สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย 100.1-100.4
บทที่ 100 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“ยินดีที่ได้พบขอรับ พระชายาอ๋องหนานเหอ!” จางอวิ๋นอี้เดินเข้าไปหาแล้วทำความเคารพ
“อืม!” คนแซ่เจิ้งตอบด้วยท่าทางเย็นชา
ใบหน้าของจางอวิ๋นอี้เผยให้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาหันไปหาฉู่หลิงอวิ้นที่อยู่ด้านข้าง กล่าวทักทายขึ้น “ท่านหญิง!”
ฉู่หลิงอวิ้นปรายตามอง ลุกขึ้นยืนจัดแจงกระโปรงให้เรียบร้อย แล้วพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เวลานี้เย็นมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ ไว้วันหลังข้าจะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่”
“เพิ่งได้คุยกันไม่กี่ประโยคเอง!” ต่อหน้าคนแห่งบ้านสกุลจาง คนแซ่เจิ้งหาได้ไว้หน้าจางอวิ๋นอี้เลยไม่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา
จางอวิ๋นอี้มองเห็นแต่เขาไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา เขาพยายามกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ แล้วยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร
ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มไม่คิดรีรออยู่ต่อ สั่งให้จื่อเหวยลงไปเตรียมตัว
คนแซ่เจิ้งเห็นแก่หน้านางจึงไม่เอ่ยอะไรขึ้นต่อ ก็เลยให้แม่นมกู้คอยช่วยเตรียมของด้วยอีกแรง ส่วนตัวเองก็จูงมือฉู่หลิงอวิ้นแล้วกำชับเรื่องจิปาถะกับนางเล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มจนจบจางอวิ๋นอี้เป็นเพียงของตกแต่ง ราวกับว่าตรงนั้นไม่มีเขาอยู่เลยด้วยซ้ำไป
จางอวิ๋นอี้เป็นลูกชายคนโตของสกุลจาง ทั้งยังถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดแห่งจวนเป่ยติ้งโหวอีกด้วย และเพิ่งเข้าสู่วัยสามสิบได้ไม่นาน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนมีความสามารถมากนัก แต่หากเทียบกับน้องชายของเขาจางอวิ๋นเจี่ยนแล้ว ตัวเขาถือว่าดีกว่าเยอะมาก ถึงแม้เขามีนิสัยเจ้าชู้เหมือนผู้ชายคนอื่น แต่อย่างน้อยเขายังรู้จักแยกแยะ จึงไม่มีชื่อเสียงในด้านไม่ดีให้เป็นที่เล่าลือกัน
คนแซ่เจิ้งคุยกับฉู่หลิงอวิ้นไปได้สองประโยค แม่นมกู้ก็เดินเข้ามาบอกว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ เตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิงอวิ้นอายุน้อยกว่า จึงไม่จำเป็นต้องให้คนแซ่เจิ้งเดินมาส่งนางถึงหน้าประตูด้วยตนเอง นางเดินออกมาจากเรือนพร้อมกับจางอวิ๋นอี้ โดยที่คนหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลัง
ตอนจางอวิ๋นอี้อยู่ในจวนอ๋องหนานเหอ เขาระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงสักนิด
เดินไปได้สองก้าว ก็ได้ยินฉู่หลิงอวิ้นพูดขึ้นว่า “ท่านแม่เป็นคนพูดตรงไปตรงมา นางหาได้มีเจตนาร้ายไม่ ซื่อจื่อ
อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ”
จางอวิ๋นอี้ตกใจ หันหน้ามองขวับ พลันเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มให้
รอยยิ้มของฉู่หลิงอวิ้นเบาบาง แต่ด้วยใบหน้าอันสละสลวยของนางแล้ว ความสุขและความทุกข์บนใบหน้าของนางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหุบนั้นช่างงดงามยิ่งนัก
ราวกับดอกโบตั๋นสีสดใสที่ออกดอกอยู่บนที่สูง ยืนต้นต้อนรับสายลม ภายใต้ความเย่อหยิ่งจองหองนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยนสวยงาม
จางอวิ๋นอี้ยืนมองจนตาค้าง รีบพูดระคนหัวเราะขึ้น “มิบังอาจ! ท่านหญิงก็กล่าวเกินไป!”
ฉู่หลิงอวิ้นหัวเราะ แต่มิได้บ่งบอกอยู่ดีว่าหมายถึงอะไร นางก้าวเท้าเดินหน้าต่อไปด้วยท่วงท่าสง่างาม
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งเดินไปถึงประตูใหญ่ แต่จางอวิ๋นเจี่ยนยังมาไม่ถึง มีเพียงข้ารับใช้เด็กผู้ชายที่ฮูหยินจางสั่งให้คอยดูแลอยู่ข้างกายจางอวิ๋นเจี่ยน วิ่งตรงมาด้วยใบหน้าเหงื่อไหลไคลย้อย ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ซื่อจื่อขอรับ ท่านหญิงขอรับ พวกท่านกรุณารออีกสักประเดี๋ยวนะขอรับ คุณชายรองกำลังโมโหอยู่ เขาไม่ยอมกลับขอรับ!”
จางอวิ๋นอี้สีหน้ามืดมนลง กำลังจะเอ่ยปากก่นด่า แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับหัวเราะขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบ! พวกเจ้าเล่นตามน้ำไปกับเขาหน่อยแล้วกัน โอ๋ให้เขาออกมาให้ได้ก็พอ!”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” ข้ารับใช้เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนั้นตอบ แล้ววิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อน
ไม่ว่าจะเวลาไหนใบหน้าของฉู่หลิงอวิ้นก็นิ่งเฉยไร้อารมณ์
เรื่องของนางกับจางอวิ๋นเจี่ยนในตอนแรกนั้น ขนาดคนในสกุลจางเองก็ไม่มีใครได้รู้รายละเอียดต้นตอของเรื่องนี้สักคน ข้ารับใช้เด็กผู้ชายของจางอวิ๋นเจี่ยนก็ถูกเหยียนหลิงจวินไล่ออกไปแล้ว ภายหลังก็โดนฉู่ฉีเหยียนฆ่าปิดปากอีก จากนั้นจวนอ๋องหนานเหอก็ให้คำตอบเพียงแค่ว่า จางอวิ๋นเจี่ยนดื่มจนเมาแล้วไปลวนลามฉู่หลิงอวิ้นเข้า ทำให้ซูหลินโมโหเกรี้ยวกราดจนพลาดพลั้งลงไม้ลงมือใส่
เดิมทีจางอวิ๋นเจี่ยนเป็นคนไม่เอาไหนอยู่แล้ว มาในวันนี้ก็กลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ ในสายตาของจางอวิ๋นอี้เอง…
ฉู่หลิงอวิ้นก็เป็นเพียงดอกไม้งดงามที่ปักอยู่บนก้อนขี้วัว
ฉู่หลิงอวิ้นออกเรือนได้ไม่ถึงสองวัน ถึงแม้ต่อหน้าสกุลจางจะให้ความเคารพนางเป็นอย่างมาก แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาระมัดระวังทุกอย่างต่างหาก กลัวว่านางโกรธแค้นจางอวิ๋นเจี่ยน แล้วทำอะไรที่เป็นภัยต่อสกุลจางขึ้นมา
แต่ท่าทางและอารมณ์ของนางกลับนิ่งสงบเป็นอย่างมาก ถึงแม้นางจะไม่สนใจไยดีจางอวิ๋นเจี่ยน แต่นางก็ไม่เคยทำเรื่องลามปาม ถือได้ว่ายังเป็นมิตรต่อผู้คนทั้งน้อยและใหญ่ในตระกูลจางอยู่
จางอวิ๋นอี้ถอนหายใจขึ้นในใจ พูดปลอบไปว่า “น้องรองเป็นแบบนี้ คงทำให้ท่านหญิงลำบากใจแย่เลย!”
ฉู่หลิงอวิ้นชายตามองเขาเป็นนัยว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จากนั้นตั้งใจเบี่ยงประเด็นไปว่า “ทำไมซื่อจื่อถึงมาเองแบบนี้เล่าเจ้าคะ มีข้ารับใช้อยู่กับข้าตั้งหลายคน เดี๋ยวไม่นานพวกเราก็กลับไปแล้วแท้ๆ!”
“ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายเยอะ ท่านแม่ไม่วางใจที่ปล่อยให้พวกท่านเดินทางกันโดยลำพัง เลยใช้ให้ข้ามาดูน่ะขอรับ” จางอวิ๋นอี้กล่าว “ข้าเองก็ต้องผ่านมาทางนี้อยู่แล้ว จึงแวะเข้ามา”
“ลำบากซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ” ฉู่หลิงอวิ้นก้มศีรษะเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ จากนั้นเบนสายตากลับไปอีกครั้ง
อารมณ์ช่างเย็นชา แต่ก็เป็นมิตร
จางอวิ๋นอี้แอบรู้สึกว่า…
ไม่แน่พวกเขาอาจจะคิดมากเกินไป ฉู่หลิงอวิ้นแค่ไม่ชอบหน้าจางอวิ๋นเจี่ยนก็เท่านั้น ไม่ได้คิดอยากจะเอาความแค้นในใจมาปลดปล่อยใส่คนอื่นในสกุลจางเสียหน่อย
ฉู่หลิงอวิ้นไม่เอ่ยปากพูดเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ผ่านไปได้สักพัก ข้ารับใช้สองคนก็กึ่งลากกึ่งดึงจางอวิ๋นเจี่ยน ออกมาจากด้านใน
ฉู่หลิงอวิ้นชายตามอง แล้วหันหลังขึ้นรถม้าไปทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
จางอวิ๋นอี้มองแผ่นหลังของนางแล้วหยุดคิดไปชั่วขณะ พลางถอนหายใจขึ้นในใจอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง เขารีบเก็บอารมณ์เอาไว้แล้วเข้าไปช่วยพยุงตัวจางอวิ๋นเจี่ยนขึ้นรถม้าคันที่อยู่ข้างหลังไป
ขบวนผู้คนที่นำด้วยจางอวิ๋นอี้ มุ่งหน้าตรงไปยังจวนติ้งเป่ยโหวอย่างเร่งรีบ
บนรถม้าคันนั้น จื่อเหวยขดตัวอยู่ในมุมมาตลอดทาง นางคอยใช้แววตากังวลและไม่สบายใจแอบมองใบหน้าด้านข้างของฉู่หลิงอวิ้นเรื่อยๆ…
ท่านหญิงของพวกนางเกลียดคนสกุลจางเข้ากระดูกดำ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้แสดงท่าทางกับซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวอย่างเป็นมิตรแบบนั้นเล่า นางต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว แต่ด้วยนิสัยของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่านางคิดจะทำอะไรอยู่ จื่อเหวยก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
จื่อเหวยรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็นชัดมากนัก ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาไม่ให้ฉู่หลิงอวิ้นเห็นสีหน้าของนาง
ฉู่หลิงอวิ้นรินชาใส่ถ้วย พลางเอ่ยถามจื่อซวี่ขึ้นอย่างใจลอย “เรื่องที่ให้ไปสืบมาได้ความอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าค่ะ!” จื่อซวี่พยักหน้าไม่หยุด จากนั้นคลานเข้าไปหา แล้วตอบว่า “ข้าน้อยไปถามมาแล้ว พ่อบ้านบอกว่าเมื่อกลางดึกคืนก่อน หลี่หลินเป็นคนพาตัวผู้หญิงคนหนึ่งออกไป แล้วสั่งว่าพอเช้าแล้วให้รีบขายนางทิ้ง หลังจากนั้นข้าน้อยได้ยินมาอีกว่า มีองครักษ์ของซื่อจื่อคนหนึ่งส่งตัวนางผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในห้องหนังสือ เพื่อถวายตัวให้ซื่อจื่อโดยพลการ จนสุดท้ายทำให้ซื่อจื่อโมโหจนผลักนางออกมา ส่วนองครักษ์ผู้นั้นก็โดนหลี่หลินสังหารไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่หลิงอวิ้นขมวดคิ้ว มือที่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มสั่นเล็กน้อย ทอดสายตามองด้วยแววตามีพิรุธแล้วพูดว่า “เพราะเรื่องแค่นี้รึ?”
“เรื่องเป็นเยี่ยงนั้นเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่กล่าว “ซิ่งเอ๋อร์ข้ารับใช้ของแม่นางชุ่ยเดินผ่านเรือนของซื่อจื่อเห็นเหตุการณ์นั้นเองกับตาเลยเจ้าค่ะ นางตกใจจนล้มป่วย ยังบอกอีกว่าซื่อจื่อโมโหเพราะเรื่องนั้นมากเจ้าค่ะ”
ฉู่ฉีเหยียนผ่านพ้นปีใหม่ก็จะอายุสิบแปดแล้ว ถึงแม้จะกล่าวว่าผู้ชายชนชั้นสูงของแคว้นซีเยว่นั้นมักจะรอให้ถึงอายุยี่สิบก่อนแล้วค่อยแต่งงาน แต่คนแบบฉู่ฉีเหยียนนั้นยากที่จะพบเจอได้นัก แม้เขาจะไม่คิดจะไปหอนางโลมด้วยตัวเอง แต่นี่ยกมาถวายถึงที่ก็ยังถูกผลักไสไล่ส่งออกมาเช่นนี้?
“เขาผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า? แปลกจริงๆ!” ฉู่หลิงอวิ้นกล่าว
ฉู่ฉีเหยียนถึงขั้นโมโหเพียงเพราะหญิงสาวที่ถวายตนเป็นคู่นอนแค่นั้นน่ะหรือ? ไม่ว่าฉู่หลิงอวิ้นจะคิดอย่างไรก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่จื่อซวี่เองพูดอธิบายชัดเจนทุกรายละเอียด นางจึงไม่สงสัยอะไรเพิ่มเติมอีก
เรื่องของฉู่ฉีเหยียนนั้น ข้ารับใช้สองคนไม่กล้ากล่าวซี้ซั้ว เมื่อนางได้ยินคำพูดนั้นต่างก็ก้มหน้าลงต่ำไม่พูดไม่จา
ฉู่หลิงอวิ้นดื่มชาสองคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คิดถึงเรื่องวุ่นวายมากมายรอบตัว แต่ไม่นานก็สลัดความคิดพวกนั้นทิ้งไป
——————————–
บทที่ 100 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (2)
โดย
Ink Stone_Romance
เป็นอย่างที่หลัวฮองเฮาคิดเอาไว้ไม่มีผิด ทั่วป๋าอวิ๋นจีทิ้งเรื่องพิธีกรรมของซูหว่านให้ซูหลินทำ โดยให้เหตุผลว่าต้องเตรียมเก็บของเดินทางออกจากเมืองหลวง
ซูหลินเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ จึงไม่พูดอะไรมากแล้วตอบรับทำธุระชิ้นนี้ไป ก้มหน้าก้มตาทำพิธีศพไปอย่างไม่พูดไม่จา
เพื่อเป็นการแสดงถึงมารยาทที่มีต่อแคว้นโม่เป่ยและสกุลซู ฮ่องเต้เองจึงส่งของขวัญมีค่ามาให้จำนวนมาก
ฮ่องเต้แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว ทุกคนในราชสำนักต่างต้องปรับตัวตามสภาพการณ์ งานพิธีศพของซูหว่านจัดขึ้นอย่างใหญ่โตมากไปด้วยผู้คน แต่เนื่องด้วยหาศพไม่พบ จึงมีเพียงโลงศพว่างเปล่าที่วางไว้อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
ทั่วป๋าอวิ๋นจีทูลขอออกจากเมืองหลวงวันที่สิบ แต่โดนฮ่องเต้ปฏิเสธ บังคับให้นางอยู่ต่อถึงวันที่สิบสามเดือนมกราคม หลังจากเสร็จพิธีฝังศพของซูหว่าน
งานศพของซูหว่านหลายวันนี้ มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างไม่หยุดหย่อน
ทางฮ่องเต้นั้นได้ส่งตัวเย่าสุ่ยมาพร้อมกับราชโองการ ส่วนทางหลัวฮองเฮาเองก็สั่งให้หลัวอวี่ก่วนและนางกำนัลข้างกายนำของขวัญมาส่งให้
ซูหังอ๋องฉางซุ่นไม่อยู่เมืองหลวง ทั้งสกุลซูจึงมีเพียงซูหลินคอยจัดการดูแลอยู่เพียงผู้เดียว
เมื่อหลัวอวี่ก่วนเข้าไป ซูหลินจำเป็นต้องต้อนรับ เพราะนางได้รับพระบรมราชโองการจากหลัวฮองเฮาสั่งให้มา
ทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกันในห้องโถง
นางสนองพระโอษฐ์คนนั้นเป็นผู้แทนพระองค์ถ่ายทอดคำกล่าวของหลัวฮองเฮา กล่าวปลอบใจคนบ้านสกุลซูได้สองประโยค ก็ต้องรีบกลับไปเข้าเฝ้าฮองเฮาต่อ
ในระหว่างที่นางพูดอยู่ หลัวอวี่ก่วนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านข้าง ก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “คนตายมิอาจฟื้นคืนชีพได้ ขอแสดงความเสียใจกับซูซื่อจื่อด้วยนะเจ้าคะ!”
ระหว่างที่พูดนั้นนางก้มหน้าตลอด คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น แต่คนในเหตุการณ์ทั้งสองคนต่างรู้ดี…
นางตั้งใจเลี่ยงไม่สบตากับซูหลิน
ซูหลินปรายตามองนางอยู่หลายครั้ง แต่ไม่กล้าแสดงออกมากไปจนผิดสังเกต
แต่นางสนองพระโอษฐ์คนนั้นไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ พลันหันไปคุยหลัวอวี่ก่วนว่า “คุณหนูหลัวอวี่ก่วน ท่านจะกลับไปจวนกั๋วกงมิใช่รึ? ให้ข้าไปส่งท่านก่อนนะเจ้าคะ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาอีก!”
“ได้!” หลัวอวี่ก่วนรีบขานตอบ ราวกับว่าอยากรีบหนีออกจากที่นี่ให้ได้เสียที
แววตาของซูหลินส่องประกายขึ้น พลางเดินขึ้นหน้าไปคุยกับนางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นอย่างใจเย็น “เจ้ารีบกลับวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮาก่อนเถิด เดี๋ยวข้าเรียกให้คนไปส่งแม่นางหลัวอวี่ก่วนกลับเอง!”
หลัวอวี่ก่วนตกใจ เงยหน้าขึ้นรวดเร็ว มองไปที่เขาอย่างนึกไม่ถึง รีบพูดปัดปฏิเสธขึ้นว่า “ไม่ต้อง ข้า…”
น้ำเสียงนั้นอ่อนแรง เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นใจ
ซูหลินราวกับยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มปรายตามองนางหนึ่งที
หลัวอวี่ก่วนสะดุ้งตกใจ แล้วค่อยก้มหน้าก้มตาลงอย่างอึดอัดอีกครั้ง
นางสนองพระโอษฐ์ผู้นั้นอุตส่าห์ได้ออกจากวังมาทั้งที ก็อยากหาเวลาปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวบ้าง แต่กลับไม่ได้อย่างที่หวัง เมื่อเห็นว่าหลัวอวี่ก่วนไม่แสดงท่าทีคัดค้าน นางจึงยิ้มแล้วพูดกล่าวขอบคุณกับซูหลินว่า “หากเป็นเยี่ยงนั้นก็ขอรบกวนซูซื่อจื่อด้วยนะเจ้าคะ!”
ซูหลินพยักศีรษะเล็กน้อย แล้วเรียกพ่อบ้านให้ออกไปส่งนาง
ส่วนท่าทางของหลัวอวี่ก่วนเห็นได้ชัดว่ากระวนกระวายใจมากแค่ไหน นางไม่กล้าแม้แต่จะสบตามองซูหลินตรงๆ ด้วยซ้ำ
ซูหลินมองนาง แล้วพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินนำออกไปด้านนอก
หลัวอวี่ก่วนเงยหน้ามองแผ่นหลังของเขาอย่างร้อนรนใจ ลังเลอยู่ชั่วขณะ ถึงค่อยกัดฟันยอมเดินตามไป
ซูหลินเดินนำอยู่เบื้องหน้า ฝีเท้าของเขาปกติดีไม่เร็วไปไม่ช้าไป
หลัวอวี่ก่วนก้มหน้าเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่มั่นใจ เดินอ้อมระเบียงทางเดินจากนั้นเดินทะลุสวนดอกไม้ไป ยิ่งนางเดินไปก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ นางหยุดฝีเท้าลงแล้วหันมองไปรอบทิศ จู่ๆ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นางไหวตัวทันแล้วพูดขึ้น “นี่มัน…นี่มันไม่ใช่ทางออกจากจวนนี่”
ซูหลินหันหลัง
หลัวอวี่ก่วนรู้สึกตัวได้แล้วจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แต่เขากลับเดินเข้ามาหา แล้วยิ้มพูดขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “แล้วใครบอกเจ้าล่ะว่านี่เป็นทางออกจากจวน?”
ใบหน้าของหลัวอวี่ก่วนซีดขาว หันหลังจะวิ่งหนี แต่กลับโดนซูหลินคว้าข้อมือเอาไว้ แล้วดึงตัวนางกลับมา
หลัวอวี่ก่วนกระวนกระวายใจ พยายามปัดมือของเขาออกพลางมองไปรอบทิศอย่างร้อนใจ “ซื่อจื่อปล่อยมือข้านะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น…”
“กลัวอะไรเล่า? ที่นี่คือจวนซูนะ แค่ข้าบอกว่าพวกมันมองไม่เห็น พวกมันก็มองไม่เห็นแล้ว!” ซูหลินกล่าว พลางออกแรงดึงตัวนางเข้ามาใกล้อีก
หลัวอวี่ก่วนเซไปมา จึงชนหน้าอกของเขาอย่างจัง จากนั้นรีบยกมือขึ้นผลักเขาออก ไม่รู้ว่าเพราะอับอายหรือโมโหกันแน่ หน้าของนางแดงก่ำน้ำตาคลอเบ้า
อย่างไรก็ตามเรี่ยวแรงของนางมีขีดจำกัด ทำอะไรซูหลินไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
พยายามอย่างไรก็ไม่เห็นผล หลัวอวี่ก่วนยิ่งร้อนรน เงยหน้ามองเขาแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ พวกเราตกลงกันแล้วนี่ว่าหลังจากนี้จะต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่มย่ามกับอีกฝ่าย ท่านปล่อยข้าก่อน หากมีคนมาเห็นเข้าจะไม่ดี!”
“ที่แท้เจ้าก็ยังจำได้อยู่นี่!” เมื่อซูหลินได้ยินดังนั้น เขายิ้มออกมาอย่างสบายใจ เขามีเรื่องอยากจะพูดอีก แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนาง เขาก็ใจอ่อน เลยลากนางเข้าไปในห้องนอนสำหรับแขกที่อยู่ด้านข้าง
หลัวอวี่ก่วนโดนเขาลากไปจนเดินเซ เมื่อเข้ามาในห้อง ตรงหน้ามีแต่ความมืด นางรู้สึกกลัว กำลังจะหันหลังผลักประตูออกไป
แต่ซูหลินไวกว่า เขายกมือปิดประตูบานนั้นลง
หลัวอวี่ก่วนตัวสั่น ผลักมือของเขาออกอย่างสะเปะสะปะ พลางพูดขอร้องว่า “ไม่เอานะเจ้าคะ พวกเราตกลงกันแล้วนี่ ซูซื่อจื่อ ท่านรับปากข้าแล้วนี่”
“ทำไม? แค่นี้ก็แปรพักตร์ทำเหมือนคนไม่รู้จักแล้วรึ?” ซูหลินหยุดลง จู่ๆ ในแววตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเย็นชา เขาใช้มือบีบคางของนางแล้วค่อยๆ เพิ่มความแรงขึ้น
“ข้าไม่ได้…” หลัวอวี่ก่วนตอบเสียงสั่น เจ็บปวดจนน้ำตาไหลรินออกมา
“เจ้าไม่ได้อะไร?” ซูหลินพูดพลางส่งสายตามองนางอย่างกดดัน “ดูท่าเจ้าคงคิดจะหลอกใช้ข้าเสร็จ แล้วจะถีบหัวส่งข้าสินะ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีโอกาสนั้นรึ?”
ภายใต้แววตาประชดประชันของเขาแฝงให้เห็นถึงความเย็นชาชัดเจน
หลัวอวี่ก่วนเบิกตาโพลงพูดไม่ออก ริมฝีปากของนางขยับหลายครั้ง สุดท้ายทำได้เพียงพูดพึมพำซ้ำคำเดิมขึ้นว่า “ท่านรับปากข้าแล้ว…”
“แล้วถ้าตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วล่ะ?” ซูหลินไม่รอให้นางพูดจบ เขาพูดชิงตัดหน้าขึ้นก่อน ใช้มืออีกข้างโอบเอวนางไว้แล้วดึงชิดเข้าหาตัว ก้มศีรษะลงกระซิบข้างหูเสียงเบาว่า “ความรู้สึกเมื่อคืนวานนั้นไม่แย่เลยทีเดียวนะ ทำให้คนโหยหาซะเหลือเกิน อยากลิ้มรสมันอีกครั้งไหมล่ะ?”
ร่างกายของหลัวอวี่ก่วนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความอับอาย
นางเงยหน้ามองซูหลินอย่างตกใจ
นิ้วมือของซูหลินกดอยู่บนคางของนาง จากนั้นค่อยๆ ลูบเข้าในคอเสื้ออย่างไม่เอ่ยคำพูดใดขึ้น ประกายไฟลุกโชนขึ้นในแววตาของเขา เขาไม่ได้พูดล้อเล่น
หลัวอวี่ก่วนยังไม่ทันตั้งตัวก็โดนเขาอุ้มขึ้น แล้วตรงดิ่งไปยังเตียงที่อยู่ด้านใน
ซูหลินวางนางลงบนเตียง แล้วรีบเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางออก
เมื่อหลัวอวี่ก่วนรู้สึกตัวได้ ก็พยายามต่อต้านขัดขืนรุนแรง ใช้มือปิดคอเสื้อเอาไว้แน่น น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า
นางทั้งเตะทั้งดิ้นอย่างแรง ตกใจสะบัดแขนขึ้นจนเล็บขูดคอของซูหลินเป็นแผลยาวจนเลือดออก
ซูหลินตกใจจนชะงักลง เขาหยุดนิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองไปที่นางอย่างโหดเหี้ยม
หลัวอวี่ก่วนรีบเก็บเสื้อผ้าแล้วเขยิบไปด้านในสุดของเตียงด้วยสายตาหวาดกลัว
ซูหลินมองนางอย่างเย็นชา พูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ที่เจ้าทำไปก็เพื่อหลอกใช้งานข้าเองงั้นหรือ? แล้วเจ้าคิดว่าเรื่องจะจบลงง่ายๆ หรือไง? คิดจะทรยศตอนนี้มันเร็วไปหน่อยหรือเปล่า? หากข้าต้องการฆ่าปิดปากคนจริง ตอนนี้ข้าก็ทำได้”
หลัวอวี่ก่วนกัดริมฝีปากล่าง เผชิญหน้ากับการข่มขู่ที่โหดเหี้ยมของเขา จู่ๆ นางก็ยิ้มออกมาอย่างเศร้าโศกเสียใจ
“หากซูซื่อจื่อคิดเปลี่ยนใจ ก็ลงมือฆ่าข้าเสียเถิด!” หลัวอวี่ก่วนกล่าว เช็ดน้ำตาอย่างแรง แล้วหยิบเสื้อผ้าคลานลงไปที่ข้างเตียง
ซูหลินเห็นนางสภาพเยี่ยงนี้เข้าก็ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเอื้อมมือออกไปจับข้อมือของนางไว้
หลัวอวี่ก่วนพยายามสะบัดออก แต่สุดท้ายก็ดิ้นไม่หลุดและล้มกลับไปบนเตียงอีกครั้งอย่างยอมแพ้
ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันภายใต้ความเงียบ
“ซื่อจื่อ ทำแบบนี้ท่านเคยคิดถึงข้าบ้างไหม?” เวลาผ่านไปนานนัก หลัวอวี่ก่วนถึงได้เอ่ยปากเยาะเย้ยตัวเองขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยแววตาเสียใจ “ข้าน่ะกลัวตายจริงๆ แต่การร่วมมือกับคนอื่นไปโดยที่รู้ว่าเรื่องนั้นจะไม่สำเร็จ ในอนาคตข้างหน้าหากความลับถูกเปิดเผยขึ้นมา อย่างไรข้าก็ต้องตายอยู่ดี อีกทั้งยังต้องแบกรับชื่อเสียงเลวทรามที่กระทำลงไปด้วย ในเมื่อผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน ทำไมข้าต้องลำบากเสี่ยงตัวเองไปเพื่อการนั้นด้วยเล่า?”
ซูหลินตกใจ เขาคิดไม่ถึง อ้าปากขึ้นจะพูดหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำใดออกมา
หลัวอวี่ก่วนเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จา จึงหัวเราะขึ้นอย่างสลดใจ ยกมือขึ้นแกะนิ้วของเขาออก พูดดูถูกตัวเองอีกว่า “หากท่านคิดแบบนั้น งั้นท่านก็คิดเสียว่าที่ข้าหลอกใช้งานท่านไป เพียงเพราะแค่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็เท่านั้น ข้าจะกลับแล้ว ข้าเสียเวลามานานแล้วท่านแม่คงเป็นห่วงแย่”
นางเอ่ยพลางคลำหาทางลงจากเตียง
—————————–
บทที่ 100 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ซูหลินหันกลับไปมอง ยื่นมือผลักนางกลับเข้าไป พลิกตัวขึ้นคร่อมกดร่างนางเอาไว้ แล้วเอ่ยถามเสียงแหบกร้าวว่า “เจ้าบอกสิว่าวันนั้น เจ้าทำไปไม่ใช่แค่เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ?”
หลัวอวี่ก่วนประชดใส่เขา นางเบือนหน้าหนี กัดฟันไม่เอ่ยคำใด
ซูหลินมองไปยังใบหน้าสละสลวยที่แฝงไปด้วยความโกรธของนาง แล้วค่อยๆ ก้มลงดมกลิ่นหอมที่เหมือนจะมีแต่ก็ไม่มีที่ขมับ กดตัวนางเอาไว้ไม่ปล่อย กลืนน้ำลายลงสองอึกแล้วกระทำกับนางอย่างรุนแรง ลบล้างความผิดที่หลงเหลือบนตัวนางออกไปจนหมด
หลัวอวี่ก่วนพยายามขัดขืนอยู่สองครั้งแต่กลับไม่เป็นผล ภายหลังโดนเขายั่วยวนเข้าหน่อยก็เคลิ้มจนหายใจระรัว ทั้งสองคนกอดรัดกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
พลิกตัวไปมาอยู่สักพักใหญ่ ซูหลินพลิกตัวนอนหงาย แล้วหอบหายใจแรงอย่างมีความสุข
แต่ทว่าหลัวอวี่ก่วนยังคงโมโหอยู่ นางดึงผ้าห่มห่อร่างกายของตนเอาไว้ แล้วคลานไปหยิบเสื้อผ้าที่ข้างเตียง
ซูหลินมองอย่างเอื่อยเฉื่อย สายตาหันไปเห็นแผ่นหลังขาวผ่องและทรวดทรงองค์เอวของนางเข้า ลำคอของเขาแน่นตึงขึ้น พลันเอื้อมแขนไปโอบนางมาให้นั่งอยู่บนตัวของเขา
หลัวอวี่ก่วนยื่นมือดันหน้าอกของเขาอย่างกระอักกระอ่วน พูดขึ้นด้วยใบหน้าเขินอาย “ข้าต้องไปแล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้ท่านแม่จะสงสัยเอาได้!”
นางก้มตามองต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
ไม่รู้เพราะว่าอะไร ทุกครั้งที่ซูหลินเห็นนางเป็นแบบนี้ เขามักจะรู้สึกสบายใจเสมอ เขาเคลื่อนมือไปบนร่างกายของนางหวังจะกระตุ้นอารมณ์นางอีกครั้ง
หลัวอวี่ก่วนร้องเสียงเบา แล้วรีบถอยหนี
เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ซูหลินก็ไม่กล้าทำจนเลยเถิด แต่เขายังคงโอบนางไว้ไม่ยอมปล่อย หัวเราะกระซิบข้างหูนางเสียงแหบว่า “งั้นครั้งหน้าเราเจอกันเมื่อไรดี?”
หลัวอวี่ก่วนทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่เอ่ยตอบ พลางผลักตัวเขาออก แล้วลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า
ซูหลินนอนมองนางอยู่บนเตียง ริมฝีปากยังคงเผยให้เห็นรอยยิ้มสบายอารมณ์
หลัวอวี่ก่วนจัดแจงใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กำลังจะออกไปนั้น จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นออก นางหยุดฝีเท้าลงอย่างลังเล แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อจื่อ…”
“หืม?” ซูหลินตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ราวกับว่าหลัวอวี่ก่วนมีเรื่องที่ยากจะเอ่ยปากออกมา นางเงียบไปชั่วขณะแล้วกัดฟันพูดมันออกมาว่า “ข้าว่า…เราทำเหมือนตามที่ตกลงกันไว้เถอะ วันหลังพวกเราอย่าเจอกันอีกเลย!”
เมื่อซูหลินได้ยินดังนั้น รอยยิ้มนั้นก็นิ่งหยุดลงในทันที ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พยายามเอื้อมมือดึงนางกลับมา เดิมทีเขาอยากจะระเบิดอารมณ์ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองหน้านาง ก็เห็นน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาเมื่อใด
“ซื่อจื่อ…” หลัวอวี่ก่วนมองเขา น้ำตาไหลริน กลั้นอย่างไรก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ “ท่านมีภรรยาแล้ว พวกเราทำแบบนี้กันต่อไปได้เยี่ยงไร? หากฮองเฮากับท่านแม่รู้เรื่องนี้ล่ะก็ พวกเขาต้องสั่งประหารข้าแน่! คนอย่างท่านหาผู้หญิงแบบไหนก็หาได้ ท่านทำเป็นเหมือนไม่เคยพบเจอข้าเถิด ปล่อยข้าไปนะเจ้าคะ!”
เรื่องแบบนี้สำหรับผู้ชายแล้ว ก็แค่ได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าชู้ แต่สำหรับผู้หญิงนั้น…
โดยเฉพาะคนอย่างหลัวอวี่ก่วน ที่เป็นถึงลูกสาวสุดที่รักของตระกูลสูงศักดิ์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นางต้องตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างหลัวฮองเฮาเองก็เป็นคนที่ไม่ให้อภัยกับเรื่องไม่เป็นธรรมเยี่ยงนี้แน่นอน!
นางร้องไห้ฟูมฟาย ซูหลินมองแล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
มันก็แค่ความรักระหว่างชายหญิง ว่าตามหลักเหตุผลแล้ว หากต้องการตัดขาดก็ตัดขาดได้ ซูหลินเองก็เกือบจะตอบตกลงแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สุดท้ายเขายังคงลังเลอยู่ ราวกับว่าเขานั้น…
รู้สึกตัดขาดไม่ลง
เขาชอบผู้หญิงสูงส่งสง่างามไร้ที่ติอย่างฉู่หลิงอวิ้น แต่หลายปีมานี้ก็มีนางในหลายคนมาคลอเคลียเขาไม่น้อย ถึงแม้หน้าตาของหลัวอวี่ก่วนจะไม่นับว่าแย่ ด้วยใบหน้านั้นเองก็ไม่ถึงขั้นทำให้เขาลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแบบนั้น
เรื่องเมื่อคืนวันนั้น ตอนนั้นเขาเหลิงดีใจจนเสียสติ ภายหลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาคิดออกหมดแล้ว…
คุณหนูแห่งจวนกั๋วกงอย่างหลัวอวี่ก่วนกลับถวายร่างกายให้เขาในสถานการณ์แบบนั้น นางทำแบบนั้นไปก็เพราะมีแผนการอื่นแอบแฝงแน่นอน
นางต้องการรักษาชีวิตตนเองไว้ แต่เขา…
เขาเองก็ต้องการใช้นางเป็นพยานเพื่อบอกหลัวฮองเฮา เพื่อล้างมลทินเรื่องเหตุผลการตายของซูหว่านเช่นกัน
ต่างฝ่ายต่างหลอกใช้กันก็เท่านั้น!
เดิมทีมันเป็นแค่ข้อตกลง ทั้งเจ้าทั้งข้าต่างสมยอม เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นลืมเลือนไปก็จบสิ้นแล้ว
ก่อนหน้านี้ซูหลินเองก็คิดเยี่ยงนั้น
แต่วันรุ่งขึ้นเมื่อเขาเห็นหลัวอวี่ก่วนเข้า ท่าทางปลอมเปลือกที่ทำเป็นสงบนิ่งรู้สึกผิดเยี่ยงนั้น กลับสะกิดให้เขานึกถึงความทรงจำเมื่อคืนนั้นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
หลัวอวี่ก่วนเป็นบุตรสาวสุดที่รักของตระกูลสูงศักดิ์ ลีลาบนเตียงย่อมสู้ผู้หญิงจากหอนางโลมและพวกสาวใช้ที่เข้ามาให้ท่าเขาหวังไต่เต้าไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่เพราะความอ่อนแอและอ่อนหวานในตัวของนางเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
ไม่จู่โจมมากเกินไป แต่ทว่าสวยงามอ่อนช้อยราวกับนกตัวน้อยที่คอยพึ่งพามนุษย์ตัวใหญ่
ที่ผ่านมาเวลาเขาอยู่ต่อหน้าฉู่หลิงอวิ้น ก็ทำได้เพียงแหงนมองทำตามสิ่งที่นางต้องการเท่านั้น เกียรติแห่งความเป็นลูกผู้ชายและความภาคภูมิใจของตนโดนนางเหยียบย่ำดูหมิ่นอยู่บ่อยครั้ง เขาอดทนมานานมากพอแล้ว และในวันนี้หลัวอวี่ก่วนอยู่ที่นี่ กลับทำให้เขาหาความรู้สึกพึงพอใจนั้นเจอ
ต้องบอกว่า หลัวอวี่ก่วนนั้นได้ขโมยหัวใจของเขาไปแล้ว
ไม่ว่านางจะทำไปเพียงเพราะต้องการแก้แค้นผู้หญิงอย่างฉู่หลิงอวิ้นที่ไม่รู้ดีชั่วคนนั้น ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ปล่อยนางไปไม่ลงอยู่ดี
ซูหลินนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ยกมือเช็ดน้ำตาให้นาง ขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ร้องไห้ทำไม? ข้าทำร้ายเจ้าไม่ลงหรอก!”
“แล้วท่านจะทำอย่างไร?” หลัวอวี่ก่วนกล่าว สีหน้าหวาดกลัวเสียใจ “ท่านจะรับข้าเป็นอนุภรรยางั้นรึ? ถึงแม้ข้าจะไม่ถือสา แต่ท่านคิดว่าฮองเฮาและคนของจวนกั๋วกงจะยอมรับหรือเยี่ยงไร? ถึงเวลานั้นไม่ใช่แค่ข้า ซื่อจื่อเองก็จะกลายเป็นที่นินทาของผู้คน โดนประณามเอาได้นะเจ้าคะ”
บุตรสาวแห่งตระกูลสูงศักดิ์ ออกเรือนไปแล้วกลับลำบากยิ่งกว่าเดิม ไม่มีผู้ใดยอมให้เกิดเรื่องดูแคลนขายขี้หน้าแบบนี้ขึ้นเป็นแน่
จู่ๆ ซูหลินก็โมโหหัวร้อนขึ้นเพราะคำว่า ‘อนุภรรยา’ นี้ แต่เมื่อคิดถึงว่ามีคนวางแผนเล่นงานเขา จนถึงขั้นยกผู้หญิงเข้ามาถวายถึงที่แล้ว เขาก็ยับยั้งความโกรธนั้นไว้ได้
เขาหัวร่อขึ้นอย่างเย็นชา ถอดเสื้อคลุมออก แล้วพูดขึ้นเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้าเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ ชายาของข้าตอนนี้ก็หาใช่เป็นคนที่ข้ารักไม่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่ภรรยาในนามเท่านั้น หากเจ้ายินยอม ช้าเร็วอย่างไรข้าจะให้นางหลีกทางให้เจ้า!”
เมื่อหลัวอวี่ก่วนได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความตกใจ มองไปยังเขาอย่างตกตะลึง “ซื่อจื่อ…”
ซูหลินหันมองนาง ถามกลับว่า “ทำไม? เจ้าไม่เชื่อข้างั้นรึ?”
ถึงแม้จะไม่มีหลัวอวี่ก่วนอยู่ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉู่หลิงอวิ้นทำตัวขวางหน้าขวางตาเขานานอยู่แล้ว
ทำไมหลัวอวี่ก่วนจะไม่เข้าใจจุดนี้? แต่เพราะว่าเข้าใจดีต่างหาก นางถึงได้พยายามหลอกใช้ซูหลินด้วยวิธีนี้อย่างสุดฝีมือ
เดิมทีที่นางให้ท่าซูหลินนั้นเพราะแผนการล้วนๆ แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เวลานี้นางเองก็ไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์ยังจะคาดหวังอย่างอื่นอะไรได้อีก? ทำได้แต่เพียงจับต้นไม้ใหญ่อย่างซูหลินเอาไว้ให้แน่นอย่าปล่อยมือเท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้นนางถึงได้ทำเป็นปฏิเสธไปเช่นนั้นไงเล่า แสดงสิ่งที่เขาต้องการเห็นออกไป ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งของชายาเอกของซื่อจื่อแห่งอ๋องฉางซุ่นก็ไม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ตัวซูหลินเองก็เป็นคนรูปหล่องดงาม ควรแค่แก่การให้นางลงมือ
ในเมื่อได้รับการปลอบโยนจากซูหลินแล้ว เวลานี้นางเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธอีก นางยิ้มเล็กน้อยแล้วซุกเข้ากอดเขาราวกับเป็นนกตัวเล็กๆ พูดเสียงเบาว่า “ข้ารอได้เจ้าค่ะ แต่ข้าแค่ไม่อยากทำให้ซื่อจื่อลำบากใจ!”
ในขณะเดียวกันนั้นเองในใจของนางกลับดีใจโลดแล่น คิดหาวิธีว่าจะกำจัดฉู่หลิงอวิ้นอย่างไรไม่ให้กระโตกกระตากเกินไป
ในเมื่อตำแหน่งฐานะของฉู่หลิงอวิ้นเองก็พิเศษกว่าปกติ นางเป็นถึงท่านหญิงแห่งจวนอ๋องหนานเหอ ไม่ได้คิดที่จะอยากโค่นล้มลงได้ง่ายๆ หากจัดการไม่ดีก็อาจจะผิดใจกับจวนอ๋องหนานเข้า ไม่แน่เรื่องราวอาจจะแย่ถึงขนาดเสียชีวิตเลยทีเดียว
เรื่องนี้ต้องใช้วิธีที่สมบูรณ์แบบ ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์เท่านั้น!
หลัวอวี่ก่วนจะรีบกลับไปยังจวนหลัวกั๋วกง ที่จวนเองก็มีแขกผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยือนตลอดเวลา ซูหลินปลีกตัวออกมานานมากเกินไปก็ไม่ได้ ทั้งสองคนรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับไปด้านหน้า
ซูหลินสั่งการข้ารับใช้คนสนิทให้ไปเตรียมรถส่งหลัวอวี่ก่วนกลับจวน ส่วนตนก็เดินไปยังห้องโถงต้อนรับแขกต่อ
—————————————————
บทที่ 100 สมรู้ร่วมคิดกันทำความผิด (4)
โดย
Ink Stone_Romance
วันนั้นตอนบ่ายที่ฝังศพซูหว่าน ทั่วป๋าอวิ๋นจีก็ได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาเพื่อกล่าวคำอำลา แล้วพากำลังคนที่ทั่วป๋าไหวอันทิ้งไว้เดินทางออกจากเมืองหลวงกลับไปยังแคว้นโม่เป่ย
นางอยากกลับบ้านเกิดใจจะขาด นางเป็นแค่หญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ไม่มีค่าให้พูดถึงแม้แต่น้อย แม้ฮ่องเต้จะไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้รั้งนางไว้นาน ปล่อยตัวให้กลับไปได้ทันที
หลังเที่ยงวันฉู่อี้อันและฉู่อี้หมินกำลังช่วยกันเลือกรายชื่อคนที่จะมาแทนที่ผู้บัญชาการทหารแห่งเมืองฉู่อยู่ ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางเข้าเฝ้าเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษาพูดคุยรายละเอียดเบื้องลึกกันที่ห้องทรงอักษรกันตามลำพัง
ในเรื่องนี้ทั้งฉู่อี้อันและฉู่อี้หมินเองก็หาได้ยอมให้อีกฝ่ายไม่ รายชื่อที่เสนอขึ้นไปต่างก็เป็นคนของฝั่งตนทั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตน ปรึกษากันเกือบจะสองชั่วยาม[1]ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที
ตกเย็น ฮ่องเต้เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เขาโบกมือขึ้นแล้วพูดว่า “พอเถอะ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้เช้าตอนที่หารือข้อราชการกันอีกครั้ง วันนี้ดึกแล้ว พวกเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบ ด้านนอกก็มีเสียงกราบทูลดังฟังชัดลอยเข้ามา “มีสาสน์…สาสน์ลับจากแคว้นโม่เป่ย เชิญฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองพะยะค่ะ!”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้น แล้วบ่นพึมพำ
สายสืบด้านนอกไม่ได้ยินเสียงขานรับจึงพูดขึ้นอีกครั้ง
ฉุ่อี้อันเห็นดังนั้น จึงพูดกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อ มีสาสน์ลับจากแคว้นโม่เป่ย ให้นำถวายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม!” ฮ่องเต้เพิ่งได้สติ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “นำเข้ามาเถิด!”
“เย่าสุ่ย นำสาสน์เข้ามา!” หลี่รุ่ยเสียงตะโกนออกไปสั่งการด้านนอก ไม่นานนักเย่าสุ่ยก็ใช้สองมือประคองถือนำจดหมายที่ปิดผนึกไว้ด้วยขี้ผึ้งวิ่งเข้ามาด้านใน ยื่นถวายให้แก่ฮ่องเต้บนโต๊ะทรงอักษร
ฮ่องเต้สั่งให้เขาออกไป แล้วเปิดจดหมายผนึกขี้ผึ้งออกแล้วอ่านเนื้อความด้านใน เมื่ออ่านจบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกสั่น สายตาจดจ้องไปยังจดหมายฉบับนั้นอย่างไม่ลดละ จ้องเขม็งจนราวกับจดหมายฉบับนั้นไหม้ทะลุเป็นรู
สีหน้าอารมณ์ของเขาเย็นชาไม่พอใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นคลอน
“ฝ่าบาท?” หลี่รุ่ยเสียงกลั้นหายใจ เอ่ยเสียงถามว่า “ฝ่าบาทเป็นอะไรไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ขยำจดหมายลับฉบับนั้นในมือ รูม่านตาที่มืดมิดนั้นหดลงเป็นเส้นเดียว ข้างในนั้นมีประกายไฟค่อยๆ ลุกไหม้ ไม่นานนักเปลวเพลิงก็ลุกลามโหมกระหน่ำไปทั่วทิศ!
“ได้ ได้!” เขากัดฟันกรอด น้ำเสียงของเขาเบากว่าเมื่อกี้ลิบลับ แต่ครั้งนี้กลับแฝงไปด้วยอารมณ์โกรธโมโหอยู่ภายใน
ส่วนฉู่อี้อันและคนที่เหลืออยู่ต่างก็ยืนนิ่งตกตะลึงสีหน้าและอารมณ์ที่ยากจะเดาของเขา ในเวลานั้นไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดคำใดขึ้น เพียงแต่มองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง
“เจ้าทั่วป๋าไหวอันนี่มัน!” ฮ่องเต้อดทนมานาน ในที่สุดก็ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างทนไม่ไหว เขาขยำสาสน์ลับในมือแล้วโยนลงบนโต๊ะ ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นแล้วกล่าวว่า “คิดจะใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ[2]มาเล่นงานข้างั้นรึ น่าโมโหชะมัด!
ผู้คนตรงนั้นต่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
สิบห้านาทีหลังจากนั้น ฮ่องเต้บันดาลโทสะ พลางชี้นิ้วออกไปทางด้านนอกวัง ตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “สั่งการลงไปให้จับตัวทั่วป๋าอวิ๋นจีกลับเมืองหลวงบัดเดี๋ยวนี้ หากนางขัดขืน ให้สังหารได้เลย!”
สาสน์ลับจากราชสำนักโม่เป่ยกล่าวว่า ทั่วป๋าไหวอันมาถึงแคว้นโม่เป่ยตั้งแต่หกวันก่อนแล้ว และยังติดต่อกับชนเผ่าตรงชายแดนเฉ่าหยวนที่ยอมอยู่ใต้อำนาจโม่เป่ยอย่างลับๆ ด้วย เพราะกำลังคนของเขาลงมือเร็วมาก จึงฮุบทั้งราชสำนักมาได้ ในขณะเดียวกันนั้นเองยังสั่งกักบริเวณพระชายาอ๋องโม่เป่ยโทษฐานลอบทำร้ายซื่อจื่อ และยังสั่งฆ่าทหารจำนวนหนึ่งหมื่นนายที่พระชายาอ๋องโม่เป่ยซื้อตัวไว้อีกด้วย
สถานการณ์ชายแดนโม่เป่ยเฉ่าหยวนนั้นแสนสาหัสนัก เดิมทีประชากรก็น้อยอยู่แล้ว การสังหารหมู่ที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบสามร้อยปีที่แคว้นโม่เป่ยได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมากเลย
เดิมทีการตายของซื่อจื่ออ๋องโม่เป่ย และท่าทีอยากกระหายในการลอบทำร้ายขององค์ชายที่เหลือก็ทำให้เขาตกใจอยู่แล้ว ภายในเวลาค่ำคืนเดียวสิ่งที่ฮ่องเต้กังวลมากที่สุดก็ได้เกิดขึ้นโดยที่หยุดยังไงก็หยุดไม่ได้แล้ว…
ถึงแม้อ๋องยังมีชีวิตอยู่ แต่อำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดกลับตกอยู่ในมือของทั่วป๋าไหวอัน
เขาจะไม่โกรธได้เยี่ยงไร? จะไม่โมโหได้เยี่ยงไร?
เรื่องมันดำเนินไปถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้แล้ว!
เมื่อหลี่รุ่ยเสียงได้รับคำสั่ง จึงออกไปประกาศต่ออย่างไม่รอช้า จู่ๆ บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรก็วังเวงขึ้นฉับพลัน จิตใจของแต่ละคนตื่นตระหนก แต่ก็ยังเยือกเย็นสงบนิ่งอยู่
เมื่อควบคุมอารมณ์ให้คงที่ได้แล้วนั้น ฉู่อี้หมินก็ได้เอ่ยปากขึ้นถามอย่างสงสัยเป็นคนแรก “นี่มันเป็นไปได้ยังไง? เมื่อหกวันก่อนตอนนั้น เขาเพิ่งออกเดินทางจากเมืองหลวงไปไม่กี่วันเอง ทำไมถึงได้…”
พูดไปได้ครึ่งประโยค จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ ใบหน้าของเขาหยุดชะงัดปิดปากสนิทลงทันที
ใช่แล้ว ทั่วป๋าไหวอันไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่มีทางกางปีกแล้วบินกลับไปได้ การที่มีข่าวส่งมาว่าเขาควบคุมอำนาจของราชสำนักโม่เป่ยได้ไวขนาดนั้น ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
เขาไม่ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงในวันแต่งงาน แต่หนีกลับโม่เป่ยออกไปก่อนตั้งนานแล้วต่างหาก
หากเขาออกเดินทางในวันนั้นจริง การที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีบอกว่าตนไม่รู้รายละเอียดเบื้องลึก แต่นางให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ นั่นก็หมายความว่าเขาออกเดินทางไปก่อนหน้านั้นตั้งห้าหกวันแล้ว เวลานานขนาดนี้…
ผู้หญิงอย่างทั่วป๋าอวิ๋นจีเป็นไส้ศึกให้เขา หลอกล่อปั่นหัวฮ่องเต้เข้าให้แล้ว!
การที่ฮ่องเต้โมโหก็สมควรแล้ว!
บรรยากาศภายในพระราชวังเต็มไปด้วยความเงียบงัน รวมถึงฉู่อี้อันและคนอื่นที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็เงียบเสียงกลั้นหายใจ ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องสะกิดประเด็นนั้นขึ้น
—————————————————
ช่วงเวลากลางคืนท้องฟ้ามืดสนิท ทั้งตัวเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว
“ประมาทเลินเล่อจนเกิดเหตุร้ายเยี่ยงนี้ การที่ฝ่าบาทวางแผนแบบนั้น คงคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกอยู่ในการควบคุมของตนสินะ แต่ดูท่าครั้งนี้คงทำให้เขาโกรธโมโหใหญ่แล้วล่ะ” ทางแยกด้านนอกประตูวังทางทิศใต้ ฉู่สวินหยางในผ้าคลุมตัวหนากำลังยืนมองม้าเร็วที่วิ่งเข้าไปยังประตูวังด้วยความรวดเร็ว ริมฝีปากของนางค่อยๆ ยกยิ้มอย่างเย็นชา
ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนควบคุมนิสัยและอารมณ์ของตนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เขาก็ควบคุมได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เผยพิรุธใดให้ฮ่องเต้เห็น กลัวเสียแต่ว่าคนอย่างฉู่อี้หมินนั้น พอไปยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้แล้วจะหลุดปากเผยพิรุธออกมาได้
ในวันนี้เรื่องทั่วป๋าไหวอันเป็นที่รู้กันไปทั่วแล้ว ฮ่องเต้ย่อมโมโหแน่นอน เกรงว่าคืนนี้อย่าคิดที่จะหาความสงบสุขภายในพระราชวังเลย
“ในสนามรบหากไม่มีผู้บัญชาการทหารที่รบชนะทุกสนาม ก็อย่าได้คิดแหยมกบฏเจ้าแผนการเลย!” ด้านข้างนางคือเหยียนหลิงจวินที่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างขี้เกียจ ก้มหน้าเล่นแส้หางม้าในมือ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยขึ้นว่า “เขาปกครองบ้านเมืองอย่างเอาแต่ใจมาตั้งหลายปี ก็ถึงเวลาที่เขาต้องลองลิ้มรสความเจ็บปวดที่ตัวเองก่อขึ้นบ้างแล้วล่ะ”
ฉู่สวินหยางกะพริบตา จู่ๆ ก็นึกอะไรออก จึงเปลี่ยนประเด็นพลางชายตามองเขา พูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่ามีคนเคยบอกข้าไว้ ผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงเจ้าบงการบ้าอำนาจ แต่ชีวิตนี้ของข้า ข้าตัดสินใจแล้วที่จะไม่ปล่อยให้มันหลุดจากมือ”
คำพูดนี้ เป็นคำพูดที่ฉู่ฉีเหยียนเมื่อชาติก่อนพูดกับนาง
ตอนนั้นเขาพูดเล่นทีจริงกับนาง นางก็แค่ยิ้มหัวเราะให้กับคำพูดนั้น
พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว…
ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยคำเตือนอยู่
เหยียนหลิงจวินเบื่อหน่ายกับแผนการของซูหว่านและฉู่หลิงอวิ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เขากลับให้อภัยนางได้ทุกอย่าง การกระทำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ฉู่สวินหยางอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้…
เหมือนอย่างสำนวนที่กล่าวว่าพวกขุนนางทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง แต่ชาวบ้านกลับถูกจำกัดสารพัด แม้จะเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผลก็ตามงั้นรึ?
เพราะเหตุนี้ไงนางถึงได้ทำอย่างเต็มที่แบบนี้!
เหยียนหลิงจวินเงยหน้ามองนาง ทว่ากลับไม่พูดส่งเสริมยุยงคำใดกับคำพูดเยาะเย้ยนั้นอย่างที่คิดไว้แม้แต่น้อย
เขาสบตามองนาง แล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “หากตอนนี้ข้าขอให้เจ้าหยุด แล้วถอนตัวออกจากแผนการทั้งหมดนี่ เจ้าจะรับปากข้าไหม?”
ฉู่สวินหยางตกใจ นางหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่มีทางอยู่แล้ว!”
“ทำไมเล่า?” เหยียนหลิงจวินถาม ใบหน้าของเขาจริงจัง “แผนการแย่งชิงพวกนั้น เป็นสิ่งที่เจ้าต้องการงั้นรึ? ข้าไม่ชอบเรื่องพวกนี้ แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าหรือ?” ฉู่สวินหยางเม้มปาก รอยยิ้มมุมปากค่อยๆ หุบลงจนเหลือเพียงความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในแววตา นางเบนสายตาไปมองวังหรูหราที่ถูกปกคลุมอยู่ใต้หมอกด้านหลัง “ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจ ก็ไม่มีทางให้ถอยหนีอีกแล้ว ในวันนี้สิ่งที่ข้าแย่งชิงมา หาใช่อำนาจบ้านเมืองไม่ แต่เป็นบ้านและแคว้นของท่านพ่อกับท่านพี่ข้าต่างหาก!”
พ่อของนางเป็นองค์รัชทายาทแห่งวังบูรพา หากไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ก็เหลือเพียงความตายเท่านั้น!
มีคนเคยบอกว่าแผนการทั้งหลายในการแก่งแย่งชิงอำนาจนั้น เราต้องเลือกอย่างเสียอย่าง แต่หากใช้ความเป็นความตายเป็นเกณฑ์ชี้วัดแล้ว…
ทุกสิ่งทุกอย่างก็อธิบายได้ทั้งหมด!
หากตัวนางไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ นางก็คงไม่สนใจหรอกว่าโลกนี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง
แต่ในเมื่อวันนี้นางตกอยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว ก็เท่ากับว่าไม่มีโอกาสทางเลือกให้นางได้ถอยหนีอีกต่อไป!
เหยียนหลิงจวินมองนาง
ใบหน้าของหญิงสาวยังคงสละสลวย ความเย็นชาและหยิ่งผยองไม่ยอมใครแผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง เขากุมมือของนางไว้ “ข้าก็เหมือนเจ้า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าเจ้าจะต้องการบ้านเมืองหรือแคว้น ข้าจะคอยอยู่เคียงเจ้าไปพิชิตผืนดินพสุธามาให้ได้!”
ถึงแม้คำพูดนั้นจะเย่อหยิ่งเพียงใด แต่หากตั้งใจฟังดีๆ แล้วมันก็เป็นเพียงประโยคล้อเล่นเอาใจนางเท่านั้นแหละ
ฉู่สวินหยางเงยหน้าขึ้น นางไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก เพียงยิ้มให้เขาแล้วพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ การเดินทางของทั่วป๋าอวิ๋นจีครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก ไปเป็นเพื่อนข้าไปส่งนางเป็นครั้งสุดท้ายเถิด อย่างน้อยเราก็ต้องดูแลแขกบ้านแขกเมืองของเราให้ดี!”
เหยียนหลิงจวินกับนางมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ทั้งสองคนบังคับม้ากำลังจะออกเดินทาง ด้านหลังก็มีม้าเร็วขี่ข้ามวิวพระอาทิตย์ตกสีแดงชาดผ่านมา
ฝีเท้าของม้าว่องไวจนหิมะบนพื้นลอยฟุ้ง
“ข่าวด่วนพิเศษ สาสน์ท้ารบจากเมืองฉู่!” เสียงของคนบนม้าพูดขึ้นดังสนั่น
ภายใต้แสงจากโคมวังหลวง ยิ่งทำให้ป้ายคำสั่งสีทองในมือของสายลับบนหลังม้าผู้นั้นส่องประกาย
“รีบเปิดประตูวังเร็วเข้า!” ทหารอารักขาประตูรีบเปิดทางให้
เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ห่างออกไป
หิมะค่อยๆ ลอยล่องอยู่กลางนภาอีกครั้ง
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วเป็นปม หันไปมองประตูวังที่ยังไม่ทันได้ปิดลง พูดพึมพำขึ้นว่า “ข่าวด่วนพิเศษอีกแล้วงั้นรึ? เจ้าว่า…ครั้งนี้มันจะเป็นเรื่องอะไร?”
“ไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวกลับมาพวกเราก็รู้แล้ว!” เหยียนหลิงจวินกล่าว หันไปมองทิศทางเดียวกับนาง ทว่าเขาหาได้สนใจไม่ มุมปากายกยิ้มขึ้นอย่างร่าเริง
ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วไม่คิดอะไรมาก นางเบนสายตากลับคืน จากนั้นกระตุกบังเหียนม้าขึ้น แล้วตะโกนเสียงใส “ไป!”
—————————————————–
เมื่อทั้งสองคนจากไปได้ไม่ถึงเวลาครึ่งถ้วยชา[3]ดี ประตูวังที่อยู่เบื้องหลังก็เปิดออกอีกครั้ง กองทหารองค์รักษ์สามพันนายกรูออกมาทัพใหญ่ รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้ออกเดินทางจากเมืองหลวงมุ่งตรงไปยังทิศเหนือแคว้นโม่เป่ย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นเงาคนราวกับวิญญาณผีร้ายวิ่งพล่านไปทั่วทิศอย่างว่องไว
ความมืดเข้าแทนที่ แสงไฟจากพระราชวังสว่างไสวโชติช่วงถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างอันหนาวเหน็บ
ในอีกด้านหนึ่งของวังบูรพา ประตูบานด้านข้างถูกเปิดขึ้นอย่างไร้เสียง องค์รักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษแปดนาย คุ้มกันและขับรถม้าสีเทาซึ่งไม่เป็นที่สังเกตเท่าใดนักออกจากเมืองหลวงไปทางประตูเมืองฝั่งตะวันออกอย่างเงียบเชียบ
ในขณะเดียวกันนั้นเองก็มีนกพิราบบินออกมาจากตรอกด้านในอย่างไร้เสียง แล้วกางปีกสยายขึ้นไปบนท้องนภา
ไม่ถึงเวลาหนึ่งก้านธูป[4]ดี ก็มีกองทหารออกมาจากจวนอ๋องหนานเหออีก ในค่ำคืนอันมืดมิดพวกเขาดำเนินการอย่างว่องไวไม่เหลือทิ้งร่องรอยให้ตามเจอ
……………………………
[1] สองชั่วยาม เท่ากับเวลาสี่ชั่วโมงในปัจจุบัน
[2] กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ หมายถึง เป็นกลยุทธ์ในการถอยทัพโดยไม่เกิดความกระโตกกระตาก เพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ หรือเป็นการหลีกเลี่ยงความสูญเสียเลือดเนื้อหรือการปะทะที่อาจเกิดขึ้นในกองทัพ
[3] เวลาหนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที
[4] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น