โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ 1-15
Ch.1 – กลับไปเกิดใหม่เมื่อสิบปีก่อน
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.1 – กลับไปเกิดใหม่เมื่อสิบปีก่อน
ภายในตัวอาคารที่ถูกเสริมแกร่งด้วยเหล็กกล้า พื้นโถงทางเดินราวกับกระจกใส ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างเดินกันให้วุ่นไปตลอดเส้นทาง
ที่นี่คือสถาบันวิจัยเขตชานเมืองใหม่ของเมืองเฉิงหยาง
ณ หนึ่งในพื้นที่บริเวณของสถาบัน กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทั้งตื่นเต้นระคนวิตกกังวล กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! หมายเลข 2318 ฉินเฟิง กรุณาไปเข้ารับการฉีดยากระตุ้นในแอเรียที่ 3 ด้วย!”
“ถึงตาของฉันแล้- โครม!”
วัยรุ่นชายผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวเสียหลัก สะดุดขาตัวเองล้มคะมำลงกับพื้น
เพียงได้ยินเสียงกระแทก ทุกคนก็พอจะรับรู้ได้ว่าการล้มหน้าฟาดของอีกฝ่ายรุนแรงขนาดไหน
“อ๊า! ฉินเฟิง!” เห็นถึงฉากนี้ โจวฮ่าวก็กลายเป็นตื่นตระหนก เขาเร่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือสหายของตนอย่างร้อนรน
แล้วก็พบกับผลลัพธ์คาดไม่ถึง -ฉินเฟิงที่ล้มลงดันสลบไปซะอย่างงั้น!
“ชิบหายแล้ว ฉินเฟิง! นายคงไม่ได้หมดสติจริงๆหรอกใช่ไหม เล่นตลกอะไรในเวลาสำคัญแบบนี้เนี่ย? รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า! ถึงเวลาฉีดยา ‘กระตุ้นพลัง’ ของนายแล้วนะ!”
-ในคริสต์ศักราช 2200 โลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดมายาวนานกว่า 2000 ปี ชะตาของพวกเขากลับพลิกผัน ตลบกลับกลายมาอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร
ยังไงก็ตาม เนื่องจากมีการดำรงอยู่อย่างผู้ใช้อบิลิตี้ และผู้ใช้วรยุทธโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์เลยยังพอที่พื้นที่ว่างให้พักหายใจ
ซึ่งการถือกำเนิดของอบิลิตี้และวรยุทธโบราณ จะมาจากการฉีดยากระตุ้นเข้าสู่ร่างกายในช่วงอายุ 16 ปีนั่นเอง
กล่าวได้ว่านี่คือหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่จะสามารถทะยานตนขึ้นไปสู่ฟากฟ้า แต่ฉินเฟิงกลับเป็นลมไปซะดื้อๆ โจวฮ่าวอดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! หมายเลข 2318 ฉินเฟิง กรุณาไปเข้ารับการฉีดยากระตุ้นในแอเรียที่ 3 ด้วย!!”
ในช่วงระหว่างที่เสียงเรียกจากลำโพงดังขึ้นอีกครั้ง ฉินเฟิงก็พลันได้สติ ในศีรษะอึงอลไปด้วยความสับสน วิงเวียนราวกับหัวจะระเบิด
‘นี่ฉัน … ยังไม่ตาย?’
ความคิดนี้วาบผ่านขึ้นในจิตใจของฉินเฟิง ก่อนที่เขาจะเริ่มขบคิดว่าเพราะเหตุใดตนถึงยังไม่ตาย เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้ เขาเพิ่งโค่นราชันย์สัตว์ร้ายที่ครอบครองพลังไม่ทราบชนิดลง ทว่าในช่วงเวลาที่คิดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว มันกลับระเบิดพลังเฮือกสุดท้ายออกมา จนทั้งคู่ตกตายลงไปพร้อมกัน
ในช่วงเวลานี้เอง เสียงที่ดังแทรกเข้ามาในรูหูก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น
“ไม่ได้การแล้ว เฉินหมิง รีบมาช่วยกันพยุงตัวฉินเฟิงไปเร็วเข้า ต่อให้เจ้าบ้านี่ไม่มีสติ ก็ต้องลากตัวมันไปฉีดยากระตุ้นให้จงได้!” โจวฮ่าวทนไม่ไหว ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ข้างๆ
ได้ยินถึงชื่อดังกล่าวที่แสนจะคุ้นเคย ฉินเฟิงพลันสะดุ้งเฮือก
เฉิน … หมิง?
มันเป็นไปได้อย่างไร? ทำไมจู่ๆเฉินหมิงถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่? ไม่ใช่ว่าช่วงเวลาวิกฤตินี้ที่เขากำลังเผชิญ มันเป็นเพราะแผนลวงของฝ่ายตรงข้ามหรอกหรือ?
แต่ว่าก็ว่าเถอะ ตอนนี้ เสียงที่ฟังดูกังวลใจที่อยู่ข้างๆนี่ ทำไมถึงได้ดูคุ้นหูจัง มันราวกับเป็นเสียงที่ประทับลึกอยู่ในห้วงความทรงจำ แต่ก็คล้ายกับว่าอยู่ไกลแสนไกล?
เฉินหมิงที่อยู่ข้างๆกับฉินเฟิงและโจวฮ่าว และคอยเฝ้าดูสถานการณ์นี้ตั้งแต่แรกเริ่มตลอดมา บังเกิดประกายแสงกระพริบผ่านในสายตา
สามหนุ่มอันได้แก่ฉินเฟิง , เฉินหมิง และโจวฮ่าว พวกเขาได้รับการจัดระดับว่าเป็น 3 อันดับแรกในโรงเรียนระดับกลาง
อย่างไรก็ตาม เฉินหมิงรู้ตัวดี ว่าความแข็งแกร่งของตนนั้นด้อยกว่าโจวฮ่าว ส่วนในอีกหลายๆด้านก็ด้อยกว่าฉินเฟิง แต่ในตอนนี้ ฉินเฟิงจู่ๆก็หมดสติลงอย่างกระทันหัน ในหัวใจของเฉินหมิงจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดร่องรอยของความสุข
“โจวฮ่าว ทำแบบนั้นไม่ถูกนะ คุณหมอจะตำหนิเอาได้ ตอนนี้ฉินเฟิงยังเป็นลมอยู่ ฝืนให้เขาฉีดยากระตุ้นคงไม่ดีหรอก คนอื่นๆเองก็น่าจะคิดเหมือนกัน ว่าเขาไม่ไหวจริงๆ!”
เฉินหมิงกล่าวด้วยความห่วงใย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องการให้ฉินเฟิงพลาดโอกาสฉีดยากระตุ้นต่างหาก
“แต่การฉีดยากระตุ้นในครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ … ” โจวฮ่าวเป็นกังวลเล็กน้อย แต่เขาเองก็เริ่มจะคล้อยตามคำโน้วน้าวของเฉินหมิงบ้างแล้วเหมือนกัน
“มาเถอะ พาเขาไปพักรักษาตัวก่อน” เฉินหมิงกล่าว พลางเข้าไปช่วยพยุงฉินเฟิงออกไป
“ไม่จำเป็น!”
เสียงที่ต่ำและแหบห้าวของวัยรุ่นดังขึ้น ขณะเดียวกันเสียงนี้ก็ยังแฝงความรู้สึกหดหู่อันบาดลึก -ไม่มีใครทราบว่าฉินเฟิงประสบกับอะไรในช่วงที่เขาสลบ จึงเปล่งน้ำเสียงเช่นนี้ออกมา
‘นี่มันเป็นความฝัน หรือโลกแห่งความจริงกันแน่?’
คงมีแต่ฉินเฟิงเท่านั้นที่รู้ ในห้วงความทรงจำของเขา ช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา ความรู้สึกต่างๆ ที่ทั้งรัก และเกลียดชัง มันชัดเจนเกินไป
เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าว้าวุ่นสลายหายไปสิ้น ทั้งคนทั้งร่างกลับกลายเป็นสงบลง
โดยเฉพาะสายตาคมกล้า ที่สาดมองมาทางเฉินหมิง
ร่างของเฉินหมิงพลันแข็งทื่อ กระดูกสันหลังเย็นวาบ คล้ายกับว่าตอนนี้เขากำลังล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าฉินเฟิง – มิอาจเก็บซ่อนความคิดร้ายใดๆ ถูกเปิดโปงโดยอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ยังไงก็ตาม นี่มันก็แค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ฉินเฟิงได้ถอนสายตาจากเฉินหมิง และหันกลับมามองโจวฮ่าว
คราวนี้ ในดวงตาของเขาเริ่มชื้น มันแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย
เพราะสำหรับฉินเฟิง โจวฮ่าวน่ะเป็นเสมือนพี่น้องแท้ๆ ในความทรงจำของเขา ช่วงที่อายุได้ 16 ปี โจวฮ่าวได้จบชีวิตลงเพราะตัวเอง แต่ตอนนี้ เขาได้มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่น้องอีกครั้ง และตนเองก็ได้กลายสภาพมาเป็นเด็กอายุ 16 อีกครา
ในพริบตา ฉินเฟิงก็เข้าใจได้ในที่สุด ว่าแท้จริงแล้ว
เขาได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
-กลับมาเกิดใหม่ในช่วงอายุ 16 ปี ในวันที่กำลังจะได้รับการฉีดยากระตุ้น!
“กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! หมายเลข 2318 ฉินเฟิง เมื่อไหร่จะไปเข้ารับการฉีดยากระตุ้นในแอเรียที่ 3 ซักที!”
“อาาาา โดนเร่งแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ!” ฉินเฟิงพยักหน้าให้โจวฮ่าว คราวนี้ทุกย่างก้าวของเขาช่างแลดูสงบ มั่นคง ไร้ซึ่งความร้อนรน กระทั่งความตื่นเต้นก็ไม่แสดงออกมาให้เห็น
เนื่องจากพระเจ้าได้ให้โอกาสเขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ดังนั้น เขาก็จะไม่ปล่อยให้สิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้า กลับมาซ้ำรอยอีกต่อไป
ฉินเฟิงเกร็งกำปั้นแน่น และเดินไปยังแอเรีย 3 เพื่อทำการฉีดยา
ปลายเข็มที่เชื่อมต่อกับหลอดแก้วที่บรรจุไว้ด้วยตัวยาสีน้ำเงิน ถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดของฉินเฟิง
“ยากระตุ้นนี่ จะปลุก ‘พลังพิเศษ’ ของเธอให้ตื่นขึ้นมา ยิ่งเธอมีความสามารถมากเท่าไหร่ พลังของเธอก็จะยิ่งตื่นขึ้นเร็วเท่านั้น แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะอย่างมากที่สุดก็ภายในเดือนเดียว หลังจากนั้น ต่อให้เธอมีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายที่ต่ำ แต่เมื่อได้ออกกำลังและฝึกฝน เธอก็จะรู้สึกได้ว่าตัวเองสามารถแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!”
“อ่า ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
ฉินเฟิงสูดหายใจลึก แต่ในตอนนั้นเอง เขาพลันตระหนักได้ถึงกลิ่นอายผิดปกติที่ผุดออกมาจากภายในร่างกายของตน
แต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะพูดอะไร เขากลับพยายามเก็บซ่อนกลิ่นอายที่ว่าเอาไว้ ยับยั้งมิให้มันเล็ดลอดออกมา
มีแค่เพียงรอยยิ้มเย็นที่ผุดขึ้นมาตรงมุมปากของเขา
ก็อย่างที่คุณหมอบอกมานั่นแหละ ว่า ‘ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ พลังก็จะยิ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเร็วเท่านั้น!’
นับจากช่วงเวลาที่ฉีดตัวยาลงไป มันก็ผ่านมาแค่เพียงหนึ่งนาที แต่พลังของเขากลับเริ่มที่จะปรากฏออกมาซะแล้ว … ว่าแต่พลังพิเศษที่เขาได้รับมา สภาพสมบูรณ์ของมันจะเป็นยังไงกันแน่นะ?
มันน่าเสียดาย ที่ในชีวิตก่อนหน้า เขาไม่มีกระทั่งเวลาที่จะได้เชยชมพลังพิเศษของตัวเองอย่างเต็มที่ ก็ดันมาถูกลักพาตัวไปซะก่อน โดนจับทรมาน ทำการทดลองที่ผิดมนุษย์มนา โดยคนที่ต้องการศึกษาพลังพิเศษของเขา หลังจากที่ย่ำยีตัวฉินเฟิงจนไม่เหลือชิ้นดี กลุ่มคนที่ทำการทดลองก็โยนร่างไร้ประโยชน์ของเขาลงไปในบ่อทิ้งขยะ ปล่อยไปตามท่อระบายน้ำ -แม้สุดท้ายเขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่พลังพิเศษก็ไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อยอีกต่อไป
เรียกได้เลยว่า ท้ายที่สุดแล้ว เขาเกือบที่จะกลายเป็นขยะเปียก ลอยเน่าอยู่ในท่อระบายน้ำซะแล้ว!
แต่ตอนนี้ …
ประกายแสงคมกล้ากระพริบไหวในดวงตาของฉินเฟิง
บางที แม้เจ้าตัวจะยังไม่สามารถเอาชนะองค์กรที่ลักพาตัวเขาไปในชีวิตก่อนหน้าได้ในขณะนี้ แต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เดรัจฉานเช่นพวกมัน คาบเขาไปทรมานทดลองอีกอย่างแน่นอน!
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เฉินหมิงก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของฉินเฟิง
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมาย
เฉินหมิงที่เห็นถึงกับเย็นวาบ สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
‘นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? ทำไมวันนี้ฉินเฟิงมันถึงได้ดูอันตรายอย่างบอกไม่ถูกจัง?’ เฉินหมิงอดไม่ได้ที่จะสบถในใจ
“เป็นไงบ้างฉินเฟิง ตัวยากระตุ้นมีปฏิกิริยาอะไรรึยัง?” โจวฮ่าวเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ไม่เลย” ฉินเฟิงส่ายหัวของเขา
โจวฮ่าวเห็นถึงความผิดหวังในสายตาอีกฝ่าย ก็ถอนหายใจและกล่าว “ช่างมันเถอะน่า พวกเราที่เหลือก็ยังไม่มีใครรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของมันเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ พวกเรากลับไปเริ่มออกกำลังกันก่อนต่อดีกว่า”
“อืม นั่นสินะ กลับกันเถอะ!” ว่าแล้วทั้งสามก็เดินออกจากสถาบันวิจัย มุ่งสู่ภายนอก
ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งหลายปีแล้ว
ที่นี่คือหนึ่งในชุมชนขนาดใหญ่ในเขตชานเมืองใหม่ของเมืองเฉินหยาง คอนกรีตของสิ่งปลูกสร้างต่างๆล้วนถูกเสริมเอาไว้ด้วยเหล็กหนา จุดประสงค์ชัดเจนว่าเพื่อไม่ให้ถูกทำลาย หรือเจาะเข้าไปโดยง่าย ขณะเดียวกัน เหนือขึ้นไปหลายร้อยเมตรบนท้องฟ้า ก็ยังมีเครื่องจักรกลที่แลดูคล้ายกับดาวเทียมขนาดใหญ่กำลังลอยลำอยู่
นั่นคืออุปกรณ์สำหรับรักษาเสถียรภาพของรอยแยกมิติ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ใช้รับประกันความปลอดภัยของชุมชน
“ฉันจำได้แม่น ว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้”
ฉินเฟิงเกิดความคิดขึ้นในจิตใจของเขา
เปรี้ยง!
ไม่ทันขาดคำ อุปกรณ์มิติบนท้องฟ้าก็พลันลุกไหม้ ระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน
“นั่นไง พึ่งจะได้กลับมาเกิดใหม่แท้ๆ ก็ต้องต่อสู้เอาชีวิตรอดซะแล้ว”
Ch.2 – อุปกรณ์มิติ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.2 – อุปกรณ์มิติ
อุปกรณ์รักษาเสถียรภาพรอยแยกมิติ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ คือสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิต อยู่อาศัยได้ตามปกติ และยังเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่คอยปกป้องชุมชนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเครื่องที่ว่านั่น ส่งผลให้รอยแยกเกิดความผันผวน เสถียรภาพของมิติที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังจะหายไป
เกือบทุกคนพลันตระหนักได้ถึงเหตุไม่คาดฝันในครั้งนี้ ทั้งหมดเริ่มร้องโวยวาย ตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้นกับอุปกรณ์รักษาสเถียรภาพรอยแยกมิติกัน? อย่าบอกนะว่ามันพังแล้ว!?” โจวฮ่าวช็อค
“เฮ้ๆ ถ้ามันพัง นั่นก็หมายความว่า … ” เฉินหมิงยังไม่ทันกล่าวจนจบประโยค นาฬิกาที่สวมใส่ไว้ในข้อมือของทั้งสามก็ดังขึ้น
【เตือนภัย! เตือนภัย! เกิดรอยร้าวของมิติในระยะ 100 เมตร สิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักกำลังจะปรากฎขึ้น! 】
【กริ๊งงงง กริ๊งงงง กริ๊งงงงง】
นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่ารอยแยกมิติเริ่มเกิดการแตกร้าว!
และสิ่งที่กำลังตามมานั่นเอง ที่เป็นสาเหตุให้มนุษย์ในดินแดนนี้ ร่วงหล่นลงจากตำแหน่งประมุขสูงสุด กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตต้อยต่ำสุดในห่วงโซ่อาหาร
ดวงตาของฉินเฟิงกลายเป็นลึกล้ำ เพราะช่วงเวลานี้ จิตใจของเพื่อนๆเขายังคงอ่อนแอ แม้จะได้รับการฝึกฝน ออกกำลังกันมาบ้างแล้วก็ตาม แต่เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้โดยตรง ทั้งหมดต่างก็ช็อค ตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง
แต่สำหรับฉินเฟิงน่ะไม่ ทำไมน่ะหรือ? นั่นเพราะเขาเตรียมตัวมาแล้วตั้งแต่ต้นอย่างไรเล่า!
ในช่วงชีวิตก่อนหน้า เหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน
ในชีวิตก่อนหน้า ตั้งแต่ที่ฉินเฟิงได้หมดสติลง โจวฮ่าวก็ตัดสินใจเฉียบขาด ลากตัวเขาเข้าไปทำการฉีดยากระตุ้น และหลังจากที่โจวฮ่าวฉีดยาแล้ว จึงค่อยพาตัวฉินเฟิงกลับออกมาพร้อมๆกับเฉินหมิง
เมื่อฉินเฟิงออกจากสถาบันวิจัยและได้สติกลับคืน เขาก็พบว่าอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพเกิดความเสียหาย รอยแยกมิติถูกเปิดออก สัตว์ร้ายได้บุกเข้ามา โจวฮ่าวจึงตัดสินใจช่วยเหลือฉินเฟิงที่กำลังตื่นตระหนก จนตัวเองตกลงสู่ความตาย
กำลังสงสัยว่า ในเมื่อออกมากันสามคน แล้วเฉินหมิงมันหายหัวไปไหนอยู่ใช่ไหม?
ไม่รีรอให้ฉินเฟิงย้อนนึกถึงห้วงอดีต ตอบคำถามที่ค้างคาใจ เฉินหมิงก็เฉลยมันให้ทุกท่านได้รู้
“วิ่ง! รีบหนีเร็วเข้า!”
เฉินหมิงตะโกน ดีดตัวผึงดั่งศรที่ผละออกจากคันธนู
ต้องไม่ลืมนะว่าพวกเขาทุกคนล้วนเป็นนักเรียนมัธยมศึกษา ที่ได้รับการฝึกฝนและออกกำลังเพื่อเตรียมพร้อมรับการฉีดยากระตุ้นตลอดมา ดังนั้นเพียง 1-2 วินาที มันก็มากพอแล้วให้เฉินหมิงวิ่งหนีไปได้ไกลกว่า 10 เมตร!
สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นเย็นชา
หากสิ่งที่กำลังประสบนี่ เกิดขึ้นในชีวิตก่อนหน้า ช่วงเวลานี้เขาคงทำอะไรไม่ถูก!
ก็ลองนึกดูสิ โจวฮ่าวตายลงเพื่อช่วยเหลือเขา ในขณะที่เฉินหมิงเลือกวิ่งหนีไป โดยไม่สนใจใยดีสหายของตนเอง
สารเลวสิ้นดี!
ในช่วงเวลานี้ แม้โจวฮ่าวจะสติหลุดลอย แต่ตัวเขาก็ยังหนุ่มแน่น เมื่อถูกเร่งเร้าโดยเสียงตะโกนของเฉินหมิง เจ้าตัวก็ก้าวฝีเท้าออกไปโดยไม่รู้ตัว
“เร็วเข้า! พวกเราเองก็ต้องหนีบ้างแล้วเหมือนกัน” พูดพลางคว้าแขนฉินเฟิง พยายามที่จะฉุดดึงอีกฝ่ายให้วิ่งไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว
โจวฮ่าวค้นพบว่าตนมิอาจฉุดลากตัวฉินเฟิงได้ เขาหันขวับไปอย่างรวดเร็วด้วยความสับสน บนใบหน้าฟุ้งไปด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล ตามหน้าผากเริ่มมีเหงื่อเย็นผุดออกมา
“ฉินเฟิง นี่นายยังรู้สึกไม่สบายอยู่งั้นหรอ? มาเหอะ พวกเราต้องหนี ถ้ายังชักช้า ต่อให้ต้องอุ้มนายในท่าเจ้าหญิง ฉันก็จะทำ!” โจวฮ่าวกัดริมฝีปาก และแทบจะไม่อดทนรอคำตอบของฉินเฟิง เขาโน้มตัวลง เตรียมช้อนสองขาของฉินเฟิง
ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่สมควรจะกระทำ เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นสหายที่เปรียบดั่งพี่น้องแท้ๆกัน
ฉินเฟิงรู้สึกราวกับมีภูเขาไฟปะทุขึ้นในหน้าอก กระแสไอร้อนของความอบอุ่นเอ่อล้นออกมา ส่งผลให้เขารู้สึกเจ็บจี๊ดเล็กน้อยในหัวใจ คล้ายกำลังถูกหลอมละลาย
“หยุดๆ ฉันสบายดี สบายมากเลยด้วย!”
โชคดีจริงๆที่พระเจ้าประทานโอกาสเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แห่งความสูญเสีย -ประทานโอกาสให้เขาได้ช่วยชีวิตพี่น้องที่จริงใจต่อตนได้อีกครั้ง!
“เราจะรีบหนีไปในทันทีไม่ได้ เพราะตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เลยว่ารอยแยกมิติมันอยู่ตรงไหน ดังนั้นสถานที่ๆปลอดภัยที่สุดคือภายในสถาบันวิจัย!” ฉินเฟิงวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
โจวฮ่าวนิ่งค้างไป แต่แล้วสีหน้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลง “จริงด้วย แถมในสถาบันวิจัยยังมีเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆที่ยังไม่ออกมาอีก งั้นพวกเราเองก็รีบกลับไปเตือนพวกเขากันเหอะ!”
‘นั่นแหละโจวฮ่าว เขามักจะเป็นแบบนี้มาโดยตลอด มีนิสัยอบอุ่นราวกับแสงตะวันอันแรงกล้า คิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ’
ซึ่งนี่นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่ามากๆสำหรับฉินเฟิง ผู้ที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดมายาวนานกว่าสิบปี จนกระทั่งได้กลับมาเกิดใหม่!
“งั้นไปกัน!”
ฉินเฟิงเริ่มวิ่ง แม้ว่าตัวเขาในตอนนี้จะผอมกระหร่องอ่อนแอ แต่ภายในร่างกายกลับเปี่ยมไปด้วยพลัง และความมีชีวิตชีวา
เลี้ยวผ่านตรอกซอกซอย จนเข้าสู่ถนนสายหลัก พบเจอกับเสียงรถที่กำลังแล่นและบีบแตรอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเสียงที่ดังสุดคงไม่พ้นไซเรน ที่เกิดการจากชนกัน ส่งผลให้การจราจรเริ่มเป็นอัมพาต
ในเวลานั้นเอง ห่างออกไปสามเมตรจากถนนสายหลัก รอยแยกมิติก็ค่อยๆเริ่มก่อตัวขึ้น
รอยแตกที่ว่านี้เป็นสีดำ และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รอบๆรอยแยกสาดรังสีแสงสีเงิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของธาตุมิติ
“นั่นมันรอยแยกมิติ!!” ในแววตาของโจวฮ่าวฟุ้งไปด้วยความตื่นตระหนก
แม้ในโรงเรียนจะสอนเกี่ยวกับมันมาบ้างแล้วก็เถอะ แต่เมื่อได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก แถมยังไม่รู้ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอะไรโผล่ออกมาจากรอยแยกนั่น ที่บางทีอาจจะมีพลังถึงขั้นทำลายล้างทั้งชุมชนเลยก็ได้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
แต่รอยแตกที่ว่านี้มิได้ขยายขนาดมากมายนัก มันขยายแค่เพียงยาวกว่าครึ่งเมตร และกว้างประมาณสามสิบเซน ก็เริ่มชะลอตัวลง บ่งบอกมาศัตรูที่กำลังจะมามิได้มีขนาดตัวใหญ่โตเท่าใดนัก อย่างไรก็ตามเนื่องจากที่นี่คือถนนหลักที่ผู้คนพลุกพล่าน ดังนั้นตลอดทั้งบริเวณเลยไม่มีใครมามัววิเคราะห์มัน บังเกิดเสียงกรีดร้องอื้ออึง ผู้คนต่างละทิ้งรถของตัวเอง พากันวิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
รอยแยกมิติยังไม่ทันขยายได้เต็มที่ ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้นทันใด
มันเป็นร่างที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับเด็ก มีผิวนุ่มนิ่มราวกับทารก แต่สีผิวที่แปลกออกไปนิดหน่อย มันเป็นสีเหลืองอมเขียว ที่ส่งกลิ่นเหม็นไม่ดีออกมา
ทารกพยายามเบียดฝ่ารอยแยกด้วยความยากลำบาก และตกลงมาจากความสูงสามเมตรเสียงดังตึ้ง!
ด้วยความสูงระดับนี้ สำหรับทารก ต่อให้ไม่ตาย แต่ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงวินาทีที่ทิ้งตัวลงกับพื้น ทารกน้อยจากรอยแยกมิติก็เริ่มขยับมือขยับเท้า เด้งตัวผุดลุก เชิดหัวที่โตผิดปกติขึ้น จนสามารถมองให้เห็นถึงใบหน้าของมันได้อย่างชัดเจน
เจ้าทารกที่โผล่ออกมานี่ เห็นได้ชัดว่ามิใช่มนุษย์ หากแต่เป็นสัตว์ร้าย!
บนใบหน้า ประกอบไปด้วยลูกตาสีแดงขนาดใหญ่ที่ปูดบวมออกมา ริมฝีปากฉีกยาวถึงใบหู เผยให้เห็นซี่ฟันคมกริบ
และซี่ฟันที่ว่า มิใช่ซี่ฟันแบบเดียวกันกับของมนุษย์ หากแต่เป็นซี่ฟันที่เหมือนกับเขี้ยวอันแหลมคมที่สามารถใช้ฉีกกระชากเนื้อดิบ!
บ่งบอกชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตตนนี้ —กินมนุษย์เป็นอาหาร!
“นั่นมัน ‘เขี้ยวทารก’ !! ” ใครบางคนร้องตะโกนขึ้น
เขี้ยวทารก ถูกบันทึกอยู่ในตำราเรียนของรัฐบาลกลาง เป็นสัตว์ร้ายระดับต่ำสุดในเลเวล G3
อ้างอิงตามระดับที่ถูกจัดตั้งโดยรัฐบาลกลาง เลเวลที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับ S ต่ำลงมาจะเรียงเป็น A B C E F G ซึ่งจะสอดคล้องตามความแข็งแกร่งของสัตว์ร้าย
สำหรับสัตว์ร้าย G3 หากผู้คนตอบโต้กับมันอย่างใจเย็น ก็จะสามารถเอาชนะมันได้ไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตาม เจ้าสัตว์ร้ายเขี้ยวทารก มันจะมีอย่างหนึ่งที่พิเศษออกไป นั่นคือ – พวกมันมักจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง!
แน่นอน ว่าทันทีที่เขี้ยวทารกตัวแรกมาถึง ตัวที่ 2 3 ก็โผล่ตามมา และเหล่าเขี้ยวทารกก็มิได้คิดจะสังเกตุสถานการณ์ เพื่อรวบรวมข้อมูลใดๆ พริบตาที่พวกมันเห็นเหยื่อ ทั้งตัวทั้งร่างก็พลันหมอบลงกับพื้น คืบคลานสี่แขนขาในท่วงท่าเดียวกับตุ๊กแก สบโอกาสก็กระโจนเข้าใส่ และงั่ม! ใช้ซี่ฟันแหลมเล็กเข้าใส่ลำคอเหยื่อ และกัดกระชากทันที!
“อ๊าาาา!!!” ชายคนหนึ่งที่เห็นเขี้ยวทารกกระโจนเข้าใส่กรีดร้องออกมา เขาเร่งชักอาวุธจากเอวอย่างรวดเร็ว และยิงเข้าใส่หัวของเขี้ยวทารก
“ปัง!”
เสียงปืนดังกึกก้อง นี่คล้ายดั่งสัญญาณแห่งความโกลาหล ถนนหลักที่แต่เดิมเพียงวิ่งวุ่นด้วยความสับสนวุ่นวาย พลันกลายเป็นนรกคลั่ง ละเลงไปด้วยเลือดทันที
4-5เขี้ยวทารกราวกับหมาป่ากระโจนเข้าหาฝูงแกะ เริ่มฉีกกัดและฆ่าอย่างซุกซน
หนึ่งในเขี้ยวทารกมุ่งเป้ามาที่โจวฮ่าว กระโจนเข้าหาเขาโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆ
แน่นอน ว่าโจวฮ่าวเองก็ย่อมมีความแข็งแกร่ง แม้เขาจะเป็นเพียงวัยรุ่นอายุ 16 ปี แต่ก็ถูกฉีดยากระตุ้นแล้ว ดังนั้นพละกำลังของเขา ย่อมเทียบเท่าได้กับการดำรงอยู่ในเลเวล G1 เป็นอย่างน้อย
อย่างไรก็ตาม โจวฮ่าวกลับเพียงยืนนิ่งจ้องมองมัน ในสมองบังเกิดความว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าแม้เขาจะเคยร่ำเรียนมาจากตำราแล้วก็ตาม แต่กลับไม่สามารถงัดทักษะการต่อสู้มารับมือกับมันได้อย่างทันท่วงที แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กก็ตาม
ทว่า ในช่วงเวลาวิกฤตินั้นเอง หนึ่งมือที่ผอมกะหร่องได้ประทับลงบนอกของโจวฮ่าว ผลักส่งเจ้าตัวถอยหลังกลับไป
ในช่วงเวลาที่โจวฮ่าวกำลังจะตกตาย ก็ปรากฏร่างๆหนึ่งขึ้นเบื้องหน้าเขา ร่างที่ไม่คิดยินยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอีกต่อไป!
-เป็นฉินเฟิง!!!
Ch.3 – เขี้ยวทารก
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.3 – เขี้ยวทารก
สองมือของฉินเฟิงกระทำสองสิ่ง หนึ่งผลักอกโจวฮ่าวให้ถอยห่างออกไป อีกหนึ่งเกร็งแน่นหวดเข้าใส่เขี้ยวทารก
แม้ความเร็วของเขาจะเชื่องช้ากว่าเขี้ยวทารกมากนัก ทว่าราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ ที่กำปั้นของเขาดันชกเข้าใส่ตรงบริเวณหัวของมันพอดิบพอดี
“โผล๊ะ!”
บังเกิดเสียงดั่งลูกแตงโมที่แตกออก มันสมองสีขาวและแดงกระจายไปทั่ว
ฉินเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
ที่ขมวดคิ้ว มันมิใช่เพราะฉากนองเลือดชวนสะอิดสะเอียนตรงหน้า หากแต่เป็นเพราะตรงส่วนง่ามนิ้วมือของเขามันเกิดการฉีดขาด เลือดไหลทะลัก เนื่องจากการโจมตีอันรุนแรงเมื่อครู่
‘ยังคงอ่อนแอเกินไป!’ ความรู้สึกที่ว่าร่างกายตนที่ทั้งเล็กจ้อยและอ่อนแอเช่นนี้ มันเคยเกิดขึ้นเมื่อนานเท่าไหร่แล้ว ฉินเฟิงเองก็ไม่สามารถจดจำได้ชัดเจนนัก
วินาทีนั้นเอง ดวงตาของฉินเฟิงหรี่แคบลง ในแววตาพลันเปลี่ยนเป็นมืดมิด คล้ายดั่งช่วงเวลากลางคืนที่ไร้ซึ่งแสงไฟ จากนั้น พลังงานที่มองไม่เห็นจากร่างศพเขี้ยวทารกก็เริ่มถูกดูดกลืนเข้ามา หลอมรวมกับภายในร่างกายของฉินเฟิง
แผลในมือเขาได้รับการสมานอย่างรวดเร็ว เศษเนื้อร้ายที่ไม่ดีหลุดลอกออก มันถูกรักษาหายเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
และนี่เองคือพลังพิเศษของฉินเฟิง!
‘ดูดกลืน!’
สีหน้าของฉินเฟิงเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความตกใจและตื่นเต้น
ตามความทรงจำในชีวิตก่อนหน้า ตนเองจำได้ว่าเมื่อพลังพิเศษถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา มันคือความสามารถอันคงกระพัน โลกทั้งใบล้วนตื่นตะลึงกับผลลัพธ์ของพลังพิเศษนี้ จนสุดท้ายก็จบลงที่เขาถูกจับตัวไปทดลองนั่นเอง
เพียงดูดกลืนพลังงานจาก ‘ศพสัตว์ร้ายที่เพิ่งตายลงไป’ ก็จะสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งและรักษาตนเองได้ ตรงจุดนี้เองที่ทำให้เขาสามารถรอดตายจากสถานการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในชีวิตก่อนหน้าอยู่หลายครั้ง
ในชีวิตนี้ หากพลังพิเศษของเขาไม่ได้ถูกทำลายจนด้อยอำนาจลงโดยผลจากการทดลอง … มันจะทรงประสิทธิภาพขนาดไหนกันนะ?
ฉินเฟิงรู้สึกว่าเพียงเขาดูดซับพลังงานจากร่างศพของเขี้ยวทารก พละกำลังร่างกายก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้น
ประมาณการคร่าวๆ หากเขาสังหารเขี้ยวทารกได้สักสิบตัว แล้วดูดกลืนพวกมัน พลังงานที่ได้มาอาจจะทำให้เขาทะยานขึ้นไปสู่เลเวล G2 เลยก็ได้!
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมามัวรออะไรอยู่อีกเล่า?
ฉินเฟิงรู้สึกว่าเขาไม่ได้ตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว!
ในระยะไกลออกไป เขี้ยวทารกที่เห็นพรรคพวกตกตาย ก็เริ่มกรีดร้อง และพุ่งเข้ามาหาฉินเฟิง
สองเขี้ยวทารกประกบหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา คิดหมายโอบล้อมโจมตีเขา
ฉินเฟิงถอยกลับไปก้าวหนึ่งเพื่อเลี่ยงสถานการณ์ถูกรุมล้อม
เขาตบมือสัมผัสลงตรงเอว หยิบมีดสั้นเล็กๆที่ยาวเพียงสิบเซนติเมตรออกมา โบกสะบัดคมกล้า สาดแสงเย็นเข้าหาเขี้ยวทารก
“ฉัวะ!”
ในพริบตา คอของเขี้ยวทารกก็ถูกตัดเฉือนโดยฉินเฟิง ร่างน้อยๆที่กระโจนเข้าใส่ร่วงตกลง หากมิใช่เพราะผิวหนังหนาส่วนหลังของลำคอ หัวของมันคงหลุดกระเด็นแยกออกจากลำตัวไปแล้ว
เลือดสาดกระจายไปทั่ว!
ฉินเฟิงยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น และเหวี่ยงฟาดเข้าใส่ร่างของเขี้ยวทารกตัวที่สองเต็มรัก ส่งมันปลิวถอยกลับไปไกลกว่าสามเมตร จึงค่อยร่วงลงกับพื้น
และไม่ยินยอมเปิดโอกาสใดๆให้แก่มัน เขากระโจนตามไปข้างหน้าทันที สองมือยกสูง ง้างคมมีดขึ้นเหนือหัวและจ้วง! ลงใส่เป้าหมายอย่างดุดัน!
ด้วยการทุ่มสุดแรงเพียงครั้งเดียว คมมีดก็สามารถเจาะทะลวงเข้าไปในอกของเขี้ยวทารก ปลายแหลมของมีดทะลุแผ่นหลังกระทบกับพื้นดินหนาเสียงดังกึ้ง!
“อุแว๊—”
คล้ายกับว่าต้องการจะแจ้งเตือนให้เพื่อนๆสังเกตถึงสถานการณ์ในจุดนี้ เขี้ยวทารกกรีดร้องโหยหวนเสียงแหลม -ราวกับเสียงหอนของหมาป่า เขี้ยวทารกตนอื่นๆเริ่มร้องขานรับตาม
ปรากฏเขี้ยวทารกหลายตัวพุ่งเข้ามา
ทว่าเฉินเฟิงกลับยังคงสงบจนน่าประหลาดใจ ในสมองของเขาเริ่มทำการคิดคำนวณทันที งัดกลยุทธ์สังหารทีละหนึ่ง ทีละหนึ่งออกมา!
นี่เกิดจากประสบการณ์ต่อสู้ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ที่มีมากมายจนเกินไป มันจึงเกินพอที่จะใช้จัดการกับเขี้ยวทารกเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขากลับไม่สามารถเคลื่อนไหวให้ทันตามจังหวะที่สมองคิด ไหนจะเขี้ยวทารกที่มีมากมายเกินไป มันพุ่งมาจากทุกทิศทาง จนสุดท้ายมีตัวหนึ่งหลุดจากการป้องกัน กระโจนเข้างับเขา
“งั่ม!” เขี้ยวทารกใช้ฟันอันแหลมคมกัดเข้าใส่อย่างแรง ความเจ็บจากเขี้ยวแหลมจี๊ดขึ้นมาทันที
คมเขี้ยวฝังลึกลงบนน่องของเขา เลือดไหลทะลัก -มันเลือกที่จะโจมตีจุดนี้เป็นจุดแรกเพราะไม่ต้องการจะให้ตัวเขาหลบหนี!
อย่างไรก็ตาม ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือเขี้ยวทารกอีกตัวหนึ่งต่างหาก เพราะเป้าหมายโจมตีของมันในเวลานี้ คือบริเวณคอของเขา!
ในช่วงเวลาวิกฤตินั้นเอง
สีหน้าของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้น เพื่อใช้ป้องกัน
และฟันแหลมของเขี้ยวทารกก็งับเข้าใส่แขนเขาทันที แต่อย่างน้อยเจ้าตัวก็ยังรักษาคอของตนเอาไว้ได้
“ตายซะ!”
ฉินเฟิงคำรามด้วยความโกรธ เหวี่ยงแขนฟาดลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง
เขี้ยวทารกกรีดร้องสยองเกล้า บังเกิดเสียง ‘กร๊อบ’ ของกระดูกที่แตกหักขึ้นทันใด เขี้ยวทารกที่งับแขนของเขา บัดนี้ทั้งหัวทั้งตัวแหลกแหลว เรียกได้ว่าแทบจะอยู่ในสภาพป่นปี้
แต่ในเวลานั้นเอง อีกตัวหนึ่งก็ฉวยโอกาส กระโจนเข้ามาด้วยความดุร้าย
แม้จะเป็นสัตว์ร้ายระดับต่ำ แต่ก็อยู่ร่วมกันเป็นฝูง และการโจมตีของพวกมันก็แม่นยำ แต่ละตำแหน่งที่เลือกโจมตีเองก็ไม่เลวเลยเช่นกัน
คราวนี้ มันอ้าปากกว้าง คล้ายกับพร้อมที่จะกลืนกินทั้งหัวของฉินเฟิงในคราวเดียว
ดวงตาของฉินเฟิงหดลีบลงอย่างรวดเร็ว
แต่ในเวลานั้นเอง ไม้เบสบอลที่มีสีขาวราวหิมะก็เหวี่ยงวูบ! -ปงงงง! หวดเข้าใส่เขี้ยวทารก ส่งมันปลิวกระเด็นออกไป
พร้อมกันกับร่างของโจวฮ่าวที่ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของฉินเฟิง
ร่างของโจวฮ่าวยังคงสั่นสะท้าน แต่เขาก็ไม่รีรอให้เสียเวลา หันกลับมาแล้วฟาดไม้เบสบอลเข้าใส่สัตว์ร้ายที่งับขาของฉินเฟิง
“ใจเย็นเข้าไว้ตัวฉัน มันก็แค่สัตว์ร้ายระดับต่ำ ใจเย็นเข้าไว้”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ฉินเฟิง โจวฮ่าวจึงไม่กล้าฟาดแรงจนเกินไป
สุดท้ายจำต้องฟาดอยู่หลายครั้ง เขี้ยวทารกตัวที่งับขาของฉินเฟิงอยู่จึงยอมคลายฟันอันแหลมคมของมันลง และถูกเตะกระเด็นออกไป
แม้ร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจะสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว แต่ในภายนอก สภาพของฉินเฟิงดูได้รับบาดเจ็บสาหัส
โจวฮ่าวสั่นไหว อะดรีนาลีนจากทั้งคนทั้งร่างของเขาเริ่มปะทุ ใบหน้าแดงก่ำ ปากอ้าสูดอากาศหายใจเข้าปอดอย่างรุนแรง
นี่มันน่าตื่นเต้นมากเกินไป!
ในทันที เมื่อเห็นถึงบาดแผลของฉินเฟิง โจวฮ่าวก็เริ่มช็อค
“ฉินเฟิง นายไม่เป็นอะไรนะ!”
“ฉันไม่เป็นไร”
ฉันเฟิงส่ายหัว ขณะเดียวกันในเวลานั้นเอง ในที่สุดหน่วยลาดตระเวนก็ปรากฏกายออกมา พวกเขาแทรกตัวฝ่าฝูงชนที่กำลังวุ่นวาย และเข้าปิดล้อมถนนหลัก
“ตอนนี้ … ถึงเวลาที่พวกเราควรจะหนีกันได้แล้วใช่ไหม?” เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว โจวฮ่าวก็ไม่รู้ว่าสมควรจะต้องทำอย่างไรดี
“ไม่! ยังไปไม่ได้” ฉินเฟิงส่ายหัว “เนื่องจากหน่วยลาดตระเวนมาที่รอยแยกมิตินี้ ดังนั้นจึงมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ปลอดภัย!”
เขายังคงหวาดระแวงว่าอาจจะมีรอยแยกมิติอื่นปรากฏขึ้นมาอีกก็ได้
แต่แน่นอน ว่าแท้จริงแล้วรอยแยกมิติปรากฏขึ้นที่บริเวณนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงมิได้ตระหนักถึงข้อนี้
เพราะในเวลานั้น เหตุการณ์นี้ มันได้นำไปสู่การไล่ล่าของเขี้ยวทารกจำนวนมาก เข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย และในจำนวนนั้นยังรวมไปถึงโจวฮ่าวด้วย
นับว่าโชคดีจริงๆ ที่ในตอนนี้ทุกอย่างมันจบลงแล้ว!
ช่วงเวลานั้นเอง เห็นแค่เพียงเปลวไฟที่ลุกไหม้บนอุปกรณ์มิติเริ่มมอดดับลง ปรากฏแสงสีเงินปะทุขึ้น สาดไปทั่วฟ้า
พร้อมกันกับแสงนี้ที่ตกลง ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวก็พบว่ารอยแยกมิติค่อยๆเล็กลง และในที่สุดก็หายไป
โจวฮ่าวที่เพิ่งเคยเห็นฉากนี้ เฝ้ามองด้วยความประหลาดใจ ปรากฏร่องรอยของความอยากรู้อยากเห็นบนใบหน้าของเขา
ในความเป็นจริง หากพวกเขาสามารถปลุกพลังพิเศษให้ตื่นขึ้นมาได้แล้ว นี่คือสิ่งที่จะต้องพบเจออีกบ่อยๆในอนาคต
“ตรู๊ด ตรู๊ด ถนนหมายเลข 12 ได้ทำการกวาดล้างเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มนับยอดความเสียหาย ณ บัดนี้”
“มี 13 คนที่เสียชีวิต! ส่วนผู้บาดเจ็บมีเป็นจำนวนมาก!”
“แต่สถานการณ์ปลอดภัยแล้ว!”
หน่วยลาดตระเวนเดินกันให้วุ่น กระจายไปตามจุดต่างๆเพื่อยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิต ฉินเฟิงเฝ้ามองดูฉากทั้งหมดด้วยความเยือกเย็น ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
ตรงกันข้ามกับโจวฮ่าว ที่ได้สติกลับคืน ทั้งคนทั้งร่างเริ่มหายจากอาการตื่นตัว สีหน้าในตอนนี้ของเขาค่อยๆกลายเป็นซีดขาว
ในช่วงเวลาสั้นๆ กว่า 13 คนได้เสียชีวิตลง หากไม่ใช่เพราะฉินเฟิงดึงดูดความสนใจของพวกมันแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก
ณ จุดนั้นเอง ชายที่ติดเหรียญตราหน่วยลาดตระเวนบนอก ก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของฉินเฟิง
หน่วยลาดตระเวณ คือหน่วยที่มีหน้าที่แบบเดียวกับตำรวจ เนื่องจากในยุคนี้ ผู้คนที่มีพลังพิเศษ ครอบครองอำนาจทำลายล้างอันมหาศาล ดังนั้น หากมีการบาดหมางกันขึ้น ก็อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ผู้แข็งแกร่งไล่ล้างบางพวกอ่อนแอกว่าก็ได้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงย่อมเป็นธรรมดาที่หน่วยลาดตระเวนจะได้รับหน้าที่รักษากฏหมาย และความสงบเรียบร้อย เหมือนกับตำรวจ นี่ยังรวมไปถึงการปกป้องความปลอดภัยของสถานที่ชุมชนอีกด้วย
“พวกเขี้ยวทารกที่ตายลงแถวๆนี้เป็นฝีมือของพวกเธอสองคนใช่รึเปล่า? ดี ดีมาก เจ้าหนู พวกเธอนี่มันพระเอกตัวจริง!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนที่มีขนาดตัวไม่สูงมากนัก น่าจะราวๆ 170 ซม. แต่กลิ่นอายรอบตัวกลับไม่ธรรมดา ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่คิดดูถูกฝ่ายตรงข้าม!
Ch.4 – นักขูดรีดที่มีชื่อเสียง
Translator : Muntra / Author
ลง4 ตอน
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.4 – นักขูดรีดที่มีชื่อเสียง
เหรียญตราที่ติดอยู่บนหน้าอกของชายตรงหน้าเป็นรูปโลโก้ F1 ซึ่งหมายความว่าบุคคลคนนี้ มีความแข็งแกร่งมากกว่าโจวฮ่าวกับฉินเฟิงในปัจจุบันอย่างน้อย มากกว่า 10 เลเวล!
แน่นอน ว่าหากเทียบเปรียบกับฉินเฟิงในชีวิตก่อนหน้า เลเวลเพียงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากโลโก้ เลเวล F แล้ว ชายตรงหน้ายังติดเหรียญตราของรองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนอีกด้วย
หน่วยลาดตระเวน เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งในชุมชน ดังนั้นพวกฉินเฟิงจะทำเป็นละเลย ไม่สนใจอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“ไม่ครับ! ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของฉินเฟิงต่างหาก!” โจวฮ่าวเห็นผู้ใหญ่จากหน่วยลาดตระเวนเข้ามาพูดคุยกับพวกเขา จึงไม่รีรอให้อีกฝ่ายสอบถามอะไรเพิ่มเติม พูดติดอ่างอธิบายออกไปทันที -เนื่องจากมันไม่ใช่ฝีมือตนจริงๆ เขาเลยไม่ต้องการรับความดีความชอบใดๆ
เป็นธรรมดาที่ชายตรงข้ามจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของฉินเฟิง เพราะกล้องวงจรปิดได้บอกแก่เขาแล้ว
“อย่างงั้นหรอ เธอชื่อฉินเฟิงใช่ไหม? ส่วนฉัน ฉันชื่อว่า ‘ซูซิงฝู’ เป็นรองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนชุมชนประจำสาขาที่ 12 นี้!”
ฉินเฟิงพอได้ยินชื่อของอีกฝ่าย ก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ทันที
ซูซิงฝู?
ชายคนนี้ … ดูเหมือนว่าในอีก 10 ปีต่อมาจะมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในฐานะพ่อค้านักขูดรีด ไม่คาดคิดเลย ว่าย้อนกลับมา 10 ปี แท้จริงแล้วเขาจะเป็นแค่รองหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน
“สวัสดีครับ!” ฉินเฟิงพยักหน้า
ซูซิงฝูมองฉินเฟิงด้วยรอยยิ้ม ทว่าภายในแววตาของเขาบังเกิดแสงกระพริบไหว ปากเอ่ยกล่าวเบาๆ “ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของเธอในครั้งนี้ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
ในประโยคนี้ แปรได้อีกความหมายนึงก็คือ การที่ฉินเฟิงต่อสู้เอาชีวิตรอดนี้กลับกลายเป็นแค่เพียงการช่วยเหลือเท่านั้น!
รอยแยกมิติปรากฏขึ้น บังเกิดภัยคุกคามในสถานที่ชุมชน และฉินเฟิงเองก็มีส่วนร่วมในการระงับเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนั้น กล่าวได้ว่าเขาควรจะได้รับรางวัลพิเศษบางอย่าง
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องรางวัลที่ต้องเผชิญอันตรายจนเกือบตาย
“ในเมื่อพวกเราเป็นคนสู้ ถ้างั้นศพของพวกมันก็สมควรจะเป็นของเรา!”
ซูซิงฝูยังคงหัวเราะฮะฮ่า แต่ในใจบังเกิดความคิดเล็กน้อยว่า การแสดงออกของฉินเฟิงมันใช่สงบและไร้เยื่อใยเกินไปไหม?
“มันเป็นความจริงที่เธอสามารถฆ่าเขี้ยวทารกลงได้ เนื้อและฟันของพวกมันสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุและขายได้เป็นเงินจำนวนหนึ่ง แต่เธอยังเด็กนัก จะให้นำพวกมันไป ‘ขายเพียงลำพัง’ อาจจะถูกกดราคาหรือโกงก็ได้ แบบนั้นมันคงจะไม่ดี ฉันว่ามอบพวกมันทั้งหมดให้ฉันช่วยจัดการจะดีกว่า”
ฉินเฟิงพอได้ยินประโยคของอีกฝ่าย ก็เผยรอยยิ้มเย็นทันที
หากที่ยืนอยู่ตรงจุดนี้ เป็นโจวฮ่าวเพียงลำพัง อีกฝ่ายก็อาจจะถูกโกงโดยซูซิงฝูไปแล้วก็ได้
เขารู้ดี ว่าแท้จริงแล้วฟันแหลมและเนื้อของเขี้ยวทารกน่ะไม่สามารถขายได้ราคาใดๆ ทว่าศพทั้งหมดสามารถนับเป็น ‘เครดิต’ ได้ นั่นหมายความว่า หากพวกเขาปล่อยให้ซูซิงฝูเป็นคนดำเนินการ เขี้ยวทารกที่ฉินเฟิงสังหารลงทั้งหมด จะกลายเป็นเครดิตของซูซิงฝูไปโดยปริยาย
ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับเครดิตเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ล่วงรู้กันเฉพาะภายใน เป็นการแลกเปลี่ยนลับ โลกในขณะนี้ ผู้ทรงพลังคือราชา ขณะที่ผู้ไร้ซึ่งพลังจะไม่มีอำนาจปากเสียงใดๆ
ฉินเฟิงไม่คิดอ้อมค้อม เปิดปากโดยตรง “งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน ร่างศพทั้งแปดตัวนี้ ผมขอเปลี่ยนเป็นตัวยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G จำนวน 8 หลอด!”
พริบตานั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของซูซิงฝูพลันแข็งค้าง ในหัวใจเริ่มบังเกิดการตื่นตัว
ตัวยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G มีราคาแค่เพียง 10000 เหรียญต่อหลอด ซึ่งไม่นับว่าสูงอะไรมากมายนัก ทว่าสำหรับที่นี่ ในพื้นที่ชุมชน คนทั่วไปมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวแค่ราวๆ 1000 เหรียญเท่านั้น
ซึ่ง 8 ยาเสริมความแข็งแกร่ง มันเท่ากับเป็นจำนวนเงิน 80000 ! มากกว่ารายได้ต่อหัว 80 เท่า!!
ยังไงก็ตาม ซูซิงฝูน่ะเป็นเจ้าหน้าที่จากทางการ ดังนั้นราคาซื้อขายตัวยาจากภายใน มันจึงถูกกว่าราคาตลาดอยู่มากกว่าครึ่ง
สรุปแล้ว ซูซิงฝูจำต้องเสียเงินเป็นจำนวน 40000 เพื่อแลกกับเครดิตร่างศพเขี้ยวทารกของฉินเฟิง
… จู่ๆก็ถูกเสนอข้อแลกเปลี่ยนแบบนี้ เจ้าหนูนี่ใช่รู้ถึงความจริง หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่นะ?
“วางใจเถอะ ‘การแลกเปลี่ยน’ ในครั้งนี้ คุณไม่เสียเปรียบเลยสักนิด!” ฉินเฟิงเสริมอีกประโยคหนึ่ง
และคำนี้เอง ที่ทำให้ซูซิงฝูจำต้องกลืนคำกล่าวที่คิดจะเอ่ยทดสอบอีกฝ่ายกลับลงไปในลำคอ
ไอ้เด็กบ้านี่ ดูเหมือนว่ามันจะรู้จริงๆ!
“ก็ได้ๆ ฉันยอมแลกเปลี่ยนกับเธอ”
“ขอบพระคุณรองหัวหน้าซู!” ขณะกล่าว ฉินเฟิงก็โค้งกายแสดงการสำนึกคุณเล็กน้อย
“ฮะฮ่าฮ่า! ขอบคงขอบคุณอะไรกัน ได้เจอกับเด็กแบบเธอต่างหากที่เป็นเรื่องโชคดี หลังจากนี้ไป ถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากจะแลกเปลี่ยนอะไร ก็สามารถติดต่อฉันที่เบอร์นี้ได้เลยนะ” ในหัวใจของซูซิงฝูบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น ว่าหากมีช่องทางติดต่อกับฉินเฟิงเอาไว้ เขาอาจสามารถได้รับประโยชน์จากเด็กหนุ่มคนนี้อีกในอนาคต
เพราะขนาดตอนนี้เด็กหนุ่มยังถึงขั้นสามารถสังหารเขี้ยวทารกลงได้ ดังนั้นต่อมา เด็กหนุ่มจะต้องกลายเป็นกำลังรบทางทหารที่ไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน มันคุ้มค่าที่จะแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อเอาไว้ใช้งาน
ซูซิงฝู แม้ว่าในเวลานี้จะยังไม่ใช่พ่อค้านักขูดรีดเต็มตัว แต่เขาก็เริ่มมีศักยภาพที่จะได้กลายเป็นนักขูดรีดแล้ว!
…
จู่ๆฉินเฟิงก็ได้รับยาเสริมความแข็งแกร่งมาตั้ง 8 หลอด แต่อีกฝ่ายกลับยัดพวกมันกว่าครึ่งลงในมือของโจวฮ่าว -โจวฮ่าวเฝ้ามองหลอดยาด้วยความโง่งม ของพวกนี้ คือสิ่งที่ตัวเขาก่อนหน้านี้ไม่กล้าแม้คิดหวังจะได้ครอบครอง
“ทำไมถึงสามารถแลกเปลี่ยนได้มากขนาดนี้? ยาเสริมความแข็งแกร่งมันแพงมากเลยไม่ใช่หรอ?” โจวฮ่าวอดไม่ได้ต้องเอ่ยถาม
“สำหรับหน่วยลาดตระเวน พวกเขาสามารถซื้อขายมันในราคาที่ถูกลงครึ่งหนึ่ง”
“หน่วยลาดตระเวนมันดีอย่างนี้นี่เอง! อำนาจของทางการช่างสุดยอด! แบบนี้ในอนาคต พวกเราคงต้องพยายามเข้าร่วมกับพวกเขาให้ได้ซะแล้ว!”
“นายสามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้อยู่แล้วถ้านายต้องการ ” ฉินเฟิงพยักหน้าให้โจวฮ่าว ที่ในชีวิตก่อนหน้า อีกฝ่ายเคยยินยอมแลกชีวิตเพื่อตัวเขาเอง ดังนั้นเมื่อได้ย้อนกลับมาแก้ไขอดีตอีกครั้ง ฉินเฟิงย่อมไม่มีทางที่จะพูดจาหรือปฏิบัติไม่ดีต่อพี่น้องของเขา
แต่สำหรับไอ้สารเลวเฉินหมิง …
ห้วงอารมณ์ในหัวใจของเขาพลิกตลบ ในชีวิตก่อนหน้า บางทีอาจเป็นเพราะหลังจากที่สูญเสียพี่น้องคนสำคัญไป ฉินเฟิงจึงคล้ายต้องการได้รับมิตรภาพ ดวงตาของเขาจึงมืดบอด คิดหันไปคลุกคลีกับเฉินหมิง ไม่ทันได้คาดคิดว่าแท้จริงแล้วมันคือหมาป่าตาขาว!
