันก็เพิ่งรู้จริงๆ นะเนี่ย”


เจสสิก้าพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่มองดูเยี่ยเหยียนจับกำแพงแล้วค่อยๆ เดินไปอย่างเงียบเชียบ


ทันใดนั้น เธอก็หันหัวไปบอก “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้”


“ไม่ต้องเกรงใจ ว่างๆ ก็เลี้ยงกาแฟฉันสักแก้วสิ” เยี่ยเหยียนหันหน้ากลับมายิ้มแล้วพูดขึ้น “อีกอย่าง ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ฉันชื่อเยี่ยเหยียน มาจากประเทศจีน ต่อไปเราก็เป็นคู่หูกันแล้วนะ”




“คุณบอกว่าฉันซื้ออยากซื้ออะไรจากที่นี่ก็ได้ใช่ไหม?”


เจสสิก้าหัวเราะเบาๆ วันนี้ออกมาก็เพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็นบางอย่าง เพียงแต่คิดเรื่องบางอย่างระหว่างทาง แล้วก็มาถึงสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


เธอมองพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมทั้งเจ้าของร้านแปลกๆ ตรงหน้า …เหมือนพวกนักต้มตุ๋น ได้ฟังน้ำเสียงที่ช่ำชองของเจ้าของร้านผู้นี้ เจสสิก้าจึงหัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น “งั้นตอนนี้ก็เอาเนื้อลูกแกะย่างจากภัตตาคาร Le-Comptoir-du-Vin ที่หนึ่ง อย่างน้อยคุณก็คงพอจะเอามาให้ฉันได้ ลองดูสักหน่อยสิ พวกคุณเอามาได้หรือเปล่า…เดี๋ยวนี้เลยนะ”


ไม่นึกว่าจะต้องมาเสียเวลากับนักต้มตุ๋นแบบนี้เลย เจสสิก้าคิดว่าในช่วงเวลานี้เกรงว่าตัวเองจะกดดันมากเกินไปจริงๆ


“เนื้อลูกแกะย่างใช่ไหมครับ?” คุณตัวตลกแปลกๆ ที่อยู่ตรงหน้ากลับพยักหน้าทันที แล้วหลังจากนั้นค่อยๆ ยื่นมือโบกผ่านไปบนโต๊ะ “น่าจะเป็นจานนี้ คุณลูกค้าครับ”


เจสสิก้าอ้าปากค้างเล็กน้อย


โผล่มาเฉยๆ กลิ่นของเนื้อลูกแกะย่างที่คุ้นเคยฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ถึงขนาดสัมผัสได้ถึงความร้อนของเนื้อลูกแกะย่างจานนี้…นี่ยืนยันได้เลยว่า มันเป็นของที่เพิ่งย่างมาใหม่ๆ เลย


ถึงขั้นที่ว่าห่อด้านนอกก็ยังดูคุ้นเคย นี่เป็นสินค้าของร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองที่เธออาศัยอยู่จริงๆ!


เจสสิก้ายื่นมือออกไปจิ้มเบาๆ บนเนื้อลูกแกะย่างจานนี้ แล้วก็สะดุ้งยืน ล้วงปืนพกสีดำสนิทกระบอกหนึ่งออกมาราวกับโดนไฟช็อต พร้อมกับพูดอย่างตื่นตระหนก “คุณเป็นตัวอะไรกันแน่?”


เธอไม่คิดว่าตนเองมองเห็นภาพหลอน ยิ่งไม่คิดว่านี่จะเป็นเวทมนตร์ใดๆ แล้วยังกลิ่นอายลึกลับที่กระจายอยู่ตลอดเวลาในที่แห่งนี้อีก แล้วยังความรู้สึกแปลกๆ ที่ทำให้เธอไม่อาจสงบใจได้เลย ล้วนทำให้เธอคิดได้เพียงอย่างเดียว


นั่นก็คือ…ที่นี่อันตรายมาก อันตรายอย่างยิ่ง!


“ผมเคยบอกคุณลูกค้าไปแล้ว ตัวผมเป็นเจ้าของร้านนี้” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ “ถ้าเช่นนั้น…คุณลูกค้า ไม่ทราบว่าคุณยังต้องการอะไรอีกหรือไม่ครับ?”


บทที่ 111 เวลามาตรฐานกรีนิช สองหมื่นหกพันสองร้อยแปดสิบชั่วโมง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะเจสสิก้ากำลังดื่มชาแดงที่คนแก่แต่งตัวสไตล์ย้อนยุคของอเมริกาปีเจ็ดสิบหรือปีแปดสิบ เสื้อเชิ้ตลาย กางเกงสกินนี่ ผมทรงแอฟโฟรฟูๆ เอามาให้…เธอก็คิดจะจากที่นี่ไปทันที ยังไงที่นี่ก็ไม่ได้ขังเธอไว้


แต่เธอกลับอยู่ต่อมาตลอด


มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!


ขอเพียงจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงพอ ก็จะได้รับสิ่งที่ต้องการจากที่นี่ ตำนานทางตะวันตกมีมากมาย หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำข้อตกลงกับปีศาจอยู่ไม่น้อย


แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือจะมาเจอเรื่องมายาแบบนี้ที่ต่างบ้านต่างเมืองตนเอง มีชั่ววินาทีหนึ่ง เจสสิก้านึกว่าตนเองถูกสะกดจิตเสียแล้ว แต่เธอก็เคยฝึกต้านการสะกดจิตมาไม่น้อยเหมือนกัน เรื่องพวกนี้แทบจะ…ไม่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาวะถูกสะกดจิตได้เลย


“ฉันคิดจะหาคนคนหนึ่ง สมมติว่าใช้อายุขัยแลกเปลี่ยน ฉันต้องใช้อายุขัยเท่าไหร่?” เจสสิก้าลองสอบถามดู “หากพวกคุณเป็นผู้วิเศษจริง น่าจะรู้ว่าคนที่ฉันอยากตามหาเป็นใครกันแน่”


ยังจะมีใครได้ล่ะ?


ครั้งนี้ลั่วชิวไม่ต้องใช้อายุขัยไปซื้อข้อมูลจากแท่นบูชาก็ตอบได้สบายๆ ว่า “ใช้อายุขัยเพียงหนึ่งเดือน ผมจะพาคุณไปอยู่ตรงหน้าคุณผู้ชายคนนั้นที่คุณอยากพบ”


แต่ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อออกมา เพียงแค่พูดคุณผู้ชายสามพยางค์นี้เท่านั้น บอกเพศได้ชัดเจนแล้ว…ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ว่าเขารู้ว่าคนนั้นที่เจสสิก้าพูดถึงเป็นใครกันแน่


ชีวิตยาวนานเหลือเกิน และไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ปฏิบัติการที่ไร้เป้าหมายรังแต่จะเสียเวลาชีวิตไปเปล่าๆ พวกมนุษย์มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องน่าเบื่อและไร้ประโยชน์ ถ้าแค่หนึ่งเดือนก็หาคนพบได้ เจสสิก้าคิดว่าการแลกเปลี่ยนอย่างนี้กลับคุ้มค่าอย่างยิ่ง


“ได้ ตกลง!” เจสสิก้าพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “แต่สมมติว่าพวกคุณหลอกฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ!”



“คุณผู้ชายคนนั้นที่ลูกค้าต้องการตามหา อยู่ที่ชั้นสามในโรงแรมแห่งนี้ ห้องสามศูนย์สองครับ”


เจสสิก้าเผลอแหงนมองไปที่ชั้นสามนั่นอย่างไม่ทันรู้ตัว มองเห็นห้องห้องหนึ่งที่มีผ้าม่านหน้าต่างปิดไว้แน่นสนิทจริง “อยู่ที่นี่เองเหรอ?”


เธอหันกลับมา ใบหน้ายังคงหลงเหลือความตื่นตะลึง ความตื่นเต้น ถึงขนาดตกใจอยู่ เพราะว่าไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ ตัวเธอยังอยู่ในสมาคมอยู่เลย แต่ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา ทิวทัศน์รอบตัวทั้งหมดก็เกิดเปลี่ยนไปราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน


เธอมาอยู่บนถนนสายหนึ่งแล้ว!


และเจ้าของร้านคนนั้นก็หายไปแล้ว…ไม่ว่าเยี่ยเหยียนจะอยู่ในโรงแรมแห่งนี้หรือไม่ วิธีที่มาถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่งได้ในชั่วพริบตาก็พอจะทำให้เจสสิก้าสงบใจได้ยากแล้ว


เธอเผลอย้อนนึกถึงตำแหน่งของร้านมหัศจรรย์ร้านนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางนึกออกเลย…เดินเข้าไปตั้งแต่ตอนไหน ก่อนที่จะเดินเข้าไปเธอดูเหมือนว่าน่าจะอยู่ในโซนของใช้ในซูเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง?


“คุณมาหาใครครับ??”


เจ้าของโรงแรมที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่รู้สึกว่ามีคนเข้ามา ก็พูดถามพลางวางหนังสือพิมพ์ลง…หลังจากนั้นก็เปลี่ยนท่าทีทันที


เรื่องที่สมาคมไว้ค่อยว่ากัน สิ่งสำคัญก็คือเยี่ยเหยียนอยู่ที่นี่จริงๆ หรือไม่กันแน่ เจสสิก้ามองเจ้าของโรงแรมแวบหนึ่ง แล้วก็วางธนบัตรใบละร้อยหยวนไม่กี่ใบลงบนเคาน์เตอร์ “ฉันแค่มาหาบางคน”


“อ้อ ตามสบายครับ” เจ้าของโรงแรมพยักหน้า “อย่าก่อเรื่องอะไรก็พอ”


โรงแรมแบบนี้เจสสิก้าเห็นมาเยอะแล้ว ปกติก็ใช้เป็นที่ซ่อนตัว เธอพิจารณาเจ้าของโรงแรมคนนี้ หลังจากคิดว่าไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไรก็เดินเลียบบันไดขึ้นไป แป๊บเดียวก็ไปถึงห้องสามศูนย์สอง


เจสสิก้าหยุดอยู่ข้างประตู แล้วยื่นมือไปเคาะ แต่เสียงกลับแปลกอย่างมาก


หนึ่งครั้งสั้นๆ สองครั้งยาวๆ สี่ครั้งสั้นๆ สามครั้งยาวๆ (รหัสมอร์ส ตามลำดับคือ ดับเบิลยู เอช โอ)


จากนั้นเธอก็เอาตัวชิดกำแพง


หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แต่เจสสิก้าที่ตัวติดกำแพงกลับพอจะได้ยินเสียงเล็กเบาๆ ดังออกมาจากในห้องอย่างเลือนราง


เธอใช้วิธีเดียวกันเคาะไปที่ประตูอีกครั้ง และมือข้างหนึ่งก็แตะไปที่ปืนพกของตนเอง เพื่อจะได้ล้วงออกมาได้ทันท่วงที


รออยู่สักพัก ยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา…และในวินาทีนั้นเอง ในห้องเริ่มมีเสียงเคาะประตูจังหวะเดียวกันดังออกมา


เจสสิก้าระงับความตื่นเต้นดีใจที่แทบจะระเบิดออกจากอกทันใด เคาะบานประตูต่อไปตามลำดับไม่มั่วอย่างระมัดระวัง


เจ อี เอส เอส ไอ ซี เอ เจสสิก้า


แกร๊ก


กลอนประตูห้องดังขึ้นเบาๆ แต่ไม่ได้เปิดขึ้นในทันที แต่เวลานี้เจสสิก้าอดกลั้นความใจร้อนหุนหันพลันแล่นของตนเองไว้ไม่อยู่แล้ว บิดลูกบิดประตูผลักเปิดเข้าไปในทันที!


“เยี่ย นายอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”


เจสสิก้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยเหยียน แล้วโอบกอดเขาแน่น “ขอบคุณพระเจ้า นายอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!”


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้วก่อน แล้วถึงได้คลายสองมือของอีกฝ่ายออก


เขานั่งลง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เธอมาจับตัวฉันล่ะสิ ไม่คิดว่าจะหาตัวฉันเจอที่นี่ เจสสิก้า ความสามารถของเธอออกจะเหนือความคาดหมายของฉันไปบ้างนะ…ยิ่งไปกว่านั้นที่ปรากฏตัวมาก็เป็นเธอ ยิ่งทำให้ฉันนึกไม่ถึง”


เรื่องสมาคมไว้ก่อน


เจสสิก้ารีบพูดทันที “เยี่ย นายกลับไปกับฉันก่อน ฉันเชื่อว่านายถูกใส่ร้าย นายถูกหมายนำจับ อยู่ข้างนอกนั่นเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ ไม่สู้กลับไปสำนักงานใหญ่ดีกว่า! ฉันหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนายได้แน่”


เยี่ยเหยียนหัวเราะเยาะพร้อมพูดขึ้น “เธอยังไม่รู้ล่ะสิ? คนที่คิดจะเอาชีวิตฉัน ก็คือคนที่อยู่ในองค์กรนั่นแหละ ฉันกลับไปก็เท่ากับส่งตัวเองไปตาย”


เจสสิก้าขมวดคิ้วพูดขึ้น “จู่ๆ ก็เกิดเรื่องกับนายกะทันหัน ต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ที่อยู่ในองค์กรเราแน่ๆ …แต่ว่านายสบายใจได้ ฉันหาวิธีส่งนายไปคุ้มกันตัวพิเศษ ควบคุมดูแลตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถึงแม้มีคนคิดจะทำอะไรนาย ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม นายก็รู้นี่ อยู่ข้างนอกอันตรายมากแค่ไหน และยังเปิดเผยตัวไม่ได้ด้วย”


เยี่ยเหยียนมองเจสสิก้าแวบหนึ่ง


วินาทีที่ดวงตาสองคู่มองสบกัน เจสสิก้าก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ แต่ว่ายังช้าไปนิดหนึ่ง ข้อมือของเธอถูกเยี่ยเหยียนคว้าจับไว้อย่างรวดเร็ว


“นายไม่เชื่อฉัน” เจสสิก้าริมฝีปากสั่น เสียงพูดก็เบามาก


เยี่ยเหยียนพูดอย่างใจเย็น “อย่างน้อยจนกระทั่งตอนนี้ ในสำนักงานใหญ่ยังไม่มีคนที่ทำให้ฉันเชื่อใจได้เต็มร้อย”


มือข้างหนึ่งของเจสสิก้าเอียงไปทางด้านหลัง คว้าปืนพกอีกกระบอกที่เหน็บอยู่ที่หลังออกมา แล้วจับด้ามปืนยื่นส่งให้ “สามปีก่อน นายก็เคยทำแบบนี้เพื่อให้ฉันเชื่อใจ ตอนนี้ฉันแค่หวังว่านายก็จะเชื่อใจฉันได้เหมือนกัน”


พอเยี่ยเหยียนรับปืนมา ก็สอดนิ้วไปที่ไกปืน แล้วจ่อปากกระบอกปืนไปที่หน้าผากของเจสสิก้าด้วยท่าทีนิ่งเงียบ


เจสสิก้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาสองข้างลง “ให้ฉันได้ช่วยนายเถอะ”



หลังจากผ่านไปนานแสนนาน เจสสิก้าก็ค่อยๆ ลืมตาสองข้างขึ้นอย่างช้าๆ เยี่ยเหยียนปล่อยมือสองข้างลง


ท่าทางของเขาเหมือนเมื่อสามปีก่อนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก หนวดที่ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย แววตาหดหู่ ผิวค่อนข้างขาวซีด เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนอายุใกล้จะสี่สิบปี แต่ดูแล้วยังหนุ่มราวกับสามสิบปี


“ฉันไม่กลับไปกับเธอหรอก”


“อย่างน้อยให้ฉันได้อยู่ข้างๆ นายนะ”


เจสสิก้าคว้ามือเยี่ยเหยียนขึ้นมา แล้วแนบไปกับใบหน้าของตนเอง


จากประเทศจีนถึงประเทศฝรั่งเศส จากคนแปลกหน้าเป็นคนคุ้นเคย เธอและเขาใช้เวลาด้วยกันมาสามปีแล้ว


ด้วยวันเวลาที่หมุนผ่านไปถึงหนึ่งพันเก้าสิบห้าวัน


เวลามาตรฐานกรีนิช*สองหมื่นหกพันสองร้อยแปดสิบชั่วโมง


*เวลามาตรฐานกรีนิช แต่เดิมเป็นคำใช้เรียกเวลาสุริยคติมัชฌิมที่หอดูดาวหลวงกรีนิช เมืองกรีนิช สหราชอาณาจักร ปัจจุบันคำนี้มักใช้เพื่อหมายถึงเวลาสากลเชิงพิกัด (ยูทีซี) ในฐานะเขตเวลา


บทที่ 112 ความรู้สึกคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จริงสิ เธอหาที่นี่เจอได้ยังไง?”


ในเมื่อหัวแข็งไม่เปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นช่วงเวลาที่ให้เจสสิก้าอยู่ด้วย เยี่ยเหยียนก็หวังว่าอย่างน้อยจะสืบข่าวความเคลื่อนไหวของสำนักงานใหญ่จากเธอได้บ้าง


ส่วนทางเจสสิก้าคิดดีแล้วจึงอธิบาย “สถานะของนายตอนนี้เสี่ยงมากเกินไป ฉันเดาว่านายคงพักในโรงแรมมาตรฐานทั่วไปอย่างเปิดเผยไม่ได้ และคงจะไม่กลับไปที่ห้องพักเดิม ก็เลยเดินตามหาตามโรงแรมเล็กๆ แบบนี้มาตลอดทาง”


เยี่ยเหยียนพยักหน้า…ในสถานการณ์แบบนี้ใช้วิธีการหาแบบหว่านแหก็เป็นวิธีที่ไม่มีทางเลือก เขาเชื่อว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเจสสิก้าโชคดีเหลือเกิน


ฟ้าลิขิตงั้นเหรอ?


“แต่เธอมั่นใจได้ยังไงว่าฉันจะกลับมาที่นี่?”


เจสสิก้ายิ้มแล้วตอบ “ตอนที่คนเจออันตราย จิตใต้สำนึกจะสั่งให้เขาเลือกสถานที่ที่รู้สึกปลอดภัยเหมือนบ้าน ที่นี่เคยเป็นที่ที่นายอยู่ ดังนั้นเริ่มแรกฉันก็แค่ลองมาเสี่ยงดวงดูที่นี่”


เยี่ยเหยียนยิ้มฝืดๆ พูดขึ้น “ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องโชค”


เจสสิก้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่ถ้าให้ฉันไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่สู้ให้ฉันลองเชื่อในโชคสักครั้ง”


เยี่ยเหยียนพูดขึ้นทันที “สำนักงานใหญ่ให้ทีมเล็กๆ ทีมหนึ่งมาจับฉัน มีความเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาสะกดรอยตามเธอมาด้วย?”


เจสสิก้าตอบ “ตอนที่ฉันออกมาจากที่นั่นก็ระวังตัวมาก แล้วยังใช้หนังสือเดินทางปลอมที่ห้องเก็บหลักฐานยึดมา กว่าพวกเขาจะตรวจเจอคงไม่ใช่เร็วๆ นี้”


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้วพูดขึ้น “ก็ไม่แน่…เธอหาที่นี่เจอได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะหาที่นี่ไม่พบ สงสัยฉันจำเป็นต้องย้ายที่กบดานแล้ว ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ทันที…แค่กๆ!”


“นายได้รับบาดเจ็บเหรอ?”


“ออกไปจากที่นี่ค่อยว่ากัน”


เจสสิก้ารีบพูด “ไปที่ที่ฉันอยู่ก่อนเถอะ ตลอดเวลามานี้ฉันก็พักอยู่นี่ตลอด น่าจะปลอดภัย”


เยี่ยเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า แต่เขาแค่ตามเจสสิก้าออกไปเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องเช็กเอาต์กับเจ้าของโรงแรมที่เคาน์เตอร์



MINI-CLUBMAN สีแดงคันใหญ่คันหนึ่งจอดนิ่ง เริ่นจื่อหลิงซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตตารางหมากฮอสสีฟ้าขาวคู่กับกางเกงยีนสีอ่อนขาวๆ เดินก้าวลงมา ในตอนนั้นเองประตูรถอีกฝั่งหนึ่งก็เปิดออก ชายผอมๆ ผิวดำคนหนึ่งก็ก้าวลงมาด้วยเช่นกัน


เริ่นจื่อหลิงเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นพร้อมกับพูดว่า “เหลาสู่เฉียง อยู่แถวๆ นี้เหรอ?”


เหลาสู่เฉียงยิ้มทำใจดีสู้เสือตอบ “ก็ใช่น่ะสิ คุณนาย! พอคุณนายเรียกผม ผมก็รีบทำทุกวิถีทาง ศักดิ์ศรีทั้งหมดก็ใช้ไปไม่มีเหลือแล้วจริงๆ! คุณนายไม่รู้หรอก เพื่อเรื่องนี้แล้ว ผมยัง…”


“พอๆๆ ประเด็นสำคัญคือ! นายจะขาดเงินไปไม่ได้เลยสินะ!” เริ่นจื่อหลิงกลอกตามอง


“นางฟ้า! ถ้าไม่ใช่ว่าในบ้านมีเมียแก่ๆ และผมเด็กกว่านี้สักสิบปี ผมจะตามตื๊อไม่เลิกเลย!” เหลาสู่เฉียงหรี่ตาเล็กๆ พร้อมพูดขึ้น


เริ่นจื่อหลิงโยนชานมที่ดื่มไปแล้วครึ่งแก้วทิ้งไป


เหลาสู่เฉียงทำตัวเล็กๆ ลง รีบพูดขึ้น “มีน้องชายคนหนึ่งที่หาเลี้ยงชีพในโรงขยะใกล้ๆ เมื่อหลายคืนก่อน ได้ยินว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับที่คุณนายบอก ผมก็เลยเอารูปที่คุณนายให้ผมส่งให้คนนั้นยืนยันแล้ว เขาบอกว่าคล้ายอยู่เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลย”


“ไปทางไหนแล้ว?”


