เกิดใหม่อีกครั้ง ฉันเป็นองค์ชาย ตอนพิเศษ 1-15
ตอนพิเศษ 1 สิบหกปีต่อมา
เด็กสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนวิ่งไปตรงเบื้องหน้าสตรีผู้สวมชุดขาว เบ้ริมฝีปาก และเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อรังแกรุ่ยเอ๋อร์อีกแล้ว ไม่ยอมให้รุ่ยเอ๋อร์ออกไปนอกจวน”
เด็กสาวคนนี้ก็คือจวินรุ่ยซี และสตรีชุดขาวที่นางกอดอยู่ก็คือหลิงลั่ว
สิบหกปีผ่านไป คล้ายว่าสวรรค์จะโปรดปรานดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาใดๆ เหลือเหลือไว้บนใบหน้าของนางเลยสักนิด มีบางคราวที่ทำให้จวินรุ่ยซีก็ยังอิจฉานาง
“เป่าเป้ย เจ้าอยากจะออกไปทำไมอีก?”
หลิงลั่วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ถ้าหากจะกล่าวว่านางเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมอยู่ในบ้านนานๆ เช่นนั้น จวินรุ่ยซีก็เป็นคนประเภทที่ออกไปข้างนอกแล้วก็ไม่ยอมกลับบ้าน!
มิน่าเล่าที่ไม่ว่าจะอย่างไรแล้ว จวินชิงเหยียนก็ไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอกเลย
“ท่านแม่ วันนี้ที่วังหลวงมีงานพิธีบวงสรวงใหญ่โต เพื่อเป็นการรำลึกถึงการสวรรคตไปยี่สิบปีของฮ่องเต้องค์ก่อน พิธีบวงสรวงใหญ่โตขนาดนี้รุ่ยเอ๋อร์จะอยู่ในวังได้อย่างไร? ท่านแม่ ท่านก็ให้รุ่ยเอ๋อร์ไปกับพวกท่านด้วยเถิดนะ!”
วันนี้เป็นวันบวงสรวงการสวรรคตยี่สิบปีของจวินเทียนจิ้นฮ่องเต้องค์ก่อน ทั้งครอบครัวของหลิงลั่ว รวมทั้งฉู่อิ้งหานองค์หญิงแคว้นซีหวาที่เพิ่งจะสมรสเข้าจวนเหยียนอ๋องได้หนึ่งปีก็เข้าร่วมด้วย แล้วจะให้จวินรุ่ยซีอยู่ในจวนอ๋องเพียงคนเดียว ก็ไม่ค่อยจะสมเหตุผลอยู่บ้าง
สุดท้ายหลิงลั่วก็ถอนใจเบาๆ “ก็ได้ แต่ว่าเป่าเป้ย ห้ามเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าไม่ยอมกลับจวนแบบครั้งก่อนอีกเด็ดขาด”
“ได้เลยๆ ท่านแม่กล่าวอะไรรุ่ยเอ๋อร์เชื่อฟังหมดเลย!”
จวินรุ่ยซียิ้มหวานๆ วิ่งออกไปนอกจวนอ๋อง และขึ้นไปบนรถม้าคันที่อยู่ข้างหลัง
หลิงลั่วส่ายหน้าอย่างจนใจ ก้าวเท้าเดินออกจากจวนอ๋อง และขึ้นไปบนรถม้าคันข้างหน้า
จวินชิงเหยียนนั่งหลับตาสงบจิตอยู่ในรถ
หลังจากรู้สึกว่าหลิงลั่วขึ้นรถแล้ว ก็ลืมตาขึ้น “หากครั้งนี้รุ่ยเอ๋อร์ยังวุ่นวายเอาแต่ใจ ข้าจะทำให้นางสลบและพากลับจวนทันที”
“เป่าเป้ยนางยังเด็ก สิบสี่ กับเด็กผู้หญิงควรจะผ่อนผันสักหน่อย อย่าได้เข้มงวดเหมือนที่ทำกับนั่วเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เลย”
หลิงลั่วหัวเราะเบาๆ แต่จวินชิงเหยียนกลับทำเป็นหูทวนลม “เพราะว่ารุ่ยเอ๋อร์เป็นเด็กผู้หญิง ถึงไม่อาจปล่อยให้นางเอาแต่ใจขนาดนี้ได้ วิทยายุทธ์นางต่อสู้ไม่เป็น รักษาด้วยพิษไม่เป็น วิชาตัวเบาก็ได้แค่หางอึ่ง จะวางใจปล่อยนางเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”
หลิงลั่วเม้มปากไม่พูดจา จวินชิงเหยียนก็เป็นห่วงจวินรุ่ยซี แม้เขามักจะกล่าวกับบรรดาลูกๆ ว่า ‘พวกเจ้าเป็นเพียงแค่เหตุสุดวิสัย’ ก็ตาม…
รถม้าเดินทางมาตลอดจนถึงแท่นบวงสรวง จวินโม่เซิง ซย่าอี้อวิ๋นและคนอื่นๆ ก็มาถึงแล้ว และยังมีพระอริยะที่เชิญมาจากวัดหลวงวัดชิงย่วนด้วย
จวินรุ่ยซีโผล่ศีรษะออกมาจากรถม้า มองทิวทัศน์ตรงหน้าอย่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหมือนเด็กที่สอบถามสิ่งที่อยู่รอบๆ บริเวณด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“รุ่ยเอ๋อร์ อย่าวิ่งเพ่นพ่าน งานพิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”
จวินนั่วเหยียนร้องบอก มองเงาหลังจวินรุ่ยซีที่กำลังจะวิ่งไปไกล
“รู้แล้วน่า!”
เสียงของจวินรุ่ยซีแว่วมาจากที่ไกลๆ ระหว่างที่ไม่รู้ตัวนั้น ก็เดินไปที่ป่าหลังแท่นบวงสรวงเสียแล้ว
คล้ายปรากฏเสียงใครบางคนสวดมนต์ดังอยู่ใกล้หู เพียงแต่เสียงนั้นฟังแล้วอ่อนวัย ไม่เหมือนเสียงของพระชรา
จวินรุ่ยซีเดินเข้าไปในศาลาหินอย่างใคร่รู้อยู่บ้าง เห็นเณรน้อยคนหนึ่งในชุดจีวรขาวนั่งสมาธิอยู่กลางศาลา พนมมือสองข้างอยู่
จวินรุ่ยซีกะพริบตาปริบๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางได้เห็นเณรน้อยที่อายุน้อยขนาดนี้!
จวินรุ่ยซีเดินไปใกล้ นั่งยองลงข้างๆ เณรน้อย เอ่ยถามอย่างอยากรู้ว่า “เณรน้อย ข้านามว่าจวินรุ่ยซี เจ้านามว่าอะไรหรือ”
จวินรุ่ยซีแย้มยิ้ม ในดวงตาสองข้างที่สะอาดบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความเฝ้ารอ
เณรน้อยลืมตาขึ้น มองสตรีผู้งามเลิศที่อยู่ข้างกายครู่หนึ่ง บนใบหน้าปราศจากอารมณ์อันใด
ตอนพิเศษ 2 ข้าอยากให้เจ้าแบกข้า
“เสี่ยวเซิง[1]มีนามนักบุญว่าเจียสือ ขอเข้าเฝ้าท่านหญิงขอรับ”
จวินรุ่ยซีกะพริบดวงตาสองข้าง เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้าเป็นท่านหญิง?”
“ท่านหญิงเลื่องชื่อลือนาม ชื่อเสียงโด่งดังกึกก้อง”
น้ำเสียงเรียบเฉยของเจียสือ เอ่ยตอบกลับมาเพียงเล็กน้อย
จวินรุ่ยซีบุ้ยปากขึ้นมาอย่างไม่พอใจ มองเณรน้อยผู้มีทิฐิตรงหน้าผู้นี้ “ในเมื่อเจ้าทราบว่าข้าชื่อเสียงลือนาม แล้วเจ้ายังกล้าใช้ท่าทางเช่นนี้ปฏิบัติกับข้า?”
“เสี่ยวเซิงเป็นแค่ภิกษุธรรมดารูปหนึ่งของวัดชิงย่วนเท่านั้น ย่อมควรจะปฏิบัติต่อท่านหญิงอย่างสุภาพ”
“คนในวัดพวกเจ้าน่าเบื่อแบบนี้กันหมดเลยหรือ”
จวินรุ่ยซีขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยพอใจ มองเณรน้อยที่อยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกสนิทสนมอย่างมากขึ้นมา ทำให้นางอยากจะเข้าใกล้
แต่! จวินรุ่ยซีกัดปากอย่างไม่พอใจ เณรน้อยผู้นี้จะมีทิฐิมากเกินไปแล้วกระมัง? นางเป็นฝ่ายมาเล่นกับเขาเช่นนี้แล้ว เขายังจะเมินเฉยอย่างนี้อีก!
แต่ว่า…
“เณรน้อย เจ้าก็หน้าตาดีจริงๆ!”
จู่ๆ จวินรุ่ยซีก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มตาหยีมองเจียสือ
ทว่าเจียสือกลับไม่ได้ดีใจหลังจากที่ถูกชม เขาพนมมือสองข้างไว้ที่หน้าอก พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความเคลื่อนไหวช้าๆ เบาๆ
“ท่านหญิงสรรเสริญเยินยอกันเสียแล้ว”
ฉับพลันจวินรุ่ยซีรู้สึกว่าเณรน้อยตรงหน้าคนนี้ช่างเป็นผู้ที่ชอบตัดบทสนทนาเสียจริง!
ดวงตาชุ่มฉ่ำหันเคลื่อนเล็กน้อย จู่ๆ ก็กุมมือปิดท้องน้อย และนั่งลงบนพื้นช้าๆ
“โอ๊ย! ข้าปวดท้องจังเลย”
ใบหน้าดวงน้อยย่นเข้าหากันเพราะความเจ็บปวด แต่นางกลับลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในขณะที่เจียสือมองไม่เห็น
“ท่านหญิง ท่านเป็นอะไร?”
เจียสือเห็นจวินรุ่ยซีนั่งบนพื้นก็ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างๆ จวินรุ่ยซีแล้วก็นั่งยองๆ ลง
“ข้าก็ไม่รู้… คือปวดท้องจังเลย เช่นนี้ข้าก็ไม่สามารถเดินไปที่แท่นบวงสรวงได้แล้ว แย่ล่ะ… ท่านพ่อจะต้องด่าข้าอีกแล้ว…”
“เช่นนั้นท่านหญิงรอสักครู่ เสี่ยวเซิงจะไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้”
“อ๊ะ! เณรน้อย! เจ้าหยุดนะ!”
จวินรุ่ยซีรีบขวางเจียสือเอาไว้ เดิมทีนางก็เสแสร้งทำอยู่แล้ว หากว่าถูกท่านแม่กับพี่ใหญ่สองคนนั้นที่ฝีมือการแพทย์เป็นเลิศทราบเข้า แล้วนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเล่า
“ท่านหญิง?”
ดวงตาชุ่มฉ่ำของจวินรุ่ยซีกลอกกลิ้งไปมา จู่ๆ ก็เกิดความคิดอยากเล่นพิเรนทร์ขึ้น แล้วก็ชายตาขึ้นมา “ข้าอยากให้เจ้าแบกข้า!”
“ท่านหญิง เช่นนี้ไม่ถูกต้องตามขนบประเพณี โปรดอภัยที่เสี่ยวเซิงไม่อาจเชื่อฟังคำสั่ง”
เจียสือนิ่วคิ้วเล็กน้อย นี่ก็เป็นครั้งแรกที่จวินรุ่ยซีได้เห็นการแสดงออกทางอารมณ์บนใบหน้าของเจียสือ
แต่ว่าจวินรุ่ยซีกลับมีอาการชั่วแล่นอยากจะลูบคิ้วที่ขมวดนั้นให้คลายออก
“มีอะไรไม่ถูกต้องตามขนบประเพณีกัน? ข้าเป็นท่านหญิง! ข้าให้เจ้าแบกข้า เจ้ายังจะกล้าโต้แย้งรึ? อีกอย่าง สภาพข้าในตอนนี้ นักบวชอย่างเจ้าจะใจร้ายให้ผู้หญิงอ่อนแออย่างข้ารออยู่ที่นี่เชียวหรือ”
จวินรุ่ยซีมองเจียสืออย่างไม่พอใจ ไม่ว่าจะอย่างไร จะปล่อยให้เณรน้อยผู้นี้ออกไปแจ้งข่าวไมได้เด็ดขาด!
เจียสือขมวดคิ้วคล้อยดวงตาลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และหันหลังนั่งลงยองๆ ที่ข้างหน้าจวินรุ่ยซี
“เช่นนี้ เสี่ยวเซิงจะพาท่านหญิงไปพักผ่อนที่ห้องด้านหลัง”
เจียสือหันหลังให้จวินรุ่ยซี ทำให้ย่อมไม่เห็นรอยยิ้มที่แผนการสำเร็จผลปรากฏออกมาบนใบหน้าของจวินรุ่ยซี
เจียสือก็เลยแบกจวินรุ่ยซีเดินเข้าไปในป่าเช่นนี้ จวินรุ่ยซีกอดคอของเจียสือไว้แนบแน่น รู้สึกหวานชื่นในใจ และพอใจเป็นอย่างมาก
จวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองเช่นนี้คืออะไร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้กับเณรน้อยที่เพิ่งจะพบหน้ากัน เพียงต่ว่าจวินรุ่ยซีกลับคิดว่า หากในชั่วขณะนี้สามารถกลายเป็นชั่วนิรันดร์ได้ อย่างนั้นก็น่าจะดี
[1] เสี่ยวเซิง คือ คำสรรพนามของพระที่ใช้เรียกแทนตัวเองอย่างนอบน้อม
ตอนพิเศษ 3 ใจผิดแผกไปให้ใคร
หลังจากส่งจวินรุ่ยซีไปที่ห้องแล้ว เจียสือก็ออกไป
จวินรุ่ยซีก็ไม่ได้แสร้งปวดท้องแล้ว นางยืนที่ข้างหน้าต่าง มองเงาหลังที่จากออกไปของเจียสืออย่างเคลิบเคลิ้ม
จนกระทั่งสิบห้านาทีต่อมา หลิงลั่วกับฉู่อิ้งหานมาหาจวินรุ่ยซีที่ห้อง นางถึงได้ทราบว่าที่แท้หลังจากที่เจียสือออกไปแล้ว นางก็ยืนอยู่เช่นนี้ตลอดจนถึงตอนนี้เลย!
“เป่าเป้ย เจ้าเป็นอะไร เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ปวดท้องเล่า”
หลังจากหลิงลั่วเดินเข้ามาในห้องแล้วก็พินิจดูจวินรุ่ยซีอย่างถ้วนทั่วทั้งบนจรดล่างอยู่หลายรอบ และยังตรวจชีพจรให้นางอีกด้วย แต่ว่าจวินรุ่ยซีมีสุขภาพร่างกายที่ดีมาก ไม่ได้มีความผิดปกติใดๆ เลย
หลิงลั่วมองจวินรุ่ยซีอย่างงุนงนอยู่บ้าง แต่ว่าจวินรุ่ยซีเพียงแต่มองไปยังบางแห่ง และหัวเราะคิกคักอย่างเหม่อลอย
เห็นจวินรุ่ยซีเป็นแบบนี้ หลิงลั่วก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่ในใจมาก
นี่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง ซึ่งนางก็ปกป้องอย่างดีตั้งแต่เด็ก ทำให้ถึงขนาดที่นางอายุสิบหกปีแล้วก็ยังมีสภาพที่ยังไม่เคยผ่านเรื่องราวใดมาเลย
ที่จวินรุ่ยซีเป็นเช่นนี้ นั่นก็คือสิ่งที่หลิงลั่วเป็นห่วงมากที่สุด
ก็เพราะว่านางไม่เจนโลก ดังนั้นถึงได้เป็นห่วงว่านางจะถูกคนหลอก เป็นห่วงว่านางจะโดนคนทำให้เสียใจ
“เอ่อ… คือว่าข้าก็ไม่ทราบ แต่ว่าท่านแม่ท่านหายห่วงได้เลย รุ่ยเอ๋อร์ไม่ปวดแล้วล่ะ”
จวินรุ่ยซียิ้ม คนที่นางไม่อยากหลอกที่สุดก็คือท่านแม่ของนาง แต่หากว่าท่านแม่ทราบว่านางแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อเณรน้อยคนหนึ่งแล้วล่ะก็ ท่านแม่ต้องไม่พอใจมากแน่ๆ
“เอาล่ะ…”
หลิงลั่วมองจวินรุ่ยซีแวบหนึ่ง แต่ว่านางเลี้ยงบุตรสาวมาตั้งแต่เล็กจนโต แค่ปราดเดียวนางก็ทราบความคิดของจวินรุ่ยซีแล้ว
แต่หลิงลั่วไม่ได้เปิดโปงจวินรุ่ยซีแต่อย่างใด อย่างไรเสียบุตรสาวนางก็เติบโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง ก็เป็นเรื่องปกติมากที่ไม่อยากบอกพ่อแม่
“แต่ลูกรัก เจ้าต้องจำไว้นะ แม่กับพ่อ และยังมีพี่ชายกับพี่สะใภ้จะคอยปกป้อง สนับสนุนอยู่ข้างหลังเจ้าเสมอ”
จวินรุ่ยซีพยักหน้า รู้สึกเบ้าตารื้นขึ้นมาเล็กน้อยทันที
ฉู่อิ้งหานเดินมาข้างหน้า เช็ดขอบตาให้จวินรุ่ยซีไปพลาง และเอ่ยยิ้มไปพลางว่า “ยายเด็กโง่ ร้องไห้อะไรกัน?”
“ข้าตื้นตันใจมากอย่างไรเล่า…”
จวินรุ่ยซียิ้ม แล้วก็เอ่ยอีกว่า “จริงสิท่านแม่ ท่านรู้จักเณรน้อยที่นามว่าเจียสือหรือไม่เจ้าคะ”
“เจียสือ?”
ในดวงตาหลิงลั่วปรากฏความประหลาดใจเล็กน้อย มองสายตาของจวินรุ่ยซีที่มีความสงสัยอยู่บ้าง “ต้องรู้จักสิ เขาเป็นผู้ดำเนินงานพิธีบวงสรวงในครั้งนี้ และก็เป็นผู้ที่เชิญมาจากเจ้าอธิการวัดชิงย่วน ในวัยเยาว์เจียสือถูกทิ้งไว้ที่นอกวัดชิงย่วน เจ้าอธิการวัดชิงย่วน ท่านหลวงพ่อฮุ้ยจื้อพาเจียสือเข้าสู่วัดชิงย่วน เจียสือก็ใช้ชีวิตอยู่ในวัดชิงย่วนมาตั้งแต่เด็ก และในปีนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ออกจากวัด”
“ในเมื่อแม้แต่ท่านแม่ก็ยังรู้จักเขา เช่นนั้นความสามารถของเจียสือก็น่าจะใช้ได้สินะ?”
จวินรุ่ยซีกล่าว อย่างไรเสียหากว่าเณรน้อยผู้นี้ไม่มีดีอะไรเลย ก็คงไม่อาจมางานพิธีบวงสรวงที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้หรอกใช่หรือไม่?
“อืม” หลิงลั่วพยักหน้า “จริง เจียสือเด็กคนนี้มีปัญญารู้แจ้ง อีกทั้งฉลาดมากด้วย เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของพระอริยะท่านหลวงพ่อฮุ้ยจื้อที่ได้บรรลุธรรม ต่อไปไม่นานน่าจะยังได้เป็นเจ้าอธิการคนต่อไปของวัดชิงย่วนด้วย ครั้งนี้มาที่นี่กับหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง อาจารย์อาของเขา”
จวินรุ่ยซีพยักหน้า และไม่ได้เอ่ยปากกล่าวอีก
ที่แท้ เขาก็ร้ายกาจขนาดนี้เชียว เพียงดูแค่การตอบสนองและคำพูดของเขาเมื่อสักครู่แล้ว นางยังคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่เณรน้อยธรรมดารูปหนึ่งจริงๆ
จวินรุ่ยซีเผยอยิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจเสียแล้ว!
“ท่านแม่ แล้วเณรน้อยจะจากไปพร้อมกับอาจารย์อาของเขาเมื่อไรหรือ”
หลิงลั่วครุ่นคิด และกล่าวว่า “พวกเขาน่าจะอยู่ที่ในวังหนึ่งเดือน อย่างไรแล้วก็เป็นวันบวงสรวงครบยี่สิบปีของเสด็จพี่ ซึ่งก็เป็นวันที่สำคัญนัก”
ตอนพิเศษ 4 หลอมละลายใจของเขา
จวินรุ่ยซีพยักหน้า ถ้าหากหนึ่งเดือนแล้วล่ะก็ เช่นนั้นภายในหนึ่งเดือนนี้ นางก็สามารถไปหาเณรน้อยได้ทุกวัน!
ยามเมื่อครอบครัวหลิงลั่วกลับถึงจวนเหยียนอ๋อง ท้องฟ้าก็มืดแล้ว จวินรุ่ยซีวิ่งกลับไปในห้อง นอนลงบนเตียงและห่อผ้าห่มของตัวเองไว้แน่น คิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันนี้แล้วก็รู้สึกว่าใจเต้นผิดปกติ
นี่นางเป็นอะไรไป หรือว่าจะไม่สบายเสียแล้ว?
จวินรุ่ยซีพลันเอาผ้าห่มคลุมศีรษะของตัวเองในทันที
ช่างเถิดๆ ไม่คิดแล้วดีกว่า ถึงอย่างไรวันพรุ่งนี้นางก็ยังต้องเข้าวังไปเจอเณรน้อยอยู่ดี…
เช้าวันถัดมา
จวินรุ่ยซีตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากแล้วก็รีบไปที่วังหลวงโดยที่แม้แต่อาหารเช้าก็ยังไม่ทันจะได้รับประทาน
ตอนที่หลิงลั่วและจวินชิงเหยียนได้ทราบเรื่องนี้ ก็เป็นยามที่จวินรุ่ยซีจากไปได้ครึ่งเค่อแล้ว
จวินชิงเหยียนได้ยินแล้วก็ไม่ได้กล่าวอะไร แต่หลิงลั่วทราบว่าจวินนั่วเหยียน จวินลั่วชิงพวกเขาล้วนทราบกันหมด เมื่อจวินรุ่ยซีกลับมาแล้ว นางก็คงจะซวยเสียแล้ว
ยายหนูนี่ก็จริงๆ เลย นึกว่าไม่ถึงว่าจะรู้จักไปจากจวนอย่างเงียบเชียบโดยไม่ส่งเสียงเลยสักแอะ!
จวินรุ่ยซียังไม่ทราบว่าหลังจากเมื่อตนเองกลับไปที่จวนแล้วจะได้เจอกับอะไร นางเดินทางมาถึงตำหนักรับรองที่เจียสือกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิงพำนักอยู่
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิงไปสวดมนต์ที่สุสานหลวง ส่วนเจียสืออยู่ในตำหนัก
“เณรน้อย!”
หลังจากจวินรุ่ยซีเดินเข้าไปในตำหนักแล้ว ก็เห็นเจียสือนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้
เมื่อได้ยินเสียงของจวินรุ่ยซี เจียสือก็ลืมตาโดยไม่รู้ตัว เขาพลันตะลึงงันอยู่ก่อน ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน พนมมือทำความเคารพ “ท่านหญิงเสด็จมาเยือนได้อย่างไร เสี่ยวเซิงขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ”
“เณรน้อย ทำไมมีแต่เจ้าอยู่ที่นี่ อาจารย์อาของเจ้าล่ะ”
จวินรุ่ยซีมองดูทั่วทั้งตำหนักรับรอง และไม่มีที่ท่าว่าจะมีคนอื่นอยู่
“อาจารย์อาไปที่สุสานหลวง ตอนเย็นถึงจะกลับมา”
“จะเป็นเช่นนี้ทั้งเดือนเลยรึ?”
“อืม”
“เช่นนั้นต่อไปข้าจะมาเล่นกับเจ้าทุกวัน ดีหรือไม่”
เมื่อมองตนเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาอันสว่างพร่างพราวของจวินรุ่ยซี เจียสือก็พลันชะงักชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ “ท่านหญิง เช่นนี้ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมเนียมประเพณี ท่านไม่ต้องมาทุกวันจะดีกว่า”
“เจ้า!” จวินรุ่ยซีมองเจียสืออย่างไม่พอใจ เณรน้อยผู้นี้ช่างไม่เข้าใจอารมณ์เสน่ห์หาเลยจริงๆ
นางที่เป็นท่านหญิง กล่าวว่าจะมาหาเขา ทว่าเขากลับปฏิเสธ!
จวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกในใจของนางในยามนี้อย่างไร นางรู้สึกแค่ว่าลมหายใจอัดอั้นอยู่ตรงอก
“ข้าไม่ฟังเจ้าหรอกนะ! ในเมื่อเจ้ายังกล่าวเลยว่าข้าเป็นท่านหญิง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะให้ข้าต้องฟังเจ้า ข้ายังยืนหยัดว่าจะมาหาเจ้า!”
เจียสือมองจวินรุ่ยซีแวบหนึ่ง ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่เม้มริมฝีปากอย่างจนใจอยู่บ้าง
“ท่านหญิง ได้โปรดเถิด เสี่ยวเซิงไม่สามารถอยู่เล่นเป็นเพื่อนท่านได้ เชิญแล้วแต่ท่านหญิงจะสะดวก”
กล่าวจบ ก็ทำความเคารพให้จวินรุ่ยซี แล้วก็เดินมุ่งไปในห้อง
จวินรุ่ยซีบุ้ยปาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางประจบเอาใจคนอื่นแต่กลับถูกเมินใส่ ความรู้สึกนี้มันช่าง… เฮ้อ…
เจียสือกำลังจะก้าวเท้าออกไป จวินรุ่ยซีก็รีบไล่ตามเงาร่างของเจียสือ
“นี่ๆๆ! เณรน้อย! เจ้าช้าหน่อย! รอข้าก่อนสิ!”
