จารใจรัก 100.1-103.1

ตอนที่ 100-1 มิถูกควบคุม

 

         ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ มองหลี่หรูปี้ด้วยใบหน้าซีดขาว 


 


 


           “ท่านแม่ ลูกมิออกเรือนไปไกล” หลี่หรูปี้เอ่ยย้ำอย่างแน่วแน่  


 


 


           “ลูกแม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอันใดออกมา ฉินเจิงเป็นคนแบบใด ในเมื่อเจ้าชอบเขามาหลายปีเยี่ยงนี้ ยังไม่กระจ่างอีกหรือ เขาเป็นคนที่เอ่ยปากว่าจะทำสิ่งใดแล้วต้องทำตามนั้น” ฮูหยินเอื้อมมือแตะไหล่ของหลี่หรูปี้ มองหน้านางพร้อมเอ่ยขึ้น  


 


 


           “ข้ารู้” หลี่หรูปี้พยักหน้าด้วยตาแดงก่ำ 


 


 


           “แล้วเจ้ายังดื้อรั้นอีกทำไม พ่อเจ้าก็พูดแล้ว ชีวิตคนยาวนานมาก มีวาสนากับผู้ใดเพราะชะตาลิขิตไว้แล้ว หากไร้วาสนาก็บังคับมามิได้เช่นกัน ไฉนเจ้าถึงต้องทรมานตัวเองด้วย” ฮูหยินเตือนแล้วเตือนอีก “เขาไม่ชอบเจ้า หนีไปให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี เราล่วงเกินมิได้ มีหรือจะหนีพ้น ยิ่งไปกว่านั้น อนาคตเป็นเช่นไรใครจะบอกได้ ตอนนี้ยังไม่ทราบที่อยู่ของฉินเจิงแน่ชัด รัชทายาทประทับที่เมืองหลินอันอย่างปลอดภัย วันข้างหน้าเมื่อ 


 


 


รัชทายาททรงราชาภิเษก ด้วยความที่ทั้งสองไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่เด็ก อนาคตเขาไม่แน่ว่าจะไปได้ดี” 


 


 


           “ถึงอย่างนั้นลูกก็มิออกเรือนไปไกล” หลี่หรูปี้ส่ายหน้า “ท่านแม่ ลูกตัดสินใจแล้ว ท่านอย่าพูดอีกเลย” 


 


 


           “เจ้า…” ฮูหยินมองนาง ถอยก้าวหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น “เจ้ามิออกเรือนไปไกลก็ย่อมได้ เช่นนั้นก็หาคู่ครองดีๆ ในเมืองเป็นเช่นไร รัชทายาทรับปากพ่อเจ้าแล้วว่าจะคงตำแหน่งเสนาบดีสามรุ่น ต่อไปจวนเสนาบดีของเรายังต้องเกรงกลัวผู้ใดในราชสำนักอีก เจ้ามิได้ล่วงเกินฉินเจิง ข้าก็อยากเห็นนักว่าเขาจะกล้าทำสิ่งใด” 


 


 


           “อย่างที่ท่านบอก ในเมืองแห่งนี้ยังมีใครกล้าแต่งกับข้าอีก” หลี่หรูปี้เม้มปาก  


 


 


           “จะไม่มีใครเลยได้อย่างไร” ฮูหยินกล่าว “อย่างมากก็ต้องหาผู้ที่เหมาะสมที่สุด การถอนหมั้นแม้เสียเกียรติ แต่จวนเสนาบดีของเราเป็นฝ่ายถอนหมั้นก่อน ปู่เจ้าเป็นเสนาบดี พ่อเจ้าก็เป็นเสนาบดีด้วยเช่นกัน อนาคตพี่ชายเจ้าในอีกสามรุ่นก็ยังเป็นเสนาบดี ในหนานฉินแห่งนี้ ภายภาคหน้าตระกูลเสนาบดีที่แท้จริงมิใช่จวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย แต่เป็นจวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรา ศิษย์ในจวนเสนาบดีฝ่ายขวามีอยู่ทั่วใต้หล้า คนที่มีไมตรีกับพ่อเจ้าในเมืองหลวงก็มีอยู่มาก บิดาเจ้าหากมีเจตนาเชื่อมสัมพันธ์ด้วย ผู้ใดจะไม่ริษยาในความรุ่งเรืองแล้วไม่ยอมตอบตกลง” 


 


 


           “แต่งกับข้าเพื่อความรุ่งเรือง ท่านแม่คิดว่าอนาคตลูกจะยังมีความสุขอีกหรือ” หลี่หรูปี้ถามเสียงต่ำ 


 


 


           “ปี๋เอ๋อร์เอ๋ย ชีวิตของสตรีจะมีความสุขหรือไม่นั้นให้คนอื่นบอกได้อย่างไร จำต้องดิ้นรนด้วยตนเอง สมัยนั้นคนที่บิดาเจ้าชื่นชมมิใช่แม่ แต่แล้วอย่างไรเล่า หลายปีที่ผ่านมาพวกเรามิใช่ว่าเคารพซึ่งกันและกัน ยกถาดเสมอคิ้ว*[1]หรือ นายหญิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาหลังนี้ก็คือข้า มิใช่คนอื่น” ฮูหยินถอนหายใจออกมา  


 


 


           “แต่ท่านพ่อก็ยังมีอนุภรรยาอีกเป็นกอง” หลี่หรูปี้กล่าวอีก 


 


 


           “อนุภรรยาเป็นเพียงของเล่นของบุรุษเท่านั้น ภรรยาที่ถูกต้องของเขาตลอดกาลก็คือข้า บุรุษคนใดจะไร้อนุภรรยาบ้างเล่า พ่อเจ้าไม่เคยสอดมือเรื่องภายในเรือนของจวนเสนาบดี อนุภรรยาอยู่ในกำมือแม่ก็ไม่อาจเชิดคอขึ้นมาได้” ฮูหยินไม่ยี่หระ  


 


 


           “ท่านแม่ ท่านมีความสุขมากหรือไม่ ชีวิตของสตรีปรารถนาเพียงการเคารพซึ่งกันและกันเท่านั้นหรือ หากมิใช่บุรุษที่ตนชื่นชอบ ออกเรือนไปแล้วจะมีความหมายใด” หลี่หรูปี้มองฮูหยิน  


 


 


           “พ่อเจ้าพูดถูก เจ้าเอาแต่มุ่งเข้าหาทางตัน เจ้ายอมรับแค่ฉินเจิงใช่หรือไม่” ฮูหยินตีหน้านิ่ง  


 


 


           หลี่หรูปี้เม้มปาก 


 


 


           “หมั้นหมายกับรัชทายาทเจ้าก็ยังไม่ดีใจ ตอนนี้ถอนหมั้นกับรัชทายาทแล้ว เจ้ากลับมิอยากออกเรือนกับผู้อื่น เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ อยากไปเกาะแกะฉินเจิง ให้เขาสังหารเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่” ฮูหยินมองนางด้วยความไม่พอใจ 


 


 


           หลี่หรูปี้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง 


 


 


           ฮูหยินเห็นนางร้องไห้ ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของตน เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กย่อมรักมากเป็นธรรมดา ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยความอาวรณ์ ปรับน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “เจ้าดูหลูเสวี่ยอิ๋งกับหลูเสวี่ยเหยียนสิ สตรีที่เข้าหาฉินเจิงคนใดมีจุดจบที่ดีบ้าง หรือแม้แต่เซี่ยฟางหวาที่ออกเรือนกับเขา ตอนนี้มิใช่หย่าร้างกันแล้วหรือ แม่คิดว่านั่นเป็นดาวหายนะ ออกห่างได้ไกลเท่าไรก็ยิ่งดี” 


 


 


           หลี่หรูปี้ก้มหน้า ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ 


 


 


           “ถึงแม้เจ้าชอบฉินเจิงแต่เขาก็ไม่ชอบเจ้า ต่อให้ทำทุกวิถีทางเพื่อออกเรือนกับเขา ไหนเลยจะมีสิ่งที่เรียกว่าความสุขอีก มิสู้ทำเอาแม่เป็นเยี่ยงอย่าง พ่อเจ้าแม้ตอนนั้นมิได้ชอบข้า แต่อย่างน้อยก็ให้การเคารพข้า ทว่าเขาเล่า จะเคารพเจ้าหรือไม่” ฮูหยินจนใจ  


 


 


           หลี่หรูปี้ไม่ตอบ หยดน้ำตากลิ้งหล่นจากใบหน้าตกลงสู่อิฐสีดำ 


 


 


           “หากเจ้ามิอยากออกเรือนไปไกล แม่เองก็อาวรณ์เจ้า ไม่บังคับเจ้าก็ย่อมได้ ทั้งในและนอกเมืองหลวงแห่งนี้นอกจากฉินเจิง ขอเพียงเจ้าถูกใจ แม่จะขอให้พ่อเจ้าเตรียมการให้ คุณชายตระกูลใดบ้างจะมิชอบบุตรีที่มีคุณธรรม อ่อนโยน และรูปโฉมงดงาม เจ้ารักษาประเพณี มีอากัปกิริยาเพียบพร้อม อยู่ต่อหน้าผู้ใดมิอาจหาข้อตำหนิหรือข้อเสียได้ ขอเพียงเจ้าตกลง บ้านสามีในอนาคตของเจ้าจะมีพ่อกับพี่ชายเจ้าคอยดูแล ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกหยามเกียรติเจ้าแน่นอน” ฮูหยินกล่าวอีก 


 


 


           หลี่หรูปี้ยังคงเงียบ ไม่แม้แต่พยักหน้า 


 


 


           “ทางเลือกดีๆ ตั้งมากมายเจ้าไม่ยอมเดิน หรืออยากเดินเข้าหาความตายจริงๆ เจ้าไม่ละอายใจต่อข้ากับพ่อเจ้าที่เลี้ยงดูมาตลอดหลายปีเลยรึ” ฮูหยินอดร้อนใจขึ้นมามิได้  


 


 


           “ท่านแม่ ลูกมิกตัญญู” หลี่หรูปี้เงยหน้าขึ้น “ข้าเข้าใจเหตุผลดี แต่ว่า…” 


 


 


           “แต่ว่าอันใด” ฮูหยินจ้องนาง หว่างคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความโกรธ 


 


 


           หลี่หรูปี้เม้มปากแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงกล่าวเสียงต่ำ “ท่านแม่ ท่านอย่ากดดันข้าเลย ขอเวลาข้าคิดหน่อย” 


 


 


           ฮูหยินเองก็จนใจแล้วเช่นกัน นางโบกมือปัดอย่างหมดเรี่ยวแรง “หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเกิดมาในจวนเสนาบดี มีฐานะสูงศักดิ์ กล่าวกันว่าบุตรีมักได้รับการตามใจเกินไป ข้าเองก็ให้ท้ายเจ้ามากเกินควรเช่นกันถึงทำให้เจ้าโตมามีนิสัยเช่นนี้ รู้จักแต่ความรักของชายหญิง ไม่รู้ว่าโลกภายนอกไม่ง่าย ช่างเถอะ เจ้าทบทวนเองก็แล้วกัน แม่คลอดและเลี้ยงดูเจ้ามา อบรมสั่งสอนอย่างที่คนเป็นแม่ควรจะทำไปอย่างเต็มที่แล้ว แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นแก้ไม่หาย ยินยอมเข้าหาทางตันเอง อนาคตมานึกเสียใจทีหลัง ถึงตอนนั้นก็โทษใครมิได้เช่นกัน” 


 


 


           พูดจบ ฮูหยินก็หันหลังเดินออกไป 


 


 


           หลี่หรูปี้ยืนนิ่งตรงที่เดิม เงยหน้าขึ้นเชื่องช้าพลางมองไปยังฮูหยิน พบว่าแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาเริ่มแก่ตัวลงแล้ว นางละสายตากลับมาแล้วเลือกที่จะหลับตาลง 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาหารือราชการกับกุนซือในห้องหนังสือจบลงก็ออกมาถามพ่อบ้านข้างหน้าห้อง “ฮูหยินกับคุณหนูเล่า” 


 


 


           “เรียนนายท่านเสนาบดี ฮูหยินกับคุณหนูคล้ายทะเลาะกัน ฮูหยินกลับไปเรือนหลักแล้ว ส่วนคุณหนูร้องไห้แล้วกลับไปที่เรือนของตนเองแล้วขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยตอบอย่างระวัง 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ย่นหัวคิ้ว ก่อนเดินไปยังเรือนหลัก 


 


 


           เมื่อกลับมาที่เรือนหลัก พบฮูหยินแล้วซักถามสาเหตุจนกระจ่าง เสนาบดีฝ่ายขวาก็ขมวดคิ้วเป็นปม 


 


 


           “นายท่าน ท่านบอกว่าปี้เอ๋อร์เอาแต่มุ่งเข้าหาทางตัน นี่จะทำเช่นไรดีเล่า เราจะปล่อยให้ฉินเจิงสังหารนางจริงๆ มิได้” น้อยครั้งที่ฮูหยินจะร้องไห้ต่อหน้าเสนาบดีฝ่ายขวา พูดพลางก็ร้องไห้ 


 


 


           “สิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ก็หนักหนาไม่เบา ให้นางทบทวนตัวเองก่อนเถอะ หากเข้าใจแล้วก็ดียิ่ง แต่หากไม่เข้าใจ…” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ  


 


 


           “ไม่เข้าใจจะทำเช่นไรเล่านายท่าน” ฮูหยินจับแขนเสื้อเสนาบดีฝ่ายขวา “นางเป็นบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของเรา เมื่อก่อนข้าคิดว่าการมีบุตรีเช่นนี้ช่างน่าสบายใจนัก แต่ไหนแต่ไรข้ามิต้องกังวลใจเลย เทียบกับ 


 


 


หลูเสวี่ยอิ๋งและเยี่ยนหลันแล้วเข้มแข็งกว่ามาก ทว่าตอนนี้น่าเป็นห่วงเหลือเกิน” 


 


 


           “หากไม่เข้าใจ รอชิงเอ๋อร์กลับมาก่อน ให้ชิงเอ๋อร์คิดหาวิธีโน้มน้าวใจนาง ถึงอย่างไรนางก็สนิทกับชิงเอ๋อร์ผู้เป็นพี่ชายตลอดมา” เสนาบดีฝ่ายขวาลูบหลังมือฮูหยิน “อย่าร้องไห้เลย” 


 


 


           ฮูหยินพยักหน้า กล่าวด้วยความกังวล “ข้ามิทราบว่าเคยก่อกรรมอันใดไว้ ลูกชายชอบเซี่ยฟางหวา ลูกสาวชอบฉินเจิง คนหนึ่งตามเซี่ยฟางหวาออกจากเมืองไป อีกคนหนึ่งชอบฉินเจิงจนแม้แต่จะถูกสังหารยังมิเกรงกลัว ยามนี้ไม่รู้ว่าชิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด ออกไปหลายวันแล้วยังไม่ส่งจดหมายกลับมาเลยสักฉบับ” 