“ทางนี้แหละ” เหลาสู่เฉียงชี้บอก “คุณนาย ที่นี่วุ่นวายมาก โรงแรมจำนวนไม่น้อยก็เป็นโรงแรมม่านรูดนะ หากนายคนนั้นคิดจะซ่อนตัวล่ะก็ ที่นี่ก็นับว่าไม่เลวเลยนะครับ แต่น่าเสียดายที่ม่านรูดที่นี่อย่างน้อยก็หลายสิบแห่ง จะหาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ! เอ๊ะ คุณนาย นี่คุณนายจะไปหาแล้วเหรอ? รอผมด้วยสิ!”


เริ่นจื่อหลิงมองไปรอบๆ ถนน พร้อมเข้าไปในพื้นที่เขตนี้


“ฟังนะ ถ้าคนหนึ่งคิดจะซ่อนตัว โดยเฉพาะในที่แบบนี้ล่ะก็ จะต้องเลือกที่ที่มองเห็นอะไรได้กว้างรอบด้าน” เริ่นจื่อหลิงพูด “นายลองดูบริเวณหัวมุมถนนพวกนั้น หรือใกล้ๆ ถนน ช่วยฉันจำไว้ก่อน ที่อยู่ในซอยเล็กๆ ถือว่าเป็นทางเลือกที่สอง”


เหลาสู่เฉียงยักไหล่พลางพูดว่า “ถ้าต้องการซ่อนตัวจริงๆ ในซอยเล็กๆ ที่หายากไม่ซ่อนง่ายกว่าเหรอ?”


รองบรรณาธิการเริ่นยิ้มเยาะ “มีแต่คนไม่ได้เรื่องอย่างนายถึงคิดซ่อนอยู่ที่มืดเหมือนหนูตัวหนึ่ง ฟังนะ ยิ่งมองเห็นได้ดี ก็ยิ่งสะดวกในการสังเกตการณ์รอบๆ ได้ตลอดเวลา อย่างตำแหน่งที่อยู่หัวมุมถนนหรือใกล้ถนน ถึงแม้ว่าจะหลบหนี ก็หนีเข้าไปในซอยที่สลับซับซ้อนในเมืองได้ทันที แต่ถ้าไปหลบอยู่ท้ายซอยตั้งแต่แรก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสังเกตการณ์ถูกบังมิด เป็นไปได้ว่าก่อนที่เขาจะหาตัวนายเจอ ก็คงปิดทางออกของนายไว้แล้ว แต่ถ้าเป็นบนถนนใหญ่ คนเยอะ นี่ต่างหากถึงอำพรางตัวได้!”


เหลาสู่เฉียงได้ยินก็นิ่งอึ้งตะลึง พูดขึ้นอย่างตกใจ “คุณนาย ถ้างั้น…ถ้างั้นคุณนายก็ทำตัวกลมกลืนกับเขาด้วยไหมล่ะ? ผมกับคุณนายน่ะ?”


“เอาสิ นายจะเป็นชายขายบริการไหมล่ะ?” เริ่นจื่อหลิงหรี่ตาถาม


เหลาสู่เฉียงทำตัวสั่นพูด “ได้เงินใช้ มีอะไรทำไม่ได้บ้าง! ขอเพียงคุณนายบอกมา จะข้างบนหรือข้างล่าง ผมจะไม่พูดอะไรเลย จะบุกน้ำลุยไฟไปเลย!”


“แม่เจ้า…เก่งกาจนะเนี่ย!” เริ่นจื่อหลิงส่ายหัว เดินเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่ง เพิ่งเข้าประตูมาก็พูดหัวเราะคิกๆ “เจ้าของโรงแรมอยู่ไหม? ถามอะไรหน่อย”


“เอ๊ะ? คุณนาย ตกลงหรือไม่ตกลงกันแน่เนี่ย? คุณนายยังไม่บอกเลยว่าค่าตอบแทนชั่วโมงละเท่าไหร่? คิดหักเปอร์เซ็นต์ยังไง? พักผ่อนประจำเดือนเท่าไหร่? คุณนายบอกผมสิ ผมไม่ได้รับลูกค้าทุกคนนะ! คืนหนึ่งรับได้ไม่เกินสามคน!”




“ที่นี่แหละ…”


หลังจากมาถึงที่ที่เจสสิก้าพักอาศัยอยู่ เยี่ยเหยียนถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้สอบถามในทันที แล้วตัดสินใจเดินตรงเข้าไปในห้องที่เจสสิก้าเช่าอยู่


เยี่ยเหยียนมองดูเครื่องมือที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก แล้วก็ขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างคาดไม่ถึง “เธอแอบดักฟังห้องที่อยู่ข้างล่างนั่นนานเท่าไหร่แล้ว?”


ราวกับว่าเจสสิก้าก็รู้ว่าเยี่ยเหยียนจะถามแบบนี้ จึงหยิบภาพหมู่ใบหนึ่งออกมาจากแฟ้มเอกสาร “นี่คือสิ่งที่ฉันหาเจอที่นี่ก่อนที่คนของสำนักงานใหญ่จะไปอพาร์ตเมนต์ของนาย”


เยี่ยเหยียนรับมา ดูรูปแวบหนึ่งในภาพยังมีลั่วชิวที่ดูเด็กๆ อยู่ด้วย เขาใส่รูปลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วถึงพูดขึ้น “ดูท่าเธอก็ไม่ได้เชื่อในโชคเสียทีเดียวนะ”


เจสสิก้านั่งลงแล้วตอบ “อย่างน้อยที่สุดมันก็ให้แรงบันดาลใจบางอย่างกับฉัน”


เยี่ยเหยียนพยักหน้า ในเมื่อเลือกจะเชื่อเจสสิก้าไปก่อน ก็ไม่ควรเพิ่มเรื่องให้มีปากเสียงกัน แต่เขาก็ยังคงพูดเน้นว่า “คนที่อาศัยอยู่ชั้นล่าง เป็นผู้มีพระคุณของฉัน ครอบครัวของอาจารย์ กลับมาครั้งนี้ ฉันแค่กินข้าวกับพวกเขามื้อหนึ่ง พวกเขาไม่รู้เรื่องของฉันทั้งนั้น ดังนั้นฉันไม่อยากให้เรื่องของฉันต้องไปพัวพันกับพวกเขาสักนิดเดียว”


“ขอโทษนะ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ถึงได้ทำแบบนี้ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรกับคนใกล้ชิดข้างกายนายเลย ตอนนี้ก็หานายเจอแล้ว ฉันจะหาเวลาเก็บของที่เอามาจากห้องข้างล่างไปให้หมด”


เยี่ยเหยียนส่ายหน้า ราวกับว่าไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อ


ทันใดนั้นเจสสิก้าก็ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว “เธอคิดจะทำอะไร?”


เจสสิก้าสะดุ้งโหยง ก่อนรีบอธิบาย “สบายใจได้ ฉันแค่อยากให้นายดูอะไรสักหน่อยเท่านั้นเอง นี่เป็นสิ่งที่ฉันเจอตอนติดตั้งเครื่องดักฟังในห้องข้างล่าง ฉันคิดว่านายน่าจะสนใจ”


เจสสิก้าเปิดโทรศัพท์มือถือ เปิดรูปหนึ่งให้ดู…ในรูปเป็นแซกโซโฟนอันหนึ่ง


“ขอโทษนะ ฉันลนลานเกินไปจริงๆ” เยี่ยเหยียนถอนหายใจ แล้วก็คว้าโทรศัพท์ในมือเจสสิก้ามา จ้องมองรูปเครื่องดนตรีชนิดนี้ด้วยความคิดถึงสุดๆ “เป็นของที่ฉันให้ลูกชายของอาจารย์ฉันเอง นานมากแล้ว เมื่อก่อนเด็กนั่นบอกฉันว่าตอนฉันเป่าเจ้านี่ดูเท่มากเลยล่ะ”


เจสสิก้าพูดอย่างแปลกใจ “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่านายเล่นเครื่องดนตรีแบบนี้ได้ด้วย”


เยี่ยเหยียนยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาสำรวจพิจารณาการตกแต่งของห้องนี้ไปตามอำเภอใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย ตัวของเขาพลันก้าวถอยหลังไปหลายก้าว จำต้องค้ำตู้ที่อยู่ข้างๆ ไว้ถึงฝืนยืนตรงได้


อาการหน้ามืดแบบนี้ กินเวลาเกือบจะสองสามวินาทีสั้นๆ ก็ราวกับมาถึงขีดสุดแล้ว เยี่ยเหยียนมองเจสสิก้าตามสัญชาตญาณ “เธอ…”


เรื่องที่นายปกปิดไว้มีมากเกินไปแล้ว ตั้งแต่ออกจากโรงแรมจนมาถึงที่นี่ นายเตรียมป้องกันฉันมาโดยตลอด…นายไม่เชื่อฉันตั้งแต่แรกแล้ว” เจสสิก้าถอนหายใจ “บนโทรศัพท์มีสารทำให้สลบ…ขอโทษนะ”


“เจสสิก้า…”


พลั่ก!


เยี่ยเหยียนล้มลงไปบนพื้น


เจสสิก้าค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไป จัดแจงผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยของเยี่ยเหยียน “ความรู้สึกคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด เมื่อก่อนนายเคยสอนฉันไงล่ะ นายลืมแล้วเหรอ…”



“เจ้าของโรงแรม ถามเรื่องหนึ่งสิ”


นี่เป็นโรงแรมแห่งที่เจ็ดแล้ว เหลาสู่เฉียงกลอกตามองเริ่นจื่อหลิงอยู่ด้านหลัง…ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้แรงดีขนาดนี้นะ?


อาจเพราะไม่มีผู้ชายนั่นแหละ ก็เลยไม่มีที่ระบายอารมณ์ จนกลายร่างเป็นพวกบ้างานงั้นเหรอ? เหลาสู่เฉียงก็เลยนั่งคล้ายๆ กับนอนอยู่บนโซฟาที่หน้าประตูเคาน์เตอร์โรงแรมเล็กๆ


เจ้าของโรงแรมที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่มองมาแวบหนึ่ง “ชั่วโมงละร้อยห้าสิบ ค้างคืนสองร้อยสามสิบ มัดจำสองร้อย มีแต่เตียงเดี่ยว ถุงยางอนามัยที่ห้องอันละสิบหยวน”


บ้าเอ๊ย…ฉันเป็นผู้หญิงที่คิดจะออกมาทำเรื่องแบบนั้นเหรอ? นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?


แต่ว่ารองบรรณาธิการเริ่นยังคงอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ใช่ค่ะ แค่จะถามคุณว่า เคยเห็นคนนี้บ้างหรือเปล่า”


เธอกดเปิดรูปในโทรศัพท์ให้ดู


เจ้าของโรงแรมจ้องดูแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป “ไม่รู้ ถ้าไม่พักที่นี่ ก็ไปเถอะ ฉันไม่ว่าง”


เริ่นจื่อหลิงเลิกคิ้ว พอได้ยินเจ้าของร้านพูดแบบนี้ ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ห้าร้อย!”


“ไปเถอะ อย่ามายุ่งกับฉัน”


“หนึ่งพัน” เริ่นจื่อหลิงกลอกตา


“เธอเห็นฉันเป็นคนแบบไหน? ฉันอาซูเปิดกิจการที่นี่มายี่สิบกว่าปี ความน่าเชื่อถือมาเป็นอันดับแรก! ไม่เห็นป้ายร้านที่หน้าประตูเหรอ? โรงแรมเหอผิง*!”


“สามพัน”


“บ้าเอ๊ย! มีเงินแล้วก็คิดว่าเจ๋งเหรอ? ไสหัวไป!”


รองบรรณาธิการเริ่นยื่นมือชี้ไปที่เจ้าของโรงแรมคนนี้ แล้วห้านิ้วก็เหยียดเรียงชิดกัน มือที่ทำรูปมีดทุบตุ๊กตาแมวนางกวักที่วางอยู่ข้างๆ แตกกระจุยในพริบตา ยังไม่ทันที่ตาจะกะพริบเลยด้วยซ้ำ


เหลาสู่เฉียงที่นั่งเป็นอัมพาตอยู่ด้านหลังถอนหายใจ ทันใดนั้นก็จำได้ถึงความอัปยศเมื่อถูกผู้หญิงคนนี้ที่บอกว่าตนเองฝึกจิตพัฒนาใจทำให้ต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อความลำบากและคำว่ากล่าว รวมทั้งความหวาดกลัวที่ถูกควบคุมเมื่อหลายปีก่อน


แต่ตอนที่มองคนอื่น…ทำไมถึงได้เปรี้ยวเข็ดฟันถูกใจแบบนี้ล่ะ?


เจ้าของโรงแรมนั่นสะดุ้งตกใจ กลับเห็นอีกฝ่ายยื่นมือชี้มาทางตนเอง แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มกำหมัดอย่างช้าๆ …ข้อมือแม่แกสิ ไม่คิดว่าจะมีเสียงเพี๊ยะๆ ดังออกมา


“เคยเห็นผู้ชายคนนี้ไหม?” รองบรรณาธิการเริ่นพูดเน้นชัดๆ ทีละคำ


“สาม ห้องสามศูนย์สอง…แต่ว่า แต่ว่าคนนั้นออกไปก่อนหน้านี้สักพักแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่”


*เหอผิง แปลว่า สงบสุข สันติ


บทที่ 113 ก็แค่เพื่อให้โลกใบนี้สวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม

โดย

Ink Stone_Fantasy

เริ่นจื่อหลิงเริ่มต้นซักถามเรื่องราวบางอย่าง


ตอนนี้อาซูเจ้าของโรงแรมเหอผิงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี “พักมาหลายวันแล้ว แต่ก็ไม่ออกมาจากห้องเลย วันนี้พึ่งจะออกไปเป็นวันแรก”


“เขาได้บอกอะไรกับคุณหรือเปล่า?”


อาซูลังเลเล็กน้อย


เริ่นจื่อหลิงพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “ฉันเป็นพี่สะใภ้เขา ที่บ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยอยากจะตามเขากลับไป”


อาซูเริ่มใช้ความคิด…พี่สะใภ้ก็คือภรรยาของพี่ชาย หรือว่าที่บ้านจะเป็นพวกแก๊งอะไรทำนองนี้ ยังไงผู้หญิงคนนี้ก็ดูไม่ธรรมดาเลย แมวกวักเงินของฉัน…


แต่ว่าคำพูดนี้ก็ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ถ้าหากเป็นจริงล่ะ…อาซูยังคงคิดว่ามีสติเอาไว้เอาตัวรอดไว้ก่อนจะดีกว่า


เริ่นจื่อหลิงเพิ่งจะพูดตบหัวเขาไป ตอนนี้กลับมาลูบหลังเขา ควักเงินสองพันมาวางไว้บนเคาน์เตอร์ “นี่เป็นเงินชดใช้ให้แมวกวักของคุณ”


อาซูกำลังนับเงินอย่างดีอกดีใจพร้อมพูดขึ้น “จะว่ามีก็มีแหละ เหมือนเขากำลังรอใครส่งจดหมายมาให้เขา ความจริงวันนี้ตอนเขาเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งมาให้เขาที่นี่จริงๆ”


เริ่นจื่อหลิงกวักมือ อาซูพูดอย่างลังเลๆ “แบบนั้น…ไม่ค่อยดีล่ะมั้ง”


เริ่นจื่อหลิงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา บันทึกการส่งข้อความ ชื่อคน


หม่าโฮ่วเต๋อ


เธอแสยะยิ้มพร้อมกับพูดว่า “คุณมาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้แล้ว คงจะรู้ว่าชื่อนี้แสดงถึงอะไรล่ะสิ? คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ว่าฉันโทรศัพท์กริ๊งเดียว โรงแรมนี้ของคุณก็คงทำธุรกิจต่อไม่ได้แล้วแหละ?”


อาซูเหงื่อแตกพลั่กทันที…คนที่ตระเวนร่อนเร่ไปทั่ว คนที่เดินขวักไขว่ในเมืองมีใครไม่เคยได้ยินชื่อนี้บ้าง? อาซูรู้สึกอยากจะบ้าตายมากๆ ถ้าพูดมาตรงๆ ตั้งแต่แรกว่ามีขาใหญ่ประจำโรงพักหนุนหลัง ก็ไม่เห็นต้องทำลายแมวกวักเลยนี่


“เอ้านี่…” อาซูพูดอย่างวิตกกังวล “แต่ว่าคุณจะบอกลูกค้าคนนั้นไม่ได้เด็ดขาด เรื่องส่วนตัวผม…คุณคงเข้าใจ”


เริ่นจื่อหลิงรับจดหมายมา และไม่ได้เปิดออกทันที แต่กลับถามว่า “คุณบอกว่าเขาออกไปก่อนหน้านี้สักพักแล้ว ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?”


อาซูส่ายหน้าพร้อมพูดว่า “ไม่ได้บอกไว้ครับ แต่ว่าออกไปกับสาวต่างชาติคนหนึ่ง จิ๊ๆ ผมมองสีหน้าของสาวชาวต่างชาติคนนั้น พวกเขาทั้งสองจะต้องเป็นอะไรกันแน่ๆ! ตอนนี้คาดว่าคงจะไปพลอดรักกันอย่างอิสระที่ไหนสักที่แล้วละมั้ง


“สาวชาวต่างชาติเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงอึ้งไปเล็กน้อย “หน้าตาเป็นยังไง?”


“เอ่อ…อายุประมาณสามสิบ? สูงมาก ผมทอง หน้าอกก็ใหญ่มากเช่นกัน เฮ้อ ยังไงสาวชาวต่างชาติก็ไม่ต่างกันหรอก ผมจะแยกออกได้ยังไง?”


อายุประมาณสามสิบปี…ผมทอง หน้าอกใหญ่? เหมือนว่าช่วงนี้ก็เคยเจออยู่คนหนึ่ง? คงไม่ได้บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง?


เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว จากนั้นก็ออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็ว


“เอ๊ะ? พี่สาว! จดหมาย…จดหมายของผมล่ะ!”


คิดไม่ถึงว่าเหลาสู่เฉียงจะเดินเข้ามา แล้วยื่นนิ้วมือออกไปส่ายตรงหน้าอาซู จากนั้นก็เริ่มบีบกำปั้นเบาๆ


“ผม ผมไม่มีแมวกวักตัวที่สองนะ!”


มองดูเหลาสู่เฉียงเดินตัวลอยละลิ่วจากไป อาซูก็เช็ดเหงื่อแล้วนั่งลงมา ถึงจะบอกว่าที่นี่เปิดมายี่สิบกว่าปีแล้ว เจอเรื่องทำนองนี้ก็บ่อย แต่ก็ยังคงกลัดกลุ้มอยู่ เขาก้มหน้าลงลูบหน้าลูบตา ตอนนี้เองก็เหมือนประตูจะถูกผลักออกอีกครั้ง


“พวกคุณคิดจะเอาอะไรอีก” อาซูลนลานเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็อึ้งไปพักหนึ่ง


ที่เข้ามาไม่ใช่ชายหญิงเมื่อสักครู่ แต่ทว่าเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง


เธอสวมชุดเดรสสีดำ หน้าตางดงาม เป็นความสวยที่เหมือนอาบยาพิษ ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาสองใบ “ขอโทษนะคะ ที่นี่ยังมีห้องว่างไหม?”


“มี มีครับ” อาซูเผลอพูดออกมา แล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ลุ่มหลง


“ช่วยเตรียมห้องให้ฉันห้องหนึ่งได้ไหมคะ?” หญิงสาวในชุดสีดำพูดขึ้นเบาๆ


“ได้ ได้ครับ” อาซูให้กุญแจห้องห้องหนึ่งไปอย่างล่องลอย


“แล้วก็ช่วยเตรียมของกินบางอย่างให้ฉันได้ไหม? เอาตามที่เขียนไว้ตรงนี้ เอาของดีมาหลายๆ อย่าง ฉันจะจ่ายเงินไว้ก่อน ถ้าไม่พอเดี๋ยวฉันจะมาจ่ายเพิ่มให้”


อาซูก็ไม่ได้ดูแบงก์ที่ผู้หญิงชุดดำคนนี้วางเอาไว้ให้บนเคาน์เตอร์ เอาแต่จ้องผู้หญิงคนนี้เดินไปที่บันได ตอนที่พึ่งคิดว่าควรจะช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไป กลับเห็นอีกฝ่ายยกกระเป๋าลากใหญ่ข้างละใบขึ้นบันไดไปสบายๆ


อาซูมองดูเมนูที่อยู่ในมือตามสัญชาตญาณ “แม่งเอ๊ย กินเก่งขนาดนี้เชียว? นี่มันขนาดคนสิบกว่าคนกินได้ล่ะมั้ง? มิน่าล่ะแรงถึงได้เยอะขนาดนี้? …ไม่สิ ร่างกายบอบบางขนาดนี้จะยัดเข้าไปเยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง?”




หลังจากเยี่ยเหยียนฟื้นขึ้นมา ก็มองเจสสิก้าอีกครั้ง เพียงแต่เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แล้ว และสถานที่ก็ไม่ใช่ห้องเดี่ยวนั้นอีกแล้ว แต่เปลี่ยนไปเป็นอีกสถานที่หนึ่ง


เยี่ยเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง พร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันไม่น่าเชื่อเธอเลยจริงๆ …เธอคิดว่าจะพาฉันกลับไปแบบนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วเธอก็เป็นคนของพวกมัน?”


เจสสิก้านิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา


แต่ในตอนนี้ กลับมีเสียงอีกหนึ่งเสียงดังมาจากข้างหลังของเยี่ยเหยียน “ให้ฉันเป็นคนบอกคำตอบแกแล้วกัน!”