“เณรน้อย ปกติเวลาพวกเจ้าอยู่ในวัด นอกจากเวลาทานข้าวและนอนหลับแล้ว เวลาที่เหลือคงไม่ได้สวดมนต์ตลอดหรอกนะ? เช่นนั้นช่างน่าเบื่อชะมัด!”
“เณรน้อย เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดจาเล่า?”
“เณรน้อย…”
สิ่งที่เผชิญหน้ากับจวินรุ่ยซี ยังคงเป็นความเงียบสงบ
แต่ว่าจวินรุ่ยซีไม่ยอมแพ้ ยิ่งชวดกลับยิ่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน จวินรุ่ยซีก็แอบตัดสินใจไว้แล้วว่า นางต้องหลอมละลายน้ำแข็งก้อนที่ซ่อนอยู่นี้ให้ได้!
ตอนพิเศษ 5 เขาคิดอะไรอยู่
สิ่งที่เผชิญหน้ากับจวินรุ่ยซี ก็ยังคงเป็นความเงียบสงบ
แต่ว่าจวินรุ่ยซีกลับไม่ยอมแพ้ ยิ่งชวดกลับยิ่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน จวินรุ่ยซีก็แอบตัดสินใจไว้ว่านางต้องหลอมละลายน้ำแข็งก้อนที่ซ่อนอยู่นี้ให้ได้!
เจียสือชอบความเงียบ แต่ว่าเมื่อมีจวินรุ่ยซีอยู่ที่นี่ เขาก็ถูกลิขิตให้ไม่สามารถเงียบ และไม่อาจสงบลงได้เลย
“เณรน้อย? เจ้าอมทุกข์ขนาดนี้ตั้งแต่เด็กเลยหรือ”
จวินรุ่ยซีเอามือสองข้างหนุนศีรษะ มองเณรน้อยที่ตั้งใจสวดมนต์นั่งสมาธิอยู่ข้างหน้าอย่างเบื่อหน่ายเป็นที่สุด และเอ่ยถามด้วยความกลัดกลุ้ม
จวินรุ่ยซีเผชิญหน้ากับกลิ่นอายความเงียบสงบ เจียสือไม่ได้สนใจจวินรุ่ยซี เพียงแค่หลับตา และสวดมนต์อย่างเงียบๆ
จวินรุ่ยซียู่ริมฝีปาก กลอกตาเล็กน้อย จู่ๆ ก็เข้าไปใกล้เจียสือโดยพลัน หยุดอยู่ที่ตรงหน้าเขาเพียงสามเซนติเมตร
เมื่อได้ยินจวินรุ่ยซีเงียบลงไปอย่างฉับพลัน เจียสือก็ลืมตาขึ้นช้าๆ กำลังจะเอ่ยปากบอกให้จวินรุ่ยซีไปเสีย เพียงลืมตาก็เห็นใบหน้าที่ขยายใหญ่โตขึ้นของจวินรุ่ยซี
“! ! !”
เจียสือตกใจมาก รีบถอยหลังกลับไปทันควัน หล่นลงมาจากอาสนะทรงกลมอย่างสิ้นท่า!
มองเจียสือที่ปราศจากท่าทีเมินเฉยเช่นก่อนหน้านี้แล้ว จวินรุ่ยซีก็หัวเราะออกมา “ที่แท้ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่กลัวอะไรเลยนี่นา!”
“แต่ว่าข้าไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก และข้าก็ไม่ได้จะกินเจ้าด้วย”
จวินรุ่ยซีกลับไปหนุนศีรษะใหม่อีกครั้ง แล้วก็มองเจียสือเช่นนี้
ในใจเจียสือเหมือนกำลังรัวกลองอยู่ ภายในจิตใจเต้นไม่เป็นส่ำ ภายนอกก็ดูสับสนลนลานอยู่พักหนึ่ง “ท่านหญิง จะล้อเล่นกันเช่นนี้ไม่ได้! ท่านหญิงโปรดรักนวลสงวนตัว!”
“รักนวลสงวนตัว? รักนวลสงวนตัวคืออะไร”
จวินรุ่ยซีกะพริบตาปริบๆ มองเจียสืออย่างใคร่รู้เล็กน้อย
ถึงแม้แต่ก่อนท่านแม่เคยว่านาง ว่าไม่ให้นางอยู่ใกล้บุรุษมากเกินไปนัก แต่ว่าเณรน้อยผู้นี้คงไม่นับกระมัง? นักบวชล้วนไร้ความรู้สึกไร้ตัณหา ไม่มีจิตใจไม่มีความอยาก ละแล้วซึ่งผัสสะมิใช่หรือ?
“คือ…”
คิ้วงามของเจียสือขมวดแผ่วเบา หากเขากล่าวว่าโดนใบหน้าของจวินรุ่ยซีแล้ว สตรีนางนี้จะต้องอึดอัดใจใช่ไหม?
เจียสือส่ายหน้าเบาๆ ช่างเถิด… ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
“เณรน้อย หูของเจ้าแดงแล้วนะ อายอย่างนั้นหรือ?”
จวินรุ่ยซีหัวเราะเบาๆ มองเจียสืออย่างสงบไม่สะทกสะท้าน
เจียสือได้ยินคำพูดของจวินรุ่ยซี ดวงตาไหวเคลื่อนเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ในใจคล้ายมีความลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาก่อน
“ท่านหญิงกังวลเกินไปแล้ว เสี่ยวเซิงเพียงแค่… เพียงแค่รู้สึกอบอ้าวเล็กน้อยเท่านั้น”
“แต่ตอนนี้เป็นสารทฤดู กำลังจะเข้าเหมันตฤดูแล้ว เจ้าไม่รู้สึกหนาว กลับยังรู้สึกว่าร้อนอย่างนั้นรึ หรือว่าภิกษุจะเป็นเช่นนี้กันหมด?”
จวินรุ่ยซีมองเจียสือด้วยความสงสัยเล็กน้อย เจียสือก็ไม่ทราบว่าในใจตัวเองคิดอย่างไร เห็นเด็กสาวผู้นี้แล้วในใจก็รู้สึกลนลานมาก
มัน…ไม่ควรเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนก็มีคุณหนูฝ่ายขุนนางและตระกูลขุนนางไม่น้อยมาจุดธูปสวดขอพรที่วัดชิงย่วน ซึ่งก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เลย
เจียสืออดไม่ได้ที่จะมองจวินรุ่ยซี เด็กสาวคนนี้ เหมือนจะต่างจากคนเหล่านั้น
ถึงแม้จะปลิ้นปลอก แต่ว่าดวงตาคู่นั้นกลับใสสะอาดนัก แม้ว่าเสียงเอะอะไปบ้าง แต่กลับไม่ได้ทำให้คนรู้สึกเกลียด
จวินรุ่ยซีก็ไม่หลบไม่ซ่อน ปล่อยให้เจียสือมองดูตามใจไปเช่นนี้
นานนัก เจียสือถึงได้ถอนสายตากลับมา
เขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่นะ?
อาจารย์อาเคยกล่าวว่า คนในราชวงศ์มีความคิดรอบคอบ ล้ำลึกเฉียบแหลม ถ้าหากเป็นไปได้ อย่าได้คลุกคลีกับพวกเขามากจนเกินไปโดยเด็ดขาด
ชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดที่จะพัวพันมีความสัมพันธ์สนิทสนมใดๆ กับคนในราชวงศ์เลยสักนิด
จวินรุ่ยซีไม่ค่อยเข้าใจท่าทีที่แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของเจียสือ
ตอนพิเศษ 6 มันเป็นตัวผู้
จวินรุ่ยซีไม่ค่อยเข้าใจท่าทีที่แปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของเจียสือ แต่นางทราบว่าแท้ที่จริงแล้วเจียสือไม่ใช่คนที่จิตใจเย็นชา ดังนั้นจวินรุ่ยซีก็เลยคิดแผนการในใจ อย่างน้อยที่สุดภายในหนึ่งเดือนนี้ นางต้องเป็นเพื่อนสนิท ประเภทที่สนิทกันมากๆ กับเณรน้อยคนนี้ให้ได้!
นางเอียงศีรษะมองเจียสือ เจียสือนั่งหน้าตาไร้อารมณ์อยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าหงุดหงิดปฏิกิริยาเมื่อสักครู่นี้มาก
ในตอนนี้เอง งูสีขาวตัวหนึ่งผลุบเข้ามาในห้องที่จวินรุ่ยซีกับเจียสืออยู่ และเลื้อยไปทางจวินรุ่ยซี
เจียสือเงยหน้าขึ้น มองไปที่จวินรุ่ยซี เดิมทีอยากจะเชิญให้นางไปจากที่นี่เสีย ครั้นเงยหน้ากลับเห็นงูตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นไปบนแขนของจวินรุ่ยซี
“ท่านหญิงระวัง!”
เจียสือวู่วาม และก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด พลันปัดมือไปอย่างแรง และก็ปัดงูขาวตัวเล็กนั้นไปที่มุมกำแพงทันที!
งูขาวตัวเล็กสะบัดหัวอย่างวิงเวียน
หน้าตาไร้เดียงสามีความข้องใจเพิ่มขึ้นมา มันทำอะไรไปรึ? มันก็แค่มาหาจวินรุ่ยซีเองนี่นา
จวินรุ่ยซีหันหน้ากลับไป มองงูขาวตัวเล็กที่น่าสงสาร และกะพริบตาปริบๆ “เหมาเหมา? เจ้ามาได้อย่างไร”
งูขาวตัวเล็กนี้ ก็คือเหมาเหมางูขาวซึ่งเข้าใจนิสัยมนุษย์และคอยติดตามหลิงลั่วอยู่โดยตลอด
“ท่านหญิง พวกท่าน…รู้จักกันรึ?”
เจียสือมองทางจวินรุ่ยซี เอ่ยถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
จวินรุ่ยซีพยักหน้า “ใช่แล้ว เหมาเหมาเป็นงูเทพที่ท่านแม่เลี้ยง อายุมากกว่าข้า ว่ากันตามหลักการของเหมาเหมาแล้ว ข้าต้องเรียกมันว่าป้า แต่ว่าข้าไม่เคยเรียกเลย…”
ศีรษะน้อยของเหมาเหมาที่แต่เดิมยกชูขึ้นสูง พลันชะงักไป หันไปมองทางจวินรุ่ยซีอย่างไม่พอใจ
น้าเน้ออะไรกันเล่า?! มันเป็นตัวผู้! ตัวผู้! ต้องเรียกลุงใหญ่สิ!
แม้แต่อายุของหลิงซี ท่านน้าเล็กของนางก็ยังไม่ได้มากเท่ามัน!
เจียสือมองเหมาเหมาครู่หนึ่ง และหันหน้ากลับมา
เขาหมดแรงจะค่อนแคะเลยจริงๆ
“จริงสิเหมาเหมา ที่เจ้ามาหาข้าทางฝั่งท่านพ่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
จวินรุ่ยซีมองเหมาเหมา แต่ก่อนทุกครั้งที่นางออกมาเที่ยวเล่น จวินชิงเหยียนจะจับได้ตลอด และทุกครั้งก็ล้วนให้เหมาเหมามาหานาง
เหมาเหมาผงกหัว ทำท่าทางแปลกประหลาด… เอ่อ อย่างน้อยที่สุดเจียสือมองแล้วก็แปลกมาก
ใครจะไปทราบหลังจากจวินรุ่ยซีดูเสร็จแล้ว ก็พลันลุกขึ้น ‘พรวด’ แล้วก็หันหน้ากลับมามองเจียสือ และกล่าวว่า “เณรน้อย พรุ่งนี้ข้าจะมาเจอเจ้าอีก!”
หลังกล่าวจบแล้ว… ก็จากไปอย่างเร็วปรื๋อ
เจียสือมองเงาหลังที่รีบลนลานออกไปของจวินรุ่ยซี ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยอยู่ในใจเล็กน้อย หรือว่าเกิดเรื่องอะไรกับเหยียนอ๋อง? ไม่อย่างนั้นเหตุใดนางถึงลนลานขนาดนี้?
แต่เจียสือก็คาดไม่ถึง ว่าสภาพความเป็นจริง เป็นเช่นนี้…
ณ จวนเหยียนอ๋อง กลางลานหอรุ่ยซี
จวินรุ่ยซีคุกเข่าปะทะดวงตะวันอยู่ในลานอย่างเศร้าสร้อยน้อยใจ ขณะที่จวินชิงเหยียนนั่งดื่มชาอยู่ใต้ร่มไม้
จวินรุ่ยซีชำเลืองตามองจวินชิงเหยียนอยู่สักพักหนึ่ง เห็นจวินชิงเหยียนไม่มีทีท่าจะเอ่ยปากปล่อยนางเลย ก็มองไปทางหลิงลั่วที่อยู่ตรงกันข้ามกับจวินชิงเหยียน
หลิงลั่วได้รับรู้สายตาของจวินรุ่ยซีแล้ว กำลังจะเอ่ยปากกล่าวอะไรบางอย่าง ก็เห็นจวินชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นมา รินชาถ้วยหนึ่งให้หลิงลั่ว และกล่าวว่า “บัดนี้รุ่ยเอ๋อร์ชักจะใช้ไม่ได้ขึ้นทุกที หากว่าไม่ควบคุมกันสักหน่อย ต่อไปจะคุมไม่อยู่แล้วจริงๆ”
หลิงลั่วหยุดชะงัก สายตามองที่จวินรุ่ยซีแวบหนึ่ง
อันที่จริงจวินชิงเหยียนก็กล่าวถูก แต่ก่อนไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อเจ้าเด็กจวินรุ่ยซีคนนี้จะออกจากจวนไป ก็ยังบอกกับนางบ้าง แล้วคราวนี้เป็นอย่างไรเล่า? ออกจากจวนไปเลยไม่มีแม้แต่จะบอกกล่าว ซึ่งก็ควบคุมได้ยากเสียแล้วจริงๆ
ว่าแล้วหลิงลั่วก็เบือนหน้าไปเลย ปล่อยให้จวินชิงเหยียนมากำกับอบรมจวินรุ่ยซี อย่างไรเสียเมื่อไม่เห็นไม่เจอก็ยังจะเป็นสุขใจได้อยู่!
ตอนพิเศษ 7 จิตใจของเขา เริ่มวุ่นวายเสียแล้ว
เมื่อเห็นหลิงลั่วไม่ได้เอ่ยปากอีก จวินรุ่ยซีก็เบะปากอย่างน้อยใจ สายตามองไปยังประตูทางเข้าของหอรุ่ยซี
ในเวลานี้ นางหวังเป็นอย่างมากว่าท่านพี่ทั้งสองคนของนางจะเยื้องกรายลงมาเหมือนเป็นเทวดา แล้วก็มาโปรดชีวิตนางท่ามกลางความทุกข์ยาก!
สุดท้าย ในขณะที่จวินรุ่ยซีกำลังไม่ย่อท้ออยู่นั้น จวินนั่วเหยียนกับฉู่อิ้งหานก็มาปรากฏตัวที่ประตูใหญ่ของหอรุ่ยซี
ถึงแม้จวินลั่วชิงที่มักจะกวนประสาทจวินชิงเหยียนเป็นประจำ จนทำให้จวินชิงเหยียนไม่อาจทานทนไหวจะไม่ได้มาด้วย แต่ว่าที่จวินนั่วเหยียนกับฉู่อิ้งหานมาเยือนนั้นก็ทำให้จวินรุ่ยซีดีใจอย่างมากแล้ว อย่างไรเสียในบรรดาเด็กอย่างพวกเขาสามคน คนที่จวินชิงเหยียนฟังคำพูดมากที่สุด นั่นก็คือจวินนั่วเหยียน
แม้ว่าคำพูดของหลิงลั่วจะได้ผลที่สุด แต่ว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาได้ตัดสินใจผนึกกำลังร่วมมือกัน
“ท่านพ่อ นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงให้เป่าเป้ยคุกเข่าที่อยู่ตรงนี้”
จวินนั่วเหยียนเดินไปข้างๆ จวินชิงเหยียน รูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่ได้ให้แก่จวินชิงเหยียน สองคนนี้ยืนอยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนเป็นพ่อกับลูก แต่เหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า
“หากอยากขอความเมตตาให้รุ่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าก็คิดทบทวนในใจเจ้าให้ดี” จวินชิงเหยียนกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ท่านพ่อ อย่างไรแล้วรุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นเด็กผู้หญิง… ลงโทษนางเช่นนี้ คงไม่อาจทานไหว”
ฉู่อิ้งหานมองจวินรุ่ยซีที่กำลังคุกเข่าอยู่ใต้ดวงตะวัน ก็เกิดรู้สึกทนไม่ไหว
“หากนางยังทราบว่าตนเองเป็นเด็กผู้หญิง ก็ควรทำในสิ่งเหล่านั้นที่เด็กผู้หญิงสมควรกระทำ”
จวินชิงเหยียนมองจวินรุ่ยซีครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “หนึ่งชั่วยาม ถึงเวลาแล้วค่อยลุกขึ้นอีกครั้ง”
กล่าวเสร็จ ก็มองฉู่อิ้งหานที่อยู่ทางข้างหลังแวบหนึ่ง และก็จูงมือหลิงลั่วเดินออกจากหอรุ่ยซีไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร
“หนึ่งชั่วยาม ท่านพ่อก็ได้เมตตาแล้วจริงๆ”
จวินนั่วเหยียนมองจวินรุ่ยซี แล้วก็มองฉู่อิ้งหานที่อยู่ข้างๆ อีกครั้งอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เป่าเป้ย พี่ก็ช่วยเจ้าได้แค่เพียงเท่านี้”
ฉู่อิ้งหานหยิบเบาะรองอันหนึ่งออกมาจากข้างหลัง และยื่นให้จวินรุ่ยซี “รุ่ยเอ๋อร์ ให้เจ้า”
จวินรุ่ยซีรีบรับมาแล้ววางไว้ที่ใต้หัวเข่า เช่นนั้นก็รู้สึกสบายขึ้นมากในทันที
“ขอบคุณพี่สะใภ้!”
…
กลางคืน จวินรุ่ยซีนอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองดวงดาวดาษดาอยู่เต็มฟากฟ้า ความคิดก็ค่อยๆ แล่นออกไปไกล
ตอนนี้เณรน้อย กำลังทำอะไรอยู่นะ…
ณ วังหลวง ในตำหนักรับรอง เจียสือกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้วยกันกับหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปข้างนอกหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ เห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า
ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอีก
เหมือนว่าหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของเจียสือ เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเจียสือข้างกายที่เหม่อลอยอยู่บ้าง
“เจียสือ”
ได้ยินเสียงของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง เจียสือก็รีบหันหน้ากลับมา “อาจารย์อา”
“จิตใจของเจ้า เริ่มวุ่นวายเสียแล้ว”
เสียงของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงเหมือนเป็นกำปั้น ซึ่งอัดเข้าที่ใจของเจียสือ
จิตใจของเขา เริ่มวุ่นวายเสียแล้วหรือ? เป็นเพราะท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ที่เคยพบหน้าเพียงแค่สองครั้งอย่างนั้นรึ?
“วันนี้ ท่านหญิงแห่งจวนเหยียนอ๋องมาเยือนหรือ”
เจียสือชะงัก เขาที่ไม่เคยพูดปด ก็ยังคงพยักหน้า “ใช่ขอรับ อาจารย์อา”
“ต่อไปอยู่ห่างจากนางสักหน่อย หาไม่แล้วนางจะทำให้จิตใจของเจ้ายิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ”
“… ขอรับ อาจารย์อา”
…
ถึงแม้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงจะกล่าวเช่นนี้ แต่เจียสือก็ยังไม่อาจต้านทานนิสัยที่เร่าร้อนเปิดเผยของจวินรุ่ยซีได้
แม้ว่าจะถูกจวินชิงเหยียนลงโทษแล้ว แต่จวินรุ่ยซีก็ยังสามารถฉวยโอกาสยามที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงไปสวดมนต์ที่สุสานหลวง มาหาเจียสือที่ตำหนักรับรองได้อย่างตรงเวลาทุกวัน
ถึงแม้ว่าตอนแรกเจียสือก็เชื่อฟังคำพูดของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงเป็นอย่างมาก แต่วันแล้ววันเล่า จิตใจข้างในที่ต่อต้านขัดขืน ก็ถูกเด็กสาวผู้ร่าเริงคนนี้เปิดแง้มออกเสียแล้ว…
ตอนพิเศษ 8 ไม่มีผู้ใดที่จะไม่คู่ควรกับบุตรสาวของพวกเรา
วันนี้หลังจากจวินรุ่ยซีกลับมาที่หอรุ่ยซีจากตำหนักรับรองแล้ว กลับพบว่าหลิงลั่วได้รอนางอยู่ภายในห้องแล้ว
“ท่านแม่? เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่”
จวินรุ่ยซีเดินไปใกล้หลิงลั่ว และเอ่ยถามขึ้น
หลิงลั่ววางถ้วยชาที่ถือเล่นอยู่ในมือลง หัวเราะอย่างอ่อนโยนเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะว่ากว่าครึ่งเดือนนี้เป่าเป้ยมักไปที่ในวังหลวงอยู่เป็นประจำหรอกหรือ? แม่ก็สงสัยอยู่ในใจนักว่าวังหลวงมีความน่าดึงดูดต่อเป่าเป้ยมากขนาดนี้ตั้งแต่ยามใดกัน”
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของหลิงลั่ว จวินรุ่ยซีย่อมทราบว่าท่านแม่ของตนเองมีความเฉลียวฉลาดมากเพียงใด เมื่อนางถามอย่างนี้แล้ว ก็หมายความว่านางพอจะได้ทราบคร่าวๆ เสียแล้ว เพียงแต่รอให้นางสารภาพมาตามตรง
แต่ว่าจวินรุ่ยซีก็ไม่ได้กลัวที่จะสารภาพกับหลิงลั่ว อย่างไรเสียตั้งแต่เล็กจนโต นางก็บอกเรื่องทุกอย่างกับหลิงลั่วทั้งหมดอยู่แล้ว
“ท่านแม่ ท่านรู้จักเจียสือหรือไม่ เขาเป็นคนที่ดีมากจริงๆ นะ เพียงแต่มีบางครั้งที่ช่างเลือกมากเกินไป จริงๆ แล้วก็คือสมองทึ่มนั่นแหละ”
หลิงลั่วมองจวินรุ่ยซีอย่างตะลึงเล็กน้อย
เมื่อจวินรุ่ยซีกล่าวถึงเจียสือ ในดวงตาจะเปล่งประกายแวววับ
สำหรับสายตานั้น หลิงลั่วเห็นแล้วก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้
นั่นคือสายตาที่จะมีให้แค่คนที่คิดถึงซึ่งเป็นคนที่รักได้เท่านั้น หรือว่าเป่าเป้ยจะชอบเขาเข้าเสียแล้ว…
หลิงลั่วแค่รู้สึกเหลือเชื่อ แต่ว่าต่อให้จวินรุ่ยซีจะชอบเจียสือเข้าแล้ว แต่ทางเจียสือนั้น…
“เป่าเป้ย เจียสือเขา ชอบ… พูดคุยกับเจ้าหรือไม่”
หลิงลั่วไม่ได้เอ่ยถามตรงๆ เพราะว่านางทราบดี ว่าจวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าความชอบคืออะไร
“ชอบสิ!”
จวินรุ่ยซีพยักหน้าอย่างเป็นสุข “ถึงแม้ตอนแรกเณรน้อยจะเย็นชาและเฉยเมยมาก แต่ว่าในภายหลัง เขายังเหลือขนมและของหวานไว้ให้รุ่ยเอ๋อร์ทุกวันเลย”
หลิงลั่วทราบว่าจวินรุ่ยซีไม่ได้พูดโกหก เพราะว่าบุตรสาวของนางพูดโกหกไม่เป็น แต่ว่าอนาคตเจียสือจะกลายต้องเป็นเจ้าอธิการวัดชิงย่วน ไม่ต้องพูดถึงหลวงพ่อฮุ่ยจื้อที่เป็นอาจารย์ของเจียสือ ต่อให้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงผู้ที่เป็นอาจารย์อาคนนั้น ก็เป็นตัวละครซึ่งยากจะรับมือได้
มองท่าทางที่เป็นสุขของจวินรุ่ยซีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลิงลั่วก็กลับไม่อาจกล่าวคำพูดว่า ‘อยู่ให้ห่างจากเจียสือสักหน่อย’ ที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากออกไปได้
หลิงลั่วลูบศีรษะน้อยของจวินรุ่ยซี และกล่าวว่า “เอาเถิดเป่าเป้ย แม่ทราบแล้ว พักผ่อนให้เร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเข้าวังอีกมิใช่หรือ?”
“อืม!”
จวินรุ่ยซีพยักหน้า ไปบ้วนปากล้างหน้าและเข้านอนอย่างว่าง่าย
แต่จนกระทั่งกลับไปถึงเขตลานบ้าน หลิงลั่วก็ยังเหม่อลอยอยู่บ้าง
จวินชิงเหยียนเห็นสภาพหลิงลั่วจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็พลันตระหนก ครั้นแล้วจึงเอ่ยปากถาม “เป็นอะไรหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลิงลั่วมองทางจวินชิงเหยียน และเอ่ยถามว่า “สิบสี่ ถ้าหากเป่าเป้ยมีคนที่ชอบ เจ้าจะสนับสนุนนางหรือไม่?”
จวินชิงเหยียนพลันตะลึงงัน และหัวเราะเบาๆ “ย่อมแน่อยู่แล้ว”
“แล้วหากว่าคนผู้นั้น เป็นภิกษุเล่า”
“…”
จวินชิงเหยียนมองหลิงลั่ว บนใบหน้าหลิงลั่วจริงจัง ไม่มีเจตนาล้อเล่นแต่อย่างใด ก็เอ่ยอีกครั้งว่า “ไม่ว่าเป็นใคร ไม่มีผู้ใดที่จะไม่คู่ควรกับบุตรสาวของพวกเรา ถ้าหากนางชอบ แม้ว่าอีกฝ่ายเป็นขอทาน ข้าก็จะไม่กล่าวคำใดเลยสักคำ”
หลิงลั่วเห็นดังนี้ก็หัวเราะออกมาแผ่วเบา ดูเหมือนว่านางก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปคัดค้านเสียแล้วสิ
เช่นนั้นก็ปล่อยวาง และปล่อยให้จวินรุ่ยซีไปทำแล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีแขกคนหนึ่งมาเยือนจวนเหยียนอ๋อง และแขกผู้ที่มาเยือนนั้นก็เป็นคนที่อยู่ในความคาดหมายของหลิงลั่ว
“เหตุใดหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงถึงมีเวลาว่างมาในวันนี้ ไม่ต้องไปสวดมนต์ภาวนาให้ฮ่องเต้องค์ก่อนที่สุสานหลวงหรือ”
ในโถงหน้า หลิงลั่วนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก มองหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงที่นั่งอยู่บนที่นั่งแขก และหัวเราะออกมาเบาๆ
ตอนพิเศษ 9 ข้าจะสนับสนุนนาง
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงมองหลิงลั่วครู่หนึ่ง และก็กล่าวแถลงเจตนาที่มาเยือนในทันที
“เหยียนหวังเฟย อาตมาก็เคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าขอท่านได้โปรดเพิ่มการควบคุมดูแลท่านหญิงรุ่ยซีให้มากยิ่งขึ้น เจียสือเป็นลูกศิษย์คนแรกแห่งวัดชิงย่วนของอาตมา อนาคตต้องรับช่วงต่อวัดชิงย่วน และกลายเป็นเจ้าอธิการ เขาไม่ได้รู้ซึ้งถึงทางโลก และก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรีมีความอันตรายมากเพียงใด”
หลิงลั่วมองหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง อันที่จริงหลิงลั่วก็ได้คาดเอาไว้ก่อนแล้วว่าเขาคงจะมาหานางเพราะเรื่องนี้ แต่ไม่พบไม่เจอ ไม่นึกว่าจะมาหากันเร็วขนาดนี้
“หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกล่าวเช่นนี้หมายความอย่างไร อยากเจรจาต่อรองกับผู้ใดกัน เป็นเรื่องของเจียสือเองมิใช่หรือ แล้วเหตุใดแม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงยังต้องถามเล่า?”
หลิงลั่วถามสามคำถามต่อเนื่องกัน แต่ละคำถามล้วนเป็นการเข้าข้างปกป้องในความสัมพันธ์ส่วนตัวของเจียสือกับจวินรุ่ยซี
“เจียสือจะคบค้าส่วนตัวกับผู้ใด เป็นเรื่องของเขาเองจริงๆ แต่ว่าอาตมาก็ไม่มีทางปล่อยให้มีสิ่งกัดขวางใดปรากฏขึ้นบนเส้นทางอนาคตที่สดใสของเจียสือได้เด็ดขาด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงลั่วก็นิ่วคิ้วเล็กน้อย “บุตรสาวของข้าเป็นนายหญิงเพียงคนเดียวของแคว้นจวินกั๋ว ไม่ว่านางจะชอบใคร ข้าไม่มีทางจะก้าวก่าย แต่กลับจะสนับสนุนนางเสียอีก”
“หวังเฟย ท่านทำเช่นนี้จะทำร้ายเด็กทั้งสองคนนี้ อนาคตของเจียสือหาที่สุดมิได้ จะดับสูญไปเพียงเพราะสตรีคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด!”
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกล่าวด้วยอารมณ์ที่ปั่นป่วน และในตอนสุดท้ายก็กล่าวขึ้นเสียงสูง
“อนาคตของเจียสือก็เป็นการตัดสินใจของเขาเอง พวกเราไม่ว่าใครก็ไม่อาจก้าวก่ายอนาคตของเขาได้ นั่นเป็นเรื่องของเขาเอง”
หลิงลั่วก็มองกลับไปที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนด้อยให้เลยสักนิด มือของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกำลูกประคำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็คลายออกอย่างช้าๆ “ไม่ว่าจะอย่างไร เจียสือก็เป็นคนของวัดชิงย่วน สามวันหลังจากงานพิธีบวงสรวงฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นสุดลง อาตมาจะพาเจียสือไปเสีย”
กล่าวเสร็จหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงก็ลุกขึ้นยืน พนมมือสองข้างแสดงความเคารพไปทางหลิงลั่ว “เช่นนี้แล้ว อาตมาก็ขออำลา”
หลิงลั่วไม่พูด หรี่ดวงตามองเงาหลังของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงที่จากออกไป
อันที่จริงที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงสังเกตเห็นได้ บัดนี้คิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย
ถึงแม้นางจะเพิ่งได้ทราบเมื่อวาน แต่ว่าจวินรุ่ยซีก็เข้าวังไปหาเจียสือเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วจริงๆ ด้วยความเฉลียวฉลาดของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ที่จวินรุ่ยซีจะสามารถซ่อนเขาได้นานขนาดนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
วันนี้หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงมาที่นี่เป็นการเฉพาะตั้งแต่เช้าตรู่ และเร่งรีบออกไปอีก เกรงจะเป็นเพราะเหตุที่ว่าพิธีบวงสรวงยังไม่ยุติลง
“ชิงเอ้อร์ เตรียมม้า”
“ขอรับ!”
หลิงลั่วลุกขึ้นยืน เดินมุ่งไปทางประตูใหญ่ของจวนเหยียนอ๋อง
หลิงลั่วควบม้าไปตลอดทาง จนกระทั่งเข้าประตูวังไปแล้วก็ยังไม่หยุดลง
ผู้อารักขาที่เฝ้าประตูเหมือนได้เห็นความแปลกประหลาดเสียจนเคยชิน ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวาง แต่เมื่อหลิงลั่วมา กลับยังแสดงความเคารพอีกด้วย “ถวายบังคมเหยียนหวังเฟยขอรับ!”
“อืม”
หลิงลั่วส่งเสียงอืม และรีบไปทางห้องตำราหลวงโดยที่ไม่มีการหยุดค้าง
ไม่มีใครทราบว่าหลิงลั่วกล่าวอะไรกับจวินโม่เซิงที่ในห้องตำราหลวง ทราบเพียงแต่ว่าตอนที่หลิงลั่วยังไม่ออกมา จวินโม่เซิงก็ได้ส่งความที่ตรัสแจ้งไปยังตำหนักรับรองแล้ว
ความหมายโดยประมาณ ก็กล่าวว่า จะถึงช่วงเวลาหนึ่งเดือนแล้ว แต่ยังจะให้เจียสืออยู่ที่ตำหนักรับรองชั่วคราวไปก่อน
จวินรุ่ยซีได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจ พลันนึกถึงเสียงกีบเท้าม้าเมื่อสักครู่ขึ้นได้
ผู้ที่กล้าควบม้าในวัง เกรงว่าก็มีแต่ท่านแม่ของนางแค่คนเดียว
“เณรน้อย ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ต่อ แล้วก็เข้าร่วมการล่าสัตว์กับข้าเสียด้วยเลยดีหรือไม่”
จวินรุ่ยซีมองเจียสืออย่างคาดหวัง สายตาสบกับจวินรุ่ยซี ทว่าเจียสือกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านหญิง เสี่ยวเซิงเป็นนักบวช เห็นทีจะไม่อาจคร่าชีวิตได้”
ตอนพิเศษ 10 จะต้องกำจัดความคิดของเขา
“เห็นการคร่าชีวิตไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก” จวินรุ่ยซีกล่าว “พวกเราไปเล่นที่สวนยาของท่านปู่เฒ่าพิษก็ได้ อีกทั้งรอบๆ บริเวณนั้นยังมีผักป่าอยู่ด้วย และท่านปู่เฒ่าพิษก็มีผักที่ปลูกไว้เอง พอให้พวกเราอยู่ที่นั่นได้ถึงสองเดือนเลยล่ะ”
เจียสือไม่พูด ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อาจารย์อาก็ต้องไม่ปล่อยให้เขาไปแน่
“เณรน้อยเจ้าไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ ข้าต้องปกป้องเจ้าอย่างดีทีเดียว!”
เมื่อได้ยินก็มองจวินรุ่ยซีที่รับประกันให้การสาบานอย่างมั่นใจอีกครั้ง เจียสือรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาติดใจเรื่องนี้ที่ไหนกัน? แต่ว่า…
อาจารย์อาตักเตือนให้เขาอยู่ห่างจากจวินรุ่ยซีสักหน่อยมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ตอนแรกเขาก็ทำตามอยู่หรอก แต่ว่า เฮ้อ…
เจียสือถอนหายใจเบาๆ แต่ในที่สุดก็ยังไม่อาจหลบการตามตอแยอย่างไม่จบไม่สิ้นของเด็กสาวคนนี้พ้น
ตอนกลางคืน หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงกลับมาที่ตำหนักรับรอง ก็ได้ยินเรื่องที่จวินโม่เซิงออกบัญชา
เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าการกระทำของหลิงลั่วจะเร็วได้ขนาดนี้!
“เจียสือ วันนี้ท่านหญิงมาหาเจ้าอีกหรือไม่”
“…”
เจียสือมีความลังเลเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่หนึ่ง เพราะว่าเขาไม่อยากได้ยินคำพูดที่อาจารย์อาวิพากษ์วิจารณ์จวินรุ่ยซี เขารู้ว่าจวินรุ่ยซีเป็นคนอย่างไร นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่เรียบง่ายมากคนหนึ่ง มีฐานะเป็นคนของราชวงศ์ แต่กลับไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมเลยสักนิด
และเจียสือก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ เป็นเพราะว่าบิดามารดาและพี่ชายของนางปกป้องคุ้มครองนางดีมากจนเกินไป
“เจียสือ อาจารย์อากล่าวกับเจ้า ว่าอย่าให้เจ้าไปมาหาสู่กับท่านหญิงรุ่ยซี หรือว่าเจ้าลืมไปหมดแล้ว?!”
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงขึ้นเสียงสูงเล็กน้อย ที่ทำให้เขาเหลือเชื่อคือ ไม่นึกว่าเจียสือจะลังเล
ตั้งแต่เล็กจนโตเจียสือไม่เคยพูดปดเลย แต่ว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาลังเล
เขากำลังลังเล ว่าจะพูดความจริงกับเขาหรือไม่
“อาจารย์อา ท่านหญิงเป็นคนที่ดีมาก นางไม่ได้…”
“นางจะดีหรือไม่ดีไม่ได้สำคัญแล้ว!”
หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงขัดจังหวะคำพูดของเจียสือทันที “ตอนนี้ที่สำคัญคือเจ้า เจียสือ เจ้าหวั่นไหวแล้วใช่หรือไม่”
เจียสือตะลึงงัน เขา… หวั่นไหวเสียแล้วหรือ? ไม่ เขาไม่รู้ ในใจของเขายังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เพียงแค่มีคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น…
“การล่าสัตว์ในสารทฤดูหลังจากนี้ เจ้าไปเข้าร่วมเสียเถิด”
เนิ่นนาน หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงก็กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา
“อาจารย์อาเชื่อเจ้า อะไรที่สมควรมอง ไม่สมควรมอง เจ้าล้วนเข้าใจดี”
ที่สำคัญที่สุดคือ เขาต้องอาศัยการล่าสัตว์ครั้งนี้กำจัดความคิดในใจของเจียสือที่เพิ่งจะออกหน่อ ให้จวินรุ่ยซีตั้งแต่ที่ยังแบเบาะอยู่ให้มอดไปให้ได้!
“… ขอรับ อาจารย์อา”
ห้าวันต่อมา ณ พื้นที่ล่าสัตว์ในสารทฤดู
ถึงแม้ในใจเจียสือจะสงสัยอยู่บ้างที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงยอมเปลี่ยนใจให้เขามาที่นี่ แต่ในใจเขาก็กลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่เสมอ
จวินรุ่ยซีเดินไปข้างๆ เจียสือ เจียสือมองทางจวินรุ่ยซี และเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านหญิงถึงไม่ไปล่าสัตว์เล่า”
“เพราะว่าพวกน้าเล็กและพี่ชายเขาเก่งกันเกินไป ฝีมือไม่ได้เรื่องอย่างข้า จะสามารถชนะพวกเขาได้อย่างไร?”
จวินรุ่ยซียิ้ม และกล่าวว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าไม่ชอบฉากเหตุการณ์แบบนี้มิใช่หรือ? ถึงแม้ว่าพาเจ้ามาที่นี่ แต่ว่าข้าก็ต้องคำนึงถึงความคิดของเจ้าด้วย มิใช่หรืออย่างไร”
เจียสือมองจวินรุ่ยซีที่ยิ้มเจิดจ้าเหมือนเป็นเด็ก จิตใจเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย
“เณรน้อย? เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
เห็นเจียสือมองนางอย่างตะลึง จวินรุ่ยซีเลยยื่นมือออกมา และกวัดแกว่งอยู่ที่ตรงหน้าเจียสือ
“ไม่มีอะไร”
เจียสือหันหน้ากลับมา และเก็บสายตากลับคืนมา
เมื่อสักครู่ในใจของเขาเหมือนเต้นผิดจังหวะไปชั่ววูบหนึ่ง เขาหลงผิดไปเองหรือ?
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราไปขุดผักป่าแล้วกัน!”
ตอนพิเศษ 11 ตกหน้าผา (1)
จวินรุ่ยซีกล่าวเสนอด้วยรอยยิ้ม เจียสือนิ่งไปชั่วครู่ และมองจวินรุ่ยซีอีกครั้ง “ขุดผักป่า?”
จวินรุ่ยซีพยักหน้าหงึกๆ “ใช่แล้ว พวกเราไปขุดผักป่ากับเห็ด ไม่อย่างนั้นแล้วอีกประเดี๋ยวพวกน้าเล็กทานอาหารปิ้งย่างกัน พวกเราจะได้แต่มองดูตาปริบๆ”
จวินรุ่ยซียิ้มอย่างมีความสุขมาก แม้ว่านางเองก็เป็นผู้ที่บริโภคเนื้อ แต่ว่าเพื่อเจียสือแล้ว นางสามารถละเนื้อสัตว์หลายมื้อได้ อย่างมากหลังจากกลับที่ไปจวนอ๋องแล้ว ค่อยเร่งเสริมเอากลับมาก็ได้!
เจียสือพยักหน้า ตามจวินรุ่ยซีเดินมุ่งไปในป่าด้วยกันสองคน
พวกเขาไม่ได้ทราบเลยว่าที่ข้างหลังพวกเขา มีเงาร่างหนึ่งไล่ตามฝีเท้าของพวกเขามา
จวินรุ่ยซีเดินกระโดดโลดเต้นอยู่ในป่า เจียสือตามหลังนางอยู่อย่างเงียบๆ ภาพฉากนี้ช่างสอดคล้องกลมเกลียวมากนัก แต่ในสายตาของคนที่อยู่ข้างหลังนั้น กลับขัดหูขัดตาเป็นอย่างยิ่ง
จวินรุ่ยซีขุดผักป่าอย่างจริงจัง ไม่นานนัก ก็ขุดผักป่าได้เป็นตะกร้า
นำฝาหญ้าสานมาปิด แล้วก็เอาตะกร้าแบกขึ้นหลังตัวเอง “เณรน้อย พวกเราเดินไปดูข้างหน้ากันหน่อยดีหรือไม่?”
เจียสือพยักหน้า เดินตามจวินรุ่ยซีลึกเข้าไปในป่า พวกเขาก็ยังไม่ได้ทราบว่าทางที่พวกเขาเดินไปนั้น เป็นที่ตั้งของหน้าผา…
“เณรน้อย วันนี้ฝนจะตกหรือไม่นะ”
จวินรุ่ยซีแหงนหน้าขึ้นอย่างกังวลอยู่บ้าง มองสภาพอากาศที่มีก้อนเมฆดำปกคลุมไปทั่ว
เมื่อสักครู่ท้องฟ้ายังแจ่มใสอยู่เลย คราวนี้แย่ล่ะ พวกเขาไม่ได้พกร่มมา เกรงว่ากลับไปที่ตั้งค่ายก็คงจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว
“อืม…”
เจียสือเงยหน้ามองครู่หนึ่ง ส่งเสียงอืมเบาๆ และกล่าวว่า “ฝนคงจะตกแล้ว”
แต่ว่า สภาพอากาศอันน่าอึดอัดนี้ ทำให้ลางสังหรณ์ไม่ดีที่อยู่ภายในใจเจียสือยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก
“ช่างเถิด ของเหล่านี้ก็พอให้พวกเราทานได้หลายวันแล้ว เช่นนั้นพวกเรากลับกันดีหรือไม่”
เจียสือพยักหน้า แล้วก็หันกลับไปอย่างว่องไว
สถานที่แห่งนี้ปรากฏความรู้สึกอันตรายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง รีบจากไปให้เร็วสักหน่อยก็ดี
เพียงแต่ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเห็นจวินรุ่ยซีเพิ่งจะเดินไปที่ริมหน้าผาได้ไม่ไกล และก็หันหลังจะเดินกลับมาอีกครั้ง ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ
ไม่ได้! ในเมื่อเรื่องได้มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาต้องไม่มาล้มเลิกกลางคันตรงนี้เด็ดขาด!
เขาหยิบก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่มือจากบนพื้นขึ้นมา กรอกกำลังภายในใส่เข้าไป แล้วยิงไปทางจวินรุ่ยซี
จวินรุ่ยซีพลันรู้สึกปวดท้องน้อย ร่างกายหมดแรงในทันใด และตกลงไปในหน้าผาที่อยู่ข้างหลังทันที!
เจียสือรู้สึกผิดปกติ หันหน้ากลับมาก็เห็นฉากที่จวินรุ่ยซีล้มลงไป และตอนนี้ก็พุ่งตรงไปทางที่จวินรุ่ยซีอยู่โดยไม่แม้แต่จะคิด!
ทั้งสองคนดิ่งตรงลงไปในหน้าผา เจียสือจับแขนของจวินรุ่ยซีไว้ด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างหนึ่งจับกิ่งไม้ที่ระเกะระกะอยู่ริมขอบผาเอาไว้
“น้อย… เณรน้อย…”
จวินรุ่ยซีขมวดคิ้วมองเจียสือ มือข้างที่กำกิ่งไม้ระเกะระกะไว้แน่นนั้นค่อยๆ มีเลือดหลั่งรินลงมา
เจียสือกัดฟัน ในเวลานี้เขาไม่กล้าปล่อยมือเด็ดขาด
คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเดินออกมา นึกไม่ถึงว่าก็เป็นพระภิกษุด้วย!
แต่ดูเหมือนกับว่า อายุมากกว่าเจียสือไม่น้อยเลย
“ศิษย์พี่?” ยามที่เจียสือเห็นพระภิกษุรูปนั้น ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
จวินรุ่ยซีเองก็งุนงงอยู่บ้าง แต่ว่าก็ไม่ได้กล่าวแทรกออกมา
“เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่น่ะหรือ?” ตรงมุมปากเจียฟ่านปรากฏรอยยิ้มหยันขึ้นมา “เจียสือ เจ้ากับท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ผู้นี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าหรอกกระมัง? อาจารย์ให้ข้ากำจัดนางทิ้ง และเดิมทีข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นข้าก็จะช่วยให้เจ้าได้สมใจ!”
เจียฟ่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิง และก็เป็นลูกศิษย์ในปกครองที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงภาคภูมิใจเป็นที่สุด
ตอนพิเศษ 12 ตกหน้าผา (2)
เจียสือคาดไม่ถึงว่าอาจารย์อาผู้ที่แต่ไหนแต่ไรมาอ่อนโยนใจดีเช่นนั้นมาตลอด ไม่นึกว่าจะ…
“หึ นักบวชอย่างพวกเจ้า ไม่ได้มีเมตตาธรรมประจำจิตกันหรอกหรือ? ยามปกติแม้แต่มดยังไม่อาจฝืนใจเหยียบให้ตายได้ กลับฝืนใจฆ่าคนได้รึ?”
จวินรุ่ยซีเงยหน้าขึ้น มองเจียฟ่านที่ยืนอยู่บนฝั่งหน้าผา ในดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูก
เจียฟ่านเผยอยิ้มเยาะขึ้นมาตรงมุมปาก ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แล้วจะอย่างไรเล่า? เจ้าคิดว่านักบวชทุกคนล้วนยั้งกิเลศทำจิตใจให้ใสสะอาดได้หรือ หาไม่แล้วเหมือนอย่างเจียสือนี้ หากเขาไม่ได้มีใจอาวรณ์ในทางโลกแล้ว เขาจะมาเดินใกล้ชิดกับเจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“คนที่ผัสสะทั้งหกไม่สะอาดเช่นเขานี้ มีสิทธิอะไรมาสืบช่วงตำแหน่งเป็นเจ้าอธิการของวัดชิงย่วนกัน?!”
อารมณ์ของเจียฟ่านยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นเรื่อยๆ ฉับพลันเขาก็นั่งลงยองๆ มองเจียสือที่จับกิ่งไม้ระเกะระกะเอาไว้แนบแน่น และเผยรอยยิ้มที่ทำคนรู้สึกหวาดผวาในใจออกมา
“เจียสือ มีเพียงแต่เจ้าตายเท่านั้น ข้าถึงจะสามารถกลายเป็นเจ้าอธิการคนต่อไปของวัดชิงย่วนได้ เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก ศิษย์พี่จะส่งเจ้ากับท่านหญิงลงไปด้วยกัน ให้พวกเจ้าได้มีเพื่อนอยู่ข้างล่าง เป็นอย่างไรเล่า?”
เจียสือขมวดคิ้วแน่น เขาไม่รู้ว่าในใจของเจียฟ่านคิดอย่างไรกันแน่ เมื่อก่อนก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ เหตุใดจู่ๆถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?
จวินรุ่ยซีแหงนหน้าขึ้น มองเจียสือที่หน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ในใจก็ร้อนรนเหลือเกิน
แต่นาง กลับไม่สามารถออกแรงได้เลยแม้แต่นิดเดียว…
“นี่! ภิกษุที่อยู่ตรงนั้น! ในเมื่อคนที่อาจารย์ของเจ้าต้องการให้เจ้าฆ่าคือข้า เจ้าฆ่าเจียสือไปก็ยากจะรายงานภารกิจได้ เอาเช่นนี้สิ ข้าจะกระโดดลงไปเอง และเจ้าดึงเจียสือขึ้นไป!”
จวินรุ่ยซีเงยหน้ามองเจียฟ่าน ในเวลานี้นางไม่อยากให้มีเรื่องที่เกินความคาดหมายแม้แต่น้อยนิดเกิดกับเจียสือเลยจริงๆ!
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!”
เจียสือก้มหน้าลงมองจวินรุ่ยซี คิ้วขมวดแน่น “ข้าสามารถคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัยได้!”
คำพูดนี้เขาเหมือนกล่าวกับจวินรุ่ยซี และก็เหมือนกล่าวกับตัวเขาเองด้วย
“ใช่! เขาสามารถคุ้มครองนางให้ปลอดภัยได้!”
วัดชิงย่วน ซึ่งก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นวัดเส้าหลิน วิทยายุทธ์แห่งเส้าหลิน ชื่อเสียงก็ระบือไกลในยุทธจักร
ถึงแม้เจียสือสามารถสู้ด้วยวิทยายุทธ์เส้าหลินได้เล็กน้อย แต่วิทยายุทธ์ก็ดีสู้เจียฟ่านไม่ได้ ดังนั้นเจียฟ่านถึงได้ถูกเลือกให้เข้าไปเป็นหนึ่งในสิบแปดมนุษย์ทองแดง และสิบแปดพระอรหันต์
เจียฟ่านมองเจียสือกับจวินรุ่ยซีจากที่สูงลงมา พลันเม้มมุมปากขึ้นทันที และยื่นมือออกมาปรบมือ “ช่างเป็นคู่รักที่ชีวิตยากลำบากเสียจริงๆ เลย…”
“ศิษย์พี่! ท่านพูดเหลวไหลอะไรกัน?!”
เจียสือขมวดคิ้วแน่น ในใจเขามีแต่พระพุทธ แล้วจะมีใจอยากทางโลกได้อย่างไร…?
เจียฟ่านนั่งยองๆ โค้งเข้าไปใกล้เจียสือ ใช้เสียงที่จวินรุ่ยซีไม่ได้ยิน กล่าวที่ข้างหูเจียสือว่า “เจียสือ ข้าพูดเหลวไหลหรือไม่ ในใจเจ้าล้วนทราบดี เจ้าแค่ไม่ได้เผชิญหน้ากับความรู้สึกนี้เท่านั้น”
เจียฟ่านยืดตัวตรง รวบรวมพลังภายใน และก็ฟาดไปบนกิ่งไม้ระเกะระกะที่เจียสือจับอยู่ทันใด
“กรี๊ด!”
ร่างกายจมลงไปอย่างแรง ทำเอาจวินรุ่ยซีตกใจ อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องเสียงหลง
มองเงาร่างของทั้งสองคนที่ตกลงไปในหน้าผาเล็กลงเรื่อยๆ เจียฟ่านเผยอยิ้มมุมปาก หันหลังกลับและไปจากตรงที่เดิม
ใต้หน้าผาหญ้าขึ้นรกชัฏไปทั่ว ข้างใต้วัชพืชก็เป็นพื้นโคลนเฉอะแฉะ
ยามเมื่อจวินรุ่ยซีตื่นขึ้นมา ตัวเองก็ถูกเจียสือปกป้องอยู่ในอ้อมอก นอกจากความเจ็บแปลบที่มาจากขาขวาแล้ว กลับไม่มีบาดแผลที่ตรงอื่นเลย
“เจียสือ เจียสือ…”
จวินรุ่ยซีเอื้อมมือไปผลักเจียซือที่อยู่ข้างล่าง แต่เขาอยู่ในอาการหมดสติอย่างเห็นได้ชัด เรียกอย่างไรก็ไม่ฟื้น
แต่ว่า จวินรุ่ยซีมองมือที่ปกป้องนางไว้อย่างแนบแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยออกเลยสักนิด ก็เกิดกระแสไออุ่นไหลผ่านอยู่ภายในใจจวินรุ่ยซี
ตอนพิเศษ 13 รุ่ยเอ๋อร์หายไป
จวินรุ่ยซียังจำได้ว่ายามที่พวกเขาหล่นลงมาจากบนหน้าผา เจียสือไม่แม้แต่จะคิด แทบจะปกป้องนางเอาไว้ในอ้อมแขนให้ปลอดภัยโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นตกลงมาจากบนหน้าผาสูงขนาดนั้น นางก็เพียงแค่เท้าแพลงเท่านั้น
จวินรุ่ยซีไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จนกระทั่งท้องฟ้ามีฝนปรอยๆ ตกลงมา น้ำฝนอันเย็นเยียบกระทบบนใบหน้าของเจียสือ เจียสือถึงได้ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
พอลืมตาก็เห็นจวินลุ่ยซีซึ่งมีท่าทางเป็นกังวลอย่างที่สุด เจียสือพยายามฝืนยันร่างกายขึ้นมา จีวรสีขาวไม่อาจมองเห็นเป็นสีเดิมได้เสียแล้ว
เมื่อเห็นเจียสือฟื้น จวินรุ่ยซีถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางส่งเสียงถอนใจยาว และกล่าวว่า “เณรน้อย ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว”
เจียสือรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนบดทับไปทั้งตัว แต่ก็ยังสูดหายใจเข้าลึกๆ เผยรอยยิ้มซึ่งฝืนพยายามเล็กน้อยออกมา “ท่านหญิงวางใจเถิด เสี่ยวเซิงไม่เป็นไร”
“เจ้าเดินได้หรือไม่ ข้าเพิ่งเจอถ้ำแห่งหนึ่งที่ข้างหน้า ให้ข้าพยุงเจ้าไปดีหรือไม่”
เจียสือมองไปทางที่จวินรุ่ยซีชี้อยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้าลง
เพียงแค่ลุกขึ้นยืนจากพื้น เจียสือก็รู้สึกเจ็บปวดยากเกินทน แต่เพื่อไม่ให้จวินรุ่ยซีที่อยู่ข้างๆ ต้องเป็นกังวล ก็ได้แต่ต้องกัดฟันแน่น ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงออกมา
ระยะทางสั้นๆ ไม่กี่สิบเมตร พวกเขาก็เดินเป็นเวลาครึ่งเค่อแล้ว
ภายในถ้ำยังมีเสื่อฟางหญ้าอยู่ผืนหนึ่ง ดูท่าทางเหมือนจะเป็นเวลาหลายปีแล้ว ข้างเสื่อฟางหญ้าเป็นรอยก่อเพลิงวงสีดำ
จวินรุ่ยซีพยุงเจียสือให้นั่งลง เห็นภาพฉากเช่นนี้ จู่ๆ ก็พลันนึกถึงถ้ำที่เมื่อก่อนจวินชิงเหยียนเคยบอกนางขึ้นมา เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ยามล่าสัตว์ในสารทฤดู เขากับหลิงลั่วที่ยังอยู่ในชุดบุรุษเคยอยู่ที่ถ้ำแห่งนั้นมาก่อน
เมื่อก่อนจวินรุ่ยซีอยากให้หลิงลั่วพานางมาดูโดยตลอด คาดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่นางได้มาเยือน จะเป็นในสภาพแบบนี้
ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว เสื่อฟางหญ้าผืนนั้นก็ชำรุดทรุดโทรมอยู่ก่อนแล้ว แต่เหมือนกับว่ายังคงอบอุ่นอยู่เช่นเดิม
จวินรุ่ยซีนั่งอยู่ข้างๆ เจียสือ ฉับพลันก็นึกเกลียดชังว่าเหตุใดในตอนแรกตัวเองถึงไม่ร่ำเรียนทักษะการแพทย์กับ หลิงลั่วให้ดีๆ
นางกอดเข่าสองข้าง เอียงศีรษะ เผยดวงตาสองข้างที่ใสสะอาดและมีความรู้สึกผิดเป็นอย่างมากมองเจียสือ “เณรน้อย…ที่จริง ถ้าหากเมื่อครู่เจ้าไม่สนใจข้าละก็ เจ้ายังจะสามารถถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัยใช่หรือไม่ ข้าทำให้เจ้าต้องมาพัวพันเดือดร้อน…”
เจียสือมองจวินรุ่ยซี นึกถึงคำพูดที่เจียฟ่านเพิ่งจะกล่าวขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน
เขาจิตใจหวั่นไหวจริงๆ หรือ? เขาจิตใจหวั่นไหวให้แก่ท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ผู้นี้จริงๆ หรือ?
แต่ว่าความคิดเมื่อสักครู่ของเขา ก็ไม่อยากให้นางได้รับบาดเจ็บสักนิดเลยจริงๆ!
อีกทางด้านหนึ่ง เจียฟ่านยังไม่ได้ออกจากป่าก็ถูกจวินนั่วเหยียนพบเจอเข้า พร้อมกับพากลับมาที่ตั้งค่ายด้วย
“เจ้าเป็นใคร? เหตุใดถึงได้ปรากฏตัวอยู่ที่พื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์?”
จวินโม่เซิงมองเจียฟ่านที่ถูกจวินนั่วเหยียนพาตัวมา พร้อมขมวดคิ้วเอ่ยถาม
หลิงลั่วขมวดคิ้ว เป็นพระภิกษุรึ? หรือว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเจียสือ?
จวินชิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นในประเด็นนี้เหมือนกัน เขาหรี่ดวงตา แต่กลับไม่ได้เอ่ยปาก
“เขาคือเจียฟ่าน เป็นลูกศิษย์คนโตของหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงแห่งวัดชิงย่วน”
ทว่าจวินลั่วชิงรู้จักคนคนนี้ แต่ก่อนเมื่อเขาไปที่วัดชิงย่วน เคยได้เจอเจียฟ่านอยู่หลายครั้ง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หลิงลั่วขมวดคิ้ว ในเวลานี้เองฉู่อิ้งหานก็ได้วิ่งเข้าไปในกระโจม
“ท่านพ่อ! ท่านแม่! แย่แล้ว! รุ่ยเอ๋อร์หายไปแล้ว! อีกทั้งเจียสือก็หายไปด้วย!”
“อะไรนะ?!”
คำพูดของฉู่อิ้งหาน ทำให้คนในกระโจมไม่เป็นอันสงบเสียแล้ว
หลิงลั่วสาวเท้าเดินฉับๆ ไปตรงหน้าเจียฟ่าน และคว้าคอเสื้อของเจียฟ่านเอาไว้
“รุ่ยเอ๋อร์อยู่ที่ไหน?”
ตอนพิเศษ 14 กล่าวว่าอยากลาสิกขาอะไรนั่น
เสียงของหลิงลั่วค่อนข้างต่ำ ฟังออกว่านางกำลังอดกลั้นความโกรธอยู่
เจียฟ่านมองไปข้างๆ ไม่ได้สนใจความโกรธของหลิงลั่วเลย
“ไม่พูดรึ?”
หลิงลั่วกลับยิ้มด้วยความโมโหถึงขีดสุด “ได้สิ เจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าก็จะนำกองทัพตระกูลหลิง ไปสยบวัดชิงย่วนให้ราบคาบ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงลั่ว เจียฟ่านรีบหันหน้ากลับมา แต่กลับไม่เห็นเจตนาล้อเล่นในดวงตาของหลิงลั่วเลยแม้แต่น้อย
เจียฟ่านเม้มริมฝีปาก หากไร้ซึ่งวัดชิงย่วนแล้ว เช่นนั้นที่เขาเพิ่งทำไปจะมีความหมายอะไร?
ถึงอย่างไรเจียสือกับจวินรุ่ยซีก็ตกหน้าผาลงไปหมดแล้ว เป็นลางร้ายมากกว่าลางดี ถึงแม้บอกพวกเขาแล้ว ก็คงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก…
“พวกเขาตกหน้าผาไปแล้ว ข้าสามารถพาพวกท่านไปได้”
จวินนั่วเหยียน จวินลั่วชิงและคนอื่นๆ พานายทหารที่พามาล่าสัตว์ ควานหาอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
เพราะว่ามีผักป่าอยู่หนึ่งตะกร้า จวินรุ่ยซีกับเจียสือก็คงพอทนอยู่ได้หลายวัน
รอจนหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของจวินรุ่ยซี หลิงลั่วรอต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เลยลงไปหาที่ใต้หน้าผาด้วยตัวเอง
นางจำได้ว่านางเคยบอกจวินรุ่ยซีว่าที่นั่นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง เป็นถ้ำที่ในปีนั้นนางเคยอยู่กับจวินชิงเหยียน
ยามเมื่อหลิงลั่วหาจวินรุ่ยซีพบ นางกับเจียสือกำลังคลอเคลียอยู่ด้วยกัน หลิงลั่วไม่ทราบว่าระหว่างพวกเขานั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขาได้มีอะไรเป็นที่แน่นอนแล้ว
หลังจากพาจวินรุ่ยซีกับเจียสือกลับไปที่ตั้งค่ายแล้ว จวินรุ่ยซีก็ถามหลิงลั่วว่าต้องทำเช่นไรเจียสือถึงจะสามารถลาสิกขาได้
หลิงลั่วได้ยินคำถามของจวินรุ่ยซีก็พลันมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็เอ่ยถามว่า “รุ่ยเอ๋อร์ เจียสือเขากล่าวว่าอยากลาสิกขาหรือ”
การพัฒนาเช่นนี้จะเร็วเกินไปหรือไม่?
แต่ว่า… หลิงลั่วหัวเราะน้อยๆ จะเร็วก็เร็วไปเถิด หากว่าบุตรสาวของนางและเด็กผู้ซื่อตรงอย่างเจียสือสามารถมีความสุขได้ เรื่องอื่น นางจะช่วยพวกเขาแบกรับเอง!
แต่ยามขณะที่หลิงลั่วไปเยี่ยมเจียสือนั้น กลับเจอกระโจมว่างเปล่าไร้คนแม้แต่คนเดียว กับกระดาษบนโต๊ะที่หลวงพ่อฮุ่ยเหนิงทิ้งเอาไว้
ในดวงตาหลิงลั่วค่อยๆ ปรากฏความหนาวเยือกออกมา คาดไม่ถึงว่าหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงจะใช้ไม้นี้กับนาง!
หนึ่งเดือนต่อมา ณ วัดชิงย่วน
เณรสองรูปยกอาหารเจ เดินมุ่งไปยังศาลเจ้าที่ปิดอยู่ของเจียสือ
“เป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์ยังไม่ยอมปล่อยเจียสือออกมาอีกหรือ”
“นี่ก็หมดหนทางแล้ว ใครใช้ให้หลังจากอาจารย์พาเจียสือกลับมา แล้วเจียสือก็วิ่งไปกล่าวกับเจ้าอธิการว่าอยากลาสิกขาอะไรนั่น เจ้าอธิการไม่แสดงความเห็น อย่างนั้นก็ยอมรับวิธีกระทำของอาจารย์โดยปริยายแล้วกระมัง?”
“เฮ้อ นี่ก็หนึ่งเดือนเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเจียสือจะได้ออกมา แต่ก่อนเขาไม่เคยถูกลงโทษให้เข้าไปในศาลเจ้าเลย”
พวกเขาไม่ทราบว่าบนสันกำแพงที่อยู่ไม่ไกลออกไป มีเงาคนสองคนอยู่ตรงนั้น
“ท่านพี่ ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ เจียสือถูกขังอยู่ในศาลเจ้าของวัดชิงย่วน!”
จวินรุ่ยซีมองยังทิศทางที่เณรน้อยสองรูปจากออกไป และกล่าวกับจวินนั่วเหยียนซึ่งอยู่ข้างกาย
เพื่อช่วยให้เจียสือออกมาได้ จวินรุ่ยซีไม่เสียดายที่จะสละเวลาหนึ่งเดือนของตัวเอง อยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยม และร่วมปรึกษาหารือกับหลิงลั่ว จวินชิงเหยียน และยังมีจวินนั่วเหยียนกับจวินลั่วชิงว่าจะช่วยเจียสือออกมาอย่างไร
จวินนั่วเหยียนพยักหน้า เอื้อมมือออกมาลูบศีรษะของจวินรุ่ยซี และกล่าวว่า “วางใจเถิดเป่าเป้ย มีพี่อยู่ด้วย ต้องช่วยเจียสือออกมาได้แน่! ส่วนเจ้าก็รอพี่อยู่ที่นี่ รอหลังจากช่วยเจียสือออกมาแล้ว ค่อยลงเขาไปรวมตัวกับลั่วชิง!”
“ได้เพคะ!”
จวินรุ่ยซีพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ดูท่าทางจวินนั่วเหยียนที่จากไปด้วยการใช้วิชาตัวเบา ก็รู้สึกอิจฉาในใจเป็นอย่างมาก
หากทราบว่าจะมีวันเวลาแบบนี้เสียก่อน นางคงต้องฝึกวิชาอย่างเชื่อฟังว่าง่ายๆ ไม่แอบขี้เกียจเป็นอันขาด!
ตอนพิเศษ 15 ตามเจ้าไปทุกแห่งสุดขอบฟ้า ชมดอกไม้นานาทั่วหล้า
จวินนั่วเหยียนค่อยๆ ตามเณรน้อยสองรูปนั้นไป เมื่อแอบลอบเข้ามาบนคานของห้องศาลเจ้าวัด ชิงย่วนแล้วก็เห็นเจียสือในยามนี้
เทียบกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนที่จวินนั่วเหยียนเห็นเขา เจียสือก็ผอมไปมาก แต่ความดื้อรั้นบนใบหน้ากลับไม่ลดลงเลยสักนิดเดียว
จวินนั่วเหยียนไม่ทราบว่ายามนั้น ในสามวันนั้น จวินรุ่ยซีกับเจียสือได้กล่าวอะไรกัน ผ่านประสบการณ์อะไรมา ถึงได้ทำให้เขาเชื่อมั่นหนักแน่นได้ขนาดนี้
แต่ว่า ในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนที่น้องสาวของเขาชอบ และยังชอบพอต้องใจกันกับน้องสาวเขาด้วย เช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ใดกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางความรักของพวกเขาได้!
“เจียสือ เจ้าทานให้มากขึ้นสักหน่อยเถิด ไม่ว่าในใจเจ้าจะคิดอย่างไร การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดนะ”
เณรน้อยหนึ่งรูปในนั้น เห็นเจียสือในสภาพนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
พวกเขาอยู่ในวัดมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพระภิกษุที่ลาสิกขา แต่ว่าเหตุใดหลวงพ่อฮุ่ยเหนิงถึงไม่ยอมให้เจียสือลาสิกขากันนะ?
หรือก็เพราะว่าเจียสือใช้ชีวิตอยู่ในวัดชิงย่วนมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เลยถูกลิขิตให้ต้องอยู่ในวัดแห่งนี้ไปตลอดชีวิตหรือ?
หลังจากเณรน้อยสองรูปออกไปแล้ว จวินนั่วเหยียนถึงได้กระโดดลงมาจากคานห้อง
เจียสือได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นจวินนั่วเหยียน ก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“จะตะลึงอยู่ทำไม? ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก? อย่าปล่อยให้น้องสาวข้าคอยนาน”
จวินนั่วเหยียนกอดอกมองเจียสือ เขาก็คิดไม่ถึงว่าเจียสือจะทำถึงขั้นนี้เพื่อจวินรุ่ยซี
“รุ่ยซีก็มาด้วยหรือ?!”
การตอบสนองที่ตื่นเต้นขนาดนี้ของเจียสือ กลับทำให้จวินนั่วเหยียนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หรือว่าน้องสาวเขาห้ามมาที่วัดชิงย่วนแห่งนี้เด็ดขาด?
“รีบให้รุ่ยซีออกไป! อาจารย์รู้อยู่ก่อนแล้วว่ารุ่ยซีจะมา เพราะอย่างนั้นตั้งแต่แรกที่ข้าเพิ่งจะถูกจับกลับมา อาจารย์อาก็ได้เตรียมพร้อมรอนางอยู่แล้ว!”
“อะไรนะ?!”
อีกด้านหนึ่ง ข้างนอกห้องด้านข้างที่อยู่ลานหลังวัดชิงย่วน
สิบแปดมนุษย์ทองแดงที่นำโดยเจียฟ่านได้โอบล้อมนางเอาไว้ และผู้ที่นำพวกเขาก็คือฮุ่ยเหนิง
“ท่านหญิงรุ่ยซี เจียสือได้กลับมาที่วัดชิงย่วนแล้ว เหตุใดท่านยังไม่ยอมปล่อยเขาอีก?”
“ฮุ่ยเหนิง! เจ้าพระเฒ่าหัวโล้น! นักบวชมีเมตตาธรรมประจำจิตอะไรกัน แล้วยังหวังให้พระพุทธองค์ปกปักรักษาอีกรึ? เจ้าฝันไปเถอะ!”
เพียงจวินรุ่ยซีเห็นฮุ่ยเหนิง นางก็รู้สึกโมโหสุดๆ
“เจ้ามีสิทธิอะไรเอาความคิดของตัวเองไปบีบบังคับคนอื่น?! เจียสืออยากจะลาสิกขาเอง เจ้ามีสิทธิอะไรที่ต้องรั้งไว้ไม่ยอมปล่อยเขาไป?!”
“นี่ข้าก็ทำเพื่อให้เจียสือได้ดี หากไม่ใช่เพราะสาวงามอย่างเจ้าล่อให้เจียสือหลง เขาจะหวั่นไหวได้อย่างไร?!”
จวินรุ่ยซีกลับยิ้มอย่างโมโหสุดๆ นางไม่เคยเห็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย!
“เจ้ากล่าวว่าเจ้าทำเพื่อให้เจียสือได้ดี? เช่นนั้นเจ้ารู้ไว้เลยนะว่าสุดท้ายแล้วคนที่บีบคั้นให้คนเป็นบ้าก็คือคนที่กล่าวอยู่ร่ำไปว่าทำเพื่อให้เขาได้ดี! เจ้าเพียงแต่เอาความคิดของตัวเองบีบบังคับเจียสือ มีสิทธิอะไรมาพูดว่าเพื่อให้เขาได้ดี!”
เหมือนถูกจวินรุ่ยซีจี้จุดโดนความในใจ ฮุ่ยเหนิงรู้สึกเสียหน้าจนพาลโมโห “ไม่ว่าจะอย่างไร วันนี้เจ้าอย่าได้คิดจะพาเจียสือไปเลย! จับนางเอาไว้!”
สิบแปดมนุษย์ทองแดงมองตากัน แต่ก็ลังเลว่าจะก้าวเข้าไปดีหรือไม่
อย่างไรเสียที่จวินรุ่ยซีกล่าวก็มีเหตุผลจริงๆ เจียสือมีสิทธิเลือกชีวิตอย่างที่เขาต้องการ ใครก็ไม่สามารถเอาความคิดของตัวเองไปบีบบังคับเขาได้
“ตะลึงกันอยู่ทำไมกัน?! ยามนี้คำพูดของอาจารย์พวกเจ้าก็ไม่ฟังแล้วหรือ?! หรือว่าพวกเจ้าแต่ละคนต้องการจะก่อกบฏกันทั้งหมด?!”
“อาจารย์อา ท่านยอมวางมือเสียเถิด”
เจียสือที่ถูกจวินนั่วเหยียนประคองไว้ เดินมาอยู่ที่ข้างๆ จวินรุ่ยซี
ภายหลังจากที่จวินรุ่ยซีเห็นเจียสือแล้ว นางก็ลูบแก้มของเจียสือด้วยความรักสุดหัวใจ “เณรน้อย พวกเขากระทำโหดร้ายทารุณกับเจ้าใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงได้ผ่ายผอมไปมากขนาดนี้?”
เจียสือมองท่าทางที่เป็นกังวลของจวินรุ่ยซี และหัวเราะเบาๆ “รุ่ยซี ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เป็นไร”
กล่าวจบ เจียสือก็หันสายตากลับมามองทางฮุ่ยเหนิง “อาจารย์อา ท่านอาจารย์ได้ยอมรับคำขอของข้าแล้ว ยินยอมให้ข้าจากไป อาจารย์อาไม่ต้องขัดขวางข้าแบบนี้อีกแล้ว”
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของศิษย์พี่ เขาจะตัดใจปล่อยให้เจ้าไปได้อย่างไร?”
ฮุ่ยเหนิงทำหน้าตาไม่เชื่อ เจียสือก็กลับไม่ร้อนรนที่จะพิสูจน์คำพูดของตนเอง เขาแค่มองฮุ่ยเหนิงอย่างเงียบสงบเช่นนี้
ฮุ่ยเหนิงรู้ว่าเจียสือไม่เคยพูดโกหกเลย แต่ว่าให้เขาปล่อยเจียสือไปแบบนี้ เขาไม่อาจทำได้จริงๆ!
“ฮุ่ยเหนิง ปล่อยเจียสือไปเถิด”
ไม่ทราบว่าหลวงพ่อฮุ่ยจื้อปรากฏตัวอยู่ที่ข้างหลังตั้งแต่ยามใด เขาเดินออกมาจากข้างหลังเจียสือ นัยน์ตาสองข้างที่เรียบเฉย เหมือนเห็นการลาจากไปชั่วกาลจนเคยชินเสียแล้ว
“เจ้าอธิการ! ท่านกล่าวอะไรอยู่?!”
ฮุ่ยเหนิงมองหลวงพ่อฮุ่ยจื้อด้วยหน้าตาเหลือเชื่อ
“เจียสือเขาเป็นลูกศิษย์ที่ท่านถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยตัวเองเพียงผู้เดียวของท่านนะขอรับ! ท่านจะแข็งใจปล่อยเขาไปแบบนี้รึ?!”
บนใบหน้าของหลวงพ่อฮุ่ยจื้อยังคงไม่มีสีหน้าท่าทางที่แสดงออกเกินความจำเป็น น้ำเสียงก็ยังเป็นปกติ “ทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าหมอนั่นมาหาข้าให้ข้าช่วยด้วยตัวเอง แล้วข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร?”
หลวงพ่อฮุ่ยจื้อมองทางจวินรุ่ยซี เขากล่าวว่า “ท่านหญิง เจียสืออ่อนต่อโลกนัก แต่ว่าเป็นเด็กที่ใส่ใจและซื่อสัตย์เป็นที่สุด ขอเจ้าปฏิบัติต่อเขาดีๆเหมือนที่ผินเซิงทำ”
จวินรุ่ยซี พยักหน้า “ข้าจะต้องดีกับเจียอย่างมากแน่นอน!”
“เช่นนี้แล้ว พวกเราก็ไปเถิด”
หลวงพ่อฮุ่ยจื้อหันหลังกลับ และไปจากจุดเดิมนั้น
ฮุ่ยเหนิงมองเงาหลังของจวินนั่วเหยียนกับจวินรุ่ยซีที่พาเจียสือไปอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายถอนใจเบาๆ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเจียสือจะดื้อรั้นได้ขนาดนี้ ก็ช่างเหมือนกับเขาเมื่อปีนั้นยิ่งนัก แต่ว่า ก็สมแล้วที่เป็นบุตรชายของเขา!
ปีนั้น มารดาของเจียสือให้กำเนิดเจียสือ และก็เสียชีวิตด้วยการที่คลอดบุตรยาก ฮุ่ยเหนิงเจอศัตรูไล่สังหาร เขาก็พาบุตรชายที่เพิ่งกำเนิดมาที่วัดชิงย่วน ปลงผมเป็นนักบวช ขณะเดียวกันก็เพื่อหลบเลี่ยงการไล่สังหารของศัตรูไปด้วย
ภายหลังเขาค่อยๆ ชอบชีวิตอันเงียบสงบเช่นนี้เข้าเสียแล้ว ก็เลยอยู่ที่นี่กับเจียสือมาโดยตลอด หลอกเขาว่าเมื่อเขายังเด็กได้ถูกคนทอดทิ้งไว้ที่หน้าประตูวัดชิงย่วน…
เงาหลังของเจียสือหายไปตรงหัวโค้ง ความคิดของฮุ่ยเหนิง ก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา
เฮ้อ… ช่างเถิดๆ ในเมื่อเขาต้องการ เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเสียเถิด…
ออกจากวัดชิงย่วนแล้ว ก็เห็นเงาร่างของจวินลั่วชิงรออยู่ไม่ไกล หลังจากพยุงเจียสือกับจวินรุ่ยซีขึ้นรถม้าแล้ว จวินนั่วเหยียนก็ขึ้นไปบนรถม้า จวินลั่วชิงเริ่มขี่รถมุ่งไปทางจวนเหยียนอ๋อง
ในรถม้า จวินรุ่ยซีเผยรอยยิ้มซึ่งเจียสือไม่ได้เห็นมานานแล้วออกมา นางเอ่ยถามว่า “เณรน้อย เจ้าจะเสียใจในภายหลังหรือไม่ที่ตามข้าออกมาแบบนี้?”
เจียสือมองจวินรุ่ยซี ใบหน้าค่าตามีรอยยิ้มที่อบอุ่นอย่างยิ่ง
“ข้าจะขอตามเจ้าไปทุกแห่งสุดขอบฟ้า ชมดอกไม้นานาทั่วหล้า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น