“เดี๋ยวก่อนสิฉินเฟิง ฉันไม่ใช้เยอะขนาดนี้หรอก ขอคืนพวกมันให้นาย 2 หลอดก็แล้วกัน เพราะจริงๆแล้วฉันก็ฆ่าไปแค่ 2 ตัวเท่านั้นเอง อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะนายช่วยเอาไว้ ฉันคงตายไปแล้ว!”
โจวฮ่าวยื่นหลอดยาสองจากสี่หลอดที่ได้รับมา กลับคืนไปทางฉินเฟิง
“เอาไว้รอให้นายสามารถปลุกอบิลิตี้หรือวรยุทธโบราณให้ได้ก่อนเถอะ หลังจากนั้นฉันจะยอมรับมัน!” ฉินเฟิงผลักหลอดยากลับไป -พวกมันเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีประโยชน์สำหรับเขาเท่าใดนัก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาสามารถปลุกพลังพิเศษได้เป็นที่เรียบร้อย แต่สำหรับโจวฮ่าวนั้นไม่ใช่ ดังนั้นจึงปฏิเสธไป และยกเหตุผลขึ้นมาอ้างเพื่อไม่ให้โจวฮ่าวเกิดความสงสัย
แน่นอน ว่าฉินเฟิงไม่คิดที่จะเอ่ยปากถึงเรื่องอะไรเกี่ยวกับการที่เขาได้กลับมาเกิดใหม่
“เอางั้นก็ได้ รอให้ฉันปลุกพลังพิเศษขึ้นมาก่อนเหอะ ไม่ต้องพูดถึง น้ำยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G แต่กระทั่งเกรด A หากนายต้องการ ฉันก็จะซื้อมันให้!” โจวฮ่าวตบลงบนหน้าอกตัวเอง
แน่นอน ว่าประโยคเมื่อครู่เป็นเพียงการคุยโว หยอกล้อของพวกเขาเท่านั้น
เพราะสำหรับตัวยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด A ในแต่ละปี มันสามารถผลิตได้ครั้งละหลอดเท่านั้น
สองหนุ่มพูดคุยกัน สักพักก็มีรถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุ แพทย์ พยาบาลเร่งเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ขณะที่ฉินเฟิงซึ่งมีส่วนร่วมในการขับไล่เขี้ยวทารก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะได้รับการรักษาเยี่ยงวีรบุรุษ เขาถูกนำตัวแยกไปรักษาเดี่ยวในรถพยาบาล
“ไม่จำเป็นหรอก ถึงบาดแผลภายนอกจะดูร้ายแรง แต่มันก็แค่รอยถากๆตรงผิวหนังเท่านั้นเอง ดูสิเห็นไหม คุณไปดูคนเจ็บคนอื่นเถอะ ผมสบายดี!” ฉินเฟิงหยุดพยาบาลที่กำลังจะหยิบผ้ากอซ มาพันแผลให้กับตัวเขา
พยาบาลเมื่อเห็นถึงการเคลื่อนไหวที่ดูปกติของเขา ไม่น่าจะบาดเจ็บอะไร ก็พยักหน้า และหันไปวุ่นกับทางอื่น ไม่คิดเสียเวลาใดๆ เพราะในสนามรบแห่งนี้ เวลาเพียงหนึ่งนาที อาจตัดสินชีวิตของผู้คนได้
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้ครองครอบพลังพิเศษแล้ว ย่อมมีความสามารถในการรักษาตัวเองที่ดีกว่าคนปกติ ดังนั้นอาการบาดเจ็บตามผิวหนังเล็กๆน้อยๆจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด
ทว่าไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ที่รู้ความจริงว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพลังพิเศษของฉินเฟิง ที่สามารถใช้รักษาร่างบาดแผลได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากพื้นที่ภายในรถพยาบาลคับแคบเกินไป ดังนั้นโจวฮ่าวจึงไม่ได้เข้าไปกับฉินเฟิง เมื่อเห็นฉินเฟิงออกมาอีกครั้งในสภาพพันผ้ากอซทั้งแขนและน่อง ที่น่าจะถูกแอบทำไว้เพื่อตบตา โจวฮ่าวก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้
“ฉินเฟิง วันนี้นายช่างเป็นคนที่โชคร้ายจริงๆ!” โจวฮ่าวบ่นพึมพำ “ช่วงเช้าก็เป็นลม พอมาตอนบ่ายก็ถูกเขี้ยวทารกกัดอีก ฉันว่านายควรจะไปหาผู้ใช้อบิลิตตี้แสง ให้พวกเขาอวยพร หรือสาดน้ำมนต์ล้างซวย อะไรทำนองนั้นซะหน่อยนะ!”
“นายพูดยังกับว่าผู้ใช้อบิลิตี้แสงมันหาได้ง่ายๆอย่างงั้นแหละ” ฉินเฟิงหัวเราะ
อันที่จริง เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายเลย ตรงกันข้าม ฉินเฟิงกลับรู้สึกว่าตัวเองโคตรโชคดีเลยด้วยซ้ำ
เพราะมันจะมีซักกี่คนกันเชียว ที่สามารถย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้งหลังจากความตาย?
“แหะๆ แต่ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆนะ” โจวฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น
“เอาล่ะๆ ตอนนี้ฉันมีบางเรื่องที่ต้องจัดการ นายกลับไปที่โรงเรียนก่อนเถอะ”
ฉินเฟิงหยุดฝีเท้า ไม่ได้เดินต่อกับโจวฮ่าว
“ฉินเฟิง อย่าบอกนะว่าถึงขั้นนี้แล้วนายยังต้องไปทำงานอีก? อย่าไปเลย นี่เป็นช่วงเวลาที่ดี ที่จะเร่งให้พลังพิเศษตื่นขึ้นมาได้นะ นายไม่ควรจะปล่อยให้การตื่นของมันยืดยาวออกไป”
คำกล่าวของโจวฮ่าวทำให้ฉินเฟิงตะลึงงัน -เขาพึ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ตัวเองมีงานพิเศษทำอยู่จริงๆ
Ch.5 – ชุดต่อสู้ T3
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.5 – ชุดต่อสู้ T3
พ่อแม่ของโจวฮ่าวยังคงมีชีวิตอยู่ อีกฝ่ายมีกระทั่งพี่น้องแท้ๆ ถึงแม้ว่าในชุมชนครอบครัวของพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นคนธรรมดา แต่ทั้งหมดก็มีงานที่ดีทำ
ฉินเฟิงย้อนคิดอย่างรอบคอบ และนึกขึ้นได้ว่า ในช่วงเวลานี้ ดูเหมือนว่าเขาจะลาออกจากงานก่อนล่วงหน้าแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่าหลังจากฉีดยากระตุ้น เขาจะได้มีเวลาฝึกฝน ออกกำลังกายทันที
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่โจวฮ่าว
ในบรรดาสามสหาย ฉินเฟิงนับว่าตกทุกข์ได้ยากที่สุด แม้ทั้งเขาและเฉินหมิงจะเป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน แต่มันก็ยังแตกต่างออกไป เพราะพ่อแม่ของเฉินหมิงเสียชีวิตจากการยกทัพบุกชุมชนของสัตว์ร้าย ดังนั้นในแต่ละเดือน เฉินหมิงในฐานะเด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่จากเหตุการณ์ดังกล่าว เลยได้รับเงินอุดหนุน เดือนละ 500 เหรียญตลอดมา
ส่วนฉินเฟิง เขาไม่ทราบกระทั่งว่าพ่อแม่ของตนเป็นใคร รู้เพียงว่าตนเพียงถูกทอดทิ้งอยู่หน้าประตูของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเท่านั้น
เนื่องจากเด็กเกิดใหม่ถือเป็นกำลังสำคัญในอนาคต ที่จะได้รับยาปลุกพลังเมื่ออายุครบสิบหกปี ทำให้การเลี้ยงดูเด็กกำพรัาเป็นสิ่งที่สำคัญในประเทศพันธมิตรในปัจจุบัน
แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเด็กกำพร้า ที่จะได้รับเงินมากพอ ซื้อตัวยาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้
ด้วยเหตุนี้เอง ฉินเฟิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหางานพิเศษทำ เพื่อเพิ่มรายได้แก่ตนเอง
เพราะมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เขาเลยไม่ต้องการที่จะบอกเรื่องนี้กับโจวฮ่าว
“นั่นสินะ ฉันคงต้องไปอธิบายให้ผู้จัดการฟังซะก่อน แต่นายวางใจเถอะ ฉันจะไม่ยอมให้การปลุกพลังพิเศษต้องล่าช้าออกไปแน่นอน ขอตัวก่อนนะ” ฉินเฟิงกล่าวพลางโบกมือลา หันหน้าเดินจากไปในอีกทิศทางหนึ่ง
โจวฮ่าวเฝ้ามองแผ่นหลังของฉินเฟิง บังเกิดความรู้สึกว่าสหายของเขาในตอนนี้ ช่างแลดูเยือกเย็น ราวกับว่าจู่ๆก็กลายเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะขึ้นมาอย่างกระทันหัน
แต่ก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง ก็เพราะสุดท้ายแล้ว ในวันนี้ หลังจากที่พึ่งจะฉีดยากระตุ้นไป มันยังเกิดเหตุการณ์รอยแยกมิติขึ้น ไหนจะเรื่องถูกเขี้ยวทารกโจมตีอีก แบบนี้คนทั้งคนจะไม่เติบโตขึ้นได้อย่างไร?
ฉินเฟิงไม่รู้ถึงความคิดในจิตใจของโจวฮ่าว หากเขารู้ เขาคงจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น -เพราะนี่มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงตนเพียงวันเดียว แต่เกิดจากประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 10 ปี
พอแน่ใจว่าโจวฮ่าวไม่ได้ตามมา ฉินเฟิงก็เริ่มก้าวช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ
สถานที่ชุมชนของเมืองเฉิงหยาง คือเขตใหม่ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของเขา ที่นี่มิใช่เมืองเฉิงหยางจริงๆ หากแต่เป็นชานเมือง ที่แม้พื้นที่รอบด้านจะเต็มไปด้วยป่าคอนกรีต แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังสภาพสังคมอันเลวร้ายได้
สถานที่แห่งนี้ ไม่มีที่ดินเพียงพอ รอบนอกชุมชนมีกลุ่มสัตว์ป่าคอยเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา ไหนจะเรื่องที่มันอยู่ห่างไกลจากเขตเมืองหลักอย่างเฉิงหยางอีก ความสามารถในการป้องกันตนก็เปราะบาง ผู้ใช้พลังพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีเลเวลอยู่แค่ E เท่านั้น
รวมไปถึงอุปกรณ์รักษาเสถียรภาพมิติ ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาหลายปี
ในชีวิตก่อนหน้า หลังจากที่ฉินเฟิงถูกลักพาตัวไป เขาก็ไม่ได้กลับมาที่ชานเมืองเฉิงหยางอีกเลย ดังนั้นความทรงจำในสถานที่แห่งนี้ จึงกล่าวได้ว่าค่อนข้างคลุมเครือ
หลังจากเดินมาผ่านมาได้สามถนน ในที่สุดฉินเฟิงก็พบกับร้านค้าที่เขาต้องการ
-มันคือร้านขายอุปกรณ์ป้องกันสำหรับการต่อสู้ภาคสนาม
นี่เป็นร้านค้าขนาดใหญ่มาก อย่างน้อยในพื้นที่ชุมชนแห่งนี้ มันก็ยังนับว่ามีขนาดใหญ่จริงๆ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร้านแห่งนี้เป็นอุตสาหกรรมในสายงานของกลุ่ม หวันซ่ง
ในร้านขายอุปกรณ์ป้องกัน ผู้หญิงที่มีอายุราวๆ 30 ปี ซึ่งนั่งอยู่ภายในร้าน กวาดสายตามองฉินเฟิงขึ้นๆลงๆ เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของฉินเฟิง เธอก็เริ่มขมวดคิ้ว
“ซุนน้อย รีบออกไปต้อนรับลูกค้าเร็วเข้า! แต่หลังจากเขาออกไปแล้ว อย่าลืมถูพื้นด้วยล่ะ!”
“อ๊ะ รับทราบผู้จัดการ”
พนักงานขายที่ถูกเรียกว่าซุนน้อยเดินออกมาพบกับฉินเฟิง พร้อมกันกับไม้ถูพื้นในมือ เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการมองฉินเฟิงเป็นสิ่งปนเปื้อนที่ทำให้ร้านค้าแห่งนี้สกปรก
ฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา ในชีวิตก่อนหน้า ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันกี่ปีมาแล้ว ที่ไม่มีใครกล้าปฏิบัติตัวต่อเขาด้วยทัศนคติไม่ดีเช่นนี้
แต่ฉินเฟิงก็คร้านเกินกว่าที่จะใส่ใจ เพราะนับจากกลับมาเริ่มต้นเกิดใหม่อีกครั้ง มันยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาจะต้องทำ
ก็แค่บังเอิญพบเจอกับคนที่มีสายตาตื้นเขิน ไม่ควรเก็บมาเป็นอารมณ์ใดๆ
“สุภาพบุรุษท่านนี้ ไม่ทราบว่าตั้งใจจะซื้อหรือขายสินค้า?” แม้เมื่อเห็นสภาพอีกฝ่าย ซุนน้อยจะเกิดความระแวงขึ้นในจิตใจก็ตาม แต่ก็ยังก้าวเข้ามาเอ่ยถามอย่างสุภาพ
ฉินเฟิงตอนนี้มีร่องรอยของบาดแผล ดังนั้นมีแนวโน้มเป็นไปได้มากว่าพึ่งจะกลับมาจากการต่อสู้ แต่ในมือของเขาว่างเปล่า ไม่ได้ถือวัสดุใดๆที่ได้จากการสู้มาเลย
ในกรณีนี้ จึงกล่าวได้ว่าอาจไม่ใช่การมาขายวัสดุ แต่อาจจะเป็นผู้มีพลังพิเศษที่มาซื้อสินค้าก็ได้
แต่ว่านะ! คนที่ไม่กระทั่งสวมใส่โลโก้ของผู้ใช้พลังพิเศษ จะมีเงินมากพอจะซื้อสินค้าจากร้านค้านี้ได้อย่างไร!?
เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว การที่ผู้จัดการร้านหญิงจะมองเหยียดเขา มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ร้านคุณรับซื้อเจ้าสิ่งนี้รึเปล่า”
ฉินเฟิงหยิบยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G ทั้งสี่หลอดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา
ยาเสริมแกร่งเกรด G ตัวยาจะเป็นสีแดงอ่อน ตัวหลอดไม่หนามากนัก มันมีขนาดเท่ากับนิ้วเล็กๆ อีกอย่าง ด้านบนของมันยังมีโลโก้ของทางการติดอยู่ ฉะนั้นขอเพียงตรวจสอบเล็กๆน้อยๆ ก็จะทราบได้ทันทีว่ามันเป็นของจริงหรือไม่!
แม้ว่านี่จะเป็นร้านขายอุปกรณ์ป้องกัน มิได้ขายยาใดๆ แต่ยาเสริมแกร่ง เกรด G เป็นสิ่งมีค่า ดังนั้นเพียงปราดมอง ก็สามารถล่วงรู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามันเป็นของจริง
‘ไม่คาดคิดเลย ว่าจู่ๆก็จะได้ทำการแลกเปลี่ยนธุรกิจใหญ่กันแบบนี้!’
ซุนน้อยสั่นสะท้าน สักพักได้สติกลับคืน
“รับสิ! พวกเราต้องรับมันอยู่แล้ว!”
ซุนน้อยรับเอายาเสริมแกร่งเกรด G มา แต่ก็ยังไม่วายส่องดูมันเล็กๆน้อยๆอย่างระมัดระวัง สุดท้ายเอ่ยปาก “ทางร้านเรารับซื้อโดยต่ำกว่าราคาตลาด 20% ดังนั้นรวมทั้งสิ้นเป็น 32000 เหรียญ!”
ซุนน้อยอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เพราะหลังจากเสร็จสิ้นการซื้อขายนี้แล้ว ตนก็จะสามารถหัก%จากการซื้อขาย ได้ค่าคอมมิชชั่นมากว่า 300 เหรียญในคราวเดียว นี่นับว่าเป็นโชคลาภที่คาดไม่ถึงจริงๆ
ฉินเฟิงพยักหน้า เริ่มกวาดสายตามองอุปกรณ์ต่างๆภายในร้าน
“ได้มา32000 ใช่ไหม งั้นฉันขอใช้เงินนั่นซื้อชุดต่อสู้ T3 , มีดสั้น , หน้าไม้ พร้อมกับลูกศร 30 ดอก , กระเป๋าเป้สะพายหลังสำหรับต่อสู้ และชุดอุปกรณ์กลางแจ้ง!”
ในสถานที่ชุมชน คนที่แข็งแกร่งมีอยู่น้อยเกินไป ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนธรรมดา
ดังนั้น คนเหล่านี้ย่อมไม่มีทางเลือกซื้อชุดต่อสู้ T3 ซึ่งมีคุณภาพสูง
อย่างไรก็ตาม หากความแข็งแกร่งของมนุษย์เองก็ถูกจัดเป็น S ตามต่อด้วย A-G ดังนั้น ทางฝั่งอุปกรณ์ป้องกันเอง ก็มีการจัดอันดับไว้เช่นกัน
ซึ่งตัวอักษร T คืออักษรเริ่มต้นของชุดเกราะสังเคราะห์ทั่วไป มันไม่อาจเทียบเปรียบกับอุปกรณ์อักษรรูนได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ในการป้องกันจากการต่อสู้ -มีย่อมดีกว่าไม่มี ก็แล้วจะให้ไปสู้ในสภาพเปลือยเปล่าไร้การป้องกันรึยังไง!?
“รับทราบคุณลูกค้า ทางเราจะจัดการตามที่คุณต้องการทันที!”
“ … ส่วนสูงขนาดราวๆ 170 … ” ซุนน้อยบ่นพึมพำ เริ่มมองหาชุดที่พอเหมาะกับร่างกายฉินเฟิง
ฉินเฟิงก้มลงมองร่างกายผ่ายผอมของตน และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น
เวลานี้ เขาสมควรที่จะสูงราวๆ 173 ซม. แต่สภาพร่างกายกลับผอมกะหร่อง ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งในชีวิตก่อนหน้ากับการเกิดใหม่นี้ จะมีช่องว่างใหญ่เกินไป
ดังนั้น หลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องนี้ เขาคงต้องรีบปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายโดยเร็วที่สุดซะแล้ว
“โอเค! ” หลังจากที่วุ่นอยู่พักหนึ่ง ซุนน้อยก็นำชุดต่อสู้ T3 มาให้กับฉินเฟิง ทาบลงบนตัวเพื่อเช็กขนาดที่เหมาะสม จากนั้นก็ไปหยิบอุปกรณ์บางอย่างถูกสั่งซื้อมา
ฉินเฟิงมีประสบการณ์ในการเลือกซื้อของเป็นอย่างยิ่ง ที่เขากล่าวมา ล้วนเป็นสิ่งของที่จำเป็น และมันครบถ้วน ดังนั้นซุนซ้อยจึงไม่มีโอกาสได้เสนอขายอะไรเพิ่มเติมอีก
แต่ในที่สุด เขาก็ได้ใช้เงินไปกว่า 30000 เหรียญ เพื่อซื้อของทุกอย่าง สุดท้ายเหลือแค่เพียง 2000 เหรียญในกระเป๋าเท่านั้น
“คุณลูกค้า คุณถูกยอมรับว่าเป็นลูกค้าเก่าแก่ของทางเราแล้ว ฉะนั้น ถ้าคุณมาซื้อสินค้าอีกในครั้งต่อไป โดยราคาซื้อขายเกิน 10000 เหรียญ ทางเราจะลดราคาให้อีก นี่คือหมายเลขสื่อสารของฉัน คุณสามารถเพิ่มมันได้” ซุนน้อยกล่าวอย่างรวดเร็ว
ฉินเฟิงพยักหน้า และไม่ปฏิเสธมัน เพราะการเป็นคนรู้จักกัน เวลาจัดการซื้อขายอะไรมันจะสะดวกกว่า
เมื่อเอ่ยถามถึงชื่อจริงของอีกฝ่าย ฉินเฟิงก็ได้เพิ่มรายชื่อพนักงานขาย ‘ซุนเชี่ยน’ ลงในช่องทางสื่อสารของเขา
ทุกวันนี้ ฉินเฟิงเมมหมายเลขสื่อสารสำหรับตัวเองไว้น้อยมาก เพียง 20 – 30 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเบอร์ติดต่อ แต่ในช่องโทรออก … มันว่างเปล่า
หลังจากที่ฉินเฟิงบันทึกหมายเลขแล้ว เขาก็ปิดเครื่องมือสื่อสาร แล้วสวมใส่ชุดต่อสู้ T3 เก็บมีดสั้น หน้าไม้ และลูกศรเดินออกจากร้านขายของไป
ฉินเฟิงเดินไปตามถนน เห็นได้ชัดว่าชุดนี้ของเขาดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
นั่นเพราะชุดต่อสู้จะแตกต่างจากเสื้อผ้าทั่วๆไป ช่วงเวลานี้คือเดือนมิถุนายนที่ร้อนอบอ้าว ทว่าวัสดุที่ใช้ทำชุดต่อสู้นั้นมีคุณสมบัติกันน้ำและไฟ ดังนั้นความร้อนจึงไม่ล่วงล้ำ แม้ว่าทั้งร่างจะสวมชุดต่อสู้หนาก็ตามที
ชุดต่อสู้ของเขาเป็นสีเขียวเทาลายพราง มันเหมาะสมในการซ่อนตัวในป่าใหญ่ เลยยิ่งทำให้ฉินเฟิงดูโดดเด่นจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงดูอ่อนวัย แต่การแสดงออกกลับแลดูสงบ ดวงตาก็คมชัด
หน้าไม้ตรงเอว มีดสั้นเสียบตรงรองเท้า และลูกศรที่เก็บซ่อนอยู่ในขอบกระเป๋าสะพาย เป็นตัวแทนบ่งบอกถึงอำนาจการต่อสู้
นอกจากนี้ ในทำนองเดียวกัน มันยังเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงสัญลักษณ์ของเงินตราที่มี
ฉินเฟิงไม่ใส่ใจสายตาของคนอื่นๆ เขาเลือกที่จะโบกรถ เมื่อรถจอดก็เปิดประตูเอ่ยปากกล่าว “ไปทางออกสู่ทุ่งล่า”
คนขับเหลือบตาผ่านกระจก มองฉินเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เนื่องจากฉินเฟิงปิดปากเงียบ ไม่คิดกล่าวคำใดเพิ่มเติม จึงสุดที่เขาจะเอ่ยถาม และเริ่มออกรถมุ่งหน้าสู่จุดรวมพลทุ่งล่า
เนื่องจากเกิดรอยแยกมิติขึ้น ส่งผลให้พื้นที่รอบนอกชุมชน ได้กลายเป็นสถานที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งที่เรียกกันว่าทุ่งล่า ทว่าแม้จะเสี่ยง แต่ก็ยังมีคนคิดออกไปสู้แสวงโชคอยู่เสมอๆ
เมื่อมาถึงที่นี่ ชุดต่อสู้ของฉินเฟิงก็ไม่เด่นสะดุดตาอีกต่อไป
Ch.6 – สัตว์ร้ายมนุษย์กบ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.6 – สัตว์ร้ายมนุษย์กบ
ฉินเฟิงก้าวขึ้นไปบนรถศึกสมัยใหม่ที่ถูกดัดแปลงขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อใช้สำหรับบรรทุกคนเดินทางเข้าสู่ทุ่งล่า เสียงไพเราะของหญิงสาวดังแว่วเข้ามาในหูของเขา
“การเดินทางสู่ทุ่งล่าในครั้งนี้ ตามเส้นทางจะผ่านสถานีภูเขาซีฉาน , ห้วยจุ่ยฉู , อ่าวฉิงเฮ , ซากปรักหักพังหยวนหยาง , ชุมชนฉางหนาน … ”
“นักสู้ทุกท่านโปรดทราบ ว่าหลังจากเดินทางสู่ทุ่งล่า ท่านจะสามารถล่าและสังหารสัตว์ป่าที่เกิดการวิวัฒนาการจนผิดปกติได้ จากนั้น โปรดทำเครื่องหมายบนศพของพวกมัน หรือเก็บอวัยวะบางส่วนของมันเอาไว้ เพื่อใช้แลกเหรียญเงินเป็นรางวัล เป้าหมายในการล่าสังหารจะมีดังต่อไปนี้ : หนูยักษ์กินพืช , หมาป่าตาแดง , เถาวัลย์กินมนุษย์ , มนุษย์กบแม่น้ำ … ”
ภายในรถ เสียงจากระบบอัตโนมัติทำให้ฉินเฟิงย้อนนึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ห่างหายไปนาน
เพราะนี่ก็เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่เขาไม่ได้กลับมาร่วมเดินทางบนรถ มุ่งหน้าสู่ทุ่งล่า!
ทุ่งล่านับว่าเป็นสถานที่อันตรายอย่างหาที่เปรียบมิได้ เนื่องจากไม่เพียงรอยแยกมิติอาจจะปรากฏขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ยังมีการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตภายนอกจำนวนมาก ที่ได้เข้ามายึดครอง และปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมที่พวกมันจะใช้อยู่อาศัย
ดังนั้น เพื่อปกป้องความปลอดภัยของชานเมือง เหล่าคนระดับสูงเลยงัดกลยุทธ์มอบรางวัลจำนวนมาก ผลักดันให้ผู้คนออกมาต่อสู้ในทุ่งล่า
บนรถศึก มีผู้โดยสารมากกว่า 20 คน แต่ไม่มีใครสนทนากับฉินเฟิงเลย อย่างแรกคือพวกเขาไม่รู้จักฉินเฟิง อีกอย่างพวกเขาคิดว่าฉินเฟิงคงมากับสมาชิกทีมอื่นๆ จึงไม่สนใจ
เมื่อรถหยุดลงตามแต่ละสถานี บางคนก็ลุกออกไป บางคนก็เดินขึ้นมา จนกระทั่งรถโดยสารได้มาถึงสถานีอ่าวฉิงเฮ ฉินเฟิงก็ลุกขึ้น ตรงไปที่ประตูเพียงลำพัง ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนจากอีกทีมหนึ่งลุกตามเช่นกัน
เดิมที ในรถไม่ได้มีใครตั้งใจสังเกตฉินเฟิง แต่เมื่อเขาลงมาคนเดียว เจ้าตัวจึงกลายเป็นเป้าสายตาทันที
“นี่นายมาล่าคนเดียวงั้นหรอ? ในทุ่งล่ามันอันตรายมากเลยนะ ฉันว่านายไปกับพวกเราจะดีกว่า!”
หนึ่งในห้าของสมาชิกทีม หญิงสาวที่ครอบครองแววตาสดใสและใบหน้าทรงเสน่ห์ เมื่อสังเกตเห็นว่าฉินเฟิงมาคนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะชักชวนเขา
“อย่าเลยเหยาเหยา!” วัยรุ่นชายอีกคนในทีมรีบเอ่ยปาก พลางมองฉินเฟิงอย่างหวาดระแวง “การที่เขามาคนเดียวแบบนี้ ฉันว่าเขาคงต้องมีความสามารถไม่เลวอยู่แล้ว และไม่น่าจะอยากไปกับพวกเราหรอก!”
วัยรุ่นสาวที่ชื่อเหยาเหยาโต้กลับทันที “เพราะฉันคิดว่าเขาน่าจะแข็งแกร่งไง ก็เลยจะชวน!”
“เหยาเหยา เธอมั่นใจได้ยังไงว่าเขาแข็งแกร่ง บางทีการลากเขามา อาจจะเป็นการถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเราก็ได้นะ!” วัยรุ่นชายอีกคนกล่าวอย่างร้อนรน
“แต่ว่า … ”หลี่เหยาเหยาชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างของทั้งสองคนนี้
“ลืมมันเถอะเหยาเหยา … เพราะคนๆนั้นเดินหนีไปแล้ว!” วัยรุ่นสาวอีกคนดึงข้อมือของหลี่เหยาเหยา “ช่างเป็นคนที่นิสัยเสียจริงๆ เธออุส่าห์เจตนาดีแท้ๆ แต่เขากลับไม่แยแสเลย!”
ในตอนนั้นเอง ทุกคนที่โต้เถียงกันอยู่ จึงค่อยค้นพบว่า ฉินเฟิงเดินออกห่างไปไกลกว่า 20 เมตรแล้ว และหายเข้าไปในดงต้นกกยักษ์อย่างรวดเร็ว
พอมองถึงจุดนี้ ในหัวใจของทุกคนก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้
‘เจ้าหมอนั่น ทำไมถึงเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้นะ!’
…
ฉินเฟิงไม่รู้และไม่สนใจถึงสิ่งที่อีกกลุ่มคิด อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้มีนิสัยชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว เพราะบางครั้ง การรวมกลุ่มกันในทุ่งล่า มันน่ากลัวยิ่งกว่าอยู่ลำพังซะอีก ซึ่งในเวลานี้ ฉินเฟิงรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาเลยไม่ต้องการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น
ยิ่งไปกว่านั้น การมายังทุ่งล่าของฉินเฟิงในครั้งนี้ ก็ยังไม่อยากจะให้ใครรับรู้
เขาเร่งวิ่งฝ่าดงต้นกกยักษ์ไปอย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้ต้นกกเกิดเสียงดัง และอีกอย่าง ใบของต้นกกก็ค่อนข้างคม เพียงโดนนิดเดียวก็ทำให้เกิดรอยขีดข่วน แต่ส่วนที่เหลืออ่อนนุ่ม โดยปกติแล้วหากไม่โดนคมมันมากๆ ก็สามารถเดินฝ่าไปได้
แต่โชคดีที่ฉิงเฟิงใช้ชุดต่อสู้ T3 มันมีพลังป้องกันสูงมากพอจะป้องกันสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น แม้ในพื้นที่ๆใบต้นกกคมกริบรกทึบ เขาก็ไม่หวั่น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีชุดต่อสู้คอยปกป้องร่างกาย แต่มันก็ทำได้เพียงปกป้อง มิอาจแจ้งเตือนถึงอันตรายล่วงหน้าได้
“กูววว!”
เสียงร้องเบาๆของกบดังขึ้น ดวงตาของฉินเฟิงหดแคบลง เบนมองไปยังต้นตอทิศทางของเสียง
วินาทีต่อมา ร่างสีเขียวก็ผลุบออกจากดงต้นกกยักษ์ -กระโจนเข้าหาเขาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!
แต่ฉินเฟิงถือหน้าไม้เตรียมพร้อมไว้ในมืออยู่แล้ว เขานาบลูกศรลง เบนทิศเล็งเล็กน้อย เหนี่ยวไกอย่างเฉียบขาด
“ฟุบบบ!”
เสียงหุบต่ำอันลึกล้ำแหวกฝ่าอากาศออกไป และในวินาทีต่อมา มันก็พุ่งเข้าถึงตัวร่างสีเขียวที่อยู่กลางอากาศ
“ปุ!”
ลูกศรหน้าไม้พุ่งเจาะกะโหลกศัตรูโดยตรง ทั้งเลือดและวัตถุสีเหลืองบางอย่างกระเซ็นลงตามต้นกก
ในเวลานี้ ร่างสีเขียวที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ร่วงตกลงกับพื้น เปิดเผยให้เห็นถึงร่างของมันอย่างชัดเจน ว่าคืออะไร
-มันเป็นสัตว์ร้ายสีเขียว มีขนาดตัวเท่ากับครึ่งมนุษย์ เป็นกบขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ตัวกบยังมีสองขาหลังที่แข็งแรง ทำให้มันแทบจะยืนตัวตรงได้ นี่คือนักลอบสังหารในดงต้นกกที่โด่งดังที่สุดในอ่าวฉิงเฮ – สัตว์ร้ายมนุษย์กบ!
ซึ่งก่อนหน้านี้ ในบรรดารายการเป้าหมายล่าบนรถศึก ตัวมันเองก็มีชื่ออยู่เหมือนกัน
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า ดึงมีดสั้น และคว้านเอาดวงตาของมนุษย์กบขึ้นมา
แม้ว่าเนื้อของมนุษย์กบจะมีรสชาติไม่เลว แต่ฉินเฟิงยังคงมีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้องกระทำ เขาเลยไม่สามารถแบกเนื้อจำนวนมากได้ อีกอย่าง เลือดของมนุษย์กบเองก็อาจจะเป็นตัวดึงดูดสิ่งมีชีวิตอื่นๆมา
เขาใส่คู่ดวงตาของมนุษย์กบลงในขวดปิดผนึก และสัมผัสได้ว่าพลังงานของมนุษย์กบกำลังถูกดูดกลืนเข้ามาโดยอัตโนมัติ -พละกำลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นทันที
“แปลกจัง ทำไมมันถึงสามารถดูดกลืนได้เร็วกว่าในชีวิตก่อนหน้ากันนะ!?”
“นี่ใช่เป็นเพราะพลังพิเศษอยู่ในสภาพสมบูรณ์รึเปล่า?”
“หรือบางที อาจเป็นเพราะฉันครอบครองพลังอันยอดเยี่ยมอยู่แล้วกันแน่!?”
ฉินเฟิงรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายค่อยๆเพิ่มขึ้น ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
ไม่เสียเวลาคิดนาน เขามุ่งหน้าต่อไป ต้นกกยักษ์เองก็เริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานั้นเอง เสียงกบร้องก็ดังขึ้นรอบตัวเขาอีกครั้ง
“กูว กูว กูววว!” เสียงร้องเสียดแทงเข้ามาในรูหูดังมากขึ้น ฉินเฟิงผุดลุกทันใด และยิงลูกศรออกไป
“วิซ วิซ!”
สองศรจากหน้าไม้แหวกฝ่าช่องว่างขนาดใหญ่ของต้นกก ทิ่มปลายแหลมเข้าใส่สองมนุษย์กบที่กระโจนอยู่กลางอากาศ กรีดร้องลั่น
ในช่วงเวลานี้ อย่างที่เคยได้กล่าวไป ว่ามันเป็นช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นเวลาสืบพันธุ์ของมนุษย์กบ ดังนั้น หากไม่กวาดล้างมนุษย์กบในตอนนี้ เมื่อไหร่ที่ช่วงแพร่พันธุ์ผ่านพ้นไป ปริมาณของมนุษย์กบก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มันจะออกจากรังเดิม และกระจัดกระจายออกไป ซึ่งสำหรับสถานที่ชุมชนแล้ว นี่นับว่าเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงนัก!
ซึ่งนี่เอง ที่เป็นเหตุผลให้ก่อนหน้านี้ เสียงอัตโนมัติบนรถศึกเลยประกาศให้มันเป็นเป้าหมายในการล่า
ฉินเฟิงเดินออกไป พลังงานจากพวกมันถูกดูดกลืนโดยที่ฉินเฟิงไม่รู้ตัว สำหรับเวลานี้ ฉินเฟิงเพียงรู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้น
นี่ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนสบาย แถมเขายังสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงไม่ได้มีประสบการณ์เช่นนี้มาหลายปีแล้ว
เพราะท้ายที่สุดนี้ ในชีวิตก่อนหน้า หลังจากแกร่งขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ฉินเฟิงก็ไม่อาจยกระดับไปยังขั้นต่อไปได้นานมากแล้ว
หลังจากฉินเฟิงถูกฉีดยากระตุ้นพลัง เขาก็ได้รับพลังพิเศษ ที่สามารถใช้ดูดกลืนพลังงานของคู่ต่อสู้มาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายตนเอง ด้วยผลลัพธ์ของมัน จึงทำให้เขาดูเหมือนกันกับผู้ใช้วรยุทธโบราณ
ซึ่งหากมีการจัดประเมินระดับในตอนนี้ ร่างกายฉินเฟิงแน่นอนว่าย่อมต้องอยู่ใน เลเวลG1 ของผู้ใช้วรยุทธโบราณ!
ฉินเฟิงยังคงเดินหน้าต่อไป ยิ่งนาน ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งมั่นคง
ในอีกสามชั่วโมงถัดไป ฉินเฟิงก็ได้ข้ามผ่านพื้นที่ต้นกกยักษ์ และได้ยินถึงเสียงน้ำไหลที่ดังแว่วเข้ามา
ที่นี่คืออ่าวฉิงเฮของจริง!
อ่าวฉิงเฮแห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่อันตรายยิ่ง ใต้น้ำบางส่วนมีปิรันย่าและจระเข้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ต้องห้าม
ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง อ่าวฉิงเฮจึงเป็นสถานที่รวมตัวกันขององค์กรร้าย และมีการทดลองผิดกฏหมายไม่ทราบชนิดมากมาย ซุกซ่อนอยู่ที่นี่
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกกันว่า เงามืดภายใต้แสงสว่างจากดวงไฟ!
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงมิได้มาสถานที่แห่งนี้เพราะต้องการแก้แค้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขายังคงต้องได้รับการเพิ่มพูนอีกมาก
แต่ฉินเฟิงเลือกมาที่นี่ ก็เป็นเพราะเขาเชื่อว่า มันคือที่ๆ ‘มีแนวโน้ม’ ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้เร็วที่สุด
ฉินเฟิงเปลี่ยนไปใส่ถังออกซิเจน สวมแว่นตากันน้ำ ที่ซื้อมาจากร้านขายอุปกรณ์ป้องกัน
“ฟุ่ม!”
แล้วเขาก็กระโจนลงไป
Ch.7 – สัตว์ร้ายยักษ์ใกล้ตาย
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.7 – สัตว์ร้ายยักษ์ใกล้ตาย
แม่น้ำภายในบริเวณนี้ค่อนข้างลึก ทันทีที่ฉินเฟิงกระโดดลงไป ในสายตาเขาก็เห็นถึงแสงสีแดงอมฟ้าแปลกๆ ไหลวนอยู่รอบตัว – ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสารพิษ! แต่สารพิษก็มีข้อดีของมัน เพราะช่วยให้สภาพแวดล้อมโดยรอบไม่มีอันตรายใดๆจากสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงที่กำลังหลบหนีเอาชีวิตรอด อะดรีนาลีนเดือดพล่าน เขาเลยไม่ได้มัวมามีเวลารับรู้หรือสังเกตถึงมัน แต่ตอนนี้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสารพิษที่สัมผัสกับผิว สร้างความเจ็บแสบราวกับถูกน้ำร้อนลวก
แต่เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บในชีวิตก่อนหน้าแล้ว มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใด!
ฉินเฟิงเร่งว่ายลึกลงไปใต้น้ำ เขาเพิ่งได้รับพลังงานมาจากมนุษย์กบ ส่งผลให้ความเร็วและความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้น เวลาอยู่ในน้ำเลยรู้สึกอิสระ สบายยิ่งกว่าแต่ก่อน
ผ่านไป 3 นาที เขาก็มาถึงก้นอ่าว พร้อมกันกับปรากฏท่อสีดำมืดขึ้นในสายตา
เส้นผ่านศูนย์กลางของมันอย่างน้อยก็ 2 เมตร กว้างขนาดนี้ ต่อให้ฉินเฟิงยืนตัวตรง ก็ยังสามารถเดินผ่านมันเข้าไปได้
ไม่รอช้า ฉินเฟิงว่ายน้ำเข้าไป
หลังจากว่ายเข้าไปตามทางได้สิบเมตร ปากทางเข้าท่อก็เอียงขึ้นด้านบน นำพาฉินเฟิงออกจากน้ำในที่สุด
พอโผล่พ้นน้ำ กลิ่นฉุนอันน่ารังเกียจก็โชยมาแตะจมูก ทั้งๆที่เขายังคงสวมหน้ากากออกซิเจนปิดเอาไว้อยู่
กลิ่นแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย ว่ามันคงไม่พ้นเป็นท่อระบายน้ำเสีย
และเส้นทางนี้เอง ที่เป็นสถานที่ซึ่งฉินเฟิงใช้หลบหนีออกมาจากหลังจากถูกทดลอง
ตามความทรงจำของฉินเฟิง เมื่อเขาได้รับการฉีดยากระตุ้น และถูกแบกออกจากสถาบันวิจัยโดยโจวฮ่าว เขาก็ได้สติ แต่ดันต้องมาเผชิญกับเขี้ยวทารก หลังจากนั้นโจวฮ่าวก็ตายลง ส่วนเขาพยายามดิ้นรนต่อสู้กับเขี้ยวทารก จนบอบช้ำ บาดเจ็บสาหัส
ทว่าเพราะเนื่องจากการตายของเขี้ยวทารก ฉินเฟิงเลยสามารถดูดกลืนพลังงานของมันมาได้ อาการบาดเจ็บหนักเหล่านั้นของเขาจึงหายไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่พบเห็นต่างก็รู้สึกทึ่ง
ฉินเฟิงได้ถูกนำตัวไปวินิจฉัยโดยแพทย์ และได้ข้อสรุปว่า ตัวเขาอาจสามารถปลุกพลังพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใครขึ้นมาได้
แต่แล้วพอออกจากรถพยาบาล เขาก็โดนลอบโจมตีอย่างกระทันหัน และถูกลักพาตัวไป
ในสถานที่ชุมชนขนาดใหญ่ ประจวบกับความโกลาหลที่เพิ่งเกิดขึ้นจากรอยแยกมิติ ดังนั้น จึงไม่มีใครมัวใส่ใจกับการหายตัวไปของเด็กอายุ 16 ปีคนหนึ่ง
เฉกเช่นเดียวกันกับการตายของโจวฮ่าว -มันก็แค่อุบัติเหตุ
หลังจากนั้นก็น่าจะรู้กันอยู่แล้ว ฉินเฟิงถูกนำตัวไปยังห้องปฏิบัติการทดลอง และต่อมาอีกหลายชั่วโมง เขาก็ได้รับการพิจารณาว่าคงไม่รอดแน่ๆ จึงถูกโยนลงไปในบ่อทิ้งขยะ เตรียมปล่อยไหลลงไปตามท่อระบายน้ำ
เมื่อคิดย้อนไปถึงสิ่งเหล่านี้ ฉินเฟิงก็มาถึงจุดสิ้นสุดของท่อระบายน้ำพอดี
สุดทางของท่อระบายน้ำคือบ่อทิ้งขยะ มันมีแผ่นเหล็กปิดทางเข้าเอาไว้อยู่ ทว่าตรงส่วนปลายของแผ่นเหล็กแผ่นหนึ่ง กลับปรากฏมือใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดยื่นออกมา คล้ายพยายามแหวกทาง เป็นช่องว่างเล็กๆราวๆ 30 ซม.
ซึ่งช่องว่างนี้ เพียงพอสำหรับคนๆหนึ่งที่จะผ่านเข้าไปได้
ฉินเฟิงปีนไปตามฝ่ามือใหญ่ เห็นได้ชัดว่าในชีวิตก่อนหน้า ก็เป็นเจ้าสิ่งนี้เองที่เปิดทางหนีทิ้งไว้ ช่วยให้เขารอดชีวิตไปได้
มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีความยาวกว่า 3 เมตร ทว่าสภาพของมันในตอนนี้ช่างดูน่าสังเวชเหลือเกิน
เลือดและเนื้อทั้งร่างเน่าเสีย คาดว่าคงถูกกัดกร่อนด้วยสารพิษ นอกเหนือไปจากกรงเล็บที่ใช้แหวกแผ่นเหล็กแล้ว เล็บที่เหลือล้วนหลุดลุ่ยออกมารวมกับกองขยะเบื้องล่าง ไม่เหลือเล็บอื่นใดบนมืออีก
ไม่เพียงเท่านั้น แต่สิ่งมีชีวิตตัวนี้ ในสภาพสมบูรณ์ สมควรที่จะมีขนปกคลุมทั่วตัว แต่สภาพมันเวลานี้ คาดว่าทั้งตัวคงถูกถอนขนออกจนสิ้น กระทั่งส่วนหางก็ยังถูกตัด
คู่ดวงตาของมันถูกเลาะออก ตรงกลางหน้าผากก็มีรูถูกแหวก เกรงว่าคงจะเป็นแหล่งรวมแก่นอบิลิตี้ที่ถูกนำออกไป
หากมิใช่เพราะเนื้อหนังและกระดูกถูกทดลองจนสูญค่าไปแล้ว น่ากลัวว่ากระทั่งซากศพของมัน คงไม่เหลือมาให้เห็น
“โดนถึงขนาดนี้ มันยังฝืนยื้อชีวิตตัวเอง ไม่ตายทันทีตั้งแต่ถูกโยนลงมาได้ยังไงกันนะ?”
มองไปยังรูขนาดเท่ากำปั้นบนหน้าผาก น้ำเสียงของฉินเฟิงเผยถึงแปลกใจเล็กน้อย
ก็ถ้าบาดแผลของมันร้ายแรงถึงขนาดนี้จริงๆ แล้วเจ้าสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้า มันไปเอาแรงจากไหนมางัดแผ่นเหล็กได้กัน?
“เดี๋ยวก่อนสิ หรือว่าจะเป็นเพราะพลังใจของมัน? แต่ทำไมมันถึงได้ฮึดสู้ขนาดนี้ …?”
ฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ใช่แล้วล่ะ จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ ก็เพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตรงหน้านั่นเอง
หลังจากที่ถูกทดลอง และได้ข้อสรุปว่าคงไม่รอดแน่ๆ เขาก็ถูกโยนลงมาราวกับขยะ แต่ดันร่วงลงมากระแทกเข้ากับสิ่งชีวิตตนนี้พอดี จากนั้น พลังพิเศษดูดกลืนของเขา ก็ทำการดูดซับพลังงานจากร่างที่ว่านี่เข้าสู่ร่างกาย อย่างไรก็ตาม พลังดูดกลืนในตอนนั้น อ่อนแอกว่าพลังที่เขาปลุกขึ้นมาได้ในตอนนี้กว่า 10 เท่า
สงสัยว่าคงเป็นเพราะเขาถูกทำการทดลองมากเกินไป พลังพิเศษส่วนใหญ่จึงถูกทำลายลง จนแทบไม่เหลืออะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยการดูดกลืนพลังงานนี่เอง ฉินเฟิงจึงสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายตนได้อีกครั้ง ทว่าเมื่อได้สติเขาก็ไม่คิดมัวสำรวจสภาพแวดล้อมใดๆโดยรอบ เมื่อสายตาที่พร่ามัวหันไปเห็นช่องว่างเล็กๆ เขาก็พุ่งตัวเข้าไปทันที หลบหนีรอดชีวิตไปได้ในที่สุด
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้เอง ที่เป็นตัวช่วยชีวิตฉินเฟิงเอาไว้
ฉินเฟิงยังคิดเลย ว่าหากตนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขาจะกลับมาที่นี่ และหากมันยังไม่ตาย ก็จะช่วยชีวิตมัน จากนั้นก็ทำสัญญาต่อกัน
นั่นคือสาเหตุที่เขามาที่นี่ แต่หากมันตายแล้ว เขาก็ยังสามารถดูดกลืนพลังงานอันมหาศาลของสิ่งมีชีวิตตนนี้ได้ และจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากแน่ๆ บางทีมันอาจมากพอที่จะใช้บุกเข้าไปทำลายองค์กรที่เคยทดลองตัวเขาเลยก็ได้!
แต่ไม่คาดหวังเลย ว่าผลลัพธ์มันจะกลายเป็นแบบนี้ … ดูเหมือนว่ามันจะตายไปได้สักพักหนึ่งแล้ว แบบนี้เขาก็ดูดพลังงานจากมันไม่ได้น่ะสิ -ว่าแต่ถ้าอย่างงั้นในชีวิตก่อนหน้า เขาดูดพลังจากสิ่งใดกัน?
เฝ้ามองมันอยู่เนิ่นนาน จมอยู่กับห้วงความทรงจำในชีวิตก่อนหน้านานเป็นสิบนาที จนกระทั่งมีอะไรบางอย่างเรียกสติเขากลับคืน
“เอ๊ะ? นั่นมันอะไรน่ะ!”
ฉินเฟิงรู้สึกว่าบนร่างศพของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ตัวนี้กำลังขยับไหว คล้ายกับว่ากำลังมีอะไรบางอย่างถูกผลักออกมา
ในทิศทางใต้ช่วงท้องของสัตว์ใหญ่ ปรากฏแสงสีเงินขึ้น
มันคือแสงที่เกิดจากความผันผวนของธาตุมิติ!
นี่ไม่มีทางผิดพลาด เพราะไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงเพิ่งเจอกับความผันผวนของธาตุมิติมา ไหนจะประสบการณ์นับหลายปีของเขาในชีวิตก่อนหน้าอีก ดังนั้นเขาจะไม่ทราบเกี่ยวกับมันได้อย่างไร?
นี่ใช่เป็นเหตุจากการที่เขาเกิดใหม่หรือไม่? รอยแยกมิติจึงเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้?
ทว่ารอยแยกมิติที่เกิดขึ้นที่นี่มันเล็กมากจริงๆ เล็กยิ่งกว่ารอยแยกตอนที่เขี้ยวทารกบุกเข้ามาซะอีก เล็กแบบนี้คงไม่น่าจะอันตรายอะไรล่ะมั้ง? -แม้ว่าฉินเฟิงในเวลานี้จะยังหวาดระแวงกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ด้วยประสบการณ์ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ทำให้เจ้าตัวไม่คิดหลบหนี แต่กลับเลือกผลักร่างศพของสัตว์ใหญ่ออกไป เพื่อสำรวจมันแทน
เมื่อไร้ซึ่งศพของสัตว์ใหญ่บดบัง แสงสีเงินเรืองรองก็สาดไปในชั้นอากาศทันที
“นี่มันช่องว่างมิติ!”
ช่องว่างมิติจะแตกต่างไปจากรอยแยกมิติที่ไม่เสถียร และสามารถสลายลงได้ตลอดเวลา
ตรงกันข้าม ช่องว่างมิติจะมีเสถียรภาพ และส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์
หลังจากที่ช่องว่างมิติขนาดเท่าแผ่นดิสก์เปิดออก ไม่นานนัก ลูกกลมๆสีแดงขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือก็กลิ้งออกมา แล้วช่องว่างมิติก็หายไป
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมปรากฏ ย่อมเป็นธรรมดาที่สายตาของฉินเฟิงจะตกลงบนมัน
แท้จริงแล้วกลับพบว่าสิ่งทรงกลมแปลกๆที่กลิ้งออกมา -คือรกนั่นเอง
ตัวรกมีสีแดงกึ่งโปร่งแสง เลยเห็นได้ว่ามีอะไรบางอย่างคล้ายกับลูกหมาอยู่ภายใน
ฉินเฟิงสามารถสัมผัสได้ว่า แม้ชีพจรของลูกหมาจะยังมั่นคง แต่ชีวิตของมันตอนนี้แขวนอยู่กับเปลือกรกเบาบางที่ห่อหุ้มตัวเอาไว้
ในใจของฉินเฟิง คล้ายกับว่าสามารถเชื่อมต่อเรื่องราวทุกอย่างเข้าด้วยกัน
“บางที ในตอนนั้น จริงๆแล้วฉันไม่ได้ดูดพลังงานจากสัตว์ใหญ่ แต่เป็นจากร่างที่ตายแล้วของเจ้าตัวเล็กนี่ต่างหาก!”
ครั้งที่ฉินเฟิงถูกโยนลงมาจากด้านบน เขาก็หล่นลงใส่ร่างศพของสัตว์ใหญ่พอดี ดังนั้นจึงเข้าใจผิด ว่าพลังงานที่เขาดูดกลืนมา เกิดจากร่างศพของที่สัตว์ใหญ่พึ่งเสียชีวิตไป
“เอาล่ะเจ้าตัวน้อย ในเมื่อเรามีวาสนาได้พบกัน ถ้างั้นฉันจะเป็นคนเลี้ยงแกเอง หลังจากนั้นพวกเราก็มาร่วมมือกันแก้แค้นเถอะ! ” ฉินเฟิงคว้ารก และใส่มันอย่างระมัดระวังในเป้สะพายหลังที่กันน้ำได้
ในช่วงเวลานั้นเอง เสียงของเครื่องจักรกลก็เริ่มดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
เหนือศีรษะ ปรากฏใบมีดคมกริบนับร้อยเริ่มหมุนวน ค่อยๆลดระดับลงมา เห็นได้ชัดว่านี่คงจะเป็นเวลาที่พวกเขาเตรียมการที่จะบดศพพทดลองให้แหลกเป็นชิ้น ก่อนจะปล่อยให้ไหลลงไปตามท่อระบายน้ำเสีย
“วางใจเถอะ ฉันจะดูแลลูกของแกเอง!”
ฉินเฟิงกล่าว พลางเริ่มมุดหนีออกไปตามช่องว่างของแผ่นเหล็ก
ขณะเดียวกัน ร่างศพของสัตว์ใหญ่ซึ่งได้ตายไปนานแล้ว กลับปรากฏหยาดโลหิตไหลออกมาจากดวงตา คล้ายกับว่ามันกำลังร่ำไห้
“หึ่ง หึ่ง หึ่ง … ”
เสียงของเครื่องจักรป่นสับดังขึ้น บดทำลายทุกสิ่งในบ่อทิ้งขยะ จนไม่เหลือสิ่งใดเลย
Ch.8 – แก่นอบิลิตี้
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.8 – แก่นอบิลิตี้
ฉินเฟิงคลานออกจากช่องเล็กๆ กระโดดลงไปในน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารพิษ ตามผิวหนังเริ่มสัมผัสได้ถึงความเจ็บแสบอีกครั้ง
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เจ้าตัวเพียงแหวกว่ายไปตามทาง สุดท้ายมุดออกมาจากท่อ มุ่งหน้าสู่ต้นน้ำ ระหว่างทางก็สังหารมนุษย์กบที่เจอไปพลางๆ
เมื่อมาถึงต้นน้ำ สารพิษจากห้องปฏิบัติการทดลองก็มาไม่ถึงอีกต่อไป ดังนั้นน้ำตรงส่วนนี้จึงสะอาด
ตั้งแต่ที่เกิดรอยแยกมิติ มนุษย์ก็กลับมาอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร โรงงานส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลง ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงร้อยปี โลกบริเวณในส่วนที่มนุษย์มิได้อาศัย จึงถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณมากมาย มลพิษทางอากาศลดลงอย่างมหาศาล
บางที … นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลกก็ได้!
ฉินเฟิงล้างมือ ใบหน้า และลำคอของเขา ส่วนร่างกายเนื่องจากใส่ชุดต่อสู้T3 มันจึงไม่มีปัญหาใดๆ ก็หากชุดมันไม่มีข้อดีตรงส่วนนี้ เขาคงเสียใจกับราคาของมันที่ซื้อมา
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็เปิดกระเป๋าสะพายหลัง หยิบเอารก ถุงนอน และสิ่งของเล็กๆน้อยๆออกมา
บางทีพอได้ออกมาจากช่องว่างมิติ พลังของเจ้าตัวน้อยก็เลยค่อยๆเริ่มฟื้นฟูกลับมา
มองผ่านเข้าไปในรกที่โปร่งใส ฉินเฟิงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าพุงของเจ้าตัวเล็กกำลังขยับยุบๆพองๆ มันสูดหายใจ ขณะเดียวกันรกก็เริ่มแห้งลง คล้ายกับว่าถูกดูดกลืนพลังงานโดยเจ้าตัวเล็กไปอย่างต่อเนื่อง
แบบนี้ คาดว่าภายในชั่วโมงมันก็น่าจะฟักออกมา
ฉินเฟิงก้มลงมองเวลา ตอนนี้มันก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้ว ไม่มีรถศึกจอดตามสถานีในทุ่งล่าอีกต่อไป
นี่หมายความว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในทุ่งล่าเป็นเวลาหนึ่งคืน
ฉินเฟิงหาสถานที่ใต้ลม จากนั้นก็เริ่มเทผงขับไล่ฝูงสัตว์ ซึ่งกลิ่นฉุนของมัน สามารถป้องกันสิ่งมีชีวิตระดับต่ำไม่ให้เข้ามาใกล้ได้
สำหรับในเรื่องของรอยแยกมิติ ที่กล่าวกันว่ามันมักจะปรากฏขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวในทุ่งล่า ในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่ว่าไม่ได้สูงอะไรนัก แต่ทุกครั้งที่ปรากฏ มักจะเกิดความเสียหายร้ายแรงตามมา
ในห้วงความทรงจำจากชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง ช่วงดึกหลังจากที่เขารอดมาจากความตาย ตนเองก็มิได้พบเจอกับรอยแยกมิติหรืออันตรายใดๆ
เมื่อเป็นแบบนั้น ในชีวิตนี้ มันก็น่าจะเป็นกรณีเดียวกัน เขาสมควรที่จะสามารถอาศัยอยู่ในทุ่งล่าข้ามคืนได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
หลังจากที่กินบิสกิตแท่ง ฉินเฟิงก็นั่งขาขวาทับซ้าย ค่อยๆสงบจิต ทำสมาธิเข้าสู่โลกภายใน
ลมหายใจของฉินเฟิงค่อยๆชะลอลง ทั้งคนทั้งร่างคล้ายกับว่าไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป
ในจิตสำนึกของฉินเฟิง สัมผัสได้ถึงก้อนกล้มๆคล้ายหลุมดำทมิฬ ต่อมา ก็ปรากฏเพชรโปร่งใสขึ้นในการรับรู้ของเขา
เพชรที่ว่านี้ มองจากระยะไกล มันมีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อฉินเฟิงเพียงคิดว่าอยากจะเข้าไปใกล้มัน ตัวเพชรก็คล้ายกับรับรู้ มันเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เวลานี้ เหมือนกับว่าฉินเฟิงกำลังอยู่ท่ามกลางอวกาศนอกโลก คล้ายกับมองเห็นแสงดาวสว่างไสว มันขยายขึ้นอย่างต่อเนื่องในสายตาของเขา
มันเหมือนกับดาวเคราะห์ที่ทำมาจากเพชรจริงๆ ใหญ่จนไม่อยากจะเชื่อ รอบดวงดาวฟุ้งไปด้วยวงแหวนหมอกที่ดูคลุมเครือ แลคล้ายกับมีรัศมีคอยปกคลุมรอบดาวเคราะห์ ขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์เพชรก็คอยโคจร หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ
“นี่มันแก่นอบิลิตี้!”
ในหัวใจของฉินเฟิงสั่นสะท้าน
ในชีวิตก่อนหน้า พลังพิเศษของเขาถูกย่ำยีจนไม่สมประกอบ ส่งผลให้ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงแก่นอบิลิตี้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผู้ใช้อบิลิตี้ได้เลย
ที่แท้ดาวเคราะห์เพชรดวงนี้ ก็คือแก่นอบิลิตี้ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขานั่นเอง
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฟิงได้เห็นถึงแก่นอบิลิตี้ของเขาในสภาพสมบูรณ์ ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ
มันช่างทรงอำนาจ ลอยอยู่เงียบๆ คอยสาดแสงสดใสท่ามกลางความมืดมิด
ฉินเฟิงระงับห้วงอารมณ์ที่ตื่นเต้น และเริ่มที่จะใช้จิตสำนึกสัมผัสมันอย่างระมัดระวัง
ดาวเคราะห์เพชรมิได้โปร่งใสไปซะทีเดียว ในส่วนใจกลางของมัน มีแสงสีดำมืดมิดกำลังไหลวนอยู่ คล้ายกับว่าสามารถดูดกลืนพลังงานใดๆเข้าไปได้ตลอดเวลา
“หลุมดำนั่น แน่นอนว่าต้องเป็นพลังพิเศษดูดกลืนของฉัน มันช่างทรงพลังจริงๆ!”
ฉินเฟิงพยายามรับรู้ถึงพลัง และย้อนคิดไปว่าก่อนที่จะเกิดใหม่ แม้แก่นอบิลิตี้จะถูกทำลายลงไปแล้วก็ตาม แต่หลุมดำมืดมิดที่อยู่ใจกลาง เกรงว่ายังคงปลอดภัยดี ดังนั้น ส่งผลให้แม้เขาจะไม่สามารถกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ได้ แต่ก็ยังคงมีพลังพิเศษดูดกลืนเอาไว้ในครอบครอง
ในอดีต เขาเลยทำได้เพียงแค่ใช้พลังดูดกลืน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง กลายเป็นอาชีพผู้ใช้วรยุทธโบราณเท่านั้น*
(ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงเดิมทีถูกฉีดยากระตุ้นจนได้กลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ แต่ต่อมา ถูกนำตัวไปทดลอง แก่นอบิลิตี้พัง แต่ยังมีพลังเสริมแกร่งให้ร่างกายอย่างดูดกลืนอยู่ เลยต้องผันอาชีพไปเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เน้นพละกำลังแทน)
“แต่การที่พลังพิเศษของฉันเป็นสีดำ มันไม่ใช่หมายความว่าฉันเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืดหรอกหรอ!”
จนถึงตอนนี้ มีผู้ใช้อบิลิตี้เพียงสิบธาตุเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น ในทั้งสิบ มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ พลังยิ่งแกร่ง ก็ยิ่งพบได้ยากกว่า ตามลำดับดังต่อไปนี้ เริ่มจาก ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ที่หาได้ง่าย พิเศษขึ้นมาก็จะเป็น ลม สายฟ้า น้ำแข็ง และหาได้ยากที่สุดคือ แสง และความมืด
แต่ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลย ว่าอบิลิตี้ของตนจะเป็นธาตุมืด
ฉินเฟิงกลายเป็นฟุ้งซ่าน สมาธิของเขาเกือบจะหลุดลอยไป ดังนั้นดาวเคราะห์ที่เคยมาหยุดอยู่ใกล้ๆ จึงค่อยๆลอยไกลห่างออกไป หลุมดำที่อยู่ใจกลางเอง เวลานี้ก็เห็นแค่เพียงจุดดำเล็กๆเท่า
ฉินเฟิงส่ายหัว เรียกสติกลับคืน ทว่าหลุมดำได้หายไปแล้ว ตัวเขาหลุดออกจากห้วงจิตสำนึก จิตวิญญาณอ่อนล้าแสนสาหัส
“พลังสมาธิของฉันยังคงอ่อนแอเกินไป!” ฉินเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
พลังสมาธิ คือหัวใจสำคัญในการควบคุมพลังพิเศษของตน แม้แต่ผู้ใช้วรยุทธก็ยังต้องใช้สมาธิในการควบคุมกำลังภายใน
หากต้องการให้ตนมีสมาธิที่ดี เขาก็จำต้องฝึกฝนมันด้วยตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีทางลัดอื่น
“แอ๊!”
เสียงที่ทั้งเล็กและอ่อนแอดังขึ้น ฉินเฟิงชะงักวูบ ต่อมาจึงค่อยตระหนักได้ว่ามันคืออะไร เขารีบหันไปยังทิศทางของถุงนอนอย่างรวดเร็ว
เขาเปิดถุงนอนออก และพบว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ผ้าห่มบางๆ ได้เปิดเผยตัวออกมาแล้ว
มันคือสัตว์ตัวน้อยที่ฉินเฟิงได้ให้ความช่วยเหลือไว้นั่นเอง
ในตอนนี้ สัตว์ตัวน้อยได้กัดกินรกของตนเองจนเกือบหมด แม้จะยังหลงเหลือบางส่วนอยู่ที่ขาหลังอีกเล็กน้อย แต่ก็คงจะหมดลงในไม่ช้า
“แอ๊!”
สัตว์ตัวน้อยร้องอีกครั้ง มันเปิดปาก ทั้งๆที่ยังคงปิดตาอยู่ แสดงท่าทีคล้ายกำลังต้องการของกิน
ฉินเฟิงดึงเอาหลอดบรรจุสารอาหารเหลวคล้ายกับเยลลี่ออกมา มันมีพลังฟื้นฟูที่สูงมาก เดิมทีเขาเตรียมมันมาให้เจ้าสัตว์ใหญ่ เพื่อให้มันสามารถฟื้นฟูพลังกายได้สักเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ เขาได้มอบมันให้กับเจ้าตัวเล็กแทน
สัตว์น้อยกอดหลอดพลาสติก และเริ่มดูดมันโดยไม่รู้ตัว
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย เวลาเฝ้ามองดูสิ่งอ่อนแอ ผู้คนก็มักจะคลายความระมัดระวังเสมอ ในหัวใจของฉินเฟิงเองก็พลอยรู้สึกอบอุ่นไปด้วย
เขานำผ้าขนหนูจุ่มลงในน้ำ อุ่นมันให้เท่ากับอุณหภมูิร่างกาย แล้วค่อยๆเช็ดทำความสะอาดตามตัวเจ้าสัตว์น้อย ซึ่งในชีวิตก่อนหน้า แม้ตนจะมีสหายทั้งชายหญิง แต่ฉินเฟิงก็ไม่เคยทำอะไรที่มันอ่อนโยนแบบนี้กับพวกเขาเลย
แต่นั่นก็เพราะคนทั้งหมดที่ว่ามา ล้วนแข็งแกร่งจนไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้!
เมื่อร่างกายแห้งลง ขนของมันที่สัมผัสกับอากาศก็เริ่มเผยสีดั้งเดิมออกมา -เป็นขนสีขาวที่แห้งสนิท
“ในเมื่อแกมีขนสีขาว ถ้าอย่างงั้นฉันจะเรียกแกว่าเสี่ยวไป๋(ขาวน้อย)ก็แล้วกัน!”
ก็ในเมื่อชื่อมันเป็นแค่สิ่งไร้ประโยชน์ ฉะนั้นฉินเฟิงจึงไม่มามัวเสียเวลาคิดใดๆ เห็นเจ้าสัตว์น้อยเป็นแบบไหน เขาก็ตั้งชื่อตามนั้นไปเลย!
สัตว์น้อยเพิ่งเกิดมา ดังนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง เพียงร้องแอ๊ๆสองครั้ง แล้วผล็อยหลับไปจากกินอิ่ม
ฉินเฟิงเองก็มุดเข้าไปในถุงนอนบ้าง เขาอุ้มสัตว์น้อยวางไว้ตรงหน้าอก ป้องกันไม่ให้เบียดเสียดกันมากจนเกินไป แล้วค่อยหลับตานอน
อย่างไรก็ตาม ใน 10 ส่วน เขาแบ่งสมาธิไปกับการนอนแค่ 3 ส่วนเท่านั้น อีก 7 ส่วนยังคงตื่นตัวตลอดเวลา -นี่เป็นสามัญสำนึกของคนที่ต้องเอาชีวิตรอดในทุ่งล่า
หลับไปเพียงครึ่งตื่น เสียงประหลาดที่ไม่ช่างไม่เหมาะสมเลยกับยามค่ำคืนก็ดังขึ้น ฉินเฟิงเปิดตาของเขาทันที
เจ้าตัวผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ยัดเสี่ยวไป๋ลงในกระเป๋าเสื้อ ถุงนอนเก็บเข้าเป้สะพายหลัง ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาเพียง 10 วินาที
ในระยะไกลออกไป แว่วเสียงเห่าหอนของหมาป่า พร้อมกับร่างของคนหลายคนที่กำลังวิ่งพล่าน
Ch.9 – มือปืน
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.9 – มือปืน
‘หนี! ต้องหนีไปให้ได้!’ สองประโยคนี้วนอยู่ในหัวใจของหลี่เหยาเหยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าเธอต้องการให้กำลังใจตัวเอง
อย่างไรก็ตาม พละกำลังกายยิ่งนาน ก็ยิ่งถดถอย ความเร็วของเธอค่อยๆตกลงเรื่อยๆ ต้องรู้นะว่าเธอไม่ใช่ผู้ใช้วรยุทธโบราณ ที่ครอบครองความสามารถทางกายภาพ
เบื้องหน้า ในสายตาของเธอ ร่างของ หวังไคว่ , เจียงเหวินซวน และหยูไห่ เริ่มที่จะกลายเป็นพร่ามัว
นั่นเพราะพวกเขาสับฝีเท้าวิ่งทิ้งห่างไปไกลกว่าหลายสิบเมตรแล้ว และไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่จะเหลียวกลับมามองเธอ
“เหยาเหยา วิ่งต่อไป ฉันจะถ่วงเวลามันเอาไว้เอง!”
ช่วงเวลาที่หลี่เหยาเหยากำลังสิ้นหวัง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทว่ามันเป็นเสียงของผู้หญิง
“เหมิงเหมิง!” หลี่เหยาเหยาหันกลับไป มองลู่เหมิงที่หยุดฝีเท้า ในเวลานี้ แม้เจ้าตัวจะมีความสูงเพียง 150 ซม. เท่านั้น แต่ภาพที่ปรากฏ เธอกลับช่างดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ลู่เหมิงเปิดช่องว่างมิติ พลันบังเกิดเสียงโครม! -ปืนจักรกลจากช่องว่างมิติตกลงกับพื้นดินโดยตรง
“คลิ๊ก คลิ๊ก!”
เสียงของเฟืองกล และเหล็กสีเทาเงินสาดสว่างภายใต้แสงจันทร์
แท่นจู่โจมT9 ถูกประกอบขึ้นอย่างรวดเร็ว ปากกระบอกปืนยาวเหยียด ถัดลงมาเป็นที่บรรจุกระสุน ซึ่งอัดกันแน่นราวกับรังผึ้ง
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!”
กระสุนและประกายไฟปะทุขึ้น สาดสว่างไปทั่ว
“ฮูมมมม!”
ในความมืดมิด คู่แสงสีแดงร่ำไห้ ล้มลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าอาวุธที่น่าหวาดกลัวดังกล่าว สร้างความเสียหายให้แก่อีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวง
ฉินเฟิงซ่อนตัวอยู่ในความมืด หลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ไม่เสนอหน้าออกไปทันที เพราะเกรงว่าตนเองจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย
ฉินเฟิงตระหนักดี ว่ากลุ่มคนที่กำลังถูกไล่ล่า คือนักเรียนทั้งห้าคนที่ลงจากรถโดยสารพร้อมกันกับเขาในวันนี้
เพียงแต่ตนไม่คาดคิดเลย ว่าอีกฝ่ายจะโชคร้าย หรือไม่ก็คงทำเสียงดัง ประมาทเกินไป ส่งผลให้เพียงในคืนแรก ก็ดึงดูดฝูงหมาป่าเข้ามา
อย่างไรก็ตาม หากมันเป็นเพียงแค่ฝูงหมาป่าธรรมดา น่ากลัวว่าทั้งฝูงคงตกตายด้วยแท่นจู่โจมT9 วัยรุ่นสาวที่ชื่อว่าเหมิงเหมิงไปกันหมดแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นพวกเศรษฐีเงินหนานี่เอง …”
ฉินเฟิงลอบสังเกตลู่เหมิง ด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่เช่นนี้ การจะนำมันออกมาในทุ่งล่า จำเป็นต้องมีค่ารถยนต์ขนส่งที่สูงลิ่ว นอกจากนี้ เครื่องจักรดังกล่าวก็ยังมีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านเหรียญ ไหนจะยังต้องการกระสุนปริมาณมหาศาลอีก
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่กล่าวมา ราคาของมันก็เทียบไม่ได้เลยกับ ‘สายรัดมิติ’ ที่อีกฝ่ายพกไว้กับตัว สายรัดมิติน่ะ เพียงพื้นที่หนึ่งลูกบาศก์เมตรของมัน ราคาก็ปาเข้าไปตั้ง 5 ล้านเหรียญแล้ว ดังนั้น สายรัดที่สามารถใช้เก็บปืนจักรกลที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งลูกบาศก์เมตรแน่ๆ
ฉินเฟิงกำลังคิดว่าควรจะเฝ้ารอให้คนพวกนี้ตายๆไปดีไหม เพื่อที่ตนเองจะได้ฉกเขาของแพงๆที่สาธยายไปเมื่อครู่มา
แต่ในเวลานั้นเอง สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็ผุดออกมาจากในความมืดมิด
สิ่งมีชีวิตตัวนี้ มีความสูงกว่าสองเมตร มีร่างกายขนาดหนาคล้ายกับวัวปกติที่ไม่กลายพันธุ์ มีขนสีดำเข้ม คู่ดวงตาสีแดงฉาน กรงเล็บคมขาว สาดประกายเย็นเยียบ สะท้อนแสงในยามค่ำคืน
“นั่นมันสัตว์ร้ายระดับนายพล! หมาป่ามาสติฟ!”
ฉินเฟิงที่เพียงเห็นร่างของอีกฝ่ายจากในความมืดมิด เพียงครู่ก็ทราบได้ว่าสิ่งมีชีวิตนั่นคืออะไร
ในบรรดาสัตว์กลายพันธุ์ มันมักจะมีสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติปะปนมาด้วยเสมอๆ โดยพวกมันจะถูกแบ่งระดับออกเป็น ทหารสัตว์ร้าย , นายพลสัตว์ร้าย , ราชันย์สัตว์ร้าย และจักรพรรดิ์สัตว์ร้าย
ทหารสัตว์ร้าย เป็นที่นิยมล่ามากที่สุดในหมู่มนุษย์ เพราะเพียงแค่ใช้ความพยายามนิดๆหน่อยก็สามารถกำจัดมันลงได้แล้ว
ทว่าสำหรับระดับนายพล จะถูกถือว่าเป็นผู้นำของเหล่าทหารสัตว์ร้าย
เมื่ออยู่ต่อหน้าหมาป่ามาสติฟ ที่เป็นถึงระดับนายพล จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกลุ่มคนเหล่านี้ถึงได้หวาดกลัว
ห่ากระสุนจากแท่นจู่โจมสาดกระหน่ำต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายมันได้เลย
นั่นเพราะมันว่องไวเกินไป!
“วูซซซซ!”
หมาป่ามาสติฟโฉบไปมาอย่างรวดเร็ว มันสมองของมันมิได้ด้อยกว่ามนุษย์ หลบเลี่ยงกระสุนทุกลูก พริบตาเดียว มันก็สามารถอ้อมหลังลู่เหมิง สบโอกาสฟาดแขนเข้าใส่เธออย่างโหดร้าย
“อย่านะ!” หลี่เหยาเหยากรีดร้อง พลังธาตุที่อยู่รอบตัวเธอสั่นไหวทันใด พร้อมกับปรากฏคลื่นน้ำออกมา
ระลอกคลื่นก่อตัวเป็นกำแพงน้ำ ปกคลุมเบื้องหลังของลู่เหมิงเอาไว้
“ฟุ่ม—”
กรงเล็บของหมาป่ามาสติฟฉีกผ่านกำแพงป้องกันอันเปราะบาง เฉือนเข้าใส่แผ่นหลังของลู่เหมิงโดยตรง
“เคร้ง!”
บังเกิดเสียงโลหะกระทบดังขึ้น เสื้อนอกของลู่เหมิงถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นถึงเสื้อซับภายในสีเงิน และเสื้อสีเงินนี้เหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพยิ่ง มันไม่ฉีกขาดจากกรงเล็บ จึงย่อมเป็นธรรมดาที่คมแหลมไม่อาจบาดลึกถึงตัวหญิงสาวได้
อย่างไรก็ตาม แรงปะทะก็ส่งให้ลู่เหมิงปลิวกระเด็นออกไป
แม้อำนาจโจมตีจะถูกหยุดเอาไว้ แต่เหตุการณ์นี้ มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส
หมาป่ามาสติฟไม่สนใจหลี่เหยาเหยา มันโฉบกระโจนเข้าหาลู่เหมิงดั่งนักล่า เตรียมพร้อมที่จะสังหารเธอ
“เฮ้อ เอาก็เอา”
ฉินเฟิงถอนหายใจแผ่วเบา
หลังจากวิเคราะห์ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เขาก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นอะไร เมื่อเฝ้ามองวัยรุ่นสาวคนนี้ที่ไม่แข็งแกร่ง แต่กลับเลือกหยุดฝีเท้าตัวเอง เข้าต่อกรกับมอนสเตอร์เพื่อช่วยเหลือเพื่อน -การกระทำเช่นนี้ ทำให้ฉินเฟิงอดนึกถึงโจวฮ่าวไม่ได้จริงๆ
มิตรภาพ … นับว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและน่ายกย่องเสมอ
ฉินเฟิงจึงตัดสินใจลงมือช่วยเหลือ
“วิซซซ!”
ลูกศรจากหน้าไม้พุ่งออกไป ยิงเข้าใส่หมาป่ามาสติฟจากมุมอับ
หมาป่ามาสติฟไม่คาดคิดว่าจะมีลูกศรพุ่งออกมาจากที่มืดอย่างกระทันหัน แม้ศรนี้จะไม่ถึงตาย แต่หากมันไม่หลบเลี่ยง ศรก็อาจจะเจาะเข้าดวงตาของมันได้
สัญชาตญาณสัตว์ร้ายร้องเตือน มันวูบกายโฉบไปด้านข้างเพื่อหลบลูกศร แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้พลาดการสังหารลู่เหมิง
ทางด้านฉินเฟิง เขาไม่ลังเลเลยที่จะยิงศรอีกดอกออกไปอีกครั้ง!
“วิซซซ!!”
ราวกับคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เป้าหมายของดอกที่สองก็ยังคงไม่พ้นเป็นดวงตาของศัตรู
แต่คราวนี้ หมาป่ามาสติฟกลับไม่มีหนทางใดที่จะสามารถหลบเลี่ยงได้เลย ในทำนองเดียวกัน ต่อให้มันสามารถหลบได้ ก็ยังคงวนอยู่ในกับดักของฉินเฟิง ถูกยิงดอกที่ 3 ใส่อยู่ดี
“ปุ!”
ลูกศรทิ่มเข้าไปในดวงตาของหมาป่า ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้มันร้องครวญออกมาทันที
ในเวลานี้ หมาป่ามาสติฟคลุ้มคลั่งไปแล้ว!
“โครม โครม โครม!”
หมาป่ามาสติฟสะบัดตัวอาละวาด พุ่งกระแทกเข้าใส่ต้นไม้ที่ฉินเฟิงแอบซ่อนอยู่ ทว่าเจ้าตัวก็สามารถดีดตัวถอยกลับไปยังอีกต้นไม้หนึ่งได้อย่างทันท่วงที
การโจมตีของสัตว์ร้ายระดับนายพล … ช่างรุนแรงจนน่าหวาดกลัวซะจริง!
ฉินเฟิงมิได้เข้าไปต่อกรกับมันโดยตรง เขาหลอกล่อ ควบคุมมันให้มาตามทิศทางที่ตนต้องการดั่งใจนึกด้วยศรจากหน้าไม้ ที่ยิงออกไปดอกแล้ว ดอกเล่า จนบัดนี้ ตัวมันราวกับวิ่งวนอยู่ในฝ่ามือของเขา
นี่คือประสบการณ์จากในชีวิตก่อนหน้า และเป็นทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
เดิมที ลู่เหมิงคิดว่าตัวเองจะต้องตายไปซะแล้ว แต่จู่ๆก็มีคนๆหนึ่งปรากฏกายขึ้นอย่างกระทันหัน ช่วยให้เธอหลบหนีจากความตายมาได้ ในหัวใจก็เริ่มชื้น เกิดความหวังขึ้น
แต่ความหวังที่ว่าก็เกิดขึ้นเพียงไม่นาน ไม่ช้า มันก็กลายเป็นความสิ้นหวัง
เพราะถึงแม้ว่าจะมีการแทรกแซงจากลูกธนู แต่ในสายตาของเธอ ฉินเฟิงก็ยังคงถูกบังคับให้ถอยร่นไปตลอดเวลา และยิ่งนาน ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็เริ่มกระชั้นชิดขึ้น
ดูเหมือนว่าทันทีที่ฉินเฟิงเข้าสู่ระยะโจมตี เขาคงมิแคล้วถูกคว้าจับและฉีกกระชากกิน!
ทั้งลู่เหมิงกับหลี่เหยาเหยา ตระหนักได้ถึงสถานะของฉินเฟิง ว่าเขาคือวัยรุ่นชายคนเดียวกันกับที่พวกเธอเจอเมื่อตอนกลางวัน
เครื่องมือต่อสู้ที่แสนเรียบง่าย ตราโลโก้ของผู้ใช้พลังพิเศษบนหน้าอกก็ไม่มี ดังนั้นเขาย่อมไม่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมสถานการณ์เช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ จู่ๆฉินเฟิงก็กระโจนขึ้นกลางอากาศ ม้วนตัวเข้ามาหาเธออย่างกระทันหัน
ลู่เหมิงที่กำลังเฝ้ามองเบิกตากว้าง
“อย่าบอกนะว่าเขาต้องการจะ .. ”
ก่อนที่เธอจะทันคิดจนจบ ในพริบตา เธอก็เห็นว่าฉินเฟิงได้มาหยุดยืนอยู่บนแท่นจู่โจมT9แล้ว
หลังจากหลบหนีมาสักพัก โดยไม่ทันรู้ตัว ฉินเฟิงก็เข้ามาใกล้แท่นจู่โจมอย่างน่าฉงน แน่นอน ว่าเป้าหมายตั้งแต่แรกของเขาย่อมเป็นเจ้าเครื่องจักรทรงพลังนี้!
นับตั้งแต่เกิดเหตการณ์รอยแยกมิติขึ้นบนโลก มันมิใช่เพียงนำมาซึ่งหายนะทำลายล้าง แต่ยังก่อให้เกิดการวิวัฒนาการขึ้นอีกด้วย
แม้ในโลก จะมีผู้ใช้อบิลิตี้ และผู้ใช้วรนยุทธปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็ตาม แต่คนธรรมดาส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ มักจะใช้ ‘ปืน’ เป็นอาวุธ
มือปืนจะเป็นอาชีพที่ใช้ยาเสริมแกร่งเพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะของพวกเขา และพึ่งพาเครื่องจักรกลทำลายล้างสูงเป็นอาวุธ ถึงแม้พลังโจมตีของมือปืนจะต่ำกว่าผู้ใช้อบิลิตี้และผู้ใช้วรยุทธโบราณ ทว่าความแตกต่างดังกล่าวก็มิได้มากมายอะไร แถมด้วยจำนวนที่มากกว่าอย่างมหาศาล อาชีพมือปืนจึงกลายเป็นดั่งกระดูกสันหลังในการเอาชีวิตรอดของมนุษย์
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว การพัฒนาเครื่องจักรจึงได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นั่นรวมไปถึงเทคโนโลยีช่องว่างมิติเช่นกัน ที่ทำให้สามารถบรรทุกเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ เก็บไว้ในรอยแยกมิติ และเรียกมันออกมาใช้งานได้ตลอดเวลา
Ch.10 – ผู้สังหารสัตว์ร้าย
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.10 – ผู้สังหารสัตว์ร้าย
จุดอ่อนของมือปืนเห็นได้ชัดว่ามันเป็นในเรื่องของปริฏิกิริยาตอบสนอง , ความเร็ว , พละกำลัง ที่ล้วนด้อยกว่าผู้ใช้อบิลิตี้ และผู้ใช้วรยุทธโบราณ
‘ไม่ได้นะ! ต่อให้นายใช้ปืนนั่น ก็ยิงมันไม่โดนหรอก!’ ลู่เหมิงกรีดร้องในหัวใจ แต่แล้วความจริงตรงหน้าก็ทำให้เธอต้องตกละลึง
เพราะฉินเฟิงเพียงเบนทิศทางกระบอกปืนเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มสาดห่ากระสุนอย่างไม่ลังเล และทั้งหมดล้วนยิงโดนร่างของหมาป่า!
“ปุ ปุ ปุ ปุ ปุ–”
ทั้งร่างของหมาป่ามาสติฟกระตุกวูบ ทั้งตนทั้งร่างดิ้นเร่าๆ
“แบร๊วววว!”
หมาป่าร้องโหยหวน ถูกแรงกระสุนกระแทกลอยขึ้นไปในอากาศ
ฉินเฟิงกับลู่เหมิงแตกต่างกัน เขาไม่ได้กดไกปืนอย่างต่อเนื่อง พออีกฝ่ายลอยไปในมุมสูง เจ้าตัวก็คลายมือออก แล้วยกปากกระบอกขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มลั่นไกอีกครั้ง
ห่ากระสุนถูกเปลี่ยนทิศทางอีกครา หัวกระสุนเจาะช่องท้องที่เปราะบางของหมาป่า ทะลุเข้าอวัยวะภายในของมัน
เพียงสองการโจมตี ก็สามารถทำให้นายพลสัตว์ร้ายอย่างหมาป่ามาสติฟได้รับบาดเจ็บสาหัส!
“โบร๋วววว!!”
หมาป่ามาสติฟร่วงตกจากอากาศ ส่งเสียงหอนสั้นๆฟังน่าหวาดกลัว
มันตระหนักได้ว่าตนได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะยังไม่ถึงชีวิต แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วมันคงต้องตาย
ดังนั้น มันจึงไม่รั้งรออีกต่อไป ทำการหอนเรียกลูกน้องใต้บังคับบัญชาทันที
ภายในป่ามืดมิด คู่ดวงตาสีแดงปรากฏขึ้น!
เจ้าพวกนี้คือหมาป่าตาแดง!
ในช่วงที่หมาป่ามาสติฟกำลังล่าเหยื่อ พวกมันเพียงเฝ้ามองดูอยู่รอบนอก มิกล้าเข้ามาก้าวก่าย มิฉะนั้นจะถูกเข้าใจว่าคิดฉกฉวยอาหาร
แต่ตอนนี้ พวกมันได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการล่าเหยื่อแล้ว ดวงตาสีแดงจึงสาดประกายราวกับสีเลือด น้ำลายไหลหยดย้อยจากปาก จ้องมองฉินเฟิงด้วยความตะกละตะกลาม
“ก็มาซี่!”
ฉินเฟิงกุมแท่นจู่โจมในมือ ควบคุมมันราวกับเป็นแขนขาของตนเอง ตัวเครื่องจักรสามารถระเบิดประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ เวลานี้มันราวกับเทพเจ้าล่าวิญญาณ ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนสังหารสมุนหมาป่าลงอย่างดุร้ายและไร้ความปราณี
หมาป่าตาแดงยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้ เพียงดวงตาของพวกมันปรากฏขึ้นในความมืดมิด ก็ถูกฉินเฟิงเหนี่ยวไกเข้าใส่ซะแล้ว
มีหมาป่าตัวหนึ่งถูกสาดใส่ด้วยกระสุนกว่า 20 นัดอย่างกระทันหัน ทั้งร่างของมันเกือบจะฉีกขาด ถูกแรงปะทะส่งปลิวกระเด็นออกไป
“เอ๋งงงง”
เลือดที่สาดกระเซ็น ราวกับเป็นตัวกระตุ้นทั้งฝูง หมาป่าสามตัวพุ่งโฉบเข้ามา ฉินเฟิงไม่รอช้าเหวี่ยงแท่นโจมตีไปดักหน้า แล้วสาดห่ากระสุนดั่งพายุคลั่งอีกครั้ง
กระเด็นกลับไป!
ถูกยิงถอยกลับไปอีกตัว!
“รีบมาเติมกระสุนเร็วเข้าถ้ายังไม่อยากตาย!”
ในจังหวะที่รังเพลิงว่างเปล่า น้ำเสียงเย็นชาของฉินเฟิงดังขึ้น ลู่เหมิงที่ยังคงตะลึงงันก็ได้สติกลับคืน เธอเร่งระงับการฉีกขาดของอวัยวะภายใน แล้วคืบคลานไปบรรจุกระสุนทันที
หลี่เหยาเหยาเองก็วิ่งมาสมทบกับลู่เหมิง และเริ่มรักษาบาดแผลของเพื่อนสาว ทว่าสายตาของเธอ ตั้งแต่ต้นจนจบ มันยังคงติดตรึงอยู่บนร่างของฉินเฟิง ที่จวบจนบัดนี้ก็ยังคงเยือกเย็น … เขาช่างดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดจริงๆ
แกร๊ก แกร๊ก!
กระสุนถูกบรรจุลงในแท่นจู่โจมจนเต็มอีกครั้ง ลู่เหมิงคอยเฝ้าดูการกระทำของฉินเฟิงอย่างใกล้ชิด
ช่างแม่นยำ! , ช่างเด็ดขาด! , ช่างเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยมชวนให้ผู้คนหลงใหลมึนเมา!!
“กริ๊ก”
หลังจากยิงไปสักพัก ฉินเฟิงก็หยุดมืออย่างกระทันหัน
ลู่เหมิงพบว่าฉินเฟิงไม่สู้ต่อ จึงเร่งกล่าวอย่างร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ ทำไมนายถึงไม่สู้ต่อล่ะ?”
ฉินเฟิงหันไปมองลู่เหมิงอย่างเงียบๆ
“ก็พวกมันตายหมดแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ พวกเราจะแบ่งรางวัลกันครึ่งหนึ่ง แต่หมาป่ามาสติฟต้องเป็นของฉัน!”
พอได้ฟัง ลู่เหมิงจึงค่อยตระหนักว่า บนพื้นดิน มันถูกปกคลุมไปด้วยศพของหมาป่าตาแดง -ฝันร้ายอันน่าหวาดหวั่นที่ไล่ล่าหลอกหลอนพวกเธอ … ได้ตายไปสิ้นแล้ว
“พวกมันตายหมดแล้วจริงๆ!” ลู่เหมิงเบิกตากว้าง
ฉินเฟิงไม่สนใจวัยรุ่นสาวไร้เดียงสาคนนี้ เขาเดินผ่านกองซากศพ พลังพิเศษดูดกลืนของเขาเริ่มทำงาน เสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเร็วให้แก่ร่างกายตนเองอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งเมื่อตอนที่เขาเดินมาถึงศพของหมาป่ามาสติฟ พลังงานอันยิ่งใหญ่จากทางฝั่งมันก็ถูกส่งเข้ามา
“ฮู้มมมม!”
ฉินเฟิงรู้สึกเพียงว่าร่างกายของเขาสั่นไหว ความแข็งแกร่งก้าวกระโดดไปอีกระดับหนึ่ง
ขึ้นสู่เลเวล G2!
หากคนอื่นๆรู้ว่าเขาเพิ่งจะปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้เมื่อวาน แต่ในวันถัดมา กลับสามารถยกระดับได้โดยไม่พึ่งพายาใดๆ ทั้งหมดคงต้องอ้าปากค้าง!
นี่แหละคือพลังพิเศษของฉินเฟิง
พลังพิเศษที่ตื่นขึ้นมาทันที หลังจากฉีดยากระตุ้นได้เพียง 1 นาที น่ากลัวว่าประสิทธิภาพพลังพิเศษของเขาอาจสูงถึงเลเวล S !
แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงยังคงอยู่ห่างไกลจากการควบคุมพลังพิเศษนี้ ปัจจุบัน เขาสามารถดึงอำนาจของพลังพิเศษนี้ออกมาได้เพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
หลังจากความแข็งแกร่งก้าวกระโดด สีหน้าของฉินเฟิงก็กลับมาไร้อารมณ์อีกครั้ง เขาเริ่มที่จะเก็บกวาดสินสงคราม
ไม่เพียงขนของหมาป่าตาแดงที่สามารถใช้เป็นวัสดุ แต่กระทั่งกรงเล็บและฟันอันแหลมคมของมันก็ยังสามารถนำไปขายได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่จะใช้แลกเปลี่ยนกับเจ้าหน้าที่จุดรวมพล ก็คือหูและดวงตาของหมาป่าแต่ละตัว
ทว่าหมาป่าตาแดงกว่า 40 ตัวเหล่านี้ มันก็ยังเทียบไม่ได้เลย กับหมาป่ามาสติฟเพียง 1 ตัว
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันคือสัตว์ร้ายระดับนายพล!
ฉินเฟิงใช้มีดสั้นเฉือนร่างของหมาป่ามาสติฟ เริ่มเลาะขน , ฟัน และกรงเล็บของมัน
ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดแท้จริงแล้วคือตรงบริเวณหน้าอก ที่ใกล้กับตำแหน่งหัวใจ
“ปุด!”
เลือดทะลักออกมาจากกล้ามเนื้อที่ถูกเฉือนอย่างแรงและเร็ว หลังจากนั้นลูกปัดกลมๆสีแดงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา
ตรงหัวใจของมัน แก่นพลังงานโผล่ออกมาให้เห็นครึ่งหนึ่ง -เหตุที่หมาป่ามาสติฟกลายเป็นระดับนายพลได้ เพราะในร่างกายของมัน มีแก่นพลังงานอยู่นั่นเอง ส่งผลให้มันมีทั้งความรวดเร็วและพลังทำลายล้างที่มากขึ้น
และลูกปัดสีแดงนี้ ยังสามารถนำมาใช้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งทางกายภาพให้แก่เขาได้โดยตรงอีกด้วย เทียบกับยาเสริมแกร่งเลเวล G แล้ว มันดีกว่าหลายเท่านัก
ฉินเฟิงเก็บลูกปัดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ส่วนวัสดุอื่นๆก็ใส่กระเป๋าสะพายหลัง -ตอนนี้ในกระเป๋าสะพายของเขาเต็มไปด้วยวัสดุจากศพของหมาป่ามาสติฟ!
อีกด้านหนึ่ง ลู่เหมิงกับหลี่เหยาเหยา ไม่อาจรับรู้อะไรได้เลยในเวลานี้ สีหน้าของพวกเธอซีดขาว ลู่เหมิงมองไปยังร่างศพของหมาป่ามาสติฟที่ถูกเลาะส่วนต่างๆออก ก็แทบจะคายของเก่าในกระเพาะออกมา
“ถ้านายไม่อยู่ที่นี่ ฉันคงจะตายไปแล้ว ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ฉันขอยกไอ้ของพวกนี้ให้นายไปทั้งหมดเลย!” ลู่เหมิงเร่งกล่าว มิอาจปกปิดความรังเกียจในสายตา
เธอจะไม่ทนแหวกศพเลือดท่วมพวกนี้แน่ๆ
ฉินเฟิงมองลู่เหมิง ไม่คิดเกรงใจใดๆ
“ตกลงตามนั้น!”
เดิมที ฉินเฟิงต้องการจะแบ่งสินสงครามครึ่งหนึ่งให้แก่อีกฝ่าย เพื่อลดทอนการสูญเสียของลู่เหมิง แต่จากลักษณะของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับมัน
ต้องรู้นะว่า วัสดุที่ได้รับจากหมาป่าตาแดง มิได้มีค่าใดๆเลย หากเทียบกับกระสุนที่อีกหญิงสาวออกไปในค่ำคืนนี้!
กล่าวได้ว่าฉินเฟิงได้ใช้อาวุธฟรีๆ แถมยังรับทรัพย์ทุกเหรียญทุกสตางค์
เขาเพิ่งเกิดใหม่ และแม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จมากมายนักในชีวิตก่อนหน้า แต่เจ้าตัวก็เป็นถึงทหารรับจ้าง เรื่องเงินน่ะไม่ขัดสน
ทว่าในปัจจุบัน เขายากจน และไร้กำลัง ดังนั้นเลยจำเป็นต้องการทรัพยากรจำนวนมากเพื่อใช้ฝึกฝนตัวเอง
เขาเริ่มจัดการหมาป่าตาแดง เลาะเล็บและเขี้ยวออก ตัดหูมัน จากนั้นก็เริ่มเก็บรวบรวมขน
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉินเฟิงก็จำต้องยัดวัสดุที่ได้รับมาใส่ลงในถุงนอนของตัวเอง เพื่อเพิ่มที่เก็บ แม้ว่าสิ่งนี้จะเปื้อนเลือด แต่เขาก็สามารถซื้อใหม่ได้
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็พบว่าลู่เหมิงกับหลี่เหยาเหยายังคงนั่งพักอยู่ในจุดเดิม ใบหน้าอ่อนล้า คล้ายยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
บนท้องฟ้าค่อยๆปรากฏแสงสว่างขึ้น ดวงอาทิตย์เริ่มผุดจากเส้นขอบฟ้า
ซึ่งนี่หมายความว่า รถศึกที่ใช้เดินทางกลับไปยังจุดรวมพลเริ่มเดินเครื่องอีกครั้ง เพียงเฝ้ารอมัน พวกเขาก็จะสามารถนำชีวิตน้อยๆกลับบ้านได้
ฉินเฟิงวางถุงนอนของเขาลง ทำการระบุทิศทาง ก่อนจะเริ่มลากมันไป
“พวกเธอลุกขึ้นเถอะ ได้เวลากลับไปยังจุดรวมพลแล้ว!” ฉินเฟิงพูดเบาๆ ก้าวไปข้างหน้า
“ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ!” หลี่เหยาเหยาเอาแต่พร่ำขอบคุณ แต่นั่นก็สมควรอยู่ เพราะหากมิใช่ฉินเฟิงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ที่นี่คงมิแคล้วเป็นหลุมกลบฝังศพของพวกเธอ!
Ch.11 – กลับ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.11 – กลับ
ลู่เหมิงเก็บแท่นจู่โจมอย่างยากลำบาก ถึงแม้ว่าหลี่เหยาเหยาจะรักษาเธอแล้วก็ตาม แต่พลังพิเศษของหลี่เหยาเหยาไม่ได้แกร่งอะไรมากมายนัก ดังนั้นอาการบาดเจ็บภายในยังคงสาหัสอยู่มาก
ฉินเฟิงเหลือบมองสาวๆ และเมื่อเห็นว่าพวกเธอสามารถเดินตามมาได้ เขาก็เลิกใส่ใจหรือคิดเอ่ยปากอะไรอีก
‘เพราะพวกเธอก็แค่นักเรียนที่แสนจะไร้เดียงสาจากสถาบันระดับสูง’
แม้เรื่องที่หลี่เหยาเหยาเป็นผู้ครอบครองพลังพิเศษธาตุน้ำจะเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย ที่เธอยังคงอ่อนแอเกินไป
เป็นดอกไม้ในเรือนกระจก แต่ดันทะเล่อทะล่าออกมารับความเสี่ยง ผลลัพธ์ก็คือเจอเข้ากับพายุ จนเกือบเฉาตายแบบนี้นี่แหละ
หลังจากช่วงเวลา 6 โมงเช้า รถศึกก็จะมาถึงสถานีในเส้นทางตามเวลาที่กำหนด
เมื่อเดินมาถึงสถานีรอรถ ทั้งสามก็พบว่าได้มีผู้คนมายืนรวมตัวกันรออยู่แล้วกว่า 20 คน บางคนก็เก็บเกี่ยววัสถุดิบได้มากมาย ขณะที่บางคนบาดเจ็บใกล้ตาย
อย่างไรก็ตาม ไอ้เรื่องแบบนี้มันเป็นปกติสำหรับทุ่งล่า
แม้จะพบเจอฉากตรงหน้า แต่สีหน้าของฉินเฟิงก็ยังคงสงบ ตรงกันข้าม กลับเป็นหลี่เหยาเหยาและลู่เหมิง ที่มีสีหน้าโกรธแค้น
“หวังไคว่ แก … ” ในดวงตาของหลี่เหยาเหยาฟุ้งไปด้วยความผิดหวัง
ในบรรดา 20 คนกว่าคนที่กล่าวไปตอนแรก มันมีเพื่อนๆของพวกเธอรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
เดิมที เธอถูกเชื้อเชิญให้มาเที่ยวเล่นในทุ่งล่าโดยสามคนนี้ เหล่าชายหนุ่มกล่าวว่าพวกเขาจะปกป้องหลี่เหยาเหยาซึ่งเป็นผู้ใช้พลังพิเศษประเภทสนับสนุนเอง -สรุปง่ายๆว่าพวกเขาคิดจะโชว์ความเก่งกาจอย่างในละครที่พระเอกช่วยเหลือสาวสวย เผยความแข็งแกร่งให้เห็นนั่นเอง
ทว่าผลลัพธ์ กลับกลายเป็นทั้งสามทิ้งหลี่เหยาเหยา และหลบหนีไป
และที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่า คือพวกเขามายืนรอรถศึกที่นี่ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจชีวิตและความตายของหลี่เหยาเหยากับลู่เหมิงเลย
“หวังไคว่ ไอ้ลูกสำส่อน สารเลวกลัวตายหนีหางจุกตูดอย่างกับสุนัข!” ลู่เหมิงเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสามก็สบถใส่
“อ้าว? ลู่เหมิง! เหยาเหยา! ฉันคิดอยู่แล้วว่าพวกเธอจะต้องไม่เป็นอะไร!”
เจียงเหวินชวนเมื่อเห็นร่างของทั้งสอง แวบแรกเขาตกใจ แต่ก็สามารถปรับสีหน้าของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
“นายคิดอยู่แล้วว่าพวกเราจะไม่เป็นอะไรงั้นหรอ? งั้นถามหน่อยเถอะ ว่าถ้าเป็นนาย ที่ถูกไล่ล่าโดยสัตว์ร้ายG3 ระดับนายพล นายจะยังคิดว่าไม่เป็นไรอยู่ไหม!” ลู่เหมิงตะคอก
พอได้ยิน สมองของทั้งสามก็คล้ายย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อค่ำคืน ในแววตาพวกเขาเผยถึงร่องรอยของความหวาดกลัว แต่สักพักมันก็เริ่มแสดงออกถึงความโกรธ
“แต่ตอนนี้พวกเธอก็ยังไม่ตายไม่ใช่รึไง?” หยูไห่ตะโกนสวนกลับใส่ลู่เหมิง
ดวงตาของหลี่เหยาเหยาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่คาดคิดเลย ว่าหยูไห่จะพูดแบบนั้นออกมา
“พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? นายทิ้งพวกเราไว้กลางทาง แต่ก็ยังมาพูดแบบนี้ นายมันเป็นคนแบบไหนกัน!?”
“คนแบบไหนบ้าบออะไร ในสถานการณ์แบบนั้น ใครบ้างจะไม่กลัวตาย ใครมันจะไปมัวสนใจนังตัวถ่วงธาตุน้ำอย่างเธอ!” หยูไห่ตะโกนอีกครั้ง
หลี่เหยาเหยาสั่นสะท้าน ในหัวใจคล้ายได้รับการกระทบกระเทือนครั้งใหญ่
ระหว่างที่ด่ากันไปกันมา แน่นอนว่าผู้คนที่อยู่รอบๆก็ให้ความสนใจกับพวกหนุ่มสาว ราวกับกำลังเฝ้าดูละครก็ไม่ปาน
ทุ่งล่าน่ะมันโหดร้ายป่าเถื่อนขนาดไหน พวกเด็กมือใหม่มันจะไปเข้าใจได้ยังไงกัน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงสัตว์ร้ายระดับนายพล สีหน้าของหลายคนก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สัตว์ร้ายระดับนายพลมิใช่สิ่งที่สมควรเข้าไปยั่วยุ!
“ตัวถ่วงธาตุน้ำอย่างงั้นหรอ?” ในที่สุดฉินเฟิงก็เอ่ยปาก เขาสาดสายตาเย็นชาไปบนร่างของหยูไห่
“ถ้านายบอกว่าผู้ใช้พลังธาตุน้ำเป็นตัวถ่วงแล้วล่ะก็ ฉันเกรงว่าตลอดทั้งชีวิต คงจะไม่มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนไหนยื่นมือมาช่วยนายแล้วล่ะ”
“ถ้าคิดว่าคำพูดของตัวเองมันถูกต้อง ก็ลองพิมพ์คำที่พ่นออกมาเมื่อกี้ไปใส่ในเครือข่ายนักสู้ดูสิ ฉันรับรองเลยว่านายจะต้องโด่งดังเป็นพลุแตกอย่างแน่นอน แล้วจากนั้น นายก็จะไม่มีใครคบ ไม่มีทีมไหนอยากจะให้เข้าร่วม! และถ้าฉันเดาไม่ผิด นายน่าจะเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณล่ะสิใช่ไหม? เป็นสายบู๊ แต่กลับละทิ้งผู้ใช้พลังธาตุน้ำสายบุ๋นเนี่ยนะ นายนี่มันช่างไร้เกียรติจริงๆ คิดว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกต้องรึไง?”
“กระทั่งความกล้าที่จะยอมรับผิดยังไม่มี แล้วพวกแกจะออกมาแนวหน้าทำซากอะไร กลับไปเลี้ยงคนแก่ที่บ้านจะยังฟังดูมีประโยชน์กว่าซะอีก!”
“แน่นอน ว่าจริงๆแล้วนายจะเลือกหดหัวอยู่แต่ในกระดองก็ได้ แต่ในเมื่อผิดแล้ว นายก็ไม่ควรจะมาพาลใส่คนอื่น! โลกในทุกวันนี้มันโสมมมากพออยู่แล้ว ดังนั้นพวกนายไม่สมควรจะไปเพิ่มภาระให้มันอีก!”
ฉินเฟิงสาดคำเย็นชาเป็นชุด แม้จะไม่มีคำสบถหยาบคายใดๆ แต่ทุกๆประโยคมันกลับแฝงความนัยให้ทั้งสามรู้สึกละอายใจและกลายเป็นคนไร้ค่า
ส่วนผู้คนรอบข้าง เมื่อได้ยินคำประชดประชันของฉินเฟิง ก็พากันเข้าร่วมวง ก่นด่าออกมา
“ขยะยังไงก็เป็นแค่ขยะ ไม่ต้องยกเหตุผลอะไรมาอ้าง โทษตัวเองที่กระจอกเหอะ!”
“ดูท่าทีแล้ว ฉันว่าพวกแกเองเพิ่งจะออกมาในทุ่งล่าวันแรกล่ะสิใช่ไหม?”
“ฉันคิดว่าพวกมันยังเป็นนักเรียนอยู่ซะด้วยซ้ำ!”
“ถ้าแกไร้กำลัง ก็อย่าคิดเสนอหน้าออกมา แล้วก็อย่าสะเออะไปชวนคนอื่น ลากพวกเขามาซวยไปด้วย!”
“กฏเกณฑ์ของทุ่งล่าก็ยังไม่เข้าใจ แต่ดันทำเหมือนว่าตัวเองถูกต้อง เลิกทำตัวเหมือนคนตามืดบอดได้แล้ว!”
คนเหล่านี้ล้วนป่าเถื่อนหยาบคาย แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มิใช่ตัวอ่อนแอ ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่หวาดกลัวที่จะไล่บี้หวังไคว่และเพื่อนๆของเขา
หวังไคว่เดิมทีไม่กล้าหือกับพวกเขา แต่ความโกรธในอก บัดนี้แลคล้ายกับภูเขาไฟที่ปะทุ ระเบิดลาวาเสียดแทงขึ้นไปถึงฟากฟ้า แต่ก็ถูกหยูไห่ที่สั่นไปทั้งร่างหยุดเอาไว้ คล้ายต้องการจะอาสาออกไปเอง
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ และในโรงเรียนเองก็ได้ฝึกฝนและออกกำลังทั้งกายและจิตใจมาพอสมควร ไหนจะความสูงตั้ง 185 เซนติเมตร มากกว่าฉินเฟิงตั้งครึ่งศีรษะ เจ้าตัวที่เดือดปุดๆจึงเริ่มก้าวออกมาข้างหน้า หมายที่จะละเลงเลือดกับฉินเฟิง
“วูซซซ!”
ศรจากหน้าไม้แหวกฝ่าอากาศ บังเกิดเสียงแหลมหวีดหวิว ก่อนที่มันจะทิ่มลงบนพื้นดินข้างๆกับเท้าของหยูไห่
“ครั้งต่อไปไม่ใช่แค่พื้น ถ้าอยากตาย ก็เข้ามา” ฉินเฟิงมองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา
เลือดที่เดือดพล่านทั้งกายของหยูไห่กลายเป็นเย็นเยียบ คล้ายกับถูกน้ำจากขั้วโลกเหนือราดรดใส่
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ อาวุธในมือของพวกเขาได้ถูกงัดออกมาใช้งานจนหมดสิ้นแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีกระสุนใดๆในมือเลย
หยูไห่ที่เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ เมื่อถูกข่มด้วยคมศรที่สามารถโจมตีได้จากระยะไกล ก็เริ่มตกลงสู่ความหวาดกลัว
เวลานี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน้าไม้ของฉินเฟิง หยูไห่ก็เกิดกลัวขึ้นมา
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
หยูไห่ทำได้เพียงข่มน้ำเสียงเกลียดชังลง ดวงตาของหวังไคว่เองก็เริ่มสะท้อนถึงประกายของความตื่นตระหนก เจียงเหวินชวนก็เริ่มซ่อนความความคิดร้ายไว้ในสายตา
ทั้งสามคนก้าวถอยหลังกลับไป ท่ามกลางสายตาดูถูกเหยียดหยันของคนอื่นๆ ไม่นานนัก ทั้งสามก็แยกจากกลุ่ม 20 คน หายลับไป
ตรงกันข้ามกับฉินเฟิงและสาวๆ ที่ถูกคนอื่นๆเดินเข้ามาห้อมล้อมด้วยความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เหยาเหยา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ต้องไม่ลืมนะว่าเธอคือผู้ใช้อบิลิตี้
“ถ้าเธอต้องการที่จะออกมาในทุ่งล่าอีก ก็ขอให้ติดต่อพวกเรานะ แต่ระวังให้ดี อย่าไปหลงเชื่อพวกคนหลอกลวงแบบในครั้งนี้อีก เพราะในทุ่งล่าน่ะมันอันตราย!”
“ไม่งั้น เธอก็เข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างของพวกเราสิ? พวกเราน่ะใส่ใจดูแลผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุน้ำมากเลยนะ!”
“อ้าว ทำไมตัดหน้ากันล่ะ เธอมาเข้าร่วมกับพวกเราดีกว่า แน่นอนว่าผลตอบแทนก็มากกว่าเหมือนกัน!”
แน่นอน ว่าจริงๆแล้วคนส่วนใหญ่ก็แค่แซวๆกันเท่านั้น
เพราะการดำรงอยู่ของผู้ใช้อบิลิตี้คือสิ่งใด? พวกเขาคืออาชีพแรกที่ทำให้หมู่มวลมนุษย์สามารถรักษาลมหายใจเอาไว้ได้ ดังนั้น แม้ว่าในปัจจุบัน ผู้ใช้อบิลิตี้อย่างหลี่เหยาเหยาจะยังไม่เติบโต แต่ก็ย่อมไม่มีทางจะเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างขนาดเล็กแน่นอน
เพราะไม่ว่าจะกองทัพรักษาเมือง หรือหน่วยลาดตระเวน หากเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ ทางการก็ย่อมยินดีเปิดประตูรอต้อนรับพวกเขา
ไม่ต้องกล่าวถึงกองกำลังขนาดใหญ่ หรือคนจากเหล่าทัพ ก็ล้วนปฏิบัติต่อพวกผู้ใช้อบิลิตี้อย่างดี ราวกับเป็นแขกคนสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่นในสถานที่ชุมชนของเมืองเฉิงหยาง ในหนึ่งปี จะมีวัยรุ่นอายุ 16 ราวๆ 30000 คน
อย่างไรก็ตาม ในทุกๆปี จะถือกำเนิดผู้ใช้อบิลิตี้เพียงราวๆ 20 – 30 คนเท่านั้น จำนวนเรียกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในหมื่น
ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้ให้ความสนใจกับฉินเฟิงและลู่เหมิงอยู่บ้าง แต่เมื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ค้นพบว่าในบรรรดาสองคน หนึ่งเป็นเพียงคนปกติ(ฉินเฟิงไม่ยอมบอกพลังของตัวเอง) ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นมือปืน ดังนั้นจึงไม่ค่อยพูดคุยกันมากเท่าใด
อีกอย่าง เขาและเธอก็ยังเด็กเกินไป ทีมทหารรับจ้างของพวกเขาไม่ใช่องกรการกุศล ไม่ยอมเสียเวลารับหน้าใหม่มาเลี้ยงไว้ดูเล่นหรอก
-ถึงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะมีประสิทธิภาพ ดูไม่เหมือนกับมือใหม่ก็ตามที …
ฉินเฟิงไม่ใส่ใจใดๆต่อความคิดของคนเหล่านี้ แม้การแสดงออกทางสีหน้าของเขาจะยังคงเรียบเฉย แต่ก็ยังรู้จักกาลเทศะ หากมีใครบางคนถามคำถามล่วงล้ำเกินไป เขาก็ปฏิเสธที่จะตอบมันอย่างอ่อนโยน
และโชคดีจริงๆ ที่รถศึกวิ่งมารับพอดี!
รถสามคันมาถึงในอึดใจเดียว เมื่อมันจอด ก็เผยให้เห็นถึงแสนยานุภาพของอาวุธที่มันขนมาด้วย เพราะอย่างไรเสีย ทุ่งล่าก็ยังคงเป็นทุ่งล่า แม้จะช่วงเช้า แต่ก็อันตรายเหมือนกัน
Ch.12 – สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.12 – สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แม้จะมีรถศึกมาจอดในสถานีนี้ถึงสามคัน แต่ทั้งสามคันก็จุไปด้วยผู้คนเต็มคันรถ
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ภายในช่างแออัด ร่างกายเบียดเสียดกับฝูงชน จนสุดท้ายเขาไม่มีทางเลือก จำต้องถอดเป้สะพายหลังและนำพวกมันไปแขวนไว้บนหลังคารถ
ในสมองเริ่มขบคิดถึงการแก้ปัญหาระยะยาว
‘หากต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งล่าอีกในอนาคต เกรงว่าฉันคงต้องมีรถศึกเป็นของตัวเอง ซึ่งหากเป็นในกรณีนั้น ก็จำต้องจัดตั้งทีมต่อสู้!’
เพราะหากไม่สร้างทีม แล้วเอารถไปจอดทิ้งไว้ มันมีโอกาสหายจากการถูกขโมย หรือโดนทำลายจากรอยแยกมิติที่เปิดออกได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม มีเพียงสิ่งนึงเท่านั้นที่น่าขัดใจ นั่นคือรถที่ว่า มีเพียงเศรษฐีเงินหนาเท่านั้นที่สามารถซื้อได้!
ฉินเฟิงหันไปมองลู่เหมิงที่เวลานี้อยู่ในสภาพอ่อนแอ
สำหรับหวังไคว่และคนอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาเลือกที่จะแยกตัวออกจากฝูงชน ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้อยู่บนรถคันนี้
แต่พอมาลองสังเกตดูดีๆ บรรยากาศในรถมันก็แย่จริงๆ จังหวะนั้นเอง ฉินเฟิงก็สัมผัสได้ว่า เพื่อนตัวน้อยในกระเป๋าเสื้อของเขาซึ่งกำลังหลับลึก จู่ๆก็เริ่มถีบตัวดิ้นไปมาอย่างกระทันหัน
กระเป๋าเสื้อของฉินเฟิงนั้นใหญ่พอที่จะให้เสี่ยวไป๋ที่ขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือเคลื่อนไหวไปมาได้
“อย่าขยับนะ!”
ฉินเฟิงตบเบาๆลงตรงอก ต้องไม่ลืมนะว่า แม่ของเสี่ยวไป๋น่ะทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นลูกของเธอก็ย่อมต้องได้รับยีนที่แข็งแกร่งมาเช่นกัน -ท่ามกลางสถานการณ์บนรถที่แน่นขนัดไปด้วยผู้คน หากเสี่ยวไป๋โผล่ออกมา ย่อมเป็นธรรมดาทยี่มันจะกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ซึ่งนั่นคงไม่ใช่เรื่องดี
ไม่ทราบว่ามันตระหนักได้ถึงความคิดของเฉินเฟิงหรือไม่ เสี่ยวไป๋ยอมหยุดซุกซน ขดตัวในกระเป๋าเสื้อเงียบๆดังเดิม
เมื่อจบปัญหานี้ ฉินเฟิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตนเพิ่งจะเพิ่มรายชื่อของคนๆหนึ่งในช่องทางสื่อสาร
เป็นซูซิงฝู!
“สวัสดี ผมมีบางอย่างอยากจะขาย คุณพร้อมจะรับซื้อพวกมันรึเปล่า?” แล้วฉินเฟิงก็จัดการพิมพ์ข้อมูลสินสงครามที่ตนเองได้รับมา และส่งมันผ่านไป
ช่วงเวลานี้ เป็นเวลาราวๆ 6 โมงเช้า ซูซิงฝูยังสลึมสลืออยู่ แต่หลังจากเห็นถึงรายการที่ส่งมาบนเครื่องสื่อสาร ดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ดีดตัวลุกจากเตียงทันที
“รับสิ!”
ซูซิงฝูบังเกิดความรู้สึกสุขใจยิ่ง การที่เขามอบเบอร์ติดต่อให้เจ้าหนุ่มนี่ เป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ
เพราะเวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่วันเดียว แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำกำไรต่อกันและกันได้ถึงขนาดนี้
ต้องรู้นะว่า เมื่อวานนี้ซูซิงฝูได้หาไปข้อมูลเพิ่มเติมของฉินเฟิงมาแล้ว และพบว่าเด็กหนุ่มเพิ่งจะได้รับการฉีดยากระตุ้นมาสดๆร้อนๆนี่เอง
แต่ตอนนี้ พอได้เห็นถึงรายชื่อที่ถูกส่งมา ซูซิงฝูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าฉินเฟิงช่างน่าทึ่ง
“แลกเปลี่ยนพวกมันเป็นยาเสริมความแข็งแกร่งเหมือนเดิม!” ฉินเฟิงป้อนข้อมูลที่ต้องการลงไปอีกครั้ง
“เธออยากแลกเปลี่ยนมันเป็นยาเสริมแกร่งเกรด G อีกงั้นหรอ? แต่ถ้าอิงตามรายชื่อวัสดุทั้งหมดนี้ มันจะเป็นจำนวนตั้ง 80 หลอดเชียวนะ? รู้อะไรไหม ว่าต่อให้ฉันสามารถซื้อพวกมันได้ในราคาต่ำ แต่ภายในเดือนเดียว ฉันไม่สามารถซื้อพวกมันได้มากมายถึงขนาดนั้น!”
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย ความจริงแล้วเรื่องจะแลกกับยาเสริมแกร่งเกรด G ทั้งหมดอีกครั้ง เขาเพียงโกหกออกไป เพราะพวกมันไม่ได้มีบทบาทสำคัญใดๆต่อเขา ที่เขาต้องการ แท้จริงแล้วคือเงินที่แสนจะหาได้ยากยิ่งต่างหาก
ในยุคนี้ แม้ว่าทางรัฐบาลกลางจะประกาศให้มีการใช้จ่ายผ่านธนบัตรแล้วก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ ก็ยังเชื่อมั่นในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากับสินค้ามากกว่าอยู่ดี
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ของพวกนั้น ทั้งหมดอย่างไรก็คือของจริง!
“ถ้างั้นก็ขอเปลี่ยนมันเป็น น้ำยาเกรด F!”
ซูซิงฝูลังเลอยู่นาน สุดท้ายกัดฟันตอบ “ก็ได้ ตกลง!”
“แต่ไม่หมดแค่นี้หรอกนะ มีอีกข้อมูลหนึ่งที่ผมยังไม่ส่งไป พอดีว่านอกจากพวกนั้นแล้ว ผมยังมีวัตถุดิบหลายอย่างที่ได้รับมาจากนายพลสัตว์ร้ายอยู่อีก ในส่วนนี้ขอแลกเปลี่ยนมันกับปืนพลังงานจะได้ไหม?”
ซูซิงฝู “ … ”
‘กระทั่งนายพลสัตว์ร้ายก็ยังสังหารลงได้? เจ้าหนูนี่ … มันมีความสามารถมากมายขนาดไหนกันแน่?’
ทว่าสุดท้าย เขาก็กล้ำกลืนความอยากรู้อยากเห็น และเลือกที่จะตอบตกลง
ฉินเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาเพียงเพิ่งจะกลับมาเกิดใหม่ ก็ได้รับหุ้นส่วนทางการค้าที่ยอดเยี่ยมเป็นพันธมิตรซะแล้ว!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถศึกก็เดินทางมาถึงสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ จุดรวมพลก่อนออกไปยังทุ่งล่าอีกครั้ง ฉินเฟิงลงจากรถศึก เดินไปยังรถธรรมดา เปิดประตูนั่งลงบนเบาะหลัง บอกสถานที่ รถก็แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เหมิงกับหลี่เหยาเหยาที่ตามมา เลยไม่อาจไล่ตามเขาได้ทัน
“เจ้าหมอนี่มันจริงๆเลย จะไปก็ไม่ลา ทั้งๆที่ฉันตั้งใจจะชวนเขาไปดินเนอร์ด้วยกันแท้ๆ!” ลู่เหมิงทำจมูกฟึดฟัด ยกสองมือขึ้นกอดอก ปากบ่นงึมงำ
“ไม่ต้องเสียดายหรอกน่า เพราะดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนจากชุมชนทางเหนือของเมือง ถ้าแบบนั้นในอนาคต พวกเราจะต้องได้พบกับเขาอีกแน่นอน!” หลี่เหยาเหยาถอนหายใจ อันที่จริงลึกๆเธอเองก็เสียดาย ในสมองบังเกิดความคิดขึ้นมาว่าในสายตาของฉินเฟิง เขายังคงไม่ไว้วางใจพวกเธออย่างแท้จริง
…
ฉินเฟิงที่อยู่บนรถโดยสาร ไม่ทราบถึงความคิดของทั้งสอง สำหรับเขาแล้ว ตนเพียงช่วยเหลือสองสาวที่พบเจอกันโดยบังเอิญ ยึดถือเป็นแค่ความเมตตา ช่วยแล้วก็จบไป ไม่ต้องการทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กใดๆทั้งสิ้น
บนรถ ซูซิงฝูเฝ้ามองวัตถุดิบสดใหม่ที่ได้รับมาด้วยความตื่นเต้น เขากำลังคำนวณดูว่าผลงานเหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นกำไรได้มากมายขนาดไหน
ส่วนฉินเฟิง เจ้าตัวได้รับในสิ่งที่ตนต้องการ อันได้แก่ ยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด F จำนวน 3 หลอด , ยาเสริมความแข็งแกร่งเกรด G จำนวน 20 หลอด และสุดท้ายเป็นปืนพลังงาน
มูลค่าของยาเสริมแกร่งทั้งหมดที่ได้รับมานี้น่าจะมีค่ารวมๆมากกว่า 400000 เหรียญ ซึ่งมันมีค่าแทบจะพอๆกับทหารสัตว์ร้ายทั้งหมดที่เขาไปล่ามาได้ ในขณะที่ปืนพลังงานมีมูลค่ากว่า 200000 ซึ่งเทียบเท่ากับหมาป่ามาสติฟตัวหนึ่ง
เงินเหล่านี้ สำหรับคนธรรมดาแล้ว มันจำเป็นต้องใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตของพวกเขา ถึงจะเก็บรวบรวมมาได้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งหนุ่มสาวและวัยกลางคนยอมที่จะกระโจนเข้าไปแสวงโชคในทุ่งล่าที่แสนอันตราย เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิต โดยแรกเริ่มอาจสังหารแต่สัตว์กลายพันธุ์ธรรมดาๆก่อน จากนั้นก็เก็บรวบรวมวัตถุดิบมาซื้อยาเสริมแกร่ง เพิ่มพลังให้กับตัวเอง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่แน่นอน ว่าในระหว่างกระบวนการ ก็ย่อมมีคนที่ไม่ได้กลับมาอยู่เช่นกัน
“เอาล่ะ รบกวนช่วยส่งผมลงตรงสี่แยกข้างหน้าด้วยนะครับ” ฉินเฟิงกล่าว
“ตกลง แต่อย่าลืมนะ ว่าคราวหน้า ถ้ามีของอะไรดีๆอีก ก็ให้นึกถึงฉัน!”
ซูซิงฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม เวลานี้เขามีความสุขมากที่ได้บรรลุธุรกิจนี้
ฉินเฟิงลงจากรถ และมองดูฝูงชนที่กำลังเดินอยู่ตามท้องถนน
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทราบว่าตนสมควรจะไปที่ใดดี
อย่างไรก็ตาม เพียงไม่นาน เขาก็ตระหนักได้ว่าในช่วงเวลานี้ ตนน่าจะต้องกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
แน่นอน ว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามิใช่สถานที่ที่สามารถอยู่อาศัยตลอดไป หลังจากอายุครบ 16 ปี และฉีดยากระตุ้นแล้ว เด็กๆก็ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไป เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเด็กกำพร้าคนใหม่ได้เข้ามา
แต่ถึงอย่างไร นั่นก็เป็นสถานที่อาศัยของฉินเฟิงในตอนนี้ และเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกัน ว่าตนเองไม่ได้ไปเจอกับผู้อำนวยการมาตั้งนานแล้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินเฟิงก็กำหมัดแน่น
เขาเริ่มออกเดินทาง แต่ละก้าวช่างสงบเยือกเย็น มุ่งหน้ามาได้สิบนาที ฉินเฟิงก็เริ่มมองเห็นถึงสิ่งปลูกสร้างที่เบียดกันแน่น ใกล้ชิดกันจนแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างให้ใช้สอย
ทว่าภายนอก มันกลับเต็มไปด้วยฝูงชนมากมายที่แลดูไร้ชีวิตชีวา
แต่นั่นมันช่วยไม่ได้ เพราะในชุมชนทางตอนเหนือของเมือง มันไม่ได้มีพื้นที่ให้อยู่อาศัยมากมายขนาดนั้น กล่าวได้ว่า มีแต่คนรวยเท่านั้นถึงจะมีเงินมากพอที่จะซื้อที่อยู่อาศัยดีๆ ขยับเข้าไปใจกลางเมืองได้มากขึ้น ยิ่งใกล้เมือง บ้านเรือนก็จะยิ่งมีหลังใหญ่ ตรงกันข้ามกับนอกเมือง ยิ่งไกล สถานที่อยู่อาศัยก็จะคับแคบลง
ในความเป็นจริง หลายคนรู้ดี ว่านี่คือมาตรการป้องกันชนิดหนึ่ง
เพราะผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดกับพื้นที่รอบนอก อาจจะประสบกับอันตราย และกลายเป็นโล่คอยรับกระสุนแทนได้ตลอดเวลา
ฉินเฟิงเดินเข้ามาในชุมชน แล้วเขาก็ได้ยินถึงเสียงละเล่นของเด็กเล็กๆ แม้ว่าพื้นที่จะไม่ได้กว้างขวางมากมายอะไร กระทั่งแสงแดดก็ยังส่องมาไม่ทั่วถึง ทว่ามันก็ยังคงมีชีวิตชีวา
นี่คือธรรมชาติของพวกเด็กๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กๆเห็นฉินเฟิง พวกเขาก็หยุดหัวเราะทันที ทุกคนพากันกระเจิง วิ่งเตลิดไปไกล หลบอยู่ในมุม และค่อยๆยื่นหน้าออกมามองชายที่ดูแปลกตา
เนื่องจากฉินเฟิงเพิ่งจะสังหารสัตว์ร้ายไป ตามตัวเขายังมีกลิ่นคาวเลือดติดอยู่ มิต้องกล่าวถึงชุดต่อสู้ที่สวมใส่ในปัจจุบัน เลยเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะรู้สึกไม่คุ้นชินและหวาดกลัว
ฉินเฟิงรูดบัตร และก้าวเข้ามาในตัวตึก
“อ้าว นั่นเขาก็เป็นเด็กกำพร้าด้วยหรอ?”
“แต่เขาดูน่าเกรงขามมากเลยนะ!”
“ชุดของเขาก็ดูไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่ว่าเขามาส่งของอะไรบางอย่างหรอกหรอ?”
“ใช่เนื้อรึเปล่า? แบบนี้พวกเราก็จะได้กินเนื้้อเป็นมื้อเย็นแล้วใช่ไหม!”
กล่าวถึงจุดนี้ น้ำลายก็เริ่มสอ ไหลย้อยลงมาจากปากของเหล่าเด็กน้อย
ฉินเฟิงในเวลานี้ก้าวขึ้นไปถึงเลเวล G2 แล้ว ดังนั้นหูของเขาย่อมดีกว่าคนธรรมดาถึง 2 เท่า เลยสามารถได้ยินเสียงสนทนาของเด็กๆได้
“ฉันลืมนึกถึงเรื่องพวกนั้นไปเลย เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ ฉันจะเอาอะไรติดไม้ติดมือกลับมาให้พวกเธอเอง!”
ฉินเฟิงงึมงำ ก้าวขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอน
ในห้องนอน ถูกวางไว้ด้วยเตียงสองชั้นสี่เตียง สำหรับพักอาศัย 8 คน แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่นี่
และหนึ่งในนั้นก็มีเฉินหมิงรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
ฉินเฟิงหันไปดูเวลา และพบว่าเป็น 7 โมงเช้า ดังนั้น คาดว่าคนอื่นๆในห้องน่าจะไปออกกำลังกาย เพราะหลังจากตื่นขึ้นมา นี่คือหนึ่งในกิจวัตรสำคัญที่ต้องทำ
Ch.13 – ผู้อำนวยการ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.13 – ผู้อำนวยการ
นี่ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกสะดวกใจขึ้นเยอะ
หลังจากทบทวนถึงเรื่องนี้สักครั้งสองครั้ง เขาก็เดินไปที่เตียงของตัวเอง เก็บอุปกรณ์ต่างๆ แล้วเดินออกไปชำระล้างร่างกายในโรงอาบน้ำรวมหลังอาคาร
เขาดึงเสี่ยวไป๋ออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วพบว่า เจ้าตัวน้อยคล้ายกับจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย หากเทียบกับเมื่อคืน
ตอนนี้ ขนปุยสีขาวของมันเริ่มงอกขึ้นจนทั่วตัวแล้ว แถมยังสะอาดราวกับว่ามิเคยได้สัมผัสกับฝุ่นผง คู่ดวงตาสีดำเริ่มเปิดออก พร้อมกันกับสองหูน้อยๆที่ตั้งตรง
“เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนสิ!” เฉินเฟิงลองตบๆลงบนในกระเป๋าเสื้อของเขาอีกครั้ง จึงค่อยตระหนักได้ว่า นอกเหนือไปจากเสี่ยวไป๋แล้ว แก่นพลังงานที่เขาใส่เอาไว้ได้หายไป
ต้องไม่ลืมนะว่าแก่นพลังงาน ฉินเฟิงไม่ได้ขายมันให้กับซูซิงฝู เขาเก็บมันเอาไว้ใช้กับตัวเอง
หลังจากลองค้นดูอีกเล็กน้อย แต่ยังไงก็ไม่เจอ ดวงตาของฉินเฟิงจึงเริ่มเบนมองมายังร่างของเสี่ยวไป๋
“นี่แกกินแก่นพลังงานเข้าไปหรอ?”
“จี๊–”
ในแววตาของเสี่ยวไป๋คล้ายดูหวาดกลัวเล็กน้อย เมื่อถูกฉินเฟิงถาม มันก็หลบเลี่ยงสายตา
ภายใต้ท่าทีน่ารักน่าชังเช่นนี้ ฉินเฟิงก็ไม่อาจกล่าวคำตำหนิใดๆออกมา
“ช่างมันเถอะ แกไม่ต้องรู้สึกผิดถึงขนาดนั้นก็ได้”
อำนาจของแก่นพลังงานน่ะมหาศาลมาก ดังนั้นหากกินมันอย่างไม่ยั้งคิด เกรงว่าเสี่ยวไป๋จะมิอาจทานทนได้ ร่างกายมีโอกาสระเบิดออก นี่ต่างหากคือปัญหาที่ฉินเฟิงกังวล แต่ดูจากสภาพแล้ว หลังจากกินเข้าไป มันก็ไม่เป็นอะไร แถมยังมีวิวัฒนาการที่ดี เขาจึงวางใจ
“แกอยู่ที่นี่ก่อนนะ ไว้เดี๋ยวฉันกลับมา จะพาแกออกไปข้างนอกในเร็วๆนี้!”
ฉินเฟิงวางเสี่ยวไป๋ลงในขันตักน้ำ ส่วนตัวเขาลงไปแช่ในบ่อน้ำเย็นโดยตรง
ฉินเฟิงซักชุดต่อสู้เล็กน้อย สะบัดๆ แล้วเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด เสื้อที่ว่าเป็นสีขาวที่ถูกซักบ่อยจนกลายเป็นซีด มันดูเก่า ยามสวมใส่ เลยพลอยทำให้ความดุดันของฉินเฟิงด้อยลงไปด้วย
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่าง ฉินเฟิงก็เก็บเสี่ยวไป๋ใส่กระเป๋าสะพายหลัง และตรงไปยังสำนักงานของผู้อำนวยการ
แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าทันทีที่ก้าวไปถึงประตู เขาจะได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากข้างใน
“ดี ดีมาก ตาแก่อย่างฉันละอดเฝ้ารอที่จะได้เห็นถึงความสำเร็จของเธอไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อเจอที่ๆดีแล้ว เธอก็ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอก”
ได้ยินถึงเสียงที่แสนจะคุ้นเคย ฉินเฟิงก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของผู้อำนวยการ
ผู้อำนวยการมีชื่อว่าหลินเต๋อหรง อายุราวๆ 80 ปี เป็นอาวุโสผู้น่านับถือ นอกจากนี้ ยังกล่าวกันว่า ในยุคของอาวุโส เขายังเป็นส่วนหนึ่งในคนที่ร่วมก่อตั้งชุมชนทางตอนเหนืออีกด้วย
ดังนั้น ในปัจจุบัน เขาจึงได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมันก็เป็นเวลานานกว่า 30 ปีมาแล้ว แม้นี่จะไม่ใช่ตำแหน่งที่เลิศเลออะไร แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ถึงขั้นไม่ยุติธรรมต่อความสามารถของเขา
ด้วยความอดทนและเมตตาที่หลินเต๋อหรงมี เลยช่วยเติมเต็มให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
มันเลยพลอยทำให้ฉินเฟิงที่แม้จะมีชีวิตรันทดขมขื่น ยังพอสัมผัสได้ว่าตนมีบ้านที่แสนอบอุ่นและปลอดภัย ช่วยให้เขาสามารถทานรับความยากลำบาก ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหมด เพื่อต้องการที่จะกลับมา
ประตูสำนักงานผู้อำนวยการไม่ได้ถูกปิดสนิท ดังนั้นเลยยังพอที่จะสามารถมองลอดเข้าไปข้างในได้ แต่แล้วเมื่อเห็นถึงอีกคนที่อยู่ภายใน สีหน้าของฉินเฟิงก็หม่นลง
เป็นเฉินหมิง!
ทว่าเพียงครู่ สีหน้าของฉินเฟิงก็เปลี่ยนกลับมาคงเดิม และเริ่มเคาะประตู
“ก๊อก ก๊อก!”
ภายในห้อง หลินเต๋อหรงกับเฉินหมิงมองมายังทางเข้า แล้วทั้งคู่ก็พบว่าเป็นฉินเฟิง
“ฉินเฟิง มาได้จังหวะพอดีเลย เธอก็ด้วยนะ” หลินเต๋อหรงคล้ายแสดงออกถึงความคาดหวัง “พร้อมที่จะผ่านพิธีการรึยัง?”
“ผมก็ด้วย? พูดแบบนี้หมายความว่ามันรวมถึงเฉินหมิงด้วยใช่ไหมครับ?” ฉินเฟิงหันไปมองเฉินหมิง
สีหน้าของเฉินหมิงดูจะหมองไปพักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าในช่วงที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาและฉินเฟิงมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด ทว่าเมื่อวานนี้เขากลับเลือกหนีไปก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัด
“ใช่แล้วฉินเฟิง นายมีแผนที่จะย้ายออกรึยัง? แล้วเรื่องการปลุกพลังพิเศษล่ะ เป็นยังไงบ้าง?” เฉินหมิงพยายามรักษาน้ำเสียงให้ฟังดูสงบ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทว่าในหัวใจก็ยังคงวิตกกังวลว่าฉินเฟิงจะสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นได้แล้ว
“ไม่เลย” ฉินเฟิงปฏิเสธโดยตรง “แล้วนายล่ะ ทำไมถึงคิดจะย้ายออกตอนนี้?”
พอได้ฟัง มุมปากของเฉินหมิงก็ผุดรอยยิ้มภาคภูมิใจในชัยชนะปรากฏขึ้นทันที
“พอดีว่าเมื่อวานนี้ฉันบังเอิญไปพบกับทีมทหารรับจ้างเข้า และพวกเขาก็ยินดีจะให้ฉันเข้าร่วมเป็นสมาชิกทีม แถมยังให้ที่พักพิงแก่ฉัน -ตอนนี้ฉันสามารถออกไปจากที่นี่ และอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ร่วมกับพวกเขาได้!”
อพาร์ทเม้นท์น่ะแตกต่างจากห้องนอนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลายๆสิ่งอย่างเช่นความปลอดภัย และทรัพยากรฝึกฝนเป็นอะไรที่ดีมากๆ
“ใช่แล้วล่ะ เฉินหมิงได้เข้าร่วมกับทีมที่ดี ฉินเฟิงเอ๋ย ถ้าเธออยากจะเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างเหมือนกัน ทำไมไม่ลองขอให้เฉินหมิงแนะนำดูล่ะ บางทีหลังจากนี้ในอนาคต เพื่อนรักอย่างพวกเธอจะได้ดูแลซึ่งกันและกันไง!”
หลินเต๋อหรงกล่าวอย่างรวดเร็ว
พริบตานั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหมิงพลันแข็งค้าง เขาเพิ่งจะเข้าร่วมกับทีมทหารรับจ้างได้เมื่อวานนี้เอง แต่ยังไม่ทันไร จู่ๆก็จะต้องอ้อนวอนขอให้เพื่อนอีกคนเข้าร่วมทีมด้วยซะแล้ว แบบนี้มันผิดวิสัยเกินไป
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันอาจจะต้องถามหัวหน้าก่อนนะ แต่ได้ยินว่าหน้าใหม่ในทีมเหมือนจะเต็มแล้ว”
ฉินเฟิงลอบหัวเราะหยันในจิตใจ คนอย่างมันน่ะหรือ ไหนเลยจะเห็นเขาเป็นเพื่อน
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันยังไม่อยากจะเข้าร่วมทีมทหารรับจ้างในตอนนี้ อันที่จริงฉันคิดว่าอยากจะไปเข้าเรียนต่อในสถาบันระดับสูงน่ะ!”
“แต่ค่าเล่าเรียนสถาบันระดับสูงมันแพงมากเลยไม่ใช่หรอ? ยังไงก็ตาม ถ้าเธอต้องการที่จะไปจริงๆ ฉันอาจติดต่อกับคนบางกลุ่ม ช่วยเธอเซ็นสัญญาให้ได้นะ แล้วหลังจากจบการศีกษา เธอจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มของพวกเขาเลยไง แบบนี้น่าจะดีกว่าไปลำบากเพียงลำพังเป็นไหนๆ!”
“ผู้อำนวยการไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ผมจะหาหนทางเอง!” ฉินเฟิงไม่เต็มใจที่จะให้หลินเต๋อหรงช่วยเขาติดต่อกับใคร ไม่ต้องกล่าวถึงความทรงจำในช่วงสิบปีก่อนหน้า ในหัวใจของฉินเฟิงเลยยังไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มใดๆ ดังนั้นจึงตอบปฏิเสธ ไม่คิดเป็นเจ้าบ่าวให้ผู้อื่นจับคลุมถุงชน
“ก็ได้ งั้นตอนนี้ฉันจะพาเธอไปผ่านพิธีการก่อนก็แล้วกัน!”
ผู้อำนวยการหันไปวุ่นกับสิ่งอื่น ระหว่างนี้ฉินเฟิงก็หันไปมองเฉินหมิงและเอ่ยถาม “นายได้เข้าร่วมกับทีมอะไร?”
“มันเรียกว่าทีมซ่งจี่” ในหัวใจของเฉินหมิงบังเกิดความหวาดระแวงบางอย่างขึ้น เขารู้สึกว่าไม่อาจหลอกลวงฉินเฟิงได้ ดังนั้นจึงกล่าวเพียงสั้นๆ
“อืม เป็นชื่อที่ดีนี่!” เมื่อได้ฟัง ในหัวใจของฉินเฟิงปะทุไปด้วยความโกรธแค้น
ในชีวิตก่อนหน้า ที่เขาหนีออกมาจากห้องทดลอง แล้วสามารถกลับมายังชุมชนทางตอนเหนือได้อีกครั้ง โจวฮ่าวเสียชีวิตลงแล้ว เขาตัวคนเดียว เลยย่อมเป็นธรรมดาที่จะนึกถึงเฉินหมิง และกลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
และไม่คาดคิดเลย ว่าเฉินหมิงเองก็กลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อนแล้ว หลังจากที่ได้เห็นบาดแผลสาหัสของฉินเฟิง สีหน้าของเฉินหมิงก็ดูผิดปกติ และแยกตัวออกไปยกหูโทรศัพท์
กระทั่งถึงตอนนี้ ฉินเฟิงยังสามารถจดจำได้ดี ว่าเฉินเหมิงกล่าวไม่กี่คำอะไรออกไปในเวลานั้น
“หัวหน้า ไม่ใช่ว่าคุณจับตัวฉินเฟิงไปทำการทดลองแล้วหรอกหรอ? ทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่กันล่ะ?”
“ใช่ ตอนนี้เขากลับมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว!”
“รับทราบ เข้าใจแล้ว ผมจะหาทางจับเขาเอาไว้เอง ถ้ายังไงขอให้คุณรีบมา … ”
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าฉินเฟิงโกรธแค้นแค่ไหน แต่ในตอนนั้น อาการบาดเจ็บของฉินเฟิงยังไม่หายดี ร่างกายของเขาอ่อนแอนัก มิอาจต่อกรกับเฉินหมิงได้
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจหลบหนีทั้งวันคืน สุดท้ายพ้นจากชุมชนทางตอนเหนือไป
หัวหน้าที่เฉินหมิงเพิ่งติดต่อ คือหนึ่งในสมาชิกของแลปทดลองผิดกฏหมาย และแลปที่ว่านั่น ก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรร้ายที่ลักพาตัวฉินเฟิงไป
ดูเหมือนว่าเฉินหมิงจะยังไม่ทราบความจริงเกี่ยวกับทีมทหารรับจ้างนี้ แต่ภายในครึ่งเดือน คาดว่าเขาสมควรจะได้รู้!
‘แทนที่จะช่วยเก็บเรื่องของฉันเป็นความลับ มันกลับต้องการที่จะให้ฉันตายอีกครั้ง ไอ้บัดซบนี่มันสารเลวนัก เสียดายจริงๆที่คบกันมาตั้งหลายปี’
‘ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างงั้น ฉันจะไม่ปล่อยให้มันล่วงรู้ว่าฉันสามารถปลุกพลังพิเศษได้แล้วเด็ดขาด!’
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่พูดมันออกไป แต่ฉินเฟิงในตอนนี้ยังได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ต้องตายลงของโจวฮ่าว จึงกล่าวได้ว่าในอีกไม่นาน โจวฮ่าวก็น่าจะสามารถปลุกพลังพิเศษของตัวเองขึ้นมาได้เช่นกัน ฉะนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้องค์กรที่คอยลักพาตัวคนไปทดลองสาวไปถึงตัวโจวฮ่าว ฉินเฟิงจึงต้องช่วยปกป้องโจวฮ่าวด้วยเช่นกัน
ฉินเฟิงแน่นอนย่อมไม่ยินยอมให้พี่น้องที่แท้จริงของตัวเองถูกรังแก และได้รับความเดือดร้อน
“เอาล่ะ เธอเอานี่ไป” หลินเต๋อหรงจัดแจงเอกสารข้อมูล และส่งให้แก่ฉินเฟิง
“ขอบคุณผู้อำนวยการ อีกไม่กี่วันผมจะกลับมาเยี่ยมคุณอีกครั้ง!” ฉินเฟิงกล่าว นี่มิใช่คำพูดลอยๆตามมารยาท แต่ในอีกไม่กี่วัน เขาจะกลับมาหาผู้อำนวยการจริงๆ
และวันนั้น จะเป็นวันที่หลินเต๋อหรงต้องอึ้งทึ่งอย่างคาดไม่ถึง!
Ch.14 – ดูดกลืนรูน
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.14 – ดูดกลืนรูน
ส่วนเหตุที่เฉินหมิงกลับมายังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในครั้งนี้
เป็นเพราะแม้เขาจะริษยาฉินเฟิง และเกลียดชังลึกเข้าไปถึงหัวใจ แต่เจ้าตัวก็ยังนับถือผู้อำนวยการ
อย่างไรก็ตาม แม้จะนับถือคนๆเดียวกัน แต่ในชีวิตนี้ ฉินเฟิงก็ได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้แล้ว ว่าจะเป็นศัตรูกับเขา
ไม่ว่าจะเป็นการถูกรังแก หรือกดขี่ข่มเหงจากองค์กรร้ายในชีวิตก่อนหน้า เขาจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับชีวิตนี้อีก!
หลังจากผ่านพิธีการ ฉินเฟิงก็เก็บกระเป๋าเดินทางออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทว่าเขาช่างน่าสงสารจริงๆ เนื่องจากภายในกระเป๋ามีเสื้อเพียงสามตัวเท่านั้น
คราวนี้ … เขาไม่มีที่ไปจริงๆแล้วสินะ
ยังไงก็ตาม ตราบใดที่เขามีเงิน เจ้าตัวก็ไม่หวาดเกรงใดๆ ฉินเฟิงเริ่มคิดถึงโรงแรมห้าดาวในชุมชนทางตอนเหนือ ที่พรั่งพร้อมไปด้วยระบบรักษาความปลอดภัย มีสิ่งแวดล้อมที่ดี สุดท้ายก็ตัดสินใจไป
หากต้องการพักที่นี่ จำเป็นต้องจ่าย 200 เหรียญต่อวัน ทว่าสิ่งอำนวยความสะดวกมันก็คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย
หากเทียบเปรียบกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่นี่ราวกับสวรรค์เลยทีเดียว ไหนจะมีเตียงขนาดใหญ่ , ห้องอาบน้ำส่วนตัว , ห้องครัว , ตู้เย็น ,อุปกรณ์ฝึกฝน , เครื่องมือทดสอบขนาดเล็ก ฯลฯ
นี่เป็นห้องที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้สำหรับคนที่ผู้ที่มีพลังพิเศษ และตอนนี้พลังของเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นมันจึงสำคัญมาก
กล่าวได้ว่าหากเลือกจ่ายเงินเพื่อเข้าศูนย์ฝึกของมืออาชีพ ที่มีอุปกรณ์พรั่งพร้อม ราคาของมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
“เอาล่ะ ออกไปสำรวจรอบๆซะ แล้วถ้าอยากถ่ายหนักเบา ก็อย่าลืมไปห้องน้ำ ฉันรู้นะว่าแกเข้าใจ ” ฉินเฟิงวางเสี่ยวไป๋ลงบนพื้น และปล่อยให้เจ้าตัวน้อยเดินเล่นด้วยตัวเอง
เมื่อได้พบเจอกับสถานที่กว้างขวางและสิ่งแปลกใหม่ เสี่ยวไป๋ก็เริ่มตื่นตัว และกระโดดไปมารอบๆ
ฉินเฟิงดึงอุปกรณ์สื่อสารออกมา คิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายกดหมายเลขโทรหาโจวฮ่าว
“ฉินเฟิง การฝึกฝนเมื่อวานของนายเป็นยังไงบ้าง? ฉันได้ใช้ยาเสริมแกร่งแล้วนะ รู้สึกว่าตอนนี้ฉันจะสามารถโจมตีได้ด้วยความแรงตั้ง 80 แน่ะ!”
ได้ยินคำกล่าวนี้ ฉินเฟิงตอนแรกประหลาดใจ แต่พอนึกดูดีๆก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
“ฟังดูเยี่ยมไปเลย แต่อย่าลืมล่ะ ว่าต้องฝึกฝนการทำสมาธิด้วย!”
“ฉันรู้หรอกน่า แต่การฝึกสมาธิมันน่าเบื่อเกินไปนี่นา!” ตามนิสัยของโจวฮ่าว เขาเป็นพวกนั่งนิ่งๆไม่ได้
“หากเทียบกับผู้ใช้วรยุทธโบราณ ผู้ใช้อบิลิตี้ยังไงซะย่อมแข็งแกร่งกว่าเสมอ จดจำไว้ให้ดี ว่าถ้านายสามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้แล้ว อย่าได้ไปพูดให้ใครฟัง เพราะฉันได้ยินมาจากรองหัวหน้าซู ว่าในสถานที่ชุมชน มีองค์กร์มืดแฝงตัวอยู่ และไม่นานมานี้มันกำลังเริ่มทำการลักพาตัวคนที่เพิ่งจะปลุกพลังให้ตื่นขึ้น!”
ประโยคเหล่านี้ คือคำโกหกที่ฉินเฟิงคิดขึ้นมา
“ว่าไงนะ!?” โจวฮ่าวเริ่มจะกลัวจริงๆ “สถานที่ชุมชนเพิ่งจะประสบเคราะห์ร้ายเมื่อเร็วๆนี้เอง เอ๊ะ? อย่าบอกนะว่านายกำลังคิดว่าที่อุปกรณ์มิติเกิดความเสียหาย ก็เป็นฝีมือของพวกองค์กรร้ายเหมือนกัน?”
ฉินเฟิง “ … อาจจะนะ”
“ถ้างั้นนายไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว มาอยู่ที่บ้านฉันเหอะ ฉันจะพานายไปที่แผนกฝึกฝนเอง!”
พ่อของโจวฮ่าวทำงานในแผนกฝึกฝน โจวฮ่าวเลยพลอยได้อานิสงส์ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ก็สามารถออกกำลังกับเครื่องจักรต่างๆได้ ไหนจะได้รับคำแนะนำจากคนที่แข็งแกร่งจำนวนมากอีก
“ไม่เป็นไรหรอก อุปกรณ์ฝึกในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็เพียงพออยู่แล้ว นายดูแลตัวเองให้ดีเถอะ เอาไว้อีกหนึ่งเดือนพวกเราค่อยเจอกัน!”
“เอางั้นก็ได้!” โจวฮ่าวไม่บังคับฉินเฟิง เขารู้ดีว่าฉินเฟิงมีความภาคภูมิในตนเอง ไหนจะยังมีหลายเรื่องที่อีกฝ่ายแบกรับเอาไว้อีก
ทั้งสองวางสายสนทนา ฉินเฟิงพอได้เตือนเพื่อนก็รู้สึกโล่งใจ
ดวงตาของเขาตกลงบนเครื่องทดสอบในโรงแรม และวินาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็เริ่มวูบไหว
สองเท้าหยั่งรากกับพื้น เอวบิดเป็นเกลียว หนึ่งแขนถูกเหวี่ยงออกไป กระแทกกำปั้นเข้าใส่เครื่องทดสอบอย่างแรง
“ตูม!”
เครื่องทดสอบมีความยืดหยุนเป็นพิเศษ มันถูกปะทะจนหงายไปด้านหลัง พร้อมกันกับตัวเลขที่เด้งขึ้นมา
【ข้อมูลการทดสอบโจมตีในครั้งนี้คือ : 1213】
“ฟู่วววว!”
กล้ามเนื้อที่เกร็งแน่นของฉินเฟิง เริ่มคลายตัวลง
ตัวเลขนี้ บ่งบอกว่าร่างกายของฉินเฟิงในปัจจุบัน แข็งแกร่งยิ่งกว่าโจวฮ่าวถึง 15 เท่า!
ยังไงก็ตาม พรสวรรค์ของโจวฮ่าวก็ยังคงดีมาก
ตามข้อมูลระบบมาตรฐานของรัฐบาล ในการวัดระดับความแข็งแกร่ง ระบุว่าเด็กอายุสิบหกที่ยังไม่ถูกฉีดยากระตุ้น จะมีพลังการโจมตีราวๆ 10 เท่านั้น
นอกจากนี้ แม้จะมีช่องว่างอยู่นิดหน่อยระหว่างชายหญิง แต่หากสามารถผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักและต่อเนื่อง ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ช่องว่างเหล่านั้นจะหายไป
ก่อนหน้านี้ในโรงเรียนมัธยม ฉินเฟิง , โจวฮ่าว และเฉินหมิง คือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุด ในบรรดาพวกเขา สามารถโจมตีได้ในระดับไล่เลี่ยกันอยู่ที่ 20
ซึ่งหมายความว่า ในโรงเรียนมัธยม หากเทียบกับคนอื่นๆแล้ว ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของทั้งสามจะเหนือกว่าคนอื่นๆถึงสองเท่า
ตัวเลขนี้ มิเพียงบ่งบอกว่าฉินเฟิงมีพลังมากกว่าคนปกติถึงสองเท่า แต่ยังบอกว่า เขาสามารถรับมือกับคนระดับทั่วไปได้ถึงสิบคนด้วยตัวคนเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังจากฉีดยากระตุ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง ค่าเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ประมาณ 50 เป็นอย่างน้อย
ภายในหนึ่งเดือน ตราบใดที่มีค่าโจมตีถึง 100 ก็จะสามารถได้รับคุณสมบัติเป็นมือปืนได้
สำหรับผู้ใช้วรยุทธโบราณ มันยังต้องใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อตรวจวัดลมปราณ และต้องทดสอบฝึกฝนกำลังภายในด้วยเทคนิคของชี่กง จากนั้น ต้องผ่านการมาตรวัดด้วยเครื่องมืออย่างละเอียด จึงจะสามารถระบุได้ว่าเป็นผู้ใช้วรยุทธจริงหรือไม่
แต่ผู้ใช้อบิลิตี้ จะแตกต่างจากทั้งสองกลุ่มที่กล่าวมานี้อย่างสิ้นเชิง
เพราะตราบใดที่แก่นอบิลิตี้ของพวกเขาตื่นขึ้น แม้ว่าระบบจะคำนวณว่าเขาเป็นขยะที่โจมตีได้เพียง 10 แต่ก็ยังคงได้รับฐานะผู้ใช้อบิลิตี้อยู่ดี
“อันดับแรก คงต้องพยายามฝึกสมาธิก่อน!” สำหรับกำลังภายในนั้น ฉินเฟิงรู้ว่าเขามีมันอยู่แล้ว เอาไว้ทดสอบมันเมื่อไหร่ก็ได้
อย่างแต่ก็ตาม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
ฉินเฟิงใช้อุปกรณ์สื่อสาร ทำการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นเครือข่ายสำหรับนักสู้ เขายืนยันตัวตน และแน่นอน ว่าที่ดาวโหลดมาย่อมเป็นข้อมูลวิธีการฝึกสมาธิ รวมไปถึงการฝึกลมปราณชี่กงระดับต้น เพราะถึงแม้ว่าในชีวิตก่อนหน้า ช่วงที่เลเวลผู้ใช้วรยุทธของเขาไปไกลถึง B3 แต่กำลังภายในของเขากลับหยุดอยู่แค่ เลเวล C เท่านั้น
ฉินเฟิงนั่งขวาทับซ้ายเริ่มทำสมาธิอย่างเงียบๆในจิตใจอีกครั้ง เฝ้ารอจนกระทั่งความมืดมิดโอบล้อมเข้ารอบตัว ดาวเคราะห์เพชรเริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา
นี่คือแก่นอบิลิตี้!
ฉินเฟิงใช้พลังสมาธิควบคุมแก่นอบิลิตี้ แก่นอบิลิตี้ค่อยๆเริ่มหมุนวน โคจรอย่างช้าๆ
สำหรับคนที่ยังไม่สามารถปลุกพลังพิเศษให้ตื่นขึ้น พวกเขาจะรู้สึว่าการทำสมาธิเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ และนั่นเองคือเหตุผลที่โจวฮ่าวไม่ยินยอมฝึกสมาธิ เพราะเขายังไม่สามารถปลุกพลังพิเศษขึ้นมาได้ เลยมิอาจตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของมัน
ด้วยการโคจรของแก่นอบิลิตี้ จุดสีเทาแปลกๆก็เริ่มปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันมืดมิด
แม้จะกล่าวว่าเหล่านี้เป็นจุดเทาๆ แต่ในความเป็นจริง มันคือสัญลักษณ์อันคลุมเครือ
-เป็นรูนธาตุ
แก่นอบิลิตี้มีความสามารถในการดึงดูดรูนธาตุเข้าไปในดาวเคราะห์ ยิ่งได้รับรูนมากเท่าใด อำนาจของผู้ใช้อบิลิตี้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าพลังสมาธิของฉินเฟิงยังคงอ่อนแอ ผ่านไปได้เพียงสิบนาที เขากลับดึงดูดรูนธาตุสีเทามาได้เพียงสิบตัวเท่านั้น แบบนี้มันแทบจะเรียกได้เลยว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ
“ฟู่ววว!”
คราวนี้ดูเหมือนว่าจะเหนื่อยยิ่งกว่าเมื่อคืน ฉินเฟิงทิ้งตัวลงนอนอย่างวางใจ เพราะปัจจุบัน เขาอยู่ในโรงแรม อย่างน้อยก็หมดกังวลเรื่องความปลอดภัย
ข้างกายเขา เสี่ยวไป๋ที่เล่นอยู่เพียงลำพัง เมื่อเห็นฉินเฟิงทิ้งตัวนอนลงบนเตียงใหญ่ มันก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดตามขึ้นไป
เจ้าสัตว์ตัวน้อยเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียงหนึ่งวัน แต่กลับมีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วว่องไว เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า ในอนาคตมันจะเติบโตขึ้นได้ขนาดไหน
ฉินเฟิงนอนหลับไปเพียงสองชั่วโมง เขาก็ตื่นขึ้นมา และเริ่มทำสมาธิต่อ ในระหว่างนั้นก็มีหยุดพักกินอาหารบ้าง
เกี่ยวกับอบิลิตี้ของเขา ฉินเฟิงยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังสงสัย
แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันเกิดจากการที่ตนอยากจะแก้แค้นนั่นเอง เขาถึงได้ทุ่มเทมากมายถึงเพียงนี้
Ch.15 – นิมิตยามค่ำ
Translator : Muntra / Author
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.15 – นิมิตยามค่ำ
ในสถานที่ชุมชนทางตอนเหนือ ช่วงกลางคืนได้มาถึง สีสันของแสงไฟเริ่มปรากฏ
ฉินเฟิงนั่งสมาธิอยู่ในโรงแรม มุ่งเน้นใช้เทคนิคทำสมาธิ ขณะที่ในหัวใจบังเกิดความตื่นตกใจอย่างไม่รู้จบ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมจู่ๆความเร็วในการเก็บรวบรวมรูนถึงได้เพิ่มมากขึ้นถึงขนาดนี้?”
ปัจจุบัน ปรากฏรูนสีดำจำนวนมากบินออกมาจากท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ความเร็วของมันแตกต่างไปจากรูนสีเทาก่อนหน้านี้ถึง 2 เท่า
เพราะการฝึกฝนของฉินเฟิงในวันนี้ ส่งผลให้พลังสมาธิของเขาดีขึ้นเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน เขามิได้ทำสมาธิได้เพียง 10 นาทีอีกต่อไป หากแต่เพิ่มเวลาได้เป็น 15 นาทีแล้ว
แต่ภายใน 15 นาทีล่าสุดนี้ ฉินเฟิงกลับสามารถรวบรวมรูนธาตุได้มากกว่า 100 ตัวอย่างน่าฉงน!
ยามเมื่อฉินเฟิงลืมตาขึ้น เขาก็ค้นพบว่าสภาพของโลกภายนอกได้เปลี่ยนแปลงไป
“ที่แท้ก็ฟ้ามืดแล้ว!”
มันไร้ซึ่งแสงสว่างภายในห้อง แต่คู่ดวงตาของฉินเฟิงกลับช่างแจ่มใส สามารถรับรู้ถึงทุกสิ่งรอบตัวเขา
อันที่จริง ฉินเฟิงก็มีความสามารถดังที่กล่าวมาอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่มันไม่ชัดเจนเท่ากับในปัจจุบันก็เท่านั้นเอง
“หรือว่านี่คือ ‘นิมิตยามค่ำ!’ ”
นิมิตยามค่ำ : ไม่เพียงช่วยให้วิสัยทัศน์ในช่วงเวลากลางคืนแจ่มใส ในขณะเดียวกัน หากมีศัตรูปรากฏขึ้น ฉินเฟิงก็สามารถรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
แม้ภายในระยะ 30 เมตรรอบกายของเขาจะมืดมิด แต่เจ้าตัวก็ยังสามารถรับรู้ได้ ราวกับ ‘มองเห็น’ มัน
นี่สินะ ที่เรียกกันว่าความรู้สึกที่สามารถควบคุมความมืดมิดได้
ทันใดนั้นเอง ในหัวใจของฉินเฟิงก็คิดได้ถึงบางสิ่ง เจ้าตัวไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“อบิลิตี้ของฉันคือความมืด ดังนั้นในระหว่างวันช่วงเช้า พลังสมาธิของฉันเลยอ่อนแอลงสินะ?”
ความไม่รู้ที่คล้ายกับดวงตามืดบอดของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ ได้ถูกชะล้างออกไปด้วยความสุขเข้ามาแทนที่
อย่างไรก็ตาม หลังจากครบ 15 นาที จบการทำสมาธิในครั้งนี้ ฉินเฟิงมิได้พักผ่อน แต่ก็ไม่เลือกที่จะฝึกฝนต่ออีกแล้วเหมือนกัน
เขาสวมชุดต่อสู้ ติดอาวุธ ใส่หมวก สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เก็บเสี่ยวไป๋ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วออกจากโรงแรมไป
ในช่วงเวลากลางคืน ภายในชุมชนเริ่มที่จะเงียบสงบ
นั่นก็เพราะโลกในยามค่ำคืน เป็นโลกของผู้แข็งแกร่ง ตัวตนที่สามารถจะชักนำสถานการณ์ไปสู่ความโกลาหลได้ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าไม่อยากจะกลายเป็นศพลอยไปตามท่อระบายน้ำ และถูกผู้คนพบเจอในสภาพดูไม่ได้ยามรุ่งเช้า กลางค่ำกลางคืน หากไร้ซึ่งกำลัง การไม่ออกมาเดินเตร่เป็นอะไรที่ดีที่สุด
ข้ามผ่านไปตามถนนอันเงียบสงบไม่กี่สาย ทันใดนั้นเอง โลกทั้งใบก็กลับกลายเป็นมีชีวิตชีวา
เขาได้เดินมาถึงถนนสายที่สาม -ถนนย่านการค้า!
นี่คือสถานที่ที่มีชีวิตชีวามากที่สุดในยามค่ำคืน ทุกหนแห่งรายล้อมไปด้วยร้านค้า โดยจุดที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นจตุรัสที่อยู่ถัดไป
ภายในจตุรัส มันเต็มไปด้วยผ้าใบที่ถูกปูเอาไว้ พร้อมกับมีสินค้าที่ทั้งแปลกใหม่ และของโบราณวางขายเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือมิติที่ไม่รู้จัก , อุปกรณ์เทคโนโลยีระดับสูง รวมไปถึงอาวุธทำลายล้างบางประเภท
ฉินเฟิงเดินไปเรื่อยๆอย่าไร้จุดหมาย ทว่าก็ยังรู้สึกได้ว่าความมืดมิดรอบกายอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนภายในระยะ 30 เมตร -นี่ช่วยลดการเสียเวลา ที่เขาต้องมาคอยสังเกตดูสินค้าลงได้มากทีเดียว
ในตอนนั้นเอง หัวใจของฉินเฟิงพลันกระตุกวูบอย่างรุนแรง เขาพยายามสงบมัน ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่ง
มันเป็นร้านของชายชรา ที่บนผ้าใบ ถูกวางเอาไว้ด้วยสิ่งแปลกประหลาดมากมาย
“เจ้าสิ่งนี้ขายยังไง?” ฉินเฟิงหยิบจี้หยกสีดำขึ้นมา
ภายใต้นิมิตยามค่ำของฉินเฟิง เขาสามารถตระหนักได้ถึงลักษณะของจี้นี้ได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมสีดำ แต่ว่าไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องแกะสลักด้วยสีดำ แถมมุมปากของเจ้าแม่ คล้ายจะดูไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนเลย ตรงกันข้าม มันเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกต่างออกไป
“นี่คืออุปกรณ์เสริมสำหรับการฝึกฝนวรยุทธโบราณ มันสามารถช่วยรวบรวมจิตวิญญาณของฟ้าดิน เพิ่มความเร็วในการฝึกฝนกำลังภายใน เป็นของล้ำค่า!”
ชายชรากล่าวอธิบายอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง แม้คุณสมบัติของสินค้าชิ้นนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่มันยังห่างไกลจากคำว่าล้ำค่ามากนัก
“ไร้สาระ! ถ้าฉันไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร แล้วจะถามถึงราคาไปทำไม?” ฉินเฟิงกล่าวห้วนๆ แสดงท่าทีไม่พอใจออกมา
รอยยิ้มประจบประแจงปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าของชายชรา “สายตาของนายน้อยช่างยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมนัก!”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วกล่าวต่อ “มันราคาเท่าไหร่?”
พริบตานั้นบังเกิดประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในแววตาของชายชรา เขากล่าวทันที “ 300000 เหรียญ!”
ฉินเฟิงเผยรอยยิ้มเย็น และวางจี้ดำในมือลง
“ตั้งราคาหน้าไม่อายแบบนี้ คิดดีแล้วใช่ไหม ไม่กลัวตายรึไง?”
สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยน ในหัวใจบังเกิดความกลัวเล็กน้อย เขาเริ่มสำรวจการแต่งกายของฉินเฟิงอย่างระมัดระวัง และพบว่า แม้อีกฝ่ายจะไม่มีตราสัญลักษณ์ของผู้ใช้พลังพิเศษ แต่ก็สวมใส่ชุดต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
ยิ่งไปกว่านั้น พอเห็นปืนพลังงานที่ฉินเฟิงเหน็บเอาไว้ตรงเอว ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดเหงื่อเย็นเยียบ
ฉินเฟิงแม้มิได้ครอบครองกลิ่นอายทรงพลังของผู้ใช้วรยุทธโบราณ ทว่ากลิ่นอายสังหารกลับมากล้น และปัจจุบัน กลิ่นอายที่ว่าก็กำลังตรึงลงบนร่างของชายชรา
กลิ่นอายสังหารนี้ เกิดจากการฝึกฝนและประสบการณ์เข่นฆ่าปีแล้วปีเล่าในชีวิตก่อนหน้าของเขา
พริบตานั้นชายชราบังเกิดความรู้สึกเสียใจในความโลภ แท้จริงแล้วฝ่ายตรงข้ามมิใช่แกะอ้วน หากแต่คือเหล็กกล้าที่มิอาจปอกลอกได้
“ขอแลกเปลี่ยนมันกับยาเสริมแกร่งเกรด F จำนวน 1 ขวด! ” ฉินเฟิงยื่นคำขาด
กลิ่นอายสังหารยังคงตรึงอยู่บนร่างของชายชรา ส่งผลให้เจ้าตัวบังเกิดความรู้สึกว่า หากไม่เห็นด้วย ก็จะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
นอกจากนี้ ราคาของยาเสริมแกร่งเกรด F ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาไม่น้อย เจ้าตัวจึงตัดสินใจพยักหน้าตกลงอย่างรวดเร็ว
“ตกลง ขาย! ฉันยอมแลกเปลี่ยนกับมัน!”
ฉินเฟิงหยิบจี้รูปสลักเจ้าแม่กวนอิมสีดำขึ้นมา โยนหลอดยาเสริมแกร่งเกรด F ให้อีกฝ่าย และเดินแยกตัวออกไปสำรวจร้านอื่นๆต่อทันที
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ยามเมื่อเขากุมจี้รูปสลักเจ้าแม่สีดำ ในหัวใจของเขาจะบังเกิดความพลุ่งพล่านขึ้น
ฉินเฟิงเร่งเดินออกไปอย่างรีบร้อน เพราะเขาเกรงว่ามันจะไปกระตุ้นให้คนอื่นๆเกิดความสงสัย
แต่ในเวลานั้นเอง เสี่ยวไป๋ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็เริ่มดีดดิ้น
“แอ๊!”
“มีอะไรงั้นหรอ?”
ฉินเฟิงตบเบาๆลงตรงหน้าอก เสี่ยวไป๋ก็เริ่มใช้กรงเล็บของมันลากบนฝ่ามือเขา ชี้ไปยังทิศทางซ้าย
ฉินเฟิงจึงเดินไปทางซ้าย และคราวนี้เสี่ยวไป๋ก็เริ่มตะกุยกระเป๋าเสื้อของเขา หางเล็กๆของมันส่ายไปมา กระทบกับหน้าอกของฉินเฟิง
ฉินเฟิงมองไปข้างหน้า และค้นพบว่ามีแก่นพลังงานสามลูกวางอยู่บนผ้าใบเบื้องล่าง
“เฮ้อ! แกจะกินแก่นพลังงานเป็นของว่างไม่ได้นะ!”
แม้ปากฉินเฟิงจะพึมพำเช่นนั้น ทว่าในหัวใจ บังเกิดความคิดที่ว่าศักยภาพของเสี่ยวไป๋ในภายภาคหน้านั้นไร้ขีดจำกัด ถึงเขากับมันจะยังไม่ได้ทำสัญญากัน แต่สติปัญญาของมันก็ไม่เลว ดูจากการเลือกแก่นพลังงานก็รู้แล้ว ดังนั้น หากช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้แก่มัน คงจะเป็นการดี
เมื่อคิดได้แบบนี้ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ฉินเฟิงจะตามใจเสี่ยวไป๋
เพราะบางครั้ง สัตว์เลี้ยงก็เชื่อถือได้มากกว่าผู้คน
“ฉันอยากจะใช้ 2 ยาเสริมแกร่งเกรด F เพื่อแลกกับสามแก่นพลังงานนี้ จะได้ไหม?”
ฉินเฟิงเอ่ยถึงความต้องการของเขาทันที แม้ว่าแก่นพลังงานเหล่านี้จะอัดแน่นไปด้วยพลัง หากแต่ในเรื่องของความบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้ไม่บริสุทธิ์เท่ายาเสริมแกร่งเกรด F -คนปกติธรรมดามิได้มีพลังพิเศษดูดกลืนเหมือนกับฉินเฟิง ดังนั้นพวกเขาย่อมดูดซับมันได้ยากกว่า
“ไม่ขัดข้อง!”
คนขายเองก็ตอบรับด้วยความยินดี เขาทำการแลกเปลี่ยนสามแก่นพลังงานกับฉินเฟิงโดยตรง
ฉินเฟิงไม่กล้าที่จะมอบแก่นทั้งสามให้กับเสี่ยวไป๋ในตอนนี้ เขาจึงเก็บพวกมันไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกข้าง เสี่ยวไป๋ร้องโวยวายเล็กน้อยคล้ายกับรับรู้ได้ว่าอาหารของตนถูกเก็บไว้อีกที่หนึ่ง
หลังจากเสี่ยวไป๋งอแงเล็กน้อย มันก็เงียบไป ฉินเฟิงผ่อนคลายลง และเริ่มเดินเล่นสำรวจร้านค้าต่อไป
อันที่จริงแล้ว นับตั้งแต่ที่เดินสำรวจมา ในบริเวณนี้ก็มีหลายสิ่งที่เขาสามารถนำมาใช้ได้อยู่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นหญ้ากลางคืน ที่เมื่อบดมันแล้ว สามารถใช้ทาบนร่างกาย มีผลช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อนเร้นในที่มืดได้ นี่เป็นของดีไว้ใช้หลบหนี และไม่ต้องสงสัยเลย ว่าภายในตัวหญ้าย่อมมีรูนธาตุมืด!
ไหนจะหนังค้างคาวดำอีก นี่ก็ของดีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่มันมีแค่สามอันเท่านั้น!
สุดท้าย … เป็นแก่นพลังงานธาตุมืด แต่อันนี้ไม่ได้! เขาไม่อาจซื้อมัน เพราะการกระทำเช่นนั้น มันจะเป็นการระบุถึงสถานะผู้ใช้ธาตุมืดของเขาชัดเจนเกินไป!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น