เยี่ยเหยียนไปกล้าหันไปมองเลยทีเดียว ลำพังแค่เสียงพูดนี้ เขาก็ตัดสินได้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเป็นใครกันแน่


คิงคอง!


คิงคองเดินมามายืนอยู่ข้างๆ เยี่ยเหยียน ใช้มือหนึ่งจับไหล่เยี่ยเหยียน แล้วออกแรงบีบเล็กน้อย “โอ้ ไม่เจอกันมาพักหนึ่งเลย หน้าตาดูสดใสดีนี่ ร่างกายเป็นยังไงบ้างล่ะ? หลายวันมานี้ฉันคันไม้คันมือจริงๆ”


เยี่ยเหยียนแสยะยิ้ม “ใช่แล้ว ฉันก็นึกว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะหายดีได้ นึกไม่ถึงว่าจะแค่ไม่กี่วัน หมัดของแกเบาเกินไปจริงๆ”


“จิ๊ๆ ลองดูอีกไหมล่ะ?” คิงคองหัวเราะเย็นชา


คิดไม่ถึงว่าเจสสิก้าที่เงียบไม่พูดไม่จาจะพุ่งเข้าไปจับข้อมือของคิงคองทันที พูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ฉันเป็นคนจับได้ ไม่ต้องให้แกมาจัดการหรอก”


คิงคองเลิกคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ทำไม? เห็นคนรักเก่าเลยอดไม่ได้ใช่ไหมเล่า?”


เจสสิก้าพูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “วิธีที่เหมือนกับเด็กปัญญาอ่อนแบบแก จะทำให้เขายอมปริปากบอกเรื่องที่รู้กับที่ซ่อนหลักฐานเหรอ? แม้ว่าแกจะซ้อมผู้ชายคนนี้จนตาย แกก็ไม่ได้คำตอบหรอก”


คิงคองขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “เธอมีวิธีเหรอ?”


เจสสิก้าตอบ “อย่าลืมว่าฉันทำอะไรมาบ้าง เรื่องสอบสวนฉันรู้ดีกว่าแก”


เธอเดินไปอีกฝั่ง บนโต๊ะมีกล่องใบหนึ่งวางไว้อยู่ หลังจากเปิดออก สิ่งที่บรรจุอยู่ข้างในมีเข็มฉีดยาหลายเข็ม ยาน้ำและยาเม็ดหลายขนาน


คิงคองยักไหล่ พร้อมกับเดินถอยหลังมาอีกฝั่ง ยกมือขึ้นพร้อมท่าทางเตรียมดูเรื่องสนุก


เจสสิก้ากลับพูดว่า “แกออกไปเถอะ ตรงนี้ไม่ต้องการแก!”


“ถ้าเธอแอบปล่อยเขาหนีไปล่ะ จะทำยังไง? นี่เป็นคนรักเก่าของเธอเลยนะ ฉันจะต้องจ้องเอาไว้ให้ดีหน่อย”


เจสสิก้าพูดอย่างเย็นชา “จะให้ฉันรายงานหัวหน้าก่อน แล้วแกค่อยออกไปเหรอ? อย่าลืมล่ะ ฉันมาแล้ว แกเป็นคนที่ฉันรับผิดชอบ”


“โอเค เธอว่ายังไงก็เอาตามนั้น” คิงคองยักไหล่ “ถ้าเกิดเรื่อง ฉันก็ไม่รับผิดชอบ…ชิ พวกเธอเสียงเบาๆ หน่อยแล้วกัน!”



“ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะเป็นคนของพวกมัน” เยี่ยเหยียนมองเจสสิก้าอย่างไม่อยากเชื่อ มองดูเธอที่กำลังแบ่งยาน้ำบางอย่าง นอกจากนั้นยังมียาเม็ดอยู่ข้างๆ อีกด้วย


ของสิ่งนี้เขาเคยเห็นที่สำนักงานใหญ่มาก่อน…เป็นของที่มักจะใช้สอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ยาพูดความจริง’


เจสสิก้าดีดเข็มฉีดยา ไม่ได้มองเยี่ยเหยียน “แต่นายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”


“…ตอนที่อยู่ที่เมืองลียง คนที่บอกร่องรอยของฉันก็คือเธอเหรอ?”


“จำเป็นต้องถามให้มากความด้วยหรือไง?” เจสสิก้าหันหน้ามา แล้วเดินมาหาเยี่ยเหยียนทีละก้าวทีละก้าว


เยี่ยเหยียนคิดจะขัดขืน แต่ว่าร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง เขาก็เหมือนกับราชสีห์ตัวหนึ่งที่ถูกโซ่ตรวนขนาดใหญ่จองจำเอาไว้ จึงได้แต่หรี่ตาทั้งสองข้างของตัวเองลง


เจสสิก้าเดินเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงบนขาของเยี่ยเหยียน ทั้งสองคนมองตากันแบบนี้ แล้วเธอก็พูดขึ้นทันทีว่า “เยี่ยเหยียน มาเข้าร่วมกับพวกเราไม่ดีกว่าเหรอ?”


“นี่เป็นเรื่องตลกที่ไม่ตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิตนี้” เยี่ยเหยียนแสยะยิ้ม “เข้าร่วมกับพวกเธอ? เข้าร่วมสมาคมไมเคิล? เธอนึกว่าฉันไม่รู้สิ่งที่สถานที่บ้านี่ทำ?”


เจสสิก้าพูดเสียงเฉยเมย “ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ก็เพื่อให้โลกใบนี้สวยงามกว่าเดิม”


เยี่ยเหยียนหัวเราะได้ใจ “นี่เป็นเรื่องตลกที่ตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาในชีวิตนี้! เพื่อให้โลกใบนี้สวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิมงั้นเหรอ? พวกเธอก็เลยไปขายยาเสพติด! ไปซื้ออวัยวะคนมาขายต่อ ไปค้าอาวุธเถื่อน แม้กระทั่งไปก่อความไม่สงบที่ตะวันออกกลาง ที่แอฟริกา? เธอบอกฉันว่าพวกเธอทำเพื่อให้โลกนี้สวยงามกว่าเดิม? ฮ่าๆๆๆ!!!”


“นายคิดว่าความชั่วร้ายบนโลกใบนี้จะหมดไปได้เหรอ?” เจสสิก้าพูดเฉยเมย


เยี่ยเหยียนสบถออกมาหนึ่งคำ “นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระเหรอ?”


เจสสิก้าตอบ “ขอแค่มนุษย์ยังดำรงอยู่ ความชั่วร้ายในสัญชาตญาณของมนุษย์ก็จะไม่หายไป ในเมื่อไม่มีหนทางกำจัดได้โดยสิ้นเชิง อย่างนั้นก็ใช้วิธีการที่มีประสิทธิภาพมาจัดการ เมื่อตอนที่โลกใบนี้มีแหล่งกำเนิดของความชั่วร้ายเพียงแห่งเดียว ความเป็นระเบียบเรียบร้อยรูปแบบใหม่ก็จะมาเยือน”



‘ตอนที่โลกใบนี้มีที่แหล่งกำเนิดของความชั่วร้ายเพียงแห่งเดียว ความเป็นระเบียบเรียบร้อยรูปแบบใหม่ก็จะมาเยือน’


เมื่อบุคคลที่สามและบุคคลที่สี่ในห้องได้ยินคำพูดนี้ ปฏิกิริยาของบุคคลที่สามและบุคคลที่สี่นั้นไม่เหมือนกัน


บุคคลที่สี่เผยรอยยิ้มคล้ายสนอกสนใจ


ส่วนบุคคลที่สามนั้น…ลั่วชิวกลับกำลังไตร่ตรองคำพูดนี้อย่างค่อนข้างจริงจัง


เขาเริ่มนึกถึงคำพูดนั้นที่เยี่ยเหยียนเคยพูดกับหม่าโฮ่วเต๋อ


พวกมันคือคำเรียกรวมของคนหลายคนหรือว่าสิบกว่าคน กลัวว่าพวกมันจะเป็นผู้มีฐานะทางสังคมระดับสูงในสายอาชีพต่างๆ นายทุน ข้าราชการ แม้กระทั่งผู้ค้ายารายใหญ่ ทหารและอื่นๆ …


ดังนั้นความคิดของพวกมันก็คือกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งความชั่วในโลกนี้ ทำให้โลกใบนี้เข้าสู่ความเป็นระเบียบในรูปแบบใหม่?


ยังไม่ต้องพูดว่าความคิดแบบนี้ถูกหรือผิด ต่อให้สุดท้ายเรื่องนี้สำเร็จจริง แต่ลั่วชิวฟังแล้วคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล


พวกผู้นำของสมาคมไมเคิลกลุ่มนี้ ในหัวสมองจะมีผีชั่วร้ายขนาดไหนกำลังล้างสมองอยู่?


“ยังไงตัวตลกที่ชั่วร้ายก็เป็นได้เพียงตัวตลกที่ชั่วร้าย สิ่งที่คิดได้ก็แค่นี้เอง”


นี่เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ครั้งที่สองของโยวเย่ที่มีต่อสมาคมไมเคิลนี้


ลั่วชิวไม่ได้ตัดสินใจยอมรับคำพูดของสาวใช้ เพียงแค่กำลังมองดูเจสสิก้าและเยี่ยเหยียนอยู่เงียบๆ ค่อยๆ มองดูเจสสิก้าเอาเข็มฉีดยานั้นจิ้มเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเหยียนทีละน้อย


ข้างในเกรงว่าจะไม่ใช่ ‘ยาพูดความจริง’ อะไร แต่เป็นยาบำรุงร่างกายที่โยวเย่เปลี่ยนเอาไว้นานแล้ว


บทที่ 114 เปลวไฟอ่อนแรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉีดยาโดสหนึ่งเข้าไปจนหมดแล้ว เจสสิก้าก็ออกห่างจากตัวเยี่ยเหยียน


เธอกำลังมองดูเยี่ยเหยียนพร้อมกับพูดว่า “ครั้งหน้าก่อนฉีดยา ฉันหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่นายรับปาก”


เยี่ยเหยียนหัวเราะอย่างเย็นชา พร้อมกับก้มหน้าลง มองพื้นห้องให้รู้แล้วรู้รอดไป เจสสิก้าก็เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจ หลังจากที่เก็บของเสร็จเรียบร้อย ก็เดินออกไปช้าๆ


เธอเพิ่งจะออกจากประตูบานนี้ไป คิงคองก็เดินเข้ามาถามทันที “เป็นยังไงบ้าง ได้คำตอบไหม?”


เจสสิก้าพูดเสียงเฉยเมย “เขาเคยถูกฝึกมา นอกจากนี้ยังฉีดสารต้านทุกปี อย่างน้อยต้องใช้อีกสามโดสถึงจะเกิดผล แกรีบร้อนอะไร?”


คิงคองพูดเหยียดหยาม “ฉันนึกว่าเป็นวิธีอะไร ที่แท้ก็ยุ่งยากขนาดนี้”


เจสสิก้าแสยะยิ้ม “แกก็เคยจับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง หรือยังไม่รู้จักเขาดีอีก ถึงแม้แกจะซ้อมเขาให้ตาย ก็ถามอะไรที่มีประโยชน์ไม่ได้เลยสักนิดนี่?”


คิงคองสบถออกมาครั้งหนึ่ง


แล้วเจสสิก้าก็พูดว่า “ของล็อตนั้นทิ้งไว้ที่ไหน? ปลอดภัยหรือเปล่า?”


คิงคองตอบ “ของล็อตนั้นมีเพียงฉันที่รู้ว่าซ่อนไว้ที่ไหน ปลอดภัยแน่นอน เธอวางใจได้”


เจสสิก้าขมวดคิ้ว “นานขนาดนี้แล้ว ฉันอยากลองไปยืนยันสักหน่อย แกพาฉันไปสิ”


คิงคองส่ายหัว “ไม่ต้อง ฉันบอกว่าปลอดภัยก็คือปลอดภัย อีกสองวัน ทางฝั่งองค์กรก็หาวิธีขนส่งได้แล้ว พอถึงตอนนั้นเธอก็จะได้เห็น เธอดูผู้ชายคนนั้นไว้ให้ดีเถอะ เพราะสิ่งที่เขามีอยู่ในมือมันจะเป็นอันตรายกับคนภายในองค์กรอาชญากรรมอย่างพวกเธอ”


“ฉันก็มีแผนอยู่ในใจแล้ว” เจสสิก้าพูดอย่างเฉยชา “ฉันจะออกไปทำธุระหน่อย แกอยู่ที่นี่ดูเขาเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้หนีไปเหมือนครั้งก่อน แล้วฉันต้องมาเก็บกวาดให้แกอีกล่ะ”


คิงคองยิ้มเย็น “เธอวางใจได้ ครั้งนี้ฉันจะจับตาดูเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง! นอกจากว่าเขาเป็นวิญญาณ ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดหนีไปต่อหน้าฉันได้เลย”


เจสสิก้าพยักหน้า “แกอย่าแตะต้องเขาจะดีกว่า เพราะถ้ายิ่งเจ็บปวด ถูกข่มขู่ หรือแม้กระทั่งพูดคุยกับแก มีแต่ทำให้เขาได้สติ และยาออกฤทธิ์ยากขึ้นเท่านั้น”


คิงคองยักไหล่ แต่กลับใช้หมัดต่อยไปบนกระสอบทรายที่อยู่ข้างๆ เสียงดังปัง เขาไม่ตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันธรรมดาๆ “รู้แล้วว่าเธอรักแฟนของเธอสุดหัวใจ ฉันชกอันนี้ได้ใช่ไหมล่ะ?”


เจสสิก้ามองคิงคองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดต่อความยาวสาวความยืดไปอีก



เธอกลับไปที่ห้องเช่าของเธออย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้กลับไปที่ชั้นของตัวเองทันที ทว่ากลับมาที่ชั้นล่าง เปิดบ้านคนอื่นอย่างชำนาญ…บ้านของลั่วชิว


หลังจากรื้อเครื่องดักฟังที่ติดตั้งไว้ที่นี่ทีละอันทีละอัน โดยพยายามไม่ให้ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้แล้ว เจสสิก้าถึงได้ขึ้นลิฟต์กลับมาที่ชั้นของตัวเอง แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าจะเห็นเริ่นจื่อหลิงอยู่ที่นี่


เจสสิก้ารู้สึกตกตะลึง แต่กลับสงบสติอารมณ์ได้อย่างน่าประหลาด เธอแสดงสีหน้าสงสัยออกมา “คุณเริ่น คุณมาหาฉันเหรอคะ?”


เริ่นจื่อหลิงมาถึงที่นี่สิบกว่านาทีได้แล้ว กระดิ่งก็กดมาเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้ว “อ้อ…ใช่น่ะสิ มาหาเธอ”


สายตารองบรรณาธิการเริ่นมองไปอีกทาง จากนั้นก็ทำใบหน้ายิ้มรับคน “คือแบบนี้นะ บ้านใกล้เรือนเคียงกัน เมื่อหลายวันก่อนเธอข้อเท้าแพลงไม่ใช่เหรอ? ฉันก็เลยอยากมาดูสักหน่อยว่าเธอดีขึ้นแล้วหรือยัง”


เจสสิก้ายิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณที่เป็นห่วง ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”


“อ้อ…งั้นเหรอ” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า พร้อมพูดขึ้นทันที “ใช่แล้ว ฉันขอเข้าไปดูหน่อยได้ไหม? คือแบบนี้นะ ระเบียงบ้านฉันมีน้ำหยดอยู่ตลอด ฉันอยากจะดูหน่อยว่าท่อระบายน้ำแอร์บ้านเธอพังหรือเปล่า…ฮ่าๆ ฉันไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นเธอแน่ๆ หรอก จริงๆ ฉันก็ถามขึ้นมาตลอดทางนั่นแหละ”


“ไม่เป็นไรค่ะ” เจสสิก้าเปิดประตูพลางพร้อมพูดว่า “คุณเข้ามาลองดูสิคะ ถ้าเป็นของฉันล่ะก็ ฉันจะแจ้งเจ้าของห้องทันที”


เริ่นจื่อหลิงที่เดินเข้ามาเริ่มจ้องมองไปทั่ว แล้วเจสสิก้าก็พูดขึ้นว่า “คุณเริ่น ระเบียงอยู่ทางนั้นค่ะ”


“อ่า ใช่ๆ” เริ่นจื่อหลิงพูดขึ้นทันที “เอ่อ ขอยืมใช้ห้องน้ำหน่อยได้ไหม? จู่ๆ ก็อยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาน่ะ~”


“ไม่เป็นไรค่ะ”



“…เหมือนจะไม่ได้มาจากที่นี่ มารบกวนคุณซะแล้ว”


ไม่มี ไม่มี ไม่มี…ไม่มีบ้าอะไรเลย ในห้องไม่มีคนอยู่เพิ่มเลย เริ่นจื่อหลิงอดถอนหายใจไม่ได้ คิดว่าลางสังหรณ์ของตัวเองครั้งนี้คงจะไม่ค่อยแม่นยำแล้ว


“ไม่เป็นไรค่ะ” เจสสิก้าไปส่งเริ่นจื่อหลิงที่หน้าประตู หลังจากมองดูเธอเดินเข้าไปในลิฟต์แล้ว ก็คิดบางอย่างได้




อาซูค้นชุดสูทเมื่อสิบปีก่อนออกมาจากในตู้เสื้อผ้า หลังจากหวีผมให้เป็นสไตล์ผู้ชายวัยรุ่นแล้ว ก็หิ้วอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกสองถุง มาถึงหน้าห้องห้าศูนย์ห้า ก่อนเคาะประตู อาซูถึงกับกระแอมให้คอโล่ง “แค่กๆ …คุณผู้หญิง ของที่คุณสั่งไว้มาส่งแล้วครับ!”


ผู้หญิงชุดดำที่พึ่งจะมาพักอยู่ที่นี่ไม่นานนักก็เปิดประตูออกมา กำลังมองดูอาซูคนนี้…ถ้าเธอไม่ได้จำผิดล่ะก็ เหมือนว่าเมื่อสักครู่อาซูคนนี้จะสวมใส่เพียงแค่เสื้อกล้ามตัวเล็กสีขาวกับกางเกงขาสั้น และใส่รองเท้าแตะ?


แต่ว่าไม่เป็นไร เธอพยักหน้าหลังจากรับอาหารแล้วก็คิดจะปิดประตู


“เอ่อ…รอเดี๋ยวครับ” อาซูดึงบานประตูไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นก็เอาตัวพิงไปที่ขอบประตู


“ยังมีเรื่องอะไรอีกคะ?”


“อืม คืออย่างนี้ครับ ทางเราต้องใช้บัตรประชาชนมาลงทะเบียน…เมื่อสักครู่คุณผู้หญิงยังไม่ได้ลงทะเบียนเลยนะครับ!” อาซูพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่นี่พวกเราเป็นสถานที่ที่ได้มาตรฐานนะครับ!”


หญิงสาวชุดดำตะลึงงัน ยิ้มให้อาซูเล็กน้อย “คุณเจ้าของ พวกเราลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณลืมไปแล้วเหรอ?”


อาซูกะพริบตา มึนงงไปครู่หนึ่ง “ใช่แล้ว…เคยลงทะเบียนไปแล้ว”


“คุณเจ้าของ ถ้าไม่มีธุระแล้วก็ไปทำงานเถอะ”


“ได้ ได้…ได้ครับ” อาซูหันตัวกลับไปทันที เดินจากไปแบบโง่ๆ แป๊บเดียวก็ลงบันไดไปเสียแล้ว


หลังจากสาวชุดดำปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็ส่ายหน้า ในตอนนี้เองเงาสีดำเล็กๆ เงาหนึ่งก็บินทะยานมาข้างหน้าของเธอ หญิงสาวชุดดำยื่นมือออกไปคว้าไว้เบาๆ ก็จับเงาสีดำเล็กๆ ไว้ได้แล้ว “จูหลัวจื่อก่อนกินข้าวต้องล้างมือก่อนนะ เจ้าลืมที่พี่สอนเจ้าไปแล้วหรืออย่างไร”


“โถ่! แต่ท้องของข้าหิวมากเลยนะ พี่เฮยสุ่ย!”


“ล้างมือ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกิน” เฮยสุ่ยพูดด้วยหน้าเคร่งขรึม


จูหลัวจื่อพุ่งไปที่ห้องน้ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เฮยสุ่ยส่ายหน้า เปิดกระเป๋าเดินทางทั้งสองใบออกมา ท่าทางข้างในนี้ได้ใส่สัตว์ตัวเล็กๆ หลายตัวเอาไว้ เธอพ่นลมหายใจไปทางพวกมันหนึ่งครั้ง สัตว์ตัวน้อยแต่ละตัวก็เริ่มคืนสู่สภาพเดิม กระโดดออกมาจากกระเป๋าเดินทางทีละตัวทีละตัว


ปีศาจกระต่ายน้อยขยี้ตาพร้อมพูดว่า “พี่เฮยสุ่ย ถึงแล้วเหรอ?”


“อื้ม แค่จูหลัวจื่อตะกละ ตื่นขึ้นมาเป็นตัวแรก” เฮยสุ่ยพูดอย่างตลกขบขัน “มาสิ พวกเจ้ามากินอะไรก่อนสักหน่อย กินเสร็จแล้วพี่จะออกไปข้างนอก พวกเจ้าก็รอข้าที่นี่แล้วกัน แต่จำไว้ให้ดีว่า ห้ามเดินออกนอกห้องนี้เด็ดขาด และก็เปิดหน้าต่างไม่ได้ด้วย เข้าใจไหม?”


ปีศาจกระต่ายน้อยตอบรับอย่างเชื่อฟัง “อื้มๆ หลิงหลิงจะดูพวกเขาไว้ให้ดีเองค่ะ!”




“ยังไม่กลับมาเหรอ รู้แล้ว…เหลาสู่เฉียง นายจับตาดูต่อไป ถ้าคนกลับมาแล้ว นายก็บอกเขาว่าจดหมายอยู่ที่ฉัน ถ้าเขาอยากได้ก็มาหาฉัน”


เริ่นจื่อหลิงวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโซฟา แล้วทอดถอนใจ…เรื่องของเหล่าเยี่ยทำให้น่าเป็นห่วงจริงๆ


“จิ๊ๆๆ …เจ็บจัง…”


ใช้ฝ่ามือทุบแมวกวักจนแตกกระจายได้เพียงครั้งเดียวต้องเท่มากๆ อยู่แล้ว แต่หลังจากเท่แล้วก็ต้องจ่ายค่าชดเชยด้วยน่ะสิ รองบรรณาธิการเริ่นเช็ดฝ่ามือด้วยเหล้าเถียต่า* พลางถอนหายใจที่ตัวเองทำตัวเป็นวัยรุ่นเกินไป


สมัยก่อน อย่างน้อยก็ต้องสองตัวน่ะ “เจ็บๆๆ …”


“คุณกำลังทำอะไร? ยังไม่เข้ามาก็ได้ยินเสียงคุณกำลังร้องโหยหวน”


เริ่นจื่อหลิงตะลึงงัน รีบซ่อนเหล้าเถียต่าไว้ข้างหลัง หันหน้าเข้าหาประตูพร้อมกับยิ้มเฝื่อนๆ “ไม่มีอะไร แค่เมื่อกี้นี้มียุงมากัดฉัน แล้วทำไมวันนี้กลับไวขนาดนี้ล่ะ? ไม่ต้องติวให้สาวมัธยมปลายสวยๆ คนนั้นเหรอ?”


ตามหลักแล้ว ถ้าจะคิดไตร่ตรองให้ถูกต้องล่ะก็ กลับมานานขนาดนี้ คงจะรู้สึกแล้วว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่าง…แต่เห็นชัดๆ ว่าเริ่นจื่อหลิงไม่มี


เพราะว่าพวกเราชินกับการเชื่อคำพูดของญาติข้างตัวที่สนิทที่สุด



ลั่วชิวไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด แต่กลับเดินไปอยู่ข้างตัวเริ่นจื่อหลิง แล้วนั่งลงมา พร้อมพูดด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ข้างหลังซ่อนอะไรเอาไว้ครับ?”


“เปล่า” เริ่นจื่อหลิงมองไฟสีขาวบนเพดานพร้อมพูดว่า “ไอ้ยุงบ้า ยังอยู่อีกเหรอ…แกมองหน้าฉันทำไม? หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือยังไง…อ๊ะ ดูทีวีดีกว่า…ใช่แล้ว เธอพึ่งกลับมาไม่ไปอาบน้ำก่อนเหรอ…รู้แล้วจ้า! รู้แล้ว!”


เริ่นจื่อหลิงที่ทนต่อสายตาของเจ้าของร้านลั่วไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แค่เอายาทาแผลที่อยู่ข้างหลังออกมาอย่างว่าง่าย พอเห็นท่าทางขมวดคิ้วของลั่วชิว เริ่นจื่อหลิงจึงพูดขึ้น “แค่ไม่ระวังจนกระแทกมือเข้าเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้ไปแตะต้องของคนอื่นจนพังเลยจริงๆ …โถ่เอ๊ย…”


บ้าจริง นึกไม่ถึงว่าจะหลุดพูดไปเอง…สายตาของเจ้านี่น่ายำเกรงแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


ลั่วชิวถอดถอนใจ ยื่นฝ่ามือออกมา


เริ่นจื่อหลิงทำได้แค่เอาเหล้าเถียต่าวางไว้บนมือลั่วชิวอย่างว่าง่าย


ลั่วชิวประคองมือที่บาดเจ็บของเริ่นจื่อหลิงขึ้นมา หลังจากทายาแล้ว ก็เริ่มต้นนวดคลึงเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ชดใช้เงินไปหรือยัง?”


“ใช้แล้ว…เจ็บๆ เบาหน่อยๆ …เธอจะเบามืออีกนิดไม่ได้เหรอ?” รองบรรณาธิการเริ่นน้ำตาคลอเบ้าทันที สีหน้าท่าทางคับแค้นใจ


“ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก แค่กล้ามเนื้ออักเสบนิดเดียว”


“ก็ใช่น่ะสิ ฉันก็บอกแล้วนี่ว่าไม่เป็นไร…เจ็บๆ!! เบาหน่อย!! ฉันผิดไปแล้วโอเคไหม…บอสปล่อยฉันไปเถอะ…”


“คืนนี้อย่าโดนน้ำ ช่วงนี้อย่ากินของรสจัด คุณยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม เดี๋ยวผมทำโจ๊กให้กิน” หลังจากลั่วชิวคลำขวดยาในมือแล้วก็เดินเข้าห้องครัวไป


ใครบอกว่าผู้หญิงพอไม่มีผู้ชายก็อยู่ไม่ได้กันล่ะ?


ลูกชายฉันคนนี้เกาะติดกันไปตลอดชีวิตแน่ๆ เลย!


รองบรรณาธิการเริ่นผู้ที่มีความพอใจและความภูมิใจมหาศาลอย่างหนึ่งอยู่เต็มห้องหัวใจ จำต้องยิ้มอย่างโง่งม


เพียงแต่เธอก็ต้องหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอน


เธอจ้องจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ มืออีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้บาดเจ็บค่อยๆ ยื่นไปทางจดหมายอย่างช้าๆ แต่ก็หดกลับมาอย่างรวดเร็ว


“ไม่ได้ๆ ดูไม่ได้…”


เธอกัดฟันกรอด แล้วยื่นมือออกไปอีกครั้ง จากนั้นก็หดกลับมา “ดูไม่ได้จริงๆ นะ ไม่อย่างนั้นเหล่าเยี่ยต้องด่าฉันตายแน่…”


เธอยื่นมือออกไปเป็นครั้งที่สาม “ดูนิดดูหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?”


รองบรรณาธิการเริ่นผิวปากไปพร้อมกับสายตาเลื่อนลอยไปนอกหน้าต่าง นิ้วเริ่มฉีกซองจดหมายออก หากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขมันก็จะยังไม่หายไป


*เหล้าเถียต่า หนึ่งในยาแผนจีน ใช้เหล้าแช่ตัวยาเอาไว้ ทำให้ได้สารที่มีประสิทธิผลออกมา


บทที่ 115 ยุคหลังของ ‘มัน’

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉันออกไปข้างนอกสักหน่อยนะ”


ลั่วชิวที่เพิ่งจะยกหม้อโจ๊กหม้อหนึ่งออกมาจากห้องครัว เห็นเริ่นจื่อหลิงท่าทางรีบร้อนเดินไปหน้าประตู


“เอ่อ มีสัมภาษณ์ อาจจะกลับมาดึกหน่อยนะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก” เริ่นจื่อหลิงยังพูดทิ้งไว้อีกประโยค ตามมาด้วยเสียงปิดประตู


ลั่วชิวที่ถอดถุงมือออกก็ขมวดคิ้ว ท่าทางราวกับคิดอะไรอยู่…สีหน้าที่รีบร้อนแบบนั้น ถึงแม้กำลังพยายามปกปิดอย่างสุดชีวิต แต่ความจริงก็ไม่อาจเล็ดลอดไปจากสายตาทั้งสองข้างของเขาได้




กี่วันมาแล้ว?


อย่างไรก็ผ่านมานานหลายวันแล้ว หลายวันมานี้ ปีศาจผีเสื้อน้อยลั่วเพียนเซียนรู้สึกว่าชีวิตวันหนึ่งราวกับหนึ่งปี


ลูกค้าที่มาพักชั่วคราวที่ศูนย์สัตว์เลี้ยงสบายใจ คือคุณซูจื่**อจวิน


เป็นครึ่งผีดิบ


ซูจื่อจวินกับหลงซีรั่วเหมือนเหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เพียงแค่อยู่ด้วยกันเกินกว่าหนึ่งนาทีขึ้นไป ก็มักจะหาเรื่องแปลกๆ มาเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว


ปีศาจผีเสื้อน้อยที่รู้สึกว่าตนเองยังไม่คุ้นเคยจนยืนอยู่ข้างๆ ซูจื่อจวินได้ กลับมักจะโดนลูกหลงถูกดึงเข้าไปอยู่ตรงกลางการทะเลาะวิวาทระหว่างคนทั้งสอง


เหนื่อยใจเหลือเกิน…


เพียงแต่ปีศาจผีเสื้อน้อยคิดว่า คุณซูจื่อจวิน็ไม่ใช่พวกที่ชอบจับผิดฟื้นฝอยหาตะเข็บอย่างที่เห็นจริงๆ


จะบอกว่ายังไงดีล่ะ?


พวกปากร้ายใจดี? พวกไม่รู้จักพูด? พวกปากไม่ตรงกับใจ?


ยกตัวอย่าง ทุกครั้งหลังทำสงครามเย็นกับพี่หลง ก็มักจะหลอกถามข่าวของพี่หลงจากตนเองบ้าง


ช่วงนี้


อ่าน


พจนานุกรมซินหวาฉบับปรับปรุงจบไปแล้ว


ปีศาจผีเสื้อน้อยรู้สึกว่าตนเองใช้สุภาษิตได้เยอะขนาดนี้เลย เป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่เสียจริง เก่งจุงเบย!


“ยายแก่นั่นล่ะ?”


ลั่วเพียนเซียนนั่งกระดิกขาอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ของศูนย์สัตว์เลี้ยงสบายใจ กำลังดื่มนมวัวด้วยสีหน้ามีความสุขพลางตอบกลับไปว่า “พี่หลงสัปหงกอยู่ในห้องทำงานแน่ะ คุณจื่อจวิน คุณเดินตรงไปหาเธอก็ได้แล้ว”


ซูจื่อจวินทำเสียงเหอะเยาะเย้ย…เธอซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ในขณะนี้อันที่จริงสองมือกำลังประคองถือหม้อดินใบหนึ่งอยู่ ในตอนนั้นเองเธอก็วางหม้อดินลงบนโต๊ะ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “นี่เป็นอาหารแย่ๆ ที่ฉันเพิ่งทำเสร็จ และก็มีแค่ลิ้นของยายแก่นั่นเท่านั้นถึงจะเหมาะลิ้มรสของแบบนี้ที่สุด ถ้าเธอไม่คิดจะกินเงินเดือนฟรีๆ ที่นี่ต่อไป ก็ยกไปป้อนหล่อนสิ!”


เห็นชัดๆ ว่ายกเข้าไปเองก็ได้ แล้วฉันก็ไม่ใช่พวกกินเงินเดือนฟรีๆ นะ!


ลั่วเพียนเซียนถอนหายใจ ตอนที่คิดจะพูดอะไรออกไป สาวชุดดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามา สาวชุดดำมองลั่วเพียนเซียนกับซูจื่อจวิน ลังเลอยู่พักหนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น “ไม่ทราบว่า ท่านหมอหลงอยู่หรือไม่?”


ซูจื่อจวินหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอซึ่งยังดูละอ่อนเลียริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นในทันที “ยายแก่นั่นไม่อยู่หรอก แต่ถ้าเธอมีเรื่องอะไร พูดกับฉันก็ได้…”


ซูจื่อจวินหยุดพูดทันที ตัวของเธอพลันลอยขึ้นมา


แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าความตั้งใจของเธอเอง


แต่เพราะตอนนี้คอเสื้อเธอกำลังถูกอะไรจับไว้อยู่


พูดให้ถูกคือ เธอถูกคนทำให้ตัวลอยขึ้นมา และในวินาทีต่อมา ก็หล่นตุบไปอยู่ข้างๆ


พอดีกับหลงรั่วซีที่ไม่รู้ว่าเดินออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอมองสาวชุดดำคนนี้แวบหนึ่ง และพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ไม่ต้องไปสนยัยนั่น เธอเข้ามาห้องฉันก่อน”


ในวินาทีที่หลงซีรั่วออกมา สาวชุดดำก็เปลี่ยนเป็นนอบน้อมขึ้นทันที เธอพยักหน้าน้อยๆ สายตาไม่วอกแวก เดินตามหลังหลงซีรั่วเข้าไปในห้องทำงาน



“มาหาฉันมีธุระอะไร?”


หลงซีรั่วนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ขาไขว่ห้าง จุดบุหรี่มวนหนึ่ง กำลังพิจารณาสาวชุดดำที่อยู่ตรงหน้า…เฮยสุ่ย แล้วพูดขึ้นช้าๆ “ลมปราณของเธออ่อนลง ด้วยความสามารถของเธอแล้ว หลายปีมานี้ลมปราณน่าจะแข็งแกร่งขึ้นสิ”


เฮยสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหลงซีรั่วทันที “ท่านหลง ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”


หลงซีรั่วขมวดคิ้ว ไม่ได้เลือกที่จะพยุงเธอขึ้นมา “ลุกขึ้นมา บอกฉันมาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


เฮยสุ่ยถอนหายใจแล้วบอก “สิบปีก่อน…”



หลงซีรั่วพ่นควันออกมาจากปากช้าๆ พูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “สองร้อยปีก่อนฉันพบเธอก็เคยบอกเธอแล้ว ว่าให้ตั้งใจเปลี่ยนร่างอย่าเสียสมาธิ ร้อยปีก่อนฉันมาเยี่ยมเธออีก ก็บอกอีกเหมือนเดิม สิบห้าปีก่อน เธอก็ยังคงไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ เฮยสุ่ย เธอเป็นปีศาจสายเลือดรุ่นหลังของฉัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรดาปีศาจ ถ้าหากสามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างเต็มที่ล่ะก็ อย่าว่าแต่ปีศาจเสือโคร่งตัวหนึ่งเลย ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งสิบตัวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอเลย”


เฮยสุ่ยมองหลงซีรั่ว แล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านหลง หากในเผ่าปีศาจของข้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข่นฆ่ากันเองแย่งชิงอาณาเขตแบบพวกมนุษย์นั่นถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ล่ะก็ พวกเรายังจะต่างอะไรกับมนุษย์พวกนั้นที่บีบบังคับให้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นทุกวันนี้เล่า?”


“แต่ไหนแต่ไรมาการต่อสู้แย่งชิงก็เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ถ้าปีศาจมีอำนาจปกครองโลกใบนี้ล่ะก็ เธอคิดว่าโลกจะไม่มีการต่อสู้แย่งชิงดินแดนอีกแล้วเหรอ มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้นแหละ”


เฮยสุ่ยส่ายหน้าพูดขึ้น “ตั้งแต่ที่พวกเราโง่เขลาเบาปัญญาจนกระทั่งรู้จักมีสติปัญญาไหวพริบ เพียงแค่ดำเนินชีวิตตามสัญชาตญาณจนกระทั่งเรียนรู้ที่จะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง หรือว่านี่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่สลัดสัญชาตญาณสัตว์ป่าทิ้งไป? จะต้องรู้ว่า ถึงแม้จะเป็นสัตว์ป่าก็มีประเภทที่ไม่ต่อสู้เหมือนกัน”


หลงซีรั่วกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เธอให้ฉันช่วยเธอ วิธีของฉันก็คือใช้กำลังปราบปรามเสือโคร่งตัวนั้น นี่ก็คือการแสดงออกของสัญชาตญาณสัตว์ป่า”


เฮยสุ่ยนิ่งอึ้ง ก้มหน้าแล้วพูดขึ้น “ท่านหลง ขอเพียงท่านพูดเกลี้ยกล่อมสักหน่อย มันก็จะไม่ยึดครองดินแดนที่พวกข้าอยู่”


“ไม่ มันจะไม่ยึดครองที่เดิม แต่จะจากไป แล้วไปยึดครองที่อื่น” หลงซีรั่วพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา “อันที่จริงมันแค่จะยอมศิโรราบให้กับฉัน แต่ถึงจะยอมให้เธอเพราะยอมศิโรราบให้ฉัน แล้วก็จะไปรุกรานที่อื่นเหมือนกัน การดำรงชีวิตของปีศาจเสือโคร่งจำเป็นต้องอาศัยพลังลมปราณณอยู่มาก หลายปีมานี้มันเริ่มลงมือแล้ว แน่นอนว่ามันมาถึงจุดที่ไม่สามารถทนต่อไปได้แล้ว เธอไม่คิดต่อสู้แย่งชิง แต่ไม่ว่ายังไงสาเหตุการต่อสู้แย่งชิงก็จะเริ่มมาจากเธออยู่ดี”


เฮยสุ่ยกัดฟันกรอด


หลงซีรั่วหัวเราะเยาะพร้อมพูดขึ้น “ถ้าให้พูดกันจริงๆ แล้ว ก็เป็นเพราะเธอรั้นไม่ยอมแข็งแกร่งขึ้น เธอกลัวพลังของตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะควบคุมมันไม่ได้ ความกลัวพวกนี้ทำให้สายเลือดที่มีอยู่ในตัวเธอไร้ค่าไปเลย…เธอกลับไปเถอะ แล้วคิดให้ดีๆ ถ้าคิดจะให้ฉันช่วยเธอจริงๆ ก็ค่อยมาแล้วกัน”


เฮยสุ่ยกุมชายกระโปรงตนเองไว้ แล้วจากไปอย่างเศร้าสลด


ในห้องโถงใหญ่ซูจื่อจวินที่กำลังคุยเล่นกับปีศาจผีเสื้อน้อยี้อย่างสนุกสนานก็มองไปที่หลงซีรั่ว พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “นี่เป็นยุคหลังของ ‘มัน’ ล่ะสิ?”


หลงซีรั่วมองซูจื่อจวินอย่างไม่แยแสแวบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ห้ามเธอแตะต้องเขา เพราะ…เขาเป็นคนของฉัน”


มังกรสายเลือดแท้ตัวสุดท้ายแห่งแผ่นดินฮั่นที่ยิ่งใหญ่ มองไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง ในชั่วพริบตานั้นทำให้สาวน้อยที่มีเลือดครึ่งผีดิบ เหงื่อแตกพลั่กทั้งตัว


“เชอะ”


ซูจื่อจวินทำเป็นเชอะใส่




“…ดึกขนาดนี้แล้วเรียกผมออกมาทำอะไร? พี่รู้หรือเปล่าเมียผมเกือบจะนึกว่าผมออกมาทำอะไรเหลวไหลแล้ว?”


เริ่นจื่อหลิงมองค้อนใส่หม่าโฮ่วเต๋อ “ดูหน้าตาขี้ขลาดของนายสิ เกรงใจเมียที่บ้านขนาดนี้ ยังกล้าบอกว่าออกมาทำเรื่องเหลวไหลอีกเหรอ”


“ผม…” หม่าโฮ่วเต๋อขบกรามแน่น แต่ยังคงไม่คิดจะโต้เถียงต่อ…อย่างไรเขาก็ไม่เคยเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้เลยสักครั้ง ขืนพูดต่อไปมีแต่จะทำให้ตนเองลำบากเปล่าๆ


“งั้นคุณเรียกผมออกมาทำอะไร?”


“นายลองดูนี่สิ”


เริ่นจื่อหลิงส่งจดหมายให้หม่าโฮ่วเต๋อ พร้อมขมวดคิ้ว พูดอย่างจริงจังสุดๆ “นี่เป็นของที่ส่งให้เยี่ยเหยียน เหล่าหม่า เยี่ยเหยียนกลัมาครั้งนี้เพราะอะไรกันแน่ ทำไมสถานที่ในจดหมายนั่นถึงต้องเป็นที่เดียวกับสุสานของสามีฉัน?”


​เดิมเซอร์หม่าคิดว่าเป็นรายชื่อเยี่ยเหยียนในใบนำจับ แต่พอได้ยินอย่างนี้ เขาก็พูดขึ้นด้วยความตกใจ “อะไรนะ?”


บทที่ 116 จุดประสงค์ร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หม่าโฮ่วเต๋ออ่านเนื้อหาในจดหมายนี้แวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว มีสถานที่แบบนี้อยู่จริงๆ …แถมยังบอกเวลาไว้อีกด้วย


ลองคำนวณเวลาดูแล้ว สามวันหลังจากนี้พอดี


“นี่เป็นจดหมายที่ใครให้เหล่าเยี่ย เวลาคือสามวันหลังจากนี้ คงจะนัดกันเจอกันที่นี่ประมาณสามวันให้หลัง” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วพูดคาดเดา…แต่เขาก็ยังสงสัย “แต่ที่ไหนไม่เลือก ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วย?”


“นี่เป็นจุดที่ฉันแปลกใจ…หม่าโฮ่วเต๋อบอกฉันมาตามตรง นายรู้อะไรบางอย่างมาหรือเปล่า?”


ถึงแม้รู้บางอย่างมา แต่จะพูดออกไปได้เหรอ? ยังไงก็พูดเรื่องความโชคร้ายของเยี่ยเหยียนให้จบในรวดเดียวไม่ได้หรอก เพราะเบื้องหลังดันเกี่ยวโยงกับสมาคมไมเคิลที่ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่นั่นด้วยน่ะสิ


เขาก็เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเท่านั้น


ที่รู้อยู่เดิมทีก็ไม่มาก วันนั้นหลังถูกเยี่ยเหยียนตีสลบที่โรงฝึกเสี่ยวชุน สักพักก็ฟื้นขึ้นมา หม่าโฮ่วเต๋อเหมือนจะโกรธแทบระเบิด แต่เขาจะพูดอะไรได้? นิสัยของเยี่ยเหยียนเขารู้ดีนะ


เซอร์หม่าแอบถอนหายใจเพียงลำพัง แกล้งทำเป็นพูดอย่างใจเย็น “พี่สะใภ้ ถ้าผมรู้ผมคงไม่ตกใจตอนเห็นจดหมายนี่หรอก อีกอย่างคุณได้จดหมายนี่มาจากไหน? หรือว่าคุณหาเยี่ยเหยียนเจอแล้ว?”


เริ่นจื่อหลิงเล่าเรื่องโรงแรมผิงอันให้ฟังเล็กน้อย “ฉันบอกให้เหลาสู่เฉียงรออยู่ที่นั่น ตอนนี้ยังไม่มีข่าว คิดว่าคงยังไม่กลับมา”


“เอาแบบนี้แล้วกัน คุณบอกที่อยู่ผมมา คืนนี้ผมจะไปรอ ส่วนจดหมายฉบับนี้ผมขอไปก่อน” หม่าโฮ่วเต๋อบีบบ่าของเริ่นจื่อหลิงเบาๆ “ตอนนี้คุณกลับไปก่อน ถ้าได้ข่าวอะไรผมจะบอกคุณทันที คุณก็รู้ดีว่าตัวเองปากพล่อย แล้วยังลูกรักพูดน้อยแต่ฉลาดเป็นกรดของคุณอีก ถ้าเรื่องนี้มีพิรุธแล้ว ก็รังแต่จะให้คนมาเป็นห่วงเพิ่มเปล่าๆ เข้าใจนะ?”


“งั้นก็เอาเถอะ” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า “แต่ถ้ายังไม่ได้ข่าวอะไร ไม่ว่านายจะพูดยังไง สามวันต่อจากนี้ฉันก็จะไปสุสานด้วยตัวเอง”


เซอร์หม่าพยักหน้า “ถ้ารอไม่ได้ หลังจากนั้นสามวันผมจะไปเป็นเพื่อนคุณ!”




ฝังไว้ตรงนี้แหละ


สุสานตอนกลางคืนไร้แสงไฟ รอบด้านเงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงของแมลง…ไม่ได้มาที่นี่นานแค่ไหนแล้วนะ?


จำได้ว่า ครั้งล่าสุดคงจะเป็นตอนที่ไปกวาดสุสานปีที่แล้ว


ลั่วชิวยืนอยู่ตรงหน้าป้ายสุสาน


เขาก้มหน้า แล้วหลับตาลง หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง เขาถึงยื่นมือออกไปปัดฝุ่นผงบนป้ายหลุมศพ อาหม่ากับเริ่นจื่อหลิงกำลังรอให้ถึงเวลานัดถึงจะมาที่นี่ ด้วยกลัวว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าใครนัดเยี่ยเหยียนมาที่นี่กันแน่ก็ตาม


แต่ลั่วชิวไม่ได้กังวลถึงขั้นนี้


“ผมสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง” ลั่วชิวพิงตัวลงหน้าป้ายหลุมศพ พูดขึ้นมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง


ปีนั้นหลังจากที่พ่อของเขาพลีชีพในหน้าที่ก็ได้ฝังศพไว้ที่นี่ เริ่นจื่อหลิงก็เคยพูดมาพอสมควรแล้ว ‘ฉันจะดูแลลูกชายของคุณเอง ไม่ต้องเป็นห่วง’


เกรงว่าในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นเริ่นจื่อหลิงหรือตัวลั่วชิวเองก็คงไม่เคยคิดว่า หลายปีต่อมาชะตาชีวิตของลั่วชิวจะเปลี่ยนแปลงไปแบบพลิกฝ่ามือ


“นายท่าน?”


ทันใดนั้นเองด้านหน้าสุสานที่เงียบสงัดก็มีเสียงของโยวเย่ดังขึ้น เธอเหมือนจะตกใจที่ได้พบกับลั่วชิวในที่แบบนี้ดึกๆ ดื่นๆ ด้วยเธอสามารถมาถึงข้างกายเจ้านายได้ตลอดเวลา ดังนั้นสาวใช้จึงไม่เคยรู้ว่าเจ้านายอยู่ที่ไหนก่อนเธอจะโผล่มา


สาวใช้มองดูป้ายหลุมศพอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนยืนตัวตรงอยู่หน้าป้ายหลุมศพ แล้วโค้งคำนับอย่างสุดตัวหนึ่งครั้ง


“ฉันไม่ได้มาตั้งนาน” ลั่วชิวเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงดาวที่บางตาจนมองแทบไม่เห็นพวกนั้น เหมือนจะผลุบๆ โผล่ๆ อย่างไรอย่างนั้น


โยวเย่ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ คุณสาวใช้รู้ว่าตอนนี้เจ้านายของตัวเองกำลังจมดิ่งอยู่ในความทรงจำ


ทันใดนั้นลั่วชิวก็ยื่นมือออกมาพร้อมพูดว่า “นั่นคือดาวเหนือ ตอนที่ตามพ่อมาออกค่ายสมัยเด็กๆ เขาก็สอนฉันว่าจะมองตำแหน่งดวงดาวผ่านท้องฟ้าออกได้ยังไง เขาบอกว่าหากวันหนึ่งฉันต้องระเหเร่ร่อนไปตามป่าที่เปล่าเปลี่ยว แล้วไม่ได้พกเข็มทิศติดตัว อย่างน้อยก็ไม่หลงทิศทางจากการหาดาวเหนือ”


ลั่วชิวก้มหน้าลงยิ้มๆ “แต่น่าเสียดายที่เมื่อก่อนฉันไม่มีโอกาสได้ใช้ความรู้นี้…เกรงว่าต่อจากนี้ก็จะไม่มีโอกาสให้ใช้แล้วเหมือนกัน”


ลั่วชิวส่ายหน้า “ดาวดวงนี้มืดลงแล้ว ไม่ได้สว่างเหมือนเมื่อก่อนอีก”


เขาเอามือไขว้ไปที่ข้างหลัง หลังจากนั้นอีกนานถึงได้ถอนหายใจ มองโยวเย่พร้อมพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไร? ทางเยี่ยเหยียนเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


โยวเย่พยักหน้า “เกิดเรื่องขึ้นค่ะ แต่ว่าคุณเยี่ยไม่เป็นไร เขาถูกคนช่วยออกมาได้แล้ว”


ลั่วชิวอึ้งพร้อมกับถามว่า “ใคร?”


โยวเย่ส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่ทราบค่ะ คนนั้นคลุมหน้าเอาไว้…คาดว่าคงเป็นผู้ชาย คนลึกลับคนนั้นทำให้สัญญาณเตือนไฟไหม้ใต้ตึกดังขึ้น หลังจากแยกคิงคองออกมาแล้ว ก็พาคุณเยี่ยไปทันที ฉันตามไปตลอดทาง แต่ที่แปลกก็คือ หลังจากคนนั้นช่วยยคุณเยี่ยออกมาแล้ว ก็ตีเขาให้สลบแล้ววางเขาไว้กลางป่าในสวน ส่วนตัวเองก็จากไป”


“หืม…ชายชุดดำงั้นเหรอ?”


“ฉันได้พิกัดซ่อนตัวชั่วคราวของเขาแล้ว ถ้าอยากไปหาก็หาพบได้ทันทีค่ะ” โยวเย่พูด “คุณเยี่ยฟื้นขึ้นมาไวมาก ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว ดังนั้นฉันเลยกลับมารายงานเรื่องนี้ให้นายท่านทราบทันที”


ลั่วชิวพยักหน้า เขาครุ่นคิดว่าคนที่ช่วยเยี่ยเหยียนออกมาคนนี้เป็นใคร นอกจากเขาแล้ว ไม่น่ามีใครรูู้ว่าเยี่ยเหยียนถูกพาไปอยู่ที่ไหนถึงจะถูก


ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้น ลั่วชิวก็มองไปเรื่อยเปื่อย แล้วตอนนี้จึงมองเห็นที่ด้านหลังป้ายหลุมฝังศพพ่อ


ลั่วชิวขมวดคิ้ว เขาเดินไปข้างหลังป้ายหลุมฝังศพ ตรงสนามหญ้าที่อยู่ข้างล่างหลังป้ายหลุมศพ มีร่องรอยการพลิกที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน เพียงแค่ตั้งใจสังเกต ก็หาเจอได้ไม่ยาก


ลั่วชิวหรี่ตาลง ย่อตัวลงมา ลูบพื้นหญ้าที่เคยถูกพลิกนี้ด้วยมือตัวเอง เขาแหวกเปิดผืนหญ้าแผ่นหนึ่งออกมาอย่างง่ายดาย


ในวินาทีที่แหวกออกมานั่นเอง ลั่วชิวก็แข็งทื่อไปทั้งตัว ไม่มีทีท่าจะขยับเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งสายตาก็จ้องเขม็ง


โยวเย่เดินไปข้างหน้า ดูข้างในหลุมเลนที่ถูกเปิดออกมานั้นอย่างตั้งใจ


หนังสัตว์ที่มีขนติดอยู่ หนูที่ตายแล้ว กระดูกที่แตกหัก…ล้วนแต่เป็นของสกปรกทั้งนั้น ในตอนนี้ก็มีกลิ่นเหม็นเน่าส่งออกมาเป็นระยะๆ!


“นี่…นี่คงจะเป็นของที่พึ่งเอามาจัดวางไว้ได้ไม่นาน? เป็นใครกันแน่…”


ลั่วชิวสูดหายใจเข้าไปลึกๆ หนึ่งเฮือก ก่อนค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมา


เขามองโยวเย่อย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก แล้วยื่นมือออกไปลูบคลำหัวใจของตัวเอง เสียงพูดนั้นเบามากๆ “ในตอนแรก สมาคมกักขังวิญญาณของฉัน ในช่วงนี้ความรู้สึกบางอย่างของฉันเริ่มแปรเปลี่ยนไปมากจนจืดจางอย่างช้าๆ แต่ตอนนี้ จู่ๆ ก็กลายเป็นเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว เธอรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”


“นายท่าน…”


“มีคนใช้ของสกปรกพวกนี้ที่นี่ รบกวนความสงบของพ่อฉัน…”


ดวงตาทั้งสองของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีเงินสวยงามแปลกประหลาด ข้างหลังของเขาเหมือนจะบิดเบี้ยวไป แล้วประตูใหญ่ยักษ์บานหนึ่งที่เหมือนไม่มีอยู่จริง ซึ่งฝังวิญญาณชั่วร้ายอาฆาตพยาบาทเอาไว้มากมายก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ


มันกำลังแง้มเปิดออกช้าๆ …


ณ ที่ห่างไกลออกไป ไท่อินจื่อกุมหัวเอาไว้ในทันทีทันใด ก่อนฟุบลงกับพื้นอย่างเจ็บปวดสุดๆ ราวกับมีอะไรทำให้เขาหวาดกลัว และสัมผัสได้ถึงความผิดหวัง



คฤหาสน์ตระกูลจาง ภูตดำหมายเลขเก้ากำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ที่มิดชิดกว่าปกติมาก แล้วยังใช้มือกุมหัวเอาไว้ คุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น ใบหน้าพลันบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด



ภูตดำหมายเลขสิบแปดทรุดลงไปที่พื้นอย่างกะทันหัน มองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยความเคารพยำเกรงอย่างสุดซึ้ง



ในบริเวณมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัสเซีย ชายวัยรุ่นที่มีรอยสักเต็มร่างคนหนึ่ง จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาจากฝันด้วยเหงื่อท่วมตัว…



ประเทศอังกฤษ


หญิงสาวก็ตื่นขึ้นจากฝันเช่นกัน หัวใจเต้นรัว มองออกไปทางทิศตะวันออกอย่างเผลอไผล เธอเหมือนจะได้ยินเสียงร้องเรียกอะไรบางอย่าง…



ศูนย์สัตว์เลี้ยง


หลงซีรั่วขมวดคิ้ว จ้องมองท้องฟ้า ก่อนพูดพึมพำกับตัวเอง “นี่คือจิตพยาบาท…ของใครกันแน่นะ?”


เธอในฐานะที่เป็นมังกรสายเลือดแท้ตัวสุดท้ายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับจิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีวิธีสงบใจลงได้เลย



บรรดาปีศาจทั่วทั้งเมือง ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนไปพร้อมๆ กัน


บทที่ 117 คุกเข่าทำความเคารพ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


เยี่ยเหยียนค่อยๆ นั่งลงมาใกล้ๆ กับกำแพง ในซอยเล็กแห่งหนึ่ง


เขามองเห็นไม่ชัดเจนว่าใครช่วยเขาออกมากันแน่…ตอนที่คนคนนั้นช่วยเขา เหมือนกับว่าใช้อะไรฉีดไปบนตัวเขา หลังจากนั้นเขาก็ตกอยู่ในสภาวะมึนงง รู้ตัวอีกทีก็ฟื้นขึ้นมากลางสวนสาธารณะ


เยี่ยเหยียนอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งก่อนที่เขาพลาดท่าถูกคิงคองจับตัวได้ ก็ถูกใครบางคนช่วยออกมาเหมือนกัน


สองครั้ง…หรือว่าจะเป็นคนเดียวกัน?


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว เขาล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อ แล้วหยิบสายเชือกสีแดงเส้นหนึ่งออกมา สายสร้อยร้อยจี้เครื่องรางอันหนึ่งเอาไว้


ถึงแม้เป้าหมายหลักที่กลับมาครั้งนี้ คือตามหาสินค้าล็อตนั้นที่สมาคมไมเคิลซ่อนไว้ให้เจอ แต่นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอีกอย่าง…ก็คือจี้เครื่องรางอันนี้


ก่อนเกิดเรื่อง มันถูกส่งมาพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาในนั้นมีแค่อย่างเดียว ก็คือให้เขาเข้าไปอยู่ในโรงแรมผิงอันตามระยะเวลาที่กำหนด


ตอนที่เขาเพิ่งหนีมาที่นี่ยังไม่ถึงเวลานัดหมาย เยี่ยเหยียนจึงไปจับตาดูคิงคองก่อน หลังจากเทพเจ้าจากที่ไหนไม่รู้มาช่วยออกมาในครั้งแรก เขาก็เลยคิดว่ามาพักรักษาตัวที่โรงแรมผิงอันไปเลยแล้วกัน


“คนที่ช่วยฉัน…กับที่ส่งจดหมายให้ฉันเป็นคนคนเดียวกัน?” เยี่ยเหยียนกำลังคิดตามจิตใต้สำนึก แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนลึกลับคนนี้คืออะไรกันแน่


แต่เพราะคนลึกลับนั่นส่งจี้เครื่องรางอันนี้มาให้ ทำให้เขาต้องทำตามรายละเอียดในจดหมาย!


เพราะว่าจี้เครื่องรางอันนี้เป็นของที่เขาวางไว้ในไหอัฐิของแฟนสาวที่ล่วงลับไปแล้ว…แต่เดิมจี้อันนี้เป็นสิ่งที่เขาพกติดตัวไว้ตั้งแต่เด็ก เป็นของที่พ่อแม่ขอมาคุ้มกันภัยให้เขา


เยี่ยเหยียนกำหมัดแน่น สายตาของเขามีความเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา ตอนที่เพิ่งลงจากเครื่องมา เขายังไม่ได้ไปเยี่ยมหม่าโฮ่วเต๋อที่โรงพยาบาลทันที แต่ไปที่หลุมฝังศพของเสี่ยวชุนมารอบหนึ่ง


หลุมฝังศพถูกคนทำลายไปแล้ว!


แต่เขาคิดไม่ตกเลยจริงๆ …ถ้าคนที่ทำลายหลุมฝังศพและคนที่ช่วยเขาเป็นคนเดียวกันจริง แล้วคนคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่


แต่ไม่ว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่…หรือมีเป้าหมายอะไร แต่คนที่ทำลายหลุมฝังศพของเสี่ยวชุน ก็ได้ยั่วโมโหเขาเสียแล้ว!


เยี่ยเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ยันกำแพงลุกขึ้นมา ก่อนเดินลึกเข้าไปในซอยเล็กๆ ทีละก้าวทีละก้าว ด้วยเขาปฏิบัติหน้าที่และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มากว่าสิบปี


เขาย่อมรู้ว่าทางไหนใช้กลับโรงแรมเหอผิงได้ปลอดภัยที่สุด



แต่เยี่ยเหยียนกลับคิดไม่ถึงว่า ตอนที่กลับมายังโรงแรมผิงอันอีกครั้ง ตัวเองจะได้พบกับหม่าโฮ่วเต๋อ หม่าโฮ่วเต๋อในวัยกลางคน ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์เล็กน้อยกำลังยกมือทั้งสองเท้าคางนั่งอยู่บนโซฟาของโถงรับรอง ยันหัวไว้ไม่ให้ตัวเองสัปหงก…แต่แล้วเซอร์หม่าก็ลุกพรวดด้วยตกใจสุดขีด


ไม่นึกเลยว่าเขาจะได้เจอเยี่ยเหยียนที่นี่จริงๆ


อาซูผู้ที่กำลังสัปหงกอยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็เพ่งเล็งอยู่แวบหนึ่ง ก่อนใส่หูฟังฟังเพลงเพลงหนึ่งอย่างเฉลียวฉลาด ล้อเล่นน่า เพชฌฆาตความชั่วร้ายของเมืองนี้อย่างเซอร์หม่าก็อยู่ที่นี่ เขาจะกล้าแอบฟังที่ไหนกัน!


แต่หม่าโฮ่วเต๋อก็ยังคงลากเยี่ยเหยียนมาอยู่อีกฝั่งหนึ่งอยู่ดี


“นายหาที่นี่เจอได้ยังไง?” เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว…วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย อีกทั้งยังวุ่นวายมากๆ


หม่าโฮ่วเต๋อรีบพูด “ก่อนถามฉัน นายควรจะพูดอะไรกับฉันหน่อยหรือเปล่า?”


เยี่ยเหยียนถอนหายใจ “พี่ชาย เรื่องที่ตีนายจนสลบไปครั้งที่แล้ว ขอโทษด้วยนะ”


สีหน้าของหม่าโฮ่วเต๋อดูดีขึ้นมาบ้าง “ไม่ใช่ฉันที่หานายเจอ เป็นยัยจื่อหลิงนั่นที่หานายเจอ หรือว่านายลืมไปแล้ว ว่าในพื้นที่อิทธิพลนี้ พี่สะใภ้ของพวกเราหูตากว้างขวางกว่าพวกเราที่กินเงินหลวงอยู่เสียอีก”


เยี่ยเหยียนตะลึงงัน จากนั้นก็ส่ายหัวยิ้มขมขื่น เขามองอาซูเจ้าของโรงแรมผิงอันแวบหนึ่ง…ไม่แน่ว่าอาซูคนนี้ก็อาจเป็นหูเป็นตาของเริ่นจื่อหลิง?


หม่าโฮ่วเต๋อยื่นมือไปแตะบ่าของเยี่ยเหยียน พูดว่า “อืม เพิ่งจะไม่กี่วันเอง เหมือนว่านายดีขึ้นไม่น้อยเลยนะ ครั้งที่แล้วเห็นนายยังกระอักเลือดอยู่เลยนี่”


“ดีขึ้นไม่น้อยเลย ฉันนี่มันกระดูกแข็งจริงๆ”


หม่าโฮ่วเต๋อพูดจริงจังทันที “เหล่าเยี่ย ฉันมีเรื่องจะถามนาย นายต้องบอกฉันตามจริง ฟังนะ เกี่ยวกับเรื่องของสมาคมนั้น นายมีจุดยืนของนาย ฉันเถียงนายไม่ชนะหรอก แต่เรื่องนี้นายปิดบังฉันไม่ได้ เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของนายคนเดียวแล้ว!”


“อะไรนะ?”


หม่าโฮ่วเต๋อเอาจดหมายออกมา พูดขึ้นอย่างจริงจัง “มีคนส่งให้นายน่ะ…สถานที่ที่เขียนอยู่ข้างในคือหลุมฝังศพของพี่ใหญ่”


เยี่ยเหยียนนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เบิกตากว้างทันที เหมือนกับถูกความโกรธเข้าโจมตีไม่มีผิด เขาฉีกซองจดหมายอย่างรวดเร็ว ก่อนสลัดกระดาษจดหมายเริ่มอ่านเงียบๆ แล้วก็ฉีกกระดาษจดหมายที่อยู่ในมือทิ้ง


“เยี่ยเหยียน! นายบอกฉันมาให้ชัด! นายกลับมาครั้งนี้ นอกจากเรื่องของตัวเองแล้ว หรือว่ายังเกี่ยวพันกับพี่ใหญ่ด้วย?”


เยี่ยเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ มือทั้งสองแตะที่บ่าของหม่าโฮ่วเต๋อ “พี่ชาย นายสงบสติอารมณ์แล้วฟังฉันพูดก่อน ฉันจะบอกนายทั้งหมดแล้วกัน ก่อนหน้านี้ครึ่งเดือน…”



ปัง!


หม่าโฮ่วเต๋อตบไปที่โต๊ะชาอย่างแรง จนอาซูที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ตกใจรีบเพิ่มเสียงเพลงในมือถือ ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ที่วันนี้อ่านจบไปตั้งนานแล้ว


“อะไรนะ! คิดไม่ถึงว่าจะไปทำลายสุสานของเสี่ยวชุน!! ข้าจะต้องฆ่าเขาแน่!!”


“นายรู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ?” เยี่ยเหยียนพูดเสียงทุ้มต่ำ “นายอยากฆ่าเขา หรือว่าฉันจะไม่อยากล่ะ? ใจเย็นหน่อย”


เรื่องนี้ เหล่าเยี่ยเป็นคนมีสิทธิ์ออกเสียงมากที่สุด


หม่าโฮ่วเต๋อได้แต่เก็บงำความโกรธ “คนคนนั้นหลอกล่อให้นายกลับมาก่อน แล้วยังให้นายเห็นอีกว่าหลุมฝังศพของเสี่ยวชุนถูกทำลายไปแล้ว…เขาให้นายอยู่ที่นี่ เพื่อติดต่อนายได้อย่างสะดวกสบายตลอดเวลา แต่จดหมายฉบับนี้เขียนถึงหลุมฝังศพของพี่ใหญ่ คงไม่ใช่…”


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว มองดูหม่าโฮ่วเต๋อ “นายนึกอะไรได้?”


หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างโมโห “บ้าเอ๊ย! แน่นอนว่านึกถึงเรื่องของนาย ข้ามันโง่จริงๆ! ยังคิดจะรอสามวัน! ถ้าสมมุติไอ้เดรัจฉานนั่นคิดจะทำลายหลุมฝังศพพี่ใหญ่เหมือนกับหลุมฝังศพของเสี่ยวชุนละก็ คงไม่รอถึงสามวันแน่!! เป็นไปได้ว่าตอนนี้คง…”


“ไป! ไปสุสานก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยเหยียนพูดเสียงหนักแน่น


หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า แต่กลับชะงักกึก เผลอลูบคลำไปที่หัวใจของตัวเอง


“เป็นอะไรไป?”


เซอร์หม่าพูดอย่างงวยงง “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมา รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”


เพิ่งจะพูดจบ อาซูที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็ไม่ระวังจนทำแก้วชาตก ก่อนลุกยืนขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ แต่ก็นั่งลงมาอย่างอายๆ ทันที


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว เหมือนช่วงวินาทีที่เพิ่งผ่านไป ตัวเขาเองก็กลัวจนตัวสั่นงันงกเช่นกัน เพียงแต่ว่าแป๊บเดียวก็หายไป เขาสงบสติอารมณ์ ก่อนพูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่เป็นไร ไปเถอะ”


ทั้งสองคนออกจากโรงแรมผิงอันไปอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ทั้งสองคนจากไป ในตอนนี้ ‘ผู้พักอาศัย’ ที่เป็นแขกมาใหม่ของโรงแรมผิงอันวันนี้ แต่ละตัวเอาแต่เนื้อตัวสั่นเทา พากันจับชุดของสาวชุดดำ…เฮยสุ่ยไว้แน่น ล้อมกันเป็นวง


“ไม่เป็นไรๆ พี่อยู่นี่…” เฮยสุ่ยรีบปลอบประโลมพวกปีศาจตัวน้อยพวกนี้




ประตูที่น่ากลัวนั้น กำลังสลายไปช้าๆ กลางอากาศ อีกทั้งดวงตาสีเงินอันสวยงามน่าพิศวงของลั่วชิวก็หายไปเช่นกัน เขาเหมือนไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเลยแม้แต่น้อย


“นายท่านคะ คนที่ทำลายที่นี่คงจะเหลือร่องรอยเอาไว้…”


ลั่วชิวกลับโบกมือไปมา ให้โยวเย่หยุดพูด


เขาส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วย่อตัวลงมาอีกครั้ง มือทั้งสองยื่นเข้าไปตรงวัตถุสกปรกที่ซ่อนเอาไว้กองนั้น แล้วค่อยๆ ล้วงของที่อยู่ข้างในออกมาทีละอย่างด้วยมือตัวเอง


“นายท่านคะ งานประเภทนี้ให้ฉันทำก็ได้ค่ะ” โยวเย่อดพูดขัดไม่ได้…นี่คือเจ้านายที่เธอจะต้องทุ่มเทให้ด้วยความซื่อสัตย์ทั้งหมดที่มี ในความคิดของคุณสาวใช้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ให้เจ้านายของตัวเองทำงานสกปรกประเภทนี้ไม่ได้


“นี่คือหลุมฝังศพของพ่อฉัน ในเมื่อมันสกปรก ฉันก็มีหน้าที่ทำความสะอาดด้วยมือฉันเอง”


สายตาของลั่วชิวแน่วแน่ผิดปกติ ไม่ลังเลที่จะใช้มือทั้งสองของตัวเองหยิบของ ‘ไม่ว่ามันจะเปื้อนขนาดไหน สกปรกขนาดไหน’ ขึ้นมาทีละชิ้นทีละชิ้น


โยวเย่ทำได้แค่ถอยไปอยู่อีกฝั่งเงียบๆ ในตามีจิตสังหารแรงกล้าโผล่มาอยู่แวบหนึ่ง เจ้านายที่เธอเคารพที่สุดต้องลดตัวมาทำเรื่องอัปยศเช่นนี้ ก็เท่ากับเหยียบย่ำบนตัวเธอ!


“นั่นใคร?”


โยวเย่ที่ไม่สามารถสะกดจิตสังหารของตัวเองได้เลย พลันมองไปยังที่แห่งหนึ่งทันที


เห็นเพียงแค่ในที่มืดนั้น ซึ่งก็คือป้ายหลุมศพที่อยู่ข้างๆ ในตอนนี้มีเงาคนคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ …คงจะเป็นผู้ชาย


ฝีเท้ามั่นคงผิดปกติของเงาคนคนนี้ เดินเข้ามาพลางพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย “เป็นฉันต่างหากที่ต้องถามว่าพวกเธอเป็นใครกันแน่”


คนคนนี้ถือตะเกียงน้ำมันมาตะเกียงหนึ่ง รูปร่างลักษณะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เขากำลังหิ้วของที่มีอยู่สองถุงเอาไว้…เหมือนกับว่าพึ่งซื้อของกลับมา ชุดที่ใส่อยู่บนตัวก็ไม่ใช่ชุดพนักงานของสุสาน


แต่มาที่สุสานดึกๆ ดื่นๆ เกรงว่าก็คงไม่ได้มาเซ่นไหว้แน่


คนผู้นี้ยกตะเกียงในมือขึ้นมา ส่องไปที่ลั่วชิวและโยวเย่ ฉับพลันเขาก็ขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “พวกเธอทำอะไรกัน? ใครให้พวกเธอขุดของออกมา?”


โยวเย่พูดสบถ “คุณ…ฝังของพวกนี้ไว้ที่นี่งั้นเหรอ?”


“พวกเธอเป็นใครกันแน่?” คนผู้นี้ทิ้งของที่อยู่ในมือทันที พร้อมกับหรี่ตาลง


กระดูกนิ้วมือของเขาใหญ่กว่าคนทั่วไป ไม่สูงแต่ใบหน้าซีดขาว ท่าทางอายุประมาณสามสิบกว่า เท้าซ้ายของเขาเหมือนจะถอยหลังไปครึ่งก้าวเล็กน้อย แล้วร่างกายก็เอียงไปข้างๆ เล็กน้อย


ลั่วชิวที่ยังคงล้วงเอาของสกปรกในหลุมออกมา ก็ยังไม่ได้หันหน้ากลับมา “เป็นของที่คุณทำเหรอ”


“ไม่ว่าพวกเธอจะเป็นใคร ฉันก็ไม่มีหน้าที่ตอบพวกเธอ” คนผู้นั้นยิ้มอย่างเย็นชา


“ตอบผมมา” เสียงของลั่วชิวเบาขึ้นกว่าเดิม


คนผู้นั้นตกตะลึง บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยความตกใจเล็กน้อย พูดโพล่งออกมาว่า “ถูกแล้ว ฉันเอง!”


ลั่วชิวพลันหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ผมไม่สนว่าคุณมีเป้าหมายหรือมีแผนอะไร ทำไปเพื่ออะไรกันแน่ แต่ตอนนี้คุณ…เข้ามาหาผมนี่” ร่างกายของคนผู้นั้นเหมือนกับถูกอะไรลากมา เพียงแป๊บเดียวก็พุ่งมาอยู่ด้านหน้าป้ายหลุมศพ


“คุกเข่าลง”


คนผู้นั้นกัดฟันกรอด ขาทั้งสองคุกเข่าลงอย่างแรงที่ด้านหน้าป้ายหลุมศพ ชนกระแทกจนแผ่นหินหน้าป้ายหลุมฝังศพมีเสียงดังกึกออกมา


เขาหลุดสีหน้าหวาดผวาอย่างเลี่ยงไม่ได้


“โขกหัวคำนับ…คุณ! โขกหัว! คำนับ! ให้! ผม!” ลั่วชิวหันหน้ามาทันที พูดด้วยเสียงหนักแน่น “คำนับ!!”


ปั่ก!


ผู้ชายเอาหัวโขกลงไปบนแผ่นหินหน้าป้ายหลุมฝังศพอย่างแรง!


หัวแตกเลือดไหล


ปึงๆๆ!


โขลกหัวไปสิบกว่าครั้งต่อเนื่อง


ลั่วชิวแค่เพียงล้วงหลุมนั้นต่อไป ท่าทางจดจ่อแน่วแน่


บทที่ 118 กลัวอดีตที่อยู่ในใจมากที่สุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


หลังจากลั่วชิวล้วงเอาสิ่งสกปรกโสมมในหลุมทั้งหมดออกมาหมดแล้ว ถึงค่อยๆ กลบดินกลับให้เรียบร้อยทีละกำมือ


แล้วลั่วชิวก็ยืนขึ้นมา


โยวเย่เห็นดังนั้นแล้ว จึงหยิบขวดน้ำแร่จากถุงของชายคนนั้น แล้วเดินไปตรงหน้าลั่วชิว ปรนนิบัติดูแลล้างมือสองข้างให้จนสะอาด สุดท้ายจึงหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ดให้สะอาด


ชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าตรงหน้าป้าย ไม่รู้ว่าโขกศีรษะคำนับไปกี่ครั้งแล้ว สองมือของเขาออกแรงยันบนแผ่นหิน กล้ามเนื้อบนแขนเป็นมัดล่ำสันแข็งแรงเริ่มนูนเกร็งอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายกลับไม่อาจหยุดร่างกายตัวเองได้


ฟ้าดินฮ่องเต้บุพการีอาจารย์* คุกเข่ากราบฟ้า คุกเข่ากราบดิน คุกเข่ากราบบิดามารดา แต่วันนี้กลับต้องมากราบคนตายคนหนึ่ง แถมยังก้มหมอบคารวะอย่างอัปยศอดสู เทียบกับการบีบบังคับที่มาจากร่างกายเช่นนี้ ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกแบบนั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มคนนี้เคียดแค้นยากที่จะสงบได้


เขายืดตัวขึ้นอย่างบ้าระห่ำ และพยายามแหงนศีรษะตนขึ้นอย่างสุดกำลัง ถึงกับขบกรามแน่น ใบหน้าบวมเป่งเต็มไปด้วยสีแดงสดราวกับเลือด


แต่การต่อต้านของเขากลับต้านทานได้ไม่นานนัก ลั่วชิวที่ล้างมือสองข้างสะอาดแล้ว ก็ตรงไปคว้าจับผมของชายคนนี้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนกดหัวของเขาลงไปอย่างเหี้ยมโหด!


คราวนี้ เสียงดังลั่นกว่าครั้งก่อนหน้านี้อีกเป็นไหนๆ!


ลั่วชิวกดหัวของชายหนุ่มไว้ มองดูท่าทางทั้งตัวของเขาที่กำลังต่อต้าน กำลังอ้าปากอย่างสงบเงียบ…ในความเงียบสงบ แฝงไว้ด้วยความเย็นยะเยือกน่าพิศวงจากตัวเขา “คุณรู้สึกถึงความอัปยศอดสูแล้วล่ะสิ? โกรธแค้น เคียดแค้น มากมายเลยใช่ไหม?”


“อ๊า!!” ชายหนุ่มร้องอย่างบ้าคลั่ง


ลั่วชิวสูดลมหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น “งั้นคุณรู้หรือเปล่า นี่คือหลุมศพของพ่อผม? ผมเห็นหลุมศพของเขาถูกคนฝังของพวกนั้นเอาไว้กับตา ในฐานะลูก ผมควรจะรู้สึกยังไง?”


ลั่วชิวหรี่ตาสองข้าง คว้าผมของชายหนุ่มไว้อีกครั้งแล้วดึงหัวของเขาขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นก็กดลงไปบนพื้นอีกครั้งอย่างรุนแรง


ชายหนุ่มที่เดิมกำลังดิ้นรนต่อสู้ก็หยุดลงทันที


ใบหน้าของเขาถูกกดไว้ แนบชิดไปกับแผ่นหิน มีเลือดสดๆ ไหลออกมาจากหน้าผาก ทำให้ทั้งใบหน้าของเขาดูดุร้ายราวกับปีศาจ “แก…แกเป็นลูกของคนนี้?”


“คุณฝังของพวกนี้บนหลุมศพของพ่อผม แต่ไม่ได้สืบดูให้ชัดเจนเลยเหรอ” ลั่วชิวคว้าศีรษะของชายหนุ่มขึ้นมา “คุณต้องการอะไรกัน?”


ชายคนนั้นหัวเราะเยาะทันที แต่ทั้งตัวกลับไม่มีแรงด้วยกระแทกกับแผ่นหินอย่างต่อเนื่องตั้งนานแล้ว แต่เขายังคงปากแข็งตอบ “ก็ฉันชอบนี่ ทำไม? แกเก่งนักก็ฆ่าฉันสิ…แต่อย่าคิดว่าจะได้คำตอบจากปากฉัน? ไม่มีทาง!”


เขาแสยะยิ้ม ราวกับว่ากำลังชื่นชมกับสีหน้าของลั่วชิวก็ไม่ปาน…แต่กลับมองเห็นท่าทางไร้ความรู้สึกของลั่วชิว จึงแสยะปากพูดทันที “ใช่แล้ว ของพวกนั้นเป็นของที่ฉันหามาเรื่อยเปื่อย ความจริงแล้ว ฉันฉี่ราดเอาไว้ด้วย! ฮ่าๆๆๆๆ!!! วันนี้ก็กะว่าจะเอาอีกสักหน่อยนะเนี่ย!”


แววตาของคนผู้นี้บ้าดีเดือดสุดขีด รู้ๆ อยู่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อับจนหมดหนทางสุดๆ แล้วยังยั่วโมโหอีกฝ่ายได้อย่างบ้าระห่ำอีก


นี่มันคนบ้าคนหนึ่งที่ไม่กลัวตายเอาเสียเลย


ลั่วชิวเลิกคิ้ว เขาเคยเป็นเด็กมาก่อน เคยมีความใฝ่ฝันเคยมีจินตนาการ เคยอ้อแอ้เรียนภาษา เคยตกต่ำหดหู่หมดอาลัยตายอยากมาหลายปีเต็มๆ แต่ชีวิตนี้จนกระทั่งปัจจุบันแทบจะนับได้ว่าสงบราบรื่น ไม่ต้องอึดอัดใจเพราะใครจนถึงกับขัดแย้งใหญ่โตมากมาย มันเป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า เขาก็มีเหตุผลของเขา เราก็มีเหตุผลของเรา พูดไปก็ไม่มีทางจบสิ้น อย่าจริงจังเกินก็ดี ความคิดแบบนี้ตั้งแต่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรเองได้ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่วันนี้ตอนที่พบกับคนนี้ เรียกได้ว่าตบะแตกได้ในคืนเดียว


ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ในใจราวกับคลื่นพายุบ้าคลั่งก็ไม่ปาน


สาวใช้ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เจ้านายของตัวเองกำลังเดือดถึงขีดสุด เธอมีจิตสังหารเต็มเปี่ยมคิดจะลงมือ หวังว่าเจ้านายจะส่งชายคนนี้มาให้เธอจัดการได้


สาวใช้ใช้ชีวิตมาหลายร้อยปี เห็นคนที่ไม่กลัวตายพวกนั้นมาก็มาก แต่หากต้องลงมือจริงๆ ก็ยังไม่เคยเห็นคนไหนที่จะปากแข็งจนถึงวาระสุดท้ายเลย


แต่ก็ในตอนนี้เอง นิ้วมือของลั่วชิวที่คว้าจับผมของชายคนนี้ไว้อยู่ก็คลายออกเล็กน้อย จากที่คว้าจับผมไว้แน่นก็เปลี่ยนมาจับหน้าผากเขาแน่นแทน


สาวใช้อยู่ด้านหลังเขามองไม่เห็น แต่ว่าชายคนนี้กลับเห็นได้ชัดเจนอย่างที่สุด ดวงตาทั้งสองของลั่วชิวเปลี่ยนเป็นสีเงินน่าพิศวง


“คุณชื่ออวี๋หวา”


“ทำไมแกถึง…” ชายหนุ่ม…ท่าทีของอวี๋หวาตกใจเล็กน้อย


ลั่วชิวหลับตาทั้งสองของตนเอง แล้วพูดเหมือนพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่แค่หลุมศพของพ่อผมเท่านั้น…ที่นี่เมื่อก่อน ขนาดหลุมฝังศพของพี่เสี่ยวชุนคุณก็ยัง…เฮอะ ดีเลย”


“แก…พวกแกเป็นใครกันแน่?” อวี๋หวาตกใจมากยิ่งขึ้น แววตาที่บ้าระห่ำพลันหายวับไปทันที


“เป็นคุณที่ให้คุณเยี่ยเหยียนเข้าพักในโรงแรมเหอผิง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของเขาอย่างใกล้ชิดและสะดวก จุดประสงค์ที่คุณทำแบบนี้ก็มีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเพื่อแก้แค้น เยี่ยเหยียนเป็นเพียงแค่คนแรก ต่อมาน่าจะเป็นหม่าโฮ่วเต๋อ ต่อจากหม่าโฮ่วเต๋อก็คือ…”


ลั่วชิวพูดชื่อต่ออีกหลายชื่อ


อวี๋หวาในตอนนี้ตกใจหน้าซีดเผือด ขณะเดียวกันสองมือของเขาก็คว้าข้อมือลั่วชิวที่จับหน้าผากเขาเอาไว้ คิดอยากจะดิ้นให้หลุดอย่างสุดชีวิต แต่ฝ่ามือเขาราวกับว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ไม่ว่ายังไงก็ดึงไม่ออก


คนบ้าไม่กลัวตาย แต่กลับหวาดกลัวสุดๆ ตอนที่คนอื่นพูดความลับในใจออกมาทีละคำ


“สี่ปีก่อน เกิดคดีใหญ่พิเศษคดีนั้นในเมือง บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในตอนนั้น…คือพ่อของคุณ ในตอนนี้เมื่อหนึ่งปีก่อน พ่อของคุณเสียชีวิตในคุก อีกสองวันก็จะเป็นวันครบรอบการตายหนึ่งปีของเขา แผนการแก้แค้นของคุณ ก็เริ่มหลังจากนั้นสามวัน…คนแรกก็คือเยี่ยเหยียน”


ทันใดนั้นลั่วชิวก็ปล่อยมือจากหน้าผากของอวี๋หวา พูดอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่สิ แผนการแก้แค้นของคุณเริ่มขึ้นแล้ว เริ่มตั้งแต่คุณทำลายหลุมฝังศพของเสี่ยวชุน เยี่ยเหยียนคือเป้าหมายแรกของคุณ คุณคิดจะยั่วให้เขาเกิดโทสะ หลังจากนั้นสามวันคุณก็ให้เขามาที่นี่ ทำให้เขาโกรธแค้นอีกครั้ง คุณอยากจะดูเขาตายด้วยความโกรธแค้นและความเจ็บปวดทรมานจากน้ำมือของคุณ…”


คงจะหวาดกลัว…ความหวาดกลัวที่แท้จริงคือ ความลับทั้งหมดของตัวเองหลุดโพล่งออกมาจากปากของคนอื่นต่อหน้าต่อตา!”


พูดได้ว่า ความคิดทั้งหมดถูกมองทะลุปรุโปร่ง ก็เหมือนกับแสงที่ทะลุผ่านเสื้อผ้าชั้นนอกทั้งหมด!


“ไม่แน่ว่าแผนการแก้แค้นของคุณอาจสำเร็จจริงๆ ก็ได้” ลั่วชิวลุกขึ้นยืน “อย่างไรเสียเพื่อแก้แค้นแล้วคุณเตรียมการมาเป็นเวลาสามปีเต็มๆ คุณรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คู่ปรับของเยี่ยเหยียน ดังนั้นจึงฝึกฝนทักษะการต่อสู้อย่างหนักมาโดยตลอด…วิชากรงเล็บอินทรี ใช่ไหม?”


อวี๋หวาเบิกตากว้าง มองลั่วชิวอย่างไม่อยากเชื่อ…เขาไม่น่าจะ ขนาดเรื่องนั้นก็…หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง


“วิชากรงเล็บอินทรีแบบฉบับดั้งเดิมจะต้องใช้น้ำยาสูตรลับมาแช่ ทำให้กระดูกนิ้วมือของตนเองแข็งแกร่งขึ้น จนต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก แต่ว่าส่วนประกอบของยาน้ำชนิดนี้มีเพียงคนที่สืบทอดวิชากรงเล็บอินทรีที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะมี ซึ่งก็คือศิษย์รุ่นน้องของพ่อคุณ หรือก็คืออาจารย์อาของคุณ เพื่อให้ได้มาซึ่งน้ำยาชนิดนี้แล้ว คุณถึงกับ…”


“หยุดพูดได้แล้ว!!” อวี๋หวาฮึกเหิมผิดปกติในชั่วพริบตา


“ที่อาจารย์อาของคุณชอบก็คือผู้ชาย” ลั่วชิวแสยะยิ้มขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น “คุณก็เลย ไม่เสียดาย…”


“หยุดพูดได้แล้ว!!!”


นี่ถึงจะเป็นความลับที่เก็บซ่อนไว้ลึกที่สุด ทุเรศที่สุด คนที่ไม่กลัวตายกลับเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสู่เช่นนั้นภายในจิตใจคงอย่างหวาดกลัวสุดขีด


คนบ้าที่คิดจะยั่วโมโหอีกฝ่าย ตอนนี้กลับถูกบีบคั้นอย่างถึงที่สุด




ที่สุสานสายลมยามค่ำคืนพัดโชยมา อวี๋หวายังคงตกอยู่ในช่วงเวลาอันทรมาน แต่กลับได้ยินลั่วชิวพูดอย่างไม่แยแส “คุณคิดจะยั่วโมโหเยี่ยเหยียนอีกครั้ง แต่คุณไม่รู้ว่า ก่อนหน้านั้นคุณได้ยั่วโมโหคนอีกคน…นั่นก็คือผม”


การโจมตีด้วยคำพูดยังคงดำเนินต่อไป


“วิธีแก้แค้นมีมากมายจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปฝึกทักษะวิชาการต่อสู้อย่างหนักเพื่อแก้แค้นหรอก คุณก็รู้ ขนาดพ่อของคุณที่ตายไปแล้วเมื่อปีก่อนก็ยังรู้ แต่สี่ปีก่อน พ่อของคุณก็เกิดการต่อสู้อุตลุดกับเยี่ยเหยียนในสถานการณ์ที่ลูกกระสุนหมด ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับมวยแปดปรมัตถ์ของเขา พ่อของคุณก็เป็นคนฝึกเรียนกังฟูตั้งแต่เล็กๆ คุณก็ย่อมเป็นคนฝึกเรียนกังฟูมาตั้งแต่เล็กๆ เหมือนกัน ก่อนพ่อของคุณสิ้นใจได้จับมือของคุณไว้แน่น บอกคุณว่าจะต้องเอาชนะชายคนนั้นให้ได้”


“พ่อของคุณเป็นเหมือนเทพเจ้าสำหรับคุณ เขาจะพ่ายแพ้ไปได้อย่างไร? เขาไม่มีทางให้ใครเอาชนะเขาได้ ขอเพียงใช้สองมือของตนเองจัดการเยี่ยเหยียนให้พ่ายแพ้ไปด้วยน้ำมือของตนเอง พ่อของคุณถึงจะกลายเป็นเทพในใจของคุณที่ไม่มีอะไรทำไม่ได้อีก คุณถึงกับหลอกตัวคุณเองว่า พ่อของคุณแค่ถูกเยี่ยเหยียนลอบทำร้ายลับหลัง แท้จริงแล้วเขาไม่ได้พ่ายแพ้ในการปะทะกันซึ่งๆ หน้า เพื่อยืนยันในส่วนนี้แล้ว คุณถึงกับไปเป็นชายทาสบำเรออาจารย์อาของตัวเอง!”


“เวลาครึ่งปีเต็มๆ คุณทำตัวเองอย่างกับผู้หญิง ไปบำเรอปรนนิบัติอาจารย์อาของตนเอง”


คำพูดคำเดียวแต่กลับแทงใจดำนัก



อวี๋หวาราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว ร่างทั้งร่างทรุดลงไร้เรี่ยวแรง เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองลั่วชิว ด้วยแววตาหดหู่


แต่แววตาที่ระส่ำระสายกลับสงบนิ่งอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


อวี๋หวาพูดเสียงเบาๆ “ฉันเคยสาบานไว้ จะไม่ให้ตัวเองนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีกตลอดกาล…แกไปตายซะเถอะ!”


ทันใดนั้นเขาก็ใช้สองขาถีบออกไป สองมือไขว้อยู่ที่หน้าอก สิบนิ้วงอเป็นลักษณะกรงเล็บ


นี่ก็คือวิชากรงเล็บอินทรี


แต่วิชากรงเล็บอินทรีนี้ก็แค่ใช้น้ำยาแช่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กระดูกนิ้วมือเท่านั้น ถึงแม้มันจะบีบกระดูกให้แตกได้อย่างง่ายดาย แต่กลับไม่อาจต่อกรกับพลังลึกลับที่มากมายมหาศาลของเจ้าของสมาคมได้


กลายเป็นเหมือนว่าชนเข้ากับกำแพงใส มือซ้ายที่กลายเป็นเหมือนกรงเล็บของอวี๋หวาส่งผลย้อนกลับสะท้อนกลางอากาศ ความเจ็บปวดแบบนั้นราวกับว่าใช้นิ้วมือของตนเองไปกระแทกกับแผ่นเหล็ก กระดูกนิ้วเขาแทบจะแตกละเอียดไปเลย แล้ววิชากรงเล็บอินทรีที่มือซ้ายก็ถูกทำลายไปทันที


อวี๋หวาถอยหลังไปไม่หยุดด้วยความหวาดกลัว มือซ้ายของเขาซ่อนไว้ที่ด้านหลัง นิ้วทั้งห้ากางออก ตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด


ในใจของเขารู้สึกหวาดผวา


คิดไม่ถึงว่าลั่วชิวกลับพูดเนิบๆ ว่า “นับตั้งแต่นี้ไป คุณจะพูดถึงผมไม่ได้ ตอนนี้ผมฝากเอาไว้ก่อน…แต่ในส่วนที่คุณติดค้างพี่เสี่ยวชุน ก็ควรชดใช้คืนให้เยี่ยเหยียนแล้ว”


อวี๋หวานิ่งอึ้ง เขายังไม่รู้ว่าเจ้าคนลึกลับยากคาดเดาผู้นี้มีแผนอะไรกันแน่ กลับมองเห็นอีกฝ่ายเดินถอยหลังไปทีละก้าวทีละก้าว…แล้วหายตัวไป


ลมเย็นพัดโชยมา อวี๋หวาสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาวและหวาดกลัวทันที เขามองรอบๆ อย่างงุนงง สุสานกลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง…เงียบสงัดวังเวง มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว


แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ …ราวกับว่ามีใครกำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา


“ใครอยู่ตรงนั้น!”


เขาถึงกับได้ยินเสียงของคนที่กำลังมา…นั่นเป็นเสียงของเยี่ยเหยียน


อวี๋หวามองไปรอบๆ อย่างตื่นกลัว ราวกับว่าหวาดผวาระแวงไปหมด


เขาสูดลมหายใจลึกๆ ในแววตามีประกายความบ้าระห่ำผ่านมาแวบหนึ่ง


ทันใดนั้นเขาก็ฉีกเสื้อผ้าบนตัวออก มือข้างหนึ่งกุมจี้เครื่องรางบนสร้อยทองเส้นหนึ่งที่สวมติดไว้ที่คอ เขาดึงจี้เครื่องรางออกมาจากคอ สองมือบีบ แล้วจี้เครื่องรางก็มีอาวุธลับอันเล็กๆ ออกมาจากตรงกลาง


เขาใช้อาวุธลับด้ามนี้แทงเข้าไปในหัวใจของตนเอง เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว อวี๋หวาก็คุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขามีรอยเส้นเลือดจำนวนมากปรากฏขึ้นมา…


*ฟ้าดินฮ่องเต้บุพการีอาจารย์ ในสมัยโบราณนั้นจะอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ โดยมอบป้ายไม้แผ่นหนึ่งให้ บนป้ายไม้นั้นจะเขียน ฟ้า ดิน ฮ่องเต้ บุพการี อาจารย์ เพื่อบอกว่าห้าสิ่งนี้คือสิ่งที่มนุษย์ควรให้ความเคารพบูชาเลื่อมใสศรัทธา และเชื่อฟัง


บทที่ 119 ที่ฉันเชี่ยวชาญที่สุดคือการใช้มีด

โดย

Ink Stone_Fantasy

อันที่จริงแค่ซ่อนตัว แต่ไม่ได้จากไป


ตอนที่ลั่วชิวมองดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอวี๋หวา ก็ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจมากนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาซื้อความสามารถเชื่อมต่อความคิดกับคนคนหนึ่งจากสมาคม


ไม่ใช่การซื้อข้อมูลในอดีตของคนคนหนึ่งมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการเข้าใจถึงความคิดของคนคนหนึ่งอย่างลึกซึ้งด้วย


การใช้จ่ายแบบนี้ย่อมแพงกว่าการซื้อข้อมูลในอดีตมาก แต่มีคนใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อสิ่งที่โปรดปรานได้ และด้วยเพราะความโกรธแค้นที่อยู่ในใจแล้วลั่วชิวย่อมไม่สนใจการสูญเสียอายุขัยเช่นกัน


“โชคดีที่เหมือนเขาจะยังไม่สิ้นหวังนะ” ลั่วชิวมองดูการเปลี่ยนแปลงของอวี๋หวาทีละเล็กทีละน้อย แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้านี่เป็นผู้จัดซื้อของสมาคมไมเคิลที่ซ่อนสินค้าล็อตนั้นไว้ที่นี่ ในมือของเขามีน้ำยาสูตรลับที่สมาคมไมเคิลผลิตออกมา ทำให้พละกำลังแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาอันสั้น น่าจะเป็นของแบบเดียวกับที่คิงคองใช้”


“ในระยะเวลาอันสั้น น่าจะไม่ใช่ตัวยาที่สมบูรณ์” โยวเย่คิดไว้แล้วพูดขึ้นมา


ลั่วชิวพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “แต่ก็เพียงพอให้คนที่เคยสัมผัสกับอานุภาพของมันเห็นมันเป็นของช่วยชีวิต…และเพราะว่าเขายังซ่อนของแบบนี้ไว้อยู่พอดี ถึงทำให้ตัวเขารู้สึกว่ายังมีโอกาสพลิกเกมได้อยู่ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ ขนาดนี้หรอก เพียงแต่อาเยี่ยมาหาที่นี่ ดูท่าการปะทะกันระหว่างพวกเขาจะเร็วไปหน่อยเท่านั้นเอง”


ลั่วชิวส่ายหน้า “ในเมื่อมาแล้วก็ช่างเถอะ ถึงยังไงอาเยี่ยก็เหมาะจะจัดการเรื่องของพี่เสี่ยวชุนมากกว่า”


โยวเย่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ


เธอเข้าใจที่ลั่วชิวบอกว่าคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ ขนาดนั้นคืออะไร อวี๋หวามีใจคิดแก้แค้นไม่สนชั่วดี ความคิดดื้อรั้นหัวรุนแรงของคนนี้ง่ายต่อการเกิดกลไกแลกเปลี่ยนกับสมาคม


ที่ตอนนี้ยังไม่ปรากฏสักที ย่อมเป็นเพราะนายคนนี้ยังไม่รู้สึกว่าตนเองสิ้นหวัง


สาวใช้ถอยไปอยู่ด้านหลังลั่วชิว ประการแรกคือไม่อยากบังเจ้านายของตนเอง อีกประการหนึ่งคือหวังว่าเจ้านายตนเองจะได้ดูการต่อสู้อันดุเดือดที่กำลังจะเกิดขึ้นของทั้งสองฝ่ายใกล้ๆ


เธอรู้สึกได้ว่าความโกรธของลั่วชิวบรรเทาลงไปบ้างเล็กน้อยแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะปล่อยอวี๋หวาไปง่ายๆ แบบนี้


เพราะคนที่โดนดูถูกเหยียดหยามไม่ได้มีแค่พ่อของเจ้านายเท่านั้น ยังมีอีกคนหนึ่ง…ความโกรธแค้นที่หลุมศพของคุณเสี่ยวชุนถูกทำลาย ย่อมเหมาะให้คุณเยี่ยเหยียนเป็นคนจัดการ


คนที่เติบโตในประเทศนี้ต่างมองความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด


เพราะการกระทำแบบนั้นของอวี๋หวา ทำให้ประตูนั่นจากตัวเจ้านายปรากฏขึ้นก่อนเวลา เท่านี้ก็รู้ได้ว่านี่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเจ้านายคนใหม่มากแค่ไหน


ประตูแห่งมูลเหตุได้ปรากฏขึ้นก่อนกำหนดแล้ว


โยวเย่คิดถึงบางอย่าง ‘แม้ว่ายังคงไม่อาจให้อภัยเรื่องที่อวี๋หวาเคยทำไว้ได้ แต่แค่ประเด็นที่เขายั่วโมโหเจ้านายคนใหม่นี้แล้ว ก็ต้องบอกขอบคุณมากสักคำเบาๆ ล่ะกัน’




ตอนที่เยี่ยเหยียนกับเซอร์หม่า หม่าโฮ่วเต๋อเดินมาถึงสุสาน สองคนที่ถือไฟฉายอยู่ในมือก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน


สองคนเห็นชายคนหนึ่งเปลือยกายท่อนบน กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นในตอนนี้ สองมือป้องด้านหน้าตัวเองไว้…รวมทั้งกล้ามเนื้อน่าหวาดกลัวเปี่ยมด้วยพลังที่เผยให้เห็นนั้น


ชายแปลกๆ ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ เวลานี้กลับลุกขึ้นมาช้าๆ


เซอร์หม่าพูดไปตรงๆ เสียงเคร่งเครียดว่า “แกเป็นใคร? ดึกดื่นมาทำอะไรที่นี่!”


แววตาของอวี๋หวากวาดมองสองคนสักพัก เสียงของเขาเปลี่ยนไปทุ้มห้าวกว่าตอนปกติอยู่มากโข “เยี่ยเหยียน หม่าโฮ่วเต๋อมากันหมดแล้วเหรอ…พอดีเลย ฉันจะได้กำจัดพวกแกทิ้งไปพร้อมกันเลย ไม่ต้องเปลืองแรงมาก! หลังจากฆ่าพวกแกทิ้งแล้ว ต่อไปก็จะถึงตาไอ้น่าตายคนนั้นแล้ว!”


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว “ฉันรู้จักแกด้วยเหรอ?”


อวี๋หวาหัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้น “ได้ยังไง หรือว่ามาถึงนี่แล้วยังไม่รู้อีกเหรอ? ลืมไปแล้วเหรอ ว่าหัวล็อกหยกที่ขุดออกมาจากหลุมศพคนตายส่งไปถึงมือนายได้ยังไง?”


“แกนี่เอง!” เยี่ยเหยียนหรี่ตา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น!


อวี๋หวาหัวเราะฮาดังลั่นแล้วพูดขึ้น “โกรธแล้วล่ะสิใช่ไหม? แต่ไม่ได้มีแค่นี้นะ แกรู้ไหมว่าทำไมช่วงนี้แกถึงได้ซวยขนาดนี้? ฉันจะบอกแกให้รู้ไว้นะ! เริ่มตั้งแต่แกเปิดโปงสถานที่นั้นเมื่อสองเดือนก่อน แกก็ค่อยๆ ตกอยู่ในการควบคุมของฉันแล้ว”


หลังจากน้ำยาสูตรลับนั่นเข้าสู่ร่างกาย อวี๋หวาไม่เพียงแต่ได้รับพละกำลังที่แข็งแกร่งเท่านั้น ถึงขนาดมีความสุขและฮึกเหิมพลุ่งพล่านไม่หยุด อันที่จริงแล้วเขาอยากจะพูดทั้งหมดออกมาต่อหน้าเยี่ยเหยียน จะได้เห็นสีหน้าท่างทางโกรธเกลียดและเคียดแค้นของอีกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน สิ่งนี้ทำให้อวี๋หวาคิดว่า แท้จริงแล้วเป็นเรื่องราวที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้เลย


เขามองเยี่ยเหยียน พูดราวกับยั่วหยอกว่า “แกคิดไหมว่า ทำไมแกถึงหาเบาะแสที่กบดานที่พวกตำรวจชั่วกลุ่มนั้นทำเรื่องสกปรกลับหลังได้อย่างง่ายดาย? แกคิดจริงๆ เหรอว่าจะมีคนใจกว้างขนาดนี้? ถ้าไม่ใช่ฉันจงใจเตรียมไว้ แกคิดว่าแกจะหาเจอได้เหรอ? ฮ่าๆๆ เจ็บใจไหมล่ะ? สี่ปีก่อนเพราะคดีนั่นแกถึงได้ผลงานชิ้นใหญ่ หลังจากนั้นตำแหน่งหน้าที่ก็ก้าวหน้าโดยไม่ต้องเปลืองแรง แต่สี่ปีให้หลัง แกกลับเป็นคนที่ทางการและองค์กรตามฆ่า อย่างกับสิ่งไม่ดีที่ผู้คนต่างรังเกียจ! ลองดูสารรูปตัวเองตอนนี้สิ! น่าผิดหวังมากขนาดไหน ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเลยล่ะสิ!”


เยี่ยเหยียนไม่ส่งเสียงสักแอะ


เซอร์หม่ากลับโพล่งด้วยโกรธแค้นแทนน้องชายตนเอง “ทำไม! คนอย่างแกถือว่าตัวเองเป็นอะไร? น้องชายฉันไปทำอะไรให้แกกันแน่ แกถึงได้ทำแบบนี้กับเขา? แกนี่มันสารเลวจริงๆ คนตายควรได้รับความเคารพ แต่นึกไม่ถึงเลย ขนาดสุสานคนตายแกก็ยังไม่เว้น?!”


อวี๋หวาทำเสียงฮึเย็นชาในลำคอแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่แค่เยี่ยเหยียนเท่านั้นนะ! ยังมีไอ้หมูตอนอย่างแกนี่ด้วย! หม่าโฮ่วเต๋อ จะบอกอะไรแกให้นะ ชื่อของฉันก็คือ…อวี๋หวา! ฉันคือลูกชายของอวี๋เจิ้งเต๋อ! ไม่ใช่แค่พวกแกสองคนเท่านั้น! ยังมีอีกพวกคนที่ร่วมมือกันเมื่อสี่ปีก่อน แม้กระทั่งครอบครัวของพวกแก ฉันก็ไม่คิดปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!”


เซอร์หม่านิ่งอึ้ง เยี่ยเหยียนก็อ้าปากค้างน้อยๆ มองเห็นแววตาของอวี๋หวาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมโดยสิ้นเชิง


“บ้าเอ๊ย! สี่ปีก่อนพ่อแกทำให้คนบริสุทธิ์ต้องตายไปมากมายเท่าไหร่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าหนึ่งปีก่อนเขาตายในคุก ดีใจแทบบ้าเลยจริงๆ คืนนั้นฉันเล่นดื่มฉลองจนเมาไปยกใหญ่เลยว่ะ!” หม่าโฮ่วเต๋อทำเสียงเยาะเย้ยแล้วพูดขึ้น “แต่ฉันยังดีใจได้ไม่เต็มที่เลยว่ะ! วันนี้ข้าก็ขอมีความสุขสักหน่อยก็แล้วกัน!”


อวี๋หวาหัวเราะเยาะทันที “อย่างแกเนี่ยเหรอ? ตอนนั้นก็แค่หลบอยู่อีกฟากหนึ่งเอง สุดท้ายก็ได้สัมผัสกับการเป็นเต่าหัวหดผู้มีคุณความดีสินะ?”


ขณะที่พูดอยู่นั้น อวี๋หวาก็กระโดดพุ่งขึ้นมาในพริบตา ข้ามไปไกลถึงสามเมตรกว่าในทันที พุ่งมาถึงตรงหน้าหม่าโฮ่วเต๋อด้วยความเร็ว ควงหมัดขึ้นมาแล้วก็ซัดพุ่งไปที่ใบหน้าของเซอร์หม่า!


“ระวัง!”


ในวินาทีวิกฤตนั้นเยี่ยเหยียนผลักหม่าโฮ่วเต๋อออกไป มือข้างหนึ่งคว้าจับแขนของอวี๋หวาไว้ ก่อนออกแรงบิดพลิกหมุนตัวในทันที แล้วใช้เข่ากระทุ้งไปที่ข้างตัวของอีกฝ่ายอย่างแรง!


กระดูกซี่โครงบริเวณเอวบอบบางมาก การจู่โจมเบาๆ ก็ทำให้หักได้แล้ว แต่ทว่าอวี๋หวากลับเหมือนไม่เป็นอะไรเลย แล้วยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


เยี่ยเหยียนตกใจหน้าเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้…ฉับพลันเขาก็นึกถึงคนอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้ คิงคอง!


หมอนั่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ร่างกายอย่างกับสร้างมาจากเหล็กก็ไม่ปาน!


เยี่ยเหยียนพลิกแพลงความคิด ไม่ได้หยุดชะงักไป แต่ดึงพลังทั้งหมดที่มีออกมา ฝ่ามือซัดไปบนคาง ของอวี๋ฮวาทันที ขณะเดียวกันก็งอข้อมืออีกข้างหนึ่ง เอาข้อศอกกระทุ้งไปยังตำแหน่งกระดูกไหปลาร้าใต้คอหอยของฝ่ายตรงข้ามอย่างเหี้ยมโหด!


การเปลี่ยนกลยุทธ์กะทันหันนี้ทั้งรุนแรงและรวดเร็ว!


คาดไม่ถึงว่าอวี๋หวายังดูเฉยๆ ก่อนก้มหัวลงมา แสยะยิ้มพูดว่า “เดิมฉันคิดว่าจะซัดกับแกให้เต็มที่สักหน่อย แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะ! หลังจากที่ฉันคว่ำอาจารย์อาของฉันไปแล้ว ถึงได้สืบทอดพลังนี้มาจากตัวเขาไงล่ะ! ถ้ารู้แต่แรกว่าเขายังซ่อนของพวกนี้ไว้อยู่ ตอนแรกฉันก็คงไม่…ชิ! ตายซะเถอะ!!”


โจมตีด้วยหมัดหนักต่อ!


เยี่ยเหยียนใช้แขนทั้งสองข้างตั้งการ์ดป้องไว้ข้างหน้า กลับเหมือนถูกแรงรถเล็กๆ ชนกระแทกเข้า ตัวทั้งตัวลอยกระเด็นออกไป พลังอมนุษย์แบบนี้น่ากลัวจริงๆ!


เยี่ยเหยียนรู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างเหมือนจะชาไปแล้ว ก่อนมองอวี๋หวาด้วยความหวาดผวา


เห็นเพียงแค่รอยยิ้มหยอกเย้าราวกับหยอกล้อหนูบนใบหน้าของเขาตอนนี้เท่านั้น ก่อนเดินเข้ามาหาตนเองทีละก้าวทีละก้าว “แปดปรมัตถ์? ก็แค่นี้เองน่ะเหรอ? เป็นอย่างที่คิดไว้สินะ แกเอาชนะพ่อฉันได้ในตอนนั้น จะต้องใช้ลูกไม้สกปรกๆ อะไรแน่!”


เยี่ยเหยียนไม่ได้พูดอะไร แค่ถ่วงตัวลงมาเล็กน้อย


ปัง!


ฉับพลันนั้นด้านหลังของอวี๋หวา ก็เกิดเสียงปืนดังสนั่น


ตัวของอวี๋หวาโซเซ ก่อนคุกเข่าลงไปบนพื้นเลย


บริเวณาขาของเขาถูกกระสุนยิงทะลุแล้ว!


“แม่งเอ๊ย!” หม่าโฮ่วเต๋อที่อยู่ไกลออกไปสบถด่าเสียงดัง “ตอนนั้นสายตาแกเห็นข้าเป็นเต่าหัวหดที่แส่หาเรื่องงั้นเหรอ? ที่ข้าใช้ในตอนนั้นคือปืนไรเฟิลซุ่มยิง M82A1 ที่ยิงใส่ก็ไม่ใช่จุดสำคัญ!!”


แม้ว่าคนเราถึงวัยกลางคนแล้วจะท้วมขึ้นมาหน่อย แม้ว่าพุงจะย้อยออกมาบนเข็มขัด แต่เซอร์หม่าที่เล็งปืนด้วยมือข้างเดียวกลับมีอานุภาพร้ายกาจ!


“เหอะ…กำจัดแกก่อนก็แล้วกัน!”


อวี๋หวาลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างฉับพลันทันที น่องที่มีเลือดไหลอยู่นั้น ราวกับไม่ได้เป็นอุปสรรคถ่วงเขาเอาไว้เลย การเคลื่อนไหวของเขายังคงรวดเร็วกระฉับกระเฉง!


ในขณะที่เซอร์หม่าตกใจอย่างหนักอยู่นั้น ก็ยิงปืนติดต่อกันอีกหลายนัด ยิงสาดไปที่ขา บ่าของอวี๋หวา แต่กลับไม่อาจสกัดกั้นฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่นิดเดียว!


เจ้านี่นิ อย่างกับสัตว์ประหลาดไม่กลัวเจ็บตัวหนึ่งเลย!


เซอร์หม่าขบกรามแน่น กระสุนนัดนั้นยิงถูกที่หน้าผากอวี๋หวาพอดี แต่ฉับพลันนั้นอวี๋หวากลับตัวหดสั้นลง โก่งหลังเหมือนแมวพุ่งเข้าใส่ด้านหน้าหม่าโฮ่วเต๋อทันที กระแทกให้คนล้มลงไปบนพื้นอย่างสบายๆ


“ครั้งแรกแกก็ฆ่าฉันได้แล้ว!” อวี๋หวาหัวเราะเยาะอย่างเยียดหยามแล้วพูดขึ้น “แต่ตำรวจอย่างพวกแกมันปัญญาอ่อน! ตลอดมาสิ่งที่คิดได้ก็มีแค่จับตัวเท่านั้น! พวกแกรักษาศีลข้อห้ามพวกนั้น แต่กลับเป็นสาเหตุให้พวกแกต้องมาถึงจุดจบ!”


ตั้งแต่วินาทีที่เห็นอวี๋หวาชูหมัดอันน่าพรั่นพรึงขึ้นมา เยี่ยเหยียนก็เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่าหม่าโฮ่วเต๋อรับการจู่โจมแบบนี้ไม่ได้ เขาจึงรีบพูดทันที “อวี๋เจิ้งเต๋อก็แค่คนไร้น้ำยา!”


อวี๋หวาพลันหยุดมือค้างนิ่ง ก่อนแย่งปืนมาจากมือหม่าโฮ่วเต๋อ ห้านิ้วออกแรงบีบปืนพกจนเป็นก้อนเดียว! แล้วโยนตัวหม่าโฮ่วเต๋อกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง!


“แกว่าอะไรนะ? แกกล้าพูดอีกครั้งไหม?”


“ให้พูดอีกกี่ครั้งก็ได้ทั้งนั้นแหละ!” เยี่ยเหยียนหัวเราะเยาะพูดต่อ “เขาเป็นแค่คนไร้น้ำยาคนหนึ่งจริงๆ ไม่อย่างนั้นทำไมถึงแพ้ฉันได้ล่ะ? วิชากรงเล็บอินทรี? กรงเล็บไก่ล่ะสิไม่ว่า!”


“ให้ฉันต่อยปากแกแตกก่อนแล้วกัน!” ดวงตาสองข้างของอวี๋หวาแดงก่ำทันที ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชกไปที่เยี่ยเหยียนอย่างบ้าคลั่ง!


ร่างกายนี้ไม่กลัวความเจ็บปวด มีพละกำลังไร้ขีดจำกัด!


เพียงแค่สองสามหมัด เยี่ยเหยียนก็ราวกับสูญเสียพลังการต่อต้านแล้ว โดนอวี๋หวากดลงไปบนพื้นทันที! เขาบีบคอเยี่ยเหยียนแน่น แสยะยิ้มพูดว่า “ฉันเห็นว่าแกบาดเจ็บ เลยคิดจะให้เวลาแกอีกสามวัน หลังจากให้แกรักษาตัวเต็มที่แล้วจะได้มาสู้กับฉันจริงๆ สักตั้ง แต่ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะ! ก่อนตาย แกยังมีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”


เยี่ยเหยียนเค้นเสียงออกมาจากลำคอ “ที่แก…พูดมาไม่ผิด…”


และก็ในตอนนั้นเอง มือของเยี่ยเหยียนก็โบกผ่านขวับไปในทันใด ราวกับว่ามีแสงสว่างวาบสะท้อนแยงเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของอวี๋หวาพอดี อวี๋หวาหันหน้าหลบตามสัญชาตญาณ!


และก็ในตอนนั้นเอง ช่วงวินาทีที่เผลอ มือของเยี่ยเหยียนก็ตวัดมีดมาที่ข้อมืออวี๋หวาอย่างรวดเร็ว!


อวี๋หวาซึ่งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดก็โมโหยกใหญ่ วินาทีที่กำลังคิดจะบีบกระดูกคอของอีกฝ่ายให้หักไปนั้น กลับพบว่ามือทั้งสองเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที!


เยี่ยเหยียนที่ถูกกดไว้ขยับตัวอย่างสุดชีวิต ก่อนพลิกตัวกลิ้งไปอีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันมือก็ตวัดมีดไปที่ข้อเท้าของอวี๋หวาอย่างรวดเร็ว!


อวี๋หวาโมโหหนัก วินาทีที่กำลังคิดจะตามไปจัดการ กลับคุกเข่าลงบนพื้นในทันที ไม่ว่าจะยังไงก็ลุกขึ้นมาไม่ได้! เขาหลุดสีหน้าตกใจอย่างมาก “แก…ทำอะไรฉันเนี่ย?”


เยี่ยเหยียนลูบคลำคอตนเอง กระแอมไอไปสองที ถึงได้พูดเสียงแหบขึ้นมา “แกพูดไว้ไม่ผิดหรอก ฉันเอาชนะพ่อแกมาได้อย่างไม่ใสสะอาดนักหรอก…เพราะสิ่งที่ฉันถนัดที่สุดก็คือการใช้มีด”


เขาชักมือกลับมา นิ้วโป้งคีบกริชเล่มเล็กๆ อยู่เล่มหนึ่ง “โดยเฉพาะเป็นมีดเล็กแบบนี้! คมกริบที่สุด!”


“แก…” อวี๋หวานึกขึ้นมาได้ทันที


เอ็นข้อมือของเขา เอ็นข้อเท้าของเขา ได้ถูกตัดขาดไปเมื่อไม่กี่วินาทีนี้เอง!


ด้วยความหวาดกลัวตื่นตระหนก อวี๋หวาจึงรีบหาทางหนีอย่างสุดชีวิต เอ็นข้อมือข้อเท้าต่างก็ถูกตัดขาดแล้ว ในเวลานี้เขาได้แต่คลานเท่านั้น!


เยี่ยเหยียนสาวเท้ามาอย่างรวดเร็ว กริชบนมือแทงเข้าไปตรงๆ ที่กระดูกหัวไหล่ด้านหลังของอวี๋หวารวมทั้งบนหัวเข่า สกัดปิดหนทางการเคลื่อนไหวของเขาทุกทาง


เขากำลังมองดูกล้ามเนื้อที่น่ากลัวนั่นของอวี๋หวา พูดอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “พ่อแกไม่ได้บอกแกเหรอว่าไอคิวก็เป็นศักยภาพอย่างหนึ่งเหมือนกัน…ถูกยั่วโมโหอย่างง่ายดายแบบนี้ ช่างไร้น้ำยาจริงๆ!”


บทที่ 120 จับตามองแสงท้องฟ้าสว่างอย่างเงียบๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หม่าโฮ่วเต๋อยันตัวขึ้นจากพื้น สะบัดหัวเล็กน้อย หลังจากหายหน้ามืดตาลายไป ก็เดินไปทางเยี่ยเหยียนทันที


“เยี่ยเหยียน นายไม่เป็นไรใช่ไหม!”


พอได้ ไม่ถึงตายหรอก” เยี่ยเหยียนกระอักเลือดที่เหลือออกมา


ทั้งสองคนที่ล้วนแต่เป็นชายวัยกลางคนต่างก็สบตากัน ทั้งคู่ยังมีรอยยิ้มเมื่อครั้งวันวาน เซอร์หม่ายื่นหมัดออกมา เยี่ยเหยียนเองก็ยื่นหมัดออกมาเช่นกัน


หลังจากผ่านไปสามปี หมัดของชายมีอายุทั้งสองก็ชนเข้าหากันเบาๆ อีกครั้งในวันนี้


“เจ้านี่…เกิดอะไรขึ้น?”


ตอนนี้เซอร์หม่าขมวดคิ้วขึ้น กำลังมองดูอวี๋หวาที่นอนฟุบอยู่บนพื้น อวี๋หวาพลันชักกระตุกไปทั้งตัว เขาถึงกับสำลักเอาฟองน้ำลายสีขาวออกมาไม่หยุด กล้ามเนื้อทั้งร่างกายที่กำยำล่ำสันผิดปกติกำลังแห้งเหี่ยวลงไปทีละน้อยทีละน้อย


เยี่ยเหยียนย่อตัวลงมาแตะชีพจรที่ข้อมือของอวี๋หวา “อ่อนมาก แต่ไม่ถึงกับตายในทันที…ก่อนหน้านี้เจ้านี่คงจะใช้ยาพิเศษอย่างพวกยากระตุ้นประสาทหรือเร่งฮอร์โมนอะไรพวกนี้? จากท่าทางของเขาแล้ว ก่อนพวกเรามาคงไปเจออะไรมา…”


“เขาอาจแค่เดาว่านายจะมาก่อน?” หม่าโฮ่วเต๋อก็พูดราวกับมีความหวาดกลัวอยู่ในใจ “อยู่มานานแล้วถึงจะได้เห็นจริงๆ! เมื่อกี้นี้เจ้านี่เหมือนกับสัตว์ป่าไม่มีผิด…เหล่าเยี่ย ที่เจ้านี่เพิ่งพูดถึงก็คือปั้นเรื่องใส่ร้ายนายให้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้เหรอ?”


เยี่ยเหยียนครุ่นคิดอยู่สักครู่ ฉับพลันก็ยื่นมือไปค้นกางเกงของอวี๋หวา เจอแค่โทรศัพท์เครื่องหนึ่งและกระเป๋าสตางค์ธรรมดาๆ ใบหนึ่งเท่านั้น


เยี่ยเหยียนเผลอย้อนกลับไปนึกถึงสถานการณ์ที่ตัวเขาถูกคนช่วยออกมาในครั้งที่สอง…ถึงแม้จะมองเห็นลักษณะของคนนั้นไม่ชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่ารูปร่างของอวี๋หวาถูกทำให้ผอมลงไปเล็กน้อย


แต่ระหว่างที่ได้พูดคุยกับอวี๋หวาไปเมื่อสักครู่ เยี่ยเหยียนก็พอรู้ได้ ไม่ใช่เขาที่ยื่นมือเข้ามาช่วยตัวเอง…แล้วเป็นใครกันแน่ที่ช่วยออกมา?


“พี่ชาย ช่วยผมหน่อยได้ไหม?” เยี่ยเหยียนพูดขึ้นทันที


หม่าโฮ่วเต๋อตบหน้าอกเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา


เยี่ยเหยียนมองดูอวี๋หวาที่อาการร่อแร่อยู่บนพื้นพร้อมกับพูดว่า “อย่าให้เจ้านี่ตายไปเลย และจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเขาอยู่ในมือพวกเรา…เขาอาจจะเป็นโอกาสให้ฉันพลิกเกมได้”


เซอร์หม่าพยักหน้า “ฉันมีหมอพื้นบ้านที่รู้จักอยู่”


เยี่ยเหยียนพยักหน้า


ทั้งสองคนรีบยกตัวอวี๋หวาที่สลบไปขึ้นมา ก่อนจะจากไปพวกเขากลับมองป้ายหลุมศพอยู่พักหนึ่ง แล้วชายมีอายุสองคนก็พูดพร้อมกันว่า “พี่ใหญ่ ครั้งหน้าจะมาหาและดื่มเหล้าขาวกับพี่!”



“นายท่าน คุณเยี่ยและนายตำรวจหม่าพาตัวอวี๋หวาออกไปจากสุสานแล้ว”


ตอนที่โยวเย่กลับมาที่หลุมฝังศพ เห็นเพียงแค่เจ้านายของตัวเองกำลังถือไม้กวาดปัดกวาดฝุ่นผงไปทั่วบริเวณนี้เพียงลำพัง


ที่นี่เพิ่งจะผ่านการต่อสู้ไป ทิ้งร่องรอยเอาไว้ไม่น้อย แม้กระทั่งหลุมฝังศพก็สกปรกไปหน่อยแล้ว


“รู้แล้ว”


ต่อมาทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดจากัน


ลั่วชิวปัดกวาดตรงรอบๆ หลุมฝังศพเงียบๆ จับตาดูแสงท้องฟ้าสว่างขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ




ตอนนี้เจสสิก้าและคิงคองกำลังยืนอยู่ข้างหน้าแท็บเล็ตเครื่องหนึ่ง


บนจอของแท็บเล็ต มองเห็นเพียงแค่คางของชายคนหนึ่ง รอบด้านนั้นมืดมาก มองไม่เห็นอะไรมากเลยแม้แต่น้อย


ชายคนนั้นพูดขึ้นอย่างเฉยชา “คิงคองนี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่ปล่อยคนหนีไปได้ ฉันล่ะสงสัยความสามารถในการทำงานของแกจริงๆ”


คิงคองก้มหน้าลง ไม่ได้พูดอะไรสักคำ


ไม่ใช่แค่กลุ้มใจเท่านั้น ยังถึงกับโกรธมากด้วย นี่เป็นเรื่องจริงก็จริง เพียงแต่เขาถูกเบื้องบนตำหนิแบบนี้ ย่อมรู้สึกไม่พอใจแน่นอน


คิงคองพูดขึ้นทันที “คุณซุนครับ ผมคิดว่าแปลกมาก ว่ากันตามเหตุผลที่นี่มีแค่ผมกับเจสสิก้าที่รู้! พอดีกับตอนที่เธอออกไปไม่นาน ก็มีคนมาช่วยทันที ผมรู้สึกว่ามันประจวบเหมาะเกินไป”


พูดไป เขาก็หรี่ตามองเจสสิก้าที่อยู่ข้างๆ


เจสสิก้าไม่ขยับเขยื้อน นิ่งเหมือนเป็นรูปปั้นอย่างนั้น


ผู้ชายบนหน้าจอปรับโทนเสียงให้สูงขึ้นมาทันที “พอแล้ว เจสสิก้าจะไม่หักหลังพวกเราแน่นอน อย่าหาข้ออ้างให้ความประมาทเลินเล่อของแก แกใช้สมองคิดดูหน่อย เธอเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเยี่ยเหยียนแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยคนไป สิ่งนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์กับเธอเลย”


คิงคองก็รู้ว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เพียงแต่จู่ๆ ก็ถูกผู้หญิงคนนี้บีบคั้น มีคิดไม่ตกบ้างไม่มากก็น้อย…เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ผมจะลากตัวคนมาให้เร็วที่สุด รวมถึงไอ้คนที่ช่วยอยู่เบื้องหลังด้วย ผมจะลากตัวออกมาพร้อมๆ กัน นอกจากเจสสิก้าแล้ว พวกคุณมีคนอื่นมาที่นี่เงียบๆ อีกหรือเปล่า? ดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ในองค์กรของพวกคุณ เหมือนจะมีคนแอบช่วยเยี่ยเหยียนมาตลอด…คนติดต่อของเขา?”


เจสสิก้าส่ายหน้าพูดราวกับไม่สามารถยืนยันได้ “ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ข่าว แต่ก็ไม่อาจตัดเรื่องมีคนปฏิบัติการอย่างลับๆ ไปได้ ตัวฉันไม่ได้อยู่สำนักงานใหญ่ มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที”


ผู้ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง “ยังมีคนลึกลับช่วยเยี่ยเหยียนออกไป นี่เปรียบได้กับตัวแปรที่ไม่อาจควบคุมได้ตัวหนึ่ง คิงคอง แกบอกฝ่ายผู้ซื้อ ให้ออกสินค้ามาล่วงหน้า ให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อมไว้สักหน่อย…เรื่องแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ให้เจสสิก้ารับผิดชอบก็แล้วกัน”


“ครับ”


ไม่ค่อยอยากจะยินยอมเท่าไหร่ แต่ก็ทำได้เพียงตอบตกลงเงียบๆ




ราวๆ ช่วงย่ำรุ่ง เซอร์หม่าถึงได้ผ่อนคลาย แล้วนั่งลงพักชั่วครู่ ส่วนเยี่ยเหยียนที่อยู่ข้างๆ กำลังพันข้อมือให้ตัวเองอยู่


ที่นี่คือตึกที่มีห้องยาจีนในห้องห้องหนึ่ง คนที่พักอยู่ที่นี่เป็นหมอแผนจีนสูงวัยคนหนึ่ง


หมอจีนคนนั้นล้างมือแล้วจึงเปิดผ้าม่านเดินออกมา “นายตำรวจหม่า ชีวิตคนบาดเจ็บถือว่ารักษาเอาไว้ได้แล้ว ลูกกระสุนผมก็เอาออกให้แล้ว แต่ว่าเขาเสียเลือดมาก เกรงว่าจะไม่ได้ฟื้นขึ้นมาไว้ขนาดนี้ อีกอย่างเอ็นข้อมือ เอ็นข้อเท้าของเขารวมถึงอวัยวะสำคัญถูกทำร้ายอย่างน่าสยดสยอง ผมแนะนำให้คุณรีบพาเขาส่งโรงพยาบาลไปผ่าตัดเถอะ ไม่อย่างนั้นอาจพิการไปชั่วชีวิตได้…คนที่ลงมือโหดร้ายมากเกินไปแล้ว!


เซอร์หม่าไม่กล้าพูดว่าจริงๆ คนที่ลงมือก็นั่งอยู่ข้างๆ นี่แหละ เขาจึงกระแอมไปเบาๆ พร้อมพูดขึ้น “ผมจะจัดการเอง เจ้านี่พิการไปก็ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นคงมีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”


หมอจีนสูงอายุก็ไม่ได้พูดอะไรอีก “ผมไปต้มยาก่อนนะ ทั้งสองคนค่อยๆ คุยกันไปแล้วกัน”


เยี่ยเหยียนพูดขึ้นมาทันที “ผู้อาวุโสครับ คอมเครื่องนั้นใช้ได้ไหม?”


“อ้อ คุณใช้สิ”


เยี่ยเหยียนพยักหน้า เดินไปที่ข้างหน้าคอมพิวเตอร์ พอหาสายชาร์จเจอบนโต๊ะ เขาก็รีบเสียบไปที่มือถือของอวี๋หวา จากนั้นก็เริ่มขยับกลับไปกลับมา


“น้องชาย นี่นายกำลังทำอะไร”


“แฮกรหัสผ่านโทรศัพท์อวี๋หวา” เยี่ยเหยียนท่าทางจดจ่อ “ในเมื่อเขาเป็นคนของฝ่ายผู้ซื้อ ในนี้คงจะมีเงื่อนงำหลงเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย เมื่อกี้นี้ฉันเห็นข้อความใหม่ข้อความหนึ่ง ฉันอยากจะดูเนื้อหาแบบเต็มๆ หน่อย”


หม่าโฮ่วเต๋อกะพริบตาเล็กน้อย แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เลื่อนไปมั่วๆ อยู่หลายครั้ง “โทรศัพท์มือถือไม่ได้ล็อกเหรอ?”


เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว เขารับมือถือมา…ตอนที่เพิ่งมาเขายังดูไปแล้วนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าตั้งรหัสผ่านเอาไว้


“แปลก…” แต่เขาก็ยังเข้าหน้าข้อความ


เนื้อหา ‘พรุ่งนี้สองทุ่มครึ่ง ที่จอดรถชั้นใต้ดินศูนย์การค้าซีซาร์ A-105 ใส่หมวกเบสบอลสีดำ จำหน่ายสินค้าก่อนเวลา ระวังตัวด้วย’


“จำหน่ายสินค้าก่อนเวลา!” น้ำเสียงเยี่ยเหยียนเข้มขึ้นมาเล็กน้อย


“จำหน่ายสินค้าก่อนเวลาเหรอ…” มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหม่าโฮ่วเต๋อ


เยี่ยเหยียนพูดเข้าประเด็น “ใส่หมวกเบสบอลสีดำ!”


หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เป็นไปได้มากว่าอวี๋หวาและฝ่ายขายจะไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน!”


เยี่ยเหยียนและหม่าโฮ่วเต๋อสบตากันสักพักหนึ่ง ชายสูงวัยทั้งสองคนหรี่ตาลงพร้อมๆ กัน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โอกาสมาแล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม