จอมใจจ้าวพิษ 101-115
101 ผู้สูงศักดิ์
“อาหรูน่า ไปกับข้าเถอะ ตามข้ากลับเผ่าพีส่า หรือเจ้าจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าหมอผีก็ย่อมได้ ข้าจะไปกับเจ้าทั้งนั้น เหตุใดจะต้องอยู่ที่นี่อย่างอกสั่นขวัญแขวนด้วย ทุกวันยังต้องสละเลือดเลี้ยงชีวิตอีก…”
เถิงเฟิงพูดถึงตรงนี้ก็มองดูถังเฉียนซึ่งหลุบตาลงก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ เดิมทีเขาตั้งใจจะเอ่ยถึงคนคนนั้นแต่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ เขายื่นมือมาลูบผมถังเฉียนเบาๆ แล้วทำได้เพียงถอนหายใจ
“เถิงเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้า แต่ข้าก็มีเรื่องที่ตัวเองอยากทำและจำเป็นต้องทำด้วย ข้าไม่ได้เกิดมาจากก้อนหินนะ”
พอถังเฉียนพูดจบ เถิงเฟิงก็เข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาในทันที ถังเฉียนไม่ใช่ชาวเผ่าม้ง นางมาจากแคว้นเซวียนกั๋ว เพราะเหตุนี้นางจึงตั้งใจอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ตัวเขาเองอยู่ที่เผ่าม้ง อยากได้อะไรก็ได้ตามที่ใจตนปรารถนา แต่เขาไม่รู้ว่าเซวียนกั๋วเป็นอย่างไร
“เจ้าไม่อยากเล่าอดีตที่ผ่านมาของเจ้าให้ข้ารู้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าโปรดอย่าได้ทำร้ายตัวเองเพื่อบุรุษคนอื่น รวมถึงแมลงตัวนั้นก็ไม่ได้เช่นกัน”
ถังเฉียนฟังเขาพูดจบก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
“อ๊ะ อย่างนั้นก็แปลกแล้ว ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเสียหน่อย”
เถิงเฟิงฟังที่นางพูดก็หน้าแดงทันที เขาลุกขึ้นยืนแล้วว่า
“ก็ได้ ถือว่าข้ายุ่งเรื่องคนอื่นเกินไป ถ้าเช่นนั้นชายารองอะไรนั่น ผีสาวอะไรนั่น เจ้าไปจับเองเถอะ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”
ถังเฉียนเอานิ้วแตะกัน ดวงตากลอกไปมา เถิงเฟิงแกล้งทำเป็นจะจากไป ถังเฉียนอยากรั้งเขาไว้ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจลืมคำพูดตนเองเร็วอย่างนี้ เถิงเฟิงเห็นสีหน้าของนางดูหนักใจ จึงแกล้งเดินออกไปพร้อมกับพูดว่า
“ผีสาวเอย ผีร้ายเอย ปีศาจเอย…”
เถิงเฟิงพูดแต่ละคำ ถังเฉียนก็เม้มปากแน่นขึ้นทุกครั้ง ถังเฉียนกำมือตัวเองแน่น สุดท้ายเป็นเพราะตื่นเต้นและกลัวจริงๆ
“เจ้าตัวคนเดียว…”
เถิงเฟิงแอบหันกลับมา แล้วค่อยๆ ย่องมาอยู่ข้างหูถังเฉียน ทันใดนั้นก็พูดเสียงดัง
“จับได้แล้ว!”
ถังเฉียนกรีดร้องออกมา หันมาแล้วใช้มือปิดตา โผเข้าหาอ้อมอกของเถิงเฟิง เถิงเฟิงแอบยิ้ม ทันใดนั้นประตูข้างหลังของถังเฉียนถูกผลักเปิดออก หมอผีศักดิ์สิทธิ์เถิงเสวี่ยยืนอยู่ที่ประตู พอเห็นภาพตรงหน้าจึงรีบเบือนหน้าไป
เถิงเฟิงตบหลังถังเฉียนเบาๆ พูดอย่างเขินๆ ว่า
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ไม่ปล่อยให้เจ้าจับผีคนเดียวหรอก”
มีเสียงกระแอมไอดังขึ้นมาจากด้านนอก ถังเฉียนยังคงหดตัวอยู่ที่เดิม นางตกใจกลัวมาก เถิงเฟิงหันไปเห็นย่ารองของเขาจึงพูดปลอบถังเฉียนเบาๆ
“ย่ารองมาหาเจ้าน่ะ คงจะมีเรื่องสำคัญ”
ถังเฉียนฟังแล้วยังคงมุดหัวตามเดิม นางเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อครู่ตกใจจนขวัญเสีย คิดแต่จะหลบอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ยังดีที่เถิงสวี่ยรู้ว่าเถิงเฟิงเป็นตัวแสบ นางเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือออกมาจับศีรษะถังเฉียน
นางมีความสามารถทำให้คนใจสงบลง เพียงแค่ทำท่าง่ายๆ เช่นนี้เท่านั้น ก็ทำให้ร่างที่สั่นระริกของถังเฉียนค่อยๆ สงบลงแล้ว เมื่อถังเฉียนเงยหน้าขึ้นมองเห็นเถิงเสวี่ยก็ยิ่งรู้สึกสำนึกบุญคุณและเคารพนางเพิ่มขึ้น
“ย่ารอง ท่านมาผิดเวลาจริงๆ”
เถิงเสวี่ยถือกิ่งไม้สีทองอันหนึ่งในมือ นางตีที่ศีรษะเถิงเฟิงเบาๆ
“รู้จักแต่ก่อเรื่อง! ยังไม่รีบออกไปอีก ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับอาหรูน่า”
หลายวันนี้เถิงเสวี่ยตั้งใจค้นคว้าเลือดของถังเฉียน ประสานกับที่เถิงเฟิงเล่าให้นางฟัง รวมทั้งคำบอกเล่าของฉู่จิ่งเหยา บวกกับผลการทดลองของนางเอง นางก็ได้ข้อสรุปแล้ว
102 ทำไมถึงเป็นเจ้า
เถิงเฟิงเหลือบมองถังเฉียน เถิงเสวี่ยชูกิ่งไม้สีทองขึ้นอีกครั้ง เถิงเฟิงจึงกระโจนออกไปราวกับวานร แต่ก็ยังดีที่ช่วยปิดประตูให้อย่างเข้าใจสถานการณ์
“อาจารย์ มาพบศิษย์มีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ”
เถิงเสวี่ยสอบถามอาการป่วยของซูซินเหลียนพอเป็นพิธี ถังเฉียนบอกรายละเอียดให้อาจารย์รู้โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย พอเถิงเสวี่ยฟังจบก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องไปยุ่งกับนาง อาจารย์เองก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะโยงใยไปมากมายขนาดนี้ รอให้แก้ปัญหาไอพิษได้ก่อน อาจารย์ถึงค่อยแก้ปัญหาให้นางเอง”
ถังเฉียนไว้ใจเถิงเสวี่ยมาก ฟังที่นางพูดแล้วจึงสะกดความอยากรู้อยากเห็นในใจของตนไว้ ที่สำคัญเพราะนางเป็นคนขี้ขลาด เรื่องนี้หากถ้าเถิงเสวี่ยต้องการให้ถังเฉียนไปทำ เกรงว่านางเองก็ไม่มีความกล้าที่จะทำต่อ
“เจ้ารู้จักของสิ่งนี้หรือไม่”
เถิงเสวี่ยยื่นกิ่งไม้สีทองอันนั้นให้กับถังเฉียน นางรู้สึกว่ากิ่งไม้สีทองอันนี้หนักมาก ด้านตัดเป็นสีหยกดูแปลกตา นางมองแล้วก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร เถิงเสวี่ยไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้วจึงพูดว่า
“แมลงปีศาจตัวนั้นของเจ้าล่ะ”
ถังเฉียนตอบอย่างเรื่อยเปื่อย
“คงจะนอนอยู่กระมังเจ้าคะ ช่วงนี้อากาศร้อน มันชอบนอนบ่อยๆ ปกติให้มันทำอะไรก็ขี้เกียจ ศิษย์มีความรู้น้อย ไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่”
เถิงเสวี่ยรับกิ่งไม้คืนมา หมุนเบาๆ พลางพูดว่า
“เถิงเฟิงบอกว่าแมลงของเจ้าตัวนั้นยังหาอาหารที่เหมาะสมไม่ได้ ควรจะรู้ว่าน้ำค้างยามเช้าดอกหลงหยางกับกลีบดอกปี้เสวี่ยไม่ใช่ของที่หาได้ทั่วไป จะหาของสองสิ่งนี้ย่อมไม่ง่ายเลย เจ้าเตรียมจะเลี้ยงมันด้วยสิ่งใด”
พอถังเฉียนคิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดหัวขึ้นมา
“ไหนเลยศิษย์จะมีความสามารถไปหาของวิเศษเช่นนั้นได้ แต่หงซีสาวใช้ของซูซินเหลียนมอบน้ำจากบ่อน้ำพุถังหมิงให้ศิษย์ไว้ไม่น้อย พอจะทำให้มันอยู่รอดได้ระยะหนึ่ง”
ถังเฉียนไม่ได้เล่าเรื่องที่นางใช้เลือดของตนเองช่วยให้ฉู่จิ่งเหยาฟื้นชีวิตและยังใช้เลือดเลี้ยงเสี่ยวจินให้อาจารย์รู้ นางบอกเพียงว่าเลือดของตนมีประโยชน์บางอย่าง ส่วนที่ฉู่จิ่งเหยารอดตายก็เพราะร่างกายเขาแข็งแรงกว่าคนทั่วไป ส่วนเสี่ยวจินนั้น นอกจากเถิงเฟิงแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเสี่ยวจินชอบกินเลือดนาง ทั้งยังสามารถสื่อสารกับนางได้ด้วย
สำหรับคนภายนอกแล้วมันก็แค่มีพลังโจมตีสูง เพียงแต่ยังเลือกอาหารอยู่บ้างก็เท่านั้น ดังนั้นเถิงเสวี่ยจึงพอใจในคำตอบของนาง เพียงแต่เอ่ยว่า
“สิ่งนี้เรียกว่ากิ่งไม้ทองใบไม้หยก แต่เวลานี้เป็นเพียงกิ่งไม้ทองเท่านั้น เจ้าสามารถเอามันไปแช่ในน้ำจากน้ำพุถังหมิง รอให้มันงอกใบไม้หยกออกมา แล้วปล่อยให้ใบไม้หยกร่วงลงมาเอง แล้วค่อยเอาให้แมลงปีศาจตัวนี้กิน จะดีกว่าเอาน้ำจากน้ำพุถังหมิงให้มันกินโดยตรง”
เถิงเสวี่ยพูดจบจึงมอบกิ่งไม้ทองใบไม้หยกให้กับถังเฉียน นางดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับของล้ำค่าเช่นนี้ แน่นอนว่ายิ่งรู้สึกสำนึกในบุญคุณของเถิงเสวี่ยมากยิ่งขึ้น
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางตื้นตันใจจริงๆ นั้นยังเป็นอีกเรื่องต่างหาก เถิงเสวี่ยนั้นค่อนข้างที่จะอยู่สันโดษไม่ยอมออกมาง่ายๆ กิ่งไม้ทองใบไม้หยกนั้นเป็นของวิเศษ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่จำเป็นต้องมามอบให้ด้วยตนเองเช่นนี้ ทั้งยังบอกอีกว่าให้ถังเฉียนต้อนรับหมอผีท่านสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
กล่าวได้ว่าจำต้องไปเชิญหลายครั้งกว่าที่หมอผีท่านนี้จะยอมออกมา เถิงเสวี่ยกำชับถังเฉียนให้ดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งยังบอกนางว่ารอให้หมอผีท่านนี้มาถึง ต้องร่วมกับนางเพื่อเพิ่มพลังทิพย์ พิธีกรรมที่พวกนางทำในครั้งนี้ลำบากยากเข็ญมาก ขอให้ถังเฉียนตั้งใจเรียนรู้จากหมอผีท่านนี้
ถังเฉียนได้เรียนรู้จากเถิงเสวี่ยแล้วว่าจะสร้างพลังทิพย์ได้อย่างไร เพียงแต่นางยังไม่ได้เข้าสังกัด จำเป็นต้องให้หมอผีศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งกับหมอผีใหญ่อีกท่านหนึ่งจึงจะสามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงร่างนางได้ จากนั้นนางจึงจะกลายเป็นภาชนะที่จะรองรับไอทิพย์แห่งฟ้าดิน จึงจะสามารถใช้พลังอำนาจของหมอผีศักดิ์สิทธิ์ได้
103 ช่างใจดำอำมหิต
ถังเฉียนตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางรอคอยการมาถึงของหมอผีท่านนี้ด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม
เช้าวันต่อมาถังเฉียนมาพบฉู่จิ่งเหยาและทำแผลให้เขาตามปกติ นางเพิ่งเข้ามาในห้องก็สังเกตเห็นแววตาที่ผิดปกติของจื่อเย่ว์ที่มองมายังนาง แต่จื่อเย่ว์ไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้แก่นาง พอผลักประตูเข้าไป ก็เห็นว่าฉู่จิ่งเหยานั่งอยู่หลังฉากกั้น ถังเฉียนมองผ่านช่องขนาดเล็กบนหน้ากากเห็นหลังฉากกั้นยังมีเงาดำของคนผู้หนึ่ง
“ท่านอ๋อง หากท่านมีแขก ประเดี๋ยวอาหรูน่าค่อยมาใหม่”
พอถังฉียนพูดจบ ฉู่จิ่งเหยาก็กระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“อาหรูน่า รีบเข้ามาเถิด ท่านหมอผีใหญ่มาแล้ว”
ถังเฉียนยิ้มทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ถือถาดอยู่ แต่กลับก้าวเดินเร็วขึ้น พอเข้ามาในห้องก็มองร่างในชุดดำ แต่เมื่อเห็นหน้ากากที่นางคุ้นเคยดีก็รู้สึกเครียดขึ้นในทันที
“เหตุใดถึงเป็นเจ้า”
ถังเฉียนกำถาดไว้แน่น ความรู้สึกโกรธแค้นผุดขึ้นในใจอย่างฉับพลัน หมอผีที่สวมหน้ากากบุปผาดำห้าวงลุกขึ้นยืนช้าๆ นางก็คือหมอผีที่เกือบทำร้ายถังเฉียนจนเจียนตาย การปรากฏตัวของนางทำให้ชีวิตถังเฉียนเปลี่ยนไป
ถังเฉียนมองนาง ไม่รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย แม้ว่านางจะมอบฐานะหมอผีให้กับถังเฉียน แต่ก็เป็นนางที่ทำให้ถังเวยตกอยู่ในอันตรายและยังทำให้ถังอวิ๋นเสียชีวิต ทั้งๆ ที่นางรับปากแล้วว่าจะดูแลน้องสาวทั้งสองของนาง
“อาหรูน่า ท่านผู้นี้คือหมอผีฮว่าเหยียน นางเป็นหมอผีใหญ่ของเผ่าหมอผีสมุนไพรที่หมอผีศักดิ์สิทธิ์แนะนำ พวกเจ้าคงจะรู้จักกันกระมัง”
ถังเฉียนมองดูคนที่นางคุ้นเคยดียิ่งกว่าอะไร ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลังหน้ากากคงจะร้องไห้อย่างเด็กที่อ่อนแอแน่นอน
“ใช่แล้ว ท่านอ๋อง”
คำตอบนี้ไม่มีน้ำเสียงผิดปกติ ฉู่จิ่งเหยามองดูท่าทางระหว่างหมอผีทั้งสอง แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับมีแรงกระเพื่อมลับๆ ที่มองไม่เห็นระหว่างคนทั้งสอง เขาพูดอย่างเรียบเฉยว่า
“อาหรูน่า วันนี้ให้จื่อเย่ว์ทำแผลแทนเถิด พวกเจ้าคงมีเรื่องคุยกันมากมาย”
หมอผีที่ถูกเรียกว่าฮว่าเหยียนยืนขึ้นอย่างช้าๆ แสดงความคารวะต่อฉู่จิ่งเหยา แล้วเดินออกไปเงียบๆ ขณะที่ผ่านถังเฉียนก็พูดเบาๆ ว่า
“ข้าจะรอเจ้าที่เรือนฮั่นต้าน”
ดวงตาของถังเฉียนฉายแววเจ็บปวดทรมานออกมา นางยังคงกัดฟันแน่น แล้ววางถาดลงตรงหน้าฉู่จิ่งเหยา แต่เผลอชนถูกถ้วยชาฉู่จิ่งเหยาคว่ำ ทำให้น้ำชาเปียกโดนจดหมายทั้งฉบับที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จ ดูแล้วแทบจะอ่านเนื้อหาในจดหมายไม่ออก แต่ถังเฉียนมองเห็นชื่อที่คุ้นเคยที่มุมล่าง ทำให้แทบหยุดหายใจลงในทันที นางล้วงผ้าแพรออกมาหมายช่วยเขาเช็ด ฉู่จิ่งเหยารับผ้าเช็ดหน้าจากมือนาง แล้วเหลือบมองแขนส่วนหนึ่งที่โผล่ออกมาโดยที่นางไม่ตั้งใจ
“ข้าค่อยเขียนใหม่ก็แล้วกัน”
ถังเฉียนถอยหลังออกไปสองก้าว อยากจะออกไปยิ่งนัก แต่พอนึกถึงคนผู้นั้น ก็ยังคงอดตื่นเต้นไม่ได้ สุดท้ายจำเป็นต้องเอ่ยถาม
“ท่านอ๋อง ถังหรงเจินผู้นี้เป็นใคร เกิดอะไรขึ้นกับเขา”
ฉู่จิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมองนาง หยิบจดหมายแผ่นนั้นขึ้นมาขย้ำเป็นก้อน โยนไปข้างๆ แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ท่านหมอสนใจเรื่องราวของเซวียนกั๋วด้วยหรือ”
ถังเฉียนรู้ว่าตัวเองหุนหันเกินไป จึงแกล้งเดินไปข้างหลัง แล้วพูดอย่างไม่สนใจว่า
“ชื่อนี้เหมือนคนที่ข้าเคยรู้จัก อาหรูน่าเสียมารยาทแล้ว”
ถังเฉียนพูดจบก็เดินไป นางรู้ดีว่าถ้าหากยังอยู่ต่อก็จะทำฉู่จิ่งเหยายิ่งสงสัย แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็สงสัยนางแล้ว
104 คำขอร้องพิเศษ
ถังเฉียนเดินออกมานอกห้อง นางรีบเดินไปจากห้องหนังสือของฉู่จิ่งเหยาจนแทบจะวิ่งพรวดตลอดทางไปที่เรือนฮั่นต้านของตน นางปิดประตู ยืนพิงผนังห้อง พอคิดถึงชื่อนั้นก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ลูกคิดถึงท่านพ่อเหลือเกิน”
เพราะถังหรงเจินวินิจฉัยโรคผิดพลาด ทำให้ทั้งครอบครัวประสบเคราะห์กรรมถูกเนรเทศมาที่เผ่าม้ง ตัวเขาถูกตัดสินประหารชีวิตในศารทฤดู ถังเฉียนเป็นห่วงบิดามาก ตอนนี้นางก็อยากกลับบ้านเหลือเกิน
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
ถังเฉียนนั่งยองๆ ลงกับพื้น เพราะนางรู้ว่าที่นี่ไม่มีใครเช่นนั้นจึงกล้าปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าขณะที่น้ำตานองหน้ากลับเห็นรองเท้าสีดำถักด้วยดิ้นทอง พอมองขึ้นไปก็เห็นชุดหมอผีสีดำตัวใหญ่ที่ทอจากไหมแมงมุมดำ
“ดูท่าทางที่น่าสมเพสของเจ้าสิ เดิมทีคิดว่าเจ้ามาที่จวนจินซิวอ๋องระยะหนึ่งแล้ว น่าจะเก่งขึ้น ที่แท้ก็เอาแต่ร้องไห้”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นทันที นางลืมไปว่ามีคนรอตนเองอยู่ที่นี่
“ฮว่าเหยียน ชื่อเพราะนี่ แต่น่าเสียดายที่จิตใจอำมหิตเกินไป”
ถังเฉียนได้ยินที่นางพูดก็ค่อยๆ ยืนขึ้นหันหลังให้ประตูพลางเช็ดน้ำตา
“เจ้าไม่รักษาสัญญาของตัวเอง ถูกเทพแมลงปีศาจทองทอดทิ้งนานแล้ว เจ้าไม่คู่ควรกับการเป็นหมอผี”
ฮว่าเหยียนฟังที่ถังเฉียนพูดก็ไม่ได้รีบโต้แย้งแต่อย่างใด แต่กลับเป็นฝ่ายถอดหน้ากากของตนเองออก ภายใต้หน้ากากนั้นเป็นใบหน้าที่เฒ่าชรา ถังเฉียนรู้ว่านางอายุมากแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากถึงเพียงนี้
“ยังจะเสแสร้งอะไรต่อหน้าข้าอีก คิดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์หมอผีศักดิ์สิทธิ์แล้วก็กลายเป็นคนสำคัญอย่างนั้นหรือ”
ฮว่าเหยียนพูดจบก็ทำท่าจะถอดหน้ากากถังเฉียนออก ถังเฉียนเห็นนางลงมืออย่างหยาบคายก็คว้าข้อมือของนางไว้ ดวงตาภายหลังหน้ากากแดงก่ำ เลิกหวาดกลัวอย่างตอนแรกแล้ว ถังเฉียนไม่ใช่คนที่ใครจะรังแกได้ง่ายๆ
“หมอผีฮว่าเหยียน ต่อให้เจ้าเป็นถึงหมอผีใหญ่ก็ไม่ควรสามหาวต่อหน้าหมอผีศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เพราะอย่างไรเจ้าก็เป็นได้แค่หมอผีสมุนไพรเท่านั้น”
“เจ้า! ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตแล้วสินะ ลืมไปแล้วหรือว่าความจริงนั้นเจ้าเป็นใคร”
ถังเฉียนยังคงจับข้อมือนางไว้แน่น จ้องมองฮว่าเหยียนไม่วางตา
“เจ้าคงจะลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว แท้จริงข้าเป็นคนที่ช่วยชีวิตจินซิวอ๋อง ต่อให้ข้าไม่ใช่หมอผีอย่างที่เขาคิดก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าต่างออกไป หากเจ้ายินดีเปิดเผยความจริง ข้าก็ยังต้องขอขอบใจเจ้าเสียด้วยซ้ำที่ทำให้ข้าไม่ต้องเสียเวลาพูดเอง”
ฮว่าเหยียนคาดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่ตอนนั้นมีท่าทางขลาดกลัว กลับจะปากกล้าเช่นนี้ หลังจากตกตะลึงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง นางก็สะบัดมือให้หลุดออกจากถังเฉียน ก่อนจะถอยหลังมายืนจ้องมองถังเฉียนอย่างโกรธแค้น
“จวนจินซิวอ๋องเก่งเรื่องการบ่มเพาะคนไม่น้อยเลย ไม่เจอกันหลายวัน เด็กสาวซื่อๆ อย่างเจ้าปากคอร้ายกาจเช่นนี้ เวลานี้เจ้าก็มีที่พักพิงแล้ว ถือว่าข้าฮว่าเหยียนทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่คงมีสักวันที่เจ้าจะต้องมาขอร้องข้า”
ถังเฉียนฟังคำพูดนางแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“พิธีเปิดวิญญาณของข้าหรือ”
ฮว่าเหยียนถอยหลังเล็กน้อย ดวงตาดุจเหยี่ยวของนาง กำลังจ้องมองถังเฉียนอย่างดุร้าย
“ใช่ หากเจ้าทำพิธีเปิดวิญญาณไม่สำเร็จ เจ้าก็จะเป็นอย่างข้า ชั่วชีวิตก็เป็นได้แค่หมอผีสมุนไพร ทางที่ดีเจ้าควรคิดหาวิธีขอร้องข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกหมอผีศักดิ์สิทธิ์โยนทิ้ง แค่เด็กสาวอย่างเจ้า ข้าอยากรู้นักว่ายังจะอวดดีอย่างนี้ได้อีกหรือไม่”
ตอนที่ 105 พิธีเปิดวิญญาณ
ถังเฉียนนิ่งเงียบ เป็นความจริงที่นางต้องขอร้องคนอย่างฮว่าเหยียน แต่ชั่วพริบตานั้นถังเฉียนก็นึกถึงการตายของถังอวิ๋น และนางกับถังเวยยังต้องพลัดพรากจากกัน ส่วนฮว่าเหยียนไม่รักษาสัญญาแม้แต่น้อย นางเป็นคนหลอกลวง นี่คือฮว่าเหยียนในใจของถังเฉียน เป็นหญิงชราต่ำช้าที่หลอกลวงนาง
“ข้าไปขอร้องหมอผีคนอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้า หมอผีที่ทรยศต่อเทพแมลงปีศาจก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นหมอผี ขอให้เจ้าออกไปจากเรือนของข้าเดี๋ยวนี้!”
ถังเฉียนไม่อยากโต้เถียงกับนางอีกแล้ว นางชิงชังหญิงชราผู้นี้ เมื่อเห็นหน้าหญิงเฒ่าผู้นี้ก็ทำให้นางคิดถึงน้องสาว พอคิดถึงน้องๆ ก็จะรู้สึกปวดร้าวในใจ
“หึ ดูแล้วเจ้าคงยังไม่รู้”
ถังเฉียนกำหมัดแน่น นางมองดูสีหน้ากระหยิ่มใจของฮว่าเหยียน ก็รู้สึกเหมือนมีหนามมาทิ่มแทงหลัง ราวกับตกลงไปในกระแสน้ำวนที่ไม่อาจหลุดพ้นได้
“อาจารย์ที่แสนดีของเจ้าก็นับว่าเอ็นดูเจ้ามาก นางรู้ฐานะของเจ้านานแล้ว และเพื่อทำให้เจ้าอยู่ต่อไปได้อย่างปลอดภัยในฐานะหมอผี นางจึงได้เขียนบนป้ายดวงชะตาของเจ้าว่า เจ้าคือลูกสาวข้าฮว่าเหยียนผู้นี้”
“อะไรกัน เป็นไปได้อย่างไร!”
ถังเฉียนเกือบจะกัดลิ้นตัวเองขาดเพราะตกใจกับข่าวนี้ นางจะเป็นลูกสาวหญิงโหดร้ายคนนี้ได้อย่างไร
“อาหรูน่า ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะยิ่งนัก เจ้าคงไม่ค่อยเข้าใจการสืบทอดของหมอผี ไม่ใช่แค่มีอาจารย์สืบทอดให้ก็จะเป็นได้ แต่ต้องสืบทอดผ่านทางแม่ เจ้าต้องมีแม่ที่เป็นหมอผีจึงจะมีคุณสมบัติศึกษาวิชาหมอผี หากไม่มีข้า เจ้าก็ไม่คู่ควรจะเป็นหมอผี”
ถังเฉียนเหมือนถูกฟ้าผ่าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางรู้สึกหูอื้อ ไม่กล้าเชื่อและไม่อยากที่จะเชื่อ นางต้องไปหาความจริงที่นางอยากรู้
“ข้าจะไปพบอาจารย์!”
“ไม่มีประโยชน์หรอก เวลาตกฟากของเจ้า ลักษณะของเจ้า ใครเป็นแม่ของเจ้า รวมทั้งเลือดของเจ้า ถูกสลักไว้บนป้ายดวงชะตาส่งไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะตาย มิฉะนั้นจะไม่มีใครไปแตะต้องป้ายดวงชะตาอีก ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็คือลูกสาวข้า เป็นทาสของข้า”
ฮ่าๆ… ฮ่าๆๆ
เสียงหัวเราะที่น่ากลัวดังก้องไปทั่วเรือน เสียงหัวเราะเป็นเหมือนเสียงของปีศาจ ทำให้ถังเฉียนหวาดกลัวและรู้สึกสะอิดสะเอียน รวมทั้งความรู้สึกไม่ยอมรับและถูกเหยียดหยาม
“เจ้าอยากให้ผู้คนรู้ฐานะจอมปลอมของเจ้าหรือ”
ถังเฉียนวิ่งทะยานไปหาเถิงเสวี่ย ก็แค่แม่ปลอมๆ จะเป็นใครก็ได้ ขอเพียงไม่ใช่ฮว่าเหยียน จะเป็นคนตายก็ย่อมได้ นางวิงวอนขอร้องต่อเถิงเสวี่ย แต่เถิงเสวี่ยในใจของถังเฉียนซึ่งเดิมทีอ่อนโยน กลับเป็นครั้งแรกที่มีสีหน้าเย็นชาต่อนาง ถังเฉียนรู้ว่านางโมโหแล้ว ที่จริงถังเฉียนไม่ควรทำเช่นนี้ เพราะเถิงเสวี่ยช่วยนาง ทำทุกอย่างก็เพื่อนาง ส่วนนางกลับเป็นเหมือนคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่นั่นก็เป็นเพราะนางไม่อาจเล่าความทุกข์ในใจได้
ถังเฉียนคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู นางรู้ว่าตัวเองทำให้เถิงเสวี่ยโกรธ แต่นางไม่สามารถอธิบายได้ นางไม่รู้ว่าในดินแดนเผ่าม้งนั้นไม่เคยมีความรักทะนุถนอมมาก่อน พิธีเปิดวิญญาณของถังเฉียนจะทำในตอนเที่ยงคืน ยังคงเป็นที่แท่นบวงสรวง ทุกอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แต่นางไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็รู้ว่าเมื่อลูกธนูพาดสายแล้วต้องยิงออกไป นางจึงต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่ มองดูฮว่าเหยียนวาดลวดลายหมอผีลงบนแขนนาง เป็นรูปมังกรดำขดบนแขน
หลังจากฮว่าเหยียนวาดเสร็จ เถิงเสวี่ยก็ใช้มีดปลายแหลมแทงลงบนแขนถังเฉียน เลือดอาบลงตลอดตัวมังกรดำ เถิงเสวี่ยและฮว่าเหยียนท่องคาถาพร้อมกัน ถังเฉียนคุกเข่าอยู่กับที่ รู้สึกเหมือนรอบๆ แปลกใหม่ ความรู้สึกที่นางไม่เคยรู้จักห้อมล้อมรอบตัว ขณะนี้ดวงตานางมองเห็นมังกรตัวนั้นบินขึ้นจากแขนนาง แยกออกเป็นมังกรสีแดงเลือดกับมังกรสีดำ แยกกันหมุนไปรอบตัวถังเฉียน มังกรดำวนไปทางซ้าย มังกรแดงวนไปทางขวา วนอยู่สามรอบจึงกลับมาที่ตำแหน่งเดิม หลังจากมังกรคำรามดังกังวานขึ้น เป็นอันเสร็จพิธี
ตอนที่ 106 ถูกหลอก
เถิงเสวี่ยมอบสร้อยคอประดับศิลาสีน้ำเงินให้นาง แล้วบอกนางเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นของหมอผี
หมอผีแบ่งออกเป็นสามส่วน คือหมอผีศักดิ์สิทธิ์ หมอผีสมุนไพรและหมอผีดำ หมอผีศักดิ์สิทธิ์กับหมอผีดำเป็นปฏิปักษ์กัน ส่วนหมอผีสมุนไพรรักษาความเป็นกลางและมีจำนวนคนมากที่สุด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่นอกจากใช้แมลงพิษแล้วก็ไม่มีวิธีโจมตีหรือป้องกันตัวมากนัก จัดอยู่ในระดับล่างของเหล่าหมอผี
เถิงเสวี่ยเป็นผู้นำของหมอผีศักดิ์สิทธิ์ มีพลังทิพย์เหนือคนธรรมดา ได้ยินว่าตอนที่นางเปิดวิญญาณ มังกรพันรอบตัวนางถึงห้ารอบ เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
การพันสามรอบเท่ากับมีคุณสมบัติทั่วไป พันสี่รอบมีคุณสมบัติขั้นสูง พันห้ารอบเป็นพรสวรรค์สูงสุด ยากที่จะพบเจอ ในรอบร้อยปีจะมีสักคน เวลานี้ในเผ่าหมอผีนอกจากเถิงเสวี่ยแล้ว ยังอีกคนที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ คือศิษย์คนหนึ่งของเถิงเสวี่ยและเป็นศิษย์พี่ของถังเฉียน แต่นางไม่เคยพบ
บัดนี้หมอผีขั้นสูงมีเพียงเถิงเสวี่ยผู้เดียว ไม่มีหมอผีที่มีฤทธิ์เดชเหมือนนางอีกแล้ว ถังเฉียนสามารถเป็นศิษย์ของนางได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นที่อิจฉาของหมอผีมากมายแค่ไหน ส่วนหมอผีดำใช้รูปแบบที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้มาอธิบาย นั่นก็คือเป็นองค์ประกอบสำคัญของนิกายมังกรเทพ
“พลังทิพย์ของเจ้าไม่สูง ดังนั้นวันหน้าเจ้าต้องทุ่มเทให้มาก”
เถิงเสวี่ยไม่พอใจที่ถังเฉียนต่อต้านความหวังดีของตน วันนี้จึงมีสีหน้าแข็งกร้าว ถังเฉียนไม่กล้าพูดมาก หลังพิธีเปิดวิญญาณเถิงเสวี่ยก็ผละไป ที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงนางและฮว่าเหยียน ฮว่าเหยียนอดพูดแดกดันนางไม่ได้
“ไม่เชื่อแม่ ลำบากแล้วใช่หรือไม่”
“อย่าพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้คลื่นเ**ยนเช่นนั้น ข้าจะจดจำตลอดไปว่าเจ้าทำให้น้องสาวข้าต้องตาย!”
พอฮว่าเหยียนได้ยินเช่นนี้ก็โยนดอกเถิงเวยสีขาวแสนสวยในมือทิ้งไป หันมามองถังเฉียนด้วยสายตาแหลมคม
“เด็กที่ชื่อถังอวิ๋นน่ะหรือ เด็กคนนั้นเป็นไข้ป่า ตายไปแล้วไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ส่วนคนที่ชื่อถังเวย ข้าพานางไปด้วยความหวังดี แต่ระหว่างทางนางกลับหนีไป พลัดตกหน้าผาก็เป็นเคราะห์กรรมของนาง ข้าไม่ได้ทรยศคำสาบานต่อเทพแมลงปีศาจ แต่กลับเป็นเด็กอย่างเจ้า รู้หรือไม่ว่าอะไรถูกอะไรผิด”
ถังเฉียนกำหมัดแน่น หลังจากถอดหน้ากากออกแล้วก็ไม่อาจซ่อนน้ำตาไว้ได้ นางเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองดูฮว่าเหยียน
เวลานี้ทั้งถังเวยและถังอวิ๋นไม่อยู่ นางย่อมจะพูดอะไรก็ได้ แต่ถังเฉียนไม่ไว้ใจฮว่าเหยียนอีกแล้ว
“เด็กดี วันหน้าเจ้าต้องติดตามหมอผีศักดิ์สิทธิ์ดีๆ เราแม่ลูกต้องพึ่งพากัน เจ้าไม่รู้หรอกว่าเผ่าหมอผีเป็นสถานที่ที่กินคนแล้วไม่คายกระดูกออกมา ตอนนี้เจ้าทะเลาะกับข้า วันหน้าถ้าเจ้าเห็นหมอผีอื่นๆ เจ้าก็จะรู้เองว่าพวกนั้นไม่ได้จริงใจต่อเจ้าเช่นข้าหรอก”
ถังเฉียนถึงกับตัวสั่นเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
“อย่างน้อยอาจารย์ก็ไม่ชั่วร้ายอย่างเจ้า”
ฮว่าเหยียนส่ายหน้า แล้วพูดว่า
“จะอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก เจ้าไปหาอาจารย์เจ้าเดี๋ยวนี้เลย ดูว่าที่นางรับเจ้าเป็นศิษย์เพราะเจ้ามีเลือดพิเศษใช่หรือไม่ คนที่มีพรสวรรค์อย่างเจ้าในเผ่าหมอผีมีถมไป เจ้าคิดว่าที่เขาเลือกเจ้าเพื่อคนรุ่นหลานคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ นางก็แค่จะใช้ประโยชน์จากเจ้าเท่านั้นเอง”
ถังเฉียนไม่สามารถโต้แย้งคำพูดเหล่านี้ได้ นอกจากที่ตนเองมีเลือดพิเศษแล้ว ก็ไม่มีความสามารถอื่นใดอีก
“ข้าต่างจากนางตรงที่ข้าตรงไปตรงมากว่า ข้าอยากได้เลือดเจ้า ข้าก็บอกกับเจ้าตรงๆ แต่นางเป็นอสรพิษ ใช้ภาพลวงที่สวยงามล่อลวงเจ้า จากนั้นก็ค่อยๆ พันรอบตัวเจ้า รอจนเจ้ารู้สึกหายใจไม่ออก ก็ถึงคราวตายของเจ้าแล้ว”
ฮว่าเหยียนขยับเข้าใกล้ถังเฉียน คว้าไหล่ของนางไว้ ถังเฉียนตกใจจนตัวสั่น พอเห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของนาง ก็ผลักนางออกไป หันหลังกลับแล้ววิ่งหนี
ตอนที่ 107 บุปผาทองสามดอก
ฮว่าเหยียนตะโกนบอกจากไกลๆ
“เจ้าต้องมีประโยชน์อะไรพิเศษสำหรับนางแน่นอน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ก็รอถูกอสรพิษกัดตายเถอะ”
ถังเฉียนครุ่นคิดอยู่นาน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร จึงลุกขึ้นไปพบเถิงเสวี่ย นางไม่เชื่อหรืออาจบอกได้ว่าตัวนางเองไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่ แต่นางต้องการคำตอบ นางรู้สึกชิงชังความรู้สึกที่ถูกคนวางไว้บนฝ่ามือคอยบงการ นางนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน จิตใจไม่สงบ
ถังเฉียนวิ่งมาถึงหน้าประตู มีเสียงพูดคุยดังมาจากในห้อง นางหยุดเดินทันที มองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไป เห็นเถิงเฟิงกำลังนวดให้เถิงเสวี่ย
“ย่ารอง พลังทิพย์ของอาหรูน่าเป็นอย่างไรบ้าง”
เถิงเสวี่ยร้องหึออกมา
“เห็นนางครั้งแรกก็รู้ว่านางไม่ใช่คนฉลาด คิดว่าตามที่เจ้าบรรยายก็น่าจะมีขั้นห้า สุดท้ายก็ไม่ถึงขั้นห้า ถ้าคนอื่นรู้ว่าย่ารองรับคนที่ไม่เอาไหนอย่างนี้ไว้ จะไม่เป็นกบฏหรือ”
พอเถิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ที่หว่างคิ้วแสดงอาการดูหมิ่นออกมา แต่ก็พูดทันทีว่า
“เพราะย่ารองเอ็นดูเฟิงเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์รู้ดี”
เถิงเสวี่ยมีท่าทางดูแคลน แล้วพูดอีกว่า
“รู้ก็ดีแล้ว ถ้าไมใช่เพราะเจ้าขอร้องย่า ย่าก็จะไม่รับนางไว้เด็ดขาด พลังทิพย์ต่ำเกินไป ไม่มีพรสวรรค์ที่จะเป็นหมอผีขั้นสูงสุด ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้แค่มนุษย์แมลง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าบอกว่าเลือดของนางช่วยรักษาโรคของเจ้าได้ รวมทั้งแมลงหนอนไหมทองพิเศษตัวนั้น จากคุณสมบัติของนางก็เป็นได้แค่ภาชนะ”
ภาชนะ? มนุษย์แมลง?
นางแย่ขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าเช่นนั้น…
ถังเฉียนยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ไม่กล้าร้องไห้ออกมา และยิ่งไม่กล้าจะส่งเสียงใดๆ
เถิงเฟิงได้ฟังเช่นนี้ก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ กลับพูดว่า
“ย่ารองอย่าได้ร้อนใจ นางหรือ? ก็แค่ภาชนะเท่านั้น เวลานี้ปลอบโยนนางก่อน รอให้นางกลับไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับข้า อยากจะทำอะไรก็ขึ้นกับการตัดสินใจของเรา”
พอถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่าร่างกายนางทั้งหมดหนาวเย็นจนแข็งทื่อ เริ่มจากหัวใจ ความเย็นยะเยียบและหวาดกลัวลุกลามไปทั่วร่าง คนที่นางไว้ใจที่สุด เพื่อนคนเดียวของนาง กลับคิดจะใช้นางเป็นภาชนะตั้งแต่แรก
ที่แท้ที่เขาไม่อยากให้นางให้เลือดแก่ผู้อื่นก็เพราะเขากังวลว่าหากเลือดของนางแห้งหมด เขาจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากนางได้
สภาพถังเฉียนขณะนี้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดอะไรที่นี่อีกแล้ว นางรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง ค่อยๆ เดินถอยไปข้างหลัง ถังเฉียนซึ่งกำลังขวัญกระเจิงเผลอเตะถูกกระถางดอกไม้บนพื้นจนคว่ำ นางไม่ได้ก้มลงเก็บ แต่รีบเดินออกมาแล้ววิ่งหนีไป นี่เป็นเรี่ยวแรงที่มากที่สุดของนางแล้ว เป็นพละกำลังทั้งหมดที่นางมี
“ผู้ใดอยู่ข้างนอก”
หลังจากถังเฉียนเพิ่งออกมาจากบ้านหลังนั้น ในสมองก็มีเพียงคำสองคำที่ดังก้องไม่หยุด คือภาชนะกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คำพูดของคนอื่น แต่เป็นคำพูดของคนที่นางไว้ใจที่สุดหรือคนเดียวที่นางไว้ใจ…เถิงเฟิง
เพราะอะไรกัน แม้แต่เขาก็ยังหลอกลวงนาง…
ถังเฉียนเพิ่งไป สองคนที่เดิมทีพูดคุยกันอยู่ในห้องก็ตามออกมา เห็นถังเฉียนวิ่งผ่านประตูออกไป ‘เถิงเฟิง’ ก้มมองเศษกระถางดอกไม้บนพื้น แล้วหันมามองผู้หญิงข้างหลัง เผยรอยยิ้มประหลาดแสดงอาการเย้ยหยันออกมา
“หลิงเอ๋อร์ เราที่ทำเช่นนี้นางคงไม่มีทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน เจ้าสบายใจได้แล้ว คุณชายเถิงเฟิงต้องเป็นของเจ้าไม่ช้าก็เร็ว”
เถิงเสวี่ยซึ่งเดิมทีมีท่าทางสูงส่งก็เปลี่ยนไปทันที นางดึงหน้ากากหนังมนุษย์ที่น่ารำคาญนั้นออก เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าหลิงเอ๋อร์นั่นดูแล้วก็น่าจะอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี สีหน้าเย่อหยิ่งและโกรธเกรี้ยว พอได้ยินที่ ‘เถิงเฟิง’ พูดก็ร้องหึออกมา แล้วพูดว่า
“ถงถงเอ๋อร์ ทางที่ดีเจ้าควรแน่ใจว่าวิธีของเจ้าได้ผล ไม่เช่นนั้นเจ้าก็รู้ถึงฝีมือของข้า”
ตอนที่ 108 ปวดร้าวใจยิ่งนัก
มือซ้ายของ ’เถิงเฟิง’ กระตุกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินที่นางพูด บนแขนที่อ่อนนุ่มขาวผ่องกลับมีรอยแผลเป็นบิดเบี้ยวรอยหนึ่ง นางจะลืมความรู้สึกเจ็บปวดจนเข้ากระดูกครั้งนั้นได้อย่างไร
นางฟังคำพูดนี้แล้วก็ร้องอืมออกมา แล้วพูดว่า
“ต้องได้ผลแน่ จะอย่างไรชีวิตย่อมสำคัญกว่า”
คนที่ถูกเรียกชื่อว่าถงถงเอ๋อร์ถอดหน้ากากหนังคนออกตาม หลังหน้ากากเป็นใบหน้าที่เยาว์วัยงดงาม นางยืนอยู่ข้างหงหลิงเอ๋อร์ แววตาดูกังวลเล็กน้อย คิ้วเรียวบางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใครเห็นก็อดเอ็นดูไม่ได้
แต่เมื่อหงหลิงเอ๋อร์หันมา นางรีบคลายคิ้วที่ขมวดออก แสดงสีหน้ายิ้มอย่างมั่นใจทันที
“เจ้าเป็นเจ้าหญิงแห่งเผ่าหมอผี อยากได้อะไรก็ได้ตามนั้น ในเมื่อข้าทำตามคำสั่งย่อมต้องได้ผลบ้าง”
“เราฉวยโอกาสที่คุณชายเถิงเฟิงไม่อยู่ทำเรื่องนี้ เด็กสาวคนนี้ย่อมไม่ตามเขากลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นคุณชายเถิงเฟิงก็ต้องเป็นของคุณหนูหงหลิงเอ๋อร์”
ดวงตาของหลิงเอ๋อร์เป็นสีเขียวอมฟ้า เวลาที่หรี่ตาลงเล็กน้อยจะดูน่ารักดุจนางฟ้าตัวน้อย แต่ความอำมหิตในดวงตากลับทำลายใบหน้าที่งดงามนี้ลง นางหยิบหน้ากากของตนซึ่งวางไว้ข้างตัวขึ้นมา เป็นหน้ากากบุปผาสีทองสามดอก นางมองดูแล้วพูดว่า
“เจ้าถึงกับเอาข้าไปเปรียบเทียบกับหมอผีสมุนไพรชั้นต่ำนั่น นางเป็นตัวอะไรกัน พี่เถิงเฟิงเป็นของข้า เพียงแต่เขาจิตใจดีงาม จึงได้ถูกคนต่ำช้าใช้ประโยชน์ได้ง่าย”
หลายวันมานี้มีหมอผีมากันไม่ขาดสาย บนหน้ากากอย่างน้อยก็มีบุปผาทองสามดอกบ้าง ห้าดอกบ้าง ส่วนหงหลิงเอ๋อคนนี้อายุเพิ่งสิบเจ็ด และนางก็คือศิษย์ที่มีพรสวรรค์พิเศษคนนั้น
นางเป็นลูกสาวของหงเซิ่งหัวหน้าเผ่าหมอผี มีพลังทิพย์สูงมากตั้งแต่เด็ก หมอผีศักดิ์สิทธิ์เถิงเสวี่ยรับนางไว้เป็นศิษย์ บ่มเพาะนางเพื่อเป็นผู้สืบทอด
นางเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอายุยังน้อย ได้เลื่อนขึ้นเป็นบุปผาทองสามดอกแล้ว เมื่อดูในหมู่เผ่าหมอผีแล้ว นางก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุด อีกทั้งยังเหมาะสมกับเถิงเฟิงมาก ดูเหมือนแทบทุกคนต่างยอมรับว่าทั้งสองเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน นางเองก็ยอมรับด้วยความปลาบปลื้ม
แต่มาหล่งชวนคราวนี้นางกลับพบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป การปรากฏตัวของถังเฉียนทำให้นางรู้สึกถึงวิกฤต
“อ้อ ศิษย์พี่อยากบอกให้รู้ว่าอาหรูน่าคนนี้ก็เก่งเหมือนกัน ได้ยินมาว่าอายุเพิ่งสิบสี่ก็เข้าร่วมพิธีบวงสรวงเทพแล้ว”
พอถงถงเอ๋อร์พูดเช่นนี้ หงหลิงเอ๋อร์ก็ร้องหึออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วพูดว่า
“อาจารย์บอกแล้วว่าก็แค่คนไม่พอจึงได้เลือกนาง ใครใช้ให้เกิดโรคระบาดล่ะ เรามีคนไม่พอ”
ถงถงเอ๋อร์เห็นนางยังคงปากแข็ง ก็นึกอยากทำให้นางทุกข์ใจ จึงบอกว่า
“ข้ากลับมองไม่ออกว่านางมีฝีมืออะไร น่าจะเป็นเพราะคุณชายเถิงเฟิงขอร้องอาจารย์ บอกว่าเด็กคนนี้มีบุญคุณต่อคุณชาย”
หงหลิงเอ๋อร์โกรธแล้ว
“บุญคุณอะไรกัน ก็แค่อุบายตื้นๆ ที่นางแพศยานี่ใช้เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับพี่เถิงเฟิง อาจารย์บอกว่า เลือดยาในร่างของนางพิเศษบ้างก็เท่านั้น จะอย่างไรก็เป็นแค่เชื้อสายชั้นต่ำของพวกหมอผีสมุนไพร”
ถงถงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็แสดงอาการไม่พอใจเล็กน้อย มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมสีดำกำแน่น แต่ก็กลับสู่สภาพเดิมในเวลารวดเร็ว นางพูดอีกว่า
“แน่นอนว่าไม่มีใครที่มีชาติกำเนิดเทียบกับศิษย์น้องได้”
พ่อแม่ของถงถงเอ๋อร์ล้วนเป็นหมอผีสมุนไพร เพราะบิดานางสร้างความชอบใหญ่ต่อเผ่าหมอผี นางจึงถูกส่งตัวมาเรียนกับหมอผีศักดิ์สิทธิ์เถิงเสวี่ย นางอายุยี่สิบห้าแล้ว จึงได้กลายเป็นบุปผาทองสามดอกอย่างหงหลิงเอ๋อร์ หากแต่พรสวรรค์ของนางด้อยกว่าศิษย์น้องมาก แต่นางไม่ยอมแพ้ นางทุ่มเทกว่าคนอื่นจึงผ่านมาถึงวันนี้ได้
ตอนที่ 109 ทุกข์ใจตามลำพัง
ถงถงเอ๋อร์อยู่เคียงข้างหงหลิงเอ๋อร์ทุกวัน ทั้งๆ ที่นางเป็นศิษย์พี่ แต่สำหรับนางแล้วแทบไม่ต่างกับสาวใช้ ถูกเรียกใช้ไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะที่นางแค้นใจที่สุดคือการที่ถูกหงหลิงเอ๋อร์ดูถูกเรื่องชาติกำเนิด
ถังเฉียนกลับมาที่ห้องตนเอง นางปิดประตูลงกลอนแล้วซ่อนตัวใต้ผ้าห่ม นางกัดชายแขนเสื้อตัวเอง น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย นางมาถึงที่นี่ ทั้งไร้ที่พึ่ง ทั้งตื่นกลัว จนกระทั่งพบกับเถิงเฟิง ทั้งที่นางไว้ใจเขาขนาดนั้น พึ่งพาเขา แต่แล้ว…
“เจ้านาย เจ้านาย…”
อาห่าวร้องเรียกนางที่นอกห้อง แต่ถังเฉียนไม่ขานรับ นางเพียงแต่เอามืออุดหูตัวเอง ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น
เป็นเพราะเถิงเฟิง ถังเฉียนจึงเชื่อมั่นในหมอผีศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยปิดบังเรื่องใดๆ นางสำนึกในบุญคุณเถิงเสวี่ยตลอดเวลา แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่แผนลวงเท่านั้น
อาห่าวตะโกนเรียกอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าถังเฉียนคงหลับไปแล้ว เขาจึงถือจดหมายที่เถิงเฟิงฝากให้ถังเฉียนกลับไป เพราะบิดาของเถิงเฟิงมาที่หล่งชวน เถิงเฟิงและเถิงเสวี่ยจึงต้องไปพบ หากแต่อยู่ที่จวนจินซิวอ๋องไม่สะดวกทั้งสองจึงไปจากจวนอ๋อง ทิ้งศิษย์พี่ทั้งสองของถังเฉียนไว้ รวมทั้งให้อาห่าวอยู่คอยส่งข่าวให้เถิงเฟิง แต่ข่าวนี้ไปไม่ถึงมือถังเฉียน
เช้าวันรุ่งขึ้นถังเฉียนไปทำแผลให้ฉู่จิ่งเหยาทั้งๆ ที่นางยังตาบวม ดีที่นางสวมหน้ากาก เวลานี้บาดแผลฉู่จิ่งเหยาไม่ใช่ปัญหาใหญ่แล้ว สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เหมือนการทำงานตามแบบแผน ถังเฉียนต้องไปรายงานตัวที่ห้องหนังสือ ยกยาระงับปวดและบำรุงร่างกายมาให้และอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเขา
“วันนี้ หมอผีน้อยดูเงียบเป็นพิเศษ หลังจากเป็นหมอผีศักดิ์สิทธิ์แล้วนิสัยไม่เหมือนเดิมแล้วหรือ”
ฉู่จิ่งเหยาถอดเสื้อออก พลางได้ยินเสียงถังเฉียนถอนหายใจอยู่ข้างหลัง เขาจึงจงใจพูดเล่นกับถังเฉียน นางก้มหน้าลง ภายใต้หน้ากากนั้นริมฝีปากเม้มแน่น
“อะไรกัน แม่หนูน้อยเจ้าก็จะไม่ยอมพูดหรือ”
ถังเฉียนไม่พูดไม่จาและไม่เข้าใกล้ ท่าทางเหมือนโมโห กลับทำให้ฉู่จิ่งเหยารู้สึกน่าขัน ฐานะของถังเฉียนไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่านางเป็นเด็กสาวอายุสิบสี่เท่านั้น แน่นอนว่าเพราะอายุนางก็ยิ่งทำให้เจิ้งจยาเฉิงยิ่งสงสัยฐานะของนางมากขึ้น
“พอมีที่พิงก็เลยขี้โมโหหรือ”
ถังเฉียนทำแผลให้เขา แกล้งออกแรงหนักๆ ฉู่จิ่งเหยาเอามือกุมแผล ยิ้มแล้วว่า
“เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ออกแรงหนักกว่าทุกวันมาก”
ฉู่จิ่งหยาพูดจบก็หัวเราะ ถังเฉียนคิดว่าเขาตั้งใจหาเรื่องคุย ส่วนตัวนางมักจะอ้าปากถามเขา แต่คำพูดคืนวันก่อนทำให้นางขาดความมั่นใจ นางกำลังจะอ้าปากออกแต่ก็กลั้นไว้ กลัวว่าจะทำให้ฉู่จิ่งเหยาโกรธ ตัวเองจะไม่มีที่จะอยู่ได้
เมื่อวานถังเฉียนเห็นชื่อบิดาที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะสะเทือนใจ นางก็คงต้องมาถามให้รู้แน่ชัดแล้ว แต่วันนี้เมื่อมาแล้ว นางเห็นกระดาษเก่าแผ่นนั้นยังคงอยู่ในตะกร้า ดูเหมือนจะไม่มีใครมายุ่ง ก็รู้สึกแปลกใจ ปกติแม่นางจื่อเย่ว์เป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่เคยทิ้งอะไรไว้ข้ามคืน วันนี้เป็นอะไรไป
ถังเฉียนย่อมไม่อาจรู้ว่าเมื่อคืนที่นี่วางกับดักไว้รอนาง แต่เพราะนางถูกเพื่อนหักหลัง ทำให้เสียใจและสิ้นหวัง จนลืมเรื่องนี้ไป
เจิ้งจยาเฉิงเชื่อจริงๆ ว่านางเป็นศิษย์ของหมอผีศักดิ์สิทธิ์เถิงเสวี่ย แต่ข่าวที่เขารู้มานั้นหมอผีศักดิ์สิทธิ์มีศิษย์เพียงสิบคน นางเป็นคนที่สิบเอ็ด จึงเห็นได้ชัดว่าเพิ่งรับไว้ในภายหลัง เรื่องนี้จึงแปลกมาก เจิ้งจยาเฉิงคิดเชื่อมโยงได้เก่งตอนนั้นผู้คุมของถังเฉียนมาที่จวน ได้เห็นถังเฉียนครั้งหนึ่ง ก็พล่ามไม่เลิกว่ารูปร่างนางเหมือนถังเฉียนมาก
ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดถึงเรื่องระหว่างหมอผีฮว่าเหยียนกับถังเฉียนรวมทั้งสามพี่น้องสกุลถัง โดยเฉพาะที่ผู้คุมเอ่ยถึง โลหิตเทพโอสถ ยิ่งทำให้เจิ้งจยาเฉิงสนใจ ที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากอาหรูน่าปรากฏตัวขึ้น ถังเฉียนก็หายสาบสูญไป ทั้งหมดนี้ช่างเหมาะเจาะมาก ทำให้เจิ้งจยาเฉิงอดสงสัยไม่ได้ว่าอาหรูน่าก็คือถังเฉียน
ถ้าพิสูจน์ได้ว่าอาหรูน่าตรงหน้าคือถังเฉียน ถ้าเช่นนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นการโกหกครั้งใหญ่
ตอนที่ 110 ถูกสงสัยแล้ว
ถังหรงเจินต้องโทษถูกขังอยู่ในคุกฟ้า ถ้าหากกุ้ยเฟยมีข้อตกลงลับๆ กับเด็กสาวคนนี้ หรือเผ่าหมอผีมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับกุ้ยเฟย ถังเฉียนจะกลายเป็นตัวอันตราย เมื่อเขาคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะใกล้ๆ นี้ เจิ้งจยาเฉิงก็ยิ่งสงสัยว่าในจวนมีคนคอยส่งข่าวให้ภายนอกรู้ เขาคิดทบทวนไปมา แล้วก็มักรู้สึกว่าคนคนนั้นน่าจะเป็นถังเฉียน
อาการบาดเจ็บของฉู่จิ่งเหยายังไม่หายดี เผ่าม้งเต็มไปด้วยไอพิษ จิตใจผู้คนสั่นไหว ขณะนี้เจิ้งจยาเจิ้งรู้สึกหวั่นวิตก เขาและจวนจินซิวอ๋องไม่อาจรับมือกับการถูกลอบโจมตีอีกครั้ง เพราะเวลานี้พวกเขาไม่มีต้นทุนที่จะแพ้ได้อีกแล้ว ตั้งแต่ฉู่จิ่งเหยาได้รับบาดเจ็บจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังจับดาบไม่ได้ ขืนออกแรงมากหน่อยก็จะทำให้แผลฉีกออก เวลานี้ดูเหมือนเผ่าม้งจะปลอดภัยมาก แต่ถ้าฉู่จิ่งเหยายังคงไม่หายดี ที่เรียกว่าความสงบก็จะถูกทำลายลงได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นสามเผ่าบนหรืออีกห้าเผ่าล้วนไม่เปิดโอกาสให้จวนจินซิวอ๋องได้ผ่อนลมหายใจ จะกลืนกินพวกเขาทันทีเหมือนน้ำป่า เหมือนสัตว์ร้าย เวลานี้แค่อาศัยทหารของจวนแปดร้อยนายกับทหารเก่าของฉู่จิ่งเหยารวมกันแล้วแค่สองหมื่น ฝืนตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่แคบๆ แต่ถ้าเขายังไม่หายป่วย ใครจะใส่ใจกับอ๋องที่เจ็บป่วยอ่อนแอกันเล่า
ดังนั้นถ้ายังคงไม่หายป่วย ทุกอย่างเวลานี้ก็จะสูญสลาย
เมื่อวานต่อให้ถังเฉียนไม่ได้ทำถ้วยชาคว่ำจนเห็นสามคำนั้น เขาก็จะยังคิดหาวิธีบอกถังเฉียน จากนั้นก็ล่องูออกจากโพรง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าถังเฉียนกลับไม่ลงมือทำอะไรเลย
“ใต้เท้าเจิ้ง”
ถังเฉียนออกมาจากห้องหนังสือของฉู่จิ่งเหยา แต่เจิ้งจยาเฉิงยืนอยู่กลางประตู ขวางทางเดินของนาง ถังเฉียนใช้นิ้วแตะเขา เจิ้งเจียเฉิงจึงตื่นจากภวังค์ เมื่อหันมามองถังเฉียนก็เห็นนางถอนหายใจ แล้วคิดว่านางเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบสี่ ถ้าคอยแต่ระแวงนางไม่หยุดก็รู้สึกทำใจยาก
“เพราะคุณชายเถิงเฟิงจากไปแล้ว หมอผีน้อยจึงหมดสนุกใช่หรือไม่”
ถังเฉียนได้ยินคำถามนี้จึงย้อนถามกลับว่า
“เถิงเฟิงไปแล้ว เขาไปเมื่อไหร่ ไปไหน ทำไม…ทำไมจึงไม่บอกให้ข้ารู้”
เดิมทีเจิ้งจยาเฉิงยังคงนึกสงสัยนาง แต่ถ้าบอกว่าเด็กสาวอายุสิบสี่สามารถซ่อนงำความคิดได้ลึกเช่นนี้ก็คงแปลกแล้ว ขณะนี้น้ำเสียงที่ร้อนรนของนางได้เผยความรู้สึกในใจออกมาจนหมด น่าจะเป็นหวังหลงที่บอกนาง เนื่องจากอายุยังน้อย ไม่ประสีประสา กลัวว่าจะถูกคนอื่นรังแกหรือหลอกใช้ จึงต้องคอยระวังตัว
“คุณชายเถิงเฟิงไปเมื่อวานตั้งแต่ยังไม่ค่ำ ส่วนหมอผีศักดิ์สิทธิ์น่าจะไปหลังเที่ยงคืน คงเพราะพวกเขาไปอย่างฉุกละหุกจึงไม่ได้แจ้งท่านหมอ”
ถังเฉียนฟังคำอธิบายเช่นนี้ ในใจก็กลับคิดว่าเถิงเฟิงแสดงละครไม่ถึงขั้น จึงลืมที่จะแกล้งหลอกนางต่อ หรือไม่อยากพานางกลับไปเพื่อทำยาให้เขาแล้วหรือ
ถังเฉียนยิ่งคิดเช่นนี้ก็ยิ่งโมโห ร้อง “หึ” ออกมาแล้วเดินผละไป กลับเป็นเจิ้งจยาเฉิงที่ชนตอ เขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือของฉู่จิ่งเหยาอย่างงุนงง ฉู่จิ่งเหยาเห็นเขาเข้ามาก็มองดูเขาด้วยแววตาลึกล้ำ แล้วถามว่า
“จยาเฉิง จนเดี๋ยวนี้เจ้าก็ยังสงสัยนาง ต้องทำอย่างไรกันแน่เจ้าจึงจะวางใจ”
เจิ้งจยาเฉิงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋อง ไม่ใช่จยาเฉิงใจแคบพ่ะย่ะค่ะ แต่อาหรูน่าคนนี้ซ่อนความลับไว้ไม่น้อย ท่านอ๋องเคยเห็นหน้าตาของนางหรือไม่ แม้แต่หมอผีศักดิ์สิทธิ์เวลาที่พบท่านยังถอดหน้ากากออก แต่จนถึงยามนี้นางก็ไม่เคยถอดหน้ากากเลย ตามที่หมอผีศักดิ์สิทธิ์บอก นางยังเป็นเด็กสาว เหตุใดต้องมีท่าทางหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้ ท่านอ๋องก็ไม่รู้สึกแปลกบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่ 111 ครั้งสุดท้าย
บางทีอาจเป็นเพราะถังเฉียนระวังตัวจนเกินเหตุ จึงทำให้นางดูเหมือนเป็นคนแปลก ก่อนหน้านี้ไม่มีหมอผีอื่นอยู่ นางจึงไม่โดดเด่น แต่ขณะนี้ดูเหมือนในหมู่หมอผีนางจึงดูเป็นคนที่ลึกลับที่สุด
“เจ้ายังคงไม่ยอมปล่อยนาง หรือเจ้าต้องขับไล่นางไปให้ได้จึงจะยอมเลิกรา”
เจิ้งจยาเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็กำหมัดแน่น แล้วพูดว่า
“ครั้งสุดท้าย ท่านอ๋อง ผู้น้อยจะทดสอบครั้งสุดท้าย อยากดูโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง ให้ผู้คุมคนนั้นมาดูตัว ถ้าไม่ใช่นางก็จะยุติพ่ะย่ะค่ะ”
เจิ้งจยาเฉิงทำเพื่อเขา ฉู่จิ่งเหยาจึงไม่อาจคัดค้านได้ เขาถอนหายใจแล้วว่า
“ครั้งสุดท้ายแล้วนะ จยาเฉิง”
“ท่านอ๋อง หลังจากครั้งนี้แล้ว ถ้านางเชื่อถือได้ จยาเฉิงจะไปขอโทษนางด้วยตนเอง”
จื่อเย่ว์ฟังคำสนทนาเหล่านี้อยู่นอกห้อง นางกลับไม่วิตก ครั้งนี้นางคิดต่างจากจยาเฉิง นางรู้สึกว่าถังเฉียนเป็นหมอผี
ถ้านางไม่ใช่หมอผี แล้วเถิงเสวี่ยจะรับประกันนางได้อย่างไร อักทั้งยังมีเถิงเฟิงเป็นเพื่อน นี่จะต้องเป็นเจิ้งจยาเฉิงที่ตั้งเป้าผิดคน แม่ของนางยังพักอยู่ที่เรือนด้านหลัง ความสัมพันธ์เช่นนี้หรือว่าบ่าวไพร่ชั้นต่ำสุดอย่างถังเฉียนจะสามารถหาคนช่วยได้เช่นนี้หรือ
แต่บังเอิญคนคนนี้หัวรั้นมาก จื่อเย่ว์ร้องหึอย่างเย็นชา จะรอหัวเราะเยาะเขา
จื่อเย่ว์คิดทบทวนแล้ว ยังต้องคอยรับมือซูซินเหลียน พฤติกรรมของนางดูแปลกขึ้นเรื่อยๆ นางต่างหากที่เป็นภัยคุกคามท่านอ๋องมากที่สุด
ถังเฉียนรู้สึกแปลกใจมาก เช้าวันนี้นางเห็นเถิงเฟิงและเถิงเสวี่ยแน่ๆ แล้วเหตุใดเจิ้งจยาเฉิงจึงบอกว่าคนหนึ่งจากไปตั้งแต่ก่อนฟ้ามืด ระหว่างทางที่เดินกลับก็นึกสงสัยไม่หยุด
“หรือว่าคืนก่อนจะตาฝาด”
หลายวันมานี้นางพบเห็นเรื่องราวมากมายซึ่งก่อนหน้านี้ไม่อาจจินตนาการได้ ในใจส่วนมากจะสงสัยการตัดสินใจของตนเอง ยิ่งคิดเช่นนี้ถังเฉียนก็ยิ่งรู้ว่าตนเองควรจะไปถาม ‘เถิงเฟิง’
“เจ้านาย นี่เป็นจดหมายจากเจ้านายคนก่อนให้ท่าน”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ความรู้สึกไม่พอใจสลายไปอย่างรวดเร็ว
“พูดอะไรบ้าง”
อาห่าวตบหัวตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า
“อาหรูน่า ข้าไปสักสองสามวัน ท่านพ่อเรียกตัว พอข้ากลับมาจะเอาไก่ย่างอร่อยๆ มาฝาก เรื่องพระชายารองนั่นรอให้ข้ากลับมาค่อยว่ากัน ถ้ามีคนสร้างความลำบากให้เจ้าก็ไปหาศิษย์พี่เจ้า อย่าวู่วามเด็ดขาด อีกอย่าง ไม่ต้องคิดถึงข้านะ”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็มีความรู้สึกอบอุ่นวาบขึ้นบนใบหน้านาง แต่วินาทีต่อมากลับกัดริมฝีปากแน่นแล้วหันหลังกลับ
“ไม่แน่ นี่อาจเป็นแผนลวงหวังจะกินคนของบุปผากินคนก็ได้”
อาห่าวเอียงศีรษะ ไม่รู้ว่าจะพูดคำพูดนี้อย่างไร แล้วล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อยื่นให้ถังเฉียนพลางพูดว่า
“เจ้านาย นี่เป็นจดหมายของหมอผีศักดิ์สิทธิ์ บอกให้ท่านตั้งใจศึกษา อย่าเกียจคร้าน”
ถังเฉียนรับมา เปิดออกอ่านก็เห็นเป็นเคล็ดวิชาที่จะช่วยเพิ่มพลังทิพย์ให้นาง ถังเฉียนถอนหายใจ ในใจรู้สึกว่าผิดปกติ หรือว่าตนเองดูผิดไปจริงๆ หลายวันมานี้มีเรื่องที่อธิบายไม่ได้เต็มไปหมด ถึงขนาดที่นางสามารถบีบคอตัวเองได้ แล้วจะไม่ให้เห็นภาพเหตุการณ์แปลกพิลึกได้หรือ
“อาจารย์รวมทั้งเถิงเฟิงล้วนดีต่อข้าเช่นนี้ พวกเขาจะทำร้ายข้าได้หรือ คืนก่อนคงจะเป็นการละเมอ ไม่สิ ถึงจะละเมอก็ไม่ควรฝันว่าอาจารย์ไม่ดีต่อข้า ทั้งสองคนล้วนมีบุญคุณต่อข้า”
ถังเฉียนอ่านจดหมายฉบับนั้น ในใจเปลี่ยนวิธีคิด แต่คิ้วก็ยังคงขมวดแน่น เรื่องเมื่อคืนยังคงเป็นหินก้อนใหญ่กดทับหัวใจนาง
ถังเฉียนเพิ่งชูหนังสือบางๆ เล่มนั้นขึ้น ตั้งใจจะหาสถานที่เพื่ออ่านอย่างละเอียด แต่หนังสือกลับหายไปจากมือนาง
“เอ๊ะ เจ้าทำอะไร นี่เป็นของที่อาจารย์ให้ข้า”
ถังเฉียนหันมาเห็นคนผู้นั้นก็รู้สึกโกรธแค้นทันที
ตอนที่ 112 กฎเกณฑ์อะไร
“ดูท่าทางเจ้าสิ ยังคิดว่านี่เป็นของวิเศษ หนังสืออย่างนี้หมอผีทุกคนล้วนมี เจ้าเริ่มฝึกตอนนี้ไม่สายไปหน่อยหรือ”
ถังเฉียนแย่งหนังสือของตนคืนจากมือฮว่าเหยียน กอดไว้แน่น มองดูฝ่ายตรงข้ามอย่างระวังตัว
“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องยุ่ง”
ฮว่าเหยียนร้อง “หึ” แล้วพูดว่า
“ข้าเองก็ไม่อยากยุ่งกับเจ้า ศิษย์พี่ของเจ้ามาแล้ว นางให้แม่ช่วยถ่ายทอดคำพูดถึงเจ้า พอกลับมาก็ให้ไปพบนางทันที ข้าบอกเจ้าแล้ว เจ้าจะไปไม่ไปก็ตัดสินใจเอง อย่าบอกว่าข้าไม่ได้บอกเจ้าล่ะ”
ฮว่าเหยียนจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘แม่’ ร่างถังเฉียนแข็งทื่อเล็กน้อย แต่สายตาฮว่าเหยียนกลับมองไปที่อีกาตาสีฟ้าตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นกุ้ย มองดูด้วยสายตาลึกล้ำ อีกาตัวนั้นส่งเสียงร้องแล้วบินไป
“ศิษย์พี่?”
ฮว่าเหยียนพูดเท่านี้ก็กลับไป ไม่ได้บอกว่าศิษย์พี่ของนางคือใคร และไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ไหน ถังเฉียนเองไม่คาดหวังว่านางจะบอกเรื่องเหล่านี้ นับจากที่ฮว่าเหยียนมาที่นี่ แมลงพิษที่เรือนฮั่นต้านต้องเพิ่มขึ้นสามสี่เท่า คนที่หนีไปยามวิกฤต ไม่รู้จักละอายใจบ้าง
“ทั้งหมดนี่แลกมาด้วยเลือดของข้า เจ้ากลับใช้อย่างไม่ละอายใจ”
ถังเฉียนมองตามหลังฮว่าเหยียน แล้วพูดด้วยความหงุดหงิด นางจึงมาถามหวังหลง ที่แท้ศิษย์พี่ของนางมาที่นี่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้พบกับนางเท่านั้นเอง เวลานี้ศิษย์พี่พักที่เรือนของอาจารย์ ถังเฉียนย่อมต้องไปเยี่ยมคารวะทันที
ได้ยินมาก่อนแล้วว่าศิษย์พี่ทั้งสิบคนของนางล้วนมีฝีมือ เวลานี้จะไปพบพวกนางจึงรู้สึกมีความคาดหวังและหวั่นใจอยู่บ้าง ถังเฉียนมาแต่เนิ่นๆ แม้ว่าเถิงเสวี่ยไม่อยู่ แต่มนุษย์แมลงของอาจารย์ยังอยู่ที่นี่ พอเห็นถังเฉียนก็เข้าไปรายงาน อาห่าวบอกถังเฉียนว่ามนุษย์แมลงของอาจารย์ชื่ออาเซิง เป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวย ผูกผมสองจุก เจอใครก็ยิ้มให้
แต่วันแรกเถิงเฟิงก็บอกถังเฉียนว่า จะทำให้เถิงเสวี่ยไม่พอใจก็ช่าง แต่อย่าทำให้อาเซิงไม่พอใจเด็ดขาด ดูท่าทางนางไมมีพิษภัย แต่ที่จริงโหดเ**้ยมมาก บอกให้นางต้องนอบน้อมและซื่อตรง
ถังเฉียนคิดว่ามนุษย์แมลงของแต่ละคนแตกต่างกัน บางตัวดูท่าทางแข็งแรง ทำอะไรได้ทุกอย่างแต่ต่อสู้ไม่เป็น ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็กลับอ่อนแอปวกเปียก แต่ก็มีบางตัวไม่อาจตัดสินจากหน้าตาได้ อย่างเช่นอาเซิง ได้ยินว่าเวลาที่นางโกรธ เล็บนิ้วจะงอกยาวออกมาครึ่งนิ้ว สามารถควักหัวใจออกมาจากอกคนได้ หัวใจอยู่ในอุ้งมือยังสามารถเต้นได้ครู่หนึ่ง แสดงว่าลงมืออย่างฉับไวมาก
ถังเฉียนฟังถึงตรงนี้ก็ใจหาย ในใจนึกหวั่นเกรงอาเซิง
“ท่านป้าอาเซิง ถังเฉียนมาพบศิษย์พี่ รบกวนไปแจ้งด้วย”
ถังเฉียนแปลกใจ เมื่อคืนอาเซิงทำไมไม่อยู่หน้าประตู วันนี้กลับยืนอยู่หน้าประตูแล้ว
“ศิษย์คนเล็กของเจ้านาย ยังนับว่ารู้จักกฎเกณฑ์ เข้าไปเถอะ”
ถังเฉียนค้อมคารวะอาเซิง แล้วจึงเข้าไปด้วยความดีใจ แต่เพิ่งก้าวเดินเข้าประตูก็รู้สึกว่าเหนือศีรษะมีความเยือกเย็น ถังเฉียนจึงชะลอฝีเท้าก้าวหนึ่ง ลังเลเล็กน้อย ปรากฏว่าน้ำอ่างหนึ่งเทลงมาจากเหนือศีรษะ ยังดีที่นางไม่ได้รีบเดินเข้าไป
ตอนที่ถังเฉียนพบหมอผีศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก เถิงเฟิงเอ่ยถึงนอนหงายมือเท้าชี้ฟ้ากราบคารวะตามแบบแผน นางรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่รู้ความหมายของน้ำนี้หรือฐานะนางจะถูกเปิดเผยแล้ว แล้วเงยหน้าขึ้นมองกลไก ถังเฉียนก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ร้ายแรง นางจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
ตอนที่ 113 รุกถอยฉับไว
หงหลิงเอ๋อร์ซึ่งรอดูเรื่องสนุกอยู่ในห้องเหลือบมองถงถงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเด็กเวรนี่ไม่ธรรมดา โง่จริง รู้แค่อุบายตื้นๆ อย่างนี้ กะว่าจะให้เจ้าเล่นงานนางสักหน่อยก็ยังทำไม่ได้ ไม่เอาไหนจริงๆ”
หงหลิงเอ๋อร์ปฏิบัติต่อถงถงเอ๋อร์อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย กระทั่งอาจใช้คำว่าเลวร้ายก็ว่าได้ แม้ถงถงเอ๋อจะเกลียดชังแต่ก็จำเป็นต้องรับไว้ทั้งหมด นางจ้องมองถังเฉียน กลับโยนความคับแค้นใจทั้งหมดไปที่ถังเฉียน
“ศิษย์พี่ ข้าคืออาหรูน่า เข้าไปได้หรือไม่”
ถังเฉียนรู้สึกว่าตนเองควรจะระวังตัวดีกว่า ไม่รู้ว่าตนเองละเมิดข้อห้ามอะไรของอีกฝ่ายหรือไม่ จึงไม่กล้าที่จะขยับตัว
แต่การที่นางระวังตัวเช่นนี้ ในสายตาของหงหลิงเอ๋อร์กลับมองว่าถังเฉียนเป็นคนเจ้าเล่ห์นัก
“เข้ามาเถอะ ศิษย์พี่แค่ล้อเล่นกับศิษย์น้องเท่านั้น”
หงหลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นผละออกไป ทิ้งสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนไว้ให้ถงถงเอ๋อร์ นางมองดูถังเฉียน พลางสวมหน้ากากบุปผาทองสามดอกที่เพิ่งได้มา
“ข้าเป็นศิษย์พี่หกของเจ้า ถงถงเอ๋อร์ อาจารย์ไปข้างนอกหลายวัน กำชับข้าเป็นพิเศษให้ถ่ายทอดวิธีนั่งสมาธิรับไอทิพย์จากฟ้าดินให้เจ้า ถึงแต่ก่อนเจ้าศึกษาหมอผีสมุนไพร หากแต่เวลานี้ถือว่าเจ้าเป็นหงส์ทองที่บินออกมาจากรัง เกรงว่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของหมอผีศักดิ์สิทธิ์เช่นเรา”
ถังเฉียนค้อมคารวะทันที แล้วพูดว่า
“ถ้าเช่นนั้นทำตามที่ศิษย์พี่บอกก็แล้วกัน”
ถงถงเอ๋อร์ได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ แล้วพูดว่า
“เจ้าพูดแปลกๆ เหตุใดฟังดูเหมือนชาวเซวียนกั๋วที่เจ้าคารม ไม่เหมือนหญิงสาวชาวม้งเช่นเรา”
ถังเฉียนนึกขั้นได้ทันที ดินแดนเผ่าม้งไม่พูดจาตามแบบแผนอย่างนี้ นางแอบกัดลิ้น แล้วพูดว่า
“ระยะนี้อยู่กับท่านอ๋องนาน เลยติดมาบ้าง คิดว่าศิษย์พี่ผ่านประสบการณ์มามาก บางทีคงจะพูดกันอย่างนี้”
ฮ่าฮ่า…
ถงถงเอ๋อร์ถูกหงหลิงเอ๋อร์กดขี่มาโดยตลอด ฟังแต่คำพูดเลวร้ายและขัดหู กลับคิดไม่ถึงว่าเวลานี้มีถังเฉียน ถึงกับได้ยินคนบอกว่านางเป็นคนที่ผ่านโลกมามาก
“นับว่าเจ้าเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ มิน่าเล่าอาจารย์จึงเอ็นดูเจ้ามาก อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง รู้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ไม่มากพอ คงต้องพยายามมากหน่อย”
ถังเฉียนได้ฟังเช่นนี้ก็รู้สึกว่าศิษย์พี่ผู้นี้อ่อนโยนใจดี ศิษย์ร่วมสำนักกันควรจะคอยช่วยเหลือกัน นางจึงรู้สึกผิดมากขึ้นต่อความเข้าใจผิดเมื่อวาน
ต้องเป็นวิญญาณร้ายรังควานเป็นแน่ หรืออาจเป็นภาพหลอนกลางวันแสกๆ จะอย่างไรก็เป็นอาจารย์ไปไม่ได้
ถังเฉียนปลอบใจตัวเองเช่นนี้ นางเป็นเด็กสาวที่มีความอดทน พลังทิพย์ของนางไม่แข็งกล้าพอ จึงนั่งสมาธิเพื่อสัมผัสกับไอทิพย์ของฟ้าดินมาเพิ่มพลังให้ตัวเอง
ดังนั้นนอกจากเรื่องที่นางต้องทำแล้ว นางจะนั่งสมาธิ แม้แต่เสี่ยวจินก็รู้สึกถึงความทุ่มเทของนาง ยังบินออกมาเกาะที่นิ้วถังเฉียนเพื่อดูดรับพลังทิพย์ด้วย ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ นางจะรู้สึกถึงมังกรสองตัวซ้ายขวาหายใจเข้าออกตามนางไปด้วย
ทุกวันถงถงเอ๋อร์จะมาตรวจดูความก้าวหน้าของถังเฉียน หลายวันนี้พูดได้ว่านางก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทุกวันจะรู้สึกว่าสภาพจิตใจตัวเองสมบูรณ์เต็มที่ แขนเปี่ยมด้วยพละกำลัง รู้สึกว่าสมองแจ่มใสปลอดโปร่งขึ้นมาก
ถงถงเอ๋อร์บอกกับถังเฉียนว่านางทำได้ดีมาก แต่สายตาที่มองดูถังเฉียนกลับดุร้ายขึ้น
ราวกับว่าดอกไม้ใบหญ้าบนโลกใบนี้ล้วนชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ที่แท้ที่นี่ช่างงดงามเช่นนี้เอง”
ถังเฉียนนั่งสมาธิที่เรือนฮั่นต้านทุกวัน ฮว่าเหยียนยืนอยู่ที่ประตู มองดูท่าทางมุมานะของนาง สีหน้าแสดงอาการดูถูก อีกาบนต้นกุ้ยตัวนั้นส่งเสียงร้อง ฮว่าเหยียนเงยหน้าขึ้นมอง ในดวงตาฉายแววอำมหิต
ตอนที่ 114 เจ้าเข้าใจผิดแล้ว
“หึ ไม่ยอมอยู่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวจริงๆ ถึงพวกเจ้าจะเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดก็เถอะ จะอย่างไรเสียนางก็อยู่ในเงื้อมมือข้า เด็กเมื่อวานซืนไม่กี่คน หมอผีอย่างข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะทำอะไรได้”
ฮว่าเหยียนยืนพูดกับตัวเองที่โถงทางเดิน แล้วได้ยินเสียงดังตุ้บในห้อง นางร้อง “หึ” ออกมา แล้วเดินเข้าไปในห้อง นางกำลังทำการทดลอง แต่ครั้งนี้ล้มเหลวอีก เห็นงูลายแดงนอนพะงาบๆ อยู่บนพื้น ฮว่าเหยียนหงุดหงิดสุดขีด
วันนี้ถังเฉียนเพิ่งนั่งสมาธิเสร็จ แล้วรู้สึกว่ารอบๆ มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองตน นางตัดสินใจไม่หันไปมอง ดูเหมือนข้างหลังจะมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ นางอยากดูให้ชัดเจน แต่แล้วรู้สึกปวดในสมอง
“โอ๊ย…”
ถังเฉียนเอามือกุมศีรษะตนเองแล้วล้มลง ถงถงเอ๋อร์ตรงเข้ามาพยุงถังเฉียนไว้ แล้วใช้พลังทิพย์ของตัวเองตรวจดู ผลที่ได้ทำให้นางแปลกใจมาก
“ถึงกับมาถึงขั้นนี้แล้ว”
ถังเฉียนยังคงสะลึมสะลือ รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง ลำบากแทบแย่จึงได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจนแล้วหมดสติไป
ถงถงเอ๋อร์เรียกอาห่าวมาช่วยพาถังเฉียนกลับไปที่ห้อง ส่วนนางไปหาหงหลิงเอ๋อร์ด้วยความหนักใจ หลายวันมานี้หงหลิงเอ๋องานยุ่งมาก เพราะเถิงเสวี่ยมอบหมายงานมากมายให้นางทำ นางในฐานะคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่ ไม่ได้อาศัยเพียงพรสวรรค์เท่านั้น
ถงถงเอ๋อร์เล่าเรื่องถังเฉียนให้หงหลิงเอ๋อร์ฟัง นางพลอยแปลกใจไปด้วย แล้วพูดว่า
“เป็นไปไม่ได้ อาจารย์บอกว่านางก็แค่สามรอบที่ใช้การไม่ได้ ชั่วชีวิตอย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่หมอผีศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไร จะสัมผัสถาดดาวเร็วเช่นนี้ได้หรือ”
ถงถงเอ๋อร์ส่ายหน้า ขมวดคิ้วด้วยความวิตก แล้วพูดว่า
“บางทีอาจารย์อาจจะผิด…”
“เจ้าต่างหากที่ผิด! นางก็แค่พวกชั้นต่ำที่มีแม่เป็นหมอผีสมุนไพร ไม่มีวันที่จะเหนือกว่าข้ากับอาจารย์ได้ เจ้าจงใจโกหกข้าใช่หรือไม่”
ความแตกต่างระหว่างหมอผีน้อยกับหมอผีกลางก็คือถาดดาว มีพลังที่สามารถขยับถาดดาวในร่างกายได้ถือว่าเข้าใกล้ระดับหมอผีกลางแล้ว ถ้าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง ไม่เกินสามวันก็จะสามารถเคลื่อนถาดดาวได้ ในอดีตเถิงเสวี่ยใช้เวลาหนึ่งเดือนจึงทำได้
แต่ถังเฉียนใช้เวลาเพียงเจ็ดวัน
“ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ ข้าเองก็กลัวว่าจะเข้าใจผิด จึงดูซ้ำอย่างละเอียด หากข้าไม่แน่ใจ ข้าจะกล้ามาบอกเจ้าหรือ ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ไปทดสอบดูเอง แต่ว่าในฐานะศิษย์พี่ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี เกรงว่าแรกเริ่มเดิมทีอาจารย์ก็เห็นความพิเศษเหนือคนทั่วไปของนางก่อนแล้ว แต่อาจารย์เก็บเป็นความลับไม่บอกให้เรารู้ คงรอให้นางสามารถแบ่งอำนาจกับเจ้าได้เท่ากันก่อน”
“เป็นไปไม่ได้ อาจารย์รักเอ็นดูข้าที่สุด ข้าเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่า ข้าเป็นหญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในเผ่าหมอผี ข้า…”
ถงถงเอ๋อร์มองดูหงหลิงเอ๋อร์ในสภาพเช่นนี้ ดูนางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระทั่งรอให้เพลิงแค้นของนางเผาผลาญสติสัมปชัญญะของตัวเอง ส่งผลให้นางทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ ส่วนตัวนางก็คอยนั่งตักตวงผลประโยชน์
“ศิษย์น้องหลิงเอ๋อร์ วันหน้าเจ้าอย่าโกรธแค้นศิษย์พี่เด็ดขาด วันนี้ข้าขอพูดเรื่องนี้เพียงเท่านี้ เจ้าเคยเห็นอาจารย์ใส่ใจใครอย่างนี้หรือ ถ้านางมีเพียงแค่ระดับสามรอบ พ่อแม่ก็ไม่มีคุณูปการต่อเผ่าหมอผี จะมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของอาจารย์หรือ ไม่ต้องพูดถึงที่คุณชายเถิงเฟิงขอร้องนาง ลองคิดดูตอนที่หัวหน้าเผ่าขอร้องนาง”
หงหลิงเอ๋อร์ฟังคำพูดเหล่านี้ ย่อมรู้ว่าถงถงเอ๋อร์หมายถึงอะไร บรรดาศิษย์ของเถิงเสวี่ยล้วนแต่ได้รับการคัดเลือกอย่างรอบคอบ ทั้งความสามารถและชาติกำเนิดล้วนคัดที่ดีเยี่ยม เดิมถังเฉียนเป็นเหมือนรอยด่างพร้อย เวลานี้ดูแล้วเถิงเสวี่ยจงใจปิดบังเรื่องนี้
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เจ้าเข้าใจผิดแน่”
ตอนที่ 115 ผู้มีประสบการณ์สูง
หงหลิงเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อยว่าเรื่องนี้เป็นความจริง แต่อีกไม่ช้าอาจารย์จะกลับมาแล้ว ก่อนหน้านั้นนางจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นนางก็จะถูกปิดบังความจริง ถูกคนอื่นเล่นงาน
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูด้วยตัวเองให้ได้ ถ้านางเป็นอย่างนั้นจริง อย่างนั้นคืนนี้ก็ถึงคราวตายของนางแล้ว”
ดวงตาของหงหลิงเอ๋อร์ฉายแววอำมหิตออกมา ท่าทางริษยาอย่างบ้าคลั่งทำให้ใบหน้านางดูน่ากลัว ถงถงเอ๋อร์กระซิบอะไรบางอย่างข้างหูนาง ทำให้หงหลิงเอ๋อร์สงบใจลงชั่วคราว
ถังเฉียนกำลังค้นคว้ากิ่งไม้ทองใบไม้หยกอันนั้นอยู่ในห้อง ถังเฉียนกรอกน้ำพุถังหมิงลงไป แล้วเอากิ่งไม้ทองปักลงไป แต่ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว ไม่เพียงใบร่วงเท่านั้น ซ้ำยังไม่มีใบงอกออกมา
“ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ถึงปีหน้าเสี่ยวจินของข้าก็ยังไม่ได้กินกิ่งไม้ทองใบไม้หยก เห็นชัดว่าของวิเศษอย่างนี้ไม่มีไว้ให้คนธรรมดาอย่างข้า”
เดิมถังเฉียนตั้งใจจะเอากิ่งไม้ทองใบไม้หยกไปหาถงถงเอ๋อร์ เพราะอย่างไรนางก็เป็นศิษย์พี่ของตน เป็นคนมีประสบการณ์มากกว่า บางทีอาจจะรู้ว่าจะช่วยทำอย่างไรให้ใบงอกเร็วขึ้นได้ แต่อาจารย์กำชับไว้ว่าไม่ให้เอาของสิ่งนี้ให้คนเผ่าหมอผีดู ถังเฉียนคิดทบทวน แล้วนึกถึงคนที่น่าเชื่อถือคนหนึ่ง
นางฉวยโอกาสที่ทำแผลให้ฉู่จิ่งเหยา ใส่กิ่งไม้ทองใบไม้หยกในถุงสีดำใบใหญ่ไปพบเขา ในจวนอ๋องคนที่มีประสบการณ์สูงและมีความรอบรู้มากและไม่ใช่เผ่าหมอผี แต่เป็นคนที่ถังเฉียนไว้ใจได้ นางคิดทบทวนแล้ว ก็มีแต่เขาเท่านั้น
“หมอผีน้อยได้ของล้ำค่ามาหรือ”
ฉู่จิ่งเหยาเห็นท่าทางระมัดระวังของถังเฉียนก็อดที่จะพูดหยอกล้อนางไม่ได้ หลายวันมานี้อาการของเขาดีขึ้นมาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนใหญ่เป็นผลงานของถังเฉียน ขณะที่ร่างกายเขาเองก็มีประสิทธิภาพในการฟื้นตัวได้ดี
“ของล้ำค่าก็คือของล้ำค่า แต่ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงให้รอดได้อย่างไร ท่านอ๋องพบเห็นอะไรมามาก ท่านลองช่วยดูให้ข้าหน่อยเถิด อาจจะช่วยแนะนำได้บ้าง”
ถังเฉียนค่อยๆ หยิบกิ่งไม้ทองออกมาจากอกเสื้อ รวมทั้งขวดน้ำพุถังหมิงแล้วยื่นให้ พร้อมกับเล่าคำพูดของอาจารย์ให้เขาฟัง ฉู่จิ่งเหยามองดูกิ่งไม้ทองอันนั้นแล้วพูดว่า
“แมลงปีศาจที่เลือกกิน กิ่งไม้ทองใบไม้หยก หมอผีอย่างพวกเจ้ามีเรื่องแปลกพิสดารมากเสียจริงนะ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องกิ่งไม้ทองใบไม้หยกมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
ฉู่จิ่งเหยาพูดพลางยื่นมือมาลูบกิ่งไม้ทอง แต่พอเขายื่นมือเข้าใกล้ก็เผลอถูกหนามบนกิ่งไม้ท้องทิ่มเป็นแผล เลือดหยดลงบนกิ่งไม้ทอง ทันใดนั้นก็มีใบอ่อนสีเขียวงอกออกมา ขณะที่กิ่งอื่นๆ ก็เริ่มเป็นสีเขียว
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าต้องเลี้ยงมันด้วยเลือด”
ถังเฉียนขยับเข้ามาใกล้ จ้องมองกิ่งไม้ทองใบไม้หยกอันล้ำค่าของนาง แล้วมองดูเลือดบนมือฉู่จิ่งเหยา แล้วยกมือข้างนั้นขึ้นเตรียมจะบีบเลือดหยดใส่ บังเอิญเจิ้งจยาเฉิงเข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้พอดี เขาจึงตะคอกว่า
“หมอผี บังอาจ!”
ถังเฉียนสะดุ้ง แต่ยังกุมมือฉู่จิ่งเหยาแน่น เจิ้งจยาเฉิงตรงปรี่เข้ามา ฉู่จิ่งเหยายกมือขึ้นห้ามพลางพูดว่า
“อย่าโทษนาง ข้าไม่ระวังจึงถูกหนามทิ่มเอง ดูแล้วของชิ้นนี้พิเศษมาก”
เจิ้งจยาเฉิงยิ่งร้อนใจ แต่ดูเหมือนฉู่จิ่งเหยาจะไม่ใส่ใจ ยังคงหยดเลือดลงไป มีใบไม้งอกออกมาอีกใบ
ถ้าเจิ้งจยาเฉิงไม่อยู่ที่นั่น ถังเฉียนคงจะกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ
“ดีจัง ท่านอ๋องเก่งจริงๆ”
ฉู่จิ่งเหยาค่อยๆ ดึงมือกลับ แล้วจ้องมองเจิ้งจยาเฉิงอย่างเจตนา จนทำให้เจิ้งจยาเฉิงต้องถอยออกไปด้วยสีหน้าห่อเ**่ยว ถังเฉียนหยิบกิ่งไม้ทองใบไม้หยกขึ้นมา เตรียมจากไป แต่เดินไปเพียงสามก้าว ใบไม้ก็ม้วนเข้าหากัน ท่าทางเหมือนจะเฉาตาย
“หรือว่าเจ้าต้องพึ่งท่านอ๋อง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น