 


 


           “วันนี้ส่งคนมาถ่ายทอดข้อความแล้ว บอกว่าทุกอย่างราบรื่นดี ขอให้เราไม่ต้องเป็นห่วง คาดว่าอีกหลายวันถึงจะกลับมา” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว “เพียงแต่มาบอกพร้อมกับจดหมายของรัชทายาท ข้าเลยลืมบอกเจ้า” 


 


 


           “แค่ประโยคเดียว ไม่มีสิ่งอื่นแล้วหรือ” ฮูหยินรีบถาม 


 


 


           “คนถ่ายทอดข้อความพูดจาคลุมเครือ เพียงบอกว่าปลอดภัยดี มิได้บอกเรื่องอื่นแล้ว ผนวกกับตอนนั้นรัชทายาทส่งจดหมายมาพอดี ข้าจึงมิทันได้ซักถามละเอียด” เสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า  


 


 


           “ขอแค่ปลอดภัย ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ฮูหยินโล่งใจ “ชิงเอ๋อร์เทียบกับปี้เอ๋อร์แล้วยังน่าสบายใจกว่า ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษ ใจเปิดกว้าง อยู่ข้างนอกมานาน พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกมากมาย เข้มแข็งกว่าปี้เอ๋อร์ที่อยู่แต่ในจวนนัก เขาชอบเซี่ยฟางหวาแต่ก็ไม่เคยเรียกร้อง สิ่งนี้ทำให้ข้าเบาใจลงไม่น้อย” 


 


 


           “คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวไม่ธรรมดาจริงๆ” เสนาบดีฝ่ายขวาทอดถอนใจ 


 


 


           “เซี่ยฟางหวาคนนี้ป่วยติดเตียงมาหลายปี ทุกคนแทบจะลืมการมีอยู่ของนางไปแล้ว ทว่านี่เพิ่งผ่านมาเท่าไรเอง ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหวของตระกูลเซี่ยอีกบ้าง” ฮูหยินกล่าว “มิทราบว่าเหตุใดช่วงนี้ถึงโอ้อวดถึงเพียงนี้ สตรีที่โอ้อวดมากเกินไปไหนเลยจะเป็นเรื่องดี คนเป็นสตรีควรช่วยสามีเลี้ยงบุตรอย่างสงบสิจึงจะดี” 


 


 


           “ตระกูลเซี่ยมีรากฐานยิ่งใหญ่ ภายในมีการพลิกแพลงสถานการณ์ หลายปีที่ผ่านมาฝ่าบาทล้วนทรงเดามิถูกอ่านมิออก เซี่ยฟางหวาน่าจะมิใช่คนป่วยที่โรคภัยรุมเร้าหลายปี การเห็นโลกและความสามารถของนางห่างจากหอนอนยิ่งนัก เพียงแต่จวนจงหย่งโหวอ้างอาการป่วยมาปิดบังสายตาผู้คน ทำให้ทุกคนมองข้ามสตรีในหอนอนผู้นี้ตลอดมาเท่านั้น โอ้อวดนั้นแค่เล็กน้อย แต่ดีหรือร้ายไหนเลยจะแยกแยะได้ชัดเจน” เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า  


 


 


           “ข้าคิดว่าไม่มีข้อดี มีแต่ข้อเสียมากกว่า ยั่วยวนฉินเจิงกับรัชทายาท ยังยั่วยวนชิงเอ๋อร์ของเรา เยี่ยนถิงแห่งจวนหย่งคังโหวเองก็หนีออกจากจวนเพราะนางเช่นกัน เป็นตัวก่อหายนะ โฉมสะคราญเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะโดยแท้” ฮูหยินกล่าว 


 


 


           “นั่นเป็นสิ่งที่ฮูหยินเห็น” เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือปัด 


 


 


           “ไฉนนายท่านเสนาบดีถึงชื่นชมเซี่ยฟางหวาเช่นนี้ นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง โผล่หน้าไปหาสมุนไพรดำม่วงอันใดนั่น มิใช่เพื่อชื่อเสียงหรือ โอ้อวดเช่นนี้ไหนเลยเป็นเรื่องดี” ฮูหยินมองเสนาบดีฝ่ายขวาด้วยความไม่พอใจ  


 


 


           “กล่าวเช่นนี้ไม่ดีเลย” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจ “ตลอดเวลาที่ผ่านมาตระกูลเซี่ยกับราชสำนักมีความสัมพันธ์ดั่งชั้นน้ำแข็งบาง ตระกูลเซี่ยถอยแล้วถอยอีก ราชสำนักเอาแต่กดดันทุกย่างก้าว แม้แต่เรา 


 


 


ขุนนางในราชสำนักมองดูด้านข้างยังคิดว่า ช้าเร็วตระกูลเซี่ยต้องถูกราชสำนักกลืนกินในวันหนึ่งเป็นแน่ เสือหมอบข้างเตียงมีหรือจะทำให้พระองค์บรรทมอย่างสงบ ทว่าตั้งแต่เซี่ยฟางหวาโผล่หน้าออกมา หลังนางกับฉินเจิงสมรสกัน สถานการณ์ตระกูลเซี่ยกับราชสำนักกลับมีสมดุล กลับกลายเป็นว่าราชสำนักอยู่ใต้ลม ตระกูลเซี่ยอยู่ต้นลม ตอนนี้เล่า หนานฉินปั่นป่วนภายนอกถูกรุกราน ราชสำนักจำต้องพึ่งพาตระกูลเซี่ย” 


 


 


           “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณงามความดีของเซี่ยฟางหวาอย่างนั้นหรือ ข้ามิเชื่อหรอก นางไหนเลยจะมีความสามารถมากขนาดนั้น” ฮูหยินส่ายหน้า 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวามองนางอย่างจนใจ “คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวท่านนี้มิใช่สตรีธรรมดา หลายวันนี้ข้าลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เหตุการณ์มากมายล้วนเกี่ยวข้องกับนาง” หยุดชั่วครู่ก่อนกล่าวอย่างใจจริง  


 


 


“ฮูหยิน หลายปีที่ผ่านมาข้าเคารพเจ้า เรื่องภายในเรือนล้วนให้เจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ ทว่าไม่เคยคุยเรื่องสถานการณ์ภายนอกกับเจ้ามากนัก ทำให้เจ้าค่อยๆ มีสายตาคับแคบ การอบรมสั่งสอนปี้เอ๋อร์นั้นก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าเช่นกัน” 


 


 


           “นายท่าน ข้ามิเคยคิดว่าปี้เอ๋อร์จะมีนิสัยมุ่งเข้าหาทางตันเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อก่อนท่านมิใช่เคยชม 


 


 


ปี้เอ๋อร์ว่ารอบรู้มีเหตุผล อากัปกิริยาเพียบพร้อมหรือ” ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็น้อยใจ  


 


 


           “ย่อมโทษเจ้ามิได้ ต้องโทษข้าที่เอาแต่สั่งสอนชิงเอ๋อร์ กลับลืมไปว่าสตรีก็มิควรรู้จักโลกภายนอกน้อยเกินไปเช่นกัน” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า  


 


 


           “ข้าคิดว่าต้องโทษเซี่ยฟางหวาคนนั้นมากกว่า ตอนที่ยังไม่มีนางออกมาปลุกปั่นเรื่องประโลมโลกในเมืองหลวง ทุกสิ่งยังเรียบร้อยดี ไม่แน่ว่าฉินเจิงอาจชอบปี้เอ๋อร์และแต่งกับนางก็เป็นได้” ฮูหยินกล่าว 


 


 


           “ไฉนถึงโทษนางเล่า” เสนาบดีฝ่ายขวาถลึงตามองฮูหยิน “ฉินเจิงไม่เคยชอบปี้เอ๋อร์ เรื่องนี้ข้าทราบดี” พูดจบเขาก็โบกมือปัด “ช่างเถอะ พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ รอดูไปก่อนเถิด ตอนนี้รัชทายาทถอนหมั้นแล้ว  


 


 


ฝ่าบาทเองก็ทรงยินยอมแล้ว บางทีอาจมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่านี้อีก” 


 


 


           ฮูหยินพยักหน้าแล้วเงียบเสียงลง 


 


 


 


 


 


[1] *ยกถาดเสมอคิ้ว อุปมาว่าสามีภรรยารักใคร่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีที่มาจากเมิ่งกวง สตรีรูปร่างอ้วนท้วม มีผิวคล้ำ นางได้ให้ปฏิญาณว่าจะไม่ออกเรือนกับผู้ใด เว้นเสียแต่ เหลียงหง ชายหนุ่มรูปงามซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทุกคนในเมือง สุดท้ายแล้วเหลียงหงก็เห็นความดีในตัวเมิ่งกวง ทั้งคู่จึงได้แต่งงานกัน ตลอดชีวิตแต่งงานมักเคารพซึ่งกันและกัน เมิ่งกวงจะยกถาดน้ำชาเสมอคิ้วมาให้สามีด้วยความถ่อมตนทุกวัน จึงเกิดเป็นสำนวนนี้   

 

 


ตอนที่ 100-2 มิถูกควบคุม

 

วันเดียวกันนั้น ฮ่องเต้มิทรงอนุญาตให้แก้ไขระบบทหาร กลับออกพระราชโองการให้รัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยรอฟังคำสั่งโยกย้ายทหารในกองทัพม่อเป่ย พร้อมทั้งทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วออกจากเมืองนำพระราชโองการไปเผยแพร่ 


 


 


           นอกเหนือจากนี้ จวนเสนาบดีฝ่ายขวาถอนหมั้น พระราชโองการที่อนุญาตให้รัชทายาทกับคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายขวาต่างมีคู่ครองใหม่ได้ก็เผยแพร่ออกไป 


 


 


           ทันทีที่พระชายาอิงชินอ๋องทราบข่าวก็ตกใจอย่างยิ่ง ผุดลุกขึ้นยืนทันที “ฝ่าบาททรงทำสิ่งใด หรือจะเป็นอย่างที่เราคาดเดาไว้เช่นนั้นจริงๆ รัชทายาทจะแต่งกับหวาเอ๋อร์” 


 


 


           “เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน ฟังว่าเสนาบดีฝ่ายขวาเข้าวังไปขอพระประสงค์เอง ฝ่าบาทจึงทรงอนุญาต”  


 


 


อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ข้าจะไม่ลนลานได้อย่างไร ตอนนี้ยามใดแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวามีฐานะเป็นนายท่านเสนาบดี ตอนนี้รัชทายาทมิอยู่ในราชสำนัก เขากับเสนาบดีฝ่ายซ้ายต้องช่วยองค์ชายแปดดูแลราชสำนัก มิหนำซ้ำเป่ยฉียังมีการระดมกำลังอีก เขาจะนำเรื่องส่วนตัวไปกวนพระทัยฝ่าบาทในเวลาแบบนี้ได้อย่างไรกัน ต้องมีเรื่องใดเป็นแน่เขาถึงรีบเข้าวังไปขนาดนั้น ฝ่าบาททรงไม่มีทางเลือกจึงอนุญาต” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยโทสะ  


 


 


           “เจ้าพูดแบบนี้ก็มีเหตุผลเช่นกัน เสนาบดีฝ่ายขวาปลิ้นปล้อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร วันนี้ที่อุทยานหลวง เหล่าขุนนางต่างเห็นด้วยกับคำขอของรัชทายาท ฝ่าบาททรงกริ้ว เขามักจะคำนึงถึงความปรองดองระหว่าง 


 


 


ฝ่าบาทกับขุนนาง มิยอมเข้าเฝ้าตอนที่ฝ่าบาทกำลังทรงกริ้วอยู่ง่ายๆ วันนี้ผิดปกติไปจริงๆ” อิงชินอ๋องกล่าว 


 


 


           “ผิดปกติย่อมมีเบื้องหลังแน่” พระชายาอิงชินอ๋องเดินไปเดินมาหลายรอบ “มิได้การ ข้าจะเข้าวัง” 


 


 


           “ไหนบอกว่าจะไม่กังวล ไฉนเจ้าถึงยังกังวลอีก” อิงชินอ๋องคว้าแขนนาง 


 


 


           “ข้าจะไม่กังวลได้หรือ หากเป็นจริงดังที่เราเดากัน เจิงเอ๋อร์จะทำเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจ 


 


 


           “เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรทำเช่นไรย่อมรู้แจ้งดี” อิงชินอ๋องโน้มน้าว 


 


 


           “ถึงอย่างนั้นก็มิได้ หากไม่ถามให้ชัดเจน ข้าคงกินมิได้นอนมิหลับ” พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้าก่อนจะเดินออกไปข้างนอก 


 


 


           “เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน เช่นนี้แล้วกัน ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะนัดเสนาบดีฝ่ายขวาออกมาถาม” อิงชินอ๋องจับแขนนางไว้มิยอมปล่อย เอ่ยห้ามขึ้น  


 


 


           พระชายาได้ยินเช่นนั้นก็มองอิงชินอ๋อง 


 


 


           “วางใจเถอะ ข้าต้องถามจนกระจ่างแน่” อิงชินอ๋องรับปาก 


 


 


           หากไม่เร่งด่วนจริงพระชายาอิงชินอ๋องก็มิอยากเข้าวังหลวงเช่นกัน จึงได้แต่พยักหน้าแล้วเอ่ยเร่ง “เช่นนั้นท่านรีบไปเชิญเสนาบดีฝ่ายขวาเถิด รีบถามเขา ต้องถามสาเหตุให้กระจ่าง แล้วรีบกลับมาบอกข้า” 


 


 


           อิงชินอ๋องผงกศีรษะ ออกจากเรือนหลักแล้วให้คนไปเชิญเสนาบดีฝ่ายขวาออกมาดื่มน้ำชาที่โรงน้ำชา 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาได้ยินว่าอิงชินอ๋องเชิญออกไปดื่มน้ำชา ด้วยความฉลาดของเขาจึงเดาออกได้ทันทีว่าอิงชินอ๋องอยากพบตนด้วยเรื่องใด เขาเอ่ยบอกพ่อบ้าน “ตอบกลับว่าข้าจะรีบไป” 


 


 


           พ่อบ้านรีบออกไปทันที 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเปลี่ยนมาสวมชุดลำลองก่อนออกมาจากจวน 


 


 


           ทั้งสองนัดพบกันที่โรงน้ำชา อิงชินอ๋องถามเข้าประเด็นทันที เสนาบดีฝ่ายขวาเองก็มิได้ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังคร่าวๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ 


 


 


           หลังอิงชินอ๋องฟังจบก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเป็นนาน 


 


 


           เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเพื่อแต่งกับเซี่ยฟางหวา ฉินอวี้แม้แต่ตำแหน่งรัชทายาทก็มิอยากเป็นแล้ว นำเรื่องนี้มาขู่ฝ่าบาทในตอนนี้ ฝ่าบาทมีหรือจะไม่ยอมตกลง หนานฉินมิอาจไร้รัชทายาทได้ 


 


 


           และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือความจริงใจที่ฉินอวี้มีต่อจวนเสนาบดีฝ่ายขวา เบื้องหลังการคงตำแหน่งเสนาบดีสามรุ่น บางทีเซี่ยฟางหวาอาจตอบตกลงแล้ว 


 


 


           เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่าเหตุใดเซี่ยฟางหวาถึงตอบตกลงกับฉินอวี้ เหมือนกับที่เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใด 


 


 


เซี่ยฟางหวาถึงนำชีพจรเศรษฐกิจในหนานฉินมาขู่ฝ่าบาทให้ทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง ทั้งยังป่าวประกาศต่อใต้หล้าโดยไม่คำนึงถึงชื่อเสียงในฐานะบุตรีของตระกูลของตนเองแม้แต่น้อย 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเห็นท่าทางตกใจของอิงชินอ๋องก็รู้สึกสบายใจขึ้น ตอนที่เขาได้ยินครั้งแรกก็ตกใจเช่นนี้เหมือนกัน ต้องเผชิญกับแรงกดดันของฝ่าบาทในวังหลวง เหงื่ออาบแผ่นหลังขณะถวายจดหมายสองฉบับให้พระองค์ เห็นอิงชินอ๋องยังตกตะลึงเช่นนี้ในยามนี้จึงคิดปลงแล้ว 


 


 


           ใจเขากระจ่างแจ้งดี เทียบกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว ยามนี้จวนอิงชินอ๋องยิ่งตกที่นั่งลำบาก 


 


 


           “เป็นเช่นนี้จริงหรือ” หลังอิงชินอ๋องเรียกสติกลับมาก็ถามเสนาบดีฝ่ายขวาย้ำ  


 


 


           “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มิกล้าโกหกท่านอ๋องหรอก” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้ายืนยัน 


 


 


           อิงชินอ๋องได้รับคำยืนยันจากเสนาบดีฝ่ายขวาก็ทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นความจริง เขาย่อมนั่งในโรงน้ำชาไม่ติด รีบอำลาเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วออกมาจากโรงน้ำชา ก่อนรีบย้อนกลับไปที่จวน 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องกำลังรอฟังข่าวอยู่ในจวนด้วยความร้อนใจ เห็นอิงชินอ๋องกลับมาก็รีบเข้ามาหา “เป็นเช่นไรบ้าง เกิดอันใดขึ้นกันแน่” 


 


 


           “เกรงว่าจะเป็นจริงดังที่เจ้าเดาไว้” อิงชินอ๋องปิดประตูห้อง ถอนหายใจออกมา กล่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ 


 


 


           “หมายความว่าอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป 


 


 


           อิงชินอ๋องเล่าสิ่งที่เสนาบดีฝ่ายขวาบอกกับตนให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องตกใจจนเบิกตากว้าง เวลานั้นนางไม่อยากเชื่อ ทว่าด้วยความชื่นชอบที่รัชทายาทมีต่อเซี่ยฟางหวาแล้ว เรื่องกลายเป็นเช่นนี้นับว่ายังอยู่ในการคาดเดา เพียงแต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือเจตนาเบื้องหลัง เซี่ยฟางหวาตอบตกลงได้อย่างไรกัน 


 


 


           ไฉนนางถึงตอบตกลง 


 


 


           หากกล่าวว่าผู้ที่เข้าใจสตรีที่สุดคือสตรีด้วยกันเอง นางวิเคราะห์ในมุมมองของสตรีด้วยกัน เซี่ยฟางหวาชอบฉินเจิงลูกชายของตนจริงๆ สตรีหากมิชอบบุรุษผู้หนึ่งแล้วย่อมไม่ยอมแบกรับความไม่เป็นธรรมเพื่อออกเรือนกับเขา ไม่ยอมเย็บปักเสื้อผ้าให้เขา ไม่ยอมละทิ้งชีวิตอันสุขสบายเพื่อเขา และยิ่งไม่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความรักเมื่อมองหน้าเขาเป็นแน่  


 


 


           ทว่าเมื่อชอบถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงนึกจะทอดทิ้งก็ทอดทิ้ง นึกจะจากไปก็จากไป บอกจะออกเรือนกับฉินอวี้ก็ออกเรือนกับฉินอวี้จริงๆ เล่า 


 


 


           นางหาคำตอบมิได้เช่นเดียวกัน 


 


 


           พระชายาตกตะลึงพักหนึ่ง ก่อนคว้าแขนอิงชินอ๋อง “ตอนนี้จะทำเช่นไรดี หรือว่าเจ้ายังไม่ยอมให้ข้าไปเมืองหลินอันอีก ข้าจะต้องไปพบหวาเอ๋อร์ ขอเพียงพบนาง ข้าถึงจะเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่” 


 


 


           “รออีกหน่อยเถิด” อิงชินอ๋องครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ยังรออันใดอีก หากรอต่อไปรัชทายาทคงแต่งกับหวาเอ๋อร์จริงๆ แล้ว เขากล้าทำให้จวนเสนาบดีฝ่ายขวาถอนหมั้นในยามนี้ รับปากคงตำแหน่งเสนาบดีในสามรุ่น กล้าส่งจดหมายลับขู่ฝ่าบาทให้ทรงยินยอมกับการถอนหมั้น แล้วยังมีสิ่งใดที่ไม่กล้าทำอีก” พระชายาอิงชินอ๋องร้อนใจ “มิได้การ ครั้งนี้ท่านพูดสิ่งใดข้าก็ไม่ฟังแล้ว ข้าจะไปเมืองหลินอัน ถึงท่านจะห้ามข้าก็ห้ามมิได้” 


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพูดพลางก็จะไปเก็บเสื้อผ้า 


 


 


           “เป็นมารดาเหมือนกันแท้ๆ แต่เจ้าดูฮองเฮาสิ ยังประทับในวังหลวงอย่างสงบนิ่ง ลูกโตแล้วย่อมต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง จะต้องสยายปีกบินสูงออกไป คนเป็นพ่อแม่ควบคุมได้เวลาหนึ่งก็จริง แต่มีหรือจะควบคุมไปได้ตลอดชาติ จื่อจิง เจ้าฟังข้านะ อย่าสนใจอีกเลย หากรัชทายาทแต่งกับหวาเอ๋อร์จริงก็ปล่อยให้เขาแต่งไป หากเจิงเอ๋อร์ของเราไม่อยากให้เขาแต่งย่อมมีวิธีการอยู่แล้ว แม้แต่ฝ่าบาทยังทรงห้ามมิได้ พวกเราเองก็อย่าก้าวก่ายอีกเลย ถึงอย่างไรบ้านเมืองหนานฉินในอนาคตล้วนเป็นพวกเขารุ่นนี้ที่ต้องลำบากดิ้นรนกันเอง” อิงชินอ๋องรั้งแขนนาง  


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็คลายสีหน้าร้อนใจ หย่อนกายนั่งลงเชื่องช้า เงียบไปพักใหญ่ก่อนถอนหายใจออกมา “ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว ควบคุมได้เวลาหนึ่ง มีหรือจะควบคุมไปได้ตลอดชาติ ไม่สนก็ไม่สน แต่งก็แต่ง ออกเรือนก็ออกเรือนเถอะ หากเป็นวาสนาย่อมแยกจากกันมิได้ แต่หากมิใช่วาสนา ถึงบีบบังคับมาก็เปล่าประโยชน์” 


 


 


           “มิผิด เป็นเช่นนี้” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ ลูบหลังมือนางเป็นการปลอบใจ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายขวาเดิมคิดว่าเมื่อทราบเรื่องนี้ ต่อให้อิงชินอ๋องมิเข้าไปวังไปพบฝ่าบาท พระชายาก็ต้องเข้าวังหลวงเป็นแน่ แต่ถึงแม้มิเข้าวังหลวง จวนอิงชินอ๋องก็ต้องมีการเคลื่อนไหว ทว่าหลังเขากลับมาถึงจวน รออยู่ครึ่งวัน กระทั่งถึงพลบค่ำ จวนอิงชินอ๋องก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย 


 


 


           เขาแปลกใจยิ่งนัก หรือว่าจวนอิงชินอ๋องก็ไม่สนใจแล้วเช่นกัน 


 


 


           เขามิเข้าใจอย่างยิ่ง ต้องไตร่ตรองถี่ถ้วนเป็นนานกว่าจะเข้าใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มิใช่สิ่งที่คนอื่นจะยื่นมือเข้าแทรกได้เลย ฝ่าบาททรงควบคุมมิได้ ฮองเฮาทรงควบคุมมิได้ อิงชินอ๋องควบคุมมิได้ พระชายาก็ควบคุมมิได้เช่นกัน 


 


 


           ไม่ว่ารัชทายาทสู่ขอ เซี่ยฟางหวาออกเรือน หรือเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นอีก ล้วนมิใช่สิ่งที่พวกเขาเหล่านี้สามารถควบคุมได้แล้วเช่นกัน 


 


 


           เว้นเสียแต่ฉินเจิง 


 


 


           ฉินเจิงกับฉินอวี้ต่อสู้กันมาตั้งแต่เด็กมิยอมเลิกรา ผู้ที่ก้าวก่ายเรื่องนี้ได้ย่อมมีแต่เขาแล้ว ต้องดูว่าเขาจะทำเช่นไร จะขัดขวางหรือไม่ขัดขวาง แล้วจะขัดขวางได้หรือว่าขัดขวางมิได้ เขากับรัชทายาท ในเมื่อเป็นเรื่องของตนเอง ท้ายสุดแล้วก็ต้องจัดการกันเอง 


 


 


           หลังเสนาบดีฝ่ายขวาเข้าใจแล้วก็คิดว่าการมีชีวิตอยู่มาครึ่งชีวิตนั้นช่างเปล่าประโยชน์ สมัยพวกเขายังอยู่ในวัยเยาว์นั้นมิได้ลำบากดิ้นรนเหมือนอนุชนรุ่นนี้ ชีวิตส่วนใหญ่ล้วนขึ้นอยู่กับบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ หากตอนที่เขาสนใจชุยอวี้หวั่นจากตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิงแล้วไม่รอให้ผู้ใหญ่ในจวนเสนาบดีไปสู่ขอ แต่ตัดสินใจด้วยตัวเอง บางทีชุยอวี้หวั่นอาจมิได้ออกเรือนกับเซี่ยอิง 


 


 


           เขาคิดแล้วก็หลุดยิ้มออกมา คนจากไปหลายปีแล้วยังปล่อยวางมิได้อันใดอีกเล่า  

 

 


ตอนที่ 101-1 โยกย้ายทหารที่ใกล้สุด

 

          กระแสพระราชโองการสององค์เผยแพร่มาถึงเมืองหลินอันในไม่เกินครึ่งวัน 


 


 


           ฉินอวี้เติบโตข้างพระวรกายฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก เข้าใจอารมณ์ของพระองค์ได้อย่างปรุโปร่ง คาดการณ์ได้แต่เนิ่นๆ แล้วว่าฮ่องเต้จะมิทรงอนุญาตให้มีการแก้ไขระบบทหาร มากสุดก็แค่ออกพระราชโองการให้รัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยรอฟังคำสั่งโยกย้ายของกองทัพม่อเป่ย ทว่าถึงแม้ทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วออกจากเมืองไปเผยแพร่พระราชโองการที่ม่อเป่ย เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน 


 


 


           เป่ยฉีระดมกำลัง สำหรับการโจมตีพรมแดนม่อเป่ยแล้วนั้น ครึ่งเดือนคงช้าเกินไป 


 


 


           หากยิ่งมิแก้ระบบทหารด้วยแล้ว รอบม่อเป่ยเคยชินกับการมิฟังคำสั่งจากทัพม่อเป่ยมาตั้งหลายปีแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ห่างจากสายตาฮ่องเต้ แค่พระราชโองการฉบับเดียวยากจะออกคำสั่งให้ออกทัพสนับสนุนกองทัพม่อเป่ยโดยเร่งด่วน 


 


 


           หากเป็นเช่นนี้ ค่ายทหารม่อเป่ยก็จะต้องต่อต้านการระดมกำลังของเป่ยฉีเพียงลำพัง 


 


 


           ฉินอวี้มีใบหน้าตึงเครียด คิดในใจว่าเสด็จพ่อทรงประชวรและชรามากแล้ว จนป่านนี้ยังยืนกรานในความมุ่งมั่นของตนเอง มิอยากให้ตระกูลเซี่ยมีตำแหน่งสูงและมากอำนาจ กลับมิได้คิดว่าหากเป่ยฉีบุกประชิดเข้ามาได้อย่างราบรื่น หนานฉินก็จะเป็นดินแดนที่มิใช่ดินแดนอีกต่อไป 


 


 


           ยามนี้คงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เซี่ยม่อหานว่าจะไปถึงค่ายทหารม่อเป่ยในเร็ววัน หลังจัดการทุกอย่างแล้วก็จะไปขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพช่วยเหลือ 


 


 


           เมืองเสวี่ยเฉิง… 


 


 


           เขายืนริมหน้าต่างพลางเคาะลายฉลุ ใบหน้าค่อนข้างมืดครึ้ม 


 


 


           “รัชทายาท ท่านหญิงเหลียนฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” มีคนรายงานขึ้นจากหน้าประตู 


 


 


           “น้องเหลียนฟื้นแล้วหรือ” ฉินอวี้หันกลับมา 


 


 


           “ทูลรัชทายาท ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นพยักหน้า 


 


 


           “ข้าจะไปดูนางหน่อย” ฉินอวี้หันหลังเดินออกมาจากห้อง ไปยังเรือนพำนักของฉินเหลียน 


 


 


           เมื่อมาถึงเรือนพำนักของฉินเหลียน กลิ่นยาสมุนไพรเข้มข้นก็ตีรวนปะทะใบหน้า 


 


 


           ฉินอวี้ย่างเท้าเข้าไปข้างใน พบว่าหมออาวุโสท่านหนึ่งในเมืองหลินอันกำลังตรวจชีพจรให้ฉินเหลียนอยู่ ฉินเหลียนกะพริบตามองทั่วห้อง ราวกับยังมิได้สติมากเท่าไรนักหลังฟื้นขึ้นมา 


 


 


           “ฟื้นแล้วหรือ” ฉินอวี้แย้มยิ้มบาง 


 


 


           ฉินเหลียนได้ยินเสียงนั้นก็หันมามอง เห็นว่าเป็นฉินอวี้ก็ฝืนกะพริบตาอีกหน พอเอ่ยปากเรียกลำคอก็แหบแห้ง “พี่ฉินอวี้” 


 


 


           “อืม ข้าเอง” ฉินอวี้พยักหน้า เดินมาหยุดข้างเตียงแล้วเอ่ยถามหมออาวุโสที่กำลังตรวจชีพจรคนนั้น “เป็นเช่นไรบ้าง” 


 


 


           “ทูลรัชทายาท ท่านหญิงเหลียนวาสนาหนักดวงแข็ง ผ่านระยะอันตรายไปแล้ว ทุกอย่างปกติดีพ่ะย่ะค่ะ แม้จะฟื้นแล้วก็ยังมิอาจขยับตัวตามใจชอบได้ จำต้องนอนพักฟื้นอย่างน้อยสิบวัน รอจนบาดแผลสมานกันแล้วถึงลุกมาเดินเล่นได้ แต่เดินได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น มิอาจเคลื่อนไหวก้าวกระโดดได้ หากอยากกระโดดโลดเต้น อย่างน้อยต้องพักฟื้นอีกสองเดือนพ่ะย่ะค่ะ” หมออาวุโสวางมือลง หันกลับมาประสานมือคารวะกล่าวกับฉินอวี้  


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้าก่อนถามฉินเหลียน “ได้ยินหรือยัง ถึงเจ้าดวงแข็ง แต่ยังต้องพักรักษาตัวให้ดี” 


 


 


           แววตาฉินเหลียนยังคงเลื่อนลอยอยู่บ้าง เนิ่นนานกว่าจะนึกถึงสภาพความเป็นจริง นางยกมือสัมผัสบริเวณทรวงอกแล้วบอกกับฉินอวี้ “ข้าจำได้ว่าถูกกระบี่แทงหน้าอกและตกลงมาจากกำแพงเมือง…ผู้ใดเป็นคนช่วยข้า” 


 


 


           “เซี่ยอวิ๋นจี้” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “เซี่ยอวิ๋นจี้” ฉินเหลียนพลันเบิกตากว้าง “เป็นเขาหรือ” 


 


 


           “เป็นเขา โชคดีที่เขามาถึงเมืองหลินอัน และรับตัวเจ้าไว้ทันจากด้านล่างกำแพงเมือง มิฉะนั้นถึงกระบี่มิได้แทงโดนหัวใจของเจ้า แต่ตกลงไปย่อมไม่รอดชีวิต” ฉินอวี้กล่าว “โชคดีมาก เจ้าฟื้นมาแล้วต้องขอบคุณเขาด้วย” 


 


 


           “เขามิใช่หายตัวไปหรือ ไฉนจู่ๆ ถึงมารับตัวข้าที่เมืองหลินอันได้” ฉินเหลียนคับแค้นใจ “ถูกเขารับไว้ มิสู้ตกลงไปตายดีกว่า” 


 


 


           “พูดอันใดแบบนั้น” ฉินอวี้ตีหน้านิ่ง “หากเจ้าเป็นอันใดไปที่เมืองหลินอัน ข้าจะกลับไปบอกเสด็จแม่อย่างไร และจะบอกท่านลุงกับท่านป้าอย่างไร อย่าพูดจาเป็นเด็กอีกเลย รักษาตัวให้ดี เชื่อฟังท่านหมอด้วย ท่านหมอให้เจ้าดูแลตัวเองอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ได้ยินหรือยัง” 


 


 


           ฉินเหลียนทำปากจู๋แล้วพยักหน้า “เซี่ยม่อหานเล่า” 


 


 


           “เป่ยฉีมีการระดมกำลัง เขาเดินทางไปม่อเป่ยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “หา เขาไปม่อเป่ยแล้วหรือ แล้วข้าเล่า” ฉินเหลียนจะผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความร้อนรน ทว่ามิทันระวังก็สะเทือนถึงบาดแผล นางร้องโอยด้วยความเจ็บปวดจนหน้าซีด เหงื่อผุดพรายบนหน้าผากทันที 


 


 


           ฉินอวี้เอื้อมมือกดตัวนางเอาไว้พลางถลึงตาใส่ “ข้ายังพูดมิทันขาดคำเจ้าก็ขยับตัวแล้ว ดูท่าคงต้องหาคนมาจับตามองเจ้าแล้วจริงๆ” พูดจบก็หันหลัง กล่าวบอกหมออาวุโสคนนั้น “ท่านหมอ รีบมาดูเร็วเข้า นางขยับตัวสะเทือนไปถึงบาดแผลแล้ว” 


 


 


           หมออาวุโสรีบเดินข้ามาตรวจดูบาดแผลให้ฉินเหลียน พบว่าบริเวณที่พันแผลเอาไว้มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงขยับตัวสะเทือนไปถึงบาดแผลจริง บาดแผลของท่านหญิงลึกมาก แม้ทายารักษาแผลชั้นดีแล้ว ทว่าแผลยังมิสมาน ระวังอย่าผลีผลามขยับตัวอีกเลย” 


 


 


           ฉินเหลียนเจ็บจนพูดไม่ออก 


 


 


           ฉินอวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผากให้นางแผ่วเบา “ห้ามผลีผลามขยับตัวอีก ได้ยินหรือยัง โชคดีที่หัวใจของเจ้าเอียงไปหนึ่งชุ่น มิฉะนั้นคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว” 


 


 


           “ข้าอยากไปม่อเป่ย เซี่ยม่อหานทิ้งข้าแล้วไปก่อนได้อย่างไร” ฉินเหลียนน้อยใจอยู่บ้าง  


 


 


           “เป่ยฉีระดมกำลัง ตอนนี้ทัพม่อเป่ยไม่มีผู้บัญชาการ เขารีบไปค่ายทหารม่อเป่ยเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อน หากเป่ยฉีบุกประชิดเข้ามาได้ บ้านเมืองหนานฉินต้องมีภัยแน่นอน” ฉินอวี้ปลอบนาง “ม่อเป่ยมิได้อยู่สุดขอบฟ้าสักหน่อย เจ้ารักษาตัวให้ดี หากแผลหายดีแล้ว หลังจากนี้ถ้าอยากไปอีกก็ยังมีโอกาส” 


 


 


           “ก็ได้ ถึงแม้ให้ข้าไปตอนนี้ ข้าก็ไปมิไหวอยู่ดี” ฉินเหลียนมิกล้าผลีผลามอีก “พี่ฉินอวี้ หาสมุนไพรดำม่วงเจอหรือยัง” 


 


 


           “หาเจอแล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “ท่านเป็นคนหาเจอหรือ” ฉินเหลียนมองเขา 


 


 


           “มิใช่ข้า ฟางหวาเป็นคนหาเจอ” ฉินอวี้ส่ายหน้า 


 


 


           “พี่สะใภ้ของข้าหรือ” ฉินเหลียนกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “นางมาเมืองหลินอันหรือ” 


 


 


           “ประกาศหย่าร้างประกาศไปทั่วใต้หล้า นางมิใช่พี่สะใภ้ของเจ้าอีกแล้ว ตอนนี้เจ้าควรเรียกนางว่าพี่ฟางหวา นางบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย” นัยน์ตาฉินอวี้หดลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยบอกนาง  


 


 


           ฉินเหลียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายามที่เมืองหลินอันกำลังเผชิญกับโรคห่าระบาด พระราชโองการฉินเจิงหย่าร้างกับเซี่ยฟางหวาก็ถูกปิดประกาศทุกเขตการปกครองโจวและเซี่ยนในหนานฉิน นางลอบตวัดตามองฉินอวี้ พบว่าใต้ตาเขาปรากฏรอยคล้ำจางๆ จึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “พี่ฟางหวาบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร” 


 


 


           “เพื่อตามหาสมุนไพรดำม่วง เรื่องนี้ให้เล่าคงยืดยาว เจ้าเพิ่งฟื้นมามิควรพูดมากและใช้สมองหนักจนเหนื่อยเกินไป” ฉินอวี้ลูบศีรษะนาง “ดื่มยาแล้วก็พักผ่อนเสีย” 


 


 


           “ก็ได้” ฉินเหลียนหลับตาลง 


 


 


           “เด็กดี” ฉินอวี้ถอนมือออก ก่อนกำชับสาวใช้ปรนนิบัติข้างกาย “ดูแลท่านหญิงให้ดี คอยดูอย่าให้ท่านหญิงผลีผลามเคลื่อนไหว หากสะเทือนถึงบาดแผลอีก เป็นอันใดขึ้นมา พวกเจ้าต้องรับผิดชอบ” 


 


 


           “เพคะ องค์รัชทายาท” สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน 


 


 


           ฉินอวี้เดินออกไปจากห้อง 


 


 


           ฉินเหลียนลืมตาขึ้นเชื่องช้า แลบลิ้นใส่หน้าประตู แล้วกวักมือเรียกสาวใช้มาเอ่ยถามเสียงเบา “พี่ฟางหวาพักอยู่ที่ใด อยู่ใกล้กับข้าหรือไม่” 


 


 


           “คุณหนูฟางหวาพักที่เรือนปีกตะวันออก ห่างจากตรงนี้มิใกล้นัก ต้องเดินประมาณหนึ่งถ้วยชาเจ้าค่ะ” สาวใช้ส่ายหน้าตอบ 


 


 


           “หากหามไปเล่า พวกเจ้าไปตามคนมาแล้วหามข้าออกไป เป็นเช่นไร” ฉินเหลียนย่นหัวคิ้ว 


 


 


           สาวใช้ทั้งสองสะดุ้งโหยงก่อนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน “เรียนท่านหญิง ท่านหมอกำชับไว้ว่าห้ามท่านผลีผลามขยับตัว รัชทายาทเองก็ทรงกำชับไว้เมื่อครู่เช่นกัน ท่านต้องนอนพักฟื้นสิบวันกว่าจะลุกลงจากเตียงได้ บ่าวสองคนมิกล้าตามคนมาหามท่าน หากสะเทือนถึงบาดแผลขึ้นมา พวกบ่าวรับผิดชอบมิไหวหรอกเจ้าค่ะ” 


 


 


           ฉินเหลียนเบะปาก “เซี่ยอวิ๋นจี้เล่า อยู่ที่ไหน” 


 


 


           “คุณชายอวิ๋นจี้พักในห้องข้างเคียงที่ท่านโหวเซี่ยเคยพัก อยู่ที่เรือนส่วนหน้าเจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองรีบตอบ 


 


 


           ฉินเหลียนครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วก็โบกมือไล่ “ช่างเถอะ ถึงแม้เขาช่วยชีวิตข้า แต่ข้าก็ไม่อยากพบปีศาจน่าชังเช่นเขา” พูดจบก็หลับตาลงด้วยความขุ่นเคือง 


 


 


           “ท่านหญิงทำใจให้สบายเถิด อดทนอีกหน่อย เมื่อแผลหายดีแล้ว ท่านก็จะได้เดินไปไหนมาไหนตามใจชอบ” สาวใช้ทั้งสองปลอบใจ 


 


 


           ฉินเหลียนพยักหน้า ไม่ส่งเสียงใดอีก 


 


 


           สาวใช้ทั้งสองเห็นว่านางไม่มุ่งมั่นที่จะให้หามไปส่งที่เรือนของเซี่ยฟางหวาแล้วก็สบายใจขึ้น ลอบถอนหายใจโล่งอก 

 

 

 


ตอนที่ 101-2 โยกย้ายทหารที่ใกล้สุด

 

ฉินอวี้ออกมาจากเรือนของฉินเหลียน ตรงไปยังเรือนปีกตะวันออกที่เซี่ยฟางหวาพักอาศัย 


 


 


           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน ซื่อหว่าน ผิ่นจู๋ ผิ่นชิง ผิ่นเซวียน และผิ่นเหยียนแปดคนแบ่งออกเป็นกลุ่มละสี่คน ผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลนางในช่วงกลางวันและกลางคืน คอยเฝ้าหน้าเตียงไม่กล้าผละห่างแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


           “องค์รัชทายาท” ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านเห็นฉินอวี้มาหาก็รีบทำความเคารพ  


 


 


           “ฟางหวายังไม่ฟื้นหรือ” ฉินอวี้ยกมือปราม เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน 


 


 


           “คุณหนูยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลยเพคะ” ทั้งสี่ส่ายหน้า 


 


 


           “ข้าจะเข้าไปดูนางหน่อย” ฉินอวี้บอก 


 


 


           ทั้งสี่รีบแหวกม่านออกให้ 


 


 


           ฉินอวี้เข้ามาข้างใน กลิ่นยาอบอวลทั่วห้องเช่นกัน เซี่ยฟางหวานอนอยู่บนเตียง หลับลึกอย่างยิ่ง สีหน้ามิได้ซีดขาวแล้ว มีเลือดฝาดบ้างเล็กน้อย ลมหายใจมิได้หนักยุ่งเหยิงอย่างตอนเพิ่งหมดสติแล้วเช่นกัน กลายเป็นแผ่วเบา 


 


 


           ฉินอวี้นั่งลงบนหัวเตียง นิ่งมองนาง 


 


 


           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากัน ก่อนที่ซื่อม่อจะรินน้ำชาส่งให้ฉินอวี้ 


 


 


           ฉินอวี้ยกมือปัดเป็นการบอกว่ามิดื่ม 


 


 


           ซื่อฮว่าถือน้ำชาถอยออกมา ก่อนกล่าวบอกฉินอวี้ “ได้ยินว่าท่านหญิงเหลียนฟื้นแล้ว รัชทายาทมาจากเรือนปีกตะวันตกหรือเพคะ ท่านหญิงเหลียนปลอดภัยดีหรือไม่” 


 


 


           “อืม ปลอดภัยดี แต่ต้องนอนพักฟื้นสิบวัน พอบาดแผลสมานกันแล้วถึงจะลุกมาเดินเหินได้” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “ตอนนั้นพวกบ่าวดูแลได้มิทั่วถึง โชคดีที่ท่านหญิงมีวาสนาหนักดวงแข็ง” ซื่อฮว่ากล่าว 


 


 


           “สถานการณ์ในตอนนั้นมิโทษพวกเจ้า” ฉินอวี้ส่ายหน้า 


 


 


           ซื่อฮว่ามิเอ่ยคำใดอีก 


 


 


           ฉินอวี้นั่งบนหัวเตียงมองเซี่ยฟางหวาต่ออีกราวสองถ้วยชาก่อนลุกขึ้นเชื่องช้า พร้อมเอ่ยกำชับ “ฟางหวาฟื้นแล้วบอกข้าด้วย” 


 


 


           “รัชทายาทโปรดวางพระทัย หากคุณหนูฟื้นแล้ว บ่าวจะรีบไปบอกท่าน” ซื่อฮว่าผงกศีรษะ 


 


 


           ฉินอวี้เดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเดินมาถึงกลางลานก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความดีใจของซื่อม่อดังขึ้นว่า “คุณหนู ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” เขาจึงหยุดฝีเท้าทันที 


 


 


           ซื่อฮว่าที่ออกมาส่งฉินอวี้ออกจากเรือนได้ยินเช่นนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องทันที 


 


 


           ฉินอวี้เองก็หันหลังกลับเช่นกัน สาวเท้าเข้าไปในห้อง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาฟื้นแล้วจริงๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อยเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมา ก่อนที่จะลืมตากว้างขึ้นทีละน้อย ม่านดวงตาราวกับปกคลุมด้วยหมอกชั้นหนึ่ง 


 


 


           “คุณหนูฟื้นแล้วจริงด้วย” ซื่อฮว่าถลันเข้ามาในห้อง พุ่งตัวมายังหน้าเตียงด้วยความดีใจ “คุณหนู ท่านอยากดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า เมื่อเห็นฉินอวี้ที่สาวเท้าตามหลังซื่อฮว่าเข้ามาแววตาพลันวูบไหวเล็กน้อย คล้ายไม่แน่ใจชั่วพริบตาหนึ่ง 


 


 


           “เมื่อครู่ข้านั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนาน พอจะกลับเจ้าก็ฟื้นมาพอดี รู้สึกเช่นไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” ฉินอวี้เดินมาที่หน้าเตียง  


 


 


           แววตาของเซี่ยฟางหวาค่อยๆ กลับมากระจ่างใส หยัดแขนลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า ก่อนส่ายหน้าให้ฉินอวี้ 


 


 


           “วันนั้นจู่ๆ เจ้าก็หมดสติไปทำพวกเราตกใจแทบแย่ โชคดีมีเหยียนเฉินอยู่ เขาตรวจชีพจรให้เจ้า บอกว่าในช่องท้องเจ้าถูกสูบไปจนน่ากลัว ลมปราณและเลือดดุจเส้นไหม หัวใจอ่อนแอมากเกินไป เสียหายอย่างยิ่ง” ฉินอวี้แย้มยิ้มบาง  


 


 


           เซี่ยฟางหวานึกถึงวันนั้นจึงพยักหน้า 


 


 


           “เหยียนเฉินบอกว่าเป็นเพราะเจ้าใช้เคล็ดวิชาเผ่าภูตผีติดต่อกันมากเกินไป ทำให้หัวใจเสียหายอย่างหนัก เขาให้เจ้ากินยาลูกกลอนควบคุมชีพจรหัวใจเม็ดหนึ่ง ควบคุมมิให้หัวใจเสียเลือดมากเกิน ภายในครึ่งปีมิอาจใช้วิชาเผ่าภูตผีใดๆ ได้อีก ภายในหนึ่งเดือนห้ามจับกระบี่หรือใช้พลังภายใน จำต้องพักฟื้นบำรุงร่างกายไปอย่างช้าๆ” ฉินอวี้กล่าวอีก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว 


 


 


           “วิชาภูตผีใช้หัวใจเป็นรากฐานถึงจะควบคุมสรรพสิ่งในหล้าได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องสวนทางกับธรรมชาติ ดังนั้นทุกครั้งที่ใช้วิชาภูตผีจึงต้องเสียเลือดไปอย่างมาก ต่อไปหากมิใช่เหตุการณ์ที่จวนตัวจริงๆ ทางที่ดีอย่าใช้มันอีกเลย” ฉินอวี้นั่งลงข้างเตียง กล่าวกับนางด้วยความอ่อนโยน  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก พยักหน้ารับแล้วเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ข้าหมดสติไปนานแค่ไหน” 


 


 


           “หนึ่งวันหนึ่งคืน” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “สมุนไพรดำม่วงมาถึงเมืองหลินอันราบรื่นหรือไม่ รักษาโรคห่าได้หรือยัง” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           “สมุนไพรดำม่วงมาถึงเมืองหลินอันอย่างปลอดภัย รักษาโรคห่าได้แล้ว” ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “ท่านพี่ เหยียนเฉิน และพี่อวิ๋นจี้เล่า ปลอดภัยกันหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           “เมื่อวานได้รับข่าวว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลัง พี่จื่อกุยรอเจ้าฟื้นไม่ไหวจึงเดินทางไปค่ายทหารม่อเป่ยตั้งแต่กลางดึกแล้ว หลังเหยียนเฉินกลับมาจากภูผาวกวนก็ยังมิได้พักผ่อน มาช่วยรักษาโรคห่าในเมืองหลินอันก่อน ตอนนี้พักผ่อนอยู่ที่เรือน เจ้าเพิ่งฟื้นมาจึงยังไม่มีใครไปบอกเขา ส่วนพี่อวิ๋นจี้ออกไปเที่ยวเล่นตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ใด” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           “เป่ยฉีระดมกำลังหรือ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           “เหตุใดเป่ยฉีถึงมีการระดมกำลัง” เซี่ยฟางหวาไม่เข้าใจ “เป็นความคิดของฮ่องเต้เป่ยฉีรึ” 


 


 


           “น่าจะมิใช่ พี่อวิ๋นจี้กลับมาจากเป่ยฉีบอกว่าฮ่องเต้เป่ยฉีไม่มีความคิดนี้” ฉินอวี้ส่ายหน้า “เท่าที่เราคาดการณ์กัน น่าจะเป็นความคิดของฉีเหยียนชิง เขามีความทะเยอทะยาน ทั้งมีตระกูลอวี้คอยสนับสนุนเบื้องหลัง หลายปีที่ผ่านมาเป่ยฉีมีเขาเป็นองค์ชายเพียงผู้เดียว อีกอย่างเขาก็วางตัวเก่ง ภาคราชสำนักประชาชน รวมไปถึงราษฎรในท้องตลอดต่างยกย่องสรรเสริญเขา เขามีเจตนาก่อความไม่สงบต่อหนานฉินตลอดมา ดังนั้นตอนนี้จึงฉวยโอกาสที่หนานฉินปั่นป่วนอย่างยิ่ง ถือโอกาสระดมกำลังออกทัพ สิ่งนี้ก็อยู่ในความคาดการณ์เช่นกัน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก้มหน้าครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นความคิดของฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้ เช่นนั้น รวมกองทัพเข้าด้วยกันแล้ว เกรงว่ายากจะต่อต้าน ระบบทหารในเป่ยฉีกับหนานฉินแตกต่างกันมาก หากฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้เตรียมการไว้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้พรมแดนม่อเป่ยไร้ผู้บัญชาการ พรมแดนเป่ยฉี 


 


 


กลับรวมกันเป็นหนึ่ง ทหารสามแสนนายในม่อเป่ยเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของฉีเหยียนชิงที่มีกำลังมากกว่าเท่าตัว ท่านพี่ไปม่อเป่ยครั้งนี้จะนำสิ่งใดไปต่อต้าน” 


 


 


           “ฟางหวาฉลาด เพิ่งพูดว่าเป่ยฉีระดมกำลัง เจ้าก็นึกถึงความแตกต่างระหว่างระบบทหารของหนานฉินกับเป่ยฉีได้แล้ว เมื่อวานข้าได้ส่งจดหมายราชการด่วนขอให้เสด็จพ่อทรงแก้ไขระบบทหารแล้ว” ฉินอวี้ชื่นชม  


 


 


           “ฝ่าบาทจะทรงยินยอมรึ” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “เสด็จพ่อย่อมทรงมิยอม แต่ออกพระราชโองการมาว่ารัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบม่อเป่ยให้รอฟังคำสั่งโยกย้ายของทัพม่อเป่ย ทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วไปยังม่อเป่ยแล้ว” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้า  


 


 


           “ต่อให้เดินทางทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ถึงเวลานั้นคงสายเกินแก้แล้ว” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเยาะ “ฝ่าบาททรงชราและเลอะเลือนแล้วจริง นึกไม่ถึงว่าแม้แต่การกำจัดตระกูลเซี่ยสำคัญหรือปกป้องบ้านเมืองหนานฉินสำคัญกว่ากันก็แยกไม่ออกแล้ว” 


 


 


           “เป็นความมุ่งมั่นของเสด็จพ่อตลอดชีวิต มาถึงขั้นนี้แล้วหากทรงอนุญาต ความมุ่งมั่นของพระองค์ก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องน่าขำ พระองค์ทรงรับมิไหวหรอก เกรงว่าถึงสวรรคตก็ยังมิยอมลั่นวาจาแก้ไขระบบทหาร” ฉินอวี้จำใจ  


 


 


           “แล้วเจ้าเล่า” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา 


 


 


           “ขอเพียงข้าได้ครองราชย์ ย่อมแก้ไขระบบทหารก่อน” ฉินอวี้ตอบ 


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม มิสอดปากสอดคำกับเรื่องนี้อีก เอ่ยถามเขาแทน “แล้วตอนนี้จะแก้ไขวิกฤตในม่อเป่ยอย่างไร เจ้ามีแผนการดีๆ แล้วหรือยัง” 


 


 


           “พี่จื่อกุยไปม่อเป่ย หนึ่งเพื่อปลอบขวัญทหารในม่อเป่ย สองเพื่อขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงช่วยออกทัพ ตอนนี้กองทัพสนับสนุนที่อยู่ใกล้ม่อเป่ยที่สุดก็คือเมืองเสวี่ยเฉิง ฉีเหยียนชิงกับตระกูลอวี้ในเมื่อจะระดมกำลัง แสดงว่ามีการเตรียมการมานานแล้ว ถึงแม้กำลังทหารใกล้พรมแดนม่อเป่ยจะฟังคำสั่งโยกย้ายมาช่วยสนับสนุนได้ทันกาล แต่เกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ที่เป่ยฉีเตรียมทัพใหญ่มานานแล้วเช่นกัน ทำได้เพียงขอช่วยทัพจากเมืองเสวี่ยเฉิงแล้ว” ฉินอวี้มองนางแล้วเอ่ยตอบ  


 


 


           “ขอทัพจากเมืองเสวี่ยเฉิง” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 


 


 


           ฉินอวี้พยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมาแล้วก้มหน้าลง มองผ้าห่มถักทออย่างดงามบนกาย ไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           “ในอดีตเมืองเสวี่ยเฉิงเคยประสบภัยพิบัติจากหนอนและแมลง ตระกูลเซี่ยมีบุญคุณช่วยเหลือด้วยการให้ยืมธัญพืชล้านตัน ทำให้เมืองเสวี่ยเฉิงเทิดทูนซาบซึ้งต่อตระกูลเซี่ยตลอดมา พี่จื่อกุยเป็นทายาทตระกูลเซี่ย เขาไปเมืองเสวี่ยเฉิงด้วยตัวเองพร้อมนำจดหมายลับของข้าไปด้วย น่าจะมีความสำเร็จห้าส่วน” ฉินอวี้มองนาง  


 


 


           เซี่ยฟางหวากระตุกมุมปาก ยังคงไม่ส่งเสียงใด 


 


 


           “เป็นเช่นไร เจ้าคิดว่าไม่สำเร็จหรือ” ฉินอวี้ผินหน้ามองนาง อยากเห็นสีหน้านางชัดๆ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “ข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองเสวี่ยเฉิง ไม่เคยพบเจ้าเมืองมาก่อนด้วย” หยุดเว้นช่วงแล้วเม้มปากกล่าว “แต่ไม่ควรวางลูกตุ้มไว้ที่เมืองเสวี่ยเฉิง 


 


 


อย่างเดียว จะฝากความหวังไว้ที่คนนอกได้อย่างไรกัน” 


 


 


           “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เดิมข้าจะไปม่อเป่ยเอง แต่ 


 


 


พี่จื่อกุยบอกว่าเมืองหลินอันเพิ่งพ้นเคราะห์ ข้าจำต้องอยู่สังเกตการณ์ก่อน หากไม่มีทางเลือกจริงๆ ข้าคงได้แต่ต้องไปม่อเป่ยเพื่อโยกย้ายทหารเอง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าไปโยกย้ายทหารที่ม่อเป่ยเอง คนเดียวจะต้านทหารได้มากเท่าไร อีกอย่างรัศมีรอบม่อเป่ยหนึ่งร้อยลี้มีทหารอยู่เท่าไร ข้าคิดว่าเจ้ามิสู้โยกย้ายทหารที่ใกล้ที่สุดแทน” 


 


 


           “ความหมายเจ้าคือให้ข้าโยกย้ายทหารสนับสนุนม่อเป่ยจากเมืองหลินอัน” ฉินอวี้มองนาง 


 


 


           “ท่านพี่ไปม่อเป่ยครั้งนี้ หากเป่ยฉีระดมกำลังจริง หากเขาขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพไม่สำเร็จ ด้วยสถานการณ์กองทัพม่อเป่ยในตอนนี้ มากสุดคงประวิงเวลาได้สิบวัน การโยกย้ายทหารจากเมืองหลวง ถึงเร่งกรีธาทัพ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกระทั่งถึงยี่สิบกว่าวัน แต่เมืองหลินอันอยู่ห่างจากม่อเป่ยเดิมใกล้กว่าเมืองหลวงแปดร้อยลี้ หากเจ้าโยกย้ายทหารทันทีจากที่นี่แล้วรีบเดินทางไปหนุนกองทัพม่อเป่ย เช่นนั้น ภายในสิบวัน ระหว่างที่ท่านพี่ประคับประคองไม่ไหวแล้ว ย่อมไปถึงทันแน่นอน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า  


 


 


           ฉินอวี้ได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ “ไฉนข้าจึงคิดไม่ถึง” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน มองนางแล้วยิ้มกล่าว “เจ้าพูดมีเหตุผล เสด็จพ่อแม้มิทรงแก้ไขระบบทหาร แต่ข้ามีฐานะเป็นรัชทายาท หากโยกย้ายทหารจากที่ใกล้ที่สุดได้ เสด็จพ่อก็มิอาจควบคุมได้เช่นกัน อย่างที่บอกว่ากองทัพด้านนอกนั้นมิรับฟังคำสั่งการทหาร” 


 


 


           “ฝ่าบาททรงเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ขอเพียงเป็นเรื่องที่ตนเองตัดสินใจได้ เหตุใดเจ้าต้องขอคำอนุญาตจากฝ่าบาทอีก” เซี่ยฟางหวากล่าว 


 


 


           “ภัยของบ้านเมือง ปรับตัวตามสถานการณ์ นี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา พูดจบก็บอกนาง “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะออกไปเตรียมบัญชาการทหารในเขตปกครองโจวและจวิ้นทั้งหมดที่อยู่ใกล้กับเมืองหลินอัน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ฉินอวี้เดินออกไปด้วยฝีเท้าเร่งรีบ  

 

 


ตอนที่ 102-1 ร่องรอยของเยี่ยนถิง

 

           หลังฉินอวี้กลับออกไป ซื่อฮว่าก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสองวันนี้ระหว่างที่นางหมดสติไปให้ฟังโดยละเอียด 


 


 


           เซี่ยฟางหวารับฟังเงียบๆ 


 


 


           เพราะเป่ยฉีระดมกำลัง ทำให้เซี่ยม่อหานออกเดินทางไปม่อเป่ยกลางดึก ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการให้รัศมีหนึ่งร้อยลี้ภายในม่อเป่ยรอฟังคำสั่งโยกย้ายจากทัพม่อเป่ย พร้อมทั้งทรงรับสั่งให้คนขี่ม้าเร็วเร่งสุดฝีเท้านำพระราชโองการไปเผยแพร่ที่ม่อเป่ยแล้ว ขณะเดียวกันเสนาบดีฝ่ายขวาก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอถอนหมั้นระหว่างหลี่หรูปี้กับฉินอวี้ด้วยตัวเอง และฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาต 


 


 


           เมื่อเล่าถึงเรื่องสุดท้าย เซี่ยฟางหวาก็เลิกคิ้วขึ้น 


 


 


           “คุณหนู ตั้งแต่ท่านนำสมุนไพรดำม่วงกลับมาและบาดเจ็บสาหัส รัชทายาทก็มิได้ปิดบังคุณูปการของท่านเลยแม้แต่น้อย กลับป่าวประกาศออกไป ยามนี้ประชาชนในเมืองหลินอันล้วนเห็นท่านเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาช่วยปลดทุกข์ก็มิปาน บางคนถึงกับบูชาภาพวาดเหมือนของท่าน” ซื่อฮว่ามองเซี่ยฟางหวาพร้อมถามเสียงต่ำ  


 


 


           “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว 


 


 


           ซื่อฮว่าพยักหน้า 


 


 


           “มิใช่เพียงเท่านี้ เพราะท่านกับรัชทายาทช่วยกันแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอัน ภายนอกเริ่มมีคนยกย่องสรรเสริญ กล่าวกันว่ารัชทายาทมีพรสวรรค์โดดเด่น ท่านมีรูปลักษณ์งดงามเพียบพร้อมด้วยความสามารถ หากรัชทายาททรงอภิเษกสมรสกับท่าน ก็นับว่าเป็นคู่ที่เหมือนกับสวรรค์สรรสร้างขึ้น จะต้องสร้างความสุขแก่ราษฎรในหนานฉินได้แน่นอน ภายภาคหน้าราษฎรก็จะมีแต่วันเวลาดีๆ” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบา  


 


 


           เซี่ยฟางหวาพลันหัวเราะขึ้นมา 


 


 


           ซื่อฮว่าเงียบเสียงลงทันที มองนางด้วยความระวัง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเพียงหัวเราะครู่หนึ่งเท่านั้น ใบหน้านอกจากเปื้อนยิ้มก็ไม่เห็นอารมณ์และความรู้สึกอื่นแล้ว นางยกมือสั่งสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าเตียง “ไปบอกเหยียนเฉินว่าข้าฟื้นแล้ว ไปตามหาพี่อวิ๋นจี้ด้วย ดูว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ให้เขากลับมา” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” ซื่อหลานกับซื่อหว่านรีบหันหลังออกไปทำตามคำสั่ง 


 


 


           “บ่าวสองคนปรนนิบัติท่านล้างหน้าหวีผมดีกว่า” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก้าวขึ้นมาประคองเซี่ยฟางหวาลงจากเตียง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้น เซี่ยฟางหวาก็ทราบดีว่าร่างกายตนเองนั้นใช้งานหนักจนเกินขีดจำกัด รู้สึกอ่อนล้าอย่างหนัก เท้าเหยียบลงบนพื้นอยู่แท้ๆ แต่เหมือนกับเหยียบบนปุยฝ้ายก็มิปาน ทั้งกายหากไม่มีคนคอยประคอง เกรงว่าคงขาแข้งอ่อนแรงจนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว 


 


 


           “คุณหนู ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ มิอย่างนั้นท่านกลับไปพักบนเตียงดีกว่า บ่าวสองคนจะไปยกน้ำสะอาดมาให้ แล้วล้างหน้าหวีผมให้ท่านหน้าเตียงแทน” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเองก็สังเกตได้เช่นกัน รีบถามด้วยความเคร่งเครียด  


 


 


           “ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ประคองข้าไปก็พอแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อประคองนางมายังข้างอ่างใส่น้ำสะอาด คนหนึ่งคอยประคองนาง คนหนึ่งล้างทำความสะอาดใบหน้าให้นาง หลังจากนั้นก็ประคองนางไปนั่งหน้ากระจกทรงกลีบกระจับเพื่อหวีผม 


 


 


           เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เหยียนเฉินก็เข้ามาในเรือนด้วยความรีบร้อน ชั่วพริบตาก็มาถึงหน้าประตูแล้วเข้ามาในห้อง 


 


 


           “มาไวถึงเพียงนี้เชียว” เซี่ยฟางหวาหันกลับไปส่งยิ้มบางให้เหยียนเฉิน 


 


 


           เหยียนเฉินเดินเข้ามาหาก่อนคว้ามือนางมาตรวจชีพจร 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่งเหยียนเฉินก็ถอนหายใจอกมา “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วแต่เจ้าก็ไม่ฟัง วันนั้นกลไกถูกติดตั้งไว้พร้อมแล้ว เจ้าแค่ใช้การกลไกจำนวนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมดก็ได้ กลับใช้วิชาภูตผีหลายครั้งจนตกอยู่ในสภาพนี้ ครั้งนี้ใช้มากเกินเหตุ เลือดเลี้ยงหัวใจแทบจะถูกสูบจนเกลี้ยง ภายในครึ่งปีห้ามใช้วิชาภูตผีอีก ภายในหนึ่งเดือนห้ามจับกระบี่หรือใช้พลังภายใน ครึ่งนี้ปีข้าจะคอยจับตามองเจ้าไม่ให้คลาดสายตา เจ้าจะได้ไม่ทำตามใจชอบอีก” 


 


 


           “ข้าเกลียดคนพวกนั้นเข้ากระดูกดำ แค่อยากสังหารพวกเขาด้วยตัวเอง ตอนนั้นจึงมิได้คำนึงถึงสิ่งใดเลย” เซี่ยฟางหวามองเหยียนเฉินแล้วยิ้มบาง “เจ้าวางใจเถิด ถึงเจ้าไม่จับตามอง แต่ในครึ่งปีนี้ถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดอันตรายถึงชีวิต ข้าก็จะไม่ใช้วิชาภูตผีอีกแล้ว” 


 


 


           “ผู้อยู่เบื้องหลังแม้น่าเกลียดชังเพียงใด เจ้าก็ต้องรักตัวเองให้มาก” เหยียนเฉินมองนางอย่างไม่เห็นด้วย 


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าก่อนหุบรอยยิ้มลง กล่าวเสียงแผ่วเบา “เหยียนเฉิน เจ้าไม่เข้าใจ” หยุดเว้นช่วง พบว่าเหยียนเฉินกำลังมองตน นางเม้มปากก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้ามีความทรงจำสองชาติ ตอนกลับมาเกิดใหม่เคยมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจหมดแล้ว ชาติก่อนตระกูลเซี่ยถูกประหารเก้าชั่วโคตร แน่นอนว่าฮ่องเต้มีใจอยากกำจัดตระกูลเซี่ย แต่ผู้ผลักดันที่แท้จริงกลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพวกนี้ พวกเขาเป็นคนสนับสนุนที่ชั่วร้าย ผลักตระกูลเซี่ยไปในเหวลึก กระดูกกองเป็นภูเขา โลหิตไหลรวมเป็นธารา ยามนี้ข้าจับตัวพวกเขาได้ มีหรือจะไม่รีบสังหารทิ้ง” 


 


 


           เหยียนเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงยืนหยัดที่จะปกป้องตระกูลเซี่ยมาโดยตลอด เจ้าเกิดมาในตระกูลเซี่ยแห่งหนานฉิน ข้าเกิดมาในตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี พวกเราล้วนไปอยู่ที่เขาไร้นามตั้งแต่เด็ก ตระกูลอวี้สำหรับข้าแล้วมิได้มีความผูกพันมากเท่าไรนัก แต่ตระกูลเซี่ยสำหรับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “พวกเขาทำลายชีวิตที่เคยล้ำค่าที่สุดของข้า ทำลายสิ่งสำคัญที่สุด ข้าย่อมทำลายพวกเขาทิ้งโดยไม่ปรานี” พูดจบ นางก็เผยสีหน้าเยือกเย็น “เพียงแต่น่าเสียดาย เหตุสังหารที่ช่องแคบมีคนหนีไปได้หนึ่งคน” 


 


 


           “ข้าได้ยินรัชทายาทกับอวิ๋นจี้เอ่ยถึงคนที่หนีรอดไปได้ว่าน่าจะบาดเจ็บสาหัส ระยะนี้คงมิอาจก่อเหตุได้อีก” เหยียนเฉินกล่าว “เนื่องจากเจ้าหาสมุนไพรดำม่วงมาได้ แก้ไขวิกฤตการณ์ในเมืองหลินอัน ช่วยประชาชนแสนกว่าชีวิตที่นี่ เมื่อข่าวในเมืองหลินอันเผยแพร่ออกไป ใต้หล้าก็ให้การสรรเสริญ ส่วนจื่อกุยไปที่กองทัพม่อเป่ยเพื่อรับช่วงต่ออำนาจการทหาร หากเป่ยฉีมีการระดมกำลัง เขาเป็นผู้บัญชาการจึงสำคัญอย่างยิ่ง จากสถานการณ์ในตอนนี้ ราชสำนักหนานฉินมิอาจทำอันใดตระกูลเซี่ยได้อีกแล้ว ภาระบนบ่าเจ้าก็ควรวางลงบ้างเช่นกัน” 


 


 


           “ไม่ง่ายขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “ไฉนถึงกล่าวเช่นนี้” เหยียนเฉินมองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้น “ไฟป่ายังมิมอด ลมวสันต์พัดผ่านก็ปะทุขึ้นใหม่ เราสังหารตัวการในช่องแคบไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนตายไปเป็นใคร เหตุใดถึงต้องการตัวข้า เบื้องหลังเหล่านี้จำต้องสืบให้กระจ่าง” พูดจบนางก็กล่าวอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ของใหม่แทนที่ของเก่า ตอนนี้ตระกูลเซี่ยยังไม่ถือว่าสงบมั่นคงอย่างแท้จริง” 


 


 


           “ก็จริง” เหยียนเฉินพยักหน้าก่อนคาดการณ์ “ตามความเห็นข้า ผู้อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นเกรงว่าจะต้องการวิชาภูตผีในตัวเจ้า” 


 


 


           “ข้าเองก็อยากรู้ว่าคนพวกนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีไปเพื่อสิ่งใดกันแน่”  


 


 


เซี่ยฟางหวายิ้มเยาะ 


 


 


           เหยียนเฉินไม่เอ่ยคำใดอีก ไตร่ตรองเงียบๆ 


 


 


           “ฉีเหยียนชิงออกทัพโจมตีหนานฉิน ฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าน่าจะอนุญาตโดยนัยกระมัง” เซี่ยฟางหวาพิจารณาพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีก 


 


 


           เหยียนเฉินชะงักไปเล็กน้อย 


 


 


           “ท่านป้าแม้ออกเรือนไปถึงเป่ยฉี หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอีก แต่การที่บุตรีแห่งจวนจงหย่งโหวออกเรือนไป ไฉนเลยจะไม่คิดถึงญาติพี่น้องในครอบครัวเลย หลายปีมานี้ฮ่องเต้มีความคิดอยากกำจัดตระกูลเซี่ยมากเพียงใดใต้หล้าย่อมทราบดี ตระกูลเซี่ยยอมถอยแล้วถอยอีก ท่านป้ามีหรือจะมิทราบ ท่านป้าเองก็น่าจะเกิดความไม่พอใจต่อหนานฉินเช่นกัน มิฉะนั้นด้วยฐานะที่นางเป็นถึงฮองเฮาแห่งเป่ยฉีมาหลายปี ย่อมหาวิธีหยุดยั้งฉีเหยียนชิงแน่นอน” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก  


 


 


           “เจ้าพูดมีเหตุผล” เหยียนเฉินผงกศีรษะ “ฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮ่องเต้หนานฉินมีความละโมบต่างกัน ทั้งฉลาดและมีสายตาเฉียบแหลม ฉีเหยียนชิงกับฉินอวี้เองก็ต่างกัน ฉีเหยียนชิงแม้ได้รับการสั่งสอนจากฮ่องเต้เป่ยฉีและมีตระกูลอวี้คอยสนับสนุนตลอดหลายปี แต่สุดท้ายก็ยังมิกล้ากระโดดออกจากพระหัตถ์ฮ่องเต้เป่ยฉี การระดมกำลังโดยพลการเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่มีการอนุญาต เขาย่อมไม่กล้าทำอยู่แล้ว เขามิใช่ฉินอวี้” 


 


 


           “เจ้าเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี อำนาจส่วนใหญ่ของตระกูลอวี้ตกอยู่ในกำมือเจ้า ตอนที่ท่านพี่กับฉินอวี้ทราบว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลังคงอยากพบเจ้าก่อน แต่ใจเจ้าทราบดีว่าฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้าลอบอนุญาตโดยนัย ดังนั้นเจ้าที่ไม่เคยสนใจจึงไม่ตามท่านพี่ไปยังค่ายทหารม่อเป่ยด้วย แต่อยู่ดูแลข้าระหว่างพักรักษาตัว” เซี่ยฟางหวากล่าว 


 


 


           เหยียนเฉินหลุดยิ้ม “ปิดบังเจ้ามิได้ทั้งนั้น เป็นเช่นนี้ ตอนที่รัชทายาทกับพี่ชายเจ้ามาหาข้า ข้าไม่มีอำนาจการทหารในเป่ยฉีจึงปฏิเสธ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ความจริงรัชทายาทกับพี่ชายเจ้าไม่แน่ว่าในใจอาจมิทราบ ระดมกำลังเป็นเรื่องใหญ่ ครั้งนี้ฉีเหยียนชิงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะระดมกำลัง ด้วยการอนุญาตโดยนัยของฮ่องเต้เป่ยฉีกับฮองเฮา คงอยากทำให้หนานฉินรู้จักที่ต่ำที่สูง เพียงแต่ถึงแม้ทราบแล้วก็มิอาจยับยั้งการระดมกำลังได้เช่นกัน ทำได้เพียงหาวิธีการรับมือ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


 


           “เมื่อครู่ข้าได้ยินว่ารัชทายาทขอรับสมัครทหารในเขตปกครองโจวและจวิ้นละแวกใกล้ๆ เป็นความคิดของเจ้าหรือ” เหยียนเฉินถาม 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ 


 


 


           เหยียนเฉินมองนาง กดเสียงลดต่ำลง “เรื่องเมืองเสวี่ยเฉิงข้าพอจะทราบข่าวมาบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะมิทราบ เจ้าคงทราบกระมัง แต่ไม่เคยบอกกับเขา” 


 


 


           “ไม่เคยบอก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           “พี่ชายเจ้าก็มิทราบหรือ” เหยียนเฉินถามอีก 


 


 


           “ไม่ทราบ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าอีก 


 


 


           เหยียนเฉินถอนหายใจ “แม้แต่ข้าที่รู้จักเจ้ามาหลายปี อวดอ้างว่ารู้จักรหัสลับของกันและกัน ยามนี้ก็ไม่เข้าใจเจ้าแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “แต่ข้ามิได้สนใจเรื่องอื่น ขอเพียงข้ายังเห็นเจ้าปลอดภัยดีก็พอแล้ว” 


 


 


           “เหยียนเฉิน ขอบคุณเจ้ามาก” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้เขา 


 


 


           เหยียนเฉิงเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน มองท้องฟ้าแวบหนึ่งแล้วเอ่ยบอกนาง “ทุกวันยามนี้เป็นเวลาที่เจ้าควรดื่มยาแล้ว” พูดจบก็สั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่ถอยหลบไปเฝ้าข้างนอกเพราะมิกล้ารบกวนระหว่างทั้งสองคุยกัน “ยกยาเข้ามา” 


 


 


           “เจ้าค่ะ” ทั้งสองรีบออกไป  

 

 


ตอนที่ 102-2 ร่องรอยของเยี่ยนถิง

 

ทั้งสองยกยาเข้ามา ขณะเซี่ยฟางหวากำลังจะยกยาขึ้นดื่ม เซี่ยอวิ๋นจี้พลันเดินเอ้อระเหยเข้ามาในเรือน


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้กลิ่นหอมจางๆ ของชาดที่สตรีใช้ที่โชยมาพร้อมกับร่างของเขาที่ข้ามธรณีประตูเข้ามา อดมิได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้แหวกม่านออกก็พบกับกลิ่นยาฉุนปะทะใบหน้า เขาอุดจมูกแล้วพึมพำขึ้น “กลิ่นยาแรงนัก เหม็นชะมัด”


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยหางตาแวบหนึ่ง ก่อนดื่มยาในถ้วยหมดรวดเดียวแล้วเช็ดริมฝีปาก กล่าวขึ้นว่า “กลิ่นยาขมเฝื่อนของข้าย่อมมิได้หอมเหมือนกลิ่นหญิงงามในหอเยียนจือ พี่อวิ๋นจี้ช่างมีอิสระนัก”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้รีบดมแขนเสื้อของตน หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมตัวนอกโยนออกไปนอกห้อง ก่อนเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเซี่ยฟางหวา ส่งเสียงหัวเราะแหะๆ “ยังเป็นหญิงงามในหนานฉินเพลินตากว่า เป่ยฉีไม่น่ามองเลยสักที่เดียว”


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยรอยยิ้มขำ ไม่ส่งเสียงใดขึ้น


 


 


           “เจ้าฟื้นแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง” เซี่ยอวิ๋นจี้ถาม


 


 


           “ฟื้นมาย่อมดีขึ้นแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้รินน้ำชาให้ตัวเอง ดื่มอึกหนึ่งแล้วขยับเข้าใกล้นาง “ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้วก็ดี มีแผนการใดหรือไม่”


 


 


           “แผนอันใด” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “เป่ยฉีมีการระดมกำลัง เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าสถานการณ์นี้จะพัฒนาไปถึงขั้นไหน อยู่ที่เมืองหลินอันคงมองไม่เห็น ไม่อยากออกไปดูสักหน่อยรึ” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตามอง


 


 


           “ท่านจะให้ข้าไปม่อเป่ย” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า “มิใช่ม่อเป่ย ม่อเป่ยเป็นค่ายทหาร มีอันใดน่าดูกัน ข้าหมายถึงเมืองเสวี่ยเฉิงต่างหาก” เขามองเซี่ยฟางหวา “เจ้าเคยไปเมืองเสวี่ยเฉิงหรือยัง”


 


 


           “ยังไม่เคย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “ยังไม่เคยไปก็ดี” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าว


 


 


           “ถึงไม่เคยไปก็ไม่อยากไป” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงักแล้วมองนาง “เจ้าไม่สงสัยใคร่รู้ในเมืองเสวี่ยเฉิงหรือ”


 


 


           “ไม่อยากรู้” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “เจ้าทราบหรือไม่ว่าพี่ชายเจ้าไปขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพช่วยเหลือ ทราบหรือไม่ว่าเขานำจดหมายลับของฉินอวี้ไปด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนางด้วยความสงสัย


 


 


           “ทราบ ฉินอวี้บอกข้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “ไม่จริงน่า” เซี่ยอวิ๋นจี้แปลกใจ “ข้าเพิ่งกลับจากข้างนอก ได้ยินว่ารัชทายาทโยกย้ายทหารในเขตปกครองโจว จวิ้น และเซี่ยนใกล้ๆ เพื่อไปสนับสนุนทัพม่อเป่ย และทราบข่าวว่าเจ้าฟื้นแล้ว เดาว่าน่าจะเป็นความคิดของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าให้คำแนะนำกับเขา มิคล้ายว่าจะไม่เป็นห่วงคนในเมืองเสวี่ยเฉิง”


 


 


           “ข้าไม่เป็นห่วงเมืองเสวี่ยเฉิงแล้วมีอันใดน่าแปลก เมืองเสวี่ยเฉิงตั้งอยู่ระหว่างเป่ยฉีกับหนานฉิน ไม่มีส่วนร่วมในสองแผ่นดินมาตลอดหลายปี ท่านพี่ไปขอให้ออกทัพมีความสำเร็จเพียงห้าส่วน พึ่งคนอื่นมิสู้พึ่งตัวเอง” เซี่ยฟางหวายิ้ม


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ยังรู้สึกว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้นผิดปกติ ทว่าบอกไม่ถูกว่าผิดปกติอย่างไร จึงหันไปมอง


 


 


เหยียนเฉิน “เจ้าไม่รู้สึกว่าทัศนคตินางผิดปกติหรือ”


 


 


           “ร่างกายนางได้รับความเสียหายหนัก ช่วงนี้จำต้องพักรักษาตัว ไปที่ใดมิได้ทั้งนั้น ตอนนี้เมืองหลินอันสงบแล้ว เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อนที่สุด เจ้าไม่ต้องยุให้นางวิ่งเต้นไปม่อเป่ยเลย และไปเมืองเสวี่ยเฉิงด้วยมิได้เช่นกัน ร่างกายนางยังทนรับความทรมานมิได้” เหยียนเฉินส่ายหน้า


 


 


           “ลืมไปเลยว่าร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก น่าเบื่อ” เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็วางธงลั่นกลองรบ


 


 


           “ถ้าท่านสนใจก็ไปคนเดียว” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า “ไม่มีใครไปด้วย ไปคนเดียวจะสนุกอันใด ระหว่างทางคงเหงาแย่” พูดจบ เขาก็พลันนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงขมวดคิ้วกล่าว “เจ้าได้พบเยี่ยนถิงหรือยัง”


 


 


           “เยี่ยนถิง?” เซี่ยฟางหวามองเขา “เขามิใช่ว่าอยู่เป่ยฉีในที่ที่เหยียนเฉินจัดไว้ให้หรือ”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า ก่อนเล่าเรื่องที่เยี่ยนถิงได้ยินพระราชโองการหย่าร้างป่าวประกาศทั่วใต้หล้าก็รีบขี่ม้าเร็วออกจากเป่ยฉีกลับมาหนานฉินทันทีให้ฟัง ทั้งเล่าอีกว่าเขาไล่ตามเท่าไรก็ตามอีกฝ่ายไม่ทัน กระทั่งป่านนี้ยังไม่เห็นเงาของอีกฝ่ายเลย


 


 


           เซี่ยฟางหวาฟังจบก็หันไปมองเหยียนเฉิน


 


 


           “มิได้ยินว่าเขามาเมืองหลินอัน” เหยียนฉินส่ายหน้า


 


 


           “แล้วเขาไปที่ใด” เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว “คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอกกระมัง”


 


 


           “เขากลับมาเพราะเจ้า หากได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่เมืองหลินอันก็น่าจะรีบมาที่นี่ถึงจะถูก แต่เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายคืนแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเขาเลย” เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ “คงมิได้แวะเสพสุขอยู่ที่ใดกระมัง”


 


 


           “ท่านคิดว่าเขาเป็นท่านหรือ” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองเซี่ยอวิ๋นจี้ ก่อนกล่าวกับเหยียนเฉิน “ประเดี๋ยวให้ชิงเกอไปตรวจสอบดูเถอะ ชิงเกอยังอยู่ที่นี่ใช่ไหม”


 


 


           “อยู่ เขาคุ้มครองนำสมุนไพรดำม่วงมาส่ง ยังมิได้ไปไหน” เหยียนเฉินลุกขึ้น “ข้าจะไปบอกให้เขาตรวจสอบดู”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           เหยียนเฉินออกไปจากห้อง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เห็นเหยียนเฉินออกไปแล้วก็นั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ ดื่มน้ำชาพลางกล่าวเสียงกระซิบ “ฉินอวี้บอกว่าเจ้ารับปากว่าจะออกเรือนกับเขาแล้ว เป็นความจริงหรือ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาหลุบตาลงก่อนพยักหน้ายืนยัน


 


 


           “จริงๆ ด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้รีบวางถ้วยน้ำชาลง เบิกตากว้างมองนาง “เพราะเหตุใด”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงยหน้าขึ้น หัวเราะเสียงเรียบครู่หนึ่ง “พี่อวิ๋นจี้ ข้าเพิ่งฟื้นมาท่านก็เป็นคนแรกที่ถามข้าเรื่องนี้ ต่อไปคนอื่นคงถามข้าว่าเพราะเหตุใดแบบท่านกันหมดกระมัง”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงัก


 


 


           “ทุกสิ่งบนโลกมิใช่อธิบายเหตุผลกับคนอื่นได้ทุกเรื่อง” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเบา “หากข้าตอบว่าไม่มีเหตุผล ไม่ใช่แค่ท่านที่ไม่เชื่อ ผู้คนมากน้อยล้วนไม่เชื่อเช่นกัน แต่ถึงแม้มีเหตุผล แล้วเหตุใดข้าต้องอธิบายกับคนอื่นด้วย”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” พูดจบ เขาก็วางมือลงแล้วขยับเข้าใกล้นาง “แต่พี่ก็มิใช่คนอื่น ถึงอย่างไรก็เป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของเจ้ามิใช่หรือ เจ้าบอกข้ามาเถอะ ข้าไม่บอกใครหรอก” พูดจบก็กล่าวอีก “ข้าแค่ไม่เข้าใจ เจ้ายังดีๆ กับฉินเจิงอยู่เลยไม่ใช่หรือ ไฉนจู่ๆ ถึง…หากบอกว่ามิใช่ฉินอวี้ขู่บังคับเจ้า ทุบข้าจนตายก็ไม่เชื่อ”


 


 


           “เขามิได้ขู่บังคับข้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มองนางด้วยความไม่เข้าใจ “แล้ว…”


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ไม่เอ่ยคำใดอีก และไม่คิดจะพูดแล้วเช่นกัน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้อึดอัดเพราะอยากรู้อย่างยิ่ง แต่เห็นว่าเซี่ยฟางหวามีสีหน้าเย็นชา แสดงท่าทางราวกับตั้งใจแล้วว่าจะไม่พูดอันใดทั้งนั้นจึงได้แต่ยอมเลิกรา “ก็ได้ ข้ายอมแพ้ ไม่พูดก็ไม่พูด บอกตามตรงฉินอวี้คนนี้ก็ไม่เลว”


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด


 


 


           หนึ่งชั่วยามให้หลัง เหยียนเฉินกลับมาแล้วบอกกับเซี่ยฟางหวา “ชิงเกอไปตรวจสอบแล้ว ก่อนหน้านี้เราได้วางกำลังสอดแนมไว้รอบรัศมีหนึ่งร้อยลี้ภายในเมืองหลินอัน หากมีผู้ใดผ่านมาย่อมทิ้งร่องรอยไว้ หาก


 


 


เยี่ยนถิงเคยเข้ามาในอาณาเขตเมืองหลินอันก็น่าจะหาเจอได้อย่างรวดเร็ว”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเข้ามาเก็บถ้วยยา ขณะเดียวกันก็ถามเซี่ยฟางหวาว่าหิวหรือยัง เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ ทั้งสองจึงออกไปยกสำรับมื้อกลางวันมาให้


 


 


           เหยียนเฉินกับเซี่ยอวิ๋นจี้อยู่ทานมื้อกลางวันกับเซี่ยฟางหวา หลังทานอาหารเสร็จก็ได้รับข่าวจากชิงเกอ


 


 


           เหยียนเฉินเปิดจดหมายอ่าน ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว


 


 


           “เป็นเช่นไร” เซี่ยฟางหวาถาม


 


 


           เหยียนเฉินผงกศีรษะ “สองวันก่อนเยี่ยนถิงมาถึงอาณาเขตเมืองหลินอันจริง แต่มิได้เข้ามาในเมือง กลับไปที่ภูผาวกวน เลือกเดินในเส้นทางภูเขาที่อันตรายที่สุด ซึ่งก็คืออีกฟากหนึ่งของภูผาวกวนอันเป็นป่าวงกต เขาเข้าไปในป่าผืนนั้น หลังจากนั้นก็ไม่พบร่องรอยอีกเลย”


 


 


           “ป่าวงกต” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


 


 


           “ที่นี่ยังมีป่าวงกตอีกหรือ มิใช่มีแค่ภูผาวกวนกับธาราคดเคี้ยวรึ” เซี่ยอวิ๋นจี้สงสัย


 


 


           “มีป่าวงกตด้วย” เหยียนเฉินพยักหน้า แล้วมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง “เพียงแต่ป่าวงกตมิใช่ป่าธรรมดา มันเชื่อมต่อกับผาไน่เหอ เมื่อเข้าไปในป่าก็ลึกดั่งมหาสมุทร จากตรงนั้นมิอาจย้อนกลับมาได้อีก”


 


 


           “ป่าวงกตคือป่ามรณะที่ร่ำลือกันใช่หรือไม่ เยี่ยนถิงไปทำอันใดที่นั่น” เซี่ยอวิ๋นจี้ตกใจ


 


 


           เหยียนเฉินเงียบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เขาน่าจะไปตามหาคน”


 


 


           “เขามิใช่กลับมาหนานฉินเพราะเจ้าหรือ หากจะหาก็ต้องเป็นเจ้า ยังตามหาใครอีก” เซี่ยอวิ๋นจี้ถาม


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง มิได้ตอบคำถามเขาหากแต่กล่าวเสียงเรียบ “หากเขาไปยังป่าวงกตก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายให้พี่อวิ๋นหลาน มิให้เขาสร้างความลำบากใจให้เยี่ยนถิง”


 


 


           “อวิ๋นหลานอยู่ที่ป่าวงกตหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตามอง


 


 


           “แม้เขามิได้อยู่ที่ป่าวงกต แต่ป่าวงกตก็เป็นอาณาเขตของเขา” เซี่ยฟางหวาทั้งส่ายหน้าและพยักหน้า


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้มองนาง พิจารณาครู่หนึ่งก็เข้าใจทุกสิ่ง “ฉินเจิงอยู่ที่ป่าวงกตใช่หรือไม่ เยี่ยนถิงรีบกลับหนานฉิน เขามิได้ติดต่อกับเหยียนเฉินดังที่ข้าคาดการณ์ไว้ และมิได้ตามหาเจ้า แต่เขากับฉินเจิงเติบโตมาด้วยกัน เขาย่อมมีวิธีตามหาฉินเจิง” 

 

 


ตอนที่ 103-1 เรียกกลับเมืองด่วน

 

 


 


           เซี่ยฟางหวามิได้ตอบเซี่ยอวิ๋นจี้กลับ นางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ก่อนสั่งซื่อฮว่าให้เหยี่ยวนำไปส่งถึงเซี่ยอวิ๋นหลาน


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้วิ่งตามเหยี่ยวออกไปนอกเรือนแล้วขึ้นไปบนหลังคา มองดูเหยี่ยวตัวนั้นบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก่อนหายเข้าไปในกลีบเมฆ เขาลงจากยอดหลังคาด้วยความสงสัย เอ่ยถามเซี่ยฟางหวา “อวิ๋นหลานอยู่ที่ไหนกันแน่”


 


 


           “ที่ลำน้ำสวินสุ่ย” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “ลำน้ำสวินสุ่ยที่ว่าอยู่ที่ใด” เซี่ยอวิ๋นจี้คิดจนสมองแทบแตก ทว่าก็มิเคยได้ยินชื่อสถานที่นี้


 


 


           “ใต้ผาไน่เหอมีสันปันน้ำทางหนึ่ง เรียกอีกชื่อว่าลำน้ำสวินสุ่ย มันเชื่อมต่อกับภูผาวกวน ธาราคดเคี้ยว และป่าวงกต” เซี่ยฟางหวาบอกคร่าวๆ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ ไตร่ตรองเป็นนานก่อนโพล่งขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว บริเวณทางเข้าเชื่อมต่อกับภูผาวกวน ธาราคดเคี้ยว และป่าวงกต หากเข้าไปตามร่องน้ำระหว่างภูเขาก็จะพบลำน้ำสวินสุ่ย”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ กะพริบแล้วกะพริบอีก ก่อนถามเสียงเบา “ฉินเจิงกับอวิ๋นหลานอยู่ด้วยกันหรือ”


 


 


           “หากท่านเบื่อที่จะอยู่ที่นี่ อยากไปหาพี่อวิ๋นหลานก็ไม่ต้องพูดมากความขนาดนั้น อยากไปก็ไปเถอะ แต่หากไม่อยากไปก็อย่าโหวกเหวกโวยวายต่อหน้าข้าอีก มิฉะนั้นข้าจะให้คนนำท่านกลับไปส่งที่เป่ยฉี” เซี่ยฟางหวามีใบหน้าเรียบเฉย


 


 


           “นี่เจ้ารังเกียจพี่ใช่ไหม” เซี่ยอวิ๋นจี้ถลึงตาใส่ทันที


 


 


           “นกแก้วที่เลี้ยงในเรือนหลังนี้ยังว่าง่ายกว่าท่านเสียอีก มันรู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดยามใด ท่านกลับเอาแต่โหวกเหวกโวยวายตั้งแต่ได้พบข้า” เซี่ยฟางหวายกมือไล่เขา


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กระแอมขึ้น ก่อนเอื้อมมือดีดหน้าผากเซี่ยฟางหวา กล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้ามันเด็กใจดำ พี่กลับมามิใช่เพราะเป็นห่วงเจ้าหรือ เจ้ากลับไม่ซาบซึ้งใจ ทั้งรำคาญที่ข้าโวยวาย ย่อมได้ เช่นนั้นข้าไปหาอวิ๋นหลานแล้วกัน เจ้าอย่าคิดถึงข้าล่ะ”


 


 


           “ฝากถ่ายทอดข้อความแทนข้าด้วย” เซี่ยฟางหวาบอก


 


 


           “เมื่อครู่เจ้าส่งจดหมายให้อวิ๋นหลาน ยังมีเรื่องใดมิได้บอกในจดหมายอีก” เซี่ยอวิ๋นจี้ชะงัก


 


 


           “มิใช่บอกพี่อวิ๋นหลาน” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ เมื่อนึกขึ้นได้แล้วลากเสียงยาว “อ้อ เจ้าอยากส่งข้อความบอกฉินเจิงนั่นเอง” พูดจบ เขาก็กล่าวด้วยความเต็มใจยิ่ง “บอกว่าอะไร รีบพูดมาเถอะ ความจริงข้าไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าฉินเจิงเท่าไรนัก หลงระเริงโอ้อวด ยโสโอหังอย่างยิ่ง ยามนี้ต้องเจอกับความทุกข์ยากโดยคนที่โหดร้ายกว่าดังคาด”


 


 


           เซี่ยฟางหวาตวัดตามอง


 


 


           “ข้ามิได้บอกว่าคนโหดร้ายคือเจ้า ข้าหมายถึงฉินอวี้ต่างหาก” เซี่ยอวิ๋นจี้รีบยกมือขึ้น


 


 


           เซี่ยฟางหวาละสายตากลับมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านบอกเขาว่า ที่ผ่านมากลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน ความรักดั่งสายหมอก ขอให้เขาลืมมันไปเถิด วันข้างหน้าเขายังเป็นท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ข้ายังเป็นคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างฝ่ายต่างหาคู่ครองใหม่ได้”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ตกตะลึง


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันหน้ากลับไป กวักมือเรียกซื่อฮว่า “ประคองข้าไปที่เตียง”


 


 


           ซื่อฮว่ารีบเข้ามาประคองเซี่ยฟางหวาขึ้นเตียง ก่อนนำหมอนอิงมารองให้นางเอนกายพิงหัวเตียง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ตะลึงพักหนึ่งก่อนเดินตามมาที่หน้าเตียง มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “บอกแบบนี้จริงหรือ”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “หากข้าพูดแบบนี้ต่อหน้าฉินเจิง เขาจะไม่บันดาลโทสะสังหารข้ารึ” เซี่ยอวิ๋นจี้เกาศีรษะ


 


 


           “ท่านกลัวรึ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้วมอง


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้ยืดอกขึ้นทันที “ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว” พูดจบ เขาก็เดินไปเดินมาหน้าเตียงสองก้าว ก่อนกล่าวขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เจ้าบอกแบบนี้ออกจะใจร้ายไปหน่อยหรือไม่”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบ


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เดินไปเดินมาหน้าเตียงอีกครั้ง “เจ้าฉินเจิงคนนี้แม้ไม่มีข้อดี แต่…”


 


 


           “ท่านจะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไปก็ช่างมันเถอะ” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขัด


 


 


           “ได้ ได้ ข้าไป ไปก็ได้” เซี่ยอวิ๋นจี้หยุดพูดก่อนหันหลังเดินออกไปข้างนอก เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็ทำหน้าสลด “ข้าไปลำน้ำสวินสุ่ยเพราะความใคร่รู้ อยากไปสำรวจดูและเที่ยวเล่นสักครั้ง แต่…เจ้าฝากข้าไปถ่ายทอดข้อความเช่นนี้ก็รู้สึกกดดันขึ้นมา หาก…หากฉินเจิงบันดาลโทสะสังหารข้าขึ้นมาจะทำเช่นไร พี่รับมือเขาไม่ไหวหรอก”


 


 


           “ท่านวางใจเถอะ พี่อวิ๋นหลานก็อยู่ด้วย ไม่ปล่อยให้เขาฆ่าท่านหรอก” เซี่ยฟางหวากล่าว


 


 


           “อวิ๋นหลานร้ายกาจมากหรือ” ขนตาของเซี่ยอวิ๋นจี้ไหวระริก ทันใดนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา “ปกป้องข้าได้จริงหรือ ฉินเจิงมิใช่คู่ต่อสู้เขานี่”


 


 


           “พี่อวิ๋นหลานมิใช่ผู้สืบทอดจวนแหล่งธัญพืช เรื่องนี้ท่านควรรู้ไว้” เซี่ยฟางหวาเห็นเซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้าจึงกล่าวเพิ่มเติม “เขาเป็นทายาทเผ่าภูตผีตัวจริง”


 


 


           เซี่ยอวิ๋นจี้เข้าใจทุกสิ่งทันที “เข้าใจแล้ว เจ้าจะบอกว่าเขาใช้วิชาภูตผีได้ด้วยเช่นกัน” พูดจบ เขาก็ยืดหน้าอกขึ้นทันที “มิน่าเขาถึงไม่กลัวฉินเจิง เอาล่ะ เช่นนั้นข้าไปแล้ว” พูดจบก็กระโดดหายออกไปจากเรือน


 


 


           “มิน่าเขาถึงไม่อยากกลับไปสืบทอดราชบัลลังก์ ตอนนี้ทั้งกายมีแต่ความผ่อนคลาย นึกจะไปก็ไป ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่ถูกกฎเกณฑ์ตีกรอบไว้ น่าอิจฉาโดยแท้” เหยียนเฉินมองเซี่ยอวิ๋นจี้จากไป แม้แต่อาภรณ์บนกายก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนจึงทอดถอนใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


           “สมัยที่ท่านอาจวนโรงเก็บเกลือนำพี่อวิ๋นจี้กลับมายังตระกูลเซี่ย ท่านปู่เคยทอดถอนใจว่าท่านป้ามีนิสัยกระตือรือร้นเป็นทุนเดิม ทว่ากลับต้องยืนหยัดในวังหลวงแห่งเป่ยฉี หลังกำแพงวังเมื่อเข้าไปอยู่แล้วก็ต้องอยู่ตลอดชีวิต แม้มีฐานะสูงศักดิ์มากด้วยเกียรติยศ สุดท้ายก็กลบฝังนิสัยเดิมจนไร้ความสนุกสนาน จึงไม่อยากให้พี่อวิ๋นจี้ต้องเดินตามรอยนาง ถึงแม้เขาเป็นโอรสของฮ่องเต้เป่ยฉีกับท่านป้า แต่ก็อยากให้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็นในภายภาคหน้า” เซี่ยฟางหวากล่าว “พี่อวิ๋นจี้ใช้ชีวิตสบายๆ เช่นนี้ ข้าเองก็อิจฉานัก”


 


 


           “บางคนถึงอิจฉาไปก็มิอาจได้มา” เหยียนเฉินกล่าว


 


 


           “มิผิด อิจฉาไปก็มิอาจได้มา” เซี่ยฟางหวายิ้มแล้วบอกเหยียนเฉิน “เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอก หลายวันนี้คงเหนื่อยมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”


 


 


           เหยียนเฉินพยักหน้า ก่อนออกจากห้องกลับไปที่ห้องตนเอง


 


 


           ซื่อฮว่าเห็นเซี่ยอวิ๋นจี้และเหยียนเฉินทยอยกลับไป นางจึงเดินมาที่หน้าเตียงแล้วถามเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ท่านจะนอนพักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


           “ไม่ต้อง ข้าจะนั่งก่อนสักครู่” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “เช่นนั้นบ่าวจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน” ซื่อฮว่ายกม้านั่งตัวเตี้ยมานั่งข้างเตียง


 


 


           “หลายวันนี้พวกเจ้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอก” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม


 


 


           “ครั้งก่อนท่านทิ้งพวกเราออกไปเพียงลำพัง พวกเราตกใจแทบแย่ คุณหนู ต่อไปท่านอย่าออกไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังเช่นนี้อีกเลยเจ้าค่ะ หากท่านทำแบบนี้อีก แสดงว่าพวกเราแปดคนไร้ประโยชน์ ควรปาดคอไถ่โทษต่อหน้าท่านโหว” ซื่อฮว่าส่ายหน้า


 


 


           “ท่านพี่รู้จักนิสัยข้าดี ไม่ตำหนิพวกเจ้าหรอก ไถ่โทษอันใดกัน หากข้าคิดจะออกไปคนเดียวแล้วใครก็ห้ามข้ามิได้” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ


 


 


           “ถึงแบบนั้นก็มิได้เจ้าค่ะ อันตรายเกินไปแล้ว ถึงแม้พวกบ่าวไร้ประโยชน์ แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็เป็นโล่รับลูกธนูให้ท่านได้” ซื่อฮว่าส่ายหน้า


 


 


            เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าอย่างจนใจทั้งยิ้มขำ “ไม่ต้องให้พวกเจ้าเป็นโล่รับลูกธนูหรอก”


 


 


           “หลายวันก่อน ท่านหญิงอยู่บนกำแพงเมือง พวกผิ่นจู๋สี่คนเพราะปกป้องท่านหญิงได้ไม่ดีพอ แม้ท่านโหวมิได้ลงโทษพวกนาง แต่พวกนางก็ลงโทษตนเองแล้ว ทุกวันนี้ฝึกวิทยายุทธ์เองทุกคืน” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบา


 


 


           “พวกเจ้าแปดคนเดิมมิได้ใช้วิทยายุทธ์เป็นการตัดสินชี้ขาด หากแต่ใช้ความถนัดในแต่ละด้านวิเคราะห์หาจุดแข็งจุดอ่อน วิทยายุทธ์จะปล่อยให้ขึ้นสนิมมิได้ก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกเกินพอดีจนส่งผลในทางกลับกัน ละทิ้งความเชี่ยวชาญดั้งเดิมไป” เซี่ยฟางหวากล่าว “เจ้าไปเถอะ ข้าไม่หนีไปเพียงลำพังแล้ว เจ้าไปบอกพวกผิ่นจู๋ด้วยว่าไม่ต้องเข้มงวดกับตนเองมากเกินไปนัก”


 


 


           ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ท่านรับปากบ่าวแล้ว ถือว่าเป็นสัจจะวาจา อย่าได้ออกไปเพียงลำพังอีกนะเจ้าคะ”


 


 


           “ได้ ข้ารับปากเจ้า” เซี่ยฟางหวายิ้ม “สภาพข้าตอนนี้จะออกไปไหนได้เล่า”


 


 


           ซื่อฮว่าพอใจแล้วก็ลุกขึ้นออกไปจากห้อง พร้อมปิดประตูให้นางแผ่วเบา


 


 


           เมื่อภายในห้องเหลือเซี่ยฟางหวาเพียงลำพัง นางก็ละสายตากลับมา นั่งพิงหัวเตียงอย่างนิ่งสงบ แสงตะวันยามบ่ายแก่ๆ ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง พร้อมด้วยจักจั่นส่งเสียงร้อง


 


 


           นางคิดในใจ ฤดูร้อนมาถึงโดยไม่รู้ตัว


 


 


           ฤดูหนาวปีก่อนนางกลับมาจากม่อเป่ย ยามนี้เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น ทว่ากลับเกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้


 


 


           อีกครึ่งปีให้หลังเกรงว่าจะหนักข้อกว่าเก่า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม